--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันพฤหัสบดีที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2557

พอกันที VS Shut Down.

บรรยากาศการเมืองไทยขณะนี้ เข้าใกล้จุดตึงเครียดมากขึ้นทุกที โดยเฉพาะจุดตึงเครียดในวันที่ 13 มกราคม กับคำประกาศ Shut Down กรุงเทพฯ ของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ

จะปิดกรุงเทพฯนานนับเดือน หรือนานจนกว่าจะได้รับชัยชนะตามที่ต้องการ
แรงกระเพื่อมในสังคมจึงเกิดขึ้นในที่สุด แม้แต่กับกลุ่มคนที่เคยถูกเรียกขานว่าเป็นไทยอดทน หรือว่าไทยเฉย

มันเกินเลยคำว่า สงบ สันติ อหิงสา และอารยะขัดขืน จนข้าเส้นความชอบธรรมไปแล้ว
ว่ากันว่านายเสรี วงศ์มณฑา ซึ่งเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการเขียนสคริปต์ต่างๆให้นายสุเทพ ตลอดจนเขียนพิมพ์เขียวสภาประชาชน เขียนวาทกรรมทางการเมืองให้นายสุเทพ รวมทั้ง คำว่า ปิดกรุงเทพฯ หรือ Shut Down กรุงเทพฯ กำลังพลาดจากการเขียนสคริปต์ครั้งนี้

เพราะกลายเป็นสคริปต์ที่ไปกระตุ้นความวิตกกังวล ความไม่สบายใจให้เกิดขึ้นกับสังคมคนหมู่มาก จนถูกมองว่าเป็นพฤติกรรมข่มขู่คุกคามทางการเมือง เพื่อมุ่งหวังเอาชนะให้ได้โดยไม่สนใจความรู้สึกของคนส่วนใหญ่

พลาดหรือไม่พลาด ก็คงเป็นเรื่องที่สุดแท้แต่จะเป็นมุมมองของฝ่ายใด เพราะในบรรยากาศของการแบ่งแยกแตกขั้ว ที่ลุกโชนไปด้วยไฟแห่งความเกลียดชังที่ถูกสุมรุมเร้าอยู่ตลอดเวลานั้น
เหตุผล และข้อเท็จจริง กลายเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจและรับไม่ได้ของแต่ละฝ่าย

พฤติกรรมนักการเมืองที่ไม่มีใครเลวหรือชั่วน้อยกว่าใครเลยในความเป็นจริง กลับถูกความนิยมเฉพาะกาลเวลายกย่องให้เป็นผู้นำ เป็นแกนนำ โดยที่ความเลวร้ายที่ผ่านมาในอดีต ถูกมองข้ามและไม่พูดถึง
ฉะนั้นวิกฤตสังคมจึงใกล้เข้ามาในทุกขณะจิต และแม้แต่การเลือกตั้ง 2 กุมภาพันธ์ ก็จะไม่ใช่สรุปบทสุดท้ายของทางออก เพราะฝ่ายที่ต่อต้านการเลือกตั้งไม่ว่าอย่างไรก็ต้องต่อต้านและไม่ยอมรับอยู่ดี
ผลจากความวิตก และความกังวลในสถานการณ์เฉพาะหน้าเรื่อง ปิดกรุงเทพฯในวันที่ 13 มกราคม จึงทำให้เริ่มเห็นปรากฏการณ์ของการรับไม่ได้ที่จะมีการปิดกรุงเทพฯเกิดขึ้นมาแล้ว

โดยในช่วงเย็นของวันที่ 3 มกราคม ที่ลานหน้าหอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร เขตปทุมวัน ได้มีกิจกรรม “จุดเทียนเขียนสันติภาพ” จัดขึ้นโดยแฟนเพจเฟซบุ๊ก พอกันที!ž หยุดการชุมนุมที่สร้างเงื่อนไขไปสู่ความรุนแรง

ภายในงานมีกิจกรรมเขียนโพสต์อิต แสดงความในใจ ต่อสถานการณ์ทางการเมือง มีเวทีเปิดโอกาสให้ผู้เข้าร่วมกิจกรรมปราศรัย คนละ 5 นาที ซึ่งมีผู้ร่วมกิจกรรมให้หลายคนให้ความสนใจ

มีการแจกเทียนให้ผู้ชุมนุมคนละ 1 เล่ม และร่วมกันแปรอักษรภาพมนุษย์ เป็นรูปเครื่องหมายสันติภาพ และจุดเทียน พร้อมร่วมกันอ่านแถลงการณ์ หยุดการณ์ชุมนุมที่สร้างเงื่อนไขไปสู่ความรุนแรง และตะโกนคำว่า พอกันที เอาเลือกตั้ง ไม่เอาเทือกตั้ง อยู่นานหลายนาที ก่อนจะแยกย้ายกันจับกลุ่มแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน

นายกิตติชัย งามชัยพิสิฐ ผู้จัดกิจกรรม กล่าวว่า หลังจากที่เห็นภาพภรรยาของตำรวจที่เสียชีวิตในเหตุการณ์ปะทะที่สนามกีฬาไทย-ญี่ปุ่น ดินแดง และเห็นการ์ด กปปส.ที่เสียชีวิตในวันต่อมา รู้สึกอัดอั้นตันใจอยู่คนเดียว จึงตั้งแฟนเพจดังกล่าวขึ้นมา เพื่อเป็นพื้นที่แสดงออกสำหรับประชาชนทั่วไปที่ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด และไม่เห็นด้วยกับการชุมนุมที่จะนำไปสู่เงื่อนไขความรุนแรงจนมีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตอีก โดยเรียกร้องให้มีการเดินหน้าเข้าสู่การเลือกตั้งเพื่อปฏิรูปทางการเมือง ซึ่งกิจกรรมดังกล่าวจัดขึ้นมาเป็นครั้งที่สองแล้ว ไม่ได้มีใครแกนนำ ไม่คิดจะยกระดับการชุมนุม โดยเชื่อว่าผู้มาร่วมชุมนุมกลุ่มต่างๆ จะพัฒนาไปเองตามความคิดสร้างสรรค์ของผู้เข้าร่วม

ใจความหลักๆของแฟนเพจเฟซบุ๊ก พอกันที!ž หยุดการชุมนุมที่สร้างเงื่อนไขไปสู่ความรุนแรง เขียนเอาไว้ว่า...
เปิดใจ ไปเลือกตั้ง

พอกันที! หยุดการชุมนุมที่สร้างเงื่อนไขไปสู่ความรุนแรง!... เรา คนธรรมดาที่ไม่เอาความรุนแรงทุกรูปแบบ... เรา อดทนเคารพสิทธิชุมนุมของพวกท่านมวลมหาประชาชน... เรา เฝ้าดู ทนฟังคำประกาศชัยชนะของพวกท่านครั้งแล้วครั้งเล่า... เรา เฝ้านับวันที่จะได้ใช้สิทธิใช้เสียงเพียงหนึ่งเดียวที่เรามีอยู่ในมือเปล่า

เส้นความอดทนของเราขาดผึง ทันทีที่เสียงปืนดังขึ้นนัดแรกพรากชีวิตคนคนหนึ่งไปจากครอบครัวญาติพี่น้องของเขา

สมรภูมิเลือดที่รามคำแหง สนามไทย-ญี่ปุ่นดินแดง จนล่าสุด เหตุการณ์รุมทำร้ายกันที่ถนนวิภาวดี อีกกี่ศพถึงจะพอ!

พวกท่านเรียกร้องในสิ่งที่ไม่มีวันได้ไป นั่นคือหัวใจรักประชาธิปไตยของคนอีกมากมายมหาศาลที่ไม่ก้มหัวศิโรราบให้พวกท่าน

ประเทศไทยไม่ใช่ของพวกท่านมวลมหาประชาชน พอกันที!!!

ความรุนแรงผลักเราออกมา ความรุนแรงที่เกิดจากการสร้างเงื่อนไขของเหล่าแกนนำเราออกมาและจะไม่มีวันกลับไป ตราบที่พวกท่านยังไม่เลิกใส่ร้ายป้ายสี บิดเบือนความจริง ปลุกปั่นยุยง เกลียดชังทำร้ายคนที่เห็นต่างจากพวกท่าน

หยุดได้แล้ว หยุดปั่นหัวกันจนคลุ้มคลั่ง อย่าให้มีศพต่อไปอีกเลย
ออกมาจากพื้นที่แห่งความเกลียดชัง อย่าให้ชีวิตมีค่าของพวกท่านกลายเป็นเพียงเบี้ยบนเกมกระดานของแกนนำ

พอกันที!!! เหล่าผู้มีอำนาจ มีอาวุธ และสื่อในมือ หรือพวกท่านหวังเพียงชัยชนะบนซากศพของผู้อื่น ผู้ชุมนุมคัดค้านที่อยู่ใน กปปส. และเครือข่ายก็เป็นพลเมืองเช่นกัน

การเหมารวม บิดเบือนและป้ายสี ไม่อาจเปลี่ยนแปรหัวใจที่ใฝ่ฝันถึงสิ่งดีงามของพวกเขาได้ รังแต่จะกระพือความผิดหวัง และความโกรธมากขึ้นเท่านั้น หยุดสร้างสถานการณ์และข่าวสารเพื่อความชอบธรรมในการใช้ความรุนแรงเกินเหตุต่อผู้ชุมนุม
พอกันที!!!

ถนนทุกสายต้องมุ่งสู่การเลือกตั้ง 2 กุมภา 57 เท่านั้น

นายกิตติชัย งามชัยพิสิษฐ์ ยืนยันว่า กิจกรรมจุดเทียนเขียนสันติภาพ จัดขึ้นเพื่อ

1.เปิดพื้นที่ให้คนได้แสดงความเห็น อาทิ ญาติของผู้เสียชีวิตจากการชุมนุมที่ผ่านมา
2.ให้หยุดการชุมนุมที่สร้างเงื่อนไขไปสู่ความรุนแรง ไม่ได้แปลว่าไม่ให้หยุดชุมนุม ชุมนุมได้ แต่ต้องไม่สร้างเงื่อนไขนี้

สำหรับการชุมนุมของ กปปส. มองได้ว่านำไปสู่ความรุนแรง ทั้ง 2 ระดับ คือ 1. เรื่องข้อเสนออย่างการเลื่อนเลือกตั้ง ก็จะนำไปสู่การที่คนอีกกลุ่มไม่พอใจและต้องออกมาอีก 2.ทางกายภาพ มีวาจาทีนำไปสู่ความเกลียดชังค่อนข้างเยอะ การบุกสถานที่ต่างๆ ซึ่งรัฐต้องทำหน้าที่ ต้องป้องกันไว้อยู่แล้ว ซึ่งถ้าชุมนุมอยู่กับที่อย่างสงบก็ไม่อะไร อย่างการบุกสถานที่เลือกตั้ง ละเมิดสิทธิคนทั้งประเทศนี้แน่นอน”นายกิตติชัยระบุ ดังนั้นใน วันศุกร์ที่ 10 มกราคมนี้ ทางกลุ่มนี้ก็จะมีการจัดกิจกรรมอีกขึ้นเป็นครั้งที่ 2 ในบริเวณที่เดิมคือ หอศิลปวัฒนธรรมกรุงเทพมหานคร เวลา 18.00-21.00 น. มีกิจกรรมจุดเทียน และเปิดโอกาสให้ทุกคนได้ปราศรัยคนละไม่เกิน 5 นาที

จากนั้นที่หน้าเพจเฟซบุ๊ก Jessada Denduangboripant ของ ผศ.ดร.เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ อาจารย์ประจำภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มีการโพสต์ข้อความดังนี้
ชาวจุฬาฯ (เสียงส่วนน้อย) - พอกันที !

เอากำหนดการคร่าวๆ ก่อนนะครับ ขอเชิญชาวจุฬาฯ (เสียงส่วนน้อย) รักสันติ-สนับสนุนการเลือกตั้ง นัดเจอกันที่ลานพระรูป 2 รัชกาล ตอน 5 โมงเย็นวันศุกร์ที่ 10 ก่อนที่จะเดินไปร่วมกิจกรรมกับกลุ่ม "พอกันที! หยุดการชุมนุมที่สร้างเงื่อนไขไปสู่ความรุนแรง" ที่ลานหอศิลป์ กทม. ข้างมาบุญครอง นัดกันใส่เสื้อชมพู มีไฟฉายหรือโคมตะเกียงไฟฟ้าไปด้วย (ถ้าใช้เทียน ต้องมีกระดาษรอง) ทำป้ายผ้าป้ายกระดาษได้ตามความเหมาะสมที่ใช้ภาษาสุภาพ และไม่ยั่วยุฝ่ายใดครับ

ปล. ใครว่างก็มาเจอกันครับ จะใส่เสื้อสีอะไรก็ได้ แต่ถ้าใส่สีมหาลัยหรือหน่วยงานของตัวเอง ก็ดีครับ
แน่นอนว่าเจตนารมณ์ที่กลุ่ม“พอกันที” ประกาศเอาไว้บนแฟนเพจเฟซบุ๊ก หากไม่ใช่ว่าบ้านเมืองอยู่ในบรรยากาศความขัดแย้งแตกแยกแบ่งขั้วจนถึงระดับเกลียดชังกันไปแล้ว ก็คงจะได้รับคำชมเป็นแน่
แต่เพราะสังคมแบ่งขั้วอย่างชัดเจน เจตนารมณ์ที่บอกว่า เปิดใจ ไปเลือกตั้ง กับ ถนนทุกสายต้องมุ่งสู่การเลือกตั้ง 2 กุมภา 57 เท่านั้น จึงถูกโจมตีในทันทีจากขั้วที่เกลียดชังระบอบทักษิณ ว่านี่คือ พวกที่เข้าข้างการเลือกตั้ง

นี่คือการรวมตัวกันของคนเสื้อแดง ที่ใช้การเปลี่ยนสีเสื้อ แล้วอ้างคำว่า “ประชาธิปไตย” เพื่อหนุนให้ระบอบทักษิณผ่านการเลือกตั้งกลับเข้ามายึดครองประเทศอีกครั้ง

แถมยังมีบางคนเย้ยหยันว่าคนกลุ่มนี้มีเพียงแค่หลักร้อยเท่านั้น สู้มวลมหาประชาชนไม่ได้
ทั้งๆที่จริงๆแล้วปัญหาไม่ได้อยู่ที่จำนวนคน เช่นเดียวกับที่นายสุเทพพยายามอ้างตัวเลขมวลชนหลักล้านคนมาโดยตลอดนั่นแหละ เพราะเรื่องนี้จริงๆเป็นเรื่องที่สะท้อนให้เห็นว่าเริ่มมีคนอดรนทนต่อสถานการณ์ไม่ได้แล้ว

คนกลุ่มนี้อาจจะดูเหมือนว่ายังเป็นเสียงข้างน้อยในเวลานี้ แต่ทั้งนายสุเทพ รวมทั้งพรรคประชาธิปัตย์ ก็ได้เคยกล่าวอ้างถึงความสำคัญของเสียงข้างน้อยมาก่อนแล้วไม่ใช่หรือว่า เป็นเสียงที่พึงจะต้องรับฟัง เพราะเป็นเสียงสะท้อนจากประชาชนเช่นกัน

วันนี้นายสุเทพ จะลืมคำพูดตัวเอง ไม่รับฟังเสียงข้างน้อยที่ไม่ได้เลือกข้างใครเลยหรือ

หวังที่จะเห็นการปฏิรูปประเทศไทย ผ่านกระบวนการที่ถูกต้องตามกฎหมาย และให้ความสำคัญกับทุกๆกลุ่ม ไม่ใช่การใช้อำนาจบาดใหญ่ ใช้อำนาจอนาธิปไตยในทุกรูปแบบ

และยังยืนยันว่า ถึงเวลาที่ต้องล้างเผ่าพันธุ์นักการเมืองชั่วในทุกๆขั้วการเมือง ไม่เช่นนั้นปัญหาไม่มีวันจบ ตราบเท่าที่ตัณหาการเมืองในการแย่งชิงอำนาจและผลประโยชน์ทางการเมืองยังไม่สิ้นสุด

ที่มา.บางกอกทูเดย์
----------------------------------

ทักษิณ ปฏิรูป !!?

โดย.พญาไม้

แน่นอนว่า..สุเทพ เทือกสุบรรณ..จะไม่มีวันประสบความสำเร็จอย่างที่เป็นอยู่ในวันนี้..ถ้า..ทักษิณ ชินวัตร..ปฏิรูปตนเอง ซะก่อน

ทำไม..แม้จะมีมากมายที่กลายเป็นบทเรียน..แต่ ทักษิณ ก็ยังเป็นทักษิณ..เขายังยึดโยงอยู่กับการเป็นผู้ออกคำสั่ง..แสดงตนเป็นช้างเท้าหน้า.

ทักษิณ..เริงร่าอยู่กับการเป็นผู้ให้ ทั้งๆ ที่รู้ว่า..จะมีศัตรูมากมายเกิดขึ้นหลังจากการให้ในแต่ละครั้ง
ทักษิณ..สนุกสนานอยู่กับการแต่งตั้งโยกย้ายโดยลำพัง..ทั้งๆ ที่เขาประกาศในการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการของเขาจะไม่มีการเรียกร้องเอาทรัพย์สินเงินทอง..แต่เขาลืมไปว่า..มันเกินความสามารถที่จะควบคุมดูแล..

ภายใต้กลไกอันเป็นเผด็จการนั้น..คือการสูญเสียมวลชนส่วนใหญ่..

ทักษิณ..เก่งกาจปราดเปรื่องในหลายๆ เรื่องราว..แต่เขาอาจจะลืมหลักวิชาง่ายๆ ที่ว่า..ที่ใดมีแรงยกที่นั่นก็มีแรงต้าน..และมันจะเป็นปฏิภาคต่อกัน..เติบโตไปในทิศทางตรงกันข้ามแต่ไม่ห่างกันในเรื่องจำนวน..
นั่นอธิบายได้ว่า..เมื่อทักษิณมีคนเสื้อแดงเป็นเรือนแสนหนุนเนื่อง..เขาก็จะมีคนไม่ชอบเสื้อแดงเป็นเรือนแสนเช่นกันอยู่ฟากตรงกันข้าม..

นั่นคือประชาชนของ สุเทพ เทือกสุบรรณ..ทันทีที่เขาประกาศสงครามกับทักษิณ..เช่นกันกับคนไม่ชอบเสื้อเหลือง..ในคราวของ สนธิ ลิ้มทองกุล..

เพื่อป้องกันโรคฝีดาษ...นักวิทยาศาสตร์เพาะเชื้อแล้วส่งเข้าไปกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันไว้ต่อสู้..ทักษิณ ชินวัตร..ก็ต้องสร้างประชาธิปไตยในพรรคเพื่อไทยก่อนแล้วถึงจะสร้างประชาธิปไตยให้กับประเทศ

ทักษิณ..ต้องไปเรียนรู้..การนำจากข้างหลัง..เรียนรู้สงครามจากสนามทราย..
ทักษิณ..ต้องเรียนรู้ว่า..อุปสรรคอันยิ่งใหญ่ในการบังคับบัญชานั้น..คือการบังคับคนในครอบครัวเดียวกันและอันตรายที่อันตรายที่สุด..คือ..ความรักความหลง..

ถ้าสิทธัตถะ..เลือกที่จะเป็นกษัตริย์..ท่านจะเป็นกษัตริย์ที่ชนะทั่ว 4 คาบสมุทร..แต่เพราะท่านเอาชนะตนเองได้..ท่านจึงกลายเป็น..ศาสดา..ของคนทั้งโลก..

ชนะตนเองไม่ได้..ก็ไม่ชนะใครทั้งนั้น

ที่มา.บางกอกทูเดย์
/////////////////////////////////////////

3 เงื่อนไข ทหารเคลื่อน !!?

ถึงนาทีนี้หลายคนหลายฝ่ายดูจะเชื่อไปแล้วว่าการรัฐประหารอีกครั้งหนึ่งของการเมืองไทยจะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ไม่สัปดาห์นี้ก็สัปดาห์หน้า...

แต่ปัญหาคือ ความเชื่อนั้นมีโอกาสเป็นความจริงได้แค่ไหน อย่างไร

หากเริ่มจากการถอดรหัสเรื่อง "อีกากับวัว" ที่ ผบ.ทบ.นำมาพูดระหว่างการให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 7 ธ.ค. ทำนองว่า "ถ้าวัวมีแผล อีกาก็จะมาจิกหลังทุกวัน ถ้าไม่มีแผลก็ไม่มีอีกา ถ้าไม่มีเงื่อนไขก็ไม่มีเรื่อง" แหล่งข่าวจากหน่วยงานด้านความมั่นคง ระบุว่า ตัวชี้ขาดสถานการณ์ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของผู้ใหญ่เพียง 3 คน 3 ฝ่าย ได้แก่ 1.ฝ่ายที่ยืนยันว่าปฏิบัติตามกฎหมาย ซึ่งหมายถึงรัฐบาล 2.ฝ่ายที่เป็นเครื่องมือของฝ่ายแรก หมายถึงกองทัพ และ 3.ฝ่ายที่ไม่ยอมอะไรเลย หมายถึง กปปส.

"เมื่อฝ่ายที่ 2 ซึ่งเป็นเครื่องมือของฝ่ายแรก อยู่ๆ มาพูดว่าถ้ามีจลาจลเกิดขึ้นแล้วมีคนตาย รัฐบาลต้องรับผิดชอบ การพูดแบบนี้แปลว่าอะไร"

แหล่งข่าวอธิบายว่า จากข้อมูลการข่าว ปฏิบัติการชัตดาวน์กรุงเทพฯ ในวันที่ 13 ม.ค. จะมีการปิดพื้นที่สำคัญๆ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสี่แยกศูนย์กลางของ กทม.รวม 7 จุด ใช้คนที่ระดมมาจาก 7 จังหวัดภาคใต้ จังหวัดละ 5 พันคน รวมเป็น 3.5 หมื่นคน กลุ่มนี้เป็นตัวยืนคุมพื้นที่แต่ละจุดตลอดการชัตดาวน์

ผลที่จะเกิดขึ้นมีอยู่ 3 ระดับ คือ

หนึ่ง ช่วง 1-2 วันแรก เป็นช่วง "ชะงักงัน" ประชาชนออกจากบ้านได้ แต่อาจกลับบ้านไม่ได้ ไปทำงานไม่ได้ ทำให้ทุกอย่างหยุดชะงัก

สอง ช่วงวันที่ 3-4 เป็นช่วง "ความวุ่นวาย" เกิดความสับสนว่าจะไปทำงานดีหรือไม่ การเดินทางจะทำอย่างไร รถราจะวิ่งอย่างไร คนที่อยู่ในพื้นที่ที่ถูกปิดล้อมเริ่มมีความหวาดกลัว จะไปซื้อของ หาอาหารรับประทานได้หรือไม่ ส่วนผู้ชุมนุมที่ไปยึดพื้นที่ก็ต้องทำธุระส่วนตัว ต้องอาบน้ำ ต้องเข้าห้องน้ำ ต้องหาของกิน จะใช้ที่ไหน สถานที่ของเอกชนจะยอมให้ใช้หรือไม่ ความวุ่นวายจะเริ่มเกิดขึ้น

สาม นานกว่า 4 วัน เป็นช่วง "จลาจล" คนไปทำงานไม่ได้ แท็กซี่หากินไม่ได้ จะเริ่มปะทะกันเป็นจุดๆ สถานการณ์บานปลายสู่ความรุนแรง

"เมื่อถึงตรงนั้นก็ต้องดูว่าเจ้าหน้าที่จะรับมืออย่างไร นปช.จะเอาอย่างไร แต่จู่ๆ มีคนบอกว่าปะทะเมื่อไรรัฐบาลรับผิดชอบ ซึ่งจริงๆ กองทัพก็อ่านซีนาริโอ (ฉากทัศน์) ได้อยู่แล้วว่าจะเกิดอะไรขึ้น การพูดอย่างนี้จึงตีความเป็นอื่นไม่ได้"

ขณะที่แหล่งข่าวระดับสูงจากหน่วยงานด้านการข่าว ระบุว่า โอกาสของการรัฐประหารมีความเป็นไปได้ แต่ไม่สูง เพราะกองทัพวางบทบาทตัวเองเป็น stabilizer คือผู้รักษาเสถียรภาพของประเทศ

"ถอดรหัสสิ่งที่ ผบ.ทบ.พูด มี 2 ประเด็นสำคัญ คือ 1.ปรามชายชุดดำ เพื่อให้ผู้ที่รู้เห็นหยุดการนำชายชุดดำเข้ามาใช้ในพื้นที่เขตเมือง โดยเฉพาะกระทำต่อผู้ชุมนุม เพราะกองทัพมีข้อมูลชัดเจนว่ามีชายชุดดำก่อกวนการชุมนุมของ กปปส. มีการขนอาวุธเข้ามา และทำงานกันอย่างเป็นระบบ อาจมีบุคคลที่มีอำนาจรู้เห็นด้วย"

"2.ปรามตำรวจไม่ให้กระทำรุนแรงกับผู้ชุมนุมมากเกินไป เนื่องจากเห็นภาพเมื่อวันที่ 26 ธ.ค.2556 ที่ศูนย์เยาวชนไทย-ญี่ปุ่นดินแดง (ที่มีการปะทะกันระหว่างตำรวจกับผู้ชุมนุม) และมีการปลุกกระแสความรู้สึกกันในหมู่เจ้าหน้าที่ตำรวจอย่างน่าวิตก"

แหล่งข่าวกล่าวต่อว่า ท่าทีของ ผบ.ทบ.เมื่อวันที่ 7 ม.ค. คือการปรามไม่ให้สถานการณ์บานปลาย เพราะในส่วนของคนเสื้อแดงนั้น เชื่อว่ารัฐบาลจะไม่นำมาเผชิญหน้า แต่จะจัดชุมนุมในพื้นที่อื่นที่ไม่ใช่กรุงเทพฯเพื่อแสดงพลัง อย่างไรก็ดี หากทุกอย่างพลิกผัน เกิดการเผชิญหน้าและมีความรุนแรง ก็คงเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องทำรัฐประหาร แต่ไม่ใช่แผนการที่เตรียมจะทำอยู่แล้ว

ส่วนการประเมินสถานการณ์ชัตดาวน์กรุงเทพฯนั้น แหล่งข่าวคาดการณ์ว่า สถานการณ์จะไม่ยืดเยื้อเกิน 7 วัน โดยสิ่งที่ผู้ชุมนุมต้องการคือปิดถนน ไม่ใช่ยึดสถานที่ จุดเน้นอยู่ที่ศูนย์ราชการฯ ถนนแจ้งวัฒนะ จะมีการปิดถนนด้านนอกไม่ให้ข้าราชการเข้าไปทำงาน กับ 2.สถานที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.)

"พื้นที่ที่จะใช้ประชุม ครม.จนถึงขณะนี้เหลือไม่กี่แห่งแล้ว และหลังๆ ต้องใช้สถานที่ของตำรวจ ทหาร สถานที่ที่เตรียมใช้ประชุม ได้แก่ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ แต่มีโอกาสถูกปิดล้อมง่าย และใกล้สถานที่ชุมนุมวันที่ 13 ม.ค. (แยกปทุมวันและราชประสงค์) อีกที่หนึ่งคือกองบัญชาการกองทัพอากาศ แม้จะใช้ได้แต่ก็เสี่ยง โอกาสที่จะถูกปฏิวัติเงียบมีสูง คำถามคือรัฐบาลกล้าหรือไม่ ฉะนั้นรัฐบาลอาจไม่ใช้พื้นที่ทหารแท้ๆ เช่น สโมสรทหารบก กองบัญชาการกองทัพไทย แต่ก็เสี่ยงถูกม็อบปิดล้อมอยู่ดี"

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
==========================

วินิจฉัยโดยไม่มีอำนาจ ความน่าเอือมระอาของศาล รธน.

สัมภาษณ์โดย:ประชาไท

วรเจตน์ ภาคีรัตน์ นักวิชาการกลุ่มนิติราษฎร์ ต่อกรณีศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยกระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 190 ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ชี้เป็นอีกครั้งที่ศาลวินิจฉัยโดยไม่มีอำนาจ ชี้ การเมืองไทยวิกฤตเพราะใช้หลักกฎหมายเป็นเครื่องมือ ซึ่งสื่อและสังคมไม่เคยตามทัน และสิ่งที่ศาลรัฐธรรมนูญกำลังทำคือการ “ทำซ้ำ” เงื่อนปมทางการเมืองไปสู่การหาทางออกนอกระบอบประชาธิปไตย แต่เขาเชื่อว่าสิ่งที่จะไม่ซ้ำเดิมคือประชาชนจำนวนไม่น้อยนั้นตื่นตัวและ เรียนรู้เพิ่มขึ้นแล้ว และสามารถวิจารณ์การกระทำของศาลรัฐธรรมนูญได้เองด้วยซ้ำ สำหรับประเด็นการพิจารณาพ.ร.บ. เงินกู้ 2 ล้านล้านนั้น เขาเห็นว่าศาลมีอำนาจในการวินิจฉัย แต่เมื่อพิจารณาแนวทางการไต่สวนวันนี้ เขาเห็นว่าศาลกำลังก้าวล่วงเข้าไปแทรกแซงนโยบาย และแสดงความผิดหวังที่นักการเมืองไทยกลัวศาลจนลนลาน ไม่กล้าปฏิเสธคำถามที่ไม่ใช่หน้าที่ของศาล

จากคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเรื่องมาตรา 190 ซึ่งอ้างหลักนิติธรรมตามมาตรา 3 อาจารย์มองเรื่องนี้อย่างไร

วรเจตน์: ความจริงต้องเริ่มต้นจากประเด็นเรื่องเขตอำนาจศาลก่อน ว่าเรื่องนี้ศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจหรือไม่ในการเข้ามาตรวจสอบการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งคงเป็นเหมือนเดิมที่เราเคยวิพากษ์วิจารณ์ไปว่า ศาลรัฐธรรมนูญไม่มีเขตอำนาจเหนือคดี เพราะเหตุว่ากรณีนี้เป็นเรื่องของการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญซึ่งเป็นอำนาจโดยแท้ของรัฐสภา แล้วรัฐธรรมนูญไทยไม่เปิดโอกาสให้ศาลรัฐธรรมนูญเข้ามาตรวจสอบกระบวนการอันนี้ได้

ข้อพิจารณาอยู่ที่มาตรา 68 เป็นเรื่องของการใช้สิทธิเสรีภาพล้มล้างการปกครอง หรือให้ได้มาซึ่งอำนาจโดยวิธีการที่ไม่เป็นไปตามวิถีทางในระบอบประชาธิปไตย กรณีของการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ จะเห็นได้ว่ารัฐธรรมนูญไทยห้ามเอาไว้อยู่ 2 เรื่องใหญ่ๆ คือ ห้ามแก้เรื่องรูปของรัฐจากรัฐเดี่ยวเป็นสหพันธรัฐ กับห้ามแก้ไขรูปแบบการปกครอง ก็คือการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ห้ามอยู่ 2 ประเด็นใหญ่ๆ เรื่องอื่นไม่ได้ห้าม

เพราะฉะนั้น ที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยเรื่องการแก้มาตรา 190 ว่าได้มาซึ่งอำนาจที่ไม่เป็นไปตามวิถีทางในระบอบประชาธิปไตย จึงไม่ได้อยู่ในอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญเลย และเกินไปกว่าเรื่องที่รัฐธรรมนูญห้ามแก้ด้วย คล้ายๆ ว่าตอนนี้ศาลรัฐธรรมนูญกำหนดเรื่องห้ามแก้ขึ้นมาเต็มไปหมด โดยอ้างหลักนิติธรรมบ้าง อ้างหลักเรื่องการแบ่งแยกอำนาจบ้าง ซึ่งมันไม่เป็นข้อห้ามในทางรัฐธรรมนูญ

เราจะเห็นได้ว่า อันนี้ศาลรัฐธรรมนูญผิดทั้งในแง่ที่ว่า เขาไม่มีเขตอำนาจเหนือคดี แล้วก็แม้เขาจะรับเข้ามาแต่เหตุที่อ้างในการวินิจฉัยก็เป็นเหตุที่รัฐธรรมนูญไม่ได้ห้ามเอาไว้

ประเด็นการวินิจฉัยการแก้มาตรา 190 ถ้าดูจากเหตุผลที่ศาลให้ไว้ เราจะเห็นได้ว่า ในแง่ของรูปแบบการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ หรือแบบพิธีของการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ศาลรัฐธรรมนูญก้าวล่วงอำนาจของสภาอย่างมาก คล้ายๆ กับศาลรัฐธรรมนูญกำลังทำหน้าที่เป็นประธานในที่ประชุมสภา คล้ายๆ กับจะบอกว่าที่ประธานสภากำหนดกรอบการแปรญัตติ หรือกำหนดการปิดอภิปรายนั้นทำไม่ได้ ทั้งที่ความจริงเป็นอำนาจของประธานรัฐสภาโดยข้อบังคับการประชุมรัฐสภา ไม่ใช่อำนาจของศาลรัฐธรรมนูญ

ผลของการวินิจฉัยนี้ กลายเป็นว่าต่อไป เวลาสภาประชุมอะไรก็ตาม ศาลรัฐธรรมนูญจะเข้าไปก้าวล่วงได้ว่า การประชุมของสภา ประธานสภาสั่งยุติการประชุมโดยที่ไม่ถูกต้อง อะไรต่างๆ เหล่านี้ ก็เท่ากับว่าศาลรัฐธรรมนูญทำหน้าที่เป็นผู้ที่ควบคุมการประชุมสภาเอง อำนาจก็จะใหญ่มากกว่าประธานสภา ซึ่งไม่มีที่ไหนในโลกจะเป็นแบบนี้

เรื่องของกรอบแปรญัตติก็เหมือนกันที่ศาลรัฐธรรมนูญอ้าง อันนี้เป็นไปตามข้อบังคับการประชุมอยู่แล้ว ผมแปลกใจที่บอกว่าขัดกับข้อบังคับการประชุม เพราะศาลรัฐธรรมนูญไม่ได้อ้างว่าขัดกับข้อบังคับการประชุมข้อไหน นี่ก็จะเป็นปัญหาเหมือนกับที่เคยปรากฏมาก่อนหน้านี้ในคดีแก้ไขรัฐธรรมนูญ ให้ ส.ว.มาจากการเลือกตั้ง

ประเด็นสำคัญอันหนึ่งที่บอกว่า การแก้ไขมาตรา 190 เหมือนกับลิดรอนอำนาจการตรวจสอบถ่วงดุลของรัฐสภา คำตอบก็คือ เรื่องนี้รัฐสภาแก้ของเขาเอง ศาลรัฐธรรมนูญไปยุ่งอะไร คนที่แก้คือรัฐสภา เขาเห็นว่าการแก้มาตรา 190 แบบนี้จะให้ความสะดวกมากกว่าในเชิงของการทำหนังสือสัญญา แล้วความจริงในทางหลักการ อำนาจในการทำหนังสือสัญญาเป็นอำนาจในทางบริหาร ไม่ใช่อำนาจทางนิติบัญญัติ เพียงแต่เรื่องสำคัญๆ รัฐธรรมนูญก็จะกำหนดว่าอาจจะต้องผ่านหรือขอความเห็นชอบจากรัฐสภาเสียก่อน ส่วนว่าแค่ไหนเพียงใด เป็นดุลยพินิจของสภาเองในการกำหนด

พูดง่ายๆ คือเรื่องนี้สภาพอใจจะกำหนดแบบนี้ แต่ศาลรัฐธรรมนูญกลับไปบอกว่าเป็นการละเมิดอำนาจของสภา คำตอบก็คือรัฐสภาเป็นคนแก้เอง แล้วคุณจะไปยุ่งอะไรกับเขา เขาเห็นว่าการแก้ในลักษณะแบบนี้มันถูกต้องอยู่แล้ว แต่ศาลรัฐธรรมนูญไปอ้างเรื่องการทำลายดุลยภาพในการตรวจสอบถ่วงดุล ซึ่งอันนี้ไม่ถูกต้อง สุดท้ายก็ไปสรุปว่าเป็นการกระทำเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองโดยวิธีการไม่เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ

คำถามก็คือแล้วอะไรคือผลของคดีล่ะ ตกลงในคดีนี้ ศาลรัฐธรรมนูญจะให้ทำอะไร มันก็ไม่ได้บอกว่าตกลงแล้วจะยังไงต่อ ก็เหมือนกับคดีแก้ให้ ส.ว.มาจากการเลือกตั้ง พูดง่ายๆ อันนี้ในความเห็นผม มันเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง หรือผิดตั้งแต่ต้นทางจนปลายทาง คือผิดตลอดสาย เป็นการซ้ำรอยเรื่องของการให้ ส.ว.มาจากการเลือกตั้ง

ตั้งแต่ผมศึกษา และเห็นคำวินิจฉัย คำพิพากษาของศาลมาเยอะ ผมไม่พบว่ามีคำวินิจฉัยที่ไม่สามารถยอมรับได้เลยในทางกฎหมายได้เท่ากับเรื่องแก้ไขให้ ส.ว.มาจากการเลือกตั้ง และเรื่องแก้มาตรา 190 เป็นอันที่ 2 ซ้ำรอยเดิม ผลก็คือตอนนี้ประเทศไทยก็ปกครองโดยศาลรัฐธรรมนูญ

ในทางหนึ่ง ศาลรัฐธรรมนูญก็อ้างถึงการไม่มีการตรวจสอบถ่วงดุล ทำให้ประชาชนส่วนหนึ่งรู้สึกสบายใจขึ้นที่รัฐสภามีการตรวจสอบถ่วงดุลโดยศาลรัฐธรรมนูญ นี่เป็นเหตุผลที่ทำให้มันซ้ำอันเดิม

วรเจตน์: อันนี้ไม่ใช่เรื่องการตรวจสอบถ่วงดุล ที่ใช้คำว่า ‘ตรวจสอบถ่วงดุล’ มันผิด คือเราต้องแยกระหว่างการตรวจสอบถ่วงดุลกับการที่องค์กรๆ หนึ่งมีอำนาจเหนือองค์กรอีกองค์หนึ่งอย่างสิ้นเชิง ผมถามว่าอะไรคือการตรวจสอบถ่วงดุลเมื่อคุณล้วงเข้าไปถึงเรื่องของการควบคุมการประชุมสภาของประธานสภา คุณบอกว่าประธานสภาขอมติให้ปิดการอภิปราย คำถามก็คือ เวลาคุณจะไปตรวจสอบถ่วงดุล ตรวจสอบถ่วงดุลแค่ไหน ตรวจสอบถ่วงดุลจนคุณเป็นคนควบคุมการประชุมรัฐสภาเลยหรือ ถ้าอย่างนั้นรัฐธรรมนูญก็ออกแบบให้คุณเป็นประธานที่ประชุมสภาไปเลยหมดเรื่องหมดราว คงไม่ต้องมีข้อบังคับการประชุมสภาหรอก

จริงๆ ไม่ใช่เรื่องการตรวจสอบถ่วงดุล แต่เป็นการที่ศาลรัฐธรรมนูญสถาปนาอำนาจของตัวเองขึ้นไปเหนือองค์กรอื่นและเหนือรัฐธรรมนูญภายใต้เสื้อคลุมของการตรวจสอบถ่วงดุล เอาเสื้อคลุมตรวจสอบถ่วงดุลมาสวม ทำให้คนทั่วไปเห็นหรือเคลิ้มไปว่ามันคือการตรวจสอบถ่วงดุล แต่จริงๆ มันไม่ใช่แล้ว มันคือตัวเองขึ้นไปเหนือรัฐสภาเรียบร้อยแล้ว โดยทั้งๆ ที่ไม่มีอำนาจตามรัฐธรรมนูญ ผมเรียนแบบนี้

สำหรับผม ผมยืนยันมาตลอดว่า คำวินิจฉัยแบบนี้ไม่ใช่คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญตามความหมายของรัฐธรรมนูญมาตรา 216 วรรค 5  จึงไม่มีผลผูกพันรัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาล และองค์กรอื่นของรัฐ เนื่องจากผลเห็นว่ากรณีนี้ศาลรัฐธรรมนูญตัดสินคดีไปโดยไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญมาตรา 197 เพราะไม่มีฐานแห่งอำนาจจากรัฐธรรมนูญ นี่เป็นอำนาจของรัฐสภาที่จะเขาจะมีมติได้ ซึ่งน่าเสียดายที่รัฐสภาไม่มีมติแบบนี้

พูดง่ายๆ ในระบบพวกนี้ นักการเมืองกลัวศาล กลัวจนในที่สุดศาลสั่งอะไรมาก็ยอมตามหมด ทำตามหมด ไม่ต้องดูว่าตกลงมันใช่หรือไม่ใช่ ถูกหรือผิด แล้วมันก้าวล่วงเข้ามาในอำนาจของตัวไหม แล้วต่อไปจะแก้ไขรัฐธรรมนูญกันยังไง เวลาจะแก้รัฐธรรมนูญ ก็ต้องขออนุญาตศาลรัฐธรรมนูญไปตลอดกาล ซึ่งระบบอย่างนี้เป็นไปไม่ได้หรอก วันหนึ่งมันก็ต้องล้มไปโดยสภาพ

อันนั้นเป็นผลในทางกฎหมาย แล้วผลทางการเมืองล่ะ คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ออกมาแบบนี้มันสร้างเงื่อนปมอะไร

วรเจตน์: ก็เหมือนอันเดิม ทำให้ศาลโดยอาศัยคำวินิจฉัยนี้ แล้วสภาในตอนนี้ไม่อยู่ในสภาวะที่จะตอบโต้ศาลรัฐธรรมนูญได้ ก็ทำให้ศาลรัฐธรรมนูญสถาปนาตัวเองขึ้นไปเหนือองค์กรอื่นในทุกองค์กร

เราต้องเข้าใจว่าในสภามีความขัดแย้งอยู่ตลอดเวลา ความเห็นไม่มีทางตรงกัน เมื่อไม่มีทางตรงกันก็ขึ้นกับว่ารัฐธรรมนูญจะออกแบบให้ความเห็นที่ไม่ตรงกันแก้ไขแบบไหน บางกรณีออกแบบให้คุ้มครองเสียงข้างน้อยเอาไว้โดยการที่ศาลรัฐธรรมนูญเข้ามาเป็นกลไกคุ้มครอง บางกรณีเขาเห็นว่าถ้าศาลรัฐธรรมนูญเข้ามาคุ้มครองทุกกรณีแล้วจะกลายเป็นศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจเหนือองค์กรอื่น เขาจะเปิดโอกาสให้สภาวินิจแยไปโดยเสียงข้างมากในสภานั้นเอง แต่ละเรื่องจะมีการออกแบบที่ไม่เหมือนกัน อย่างเช่น กรณีสภาตราพระราชบัญญัติที่ขัดกับรัฐธรรมนูญ เขาเปิดโอกาสให้ศาลรัฐธรรมนูญเข้ามาตรวจสอบว่า พ.ร.บ.ขัดรัฐธรรมนูญหรือเปล่า

แต่กรณีของการแก้ไขเพิ่มรัฐธรรมนูญ รัฐธรรมนูญวางกลไกการแก้ไขยากกว่าการตรากฎหมายธรรมดาอยู่แล้ว ต้องใช้เสียงข้างมากเป็นพิเศษ เขาจึงไม่กำหนดให้ศาลรัฐธรรมนูญเข้ามาตรวจสอบ เขาให้แก้กันโดยกลไกเสียงข้างมากเด็ดขาดในสภา ไม่เหมือนกรณีการตรา พ.ร.บ.ที่ใช้เสียงมากธรรมดา แล้ว พ.ร.บ.ต่ำกว่ารัฐธรรมนูญ อันนี้ศาลรัฐธรรมนูญตรวจสอบได้

เรื่องนี้คนไม่เข้าใจ มักจะสับสนว่า ทำไมเวลารัฐสภาตราพระราชบัญญัติขัดกับรัฐธรรมนูญ ศาลรัฐธรรมนูญตรวจสอบได้ แต่ทำไมสภาแก้ไขเพิ่มรัฐธรรมนูญ ศาลรัฐธรรมนูญถึงตรวจสอบไม่ได้

เวลาที่ผมอธิบาย ผมบอกว่ามันไม่เหมือนกันไง อำนาจในการตราพระราชบัญญัติเป็นอำนาจที่ได้รับมาจากรัฐธรรมนูญในระดับรองลงมา เพราะ พ.ร.บ.อยู่ใต้รัฐธรรมนูญ เมื่อรัฐธรรมนูญสูงกว่า พ.ร.บ. ศาลรัฐธรรมนูญเขาคุมอยู่ เวลาสภาตรา พ.ร.บ.ขัดรัฐธรรมนูญ เขาตรวจสอบได้โดยกลไกรัฐธรรมนูญ

แต่ว่าอำนาจในการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญเป็นอำนาจที่สูงกว่า มันเป็นระนาบของการเข้าไปแก้ตัวรัฐธรรมนูญเอง ซึ่งรัฐธรรมนูญไทยไม่ได้ให้อำนาจศาลรัฐธรรมนูญเข้ามาตรวจสอบ แต่ศาลรัฐธรรมนูญพยายามช่วงชิงหรือสถาปนาอำนาจของตัวเองขึ้นมา ในคำวินิจฉัยครั้งที่แล้วเรื่อง ส.ว.มาจากการเลือกตั้ง

ที่ผมบอกว่าเป็นเรื่องตลกที่เข้ามาชี้ว่าการแก้ไข ส.ว.ให้มาจากการเลือกตั้งขัดต่อหลักประชาธิปไตย ในโลกนี้ใครก็หัวเราะ ผมให้สัมภาษณ์นักข่าวต่างประเทศ เขาก็หัวเราะ ต่างประเทศเองก็เขียนว่าไม่มีที่ไหนอีกแล้วที่ศาลรัฐธรรมนูญใช้อำนาจในลักษณะแบบนี้ มีที่เดียวในโลกคือที่ อะเมซซิ่งไทยแลนด์ แห่งนี้นี่เอง

ดูแนวทางศาลรัฐธรรมนูญแล้ว ศาลรัฐธรรมนูญวางหลักมาตรา 3 เพื่อเชื่อมโยงมาตรา 68

วรเจตน์: คือมาตรา 3 เขียนเรื่องหลักนิติธรรม ก็เป็นเรื่องที่ศาลหยิบเข้ามาอ้างตามใจ อย่างที่ผมเคยบอกว่าโดยการวินิจฉัยแบบนี้ ศาลรัฐธรรมนูญไม่ได้คุ้มครองความเป็นสูงสุดของกำหมายรัฐธรรมนูญในทัศนะของผม แต่ศาลรัฐธรรมนูญกลายเป็นผู้แทนของเสียงข้างน้อยไป คือเป็นฝ่ายในทางการเมืองไป ไม่ใช่เป็นคนกลางในการตัดสินคดีในทางกฎหมาย อันนี้ดูจากเหตุผลที่ศาลรัฐธรรมนูญให้เองนะ

ผมถึงบอกว่า ศาลรัฐธรรมนูญในฐานะที่เป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญจะมีทัศนะในทางการเมือง ทัศนะส่วนตัวที่มีต่อฝ่ายค้าน ต่อฝ่ายที่มีเสียงข้างมากในสภาอย่างไรก็ได้ มันเป็นสิทธิในทางการเมืองของคุณ ไม่เป็นปัญหา คุณแสดงออกโดยการไปใช้สิทธิเลือกตั้ง แต่เมื่อคุณเป็นตุลาการ บทบาท ข้อจำกัดอำนาจมีอยู่แค่ไหน ต้องตระหนัก ผมคิดว่าอันนี้คือสิ่งที่เป็นปัญหา

คำวินิจฉัยแบบนี้ จริงๆ ผมอาจจะไม่ต้องให้สัมภาษณ์เลย เพราะผมคิดว่าวันนี้คนทั่วๆ ไปเขาเห็น เขาสามารถจะวิพากษ์วิจารณ์ได้เองแล้ว การวินิจฉัยคดีของศาลรัฐธรรมนูญวันนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผ่านคดีเรื่อง ส.ว.มาจากการเลือกตั้งมันมาถึงจุดที่ว่าไม่ต้องใช้ความรู้ทางเทคนิคเข้ามาอธิบายคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญแล้ว คือคนทั่วๆ ไปที่มีจิตใจเป็นธรรมที่พอจะเห็นว่าอะไรถูกอะไรผิด เขาสามารถบอกได้ว่าอันนี้มันใช่หรือไม่ใช่ มันมาถึงจุดที่ชาวบ้านทั่วไปสามารถเห็นได้แล้ว

ตอนนี้สังเกตดูประเด็นที่ตอบไม่ได้ อย่างเช่น มาตรา 68 ที่เขียนว่าต้องผ่านอัยการก็ไม่มีการพูดถึงแล้ว ลืมไปโดยปริยาย มาตรา 68 บอกไว้ว่าเป็นเรื่องของการใช้สิทธิและเสรีภาพ ไม่ใช่เรื่องของการใช้อำนาจแก้ไขรัฐธรรมนูญ ก็ไม่พูดถึงแล้ว เพราะตอบไม่ได้

มาตรา 68 ออกแบบมาเพื่อกรณีที่บุคคลหรือคณะบุคคลใช้สิทธิเสรีภาพขัดต่อรัฐธรรมนูญ อย่างเช่น กรณีการชุมนุมของ กปปส.นี่แหลเป็นเรื่องของมาตรา 68 เป็นเรื่องใช้สิทธิเสรีภาพในการชุมนุม แล้วมีปัญหาว่าจะไปล้มล้างรัฐธรรมนูญหรือไม่ การเสนอสภาประชาชนอะไรต่างๆ จะทำให้กลไกรัฐธรรมนูญใช้ไม่ได้หรือเปล่า อันนี้แหละที่ตรงกับมาตรา 68 ที่จะเอามาใช้ ของที่มันตรงๆ บอกว่าไม่ใช่ แต่ของที่มันไม่ใช่เลย เขาใช้อำนาจแก้ไขรัฐธรรมนูญ กลับบอกว่าเป็นสิทธิหน้าที่ หรือไม่พูดถึงเลย

ตอนนี้มีกระแสเรื่องการปฏิรูป ศาลรัฐธรรมนูญก็สร้างเงื่อนปมทางการเมืองมาหลายครั้ง อาจารย์มองว่าศาลรัฐธรรมนูญต้องปฏิรูปอะไร

วรเจตน์: ไม่ต้องปฏิรูปอะไร ทำตามข้อเสนอของนิติราษฎร์ว่ายุบไป คือตอนนี้ศาลรัฐธรรมนูญจะต้องถูกยุบอย่างเดียว ไม่มีทางอื่น ยุบแล้วตั้งองค์กรใหม่ขึ้นมาเป็นองค์กรชั่วคราวเพื่อทำภารกิจของตัวศาลรัฐธรรมนูญ ที่นิติราษฎร์เคยเสนอเป็นคณะตุลาการพิทักษ์ระบอบรัฐธรรมนูญ

ผมอยากจะอธิบายบางอย่างเพิ่มเติมคือ มีสื่อมวลชนฉบับหนึ่งได้โค้ทคำพูดของผม ตอนที่ผมวิจารณ์ศาลรัฐธรรมนูญเรื่องที่บอกว่าคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญไม่สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญ และคำวินิจฉัยจะไม่ผูกพันรัฐสภาตามาตรา 216 วรรค 5 กับอีกทีหนึ่ง ผมพูดถึงเรื่องรัฐธรรมนูญยังมีผลบังคับใช้อยู่ และเราต้องปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญไปจนกว่าจะมีการแก้

สื่อมวลชนฉบับหนึ่ง ได้เอาคำพูดของผม 2 ครั้งไปเทียบกัน แล้วพยายามจูงให้คนเห็นว่าผมพูด 2 ครั้งแตกต่างกัน จริงๆ ไม่ได้แตกต่างกันเลย ผมพูดจากหลักการเดียวกัน แต่คนซึ่งอาจจะมีอคติ หรือมีสติปัญญาพร่องอยู่ไม่บริบูรณ์ อาจจะรู้สึกว่ามันขัดกัน
อธิบายง่ายๆ ว่า เวลาที่เราบอกคำว่าคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญไม่ถูกต้องตามรัฐธรรมนูญ เรายกรัฐธรรมนูญให้เป็นกฎหมายสูงสุด เวลาศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย คำวินิจฉัยต้องสอดคล้องกับรัฐธรรมนูญ ถ้าคำวินิจฉัยขัดหรือไม่สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญ องค์กรอื่นของรัฐ อย่างเช่น รัฐสภามีสิทธิที่จะบอกว่าคำวินิจฉัยนี้ขัดรัฐธรรมนูญ เพราะศาลรัฐธรรมนูญผูกพันที่จะวินิจฉัยไปตามกฎหมายและตามรัฐธรรมนูญ

เพราะฉะนั้น ที่ผมบอกว่ากรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยขัดกับรัฐธรรมนูญเอง คำวินิจฉัยต้องไม่ผูกพันองค์กรอื่น อันนี้คือการเคารพรัฐธรรมนูญที่เป็นกฎหมายสูงสุด ทำนองเดียวกับที่ผมบอกต่อไปว่า รัฐธรรมนูญตราบที่ยังไม่แก้ คุณก็ต้องปฏิบัติไปตามนั้น เว้นแต่ว่าคุณจะแก้ไขมัน พูด 2 ครั้งไม่ได้ขัดกันเลย พูดในหลักการอันเดียวกันคือ หลักความเป็นกฎหมายสูงสุดของรัฐธรรมนูญ

แต่บางคนเข้าใจว่า คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญเท่ากับรัฐธรรมนูญ ซึ่งไม่ใช่ คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญไม่เท่ากับรัฐธรรมนูญ คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญไม่ใช่รัฐธรรมนูญ มันเป็นเพียงการกระทำขององค์กรของรัฐที่เกิดขึ้นจากตัวรัฐธรรมนูญ เพราะฉะนั้นมันจะขัดต่อรัฐธรรมนูญไม่ได้

คำถามก็คือว่า เวลาที่องค์กรอื่นของรัฐกระทำการขัดต่อรัฐธรรมนูญ มีคนบอกว่าศาลรัฐธรรมนูญเป็นคนบอกว่าขัด คำถามของผมง่ายๆ เลยก็คือว่าถ้าศาลรัฐธรรมนูญเองวินิจฉัยเรื่องขัดกับรัฐธรรมนูญ จะทำยังไง นักกฎหมายบางคนบอกว่า ไม่ต้องสนว่าจะเป็นยังไง คำวินิจฉัยมาก็เป็นไปตามคำวินิจฉัย แล้วยกตัวอย่างว่า ถ้าคนไม่เคารพคำวินิจฉัยแล้วบ้านเมืองจะอยู่ยังไง ตำรวจไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของศาล จะเป็นอะไรยังไง ไปยกตัวอย่างพวกนั้นไป

ผมถามง่ายๆ ถ้าคำวินิจฉัยของศาลมันผิดชัดๆ อย่างเช่น ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยประหารชีวิตคนผมถามว่าจะมีใครหน้าไหนในประเทศนี้อ้างว่าคำวินิจฉัยนี้ผูกพันองค์กรของรัฐทุกองค์กร แล้วราชทัณฑ์จะต้องบังคับและต้องปฏิบัติตาม มันเป็นไปได้ไหม มันเป็นไปไม่ได้ แค่นี้ก็พิสูจน์แล้วว่าโดยตรรกะ ศาลรัฐธรรมนูญก็อาจละเมิดรัฐธรรมนูญได้ เมื่อเขาละเมิดรัฐธรรมนูญ องค์กรอื่นที่เป็นองค์กรในทางรัฐธรรมนูญเหมือนกัน เขาย่อมมีสิทธิที่จะพิทักษ์รัฐธรรมนูญ อำนาจพิทักษ์รัฐธรรมนูญจึงมิได้ผูกขาดของศาลรัฐธรรมนูญเอง

ถ้าองค์กรอื่นกระทำขัดรัฐธรรมนูญ อาจจะมีการลงโทษได้ แต่เมื่อศาลรัฐธรรมนูญกระทำขัดต่อรัฐธรรมนูญแล้วไม่มีบทลงโทษ

วรเจตน์: ใช่ จะมีปัญหาว่าใครเป็นคนชี้ ซึ่งผมบอกว่าคนชี้ก็คือตัวองค์กรในรัฐธรรมนูญเหมือนกัน มีศักดิ์ศรีเหมือนกัน รัฐสภาก็ชี้ได้นี่ ก็มีมติได้ ทีนี้พอมีมติก็จะมีคนเอาไปพูดกันว่าสภาไม่เคารพศาล ผมถามว่าแล้วศาลเคารพรัฐธรรมไหมล่ะในความเห็นของสภา มันเป็นแบบนี้

อีกอย่างหนึ่งก็คือ ภารกิจของศาลรัฐธรรมนูญคือ การควบคุม ตรวจสอบความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของการตรากฎหมาย การตราพระราชบัญญัติ เป็นภารกิจหลัก ซึ่งเวลาเขาคุม คุมโดยเกณฑ์ในทางรัฐธรรมนูญ เขาไม่มีอำนาจคุมในเรื่องความเหมาะสม

ผมยกตัวอย่าง ในวันนี้ (8 ม.ค.2557) มีการไต่สวนเรื่อง พ.ร.บ.เงินกู้ 2 ล้านล้าน ผมเห็นว่าคำถามบางคำถามเป็นคำถามในแง่ความเหมาะสมทางนโยบายนะ ถามเรื่องข้อดีข้อเสีย มันเป็นเรื่องความเหมาะสมทางนโยบาย ไม่ใช่เรื่องความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ซึ่งความเหมาะสมทางนโยบายศาลรัฐธรรมนูญไม่มีอำนาจเข้าไปคุม เป็นเรื่องของรัฐสภาที่จะวินิจฉัยเอง

พูดง่ายๆ ในระบบแบบนี้ เราไม่ได้ถือศาลรัฐธรรมนูญเป็นพระเจ้าที่จะวินิจฉัยทุกอย่าง ผูกพันทุกคนได้ในทุกเรื่อง อำนาจของเขาจำกัดอยู่ที่ว่าเขาต้องผูกพันกับกฎเกณฑ์ทางรัฐธรรมนูญ ถ้าเรายอมให้ศาลรัฐธรรมนูญเข้าไปก้าวล่วงเรื่องที่เป็นนโยบายเมื่อไหร่ เสร็จครับ มันก็ทำนโยบายกันไม่ได้ พรรคการเมืองที่ได้รับเลือกตั้งจากประชาชนทำนโยบายไม่ได้ เพียงเพราะศาลอาจจะมองว่านโยบายอันนี้ไม่ดี

ศาลรัฐธรรมนูญไม่ใช่คนคุมศีลธรรมที่จะบอกว่าอันนี้ดีหรือไม่ดี มาตรที่ศาลจะต้องใช้คือรัฐธรรมนูญ เพราะถ้าคุณไปคุมเรื่องเกณฑ์ความเหมาะสม มันเกินไปกว่ากรอบความชอบธรรมที่รัฐธรรมนูญให้ไว้ คุณจะขาดความชอบธรรมในทางรัฐธรรมนูญเอง

แล้วเรื่องนี้ผมคิดว่า ถึงจุดหนึ่งคนทั่วๆ ไปก็จะฉุกคิดว่า เราเลือกพรรคการเมืองนี้มาเพื่อจะให้ทำนโยบาย เช่น ทำรถไฟความเร็วสูง เป็นเสียงข้างมากเลือกมา แล้วจะมีคนบอกว่านโยบายนี้ไม่เหมาะสม ถามว่าเหมาะสมไม่เหมาะสม ใครตัดสิน ประชาชนต้องตัดสินผ่านกลไกในกระบวนการเลือกตั้งหรือการออกเสียงประชามติ ไม่ใช่องค์กรที่เป็นศาลที่จะมาชี้เรื่องความเหมาะสมในเชิงการใช้อำนาจ

ที่ผมรู้สึกเบื่อหน่ายก็คือว่า ผมรู้สึกว่าบ้านเราโดยเฉพาะนักการเมือง ผมว่ากลัวศาลมากเกินไป คำถามบางคำถามที่ศาลถามมา ถ้าไม่เป็นประเด็น เป็นเรื่องความเหมาะสม ศาลต้องใช้เกียรติรัฐมนตรีหรือฝ่ายการเมือง แล้วรัฐมนตรีก็ต้องตอบว่านี่เป็นประเด็นเรื่องความเหมาะสม ซึ่งไม่ใช่เรื่องของศาล เป็นเรื่องของฝ่ายการเมืองที่จะเป็นคนตัดสินใจเอง ถ้าเป็นประเด็นความชอบด้วยรัฐธรรมนูญเขาอาจจะต้องตอบ ถ้าเป็นเรื่องความเหมาะสมก็ไม่จำเป็นต้องตอบ

ปัญหาอันหนึ่งของบ้านเรา คือคำวินิจฉัยของศาลจำนวนหนึ่ง เป็นการคล้ายกับว่าใช้โอกาสในแง่การทำคำวินิจฉัยในการตำหนิประณามบุคคล บางทีผมยังแปลกใจเลยว่าบางทีฟังคำวินิจฉัยเหมือนฟังคำฟ้อง เป็นคำฟ้องมากกว่าเป็นคำวินิจฉัย

ประเด็นหนึ่งที่ติดมากๆ และผมคิดว่าคำถามนี้ทุกคนควรถามให้ดังสนั่นหวั่นไปเลยว่า ตอนที่ศาลรัฐธรรมนูญตัดสินคดี ส.ว.มาจากการเลือกตั้งว่าขัดต่อรัฐธรรมนูญ แล้วอ้างว่าสภาทำผิดข้อบังคับการประชุม ผมอยากฝากให้สื่อมวลชนช่วยถามหน่อย ข้อไหน อ้างข้อหน่อย เพราะว่าผมไปดูแล้วไม่มี และผมเห็นว่าสภาทำถูกต้องตามข้อบังคับการประชุม

นิติราษฎร์เคยแถลงเรื่องนี้ไป อาจจะมีประเด็นเยอะ แล้วมีคนไปพูดถึงเรื่องร่างรัฐธรรมนูญปลอม พูดถึงเรื่องไม่ให้เวลาในการแปรญัตติ พูดถึงเรื่องเสียบบัตรแทนกัน แล้วก็ใช้ประเด็นนี้เป็นวาทกรรมว่ารัฐสภาทำผิด แล้วผมแปลกใจมากๆ เลยที่ฝ่ายนักกฎหมายของรัฐบาลทำไมไม่พูดประเด็นนี้ อันนี้มันมีเหตุผลและน้ำหนักที่จะต้องพูด ร่างรัฐธรรมนูญปลอมก็ไม่ใช่ ไปอ่านดูดีๆ ไม่มีใครคัดค้านเลย เพราะรัฐธรรมนูญที่ทุกคนได้รับตอนที่รับหลักการวาระ 1 เป็นฉบับเดียวกันหมดไม่ว่าจะเป็นฝ่ายค้านหรือรัฐบาล

เรื่องที่บอกสภาทำผิดข้อบังคับการประชุม เรื่องกำหนดเวลาแปรญัตติน้อยเกินไปนั้น ไม่จริง สภาทำถูกต้องตามข้อบังคับการประชุม แถลงการณ์นิติราษฎร์ระบุเลขข้อด้วยว่าเป็นข้อไหน ที่ไม่ระบุนั้นเป็นศาลรัฐธรรมนูญนะครับ ไม่บอกว่าที่ผิดข้อบังคับการประชุมคือข้อไหน ผมยังรออยู่ทุกวันนี้ว่าช่วยเอามาให้ดูหน่อยว่าเขาผิดข้อไหน ไม่มี

เรื่องเสียบบัตรแทนกันก็เหมือนกัน การพิสูจน์ในทางหลักฐานก็ไม่ชัด ต่อให้ตรวจสอบได้ชัด ก็ไม่เป็นจำนวนเสียงพอที่จะล้มตัวรัฐธรรมนูญได้ มันเหมือนกับนักศึกษาเข้าสอบ ห้องหนึ่งมีคนเข้าสอบ 300 คน คนหนึ่งทุจริตการสอบ ผู้คุมสอบปรับตกทั้ง 300 คน คนอื่นไม่เกี่ยวด้วย ทำนองเดียวกันเหมือน ส.ส.ลงคะแนน ส.ส.ส่วนใหญ่ลงคะแนนไปตามเจตนาที่บริสุทธิ์ถูกต้องของเขา มีจำนวนหนึ่งฝากคนอื่นลงคะแนนแทนซึ่งผิดข้อบังคับการประชุม ก็ต้องตัดเสียงส่วนนั้นออกไป ไม่ได้เอาเสียงตรงนั้นมาทำลายคนอื่น มันก็เปรียบกับห้องสอบ คุณก็สอบของคุณไป อีกคนทุจริตการสอบ แล้วมันเกี่ยวอะไรกับผม ทำให้ข้อสอบที่ผมเขียนไปมันเจ๊งไปด้วย มันไม่ถูกหรอก โดยระบบ มันไม่ถูกต้อง

อย่างที่ผมบอก แล้วนี่เป็นปัญหาของสังคมไทย ปัญหาของสื่อด้วย คือการเลือกข้าง หมายถึงพอใจแบบนี้แล้วไปพูดต่อกัน เหมือนคดีที่ดินรัชดา คดียึดทรัพย์ ถามว่ามีใครสักกี่คนอ่านคำวินิจฉัยละเอียด มีใครสักกี่คนตามไปตรวจสอบว่าที่ตัดสินมาถูกต้องตามกฎหมายหรือเปล่า รวมทั้งคนที่มาวิจารณ์ด่าๆ กันด้วย ผมท้าได้เลย พูดตามๆ กันทั้งนั้น ไปถามจริงๆ ไม่เคยอ่าน ก็เชื่อตามกัน แล้วศาลใช้เรื่องคอร์รัปชั่นทุจริตเชิงนโยบายมันคืออะไร แล้วมันเป็นองค์ประกอบความผิดในทางกฎหมายหรือเปล่าที่จะเอาใช้ในการวินิจฉัยตัดสิน นี่คือปัญหาทั้งหมดของการใช้กฎหมายในบ้านเราแล้วแก้ยากด้วย

อาจารย์กำลังพูดถึงปัญหาที่ค่อนข้างยาวนานหลายปีแล้ว ซึ่งใช้เทคนิคในการจัดการฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง โดยที่สังคมไทยไม่สามารถตามได้ทัน หรือลงไปในรายละเอียดได้

วรเจตน์: ผมติดตามเรื่องนี้มาหลายปี เห็นมาโดยตลอด ลองย้อนบางประเด็นนะ บางเรื่องสังคมไทยเราก็ลืมไปเฉยเลย เรื่องล่าสุดเรื่อง กกต. คุณวาสนา เพิ่มลาภ

หลายปีก่อนตอนที่ประชาธิปัตย์บอยคอตการเลือกตั้งเมื่อปี 2549 ไม่ลงสมัครเลือกตั้ง แล้วในบางเขตเลือกตั้งมีผู้สมัครคนเดียว กกต.ต้องเปิดรับสมัครใหม่แล้วมีผู้สมัครคนอื่นมาสมัครเพิ่ม ต่อมาก็ถูกแจ้งความดำเนินคดีว่าทำผิดกฎหมาย

ในตอนนั้นในทางวงการกฎหมายมันชัดเจนว่า ผู้ที่ฟ้องคดีไม่มีอำนาจฟ้อง แต่ศาลชั้นต้นตอนนั้นรับฟ้อง แล้วไม่ให้ประกัน กกต. ผมจำได้เลยเรื่องนี้ผมไปออกทีวีรายการถึงลูกถึงคนของคุณสรยุทธหลายปีก่อน ไปนั่งเถียงกับอาจารย์ท่านหนึ่ง ปัจจุบันท่านเป็นรองอธิการบดีฝ่ายการนักศึกษาของงมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

ผมบอกว่าการไม่ให้ประกันนั้นไม่ถูก เพราะการได้รับการประกันเป็นสิทธิ แต่ตอนนั้นสังคมตามสื่อก็เรียก กกต.ชุดสามหนาทำไม่ถูก เวียนเทียนสมัครนู่นนี่ สุดท้ายก็ไม่ให้ประกัน จับ กกต.ขังไว้ ต่อมา กกต.ก็ลาออก แล้วเปลี่ยน กกต. ผ่านไปหลายปีศาลอุทธรณ์พิพากษายืน แล้วคดีไปถึงศาลฎีกา ศาลฎีกาก็พิพากษากลับบอกว่าที่ดำเนินการวันนั้นคนฟ้องไม่มีอำนาจฟ้อง ก็เหมือนกับที่ผมพูดในเวลานั้นว่าไม่มีอำนาจฟ้อง

ถึงวันนี้ โอเค กกต.ชุดคุณวาสนาพ้นความรับผิดไป แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนั้นใครรับผิดชอบ เขาถูกไม่ให้ประกันตัว เขาเสียตำแหน่ง กกต.มีใครรับผิดชอบให้เขา สังคมไทยเคยคิดย้อนกลับไปตรงนี้ไหม และผลมันสะเทือนมาขนาดไหน สุดท้ายพอเปลี่ยนตัว กกต.เสร็จ ไทยรักไทยยังยืนยันให้มีการเลือกตั้งต่อ กกต.ชุดใหม่มาคุณกลัวอีกว่าไทยรักไทยจะชนะเลือกตั้ง ก็รัฐประหารวันที่ 19 กันยาก่อนที่จะมีการเลือกตั้ง แล้วเรากำลังจะทำซ้ำประวัติศาสตร์แบบนี้อีกรอบหนึ่งในเวลานี้

เราไม่เคยสนใจอะไรเลย แล้วสังคมนี้ไม่เคยมองเลยว่าใครยืนอยู่ตรงจุดไหน หลักการคืออะไร เป็นสังคมอื่นเขาสว่างจ้ากันจนตาจะมืดบอดอีกรอบหนึ่งแล้ว คือสว่างแล้วสว่างอีกจนจะบอดอีกทีหนึ่งแล้ว สังคมเราก็ยังเหมือนเดิม สื่อมวลชนก็ยังเหมือนเดิม ไม่มีความรับผิดชอบ ไม่มีจรรยาบรรณเหมือนเดิมที่เคยเป็น เขียนข่าวก็เลอะเทอะมั่วซั่วเหมือนเดิม แล้วคนก็เชื่อกันไปเหมือนเดิม

แต่ว่ามันอาจจะไม่เหมือนเสียทีเดียว เพราะถ้าดูจากพัฒนาการทางสังคม คนจำนวนหนึ่งเขาตื่นขึ้นแล้ว อันนี้ดูจากปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น มันจึงยากกว่าเดิม ถามว่าเขามีเครื่องมืออย่างอื่นไหม ก็ไม่มี ต้องใช้เครื่องมือแบบเดิมๆ ในสภาวะปัจจัยของประชาชนที่เปลี่ยนไป สื่ออาจจะเหมือนเดิม ผมยังไม่เห็นสำนึก ยังทำเหมือนเดิม สื่อที่โจมตีผมก็โจมตีเหมือนเดิม หนักกว่าเดิมอีก เขียนผิดๆ ถูกๆ ใครเป็นสมาชิกนิติราษฎร์บ้างยังผิดๆ ถูกๆ เลย บอกนิติราษฎร์แปลงกายเป็นสมัชชาปกป้องประชาธิปไตย แปลงกายที่ไหน นิติราษฎร์ยังอยู่เหมือนเดิม ไม่มีการแปลงการก็บอกว่าแปลงร่าง เละเทอะเรื่อยเปื่อย กลับดำเป็นขาวกลับขาวเป็นดำ กลับสิ่งที่ผิดให้เป็นถูก และสิ่งที่ถูกให้เป็นผิด

คนจำนวนหนึ่งซึ่งอาจจะอินไปแล้ว ไม่ใช้สติปัญญาคิดตรึกตรอง ไม่ดูอดีต ผมถึงพูดว่าคุณย้อนกลับไปดูข้อกฎหมายสิ ผมสอนวิชากฎหมายรัฐธรรมนูญ มีนักศึกษาคนหนึ่งผมไม่แน่ใจโพสต์สเตตัสในเฟซบุ๊ก บอกว่าที่ผมสอนว่าในหลักการเขาเถียงไม่ได้ มันถูกต้อง แต่เขาขอทิ้งหลักการนี้ไปก่อน เขาขอไปกู้ชาติ ที่ผมพูดมาเรื่องนายกรัฐมนตรีรักษาการลาออกไม่ได้ ถูกต้องหมดเลย เขาบอกว่านี่เป็นหลักการในทางกฎหมายมหาชน แต่เขาบอกขอทิ้งหลักการตรงนี้เถอะ เขาจะไปกู้ชาติ

ในความรู้สึกผม นักศึกษาคนนี้ยังดีที่รู้ว่าอันนี้ถูก แต่ยังไม่บิดหลัก ที่แย่คือพวกนักกฎหมายที่บิดหลักการหมด เวลาผมเห็นนักกฎหมายบางคนที่บอกรักษาการนายกรัฐมนตรีลาออกได้ ผมพูดจริงๆ นะ ผมอยากจะอาเจียนเลย เพราะคนที่พูดครั้งหนึ่งเมื่อหลายปีก่อนบอกว่า ลาออกไม่ได้ สื่อไม่เคยไปดุว่าคนพวกนี้เคยมีความเห็นอะไรยังไง พอมาวันนี้ข้าพเจ้าอยากได้รัฐบาลพระราชทานคนกลางเต็มแก่เลย บอกว่าลาออกได้

อาจารย์บอกว่ากำลังเกิดซ้ำอีกครั้งหนึ่ง

วรเจตน์: ใช่ หมายถึงว่าการทำซ้ำคงไม่เหมือนเดิมทั้งหมด แต่ลักษณะการซ้ำของเรื่อง ตอนนี้เรามาถึงจุดเหมือนกับเลือกตั้งโมฆะ แล้วจะมีพระราชกฤษฎีกาเลือกตั้งใหม่ แล้วมันไปไม่ถึงการเลือกตั้งอันนั้น มันมีรัฐประหารก่อน

ตอนนี้ก็จะอยู่ในสภาวะก่อนถึงวันเลือกตั้ง แล้วคำถามเป็นเหมือนเดิมเลย จะมีรัฐประหารก่อนไหม รัฐประหาร 19 กันยาคืออะไร บอกว่าคาราวานคนจนกับพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจะปะทะกันในวันที่ 20 บอกว่ามีรัฐมนตรีเกี่ยวกับป่าไม้ขนคนเข้ามาเตรียมจะตีกัน

พลเอกสนธิ (บุญยรัตกลิน) เอาเหตุนี้มาอ้าง แล้วก็ยึดอำนาจเลย คนก็ดีใจบอกว่าเราหลีกเลี่ยงการปะทะ การนองเลือดได้ ผมขำมากๆ เลย คุณจินตนาการเอาเองทั้งนั้นเลย ผมพูดง่ายๆ นะถ้าเกิดจะตีกัน ทำไมคุณไม่มาช่วยรัฐบาลรักษาความสงบล่ะ เวลาคนตีกันคุณต้องยึดอำนาจเหรอ คนตีกันเป็นเหตุให้ต้องยึดอำนาจเหรอ ผมตลก งงมากๆ เลย นี่จะเอาอีกแล้ว เดี๋ยวจะออกมาตีกัน ตีกันคุณก็เข้ามารักษาการณ์ จัดการ ทหารก็มาเป็นผู้ช่วยตำรวจในการจัดการได้ คำถามคือคุณจะจัดการได้ไหม

แต่ว่าอะไรคือ คีย์เวิร์ดของเรื่องนี้ คีย์เวิร์ดของเรื่องนี้ก็คือคำตอบของพลเอกสนธิไง ที่ถามว่าแล้วใครสั่งให้ท่านทำรัฐประหาร พลเอกสนธิตอบให้ตายก็ตอบไม่ได้ ตราบเท่าที่เรามีคีย์เวิร์ดแบบนี้อยู่ในสังคมไทย ‘ให้ตายก็พูดไม่ได้’ แล้วคุณจะแก้ปัญหากันยังไง คุณจะปฏิรูปอะไรผมถามหน่อย มันไม่มีหวังหรอกตราบเท่าที่สิ่งแบบนี้ คำพูดแบบนี้หมดไป ที่บอกว่าตายก็พูดไม่ได้ไม่เกิดขึ้นอีกต่อไป นั่นแหละเราถึงจะแก้ปัญหาของประเทศนี้ได้

ที่มา.ประชาไท
-------------------------------

วิจารณ์เดือด หลัง ศาล รธน.แนะทำถนนลูกรังให้หมด ก่อนทำรถไฟความเร็วสูง.

ภายหลังจากที่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญได้ออกนั่งบัลลังก์ไต่สวนพยาน วันที่ 8 มกราคม ในคำร้องที่ประธานรัฐสภาส่งความเห็นของสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ ที่ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 154 วรรคหนึ่ง (1) ว่า ร่าง พ.ร.บ.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของประเทศ หรือ พ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้านบาท ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 169 วรรคหนึ่ง และมาตรา 170 หรือไม่

โดยระหว่างการไต่สวน นายสุพจน์ ไข่มุกด์ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ได้ซักถามนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ปฏิบัติหน้าที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ถึงความจำเป็นในการออก พ.ร.บ.กู้เงินฉบับดังกล่าว พร้อมทั้งให้ความเห็นส่วนตัวแสดงความเป็นห่วงถึงการกู้เงิน อาจเป็นการสร้างภาระหนี้ให้กับลูกหลาน และยังเห็นว่ารถไฟความเร็วสูงยังไม่จำเป็นสำหรับไทย และเป็นไปได้ควรทำให้ถนนลูกรังหมดไปจากประเทศก่อน

จากการข้อซักถามและการแสดงความคิดเห็นส่วนตัวของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญระหว่างการไต่สวน ได้ทำให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์เป็นอย่างมากในโลกโซเชียลเน็ตเวิร์ก โดยเฉพาะในเพจที่ชื่อว่า "ศาลรัฐธรรมนูญ" (http://www.facebook.com/constitutionalcourt.thai) เป็นเพจที่ไว้สำหรับเผยแพร่คำวินิจฉัย รวมไปถึงกิจกรรมต่างๆ ของศาลรัฐธรรมนูญนั้น ปรากฏว่า มีประชาชนเข้าไปแสดงความเห็นวิพากษ์วิจารณ์ต่อความเห็นส่วนตัวของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญบางคนถึงหน้าเพจดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง

นอกจากนี้ ยังมีการหยิบยกลิ้งค์เว็บไซต์ข่าวที่นำรายงานข่าวจากสำนักข่าวต่างประเทศที่ระบุว่า ลาวลงนามข้อตกลง 4 พันล้านดอลล์ สร้างรถไฟความเร็วสูงเชื่อมประเทศเวียดนาม เป็นส่วนหนึ่งของเครือข่ายทางรถไฟเชื่อมภายในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จะรวมถึงโครงการรถไฟความเร็วสูงของไทยด้วย ไปแปะไว้ที่หน้าเพจดังกล่าวด้วยเช่นเดียวกัน

ที่มา.มติชนออนไลน์
------------------------------------

วันพุธที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2557

ทุบหม้อข้าว !!?

โดย.ฐากูร บุนปาน

ก่อนจะพูดถึงเหตุการณ์เมืองไทย ขออนุญาตพาไปประเทศไม่ใกล้ไม่ไกลจากบ้านเราอย่างบังกลาเทศ ที่มีคนบอกว่าสถานการณ์คลับคล้ายกัน

ที่นั่นจัดให้มีการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อสุดสัปดาห์แรกของปี และมีพรรคการเมืองมากกว่า 20 พรรค รวมทั้งพรรคฝ่ายค้านใหญ่ที่สุด ประท้วงด้วยการไม่ลงรับสมัครเลือกตั้ง

ไม่ได้ประท้วงไม่ลงรับสมัครอย่างเดียว แต่ระดมประชาชนออกมาต่อต้านการเลือกตั้ง จนกระทั่งเกิดการปะทะกับเจ้าหน้าที่ และประชาชนกลุ่มที่สนับสนุนการเลือกตั้งด้วย

ตามรายงานบอกว่ามีผู้เสียชีวิตไปแล้วไม่น้อยกว่า 20 ราย บาดเจ็บอีกนับร้อย

ทำให้มีผู้ออกมาใช้สิทธิทั่วประเทศเพียงประมาณร้อยละ 26

และตามฟอร์ม ผู้ต่อต้านรัฐบาล ผู้ไม่ต้องการการเลือกตั้ง รวมทั้งพรรคฝ่ายค้านในเมืองไทย ออกมา "เตือนกึ่งขู่" รัฐบาล ผู้จัดการเลือกตั้ง รวมถึงผู้ต้องการเลือกตั้งทันที

ว่าให้ดูตัวอย่างเอาไว้

ขืนเดินหน้าจัดการเลือกตั้ง อาจจะเดินซ้ำรอยบังกลาเทศได้

ฟังแล้วก็น่าคิด-ถ้า

1.ไม่สะกิดใจว่าสาระสำคัญของเหตุการณ์ทั้งสองประเทศนั้นแตกต่างกันหลายประการ

ตั้งแต่รากเหง้าความเป็นมาของปัญหา จำนวนพรรคการเมืองที่คัดค้านการเลือกตั้ง และปริมาณของผู้ที่คาดว่าจะออกมาใช้สิทธิ

2.เวลาตั้งคำถามคนอื่น แล้วกลับมาตั้งคำถามตัวเองด้วยว่า ถ้าไม่อยากให้เผชิญหน้ากันถึงเลือดตกยางออก ทำไมไม่เลือกการเลือกตั้งซึ่งเป็นวิธีตัดสินข้อขัดแย้งที่ไม่ต้องเอาชีวิตคนอื่นมาเสี่ยง

แต่เลือกตั้งยังเป็นฉากถัดไป

เพราะวันนี้คนไทย-โดยเฉพาะคนกรุงเทพฯ กำลังใจจดใจจ่อกับคำขู่ เอ๊ยประกาศ "ปิดกรุงเทพฯ" ของม็อบกำนันเทือกอยู่

ถึงแม้จะพยายาม "ลดดีกรี" ลงหลังจากประกาศกร้าวไปหนแรกแล้ว "เรียกแขก" ให้ออกมาแสดงความเห็นคัดค้านได้ทั่วกรุงเทพฯ

แต่ก็ยังส่อนัย "กร้าว" อยู่ดี

เพราะที่ประกาศว่าจะยุบเวทีปราศรัยราชดำเนินแล้วไปปักหลักอยู่ตามสี่แยกใหญ่ๆ แทน จนกว่าจะชนะนั้น

ยิ่งหนักเข้าไปใหญ่

แค่ปิดราชดำเนิน การจราจรการดำเนินชีวิตของชาวบ้าน-ลูกเล็กเด็กแดงทั่วไป การค้าการขายของคนตัวเล็กตัวน้อยย่านนั้นก็ยับเยินอยู่แล้ว

กระจายไปแยกใหญ่ๆ ก็หนักหนาสาหัสยิ่งขึ้น

ไอ้ที่ประกาศว่าจะทุบหม้อข้าวนั้น น่าสงสัยอยู่ว่าจริงๆ แล้วทุบหม้อข้าวใคร

ถ้าทุบหม้อข้าวตัวเอง แล้วจะเอาเงิน เอาสรรพกำลังจากไหนมาจัดเวทีขวางทางสัญจร ทางทำมาหากิน ทางเล่าเรียนของคนทั่วไป

แต่ถ้าทุบหม้อข้าวชาวบ้าน ไม่กลัวชาวบ้านกับชาวบ้านลุกขึ้นมาตีกัน ไม่ว่าจะด้วยความเหลืออด อุบัติเหตุ หรือความจงใจบ้างหรือ

ถ้าประเมินแล้วยังทำ

ต้องถามว่าท่านอยากได้อะไร ถึงขนาดเอาชีวิตคนอื่นไปเป็นเดิมพัน

ถ้ายิ่งใหญ่ขนาดนั้น ไม่สละชีวิตตัวเองให้ดูก่อนหรือ?

ที่มา:มติชนรายวัน
-----------------------------------

สิทธิที่จะมีชีวิตในเมือง ท่ามกลางสงครามการผลิตพื้นที่ !

โดย.พิชญ์ พงษ์สวัสดิ์

ในห้วงเวลาของการนับถอยหลังไปสู่การ "ปิดกรุงเทพฯ" ในวันที่ 13 มกราคม ที่จะมาถึงนี้ ผมก็อยากจะมีส่วนร่วมในการวิเคราะห์เรื่องราวของการปิดกรุงเทพฯในหลายมิติสักหน่อยที่แตกต่างไปจาก "คำอธิบายที่เป็นทางการ" ของฝ่ายผู้รณรงค์การปิดกรุงเทพฯเอง

ในมิติแรก การปิดกรุงเทพฯนั้นก็เป็นเรื่องของ "สงครามของความภักดี" ว่าตกลงจะภักดีกับ "รัฐบาล" หรือ ระบอบทักษิณ ในด้านหนึ่ง หรือจะภักดีกับ "ระบอบสุเทพ" หรือคำอื่นๆ เช่น มวลมหาประชาชน และ การปฏิวัตินกหวีด

การรณรงค์ในเรื่องนี้ในทางหนึ่งอ้างว่าเป็นเรื่องที่กระทำได้ หากเป็นเรื่องของการอ้างสิทธิตามรัฐธรรมนูญ และจะต้องเข้าสู่การตีความจากองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ รวมทั้งยังมีการอ้างว่าได้รับการรับรองคุณภาพของความเป็นสันติวิธีจากบรรดานักสันติวิธีบางท่าน ไม่ว่าที่ผ่านมาจะตายกันไปกี่ศพ บาดเจ็บไปแล้วกี่ราย หรือจะมีความรุนแรงที่กระทบจิตใจไปแล้วเท่าไหร่ก็ตาม

ที่สำคัญก็คือเมื่อสังคมไทยอยู่ในตรรกะที่ว่าผู้ชนะคือผู้กำหนดเกมส์ การกระทำใดๆ ที่จะนำไปสู่ชัยชนะก็จะทำให้มีแรงผลักดันในส่วนลึกว่าจงมุ่งมั่นที่จะกระทำให้สำเร็จเถิด (วาทกรรมแบบทุบหม้อข้าว หรือ สู้ไม่ถอย ก็น่าจะมาจากเรื่องแบบนี้นี่แหละครับ)

คำถามเรื่องของสงครามความภักดีนี้เป็นเรื่องที่ "ยิ่งใหญ่" จริงๆ ตามการกล่าวอ้างหรือไม่? หรือว่าคำถามนี้ถูกทำให้ใหญ่ขึ้นทั้งที่ฐานคิดในเรื่องนี้เป็นเรื่องที่อาจไม่ได้ใหญ่ขนาดนั้น?

กล่าวคือเรื่องการปิดกรุงเทพฯนั้นเป็นเรื่องของความยิ่งใหญ่ของการปิดกั้นหรือเชิญชวนด้วยเสียงนกหวีดและ(เสาธง) ให้เลิกให้ความร่วมมือกับรัฐบาล ทั้งที่เป็นอยู่คือสถานการณ์ของการเลือกตั้งที่รัฐบาลเป็นเพียงผู้รักษาการณ์? ดังนั้น จึงเป็นเรื่องที่ยากอยู่ว่าการเชิญชวนให้เลิกภักดีต่อรัฐบาล และหันมาภักดีกับการปฏิวัตินกหวีดนั้นจะเป็นไปได้อย่างไร เพราะในขณะนี้สิ่งที่เผชิญหน้ากับระบอบการปฏิวัตินกหวีดหรือระบอบสุเทพนั้นคือการเลือกตั้งที่อยู่ในมือขององค์กรอิสระและระบอบรัฐธรรมนูญ?(หรือนี่คือเหตุผลจริงของการพยายามจูงใจให้องค์กรตามรัฐธรรมนูญตัดสินไปในแนวทางที่พวกเขาต้องการไม่ว่าการตีความและตัดสินนั้นจะละเมิดเขตอำนาจขององค์กรตัวเองมากขึ้นทุกวันๆ?)

พูดง่ายๆก็คือเรากำลังเผชิญหน้ากันระหว่าง "มวลมหาประชาชน" ที่เรียกร้องให้เกิดการเปลี่ยนแปลงไปตามแนวทางที่ตนต้องการที่ถูกต้องหนึ่งเดียว กับ "ประชาชน" ที่เข้าสู่การเลือกตั้งเพื่อกำหนดชีวิตของพวกเขาท่ามกลางความหลากหลายทางความคิดที่สามารถสะท้อนออกมาในระดับหนึ่งจากสัดส่วนและกระบวนการเข้าสู่อำนาจตามรัฐธรรมนูญ?

จริงหรือที่การปิดกรุงเทพฯนั้นจะสามารถส่งสารว่าจะเกิดปรากฏการณ์"รัฐล้มเหลว" ในความหมายของ "รัฐบาลล้มเหลว" ทั้งที่สิ่งที่อาจจะเปิดขึ้นก็คือกระบวนการ "รัฐธรรมนูญและระบอบรัฐธรรมนูญล้มเหลว" หรือเปล่า? และถ้าใช่ก็หมายถึง "ระบอบองค์กรอิสระล้มเหลว" มิใช่หรือ?

ประการต่อมา การปิดกรุงเทพฯแล้วถามว่าประชาจะภักดีต่อระบอบสุเทพ หรือรัฐบาล นั้นอาจเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ไม่ยาก หากนึกถึงพื้นที่เล็กๆ สักแห่งในระดับตำบล ทั้งในแง่ตำบลชนบท หรือ ตำบลในเมือง ที่มีผู้มีอิทธิพลส่งลูกสมุนลงไปถามหาค่าคุ้มครองจากประชาชนและผู้ประกอบการที่ใช้ชีวิตตามปกติ ที่ฝ่ายผู้มีอิทธิพลมองว่าเป็นการภักดีต่อเจ้าหน้าที่รัฐ และไม่ภักดีต่อฝ่ายของตน ดังนั้น การแสดงออกถึงความภักดีที่มีต่อฝ่ายของตนนั้นย่อมจะต้องถูกกระทำขึ้นง่ายๆ เช่นไปทำให้ชีวิตปกตินั้นเกิดขึ้นไม่ได้

ในมิติที่สอง การยึดกรุงเทพฯนั้นถูกนำเสนอในเชิงพื้นที่อย่างน่าสนใจ ว่าพื้นที่ที่ต้องการปิด (แต่ปิดแบบไม่ปิดระบบขนส่งมวลชน และเปิดไว้หนึ่งเลนเพื่อการขนส่งและรองรับเหตุฉุกเฉิน นั้นเป็นพื้นที่ที่ดูเหมือนจะเป็นพื้นที่ทางเศรษฐกิจที่สำคัญในกรุงเทพฯในปัจจุบัน และเป็นการทำให้พื้นที่เศรษฐกิจเหล่านี้เป็นพื้นที่ที่ซ้อนทับกับพื้นที่ทางการเมือง)

เรื่องนี้เป็นวิวัฒนาการที่น่าสนใจว่าการเคลื่อนไหวทางการเมืองจากในอดีตนั้นมุ่งเน้นที่ชุมนุมหน้าหน่วยงานหรือในพื้นที่อย่างถนนราชดำเนินเป็นหลักมาสู่การตั้งประจันหน้าทางยุทธศาสตร์ใกล้สถานที่ราชการอย่างเป็นระบบที่ยืดเยื้อยาวนาน เช่นแยกมัฆวานฯ และต่อมามุ่งสู่พื้นที่ทางเศรษฐกิจ

ในทางหนึ่งอาจมีการสร้างแรงบันดาลใจจากการยึดครองถนนเศรษฐกิจอย่างเช่นพื้นที่ถนนวอลล์ในนิวยอร์กเป็นต้นเพื่อเป็นการต่อสู้ทางสัญลักษณ์ต่อระบอบทุนนิยมโลกที่เลวร้าย

นำมาสู่การตั้งคำถามที่ว่าในกรณีของการปิดกรุงเทพฯ 20 จุด นั่นคือ แยกอุรุพงศ์ แยกเจริญผล หัวลำโพง ถนนบางรัก ถนนสีลม สามย่าน แยกพญาไท ราชเทวี อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย สยามสแควร์ ห้าแยกลาดพร้าว ดินแดง ประตูน้ำ ราชประสงค์ สวนลุม คลองเตย สี่แยกอโศก ราชดำเนิน แยกเพชรบุรี และเยาวราช นั้นการปิดพื้นที่เหล่านี้ผู้ชุมนุมต้องการ "แสดงสัญลักษณ์" อะไรในทางการยึดครองพื้นที่?

ยี่สิบจุดนี้คือพื้นที่ของ "ทุนนิยมสามานย์" ที่ควรจะต้องถูกต่อต้านหรือปฏิรูปด้วยหรือไม่? หรือว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเพียงการ "ระเบิดตัวเอง" หรือทำร้ายตัวเองของบรรดาผู้ทรงมูลค่าทั้งหลาย ต่อความเลวร้ายทางการเมืองที่เกิดขึ้นในวันนี้

คำถามที่น่าถามต่อก็คือ หากเราสนใจว่าพื้นที่ 20 จุดนี้คือจุดที่มูลค่าสูงสุดของกรุงเทพฯ และจะทำให้กรุงเทพฯนั้นเป็นอัมพาต และเสียหายทางเศรษฐกิจอย่างใหญ่หลวง เราก็คงจะต้องเจาะลึกกันต่อไปล่ะครับว่าพื้นที่ 20 จุดนี้มีมูลค่ามาในวันนี้ได้อย่างไร? ใครเป็นเจ้าของ? ใครร่วมผลิตมูลค่าเหล่านั้น? หรือว่าความเลวร้ายทางการเมืองที่สมควรจะถูกปฏิรูปในวันนี้มันเพาะสร้างพื้นที่แห่งความรุ่งเรืองทั้ง 20 จุดนี้ขึ้นมาได้อย่างไร?

ในแง่นี้ หนึ่งในแนวคิดที่กำลังเป็นที่ฮือฮา ในระดับโลกก็คือเรื่องของสิทธิ (ที่จะมีชีวิตใน) เมือง (Right to the City) ซึ่งเป็นแนวคิดที่มีความหมายที่กว้างขวางมาก และถือเป็นกระแสของการเคลื่อนไหวทางการเมืองในนครที่สำคัญในปัจจุบัน โดยเฉพาะที่เชื่อมโยงกับเรื่องของพื้นที่ เรื่องเมือง และเรื่อง "ชีวิตประจำวัน" (ต้นธารของความคิดมาจากนักปรัชญาและสังคมวิทยาชาวฝรั่งเศสที่ชื่อ Henri Lefebvre (1901-1991)

แนวคิดสำคัญของเลอเฟฟที่เป็นที่สนใจในวันนี้ (ต่างจากยุคแรกที่ถูกนำเข้ามาในโลกวิชาการภาษาอังกฤษในช่วงทศวรรษที่ 60 และ 70) ก็คือการให้ความสำคัญกับการวิเคราะห์พื้นที่ โดยมองถึงพื้นที่ที่เราใช้ชีวิตหรือพื้นที่ที่ "มีชีวิต" (lived space) ที่เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ทางอำนาจอย่างซับซ้อน โดยเขาสนใจปฏิบัติการทางอำนาจที่ปรากฏและเชื่อมต่อระหว่างพื้นที่ทางกายภาพ กับพื้นที่ทางจินตนาการ โดยพื้นที่ที่เราใช้และมีชีวิตนั้นเป็นพื้นที่ที่ไม่ได้ถูกสร้างอย่างสำเร็จแล้วโดยรัฐ หรือเป็นเพียงพื้นที่ในจินตนาการของเรา แต่เป็นปฏิบัติการของการต่อสู้ต่อรองในชีวิตประจำวันของการสร้างสรรค์ชีวิตบนพื้นที่จริงของผู้คนที่แตกต่างหลากหลายที่ใช้ชีวิตจริงในพื้นที่นั้นโดยเฉพาะที่เห็นอย่างเด่นชัดก็คือพื้นที่เมืองซึ่งความเป็นเมืองนั้นกำลังจะกลายเป็นตัวแทนหลักของอารยธรรมใหม่ของโลกในยุคนี้ (ยุคแห่งเมือง)

เลอเฟฟมองว่า สิทธิที่จะอยู่ในเมืองนั้นเป็นของทุกคน ไม่ใช่เฉพาะคนที่ลงทะเบียนเป็นพลเมืองในพื้นที่นั้น หรือในระดับชาติ แต่หมายถึงคนที่มีชีวิตในเมืองนั้น (citadins) ที่จะต้องมีโอกาสใช้ชีวิตหรือ "ผลิตพื้นที่" ในเมืองขึ้นมาโดยไม่จำเป็นต้องเป็นเจ้าของที่ดิน หรือเจ้าของสิทธิตามกฎหมายในการออกนโยบาย แต่เป็นสิทธิของคนทุกคนที่จะมีส่วนร่วมในการกำหนดนโยบาย และ "ยึดครอง" พื้นที่ตามความต้องการของคนที่มีชีวิตในเมืองนั้นโดยไม่ปล่อยให้พื้นที่นั้นถูกครอบครองโดยมูลค่าทางเศรษฐกิจอย่างเดียว(อาทิการต้องมีพื้นที่ทางศิลปะ พื้นที่ทำมาหากิน หรือพื้นที่พักอาศัยของคนรายได้น้อย เป็นต้น)

นอกเหนือจากแนวคิดของเลอเฟฟแล้ว กระบวนการยึดครองพื้นที่เมืองผ่านการสร้างถนนคนเดินในอดีตนั้นก็มีความมุ่งหวังที่จะนำกลับมาซึ่งพื้นที่ในทางจินตนาการให้เป็นจริงชั่วคราวถึงการมี"พื้นที่สาธารณะ"ที่สามารถพูดคุยแลกเปลี่ยนกันให้ได้มาซึ่ง "เหตุผลจากการติดต่อสื่อสาร" (communicative rationality) และสร้างความเชื่อมโยงกันของอัตวิสัย (intersubjectivity) มากกว่าการยอมรับอำนาจในแบบที่เชื่อว่าเหตุผลของฝ่ายตนนั้นถูกอยู่ฝ่ายเดียว หรือเหตุผลของฝ่ายตนนั้นเป็นเครื่องมือที่จะต้องบรรลุเป้าหมายที่ตนมุ่งหวังให้ได้ ซึ่งแนวคิดแบบที่เน้นความถูกต้องหนึ่งเดียวโดยไม่ฟังเหตุผลของคนอื่นๆ ด้วยนั้นก็ถือเป็นสิ่งที่จัดว่าเป็นการสร้างอาณานิคมทางความคิดแบบหนึ่ง ซึ่งรูปแบบของการปิดถนนให้คนเดินนั้นเดิมมุ่งหวังที่จะก้าวพ้นจากสิ่งนี้มิใช่หรือ?

หรือกล่าวง่ายๆการปลดปล่อยผู้คนไปสู่เสรีภาพและความจริงที่ร่วมกันสร้างให้จริงตามความหมายของเหตุผลจากการติดต่อสื่อสารนั้นจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อเราเข้าใจว่าการครอบงำนั้นเกิดจากการพูดฝ่ายเดียวและการ"ปิดถนนเพื่อเปิดพื้นที่" นั้น ก็เพื่อทำให้คนได้พูดและฟังกันด้วย ซึ่งต่างจากการ "ปิดถนนเพื่อปิดกั้นพื้นที่" ซึ่งเปิดให้พูดอยู่ฝ่ายเดียวนั่นแหละครับ

ในมิติที่สาม ผมคิดว่าน่าจะเป็นเรื่องที่เรียกว่า "ใบอนุญาตปิดเมือง" หรืออาจเรียกมันว่า "คำอธิบายที่ปลอบประโลมใจอันเป็นที่สุดในการเคลื่อนไหว" ก็คือ ความเชื่อที่ว่าการเคลื่อนไหวต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นนั้นอาจจะทำให้เดือดร้อนไปบ้าง แต่ถ้าไม่เสียหายเท่ากับ (หรือถ้าจะเสียหายเหมือนกับหรือมากกว่า) อะไรๆ ที่ตนเชื่อว่าเป็นความเสียหายที่เกิดขึ้นเมื่อสามปีก่อนนั้นโดย "คนเสื้อแดง" สิ่งนั้นก็ย่อมจะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้

หรือถ้าสิ่งที่จะเกิดขึ้นไม่มีความรุนแรงเท่าที่คนเสื้อแดงเป็นผู้ทำมาก่อน สิ่งที่จะเกิดขึ้นในครั้งนี้ก็ถือเป็นเรื่องของความสงบ สันติ และอหิงสา เสียเช่นนั้น ทั้งที่ในเรื่องของการกล่าวหาเสื้อแดงนั้นยังไม่มีผลถึงที่สุดในการสืบหาความจริง และในหลายเรื่องสิ่งที่ถูกกล่าวอ้างว่าเป็นการกระทำของเสื้อแดงก็ยังอยู่ในระหว่างการดำเนินคดี

หากการเคลื่อนไหวเหล่านี้เป็นเรื่องของการมีอคติในใจที่มีต่อคนเสื้อแดงมากกว่าการพยายามค้นหาความจริงของความสูญเสียจากครั้งที่ผ่านมาหรือข้ามพ้นตรรกะของความรุนแรงจากการเคลื่อนไหวในหลายๆครั้งในอดีต ก็เชื่อได้ว่าการปิดกรุงเทพฯครั้งนี้ย่อมเป็นการยืนยันอคติทางการเมืองที่ยังมีต่อเนื่องมาโดยตลอดของคนกลุ่มที่อ้างถึงความถูกต้องหนึ่งเดียวของความจริงที่ไม่ต้องผ่านการพิสูจน์ใดๆนอกจากหมุนวนหล่อเลี้ยงกันเองอยู่เช่นนั้นท่ามกลางการก่อร่างสร้างพื้นที่ในจินตนาการที่ต้องการยืนยันให้เป็นจริงด้วยการจ่ายราคามหาศาลที่ไม่มีหลักประกันในขั้นสุดท้ายแต่อย่างใดว่าความเสียหายนั้นจะย้อนกลับมาถึงพวกเขาในคุณภาพและปริมาณขนาดไหน

ท่ามกลาง"สงครามการผลิตพื้นที่" ที่ยังไม่จบลงง่ายๆ ในวันที่ 13 มกราคม 2557 นี้ครับผม

ที่มา:มติชนรายวัน
-------------------------------------------------

วันอังคารที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2557

เมืองไทยดีที่สุด !!?

สัมภาษณ์ : ซันโตส คูมาร์ กรรมการผู้จัดการ บ. เอสทีมาร์เก็ตติ้ง แอนด์ ดิสทริบูชั่น จก.

ประเทศไทยเป็นฐานการทำธุรกิจยอดนิยมของนักลงทุนต่างชาติ หนึ่งในนั้นคือ ซันโตส คูมาร์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอสทีมาร์เก็ตติ้ง แอนด์ ดิสทริบูชั่น จำกัด บริษัท ผลิตรองเท้าสุขภาพยี่ห้อ "คอมฟอร์ตโต้" ที่ส่งขายไปทั่วโลก

เขาเป็นคนมาเลเซียโดยกำเนิด เดินทางเข้ามาเมืองไทยเมื่ออายุ18 ปี ช่วยธุรกิจคุณพ่อซึ่งนำเข้าสัตว์จากต่างประเทศ ส่งไปตามสวนสัตว์ในเมืองไทย เช่น สวนสัตว์ดุสิต สวนสัตว์เขาเขียว ก่อนจะเริ่มมองเห็นโอกาสและลงทุนทำธุรกิจรองเท้าสุขภาพ

"ผมรู้สึกว่าอยู่เมืองไทยปลอด ภัยกว่ามาเลเซีย ทุกคนยิ้มแย้มแจ่มใส เป็นมิตรง่าย ทำธุรกิจด้วยความ สบายใจ แต่ที่มาเลย์ความกดดันเยอะ ทุกอย่างดูจริงจังไปหมด เช่น นัดส่งของวันนี้คือวันนี้ ถ้าเลื่อนนัดละก้อเรื่องใหญ่ บางครั้งส่งของตรงเวลาจริง แต่คุณภาพไม่สมบูรณ์ จะเอาเงินคืนก็ไม่ได้เพราะจ่ายไปแล้ว มีเหตุการณ์ความรุนแรงเกิดขึ้นบ่อย ซึ่งบางครั้งไม่ใช่ประชาชนมาเลย์เป็นคนทำ แต่ เป็นคนต่างด้าวมาจากอินโดนีเซีย พม่า เวียดนาม ซึ่ง มีจำนวนมาก สรุปคือบรรยากาศเมืองไทยดีกว่า และหาก รวม 10 ประเทศอาเซียน ผม ก็เชื่อว่าเมืองไทยดีที่สุด คนที่มาจากยุโรป อเมริกา จะมาลงทุนในอาเซียนก็อยากเปิดสำนักงานใหญ่ที่นี่ แล้วค่อยเจาะตลาดอาเซียน เนื่องจากเมืองไทยเปิดกว้าง เมืองไทยจึงมีโอกาสเป็นฮับอาเซียนอย่างมาก" ซันโตส กล่าวถึงความประทับใจในเมืองไทย

เขาเริ่มต้นด้วยการสร้างโรงงาน เล็กๆ ใช้คนไม่กี่คน เมื่อได้เงินมาแล้ว ค่อยหมุนต่อ เป็นการขยายแบบมั่นคง ปัจจุบันเขาขยายโรงงานใหญ่ขึ้น มีแรงงาน 60 คน ตั้งอยู่ที่จังหวัดนนทบุรี

+ เมื่อถามว่ารู้สึกอย่างไรกับสถานการณ์การเมืองของไทย?

เขาตอบว่า "ความวุ่นวายทาง การเมืองทำให้เมืองไทยเสียโอกาสค่อนข้างมาก อย่างผมอยากลงทุนปีที่แล้วประมาณ 100 ล้านในเมืองไทย เปิดช็อปขายสินค้าประมาณ 10 ช็อป แต่ทำไม่ได้เพราะติดปัญหา การเมือง ต้องเปลี่ยนแผนไปลงทุนในประเทศกาตาร์แทน ซึ่งถ้าไม่มีปัญหาการเมืองเราต้องลงทุนในเมืองไทยแน่นอน แต่พอมีปัญหาการเมืองเรากลัวว่าเปิดแล้วไม่มีคนมาเดิน"

+ นั้นคือ สิ่งที่นักลงทุนข้ามชาติมองประเทศไทย

ถามเขาถึงผลกระทบค่าแรง 300 บาทว่า เขายอมรับว่าส่งผลกระทบบ้าง แต่สามารถบริหารจัดการได้ และมองต่อไปในอนาคตว่าอีกไม่นานอาเซียนน่าจะปรับค่าแรงขั้นต่ำขึ้นมาเท่ากับประเทศไทย

"ผมเริ่มมองเห็นค่าแรงขั้นต่ำ ในกลุ่มประเทศ CLMV (กัมพูชา สปป.ลาว เมียนมาร์ เวียดนาม) ที่มีการปรับขึ้นในหลายอุตสาหกรรม เชื่อว่าเมื่อเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนหรือเออีซี ค่าแรงขั้นต่ำใน กลุ่ม CLMV จะต้องปรับเป็นวันละ 300 บาทเท่ากับไทย และบางบริษัท อาจจ่ายมากกว่านั้น เพื่อรักษาแรง งานเอาไว้" ซันโตส กล่าว

+ ปิดท้ายด้วยคำถามว่า เขาพร้อมหรือเปล่ากับการเป็นเออีซี

"เราประชุมร่วมกับพนักงานระดับบริหารบ่อยๆว่าจะเปลี่ยนระบบ ยังไงวิธีการใหม่ๆ มีอะไรบ้าง ถ้าเรา ไม่อยากขยายบริษัท บริหารให้อยู่ ในระดับนี้ ทำรายได้ขนาดนี้ทุกปี ดูแล ยอดขายให้คงที่ ก็ไม่ต้องเครียดมาก แต่ถ้าเราต้องการเติบโต เราต้องเปลี่ยนแปลง ต้องเพิ่มเงินลงทุน ต้องพุ่งไปข้างหน้า ตลาดหลังจากปี 2558 ไม่ใช่เมืองไทยแล้ว เป็นอาเซียน แล้ว ทุกพื้นที่ในอาเซียนสำคัญเท่ากันหมด"

ที่มา.สยามธุรกิจ
//////////////////////////////////////////////////////////

ไม่มีอำนาจ ยังขนาดนี้ !!?

การเมืองไทยขณะนี้ชัดเจนแล้วว่า “จบไม่ลง”
ป่วยการที่จะมาถามกันอีกต่อไปว่า จะจบอย่างไร

เพราะแม้จะขึ้นปีใหม่ 2557 แล้ว ยังไงก็ไม่ยอมจบ จนกว่าแกนนำที่ชื่อ “สุเทพ เทือกสุบรรณ”จะได้ทุกอย่างตามความต้องการ

ความรุนแรงที่เกิดขึ้นในช่วงส่งท้ายปี ในวันจับหมายเลขพรรคการเมือง สะท้อนชัดเจนว่า แกนนำกลุ่มผู้ชุมนุม แม้จะพูดตลอดเวลาว่าไม่ขัดขวางการเลือกตั้ง แต่ในความเป็นจริงก็คือไม่เอาเลือกตั้ง ไม่ยอมให้มีการเลือกตั้งเกิดขึ้นในวันที่ 2 กุมภาพันธ์นี้

ไม่ว่าจะต้องดำเนินการขัดขวางด้วยวิธีการใดหรือรูปแบบใดก็ตาม
ฉะนั้นถึงแม้จะมีการเลือกตั้งเกิดขึ้นได้จริง ปัญหาก็ไม่จบ เพราะนายสุเทพ จะต้องปักหลักโค่นล้มผลการเลือกตั้ง โค่นล้มรัฐบาลที่เกิดจากการเลือกตั้งในวันที่ 2 กุมภาพันธ์อยู่ดี

รวมทั้งแม้จะมีการเลื่อนการเลือกตั้งออกไป โดยไม่มีการเลือกตั้งในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ แต่ขยับไปเป็นวันอื่นใดก็ตาม ปัญหาก็ไม่จบอยู่ดี เพราะจะต้องเลื่อนไปเรื่อยๆไม่มีวันจบ ตราบเท่าที่นายสุเทพและกลุ่มแกนนำยังไม่ได้สมใจปรารถนา

นั่นคือจะต้องมีการปฏิรูปภายใต้การกำกับแบบเบ็ดเสร็จของนายสุเทพและแกนนำเสียก่อน จึงจะกำหนดให้มีการเลือกตั้งในภายหลังได้

เหมือนอย่างที่มีการแซวกันสนั่นลั่นไปหมดในโลกออนไลน์นั่นแหละว่า
ก่อนจะ “เลือกตั้ง”ได้ จะต้องให้ “เทือกตั้ง”เสร็จเสียก่อนเท่านั้น!!!

เป็นการแซวที่ใช่ว่าจะไม่มีเค้ามูลของความเป็นจริงเสียเมื่อไหร่ เพราะในขณะที่ข้อเสนอในการปฏิรูปของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่ให้มีคณะกรรมการ 11 คน มาพิจารณาวางหลักเกณฑ์ คุณสมบัติในการคัดเลือก ตัวแทนประชาชนจำนวน 499 คน จากจำนวนทั้งหมด 2,000 คน

ซึ่งนายสุเทพก็บอกว่า ไม่รับ เพราะไม่ไว้ใจ เนื่องจากในคน 11 คนที่จะมากำหนดคุณสมบัติตัวแทน 499 คนนั้น เป็นคนที่รัฐบาลสั่งได้ถึง 8 คน จึงไม่ไว้ใจและไม่ยอมรับแนวทางข้อเสนอในการปฏิรูปของรัฐบาล
ยืนกรานให้นายกรัฐมนตรีลาออก เพื่อให้นายสุเทพได้ตั้งสภาประชาชน ตั้งนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีขึ้นมารักษาการ เพื่อปฏิรูปประเทศเสียก่อน จึงจะให้มีการเลือกตั้งได้

แน่นอน ลึกๆแล้วนายสุเทพเองก็รู้ดีว่า เป็นเรื่องที่ไม่มีกฎหมายรองรับ ไม่มีอำนาจที่จะกระทำได้ตามต้องการ ไม่เช่นนั้นนายสุเทพ คงไม่ประกาศกลางเวทีว่า

ต่อไปนี้ไม่ต้องมาเถียงกันเรื่องกฎหมาย กฏเกณฑ์กติกาใดๆอีกแล้ว เพราะไม่สนใจ จะมีก็แต่ส้นตีนของมวลชนที่ออกมาโค่นล้มรัฐบาลเท่านั้น ที่จะสู้ให้ถึงที่สุด

แสดงว่าการที่มีบรรดาผู้รู้มีสารพัดบุคคลออกมาให้แง่มุมของกฎหมายที่บอกว่าสิ่งที่นายสุเทพต้องการนั้นทำไม่ได้ ไม่มีกฎหมายรองรับ ไม่มีอำนาจที่จะทำ ได้ทำให้นายสุเทพและแกนนำเริ่มเถียงด้วยเหตุผลที่ลำบากขึ้น จึงต้องออกมาในรูปของการสู้ไม่ถอย โดยไม่สนใจเรื่องของกฎหมายและความถูกต้องใดๆอีกต่อไป

ด้วยการใช้ข้ออ้างที่ว่า รัฐบาลหมดความชอบธรรม ไม่มีความน่าเชื่อถืออีกต่อไปแล้ว
แต่ในมุมกลับกัน ก็เกิดคำถามย้อนกลับมาทิ่มใส่นายสุเทพและแกนนำเช่นกันว่า แล้วนายสุเทพยังมีความชอบธรรม ยังมีความน่าเชื่อถืออยู่ต่อไปอีกหรือไม่???

การที่นายสุเทพไม่ไว้ใจคน 11 คนที่จะถูกตั้งเป็นคณะกรรมการเพื่อกำหนดหลักเกณฑ์และคุณสมบัติในการเฟ้นหาคน 499 คน โดยที่ไม่ได้เป็นคนชี้หรือเป็นคนเลือกตัวบุคคลเองเลยด้วยซ้ำ นายสุเทพยังบอกไม่เชื่อถือ

แล้วการตั้งสภาประชาชน โดยนายสุเทพและอาจจะมีแกนนำอีกหลายคน ร่วมกันชี้ระบุเลือกคนเข้ามาจำนวน 100 คนเลยนั้น ไม่หนักยิ่งกว่าหรือ จะให้สังคมเชื่อถือได้อย่างไร ว่าจะไม่มีการเอียงข้างเหมือนการตั้ง คตส. เหมือนการตั้ง ส.ว.สรรหา หรือเหมือนการตั้งองค์กรอิสระที่ผ่านมา
สังคมย่อมมีสิทธิที่จะไม่เชื่อถือในตัวนายสุเทพและเหล่าแกนนำใช่หรือไม่

ซึ่งหากยันกันไม่จบเช่นนี้ แล้วจะหาทางออกให้กับประเทศชาติได้อย่างไร จะต้องให้ประเทศชาติยับเยินไปถึงขนาดไหนก่อนอย่างนั้นหรือ ถึงจะพอใจกัน

ยิ่งหากถึงที่สุดจะวัดกันด้วยจำนวนมวลชน ซึ่งทั้ง 2 ขั้วก็ล้วนรู้ดีแก่ใจว่า แต่ละฝ่ายใช่ว่าจะมีแต่มวลชนบริสุทธิ์เพียงเท่านั้นไม่ มวลชนจัดตั้ง มวลชนจัดหา ตลอดจนบรรดาแฟนคลับก็ล้วนมีด้วยกันทั้งนั้น
ซึ่งความหลากหลายตรงนี้แหละที่ควบคุมยาก ถึงเวลาปรอทแตกอุณหภูมิเดือดขึ้นมา มิปะทะกันจนบาดเจ็บล้มตายหรือ??? แกนนำจะรับผิดชอบไหวหรือ???

หรือพอใจที่จะสนุกกับตราบาปที่ทำให้คนไทยเข่นฆ่ากัน ทำให้ประเทศบอบช้ำเสียหาย
นี่ขนาดยังไม่ได้มีอำนาจในมือไม่มีกฎหมายรองรับ ยังเถลิงอำนาจกันขนาดนี้ แล้วถ้าหากว่ามีอำนาจในมือแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด กุมอำนาจกฎหมายไว้ในมือตามที่ต้องการ จะยิ่งกว่านี้สักกี่ร้อยพันเท่า
ถึงยืนยันว่า ถึงเวลาที่ทั้ง 2 ขั้วจะต้องถูกลดบทบาททางการเมืองลงได้แล้ว

จะต้องถูกโทษแบนทางการเมือง จากสังคมไทย จากประชาชนคนไทยทั้งแผ่นดินที่มี 1 สิทธิ 1 เสียง เท่ากับนายสุเทพ และบรรดาแกนนำทั้งหลาย

มี 1 สิทธิ 1 เสียงเท่ากับนักการเมืองทุกพรรค ไม่ว่าจะเป็นพรรคการเมืองใด หรือนักการเมืองหน้าไหนก็ตาม

วันนี้นักการเมืองที่สร้างความปั่นป่วนวุ่นวายให้กับประเทศชาติบ้านเมือง เพียงเพราะหวังแสวงหาอำนาจและผลประโยชน์ทางการเมือง จะต้องถูกแบน หรือต้องถูกกำจัดไปจากเวทีการเมืองของไทย เพื่อเปิดโอกาสให้กับนักการเมืองรุ่นใหม่ๆ เปิดโอกาสให้พรรคการเมืองที่ไม่ได้เป็นขั้วขัดแย้ง ได้มีโอกาสมาช่วยปลดล็อกความขัดแย้งทางการเมืองให้หมดไปเสียที

ขืนประเทศไทยยังจมปลักเพราะนักการเมืองชั่วๆที่แอบแฝงตัว คอยแต่จ้องหาประโยชน์และอำนาจอยู่ไม่รู้เช่นนี้ ในกลุ่มประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนที่มีทั้งสิ้น 10 ประเทศนั้น

ประเทศไทยจะอยู่อันดับที่ 12!!!

เพราะล้าหลังชาวบ้านจนแม้แต่จะเป็นอันดับ 10 หรืออันดับ 11 ยังไม่ได้เลย
ถึงตอนนั้น นักการเมืองชั่วๆทั้งหมดจะมองหน้าลูกหลานไทยได้อย่างไร เมื่อเด็กไทยที่เติบโตขึ้นมาภายใต้ความขัดแย้ง จนซึมซับการด่าเป็นไฟ การเอาแต่ได้โดยไม่เคารพกฎเกณฑ์กฎหมาย
แล้วตั้งคำถามโพล่งขึ้นมาด้วยภาษาของนักรบหน้าคอมพ์ว่า

เล่นการเมืองกันจัญไรขนาดไหนนะ ไอ้สัส ถึงทำให้พวกกูต้องกลายเป็นคนรุ่นต่อมาที่ต้องรับเคราะห์เช่นนี้”

งามหน้ากันหรือไม่ ที่ปลูกฝังผลไม้พิษเอาไว้ในจิตใจเด็ก จนทุกวันนี้ด่ากันเป็นไฟไปหมดแล้ว
เชื่อเถอะในวันนั้น “ตราบาป”ที่จารึกลงบน “ตระกูลการเมือง”ที่สร้างความเสียหายให้กับประเทศชาติ คงไม่ได้มีเพียงแค่ตระกูลเดียวอย่างแน่นอน

ดังนั้นยังไม่สายที่จะหยุดม้าที่ริมเหว คืนความสงบสุขให้กับแผ่นดินเกิด เลิกดื้อรั้นดันทุรังด้วยกันทั้ง 2 ขั้ว เปิดโอกาสให้คนไทยทั้งแผ่นดินได้ตัดสินอนาคตประเทศด้วยตนเอง ไม่ใช่ให้ใครคนใดคนหนึ่ง หรือขั้วใดขั้วหนึ่งมาบงการชี้นิ้ว ว่าต้องเลือกอย่างนั้น ต้องทำอย่างนี้

นักการเมืองไม่ได้วิเศษวิโสไปกว่าคนไทยคนใดคนหนึ่งเลย
อย่าต้องให้เป็นเหมือนกับตลกล้อเลียนแสบๆที่ว่า ประเทศไทยมีทุกสิ่งทุกอย่างที่ดี สวยงาม และสมบูรณ์ มีแค่นักการเมืองเท่านั้นที่เลว และทำให้บ้านเมืองที่ควรเพอร์เฟ็กท์ กลายเป็นเมืองต้องสาป
จะหลุดพ้นคำสาปได้ ต้องส่งออกนักการเมืองไทยไปประเทศอื่นให้หมด แล้วนำเข้านักการเมืองของประเทศอื่นเข้ามาแทน

ซึ่งจริงๆไม่ต้องส่งออกไปทั้งหมดหรอก แค่เอารุ่นเจ้าปัญหา เอารุ่นแก่กระโหลกกะลาออกไปพรรคละ 20-30 คนเท่านั้น การเมืองไทยก็ดีขึ้นพะเรอเกวียนแล้ว

อย่างน้อยนัการเมืองรุ่นใหม่ๆจะได้มีโอกาสเกิดขึ้นมา โดยที่ไม่ต้องมีต้นแบบที่บิดๆเบี้ยวๆอีกต่อไป
บางกอก ทูเดย์ เชื่อมั่นในพลังบริสุทธิ์ของประชาชน ว่าจะสามารถล้างคราบไคลชั่วร้ายทางการเมืองลงได้

ดังนั้นหากยังดื้อเล่นเกมทำลายประเทศกันอยู่อย่างนี้ ประชาชนทั้งแผ่นดินต้องแสดงพลังกันได้แล้วกระมัง.

ที่มา.บางกอกทูเดย์
----------------------------

ทางออกจากวิกฤต !!?

โดย.นิธิ เอียวศรีวงศ์

เรากำลังเผชิญกับวิกฤตทางการเมืองครั้งใหญ่สุด และเราจะออกจากวิกฤตนี้ได้อย่างไร

สิ่งที่ต้องเข้าใจให้ตรงกันก่อนก็คือ วิกฤตครั้งนี้ไม่ได้เกิดขึ้นจากความขัดแย้งกันทางการเมือง เพราะความขัดแย้งนี้ดำเนินมาในสังคมไทยกว่า 7 ปีแล้ว แม้ทำให้การเมืองไทยลุ่มๆ ดอนๆ แต่ทุกอย่างก็ดำเนินไปได้ รวมแม้แต่การริเริ่มนโยบายใหม่เช่นปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ ซึ่งเป็นนโยบายที่ครอบคลุมคนทั้งประเทศ อันอาจส่งผลให้เกิดความเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่

วิกฤตครั้งนี้เกิดจากการล้มล้างระเบียบกฎเกณฑ์ทั้งมวล ที่ช่วยกำกับความขัดแย้งไม่ให้เหลือแต่ใช้กำลังเข้าห้ำหั่นกัน จะดีจะชั่ว สังคมไทยก็มีระเบียบกฎเกณฑ์หรือกฎหมาย ที่ทำให้เราต่างจากซ่องโจรที่คนกำปั้นใหญ่รวบอำนาจทั้งหมดไว้ในมือ หนักข้อกว่าการรัฐประหารของกองทัพเสียอีก

เมื่อกองทัพทำรัฐประหาร กฎหมายที่คณะรัฐประหารทุกคณะล้มล้างทันทีคือรัฐธรรมนูญ แต่ยังรักษากฎหมายอื่นๆ ไว้ทั้งหมด ในครั้งนี้ นอกจากม็อบสุเทพจะล้มล้างรัฐธรรมนูญแล้ว ยังละเมิดกฎหมายอื่นๆ อีกหลายมาตรา ขัดขวางการทำงานโดยปกติของรัฐ เช่นยึดที่ทำการของรัฐ ปิดล้อมมิให้โรงพักรับแจ้งความ ใช้อาวุธต่อสู้กับเจ้าพนักงานซึ่งปฏิบัติหน้าที่ ขัดขวาง กกต.มิให้จัดการเลือกตั้งโดยสงบ ก่อวินาศกรรมกับรถตำรวจ ทำโจรกรรมในสถานที่ราชการที่ปิดล้อมไว้ ฯลฯ

ความขัดแย้งของกลุ่มการเมืองต่างๆ ซึ่งดำเนินมาหลายปี ได้แปรเปลี่ยนเป็นความขัดแย้งระหว่างอาชญากรกับรัฐ

ผมคิดว่าผิดถนัดที่หลายองค์กรมองวิกฤตครั้งนี้ เป็นเพียงความขัดแย้งระหว่างกลุ่มการเมืองต่างกลุ่มเหมือนที่ผ่านมา การเสนอตัวเป็น "คนกลาง" เพื่อให้เกิดการเจรจาระหว่างอาชญากรและรัฐ เป็นการเสนอตัวที่หลงประเด็น เพราะรัฐหรือผู้ถืออำนาจรัฐแทนปวงชนชาวไทย ไม่มีอำนาจที่จะรอมชอมกับอาชญากรให้ละเมิดกฎหมายได้ตามใจชอบเช่นนี้ ทั้งกฎหมายและรัฐไม่ใช่สมบัติส่วนตัวของนายกรัฐมนตรี ที่จะเอาไปยื่นให้แก่ใครเพื่อยุติความขัดแย้งได้ เช่นหาก ครม.ทั้งคณะยอมลาออก นอกจากละเมิดรัฐธรรมนูญซึ่งกำหนดให้ต้องทำหน้าที่จนกว่าจะมี ครม.ชุดใหม่แล้ว ยังเท่ากับยกประเทศไทยให้แก่อันธพาลการเมือง หักหลังประชาชนส่วนใหญ่ซึ่งไม่ได้ให้อำนาจนั้นแก่นายกรัฐมนตรี

ผิดถนัดอีกเช่นกัน ที่ไปคิดว่าสภาพจลาจลซึ่งกลุ่มอันธพาลการเมืองก่อขึ้นในการบุกรุกเข้าไปในสถานที่รับเลือกตั้ง จนทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจต้องใช้แก๊สน้ำตา เป็นความน่าอับอายและทำให้ภาพพจน์ของประเทศเสื่อมเสียในสายตาของต่างชาติ ตรงกันข้ามหากปล่อยให้อันธพาลเข้าไปยึดสถานที่ จนไม่สามารถจัดการเลือกตั้งได้ต่างหาก ที่น่าอับอายและทำลายภาพพจน์ของสมรรถภาพของรัฐในการอำนวยความมั่นคงและปลอดภัยแก่สังคม ใครอยากมาเที่ยวในประเทศนี้ ใครอยากทำสัญญากับคนไทยซึ่งไม่มีรัฐให้หลักประกันใดๆ

เช่นเดียวกับสื่อกระแสหลักอีกมาก ที่รายงานข่าวฝ่ายอันธพาลทางการเมืองประหนึ่งวีรบุรุษ มองรัฐและกลุ่มอันธพาลว่ามีความชอบธรรมเท่ากัน หรือแม้แต่เห็นอันธพาลมีความชอบธรรมมากกว่า ทำให้สังคมหลงประเด็นว่า เรากำลังเผชิญทางเลือก 2 ทางที่มีความชอบธรรมเท่ากัน ทั้งๆ ที่ทางเลือกที่ฝ่ายอันธพาลการเมืองเสนอ ไม่ใช่ทางเลือก แต่เป็นคำสั่งที่ทุกฝ่ายต้องปฏิบัติตามอย่างปราศจากเงื่อนไข โดยอาศัยฝูงชนเป็นเครื่องมือ ไม่ต่างจากในซ่องโจร ที่ผู้นำซึ่งรวบรวมกำลังโจรได้มากกว่า ย่อมสามารถประกาศิตความเป็นไปของซ่องโจรได้ตามใจตนเองแต่ผู้เดียวหรือฝ่ายเดียว

กลุ่มอันธพาลการเมืองเหล่านี้ไม่ได้ท้าทายรัฐบาลพรรคเพื่อไทย แต่ท้าทายกฎหมายและระเบียบแบบแผนทางการเมืองของสังคมไทยทั้งหมด

ที่น่าเศร้าก็คือ ประชาชนจำนวนมากในกรุงเทพฯ (และที่ขนกันมาจากภาคใต้) คิดว่า นี่คือการแสดงความรักชาติ

ชาติจะดำรงอยู่ได้อย่างไร หากพลเมืองของชาติไม่มีความเท่าเทียมกันทางการเมือง หากกฎเกณฑ์ระเบียบของชาติถูกทำลายลงหมด เพื่อสนองตอบความทะเยอทะยานทางการเมืองของคนกลุ่มเล็กๆ หากกลไกของชาติพอใจจะนั่งดูเฉยๆ (หรือแอบเข้าข้างอันธพาล) เพื่อรอเข้าไปเก็บเกี่ยวผลประโยชน์กับฝ่ายชนะ นี่คือชาติที่มีแต่ปัจจุบัน ไม่มีอนาคต เพราะไม่มีใครมองไกลไปกว่าการยกระดับวันต่อวันของอันธพาลการเมือง

หนทางที่จะออกจากวิกฤตนี้แคบ ข้อจำกัดในการใช้อำนาจรัฐก็มาก (ทั้งที่ควรและไม่ควร) ยากที่จะฝ่าฟันออกไปได้ นอกจากได้รับความร่วมมือจากสังคมในวงกว้าง

และด้วยเหตุดังนั้น จึงทำให้บางคนคิดหาทางออกที่ลัดและมักง่าย นั่นคือทำรัฐประหาร แต่รัฐประหารคือทางตันไม่ใช่ทางออก นอกจากต้องเผชิญกับการต่อต้านจากคนจำนวนมาก กระทำในหลายรูปแบบ และบางรูปแบบก็อาจทำให้รัฐยิ่ง "ล้มเหลว" หนักขึ้นไปอีก

คิดง่ายๆ แค่ว่า คณะรัฐประหารจะจัดการกับอันธพาลการเมืองอย่างไร แต่ละคนมีคดีติดตัวหลายสิบคดี หากออกคำสั่งนิรโทษกรรมทั้งหมด คณะรัฐประหารจะจัดการอย่างไรกับการละเมิดกฎหมายของฝูงชนใหม่ที่ต่อต้านการรัฐประหาร ฆ่าเขาอย่างที่ได้ฆ่ามาใน 2553 ก็ยิ่งทำลายความชอบธรรมของคณะรัฐประหาร ปล่อยทิ้งไว้รัฐก็ล่มสลายไปในมือของคณะรัฐประหาร

จนถึงที่สุด ใครก็ตามที่ยังสามารถมองอะไรได้ไกลกว่าปลายจมูกของตนเอง จะให้การรับรองแก่การรัฐประหารที่ทำลายชาติให้ย่อยยับลงไปกว่านี้ได้

ทางออกเดียวที่เหลืออยู่จึงเป็นทางแคบ มีข้อจำกัดมาก ยากจะฝ่าฟันออกไป และต้องได้รับความร่วมมือจากสังคมในวงกว้าง และภาระเป็นของรัฐบาลรักษาการต้องทำให้สำเร็จ

คุณยิ่งลักษณ์ต้องแสดงการนำที่ชัดเจน และเข้มแข็ง ชัยชนะจากการเลือกตั้งที่จะมาถึงเพียงอย่างเดียวไม่พอ เพราะเงื่อนไขของวิกฤตครั้งนี้ ไม่ใช่การแข่งขันทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตย แต่เป็นวิกฤตของชาติ จะรักษาชาติให้ดำรงอยู่สืบไปโดยไม่เสื่อมทรามลงเป็นซ่องโจรได้อย่างไร คุณยิ่งลักษณ์ต้องหวังว่าการนำของตนจะไม่ดึงเฉพาะคนไทยที่สนับสนุนพรรคเพื่อไทยมาร่วมรณรงค์เท่านั้น แต่ต้องรวมคนไทยทุกคนแม้แต่ที่สนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์ หรือพรรคอื่นๆ ด้วย

ภาระสำคัญที่สุดของคุณยิ่งลักษณ์ก็คือ ต้องทำทุกวิถีทางมิให้รัฐ "ล้มเหลว" การยอมถอยให้แก่อันธพาลในการยึดถนนและยึดสถานที่ราชการนั้น พอรับได้ เพราะพื้นที่ทางการเมืองของสาธารณชนไทยมีจำกัด ในขณะที่แม้จะถูกยึดที่ทำการรัฐบาล แต่รัฐยังทำหน้าที่ของตนต่อไปได้ ยังแจ้งความได้ ยังจัดการจราจรได้ เด็กยังได้ไปโรงเรียน เจ็บป่วยก็เข้าโรงพยาบาลได้ ฯลฯ แต่เมื่ออันธพาลการเมืองปิดล้อมสถานที่เลือกตั้ง จนรัฐไม่สามารถจัดการเลือกตั้งตามกฎหมายได้ รัฐเริ่ม "ล้มเหลว" เป็นครั้งแรก คุณยิ่งลักษณ์ต้องใช้ทุกวิถีทางที่เป็นไปได้ ทั้งโดยผ่านกฎหมายที่ให้อำนาจไว้ และผ่านการใช้กองกำลังทั้งหมดของรัฐ โดยหลีกเลี่ยงการบาดเจ็บล้มตายที่ไม่จำเป็น (ดังเช่นที่เจ้าหน้าที่ตำรวจกระทำอย่างเหมาะสมในวันที่ 28 ธ.ค.) เพื่อประกันความปลอดภัยของผู้สมัครและกรรมการเลือกตั้ง จนทำให้กระบวนการรับสมัครดำเนินไปได้

กระบวนการเลือกตั้งเพิ่งเริ่มขึ้น รัฐบาลรักษาการต้องดูแลให้กระบวนการนี้ดำเนินต่อไปอย่างราบรื่น แม้ต้องใช้มาตรการแข็งกร้าวก็ตาม (โดยระวังมิให้เกิดการบาดเจ็บล้มตายเกินกว่าที่จำเป็น) ทุกคนมีสิทธิหาเสียงอย่างถูกกฎหมาย ทุกคนมีสิทธิเข้าคูหาเลือกตั้งอย่างปลอดภัย

สังคมไทยต้องมองเห็นอย่างชัดเจน ระหว่างทางเลือกการอยู่ในสังคมที่มีกฎหมาย และสังคมอันธพาล

ในการนี้ นายกรัฐมนตรีต้องออกหน้าแทนเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน เช่นนายกฯต้องมีคำสั่งอย่างชัดเจนว่า ต้องทำให้กระบวนการเลือกตั้งดำเนินไปได้โดยราบรื่น หากจำเป็นต้องใช้มาตรการที่รุนแรงเด็ดขาดก็ต้องใช้ (แต่อย่าทำ "เกินกว่าเหตุ") ตราบเท่าที่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานกระทำไปตามกฎหมาย เขาไม่ต้องรับผิดชอบ แต่นายกฯ ผู้ออกคำสั่งจะเป็นผู้รับผิดชอบเอง ไม่ว่าจะเป็นความรับผิดชอบทางกฎหมาย หรือทางที่ถูกอันธพาลก่นด่า

รวมทั้งออกคำสั่งให้กองทัพส่งกำลังอีกมาก มาเป็นผู้ช่วยตำรวจในการปฏิบัติหน้าที่ ต้องไม่อนุญาตให้กองทัพปฏิบัติงานโดยลำพัง เพราะกองทัพไม่มีสมรรถภาพในการควบคุมฝูงชน เขาไม่ใช่หน่วยงานที่มีภาระหน้าที่เช่นนี้ จึงไม่ถูกฝึกให้ทำเป็น สมรรถภาพของกองทัพอยู่ที่การทำลายล้างฝ่ายตรงข้ามอย่างเฉียบพลันรุนแรง จึงไม่เหมาะที่จะปฏิบัติงานเช่นนี้ได้ จำเป็นต้องอยู่ในบังคับบัญชาฝ่ายตำรวจ (เรื่องนี้ "เล็งเห็นผล" ได้ หากไม่โง่หรือโหดเหี้ยมจนเกินไป)

คำสั่งที่ให้แก่กองทัพเช่นนี้ ต้องประกาศให้สังคมรับรู้โดยทั่วกัน หากกองทัพไม่ปฏิบัติตามคำสั่ง ก็ต้องแจ้งให้สังคมรู้เช่นกัน คุณยิ่งลักษณ์อย่าคิดเป็นอันขาดว่า จะควบคุมกองทัพได้ด้วยตนเอง โดยปราศจากการหนุนหลังของสังคม

หากการปฏิบัติงานเพื่อรักษากฎเกณฑ์และระเบียบของบ้านเมือง เป็นเหตุให้ กกต.ลาออกเกิน 3 คน ผมไม่มีความรู้ทางกฎหมายว่าจะทำอย่างไรต่อไป แต่เชื่อว่าต้องมีช่องทางที่จะจัดการเลือกตั้งตามกฎหมายจนได้ มิฉะนั้นก็เท่ากับยกสังคมประชาธิปไตยของเราทุกคนให้แก่คนกะล่อนเพียง 3 คนเท่านั้น ใครก็ตามที่มีหน้าที่คัดสรรกรรมการของ กกต. ก็ควรรับผิดชอบต่อวิจารณญาณห่วยแตกของตนเองบ้าง

การปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายอย่างเข้มแข็งดังกล่าวทั้งหมดนี้ จะทำได้สำเร็จก็ต่อเมื่อได้รับการสนับสนุนจากสังคมในวงกว้าง หากจำเป็นต้องใช้กฎหมายเพื่อป้องกันเหตุร้ายที่จะเกิดแก่บ้านเมือง ก็ต้องใช้ เพื่อจะได้มีอำนาจในการควบคุมสื่อโดยเฉพาะโทรทัศน์ ใช้สื่อนั้นในการสื่อสารสถานการณ์ที่เป็นจริง และจุดยืนของรัฐที่จะรักษากฎระเบียบที่ขาดไม่ได้ของความเป็นชาติ คุณสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล อาจเป็น ผอ.ของ ศอ.รส.ต่อไปได้ แต่ต้องจัดทีมประชาสัมพันธ์ที่มีความสามารถขึ้น เพื่อสื่อสารกับสังคมวงกว้างในเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับการเมืองเรื่องเลือกตั้ง แต่เกี่ยวกับวิกฤตครั้งนี้ และความจำเป็นที่รัฐจะต้องนำสังคมฝ่าวิกฤตความชอบธรรมทางกฎหมายออกไปให้ได้ เพื่ออนาคตของชาติที่เป็นของเราทุกคน

หลังจากการถอยอย่างไม่มีหลักที่ผ่านมา (ตั้งกรรมการปฏิรูป, แสดงท่าทีพร้อมเจรจากับอันธพาล, และปล่อยให้อันธพาลปิดล้อมสถานที่รับสมัครเลือกตั้ง) จะสายเกินไปหรือไม่ที่จะพลิกนโยบายมาสู่การรักษา "ชาติ" ซึ่งต้องรวมถึงกฎกติกาของการอยู่ร่วมกัน ผมไม่แน่ใจ แต่ในวิกฤตทางการเมืองที่เลวร้ายที่สุดในครั้งนี้ ไม่มีอะไรที่สายเกินไป

ที่มา: www.matichon.co.th
-----------------------------------------------

วันจันทร์ที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2557

สันติวิธี แก้วิกฤต !!?

โดย ชลาทิพย์ ถิรสุนทรากุล

ก้าวเข้าสู่ปีม้าคะนองศึก สถานการณ์การเมืองไทยยังย่ำอยู่กับที่ไม่เห็นแสงสว่างปลายอุโมงค์ ชนิดนับเคานต์ดาวน์ข้ามศักราชใหม่แล้วต้องปรับโหมดรอรับประกาศ "ชัตดาวน์กรุงเทพฯ" กันทันที

ความประสงค์ของการชุมนุมที่ต้องการสร้าง "สภาวะไร้รัฐ" ด้วยกิจกรรม "ปิดเมือง" วันที่ 13 มกราคมเป็นต้นไป กับการคาดการณ์จะปิดถนนและแยกสำคัญในกรุงเทพฯไม่น้อยกว่า 20 แห่ง โดยจัดตั้งเวทีปราศรัยทุกจุดที่ชุมนุม ส่วนเรื่องการตัดน้ำ-ไฟมีการประกาศว่าจะทำเฉพาะบ้านนายกฯและรัฐมนตรี รวมทั้งสถานที่ราชการ หน่วยงานบริหารของรัฐบางจุด

แม้กรุงเทพฯไม่ใช่ประเทศไทย แต่ย่อมส่งผลกระทบต่อผู้คนในเมืองหลวงอีกจำนวนมาก และอีกสถานะกรุงเทพฯเป็นเมืองหลวง เมืองเศรษฐกิจ เมื่อมีพลังกดดันก็พร้อมสร้างแรงกระเพื่อมให้กับประเทศได้

แต่คำถามคือ คนส่วนใหญ่ทั้งประเทศพร้อมรับราคาที่ต้องจ่ายจากสถานการณ์อันแกว่งไกวนี้หรือ ?

วันนี้การคัดค้านไม่ให้มีการเลือกตั้ง 2 กุมภาพันธ์ เป็นสถานการณ์อันแหลมคมที่บรรดานักวิเคราะห์ทั้งไทยและเทศต่างไม่มั่นใจประเมินว่า กว่าจะถึงวันที่ 2 กุมภาพันธ์สถานการณ์จะเขยิบไปไกลจนไม่มีการเลือกตั้ง หรือหากมีการเลือกตั้งก็อาจล่มในที่สุด ?

มีคำเตือนสติจาก "พระไพศาล วิสาโล" ภิกษุสันติวิธีที่ให้สัมภาษณ์ผ่านทีมงานเฟซบุ๊ก We Vote เมื่อเร็ว ๆ นี้ เสนอแนวทางสันติวิธีเบื้องต้นเพื่อเป็นทางออกให้แก่วิกฤตครั้งนี้ ผู้เขียนขอนำบางช่วงมาถ่ายทอดให้อ่านกัน

"การเลือกตั้งเป็นกระบวนการที่สำคัญของสังคมประชาธิปไตย โดยเฉพาะในปัจจุบันมันเป็นการเปิดโอกาสให้คนทุกคนในประเทศได้มีโอกาสตัดสินใจเรื่องบ้านเมือง ซึ่งเป็นเรื่องที่ส่งผลกระทบกับคนทุกคน มันมีความหมายว่าคนทุกคนมีส่วนร่วมเท่าเทียมกัน ก็คือหนึ่งคนหนึ่งเสียง อาตมาคิดว่ากระบวนการอย่างนี้สำคัญในเมืองไทยยุคปัจจุบันที่มีความคิดเป็นกลุ่มก้อนแบ่งฝักแบ่งฝ่าย

การเลือกตั้งเป็นวิธีแก้ไขความขัดแย้งของคนในชาติด้วยสันติวิธี มันหมายถึงการที่คนมีสิทธิ์คิดต่างกันได้แทนการใช้กำลังเข้าประหัตประหารกัน แทนที่ใครที่มีอำนาจเหนือกว่าจะได้ชัยชนะ ก็สู้กันด้วยเหตุด้วยผลซึ่งสุดท้ายก็ต้องใช้การลงคะแนนเสียง ถ้าไม่อยากให้บ้านเมืองเกิดความรุนแรงตัดสินด้วยกำลังก็ต้องใช้การเลือกตั้งเป็นทางออก

ในประเทศอื่นที่มีความขัดแย้งรุนแรงยิ่งกว่าบ้านเมืองเรา เช่น แอฟริกาใต้ เขายังใช้การเลือกตั้งเป็นกระบวนการเปลี่ยนผ่านอำนาจอย่างสันติ ถ้าไม่มีการเลือกตั้งแล้วสงครามระหว่างคนผิวขาวและผิวดำคงจะยืดเยื้อมาจนทุกวันนี้...

ผลจากการลงคะแนนเสียงอาจมีข้อบกพร่อง ไม่ดีที่สุด หรือพูดอีกอย่างคือเลวน้อยกว่าวิธีการอื่น อาตมาคิดว่าเราควรให้ความสำคัญกับการเลือกตั้ง ในฐานะที่เป็นกลไกในการตัดสินว่าบ้านเมืองเราจะไปทางไหน เพราะวิธีนี้มันบังคับให้เราต้องใช้เหตุผลที่จะหว่านล้อมชักชวนเอาชนะใจของคนที่คิดต่างจากเรา ซึ่งมันจะทำให้เกิดทางออกที่เป็นประโยชน์ประกอบด้วยเหตุด้วยผล ซึ่งน่าเชื่อว่าจะทำให้เกิดการตรวจสอบอย่างถี่ถ้วน ผลักดันประเทศไปสู่ทางที่ถูกต้องเป็นประโยชน์กับคนส่วนใหญ่และทุกฝ่ายไม่มากก็น้อย" เป็นคำกล่าวของพระไพศาล

ณ วันนี้เหตุการณ์การชุมนุมที่ดูมีความคุกรุ่นดำเนินมากว่า 2 เดือน มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตทั้งประชาชนและเจ้าหน้าที่รัฐ หากนึกถึงความรุนแรงข้างหน้าที่อาจบานปลาย ความเห็นที่เสนอทางออกอย่างสันติวิธีที่หยิบยกมานี้...ทุกฝ่าย ทั้งฝ่ายคัดค้าน ฝ่ายบอยคอต และฝ่ายจัดการเลือกตั้ง น่านำมาใคร่ครวญยิ่งนัก

ประเด็นซื้อสิทธิขายเสียงที่กังวลกันนั้น ต้องวางใจให้มีสติ ไม่มองแบบตีค่าผู้อื่นในเชิง Dehumanize เพราะรังแต่จะสร้างสังคมแบ่งแยก เราอยู่ในศตวรรษที่ 21 ที่ถอยหลังไปไม่ได้อีกแล้ว ผู้คนอีกมากในประเทศนี้ไม่อยากติดหล่มกับดักการเมือง วนไปวนมาจนประเทศชาติเศรษฐกิจเดินหน้าไม่เต็มสูบเสียที

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
-------------------------------------

วันตัดสิน 318 ส.ส.-ส.ว.

381ส.ส.-ส.ว."ลุ้นระทึก! ปปช. "เหมาเข่ง"หรือ"รายคน" ปมแก้รัฐธรรมนูญที่มา ส.ว. วิบากกรรม รัฐบาลยิ่งลักษณ์

คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) นัดสรุปสำนวนและลงมติว่าจะแจ้งข้อกล่าวกับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) และสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) อีก 381 คน หรือไม่

หลังจากเมื่อวันที่ 26 ธ.ค.2556 ที่ผ่านมา ป.ป.ช.ได้มีมติแจ้งข้อหากล่าวหากับ นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ อดีตประธานสภาผู้แทนราษฎร และ นายนิคม ไวยรัชพานิช ประธานวุฒิสภา ไปแล้ว และนัดให้ทั้งสองเข้ารับทราบข้อกล่าวหาในวันที่ 10 ม.ค.นี้

สำหรับข้อกล่าวหาที่ทั้ง นายสมศักดิ์ และ นายนิคม ถูกร้องเรียนคือ กระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการตามประมวลกฎหมายอาญา หรือกระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ หรือทุจริตต่อหน้าที่ตามกฎหมายอื่น ตามมาตรา 66 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ฉบับที่ 2 พ.ศ.2554

โดยร้องขอให้ถอดถอนออกจากตำแหน่ง ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550 มาตรา 270 กรณีเสนอร่างรัฐธรรมนูญแห่งชาติอาณาจักรไทย แก้ไขเพิ่มเติม ฉบับที่ .... พ.ศ. ... เกี่ยวกับที่มาของ ส.ว. โดยมิชอบด้วยรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย

คำร้องดังกล่าวมีผู้ยื่นร้องต่อ.ป.ป.ช. 5 สำนวน โดยป.ป.ช.มีมติให้รวมเป็นสำนวนเดียวกัน

หนึ่งในนั้น เป็นสำนวนของส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ โดย นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้เข้าให้ปากคำต่อป.ป.ช. โดยระบุเกี่ยวกับความผิดของสมาชิกรัฐสภาทั้ง 383 คนไว้ว่า

มีพฤติการณ์ส่อว่าจงใจใช้อำนาจหน้าที่ขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย ขัดต่อหลักนิติรัฐ นิติธรรม ขัดต่อหลักการประชาธิปไตย กระทำการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการที่มิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ ตลอดจนกระทำการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง โดยในคำร้องยังได้อ้างถึงคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญไว้ด้วย

พร้อมระบุถึงพฤติการณ์เฉพาะตัวของผู้ที่กระทำความผิดไว้เป็น 3 ส่วน คือ การกระทำความผิดของผู้ปฏิบัติหน้าที่ประธานรัฐสภาและประธานในที่ประชุมรัฐสภา

ส่วนที่ 2 คือ การกระทำความผิดของผู้ที่เสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญปมที่มา ส.ว. นำโดยนายอุดมเดช รัตนเสถียร ร่วมกับสมาชิกรัฐสภารวม 310 คน และส่วนที่ 3 เป็นการกระทำความผิดในกระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญของสมาชิกรัฐสภา

โดยมีพฤติกรรมการกระทำความผิด ดังต่อไปนี้ ในส่วนของสมาชิกรัฐสภา 310 คนที่เสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญปมที่มา ส.ว. เสนอร่างที่ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงด้านดุลยภาพในการตรวจสอบตามระบบรัฐสภา ทำให้ ส.ว.มีสภาพไม่แตกต่างจาก ส.ส.

ส่วนพฤติกรรมของนายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ มีคำสั่งนัดประชุมรัฐสภาโดยแจกจ่ายร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญดังกล่าวคนละฉบับกับร่างที่นายอุดมเดช และคณะเสนอ ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงสาระสำคัญจากร่างเดิมในหลายประการ

อาทิ การเพิ่มเติมหลักการที่ให้ผู้เคยดำรงตำแหน่งสมาชิกวุฒิสภาสามารถลงสมัครเป็น ส.ว.ได้อีกโดยไม่ต้องรอให้พ้นระยะเวลา 2 ปี นอกจากนี้ยังมีการเรียกประชุมวันที่ 18 เม.ย.2556 เพื่อกำหนดวันแปรญัตติโดยให้เริ่มต้นนับวันแปรญัตติย้อนหลังตั้งแต่วันที่ 4 เม.ย.2556 ทำให้เหลือเวลาให้สมาชิกรัฐสภาเสนอคำแปรญัตติเพียง 1 วันเท่านั้น

นอกจากนี้ ในการพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญดังกล่าว ผู้ทำหน้าที่ประธานในที่ประชุมคือ นายสมศักดิ์ และนายนิคม ในฐานะรองประธานรัฐสภา ได้ตัดสิทธิผู้ขออภิปรายและผู้เสนอคำแปรญัตติ ผู้สงวนคำแปรญัตติ และผู้สงวนความเห็นจำนวน 57 คน โดยที่ยังไม่มีการฟังอภิปราย

อีกทั้งยังมีการใช้เสียงข้างมากลงมติผ่านความเห็นชอบร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นรายมาตรา ที่เปลี่ยนแปลงสาระสำคัญอันจะก่อให้เกิดปัญหาต่อการทำหน้าที่ของ ส.ว. ทำให้ ส.ว.กลับไปเป็นสภาผัวเมีย และยังเปิดโอกาสให้ผู้ที่เป็นสมาชิกพรรคการเมือง หรือดำรงตำแหน่งทางการเมือง ไม่ต้องเว้นวรรค 5 ปีก่อนลงสมัคร ส.ว.อีกด้วย

ส่วนที่ 3 คือ พฤติกรรมการลงมติของสมาชิกรัฐสภา มีการทุจริตในการลงคะแนน จากกรณีที่นายนริศร ทองธิราช ได้เสียบบัตรแทนสมาชิกรัฐสภาผู้อื่นด้วยการเสียบบัตรแทนหลายบัตรในการลงมติคราวเดียวกัน ซึ่งถือเป็นการกระทำที่ผิดต่อข้อบังคับรัฐสภาและละเมิดรัฐธรรมนูญ

และสมาชิกรัฐสภา 381 คน ไม่รวมนายสมศักดิ์ กับ นายนิคม ยังได้ร่วมลงมติผ่านความเห็นชอบร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับนี้ในวาระที่สามด้วย ซึ่งถือเป็นการกระทำที่ขัดรัฐธรรมนูญมาตรา 68 ตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเมื่อวันที่ 20 พ.ย.2556

สำหรับ ส.ส.และส.ว.อีกจำนวน 381 คน ที่เหลือ ถูกร้องเรียนในข้อหาลักษณะเดียวกันกับ นายสมศักดิ์ และนายนิคม ส่วนจะถูกแจ้งข้อหาแบบ "เหมาเข่ง" หรือเป็น "รายบุคคล" ต้องรอลุ้นในวันที่ 7 ม.ค.นี้

แต่ที่แน่ ๆ งานนี้ต้องมีคนถูกแจ้งข้อหาอย่างแน่นอน

ในจำนวนส.ส.และส.ว. 381 คน ที่ป.ป.ช.กำลังจะลงมติว่าจะแจ้งข้อกล่าวหาหรือไม่นี้ ความน่าสนใจอยู่ตรงที่มี นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม เป็น 1 ที่ร่วมลงคะแนนผ่านความเห็นชอบร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญปมที่มา ส.ว.ในวาระที่ 3 รวมอยู่ด้วย

เมื่อผ่านกระบวนการแจ้งข้อกล่าวหา และเปิดโอกาสให้เข้าชี้แจงแล้ว

สมมติหากป.ป.ช.ชี้มูลความผิดให้ถอดถอนบุคคลทั้งหมดตามคำร้อง ก็จะทำให้ต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ในฐานะ ส.ส.ทันที ก่อนที่จะส่งเรื่องไปยังส.ว.ให้ลงมติถอดถอนต่อไป

ในกรณีถอดถอนออกจากตำแหน่ง สำหรับ "ส.ส." อาจไม่มีปัญหาอะไร เพราะขณะนี้ได้พ้นจากหน้าที่ส.ส.ไปกันหมดแล้ว แต่สำหรับ "ส.ว." กว่า 50 ชีวิต ยังต้องเจอกับ "วิบากกรรม" หยุดปฎิบัติหน้าที่ และเข้าสู่กระบวนการถอดถอนของวุฒิสภา

นอกจากนั้น หากป.ป.ช.ชี้มูลความผิดคดีอาญาด้วย คดีก็ต้องถูกส่งไปยัง "ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง"

ตรงนี้ถือเป็นสิ่งที่น่ากลัวหนักหนาสำหรับ "นักการเมือง" เพราะมีสิทธิถูกสั่ง "เว้นวรรค" ทางการเมืองเป็นเวลา 5 ปี และอาจมีโทษทางคดีอาญาอีกด้วย

คาดหมายกันว่า ภายในระยะเวลา 1 เดือน ป.ป.ช.น่าจะสรุปได้ว่าจะชี้มูลความผิดใครบ้าง "คอการเมือง" คงรอลุ้นอย่างใจจดใจจ่อแน่

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
------------------------------------------