--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันจันทร์ที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

ม็อบต้านนิรโทษฯ รวมพลังรุก ปลุกพลังเงียบ !!?

โดย เจริญชัย ไชยไพบูลย์วงศ์
มหาวิทยาลัยสยาม
สูตรสำเร็จของม็อบ ก็คือ ยิ่งมากยิ่งดี

การลุกลามบานปลายของม็อบที่ออกมาต่อต้านพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมแบบสุดซอย ย่อมไม่อาจวิเคราะห์จากปัจจัยพื้นฐาน คือความไม่พอใจของประชาชนเท่านั้น หากยังต้องเข้าใจถึงกระบวนการสร้างกระแส เพื่อกระตุ้นให้คนเกิดความรู้สึกอยากเข้าร่วม เกิดความรู้สึกอบอุ่นผูกพัน เกิดความรู้สึกว่าเป็นแฟชั่น รวมถึงเกิดความรู้สึกอุ่นใจเพราะมีคนเข้าร่วมล้นหลาม



นิรโทษสุดซอย ภาพจาก http://variety.eduzones.com/

ความสัมพันธ์ระหว่างพื้นฐานแห่งความไม่พอใจและกระแสแห่ตามแฟชั่น เป็นสิ่งที่ยากจะแยกออกจากกันได้ เพราะหากเป็นการนิรโทษกรรมแบบเดิมที่เน้นเฉพาะประชาชนโดยไม่รวมแกนนำ ไม่รวมคดีคอร์รัปชั่นทั้งหลายแหล่ ก็คงไม่มีการเข้าร่วมอย่างล้นหลามเช่นนี้ ไม่ว่าฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลจะพยายามจุดกระแสอย่างไร ก็ประสบแต่ความล้มเหลว

หากทว่าเมื่อเปลี่ยนเป็นนิรโทษกรรมแบบสุดซอย ทุกสิ่งทุกอย่างก็เปลี่ยนแปลงไป ประชาชนย่อมมีแรงเฉื่อยแห่งการเข้าร่วมม็อบ หากเป็นเรื่องที่พวกเขาไม่รู้สึกเลวร้ายอย่างที่สุด คนส่วนใหญ่ก็เลือกที่จะวางเฉย แทนที่จะเดินทางเข้าร่วมต่อต้านรัฐบาล เพราะมีต้นทุนทั้งเวลา แรงงาน ค่าเดินทาง ยังไม่นับความเสี่ยงที่จะประสบอันตรายได้

เมื่อประชาชนตัดสินใจเข้าร่วมกับม็อบแล้ว มันก็เหมือนกับการตัดสินใจเลือกซื้อสินค้าชิ้นหนึ่งนั่นเอง พวกเขาย่อมมีความผูกพัน พวกเขาย่อมมีความรู้สึกว่าม็อบเป็นของตัวเอง ดังนั้น ต้นทุนที่เกิดขึ้นก็ไม่ใช่ประเด็นสำคัญอีกต่อไป ยิ่งเมื่อได้สนทนากับผู้คนในม็อบด้วยกัน ก็ยิ่งมีความผูกพันและรู้สึกว่าคุ้มค่าที่ได้เข้าร่วม เป็นการตัดสินใจที่ไม่ผิดพลาดเลย

อย่างไรก็ตาม กระแสคลั่งไคล้ม็อบ ก็มีห้วงเวลาและขีดจำกัดของมันเหมือนกัน หากแกนนำไม่สามารถค้นหา Story แบบใหม่ๆ มาปลุกเร้าประชาชนที่เข้าร่วมได้ ความรักและความสนุกเบิกบานก็จะผ่อนคลายลง สุดท้ายจึงกลายเป็นความจืดจางและเหินห่าง นี่คือ เหตุผลที่ทำให้หลายม็อบที่เริ่มต้นมาดี มีคนอุดหนุนคึกคัก ต้องแผ่วปลายและล่มสลายไปในที่สุด

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากพระราชบัญญัตินิรโทษแบบสุดซอยถูกพิจารณาให้หายไปอย่างรวดเร็ว เชื้อไฟที่แกนนำจะไปสร้าง Story ให้กับม็อบก็จะถูกลดทอนลง ดังนั้น ผู้เข้าร่วมชุมนุมบางส่วน ที่อาจมีความผูกพันน้อยกว่าคนที่เหลือ ก็จะเริ่มทะยอยถอนตัวไป เมื่อม็อบลดจำนวนลง ก็จะยิ่งทำให้คนที่เหลือรู้สึกว้าเหว่ขึ้น ในที่สุดก็จะนำไปสู่วงจรอุบาทว์แห่งการล่มสลาย

แน่นอนว่า ในช่วงแรกที่รัฐบาลถอนพระราชบัญญัติไป ม็อบอาจไม่ได้รับผลกระทบแบบทันที เพราะยังมีแรงเฉื่อยจาก Story เดิมที่ยังจุดประกายม็อบอยู่ จึงอาจทำให้คนเข้าร่วมเพิ่มขึ้นจากเดิม แต่ว่าเมื่อเวลาผ่านไปสักพัก เรื่องราวที่หล่อเลี้ยงเริ่มขาดหายไปหรือไร้น้ำหนักลง ม็อบก็ยากที่จะดำรงไว้

อย่างไรก็ตาม หากรัฐบาลมีท่าทีไม่ชัดเจน ท่าทีแบบนี้กลับเป็นโทษมากกว่าประโยชน์ เพราะจะทำให้แกนนำมีข้ออ้างในการสร้างความหวาดระแวงให้กับมวลชนได้เสพรับ โดยเฉพาะการระบุว่ารัฐบาลไม่จริงใจ รัฐบาลหลอกลวง จึงยิ่งเติมเชื้อไฟให้กับการชุมนุมได้ ที่น่าเศร้าก็คือ ภายในกลุ่มคนที่แวดล้อมรัฐบาล ย่อมมีความเห็นที่แตกต่างกันเป็นหลายแนวทาง

ดังนั้น แม้จะมีคนบางส่วนปรารถนาให้ถอนการนิรโทษกรรมแบบสุดซอยนี้ แต่ก็ยังมีบางส่วนที่ปรารถนาจะสู้ต่อให้ถึงพริกถึงขิง ดังนั้น แถลงการณ์ของรัฐบาลในช่วงที่ผ่านมา จึงมักเป็นส่วนผสมระหว่างการเต็มใจถอนและการยืนหยัดสู้ต่อไป จึงยิ่งส่งสัญญาณความไม่เชื่อมั่นให้ฝ่ายตรงข้ามเป็นอย่างยิ่ง

กลยุทธ์ของรัฐบาลในการตอบโต้กับการชุมนุมในครั้งนี้ จึงไม่ใช่การวิเคราะห์ว่าตนเองได้กระทำผิดหรือไม่ เพราะประชาชนที่เข้าร่วมชุมนุมจำนวนไม่น้อยได้ตัดสินไปแล้ว แต่รัฐบาลจะต้องหาทางลดกระแสโดยเร็วที่สุด นั่นคือ การเพิกถอนพระราชบัญญัติแบบสุดซอยโดยไม่มีเงื่อนไขอย่างที่รัฐบาลได้ออกแถลงการณ์ถึง 3 ครั้งติดต่อกันเช่นที่ผ่านมา



ภาพจาก Facebook คำเกิ่ง แห่งทุ่งหมาหลง
ยิ่งเพิกถอนเร็วยิ่งได้เปรียบ

แน่นอนว่า นับจากรัฐประหารในปี 2549 เป็นต้นมา แต่ละฝ่ายก็ได้ตัดสินอีกฝ่ายหนึ่งไปแล้ว หากทว่าสิ่งที่การชุมนุมครั้งนี้แตกต่างออกไปก็คือ มีฝ่ายเป็นกลางเข้าร่วมด้วยจำนวนไม่น้อย โดยเฉพาะสถาบันการศึกษาทั้งหลาย ซึ่งจะยิ่งสร้างความเชื่อถือให้กับคนที่ยังลังเลใจ ให้หันมาเข้าร่วมเพิ่มขึ้นอีกด้วย

ดังนั้น สถานะของรัฐบาลจึงถูกคุกคามอย่างแรง รัฐบาลอาจคิดว่ากลุ่มพลังเงียบเหล่านี้ แท้จริงแล้วก็คือ ฝ่ายตรงข้ามที่แอบต่อต้านตนเองแบบไม่เปิดเผยตัว นี่คือสิ่งที่ต้องวิเคราะห์และเฝ้าดูกันต่อไปว่าจริงหรือไม่ แต่สิ่งที่น่าคิดก็คือ เหตุใดฝ่ายตรงข้ามที่ไม่เคยต่อต้านแบบตรงๆ ในครั้งนี้จึงตัดสินใจเข้าร่วมได้อย่างพร้อมเพรียงกัน

นั่นหมายความว่า การกระทำในครั้งนี้ของรัฐบาลอาจเกินขีดจำกัดที่คนเหล่านี้จะยอมรับได้ หากรัฐบาลสามารถจำกัดขอบเขตอำนาจตัวเองไว้ที่จุดหนึ่ง โดยไม่ไปล้ำเส้นคนกลุ่มนี้ ก็จะทำให้ฝ่ายต่อต้านมีกำลังลดลง และรัฐบาลสามารถรับมือได้สบายเหมือนในอดีตที่ผ่านมา

“ม็อบต้านนิรโทษ” จึงเป็นส่วนผสมที่หลากหลายของพลังทางสังคม โดยมีท่าทีของรัฐบาลเป็นสิ่งกำหนดความเข้มแข็งหรืออ่อนแอของม็อบ แน่นอนว่า ม็อบนี้ก็ไม่แตกต่างจากม็อบอื่นที่ผ่านมา ซึ่งต้องมีพัฒนาการและความเติบโตของตัวเอง

หากทว่า บทเรียนที่ม็อบนี้ได้มอบให้กับเราก็คือ พลังเงียบที่อาจไม่เห็นด้วยกับรัฐบาล แต่เลือกที่จะอยู่เฉยๆ เลือกที่จะใช้ชีวิตแบบไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี เลือกที่จะหลงระเริงไปตามกระแส หากทว่า เมื่อถึงจุดที่รัฐบาลกระทำการเกินขอบเขตในความรู้สึกของพวกเขา คนเหล่านี้ก็พร้อมที่จะออกมารวมตัวเพื่อต่อต้านได้ และเมื่อถึงขั้นที่คนกลุ่มที่เฉื่อยชาที่สุดนี้ได้ลุกออกมา ก็ย่อมเป็นสัญญาณอันตรายให้ทุกรัฐบาลต้องรีบหาทางแก้ไข

นับตั้งแต่รัฐประหารในปี 2549 เป็นต้นมา สงครามช่วงชิงทางการเมืองระหว่างสองขั้วอำนาจ ก็ดูเหมือนจะไม่มีวันยุติลง ทั้งสองฝ่ายผลัดกันรุกและรับกันอย่างน่าหวาดเสียว การเปลี่ยนผ่านประเทศไทยไปสู่อนาคตที่ดีกว่าจึงต้องล่าช้าออกไป

อย่างไรก็ตาม การถือกำเนิดของ “ม็อบต้านนิรโทษ” ได้แสดงพลังของประชาชนออกมาให้เห็น ซึ่งเป็นนิมิตหมายอันดีว่า เกมการช่วงชิงอำนาจในหลายปีที่ผ่านมานี้ใกล้จะถึงจุดเปลี่ยนพลิกแล้ว เพราะไม่ใช่มีแต่ผู้เล่น 2 ฝ่ายเท่านั้นที่เข้าร่วมเหมือนเดิม แต่ยังมีประชาชนซึ่งสามารถรวมตัวกันจนกระทั่งเป็นพลังทางสังคมที่เข้มแข็ง (Civil Society) ได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งแห่งเกมอำนาจแล้ว

บางคนอาจมองว่าการชุมนุมครั้งนี้ต้องการจะเป็นปรปักษ์กับรัฐบาลของพรรคเพื่อไทยโดยตรง แต่หากมองให้ลึกลงไปจะเห็นว่า ม็อบต้านนิรโทษนี้ กลับมีความเป็นตัวของตัวเองอย่างยิ่ง โดยไม่ได้ขึ้นหรือถูกชี้นำโดยพรรคประชาธิปัตย์เท่านั้น

หากว่าพรรคประชาธิปัตย์ได้กลับมาเป็นรัฐบาลอีกครั้ง ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่เกิดม็อบทำนองเดียวกันนี้ขึ้นมาต่อต้านโดยเฉพาะหากพรรคประชาธิปัตย์ได้กระทำการที่เกินเลยขอบเขตที่กลุ่มคนที่เฉื่อยชาทางการเมืองที่สุดจะยอมรับได้ เมื่อนั้นก็จะเกิดการต่อต้านอย่างรุนแรงแบบนี้อย่างแน่นอน

พิจารณาจากสภาพปัจจุบัน การที่พรรคประชาธิปัตย์จะพลิกฟื้นกลับคืนสู่อำนาจก็ยังเป็นเรื่องยากยิ่ง ไม่ต้องพูดถึงการมีอำนาจในรัฐสภามากเพียงพอที่จะทำอะไรแบบเกินเลยได้ ดังนั้น เหตุการณ์แบบม็อบต้านนิรโทษนี้ย่อมยากจะเกิดขึ้น จึงดูเหมือนกับว่าม็อบต้านนิรโทษนี้ออกมาเพื่อคัดค้านรัฐบาลของพรรคเพื่อไทยเท่านั้น

ทั้งที่ความจริงอาจไม่ได้เป็นเช่นนั้น เพียงแต่ว่าเงื่อนไขทางภววิสัยของพรรคการเมืองอื่น ไม่มีพลังมากพอที่จะทำให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ได้ “ม็อบต้านนิรโทษ” ในท้ายที่สุด ก็ย่อมต้องล่มสลายไปตามกาลเวลา ไม่ว่าจะเกิดจากการที่รัฐบาลตัดสินใจเพิกถอนพระราชบัญญัตินิรโทษฉบับนี้ออกไป หรือแม้กระทั่งเมื่อการต่อต้านครั้งนี้ลุกลามบานปลายจนถึงขั้นโค่นล้มรัฐบาลได้ ม็อบต้านนิรโทษก็ย่อมไร้ซึ่งเหตุผลที่จะดำรงอยู่



ภาพ บ.ก. ลายจุด จาก Facebook Red Intelligence

หากทว่า สิ่งที่ม็อบครั้งนี้ทิ้งไว้ให้เราก็คือ รากฐานการรวมตัวของพลังทางสังคม (Civil Society) อันเกิดจากกลุ่มคนที่หลากหลาย ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นมาเลยนับตั้งแต่รัฐประหารในปี 2549 แน่นอนว่า แม้บางกลุ่มจะมีจำนวนคนมากกว่านี้ แต่ก็ยังขาดแคลนในเรื่องของความหลากหลายและความน่าเชื่อถือ ซึ่งจำเป็นอย่างยิ่งในการสร้างความชอบธรรมและการยอมรับจากประชาชนที่เฝ้าดู

ที่มา.Siam Intelligence Unit

----------------------------------

วันเสาร์ที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

ภารกิจหลัก เสื้อแดงที่ต้องทำ ในวันที่ 10 (สำคัญมาก)

โดย. ศรี อินทปันตี

เป็นเรื่องที่น่าเห็นใจคนเสื้อแดงที่ต้องรู้สึกอ้างว้างผิดหวังอย่างรุนแรงที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรและพรรคเพื่อไทย ตระบัดสัตย์และเหยียบย่ำศพคนตายหันไปสามัคคีรับใช้กลุ่มอำนาจเก่า ด้วยการอนุมัติร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมแบบเหมาเข่งโดยปราศจากความละอายแก่ใจใดๆ

แต่แทนที่จะหมกมุ่นอยู่กับความรู้สึกเศร้าเสียใจและความผิดหวัง เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นน่าจะถูกใช้เป็นบท
เรียนสำหรับการต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งระบอบประชาธิปไตยในสังคม

เป็นทั้งบทเรียนและการศึกษาค้นคว้าหาแนวทางการต่อสู้ที่จะนำไปสู่ชัยชนะ

พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ประเมินว่า คนเสื้อแดงส่วนใหญ่เป็นมวลชนประเภทที่เขาสามารถกล่อมเกลาชักจูงได้ มีเพียงส่วนน้อยที่เป็นประเภทฮาร์ดคอร์เท่านั้นที่ดึงดันเชื่อมั่นในอุดมการณ์ของตน

เขาจึงไม่สนใจต่อความรู้สึกของคนเสื้อแดง ดึงดันเดินหน้านิรโทษสุดซอย ทำให้ตัวเองและผู้สั่งฆ่าประชาชนได้รับนิรโทษกรรม พ้นจากความผิด

ความเห็นนี้สอดคล้องกับกลุ่มอำนาจเก่าที่มีความปราถนาอย่างแรงกล้าที่จะกวาดล้างทำลายกลุ่มเสื้อแดงฮาร์ดคอร์ให้หมดสิ้นไป เหมือนกับการกวาดล้างเข่นฆ่านิสิตนักศึกษาเมื่อ ๖ ตุลาคม ๒๕๑๙ การปราบปรามเข่นฆ่าผู้เรียกร้องประชาธิปไตยเมื่อพฤษภาคม ๒๕๓๕ และ ๒๕๕๓

วันนี้คนเสื้อแดงกำลังจะเผชิญกับภัยคุกคามที่น่าสะพรึงกลัว แล้วคนเสื้อแดงควรจะทำอะไร?
เริ่มต้นที่สุดก็คือ คนเสื้อแดงจะต้องรู้ให้ชัดเจนว่า กำลังสู้อยู่กับใคร ใครเป็นมิตร ใครเป็นศัตรู จะต้องแยกมิตรแยกศัตรูให้ชัดเจน

จากนั้นจะต้องค้นคว้าหาแนวทางการต่อสู้ที่ถูกต้อง โดยแนวทางการต่อสู้นั้นจะต้องสอดคล้องกับสภาวะความเป็นจริงของสังคมและสถานการณ์

ศึกษาบทเรียนการต่อสู้ทั้งของประเทศไทยเราเองและของต่างประเทศ บทเรียนการต่อสู้ไม่ว่าจะเป็นของคณะราษฎรผู้นำการปฏิวัติ ๒๔ มิถุนายน ๒๔๗๕ การต่อสู้ของพรรคการเมืองต่างๆ รวมทั้งพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยที่ทำให้เห็นชัดเจนว่า...

การต่อสู้ที่ไม่มีทฤษฏีชี้นำ ปราศจากยุทธศาสตร์และยุทธวิธีที่ถูกต้อง มันนำไปสู่ความพ่ายแพ้ในการต่อสู้ได้อย่างไร

ทั้งหมดจะขาดความสามัคคีและการรู้จักตัวเองไม่ได้เลย จะต้องเชื่อมั่นว่า วันนี้พลังของคนเสื้อแดงยิ่งใหญ่และไม่ได้แตกแยกอย่างที่ พ.ต.ท.ทักษิณ และอำนาจเก่าประเมินอย่างผิดๆ

วันนี้คนเสื้อแดงไม่มีความจำเป็นจะต้องออกไปสู้รบปรบมือกับใคร แค่แสดงพลังเป็นแสนคนไปนั่งกินแฮมเบอร์เกอร์ในวันที่ ๑๐ พฤศจิกายน มันก็ทำให้แผ่นดินสะท้านและฟ้าสะเทือนได้อยู่แล้ว

คนเสื้อแดงจะต้องไม่ลืมหลักการการสะสมกำลัง รอคอยโอกาสอย่างเด็ดขาด อย่าทำอะไรให้ศัตรูใช้เป็นข้ออ้างในการเข่นฆ่าปราบปรามได้

วันที่ ๑๐ พฤศจิกายนไปเดินเล่นที่สี่แยกราชประสงค์กันเถอะ

ที่มา.บางกอกทูเดย์
------------------------------

ส่งออกไทยไปจีน..ท้าทายจุดยืนไทยคงอันดับ 1 ใน 3 ของสินค้าอาเซียนในจีน..

บริษัทศูนย์วิจัยกสิกรไทย ออกบทวิเคราะห์ การส่งออกของไทยไปจีนนับจากนี้ ... ท้าทายจุดยืนไทยคงอันดับ 1 ใน 3 ของสินค้าอาเซียนในจีน

ประเด็นสำคัญ
- ในการประชุม ASEAN-China Summit ครั้งที่ 16 เมื่อเดือนตุลาคม 2556 นายหลี่ เค่อเฉียง กล่าวว่า นับจากนี้ความสัมพันธ์ระหว่างอาเซียนกับจีนจะก้าวข้ามจาก “ทศวรรษแห่งทอง” ไปสู่ “ทศวรรษแห่งเพชร” ด้วยเป้าหมายยกระดับความสัมพันธ์ทางการค้าแตะ 1 ล้านล้านดอลลาร์ฯ และการลงทุนสะสมระหว่างกันเป็น 1.5 แสนล้านดอลลาร์ฯ ในปี 2563 นับจากช่วงที่กรอบการค้าเสรี ASEAN-China FTA ที่ริเริ่มในปี 2546 ผ่านมาเป็นเวลานานถึง 10 ปี ได้สร้างมูลค่าทางการค้าและการลงทุนระหว่างกันเพิ่มขึ้นถึงราว 4 เท่าตัว

- ด้วยบทบาทของอาเซียนในฐานะแหล่งนำเข้าที่สำคัญของจีนเด่นชัดมากขึ้น โดยกลายเป็นแหล่งนำเข้าอันดับ 2 ของจีนในขณะนี้ ครองสัดส่วนร้อยละ 10.1 ของการนำเข้าทั้งหมดของจีน (เป็นรองสหภาพยุโรป) ซึ่งในระยะข้างหน้าสินค้าไทยยังมีโอกาสคงบทบาทเป็นผู้เล่นที่สำคัญติดอันดับ 1 ใน 3 ของอาเซียนในจีน (ปัจจุบันไทยอยู่ที่อันดับ 2)

- เมื่อมองจากฝั่งจีน จีนนำเข้าสินค้าจากอาเซียนหลายประเทศเติบโตสูงโดยเฉพาะอินโดนีเซียและเวียดนาม ขณะที่การนำเข้าจากไทยยังคงหดตัว ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เห็นว่า สัญญาณดังกล่าวสะท้อนปฐมบทแห่งการแข่งขันของสินค้าอาเซียนในตลาดจีนที่เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งอาจกดดันให้ส่วนแบ่งสินค้าไทยในตลาดจีนลดลงในทศวรรษข้างหน้า

เศรษฐกิจจีนไตรมาส 3/2556 ปรับตัวดีที่สุดในรอบปีขยายตัวร้อยละ 7.8 (YoY) ด้วยสัญญาณบวกจากภาคการผลิต การบริโภคในประเทศและการส่งออกของจีนช่วยเสริมเศรษฐกิจในภาพรวม ดึงการส่งออกของไทยไปจีนไตรมาส 3/2556 หดตัวน้อยลงเหลือเพียงร้อยละ 0.3 (YoY) จากที่หดตัวถึงร้อยละ 13.7 (YoY) ในไตรมาส 2/2556 แม้ว่าการส่งออกของไทยไปจีนในเดือนกันยายน 2556 เติบโตแผ่วลงเหลือร้อยละ 1.2 (YoY) โดยมีมูลค่า 2,161 ล้านดอลลาร์ฯ แต่ยังสามารถรักษาการเติบโตได้เป็นเดือนที่ 2 ซึ่งกลุ่มสินค้าที่จะเป็นความหวังของการส่งออกไทยไปจีนยังคงเป็นกลุ่มสำคัญที่ปรับตัวดีขึ้น ได้แก่ เคมีภัณฑ์ เม็ดพลาสติก ผลิตภัณฑ์ยาง ไม้และผลิตภัณฑ์ และเครื่องใช้ไฟฟ้า/ส่วนประกอบ เป็นต้น

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า ในช่วงโค้งสุดท้ายของปีนี้การส่งออกของไทยไปจีนอาจปรับตัวดีขึ้นตอบรับเทศกาลปลายปี แต่ด้วยฐานเปรียบเทียบในปีก่อนที่อยู่ในเกณฑ์สูงทำให้การส่งออกของไทยไปจีนตลอดปี 2556 อาจมีโอกาสเข้าใกล้กรอบล่างของประมาณการที่ประเมินไว้อยู่ระหว่างหดตัวร้อยละ 2.5 ถึงขยายตัวร้อยละ 0.5

ประเด็นที่ต้องจับตานับจากนี้ไปไม่เพียงภาวะเศรษฐกิจจีนเท่านั้นที่จะส่งผลต่อการส่งออกของไทย แต่ยังต้องมองให้ครอบคลุมถึงสินค้าคู่แข่งจากประเทศอาเซียนที่ในขณะนี้สามารถเข้าไปทำตลาดในจีนได้อย่างคึกคักมากขึ้น ซึ่งในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2556 การนำเข้าของจีนจากประเทศในอาเซียนหลายประเทศเติบโตดีโดยเฉพาะกลุ่ม CLMV หรือ กัมพูชา สปป.ลาว เมียนมาร์ และเวียดนาม เติบโตเฉลี่ยสูงถึงร้อยละ 9.9 (YoY) ขณะที่ประเทศอื่นๆ เติบโตในเกณฑ์ต่ำถึงติดลบ รวมทั้งไทยที่ยังคงหดตัวร้อยละ 2.3 (YoY) ด้วยภาพการแข่งขันของสินค้าจากอาเซียนค่อยๆ เด่นชัดมากขึ้นตั้งแต่ริเริ่มกรอบความตกลงทางการค้าเสรีอาเซียน-จีน ในปี 2546 จนกระทั่งลดภาษีสินค้าเหลือร้อยละ 0 ในปี 2553 เพิ่มความท้าทายสำหรับสินค้าไทยที่จะเข้าสู่ตลาดจีนในระยะข้างหน้า ซึ่งสินค้าไทยจำเป็นต้องเร่งสร้างจุดยืนในตลาดจีนและเกาะติดการเปลี่ยนแปลงที่กำลังตามมา

ความสัมพันธ์อาเซียน – จีน กำลังเปลี่ยนผ่านสู่ “Diamond Decade”


การเดินทางเยือนอาเซียนอย่างเป็นทางการของสองผู้นำจีนได้เน้นย้ำความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในระยะข้างหน้าชัดเจนมากขึ้น โดยเฉพาะการเข้าร่วมประชุม ASEAN-China Summit ครั้งที่ 16 ที่ประทศบรูไน นายกรัฐมตรีของจีน นายหลี่ เค่อเฉียง กล่าวถึงความสัมพันธ์ตลอด 10 ปี ของกรอบการค้าเสรีอาเซียน-จีน (ASEAN-China FTA) ที่ผ่านมา นับได้ว่าเป็น “ทศวรรษแห่งทอง (Golden Decade)” ทำให้การค้าและการลงทุนเติบโตอย่างเด่นชัดเพิ่มขึ้นถึงราว 4 เท่าตัว โดยการค้ารวมในปี 2555 มีมูลค่า 400.3 พันล้านดอลลาร์ฯ (จากมูลค่า 78.3 พันล้านดอลลาร์ฯ ในปี 2546) เช่นเดียวกับด้านการลงทุนขยับขึ้นมาแตะ 13.17 พันล้านดอลลาร์ฯ (จากมูลค่า 3.04 พันล้านดอลลาร์ฯ ในปี 2546)
ในระยะถัดไป นายหลี่ เค่อเฉียง ได้สะท้อนมุมมองว่าความสัมพันธ์ของอาเซียนกับจีนกำลังก้าวสู่ “ทศวรรษแห่งเพชร (Diamond Decade)” อันเป็นอีกขั้นของการยกระดับความสัมพันธ์ระหว่างกันเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัวจากทศวรรษแห่งทองที่ผ่านมา ด้วยเป้าหมายการค้ารวมเบื้องต้นไม่ต่ำกว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์ฯ และการลงทุนสะสมระหว่างกันไม่ต่ำกว่า 1.5 แสนล้านดอลลาร์ฯ ในปี 2563 (การลงทุนสะสมถึงปี 2555 มีมูลค่า 96.6 พันล้านดอลลาร์ฯ)
การยกระดับความสัมพันธ์ดังกล่าวยิ่งเน้นบทบาทอาเซียนในจีนเด่นขึ้นในระยะข้างหน้า

จากปัจจุบันที่อาเซียนได้ก้าวแซงหน้าญี่ปุ่นมาเป็นคู่ค้าอันดับ 3 ของจีน ได้สำเร็จในปี 2554 และมีสัดส่วนการค้าราวร้อยละ 10.4 ของมูลค่าการค้ารวมทั้งหมดของจีนกับตลาดโลก (เป็นรองเพียงสหภาพยุโรปและสหรัฐฯ ตามลำดับ) ซึ่งหากมองให้ลึกลงมาสู่ด้านการนำเข้าของจีนจากแต่ละประเทศในอาเซียน พบว่า สินค้าไทยยังคงโดดเด่นจากอานิสงส์ของพัฒนาการของความสัมพันธ์ดังกล่าว ขณะเดียวกันคู่แข่งอื่นๆ ก็เร่งตัวขึ้นเพิ่มความท้าทายที่ต้องติดตามในระยะข้างหน้าด้วยเช่นกัน

10 ปีนับจากนี้ ... สินค้าไทยยังมีโอกาสคงอันดับ 1 ใน 3 ของอาเซียนในจีน



อานิสงส์จากการลดภาษีภายใต้กรอบการค้าเสรีอาเซียน – จีนลงเหลือร้อยละ 0 ในปี 2553 ทำให้ในปัจจุบันอาเซียนเป็นแหล่งนำเข้าอันดับ 2 ของจีน (รองจากสหภาพยุโรป) แซงหน้าไต้หวัน เกาหลีใต้ และญี่ปุ่น ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา สะท้อนว่าสินค้าจากอาเซียนมีศักยภาพเข้าสู่ตลาดจีน ตอบรับการบริโภคและภาคการผลิตได้ในหลายระดับขั้น จากความพร้อมทางทรัพยากรและเทคโนโลยีในการผลิต โดยในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2556 มีมูลค่าการนำเข้าราว 145.7 พันล้านดอลลาร์ฯ ขยายตัวร้อยละ 1.1 (YoY)
หากเทียบในกลุ่มอาเซียนแล้วนับว่าสินค้าไทยมีความสำคัญอย่างมาก โดยในปัจจุบันขึ้นแท่นเป็นเบอร์ 2 ครองส่วนแบ่งร้อยละ 19.2 ของสินค้าอาเซียน (รองจากมาเลเซียที่มีสัดส่วนร้อยละ 30.3) ด้วยอัตราเร่งถึง 3.4 เท่าตัว จากเมื่อ 10 ปีก่อน แม้ว่าอินโดนีเซีย เวียดนาม เมียนมาร์ และสปป.ลาว จะเร่งตัวได้สูงขึ้นเช่นกัน แต่สินค้าไทยมีศักยภาพยังสามารถครองตลาดจีนได้อย่างน่าสนใจ อาทิ ยางและผลิตภัณฑ์ พลาสติก เคมีภัณฑ์ ผักและผลไม้ ไม้และผลิตภัณฑ์ ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง หนังดิบและหนังฟอก สารแอลบูมินอยด์/กาว/เอนไซม์ และแก้วและเครื่องแก้ว เป็นต้น

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า ด้วยขีดความสามารถในการแข่งขันของสินค้าไทยในตลาดจีนได้เป็นที่ประจักษ์จนกระทั่งก้าวมาเป็นแหล่งนำเข้าที่สำคัญของจีน และสินค้าที่เข้าสู่ตลาดจีนหลากหลายรายการมากขึ้นจากในอดีตที่กระจุกตัวเพียงไม่กี่รายการสินค้า ประกอบกับข้อได้เปรียบจากทำเลที่ตั้งของไทยที่อยู่ใกล้กับจีนโดยอาศัยประโยชน์จากการเชื่อมโยงภายในภูมิภาค (Regional Connectivity) ตามแรงสนับสนุนของนโยบายทางการจีนน่าจะช่วยผลักดันสินค้าไทยเข้าสู่จีนได้หลายช่องทางการขนส่งที่เชื่อมต่อกันสะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการขนส่งทางทะเลเข้าสู่พื้นที่เศรษฐกิจหลักของจีน (กวางตุ้ง เซี่ยงไฮ้ ปักกิ่ง) ทางอากาศเข้าตรงสู่ใจกลางประเทศจีนได้หลายเส้นทาง (เสฉวน ส่านซี) รวม

ถึงทางบกผ่านภาคอีสานหรือภาคเหนือเพื่อเข้าสู่จีนตอนใต้ (กวางสี และยูนนาน) ด้วยองค์ประกอบดังกล่าว ทำให้น่าจะมีส่วนเสริมให้สินค้าไทยยังมีโอกาสคงบทบาทเป็นผู้เล่นที่สำคัญติดอันดับ 1 ใน 3 ของสินค้าอาเซียนในจีนได้นับจากนี้ อย่างไรก็ดี ต้องพึงระวังการเร่งตัวของสินค้าคู่แข่งที่แข่งขันรุนแรงมากขึ้น โดยเฉพาะสินค้าจากอินโดนีเซียและเวียดนามที่ต่างมีจุดแข็งเข้าสู่ตลาดจีนได้อย่างน่าสนใจ ซึ่งเป็นเรื่องที่ผู้ประกอบการไทยควรให้ความสำคัญเพื่อรักษาจุดยืนของสินค้าไทยในตลาดจีน
จับตาความท้าทาย: คู่แข่งจากอาเซียน ... ชิงส่วนแบ่งสินค้าไทยเพิ่มขึ้น

จากภาพรวมในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา (นับตั้งแต่ปี 2551-2555) การแข่งขันของสินค้าอาเซียนในตลาดจีนเริ่มส่อแววชัดเจนกดดันส่วนแบ่งตลาดสินค้าไทยจากร้อยละ 22 ในปี 2551 เหลือร้อยละ 19.2 ในปัจจุบัน โดยเฉพาะสินค้าจากอินโดนีเซียและเวียดนามก้าวขึ้นมามีบทบาทอย่างรวดเร็วจนสามารถชิงส่วนแบ่งตลาดของไทยไปได้ในหลายกลุ่มสินค้า ในขณะที่สินค้ามาเลเซียอันเป็นเจ้าตลาดเดิมยังคงรักษาตลาดไว้ได้ค่อนข้างเหนียวแน่น รวมถึงเมียนมาร์กับ สปป.ลาว แม้จะยังไม่ใช่คู่แข่งไทยในขณะนี้แต่ก็เริ่มมีศักยภาพในการผลิตสินค้าและเข้าสู่จีนได้มากขึ้นด้วยเช่นกัน

การนำเข้าสินค้าของจีนจากอาเซียนในช่วงปี 2551 ถึงช่วง 9 เดือนแรกของปี 2556


ที่มา: Global Trade Atlas รวบรวมโดยศูนย์วิจัยกสิกรไทย

สินค้าเวียดนามคล้ายคลึงกับไทย จึงเป็นคู่แข่งที่ต้องเฝ้าระวังในเชิงโครงสร้างสินค้า โดยสินค้าสำคัญของเวียดนามที่มีดีกรีการแข่งขันกับไทยค่อนข้างสูง อาทิ เครื่องจักรไฟฟ้า/ส่วนประกอบ เครื่องจักรกล/ส่วนประกอบ แร่และเชื้อเพลิง ไม้และผลิตภัณฑ์ ยางและผลิตภัณฑ์ ธัญพืช ด้ายและเส้นใย ผักและผลไม้ และรองเท้า เป็นต้น หนึ่งในกุญแจสำคัญมาจากเม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศเข้าขยายฐานการผลิตไม่ว่าจะเป็น จีน ญี่ปุ่น และสิงคโปร์ ซึ่งหนุนศักยภาพการผลิตของเวียดนาม รวมถึงการเปิดช่องทางการค้ากับจีนหลายเส้นทางเพิ่มความสะดวกในการเข้าถึงตลาด และการที่จีนให้สิทธิพิเศษแก่ประเทศเวียดนามที่มีพรมแดนติดกับจีนโดยสินค้านำเข้าจากเวียดนามไม่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม ขณะที่ไทยยังต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มร้อยละ 13 สำหรับสินค้าเกษตรกรรม และร้อยละ 17 สำหรับสินค้าอุตสาหกรรม ส่งผลให้สินค้าจากเวียดนามเข้าสู่จีนเพิ่มขึ้นมามีส่วนแบ่งร้อยละ 8.5 ของสินค้าอาเซียนในจีน (จากร้อยละ 3.7 ในปี 2551)

สินค้าอินโดนีเซียเน้นที่ทรัพยากรและวัตถุดิบ เป็นคู่แข่งลักษณะเฉพาะ ตอบโจทย์การเสาะหาความมั่นคงทางวัตถุดิบและพลังงานของจีน แม้ไม่ใช่คู่แข่งโดยตรงแต่เริ่มเบียดส่วนแบ่งตลาดของไทยในจีนมากขึ้น เนื่องจากอินโดนีเซียมีทรัพยากรธรรมชาติเป็นจุดขายผนวกกับการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติและนักลงทุนจีนที่เข้าไปขยายฐานการผลิตในสาขาเหมืองแร่ น้ำมันและก๊าซธรรมชาติ แล้วส่งสินค้าวัตถุดิบขั้นกลางกลับมารองรับการผลิตในจีนทำให้สินค้ามีลักษณะแตกต่างกับสินค้าของไทยพอสมควร ได้แก่ น้ำมันและก๊าซธรรมชาติ แร่และตะกรันเถ้า น้ำมันจากพืชและสัตว์ ยางและผลิตภัณฑ์ ทองแดงและส่วนประกอบ ไม้และผลิตภัณฑ์ ดีบุก

และนิกเกิล เป็นต้น กระนั้นก็ดี แม้ว่าอินโดนีเซียอาจยังไม่ใช่คู่แข่งกับสินค้าไทยโดยตรงแต่ในด้านมูลค่าการค้าก็อาจชิงบทบาทไทยด้วยส่วนแบ่งตลาดที่เพิ่มขึ้นในระยะข้างหน้า จากที่อินโดนีเซียขณะนี้มีส่วนแบ่งร้อยละ 15.7 ของสินค้าอาเซียนในจีน (จากร้อยละ 12.3 ในปี 2551)

หลายสินค้าของไทยถูกชิงส่วนแบ่งตลาดไปแล้วและมีแนวโน้มสูญเสียตลาดมากขึ้น อาทิ ไข่มุก/รัตนชาติ ธัญพืช ปลาสด/แช่เย็น/แช่แข็ง โดยเฉพาะสินค้าเครื่องจักรกล/ส่วนประกอบ และเครื่องจักรไฟฟ้า/ส่วนประกอบ สินค้าดังกล่าวครอบคลุมถึงคอมพิวเตอร์และส่วนประกอบอันเป็นสินค้าส่งออกหลักของไทย ซึ่งในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2556 เวียดนามเป็นเพียงประเทศเดียวในอาเซียนที่ขยายตลาดในจีนได้ในเกณฑ์สูงอัตราขยายตัว 2 หลัก สวนทางกับประเทศอื่นที่หดตัว ส่วนแบ่งตลาดสินค้าดังกล่าวของเวียดนามเพิ่มเป็นร้อยละ 13.4 ของสินค้าอาเซียนในจีน (จากร้อยละ 2.5 ในปี 2551) ต่างกับไทยที่ส่วนแบ่งลดลงเหลือร้อยละ 48.7 (จากร้อยละ 57.8 ในปี 2551) โดยประเด็นดังกล่าวเป็นมูลเหตุสำคัญที่ฉุดการส่งออกของไทยไปจีนในปีนี้และอาจรุนแรงมากขึ้นต่อเนื่องในระยะข้างหน้า หากเวียดนามเร่งการผลิตได้เต็มกำลัง สำหรับคู่แข่งอื่นๆ ในการชิงส่วนแบ่งของไทยที่ไม่ควรมองข้าม อาทิ มาเลเซีย อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ เป็นต้น

โดยสรุป สินค้าไทยที่มีศักยภาพและยังแข่งขันได้ในตลาดจีน อาทิ ยางและผลิตภัณฑ์ พลาสติก เคมีภัณฑ์ ผักและผลไม้ ไม้และผลิตภัณฑ์ แต่การแข่งขันของสินค้าอาเซียนโดยเฉพาะสินค้าจากเวียดนามที่ได้อานิสงส์นำเข้าสินค้าด้วยต้นทุนต่ำจากการมีพรมแดนติดกับจีน ผนวกกับการพัฒนาศักยภาพการผลิตจนกระทั่งกำลังเบียดส่วนแบ่งสินค้าไทยในจีนได้มากขึ้น รวมถึงอินโดนีเซียที่แม้ไม่ได้แข่งขันในเชิงโครงสร้างสินค้ากับไทยโดยตรงแต่มูลค่านำเข้าสู่จีนเพิ่มขึ้นอย่างน่าสนใจอาจลดทอนบทบาทไทยในตลาดจีนระยะข้างหน้าได้

ประเด็นดังกล่าวจะทวีความเข้มข้นใน “ทศวรรษแห่งเพชร” ของความสัมพันธ์อาเซียน-จีนที่กำลังดำเนินอยู่ ดังนั้น ผู้ประกอบการไทยจึงควรเร่งหาทางเสริมความแข็งแกร่งทางการผลิต ต่อยอดการผลิตสินค้า สร้างมูลค่าเพิ่มแก่สินค้า หรือสร้างโอกาสขยายตลาดสินค้าใหม่เข้าสู่ตลาดจีน เพื่อบรรเทาภาวะการแข่งขันในกลุ่มสินค้าเดิมที่ต้องยอมรับว่าเสียส่วนแบ่งตลาดไปแล้ว โดยเฉพาะเครื่องจักรกล/ส่วนประกอบ และเครื่องจักรไฟฟ้า/ส่วนประกอบอันครอบคลุมคอมพิวเตอร์และส่วนประกอบเป็นสินค้าที่ไทยพึ่งพิงตลาดจีนค่อนข้างมาก รวมถึงการแสวงหาช่องทางการค้าหรือพื้นที่การค้าใหม่ในจีนให้มากขึ้นเพื่อรักษาตลาดและผลักดันภาพรวมการค้าของไทยที่มีจีนเป็นตลาดหลักในขณะนี้

ที่มา.นสพ.ฐานเศรษฐกิจ
///////////////////////////////////////////////

ละครน้ำเน่าเรื่อง : นิรโทษเหมาเข่ง !!?

โดย.ใจ อึ๊งภากรณ์

ตอนนี้รัฐบาลเพื่อไทยและแกนนำ นปช. กำลังเล่นละครน้ำเน่าเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจจากประเด็นแท้สำคัญๆ เกี่ยวกับการนิรโทษกรรมฆาตกรทหารและนักการเมือง

ในฉากแรกของละครเน่า นปช. ออกมาบอกว่าจะ “ขอหย่า” กับ “ผัว” เพื่อไทย เพราะน้อยใจเรื่องสื่อ การขอหย่าครั้งนี้เป็นการสร้างภาพเพื่อเอาใจเสื้อแดงที่ไม่พอใจการนิรโทษกรรมเหมาเข่ง

แต่เราต้องอ่านคำพูดของแกนนำ นปช. ให้ดี คือ จะไม่เคลื่อนมวลชนเสื้อแดงต่อต้านพรรคเพื่อไทย และเรียกร้องให้มีการนำประยุทธ์ อนุพงษ์ อภิสิทธิ์ กับสุเทพ มาลงโทษ ตรงกันข้ามจะปกป้องรัฐบาลแทน ไม่ว่ารัฐบาลทำอะไร นอกจากนี้จะไม่เคลื่อนไหวและรณรงค์ให้ยกเลิก112 และปล่อยนักโทษ 112 แต่อย่างใด อันนี้เป็นจุดยืนมานาน สรุปแล้วการต้านนิรโทษกรรมเหมาเข่งของ แกนนำ นปช. เป็นแค่นามธรรมเพื่อดูดีเท่านั้น

ในฉากที่สอง พรรคเพื่อไทยประกาศ “ถอน” ร่างกฏหมายนิรโทษกรรม แต่ต้องอ่านคำพูดเขาดีๆ เช่นกัน เพื่อไทยจะยอมถอยถ้า สว. ตีกลับ แต่ไม่มีการพูดว่าจะนำประยุทธ์ อนุพงษ์ อภิสิทธิ์ และสุเทพ มาขึ้นศาลเลย ในความเป็นจริงรัฐบาลเพื่อไทยและ นปช. เลิกพูดถึงอาชญากรรมของทหารนานแล้ว เพราะทักษิณกับยิ่งลักษณ์มีข้อตกลงกับทหาร ดังนั้นไม่มีการพูดว่าจะปฏิรูปหรือยกเลิก 112 เลย ไม่มีการพูดว่า สมยศและดา จะได้รับการปล่อยตัว และไม่มีคำมั่นสัญญาว่า สส. เพื่อไทยทุกคนจะลงคะแนนคัดค้านร่างกฏหมายนิรโทษเหมาเข่งใหม่ที่คนอื่นเสนอในอนาคต

ฉากที่สามเป็นบทรองที่แยกจากบทหลัก “ลุงทักษิณ” ออกมาพูดว่ามันเกี่ยวกับเขาคนเดียว มองเห็นแต่ตัวเองตลอด ไม่พูดถึงคนติดคุกคดี 112 พูดแต่ว่าตัวเอง “เจ็บปวด” เพื่อดึงน้ำตาจากผู้ชม แต่เศรษฐีอย่างทักษิณไปไหนในโลกก็สบาย ไม่ต้องทนทรมานเหมือนคนติดคุกในไทย และยังหน้าด้านมาพูดอีกว่า "ขอฝากให้ทุกคนยอมกลืนเลือดคนละหน่อย" ในความจริงมีเสื้อแดงกลืนเลือดไปเยอะ คือคนที่ถูกยิงตายโดยทหาร อันนี้ไม่นับคนบาดเจ็บและญาติของคนตาย

ในฉากที่สี่ บทเริ่มเล่นเรื่องผี เพราะแกนนำ นปช. และเสื้อแดงที่พร้อมจะแก้ตัวให้รัฐบาลที่หักหลังวีรชน ออกมาปลุก “ผีรัฐประหาร” อีกครั้ง แต่จะไม่มีรัฐประหารหรอก ทหารต้องการให้มีการนิรโทษกรรมตัวเอง และทุกครั้งที่เพื่อไทยและแกนนำ นปช. เห็นเสื้อแดงจำนวนมากไม่พอใจรัฐบาล ก็จะออกมาร้อง "รัฐประหารๆๆๆ" เหมือนเด็กเลี้ยงแกะ เพื่อเบี่ยงเบนประเด็น ดังนั้นคนที่รักสิทธิเสรีภาพ และไม่อยากเห็นฆาตกรลอยนวลในขณะที่คนอย่างสมยศติดคุก ต้องไม่ถูกหลอกให้ออกมาปกป้องรัฐบาลเพื่อไทยจากผีที่ไม่มีจริง

ส่วนในอีกย่านของเมือง พวกสลิ่มและประชาธิปัตย์มือเปื้อนเลือด ก็ออกมาชุมนุมค้านนิรโทษกรรม แต่สาเหตุคือเกลียดทักษิณและอยากสร้างภาพเท่านั้น เพราะพวกนี้สนับสนุนการทำลายประชาธิปไตยและการเข่นฆ่าเสื้อแดงมาตลอด ถือว่าเป็นนักแสดงในละคนตอแหลยอดเยี่ยม อย่างไรก็ตามเราไม่ควรลืมว่าต้นเหตุของปัญหาสลิ่มมาจากการที่รัฐบาลพรรคเพื่อไทยรวมทักษิณเข้าไปในการนิรโทษกรรม ซึ่งเปิดช่องทางให้พวกสลิ่มปฏิกิริยา ที่สนับสนุนรัฐประหาร สามารถออกมาสร้างภาพด้วยการปฏิเสธกฏหมายเหมาเข่ง สลิ่มเป็นพวกรักเผด็จการ แต่ในขณะเดียวกันพรรคเพื่อไทยและแกนนำ นปช. ไปอยู่ข้างเผด็จการด้วย เพราะไปตกลงกับทหารว่าจะไม่มีการลงโทษฆาตกร และจะไม่ปล่อยนักโทษ112 ไม่ยกเลิก 112 ทั้งหมดเพื่อให้ทักษิณได้กลับบ้านคนเดียว และผลระยะยาวคือการฆ่าประชาชนแล้วลอยนวลกลายเป็น “มาตรฐาน”

ในฉากที่ห้าของละครเน่าแกนนำ นปช. จูบปากคืนดีกับ “ผัว” รัฐบาลเพื่อไทยแล้ว คือไอ้ที่บอกว่า "หย่า" นั้นแค่งอนเท่านั้น คืนดีกันเพื่อให้ผู้ชมจะได้หลับสบาย

แต่เราต้องไม่ยอมให้พวกนั้นบิดเบือนประเด็น เพราะประเด็นหลักคือฆาตกรทหารและนักการเมืองที่ต้องถูกนำมาลงโทษ และ112 ที่ต้องถูกยกเลิก สมยศและคนอื่นต้องสามารถกลับบ้านได้

เลือกตั้งครั้งต่อไป คนเสื้อแดงที่รักประชาธิปไตยไม่ควรลงคะแนนให้พรรคเพื่อไทยเป็นอันขาด และแน่นอนไม่ควรเลือกพรรคประชาธิปัตย์ ควร “กาช่องไม่เลือกใคร”

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
-------------------------------------------

วันศุกร์ที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

นัดชี้ชะตา ตัดสินพระวิหาร !!?

โดย. ถวัลย์ศักดิ์ สมรรคะบุตร

เหลือระยะเวลาอีกเพียง 2 วัน ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ หรือศาลโลก ก็จะอ่านคำพิพากษาคดีพระวิหารปี 2505 นับเป็นการอ่านคำพิพากษาท่ามกลางสถานการณ์ทางการเมืองที่คุกรุ่นของทั้ง 2 ฝ่าย กล่าวคือ ฝ่ายกัมพูชา

สถานะของสมเด็จฮุน เซน หัวหน้าพรรคประชาชนกัมพูชา กำลังถูกท้าทายหลังการเลือกตั้งสิ้นสุดลง โดยสามารถรักษาที่นั่งของ ส.ส.ได้เพียง 68 ที่นั่ง จากเดิม 90 ที่นั่ง

ส่วนพรรคกู้ชาติกัมพูชาของนายสม รังสี ได้รับเลือกตั้งเข้ามาถึง 55 ที่นั่ง จากเดิม 29 ที่นั่ง พร้อมกับข้อกล่าวหาว่าพรรคประชาชนกัมพูชาโกงการเลือกตั้ง เกิดการประท้วงเป็นวงกว้างในกรุงพนมเปญ

ในขณะที่รัฐบาลไทย นำโดย น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี จากพรรคเพื่อไทย ก็กำลังตกอยู่ในสถานะลำบาก หลังจากดึงดันที่จะผ่านร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฯ ฉบับเหมายกเข่ง โดยไม่ฟังเสียงคัดค้านจากภาคส่วนใหญ่ในสังคม ส่งผลให้พรรคประชาธิปัตย์เรียกระดมพลออกมาต่อต้านตามท้องถนนต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน

สถานการณ์ทางการเมืองของทั้ง 2 ประเทศที่มีข้อพิพาทเรื่องพระวิหารกำลังขมวดเกลียวขึ้นมานั้น เป็นผลมาจากคำขอของฝ่ายกัมพูชาที่ให้ศาลโลกตีความคำพิพากษาปี 2505 ซึ่งได้ตัดสินมีสาระสำคัญไปแล้วว่า อำนาจอธิปไตยแห่งดินแดนเหนือปราสาทพระวิหารเป็นของกัมพูชากับประเทศไทย มีพันธะที่จะต้องถอนหน่วยทหารที่ได้เข้าไปตั้งประจำอยู่ ณ บริเวณสิ่งหักพังของปราสาทพระวิหารออกไป

ประเทศไทยเห็นว่า นับตั้งแต่ปี 2505 เป็นต้นมา ไทยได้ปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาลโลกครบถ้วนแล้วทุกประการ โดยเป็นการปฏิบัติตามมติ ครม. 10 กรกฎาคม 2505 ซึ่งสอดคล้องกับขอบเขตของพื้นที่พิพาทในคดีนี้ และฝ่ายกัมพูชาก็เห็นตรงกันตามความเข้าใจทั้ง 2 ฝ่ายมาตลอดตั้งแต่ปี 2505

ในขณะที่ฝ่ายกัมพูชา (ท่าทีหลังปี 2505 หลังจากต้องการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก แต่ฝ่ายไทยคัดค้าน) เห็นว่าประเทศไทยยังไม่ได้ปฏิบัติตามพันธกรณีที่ต้องถอนทหารออกไปอย่างครบถ้วน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสิ่งที่ฝ่ายกัมพูชาเรียกว่า บริเวณใกล้เคียงปราสาทบนดินแดนของกัมพูชา หรือ "Vicinity" ซึ่งเป็นดินแดนที่กัมพูชาได้อ้างว่า ได้ปักปันไว้ในอาณาบริเวณปราสาทและบริเวณใกล้เคียงด้วยเส้นบนแผนที่ภาคผนวก 1 (มาตราส่วน 1 : 200,000 ระวางดงรัก) ซึ่งคำพิพากษาของศาลโลกปี 2505 ใช้เป็นพื้นฐานในการพิจารณาคดี

หลังการยื่นขอให้ศาลโลกตีความคำพิพากษา ฝ่ายไทยได้ต่อสู้ว่าคำฟ้องของกัมพูชาครั้งนี้เป็น "เสมือนคำอุทธรณ์" ที่ซ้อนมาในรูปของคำขอตีความ ให้ศาลตัดสินในสิ่งที่ศาลโลกได้เคยปฏิเสธไปแล้ว ซึ่งได้แก่ เส้นเขตแดนและเรื่องสถานะทางกฎหมายของแผนที่ภาคผนวก 1 ที่กัมพูชาใช้กล่าวอ้าง

ส่วนเรื่อง Vicinity หรือบริเวณใกล้เคียงปราสาท ตามคำพิพากษาปี 2505 (ซึ่งมีพื้นที่ทับซ้อนประมาณ 4.6 ตารางกิโลเมตร) ที่ฝ่ายกัมพูชาอ้างว่าเป็นไปตามเส้นบนแผนที่มาตราส่วน 1 : 200,000 ระวางดงรักนั้น ฝ่ายไทยมีข้อต่อสู้ว่าเป็นคนละเรื่อง ดังนั้น "บริเวณใกล้เคียงปราสาท" จึงไม่จำเป็นต้องมีขอบเขตเป็นเส้นเขตแดน ประกอบกับได้มีความพยายามที่จะชี้ให้ศาลโลกเห็นว่า แผนที่ภาคผนวก 1 ที่กัมพูชาใช้อ้างในการตีความคดีปัจจุบันนั้น ไม่ตรงกับเส้นที่กัมพูชาอ้างไว้ในคดีเมื่อปี 2505

ฝ่ายไทยได้คาดการณ์ถึงความเป็นไปได้ของคำพิพากษาจะออกมา 4 แนวทาง คือ 1) ศาลโลกไม่มีอำนาจตีความ (ตามคำขอของกัมพูชา) หรือ มีอำนาจแต่ไม่มีประเด็นที่จะต้องพิจารณา 2) ตัดสินว่า Vicinity เป็นไปตามเส้นบนแผนที่มาตราส่วน 1 : 200,000 ระวางดงรัก 3) ตัดสินว่า Vicinity เป็นไปตามมติ ครม.ไทยปี 2505 และ 4) ตัดสินแบบกลาง ๆ ด้วยการให้ความกระจ่างในข้ออ้างเรื่องแผนที่มาตราส่วน 1 : 200,000 เพื่อเป็นแนวทางให้ทั้ง 2 ฝ่ายกลับไปเจรจากันต่อไป

แต่ไม่ว่าคำพิพากษาจะออกมาอย่างไร ทั้ง 2 ประเทศได้แสดงท่าทีออกมาแล้วว่า การปฏิบัติตามคำพิพากษาจะมีการหารือกันในกรอบคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคีไทย-กัมพูชา (JC) ต่อไป ส่วนจะหารือกันได้แค่ไหนอย่างไร ขึ้นอยู่กับแรงกดดันทางการเมืองที่แต่ละฝ่ายจะได้รับเป็นสำคัญ

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
--------------------------------------

ใครกันแน่ !!??

โดย.พญาไม้

ถอยหนึ่งก้าว..ไม่ใช่ถอยกันคนละก้าว

พรรคเพื่อไทยไม่ว่าจะมีผู้ปฏิเสธกันอย่างไร..วันนี้ครอบครัวชินวัตรก็ต้องหลีกเลี่ยงกระแสแห่งมหาชนที่กำลังก่อตัวเป็นพายุใหญ่

ว่ากันว่า..

คลื่นใหญ่เกิดขึ้นได้หลายสาเหตุและเมื่อมหาชนโดนปลุกจนเป็นกระแสนั้น..เหตุผลจะหายไป

การใช้เสียงข้างมากลากไปในสภา..ปลุกให้คนทั่วหวาดหวั่นต่ออำนาจที่อยู่เบื้องหลัง..และสร้างปฏิกิริยาสท้อนกลับให้เป็นแรงต้าน

ฝ่ายตรงกันข้ามกับทักษิณ..ประสพความสำเร็จเป็นครั้งแรกในการจัดม็อบ..จากความดึงดันของพวกชินวัตรเอง

ศัตรูของทักษิณพบจุดอ่อนของอำนาจของครอบครัวชินวัตรในทางการเมือง..คนจำนวนหนึ่งเริ่มเชื่อว่า สามารถทานอำนาจของรัฐบาลชินวัตรได้

แทนการผสานกำลังให้แข็งแกร่งในยามเผชิญศึกอยู่ข้างหน้า..บางคนใน สกุลชินวัตร ยังหันหลังมาระบายโทสะใส่พละกำลังของตนเอง น่าเวทนาในความอ่อนด้อยของสติปัญญา..
ยิ่งทำให้ฝ่ายตรงกันข้ามฮึกเหิม

ทหารแห่งกรุงศรีอยุธยา ตากสิน พากองทัพปีนกำแพงเมืองก่อนพม่าจะเข้าไปฆ่าและเผา..เพราะสติปัญญาของครองอำนาจมีปัญหา..นั่นเป็นหนึ่งในเรื่องราวของประวัติศาสตร์..

พรรคเพื่อไทยของทักษิณ ชินวัตรกำลังถูกผู้สืบต่ออำนาจที่โง่เขลา..ขับไล่กองกำลังที่สามารถ.. ออกไปในขณะที่ศัตรูกำลังไล่ล่า

หายนะดาหน้าเข้าหาแจ่มชัด

ถอยหนึ่งก้าวอาจจะทุเลาความปราชัยให้ถอยห่างออกไปได้ก็เพียงชั่วขณะ..แต่สติปัญญาในการศึกการสงครามเช่นเก่า ก็เปิดประตูเชิญความพินาศให้มาเหยียบเยือนจนได้ในวันหนึ่ง..ข้าศึกที่กำลังคึกคนองจะเดินหน้าเข้ามา สองก้าว!!?

อำนาจที่กำลังจะปราชัยต้องการขวัญและกำลังใจความรักสมัครสมาน ไม่ใช่พายุอารมณ์ ที่โหมใส่และวาจาเลวร้าย..พรรคการเมืองไม่ใช่เรือนขังทาส..กองทัพที่เต็มไปด้วยความรักของนายทัพ กับไพร่พลผจญศึกได้ดีกว่ากองทัพที่มีแต่การชี้หน้าด่ากราดเหล่าข้าทาสว่ากินบนเรือนแล้วขี้บนหลังคา

เพราะ..ไอ้ที่ส่งเขาไปตายแล้วสบายอยู่ครอบครัวเดียวต่างหาก..ที่กินบนเรือนแล้วขี้ใส่หลังคา !!?

ที่มา.บางกอกทูเดย์
---------------------------------------

เพื่อไทยเจ๊ง.. ไปไม่สุดซอย แต่สุดโง่ !!?


แพง มว๊าก..!!?
ถอย คือ ชนะ
ดันทุรัง คือ พ่ายแพ้
เมื่อไม่เข้าใจถึงความจริงข้อนี้ พรรคเพื่อไทยจึงตกอยู่ในสถานการณ์ที่วิกฤตและอันตรายอย่างที่สุด

เพราะแม้ว่าพรรคเพื่อไทยจะยอมรับว่ามีการประเมินยุทธศาสตร์ผิดพลาด จนขณะนี้ นายกฯยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้มีการแถลงการณ์แสดงท่าทีว่าจะไม่ดื้อดึงไปแล้ว จะยอมรับดุลยพินิจของวุฒิสภา

หากจะคว่ำก็คือคว่ำ... ไม่ว่าอะไร

แต่ในสถานการณ์ที่ไม่ได้มีแค่บรรดาขาประจำเจ้าเก่าเท่านั้น แต่ขยายวงต่อต้านการนิรโทษกรรมเหมาเข่งออกไปทั่วหมดแล้วเช่นนี้

ไม่รู้จริงๆว่า ต่อให้ถอยแล้วก็ตาม คู่อาฆาตทางการเมืองและขั้วตรงข้าม จะยอมปล่อยโอกาสทางการเมืองครั้งนี้หรือไม่???

เห็นได้ชัดจากเสียงที่ออกมาจากกลุ่มม็อบขาประจำ ที่ว่าจะไม่หยุดแค่นี้แน่ จะรุกคืบต่อ เพื่อให้รัฐบาลอยู่ไม่ได้ รวมถึงมีความพยายามที่จะไปให้ไกลถึงการขับไล่ตระกูลชินวัตรออกจากแผ่นดนไทยเลยด้วยซ้ำ

แม้จะหวังว่า ประชาธิปัตย์จะเป็นประเภทนักเลงจริง คือ จบเป็นจบ โดยไม่คิดอาฆาตลึกถึงความพ่ายแพ้ทางการเมืองมาตลอด 20 ปี และยังไม่มั่นใจว่าจะชนะในทางการเมืองได้อย่างไรในอนาคต คงไม่ฉวยโอกาสนี้ ทำลายคู่แข่งทางการเมืองแบบนอกกติกา เพื่อจะได้ไร้เสี้ยนหนามในการแข่งขันเลือกตั้งตลอดไป

เพราะการที่มีการจุดกระแสว่าจะไล่ทั้งตระกูลนั้น ต้องถามว่าตระกูลเกี่ยวอะไรด้วย เด็กเล็กเกี่ยวอะไรกับการทำลายล้างทางการเมืองหรือ???

ถ้าไม่เห็นด้วยกับการนิรโทษกรรมแบบเหมาเข่ง ก็ไม่ควรที่จะเห็นด้วยกับการเล่นงานเหมาเข่งยกทั้งตระกูลด้วยเช่นกัน... จริงหรือไม่

ตอนที่ประชาชนเรียกร้องให้หาคนผิดที่บงการจนมีคนตาย 99 ศพ บาดเจ็บกว่า 2,000 คน ก็มุ่งที่เฉพาะตัวบุคคล คือพุ่งเป้าไปแค่ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และ สุเทพ เทือกสุบรรณ เท่านั้นไม่ใช่หรือ???

ไม่เคยมีการพูดถึง ตระกูลเวชชาชีวะ และตระกูลเทือกสุบรรณ ให้ลูกเด็กเล็กแดงต้องหวาดวิตกเลยสักนิด

การเมืองไทยน่าจะเดินผ่านยุคมืดยุคทมิฬกันมานานแล้ว นานเกินกว่าที่จะเดินย้อนกลับไปสร้างประวัติศาสตร์การเมืองที่เลวร้ายเหมือนที่เคยเกิดขึ้นในอดีต

เพราะเชื่อว่าบรรดาคณาจารย์ นักวิชาการ นักกฎหมาย บรรดามหาวิทยาลัยต่างๆ ที่ออกมาแสดงพลังคัดค้านนั้น เป็นการคัดค้านการออกกฎหมายที่ขัดหลักการนิติธรรมเท่านั้น แต่ไม่ได้มุ่งหวังถึงขั้นจะทำลายล้างทางการเมืองใดๆแน่

อย่างการออกมาเดินชูธงของชาวจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จนพรึ่บไปทั้งสยามสแควร์

หรืออย่างการที่ในวันที่ 7 พฤศจิกายน ชาวธรรมศาสตร์ รวมตัวกันที่ลานปรีดี แล้วเคลื่อนขบวนไปรัฐสภา แวะประกาศแถลงการณ์ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ก่อนที่จะยื่นข้อเรียกร้องให้กับวุฒิสภานั้น

ก็เป็นการไปเพื่อทวงสัจจะวาจา ว่าจะคว่ำกฎหมายฉบับนี้จาก ส.ว.เท่านั้น

ไม่ได้เลยเถิดหวังผลทางการเมืองที่จะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงนอกระบบแต่อย่างใด

แต่เพียงแค่นี้ก็เป็นบทเรียนราคาแพงแสนแพงสำหรับพรรคเพื่อไทยและรัฐบาลแล้ว!!!

ในวันที่นายกฯยิ่งลักษณ์ต้องมาแถลงการณ์น้ำตาคลอตา น่าจะสื่อไปยังบรรดานักเชลียร์ภายในพรรคได้รู้สึกตัวบ้างว่าทำสิ่งที่พลาดมหันต์เพียงใด รวมทั้งน่าจะสื่อไปถึงผู้ใหญ่บางคนภายในพรรค ที่แนะนำเรื่องแบบนี้โดยคิดว่าข้าเก่งข้าแน่ทางด้านกฎหมาย ได้หันมาสำนึกเสียทีว่า

ความรู้สึกของผู้คนจำนวนมหาศาลนั้น มันเป็นเรื่องที่เกินกว่าจะมาใช้ข้อกฎหมายกล่าวอ้าง

ไม่ต้องมองความรู้สึกของประชาชนที่หลากหลาย เอาแค่ความรู้สึกของคนเสื้อแดง ที่เคยเป็นมิตรร่วมรบมาด้วยกันกับพรรคเพื่อไทย ต่อสู้กับอำนาจเผด็จการรัฐประหาร และขั้วอำนาจเดิมมาด้วยกัน

ก็ยังเจ็บปวดใจจนเกินกว่าที่จะรับได้

แม้ในหลักการประชาธิปไตย คนเสื้อแดงยังพร้อมที่จะลุกขึ้นมาต่อสู้เพื่อปกป้องรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน หากอำนาจนอกระบบหรือขั้วตรงกันข้ามจะใช้เกมนอกกติกามาล้ม

ในวันที่นายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำคนเสื้อแดง ออกมาประกาศความเจ็บช้ำใจในสิ่งที่มิตรกระทำ ก็ยังยืนยันตลอดว่า แต่หากมีการกระทำใดๆนอกระบอบประชาธิปไตยเกิดขึ้น คนเสื้อแดงก็จะลุกขึ้นสู้เพื่อช่วยปกป้องรัฐบาลอยู่ดี... เพราะนั่นคือหลักการประชาธิปไตย

แต่ก็เช่นกันจะให้รับการนิรโทษกรรมแบบเหมาเข่ง มันก็เกินกว่าที่หัวใจจะรับไหวจริงๆ

อย่าลืมว่าคนเสื้อแดง หัวใจล้วนมีเลือดมีเนื้อ มีความเจ็บปวดจากภาพความทรงจำที่เลวร้ายในปี 2553 ฉะนั้นไม่ว่าอย่างไรก็ไม่มีทางรับได้หากฆาตกรจะลอยนวล!!!

นี่คือความจริงที่สะท้อนออกมาจากปากของแกนนำเสื้อแดง ซึ่งจริงๆหากคนในพรรคเพื่อไทยไม่หน้ามืดตามัว หรือตามืดบอดเพราสำคัญผิดในอำนาจแล้ว... ความรู้สึกของคนเสื้อแดงก็ใช่ว่าจะอ่านยากอะไรเลยสักนิด

ดังนั้นสิ่งที่ไม่เข้าใจก็คือ ในภาวะที่การต่อสู้ระหว่างขั้วอำนาจเก่าที่ต้องการอนุรักษ์ กับอำนาจใหม่ที่ต้องการเห็นการเปลี่ยนแปลงไปสู่การเป็นประชาธิปไตยที่แท้จริงยังมิได้ยุติเบ็ดเสร็จเด็ดขาด

ทำไมจึงได้มีกุนซือ หรือใครก็ตาม เสนอให้มองข้ามความรู้สึกของคนเสื้อแดงเช่นนี้

ยิ่งการถอดรายการของแกนนำคนเสื้อแดงออกจาก เอเชีย อัพ เดท ยิ่งเป็นเรื่องที่ต้องบอกว่า “ยิ่งกว่าโง่”จริงๆ

เพราะอย่างที่คนเสื้อแดงบอกนั่นแหละ เอาคนที่จะพูดความจริงออกไปจากจอ แล้วจะให้ผู้คนไปฟังความจริงจากที่ไหน? หรือจะให้หันไปฟังดราม่าจากช่องบลูสกายแทน

คนทำเรื่องโง่สุดบรรยายครั้งนี้เคยคิดบ้างหรือไม่?

ถ้ามีวิญญาณของความเป็นสื่อที่เข้าใจความคิดเห็นที่แตกต่างของมวลชนสักนิด จะต้องทำเหมือนหนังสือพิมพ์รายวันบางแห่ง ที่รู้กันทั้งประเทศว่า มีนักเขียนที่ยืนข้างเสื้อแดง และนักเขียนที่เป็นเสื้อเหลือง เขียนอยู่ในฉบับเดียวกันได้

แต่นี่กลับมีใครบางคนที่คุ้นเคยกับการทำสิ่งโง่ๆ สิ่งที่อื้อฉาวจนถูกวิพากษ์วิจารณ์ถล่มแหลกมาโดยตลอด ออกมาสั่งการให้ทำอะไรที่ผิดพลาด เพราะเป็นการ“ผลักมิตรให้ถอยห่าง”อย่างไม่น่าให้อภัย

อย่าลืมว่าที่ผ่านมา ขั้วอำนาจเก่าที่จับมือกับพรรคประชาธิปัตย์ ยังไม่กล้าที่จะทำอะไรนั้น ก็เป็นเพราะความกริ่งเกรงที่รัฐบาลและพรรคเพื่อไทย ยังมีคนเสื้อแดงเป็นมิตรร่วมรบนั่นเอง

แต่กลับมีคนซื่อบื้อ ทำให้คนเสื้อแดงรู้สึกว่าถูกละเลยความรู้สึก ถูกมองข้ามคุณค่า จนกลายเป็นรอยร้าวในใจขึ้นมา ซึ่งแน่นอนว่าคนที่ยินดีปรีดาไชโยโห่ฮิ้วอยู่ในใจสำหรับรอยร้าวที่เกิดขึ้นระหว่างคนเสื้อแดง กับพรรคเพื่อไทยและรัฐบาลนั้น

ก็คือขั้วตรงกันข้ามนั่นเอง!!!

กรณีของกฎหมายนิรโทษกรรมเหมาเข่ง สุดโต่งแบบโง่ๆครั้งนี้ กลุ่มคนเสื้อแดงก็เตือนมาตลอดว่าให้ระวังนะจะเข้าทางขั้วตรงข้าม ซึ่งที่ผ่านมาทุกม็อบที่จุดไม่ติด ก็เพราะถูกมองว่าไม่มีความชอบธรรม เป็นการทำเพื่อผลประโยชน์การเมือง

แต่กลายเป็นว่าเวลานี้ พรรคเพื่อไทยและรัฐบาล กลับไปมอบความชอบธรรมให้กับขั้วตรงข้ามนำมาใช้ทำร้ายตัวเอง

และส่อแววว่า กำลังมองข้ามชอต จะไม่หยุดปลุกกระแสแม้รัฐบาลเพื่อไทยจะยอมถอยร่างกฎหมายนิรโทษกรรมเจ้าปัญหาก็ตาม แต่จะปลุกกระแสต่อถึงขั้นยกระดับเล่นงานยกตระกูลชินวัตรกันเลยทีเดียว

อย่าคิดว่าเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เพราะอดีตเมื่อครั้ง 14 ตุลา 16 บรรดานักศึกษาที่คิดว่าชนะขั้วอำนาจ สามารถนำประชาธิปไตยมาสู่ประเทศไทยได้แล้ว ยังถูกทำลายย่อยยับจากเหตุการณ์ 6 ตุลา 19

ขั้วอำนาจอนุรักษ์ในขณะนั้นใช้เวลา 3 ปี ก็ทำลายพลังนักศึกษา และดึงอำนาจกลับมาได้เหมือนเดิม

นั่นคือบทเรียนในอดีตที่เกิดขึ้นมาแล้ว

ครั้งนี้ทำไมพรรคเพื่อไทยจึงจะเดินซ้ำรอยความผิดพลาดเช่นนั้นอีก

ยังไม่สายที่จะถอย ยังไม่สายที่จะกลับมาจูนกันใหม่กับมิตรร่วมรบ กับคนเสื้อแดง

เลิกฟังนักเชลียร์นักหลบเสียทีเถอะ อย่าลืมภาษิตฝรั่งที่ว่า History repeat itself! เป็นอันขาด

“ถอย” คือ ชนะ.... “ดันทุรัง” พังแน่นอน อย่าลืม

ที่มา.บางกอกทูเดย์
-------------------------------------------------

จี้รัฐทำเพื่อชาติ (สื่อนอกมองไทยดินแดน ทักษิณ )



สื่อนอกมองไทยไม่ต่าง "สาธารณรัฐแห่งทักษิณ" แนะรัฐบาลทำเพื่อประชาชน แก้ปัญหาเศรษฐกิจ เลิกขยันหาช่องทางพา"ทักษิณ"กลับบ้าน

บลูมเบิร์กเปิดเผยบทความของวิลเลียม เปเซค หนึ่งในคอลัมนิสต์ ได้แสดงความเห็นเกี่ยวกับสถานการณ์การเมืองของไทยในปัจจุบันผ่านบทความที่มีชื่อว่า "Thailand's Big Brother Drama" ระบุว่า ประเทศไทยเปรียบได้ว่าเป็น 'สาธารณรัฐแห่งทักษิณ' เนื่องจากทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในประเทศขณะนี้มีความเกี่ยวเนื่องและมุ่งเป้าต่อผลประโยชน์ของ อดีตนายกรัฐมนตรีท้กษิณ ชินวัตร ทั้งสิ้น

เปเซค เริ่มต้นบทความโดยระบุว่า "ขอต้อนรับเข้าสู่สาธารณรัฐแห่งทักษิณ" โดยแม้ว่านักท่องเที่ยวต่างชาติจะไม่ได้เห็นข้อความดังกล่าวติดอยู่บริเวณด่านตรวจคนเข้าเมืองเพื่อต้อนรับนักท่องเที่ยว แต่เชื่อได้เลยว่า สยามเมืองยิ้มแห่งนี้ได้กลายสภาพไปเป็นดินแดนของบุคคลที่ชื่อว่า ทักษิณ ชินวัตร เสียแล้ว เพราะถึงแม้ว่าอดีตนากยรัฐมนตรีถูกโค่นล้มลงจากตำแหน่งเมื่อ 7 ปีที่แล้ว แต่เงาของทักษิณ ยังคงปกคลุมและมีบทบาทต่อการเมืองไทยอยู่ดี เห็นได้จากขณะนี้ น้องสาวคนเล็กของทักษิณ ซึ่งก็คือ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ก็ได้ขึ้นนั่งเป็นนายกรัฐมนตรีของไทย

ผู้เขียนระบุว่า เป็นธรรมดาของความผูกพันฉันท์พี่น้อง ที่ผลักดันให้ ย่ิงลักษณ์ ชินวัตร ในฐานะน้องสาว ต้องคอยดูแลพี่ชายในสายเลือด ด้วยเหตุนี้ จึงเป็นที่มาของความพยายามผลักดันผ่านร่างกฎหมายนิรโทษกรรมฉบับสุดซอย เพื่อให้ทักษิณตลอดจนนักการเมืองคนอื่นๆพ้นความผิดในคดีต่างๆ จนกลายเป็นมหากาพย์ทางการเมืองที่รุนแรงที่สุดครั้งหนึ่งในรอบหลายปี ภายหลังจากมีประชาชนจำนวนมากออกมารวมตัวคัดค้านครั้งใหญ่

"และแม้ว่ายิ่งลักษณ์ ได้ออกมาประกาศที่จะยุติการพิจารณาร่างดังกล่าว แต่ใครที่คิดว่า การประกาศดังกล่าว ถือเป็นจุดจบของฝันร้ายของไทย ก็ผิดมหันต์ เนื่องจากมหาเศรษฐีอย่างทักษิณ ก็ไม่ต่างอะไรกับ ซิลวิโอ แบร์ลุสโคนี อดีตนายกรัฐมนตรีสามสมัยของอิตาลีที่ถูกดำเนินคดีทางการเมืองหลายคดีเช่นเดียวกัน ที่จะไม่ล้มเลิกความคิดที่จะกลับบ้าน เพราะต้องการที่จะกลับมาทวงคืนเงินที่รัฐยึดทรัพย์ไป พร้อมกับทวงเก้าอี้คืน" บทความระบุ

อย่างไรก็ตาม ผู้เขียนมองว่า ภายหลังจากมีการประกาศยุติพิจารณาร่างกฎหมายนิรโทษกรรม ได้มีการมุ่งเป้าความสนใจไปว่า ทักษิณจะได้รับผลกระทบอะไรจากการชะลอร่างครั้งนี้บ้าง ซึ่งเปเซคมองว่า แท้จริงแล้วควรหันกลับมาวิตกกังวลว่า ความวุ่นวายทางการเมืองได้ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยมากแค่ไหนเสียดีกว่า

"แทนที่นักการเมืองไทยและผู้กำหนดนโยบาย จะทุ่มเทเวลาส่วนใหญ่ที่จะพาทักษิณกลับบ้านให้ได้ ควรนำเวลาเหล่านั้นมาพัฒนาเศรษฐกิจประเทศให้ดีขึ้น เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในเวทีโลก และหาหนทางหลีกเลี่ยงกับดักชนชั้นกลาง เพื่อเพิ่มรายได้ให้กับชนชั้นกลางและล่างให้ได้อย่างมีประสิทธิภาพคงจะดีกว่า" ผู้เขียน ระบุ

นอกจากนี้ คอลัมนิสต์ของบลูมเบิร์ก ยังแสดงความเห็นเกี่ยวกับนโยบายจำนำข้าวของรัฐบาลไทยว่า เป็นกลยุทธ์ทางการเมืองที่ถอดแบบมาจากช่วงที่ทักษิณ ดำรงตำแหน่ง คือพยายามที่จะบิดเบือนนโยบายให้สอดรับกับความต้องการและผลประโยชน์ทางธุรกิจของตัวเอง ส่งผลให้ในปัจจุบัน ไทยต้องนั่งจมอยู่กับปริมาณข้าวในคลังจำนวนมหาศาล เท่ากับปริมาณส่งออกถึง2ปี จนบิดเบือนราคาข้าวในตลาดและส่งผลให้ไทยเสียตำแหน่งผู้ส่งออกข้าวอันดับหนึ่งของโลกอีกด้วย

"ดังนั้น คงถึงเวลาแล้วที่สาธารณรัฐแห่งทักษิณ ควรลดความสนใจจากบุคคลเพียงคนเดียว และหันมาตอบสนองความต้องการของมวลชนหมู่มากได้แล้ว" ผู้เขียนกล่าวทิ้งท้าย

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
----------------------------------

วันพฤหัสบดีที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

เมื่ออำนาจใหม่ บังอาจเจริญรอยตาม นิรโทษกรรม แบบอำนาจเก่า !!?

ในสถานการณ์บ้านเมืองสับสน โลกโซเชียลมีเดียอย่างเฟซบุ๊ก เป็นเหมือนโลกอีกใบหนึ่งที่เราได้ระบาย และถกเถียงแลกเปลี่ยน แม้บางครั้งจะกระทบกระทั่งกันหนักบ้างเบาบ้าง ก็ไม่ว่ากัน เป็นธรรมดาใน “ยุคสมัยวิกฤตภูมิปัญญา” ที่เรากำลังเผชิญอยู่ แต่โดยรวมแล้วหากตัดส่วนเล็กน้อยที่เกี่ยวกับลีลาท่าทีหรืออารมณ์ออกไป เราก็อาจได้สิ่งที่เกิดประโยชน์มากว่า แม้แต่คนที่ด่าเรา หากการด่านั้นมี “เหตุผล” ก็ถือว่ามีประโยชน์
ขอยกเรื่องที่น่าจะมีประโยชน์จากการวิเคราะห์ของ Pathai Pudha's status. (ซึ่ง อ.ชาญวิทย์ เกษตรศิริแชร์มาอีกที) บางส่วนที่น่าสนใจ ดังนี้

การนิรโทษ
เป็นสนามช่วงชิงแดนกัน
ระหว่างอำนาจเก่า อำนาจใหม่
+ + + + +

ในอาณาอำนาจเก่า ที่ผ่านมา
อำนาจเก่า เคยออก พ.ร.บ.นิรโทษมาหลายครั้งแล้วก็จริง
แต่เป็นนิรโทษให้แก่พวกตัวเอง พวกลูกน้องของตนเอง
อำนาจใหม่ จะทำในสิ่งเดียวกัน ก็เป็นการชิงแดนอำนาจ

เพราะอำนาจเก่าเขาเป็นผู้จับ/จองจำ/ทำโทษ พวกของอำนาจใหม่
ถึงขั้นขอแลกตัวประกันด้วยคำว่า "นิรโทษทุกสีเสื้อ"
มันก็ยังเป็นข้อต่อรองที่ไร้ค่า ฟังน่าขันสำหรับอำนาจเก่า
เพราะพวกเสื้อเหลืองที่ยึดทำเนียบยึดสนามบิน
ไม่ได้ถูกจับ/จองจำ/คุมขัง…

หากย้อนประวัติศาสตร์ ๑๔ ตุลา, ๖ ตุลา, พฤษภา ๓๕ ที่นักศึกษาประชาชนถูกปราบปรามบาดเจ็บล้มตายกันเป็นเบือ “อำนาจเก่า” ก็นิรโทษกรรมแก่พวกตนเองทั้งนั้น

เพราะอำนาจเก่า “ทำอะไรไม่ผิด” มาตลอดจึงทำให้เกิดเอกลักษณ์ของรัฐไทยดังที่เบเนดิก แอนเดอร์สันเรียกว่า “ฆาตกรรมทางการเมืองด้วยน้ำมือกลุ่มผู้ปกครองเป็นบุคลิกปกติของเมืองไทย”
และกลุ่มผู้ปกครองก็ทำ “ฆาตกรรมกลางเมือง” บนฐานคิดที่ต้องการรักษาอำนาจของพวกตนไว้โดยไม่สนใจว่าประชาชนต้องตายกันเท่าไร ดังข้อสังเกตของป๋วย อึ้งภากรณ์

... เจตนาที่จะทำลายล้างพลังนักศึกษาและประชาชนที่ใฝ่เสรีภาพนั้นมีอยู่นานแล้ว ในตุลาคม ๒๔๑๖ เมื่อมีเหตุทำให้เปลี่ยนระบบการปกครองมาเป็นรูปประชาธิปไตยนั้น ได้มีผู้กล่าวว่าถ้าฆ่านักศึกษาประชาชนได้สักหมื่นสองหมื่นคนบ้านเมืองจะสงบราบคาบ และได้สืบเจตนานี้ต่อมาจนถึงทุกวันนี้ ในการเลือกตั้งเมษายน ๒๕๑๙ ได้มีการปิดประกาศและโฆษณาจากพรรคการเมืองบางพรรคว่า “สังคมนิยมทุกชนิดเป็นคอมมิวนิสต์” และกิตติวุฑโฒนวพลภิกขุ ยังได้ให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ว่า “ฆ่าคอมมิวนิสต์นั้นไม่เป็นบาป” ถึงแม้ในกันยายน-ตุลาคม ๒๕๑๙ เองก็ยังมีผู้กล่าวว่า การฆ่าคนที่มาชุมนุมประท้วงจอมพลถนอม กิตติขจร สัก ๓๐,๐๐๐ คน ก็เป็นการลงทุนที่ถูก

ความพ่ายแพ้ของทักษิณและพรรคเพื่อไทยวันนี้อาจไม่เกิด หากดำเนินการไปตามร่าง พ.ร.บ.ของวรชัย เหมะ ที่พวกตนยกมาโต้ข้อกล่าวหา “ล้างผิดคนโกง” มาโดยตลอด แต่พอลักไก่ไปนิรโทษกรรม “(ไม่)เหมาเข่ง” (ที่ไม่มีคดี 112 อยู่ในเข่ง) ทำให้ข้อกล่าวหา “ล้างผิดคนโกง” เป็นจริงขึ้นมาทันที

ข้อโจมตีมาตลอดที่ว่า “ทักษิณไว้ใจไม่ได้” ของฝ่ายตรงข้ามกลายเป็นจริงอย่างเถียงไม่ได้ ที่ซ้ำร้ายกว่านั้นมันทำให้ความไม่มั่นใจว่าทักษิณและเพื่อไทยจะเป็นที่ไว้วางใจได้ของมวลชนเสื้อแดงที่ต้องการประชาธิปไตย มันชัดแจ้งแดงแจ๋ว่าทักษิณและเพื่อไทยไว้ใจไม่ได้จริงๆ และไม่รู้ว่าจะให้พวกเขาเชื่อถืออีกต่อไปได้อย่างไร

การเดินตามรอยนิรโทษกรรมแบบอำนาจเก่าทำไว้ รัฐบาลประชาธิปไตยต้องไม่ทำอยู่แล้ว เพราะเมื่อคุณปฏิเสธ “รัฐประหาร” คุณจะเดินรอยตามความไม่ถูกต้องที่รัฐประหารทำไว้ได้อย่างไร ยิ่งเป็นรัฐบาลที่มาจากการสละชีวิตเลือดเนื้อและอิสรภาพของประชาชน ยิ่งต้องสร้างบรรทัดฐานให้ความยุติธรรมกับพวกเขาตามครรลองประชาธิปไตยและหลักมนุษยธรรม

นอกจากไม่ชอบธรรม ยังแสดงให้เห็นว่าในความเป็นจริงอำนาจใหม่ไม่มีทางจะ “ทาบรอย” ทำตามอำนาจเก่าได้เลย ที่แย่กว่านั้นคือการประกาศ “ถอย” ของพรรคเพื่อไทย ที่สั่งให้ ส.ส.ถอนร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมทุกร่าง โดยไม่มีทางออกว่าจะช่วยให้นักโทษการเมืองที่อยู่ในคุกได้รับอิสรภาพอย่างไร ยิ่งแสดงถึงการ “ไม่รับผิดชอบ” และ “ขาดมนุษยธรรม” ของพรรคเพื่อไทยอย่างไม่น่าเชื่อ

แต่จะอย่างไรก็ตาม การ “เป่านกหวีด” ของผู้บริหารมหาวิทยาลัยต่างๆ ที่เรียกรวมพลปัญญาชนเดินขบวนต้าน “(ไม่) เหมาเข่ง” แต่กลับเน้นวาทกรรม “ต้านการล้างผิดคนโกง” เป็นด้านหลัก (ตามพรรคประชาธิปัตย์) โดยแทบจะไม่พูดถึงปัญหาการปล่อย “ฆาตกร” สังหารประชาชนให้ลอยนวล และไม่เรียกร้องความยุติธรรมแก่ “นักโทษการเมือง 112” เลย ก็ไม่ได้สะท้อนเสียงแห่ง “มโนธรรมทางสังคม” ที่เที่ยงตรงเลย

มิพักต้องเอ่ยถึงว่า ในอดีตผู้บริหารเหล่านี้ก็ไม่ได้ออกมาต้านรัฐประหาร นอกจากไม่ต้านรัฐประหารแล้ว ยังมีบางคนไปเป็น “เนติบริกร” ให้รัฐบาลที่มาจากรัฐประหารอีก อีกทั้งในอดีตมหาวิทยาลัยต่างๆ ก็ไม่เคยเป่านกหวีดต้านการนิรโทษกรรมให้พวกเดียวกันของกลุ่มอำนาจเก่าเลย

จึงยังยากจะเชื่อมั่นได้ว่า หากเกิดรัฐประหารขึ้นอีกในอนาคต บรรดาผู้บริหารมหาวิทยาลัยต่างๆ จะมี “ความกล้าหาญทางจริยธรรม” เป่านกหวีดต้านรัฐประหารแบบที่ทำกันในขณะนี้หรือไม่

ที่พูดนี้ไม่ใช่ผมไม่เห็นด้วยกับการต้าน “(ไม่) เหมาเข่ง” เห็นด้วยอย่างยิ่งครับ แต่ว่า ควรสื่อสารออกมาอย่างมี
“มโนธรรมทางสังคม” ที่เที่ยงตรง ให้สาธารณะรับรู้ว่ามหาวิทยาลัยต้าน “ทุกฝ่าย” ทั้งฝ่ายนักการเมืองและอำมาตย์หรือใครก็ตามที่ทำผิดหลักการประชาธิปไตย

การถอยของรัฐบาลเพื่อไทย อย่างน้อยก็แสดงให้เห็นว่า การเมืองของนักการเมืองนั้นแม้จะเลวร้ายสักเพียงใด ก็ยังอยู่ในการตรวจสอบควบคุมได้ของประชาชน แต่ “การเมืองที่มองไม่เห็น” นั้นยากที่จะควบคุม

ถ้าสังคมเรายังมี “การเมืองที่มองเห็น” ที่ตรวจสอบควบคุมได้ กับ “การเมืองที่มองไม่เห็น”  หรือมีอำนาจใหม่ อำนาจเก่าคู่ขนานกันไปอยู่แบบนี้ โดยอำนาจใหม่ไม่สามารถเป็น “อำนาจนำ” ในทางประชาธิปไตยได้ นึกไม่ออกว่าปัญหาขัดแย้งจะดำเนินต่อไปอย่างไร

ยิ่งถ้าใน “ระยะเปลี่ยน(ไม่)ผ่าน” เช่นนี้ หากอำนาจใหม่ไม่มีอุดมการณ์ประชาธิปไตยอย่างมั่นคง และทุ่มสุดตัวจริงๆ ที่จะสร้างระบบสังคมการเมืองไทยให้เป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง ก็ยากที่สังคมจะอยู่ในครรลองของการแก้ปัญหาขัดแย้งต่างๆ ด้วยสันติวิธีตามวิถีทางประชาธิปไตยได้

ที่มา.ประชาไท
------------------------------------------

2 ล้านล้าน ผ่าน..ไม่ผ่าน แต่รถไฟความเร็วสูงเกิดแน่นอน

ยังเป็นเรื่องที่ต้องลุ้นกันจนนาทีสุดท้ายว่าร่างพระราชบัญญัติให้อำนาจ กระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่ง ของประเทศ (พ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้านบาท) จะผ่านความเห็นชอบ ของวุฒิสภาหรือเปล่า หลังจากผ่านสภาผู้แทนราษฎรเรียบร้อยแล้ว...

ซึ่งเมื่อวันที่ 7 ตุลาคมที่ผ่านมา ที่ประชุมของ วุฒิสภาก็ได้รับร่างดังกล่าวในวาระแรกแล้ว ด้วยมติเสียงที่ประชุม 86-41 และงดออกเสียง 8 เสียง

เสียงส่วนใหญ่ที่เห็นด้วยมองว่า งบประมาณ ดังกล่าวจะช่วยพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมของประเทศ เพื่อรองรับการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ส่วนเสียงไม่เห็นด้วยเป็นห่วงการใช้หนี้คืน ปัญหาทุจริตคอร์รัปชั่น และความคุ้มค่าของการลงทุน เนื่องจากรัฐบาลยังไม่ได้ศึกษารายละเอียดโครงการอย่างชัดเจน

ขณะที่กลุ่ม 40 ส.ว.เตรียมยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าร่างกฎหมายนี้ขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่ จึงยังมีความเป็นไปทั้ง 2 ทางคือ 1. พ.ร.บ.เงินกู้ 2 ล้านล้านบาท ประกาศใช้ได้จริง หรือ 2.ถูกล้มกระดาน

ว่ากันว่า หากโครงการ 2 ล้านล้านถูกล้มกระดานจะกระทบต่อโครงการรถไฟความเร็วสูงแน่

แต่ "ประกายดิน" มองอีกมุมว่า หากเกิดเอ็กซิเด้นท์ พ.ร.บ.เงินกู้ 2 ล้านล้าน มีปัญหาผ่านไม่ได้ ก็ไม่ได้หมายความว่าประเทศไทยจะไม่เห็นโครงการรถไฟความเร็วสูงเกิดขึ้น

เพราะโครงการรถไฟความเร็วสูงเส้นหนึ่งที่อยู่ นอกโครงการงบประมาณ 2 ล้านล้าน คือเส้นทางรถไฟความเร็วสูงสาย "แพนเอเชีย" ที่จีนเป็นผู้ลงทุน โดยมีต้นทางจากนครคุณหมิง มณฑลยูนนาน และสิ้นสุดระยะทาง ณ ประเทศสิงคโปร์

ปัจจุบันเส้นทางรถไฟในประเทศจีนเริ่มทยอย ก่อสร้างแล้ว ตามแผนของรัฐบาลจีนคือจะเปิดใช้ในปี 2563 ออกจากนครคุนหมิงผ่านชายแดนจีน เข้านครหลวงเวียงจันทน์ของ สปป.ลาว ทะลุมา ผ่านภาคอีสานของไทยผ่านหนองคาย-ขอนแก่น-กรุงเทพฯ ออกกรุงกัวลาลัมเปอร์ของมาเลเซีย และ เข้าสิงคโปร์ ระยะทางทั้งหมด 3,900 กิโลเมตร ใช้เวลาในการเดินทางเพียง 10 ชั่วโมงเท่านั้น

จึงไม่แปลกที่จะมีข่าวว่ารัฐบาลไทยจะเปิดโครงการบาเตอร์เทรด นำสินค้าเกษตรแลกรถไฟฟ้า

"ประกายดิน" มองว่าหากเป็นการบาเตอร์กันจริงๆ ก็คงเป็นรถไฟสายนี้ เพราะเป็นสายที่จีนเริ่มลงทุนสร้างไปแล้วบางส่วน เมื่อผ่านเข้ามาในประเทศไทยก็อาจจะตกลงว่ารัฐบาลจีนลงทุน 50% อีก 50% เป็นการลงทุนของรัฐบาลไทย ซึ่งรัฐบาลไทยมองว่าแทนที่จะลงทุนเป็นเงินสดก็ใช้การแลกเปลี่ยนสินค้าที่เรามีในสต็อกน่าจะดีกว่า

วิน วิน ทุกฝ่าย

สอดคล้องกับที่นายสมชาย แสวงการ สมาชิก วุฒิสภา ให้สัมภาษณ์พิเศษสถานีวิทยุซีอาร์ไอ ภาค ภาษาไทย ในโอกาสที่นายกรัฐมนตรี หลี่เค่อเฉียงของจีนเดินทางมาเยือนประเทศไทยระหว่างวันที่ 11-13 ต.ค.ที่ผ่านมาว่า สนับสนุนแนวทางการขยาย และพัฒนาเส้นทางรถไฟ แต่รัฐบาลไทยควรให้ความสำคัญกับความคุ้มค่าในการลงทุนและประโยชน์ที่ประเทศจะได้รับ ซึ่งการใช้เงินกู้ลงทุนจะมีภาระหนี้สินและดอกเบี้ยสูงมาก ดังนั้น ขอเสนอให้เป็นการลงทุนร่วมกันระหว่างรัฐบาลไทย-จีน เพื่อ ให้สอดคล้องกับนโยบายของจีนที่ต้องการเชื่อมและเปิดประเทศไปสู่ภูมิภาคได้อย่างรอบด้าน โดยเฉพาะการคมนาคมขนส่งที่จะเชื่อมจีน-ลาว-ไทย-มาเลเซีย-สิงคโปร์

หากรัฐบาลไทยต้องการลงทุนในระบบลอจิสติกส์ ก็น่าจะนำเงินงบประมาณไปลงทุนในระบบ รถไฟรางคู่จะเกิดประโยชน์มากกว่า

ขณะที่สำนักงานส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ณ นครคุนหมิง ได้รับรายงานจากเว็บไซต์ ยูนนานว่า ชาวยูนนานต่างยินดีกับโครงการ "ข้าวแลกรถไฟฟ้า" ซึ่งผู้เชี่ยวชาญจากจีนได้ให้ความคิดเห็นว่า หากโครงการ "ข้าวแลกรถไฟฟ้า" สามารถปฏิบัติได้จริง จะทำให้โครงการก่อสร้างรถไฟสายแพนเอเชียสำเร็จเร็วยิ่งขึ้น มณฑลยูนนานจะกลาย เป็น "ป้อมหัวสะพาน" นำสินค้าไทยและสินค้าอาเซียนเข้าไปในตลาดยูนนานมากขึ้น และสามารถขยายเข้าไปในมณฑลชั้นในของจีนอีกด้วย ในขณะเดียวกันชาวจีนสามารถเดินทางมาท่องเที่ยวยังประเทศไทยได้สะดวกและง่ายมากขึ้น

รถไฟสายแพนเอเชีย คุนหมิง-สิงคโปร์ จะเป็นรถไฟสายประวัติศาสตร์ที่สำคัญมากสายหนึ่ง ที่จะเชื่อมโยงการคมนาคมของกลุ่มประเทศในอาเซียนเข้าด้วยกัน

"ประกายดิน" จึงมองว่า ไม่ว่า พ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้านบาท จะประกาศใช้ได้หรือไม่ โครงการรถไฟ ความเร็วสูงจะพาดผ่านประเทศไทยแน่นอน

ที่มา.สยามธุรกิจ
---------------------------------------

หอกข้างแคร่อาเซียน

ความเป็นกังวลร่วมกันของอาเซียนในประเด็นความขัดแย้งในเขตทะเลจีนใต้นี้ จะเห็นเริ่มแรกมาจากมีแถลงการณ์อย่างเป็นทางการ ย้ำให้เห็นถึงความจำเป็นต่อการจัดการความขัดแย้งอย่างสันติวิธี แถลงการณ์ดังกล่าวนี้ มีออกมาจากการประชุมระดับรัฐมนตรีต่างประเทศ ที่มะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์ เมื่อเดือนกรกฎาคม ค.ศ.1992 คือ "แถลงการณ์อาเซียนเรื่องทะเลจีนใต้"

แถลงการณ์ดังกล่าวนี้ กล่าวย้ำถึง "ความจำเป็นที่จะต้องแก้ปัญหาบรรดาประเด็นเรื่องอันเกี่ยวกับอธิปไตยและเขตแดนอำนาจที่เกี่ยวข้องกับทะเลจีนใต้ โดยวิธีการอันสันติหลีกเลี่ยงการใช้กำลังต่อกัน และกระตุ้นเร้าให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องดำเนินการให้เป็นไปตามนี้"

อย่างไรก็ตาม แม้จะได้ออกแถลงการณ์ดังกล่าวไปแล้ว ทางฝ่ายอาเซียนเองก็ยังไม่มั่นใจนักว่าทางปักกิ่งจะเห็นเป็นเรื่อง จริงจังแค่ไหน เพราะจะเห็นว่าปักกิ่งแสดงจุดยืนอย่างเป็นทางการ ซึ่งไม่เป็นไปด้วยกันเลย ระหว่างนโยบายของจีนที่ประกาศออกมากับการปฏิบัติจริงๆ ของฝ่ายจีน ต่อกรณีที่เป็น ปัญหาอยู่ในทะเลจีนใต้นี้

ตัวอย่างในกรณีนี้ จะเห็นได้จากการประชุม ARF ที่บรูไน ในปีค.ศ.1995 รมต.ต่างประเทศสร้างความประหลาดใจต่อที่ประชุม โดยประกาศยอมรับตราสารขององค์การสหประชาชาติ (รวมถึงกฎหมายทะเล) ให้เป็นพื้นฐานหลักในการแก้ไขปัญหาในทะเลจีนใต้ ซึ่งนับว่าแหกธรรมเนียมจีนที่มีนโยบายกร้าวในการอ้างสิทธิเหนือเกาะต่างๆ บนพื้นฐานของ "สิทธิอันมีมาแต่ประวัติศาสตร์" (Histrionic right)

ในขณะเดียวกันนั่นเอง โฆษกของกระทรวงต่างประเทศของจีน ก็ประกาศว่าการอ้างสิทธิของจีนมีอธิปไตยเหนือเกาะแก่ง ต่างๆ และน่านน้ำที่ต่อเชื่อมกันนั้นเป็นสิ่งซึ่งบิดพลิ้วเป็นอื่นไปไม่ได้และยังปฏิเสธบทบาทของ ARF ในการพูดถึงประเด็นเหล่านี้

ถ้าติดตามดูให้ดีตลอดมาก็จะเห็นว่า บางครั้งนั้นจีนทำเมินเฉยต่อการเอ่ยอ้างสิทธิของฟิลิปปินส์และมาเลเซียในเขตแดน ที่อ้างสิทธิทับซ้อนกันอยู่ มีช่วงหนึ่งที่ประธานาธิบดี คอราซอน อาคิโน ของฟิลิปปินส์ เดินทางไปเยือนกรุงปักกิ่ง เมื่อปีค.ศ. 1988 มีรายงานของฝ่ายจีนว่าจีนจะไม่โจมตีกองกำลังของฟิลิปปินส์ที่ตั้งอยู่บนเกาะสแปรตลีย์

อดีตนายกรัฐมนตรีของจีนท่านหนึ่ง คือ นาย หลี่ เผิง ซึ่งเคยเดินทางไปเยือนสิงคโปร์ ในปีค.ศ.1990 ก็กล่าวกับทางสิงคโปร์ว่า ฝ่ายจีนเต็มใจที่จะไม่นำเอาประเด็นเรื่องอธิปไตยมาพูด และยินดีร่วมมือกับบรรดาประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในอันที่จะให้มีโครงการพัฒนาร่วมกันขึ้นมา

แต่อย่างไรก็ตาม ทางฝ่ายปักกิ่งก็ยังคงกล่าวอ้างสิทธิทางดินแดน โดยจะเห็นว่า ฝ่ายจีนได้ออกกฎหมายทะเลของตนขึ้นมาใหม่ฉบับหนึ่งในปีค.ศ.1992 ซึ่งตามกฎหมายนี้อ้างสิทธิทั้ง หมดเหนือหมู่เกาะสแปรตลีย์ และตามกฎหมายนี้ยังเปิดให้ใช้กำลังได้ด้วย หากการอ้างสิทธิของจีนเหนือหมู่เกาะดังกล่าว ถูกละเมิดสิทธิขึ้นมา

จากการนำกฎหมายนี้มาใช้ ต่อมาก็จะเห็นว่าทางฝ่ายจีนได้ให้สัมปทานแก่บริษัทอเมริกันแห่งหนึ่ง เป็นสัญญาสามปีให้ทำการสำรวจทรัพยากรธรรมชาติ ในเขตทะเลจีนใต้ในอาณาบริเวณ 60 กิโลเมตร จากฝั่งของเวียดนามเท่านั้นเอง ยิ่งไปกว่านั้นก็คือว่า จีนได้เข้าไปยึดหมู่เกาะที่เรียกว่า Mischief Reef (ที่เพิ่งมา รู้กันในปีค.ศ. 1995 นี้เอง)

เขตที่จีนยึดไปนี้เป็นเขตที่ฝ่ายฟิลิปปินส์อ้างสิทธิครอบครอง อยู่ การอ้างสิทธิของจีนจึงเท่ากับจีนปิดล้อมเขตแดนต่างๆ ที่รัฐสมาชิกอาเซียนกล่าวอ้างสิทธิไว้แต่แรกนั่นเอง

จากกรณีนี้เองที่นำไปสู่เหตุรุนแรงครั้งแรกที่เกิดขึ้นระหว่าง จีนกับประเทศอาเซียนในเดือนมีนาคม ค.ศ.1995 เมื่อกองเรือประมงของจีนยิงปืนเข้าใส่กองเรือนาวีของมาเลเซีย ในเขตน่านน้ำ ซึ่งมาเลเซียอ้างสิทธิครอบครองไว้ การสู้รบขนาดย่อยดังกล่าวยังมีต่อเนื่องในบริเวณ Mischief ที่ทางฟิลิปปินส์อ้างสิทธิครอบครองระหว่างกองเรือของจีนกับกองกำลังนาวีของฟิลิปปินส์

ทั้งมาเลเซียและฟิลิปปินส์นั้น มีกองกำลังทหารตั้งอยู่ที่หมู่เกาะสแปรตลีย์แล้ว ประธานาธิบดีรามอส ของฟิลิปปินส์ กล่าว เตือนว่า ความขัดแย้งนี้ กระตุ้นเร้าให้เกิดการแข่งขันกันด้านอาวุธ ขนาดเล็กในเขตแดนเอเชียแปซิฟิก ดังในกรณีของมาเลเซีย ซึ่งถือว่า สแปรตลีย์อยู่ในแผนป้องกันความมั่นคงของชาติ คือ ยกจากระดับสองขึ้นมาเป็นระดับ ซึ่งได้รับความสำคัญสูงสุดมาก อันเป็นผลตามมาจากการสู้รบทางทะเลระหว่างจีนกับเวียดนามในเดือนมีนาคม 1988 นั่นเอง

แม้กระนั้นก็ตาม อาเซียนก็ยังสามารถกล่าวอ้างได้ถึงผลสำเร็จบางอย่างในการข้องเกี่ยวกับจีน ในประเด็นปัญหาเกาะ สแปรตลีย์นี้ กล่าวคือเรื่องนี้นั้นทางฝ่ายจีนคัดค้านการนำประเด็นดังกล่าวจัดเป็นวาระเข้าสู่ที่ประชุม ARF แต่ทางฝ่ายอาเซียน ก็ยังสามารถทำความตกลงกับฝ่ายปักกิ่งในอันที่จะให้มีการปรึกษาหารือในกรอบพหุภาคีในประเด็นความมั่นคงต่อกัน รวมถึงเรื่องความขัดแย้งในเขตทะเลจีนใต้ด้วย

นอกเหนือจากนี้แล้ว ฝ่ายอาเซียนก็ยังสามารถนำเอาข้อ ตกลงกับจีนมาแสวงหาข้อยุติซึ่งทำให้ลุกยืนของจีนผ่อนคลาย ลง ด้วยการตกลงที่จะจัดการความขัดแย้งภายในกรอบของกฎหมายทะเลขององค์การสหประชาชาติ ค.ศ.1982 และให้หลักประกันในเสรีภาพของราชนาวีในเขตน่านน้ำที่อ้างสิทธิต่อ กัน ความพยายามของอาเซียนจึงเท่ากับนำเอาประเด็นความ ขัดแย้งเข้าสู่ระบบการแก้ไขของนานาชาติ โดยวิถีทางการทูต และที่ทางปักกิ่งจะใช้อาวุธในการตัดสินความขัดแย้งต่อกัน

ความพยายามในการเจรจาเรื่อง "กฎจรรยาบรรณ" หรือ Code of Conduct นี้ เป็นไปอย่างเชื่องช้าอืดอาดมาก ข้อตกลงในกรอบทวิภาคีนั้นมีการสรุปร่วมกันระหว่างจีนกับเวียดนาม ในเดือนตุลาคม ค.ศ.1993 ซึ่งผูกพันทั้งสองฝ่ายไม่ให้ใช้กำลัง และหลีกเลี่ยงต่อปฏิบัติการใดอันจะทำให้สถานการณ์เสื่อมทรามลง

คงต้องมาคุยต่อในสัปดาห์ต่อไปละครับ เนื้อที่หมดพอดี เสาร์หน้าผมจะสรุปเสียทีว่า ในบรรดาข้อตกลงทั้งหลายในทะเลจีนใต้ ระหว่างบรรดาประเทศที่เป็นคู่ขัดแย้งกับจีน ซึ่งมีรัฐในอาเซียน 4 ประเทศ อันได้แก่ บรูไน มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม (กับไต้หวันนอกอาเซียน) ว่ามันไม่ได้ผลอย่างไร

จีนไม่ได้ยอมรับ Code of Conduct ของอาเซียนเลยแต่อย่างใดและนี่เองที่เป็นปัญหาคาใจและค้างคาอยู่ในอาเซียนจนได้เกรงกันไปว่า ปัญหาทะเลจีนใต้ และมันจะกลายเป็นหอกข้างแคร่ที่น่ากังวลยิ่งต่อไป

ที่มา.สยามธุรกิจ
-----------------------------

จีนชะลอนำเข้ายางไทย !!?

คาดจีนชะลอนำเข้ายางจากไทย หลังสต็อกในประเทศพุ่งสูง และความกังวลต่อภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว นักวิเคราะห์หวั่นฉุดราคาตลาดโลกร่วงอีกครั้ง

นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจีนจะไม่สั่งนำเข้ายางจากไทยเพิ่มขึ้น หลังจากที่ได้สั่งซื้อยาง อาร์เอสเอส 54,000 ตัน หรือเท่ากับ 1.3% ของอุปสงค์ของจีนที่คาดไว้ในปีนี้ ในราคาตันละ 20,400-21,500 หยวน หรือ 3,300-3,500 ดอลลาร์ เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยบริษัทไห่หนาน รับเบอร์ อินดัสตรี กรุ๊ป, ซิโนเคม อินเตอร์เนชันแนล คอร์ปอเรชั่น, ฟาวเดอร์ คอมโมดิตีส์ และ อันฮุย เทคโนโลยี อินพอร์ท แอนด์ เอ็กซ์ พอร์ท

ก่อนหน้านี้มีข่าวว่าจีนจะนำเข้ายางรวม 200,000 ตัน แต่การไม่สั่งเพิ่มเป็นผลมาจากสต็อกยางของบริษัทต่างๆ สูงขึ้น และสูงสุดในรอบ 3 เดือน รวมถึงผลผลิตในประเทศที่เพิ่มขึ้นเช่นเดียวกัน และความวิตกต่อภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว

"การซื้อยางจากต่างประเทศและในประเทศจะยังไม่เกิดขึ้นในขณะนี้ และสิ่งนี้จะเป็นตัวฉุดราคายางในตลาดโลก หลังจากที่ราคาร่วงแตะระดับต่ำสุดในรอบหลายปีในเดือน มิ.ย.ที่ผ่านมา จากความวิตกเกี่ยวกับเศรษฐกิจโลก"

ด้านนายกู่ จอง นักวิเคราะห์จากยูทากะ โชจิ กล่าวว่าขณะนี้ความเชื่อมั่นย่ำแย่ลง และแม้ว่าก่อนหน้านี้จะมีข่าวรัฐบาลจะซื้อยางรอบต่อไปในเดือน ม.ค. 2557 แต่การนำเข้า 54,000 ตัน ที่เป็นข่าวออกมาแล้ว จึงไม่มีใครพูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้อีก

"สต็อกยางจำนวนมากในคลังสินค้าของเซี่ยงไฮ้บ่งชี้ว่า รัฐบาลไม่จำเป็นต้องเพิ่มสต็อกยาง เพื่อเตรียมไว้ใช้ในช่วงที่ขาดแคลนแต่อย่างใด"

ขณะที่เจ้าหน้าที่สมาคมอุตสาหกรรมยางจีนปฏิเสธที่จะแสดงความเห็นในเรื่องนี้

ในส่วนของสมาคมประเทศผู้ผลิตยางธรรมชาติ (ANRPC) ประเมินว่า ความต้องการยางของจีนจะอยู่ที่ระดับ 4.18 ล้านตันในปีนี้ เพิ่มขึ้น 9% แต่ก็อาจจะมีการทบทวนปรับลดลง ถ้าเศรษฐกิจจีน ยังคงไม่มีเสถียรภาพ และคาดว่า ผลผลิตยางของจีนจะอยู่ที่ 868,000 ตัน ในปีนี้ เพิ่มขึ้น 9.2%

ขณะที่สต็อกยางในคลังสินค้าของตลาดสัญญาล่วงหน้าเซี่ยงไฮ้ พุุ่งแตะระดับสูงสุดนับตั้งแต่ต้นปี 2553 หลังจากที่จีนทำการซื้อก่อนช่วงวันหยุดยาวในเดือนที่แล้ว และนักเก็งกำไรบางรายใช้ยางเป็นหลักประกันในการขอสินเชื่อ ทั้งนี้หากสต็อกยางพุ่งสูงกว่าปี 2553 ที่ 152,000 ตัน ก็จะทำให้ปริมาณสต็อกอยู่ในระดับสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2547

อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์รายหนึ่งกล่าวว่า จีนอาจจะซื้อยางจำนวนมากขึ้นในช่วงเทศกาลตรุษจีน ซึ่งจะเริ่มขึ้นในช่วงปลายเดือน ม.ค.ปีหน้า

ทางด้านนายกรัฐมนตรีหลี่ เค่อเฉียง กล่าวถึงภาพรวมเศรษฐกิจของจีนว่า ต้องรักษาอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ระดับ 7.2% เพื่อรับรองว่าตลาดจ้างงานจะมีเสถียรภาพ ทั้งนี้เศรษฐกิจจีนมีแนวโน้มขยายตัวต่ำสุดในรอบ 23 ปีในปีนี้ที่อัตรา 7.5% ขณะที่ยอดส่งออกก็ชะลอตัวเช่นกัน เนื่องจากความต้องการในตลาดโลกที่ซบเซา

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
/////////////////////////////////////////////