--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันพุธที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2556

อิทธิพลจีน ใน เออีซี !!??

โดย. ณกฤช เศวตนันทน์

ปัจจุบัน ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน หรือที่มักจะเรียกกันสั้น ๆ ว่าจีน ถือเป็นหนึ่งในประเทศมหาอำนาจของโลกที่มีเขตเศรษฐกิจขนาดใหญ่ และมีประชากรที่มากที่สุดในโลก

ในการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ที่จะถึงในปี พ.ศ. 2558 คาดการณ์ว่า กลุ่มทุนจากจีนเป็นกลุ่มทุนขนาดใหญ่ที่จะเข้ามาลงทุนในอาเซียน ด้วยจำนวนประชากรกว่า 600 ล้านคนของ AEC และความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรธรรมชาติประเภทต่าง ๆ ใน 10 ประเทศสมาชิก AEC ตลอดจนค่าจ้างแรงงานที่ค่อนข้างถูกกว่าภูมิภาคอื่น เหล่านี้ย่อมดึงดูดใจให้จีนอยากเข้ามาลงทุนในตลาดใหม่แห่งนี้เป็นอย่างมาก อีกทั้งในภูมิภาคอาเซียนมีประชาชนที่มีเชื้อชาติจีนอยู่เป็นจำนวนไม่น้อย กับมีพรมแดนที่ไม่ไกลกันมากระหว่างอาเซียน และยังมีความคล้ายคลึงกันทางวัฒนธรรมของประชากร ทำให้จีนได้เปรียบชาติอื่น ๆ จากตะวันตกในการที่จะเข้ามาลงทุนอยู่มาก

ก่อนที่ AEC จะเปิดตัวอย่างเป็นทางการในปี พ.ศ. 2558 ทางประเทศจีนก็ได้ขยับตัวเตรียมวางรากฐานการลงทุนในอาเซียนไว้แล้ว รัฐบาลของจีนได้เจรจากับรัฐบาลในภูมิภาคอาเซียนหลาย ๆ ประเทศ เพื่อขอ ก่อสร้างรถไฟความเร็วสูง ผ่านประเทศพม่าซึ่งอยู่ใกล้จีนมากที่สุด เพื่อเป็นทางผ่านเข้ามาในประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาคอาเซียน

โดยเส้นทางรถไฟสายที่น่าจะก่อสร้างเสร็จเร็วที่สุด คือ เส้นทางรถไฟยูนนาน-พม่า สายนี้จะสร้างเสร็จในปี ค.ศ. 2015 และจีนก็กำลังจะสร้างท่าเรือและเขตอุตสาหกรรมที่นั่นด้วย เพื่อเป็นช่องทางส่งออกสินค้าจากเขตตะวันตกเฉียงใต้ของจีน ซึ่งไม่มีทางออกทะเล รวมทั้งเป็นจุดขนถ่ายน้ำมันและก๊าซ อีกทั้งจีนยังมีแผนการที่จะสร้างทางรถไฟอีกสายหนึ่งซึ่งมีความยาว 1,920 กม. เชื่อม เมืองคุนหมิง กับ เมืองท่าย่างกุ้ง ซึ่งจะเป็นการขยายเส้นทางแนวเหนือ-ใต้ที่มีอยู่แล้ว เส้นทางนี้จะเชื่อมไปถึงท่าเรือแห่งใหม่ที่ทวายในภาคใต้ของพม่า จากนั้นก็จะมีเส้นทางเชื่อมระหว่างทวายกับกรุงเทพฯ

นอกจากนั้น ยังมีทางรถไฟสายที่สามซึ่งจะตัดผ่านรัฐฉานของพม่า โดยเชื่อม เมืองคุนหมิง กับ เชียงราย แล้วเชื่อมจากเชียงรายเข้าสู่โครงข่ายรถไฟในไทย เส้นทางสายนี้และเส้นทางที่กำลังสำรวจในลาว จะเป็นเส้นทางขนส่งทางรถไฟระหว่างจีน กัมพูชา ไทย และสิงคโปร์ โดยโครงการทั้งหมดนี้ จีนเสนอจะออกเงินสร้างทางรถไฟสายใหม่และปรับปรุงรางเดิมให้พม่า โดยแลกกับการได้สัมปทานทรัพยากรธรรมชาติต่าง ๆ เช่น น้ำมัน ก๊าซ และน้ำ

ทั้งนี้ จะเห็นได้ว่าจีนมีความมุ่งมั่นเป็นอย่างมากที่จะขยายอิทธิพลเข้ามาในภูมิภาคอาเซียน นอกจากเตรียมพร้อมเรื่องเส้นทางขนส่งแล้ว จีนเป็นประเทศคู่เจรจาประเทศแรกที่เสนอให้มีการจัดตั้งเขตการค้าเสรีกับอาเซียน โดยทั้งสองฝ่ายลงนามกันใน ASEAN-China Framework Agreement on Economic Cooperation ในปี ค.ศ. 2002 ซึ่งกำหนดเป้าหมายให้มีการจัดตั้งเขตการค้าเสรีระหว่างจีนกับสมาชิกเก่าของอาเซียน 6 ประเทศ ได้แก่ สิงคโปร์ อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ บรูไน และไทย ภายในปี ค.ศ. 2010 และกับประเทศสมาชิกใหม่ของอาเซียน 4 ประเทศ คือ พม่า กัมพูชา ลาว และเวียดนาม ภายในปี ค.ศ. 2015

ก่อนหน้านี้ จีน-อาเซียนได้ลงนามความตกลงด้านการค้าสินค้าในปี ค.ศ. 2004 ความตกลงด้านการค้าบริการในปี ค.ศ. 2007 ความตกลงด้านการลงทุนในปี ค.ศ. 2009 ความตกลงเขตการค้าเสรีจีน-อาเซียน มีผลโดยสมบูรณ์เมื่อวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2553 ทำให้อัตราภาษีศุลกากร

ส่วนใหญ่ของจีนกับสมาชิกเก่า 6 ประเทศของอาเซียนเหลือร้อยละศูนย์ (0) และผลรวมมูลค่าการค้าระหว่างจีนกับอาเซียนในรอบปี ค.ศ. 2012 มีมูลค่ากว่า 4 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่มูลค่าการค้าของอาเซียนกับประเทศต่าง ๆ ในโลกรวมกันมีประมาณ 1,537,000,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และการลงทุนระหว่างจีนกับอาเซียนก็มีมูลค่ากว่า 1 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ

ด้านการเมืองและความมั่นคง จีนเป็นประเทศคู่เจรจาประเทศแรกที่ลงนามในพิธีสารแนบท้ายสนธิสัญญาทางไมตรีและความร่วมมือในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (Treaty of Amity and Cooperation : TACT) เมื่อ ค.ศ. 2003 ซึ่งสนธิสัญญา TACT ดังกล่าวมีขึ้นตั้งแต่ปี 1976 เพื่อกำหนดหลักการต่าง ๆ ที่ประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยึดถือ อันได้แก่ การเคารพในเอกราชอธิปไตย ความเสมอภาคบูรณภาพแห่งดินแดนและอัตลักษณ์ประจำชาติ รวมถึงการไม่แทรกแซงกิจการภายในของกันและกัน และการแก้ไขข้อพิพาทโดยสันติวิธี

จึงเห็นได้ว่า ใน AEC ที่กำลังจะเกิดขึ้นนี้ ประเทศที่จะมีส่วนเกี่ยวข้องมากที่สุดประเทศหนึ่งคงจะหนีไม่พ้นประเทศจีน ดังนั้น ทั้ง 10 ชาติสมาชิก AEC ควรจะมีการเตรียมพร้อมในการหาข้อมูลเกี่ยวกับประเทศจีนเตรียมไว้ให้พร้อม

นอกจากนั้น ภาษาจีนก็อาจจะกลายเป็นภาษาที่มีความสำคัญไม่แพ้ภาษาอังกฤษ ชาติสมาชิกใน AEC จึงควรที่จะให้ประชาชนของตนศึกษาให้ชำนาญ

หากต้องการประสบความสำเร็จในการทำธุรกิจกับประเทศจีนใน AEC ที่กำลังจะมาถึง

ทีมา.ประชาชาติธุรกิจ
/////////////////////////////////////////////////////////////////

อุ้มราคายาง ใครรวยกันแน่ !!??

แม้วันนี้ม็อบยางพาราในจังหวัดภาคใต้ จะดูเหมือนอยู่ระหว่างการพักรบ เพื่อหาจุดร่วมในการที่จะตกลงกันว่า ราคาที่เป็นไปได้ของรัฐบาลในการที่จะช่วยอุ้มชาวสวนยางพารา กับราคาที่ม็อบยางพาราต้องการนั้น

จุดที่รับได้ของทั้ง 2 ฝ่ายอยู่ตรงไหน

ถ้าหาจุดลงตัวไม่ได้ ฝ่ายม็อบก็ยืนกรานแล้วว่า จะประท้วงอีก และจะยกระดับความรุนแรงมากขึ้น โดยนอกจากจะปิดถนนอีกรอบแล้ว จะมีการไปปิดด่านสะเดาอีกด้วย

เรียกว่ามุ่งกดดันด้วยความเสียหายในภาพรวมของประทศชาติ และประชาชนเป็นหลัก
ในขณะที่ประชาชนส่วนใหญ่ ที่ต้องใช้ถนน ใช้สนามบิน ใช้เส้นทางคมนาคม ได้แต่มองตาปริบๆ เพราะเหมือนกับว่าเป็นตัวประกันให้กับกลุ่มม็อบ

ปัญหาที่ผู้คนในสังคม โดยเฉพาะคนในสังคมภาคใต้ควรตั้งคำถามก็คือ นี่คือการชุมนุมโดยการใช้สิทธิของประชาชนที่สามารถชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธจริงหรือไม่???

เพราะถึงขั้นเผารถนักข่าว ทำลายรถตำรวจ ทำลายทรัพย์สินของทางราชการของผู้ที่ทำหน้าที่กันเช่นนี้ ยังจะบอกได้อีกหรือว่าเป็นการกระทำโดยที่ไม่มีผลประโยชน์การเมืองหนุนหลัง

ถ้าเช่นนั้นทำไมนักการเมืองที่เป็น ส.ส.ในพื้นที่จังหวัดภาคใต้ แทนที่จะออกมาดูแลความเดือดร้อนของคนในจังหวัด ของนักท่องเที่ยว และคนนอกพื้นที่เดือดร้อนจากการกระทำของม็อบ กลับกลายเป็นว่านักการเมืองไปขึ้นเวทีม็อบ

แม้แต่คณะกรรมการสิทธิมนุษยชน ก็สนใจแค่ว่ากลุ่มผู้ชุมนุมจะถูกละเมิดหรือไม่ หรือว่าจะมีการใช้กำลังใช้อาวุธสลายการชุมนุมหรือเปล่า???

ส่วนประชาชนจำนวนมากที่ถูกละเมิดสิทธิกันเห็นจะๆ จากการปิดถนนปิดทางรถไฟ ทุบทำลายทรัพย์สิน ทำร้ายร่างกายเจ้าหน้าที่ ปรากว่าคณะกรรมการสิทธิ์ ชุดของนางอมรา พงศาพิชญ์ เป็นประธานกรรมการ กับ นพ.นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ในฐานะประธานอนุกรรมการด้านสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง ไม่เคยที่จะใส่ใจ

ทั้งๆที่ก็ถูกประชาชนในพื้นที่ร้องเรียนไปแล้ว แต่ก็เงียบ ราวกับอมสากกันหมดหรืออย่างไร
เพราะเป็นเช่นนี้หรือไม่ ที่ทำให้ความเชื่อที่ว่า เรื่องนี้ต้องมีนักการเมืองเข้าไปเกี่ยวอยู่เบื้องหลังมีน้ำหนักเป็นอย่างมากในสายตาและความรู้สึกของสังคม

มองกันตื้นๆ หากม็อบทำให้รัฐบาลอยู่ไม่ได้ ด้วยการยื่นเงื่อนไขที่ไม่มีทางทำได้ ไม่ว่าจะในเรื่องของราคาประกัน เรื่องของเงินช่วยเหลือ และที่สำคัญเรื่องที่จะไม่ให้เอาผิดใดๆกับบรรดาแกนนำบรรดา

หัวโจก บรรดาผู้ที่กระทำผิดกฎหมายทั้งหลาย

โดยอาศัยข้ออ้างว่า เป็นการใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญในการแสดงออก
ทั้งๆที่เป็นการแสดงออกโดยทำในสิ่งที่ผิดกฎหมาย... แล้วจะให้จบไปโดยไม่มีอะไร รับรองได้ว่าอนาคตจะมีสารพัดม็อบเกิดขึ้นตามมาแน่นอน

เพราะนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ก็ไปขึ้นเวทีพูดปาวๆแล้วว่า นี่คือชัยชนะของม็อบยางพารา แถมยังบอกให้คนอื่นๆดูเอาไว้เป็นแบบอย่าง... ปลุกเร้าแบบเปิดหน้าหรากันเลยว่าเป็นเรื่องที่เหมาะสมที่จะทำ

จึงไม่แปลกที่กรณีนายเชน เทือกสุบรรณ ส.ส.ของพรรคประชาธิปัตย์ แสดงพฤติกรรมไม่เหมาะสมอย่างมากด้วยการทุ่มเก้าอี้ระบายอารมณ์ถึง 2 ตัว แบบขาดสติยับยั้งชั่งใจ นายอภิสิทธิ์ถึงได้แก้ต่างแทนว่า เป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสมอย่างยิ่งก็จริง แต่ที่ทำเพราะอัดอั้นตันใจ

น่าสนใจตรงคำถามที่ว่า อัดอั้นตันใจเรื่องอะไรกันแน่ เรื่องไม่ได้พูดถึงปัญหาม็อบยางพารา หรือเรื่องที่ไม่ได้ใช้เวทีในการถล่มรัฐบาล หรือว่าเป็นเพราะไม่ได้พูดออกทีวีให้ประชาชนได้เห็น
หรือว่ามีอะไรมากไปกว่านั้นหรือไม่???

เพราะต้องยอมรับความจริงว่า ชาวสวนยางในปัจจุบัน นอกจากจะมีประชาชนชาวสวนเดิม ชาวสวนใหม่แล้ว ยังมีพวกนักการเมือง มีพวกเศรษฐีนักธุรกิจระดับมหาเศรษฐีเข้าไปลงทุนปลูกยางพารากันเป็นจำนวนมากด้วย

เป็นที่รู้กันว่า ที่จังหวัดบึงกาฬ พื้นที่ปลูกยางกว่า 7,000 – 8,000 ไร่ เป็นของนักการเมืองใหญ่คนหนึ่ง ซึ่งก้ต้องชมว่าอย่างน้อยก้มีสปิริต ไม่ได้ออกมาปลุกเร้าประชาชน ไม่ได้ออกมาเล่นการเมืองเบื้องหลังม็อบรอบนี้เลยแม้แต่สักนิด

แค่รอส้มหล่น รัฐบาลอุ้มยิ่งมากแค่ไหน นั่นก็หมายถึงประโยชน์ล้วนๆอยู่แล้ว จึงไม่จำเป็นต้องทำให้ประเทศชาติเสียหาย

ซึ่งก็คงคิดเหมือนกับนักธุรกิจใหญ่ หลายๆคน ที่โดดเข้าไปลงมุนในสวนยางพาราทั้งในประเทศและแถบประเทศเพื่อนบ้านของไทย จนเป็นที่พูดกันปากต่อปากว่า เจ้าสัวเจริญ สิริวัฒนภักดี แห่งค่ายไทยเบฟ กับเจ้าสัวธนินท์ เจียรวนนท์ แห่งอาณาจักรซีพี

ต่างก็ไปลงทุนในสวนยางพารากันเป็นหมื่นๆไร่

เอาแค่รอรับส้มหล่น จากราคาตลาดซึ่งอยู่ที่กิโลกรัมละ 72-76 บาท แล้วรัฐบาลประกันราคาที่กิโลกรัมละ 85 บาท หรือ 90 บาทแล้ว ก็รับเนื้อๆไม่รู้เท่าไหร่แล้ว... ไม่ต้องไปถึงกิโลละ 120 บาท ก็รวยกันสะดือปลิ้นแล้ว

ฉะนั้นบรรดาชาวสวนยางที่เดือดร้อนจริงๆ คงต้องฉุกใจคิดเหมือนกันว่า ที่พยายามเรียกร้องราคาสูงๆ ที่ขีดเส้นตายกันอยู่ในเวลานี้... ใครกันแน่ที่รวยเละ!!!

ชาวสวนที่มีพื้นที่แค่ 10-20 ไร่ หรือว่าคนรวยที่มีสวนยางเป้นพันๆหมื่นๆไร่กันแน่
นี่ยังไม่นับบรรดาเจ้าของสวนยางในประเทศเพื่อนบ้าน ที่สามารถจะส่งยางมาขายในเมืองไทยได้ด้วย หากมีราคาที่สูงกว่าระดับราคาในตลาดโลก... ใครคือผู้ที่เสียเปรียบหากไม่ใช่ประเทศไทยคนไทย
หรือแม้แต่ข้อมูลในเว็บไซด์ พระนครสาส์น ที่มีการนำเสนอรายงาน “ไขปริศนาม็อบปิดถนน?” โดยเปิดบัญชีทรัพย์สิน3พี่-น้องตระกูลเทือกสุบรรณ ว่าที่แท้เข้าข่ายเศรษฐีสวนยาง!

โดยได้มีการตรวจสอบ “บัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน” ที่นักการเมืองจะต้องแจ้งเอาไว้กับคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ซึ่งพบว่าทั้งนายสุเทพ เทือกสุบรรณ นายเชน เทือกสุบรรณ และนายธานี เทือกสุบรรณ มีรายได้จาก “สวนปาล์ม” และ “สวนยางพารา” รวมกันเกือบ 50 ล้านบาท

โดยนายสุเทพ ได้แจ้งบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินเอาไว้กับ ป.ป.ช. เมื่อเข้ารับตำแหน่ง “ส.ส.สุราษฎร์ธานี พรรคประชาธิปัตย์” เมื่อวันที่ 5 กันยายน 2554 ระบุว่า มีทรัพย์สินรวม 141,785,824.24 บาท มีหนี้สินรวม 47,973,015.97 โดยมีรายได้จาก สวนยาง,สวนปาล์ม สูงถึง 41,459,970 บาท (สี่สิบเอ็ดล้านสี่แสนห้าหมื่นเก้าพันเก้าร้อยเจ็ดสิบบาท)

ส่วนนายเชน ก็ได้แจ้งบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินเอาไว้กับ ป.ป.ช. เมื่อเข้ารับตำแหน่ง ส.ส.สุราษฎร์ธานี พรรคประชาธิปัตย์ วันที่ 10 กันยายน 2554 ระบุว่า มีทรัพย์สินรวม 47,717,208.88 บาท และมีหนี้สินรวม 3,313,683.00 บาท

และมีรายได้จากสวนยางพาราถึง 3,000,000 บาท (สามล้านบาท) รวมทั้งมีรายได้จากสวนปาล์มน้ำมันอีก 2,000,000 บาท(สองล้านบาท) นอกนั้นเป็นรายได้จากสวนผลไม้อีก 800,000 บาท
ขณะที่นายธานี ได้แจ้งบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน ต่อ ป.ป.ช. เอาไว้เมื่อครั้งเข้ารับตำแหน่ง ส.ส.สุราษฎร์ธานี พรรคประชาธิปัตย์ เมื่อวันที่ 30 สิงหาคม 2554 ระบุว่ามีทรัพย์สินรวมทั้งสิ้น 58,501,534.13 บาท และมีหนี้สิน 19,665,641.56 บาท

โดยนายธานี มีรายได้จากสวนปาล์ม 1,800,000 บาท (หนึ่งล้านแปดแสนบาท)โดยประมาณ ขณะที่คู่สมรสมีรายได้จากสวนปาล์มอีก 360,000 บาท(สามแสนหกหมื่นบาท)โดยประมาณ
ซึ่งเมื่อรวมพี่น้องทั้ง 3 คนในตระกูลเทือกสุบรรณจะพบว่า มีรายได้จากยางพาราและสวนปาล์ม รวมกันสูงถึง 48,619,970 บาท (สี่สิบแปดล้านหกแสนหนึ่งหมื่นเก้าพันเก้าร้อยเจ็ดสิบ)

อ่านรายละเอียดได้ใน http://www.phranakornsarn.com/cockroach/1934.html

ซึ่งหากมองกันตามสิทธิของประชาชนที่มีมาทุกยุคทุกสมัย ใครใคร่ค้าช้างค้า ค้าม้าค้า ค้าวัวค้าความค้า... การที่คนในตระกูลเทือกสุบรรณ จะไปลงทุนทำสวนยางพารา จะปลูกปาล์มน้ำมันนั้นไม่ใช่เรื่องแปลก กฎหมายไม่ได้ห้ามว่าคนตระกูลนี้ห้ามปลูกยางห้ามเป้นเจ้าของสวนยางพาราเสียเมื่อไหร่
แต่ที่เป็นประเด็นคือการแสดงออกที่ดุเดือดต่างหาก ที่ทำให้คนสงสัยว่าตกลงจริงๆแล้วที่ดาลเดือดขนาดนั้นมันเรื่องอะไรแน่???

เช่นเดียวกับข้อสงสัยที่ว่า มีนักการเมืองอยู่เบื้องหลังม็อบนั้น มันเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ด้วยหรือไม่???
ตรงนี้แหละที่เป็นคำถามคาใจสังคม

เพราะที่ตลกร้ายไปยิ่งกว่านั้นก็คือ ข้อมูลจากนายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย ที่ระบุว่านายอำนวย ยุติธรรม นักเคลื่อนไหว ที่เป็นแกนนำในการเรียกร้องและขู่ปิดถนนนั้น ได้ตรวจสอบแล้วพบว่า นายอำนวย ไม่ได้ทำสวนยาง แต่มีอาชีพเป็นรองนายกฯอบต.ที่แต่งตั้งโดยนายบุญโชค แก้วแกม นายกฯอบต. ต.ท่าขึ้น อ.ท่าศาลา จ.นครศรีธรรมราช

ซึ่งก็คงจะมั่นใจในข้อมูล ถึงได้กล้าท้าว่า หากนายอำนวยทำยางจริงจะไปรับซื้อถึงบ้านกิโลกรัมละ 200 บาท

เงื่อนงำต่างๆทำนองนี้แหละที่ทำให้น่าคิดว่ากำลังเกิดขบวนการอะไรเพื่อวัตถุประสงค์ทางการเมืองหรือไม่???

ขณะที่คนสวนยางภาคใต้ก็ต้องคิดให้หนักว่า ถ้ารัฐบาลยอมตามเงื่อนไข เพราะไม่อยากให้ประเทศชาติมีปัญหาความวุ่นวายนั้น

ใครกันแน่ที่รวย!!!

ที่มา.บางกอกทูเดย์
/////////////////////////////////////////////

ใครได้ใครเสีย จากการลดภาษีสินค้าฟุ่มเฟือย !!??

หลังจากที่ นายอารีพงศ์ ภู่ชอุ่ม ปลัดกระทรวงการคลัง ออกมาประกาศว่าจะเน้นการกระตุ้นภาคการท่องเที่ยวและบริการ ให้ขยายตัวมากขึ้นทดแทนการส่งออกที่หายไปโดยการใช้มาตรการทางภาษีเข้ามาสนับสนุนในโครงการ “ช็อปปิ้ง พาราไดซ์” เพื่อแข่งขันกับสิงคโปร์ และฮ่องกง ที่มีภาษีสินค้าฟุ่มเฟือยเป็นศูนย์ เพราะเห็นแนวโน้มการท่องเที่ยวจากต่างชาติดีขึ้นมาตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา โดยในปี 2556 คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาใช้จ่ายในประเทศไทยจำนวน 26.4 ล้านคน ขยายตัว 18% จากปีก่อน

ซึ่งจากข้อมูลของสำนักเศรษฐกิจและการคลัง วิเคราะห์ว่า นโยบายลดภาษีสินค้าฟุ่มเฟือยจะส่งผลบวกต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในปี 2556 ผ่านช่องทางการท่องเที่ยว ในช่วง 7 เดือนแรกของปี มีจำนวนนักท่องเที่ยวทั้งสิ้น 15 ล้านคน  โดย 3 อันดับแรกสูงสุดมาจากประเทศจีน รัสเซีย ญี่ปุ่น ทำให้รายได้นักท่องเที่ยวต่างชาติประเทศอยู่ที่ 6.8 แสนล้านบาท หรือขยายตัว 24% โดยขณะนี้กระทรวงการคลังอยู่ระหว่างศึกษาและหารือกับผู้ประกอบการ เกี่ยวกับการลดภาษีสินค้าฟุ่มเฟือย คาดว่าในช่วง 1-2 เดือนนี้ จะสรุปการปรับลดภาษีนำเข้าสินค้า ทั้งน้ำหอม เครื่องสำอาง เสื้อผ้าแบรนด์เนม รองเท้า กระเป๋า จากปัจจุบันจัดเก็บภาษีที่ร้อยละ 30 ให้เหลือ 0% โดยเร่งผลักดันการลดภาษีดังกล่าวให้มีผลบังคับใช้ในช่วงปลายปีนี้

แต่หลังจากข่าวลดภาษีดังกล่าวออกมา ปรากฏว่า มีเสียงสะท้อนตามอย่างมากมาย แม้นางเบญจา หลุยเจริญ รมช.คลังจะออกเบรกแรงต่อต้านว่า ไม่มีนโยบายจะลดภาษีสินค้าฟุ่มเฟือยทั้งหมดทุกรายการ แต่ส่วนใหญ่ก็ยังคงคัดค้านแนวคิดดังกล่าว

ด้านนายวัลลภ วิตนากร รองประธาน ส.อ.ท.ให้เหตุผลการคัดค้านว่า การลดภาษีดังกล่าวจะส่งผลให้สินค้าต่างประเทศเข้ามาตีตลาดในประเทศ และจะกระทบต่อผู้ประกอบ การในประเทศ โดยเฉพาะสินค้าแฟชั่น ประเภทเสื้อผ้า เครื่องหนัง รองเท้า ซึ่งมาเลเซียเคยใช้แนวทางนี้ เพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวจากต่างชาติมา 2 ปี แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ทำให้นักท่องเที่ยวต่างชาติเพิ่มขึ้นมากนัก

ก็เป็นประเด็นน่าคิดว่า หากรัฐบาลทำโครงการนี้จริง รัฐบาลจะมีมาตรการอะไรที่จะมาควบคุม และกันรันตีได้ว่า คนไทยเองจะไม่แห่มาซื้อสินค้าแบรนด์เนมเหล่านี้แทนสินค้าที่ผลิตในประเทศ เพราะเป็นของดังราคาถูกลง ซึ่งมองว่า นโยบายนี้เป็นนโยบายที่ทำลายธุรกิจในประเทศอย่างมากหนักหน่วงหลังมีมาตรการค่าแรง 300 บาท/วันแล้ว เป็นธรรมดาที่ภาคอุตสากรรมไทยย่อมออกมาต่อต้านหลังชนฝา แต่ก็มีอีกไม่น้อยที่ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ไม่กล้าออกมาแสดงคัดค้านกับแนวคิดนี้ ก็เนื่องจากกลัวว่า จะทำให้ผู้ประกอบการห้างสรรพสินค้าไม่พอใจ แล้วอาจทำให้ได้รับผลกระทบในการจำหน่ายสินค้าในห้างต่างๆ ที่เห็นด้วยเนื่องจากห้างเหล่านี้ สนับสนุนแนวคิดนี้อย่างมาก

อย่างไรก็ตาม ภาคเอกชนยังคงต้องการให้รัฐบาลวางแนวทางที่ชัดเจนว่าสินค้าอะไร บ้างที่เรียกว่าเป็นสินค้าสินค้าฟุ่มเฟือย ที่จะต้องเข้าข่ายการปรับลดภาษีนำเข้าลงได้บ้าง เช่น รถยนต์ ถือว่าเป็นสินค้าฟุ่มเฟือยด้วยหรือไม่ นอกจากนั้นแล้วรัฐบาลจะต้องทำการแยกแยะและวางระเบียบให้ชัดเจน เพื่อให้เกิดความเป็นธรรม เพราะในต่างประเทศเช่น มาเลเซีย ทางรัฐบาลไม่ได้มีการแยกแยะออกมาคิดเป็นรายการเดียวกันหมด

ที่มา.ทีนิวส์
//////////////////////////////////////////////////

จีดีพีไทยแผ่วคาดไตรมาส 4 โต 2.2%

นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองผู้อำนวยการสำนัก งานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เปิดเผยในงานสัมมนา "SCB Investment Symposium 2013 : รู้รอบทิศ พิชิตการลงทุน" ว่า เศรษฐกิจไทยปีนี้คาดจะขยายตัวชะลอลงมาอยู่ที่ 3.8-4.3% ซึ่งการใช้จ่ายและการลงทุนภาครัฐจะมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ขณะที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สามารถปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลงได้จากปัจจุบันอยู่ที่ 2.5% โดยปัจจัยเสี่ยงที่ต้องติดตามคือ ความผันผวนของตลาดเงินและตลาดทุนโลก การเร่งตัวขึ้นของราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก และความเสี่ยงทางการเมือง


"แนวโน้มเศรษฐกิจไทยในระยะยาวต้องพึ่งพาการ ส่งออกไปยังประเทศในกลุ่มอาเซียนมากขึ้น ขณะที่ฐานะ การคลังภาครัฐยังเอื้อต่อการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน โดยขณะนี้สัดส่วนหนี้สาธารณะอยู่ที่ 44% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ถ้ารัฐไม่ลงทุนจะทำให้รายได้จีดีพีเล็กลง ดังนั้นต่อให้ไม่ทำอะไรเลยหนี้สาธารณะต่อจีดีพีของไทยก็จะเพิ่มขึ้น ซึ่งเชื่อว่าเมื่อพ.ร.บ.ลงทุนโครงสร้าง พื้นฐาน 2 ล้านล้านบาท ผ่านสภาผู้แทนราษฎร จะเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่สำคัญ" นายเอกนิติกล่าว

นายสมิทธ์ พนมยงค์ ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่อาวุโส สายเงินฝากและการลงทุนธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า แนวโน้มเศรษฐกิจไทยในช่วงที่เหลือปีนี้โดยเฉพาะไตรมาส 4/2556 ยังคงผันผวนต่อเนื่อง คาดจะโตได้ 2.2% และประเมินว่าสภาพคล่องในระบบที่ตึงตัวจะผ่อนคลายมากขึ้น จากการปล่อยสินเชื่อที่ชะลอลง ภาวะการแข่งขันระดมเงินฝากของธนาคารพาณิชย์จึงแผ่วลงตามไปด้วย โดยทั้งปีคาดโต 7-8% ลดลงจากปี 2555 ที่โต 11-12% ถือเป็นการลดลงตามการปล่อยสินเชื่อที่ชะลอลง ซึ่งธปท. ได้เดินสายเตือนสถาบันการเงินให้ระมัดระวังสัญญาณการเกิดหนี้เสียที่เริ่มมีให้เห็น

นายเกริก วณิกกุล รองผู้ว่าการ ด้านเสถียรภาพสถาบันการเงิน ธปท. กล่าวว่า การปล่อยสินเชื่อครึ่งปีหลังยังไม่เห็นการชะลอตัวชัดเจน เนื่องจากสถาบันการเงินยังระดมเงินฝากต่อเนื่อง รวมทั้งความต้องการสินเชื่อจากผู้ประกอบการรายกลางและใหญ่ยังมีอยู่ โดยมองแนวโน้มเศรษฐกิจไทยเริ่มกลับเข้าสู่ภาวะปกติแล้ว คาดทั้งปีจะโต 4%

ด้านนายชลิตรัตน์ จันทรุเบกษา รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ได้รายงานเศรษฐกิจประจำเดือนก.ค.2556 ให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 10 ก.ย. รับทราบ ว่าเศรษฐกิจไทยเดือนก.ค. เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้ายังคงแสดงถึงภาวะเศรษฐกิจที่อ่อนตัว แต่เมื่อเทียบกับเดือนก.ค.2555 ยังอยู่ในเกณฑ์น่าพอใจ

ที่มา.ข่าวสดออนไลน์
//////////////////////////////////////////////////////////////////

เลิกแอดมิชชั่น-รื้อหลักสูตรโจทย์ท้าทายปฏิรูปการศึกษารอบใหม่ !!??

แม้จะมีความพยายามในการปฏิรูปการศึกษามาแล้วกว่า2 ครั้งและเกือบทุกรัฐบาลพยายามจะเข้ามาแก้ปัญหาในรูปแบบต่างๆ แต่ก็ดูเหมือนว่าจะไม่สามารถแก้โจทย์ในทั้งเรื่องคุณภาพและความเหลี่ยมล้ำได้

เหมือนอย่างที่นายจาตุรนต์ ฉายแสง รมว.ศึกษาธิการ บอกในวงสนทนากับผู้บริหารในเครือเนชั่นว่า การแก้ปัญหาการศึกษาไทยยังอยู่ที่วังวนของโครงสร้างและตามแก้ปัญหาผลกระทบจากโครงสร้างที่ออกมาแบบมาทำให้แก้ไขไม่ตรงกับปัญหาที่เกิดขึ้น

การกลับมานั่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการครั้งนี้ เขาจึงพุ่งเป้าที่ไปการหาโจทย์ ที่เกิดขึ้นกับวงการศึกษาไทย และหวังว่าโจทย์ที่ถูกต้องจะนำไปสู่การแก้ไขปัญหาที่ถูกทาง

โดยเฉพาะเมื่อ World Economic Forum (WEF)จัดอันดับการศึกษาไทยให้เกือบรั้งท้าย แพ้ทั้งกัมพูชาและเวียดนาม ยิ่งตอกย้ำว่าการปฏิรูปที่ผ่านมาอาจจะล้าหลังตามไม่ทันสภาพความเป็นจริงที่เกิดขึ้นในสังคม

จาตุรนต์ บอกว่า การจัดอันดับของ WEF เป็นเรื่องที่รับรู้กันอยู่แล้ว จึงไม่แปลกใจมากนักและต้องถือเป็นเรื่องที่กระทรวงศึกษาธิการไม่สามารถปฏิเสธความรับผิดชอบได้ โดยเฉพาะการปฏิรูปการเรียนการสอนในห้องเรียนใหม่ เพราะหากจะลองตรวจสอบเอาเฉพาะในเรื่องของการเรียนการสอนภาษาอังกฤษก็พบว่าคนไทยเรียนภาษาอังกฤษมากว่า 16 ปี แต่ไม่สามารถสื่อสารและพูดคุยได้ ซึ่งเมื่อหากลองทบทวนวิธีการสอนในโรงเรียนและหลักสูตรจะเห็นว่าทั้ง 16 ปี ไม่มีเรื่องของการสนทนา(conversation)เลยแม้แต่นาทีเดียว

" ผมคิดว่าเริ่้มเห็นโจทย์บางอย่างในเรื่องของการสอนในโรงเรียนและหลักสูตรเพราะน่าตกใจเมื่อพบว่าหลักสูตรสอนภาษาอังกฤษของเราไม่มีเรื่องของการสนทนาเลย ซึ่งในเรื่องนี้้ต้องเปลี่ยนใหม่"

การปฏิรูปการศึกษาในมุมที่ "จาตุรนต์"ต้องการทำให้เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่เขาดำรงตำแหน่งจึงมี 2 ประเด็นใหญ่คือ การปฏิรูปการเรียนการสอนและหลักสูตร ซึ่งในเรื่องนี้ระดมการแก้ไขปัญหาสจากนักวิชาการ ตั้งแต่เรื่องของการปรับมาตรฐานการทดสอบของเด็กไทยให้ได้มาตรฐานในระดับสากล เช่น การปรับการสอบโอเน็ตให้มีความสำคัญและผูกโยงกับความรับผิดชอบกับผู้ที่เกี่ยวข้องเช่นครู

ในมติของการทดสอบ เขามองว่าอาจจะต้องฟื้นระบบการสอบมาตฐานกลางของชาติกลับมาใหม่อีกครั้งนอกจากนี้ยังมองถึงการทดสอบในระดับนานาชาติเช่นPISAจะต้องเลื่อนลำดับขึ้นมา โดยมีคณะกรรมการขับเคลื่อนในเรื่องนี้อย่างชัดเจน

ส่วนการปฏิรูปหลักสูตร "จาตุรนต์"บอกว่าจะไม่ทำแบบลงแขกเหมือนในอดีต แต่จะเชิญกระบี่มือหนึ่ง เข้ามาให้ความคิดเห็น พร้อมการตั้งองค์กรขึ้นมาเพื่อเป็นหน่วยงานวิจัยพัฒนาในการปรับหลักสูตรที่มีงานวิจัยรองรับ

"เดิมการแก้หลักสูตรเราเชิญนักวิชาการด้านกฏหมายเข้ามาระดมความเห็น ซึ่งก็ถือว่าดีที่สุดเท่าที่มีในช่วงนี้ แต่ไม่มีองค์กรขึ้นมาดูแลอย่างจริงจัง ผมจึงเสนอให้ตั้งสถาบันขึ้นมาดูแลเรื่องนี้เพื่อพัฒนาให้ดีขึ้น "

ประเด็นในเรื่องของความเท่าเทียมทางด้านการศึกษา "จาตุรนต์" บอกว่า ปัญหานี้มีมากขึ้นในการศึกษาไทยเพราะมีพ่อแม่ที่มีศักยภาพในการลงทุนเพื่อให้ลูกได้เรียนโรงเรียนที่ดีและมหาวิทยาลับที่ดีต่างทุ่มไปกับการกวดวิชาซึ่งพบว่าเด็กบางคนพ่อแม่ต้องใช้เงินในการเดินทางเพื่อเรียนและสอบมากกว่า 5แสนบาท ซึ่งในเรื่องนี้เขามองว่าต้องแก้ไขระบบการสอบเข้ามหาวิทยาลัยที่เรียกว่า "แอดมิชชั่น"ใหม่เพื่อลดปัญหาดังกล่าว

ส่วนจะแก้ไขไปในทิศทางเป็นเรื่องที่ต้องศึกษาร่วมกันของนักวิชาการด้านการศึกษา แต่เการเปลี่ยนระบบการสอบใหม่ไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องอาศัยเวลาทั้งครู ผู้ปกครองให้ปรับตัว เพื่อเข้าสู่กติกาแบบใหม่ และเขาเชื่อว่าการเปลี่ยนวิธีการสอบเข้ามหาวิทยาลัยใหม่จะมีแรงต้านจากประชาชนทั้ง ผู้ปกครอง โรงเรียนกวดวิชา หรือกระทั่งครูในระบบเพราะฉะนั้น จำเป็นต้องสร้างดีมานด์จากสังคมที่จะเรียกร้องให้เกิดการเปลี่ยนระบบใหม่

"ขณะนี้ช่องว่าของความเท่าเทียมมีมากทั้งในเรื่องของโรงเรียนที่มีคุณภาพไม่มีคุณภาพ มหาวิทยาลัย ด้วยเช่นกัน พ่อแม่ที่มีตังค์ส่งลูกหรือเตรียมให้ลูกเรียนมหาวิทยาลัยที่มีคุณภาพหรือส่งไปเรียนต่างประเทศ แต่พ่อแม่ที่ไม่รายได้ก็เรียนมหาวิทยาลัยใกล้บ้าน "

การปฏิรูปให้มหาวิทยาลัยปรับตัวเพื่อสร้างคุณภาพจึงเป็นอีกประเด็นที่จะต้องเร่งดำเนินการ ซึ่งเขาคิดว่าจะใช้ระบบการจัดลำดับมหาวิทยาลัยเพื่อบีบให้มหาวิทยาลัยมีคุณภาพ โดยให้มาหวิทยาลัยยึดโยงกับความรับผิดชอบกับสังคม และถือเป็นการสร้างทัศคติของผู้ปกครองที่จะต้องเข้ามามีส่วนเรียกร้องให้มหาวิทยาลัยปรับตัวเพื่อสร้างคุณภาพไม่ใช่การลงทุนเพื่อสร้างทางเลือกให้กับบุตรหลานเพื่อเข้ามหาวิทยาลันดีๆโดยไม่ส่งเสียงตรวจสอบมหาวิทยาลัยในการสร้างคุณภาพ

"มหาวิทยาลัยบ้านเราเป็นอิสระจากทั้งนักการเมืองหรือรัฐบาลซึ่งในมุมนี้มีทั้งดีและไม่ดี แต่ปัญหาสำคัญคืออิสระจากสังคมและผู้ปกครองเองก็ไม่เข้มแข็งพอที่จะเรียกร้องให้มหาวิทยาลัยปรับตัว"

จาตุรนต์ มองว่าการปฏิรูปการศึกษาจำเป็นต้องใช้เวลาและความต่อเนื่องในการดำเนินการ เพราะในทางการเมืองไม่สามารถทำได้เนื่องจากวาระในตำแหน่งที่ผัดเปลี่ยนเวียนไปและส่วนใหญ่จะเข้ามาดำเนินการในสิ่งที่ตัวเองตั้งใจ ซึ่งในเรื่องนี้เขาเห็นภาคสังคมต้องมีฉันทามติในการเรียกร้องการปฏิรูปการศึกษาทั้งการเรียนการสอน หลักสูตร และคุณภาพที่เท่าเทียม

โดยสรุปแล้ว สิ่งที่จาตุรนต์ จะเดินหน้าคือ การปฏิรูปการเรียนรู้ทั้งระบบให้เชื่อมโยงกัน โดยจะมีการจัดประชุมใหญ่ในวันที่ 22 ก.ย. จากนั้นจะนำมายกร่างแผนการดำเนินการหรือพิมพ์เขียวขับเคลื่อนการปฏิรูปการศึกษาเป็นวาระแห่งชาติ โดยจะเริ่มต้นในปีงบประมาณ 2557

แต่สิ่งที่เขาเห็นว่าต้องเร่งดำเนินการตามแผนยุทธศาสตร์การปฏิรูปการศึกษาและเสนอต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) คือต้องมีการตั้งคณะทำงานขึ้นมาเพื่อยกร่างแผนการดำเนินงานร่วมกัน นอกจากนี้ยังขอให้สพฐ.ไปเร่งดำเนินการตั้งคณะกรรมการอำนวยการขับเคลื่อนการเลื่อนอันดับPISA รวมถึงเร่งตั้งสถาบันวิจัยและพัฒนาหลักสูตรการเรียนการสอน เพื่อทำให้การปฏิรูปหลักสูตรมีความต่อเนื่องและได้มาตราฐาน

เป้าหมายที่จาตุรนต์ อยากเห็นและ ต้องการทำ 2 เรื่องให้ประสบความสำเร็จ คือ การทำให้ผู้เรียนสามารถคิด วิเคราะห์ เรียนรู้ได้ด้วยตัวเอง และมีคุณลักษณะที่พึงประสงค์ ทักษะที่จำเป็นสำหรับศตวรรษที่ 21 โดยต้องเห็นผลลัพธ์ในปี 2558 คือ ทำให้อันดับในการประเมิน Pisa ดีขึ้น , ขยับสัดส่วนเรียนต่อสายสามัญและสายอาชีพเป็น 50:50 , ทำให้มหาวิทยาลัยไทยติดอันดับโลกมากขึ้น และการกระจายโอกาสและเพิ่มความเสมอภาคทางการศึกษามากขึ้น

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
///////////////////////////////////////////////////////////////

วันอังคารที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2556

บทเรียนซ้ำซาก !!??

สามล้อถูกหวย..!!

เป็นสำนวนที่รู้จักกันดี ว่าเปรียบเปรยถึงคนจนที่โชคดีมีโอกาสรวย แต่ใช้จ่ายเงินหมดภายในพริบตา
เป็นสำนวนจากเรื่องจริงเมื่อหลายสิบปีก่อน ที่มีข่าวโด่งดัง เมื่อสามล้อฐานะยากจนคนหนึ่งถูกล๊อตเตอรี่รางวัลที่ 1 จากนั้นเพียงไม่กี่วันเงินทองก็หมดลงด้วยความรวดเร็ว

เรื่องทำนองนี้เกิดขึ้นหลายครั้งหลายหน แต่สังคมบางส่วนก็ไม่เคยนำไปใจเป็นอุทธาหรณ์สอนใจ
เฉกเช่นกรณีอดีตนางแบบสาวชาวที่ราบสูง ผู้โด่งดังระดับโลก “ยุ้ย-รจนา เพชรกัณหา” ซึ่งมาจากครอบครัวที่ยากจนและมีปัญหารุมเร้าสารพัด จับพลัดจับผลูมีคนนำไปเจียรไน ส่งเข้าประกวด “อีลิท ซูเปอร์โมเดล ออฟ ไทยแลนด์ 1994” แล้วคว้าแชมป์ ได้เซ็นสัญญากับเอเยนซีนางแบบ จนกลายเป็นนางแบบที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ด้วยวัย 18 ปี



ไม่ได้โด่งดังในเมืองไทย แต่ไปสร้างชื่อในต่างประเทศ ขนาดติดอันดับ 1 ใน 12 ซูเปอร์โมเดลโลก
ช่วงที่เธอโด่งดังบรรดาสื่อทั้งหลาย โดยเฉพาะแมกกาซีนหัวไทย หัวนอก ประโคมข่าวถึงความฮอตของเธอ ตลอดจนฐานะความเป็นอยู่ที่หรูหราฟู่ฟ่า มีเงินหมุนเวียนเข้ามาในชีวิตกว่า 100 ล้านบาท
แต่ชีวิตไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบไปตลอด สังคมเลยต้องช็อคกับข่าวว่า เธอใช้ชีวิตผิดพลาด ใช้จ่ายเงินฟุ่มเฟือยจนหมดตัว แถมยังติดสุราสูบบุหรี่อย่างหนัก แรงสุดถึงขั้นติดยาเสพติดประเภทโคเคนอีกด้วย

ยุ้ยเคยเล่าว่า เคยมีเงินเก็บมากที่สุดถึง 50 ล้านบาท แต่ในวันที่หมดสภาพแล้วเดินทางกลับมาเมืองไทยมีเงินเหลือติดตัวเพียงแค่ 500 บาทเท่านั้น!!!

แถมกลับมาใช้ชีวิตในเมืองไทย เธอก็ยังติดทั้งเหล้า ทั้งบุหรี่ ทั้งยาเสพติด กลายเป็นประสาทหลอน ทะเลาะกับแม่เป็นประจำ จากนั้นเมื่อรักษาอาการดีขึ้น หันเข้ามาทำงานรับสอนเดินแบบ และขายรองเท้าอยู่ห้างดัง ชีวิตดูเหมือนจะฟื้นให้ประคองตัวรอดได้ เพราะมีงานแฟชั่นเข้ามาบ้าง ตามประสาสังคมไทยที่มักให้โอกาสคนที่เดินชีวิตผิดพลาด โดยเฉพาะคนในวงการบันเทิง

แต่จู่ๆกลับตกเป็นข่าวดังคึกโครม เธอถูกพบขณะเร่ร่อนแบบคนไร้สติอยู่ข้างถนน บวกกับอาการป่วยด้วยโรคไบไพลาห์ คือ มีอาการเหมือนคนสองบุคลิก ดีก็ดีใจหาย ร้ายหรือเศร้าหดหู่ก็เอาเรื่องอยู่
งานนี้แน่นอนตามประสาสังคมไทย ความช่วยเหลือประดังเข้ามาในทันที ทั้งจากวงการบันเทิง และไปถึงระดับประเทศ เมื่อ ปวีณา หงสกุล รัฐมนตรีว่ากระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ก็ได้ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ

ปัญหาก็คือ แม้การช่วยเหลือเป็นสิ่งที่ดี เป็นสิ่งที่เหมาะสมที่คนเราควรจะมีน้ำใจต่อกันช่วยเหลือกัน สะท้อนภาพลักษณ์ที่ดีงามของสังคมไทย แต่เป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุไปหรือไม่?
และที่สำคัญจะต้องตามช่วยเหลืออีกสักกี่คน?

เพราะอย่งที่บอกปัญหาทำนองนี้ไม่ใช่มีแค่ยุ้ยรจนา เพราะที่ผ่านมามีชีวิตแบบ “สามล้อถูกหวย” เกิดขึ้นไม่น้อยในแวดวงบันเทิง – ดารา – นางแบบ ที่จบอนาคตด้วยการดำเนินชีวิตผิดพลาด เพราะไม่เคยเรียนรู้บทเรียน โดยเฉพาะบทเรียนเรื่องยาเสพติด ที่ทำให้ใครต่อใครตายทั้งเป็น มานักต่อนักแล้ว

ยิ่งประเภทที่ดังตั้งแต่วัยไม่ถึง 20 ปี แล้วไม่มีพ่อแม่หรือผู้ใหญ่ค่อยกำกับเป็นเข็มทิศนำทาง ดูแลเรื่องการดำเนินชีวิต... ก็ยิ่งน่ากลัว เพราะสิ่งแวดล้อมรอบข้าง พร้อมกระชากให้ดิ่งนรกลงเหว จบเส้นทางของดารา นางแบบ นายแบบ นักร้อง กลายเป็นตราบาปชีวิตมามากต่อมากแล้ว

สังคมบันเทิงที่ระเริงกับแสงสีเสียง ความหรูหราฟู่ฟ่า ชอบเฮฮาปาร์ตี้ พี้ยาเสพติด รวมทั้งมั่วเซ็กซ์กลายเป็นข่าวฉาวออกมาอยู่บ่อยครั้ง คนที่จัดปาร์ตี้มักเป็นไฮโซเซเล็บ ลูกหลานคนมีตังส์

เคยมีคนหลงเข้าไปในงานปาร์ตี้งานหนึ่งบอกว่า กลิ่นบุหรี่ กลิ่นกัญชายาเสพติดคลุ้งไปทั้งงาน หันไปซ้ายขวาล้วนแต่เป็นคนที่อยู่ในวงการแฟชั่นทั้งนั้น

สังคมแบบนี้ไม่ใช่ไม่มีใครรู้ แต่ตลอดมาก็ยังมีคนสมัครใจที่จะเข้าไปติดบ่วง ที่เนียน ๆ ก็รอดตัวไป ที่ไม่เนียนก็กลายเป็นข่าวถูกตำรวจจับดำเนินคดี อย่างกรณีของ อดีตนางแบบและนักแสดง ยูยี่-อลิสา พันธุสมิต ก็ตกอยู่ในวังวนของยาเสพติด

ทำให้หลายคนที่ได้รับรู้ข่าว ต้องสลดหดหู่ใจ ว่าทำไมเรื่องราวเช่นนี้จึงไม่เป็นอุทธาหรณ์ให้คนในแวดวงบันเทิงรุ่นใหม่ได้ฉุกใจคิดกันบ้างหรือ

ทำไมตัวอย่างดีๆที่เป็นดาวค้างฟ้าอยู่จนทุกวันนี้ ถึงไม่มีการมองดูกันบ้าง??
ในแวดวงนางแบบดังของเมืองไทย ตัวอย่างที่ดีก็มีเยอะ หลายคนจนวันนี้ยังมีชีวิตที่สดใส แม้ว่าจะแขวนรองเท้าไปแล้วก็ตามที เช่นไอดอล ซูเปอร์โมเดล อย่าง ลูกเกด-เมทนี กิ่งโพยม และ ซินดี้-สิรินยา เบอร์บริดจ์

ตรงนี้แหละที่ ต้องการให้ฉุกใจคิดกันให้มากๆ เพราะอย่างที่บอกว่า เห็นคนตกทุกข์ได้ยากแล้วยื่นมือช่วยเหลือเป็นสิ่งที่ดี กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เข้ามาช่วยเหลือก็ดีแล้ว

แต่หน่วยงานที่ต้องให้ความรู้กับประชาชน กับสังคม อย่างเช่นกระทรวงศึกษาธิการ มัวทำอะไรกันอยู่ ถึงได้ไม่เคยปลูกฝังค่านิยมที่ดีๆให้กับสังคมไทยเลยในช่วงระยะเวลาหลายๆสิบปีที่ผ่านมา
คนไทยเราไม่เคยได้ชื่อเสียงในเรื่องค่านิยมรักชาติ ซึ่งผิดกับประเทศญี่ปุ่น

คนไทยเราล่าสุดถูก เวิลด์ อีโคโนมิก ฟอรั่ม ฉีกหน้าให้ได้รับรู้ว่า การพัฒนาด้านการศึกษาของไทยตกต่ำมาก สำรวจในกลุ่มอาเซียน 8 ประเทศ ไม่รวมลาว และพม่า ปรากฏว่าประเทศไทยอยู่อันดับ 8 หรือบ๊วยสุด

เป็นรองแม้แต่เวียดนามและกัมพูชา

นี่คือความจริงที่ชี้ให้เห็นถึงความพิกลพิการ และการดำเนินนโยบายในเรื่องการศึกษาและการให้ความรู้ที่ผิดรูปผิดร่างของสังคมไทย

จนทำให้ต้องเกิดกรณีอย่างสามล้อถูกหวย อย่าง ยุ้ย รจนา เกิดขึ้นซ้ำซาก
เกิดขึ้นทีก็ช่วยกันที เป็นการช่วยแบบไฟไหม้ฟาง ไม่ได้ยั่งยืนอะไร ไม่ได้ปลูกฝังแก่นให้คนรู้จักคิด รู้จักใช้ชีวิตในเส้นทางที่เหมาะสม

คำว่าใช้ชีวิตอย่างพอเพียง เป็นเพียงคำสวยหรูที่ขยันพูดว่าจะยึดถือและทำตาม แต่ยังคงพบเห็นตลอดว่า คนดังคนในแวดวงไฮโซจำนวนไม่น้อย ไม่ได้ทำอย่างที่ปากพร่ำพูด

คงต้องถามนักการเมืองไทย ถามผู้ที่ผลัดกันขึ้นมาบริหารประเทศชุดแล้วชุดเล่า ว่าได้เคยตอบแทนคุณประเทศโดยสอนให้เด็กไทยรู้จักคิดเป็นกันตั้งแต่เด็กๆบ้างหรือยัง จะได้เติบโตมาเป็นผู้ใหญ่ที่ไม่ผิดพลาดเช่นที่เกิดขึ้น

ที่สำคัญและน่ากลัวอย่างมากที่สุดในทุกวันนี้ คือนอกจากบกพร่องในการสอนให้รู้จักเรียนรู้ที่จะใช้ชีวิตที่เหมาะสม มีวินัย อยู่ในกรองของศีลธรรมจรรยาแล้ว ยังกลับปล่อยให้ตื่นกระแสในเรื่องสังคมออนไลน์กันแบบไม่มีขอบเขต

นึกจะเขียนอะไร นึกจะด่าใคร นึกจะทำรูปทำภาพออกมาเล่นงานใครเพื่อความสะใจ ก็ทำกันโดยไม่มีการยับยั้งชั่งใจ ไม่สนใจผลกระทบหรือความรู้สึกของคนอื่น... ตรงนี้แหละที่น่ากลัวและน่าเป็นห่วงอย่างมาก
ว่าเกิดอะไรขึ้นกับคำว่า “สยามเมืองยิ้ม” ที่กำลังจะหมดไปเพราะสังคมออนไลน์แล้วอย่งนั้นหรือ
แม้แต่เรื่องดีๆ เรื่องที่ต้องการช่วยเหลือสังคม ช่วยเหลือเพื่อนร่วมวงการด้วยกันแท้ๆ ยังมีการเอาไปละเลงจนคนที่ต้องการทำดีถึงกับส่ายหน้า

นั่นก็คือ กรณีที่เพื่อนสนิทนางเอกสาว "อั้ม พัชราภา ไชยเชื้อ" อย่าง "ยุ้ย ณัฏฐาพร อคุสุวรรณ" ที่โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ กับข่าว สาวอั้ม โดนใส่ไฟว่าใจแคบใจดำ ช่วยเหลือนักแสดงอาวุโสที่กำลังเจ็บป่วยเป็นข่าวดังแค่ 10,000 บาท ทั้งที่ตัวเองเป็นถึงดาราดังและมีเงินถุงเงินถัง

ก็เลยออกมาโต้แกมชี้แจงผ่านอินสตาแกรมแทนเพื่อนว่า

มีเว็บดังเขียนข่าวอั้มช่วยนักแสดงท่านนึง 10,000 บาท เอามาจากไหนเหรอคะ? งงมาก ถ้าอยากรู้จริงๆ ถามยุ้ยก่อนก็ได้นะคะ เวลาไปให้กำลังใจหรือช่วยใคร อั้มและเพื่อนๆ ก็ไม่เคยที่จะออกมาป่าวประกาศนะ (เห็นอย่างนี้แล้วทนไม่ได้จริงๆ)

ยืนยันว่าตัวเลขมากกว่านี้มากนะคะ! ไม่ได้ตั้งใจที่จะมาอวดร่ำอวดรวยอะไร แต่พอคุณลงว่า 10,000 โดยที่คุณคิดตัวเลขขึ้นมาเอง อั้มก็โดนด่าว่าใจแคบใจดำ เป็นดาราดังให้แค่นี้เองเหรอ คนที่อยากช่วยจากใจจริง เขาก็ท้อและเสียใจเป็นนะคะ) ขอบคุณค่ะ yui_papa”

นี่คืออีกความจริงที่โหดร้ายในสังคมไทยเวลานี้

ตราบใดที่สังคมไทยยังถูกปล่อยปละละเลยให้เป็นสังคมที่ไม่เข้มงวดหย่อนยานระเบียบวินัย โดยเฉพาะจากสถาบันครอบครัว ที่เป็นหน่วยย่อยหน่อยเล็กที่สุดในสังคม แต่มีความสำคัญที่สุด และการแก้ปัญหาไปไม่ถึงรากเหง้า เกาไม่ถูกที่คัน

หน่วยงานการศึกษาของชาติยังเรื่อยๆมาเรียงๆอยู่เช่นนี้

กรณีของ “ยุ้ย-รจนา เพชรกัณหา” คงไม่ใช่เป็นบทเรียนราคาแพงรายสุดท้าย คงจะมีต่อกันไปไม่มีที่สุด
กรณีของ “อั้ม พัชราภา ไชยเชื้อ” ก็ยังจะเกิดซ้ำซากกับใครก็ได้

และกรณีผลสำรวจคุณภาพการศึกษาของไทยก็จะฉีกหน้าคนไทยไปอีกนานแน่ๆ

ที่มา.บางกอกทูเดย์
////////////////////////////////////////////////////////////////////

เศรษฐกิจจีนชะลอตัว..โอกาสยังมีอยู่ !!??

โดย. ขวัญใจ เตชเสนสกุล

หลังการประกาศตัวเลขเศรษฐกิจจีนไตรมาส 2 ปี 2556 ขยายตัว 7.5% ชะลอลงจากไตรมาส 1 ที่ขยายตัว 7.7% เป็นข้อมูลสำคัญที่สะท้อนเศรษฐกิจจีนซึ่งมีขนาดใหญ่อันดับสองของโลก เริ่มส่งสัญญาณขาลง สอดคล้องกับแนวทางการดำเนินนโยบายของรัฐบาลจีนที่ตั้งเป้าให้เศรษฐกิจ

ปี 2554-2558 โตเฉลี่ยปีละ 7% โดยมุ่งให้ความสำคัญการดูแลให้เศรษฐกิจเติบโตอย่างมีเสถียรภาพและมีความสมดุลมากขึ้น แม้ต้องแลกกับการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ชะลอลงก็ตามสถานการณ์ดังกล่าวทำให้หลายฝ่ายรวมถึงตัวผู้เขียนเองประเมินว่าจะส่งผลกระทบต่อการส่งออกของไทย เนื่องจากจีนเป็นตลาดส่งออกสำคัญของไทย ทีมีสัดส่วนเกือบ 12% ของมูลค่าส่งออกรวม โดยช่วง 7 เดือนแรกของปี 2556 มูลค่าส่งออกของไทยไปจีนติดลบแล้ว 3.9%

ถึงตรงนี้ท่านผู้อ่านโดยเฉพาะท่านผู้ประกอบการที่ค้าขายกับจีนอาจเริ่มวิตกกังวลว่า หากแดนมังกรสะเทือนขึ้นมาจะส่งผลกระทบมายังเศรษฐกิจไทยมากแค่ไหน และจะต้องปรับกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจอย่างไรภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ตลอดจนยังมีโอกาสอะไรหลงเหลืออยู่อีกหรือไม่ ในตอนแรกยอมรับว่ามองเห็นแต่ด้านลบ คาดการณ์แต่ผลไม่ดีที่จะเกิดขึ้นจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนในรอบนี้ แต่หลังจากได้ทำความเข้าใจ เปิดใจให้กว้างมองต่างมุม กลับพบว่าแท้จริงแล้วยังมีโอกาสอยู่อีกมากจากวิกฤตในคราวนี้ ตรงกับวลียอดฮิตที่ว่า "ในทุกวิกฤตย่อมมีโอกาส"

ผู้เขียนประเมินว่าหลังจากรัฐบาลจีนมีนโยบายปรับโครงสร้างเศรษฐกิจให้มีความสมดุลมากขึ้น โดยลดบทบาทของภาคส่งออกและหันมาเพิ่มสัดส่วนการบริโภคภายในประเทศมากขึ้น ซึ่งอาจส่งผลให้สินค้าส่งออกดาวเด่นของไทยไปตลาดจีนเปลี่ยนไป จากเดิมมักเป็นสินค้าจำพวกวัตถุดิบและส่วนประกอบของสินค้าอุตสาหกรรม เช่น ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ส่วนประกอบเครื่องใช้ไฟฟ้า เคมีภัณฑ์ และยางพารา ซึ่งผู้นำเข้าจีนมักนำสินค้ากลุ่มนี้ไปผลิตและประกอบเพื่อส่งออกต่อ

แต่หลังจากนี้สินค้าที่จะก้าวขึ้นมาเป็นสินค้าส่งออกสำคัญน่าจะเป็นจำพวกสินค้าเกษตรและอาหารที่ชาวจีนนิยมเป็นอย่างมาก เช่น ข้าวหอมมะลิ อาหารทะเล ลำไย ทุเรียน และผลไม้กระป๋องต่าง ๆ เห็นได้จากมูลค่าส่งออกสินค้าเหล่านี้ในช่วง 7 เดือนแรกของปีนี้ยังขยายตัวได้ ขณะที่มูลค่าส่งออกกลุ่มสินค้าวัตถุดิบและส่วนประกอบในภาคอุตสาหกรรมกลับติดลบสินค้า OTOP จะเป็นอีกกลุ่มที่ขายดีมากในตลาดจีน โดยเฉพาะปัจจุบันที่สินค้า OTOP ของไทยเน้นพัฒนาและ

ยกระดับสู่ตลาดโลกมากขึ้น ล่าสุดผู้เขียนทราบมาว่างานเทศกาลไทย ณ เมืองคุนหมิง ในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา สินค้า OTOP ไทยสามารถจำหน่ายในงานได้ถึง 100 ล้านบาท และมีผู้ค้าจีนสั่งซื้อต่อหลังการจัดงานมากกว่า 40% ของสินค้า OTOP ที่นำไปจำหน่าย ชี้ให้เห็นว่าสินค้า OTOP ที่ใช้เอกลักษณ์ความเป็นไทยก็สามารถเจาะตลาดจีนได้ไม่ยากเลย หากเข้าถูกช่องทางและเจาะตลาดได้ตรงกับกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย

อีกมาตรการหนึ่งที่รัฐบาลจีนจะเร่งดำเนินการเพื่อสนับสนุนให้การบริโภคภายในประเทศเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจ คือการเพิ่มรายได้ต่อหัวของประชากรให้สูงขึ้นอีกเท่าตัวภายในปี 2563 จากปัจจุบันอยู่ที่ 6,076 ดอลลาร์สหรัฐต่อคนต่อปี ดังนั้น สินค้าไทยที่มีราคาสูงหรือกลุ่มสินค้า Luxury ย่อมมีโอกาสขายดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นอัญมณี/เครื่องประดับ และเสื้อผ้า/เครื่องแต่งกาย ที่เน้นเจาะตลาดผู้มีรายได้สูง ยังรวมไปถึงภาคบริการ โดยเฉพาะการท่องเที่ยวที่จะได้รับอานิสงส์ตามไปด้วย ซึ่งในปี 2555 มีนักท่องเที่ยวจีนมาไทยมากเป็นอันดับ 1 ถึง 2.8 ล้านคน แซงหน้านักท่องเที่ยวมาเลเซียที่เคยครองอันดับ 1 นักท่องเที่ยวต่างชาติของไทยมาตลอด 10 ปีที่ผ่านมา ผู้เขียนจึงมองว่า หลังจากนี้ ทั้งโรงแรม ร้านอาหาร และแหล่งท่องเที่ยวต่าง ๆ คงต้องหาพนักงานที่พูดภาษาจีนและเข้าใจวัฒนธรรมจีน เพื่อรับมือกับกองทัพนักท่องเที่ยวจีนที่จะเพิ่มขึ้นอีกจำนวนมหาศาล

สุดท้ายนี้อยากฝากว่า แม้โอกาสในตลาดจีนยังมีอยู่ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะคว้ามาง่าย ๆ ผู้ประกอบการจำเป็นต้องวิเคราะห์ความต้องการของผู้บริโภคจีนให้เข้าใจอย่างถ่องแท้ เพื่อผลิตสินค้าและบริการได้ตรงกับความต้องการมากที่สุด อย่าลืมว่าจีนเป็นประเทศใหญ่ มีประชากรมากถึง 1,300 ล้านคน แตกต่างกันทั้งเชื้อชาติและวัฒนธรรม รสนิยมและความต้องการของชาวจีนในแต่ละพื้นที่จึงต่างกันด้วย นอกจากนี้อยากฝากถึงผู้ที่จะส่งสินค้าไปขายที่จีน ควรนึกถึงผลิตภัณฑ์สีเขียว หรือผลิตภัณฑ์ที่คำนึงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม หลังจากรัฐบาลจีนเริ่มออกมาประกาศนโยบาย China Go Green Disclaimer : คอลัมน์นี้เผยแพร่เพื่อให้ความรู้ด้านเศรษฐกิจมหภาค เศรษฐกิจต่างประเทศ รวมถึงภาวะธุรกิจและอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นข้อคิดเห็นส่วนบุคคล

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
/////////////////////////////////////////////////////////////

วันจันทร์ที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2556

ถามตอบ!!!??

โดย. พญาไม้

สิ่งที่รัฐบาลควรจะทำในเรื่องการเรียกร้องของชาวสวนยางพารากับราคาของยาง..ก็คือ..ตอบคำถามเหล่านี้

สวนหรือป่ายางพาราในเวลานี้ของประเทศไทย..เป็นของคนไทยที่ยากจนหรือมั่งคั่ง..ในจำนวนทั้งสิ้นทั้งหมดของยางพาราที่ไทยผลิตได้นั้นมีอยู่เท่าใด..และยางพาราของคนไทยที่ไปปลูกอยู่ในประเทศเพื่อนบ้านนั้นมีอยู่เท่าใด

คำตอบก็คือ..เศรษฐีใหญ่คนไทยที่รวยติดอันดับโลก..นักการเมืองที่แสดงบัญชีว่าเงินเป็นร้อยเป็นพันล้านก็เป็นเจ้าของสวนยางพาราขนาดหลายร้อยหลายพันไร่ไปจนถึงหมื่นไร่

ถามว่า..คนกรีดยางหรือตัดยางเพื่อเอาน้ำยางนั้นเป็นใคร

คำตอบก็คือ..ใกล้เพื่อนบ้านทางไหนก็จะเป็นประชนคนเพื่อนบ้านมารับจ้างตัดยาง..ในราคาที่ฝ่ายคนรับจ้างเป็นต่อนายจ้าง..

ความเป็นจริงของประเทศไทยในขณะนี้ก็คือ..ในตลาดแรงงานนั้นผู้แรงงานเป็นเจ้าของและอยู่เหนือกว่าผู้ว่าจ้างในแทบจะทุกชนิดของตลาดแรงงาน

ถามว่า..ราคายางในปัจจุบันนี้ทำให้ผู้ปลูกสวนยางขาดทุนจริงหรือ.

คำตอบก็คือไม่จริง..ยางมีความเสี่ยงในเรื่องการลงทุนต่ำกว่าพืชพันธุ์ชนิดอื่น..ถึงแม้ว่าจะไม่ได้การทำนุบำรุงต้น ยางก็ตายยากและยังให้ผลผลิตได้..
ยางแต่ละต้นมีอายุยาวนานกว่ายี่สิบปีการลงทุนจึงขึ้นอยู่กับเวลาและในระหว่างที่รอการเติบโตของต้นยางแผ่นดินตรงนั้นก็ยังสร้างผลผลิตอื่นๆ ได้

ถามว่า..กำไรสุดท้ายของยางอยู่ที่ไหน
ตอบว่า..เมื่อยางพาราหมดอายุเป็นไม้ยางแก่แล้ว ราคาสูงสุดของผลตอบแทนคือต้นยางที่เอาไปใช้ทำไม้สำเร็จรูปเกือบทุกชนิด..
รายได้ตรงนี้เจ้าของสวนยางได้ไปเต็มๆ แทบจะไม่ต้องแบ่งใครและไม่ต้องเสียภาษี

ถามว่า..ข้าวกับยางต่างกันหรือไม่..ตอบว่าต่างกันเหมือนฟ้ากับเหว
ถามว่า..แล้วทำไมมันถึงมีปัญหา..ตอบว่าเพราะเขาเอามันมาเล่นการเมือง
ถนมว่า..แล้วมันจะเป็นอย่างไรต่อไป...ตอบว่าก็วอดวายกันทั้งแผ่นดิน

ที่มา.บางกอกทูเดย์
/////////////////////////////////////////////

รมว.ศึกษาฯ จี้ จัดสอบทุกชั้น ป.1 ถึง ม.6 !!??


จาตุรนต์" จี้สอบทุกชั้นปี-ทุกคนวัดผลอุดรอยรั่ว/มอบ สทศ.-สพฐ.ดรีมทีม

นายจาตุรนต์ ฉายแสง รมว.ศึกษาธิการ เปิดเผยถึงกรณีที่สถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (สทศ.) มีข้อเสนอให้กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) แก้ไขประกาศกระทรวงศึกษาธิการ เรื่องการใช้ผลการทดสอบแบบทดสอบทางการศึกษาระดับชาติขั้นพื้นฐาน (O-NET) เป็นองค์ประกอบหนึ่งในการตัดสินผลการเรียนของผู้เรียนที่จบการศึกษา ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ.2551 โดยให้ยกเลิกการนำคะแนน O-NET มาเป็นส่วนหนึ่งในการจบการศึกษาของนักเรียนชั้น ป.6 เนื่องจากมีงานวิจัยชี้ว่าทำให้เด็กเกิดความเครียด และครูเน้นติววิชาการ ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาศักยภาพเด็กว่า ยังไม่ทราบข้อเสนอดังกล่าว แต่ที่ผ่านมามีการหารือว่าจะเพิ่มการวัดผลให้ครบทุกชั้นปี ตั้งแต่ชั้น ป.1 ถึง ม.6 เนื่องจากที่ผ่านมาเราจัดการศึกษา โดยไม่เคยมีระบบการทดสอบวัดผลที่เป็นระบบกลางที่ได้มาตรฐาน จนกระทั่งมี สทศ.ที่เริ่มมีการจัดสอบวัดมาตรฐาน และพัฒนาจนการสอบเริ่มมีมาตรฐานขึ้น ทำให้โรงเรียนได้รู้จุดบกพร่อง เพื่อจะได้แก้ปัญหาให้ตรงจุด

ดังนั้น โดยส่วนตัวคิดว่าระบบการทดสอบวัดผลยังเป็นเรื่องจำเป็นที่จะต้องดำเนินการต่อไป และควรจัดสอบทุกคนไม่ใช่การสุ่มสอบ ส่วนเรื่องที่มีผลวิจัยระบุว่าการสอบ O-NET ชั้น ป.6 ทำให้เด็กเกิดความเครียดนั้น เป็นอีกปัญหาที่จะต้องแก้ไขต่อไป

อย่างไรก็ตาม ได้ขอให้ สทศ.และสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ไปหารือร่วมกันว่าระบบการวัดผลกลางนั้นควรจะเป็นรูปแบบใด ซึ่งก็อาจจะเป็น O-NET ที่จัดสอบโดย สทศ. หรือเป็นระบบที่ดำเนินการโดย สพฐ.ก็ได้ แต่จะต้องเป็นระบบที่ได้มาตรฐาน

นายชินภัทร ภูมิรัตน เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) กล่าวว่า เรื่องนี้ต้องมีการอภิปรายอย่างกว้างขวาง เพื่อสร้างความศักดิ์สิทธิ์ให้กับคะแนน O-NET อย่างแท้จริง ส่วนงานวิจัยที่ระบุว่าการสอบทำให้เด็กเครียด และครูเน้นติวแต่วิชาการนั้น ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องต้องมาร่วมกันหาทางแก้ไข ไม่ใช่เมื่อมีปัญหาเกิดขึ้นแล้วจะต้องเดินถอยหลัง ซึ่งเวลานี้ทุกอย่างจะต้องเดินหน้าต่อไป เพื่อให้การดำเนินการประเมินผลระดับชาติ มีผลต่อวงจรการพัฒนาการศึกษาของเด็ก

เลขาธิการ กพฐ.กล่าวต่อไปว่า สำหรับข้อเสนอที่จะใช้วิธีการสุ่มสอบ O-NET นักเรียนชั้น ป.6 โดยไม่ให้สอบทุกคนเช่นปัจจุบันนั้น คงต้องพิจารณาถึงข้อดีและข้อเสียทั้งหมดก่อน ซึ่งตามหลักวิชาการก็สามารถทำได้ แต่ในทางปฏิบัติจะทำให้เด็กขาดความตั้งใจ ไม่เอาใจใส่และเอาจริงเอาจังกับการสอบ O-NET เพราะไม่ได้มีผลต่อการเรียน นอกจากนี้หากเด็ก ป.6 ไม่ได้สอบ O-NET ทุกคน ก็จะส่งผลกระทบต่อการคัดเลือกนักเรียนเข้าศึกษาต่อในระดับชั้น ม.1 ด้วย เพราะขณะนี้โรงเรียนกำหนดให้คะแนน O-NET เป็นองค์ประกอบหนึ่งในการคัดเลือกเด็กเข้าเรียนต่อในชั้น ม.1 ดังนั้นจึงคิดว่าควรจะใช้คะแนน O-NET ให้เกิดประโยชน์ต่อไปไม่ใช่เดินถอยหลัง

นายประวิต เอราวรรณ์ คณบดีคณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ในฐานะประธานสภาคณบดีคณะครุศาสตร์/ศึกษาศาสตร์แห่งประเทศไทย กลุ่ม 16 สถาบันเก่าแก่ กล่าวว่า เห็นด้วยอย่างยิ่งที่จะให้ยกเลิกการ ใช้ O-NET มากำกับการจบการศึกษาชั้น ป 6 เพราะปรัชญาการศึกษาระดับประถม คือการสร้างพื้นฐานความเป็นมนุษย์ ดังนั้นถ้าเอาวิชาการไปใส่เด็กมากเกินไป ก็จะเกิดเครียดและเบื่อการเรียนในอนาคต

ที่มา.สยามรัฐ
///////////////////////////////////////////////////////

ลงทุนตลาดอาเซียน..ต้องรู้จริง !!??

เซเว่น อีเลฟเว่น หรือ 7-11 กลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตคนไทยไปแล้ว ไม่มีใครไม่เคยเข้า 7-11 นอกจากประเทศไทยแล้ว 7-11 สนใจเข้าไป เจาะตลาดอาเซียน โดยเฉพาะเพื่อนบ้านที่มีชายแดนติดกับไทย

วิเชียร จึงวิโรจน์ รองกรรมการผู้จัดการกลุ่มธุรกิจการตลาดและการจัดจำหน่าย บมจ.ซีพี ออลล์ เทียวไล้เทียวขื่อ เข้าประเทศนั้นออกประเทศนี้นับครั้งไม่ถ้วน เพื่อศึกษาพฤติกรรมและเตรียมพร้อมหากวันหนึ่งต้องรุกเข้าไปในกลุ่มประเทศอาเซียนจริงๆ

+ เวียดนามตลาดในฝัน

แม้ 7-11 จะยิ่งใหญ่ในเมืองไทยมากเพียงใด หากนั่นไม่ใช่คำตอบแห่งความสำเร็จ เพราะแผนการตลาดวันนี้ต้องเปลี่ยนแปลง ไม่ใช่แค่ขวานทอง แต่เป็นแผนที่ ทั้งอาเซียน

"ประธานธนินท์ เจียรวนนท์ บอกว่าตลาดคือโลกนี้ทั้งใบ ไม่ใช่ประเทศไทยเท่านั้น เรามีหน้าที่เสิร์ฟอาหารให้กับคนทั้งโลก" คุณวิเชียรเท้าความ ก่อนจะอธิบายต่อว่า

"ตอนผมไปเซอร์เวย์ตลาดในเวียดนาม เห็นมอเตอร์ไซค์วิ่งเต็มถนน ต้องใช้คำว่ามากเหมือนปลวก มอเตอร์ไซค์เยอะมาก รถยนต์กลายเป็นของประหลาดไปเลย สิ่งที่เห็นหมายความว่าพฤติกรรมของเขา ไม่เหมือนเราแน่นอน ถ้าจะไปบุกตลาดเขาจะต้องทำยังไงบ้าง 7-11 เรามีข้อจำกัดที่ได้ไลเซ่นส์ เฉพาะประเทศไทยเท่านั้น นอกดินแดนไทย เราไม่สามารถ เปิดร้าน 7-11 ได้ แต่ผมก็ยังไปเซอร์เวย์เพราะว่าถ้า วันหนึ่งเจ้าของลิขสิทธิ์ 7-11 เขาอนุญาตให้เปิดแฟรนไชส์ในอาเซียน ต้องเป็นเราเท่านั้นที่ไปเปิดคงไม่ใช่ 7-11 ของญี่ปุ่นหรือเกาหลีที่จะมาทำแถบนี้"

คุณวิเชียร กล่าวว่า อาเซียนถือเป็นนิวมาร์เก็ต เป็นตลาดใกล้ตัวที่เรายังไม่เคยสัมผัส เป็นคนที่เราคุ้นเคย แต่เราไม่เคยเข้าไปค้าขายกับเขา ทำยังไงที่จะเข้าไปสู่ตลาดใหม่เหล่านี้ได้ ถ้าเอาตามทฤษฎี แน่นอนเราต้องเรียนรู้ภาพใหญ่ก่อน คือหาข้อมูลที่มีบันทึกไว้หลายแหล่ง แม้กระทั่งการไปหัดขี่มอเตอร์ไซค์ในเวียดนาม เพื่อสัมผัสว่าสินค้าของเรามีโอกาสเข้าไปได้ยังไง แล้วพิจารณาว่ากฎหมายกฎระเบียบ เปิดโอกาสให้ทำได้หรือไม่

"เราไปเจอที่เวียดนามถ้าจะเปิด 7-11 จำนวน 720 สาขา ต้องทำการขอ อนุญาตเปิดธุรกิจ 720 ครั้งต่อปี เพราะเขานับ 1 ต่อ 1 ถามว่าในทางปฏิบัติเราจะเปิดได้หรือเปล่า เปิดได้ แต่ปีหนึ่งอาจจะเปิดได้แค่ 2-3 สาขา เมื่อกฎหมายไม่อำนวยความสะดวก เรา ต้องวิเคราะห์โอกาสใหม่ เพราะสิ่งที่ต้องระวังอย่างยิ่งคือต้องไม่มีคำนี้ออกจากปากว่า "ถ้ารู้อย่างนี้ไม่มาดีกว่า"

การเข้าสู่ตลาดใหม่โดยเฉพาะในต่างประเทศคือการหาตลาดเพิ่มขึ้น รายได้เพิ่มขึ้น หรือค่าแรงที่ต่ำลง ทำให้เกิดโอกาสและกำไรที่มากขึ้น 7-11 มองว่าปัจจุบัน ในเมืองไทยมี 7,772 สาขา ซึ่งเพิ่มขึ้นทุกวัน ในอนาคตอีก 4-5 ปีจะมีประมาณ 10,000 สาขา ถามว่าถ้าเปิดไปเรื่อยๆ แบบไม่จำกัดได้ไหม ไม่ได้ เพราะถ้าแข่งขันกันมากก็ต้องมีการปิดตัว แต่การเข้าไปในตลาดใหม่ต้องวิเคราะห์ให้ชัดว่าอะไรทำได้ อะไรทำไม่ได้ ตกไม่ได้ ถ้าตกข้อนี้ถือว่าสอบตกตั้งแต่แรก เราไปเซอร์เวย์ทั้งที่ สปป.ลาว เวียดนาม กัมพูชา จ้างบริษัทท้องถิ่นหาข้อมูลเบื้องต้นให้ เก็บข้อมูลเรื่อยๆ จนกว่าจะพร้อมและได้ไลเซ่นส์แล้วจึงจะไป

+ ลาวตลาดแห่งความท้าทาย

พฤติกรรมคนลาวชอบสินค้าไทยอยู่แล้ว ปัจจุบันเขาก็ข้ามมาซื้อจากฝั่งไทย สินค้าเมดอินไทยแลนด์ขายได้แน่นอน ตอนผมเซอร์เวย์ไปทางเวียงจันทน์พบว่าเขา มีร้านคล้ายกับ 7-11 เป็นมินิมาร์ต แต่ผมว่าเขาข้ามชายแดนมาดูเรา เพราะเราสร้างแบบไหนเขาสร้างแบบ นั้น แตกต่างกันแค่สีเท่านั้น ทำเลหนึ่งที่เราไปศึกษาคือปั๊ม ปตท. ในลาว ว่าเราสามารถเปิดร้าน 7-11 ใน ปตท. ได้ไหม ผมเซอร์เวย์จากเวียงจันทน์-สุวรรณเขต-ปากเซ ระยะทาง 700 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทาง 2 วันเพราะว่าสภาพถนนค่อนข้างแย่ มีสัตว์ทุกชนิดเดินไปเดินมา การสำรวจครั้งนั้นเราพบว่าสามารถเปิดร้าน 7-11 ได้ แต่ไม่มาก อีโคโนมีออฟสเกลไม่ได้ เราก็เลยได้คำตอบว่ารู้อย่างนี้อย่าเพิ่งไปดีกว่า นี่คือประโยชน์ของการสำรวจ

อย่างไรก็ตาม คุณวิเชียรปิดท้ายว่า การไปหรือไม่ ไปลงทุนของ 7-11 ไม่เกี่ยวกับธุรกิจประเภทอื่น เพราะ การลงทุนในอาเซียนเป็นเรื่องของ "โอกาสใคร โอกาสมัน" ยกตัวอย่างในเวียดนามไม่มีร้านคอนวีเนี่ยนสโตร์ แต่ห้องแถวค่าเช่าแพงมาก และสร้างกันอย่างไม่เป็นระเบียบ บางห้องสูง บางห้องต่ำ การเข้าไปเปิด 7-11 อาจไม่ประสบความสำเร็จเท่ากับเปิดร้านขายกล้วยแขก เหมือนแถวนางเลิ้งที่วิ่งขายตามรถ ขายดีแน่ เพราะที่เวียดนามมอเตอร์ไซค์วิ่งกันเต็มถนน อาจจะขายง่ายกว่าแถวนางเลิ้งอีก

"ถึงแม้ท่านจะเป็น SMEs ก็สามารถขยายขอบ เขตเข้าไปในอาเซียนได้ถ้ารู้ลึก รู้จริง สิ่งหนึ่งที่อยาก ฝากคือจะไปยังไงให้กลับมาแล้วรอด ไม่เจ็บตัว"

ที่มา.สยามธุรกิจ
//////////////////////////////////////////////////////////

วสันต์ : ฟันธง จำนำข้าว ขัด รธน !!??

วสันต์. ฟันธงรัฐบาลขัดรัฐธรรมนูญ ไม่แถลงผลงาน-จำนำข้าว

สถาบันพัฒนาภาวะผู้นำการปกครองท้องถิ่น จัดเสวนาเรื่อง "ระบบนิติรัฐกับทางรอดของประเทศไทย" และการอภิปรายร่วมหัวข้อ "วิพากษ์กฎหมายไทยเป็นที่พึ่งของประชาชนได้หรือไม่" ที่สถาบันวิจัยจุฬาภรณ์

นายวสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ อดีตประธานศาลรัฐธรรมนูญและตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ บรรยายเรื่อง "ระบบนิติรัฐกับทางรอดของประเทศไทย" ว่า นิติรัฐหมายถึง รัฐที่มีการปกครองโดยยึดหลักกฎหมาย การชนะการเลือกตั้ง ไม่ได้แปลว่าให้มาบริหารประเทศอย่างเดียว เพราะแม้แต่การบริหารท้องถิ่น อบต.(องค์การบริหารส่วนตำบล) ล้วนแต่ต้องบริหารตามกฎหมายทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นกฎหมายรัฐธรรมนูญ พ.ร.บ. และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เปรียบเทียบองค์กรเอกชนก็เช่นเดียวกัน ที่ต้องบริหารตามข้อบังคับของบริษัท หากมีปัญหาเรื่องข้อบังคับก็ต้องแก้ไข แต่บริษัทแก้ไม่ยาก แค่ประชุมผู้ถือหุ้น ทนายความ แต่ถ้าเป็นการบริหารองค์กรของรัฐ เทศบาล อบต. รวมถึงรัฐบาลจะต้องบริหารตามกฎหมาย โดยเฉพาะกฎหมายรัฐธรรมนูญ

รัฐบาลจำเป็นต้องมีมือกฎหมายที่เก่ง มีความรู้ และแก้ปัญหาได้ดีไว้ใกล้ตัว นักกฎหมายที่เก่งควรรู้กฎหมายและผูกโยงกฎหมายหลายฉบับที่เชื่อมโยงกันเพื่อให้บริหารถูกต้อง และเพื่อใช้กฎหมายให้เป็นประโยชน์ต่อการบริหารประเทศ ไม่ใช่เอาช่องโหว่ของกฎหมายมาหาประโยชน์ใส่ตัวและพวกพ้อง แต่ต้องบริหารตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ ไม่ใช่บริหารตามอำเภอใจ

นายวสันต์ กล่าวอีกว่า องค์กรศาลมาตามตัวบทกฎหมายที่สภาออกมา สภาต้องการให้เป็นอย่างไรก็ออกมา แต่ประชาชนต้องยอมรับ ไม่อย่างนั้นมีปัญหา ที่องค์กรตุลาการอยู่มาได้ทุกวันนี้ เพราะความเชื่อมั่นที่สังคมให้ ไม่ใช่ว่าตุลาการดีทุกคน เสียก็มี ไล่ออก ปลดออก ก็มี เพียงแต่คนเลวยังน้อยจึงทำให้อยู่กันได้

ทั้งนี้ ศาลรัฐธรรมนูญเป็นองค์กรที่ตั้งขึ้นตามรัฐธรรมนูญปี 2540 หน้าที่หลัก คือ ตัดสินว่ากฎหมายฉบับนี้ขัดหรือไม่ การตัดสินของศาลอาจมีคนที่พอใจและไม่พอใจ ฝ่ายที่ไม่พอใจจะบอกว่าศาลไม่ยุติธรรมบ้าง ลำเอียงบ้าง แต่ตนคิดว่าคิดไปเองมากกว่า เพราะกว่าจะตัดสินแต่ละเรื่อง พวกเราคิดกันนาน และเถียงกันมากพอสมควร

"เรื่องการกระทำที่อาจขัดต่อมาตรา 68 ถือเป็นอำนาจที่สามารถวินิจฉัยได้ แต่ขนาดเป็นอำนาจศาลยังงอแงกันว่า ต้องผ่านอัยการ ตกลงเป็นสิทธิประชาชนหรืออัยการ เพราะในมาตรา 68 เป็นสิทธิเสรีของประชาชนชาวไทย พอรับคำร้องก็จะตายกันให้ได้ ทั้งเวลาที่รับฟ้องมีการยกคำร้องบ่อยไป เช่น การแก้ไขมาตรา 291 แล้วมางอแงว่าจะโหวตวาระ 3 ได้หรือไม่ ก็ไปดูกันเอง เก่งๆ กันทั้งนั้น"

"ในการตัดสินไม่สามารถทำให้ทั้งสองฝ่ายพอใจได้ พอผลตัดสินออกมาฝ่ายที่ไม่พอใจก็มีการพูดว่าสองมาตรฐาน ไม่ยุติธรรม ถ้าเนื้อหาเหมือนกันหมดและตัดสินออกมาคนละแบบ แบบนั้นถึงแปลว่าสองมาตรฐาน แต่ต้องเนื้อหาเหมือนกันเป๊ะ แต่ถ้าเนื้อหาไม่เหมือนเดิม มีอะไรเปลี่ยนแปลงและตัดสินไม่เหมือนเดิม ไม่ได้แปลว่าสองมาตรฐาน"

นายวสันต์ กล่าวอีกว่า ผมฟันธง ตอนนี้รัฐบาลทำขัดรัฐธรรมนูญแล้ว 2 เรื่อง แต่ไม่มีกฎหมายให้ศาลรัฐธรรมนูญก้าวล่วงไปวินิจฉัย คือ ไม่แถลงผลงานปีละ 1 ครั้งต่อรัฐสภา ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 75 วรรคสองที่กำหนดไว้ ตรงนี้ไม่เหมือนศาลรัฐธรรมนูญของเยอรมัน ที่มีอำนาจจะเข้าไปตรวจสอบ เรียกไต่สวน หรือออกคำสั่งห้ามได้ โดยที่ไม่ต้องมีคนร้องหากเห็นว่ารัฐบาลหรือรัฐสภากำลังทำผิด

นอกจากนี้ ที่น่าหงุดหงิดคือ โครงการบริหารจัดการน้ำ 3.5 แสนล้านบาท เรื่องนี้ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยตั้งแต่เดือนก.พ.2555 เมื่อครั้งขอออกเป็น พ.ร.ก.ถือว่าไม่ขัดรัฐธรรมนูญ วันนี้พ.ร.ก.ดังกล่าวออกเป็น พ.ร.บ.แล้ว โดยมาตรา 3 เขียนให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหาน้ำท่วม และในวรรคหนึ่งกำหนดให้การกู้ต้องทำให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 30 มิ.ย.2556 แต่จนถึงขณะนี้มีคำยืนยันจากรองปลัดกระทรวงการคลังว่า ไปเซ็นสัญญากับ 4 ธนาคารแล้ว

มีคำถามว่าการกู้เงินตามพ.ร.บ.กำหนดให้ต้องทำให้แล้วเสร็จภายในเดือน มิ.ย.2556 การเซ็นสัญญากับธนาคารแล้ว ถือว่าเป็นกู้หรือยัง ซึ่งตามกฎหมายแพ่งและพาณิชย์เขียนไว้ว่าสัญญานี้จะบริบูรณ์ เมื่อมีการส่งมอบทรัพย์สินที่ยืม แต่ตอนนี้ถ้าเป็นไปตามที่รองปลัดกระทรวงการคลังบอกว่า ยังไม่มีการส่งมอบเงิน จึงเท่ากับว่ายังไม่มีการกู้เงินเกิดขึ้น ปัญหาคือ ถ้าหลังจากเดือนมิ.ย.แล้ว ธนาคารจะเสี่ยงกล้าให้เงินกับรัฐหรือไม่ เพราะถ้ายึดตามกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ การเสี่ยงให้เงินของธนาคารก็อาจนำมาสู่การไม่ได้รับเงินต้นคืนและดอกเบี้ย ขณะเดียวกัน รัฐจะเข้าข่ายทำผิดกฎหมาย

นายวสันต์ กล่าวอีกว่า เป็นห่วงบริษัทอิตาเลี่ยนไทย และเค วอเตอร์ ไม่ทราบว่าเกาหลีมีแห้วขายไหม แนะนำว่าหากรัฐทวงเงินกู้ตามสัญญาจากธนาคาร วิธีที่ดีที่สุดสำหรับธนาคารคือไม่ส่งมอบเงินให้กับกระทรวงการคลัง แต่ให้กระทรวงการคลังไปฟ้องแพ่งเอา เพราะถ้าให้ก็ไม่แน่ว่าจะได้เงินคืน นี่คือการไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย

ถามว่า ปีครึ่งที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้ มัวไปทำอะไรกันอยู่ มัวแต่ไปเล่นละครพญาเม็งรายหรือไม่ มีคนไปฟ้องศาลปกครอง ศาลปกครองก็มีคำสั่งว่าจะต้องทำรายงานวิจัยศึกษาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม ก็ไปด่าศาลว่า ถ้าน้ำท่วมศาลปกครองต้องรับผิดชอบ ผมบอกได้เลยว่า ถ้าตอนนี้น้ำท่วมขึ้นมา คนที่รับผิดชอบ คือรัฐบาลอย่างเดียว เพราะปีกว่าๆ ไม่ทำอะไรเลย ทั้งที่ความจริงบ้านเรามีกฎหมายสิ่งแวดล้อมที่กำหนดให้ต้องทำประชาพิจารณ์ในโครงการที่มีผลกระทบกับสิ่งแวดล้อมตั้งแต่ปี 2535 และมีรัฐธรรมนูญปี 2550 มาตรา 67 กำหนดว่าโครงการที่มีผลกระทบกับชุมชนต้องมีการรับฟังความคิดเห็นของชุมชนและผู้มีส่วนได้เสีย

ซึ่งกรณีก็โยงไปถึงโครงการรถไฟความเร็วสูงที่จะมีการกู้เงินตาม พ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้านบาท ถามว่า วันนี้จะทำรถไฟความเร็วสูงจากกรุงเทพฯ-เชียงใหม่ ต้องขุดลงใต้ดินผ่านอุทยานฯ ป่าสงวน และชุมชนไหนบ้าง รัฐก็ตอบไม่ได้ พูดอย่างเดียวจะเอาเงินกู้ โดยการกู้เงินเอามาทำโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานรัฐ ระบุเป็นโครงการ 7 ปี ถ้าเฉลี่ยรายปี จะต้องใช้งบประมาณปีละ 3 แสนล้านบาท ทำไมไม่กู้ผ่าน พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี คำตอบคือ ถ้าทำตามพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี การยื่นคำขอในแต่ละปี ต้องมีรายละเอียดที่ชัดเจน และจะถูกตรวจสอบได้ง่าย จึงเลี่ยงที่จะถูกตรวจสอบ ถือเป็นการขัดรัฐธรรมนูญตามมาตรา 169 และถ้าเรื่องนี้ผ่านไปได้ ต่อไปรัฐบาลจะไม่เลือกใช้การกู้ผ่านวิธีการงบประมาณแล้ว

นายวสันต์ กล่าวต่อว่า ส่วนอีกเรื่องที่ศาลรัฐธรรมนูญเห็นว่าผิด แต่ไม่มีอำนาจวินิจฉัยคือ โครงการรับจำนำข้าว เพราะผิดรัฐธรรมนูญมาตรา 84 (5) ที่บัญญัติเรื่องแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ ว่า นโยบายที่รัฐกำหนดขึ้นต้องให้มีการแข่งขันเสรีเป็นธรรม ป้องกันการผูกขาด ตัดตอน แต่โครงการรับจำนำข้าวที่ทำกันอยู่ถือว่ารัฐตัดตอนเสียเอง เพราะแท้จริงแล้วไม่ใช่การรับจำนำ แต่เป็นการรับซื้อข้าวทุกเมล็ดจากชาวนา กลายเป็นโรงสีของรัฐเท่านั้นที่มีสิทธิได้ซื้อ แต่โรงสีเอกชนบางรายจะไม่ได้สิทธิรับซื้อ ขัดกับหลักของการรับจำนำ เพราะการจำนำคือ การเอาทรัพย์ไปประกันหนี้กับเจ้าหนี้ เมื่อถึงเวลาหนึ่งต้องมีการไถ่ถอนหรือมีการต่อรอง แต่นี่กลับเป็นการตั้งโต๊ะรับซื้อทั้งหมด ถือเป็นการโกหกตั้งแต่ต้น

นายวสันต์ กล่าวด้วยว่า สำหรับการออกกฎหมายนิรโทษกรรม มีประเด็นอยู่ 3 มาตรา คือ 1.มาตรา 3 วรรคสอง เรื่องหลักนิติธรรม เช่น คดีที่เกิดพิพากษามาแล้ว อยู่ๆ จะยกเลิกมาพิจารณาใหม่ไม่ได้ 2.การออกกฎหมายต้องใช้บังคับเป็นการทั่วไป จะบังคับใช้กับคนเดียวๆ หรือบางกลุ่มไม่ได้ เพราะขัดรัฐธรรมนูญในมาตรา 29 และ 3.ในมาตรา 30 กำหนดไว้ว่า กฎหมายต้องไม่เลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรม โดยเฉพาะสถานะของบุคคล ฟันธงเลยผู้ใช้จ้างวาน ผู้โฆษณาก่อให้เกิดความผิด ถ้าจะมีการนิรโทษกรรมจะต้องไปทั้งยวง ดังนั้น การนิรโทษกรรมจะยกเว้นให้ใครคนใดคนหนึ่งไม่ได้ หากออกกฎหมายแล้วยกเว้นแกนนำจะขัดรัฐธรรมนูญมาตรา 30 เรื่องนี้หากจะวินิจฉัยไม่ยากเลย

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
/////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันเสาร์ที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2556

มาดูโซเชียลป่วน.. หาผัวให้ว่อน หวั่นโดนเก็บภาษี คนโสด !!??


ตื่นตัวสุดๆ !! หลังมีกระแสข่าว "เก็บภาษีคนโสด" ชาวโซเชียลเน็ตเวิร์คไม่รอช้า ทำภาพการ์ตูนล้อเลียนสุดฮา "ต้องรีบมีผัว เพราะกลัวภาษี" มาให้ได้ฮากันกระจาย
สืบเนื่องจากกรณีที่มีข่าวแพร่สะพัดออกมาว่ารัฐบาลจะมีการประกาศเก็บภาษีคนโสด เพื่อลดภาระงบประมาณ การใช้สวัสดิการดูแลของภาครัฐในอนาคต ทำให้ชาวโซเชียลเน็ตเวิร์ค ตื่นตัวกันยกใหญ่ โดยการทำภาพการ์ตูนล้อเลียน เช่น "ต้องรีบมีผัว เพราะกลัวภาษี" โดยล่าสุดทางอธิการบดีมหาวิทยาลัยรังสิต ได้ออกมาปฏิเสธแล้วโดย ชี้แจงว่าเรื่องดังกล่าวเป็นแค่แนวคิดเท่านั้น




ที่มา.ทีนิวส์

////////////////////////////////////////////////////////////////////