--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันอาทิตย์ที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2556

บทเรียน : จาก พี่ เป้า สายัณห์ สัญญา !!??

โลกคือละครแบ่งเป็นตอน ๆ ตัวละครคือคนทุกคน บทในละครอาจจะยอกย้อนยุ่งยาก ฉากแห่งความงดงาม ฉากแห่งความเสียใจ ต่างมีไว้ให้เราฝึกฝนอยู่ในละครอาจจะซับซ้อนหรือง่าย แต่จะเป็นเช่นไร จะเป็นตอนของใคร…

ไม่เว้นทั้งเลวและดี จะมั่งมีหรือยากจน สิ่งเดียวที่เราทุกคนแน่ใจ คือฉากสุดท้ายต้องตายทุกตัวละคร...
เพลงละคอนฉากสุดท้าย ที่เขียนคำร้องโดย เรวัติ พุทธินันทน์ ศิลปินผู้ล่วงลับ โดยน้ำเสียงของ นันทิดา แก้วบัวสาย ซึ่งก็เป็นผู้หนึ่งที่กลายเป็นตัวละครในชีวิตจริงเรื่อง “แรงเงา”ไปหมาดๆ

เป็นบทเพลงที่สะท้อนสัจจะแห่งชีวิตที่ไม่มีใครหลุดพ้น ที่น่าจะเข้ากับห้วงเวลาแห่งการจากไปของอดีตนักร้องเพลงลูกทุ่งแถวหน้าของเมืองไทย “สายัณห์ สัญญา” ด้วยวัยเพียง 60 ปี ด้วยโรคมะเร็งตับ

เป็นการจากไปที่แน่นอนว่าคือความเสร้าโศกเสียใจของครอบครัวเป็นอย่างที่สุด

ขณะเดียวกันก็เป็นความเสียใจอย่างยิ่งสำหรับผู้คนในวงการเพลง โดยเฉพาะกับผู้ที่เคยเกี่ยวข้องใกล้ชิด เคยร่วมงาน และโดยเฉพาะคนที่เคยร่วมสร้างร่วมให้โอกาสเกิดในวงการนักร้องของ เป้า สายัณห์ อย่างเช่น ครูผ่องศรี วรนุช ศิลปินแห่งชาติสาขาศิลปะการแสดง ซึ่งเคยรับสายัณห์ เข้าร่วมวงดนตรี “ผ่องศรี วรนุช” เมื่อปี 2509 เพราะประทับใจที่ได้ยินสายัณห์ ร้องเพลงแฟนจ๋า ของ “สุรพล สมบัติเจริญ”

โดยครูผ่องศรีบอกว่า สายัณห์ สัญญา คือสุดยอดนักร้อง รองลงมาจากพี่สุรพล สมบัติเจริญ ในยุคที่เขาโด่งดัง เขาดังมากๆ มีวงดนตรีสายัณห์ สัญญา เป็นของตัวเอง ซึ่งก็ยินดีกับเขามาตลอด แม้ที่ผ่านมาจะเคยทำอะไรไว้ก็ไม่ได้ติดใจ พร้อมอโหสิให้

“แม่ก็คอยพร่ำสอนเขาเสมอว่าให้รู้จักอดออม อย่าลืมพระคุณทุกคนที่เข้ามาในชีวิต อย่าลืมพระคุณสื่อมวลชน ไม่มีเขาก็ไม่มีเรานะเป้า แต่พอช่วงหลังๆ แม่ไม่ค่อยได้ติดต่อกับเขา ก็ได้ข่าวว่าเดินนอกลู่นอกทางไปบ้าง เข้าไปข้องเกี่ยวกับการพนัน เมื่อก่อนมีเงินหลายสิบล้าน ก็ต้องมาหมดไปเพราะหลงตัวเอง หมดทั้งตัว หมดทั้งเสียง เขาไม่ค่อยเชื่อคำสั่งสอนผู้ใหญ่ เป็นคนดื้อ เชื่อมั่นในความคิดของตัวเอง แต่ก็เป็นคนจริงใจ รักใครรักจริง บางคนไม่รู้ลักษณะนิสัยของเขาว่าเป็นคนอย่างไร แม่ขออภัยแทนเขาด้วย”

สอดคล้องกับที่ ครูชลธี ธารทอง ศิลปินแห่งชาติ อายุ 77 ปี บอกว่า เพลงที่สร้างชื่อเสียงให้กับสายัณห์ สัญญา ครั้งแรกเลยคือเพลงลูกสาวผู้การ ในสมัยนั้นหมุนคลื่นวิทยุไปคลื่นไหน ก็จะได้ยินแต่เพลงลูกสาวผู้การ ซึ่งขณะนั้นนับว่าเป็นเพลงที่ดังมากๆ เป็นที่ชื่นชอบของคนไทยทั้งประเทศ

สำหรับสายัณห์ สัญญา ถือเป็นลูกศิษย์ที่ตนเองรักมาก ส่วนสายัณห์ ก็นับถือตนเองเหมือนเป็นพ่อคนที่สองของเขา ภายหลังจากที่เขาลาวงการ ขณะนั้นเขามีเงินหลายสิบล้านบาท รวมทั้งที่ดินอีกส่วนหนึ่ง

“แต่ด้วยความที่เขาเป็นคนเจ้าสำราญ ทำอะไรเอาแต่ใจตัวเอง เป็นคนเจ้าอารมณ์ และเป็นคนที่มีความเชื่อมั่นในตัวเองสูง และใช้เงินไปในทางที่ไม่ถูกต้อง จนกระทั่งทรัพย์สินเงินทองเริ่มหมดไป”

นี่คือความจริงแห่งชีวิต และควรจะต้องถือเป็นมุมสะท้อนที่มีค่าสำหรับการจากไปของ สายัณห์ นอกเหนือจากความเศร้าเสียใจของทุกคนที่เกิดขึ้นในเวลานี้

ก็เชื่อว่า แม้แต่สายัณห์เอง ก็คงอยากจะให้เส้นทางชีวิตของเขา สามารถที่จะเป็นอุทธาหรณ์ให้กับนักร้อง และผู้คนในวงการบันเทิง ได้เป็นอย่างดีว่า ชีวิตไม่เคยมีอะไรที่แน่นอน การวางแผนสำหรับชีวิตอย่างมีสติจึงเป็นสิ่งที่จำเป็นที่สุด

เพราะจากข้อมูลที่ปรากฏชัดก็คือ ก่อนเสียชีวิตสายัณห์เช่าห้องเล็กๆ ราคา 4,000 บาทอยู่แถวปิ่นเกล้า ส่วนภรรยาอยู่กับลูกๆ โดยมีอาชีพทำก๋วยเตี๋ยวลุยสวน ซึ่งสมบัติอื่นๆ นั้นสายัณห์ไม่มีเลย มีเพียงพระเครื่องชุดหนึ่งที่จะมอบให้กับลูกชาย

รวมทั้งในช่วงปลายของชีวิต สายัณ์ยังฝากไว้ว่าไม่อยากให้เอาเงินมารักษาตน อยากเก็บเงินก้อนสุดท้ายไว้ให้ภรรยา และลูกมากกว่า

ดังนั้นเชื่อว่าลึกๆแล้ว การจากไปของสายัณห์ เป็นการจากไปโดยที่ยังมีห่วง!!!

เป็นอีกหนึ่งบทเรียนซ้ำๆที่เกิดขึ้นในเมืองไทย ในการที่เด็กจากต่างจังหวัดไต่เต้าจนก้าวสู่การเป็นศิลปินที่โด่งดัง ช่วงรุ่งเรืองมีเงินหลายสิบล้านบาท แต่เพราะไม่ได้มีการวางแผนชีวิตไว้ล่วงหน้า รวมทั้งการที่ใช้จ่ายเงินเพราะคิดว่าได้มาง่าย จึงใช้เงินตามใจตนเอง

ใช้เงินเหมือนกับจะชดเชยฝันร้ายในอดีต หรือบางคนก็ใช้เงินเพื่อลบปมด้อยที่เคยตกต่ำ

ศิลปินเหล่านั้น กว่าจะเข้าใจชีวิต กว่าจะรู้ว่าการใช้ชีวิตที่ผิดพลาดนั้นเจ็บปวดมากมายเพียงใด บางคนอาจจะกลับตัวได้ แต่บางครั้งก็สายเกินไป

กรณีของสายัณห์ สัญญา แม้ว่าจะพลาด จนทำให้ต้องมีห่วงจนวันสุดท้ายของชีวิต แต่ก็ยังดีกว่าศิลปินบางคน ที่จากไปโดยทิ้งหนี้สินทิ้งภาระจำนวนมากไว้ให้คนข้างหลัง

การจากไปของสายัณห์ จึงนอกจากจะทำให้ผู้คนเกิดอารมณ์ร่วมแห่งความเศร้าเสียใจแล้ว ก็น่าที่จะให้อุทธาหรณ์กับคนอีกเป็นจำนวนมาก ว่าขออย่างได้ประมาทหรือเลินเล่อต่อชีวิต ขอให้เส้นทางชีวิตของสายัณห์เป็นเครื่องเตือนใจนักร้อง ศิลปินรุ่นใหม่ๆ ที่กำลังมีโอกาส มีรายได้ ให้ดูไว้เป็นตัวอย่าง

เพราะสุดท้ายมีแต่เรากับคนในครอบครัวเราเท่านั้นแหละที่จะเจ็บปวดที่สุด

คนอื่นๆก็คือการร่วมเสียใจ ร่วมแสดงความอาลัย

หนำซ้ำมีจำนวนไม่น้อยที่ฉวยจังหวะใช้การจากไปของสายัณห์ ให้กลายเป็นผลประโยชน์ อย่างขณะนี้ก็มีบรรดาพ่อค้าแม่ขายหัวใส ซึ่งถือว่าเป็นเหมือนประเพณี เมื่อมีศิลปินนักร้องชื่อดังคนไหนเสียชีวิต จะนิยมนำภาพของศิลปินนักร้องคนนั้นมาอัดขาย รวมถึงผลงานในอดีตด้วยรูปแบบซีดีและดีวีดีเพลง บางรายลงทุนเปลี่ยนหน้าปกให้ทันกับเหตุการณ์ มาวางขายกันเกลื่อน

ที่เห็นชัดเจนคือ สมัย ผึ้ง-พุ่มพวง ดวงจันทร์ กับ แอ๊ว-ยอดรัก สลักใจ มีวางขายกันเกลื่อน สร้างความร่ำรวยให้กับกลุ่มคนเหล่านี้เป็นอย่างดี เนื่องจากเป็นที่ต้องการของแฟนคลับแฟนเพลง

แม้แต่ เป้า-สายัณห์ สัญญา ขณะนี้ได้มีคนนำแผนซีดี,ดีวีดี และ เอ็มพี 3 ของสายัณห์มาวางขายกันแล้ว ทั้งแผ่นเดี่ยว และ เป็นเซ็ท พร้อมทั้งเปิดแผ่นเพลงของสายัณห์กรอกหูผู้ที่เดินผ่านไปมา เช่น ที่ตลาดนัดย่านคลองถม บางรายได้ทำปกซีดีและดีวีดีไว้ล่วงหน้าก่อนที่ราชาเพลงลูกทุ่งจะเสียชีวิต โดยใช้ชื่อว่า อาทิ “อาลัยสายัณห์” และ “คิดถึงสายัณห์” สนนราคาหลากหลายมีตั้งแต่ 30-100 บาท

แน่นอนว่าแฟนเพลง ที่อาลัยย่อมซื้อหาไว้เป็นที่ระลึก ในขณะที่คนที่ได้เหนาะก็คือคนผลิตคนขาย
ซึ่งก็มีทั้งคนซื้อไปขายในต่างจังหวัดด้วย โดยร้านขายซีดี ดีวีดี และ เอ็มพี 3 บางราย ก็นำผลงานเพลงของ พุ่มพวงกับยอดรัก มาขายพร้อมกันด้วย

ขณะที่รูปภาพของสายัณห์ ก็ได้รับความสนใจกันพอสมควร โดยมีการอัดภาพขนาดจัมโบ้ (4X6 นิ้ว) และ 8 X 10 นิ้ว วางขาย โดยจัมโบ้ราคาแผ่น 5-10 บาท และ 8 X 10 นิ้ว ราคา 15-20 บาท

ส่วนสำนักพิมพ์หลายแห่ง เริ่มเคลื่อนไหวเตรียมทำหนังสือบ้าง รวมภาพบ้าง ของสายัณห์ ตั้งแต่เริ่มต้นบทเส้นทางนักร้องกระทั่งถึงวันสุดท้ายของชีวิต บางสำนักพิมพ์ได้วางแผงทำหนังสือล่วงหน้ากันแล้ว

ทางด้านตลาดล็อตเตอรี่และหวยใต้ดิน มีความคึกคักไม่แพ้กัน โดยเลขที่เกี่ยวข้องกับสายัณห์ถ้าไม่ขายเกลี้ยงแผงก็แพงหูฉี่ ผู้ค้าล็อตเตอรี่บางรายโก่งราคา จากเดิมฉบับละ 80-110 บาท พุ่งพรวดไปถึง 150-200 บาท สำหรับเลขที่เกี่ยวข้องกับสายัณห์ อาทิ วันเกิด 31 มกราคม 2496 วันเสียชีวิตอย่างสงบ 11 กันยายน 2556 เลขห้องรักษาตัวที่โรงพยาบาลธนบุรีก่อนที่จะเสียชีวิตคือ 8108 เวลาเสียชีวิตคือ 12.35 น. ด้วยวัย 60 ปี

สำหรับที่วัดไร่ขิง จ.นครปฐม สถานที่ตั้งสวดพระอภิธรรมศพ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เริ่มมีการนำสินค้าเกี่ยวกับสายัณห์มาจำหน่ายกันอย่างคึกคัก ไม่ว่าจะเป็น ซีดี ดีวีดี เอ็มพี 3 รูปภาพต่างๆ ของสายัณห์เมื่อครั้งยังมีชีวิต จากนั้นจะเคลื่อนย้ายศพไปที่ วัดป่าเลไลยก์ จ.สุพรรณบุรี คาดว่า การพาณิชย์คงจะคึกคักไม่แพ้กัน รวมถึงล็อตเตอรี่เลขเด็ดที่มีคนกว้านซื้อทั้งลุ้นรางวัลและนำไปขายในราคาแพง

นอกจากนี้แหล่งข่าววงในยังแจ้งว่า หลังจากงานศพจบลง อาจมีการพูดคุยกันเรื่องสร้างหุ่นจำลองของสายัณห์ เหมือนเช่นกรณีราชินีเพลงลูกทุ่ง พุ่มพวง ดวงจันทร์ และ ยอดรัก สลักใจ ไว้ที่บ้านเกิดอีกด้วย

รวมถึงเรื่องลิขสิทธิ์เพลง รวมทั้งการจัดคอนเสิร์ตช่วยเหลือครอบครัวสายัณห์ก็ได้มีการพูดถึงเช่นกัน
ทั้งหมดคือความจริง และคืออุทธาหรณ์ ที่สายัณห์ สัญญา ฝากไว้ให้เป็นครั้งสุดท้าย

ที่มา.บางกอกทูเดย์
//////////////////////////////////////////////////////

กรรมาธิการ พรบ.นิรโทษฯ เล็งเรียกทุกกลุ่มเกี่ยวข้องชี้แจง !!??

ประชุมกมธ. นิรโทษกรรมเตรียมเรียกทุกกลุ่มที่เกี่ยวข้องเข้าชี้แจง "สามารถ" ยันไม่เกี่ยวคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ

การประชุมคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญ พิจารณาร่างพระราชบัญญัติ(พ.ร.บ.)นิรโทษกรรมแก่ผู้ซึ่งกระทำความผิดเนื่องจากการชุมนุมทางการเมือง การแสดงออกทางการเมืองของประชาชน พ.ศ... ที่มี นายสามารถ แก้วมีชัย ส.ส.เชียงราย พรรคเพื่อไทย(พท.) ในฐานะประธานกมธ. ทำหน้าที่ประธานการประชุม เมื่อเข้าสู่ระเบียบวาระการประชุม นายสามารถ แจ้งต่อที่ประชุมว่าขณะนี้ได้รับข้อมูลประกอบการพิจารณาจาก สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และกรมราชทัณฑ์แล้ว แต่ยังเหลือข้อมูลของ สำนักงานศาลยุติธรรม สำนักงานอัยการสูงสุด และกรมคุ้มครองสิทธิเสรีภาพ ที่อยู่ระหว่างการจัดส่ง

จากนั้นคณะกมธ.จากพรรคประชาธิปัตย์ต่างหารือถึงรายงานของสตช.ไม่มีประโยชน์พิจารณาได้ เพราะมีเพียงแค่ 4 แผ่น จึงอยากได้ข้อมูลข้อกล่าวหา ผู้ต้องหา ประเภทคดี สถานที่ที่ควบคุมตัวผู้ต้องหา เพิ่มเติม ส่วนกรมราชทัณฑ์ ในส่วนของเรือนจำหลักสี่ ที่มีรายชื่อผู้ต้องหา วันพ้นโทษ นั้นครบถ้วน แต่ข้อมูของบางเรือนจำนั้นก็มีการนำรายชื่อบุคคลที่พ้นโทษไปแล้วมาให้ จึงอยากให้มีการแยกแยะข้อมูลด้วย จากนั้นนายศุภชัย ใจสมุทร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคภูมิใจไทย ในฐานะกมธ. ถามว่าจะมีการนิรโทษกรรม รวมไปถึงคดีที่เกิดขึ้นในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้หรือไม่ ถ้าไม่รวมถึงจะต้องระบุไว้ในร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรมด้วย ทำให้นายวรชัย เหมะ ส.ส.สมุทรปราการ พรรคเพื่อไทย ในฐานะ กมธ.ชี้แจงว่า คดีเหตุการณ์ในภาคใต้เป็นคนละเหตุการณ์กับร่างพ.ร.บ.นี้

"อภิสิทธิ์"หนุนเชิญทุกกลุ่มให้ข้อมูล

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะกมธ. เห็นด้วยที่จะต้องนิรโทษกรรมให้แก่ผู้พ้นโทษ หรือประกันตัวไปแล้ว เราควรพิจารณาโดยลำดับเหตุการณ์ เพื่อที่จะให้เห็นฐานความผิดอย่างชัดเจนแล้วค่อยมาหารือกัน และขอตั้งข้อสังเกตว่า คำว่า 'การชุมนุมทางการเมือง' ของร่างฯนี้ จะเปลี่ยนคำว่า การชุมนุมสาธารณะได้หรือไม่ เนื่องจากคำดังกล่าวจะครอบคลุมม็อบกลุ่มอื่นๆ อาทิม็อบ เรียกร้องเงินเยียวยาจากน้ำท่วม ม็อบราคายางพารา รวมจนถึงกรณี กรือเซะ และตากใบ เป็นต้น

นายอภิสิทธิ์ กล่าวด้วยว่าควรเชิญตัวแทนกลุ่มต่างๆ กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยมาเล่าเหตุการณ์ตั้งแต่เริ่มมาไปทำอะไร และให้เชิญตัวแทนกลุ่มนปช. มาให้ข้อมูลว่าทำอะไรถูกดำเนินคดีอะไร และเหตุการณ์หลังปี 2554 ให้มีกลุ่มองค์การพิทักษ์สยาม(อพส.)มาให้ข้อมูลด้วย

ยันไม่เกี่ยวคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ

ขณะที่นายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี ส.ส.กทม. ปชป. ถามว่าคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพจะมีไว้ในร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรมหรือไม่ ทำให้นายสามารถ ชี้แจงว่าคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพคงไม่ไปก้าวล่วง

ส่วน นายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน ส.ส.เชียงราย พรรคเพื่อไทย ในฐานะกมธ. เสนอว่า คนที่พ้นโทษไปแล้วก็สมควรได้รับการยกโทษเหมือนกัน เพื่อลบประวัติ ซึ่งถ้าหากเขาพ้นโทษ และถูกประกันตัวออกไปก็น่าจะต้องพิจารณาด้วย ขณะที่ นพ.เชิดชัย ตันติศิรินทร์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ในฐานะกมธ. เสนอว่า อยากให้มีการรวบรวมข้อมูลผู้กระทำความผิดพ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ด้วย เนื่องจากบางคนไม่ได้ไปร่วมชุมนุมแต่เล่นคอมพิวเตอร์อยู่ที่บ้าน

ชี้เหตุไม่สงบเพราะทักษิณไม่ได้กลับบ้าน

นายชาดา ไทยเศรษฐ์ ส.ส.อุทัยธานี พรรคชาติไทยพัฒนา หารือว่า เหตุการณ์ทุกอย่างไม่สงบเพราะคนชื่อพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯไม่ได้กลับบ้าน และอีกฝ่ายหนึ่งก็ไม่ได้ชอบพ.ต.ท.ทักษิณ ตนได้ข้อสรุปง่ายๆว่า กฎหมายฉบับนี้อยากทำให้เกิดประโยชน์จริงๆ จะทำให้บ้านเมืองได้รับการเยียวยาจริง ใน2กรณี คือ 1.ขีดเหตุการณ์ตระกูลทักษิณและครอบครัวออกไป 2.ถ้าเอาคำว่าชินวัตรมาด้วยต้องเป็นเงื่อนไขอะไร ตนได้ข้อสรุปจะต้องนำคน 2-3 คนคุยกัน โดยน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และนายอภิสิทธิ์จะต้องมาคุยกันว่าบ้านเมืองนี้จะเดินไปอย่างไร ตนยืนยันความคิดนี้เป็นการแก้ไขปัญหาประเทศจริงๆ อย่างไรก็ตาม คนชื่อ พ.ต.ท.ทักษิณทักษิณกลับมาจะต้องถูกดำเนินคดี ไม่ได้รับความเป็นธรรมตรงไหนต้องเปลี่ยนคนใหม่ จะกลับมาโดยไม่ผิดไม่ได้ ทั้งนี้แบ่งแยกประเทศไทยมานิรโทษกรรมไม่ได้

ค้านพ.ร.บ.นิรโทษฉบับ"แม่น้องเกด"

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างการพิจารณา นายบรรเจิด ฟุ้งกลิ่นจันทร์ บิดา นายเทิดศักดิ์ ฟุ้งกลิ่นจันทร์ ผู้เสียชีวิตระหว่าง เหตุการณ์สลายการชุมนุม เมื่อเดือนเม.ย. - พ.ค. 53 และกลุ่มญาติวีรชนเมษายน-พฤษภาคม 2553 กว่า 10 คน เข้ายื่นหนังสือต่อนายสามารถ อ้างว่าไม่สนับสนุนร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรมของนางพะเยาว์ อัคฮาด มารดา น.ส.กมนเกด อัคฮาด พยาบาลอาสาซึ่งเสียชีวิตในเหตุการณ์การชุมนุมเมื่อปี 2553 แต่ขอสนับสนุนร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฉบับนายวรชัย และขอเข้าร่วมฟังการประชุมกมธ.ด้วย ภายหลังการยื่นหนังสือเรียบร้อยแล้ว นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ ส.ส.พัทลุง ปชป.ในฐานะกมธ.ทักท้วงนายสามารถที่เปิดให้กลุ่มญาติวีรชนเมษายน-พฤษภาคม 2553 มายื่นหนังสือไม่ควรสร้างภาพเพราะไม่ปรองดอง แต่ขอให้ยื่นกันนอกห้องประชุม แต่นายสามารถ กล่าวว่า ไม่ทราบมาก่อนจะมีญาติผู้เสียชี่วิตมายื่นหนังสือ จากนั้นนายวรชัย ระบุว่า กลุ่มญาติวีรชนมายื่นให้ประธาน ครั้งก่อนนางพะเยาว์ อัคฮาด มายื่นหนังสือให้สนับสนุนร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรม ฉบับของนางพะเยาว์ ยืนยันกลุ่มญาติวีรชนมายื่นหนังสือไม่ได้มาสร้างภาพ เพราะภาพต่างๆไม่ต้องสร้างเกิดขึ้นเอง

จากนั้นในช่วงท้ายการประชุม นายสามารถ แจ้งต่อที่ประชุมเห็นชอบที่จะให้เชิญตัวแทนของฝ่ายที่เกี่ยวข้องในแต่ละเหตุการณ์เข้าชี้แจง เนื่องจากกมธ.ในซีกของพรรคเพื่อไทยและปชป.เห็นชอบในแนวดังกล่าว

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
///////////////////////////////////////////////////////////////////

วันเสาร์ที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2556

สุธาชัย.วิพากษ์ การศึกษาไทย !!??

โดย:สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ

เรื่องระบบการศึกษาไทย หลายคนคิดว่ามันล้มเหลวที่เด็กจบมาเเล้วคิดไม่เป็น เเต่จริงๆมันประสบความสำเร็จต่างหากเพราะถ้าคิดดูดีๆ การศึกษาไทยมันก็ไม่ได้กะจะสร้างเด็กที่คิดเป็นตั้งเเต่เเรกเเล้ว ก็เเค่สร้างเด็กว่านอนสอนง่ายอยู่ในกรอบ ยอมหมอบกราบต่อขนบธรรมเนียม ต่อผู้มีอำนาจ ลองดูกิจกรรมต่างๆที่เราทำกันในโรงเรียนสิ ลองดูชุดที่เราใส่ ทรงผมของเรา วิธีคิดต่างๆ ค่านิยม ล้วนถูกกำหนดกรอบอันดีงามมาหมด เด็กไทยไม่ได้เกิดมาคิดไม่เป็นหรอกเเต่ระบบการศึกษาไทยต่างหากที่ทำให้เด็กคิดไม่เป็น"

จากเฟซบุ๊กของ Karn Chusatakarn

ในระยะสัปดาห์ที่ผ่านมา ได้มีการเผยแพร่ผลการจัดอันดับคุณภาพการศึกษาไทย โดย World Economic Forum (WEF) ซึ่งระบุว่า ระดับคุณภาพการศึกษาไทยอยู่ในลำดับที่ 8 ในภูมิภาคอาเซียน โดยรองจากประเทศเวียดนาม และกัมพูชา ซึ่งเป็นภาพสะท้อนว่า ระบบการศึกษาของไทยมีปัญหาอย่างมาก และกลายเป็นประเด็นที่รองนายกรัฐมนตรีพงศ์เทพ เทพกาญจนา ต้องเสนอว่า ประเทศไทยมีความจำเป็นต้องยกระดับคุณภาพการศึกษา โดยพิจารณาจากหลักสูตรและคุณภาพผู้สอน และยังเชื่อว่า ถ้ามีการจัดการที่ดีพอ การศึกษาไทยก็ยังสามารถที่จะยกระดับคุณภาพได้

ที่ยกเอาประเด็นนี้มาคงไม่ได้ต้องการที่จะเห็นคัดค้านข้อมูลของ WEF เพียงแต่เห็นว่า ระบบการศึกษาของไทยมีปัญหามาเป็นเวลาช้านาน ด้วยเหตุนี้จึงมีนักเรียนมัธยมกลุ่มหนึ่งได้ตั้งกลุ่มขึ้นมาเพื่อเสนอแนวคิดในการปฏิรูปการศึกษา โดยใช้ชื่อว่า สมาพันธ์นักเรียนไทยเพื่อปฏิวัติระบบการศึกษาไทย สมาพันธ์นี้ได้ออกแถลงการณ์ก่อตั้งอย่างเป็นทางการในวันที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555 โดยอธิบายว่ามีนักเรียนจาก 13 สถาบันเข้าร่วม และเลขาธิการของสมพันธ์นักเรียนฯในขณะนี้คือ เนติวิทย์ โชติไพศาล นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนนวมินทราชินูทิศ เตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ ขณะนี้องค์กรนี้ก็เป็นที่รู้จักมากขึ้นในหมู่นักเรียนทั่วไป และเฟซบุ๊กของสมาพันธ์นักเรียนฯมีคนเข้ามากดถูกใจมากกว่า 15,000 คน จึงถือเป็นปรากฏการณ์อันน่าสนใจในวงการศึกษาไทย

แถลงการณ์สมาพันธ์นักเรียนฯได้อธิบายว่า ความล้มเหลวของการศึกษาไทยไม่ได้มีสาเหตุมาจากการขาดแคลนทรัพยากรที่จำเป็น แต่มาจากการขาดประสิทธิภาพในการใช้ทรัพยากร อันเนื่องมาจากการขาดความรับผิดชอบของระบบการศึกษาต่อนักเรียนและผู้ปกครอง การปฏิรูปการศึกษาจึงต้องเริ่มต้นด้วยการสร้างความรับผิดชอบของผู้จัดการศึกษา ทั้งภาครัฐ โรงเรียน และครู

ข้อเสนอที่เป็นรูปธรรมของสมาพันธ์นักเรียนฯ เช่น การลดชั่วโมงเรียน เพื่อให้เด็กได้แบ่งเวลาไปทำกิจกรรมที่ผ่อนคลายหรือกิจกรรมที่เขาสนใจ ไม่เคร่งเครียดกับการเรียนอย่างเดียว มีเวลาทำงานอดิเรกหรือบำเพ็ญประโยชน์แก่สังคม การจัดการเรื่องการแข่งขันในการเรียนให้เป็นไปเพื่อพัฒนาศักยภาพของแต่ละบุคคล มากกว่าจะมาทำร้ายเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน การวิพากษ์และตั้งคำถามต่อตำราเรียน และการให้นักเรียนมีส่วนร่วมในการสร้างกฎระเบียบ เป็นต้น

เนติวิทย์ได้อธิบายเพิ่มเติมว่า ระบบการศึกษาของไทยไม่ค่อยเปิดโอกาสให้คิดแย้งได้ ตั้งคำถามได้ ชอบให้คิดไปในแบบเดียวกัน ถ้าใครชอบตั้งคำถาม จะกลายเป็นเด็กที่มีปัญหา แต่ประเด็นสำคัญที่เนติวิทย์เสนอ คือ การ“ยกเลิกความเป็นไทย” ซึ่งเขาหมายถึง

ความเป็นไทยที่ถูกสร้างขึ้นมา เป็นความเป็นไทยที่ไม่มีประโยชน์ เป็นความเป็นไทยที่ไม่มีเหตุผล แล้วก็ความเป็นไทยตรงนี้ก็เอาไปผูกโยงกับวัฒนธรรมการห้ามเถียงห้ามถาม อาทิเช่น กรณีทรงผมนักเรียน กรณีเคารพธงชาติ ก็อ้างว่านี่คือความเป็นไทย เราเป็นคนไทย ชาติไทยไม่เหมือนชาติอื่นในโลก อย่างนี้เป็นต้น ซึ่งเขาก็เลยได้รับรู้มาแบบนี้ว่าอ๋อนี่คือความเป็นไทย ทำให้ความเป็นไทยกลายเป็นสิ่งที่เลวร้ายไปเลย ทำให้ผมเสนอยกเลิกความเป็นไทยตรงนี้”

เนติวิทย์ยังอธิบายด้วยว่า ในส่วนเนื้อหาสาระการเสนอ โดยเฉพาะวิชาสังคมศึกษา หมวดประวัติศาสตร์ เป็นการเรียนการสอนอันคับแคบ เน้นการท่องจำจนเกินไป และยัดเยียดชุดความคิดแบบด้านเดียวที่พวกเขาสร้างประดิษฐ์กรรมขึ้นมา ซึ่งซึมเข้าสู่สังคมจนสังคมคิดวิเคราะห์ไม่เป็น การศึกษาอดีตของไทยจึงเป็นของปลอม ไม่ให้คนมีความลึกซึ้ง คนที่อยากจะเรียนรู้จึงหวังพึ่งตำราเรียนไม่ได้

สรุปแล้วเนติวิทย์ได้เสนอข้อเสนอที่มีความแหลมคมหลายเรื่อง เช่น การยกเลิกเครื่องแบบนักเรียน ยกเลิกการเคารพธงชาติทุกเช้า การคัดค้านการสวดมนต์ และการสอนพุทธศาสนาในโรงเรียน แต่ให้สอนศาสนาสากลแทน เพราะเห็นว่า การนับถือศาสนาเป็นเรื่องของปัจเจกชน ไม่ควรบังคับศรัทธาแบบรวมหมู่ ซึ่งจะไม่ทำให้คนเข้าใจพระรัตนตรัยที่เนื้อหาสาระ เป็นแต่เพียงพิธีกรรม และล่าสุด คือ การคัดค้านระบบโซตัสในโรงเรียน และระบบที่เน้นความเหลื่อมล้ำต่ำสูงในโรงเรียน โจมตีการหมอบคลานในโรงเรียนกรณีวันไหว้ครูว่า เหมือนสัตว์เลื้อยคลาน โจมตีการเซ่นไหว้บูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์แม้กระทั่งรูป เสด็จพ่อ ร.5 ว่าเป็นเรื่องไร้สาระ

กรณีเหล่านี้ที่ทำให้เด็กนักเรียนอายุเพียง 16 ปีอย่างเนติวิทย์ถูกโจมตีอย่างหนักจากผู้ใหญ่ทั้งหลายที่มีแนวคิดอนุรักษ์นิยม และเห็นว่า สังคมไทยมีวัฒนธรรมอันดีงาม และที่สำคัญยังถูกรุมกระหน่ำในสื่อมวลชนฝ่ายอนุรักษ์นิยม โดยเฉพาะหนังสือพิมพ์แนวหน้า และ สำนักข่าวทีนิวส์ รวมทั้งมีการจัดตั้งกลุ่มที่ต่อต้านสมาพันธ์นักเรียนฯโดยตรง ประเด็นหลักใจการโจมตีคือการเสนอว่า เนติวิทย์เป็นเด็กที่มีแนวคิดอันตราย เสนอสิ่งที่สุดขั้วรุนแรงและ“ต้องการโค่นล้มรากเหง้าวัฒนธรรมของชาติตนเอง อันเป็นสิ่งที่คนส่วนมากยังไม่สามารถยอมรับได้” มีการด่าด้วยถ้อยคำก้าวร้าวรังเกียจ (hate speech) และที่ร้ายกว่านั้น ก็คือการหาทางโจมตีเนติวิทย์ด้วยข้อหาโค่นล้มสถาบัน หวังจะเอาเข้าคุกห้ามประกัน เพื่อจะขจัดความคิดที่พวกเขาเห็นว่านอกรีตเช่นนี้ แล้วกลับมาทำให้สังคมไทยคิดแบบเดียวกันเหมือนเดิม

กรณีของสมาพันธ์นักเรียนฯ และเนติวิทย์นี้ สะท้อนความหน้าไหว้หลังหลอกอย่างหนึ่งของสังคมไทยอย่างชัดเจน เพราะคนจำนวนมากต่างพูดกันว่า ต้องการให้เด็กไทยคิดเป็นวิเคราะห์เป็น แม้กระทั่งปรัชญาการศึกษาที่เป็นทางการก็เสนอเป้าหมายให้เด็กไทยรู้จักคิดวิเคราะห์ แต่กรณีวิพากษ์และโจมตีเนติวิทย์ชี้ให้เห็นว่า สังคมไทยเพียงต้องการให้เด็กคิดในกรอบที่ผู้ใหญ่ชอบ และกลัวต่อการที่เด็กจะวิเคราะห์อะไรไปถึงที่สุด ไปไกลกว่าผู้ใหญ่

นี่ไม่ได้เป็นปัญหาเฉพาะการศึกษาไทย แต่เป็นปัญหาความคับแคบทางความคิดของสังคมไทยทั้งหมด

ที่มา.นสพ. โลกวันนี้วันสุข
/////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันศุกร์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2556

โครงสร้างพื้นฐานคมนาคมไทย กับการแข่งขันในเวทีเศรษฐกิจโลก !!??

เป็นที่รับรู้กันมานานแล้วว่าประเทศไทยมีจุดอ่อนอยู่ที่การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศได้หยุดชะงักขาดตอนไปเป็นเวลาหลายปี โดยเฉพาะโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคม เราแทบจะไม่ได้มีการลงทุนขนาดใหญ่ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศเลย ยิ่งเป็น การขนส่งในระบบรางและทางน้ำด้วยแล้ว เราแทบจะไม่ได้ลงทุนในสองระบบนี้มานับเป็นสิบๆ ปีด้วยซ้ำไป

ผลจากการละเลยและการขาดวิสัยทัศน์ในการพัฒนา ของรัฐบาลทุกชุดที่ผ่านมา ตลอดจนการไร้เสถียรภาพทาง การเมืองติดต่อกันมาอย่างยาวนานจนกระทั่งปัจจุบัน ทำให้ขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยในเวทีโลกตกต่ำลงไปเรื่อยๆ

โดยจากการจัดอันดับขีดความสามารถในการแข่งขันล่าสุดของสถาบันจัดอันดับขีดความสามารถในการแข่งขัน World Economic Forum-WEF ได้จัดอันดับโครงสร้างพื้นฐานของไทยอยู่ที่อันดับที่ 49 ของโลก ซึ่งต่ำกว่าประเทศเพื่อนบ้านหลายประเทศ อย่างเช่น มาเลเซียอยู่ในอันดับที่ 29 เป็นต้น

ยิ่งมาพิจารณาลึกลงไปในโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมเป็นรายสาขาของระบบขนส่งก็ยิ่งน่าเป็นห่วง เพราะปรากฏว่าเราแพ้เขาหลุดลุ่ย และแม้กระทั่งอันดับของปีก่อน ก็ยังรักษาไว้ไม่ได้ด้วยซ้ำ ในขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านเขา มีแต่จะดีขึ้น

ตัวอย่างเช่นระบบขนส่งทางรถไฟ (Rail) หรือการขนส่งในระบบราง เราอยู่ในลำดับที่ 65 ของโลก ตกจากลำดับที่ 57 เมื่อปีที่แล้ว ในขณะที่ประเทศมาเลเซีย ขยับขึ้นมาอยู่ที่ลำดับที่ 17 จากลำดับที่ 20 เมื่อปีที่แล้ว

หรือระบบขนส่งด้านอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นทางน้ำหรือทางอากาศ เราก็แย่ลงเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน เช่น ท่าเรือเราอยู่ในลำดับที่ 56 ลดลงจากลำดับที่ 43 เมื่อปีที่แล้ว ในขณะที่ประเทศมาเลเซีย ขยับขึ้นมาอยู่ที่ลำดับที่ 21 จากลำดับที่ 19 เมื่อปีที่แล้ว

ทางด้านท่าอากาศยานที่เราภูมิใจนักหนาว่าเรามีสนามบินสุวรรณภูมิที่เพิ่งสร้างใหม่ทันสมัย ปรากฏว่าเราอยู่ในลำดับที่ 33 ตกจากลำดับที่ 28 เมื่อปีที่แล้ว ในขณะที่ประเทศมาเลเซีย ขยับขึ้นมาอยู่ที่ลำดับที่ 24 จากลำดับที่ 29 เมื่อปีที่แล้ว แซงหน้าประเทศไทยไปเรียบร้อยแล้ว

หรือแม้แต่การขนส่งทางถนนซึ่งถือเป็นจุดเด่นที่สุดทางด้าน Logistic ของไทย เราก็ยังตกจากลำดับที่ 36 เมื่อปีที่แล้ว มาอยู่ที่ 39 ในขณะที่ประเทศมาเลเซียก็ตกเหมือนกัน แต่ลำดับยังดีกว่าไทย โดยตกจากลำดับที่ 21 มาอยู่ที่ 27 ในปีนี้

จะเห็นได้ว่าโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมของไทยซึ่งขาด การวางแผนและพัฒนาอย่างเป็นระบบมาอย่างยาวนาน กำลังจะกลายเป็นปัจจัยด้านคอขวด (bottle neck) ที่ขัดขวางการพัฒนาประเทศทั้งในระยะสั้นและระยะยาว

ในระยะสั้น เมื่อเราเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ในอีกสองปีข้างหน้า โดยสภาพทางภูมิศาสตร์และที่ตั้งของประเทศ ซึ่งเอื้ออำนวยให้เราเหมาะที่จะเป็นศูนย์กลางทางด้าน Logistic ของอาเซียน แต่ด้วยความสามารถทางโครงสร้างพื้นฐานที่เรามีอยู่อย่างจำกัด อาจทำให้เราต้องสูญเสียศักยภาพและโอกาสไป หรือไม่เราก็ต้องยอมให้ประเทศเพื่อนบ้านที่มีความพร้อมมากกว่ามาแบ่งปันผลประโยชน์นี้ไปอย่างน่าเสียดาย

ในระยะยาว ถ้าเรายังไม่รีบปรับตัว แน่นอนว่าประเทศไทย จะต้องสูญเสียความสามารถในการแข่งขันในเวทีการค้าโลก ไปเรื่อยๆ ทุกปีที่ผ่านไป ทุกรัฐบาลที่ผลัดเปลี่ยนกันเข้ามาบริหาร ประเทศ เราจะได้ยินแต่ถ้อยคำสวยหรูปรากฏอยู่ในคำแถลงนโยบายของรัฐบาล ว่ารัฐบาลจะลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน จะปรับเปลี่ยนระบบ Logistic ของประเทศให้ทันสมัย ให้ใช้การขนส่งในระบบรางและทางน้ำมากขึ้น ลดการขนส่งทางถนนที่สิ้น เปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงลง จะลดต้นทุนด้าน Logistic ลง

คำพูดหรือนโยบายเหล่านี้ ผมได้ยินมาไม่ใช่แค่สองหรือสามปี แต่ได้ยินมานับเป็นสิบๆ ปี คำถามคือ มันติดขัดอะไร มันจึงนำไปสู่การปฏิบัติไม่ได้ ทั้งๆ ที่ฝ่ายนโยบาย (การเมือง) ก็อยากทำ เพราะทำแล้วได้คะแนนเสียง (อาจได้เงินด้วย?) ฝ่ายข้าราชการประจำก็เห็นด้วย เอกชนก็สนับสนุน แต่โครงการ เหล่านี้ก็ไม่เกิด

ในทางตรงกันข้าม ประเทศเพื่อนบ้านเขากลับเดินหน้าโครงการเหล่านี้ได้รวดเร็วกว่าเรา ทั้งๆ ที่เขาคิดทีหลังเราเสียด้วยซ้ำไป จนมีคนในประเทศเพื่อนบ้านเคยแซวคนไทยที่ไปดูงาน บ้านเขาว่า มาดูงานบ้านเขาทำไม ประเทศเขาไม่ได้เก่งอะไรหรอก เขาเพียงแต่คอยฟังว่าประเทศไทยคิดอะไร แล้วเขาก็หยิบเอาไปทำเสร็จก่อนประเทศไทยเท่านั้นเอง

ฟังดูแล้วก็เหมือนเขาพูดเล่นขำๆ แต่เป็นมุกที่แสบเข้าไปถึงทรวงคนไทยจริงๆ

ผมมาคิดดูแล้วที่บ้านเราไปไม่ถึงไหนอย่างที่เขาล้อเลียน เรา คงไม่ใช่เป็นเพราะเราโง่กว่าเขาหรือไม่มีวิสัยทัศน์ในการ พัฒนาหรอกครับ แต่คงเป็นเพราะสองสาเหตุดังต่อไปนี้ มากกว่าคือ

1.การเมืองที่ไม่มีเสถียรภาพ การเมืองบ้านเราไม่มีเสถียรภาพมากว่าสิบปี การที่การเมืองไม่นิ่งทำให้โครงการขนาดใหญ่ เกิดขึ้นได้ยาก เพราะรัฐบาลขาดความต่อเนื่อง ยิ่งระยะหลังการเมืองบ้านเรายิ่งมีความรุนแรงมากขึ้น แบ่งฝักแบ่งฝ่ายกันอย่างชัดเจน ดังนั้นนโยบายหรือโครงการอะไรที่เป็นของฝ่ายตรงกันข้ามก็จะถูกสกัดกั้นทุกวิถีทาง ไม่ให้เกิดขึ้น ไม่ว่า โครงการนั้นจะป็นผลประโยชน์ต่อประเทศชาติหรือไม่ก็ตาม

2.การคอร์รัปชั่น เรียกร้องผลประโยชน์ และการแบ่งปันผลประโยชน์ที่ไม่ลงตัว แน่นอนว่าการทำโครงการเมกะโปรเจกต์ต่างๆ ย่อมมีผลประโยชน์มหาศาล ดังนั้นถ้าเราได้นักการเมืองหรือรัฐบาลหรือแม้กระทั่งฝ่ายค้านที่ไม่ซื่อสัตย์สุจริต ก็ย่อมมีการเรียกร้องผลประโยชน์ ค่าตอบแทน ค่าวิ่งเต้น ค่าหัวคิว หรือขอรับช่วงเหมางาน จัดซื้อจัดหาต่างๆ จนทำให้โครงการเดินหน้าต่อไปไม่ได้ หรือมีการขัดผลประโยชน์ ฟ้องร้อง ร้องเรียนกัน จนโครงการต้องล่าช้า นักลงทุนเบื่อหน่ายถอดใจ และถอนตัว ล้มเลิกโครงการไปในที่สุด

ดังนั้น ตราบใดที่เรายังแก้ปัญหาสองข้อดังกล่าวข้างต้นไม่ได้ ก็คงต้องปล่อยให้ประเทศเพื่อนบ้านเขาประมาทน้ำหน้าไปอย่างนี้ต่อไปละกันครับ!!!

ที่มา.สยามธุรกิจออนไลน์
///////////////////////////////////////////////////

วันพฤหัสบดีที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2556

ปัญหาใหม่ๆ : 10 หัวเมือง ที่เติบโตแบบก้าวกระโดด !!??

โดย รัตนา จีนกลาง

ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมานี้ กระแสการเปลี่ยนแปลงจู่โจมสู่พื้นที่หัวเมืองต่างจังหวัดเป็นไปอย่างรวดเร็วทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม และวิถีชีวิตของผู้คนวันนี้ ความเจริญและการขยายตัวของการลงทุนที่หลั่งไหลไปปักฐานในต่างจังหวัด กำลังทำให้หัวเมืองใหญ่และเมืองรองมีการเติบโตแบบก้าวกระโดดมาก

วันนี้ในต่างจังหวัดมีสภาพแทบไม่ต่างจากกรุงเทพฯ โดยเฉพาะสิ่งปลูกสร้าง อาคาร ห้างหรู และโมเดิร์นเทรดจากส่วนกลางทั้งในกลุ่มค้าปลีกและค้าวัสดุก่อสร้าง แห่ผุดราวดอกเห็ด

วันนี้ สังคมชนบทกลายเป็นสังคมเมืองมากยิ่งขึ้นในแง่ของการบริโภคและไลฟ์สไตล์

วันนี้ คนในต่างจังหวัดบริโภคอาหาร หรือจับจ่ายสินค้าอุปโภคบริโภคตามการโฆษณาในสื่อทีวีเป็นหลัก โดยมีอิทธิพลของสื่อสารมวลชน รวมทั้งกระแสโซเชียลมีเดียที่เป็นตัวกลางเชื่อมประสานให้เกิดความเปลี่ยนแปลงไปสู่การเป็น "สังคมบริโภค" อย่างเต็มตัว

วันนี้ คนในต่างจังหวัดให้การยอมรับที่พักอาศัยแนวสูง หรือคอนโดมิเนียมมากขึ้น ไม่ยึดติดกับบ้านแนวราบหรือบ้านจัดสรรเหมือนเช่นอดีตอีกแล้ว

วันนี้ ราคาที่ดินในต่างจังหวัดทุกแห่งพุ่งพรวดหลายเท่าตัว โดยเฉพาะในเมืองท่องเที่ยว เมืองการค้า เมืองอุตสาหกรรม รวมทั้งเมืองชายแดนที่จะเป็นประตูการค้าเชื่อมสู่อาเซียน

วันนี้ ไลฟ์สไตล์ของคนที่อาศัยหรือทำงานในเมืองใหญ่ รวมทั้งในพื้นที่ชนบทเปลี่ยนแปลงไปโดยสิ้นเชิงแล้ว

สายธารแห่งความเจริญ ความเปลี่ยนแปลง ความทันสมัย ความเป็นอิสระปัจเจกชนสูงขึ้น ความมากหน้าหลายตาของชาวต่างชาติที่ทะลักเข้ามาเมืองไทยจะยิ่งเพิ่มมากขึ้น หลังเปิดประเทศสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในอีก 2 ปีข้างหน้านี้ เป็นสิ่งที่คนไทยต้องเตรียมรับมือให้พร้อม

วันนี้ ประเทศไทยมีจำนวนประชากรประมาณ 64 ล้านคน จังหวัดที่มีจำนวนประชากรมากเกิน 1 ล้านคนมีทั้งสิ้น 22 จังหวัด ประกอบด้วย กรุงเทพฯ นครราชสีมา อุบลราชธานี ขอนแก่น เชียงใหม่ บุรีรัมย์ อุดรธานี นครศรีธรรมราช ศรีสะเกษ สุรินทร์ สงขลา ร้อยเอ็ด ชลบุรี เชียงราย สกลนคร สมุทรปราการ ชัยภูมิ นครสวรรค์ นนทบุรี เพชรบูรณ์ สุราษฎร์ธานี และกาฬสินธุ์

สำนักงานสถิติแห่งชาติ รายงานข้อมูลในปี 2555 จังหวัดที่มีประชากรมากที่สุด 10 ลำดับแรกของประเทศไทย ได้แก่

1)กรุงเทพมหานคร 5,673,560 คน คิดเป็นร้อยละ 8.80 ของจำนวนประชากรทั้งประเทศ 2)นครราชสีมา 2,601,167 คน ร้อยละ 4.04 3)อุบลราชธานี 1,826,920 คน ร้อยละ 2.83 4)ขอนแก่น 1,774,816 คน ร้อยละ 2.75 5)เชียงใหม่ 1,655,642 2.57 คน ร้อยละ 2.57

6)บุรีรัมย์ 1,566,740 คน ร้อยละ 2.43 7)อุดรธานี 1,557,298 คน ร้อยละ 2.42 8)นครศรีธรรมราช 1,534,887 คน ร้อยละ 2.38 9)ศรีสะเกษ 1,458,370 คน ร้อยละ 2.26 และอันดับที่ 10)สุรินทร์ 1,386,277 คน ร้อยละ 2.15

นี่ยังไม่นับรวมประชากรต่างด้าวอีกนับล้านคนที่แทรกอยู่ในทุกส่วนของสังคมไทย

วันนี้ ประชากรแฝงกลุ่มนี้ไม่ใช่แค่ผู้ขายแรงงานในโรงงานอุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานเข้มข้น งานภาคการประมง งานก่อสร้าง งานรับใช้ในบ้าน เด็กปั๊ม เด็กเสิร์ฟ เด็กโบกรถ ฯลฯ แต่วันนี้แรงงานต่างด้าวทำหน้าที่ถึงก้นครัวเป็นพ่อครัวทำอาหารให้คนไทยกินแล้ว ชีวิตคนไทยเกือบค่อนประเทศแขวนชะตาไว้กับชาวต่างด้าว

สิ่งที่สำคัญก็คือ การเติบโตก้าวกระโดดของเมืองใหญ่กำลังก่อปัญหาใหม่

ที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดก็คือ ปัญหาการจราจรติดขัดในตัวเมือง ซึ่งไม่นับรวมช่วงเทศกาลที่มีวันหยุดยาว หลายเมืองกลายเป็นอัมพาตไปเลย รวมถึงปัญหาขยะล้นเมือง ปัญหาขาดแคลนน้ำอุปโภคบริโภคในเขตตัวเมืองโดยเฉพาะในช่วงฤดูร้อนที่ส่อเค้ารุนแรงขึ้นทุกปี

ขณะนี้จังหวัดขนาดใหญ่ หรือเมืองที่ตั้งเป้าเป็นศูนย์กลาง (Hub) ของภูมิภาค เช่น เชียงใหม่ ขอนแก่น นครราชสีมา อุดรธานี สงขลา (หาดใหญ่) ภูเก็ต ชลบุรี กำลังเผชิญปัญหาระบบสาธารณูปโภค (ถนน ไฟฟ้า ประปา) โตไม่ทันการขยายตัวของเมือง จึงเกิดสภาพ "แย่งกันกิน-แย่งกันใช้" หนักหน่วงขึ้นทุกวัน

ผู้บริหารเทศบาลนครแห่งหนึ่งบอกว่า เมืองที่กำลังจะมีโครงการคอนโดมิเนียมเกิดขึ้นหลายพันยูนิต ซึ่งจะมีผู้คนเข้ามาพักอาศัยในเขตเมืองเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่าตัว นอกจากจะเกิดปัญหาแย่งน้ำอุปโภคบริโภคกันแล้ว "น้ำเสีย" ที่เกิดขึ้นจำนวนมหาศาลก็ยังไม่มีระบบบำบัดที่ดีและทั่วถึง หลายเมืองมีระบบท่อน้ำมีขนาดเล็กเกินไป หลายพื้นที่แห่เจาะบ่อบาดาลเพื่อป้อนสู่โรงงาน สนามกอล์ฟ และที่พักอาศัย

วันนี้ ผู้บริหารท้องถิ่นไม่ว่าจะเป็นจังหวัดเชียงใหม่ นครราชสีมา ขอนแก่น อุดรธานี ภูเก็ต และอีกหลายเมืองกำลังเร่งหาวิธีแก้ปัญหารถติดในหลายแนวทาง เช่น การก่อสร้างถนนวงแหวน ถนนบายพาสหรือถนนเลี่ยงเมือง การทำอุโมงค์สี่แยกไฟแดง

นอกจากนั้นยังมีความพยายามที่จะจัดบริการขนส่งมวลชนให้แก่ประชาชนและนักท่องเที่ยว เช่น รถไฟรางเบา โมโนเรล สกายบัส และสารพัดไอเดีย ซึ่งแต่ละโครงการล้วนต้องใช้งบประมาณลงทุนหลายพันล้าน

แม้จะได้เวลายกเครื่องระบบสาธารณูปโภคครั้งใหญ่ แต่ท้องถิ่นก็ไม่มีงบประมาณลงทุนเอง ต้องพึ่งพาเงินกู้ หรืองบประมาณจากรัฐบาลเท่านั้น ความไม่มีเสถียรภาพของรัฐบาล ทำให้การพัฒนาเมืองไม่ทันกับการเปลี่ยนแปลง

วันนี้ การบริหารจัดการเมืองใหญ่เป็นโจทย์ที่ท้าทายมาก เนื่องจากสังคม/ชุมชนมีความสลับซับซ้อนมากขึ้น

สังคมไทยไม่อาจต้านการเปลี่ยนแปลง แต่กำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่าน..

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
////////////////////////////////////////////////////////////////////////

จับตา : ปิดฉากคิวอี !!??

ทั่วโลกจับตาการประชุมเฟด 17-18 ก.ย. ปิดฉากมาตรการอัดฉีดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจ

ธนาคารกลางสหรัฐ หรือ เฟด จะจัดการประชุมกำหนดนโยบายในวันที่ 17-18 ก.ย. ซึ่งถือเป็นหนึ่งในการประชุมเฟดที่ได้รับการจับตามองมากที่สุดนับตั้งแต่เศรษฐกิจสหรัฐหลุดพ้นจากภาวะถดถอย โดยตลาดเงินตลาดทุนคาดว่าเฟดอาจจะเริ่มต้นปรับลดวงเงินในมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ หรือมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (คิวอี3) ในการประชุมครั้งนี้

เฟดดำเนินมาตรการคิวอี 3 ด้วยการซื้อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ ในวงเงิน 4.5 หมื่นล้านดอลลาร์ และซื้อหลักทรัพย์ที่ได้รับการค้ำประกันจากสัญญาจำนอง (เอ็มบีเอส) ในวงเงิน 4 หมื่นล้านดอลลาร์ รวม 8.5 หมื่นล้านดอลลาร์ทุกเดือนเพื่อพยุงเศรษฐกิจ

แต่เป้าหมายของเฟดยังอยู่ห่างไกล โดยสหรัฐเปิดเผยตัวเลขการจ้างงานเดือนส.ค.ที่ไม่แข็งแกร่งเท่าที่คาดการณ์ก่อนหน้านั้น แต่เฟดก็อาจจะปรับลดวงเงินในมาตรการคิวอี เมื่อพิจารณาจากความคืบหน้าทางเศรษฐกิจของสหรัฐในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา ตัวเลขว่างงานในเดือนส.ค.ที่ผ่านมา อยู่ที่ 7.3% เมื่อเทียบกับเป้าหมายที่ 6.5%

นางดานา ซาพอร์ทา นักเศรษฐศาสตร์ของธนาคารเครดิต สวิส กล่าวว่าเฟดจะปรับลดขนาดคิวอีลง 1.5-2.0 หมื่นล้านดอลลาร์ต่อเดือน แต่เมื่อพิจารณาจากความพยายามทั้งหมดที่ได้ทำไปในการเตรียมตลาดให้พร้อมรับมือสำหรับการปรับลดขนาดคิวอีในช่วงที่ผ่านมา ก็เป็นเรื่องยากที่เฟดจะไม่ฉวยโอกาสนี้ในการลดขนาดคิวอีลงเล็กน้อยในเดือนนี้

"สหรัฐได้มาถึงจุดที่มองว่า การเข้าซื้อสินทรัพย์ในอัตรา 8.5 หมื่นล้านดอลลาร์ต่อเดือนถือเป็นการดำเนินจุดยืนแบบเป็นกลาง แต่ในความเป็นจริงนั้นการกระทำดังกล่าวถือเป็นจุดยืนแบบผ่อนคลายมาก และการเข้าซื้อสินทรัพย์ในอัตรา 6.5 หมื่นล้านดอลลาร์ต่อเดือนก็จะยังคงถือเป็นการผ่อนคลายเป็นอย่างมากเช่นกัน"

เมื่อ 3 เดือนก่อน นายเบน เบอร์นันเก้ ประธานเฟด กล่าวว่า เฟดคาดว่าจะเริ่มปรับลดขนาดคิวอีลงก่อนสิ้นปีนี้ และจะยุติคิวอีทั้งหมดภายในช่วงกลางปีหน้า หากเศรษฐกิจเติบโตตามความคาดหมาย

เจ้าหน้าที่เฟดหลายรายระบุอย่างชัดเจนว่าพร้อมสำหรับการเริ่มต้นปรับลดขนาดคิวอีในสัปดาห์หน้า โดยนางเอสเธอร์ จอร์จ ประธานเฟดสาขาแคนซัส ซิตี้ กล่าวว่า เฟดควรปรับลดขนาดคิวอีลง 1.5 หมื่นล้านดอลลาร์

แต่บรรดานักเศรษฐศาสตร์คาดว่าเฟดจะปรับลดขนาดคิวอี ลง 1.0 หมื่นล้านดอลลาร์ในสัปดาห์หน้า โดยลดลงจากระดับ 1.5 หมื่นล้านดอลลาร์ ที่เคยคาดการณ์ไว้ในเดือนส.ค.

เฟดเริ่มต้นดำเนินมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณรอบ 3 (คิวอี3) เมื่อ 1 ปีก่อน โดยมีจุดประสงค์เพื่อกระตุ้นการลงทุน, การจ้างงานและการเติบโตทางเศรษฐกิจ และนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา อัตราการ ว่างงานก็ลดลงจาก 8.1 % สู่ 7.3 % ในขณะที่เศรษฐกิจสหรัฐขยายตัว 2.5 % ในไตรมาส 2 ซึ่งเป็นระดับที่สูงเกินคาด

การจ้างงานนอกภาคเกษตรในสหรัฐเติบโตขึ้นเฉลี่ย 184,000 ตำแหน่งต่อเดือนในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา แต่ชะลอการขยายตัวในเดือนส.ค. และส่งผลให้นักลงทุนบางรายเริ่มไม่แน่ใจเกี่ยวกับการปรับลดขนาดคิวอี3 นอกจากนี้ อัตราการมีส่วนร่วมในกำลังแรงงานยังลดลงสู่ระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ปี 2521 ด้วย โดยอัตราการมีส่วนร่วมนี้วัดจากจำนวนประชากรวัยทำงานในสหรัฐที่มีงานทำหรือกำลังหางานทำ เมื่อเทียบกับจำนวนประชากรวัยทำงานทั้งหมดในสหรัฐ

ถึงแม้ตัวเลขการจ้างงานเดือนส.ค.อยู่ในระดับที่น่าผิดหวัง แต่นักเศรษฐศาสตร์คาดว่าเฟดจะปรับลดขนาดคิวอีในสัปดาห์หน้า แทนที่จะรอจนถึงการประชุมในวันที่ 29-30 ต.ค. หรือวันที่ 17-18 ธ.ค.

นายริชาร์ด กิลฮูลี จากบล.ทีดีกล่าวว่า ตัวเลขการจ้างงานในเดือนส.ค. ไม่มีแนวโน้มที่จะสกัดกั้นการเริ่มต้นปรับลดขนาดคิวอีในเดือนก.ย. โดยตัวเลขการจ้างงานอาจจะส่งผลให้เฟดปรับลดคิวอีในระดับที่น้อยลง หรืออาจจะออกแถลงการณ์ที่เน้นย้ำแนวโน้มแบบสายพิราบมากยิ่งขึ้น"

เมื่อพิจารณาจากตัวเลขอัตราเงินเฟ้อที่ระดับต่ำในปีนี้ เฟดก็อาจจะลดความกังวลของนักลงทุนที่มีต่อการคุมเข้มนโยบายการเงิน ด้วยการเน้นย้ำภาระผูกพันในการตรึงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับใกล้ 0 % จนกว่าอัตราการว่างงานจะลดลงสู่ระดับต่ำกว่า 6.5 %

นายเบอร์นันเก้อาจจะกล่าวย้ำว่า เฟดจะใช้ความอดทนในขณะที่ปรับลดขนาดคิวอี 3 ลงในช่วงไม่กี่ไตรมาสข้างหน้า

ตลาดการเงินทั่วโลกเคยประสบภาวะปั่นป่วนเมื่อนายเบอร์นันเก้ กล่าวในเดือนพ.ค.ว่า เฟดมีแนวโน้มปรับลดขนาดคิวอี3 ลง โดยปัจจัยดังกล่าวส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐพุ่งสูงขึ้น และนักลงทุนเทขายสินทรัพย์ในอินเดียและประเทศกำลังพัฒนาแห่งอื่นๆ หลังจากประเทศกลุ่มนี้เคยมีเงินลงทุนไหลเข้าเป็นจำนวนมากในช่วงที่เฟดดำเนินนโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย

ตลาดหุ้นฟื้นตัวขึ้นในช่วงหลังจากนั้น แต่ตลาดเกิดใหม่อาจถูกกดดันอีกครั้งเมื่อเฟดปรับลดขนาดคิวอี3 ลง โดยนายเยอร์ก อาสมุนเซน สมาชิกคณะกรรมการบริหารของธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) กล่าวเตือนว่าการยุติคิวอีของเฟดอาจส่งผลกระทบในปัจจุบันในระดับที่รุนแรงกว่าในปี 2537 ซึ่งเป็นปีที่การคุมเข้มนโยบายการเงินของเฟดเคยสร้างความเสียหายต่อตลาดเกิดใหม่

เจ้าหน้าที่เฟดอาจจะพยายามลดทอนผลกระทบที่เกิดจากการปรับลดขนาด คิวอี ด้วยการระบุย้ำว่า การเข้าซื้อตราสารหนี้จะยังคงดำเนินต่อไปอีกหลายเดือนในปีหน้า และเฟดจะยังไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นในเร็วๆนี้

เฟดจะปรับตัวเลขคาดการณ์เศรษฐกิจใหม่ในการประชุมเดือนนี้ด้วยและนายเบอร์นันเก้จะจัดการแถลงข่าวหลังการประชุมเพื่อกล่าวถึงการตัดสินใจ

ด้านนโยบายการเงิน ประธานาธิบดีบารัค โอบามามีแนวโน้มที่จะเสนอชื่อผู้ที่จะได้ดำรงตำแหน่งประธานเฟดคนใหม่ต่อจากนายเบอร์นันเก้ในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า และปัจจัยนี้อาจทำให้เกิดความไม่มั่นใจต่อคำสัญญาด้านนโยบายในระยะยาวของเฟด

วาระการดำรงตำแหน่งประธานเฟดของนายเบอร์นันเก้จะสิ้นสุดลงในช่วงสิ้นเดือนม.ค. 2557 และตลาดคาดว่าทำเนียบขาวจะเสนอชื่อประธานเฟดคนใหม่ในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า โดยอาจจะเสนอชื่อ นายลอว์เรนซ์ ซัมเมอร์ส อดีตรมว.คลังสหรัฐ หรือนางเจเน็ต เยลเลน รองประธานคณะกรรมการผู้ว่าการเฟด

การประชุมเฟดในสัปดาห์หน้าอาจจะเป็นโอกาสสุดท้ายสำหรับนายเบอร์นันเก้ในการเริ่มต้นปรับลดขนาดคิวอี3 ลง

นักวิเคราะห์กล่าวว่าการปรับลดขนาดคิวอี3 จะเปิดโอกาสให้นายเบอร์นันเก้ สามารถเริ่มต้นกระบวนการที่ผู้ดำรงตำแหน่งต่อจากเขาสามารถสานต่อหรือเร่งรัดให้เร็วขึ้นได้ในอนาคต

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
/////////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันพุธที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2556

อิทธิพลจีน ใน เออีซี !!??

โดย. ณกฤช เศวตนันทน์

ปัจจุบัน ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน หรือที่มักจะเรียกกันสั้น ๆ ว่าจีน ถือเป็นหนึ่งในประเทศมหาอำนาจของโลกที่มีเขตเศรษฐกิจขนาดใหญ่ และมีประชากรที่มากที่สุดในโลก

ในการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ที่จะถึงในปี พ.ศ. 2558 คาดการณ์ว่า กลุ่มทุนจากจีนเป็นกลุ่มทุนขนาดใหญ่ที่จะเข้ามาลงทุนในอาเซียน ด้วยจำนวนประชากรกว่า 600 ล้านคนของ AEC และความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรธรรมชาติประเภทต่าง ๆ ใน 10 ประเทศสมาชิก AEC ตลอดจนค่าจ้างแรงงานที่ค่อนข้างถูกกว่าภูมิภาคอื่น เหล่านี้ย่อมดึงดูดใจให้จีนอยากเข้ามาลงทุนในตลาดใหม่แห่งนี้เป็นอย่างมาก อีกทั้งในภูมิภาคอาเซียนมีประชาชนที่มีเชื้อชาติจีนอยู่เป็นจำนวนไม่น้อย กับมีพรมแดนที่ไม่ไกลกันมากระหว่างอาเซียน และยังมีความคล้ายคลึงกันทางวัฒนธรรมของประชากร ทำให้จีนได้เปรียบชาติอื่น ๆ จากตะวันตกในการที่จะเข้ามาลงทุนอยู่มาก

ก่อนที่ AEC จะเปิดตัวอย่างเป็นทางการในปี พ.ศ. 2558 ทางประเทศจีนก็ได้ขยับตัวเตรียมวางรากฐานการลงทุนในอาเซียนไว้แล้ว รัฐบาลของจีนได้เจรจากับรัฐบาลในภูมิภาคอาเซียนหลาย ๆ ประเทศ เพื่อขอ ก่อสร้างรถไฟความเร็วสูง ผ่านประเทศพม่าซึ่งอยู่ใกล้จีนมากที่สุด เพื่อเป็นทางผ่านเข้ามาในประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาคอาเซียน

โดยเส้นทางรถไฟสายที่น่าจะก่อสร้างเสร็จเร็วที่สุด คือ เส้นทางรถไฟยูนนาน-พม่า สายนี้จะสร้างเสร็จในปี ค.ศ. 2015 และจีนก็กำลังจะสร้างท่าเรือและเขตอุตสาหกรรมที่นั่นด้วย เพื่อเป็นช่องทางส่งออกสินค้าจากเขตตะวันตกเฉียงใต้ของจีน ซึ่งไม่มีทางออกทะเล รวมทั้งเป็นจุดขนถ่ายน้ำมันและก๊าซ อีกทั้งจีนยังมีแผนการที่จะสร้างทางรถไฟอีกสายหนึ่งซึ่งมีความยาว 1,920 กม. เชื่อม เมืองคุนหมิง กับ เมืองท่าย่างกุ้ง ซึ่งจะเป็นการขยายเส้นทางแนวเหนือ-ใต้ที่มีอยู่แล้ว เส้นทางนี้จะเชื่อมไปถึงท่าเรือแห่งใหม่ที่ทวายในภาคใต้ของพม่า จากนั้นก็จะมีเส้นทางเชื่อมระหว่างทวายกับกรุงเทพฯ

นอกจากนั้น ยังมีทางรถไฟสายที่สามซึ่งจะตัดผ่านรัฐฉานของพม่า โดยเชื่อม เมืองคุนหมิง กับ เชียงราย แล้วเชื่อมจากเชียงรายเข้าสู่โครงข่ายรถไฟในไทย เส้นทางสายนี้และเส้นทางที่กำลังสำรวจในลาว จะเป็นเส้นทางขนส่งทางรถไฟระหว่างจีน กัมพูชา ไทย และสิงคโปร์ โดยโครงการทั้งหมดนี้ จีนเสนอจะออกเงินสร้างทางรถไฟสายใหม่และปรับปรุงรางเดิมให้พม่า โดยแลกกับการได้สัมปทานทรัพยากรธรรมชาติต่าง ๆ เช่น น้ำมัน ก๊าซ และน้ำ

ทั้งนี้ จะเห็นได้ว่าจีนมีความมุ่งมั่นเป็นอย่างมากที่จะขยายอิทธิพลเข้ามาในภูมิภาคอาเซียน นอกจากเตรียมพร้อมเรื่องเส้นทางขนส่งแล้ว จีนเป็นประเทศคู่เจรจาประเทศแรกที่เสนอให้มีการจัดตั้งเขตการค้าเสรีกับอาเซียน โดยทั้งสองฝ่ายลงนามกันใน ASEAN-China Framework Agreement on Economic Cooperation ในปี ค.ศ. 2002 ซึ่งกำหนดเป้าหมายให้มีการจัดตั้งเขตการค้าเสรีระหว่างจีนกับสมาชิกเก่าของอาเซียน 6 ประเทศ ได้แก่ สิงคโปร์ อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ บรูไน และไทย ภายในปี ค.ศ. 2010 และกับประเทศสมาชิกใหม่ของอาเซียน 4 ประเทศ คือ พม่า กัมพูชา ลาว และเวียดนาม ภายในปี ค.ศ. 2015

ก่อนหน้านี้ จีน-อาเซียนได้ลงนามความตกลงด้านการค้าสินค้าในปี ค.ศ. 2004 ความตกลงด้านการค้าบริการในปี ค.ศ. 2007 ความตกลงด้านการลงทุนในปี ค.ศ. 2009 ความตกลงเขตการค้าเสรีจีน-อาเซียน มีผลโดยสมบูรณ์เมื่อวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2553 ทำให้อัตราภาษีศุลกากร

ส่วนใหญ่ของจีนกับสมาชิกเก่า 6 ประเทศของอาเซียนเหลือร้อยละศูนย์ (0) และผลรวมมูลค่าการค้าระหว่างจีนกับอาเซียนในรอบปี ค.ศ. 2012 มีมูลค่ากว่า 4 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่มูลค่าการค้าของอาเซียนกับประเทศต่าง ๆ ในโลกรวมกันมีประมาณ 1,537,000,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และการลงทุนระหว่างจีนกับอาเซียนก็มีมูลค่ากว่า 1 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ

ด้านการเมืองและความมั่นคง จีนเป็นประเทศคู่เจรจาประเทศแรกที่ลงนามในพิธีสารแนบท้ายสนธิสัญญาทางไมตรีและความร่วมมือในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (Treaty of Amity and Cooperation : TACT) เมื่อ ค.ศ. 2003 ซึ่งสนธิสัญญา TACT ดังกล่าวมีขึ้นตั้งแต่ปี 1976 เพื่อกำหนดหลักการต่าง ๆ ที่ประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยึดถือ อันได้แก่ การเคารพในเอกราชอธิปไตย ความเสมอภาคบูรณภาพแห่งดินแดนและอัตลักษณ์ประจำชาติ รวมถึงการไม่แทรกแซงกิจการภายในของกันและกัน และการแก้ไขข้อพิพาทโดยสันติวิธี

จึงเห็นได้ว่า ใน AEC ที่กำลังจะเกิดขึ้นนี้ ประเทศที่จะมีส่วนเกี่ยวข้องมากที่สุดประเทศหนึ่งคงจะหนีไม่พ้นประเทศจีน ดังนั้น ทั้ง 10 ชาติสมาชิก AEC ควรจะมีการเตรียมพร้อมในการหาข้อมูลเกี่ยวกับประเทศจีนเตรียมไว้ให้พร้อม

นอกจากนั้น ภาษาจีนก็อาจจะกลายเป็นภาษาที่มีความสำคัญไม่แพ้ภาษาอังกฤษ ชาติสมาชิกใน AEC จึงควรที่จะให้ประชาชนของตนศึกษาให้ชำนาญ

หากต้องการประสบความสำเร็จในการทำธุรกิจกับประเทศจีนใน AEC ที่กำลังจะมาถึง

ทีมา.ประชาชาติธุรกิจ
/////////////////////////////////////////////////////////////////

อุ้มราคายาง ใครรวยกันแน่ !!??

แม้วันนี้ม็อบยางพาราในจังหวัดภาคใต้ จะดูเหมือนอยู่ระหว่างการพักรบ เพื่อหาจุดร่วมในการที่จะตกลงกันว่า ราคาที่เป็นไปได้ของรัฐบาลในการที่จะช่วยอุ้มชาวสวนยางพารา กับราคาที่ม็อบยางพาราต้องการนั้น

จุดที่รับได้ของทั้ง 2 ฝ่ายอยู่ตรงไหน

ถ้าหาจุดลงตัวไม่ได้ ฝ่ายม็อบก็ยืนกรานแล้วว่า จะประท้วงอีก และจะยกระดับความรุนแรงมากขึ้น โดยนอกจากจะปิดถนนอีกรอบแล้ว จะมีการไปปิดด่านสะเดาอีกด้วย

เรียกว่ามุ่งกดดันด้วยความเสียหายในภาพรวมของประทศชาติ และประชาชนเป็นหลัก
ในขณะที่ประชาชนส่วนใหญ่ ที่ต้องใช้ถนน ใช้สนามบิน ใช้เส้นทางคมนาคม ได้แต่มองตาปริบๆ เพราะเหมือนกับว่าเป็นตัวประกันให้กับกลุ่มม็อบ

ปัญหาที่ผู้คนในสังคม โดยเฉพาะคนในสังคมภาคใต้ควรตั้งคำถามก็คือ นี่คือการชุมนุมโดยการใช้สิทธิของประชาชนที่สามารถชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธจริงหรือไม่???

เพราะถึงขั้นเผารถนักข่าว ทำลายรถตำรวจ ทำลายทรัพย์สินของทางราชการของผู้ที่ทำหน้าที่กันเช่นนี้ ยังจะบอกได้อีกหรือว่าเป็นการกระทำโดยที่ไม่มีผลประโยชน์การเมืองหนุนหลัง

ถ้าเช่นนั้นทำไมนักการเมืองที่เป็น ส.ส.ในพื้นที่จังหวัดภาคใต้ แทนที่จะออกมาดูแลความเดือดร้อนของคนในจังหวัด ของนักท่องเที่ยว และคนนอกพื้นที่เดือดร้อนจากการกระทำของม็อบ กลับกลายเป็นว่านักการเมืองไปขึ้นเวทีม็อบ

แม้แต่คณะกรรมการสิทธิมนุษยชน ก็สนใจแค่ว่ากลุ่มผู้ชุมนุมจะถูกละเมิดหรือไม่ หรือว่าจะมีการใช้กำลังใช้อาวุธสลายการชุมนุมหรือเปล่า???

ส่วนประชาชนจำนวนมากที่ถูกละเมิดสิทธิกันเห็นจะๆ จากการปิดถนนปิดทางรถไฟ ทุบทำลายทรัพย์สิน ทำร้ายร่างกายเจ้าหน้าที่ ปรากว่าคณะกรรมการสิทธิ์ ชุดของนางอมรา พงศาพิชญ์ เป็นประธานกรรมการ กับ นพ.นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ในฐานะประธานอนุกรรมการด้านสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง ไม่เคยที่จะใส่ใจ

ทั้งๆที่ก็ถูกประชาชนในพื้นที่ร้องเรียนไปแล้ว แต่ก็เงียบ ราวกับอมสากกันหมดหรืออย่างไร
เพราะเป็นเช่นนี้หรือไม่ ที่ทำให้ความเชื่อที่ว่า เรื่องนี้ต้องมีนักการเมืองเข้าไปเกี่ยวอยู่เบื้องหลังมีน้ำหนักเป็นอย่างมากในสายตาและความรู้สึกของสังคม

มองกันตื้นๆ หากม็อบทำให้รัฐบาลอยู่ไม่ได้ ด้วยการยื่นเงื่อนไขที่ไม่มีทางทำได้ ไม่ว่าจะในเรื่องของราคาประกัน เรื่องของเงินช่วยเหลือ และที่สำคัญเรื่องที่จะไม่ให้เอาผิดใดๆกับบรรดาแกนนำบรรดา

หัวโจก บรรดาผู้ที่กระทำผิดกฎหมายทั้งหลาย

โดยอาศัยข้ออ้างว่า เป็นการใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญในการแสดงออก
ทั้งๆที่เป็นการแสดงออกโดยทำในสิ่งที่ผิดกฎหมาย... แล้วจะให้จบไปโดยไม่มีอะไร รับรองได้ว่าอนาคตจะมีสารพัดม็อบเกิดขึ้นตามมาแน่นอน

เพราะนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ก็ไปขึ้นเวทีพูดปาวๆแล้วว่า นี่คือชัยชนะของม็อบยางพารา แถมยังบอกให้คนอื่นๆดูเอาไว้เป็นแบบอย่าง... ปลุกเร้าแบบเปิดหน้าหรากันเลยว่าเป็นเรื่องที่เหมาะสมที่จะทำ

จึงไม่แปลกที่กรณีนายเชน เทือกสุบรรณ ส.ส.ของพรรคประชาธิปัตย์ แสดงพฤติกรรมไม่เหมาะสมอย่างมากด้วยการทุ่มเก้าอี้ระบายอารมณ์ถึง 2 ตัว แบบขาดสติยับยั้งชั่งใจ นายอภิสิทธิ์ถึงได้แก้ต่างแทนว่า เป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสมอย่างยิ่งก็จริง แต่ที่ทำเพราะอัดอั้นตันใจ

น่าสนใจตรงคำถามที่ว่า อัดอั้นตันใจเรื่องอะไรกันแน่ เรื่องไม่ได้พูดถึงปัญหาม็อบยางพารา หรือเรื่องที่ไม่ได้ใช้เวทีในการถล่มรัฐบาล หรือว่าเป็นเพราะไม่ได้พูดออกทีวีให้ประชาชนได้เห็น
หรือว่ามีอะไรมากไปกว่านั้นหรือไม่???

เพราะต้องยอมรับความจริงว่า ชาวสวนยางในปัจจุบัน นอกจากจะมีประชาชนชาวสวนเดิม ชาวสวนใหม่แล้ว ยังมีพวกนักการเมือง มีพวกเศรษฐีนักธุรกิจระดับมหาเศรษฐีเข้าไปลงทุนปลูกยางพารากันเป็นจำนวนมากด้วย

เป็นที่รู้กันว่า ที่จังหวัดบึงกาฬ พื้นที่ปลูกยางกว่า 7,000 – 8,000 ไร่ เป็นของนักการเมืองใหญ่คนหนึ่ง ซึ่งก้ต้องชมว่าอย่างน้อยก้มีสปิริต ไม่ได้ออกมาปลุกเร้าประชาชน ไม่ได้ออกมาเล่นการเมืองเบื้องหลังม็อบรอบนี้เลยแม้แต่สักนิด

แค่รอส้มหล่น รัฐบาลอุ้มยิ่งมากแค่ไหน นั่นก็หมายถึงประโยชน์ล้วนๆอยู่แล้ว จึงไม่จำเป็นต้องทำให้ประเทศชาติเสียหาย

ซึ่งก็คงคิดเหมือนกับนักธุรกิจใหญ่ หลายๆคน ที่โดดเข้าไปลงมุนในสวนยางพาราทั้งในประเทศและแถบประเทศเพื่อนบ้านของไทย จนเป็นที่พูดกันปากต่อปากว่า เจ้าสัวเจริญ สิริวัฒนภักดี แห่งค่ายไทยเบฟ กับเจ้าสัวธนินท์ เจียรวนนท์ แห่งอาณาจักรซีพี

ต่างก็ไปลงทุนในสวนยางพารากันเป็นหมื่นๆไร่

เอาแค่รอรับส้มหล่น จากราคาตลาดซึ่งอยู่ที่กิโลกรัมละ 72-76 บาท แล้วรัฐบาลประกันราคาที่กิโลกรัมละ 85 บาท หรือ 90 บาทแล้ว ก็รับเนื้อๆไม่รู้เท่าไหร่แล้ว... ไม่ต้องไปถึงกิโลละ 120 บาท ก็รวยกันสะดือปลิ้นแล้ว

ฉะนั้นบรรดาชาวสวนยางที่เดือดร้อนจริงๆ คงต้องฉุกใจคิดเหมือนกันว่า ที่พยายามเรียกร้องราคาสูงๆ ที่ขีดเส้นตายกันอยู่ในเวลานี้... ใครกันแน่ที่รวยเละ!!!

ชาวสวนที่มีพื้นที่แค่ 10-20 ไร่ หรือว่าคนรวยที่มีสวนยางเป้นพันๆหมื่นๆไร่กันแน่
นี่ยังไม่นับบรรดาเจ้าของสวนยางในประเทศเพื่อนบ้าน ที่สามารถจะส่งยางมาขายในเมืองไทยได้ด้วย หากมีราคาที่สูงกว่าระดับราคาในตลาดโลก... ใครคือผู้ที่เสียเปรียบหากไม่ใช่ประเทศไทยคนไทย
หรือแม้แต่ข้อมูลในเว็บไซด์ พระนครสาส์น ที่มีการนำเสนอรายงาน “ไขปริศนาม็อบปิดถนน?” โดยเปิดบัญชีทรัพย์สิน3พี่-น้องตระกูลเทือกสุบรรณ ว่าที่แท้เข้าข่ายเศรษฐีสวนยาง!

โดยได้มีการตรวจสอบ “บัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน” ที่นักการเมืองจะต้องแจ้งเอาไว้กับคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ซึ่งพบว่าทั้งนายสุเทพ เทือกสุบรรณ นายเชน เทือกสุบรรณ และนายธานี เทือกสุบรรณ มีรายได้จาก “สวนปาล์ม” และ “สวนยางพารา” รวมกันเกือบ 50 ล้านบาท

โดยนายสุเทพ ได้แจ้งบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินเอาไว้กับ ป.ป.ช. เมื่อเข้ารับตำแหน่ง “ส.ส.สุราษฎร์ธานี พรรคประชาธิปัตย์” เมื่อวันที่ 5 กันยายน 2554 ระบุว่า มีทรัพย์สินรวม 141,785,824.24 บาท มีหนี้สินรวม 47,973,015.97 โดยมีรายได้จาก สวนยาง,สวนปาล์ม สูงถึง 41,459,970 บาท (สี่สิบเอ็ดล้านสี่แสนห้าหมื่นเก้าพันเก้าร้อยเจ็ดสิบบาท)

ส่วนนายเชน ก็ได้แจ้งบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินเอาไว้กับ ป.ป.ช. เมื่อเข้ารับตำแหน่ง ส.ส.สุราษฎร์ธานี พรรคประชาธิปัตย์ วันที่ 10 กันยายน 2554 ระบุว่า มีทรัพย์สินรวม 47,717,208.88 บาท และมีหนี้สินรวม 3,313,683.00 บาท

และมีรายได้จากสวนยางพาราถึง 3,000,000 บาท (สามล้านบาท) รวมทั้งมีรายได้จากสวนปาล์มน้ำมันอีก 2,000,000 บาท(สองล้านบาท) นอกนั้นเป็นรายได้จากสวนผลไม้อีก 800,000 บาท
ขณะที่นายธานี ได้แจ้งบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน ต่อ ป.ป.ช. เอาไว้เมื่อครั้งเข้ารับตำแหน่ง ส.ส.สุราษฎร์ธานี พรรคประชาธิปัตย์ เมื่อวันที่ 30 สิงหาคม 2554 ระบุว่ามีทรัพย์สินรวมทั้งสิ้น 58,501,534.13 บาท และมีหนี้สิน 19,665,641.56 บาท

โดยนายธานี มีรายได้จากสวนปาล์ม 1,800,000 บาท (หนึ่งล้านแปดแสนบาท)โดยประมาณ ขณะที่คู่สมรสมีรายได้จากสวนปาล์มอีก 360,000 บาท(สามแสนหกหมื่นบาท)โดยประมาณ
ซึ่งเมื่อรวมพี่น้องทั้ง 3 คนในตระกูลเทือกสุบรรณจะพบว่า มีรายได้จากยางพาราและสวนปาล์ม รวมกันสูงถึง 48,619,970 บาท (สี่สิบแปดล้านหกแสนหนึ่งหมื่นเก้าพันเก้าร้อยเจ็ดสิบ)

อ่านรายละเอียดได้ใน http://www.phranakornsarn.com/cockroach/1934.html

ซึ่งหากมองกันตามสิทธิของประชาชนที่มีมาทุกยุคทุกสมัย ใครใคร่ค้าช้างค้า ค้าม้าค้า ค้าวัวค้าความค้า... การที่คนในตระกูลเทือกสุบรรณ จะไปลงทุนทำสวนยางพารา จะปลูกปาล์มน้ำมันนั้นไม่ใช่เรื่องแปลก กฎหมายไม่ได้ห้ามว่าคนตระกูลนี้ห้ามปลูกยางห้ามเป้นเจ้าของสวนยางพาราเสียเมื่อไหร่
แต่ที่เป็นประเด็นคือการแสดงออกที่ดุเดือดต่างหาก ที่ทำให้คนสงสัยว่าตกลงจริงๆแล้วที่ดาลเดือดขนาดนั้นมันเรื่องอะไรแน่???

เช่นเดียวกับข้อสงสัยที่ว่า มีนักการเมืองอยู่เบื้องหลังม็อบนั้น มันเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ด้วยหรือไม่???
ตรงนี้แหละที่เป็นคำถามคาใจสังคม

เพราะที่ตลกร้ายไปยิ่งกว่านั้นก็คือ ข้อมูลจากนายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย ที่ระบุว่านายอำนวย ยุติธรรม นักเคลื่อนไหว ที่เป็นแกนนำในการเรียกร้องและขู่ปิดถนนนั้น ได้ตรวจสอบแล้วพบว่า นายอำนวย ไม่ได้ทำสวนยาง แต่มีอาชีพเป็นรองนายกฯอบต.ที่แต่งตั้งโดยนายบุญโชค แก้วแกม นายกฯอบต. ต.ท่าขึ้น อ.ท่าศาลา จ.นครศรีธรรมราช

ซึ่งก็คงจะมั่นใจในข้อมูล ถึงได้กล้าท้าว่า หากนายอำนวยทำยางจริงจะไปรับซื้อถึงบ้านกิโลกรัมละ 200 บาท

เงื่อนงำต่างๆทำนองนี้แหละที่ทำให้น่าคิดว่ากำลังเกิดขบวนการอะไรเพื่อวัตถุประสงค์ทางการเมืองหรือไม่???

ขณะที่คนสวนยางภาคใต้ก็ต้องคิดให้หนักว่า ถ้ารัฐบาลยอมตามเงื่อนไข เพราะไม่อยากให้ประเทศชาติมีปัญหาความวุ่นวายนั้น

ใครกันแน่ที่รวย!!!

ที่มา.บางกอกทูเดย์
/////////////////////////////////////////////

ใครได้ใครเสีย จากการลดภาษีสินค้าฟุ่มเฟือย !!??

หลังจากที่ นายอารีพงศ์ ภู่ชอุ่ม ปลัดกระทรวงการคลัง ออกมาประกาศว่าจะเน้นการกระตุ้นภาคการท่องเที่ยวและบริการ ให้ขยายตัวมากขึ้นทดแทนการส่งออกที่หายไปโดยการใช้มาตรการทางภาษีเข้ามาสนับสนุนในโครงการ “ช็อปปิ้ง พาราไดซ์” เพื่อแข่งขันกับสิงคโปร์ และฮ่องกง ที่มีภาษีสินค้าฟุ่มเฟือยเป็นศูนย์ เพราะเห็นแนวโน้มการท่องเที่ยวจากต่างชาติดีขึ้นมาตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา โดยในปี 2556 คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาใช้จ่ายในประเทศไทยจำนวน 26.4 ล้านคน ขยายตัว 18% จากปีก่อน

ซึ่งจากข้อมูลของสำนักเศรษฐกิจและการคลัง วิเคราะห์ว่า นโยบายลดภาษีสินค้าฟุ่มเฟือยจะส่งผลบวกต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในปี 2556 ผ่านช่องทางการท่องเที่ยว ในช่วง 7 เดือนแรกของปี มีจำนวนนักท่องเที่ยวทั้งสิ้น 15 ล้านคน  โดย 3 อันดับแรกสูงสุดมาจากประเทศจีน รัสเซีย ญี่ปุ่น ทำให้รายได้นักท่องเที่ยวต่างชาติประเทศอยู่ที่ 6.8 แสนล้านบาท หรือขยายตัว 24% โดยขณะนี้กระทรวงการคลังอยู่ระหว่างศึกษาและหารือกับผู้ประกอบการ เกี่ยวกับการลดภาษีสินค้าฟุ่มเฟือย คาดว่าในช่วง 1-2 เดือนนี้ จะสรุปการปรับลดภาษีนำเข้าสินค้า ทั้งน้ำหอม เครื่องสำอาง เสื้อผ้าแบรนด์เนม รองเท้า กระเป๋า จากปัจจุบันจัดเก็บภาษีที่ร้อยละ 30 ให้เหลือ 0% โดยเร่งผลักดันการลดภาษีดังกล่าวให้มีผลบังคับใช้ในช่วงปลายปีนี้

แต่หลังจากข่าวลดภาษีดังกล่าวออกมา ปรากฏว่า มีเสียงสะท้อนตามอย่างมากมาย แม้นางเบญจา หลุยเจริญ รมช.คลังจะออกเบรกแรงต่อต้านว่า ไม่มีนโยบายจะลดภาษีสินค้าฟุ่มเฟือยทั้งหมดทุกรายการ แต่ส่วนใหญ่ก็ยังคงคัดค้านแนวคิดดังกล่าว

ด้านนายวัลลภ วิตนากร รองประธาน ส.อ.ท.ให้เหตุผลการคัดค้านว่า การลดภาษีดังกล่าวจะส่งผลให้สินค้าต่างประเทศเข้ามาตีตลาดในประเทศ และจะกระทบต่อผู้ประกอบ การในประเทศ โดยเฉพาะสินค้าแฟชั่น ประเภทเสื้อผ้า เครื่องหนัง รองเท้า ซึ่งมาเลเซียเคยใช้แนวทางนี้ เพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวจากต่างชาติมา 2 ปี แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ทำให้นักท่องเที่ยวต่างชาติเพิ่มขึ้นมากนัก

ก็เป็นประเด็นน่าคิดว่า หากรัฐบาลทำโครงการนี้จริง รัฐบาลจะมีมาตรการอะไรที่จะมาควบคุม และกันรันตีได้ว่า คนไทยเองจะไม่แห่มาซื้อสินค้าแบรนด์เนมเหล่านี้แทนสินค้าที่ผลิตในประเทศ เพราะเป็นของดังราคาถูกลง ซึ่งมองว่า นโยบายนี้เป็นนโยบายที่ทำลายธุรกิจในประเทศอย่างมากหนักหน่วงหลังมีมาตรการค่าแรง 300 บาท/วันแล้ว เป็นธรรมดาที่ภาคอุตสากรรมไทยย่อมออกมาต่อต้านหลังชนฝา แต่ก็มีอีกไม่น้อยที่ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ไม่กล้าออกมาแสดงคัดค้านกับแนวคิดนี้ ก็เนื่องจากกลัวว่า จะทำให้ผู้ประกอบการห้างสรรพสินค้าไม่พอใจ แล้วอาจทำให้ได้รับผลกระทบในการจำหน่ายสินค้าในห้างต่างๆ ที่เห็นด้วยเนื่องจากห้างเหล่านี้ สนับสนุนแนวคิดนี้อย่างมาก

อย่างไรก็ตาม ภาคเอกชนยังคงต้องการให้รัฐบาลวางแนวทางที่ชัดเจนว่าสินค้าอะไร บ้างที่เรียกว่าเป็นสินค้าสินค้าฟุ่มเฟือย ที่จะต้องเข้าข่ายการปรับลดภาษีนำเข้าลงได้บ้าง เช่น รถยนต์ ถือว่าเป็นสินค้าฟุ่มเฟือยด้วยหรือไม่ นอกจากนั้นแล้วรัฐบาลจะต้องทำการแยกแยะและวางระเบียบให้ชัดเจน เพื่อให้เกิดความเป็นธรรม เพราะในต่างประเทศเช่น มาเลเซีย ทางรัฐบาลไม่ได้มีการแยกแยะออกมาคิดเป็นรายการเดียวกันหมด

ที่มา.ทีนิวส์
//////////////////////////////////////////////////

จีดีพีไทยแผ่วคาดไตรมาส 4 โต 2.2%

นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองผู้อำนวยการสำนัก งานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เปิดเผยในงานสัมมนา "SCB Investment Symposium 2013 : รู้รอบทิศ พิชิตการลงทุน" ว่า เศรษฐกิจไทยปีนี้คาดจะขยายตัวชะลอลงมาอยู่ที่ 3.8-4.3% ซึ่งการใช้จ่ายและการลงทุนภาครัฐจะมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ขณะที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สามารถปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลงได้จากปัจจุบันอยู่ที่ 2.5% โดยปัจจัยเสี่ยงที่ต้องติดตามคือ ความผันผวนของตลาดเงินและตลาดทุนโลก การเร่งตัวขึ้นของราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก และความเสี่ยงทางการเมือง


"แนวโน้มเศรษฐกิจไทยในระยะยาวต้องพึ่งพาการ ส่งออกไปยังประเทศในกลุ่มอาเซียนมากขึ้น ขณะที่ฐานะ การคลังภาครัฐยังเอื้อต่อการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน โดยขณะนี้สัดส่วนหนี้สาธารณะอยู่ที่ 44% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ถ้ารัฐไม่ลงทุนจะทำให้รายได้จีดีพีเล็กลง ดังนั้นต่อให้ไม่ทำอะไรเลยหนี้สาธารณะต่อจีดีพีของไทยก็จะเพิ่มขึ้น ซึ่งเชื่อว่าเมื่อพ.ร.บ.ลงทุนโครงสร้าง พื้นฐาน 2 ล้านล้านบาท ผ่านสภาผู้แทนราษฎร จะเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่สำคัญ" นายเอกนิติกล่าว

นายสมิทธ์ พนมยงค์ ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่อาวุโส สายเงินฝากและการลงทุนธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า แนวโน้มเศรษฐกิจไทยในช่วงที่เหลือปีนี้โดยเฉพาะไตรมาส 4/2556 ยังคงผันผวนต่อเนื่อง คาดจะโตได้ 2.2% และประเมินว่าสภาพคล่องในระบบที่ตึงตัวจะผ่อนคลายมากขึ้น จากการปล่อยสินเชื่อที่ชะลอลง ภาวะการแข่งขันระดมเงินฝากของธนาคารพาณิชย์จึงแผ่วลงตามไปด้วย โดยทั้งปีคาดโต 7-8% ลดลงจากปี 2555 ที่โต 11-12% ถือเป็นการลดลงตามการปล่อยสินเชื่อที่ชะลอลง ซึ่งธปท. ได้เดินสายเตือนสถาบันการเงินให้ระมัดระวังสัญญาณการเกิดหนี้เสียที่เริ่มมีให้เห็น

นายเกริก วณิกกุล รองผู้ว่าการ ด้านเสถียรภาพสถาบันการเงิน ธปท. กล่าวว่า การปล่อยสินเชื่อครึ่งปีหลังยังไม่เห็นการชะลอตัวชัดเจน เนื่องจากสถาบันการเงินยังระดมเงินฝากต่อเนื่อง รวมทั้งความต้องการสินเชื่อจากผู้ประกอบการรายกลางและใหญ่ยังมีอยู่ โดยมองแนวโน้มเศรษฐกิจไทยเริ่มกลับเข้าสู่ภาวะปกติแล้ว คาดทั้งปีจะโต 4%

ด้านนายชลิตรัตน์ จันทรุเบกษา รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ได้รายงานเศรษฐกิจประจำเดือนก.ค.2556 ให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 10 ก.ย. รับทราบ ว่าเศรษฐกิจไทยเดือนก.ค. เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้ายังคงแสดงถึงภาวะเศรษฐกิจที่อ่อนตัว แต่เมื่อเทียบกับเดือนก.ค.2555 ยังอยู่ในเกณฑ์น่าพอใจ

ที่มา.ข่าวสดออนไลน์
//////////////////////////////////////////////////////////////////

เลิกแอดมิชชั่น-รื้อหลักสูตรโจทย์ท้าทายปฏิรูปการศึกษารอบใหม่ !!??

แม้จะมีความพยายามในการปฏิรูปการศึกษามาแล้วกว่า2 ครั้งและเกือบทุกรัฐบาลพยายามจะเข้ามาแก้ปัญหาในรูปแบบต่างๆ แต่ก็ดูเหมือนว่าจะไม่สามารถแก้โจทย์ในทั้งเรื่องคุณภาพและความเหลี่ยมล้ำได้

เหมือนอย่างที่นายจาตุรนต์ ฉายแสง รมว.ศึกษาธิการ บอกในวงสนทนากับผู้บริหารในเครือเนชั่นว่า การแก้ปัญหาการศึกษาไทยยังอยู่ที่วังวนของโครงสร้างและตามแก้ปัญหาผลกระทบจากโครงสร้างที่ออกมาแบบมาทำให้แก้ไขไม่ตรงกับปัญหาที่เกิดขึ้น

การกลับมานั่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการครั้งนี้ เขาจึงพุ่งเป้าที่ไปการหาโจทย์ ที่เกิดขึ้นกับวงการศึกษาไทย และหวังว่าโจทย์ที่ถูกต้องจะนำไปสู่การแก้ไขปัญหาที่ถูกทาง

โดยเฉพาะเมื่อ World Economic Forum (WEF)จัดอันดับการศึกษาไทยให้เกือบรั้งท้าย แพ้ทั้งกัมพูชาและเวียดนาม ยิ่งตอกย้ำว่าการปฏิรูปที่ผ่านมาอาจจะล้าหลังตามไม่ทันสภาพความเป็นจริงที่เกิดขึ้นในสังคม

จาตุรนต์ บอกว่า การจัดอันดับของ WEF เป็นเรื่องที่รับรู้กันอยู่แล้ว จึงไม่แปลกใจมากนักและต้องถือเป็นเรื่องที่กระทรวงศึกษาธิการไม่สามารถปฏิเสธความรับผิดชอบได้ โดยเฉพาะการปฏิรูปการเรียนการสอนในห้องเรียนใหม่ เพราะหากจะลองตรวจสอบเอาเฉพาะในเรื่องของการเรียนการสอนภาษาอังกฤษก็พบว่าคนไทยเรียนภาษาอังกฤษมากว่า 16 ปี แต่ไม่สามารถสื่อสารและพูดคุยได้ ซึ่งเมื่อหากลองทบทวนวิธีการสอนในโรงเรียนและหลักสูตรจะเห็นว่าทั้ง 16 ปี ไม่มีเรื่องของการสนทนา(conversation)เลยแม้แต่นาทีเดียว

" ผมคิดว่าเริ่้มเห็นโจทย์บางอย่างในเรื่องของการสอนในโรงเรียนและหลักสูตรเพราะน่าตกใจเมื่อพบว่าหลักสูตรสอนภาษาอังกฤษของเราไม่มีเรื่องของการสนทนาเลย ซึ่งในเรื่องนี้้ต้องเปลี่ยนใหม่"

การปฏิรูปการศึกษาในมุมที่ "จาตุรนต์"ต้องการทำให้เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่เขาดำรงตำแหน่งจึงมี 2 ประเด็นใหญ่คือ การปฏิรูปการเรียนการสอนและหลักสูตร ซึ่งในเรื่องนี้ระดมการแก้ไขปัญหาสจากนักวิชาการ ตั้งแต่เรื่องของการปรับมาตรฐานการทดสอบของเด็กไทยให้ได้มาตรฐานในระดับสากล เช่น การปรับการสอบโอเน็ตให้มีความสำคัญและผูกโยงกับความรับผิดชอบกับผู้ที่เกี่ยวข้องเช่นครู

ในมติของการทดสอบ เขามองว่าอาจจะต้องฟื้นระบบการสอบมาตฐานกลางของชาติกลับมาใหม่อีกครั้งนอกจากนี้ยังมองถึงการทดสอบในระดับนานาชาติเช่นPISAจะต้องเลื่อนลำดับขึ้นมา โดยมีคณะกรรมการขับเคลื่อนในเรื่องนี้อย่างชัดเจน

ส่วนการปฏิรูปหลักสูตร "จาตุรนต์"บอกว่าจะไม่ทำแบบลงแขกเหมือนในอดีต แต่จะเชิญกระบี่มือหนึ่ง เข้ามาให้ความคิดเห็น พร้อมการตั้งองค์กรขึ้นมาเพื่อเป็นหน่วยงานวิจัยพัฒนาในการปรับหลักสูตรที่มีงานวิจัยรองรับ

"เดิมการแก้หลักสูตรเราเชิญนักวิชาการด้านกฏหมายเข้ามาระดมความเห็น ซึ่งก็ถือว่าดีที่สุดเท่าที่มีในช่วงนี้ แต่ไม่มีองค์กรขึ้นมาดูแลอย่างจริงจัง ผมจึงเสนอให้ตั้งสถาบันขึ้นมาดูแลเรื่องนี้เพื่อพัฒนาให้ดีขึ้น "

ประเด็นในเรื่องของความเท่าเทียมทางด้านการศึกษา "จาตุรนต์" บอกว่า ปัญหานี้มีมากขึ้นในการศึกษาไทยเพราะมีพ่อแม่ที่มีศักยภาพในการลงทุนเพื่อให้ลูกได้เรียนโรงเรียนที่ดีและมหาวิทยาลับที่ดีต่างทุ่มไปกับการกวดวิชาซึ่งพบว่าเด็กบางคนพ่อแม่ต้องใช้เงินในการเดินทางเพื่อเรียนและสอบมากกว่า 5แสนบาท ซึ่งในเรื่องนี้เขามองว่าต้องแก้ไขระบบการสอบเข้ามหาวิทยาลัยที่เรียกว่า "แอดมิชชั่น"ใหม่เพื่อลดปัญหาดังกล่าว

ส่วนจะแก้ไขไปในทิศทางเป็นเรื่องที่ต้องศึกษาร่วมกันของนักวิชาการด้านการศึกษา แต่เการเปลี่ยนระบบการสอบใหม่ไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องอาศัยเวลาทั้งครู ผู้ปกครองให้ปรับตัว เพื่อเข้าสู่กติกาแบบใหม่ และเขาเชื่อว่าการเปลี่ยนวิธีการสอบเข้ามหาวิทยาลัยใหม่จะมีแรงต้านจากประชาชนทั้ง ผู้ปกครอง โรงเรียนกวดวิชา หรือกระทั่งครูในระบบเพราะฉะนั้น จำเป็นต้องสร้างดีมานด์จากสังคมที่จะเรียกร้องให้เกิดการเปลี่ยนระบบใหม่

"ขณะนี้ช่องว่าของความเท่าเทียมมีมากทั้งในเรื่องของโรงเรียนที่มีคุณภาพไม่มีคุณภาพ มหาวิทยาลัย ด้วยเช่นกัน พ่อแม่ที่มีตังค์ส่งลูกหรือเตรียมให้ลูกเรียนมหาวิทยาลัยที่มีคุณภาพหรือส่งไปเรียนต่างประเทศ แต่พ่อแม่ที่ไม่รายได้ก็เรียนมหาวิทยาลัยใกล้บ้าน "

การปฏิรูปให้มหาวิทยาลัยปรับตัวเพื่อสร้างคุณภาพจึงเป็นอีกประเด็นที่จะต้องเร่งดำเนินการ ซึ่งเขาคิดว่าจะใช้ระบบการจัดลำดับมหาวิทยาลัยเพื่อบีบให้มหาวิทยาลัยมีคุณภาพ โดยให้มาหวิทยาลัยยึดโยงกับความรับผิดชอบกับสังคม และถือเป็นการสร้างทัศคติของผู้ปกครองที่จะต้องเข้ามามีส่วนเรียกร้องให้มหาวิทยาลัยปรับตัวเพื่อสร้างคุณภาพไม่ใช่การลงทุนเพื่อสร้างทางเลือกให้กับบุตรหลานเพื่อเข้ามหาวิทยาลันดีๆโดยไม่ส่งเสียงตรวจสอบมหาวิทยาลัยในการสร้างคุณภาพ

"มหาวิทยาลัยบ้านเราเป็นอิสระจากทั้งนักการเมืองหรือรัฐบาลซึ่งในมุมนี้มีทั้งดีและไม่ดี แต่ปัญหาสำคัญคืออิสระจากสังคมและผู้ปกครองเองก็ไม่เข้มแข็งพอที่จะเรียกร้องให้มหาวิทยาลัยปรับตัว"

จาตุรนต์ มองว่าการปฏิรูปการศึกษาจำเป็นต้องใช้เวลาและความต่อเนื่องในการดำเนินการ เพราะในทางการเมืองไม่สามารถทำได้เนื่องจากวาระในตำแหน่งที่ผัดเปลี่ยนเวียนไปและส่วนใหญ่จะเข้ามาดำเนินการในสิ่งที่ตัวเองตั้งใจ ซึ่งในเรื่องนี้เขาเห็นภาคสังคมต้องมีฉันทามติในการเรียกร้องการปฏิรูปการศึกษาทั้งการเรียนการสอน หลักสูตร และคุณภาพที่เท่าเทียม

โดยสรุปแล้ว สิ่งที่จาตุรนต์ จะเดินหน้าคือ การปฏิรูปการเรียนรู้ทั้งระบบให้เชื่อมโยงกัน โดยจะมีการจัดประชุมใหญ่ในวันที่ 22 ก.ย. จากนั้นจะนำมายกร่างแผนการดำเนินการหรือพิมพ์เขียวขับเคลื่อนการปฏิรูปการศึกษาเป็นวาระแห่งชาติ โดยจะเริ่มต้นในปีงบประมาณ 2557

แต่สิ่งที่เขาเห็นว่าต้องเร่งดำเนินการตามแผนยุทธศาสตร์การปฏิรูปการศึกษาและเสนอต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) คือต้องมีการตั้งคณะทำงานขึ้นมาเพื่อยกร่างแผนการดำเนินงานร่วมกัน นอกจากนี้ยังขอให้สพฐ.ไปเร่งดำเนินการตั้งคณะกรรมการอำนวยการขับเคลื่อนการเลื่อนอันดับPISA รวมถึงเร่งตั้งสถาบันวิจัยและพัฒนาหลักสูตรการเรียนการสอน เพื่อทำให้การปฏิรูปหลักสูตรมีความต่อเนื่องและได้มาตราฐาน

เป้าหมายที่จาตุรนต์ อยากเห็นและ ต้องการทำ 2 เรื่องให้ประสบความสำเร็จ คือ การทำให้ผู้เรียนสามารถคิด วิเคราะห์ เรียนรู้ได้ด้วยตัวเอง และมีคุณลักษณะที่พึงประสงค์ ทักษะที่จำเป็นสำหรับศตวรรษที่ 21 โดยต้องเห็นผลลัพธ์ในปี 2558 คือ ทำให้อันดับในการประเมิน Pisa ดีขึ้น , ขยับสัดส่วนเรียนต่อสายสามัญและสายอาชีพเป็น 50:50 , ทำให้มหาวิทยาลัยไทยติดอันดับโลกมากขึ้น และการกระจายโอกาสและเพิ่มความเสมอภาคทางการศึกษามากขึ้น

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
///////////////////////////////////////////////////////////////

วันอังคารที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2556

บทเรียนซ้ำซาก !!??

สามล้อถูกหวย..!!

เป็นสำนวนที่รู้จักกันดี ว่าเปรียบเปรยถึงคนจนที่โชคดีมีโอกาสรวย แต่ใช้จ่ายเงินหมดภายในพริบตา
เป็นสำนวนจากเรื่องจริงเมื่อหลายสิบปีก่อน ที่มีข่าวโด่งดัง เมื่อสามล้อฐานะยากจนคนหนึ่งถูกล๊อตเตอรี่รางวัลที่ 1 จากนั้นเพียงไม่กี่วันเงินทองก็หมดลงด้วยความรวดเร็ว

เรื่องทำนองนี้เกิดขึ้นหลายครั้งหลายหน แต่สังคมบางส่วนก็ไม่เคยนำไปใจเป็นอุทธาหรณ์สอนใจ
เฉกเช่นกรณีอดีตนางแบบสาวชาวที่ราบสูง ผู้โด่งดังระดับโลก “ยุ้ย-รจนา เพชรกัณหา” ซึ่งมาจากครอบครัวที่ยากจนและมีปัญหารุมเร้าสารพัด จับพลัดจับผลูมีคนนำไปเจียรไน ส่งเข้าประกวด “อีลิท ซูเปอร์โมเดล ออฟ ไทยแลนด์ 1994” แล้วคว้าแชมป์ ได้เซ็นสัญญากับเอเยนซีนางแบบ จนกลายเป็นนางแบบที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ด้วยวัย 18 ปี



ไม่ได้โด่งดังในเมืองไทย แต่ไปสร้างชื่อในต่างประเทศ ขนาดติดอันดับ 1 ใน 12 ซูเปอร์โมเดลโลก
ช่วงที่เธอโด่งดังบรรดาสื่อทั้งหลาย โดยเฉพาะแมกกาซีนหัวไทย หัวนอก ประโคมข่าวถึงความฮอตของเธอ ตลอดจนฐานะความเป็นอยู่ที่หรูหราฟู่ฟ่า มีเงินหมุนเวียนเข้ามาในชีวิตกว่า 100 ล้านบาท
แต่ชีวิตไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบไปตลอด สังคมเลยต้องช็อคกับข่าวว่า เธอใช้ชีวิตผิดพลาด ใช้จ่ายเงินฟุ่มเฟือยจนหมดตัว แถมยังติดสุราสูบบุหรี่อย่างหนัก แรงสุดถึงขั้นติดยาเสพติดประเภทโคเคนอีกด้วย

ยุ้ยเคยเล่าว่า เคยมีเงินเก็บมากที่สุดถึง 50 ล้านบาท แต่ในวันที่หมดสภาพแล้วเดินทางกลับมาเมืองไทยมีเงินเหลือติดตัวเพียงแค่ 500 บาทเท่านั้น!!!

แถมกลับมาใช้ชีวิตในเมืองไทย เธอก็ยังติดทั้งเหล้า ทั้งบุหรี่ ทั้งยาเสพติด กลายเป็นประสาทหลอน ทะเลาะกับแม่เป็นประจำ จากนั้นเมื่อรักษาอาการดีขึ้น หันเข้ามาทำงานรับสอนเดินแบบ และขายรองเท้าอยู่ห้างดัง ชีวิตดูเหมือนจะฟื้นให้ประคองตัวรอดได้ เพราะมีงานแฟชั่นเข้ามาบ้าง ตามประสาสังคมไทยที่มักให้โอกาสคนที่เดินชีวิตผิดพลาด โดยเฉพาะคนในวงการบันเทิง

แต่จู่ๆกลับตกเป็นข่าวดังคึกโครม เธอถูกพบขณะเร่ร่อนแบบคนไร้สติอยู่ข้างถนน บวกกับอาการป่วยด้วยโรคไบไพลาห์ คือ มีอาการเหมือนคนสองบุคลิก ดีก็ดีใจหาย ร้ายหรือเศร้าหดหู่ก็เอาเรื่องอยู่
งานนี้แน่นอนตามประสาสังคมไทย ความช่วยเหลือประดังเข้ามาในทันที ทั้งจากวงการบันเทิง และไปถึงระดับประเทศ เมื่อ ปวีณา หงสกุล รัฐมนตรีว่ากระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ก็ได้ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ

ปัญหาก็คือ แม้การช่วยเหลือเป็นสิ่งที่ดี เป็นสิ่งที่เหมาะสมที่คนเราควรจะมีน้ำใจต่อกันช่วยเหลือกัน สะท้อนภาพลักษณ์ที่ดีงามของสังคมไทย แต่เป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุไปหรือไม่?
และที่สำคัญจะต้องตามช่วยเหลืออีกสักกี่คน?

เพราะอย่งที่บอกปัญหาทำนองนี้ไม่ใช่มีแค่ยุ้ยรจนา เพราะที่ผ่านมามีชีวิตแบบ “สามล้อถูกหวย” เกิดขึ้นไม่น้อยในแวดวงบันเทิง – ดารา – นางแบบ ที่จบอนาคตด้วยการดำเนินชีวิตผิดพลาด เพราะไม่เคยเรียนรู้บทเรียน โดยเฉพาะบทเรียนเรื่องยาเสพติด ที่ทำให้ใครต่อใครตายทั้งเป็น มานักต่อนักแล้ว

ยิ่งประเภทที่ดังตั้งแต่วัยไม่ถึง 20 ปี แล้วไม่มีพ่อแม่หรือผู้ใหญ่ค่อยกำกับเป็นเข็มทิศนำทาง ดูแลเรื่องการดำเนินชีวิต... ก็ยิ่งน่ากลัว เพราะสิ่งแวดล้อมรอบข้าง พร้อมกระชากให้ดิ่งนรกลงเหว จบเส้นทางของดารา นางแบบ นายแบบ นักร้อง กลายเป็นตราบาปชีวิตมามากต่อมากแล้ว

สังคมบันเทิงที่ระเริงกับแสงสีเสียง ความหรูหราฟู่ฟ่า ชอบเฮฮาปาร์ตี้ พี้ยาเสพติด รวมทั้งมั่วเซ็กซ์กลายเป็นข่าวฉาวออกมาอยู่บ่อยครั้ง คนที่จัดปาร์ตี้มักเป็นไฮโซเซเล็บ ลูกหลานคนมีตังส์

เคยมีคนหลงเข้าไปในงานปาร์ตี้งานหนึ่งบอกว่า กลิ่นบุหรี่ กลิ่นกัญชายาเสพติดคลุ้งไปทั้งงาน หันไปซ้ายขวาล้วนแต่เป็นคนที่อยู่ในวงการแฟชั่นทั้งนั้น

สังคมแบบนี้ไม่ใช่ไม่มีใครรู้ แต่ตลอดมาก็ยังมีคนสมัครใจที่จะเข้าไปติดบ่วง ที่เนียน ๆ ก็รอดตัวไป ที่ไม่เนียนก็กลายเป็นข่าวถูกตำรวจจับดำเนินคดี อย่างกรณีของ อดีตนางแบบและนักแสดง ยูยี่-อลิสา พันธุสมิต ก็ตกอยู่ในวังวนของยาเสพติด

ทำให้หลายคนที่ได้รับรู้ข่าว ต้องสลดหดหู่ใจ ว่าทำไมเรื่องราวเช่นนี้จึงไม่เป็นอุทธาหรณ์ให้คนในแวดวงบันเทิงรุ่นใหม่ได้ฉุกใจคิดกันบ้างหรือ

ทำไมตัวอย่างดีๆที่เป็นดาวค้างฟ้าอยู่จนทุกวันนี้ ถึงไม่มีการมองดูกันบ้าง??
ในแวดวงนางแบบดังของเมืองไทย ตัวอย่างที่ดีก็มีเยอะ หลายคนจนวันนี้ยังมีชีวิตที่สดใส แม้ว่าจะแขวนรองเท้าไปแล้วก็ตามที เช่นไอดอล ซูเปอร์โมเดล อย่าง ลูกเกด-เมทนี กิ่งโพยม และ ซินดี้-สิรินยา เบอร์บริดจ์

ตรงนี้แหละที่ ต้องการให้ฉุกใจคิดกันให้มากๆ เพราะอย่างที่บอกว่า เห็นคนตกทุกข์ได้ยากแล้วยื่นมือช่วยเหลือเป็นสิ่งที่ดี กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เข้ามาช่วยเหลือก็ดีแล้ว

แต่หน่วยงานที่ต้องให้ความรู้กับประชาชน กับสังคม อย่างเช่นกระทรวงศึกษาธิการ มัวทำอะไรกันอยู่ ถึงได้ไม่เคยปลูกฝังค่านิยมที่ดีๆให้กับสังคมไทยเลยในช่วงระยะเวลาหลายๆสิบปีที่ผ่านมา
คนไทยเราไม่เคยได้ชื่อเสียงในเรื่องค่านิยมรักชาติ ซึ่งผิดกับประเทศญี่ปุ่น

คนไทยเราล่าสุดถูก เวิลด์ อีโคโนมิก ฟอรั่ม ฉีกหน้าให้ได้รับรู้ว่า การพัฒนาด้านการศึกษาของไทยตกต่ำมาก สำรวจในกลุ่มอาเซียน 8 ประเทศ ไม่รวมลาว และพม่า ปรากฏว่าประเทศไทยอยู่อันดับ 8 หรือบ๊วยสุด

เป็นรองแม้แต่เวียดนามและกัมพูชา

นี่คือความจริงที่ชี้ให้เห็นถึงความพิกลพิการ และการดำเนินนโยบายในเรื่องการศึกษาและการให้ความรู้ที่ผิดรูปผิดร่างของสังคมไทย

จนทำให้ต้องเกิดกรณีอย่างสามล้อถูกหวย อย่าง ยุ้ย รจนา เกิดขึ้นซ้ำซาก
เกิดขึ้นทีก็ช่วยกันที เป็นการช่วยแบบไฟไหม้ฟาง ไม่ได้ยั่งยืนอะไร ไม่ได้ปลูกฝังแก่นให้คนรู้จักคิด รู้จักใช้ชีวิตในเส้นทางที่เหมาะสม

คำว่าใช้ชีวิตอย่างพอเพียง เป็นเพียงคำสวยหรูที่ขยันพูดว่าจะยึดถือและทำตาม แต่ยังคงพบเห็นตลอดว่า คนดังคนในแวดวงไฮโซจำนวนไม่น้อย ไม่ได้ทำอย่างที่ปากพร่ำพูด

คงต้องถามนักการเมืองไทย ถามผู้ที่ผลัดกันขึ้นมาบริหารประเทศชุดแล้วชุดเล่า ว่าได้เคยตอบแทนคุณประเทศโดยสอนให้เด็กไทยรู้จักคิดเป็นกันตั้งแต่เด็กๆบ้างหรือยัง จะได้เติบโตมาเป็นผู้ใหญ่ที่ไม่ผิดพลาดเช่นที่เกิดขึ้น

ที่สำคัญและน่ากลัวอย่างมากที่สุดในทุกวันนี้ คือนอกจากบกพร่องในการสอนให้รู้จักเรียนรู้ที่จะใช้ชีวิตที่เหมาะสม มีวินัย อยู่ในกรองของศีลธรรมจรรยาแล้ว ยังกลับปล่อยให้ตื่นกระแสในเรื่องสังคมออนไลน์กันแบบไม่มีขอบเขต

นึกจะเขียนอะไร นึกจะด่าใคร นึกจะทำรูปทำภาพออกมาเล่นงานใครเพื่อความสะใจ ก็ทำกันโดยไม่มีการยับยั้งชั่งใจ ไม่สนใจผลกระทบหรือความรู้สึกของคนอื่น... ตรงนี้แหละที่น่ากลัวและน่าเป็นห่วงอย่างมาก
ว่าเกิดอะไรขึ้นกับคำว่า “สยามเมืองยิ้ม” ที่กำลังจะหมดไปเพราะสังคมออนไลน์แล้วอย่งนั้นหรือ
แม้แต่เรื่องดีๆ เรื่องที่ต้องการช่วยเหลือสังคม ช่วยเหลือเพื่อนร่วมวงการด้วยกันแท้ๆ ยังมีการเอาไปละเลงจนคนที่ต้องการทำดีถึงกับส่ายหน้า

นั่นก็คือ กรณีที่เพื่อนสนิทนางเอกสาว "อั้ม พัชราภา ไชยเชื้อ" อย่าง "ยุ้ย ณัฏฐาพร อคุสุวรรณ" ที่โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ กับข่าว สาวอั้ม โดนใส่ไฟว่าใจแคบใจดำ ช่วยเหลือนักแสดงอาวุโสที่กำลังเจ็บป่วยเป็นข่าวดังแค่ 10,000 บาท ทั้งที่ตัวเองเป็นถึงดาราดังและมีเงินถุงเงินถัง

ก็เลยออกมาโต้แกมชี้แจงผ่านอินสตาแกรมแทนเพื่อนว่า

มีเว็บดังเขียนข่าวอั้มช่วยนักแสดงท่านนึง 10,000 บาท เอามาจากไหนเหรอคะ? งงมาก ถ้าอยากรู้จริงๆ ถามยุ้ยก่อนก็ได้นะคะ เวลาไปให้กำลังใจหรือช่วยใคร อั้มและเพื่อนๆ ก็ไม่เคยที่จะออกมาป่าวประกาศนะ (เห็นอย่างนี้แล้วทนไม่ได้จริงๆ)

ยืนยันว่าตัวเลขมากกว่านี้มากนะคะ! ไม่ได้ตั้งใจที่จะมาอวดร่ำอวดรวยอะไร แต่พอคุณลงว่า 10,000 โดยที่คุณคิดตัวเลขขึ้นมาเอง อั้มก็โดนด่าว่าใจแคบใจดำ เป็นดาราดังให้แค่นี้เองเหรอ คนที่อยากช่วยจากใจจริง เขาก็ท้อและเสียใจเป็นนะคะ) ขอบคุณค่ะ yui_papa”

นี่คืออีกความจริงที่โหดร้ายในสังคมไทยเวลานี้

ตราบใดที่สังคมไทยยังถูกปล่อยปละละเลยให้เป็นสังคมที่ไม่เข้มงวดหย่อนยานระเบียบวินัย โดยเฉพาะจากสถาบันครอบครัว ที่เป็นหน่วยย่อยหน่อยเล็กที่สุดในสังคม แต่มีความสำคัญที่สุด และการแก้ปัญหาไปไม่ถึงรากเหง้า เกาไม่ถูกที่คัน

หน่วยงานการศึกษาของชาติยังเรื่อยๆมาเรียงๆอยู่เช่นนี้

กรณีของ “ยุ้ย-รจนา เพชรกัณหา” คงไม่ใช่เป็นบทเรียนราคาแพงรายสุดท้าย คงจะมีต่อกันไปไม่มีที่สุด
กรณีของ “อั้ม พัชราภา ไชยเชื้อ” ก็ยังจะเกิดซ้ำซากกับใครก็ได้

และกรณีผลสำรวจคุณภาพการศึกษาของไทยก็จะฉีกหน้าคนไทยไปอีกนานแน่ๆ

ที่มา.บางกอกทูเดย์
////////////////////////////////////////////////////////////////////