--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันอังคารที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2556

นายกฯ ชูยุทธศาสตร์ ชาติเหนือพรรค ต้านเกมป่วนในสภา !!??

โดย. นพคุณ ศิลาเณร

เอาเป็นว่า "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" ผู้ถูกปรามาสว่า มีอายุสมองและขนาดจิตใจ ทางการเมืองเพียง 49 วัน ได้เป็น "นายกรัฐมนตรี" ย่างเข้าปีที่ 3 แล้ว โดยพรรค ประชาธิปัตย์ที่เต็มไปด้วยนักการเมืองเขี้ยวลากดินยังโค่นเธอไม่ได้

ภาพลักษณ์รัฐบาลและพรรคเพื่อไทยยามนี้ ถูกมองผ่านความมุ่งมั่นทำงานของ "นายกรัฐมนตรี" ว่า สดใส น่ารัก ขยันทำงาน และต้องการให้บ้านเมืองเกิดความสงบด้วยแนวทางการเจรจาแก้ไขปัญหาแบบ "ชาติเหนือพรรค" ส่วนพรรคประชาธิปัตย์กับฝ่ายแค้น พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ไม่ให้ความร่วมมือ เอาแต่เดินเกมป่วน ตีรวนรัฐบาลทุกรูปแบบทั้งในสภาและเตรียมก่อหวอดข้างถนน

จุดเด่นของยิ่งลักษณ์อยู่ที่ "กลยุทธ์" ทำงาน เธอเน้นภารกิจแบบ "ชาติเหนือพรรค" มากกว่าเอาใจฐานเสียงจากแนวร่วมประชาธิปไตยไล่เผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ไม่เปิดจุดอ่อนให้พรรคประชาธิปัตย์นำมาล่อเป้าเล่นงานได้ถนัดนัก การโจมตีส่วนมากก่ออาการ "ตีรวนแบบนักเลงคุมซอย" โดยวนเวียนอยู่กับการป่วนแนวทางปฏิรูปการเมือง, การพิจารณาร่างกฎหมายงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2557 จำนวน 2.5 ล้านล้านบาท ในวาระสอง ต่อต้านร่างกฎหมายนิรโทษกรรม ในขั้น "คณะกรรมาธิการ" ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญรายมาตรา และกฎหมายกู้เงิน 2 ล้านล้านบาท

ประเด็นทั้งหมดนั้น ยังไม่ร้อนแรงพอโค่นรัฐบาลได้ เพราะการโจมตีจากพรรคประชาธิปัตย์อยู่ในระดับอ่อน ไร้สาระ ทำได้อย่างมากแค่แสดงอารมณ์ชิงชัง ส่วนกลุ่มกองทัพประชาชนโค่นระบอบทักษิณที่ปักหลักชุมนุมอยู่สวนลุมพีนี แม้มีกองทัพธรรมจากสำนักสันติอโศกเข้าร่วมด้วย แต่แทบไร้ความสนใจ ไม่มีข่าว มีผู้ชุมนุมค่อนข้างเบาบาง แค่หลักร้อยคนต่อวัน

รวมความแล้ว รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ยัง ได้เปรียบทางการเมืองเหนือพรรคประชาธิปัตย์อยู่หลายขุม เพราะพลังต่อต้านรัฐบาลเปิดฉากเล่นกันในสภามากกว่าข้างถนน พรรคประชาธิปัตย์ใช้ยุทธวิธีเดิมๆ คือ ตีรวนทุกรูปแบบจึงขาดความสนใจจาก "กลุ่มกลางๆ" มาเป็นพลังหนุนช่วยการเชื่อมประสานพลังชุมนุมนอกสภาเป็นเพียงสะท้อนอาการ "เกาะเกี่ยวแนวร่วม" มากกว่าผนึกกำลังเพื่อรุกไล่ครั้งใหญ่

+ ความขัดแย้งเริ่มผ่อนคลาย

พลังกดดันนอกสภาทั้งกองทัพประชาชนฯ กลุ่มหน้ากากขาว และพรรคประชาธิปัตย์ ยังไม่สามารถโค่นล้มรัฐบาล ได้ ทำได้เพียงเสียงขู่ เพราะกลุ่มคนชั้นกลางใน กทม.ยังนิ่งเฉย ประกอบกับเหตุการณ์จลาจลในอียิปต์มีส่วนสำคัญทำให้ "คนชั้นกลาง" หวาดหวั่นกับความรุนแรงที่จะเกิดขึ้นในไทย

เป้าหมายการต่อต้านข้างถนน ยังผูกปมอยู่ที่ "ทักษิณ-กฎหมายนิรโทษกรรม" แต่คนชั้นกลาง และนักธุรกิจสนับสนุนกฎหมายกู้เงิน 2 ล้านล้านบาท เพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานครั้งใหญ่ของประเทศ ส่วนปัญหาคอร์รัปชั่นยังพยายามงมเอาจากโครงการรับจำนำข้าว โดยฝ่ายต่อต้านพยายามลากความสัมพันธ์ว่า "ขาดทุน=การโกง" ซึ่งอยู่ในขั้นตรวจสอบของคณะกรรมการปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) แต่ไม่เป็นชิ้นเป็นอัน

เหตุการณ์ความรุนแรงในประเทศอียิปต์ ประชาชนถูกปราบและเสียชีวิตกว่า 800 ศพ มีส่วน "ลดทอน" อารมณ์ความรุนแรงทางการเมืองของไทยได้อยู่ไม่น้อย เงื่อนไขการปะทะกันทางการเมืองในไทยมีความแตกต่างจากอียิปต์อยู่บ้าง แต่ส่วนใหญ่ปัจจัยความขัดแย้งคล้ายกัน

ไทยในปัจจุบันเป็นความขัดแย้งที่ก่อหวอดขึ้นระหว่างพรรคการเมืองในระบบรัฐสภา พรรคประชาธิปัตย์พยายามใช้มวลชนนอกสภามากดดันให้เกิดความได้เปรียบทางการเมือง แต่พลังเหล่านั้นกลับมีพื้นฐานอำนาจจากกลุ่ม "อำนาจเก่า" ที่ไม่พอใจ "ทักษิณ"

พรรคประชาธิปัตย์พยายามลากปัญหาการเมืองให้เป็นปัญหาทักษิณ แต่ดุลอำนาจทางทหารยังไม่ขานรับถึงที่สุดดุลอำนาจทาง "ทหาร" อยู่ในอาการ "นิ่ง" ไร้การเลือกข้าง นั่นเป็นเพราะเงื่อนไข "อำนาจนำในสังคม" อยู่ในช่วงการเปลี่ยนผ่าน

ส่วนอียิปต์ ปัญหาทางการเมืองเป็นความขัดแย้งกันระหว่างพรรคการเมืองร่วมมือประชาชนเผชิญหน้ากับกลุ่มอำนาจทหารที่สนับสนุนรัฐบาลชั่วคราว ด้วยเงื่อนไขของทหารจึงทำให้เกิดการชี้ขาดทางอำนาจ แล้วนำไปสู่การปะทะกับประชาชนอย่างนองเลือด

สรุปแล้ว ปัจจัยอำนาจทหารทำให้ความขัดแย้งทางการเมืองเกิดความแตกต่างกันระหว่างไทยกับอียิปต์ และเหตุการณ์ความรุนแรงในอียิปต์ย่อมเป็นบทเรียนการเผชิญหน้าทางการเมืองของไทย พร้อมๆ กัน "เหนี่ยวรั้ง" ชนชั้นกลางให้เกิด "สติ" ในปัญหาความขัดแย้งมากขึ้น

สิ่งน่าสนใจคือ ดุลอำนาจในสังคมได้ส่อสัญญาณแปลกๆ ขึ้น และมีความหมายถึง "มิติหยุดสู้รบ" แม้เป็นเพียงมิติ "สลัวๆ" ก็ตาม แต่สะท้อนถึงปัญหาความขัดแย้งของสังคมในระยะเปลี่ยนผ่านอำนาจเริ่มผ่อนคลายมากขึ้น

ภาพสะท้อนนี้เริ่มปรากฏขึ้นในกระบวนการยุติธรรมที่สัมพันธ์กับปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองในอดีต โดยการพิจารณาของศาลอุทธรณ์หลายคดีมีคำวินิจฉัยออกมาแบบให้แล้วๆ กันไป เสื้อแดงและเสื้อเหลืองได้ประโยชน์ทุกฝ่าย

แปลความอีกนัยยะว่า ดุลอำนาจสังคมเกิดการเปลี่ยนขึ้น ย่อมทำให้พรรคประชาธิปัตย์เสียเปรียบราวกับถูก "ปล่อยเกาะ" การประสานแนวร่วมนอกสภาก่อหวอดข้างถนน มีแนวโน้มไร้การสนับสนุนจากดุลอำนาจในสังคม

สรุปคือ สถานการณ์รัฐบาลได้เปรียบในเวทีรัฐสภา แม้พรรคประชาธิปัตย์เดินเกมตีรวน ป่วนรัฐบาลอย่างขาดสติ เท่ากับเพิ่มให้ภาพลักษณ์รัฐบาลและนายกรัฐมนตรีดูดี มีภาพด้านบวกทางการเมืองมากขึ้น

+ องค์กรอิสระที่พึ่งอำนาจสุดท้าย

เบื้องหน้าความขัดแย้งทางการเมืองขณะนี้ เมื่อพิจารณาภาพปรากฏ เท่ากับรัฐบาล-พรรคเพื่อไทย -นปช.ขัดแย้ง เผชิญ หน้ากับพรรคประชาธิปัตย์และกลุ่มต่อต้านรัฐบาลข้างถนน แต่เนื้อแท้ความขัดแย้งยังเป็นการเผชิญหน้ากันระหว่าง "ทักษิณกับเครือข่ายอำนาจล้าหลังในสังคม" ดังนั้น รัฐบาล-พรรคเพื่อไทยจึงเป็น ภาพสะท้อนการต่อสู้ของฝ่ายทักษิณ และพรรคประชาธิปัตย์คือตัวแทนของเครือข่ายอำนาจนำล้าหลังที่ถูกเบียดไล่ออกจากการเมืองไปทุกขณะ

ในสถานการณ์ความขัดแย้งนี้ "อำนาจทหาร" ในปัจจุบันอยู่ในภาวะ "นิ่ง" ให้ความร่วมมือกับรัฐบาลในฐานะเป็นส่วนหนึ่งของเครื่องมือการทำงานภาย ใต้นโยบาย โดยรัฐบาลพยายามประนีประนอมกับทหาร เหตุการณ์พฤษภา 2553 ที่เกิดกระแส "เอาผิด" กับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กับนายสุเทพ เทือกสุบรรณ มากกว่าการเร่งรัดกระทำต่อ "ทหาร" ซึ่งเป็นผู้ปฏิบัติของ ศอฉ. ย่อมบอกท่าทีทหารได้ชัดเจน

แม้ดุลอำนาจทหารอยู่ในภาวะนิ่ง แต่การประนีประนอมที่เกิดขึ้นนั้น ทหาร "สบายใจ" กับยิ่งลักษณ์ เป็นการเฉพาะ โดยไม่ได้เอียงเข้าสู่พรรคเพื่อไทยหรือทักษิณ ดังนั้น ดุลอำนาจทางทหารภายใต้ การนำของยิ่งลักษณ์แล้ว รัฐบาลมีความได้เปรียบเหนือเครือข่ายอำนาจนำและพรรคประชาธิปัตย์

พรรคประชาธิปัตย์และเครือข่ายอำนาจนำมีดุลอำนาจสนับสนุนลดน้อยลง การปลุกพลังมวลชนนอกสภามีความหมายเพียงให้เกิด "การเผชิญหน้ารุนแรงแล้วไปวัดผลกันในวันข้างหน้า" ปัจจัยกดดันข้างถนนเพื่อเร่งใช้ "สถานการณ์รุนแรง" ให้เกิดพลังบีบอำนาจทหารให้เลือกข้าง รวมทั้งรองรับอำนาจกระบวน การยุติธรรมได้มีทางออกกับแนวทางสนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์ ยังไม่เกิดมรรคผลดังหวังไว้

ขณะนี้พรรคประชาธิปัตย์กับแนวร่วมด้านมวลชน รวมทั้งกลุ่มพันธมิตรฯและ กองทัพประชาชนยังอ่อนแรง พลังที่มีน้ำหนักมากสุดคือ กระบวนการยุติธรรม และองค์กรอิสระ เช่น ป.ป.ช. ผู้ตรวจการแผ่น ดิน ศาลรัฐธรรมนูญ ศาลปกครอง พลังเหล่านี้ล้วนเป็นที่พึ่งทางอำนาจ "สุดท้าย" ที่เหลืออยู่ของพรรคประชาธิปัตย์

ด้วยเหตุนี้ การต่อสู้ทางการเมืองในอนาคตจึงเป็นการพยายามสร้างแนวร่วมใน "องค์กรอิสระ" ของแต่ละฝ่ายพรรคประชาธิปัตย์มุ่งหวังแรงกดดันจากเครือข่ายอำนาจเก่าช่วยบีบองค์กรอิสระให้มาเป็นพวก แต่ฝ่ายรัฐบาลกลับพยายามใช้เงื่อนไขสถานการณ์เปลี่ยนผ่านอำนาจและการแก้ไขรัฐธรรมนูญว่าด้วยที่มาของ "สมาชิกวุฒิสภา" ให้เกิดประโยชน์ เพื่อปลดปล่อยองค์กรอิสระออกจากฐานทางการเมือง แล้วอยู่ในภาวะนิ่งเหมือนทหาร

อุปสรรคของรัฐบาลอยู่ที่องค์กรอิสระ โดยเฉพาะ ป.ป.ช.มีภารกิจชี้เป็นชี้ตายทางการเมืองของยิ่งลักษณ์ หากนายกรัฐมนตรีพลาดถูก ป.ป.ช. หรือศาลรัฐธรรมนูญเล่นงาน นั่นหมายถึง ดุลอำนาจทหารมีโอกาสเปลี่ยนแปลงได้ แม้มีนายกรัฐมนตรีใหม่เข้าแทนที่ยิ่งลักษณ์ แต่การสร้างมิตรภาพและประนีประนอมกับทหารย่อมเริ่มต้นใหม่ด้วยเช่นกัน

ปัญหาอยู่ที่ว่า รัฐบาล และพรรคเพื่อไทยจะประคับประคองภาพลักษณ์ที่ได้เปรียบในการทำงานแบบ "ชาติเหนือพรรค" เพื่อเผชิญหน้ากับการตีรวน ป่วนของพรรคประชาธิปัตย์อย่างมีความ "อดทน" ในระดับที่มากด้วยวุฒิภาวะทางการเมืองในระบบประชาธิปไตยได้มากน้อยเพียงใด

+ ทำได้แค่ป่วนและตีรวน

พรรคประชาธิปัตย์ยังโหมแรงแบบ "บ้า-เพี้ยน" ตีรวน ป่วน ในสภามากขึ้น โดยใช้เงื่อนไขของการแปรญัตติกฎหมายนิรโทษกรรมขั้นคณะกรรมาธิการ แล้วตอกย้ำเชื่อมโยงไปสู่การช่วยทักษิณเพื่อทำลายความชอบธรรมของการช่วยเหลือประชาชน

ประเด็นของสภาปฏิรูปการเมืองจะเริ่มเปิดฉากขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมด้วยการประชุมแลกเปลี่ยนความเห็นครั้งแรกในช่วงต้นกันยายนเป็นอย่างช้า เวทีนี้ขาด ความร่วมมือจากพรรคประชาธิปัตย์และกลุ่มพันธมิตรฯ ดังนั้น การโจมตีสภาปฏิรูปการเมืองด้วยวิธีการลากไปผูกกับ "เวทีช่วยทักษิณกลับบ้าน" จะถูกนำมาป่วน และทำลายความน่าเชื่อถือ

การสร้างเวทีปฏิรูปการเมือง รหัสการทำลายของพรรคประชาธิปัตย์ยังเน้น การโฆษณาว่า เป็น "เวทีละครการเมือง" หรือสภาปาหี่ เพื่อทำลายความน่าเชื่อถือในภารกิจ "ชาติเหนือพรรค" ของรัฐบาลยิ่งลักษณ์

แนวโน้มพรรคประชาธิปัตย์จะใช้วิธีการโฆษณาชวนเชื่อด้วยการเจรจากับกลุ่มพันธมิตรฯเพื่อขยายผลการเดินเกมพลังมวลชนข้างถนน สถานการณ์กลุ่มมวลชน ต่อต้านที่สวนลุมพีนียังไร้เป้าหมาย ขาดพลังสนับสนุน กลุ่มนี้ชุมนุมกันไปเป็นวันๆ เพราะคาดหวังจะมีความเติบใหญ่จากปัจจัยกลุ่มพันธมิตรฯมาสมทบ แต่เงื่อนไขให้ "ส.ส.ลาออกยกพรรค" ยังเป็นขวากหนามการจับมือกับประชาธิปัตย์เพื่อออกมาร่วมต่อสู้ข้างถนน

สิ่งสำคัญอยู่ที่การตัดสินใจของกลุ่มพันธมิตรฯว่า จะลดทอนเงื่อนไขในการเคลื่อนมวลชนหรือไม่ เพราะเมื่อไร้กลุ่มพันธมิตรฯแล้ว แนวโน้มบ่งบอกว่า พรรคประชาธิปัตย์ทำได้แค่โวยวาย ตีรวน ป่วนในสภา พยายามใช้ปากลากโยง ผูกปมการเมืองทำลาย "ยิ่งลักษณ์-ทักษิณ" จนพันรอบตัวเองราวกับลิงแก้แหยากจะดิ้นหลุด

ที่มา.สยามธุรกิจ
///////////////////////////////////////////////////////

วันจันทร์ที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2556

โต้ง-อาคม ยืนยัน ศก.ไทยไม่ถดถอย !!??



กิตติรัตน์-อาคม ยืนยันหนักแน่น!!! เศรษฐกิจไทยยังไม่เข้าสู่ภาวะถดถอย มั่นใจเงินบาทอ่อนค่าส่งผลดีต่อตัวเลขการส่งออก ลุยลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน พัฒนาต่อยอดสินค้า

นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง  รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง  กล่าวในรายการ  รัฐบาลยิ่งลักษณ์  พบประชาชน   ยืนยัน  ถึงภาวะเศรษฐกิจของไทยในขณะนี้ว่ายังไม่เข้าสู่ภาวะถดถอย  มั่นใจ  เงินบาทอ่อนค่าส่งผลดีต่อตัวเลขการส่งออก  เดินหน้าลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน  ด้านนายอาคม  เติมพิทยาไพสิฐ  เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์) กล่าวว่า ภาวะเศรษฐกิจอยู่ระหว่างการปรับสมดุล โดยปัจจัยที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจมากขึ้นมาจากการบริโภคในประเทศ  หลังจากมีการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำไปแล้ว  ขณะนี้อยู่ระหว่างการปรับเปลี่ยนเพื่อเพิ่มคุณภาพบุคลากร  การพัฒนาต่อยอดสินค้า

พิธีกร  :  ท่านผู้ชมหลายๆ คนเป็นห่วงว่า  ภาวะเศรษฐกิจไทยกำลังเข้าสู่ภาวะถดถอย  เป็นห่วงว่าตัวเลขเศรษฐกิจในช่วงที่ผ่านมาลดลงอย่างต่อเนื่อง 2 ไตรมาส  ขณะที่สำนักข่าว BBC ก็รายงานว่า  ประเทศไทยเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยแล้ว ถ้ามองกันจริงๆ ทั้งเรื่องของการส่งออก  การท่องเที่ยว  การบริโภค  การลงทุน  เครื่องยนต์แต่ละตัวเป็นอย่างไร  ต้องเรียนถามท่านรองนายกฯว่า  แท้จริงแล้วเนื้อเศรษฐกิจเป็นอย่างไรบ้างคะ

รองนายกฯกิตติรัตน์  :  ก็ขอขยายความคำว่า  เศรษฐกิจถดถอย  คำว่า  ถดถอย  แปลว่า  ไม่สามารถรักษาระดับเดิมและก็ลดลง  เพราะฉะนั้นถ้าพูดถึงอัตราการเติบโตก็ต้องบอกว่า  เป็นอัตราที่ติดลบถึงจะบอกว่าถดถอย  ผมเข้าใจว่า  การตีความตรงนี้ไปดูตัวเลขการขยายตัวทางเศรษฐกิจ  หรือว่าตัวเลขเศรษฐกิจไตรมาสที่ 2 คือหมายถึง  ช่วงเวลาเดือนเม.ย.- มิ.ย.ของปี 2556 เทียบกับไตรมาสที่ 1 ช่วงเดือนม.ค.- มี.ค. ปี 2556 หรือว่า  อาจจะอ้างถึงตัวเลขไตรมาสที่ 1 ของปีนี้นะครับ  เมื่อเทียบกับไตรมาสสุดท้ายของปีที่แล้ว

พิธีกร : คือเทียบไตรมาสต่อไตรมาสที่แล้ว

รองนายกฯกิตติรัตน์  :  ใช่ครับ  ซึ่งก็เห็นตัวเลขเป็นลบจริงนะครับ  แต่สำหรับผม  ผมคิดว่า  ตัวเลขนี้เป็นตัวเลขประกอบตัวเลขที่มีความสำคัญมากกว่า  คือการเทียบกันกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน  ยกตัวอย่างเช่น  ถ้าหากว่าดูไตรมาสที่ 2 ก็คือช่วงเม.ย. -มิ.ย. ปี 2556 เทียบกับเม.ย.- มิ.ย. ปี 2555 แล้วดูว่ายังโตอยู่หรือเปล่า  ถ้าหากว่ายังโตอยู่  แสดงว่าเศรษฐกิจไม่ได้ถดถอย  ความจริงการที่เราติดลบลงจากไตรมาสก่อนนั้นมันมีคำอธิบายอื่นที่นอกเหนือจากเรื่องปกติทั่วๆไปนะครับ  ยกตัวอย่างเช่นในไตรมาสที่ 2 มีเดือนเม.ย. ซึ่งเป็นเดือนสำคัญของการหยุดพัก  เป็นเทศกาลประจำปีของประเทศถ้าเทียบกับไตรมาสที่ 1 ซึ่งก็เป็นการทำงานค่อนข้างจะเต็มที่  เพราะฉะนั้นไตรมาสที่ 2 เทียบกับไตรมาสที่1 ก็จะมีลักษณะตรงนี้อยู่  แต่ว่าในปีนี้มีลักษณะพิเศษคือว่า  ในเดือนเม.ย. มี 2 เรื่องสำคัญ  เรื่องที่ 1. คือการที่เราหยุดรับแก๊สจากประเทศเมียนมาร์  เป็นเวลากว่า 1 สัปดาห์  ซึ่งก็ต้องประสานให้ภาคอุตสาหกรรมชะลอการผลิตในช่วงเวลาดังกล่าวนะครับ  เพื่อที่จะไม่ต้องใช้พลังงานมากจนเกินไป

เรื่องที่ 2. ในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปีนี้  เป็นช่วงที่อัตราแลกเปลี่ยนหรือว่าค่าเงินบาทของเราแข็งค่าขึ้นที่สุด  เท่าที่เคยปรากฎมาในช่วงระยะเวลาเป็นทศวรรษ  ซึ่งก็เป็นอัตราที่เคยแข็งที่สุด คือ 28 บาทเศษๆ ในช่วงเดือนเม.ย. ฉะนั้นจึงไม่เป็นเรื่องแปลกใจที่ภาคส่งออก  จะไม่สามารถทำงานได้ดีนัก ในช่วงเวลาดังกล่าว ดังนั้นการที่เราจะเทียบไตรมาสที่ 2 กับไตรมาสที่ 1 ก็คงจะเป็นข้อมูลแค่ประกอบ  และไม่ได้ส่งสัญญาณว่าเราถดถอย

พิธีกร  :  พอเห็นตัวเลข 2 ไตรมาสที่ลดน้อยลง  ทำให้คนตกใจว่า  เกิดสัญญาณถดถอยขึ้นหรือเปล่า  ท่านรองนายกฯ เปรียบเทียบว่า  ควรจะไปเทียบปีต่อปีมากกว่าไปเทียบกับไตรมาสที่ผ่านมา  ถ้ามองตัวเลขตรงนี้แล้ว  ดูฟันเฟืองด้านเศรษฐกิจทั้งส่งออก  การท่องเที่ยว  การลงทุน  การบริโภค ทั้ง 4 เครื่องยนต์หลักเป็นอย่างไรบ้างคะ

รองนายกฯกิตติรัตน์  :  ก็ยังเป็นบวกอยู่  ยกเว้นเรื่องส่งออก  อย่างที่เรียน  โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าคำนวณเรื่องส่งออกที่แปลงเป็นเงินบาท  เราก็ติดลบลง  แต่เนื่องจากเหตุผลที่ได้เรียนไปว่า  เวลาค่าเงินบาทแข็ง  การจะแข่งขันและการส่งออกก็จะทำยากขึ้น  ความจริงผมเคยส่งสัญญาณมานานแล้วว่า  ไม่อยากเห็นค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นจนเกินไป  ตั้งแต่ครั้งที่เรายังอยู่ในระดับประมาณ 32 บาท ต่อ 1 เหรียญสหรัฐ  เมื่อปีก่อน  เสียดายที่มันได้เกิดเหตุการณ์อย่างนั้นขึ้น  แต่อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ค่าเงินบาทก็อ่อนตัว  และกลับไปอยู่ในระดับที่ผมคิดว่า  เหมาะสมและก็สามารถแข่งขันได้  เพราะฉะนั้นก็หวังว่าจะไม่มีใครมาชี้อีกว่า  เราอ่อนค่าลงอย่างรวดเร็ว  เพราะจริงๆ แล้ว  ช่วงที่แข็งค่าไปตรงนั้น  ถ้าจินตนาการว่ามันไม่เคยเกิดขึ้นได้  ก็จะเป็นเรื่องดีกับเศรษฐกิจ  และจริงๆ มันก็เป็นความราบเรียบของค่าเงินบาทเอง  ที่จะอยู่ในประมาณ 31เศษๆ 32 เศษๆ  ก็เป็นช่วงที่ดีที่มีความสามารถในการแข่งขันได้  หากเรารักษาระดับความเสถียรภาพความต่างระดับไว้ได้ก็จะเป็นเรื่องที่ดี  ทั้งในเรื่องการส่งออก  ทั้งเรื่องการควบคุมเงินเฟ้อที่จะเกิดจากสินค้านำเข้า

พิธีกร  :  ท่านรองนายกฯ กำลังจะบอกว่า  เงินบาทที่อ่อนค่าลงมาในขณะนี้  น่าจะส่งผลดีกับเศรษฐกิจ  ส่งผลดีต่อการส่งออกในเร็วๆ นี้  ใช่ไหมคะ

รองนายกฯกิตติรัตน์  :  ใช่ครับ

พิธีกร  :  ท่านเลขาธิการสภาพัฒน์คะ  ถ้ามองตัวเลขเศรษฐกิจเจาะลงไปในรายกลุ่ม  ไตรมาสที่ 2 ที่ผ่านมา  เป็นอย่างไรบ้างกับการลงทุน  การบริโภค  กับการท่องเที่ยวคะ

อาคม  :  คือในแง่ของไตรมาสที่ 2 ผมย้อนไปนิดหนึ่ง  เมื่อปีที่แล้วหลังน้ำท่วม  การใช้จ่ายภายในประเทศค่อนข้างสูง  เพราะว่าชาวบ้านที่น้ำท่วมต้องใช้เงินไปซ่อมแซมบ้าน  โรงงาน  ก็ต้องสั่งซื้อเครื่องจักรอุปกรณ์ซ่อมแซมโรงงานใหม่  เพราะฉะนั้นปีที่แล้วค่อนข้างสูง  เพราะฉะนั้นปีนี้มันปรับตัวเข้าสู่ในระดับปกติของเรา  หลังจากค่าใช้จ่ายที่เราต้องเพิ่มมาเป็นพิเศษตรงนั้น  เพราะฉะนั้น  อย่างไรก็ตามแล้ว  ในเรื่องการใช้จ่ายของครัวเรือนหรือของประชาชนก็ยังเพิ่มอยู่  อย่างที่ท่านรองนายกฯ ได้พูดเมื่อสักครู่นี้  ถ้ามองเทียบกับปีที่แล้วยังบวกอยู่แน่นอน  เพียงแต่อยู่ในระดับที่ปกติ  เรื่องการลงทุนก็เช่นเดียวกัน  เพราะว่ามาตรการของรัฐ  โดยเฉพาะเรื่องของการเร่งรัดค่าใช้จ่ายตั้งแต่ต้นปีงบประมาณ  เราก็จะเห็นว่าในช่วงไตรมาสที่1 ที่ 2 นั้น  การใช้จ่ายก็ยังสูงอยู่  ส่วนเรื่องของภาคเอกชนนั้นก็อาจจะมีติดขัดอยู่นิดเดียวตรงช่วงไตรมาสที่ 2 นั้น  การสั่งซื้อเครื่องจักรน้อย  ซึ่งก็น่าเสียดายตรงที่ว่า  ช่วงนั้นเงินบาทพอดีแข็ง  แทนที่จะได้ของถูก  แต่ว่าแน่นอนที่สุดถ้าก่อสร้างโรงงานไม่เสร็จก็ติดตั้งเครื่องจักรไม่ได้อย่างชัดเจน

พิธีกร  :  ตอนบาทแข็งตรงนั้นจะเร่งนำเข้าสินค้าทุนก็ยังไม่มีมากนักในช่วงเวลานั้น

อาคม  :  ยังไม่มากนักครับตรงนั้น  ส่วนเรื่องส่งออกนั้นผมเรียนว่า  จริงๆ แล้วเราอาจจะเห็นผลของเศรษฐกิจโลก  ถ้าพูดถึงเรื่องถดถอย  ผมเห็นว่า  ยุโรปถดถอยแน่นอน  เพราะว่าปีนี้เขาติดลบ  อันนั้นชัดเจน  แล้วก็ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของไทย  ซึ่งบวกกับในเรื่องของเรื่องบาทแข็งในช่วงเดือนเม.ย. แล้วก็มีวันหยุดด้วย  ฉะนั้นออเดอร์ส่งออกมาลงในช่วงไตรมาสที่ 2 พอดีเลย  ฉะนั้นไตรมาสที่ 2 ตัวเลขส่งออกก็ติดลบ อย่างไรก็ตาม เมื่อรวม 6 เดือนแรกส่งออกของเรายังบวกอยู่นะครับ  เราก็คาดว่าจริงๆ แล้วปีที่แล้ว เนื่องจากตลาดในประเทศดี  เพราะฉะนั้นธุรกิจหรืออุตสาหกรรมทั้งหลายก็ชิปสินค้าตัวเองมาขายในประเทศมาก  ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของรถยนต์  ไม่ว่าจัดเป็นวัสดุก่อสร้าง  เพราะขายในประเทศได้ราคาก็ลดในเรื่องของตลาดต่างประเทศในปีนี้กลับมาอีกในช่วงครึ่งหลังของปีนะครับ

พิธีกร  :  ถ้ามองที่ไตรมาส 3 วันนี้เราอยู่ในไตรมาส 3 คือเดือนก.ค. - ก.ย. ท่านรองนายกฯ มองไตรมาส 3 อย่างไรบ้างคะกับตัวเลขต่างๆ

รองนายกฯกิตติรัตน์   :  ผมก็มองว่า  เราก็ยังมีโอกาสที่จะขยายตัว  เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน  ต้องยอมรับว่า  โลกมีการผันผวนมากจริงๆ หลายสิ่งหลายอย่างสามารถเกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็ว  แม้กระทั้งหน่วยงานสำคัญๆเศรษฐกิจของประเทศ  ผมจำได้ว่าในช่วงต้นๆ ไตรมาสที่ 2 กับกลางไตรมาสที่ 2 ยังห่วงว่า  เศรษฐกิจจะร้อนแรงไปหรือเปล่า  พอผ่านไปไม่กี่สัปดาห์ไม่กี่เดือน  กลับกลายมากังวลร่วมกันว่า  เศรษฐกิจจะเติบโตดีพอหรือเปล่า  อย่างไรก็ตามผมคิดว่า  เราเองต้องมองเศรษฐกิจในเรื่องยาวๆ นะครับ  แล้วก็แนวทางในเรื่องการปรับสมดุล  ไม่อยากจะมองในเรื่องรายเดือนรายไตรมาสจนเกินไป  เพียงแต่ว่าข้อมูลเหล่านี้เป็นข้อมูลประกอบ  ทิศทางเดียวกันในทางที่ดี  สิ่งที่ประเทศกำลังต้องการคือ  การอยู่ในเวลานี้  คือการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ  ซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจสามารถเติบโตได้  ลงทุนแล้วก็จะกลายเป็นศักยภาพที่ดีเยี่ยม  เมื่อระบบต่างๆ เสร็จแล้ว  ประสิทธิภาพจะดีขึ้นนะครับ  ในช่วงไตรมาสที่ 3 ส่วนสำคัญก็คือเรื่องการใช้จ่ายผ่านภาครัฐ  เพราะว่าไตรมาสที่ 3 ของปี คือ ไตรมาสสุดท้ายของปีงบประมาณ  การที่จะดูแลให้มีการใช้จ่ายภาครัฐให้เป็นไปตามแผนยังเป็นส่วนที่รัฐบาลต้องทำงานอย่างจริงจัง  และควบคุมให้ได้นะครับ  อีกส่วนหนึ่งก็คือความสำคัญด้านมั่นใจ  เวลาเราพูดกันไปมากๆ ว่า  เศรษฐกิจจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ผมก็เข้าใจ

พิธีกร :  มันเกิดผลทางจิตวิทยา

รองนายกฯกิตติรัตน์  :  บางท่านอาจจะเตรียมที่จะซื้อสินค้าต่างๆ  เป็นปกตินะครับ  อาจจะกังวลบ้าง  แต่ก็เชื่อว่าจะเป็นเศรษฐกิจที่ดีพอสมควรในไตรมาสนึงครับ

พิธีกร  :  ค่ะ ถ้ามองไตรมาส 3 แล้ว จำเป็นต้องมีมาตรการอะไรที่จะอัดฉีดเศรษฐกิจออกมาไหมคะ

รองนายกฯกิตติรัตน์  :  ผมก็เลิกพูดคำว่า  อัดฉีด  เลิกพูดคำว่า  กระตุ้นมาเป็นเวลานานแล้วนะครับ  ความจริงส่วนที่เราต้องทำงานก็คือว่ากลจักรต่างๆ  ทั้งตัวหลักที่เรียกว่า  การส่งออกการลงทุนภาคเอกชน  การอุปโภค  บริโภคในประเทศการใช้จ่ายภาครัฐ  ก็ต้องทำกันจริงจัง  นอกจากนั้นสามารถแตกแขนงเป็นเรื่องต่างๆ ได้  ขบวนการส่งออกก็หมายถึง  เรื่องการส่งออกสินค้า  การส่งออกบริการก็หมายถึง  การท่องเที่ยว  การใช้จ่ายภาครัฐก็หมายถึง  การใช้จ่ายเพื่อการบริหารจัดการทั่วไป  การอบรมสัมมนาก็หมายถึง  การลงทุนโครงการต่างๆ ทั้งขนาดเล็กขนาดใหญ่  สิ่งเหล่านี้  เราทำงานกันอย่างจริงจังเต็มที่นะครับ  สร้างบรรยากาศให้ดี  นักลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศมีความสบายใจในการที่จะขยายกำลังการผลิต  ในการที่จะสร้างโรงงานต่างๆ  เศรษฐกิจก็ไปได้  เพราะฉะนั้นผมคิดว่าส่วนที่สำคัญถามว่า  ตอนนี้อยากทำอะไร  อยากให้ทุกฝ่ายตระหนักถึงความยอดเยี่ยมของเศรษฐกิจไทย  แล้วก็ความมั่นใจร่วมกันมีไม่กี่ประเทศในโลกครับที่มีการกระจายตัวดีแบบไทย  แล้วก็มีอัตราการว่างงานต่ำ  คนไทยแทบจะทุกคนถ้าไม่เกี่ยงงาน  ถ้าไม่เลือกจนเกินไปเขาสามารถมีงานทำได้  สิ่งต่างๆ เหล่านี้จะเป็นกลจักรสำคัญ  ที่ทำให้เศรษฐกิจของเราเติบโตได้เป็นอย่างดีในช่วงปานกลาง ระยะยาว

พิธีกร  :  ค่ะ  แต่ถ้ามองปัจจัยเสี่ยงในช่วงเวลานี้  ท่านผู้ชมก็จะทราบเองว่า  ถ้าติดตามข่าวสารว่า  ปัจจัยเสี่ยงเรื่องของต่างประเทศ  เศรษฐกิจการขยายตัวของเอเชียเองรวมถึงจีนเป็นหลัก  มันก็เป็นปัจจัยเสี่ยงของประเทศไทยด้วย  วันนี้มองจีน มองเอเชียแล้วกลับมามองเรา  ความเสี่ยงมันเกิดขึ้นมากน้อยแค่ไหน  การที่จีนแค่โตขึ้นน้อยลงนิดเดียวมันก็กระทบกับเราแล้วค่ะ

รองนายกฯกิตติรัตน์  :  ครับ  จริงๆ แล้วก็ยอมรับ  เราเป็นประเทศที่ยังพึ่งพาการส่งออกมาก  แม้ว่าจะทำงานกันมาระดับหนึ่ง  จนเริ่มจะพึ่งพาเรื่องอื่นๆ มากขึ้น  ก็ยังพึ่งพาการส่งออกมาก  ก็จะต้องได้รับผลกระทบ  ถ้าหากว่าโลกมีความขลุกขลัก  แต่ว่าจีนถ้าจะเติบโตชะลอลง  เขาก็ยังจะเติบโตในอัตราที่เร็วกว่าคนอื่นๆ  แล้วก็เติบโตเร็วกว่าเรา  เพราะฉะนั้นการที่เราจะเป็นผู้ค้าผู้ขายที่ดีกับเขาก็จะเป็นเรื่องที่หวังได้  ประเทศในอาเซียนเองก็ยังเป็นประเทศที่มีการขยายตัวที่ดีนะครับ อย่างไรก็ตาม  ขออนุญาตเรียนว่า  ความพร้อมของเราในขณะนี้เราสามารถที่จะมีภูมิคุ้มกันที่ดี  เงินสำรองระหว่างประเทศสูงกว่า 170 พันล้านเหรียญสหรัฐ  สภาพคล่องที่เป็นเงินบาทที่ดูแลอยู่ในระบบธนาคารกลางมีในระดับที่สูง  แล้วก็ส่วนอื่นๆ ที่เป็นข้อกังวลถ้าหากว่า  อัตราแลกเปลี่ยนผันผวนไปจะเป็นอย่างไรต่อ  ราคาน้ำมัน  กองทุนน้ำมันของเรา  ในช่วงเวลาที่ค่าเงินบาทแข็ง  เราก็รักษาความเข้มแข็งไว้ดี  กองทุนน้ำมันสามารถที่จะติดลบขึ้นไปถึง 2-3 หมื่นล้านได้  เราเคยอยู่ในระดับนั้น  ดูแลความไม่ผันผวนของน้ำมันขนาดนี้  กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงมีจำนวนมูลค่าเป็นบวกเกือบหมื่นล้านนะครับ  เพราะฉะนั้นถ้าหากว่าอัตราแลกเปลี่ยนที่อ่อนไป  น้ำมันดิบในตลาดโลกซึ่งเกิดจากสถานการณ์ตรึงเครียดในตะวันออกกลางเกิดขึ้น  เราก็จะสามารถประคับประคองราคาน้ำมันขายปลีกในประเทศให้อยู่ในระดับที่เป็นอย่างนี้  โดยไม่กระเทือนเงินเฟ้อได้ในระยะที่นานเลยทีเดียว

พิธีกร  :  คือกำลังจะบอกว่า  ยังมีกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงที่จะสามารถเข้ามาบริหารจัดการดูแลได้  ไม่ให้ราคามันผันผวนสูงจนเกินไป

รองนายกฯกิตติรัตน์  :  ใช่ครับ  เพราะฉะนั้นภูมิคุ้นกันในเรื่องต่างๆ  ผมคิดว่า  อยู่ในภาวะที่เข้มแข็ง  แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นจะบอกว่า  ไม่กระทบเลยเวลาที่โลกเขาผันผวนก็คงไม่ถูกต้องนะครับ

พิธีกร  :  ในส่วนของท่านอาคม  มองตรงนี้อย่างไรคะ

อาคม  :  ช่วงนี้เป็นช่วงของการปรับสมดุลอย่างที่ท่านรองนายกฯ พูดเมื่อสักครู่นี้  จริงๆ แล้วผมอยากเรียนเพิ่มเติมในเรื่องของไตรมาส 2 นิดหนึ่งมีสัญญาที่ดีอยู่ 3 เรื่อง  เรื่องที่ 1. คือเรื่องท่องเที่ยวของเรานั้น  ไม่มีใครพูดถึงเลยท่องเที่ยวยังต่อเนื่องมาจากปีที่แล้วที่สนามบินสุวรรณภูมิแน่น  สนามบินดอนเมืองแน่นตลอด  และสนามบินที่ต่างจังหวัดนักท่องเที่ยวไปกันเยอะ เรื่องที่ 2. คือราคาสินค้าเกษตรเราอาจพูดเฉพาะเรื่องข้าว  แต่จริงๆ ข้าวเป็นสินค้าเดียว  ต้องพูดสินค้าอื่นด้วย สินค้าอื่นอย่างพวกมันสำปะหลัง ข้าวโพด  อะไรพวกนี้ปรับตัวดีขึ้น  เพราะฉะนั้นตรงนี้เองทำให้รายได้ภาคเกษตรนั้นก็ดี  อีกอันที่อยากจะเรียนว่า  เวลาพูดถึงเศรษฐกิจจีนนั้นกระทบ  ไม่ใช่กระทบเฉพาะประเทศไทย  แต่กระทบในอาเซียนด้วยพวกผลิตชิ้นส่วนต่างๆ  ประเด็นตรงนี้คือว่า  มันมีการปรับโครงสร้างใหม่  เพราะว่าการแสวงหาวัตถุดิบ  การให้ประเทศใดประเทศหนึ่งผลิตชิ้นส่วนแต่เพียงประเทศเดียวไม่เป็นจริงต่อไปเพราะเกิดความเสี่ยง  เพราะฉะนั้นตรงนี้เองเมื่อจีนกระทบมันจะมากระทบประเทศอื่นๆ ในกลุ่มอาเซียนด้วย  เรื่องที่ 3. คือเรื่องของเทคโนโลยี  เทคโนโลยีวันนี้ถ้าเราเห็นว่าอิเล็กทรอนิกส์  เราส่งออกไม่ดีเท่าไรแต่จริงๆ มันมีเหตุผลเบื้องหลังคือว่า  วันนี้เราเองเคยเป็นผู้ส่งออกในเรื่องของ desktop computer notebook แต่วันนี้ทุกคนหันไปใช้แท็บเล็ตกันหมด  เทคโนโลยีกำลังเปลี่ยน  เราเองนักลงทุนที่ลงทุนในประเทศไทยก็เริ่มที่จะต้องคิดในเรื่องนี้ว่า  ต้องเปลี่ยนรูปแบบสินค้าใหม่เลย  ทำให้ช่วงส่งออกของเราซึ่งเราพึ่งพาค่อนข้างเยอะ มันก็เลยตกไปตรงนี้

พิธีกร  :  พอการส่งออกชะลอตัวไปแบบนี้  มันจะกระทบไปอย่างต่อเนื่อง  กระทบกำลังซื้อของผู้บริโภคต่างๆ ต่อเนื่องไปด้วย

อาคม  :  ที่นี้อีกจุดหนึ่งที่เรียนไม่ว่าจะเป็น ไตรมาสที่ 1 ไตรมาสที่ 2 ที่เราเห็นก็คือว่า  เศรษฐกิจภายในประเทศนั้นเป็นตัวขับเคลื่อนมากขึ้น  เมื่อเทียบกับภาคการส่งออกอยู่ประมาณ 60-70 %  แต่วันนี้เราเริ่มจะใช้เศรษฐกิจภายในประเทศมากขึ้น  เพราะฉะนั้นสิ่งที่คิดว่า  จะขับเคลื่อนในช่วงไตรมาสที่ 3 ไตรมาสที่ 4 หรือแม้กระทั้งในปีต่อไป  คือเรื่องของการลงทุนภายในประเทศ

พิธีกร  :  ทั้งภาครัฐและเอกชน

อาคม  :  ถูกต้องครับ  โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการลงทุนในเรื่องโครงสร้างพื้นฐานทั้งหลาย  จะมาเสริมกำลังการผลิตของเรา  เสริมในเรื่องของต้นทุน  ลดต้นทุน  ในเรื่องของการผลิตของภาคเอกชน  ตรงนี้เองก็ทำให้การลงทุนกลับเข้ามาสู่ประเทศของเรา  ข้อสุดท้ายเรื่องของสิ่งที่กระตุ้นหรือไม่กระตุ้น  ผมคิดว่า  เอาแค่ว่าวันนี้เราอีก 2 ปีจะได้เห็นอาเซียน  เอาแค่ว่า  สินค้าของเราจะเคลื่อนย้ายระหว่างภูมิภาค  เราปรับปรุงในเรื่องของการอำนวยความสะดวกสินค้าผ่านแดนได้เร็วขึ้น  สินค้าวัตถุดิบของเราไปอยู่ประเทศอื่น  หรือประเทศเข้ามาประเทศเรา วันนี้ระบบการขนส่งทางบกค่อนข้างสะดวก  ถ้าเราปรับแค่ตรงนี้หรือการอำนวยความสะดวกให้กับภาคเอกชนภาคการส่งออกต่างๆ พวกนี้เชื่อว่า  ต้นทุนเราลดแน่นนอนและสินค้าเราจะส่งออกได้

พิธีกร  :  และอาเซียนจะเป็นตลาดใหญ่ในอนาคตอันใกล้  ซึ่งขณะนี้ก็ถือว่า  การส่งออกในไทยส่งออกไปทั่วโลก  อาเซียนก็เป็นอันดับ 1.อยู่แล้ว  แต่โอกาสในการขยายการค้า  การลงทุนระหว่างไทยกับอาเซียนมีสูงขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้ด้วย ถ้าหันกลับมาดูในบ้านเราท่านเลขาธิการฯ คะ ตัวกำลังซื้อของประชาชนบางกระแสบอกว่า  ตอนนี้กู้เงินก็ยากขึ้น  กู้ซื้อบ้านไม่ผ่าน กู้รถไม่ผ่านสถานการณ์จริงเป็นอย่างไร

อาคม  :  ขึ้นอยู่กับ 2 ด้าน  ด้านที่ 1. คนกู้คือ ประชาชน  กับอีกด้านหนึ่งคือผู้ให้กู้  ผมเชื่อว่าผู้ให้กู้เองก็ต้องมีความระมัดระวังเหมือนกัน  จะให้ไฟแนนซ์ใคร  ในเรื่องของสินเชื่ออะไร  ประเทศใดก็ตามในระดับเดียวกันของผู้กู้เอง  ผมเชื่อว่ามาตรการของรัฐบาล  โดยเฉพาะนโยบายในเรื่องของการเพิ่มรายได้ตรงนี้ยังต้องเพิ่มต่อ  จะเพิ่มบนพื้นฐานของประสิทธิภาพ  ปีที่แล้วเราเพิ่มในเรื่องของค่าแรง 300 บาท  แน่นนอนกำลังซื้อกลับมา  ด้านที่ 2. คือใครก็ตามที่จบปริญญาตรีนั้นได้ 15,000 บาท นั้นคือขั้นพื้นฐาน  ทำให้เราสามารถให้ผู้กู้หรือประชาชนที่มีเงินเดือนขึ้นอยู่กับเงินเดือน  สะท้อนในเรื่องของขีดความสามารถของเขาโดยแท้จริง

พิธีกร  :  มีกำลังซื้อมากขึ้น

อาคม  :  เป็นธรรมมากขึ้น  มีรายได้มากขึ้น  เพราะฉะนั้นในอนาคตนั้น  คงจะต้องเสริมในเรื่องของการฝึกทักษะ  หรือให้เขามีองค์ความรู้มากขึ้น  เพื่อที่จะเพิ่มประสิทธิภาพรายได้ก็จะเพิ่มมากขึ้น  นอกเหนือจากนั้นก็คงเป็นในเรื่องสิ่งที่เราทำกันอยู่  OTOP เรื่องสินค้า  กองทุนต่างๆ  สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นโอกาส  ผมยกตัวอย่างว่า  มีญี่ปุ่นมาถามเหมือนกันว่า  ทำไมประเทศไทยไม่คิดเรื่องของผลิตภัณฑ์สุขภาพ  หรือในเรื่องของคอสเมติก  ที่เป็นเนเชอรัล  ที่เป็นคอสเมติกจากธรรมชาติ เขาบอกเป็นโอกาสของประเทศไทยทำไมไม่รีบทำตรงนี้  เพราะฉะนั้นตรงนี้เอง  ถ้าเรารู้จักในเรื่องของการเอางานวิจัยเข้ามาปรับปรุงในเรื่องของสมุนไพรต่างๆ ที่มาเป็นวัตถุดิบตรงนี้  เราก็มีโอกาสเป็นสินค้ากลุ่มใหม่ที่จะสร้างรายได้  และเป็นรายได้ที่อยู่กับชาวบ้านทั้งหมดครับ

พิธีกร  :  เงินอยู่ในประเทศ เงินลงไปในท้องถิ่นชุมชนด้วยนะคะ ท่านรองนายกฯคะ ถ้าเกิดมองภาพใหญ่ของประเทศวันนี้  มองภาพใหญ่ประเทศ  ต่างชาติให้ความเชื่อมั่นกับประเทศไทยมากน้อยแค่ไหน

รองนายกฯกิตติรัตน์  :  ต่างชาติก็มีหลายๆ กลุ่มนะครับ  ถ้าบอกว่า  ต่างชาติที่เป็นผู้ลงทุนในภาคที่แท้จริงเป็นการลงทุนเพื่อสร้างกิจการต่างๆ จะเห็นได้ว่า  คำขอในการที่จะได้รับการส่งเสริมการลงทุนต่างๆ อยู่ในเกณฑ์ที่ดีทีเดียว  และจะทำให้คำขอเหล่านั้นกลายเป็นลงทุนจริงอย่างต่อเนื่องไปข้างหน้า  ความเชื่อมั่นของประเทศต่างๆ  รอบๆ เรา  เขาทั้งเชื่อมั่น ทั้งหวังว่าเราจะดำเนินการต่างๆ  เพราะว่าการลงทุนในระบบคมนาคมขนส่งของเรา  จะสามารถเชื่อมต่อประเทศเพื่อนบ้านต่างๆ ให้สามารถไปมาถึงกันเอง  และไปจนถึงประเทศที่มีเศรษฐกิจสำคัญๆ ในเอเชียตะวันออกได้นะครับ

ในส่วนที่อาจจะเป็นคำถามของคุณสร้อยฟ้า คือว่า แล้วผู้ลงทุนต่างประเทศที่ลงทุนในระบบตลาดทุนเป็นอย่างไร  ผู้ลงทุนเหล่านี้เขาก็เชื่อมันแน่ว่า  ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีความแข็งแกร่ง  เพียงแต่ว่าในแง่ของการที่จะกระโดดเข้ากระโดดออกตามภาวะเรื่องราวต่างๆ ที่ภาคการลงทุนในระบบกองทุนต่างๆ ที่มี  ก็อาจจะทำให้เกิดการผันผวน  แต่ผมอยากชี้ว่าทุกๆ ครั้งที่มีการดำเนินการขายหุ้นเป็นขนานใหญ่ โดยผู้ลงทุนต่างประเทศ  ก็มักจะเป็นโอกาสทองของคนที่รอซื้อหุ้นอยู่  ไม่ว่าจะเป็นผู้ลงทุนต่างประเทศรายอื่น  หรือว่าผู้ลงทุนในประเทศเอง  โอกาสที่จะได้ซื้อหุ้นในราคาถูกๆ  มักจะเกิดขึ้นในยามที่มีความกังวลในลักษณะนี้ที่เป็นเชิงภูมิภาค ช่วงเวลานี้เป็นช่วงที่ประเทศในอาเซียนกำลังเผชิญในความท้าทายในการตอบโจทย์  อินโดนีเซียกำลังจะต้องตอบโจทย์ว่า  เขาจะแก้ปัญหาการขาดดุลการค้า  หรือการขาดดุลงบประมาณอย่างไร  มาเลเซียกำลังต้องการตอบโจทย์เหมือนกันว่า  เขาจะดูแลการขาดดุลงบประมาณของรัฐบาลให้ดีขึ้นอย่างไร  ประเทศไทยขณะนี้ผมคิดว่าเราไม่ได้มีโจทย์อะไรต้องตอบ  เราตอบชัดแล้วว่าเราจะแก้ปัญหาการขาดดุลงบประมาณอย่างไร  และดำเนินการมาแล้วเห็นจริงอย่างต่อเนื่องหลายปีงบประมาณแล้ว  เรากำลังดำเนินการที่จะผ่านกฎหมายเพื่อการลงทุนในระบบโครงสร้างพื้นฐาน  และเราก็ตอบโจทย์ไปนานแล้วว่า  ต่อให้เราลงทุนเต็มอัตราที่ว่านี้  หนี้สาธารณะเราก็อยู่ในระดับที่ต่ำ  ดังนั้นผมเชื่อว่าเราได้อยู่ในความมั่นใจของผู้ลงทุนต่างๆ ครับ

พิธีกร  :  คือวันนี้สิ่งที่ประชาชนทั่วไป  สิ่งที่นักลงทุนเป็นห่วง  กระแสเงินทุนไหลออกของนักลงทุนต่างชาติที่เข้ามาบ้านเรา  ไม่ว่าจะเป็นตลาดหุ้น  ตลาดตราสารหนี้  ตัวบอลเป็นอย่างไรบ้าง  มีความน่าเป็นห่วงแค่ไหนท่ามกลางบรรยากาศที่เงินบาทอ่อนค่าลงมา เห็น 31 แล้วแบบนี้ค่ะ

รองนายกฯกิตติรัตน์  :  เมื่อวานนี้  ผมได้เรียนในที่ประชุมไปว่า  ถ้าเงินไหลออกซะบ้างก็เป็นเรื่องที่ดี  เพราะเงินจำนวนมากนี้ไม่ควรจะไหลเข้ามาเลย  ในช่วงเวลาที่ผ่านมา  แล้วเข้ามาก็เป็นภาระทำให้เงินสำรองของประเทศดูสูงขึ้น สวยขึ้นก็จริง  แต่เป็นภาระที่ทำให้เมื่อเงินเหล่านั้นถูกแปลงเป็นเงินบาท  ก็จะต้องถูกดูแลโดยธนาคารกลางไว้เป็นต้นทุน  การไหลออกไปบ้างทำให้ภาระเหล่านั้นลดลง  และช่วงเวลาที่ไหลเข้ายังไม่สมควร  เป็นช่วงเวลาที่ทำให้ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นไปอย่างไม่จำเป็น  และทำให้เกิดผลกระทบต่อภาคที่แท้จริงคือการส่งออก  ฉะนั้นการที่เราจะเห็นเงินไหลออกไปบ้าง  บางคนบอกว่าไหลเข้าน้อยลงพอไหม  ผมว่าก็ยังดีไหลเข้ามากขึ้น  แต่ว่าถ้าไหลออกไปบ้างไม่ใช่เรื่องเสียหาย  และก็เงินสำรองของเรา  ถ้าหากจะลดไปจาก 170 เหรียญลงไปบ้าง  เพราะขนาดนี้มียอดเงินสำรองเป็นจำนวนหลายเท่าของหนี้ระยะสั้น  และเพียงพอต่อการนำเข้าสินค้าต่างๆ  ดังนั้นไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องนี้นะครับ

พิธีกร  :  สรุปสุดท้ายตรงนี้คำว่า  ถดถอย ที่หลายๆ คนเป็นห่วงกันว่า  ภาวะเศรษฐกิจไทยเข้าสู่ภาวะถดถอยแล้ว  ตรงนี้จะพิสูจน์กันได้ในการค้าการธุรกิจของไตรมาส 3 ไตรมาส 4 นี้ไหมคะ

รองนายกฯกิตติรัตน์  :  เพียงแต่ผมเรียนว่า  มองประเทศไทย  มองยาวๆนะครับ  แล้วก็อย่าไปสนใจเรื่องนี้จนกระทั่งเราลังเลกับเรื่องที่จะต้องพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน  เราเคยน้ำท่วมขนานใหญ่มาแล้ว  เราต้องลงทุนเพื่อไม่ให้เกิดเรื่องนี้ซ้ำขึ้นอีก ไม่ทราบฤดูกาลหน้าฝนปีไหนมันจะมีฝนมากกว่าปกติ  เราติดๆ ขัดๆ กับเรื่องการระบบคมนาคมขนส่งกันอยู่  การที่เราจะมุ่งหน้าเดินหน้าไปโดยที่เรารู้ความพร้อมของเราเป็นเรื่องสำคัญ  ทำเรื่องต่างๆ ที่สมควรทำ  แล้วก็การขยายตัวจะเกิดขึ้นเอง แทนที่จะหมกหมุ่นกับการที่จะต้องเห็นตัวเลขโตให้ได้  แล้วก็หาวิธีต่างๆ ที่จะทำให้โตในระยะสั้นๆ  เพื่อเอาอกเอาใจคนที่ติดตามข่าวระยะสั้นๆ อยู่  ผมคิดว่าไม่น่าจะเป็นเรื่องที่ดีนัก

ที่มา.ทีนิวส์
/////////////////////////////////////////

เสม็ดบ้านฉัน มีปรอท !!??



โดย : วรุณรัตน์ คัทมาตย์

วันนี้คราบน้ำมันที่อ่าวพร้าวอาจจะเริ่มจางหายไปพร้อมคราบน้ำตาของชาวเสม็ด การท่องเที่ยวส่อแววดีขึ้นตามลำดับ

แต่ก่อนจะถึงวันนั้น สิ่งที่น่าห่วงกว่าน่าจะเป็นเรื่องสุขภาพของ 'เจ้าบ้าน' ที่ยังต้องใช้ชีวิตอยู่กับกลิ่นน้ำมันหรืออาจจะมีปรอทร่วมด้วย

"ตั้งแต่มีคราบน้ำมันมาวันแรก รู้กันเลยว่าตรงนี้หาปลาไม่ได้ เราต้องขับเรือออกไปไกลกว่าเดิม ชาวบ้านก็ไม่มีใครไปทอดแหจับปลาแถบนี้เลย เขาก็กลัว(ปรอท)เหมือนกันแหละ"

นี่เป็นเสียงเล็กๆ ของ มนตรี มาพึ่ง หนึ่งในชาวประมงท้องถิ่นที่สะท้อนให้เห็นว่าผลพวงจากคราบน้ำมันยังคงตามมารบกวนบ้านหลังใหญ่ของพวกเขา

มนตรีบอกว่าวันนี้ผู้บริโภคไม่มั่นใจในอาหารทะเลของพวกเขาอีกต่อไป ชาวประมงต้องปรับแผนใหม่ในการออกหาปลา เขาเล่าให้ฟังท่ามกลางเพื่อนชาวประมงอีกหลายคนที่กำลังง่วนกับการแกะปลาตัวน้อยออกจากแหอวน

ไม่ใช่แค่คนหาปลาในกลุ่มของมนตรีกลุ่มเดียวเท่านั้นที่ได้รับผลกระทบ แต่กับชาวประมงที่อ่าวอื่นๆ ของเกาะเสม็ดก็ต้องปรับเปลี่ยนวิธีทำมาหากินเช่นกัน

น้ำมันไป ปรอทมา

ปรากฏการณ์ 'กลัวปรอท' นี้เป็นผลกระทบต่อเนื่องมาจากเหตุการณ์อื้อฉาวที่เพิ่งเกิดขึ้นกับท้องทะเลไทยฝั่งตะวันออกเมื่อเดือนที่ผ่านมา กับกรณีที่เกิดน้ำมันดิบรั่วไหลออกจากเรือขนส่งน้ำมัน คราบน้ำมันได้ไหล ทะลัก แผ่กระจาย เข้ามาสู่อ่าวพร้าวเกือบทั่วบริเวณ เหตุการณ์ครั้งนี้ นับว่าเป็นวิกฤตหนักอีกครั้งหนึ่งของท้องทะเลไทยเลยทีเดียว

โดยเมื่อเร็วๆ นี้ได้มีแถลงการณ์จากกรมควบคุมมลพิษออกมาว่าที่อ่าวพร้าวตรวจพบสารปรอทมากกว่ามาตรฐานถึง 29 เท่า แต่อ่าวอื่นๆ ตรวจสอบแล้วพบว่า ส่วนใหญ่มีปรอทไม่เกินค่ามาตรฐานคุณภาพน้ำทะเลที่กำหนดไว้คือ 0.1 ไมโครกรัมต่อลิตร ต่อมาไม่นานก็ได้รับการยืนยันจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องว่าปรอทที่พบในอ่าวพร้าวนั้นลดลงและไม่เป็นอันตรายแล้ว ทางฝ่ายของบริษัทต้นเหตุเองก็ลงพื้นที่ตรวจสอบและเก็บกวาดคราบน้ำมันเหล่านั้นออกไปจนเกือบหมด มองผิวเผินหน้าหาดของอ่าวพร้าวตอนนี้แทบจะมองไม่เห็นคราบสีดำมันเงาสะท้อนตามผิวน้ำอีกแล้ว

แม้ว่าทางการจะออกมาให้ข้อมูลแล้วว่าปรอทที่พบนั้นไม่เกินค่ามาตรฐาน อย่างไรก็ตาม นักท่องเที่ยวหลายคนยังคงกลัวว่ามันจะยังคงปนเปื้อนในน้ำทะเลที่ลงเล่น หรืออยู่ในอาหารทะเลที่รับประทานเข้าไป จึงมีความพยายามจากทางกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา รวมทั้งการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ต่างก็ออกมาแถลงถึงความปลอดภัยของเกาะเสม็ด และทำโครงการกระตุ้นการท่องเที่ยวต่างๆ ขึ้นเพื่อให้นักท่องเที่ยวมีความมั่นใจในการเดินทางมาเที่ยวที่เสม็ดอีกครั้ง

บริสุทธิ์ ประสพทรัพย์ ผู้อำนวยการภูมิภาค ภาคตะวันออก ททท. ออกโรงให้ความมั่นใจว่า เกาะเสม็ดยังคงมีความสวยงาม มีเกาะเล็กเกาะน้อยรายรอบที่น่าสนใจ มีหาดอื่นๆ ที่ยังลงเล่นน้ำได้อย่างปลอดภัย เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นครั้งนี้เมื่อเทียบดูแล้วเป็นเพียงผลกระทบเล็กๆ ที่กินพื้นที่เพียง 5 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น แต่อีก 95 เปอร์เซ็นต์ของเกาะ นักท่องเที่ยวยังคงเดินทางมาเที่ยวและพักผ่อนได้

"เกาะเสม็ดยังไม่ได้เสร็จทั้งเกาะ เมื่อมีปัญหาเกิดขึ้น แถมยังมีสารปรอทแถมมาให้กับทะเลไทยอีก สิ่งนี้เป็นสิ่งที่เราควรจะมามองว่าเราจะฟื้นมันยังไงให้มันกลับมาเป็นเพชรเม็ดงามดังเดิม"

นับเป็นเรื่องที่ดีที่ภาครัฐมองเห็นปัญหาแล้วไม่นิ่งเฉย ทั้งยังลงมือแก้ปัญหาได้อย่างกระชับฉับไว ในอนาคตอันใกล้การท่องเที่ยวของเกาะเสม็ดน่าจะกลับมาคึกคักดังเดิม แต่ภายใต้การแก้ปัญหาเรื่องการท่องเที่ยวที่กำลังดีขึ้น ในมุมหนึ่งประชาชนและนักวิชาการอีกกลุ่มยังมองว่าสถานการณ์นี้ยังคงต้องให้ความสำคัญกับข้อมูลที่เป็นจริงเกี่ยวกับเรื่องสารปรอทด้วย เพื่อที่จะได้สร้างความมั่นใจให้ประชาชนได้มากยิ่งขึ้น

ดร.อาภา หวังเกียรติ หัวหน้าสาขาวิชาวิศวกรรมสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยรังสิต อธิบายว่า สารปรอทเป็นองค์ประกอบทั่วไปของน้ำมันดิบ ในกรณีนี้สิ่งที่ยังไม่เห็นคือน้ำมันที่รั่วครั้งนี้มีปรอทอยู่เท่าไหร่ ซึ่งทางบริษัทที่รับผิดชอบควรจะต้องชี้แจงออกมา จะมีมากมีน้อยแค่ไหนก็ต้องมีตัวเลขมาเปิดเผยให้ประชาชนได้รับทราบ

"ถ้าบอกว่ามันไม่มีเลยเนี่ย เขาต้องมาแสดงหลักฐานให้เห็นชัดๆ หรือต้องออกมาบอกถึงแหล่งต้นตอของน้ำมันว่านำมาจากประเทศไหน รวมไปถึงสารเคมีที่ใช้สลายคราบน้ำมันด้วย คือตัวซิลิคกอนเอ็นเอส(Slickgone NS) ตรงนี้ก็เหมือนกันเขาต้องเปิดเผยข้อมูลให้ทราบ คือมองว่าสังคมเราทุกวันนี้เป็นสังคมที่ต้องเปิดเผยข้อมูล และเราก็เรียกร้องให้ทางบริษัทที่ประกาศตัวว่ามีธรรมมาภิบาลจะต้องเปิดเผยข้อมูลทั้งหมดให้โปร่งใสให้มากที่สุด และข้อมูลเหล่านี้จำเป็นต้องแสดงหลักฐานประกอบด้วย ไม่ใช่แค่พูด"

ความสุ่มเสี่ยงของเจ้าบ้าน

เกาะเสม็ดสำหรับคนทั่วไปอาจเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สวยงาม น่าเดินทางไปพักผ่อนหย่อนใจในวันหยุด ไม่น่าแปลกใจเลยที่ในแต่ละปีเกาะเสม็ดจะมีนักท่องเที่ยวไปเยือนกว่า 700,000 คนมีเม็ดเงินสะพัดกว่า 1,500 ล้านบาท แต่สำหรับชาวเสม็ดแล้ว ที่นี่คือบ้าน คือที่ทำมาหากิน คือที่อยู่อาศัย คือสถานที่ที่พวกเขาจะต้องใช้ชีวิตอยู่ไปอีกนาน

การที่เกิดเหตุอันไม่คาดฝันเช่นนี้ขึ้น แน่นอนว่ากลุ่มคนที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดคงหนีไม่พ้นชาวบ้านบนเกาะเสม็ด ซึ่งผลกระทบโดยตรงอีกอย่างที่ไม่ควรมองข้าม คือความสุ่มเสี่ยงของชาวบ้านในเรื่องของอันตรายจากพิษปรอทไม่ว่าจะมีปรอทหรือไม่ หรือมีมากน้อยแค่ไหน อย่างไรก็ดีการที่ชาวบ้านบนเกาะจะได้รับพิษปรอท ถือเป็นสิ่งที่เป็นไปได้

เนื่องจากชาวบ้านต้องใช้ชีวิตอยู่บนเกาะทุกวัน ไม่ได้ใช้ชีวิตอยู่แค่ชั่วคราวเหมือนคนต่างถิ่นที่เข้ามา ตั้งแต่เกิดเหตุจนถึงตอนนี้พวกเขาก็ยังคงอยู่ต่อไป และต้องปรับตัวให้อยู่ร่วมกับสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไปให้ได้ ซึ่งถ้าหากไม่ระวังก็อาจจะได้รับสารปรอทเข้าไปแบบไม่ทันตั้งตัว

เมื่อได้รับเข้าไปแล้วก็อาจทำให้มีอาการผิดปกติของร่างกาย มีข้อมูลจากศูนย์ข้อมูลพิษวิทยา ระบุว่า หากมีสารปรอทสะสมในร่างกายมากเกินไปจะส่งผลอันตรายต่อระบบประสาทส่วนกลาง ทำให้การเคลื่อนไหวของแขนขาและการพูดลดลง ระบบประสาทส่วนรับความรู้สึก,การได้ยิน,การมองเห็นบกพร่อง หายใจลำบากและปอดอักเสบ เป็นต้น พิษจากสารปรอทจะมีอันตรายต่อร่างกายมากน้อยเพียงใดก็ขึ้นอยู่กับทางที่พิษเข้าสู่ร่างกาย ปริมาณที่ได้รับ และชนิดของสารปรอทที่ได้รับด้วย ดังนั้นไม่ว่าเกาะเสม็ดจะมีปรอทหรือไม่ สิ่งที่ชาวบ้านควรได้รับจากภาครัฐในตอนนี้คือการเยียวยาด้านสุขภาพ ไม่ว่าจะเป็นการตรวจคัดกรอง หรือการให้ความรู้เกี่ยวกับการปฏิบัติตัวให้ปลอดภัยจากสารพิษอันตราย

นพ.ปรีชา เปรมปรี ผู้อำนวยการสำนักโรคจากการประกอบอาชีพและสิ่งแวดล้อม กรมควบคุมโรค อธิบายว่าในกรณีนี้ทางกรมควบคุมโรคได้มีการวางแผนเตรียมรับมือเรื่องนี้ไว้แล้ว โดยในเบื้องต้นได้มีการร่างแบบแผนการดูแลตัวเองให้กับชาวบ้าน และเตรียมที่จะเข้าไปแนะนำชาวบ้านต่อไป โดยอยากให้ชาวบ้านนำน้ำดื่มสะอาดไปจากฝั่งข้ามไปใช้บนเกาะ ส่วนน้ำสำหรับอุปโภคควรนำมาผ่านการกรองให้สะอาดก่อนใช้

ส่วนกลุ่มประมงท้องถิ่นที่ต้องออกไปหาหอยตามโขดหิน ช่วงนี้อาจพบคราบน้ำมันอยู่ ไม่แนะนำให้ไปสัมผัสกับคราบน้ำมันโดยตรง ส่วนเรื่องกลิ่นน้ำมันที่อ่าวพร้าวตอนนี้ทราบว่ากลิ่นเบาบางลงไปมากแล้ว แต่อย่างไรก็ตามหากออกเรือหาปลา แล้วปลาหรือสัตว์น้ำที่จับได้มีกลิ่นน้ำมันให้หลีกเลี่ยงทันที

"ตอนนี้ทางสาธารณสุขได้เตรียมแผนเรื่องนี้กันเต็มที่ เราวางระบบไว้กับทางโรงพยาบาลระยองเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้เราจัดเจ้าหน้าที่ลงไปสุ่มตรวจสุขภาพของคนในพื้นที่ ตรวจเลือด ตรวจปัสสาวะ ตรวจคัดกรองทุกอย่าง หรือหากใครมีอาการป่วย เราจะพามาตรวจเช็คให้ละเอียดเพื่อหาว่าอาการป่วยนั้นเกิดจากการได้รับสารพิษอันตรายหรือไม่ เบื้องต้นเราให้เจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล บ้านเกาะเสม็ด เป็นด่านแรกในการตรวจคัดกรอง หากพบความผิดปกติก็ให้ส่งตัวมาที่โรงพยาบาลระยองได้ทันที"

เยียวยาทุกมิติ

นอกจากเรื่องการเยี่ยวยาด้านสุขภาพ ประเด็นสำคัญอีกหนึ่งข้อคงไม่พ้นเรื่องปากท้องหรือรายได้ของคนเสม็ด ก่อนหน้าที่จะมีการจัดทำโครงการกระตุ้นการท่องเที่ยวเกาะเสม็ดของภาครัฐนั้น ชาวเสม็ดได้ออกมาพูดผ่านสื่อว่าพวกเขาได้รับผลกระทบอย่างมากจากการที่จำนวนนักท่องเที่ยวลดลง

กล้วย ทองมณี ชาวประมงท้องถิ่นที่อ่าวทับทิม ยึดอาชีพออกเรือหาหมึกมากว่า 40 ปี บอกว่า ผลกระทบเกิดกับคนทั้งเกาะ ตอนนี้ก็กำลังรอเงินชดเชยรายได้อยู่

ไม่ต่างกับ ไพศาล โชติการ เจ้าของแผงหาบเร่ขายอาหารบนเกาะเสม็ด บอกว่า รายได้ตอนนี้ลดลงไปครึ่งต่อครึ่ง รายจ่ายเท่าเดิมแต่รายได้ลดลง ลำบาก ตอนนี้ก็ปรับตัวโดยการเอาของมาขายน้อยลงกว่าเดิม และเขามองว่าเรื่องนี้ส่งผลกระทบกับทุกอาชีพบนเกาะ และเห็นว่าเงินชดเชยที่ให้มาเพียงเดือนเดียวไม่น่าจะเพียงพอ เขาอยากให้ทางการเข้ามาดูแลในระยะ 2-3 เดือนเป็นอย่างน้อย

ส่วน สุพัชญา แสงแก้ว พนักงานนวดแผนไทยของสวัสดีโคโค่ รีสอร์ท เกาะเสม็ด ก็สะท้อนความเห็นไปในทิศทางเดียวกันว่า รายได้ลดลงไปเกือบ 100 เปอร์เซ็นต์ ตอนนี้ยังรอเงินชดเชยอยู่ ซึ่งก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากรอต่อไป หากนักท่องเที่ยวยังเงียบแบบนี้ ค่าชดเชยเดือนเดียวอาจไม่เพียงพอ

ทัศนะเหล่านี้สะท้อนได้ชัดเจนว่าชาวบ้านกำลังรอคอยความช่วยเหลือจากผู้รับผิดชอบอยู่อย่างต่อเนื่อง

ขณะเดียวกัน ดร.อาภา หวังเกียรติ ก็ได้แสดงความเห็นถึงเรื่องนี้ว่า หากมองในแง่ท่องเที่ยว ตอนนี้ผลกระทบมันกว้าง ไม่ใช่แค่อ่าวพร้าว นักท่องเที่ยวที่มุ่งหมายว่าจะไปเที่ยวระยองส่วนใหญ่ก็มักจะไปที่เกาะเสม็ด แต่พอนักท่องเที่ยวเลิกเดินทางไปเสม็ด จึงส่งผลกระทบต่อธุรกิจท่องเที่ยวไปโดยปริยาย

"พอคนไม่ไปเสม็ดปุ๊บมันก็ส่งผลกระทบต่อเนื่องทั้งหมดในภาพรวมของจังหวัด ไม่ต้องมองถึงเกาะเสม็ด ดูแค่ที่บ้านเพหรือหาดแม่รำพึงก็มีคนเห็นว่ามีปลาลอยขึ้นมาตายบ้าง เกยตื้นบ้าง หรือ มีเต่าตายเกยตื้น มันก็ทำให้เห็นว่าผลกระทบมันมาถึงแล้ว คนก็ไม่ไป กลายเป็นว่าระยองตอนนี้เหมือนโดน Delete ออกจากจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยว"

เมื่อถามว่าผลกระทบนี้จะยาวนานแค่ไหน ดร.อาภา บอกว่าต้องติดตามดูต่อไป แต่ที่แน่ๆ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องหรือบริษัทต้นเหตุ ต้องออกมาเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบและเปิดเผยข้อมูลแบบโปร่งใส จริงใจ สิ่งนี้ก็จะเรียกความเชื่อมั่นได้มากขึ้น

ไม่ว่าเรื่องนี้จะลงเอยอย่างไร ที่สุดแล้วหวังว่าคนที่จะได้รับการดูแลอย่างต่อเนื่องในทุกๆ มิติควรต้องเป็นเจ้าบ้านที่ผูกพันกับเกาะแห่งนี้มาตราบชั่วชีวิต

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
/////////////////////////////////////////////////////

สนธิ พร้อมจับมือ นปช.เรียกร้องประชาธิปไตย !!??



"สนธิ" ลั่น พร้อมจับมือ "นปช." ต่อสู้เรียกร้อง ปชต. หากกลุ่ม นปช.ก้าวข้าม "ทักษิณ" ได้ ยัน พธม.ยุติบทบาทไม่ได้รับเงินจากใคร ขณะศาลสั่งเลื่อนนัดตรวจพยานหลักฐานแกนนำพันธมิตร บุกทำเนียบฯ ปิดสภาฯ เหตุจำเลยต้องแต่งตั้งทนายเพิ่ม...

ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลได้เลื่อนตรวจพยานหลักฐานในคดีที่พนักงานฝ่ายคดีอาญา 10 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง พล.ต.จำลอง ศรีเมือง นายสนธิ ลิ้มทองกุล นายพิภพ ธงไชย นายสมศักดิ์ โกศัยสุข นายสุริยะใส กตะศิลา และนายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ทั้ง 6 คน ในความผิดฐานร่วมกันบุกรุก โดยร่วมกระทำความผิดตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป ร่วมกันทำให้เสียทรัพย์ จากกรณีที่ พล.ต.จำลอง และนายสนธิ ได้นำมวลชนปิดล้อมสถานที่ราชการ บุกรุกทำเนียบรัฐบาล และปิดล้อมรัฐสภา เมื่อปี 2551

เมื่อถึงเวลา นายสุวัตร อภัยภักดิ์ ทนายจำเลย แถลงต่อศาลขอเลื่อนการตรวจพยานหลักฐานออกไป เพราะจำเลยต้องแต่งตั้งทนายเพิ่มเติม ขณะเดียวกัน ได้ยื่นคำร้องขอพิจารณาไต่สวนลับหลัง เนื่องจากจำเลยทั้ง 6 ต้องเดินทางไปต่างจังหวัด และเดินทางออกนอกประเทศบ่อยครั้ง จึงอาจทำให้ไม่สามารถมาร่วมฟังการพิจารณาได้ ด้านอัยการโจทก์ไม่คัดค้าน

ศาลพิเคราะห์แล้ว เห็นควรให้เลื่อนการนัดตรวจพยานหลักฐาน และกำหนดวันนัดพร้อมคู่ออกไปเป็นวันที่ 28 พ.ย.นี้ เวลา 09.00 น. พร้อมกันนี้ ศาลยังอนุญาตให้พิจารณาลับหลังจำเลยตามคำขอ

ทั้งนี้ ภายหลังการตรวจหลักฐาน นายสนธิ กล่าวถึงการยุติบทบาททางการเมืองของกลุ่มพันธมิตรฯ ว่า กรณีดังกล่าวเป็นการเปิดโอกาสให้มวลชนพันธมิตรฯ ได้ใช้เอกสิทธิ์ในการตัดสินใจเข้าร่วมชุมนุมกับกลุ่มอื่นๆ ได้ และที่ผ่านมา กลุ่มพันธมิตรฯ ต่อสู้เพื่อต้องการให้มีการปฏิรูปและเปลี่ยนแปลงประเทศ ซึ่งในอนาคต หากมีประชาชนกลุ่มไหนพร้อมที่จะปฏิรูปประเทศ กลุ่มพันธมิตรฯ ก็พร้อมที่จะกลับมา และพร้อมที่จะเข้าร่วมกับทุกกลุ่ม ไม่เว้นแม้กับกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เพราะทั้ง 2 มีกลุ่มมีอุดมการณ์การสู้เพื่อผลประโยชน์ของประเทศชาติเหมือนกัน แต่ทางกลุ่ม นปช. ต้องก้าวข้าม พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ก้าวข้ามการหมิ่นสถาบันไปได้

ขณะเดียวกัน มองว่าการปฏิรูปการเมืองของรัฐบาลเป็นเรื่องหลอกลวง เพราะที่ผ่านมา การเมืองไทย อำนาจบริหารและอำนาจทุนเป็นเรื่องเดียวกัน

พร้อมกันนี้ นายสนธิ ยังกล่าวยืนยันด้วยว่า การยุติบทบาทของกลุ่มพันธมิตรฯ นั้น ไม่ได้รับเงินจาก พ.ต.ท.ทักษิณ อย่างที่หลายฝ่ายเข้าใจแน่นอน.

โดย: ไทยรัฐออนไลน์
///////////////////////////////////////////////////////////////////

วันอาทิตย์ที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2556

เปิดรายชื่อผู้ร่วม สภาปฏิรูปฯ !!??

 รายชื่อบุคคลที่ร่วมเวทีสภาปฏิรูปการเมือง ภายใต้ชื่อ "เดินหน้าปฏิรูปประเทศไทย พัฒนาประชาธิปไตย และประเทศร่วมกัน" ณ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล ในวันนี้ เเบ่งเป็นภาคการเมือง 25 คน คือนายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานรัฐสภา นายนิคม ไวยรัชพานิช ประธานวุฒิสถา นายบรรหาร ศิลปอาชา อดีตนายกฯ พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกฯ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกฯ นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา อดีตประธานรัฐสภา นายพิชัย รัตตกุล อดีตประธานรัฐสภา นายอุทัย พิมพ์ใจชน อดีตประธานรัฐสภา นายโภคิน พลกุล อดีตประธานรัฐสภา นายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย นายธีระ วงศ์สมุทร หัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา นายวรรณรัตน์ ชาญนุกูล หัวหน้าพรรคชาติพัฒนา นายอนุทิน ชาญวีรกุล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย พลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน หัวหน้าพรรคมาตุภูมิ นายภูมิธรรม เวชยชัย เลขาธิการพรรคเพื่อไทย นายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล ที่ปรึกษาพรรคชาติไทยพัฒนา นายพิมล ศรีวิกรม์ อดีตส.ส. พล.ต.อ.โกวิท ภักดีภูมิ ส.ว.นายประสิทธิ์ โพธสุธน ส.ว. นายกฤช อาทิตย์เเก้ว ส.ว.นายประเสริฐ ประคุณศึกษาพันธ์ ส.ว. นายประวัติ ทองสมบูรณ์ ส.ว.นายสุชน ชาลีเครือ อดีตประธานวุฒิสภา

ภาควิชาการเเละเอ็นจีโอ 14 คน นายกระมล ทองธรรมชาติ อดีตประธานศาลรัฐธรรมนูญ นายโคทม อารียา อดีต กกต. นายศุภชัย ยาวะประภาษ คณบดีรัฐศาสตร์ จุฬาฯ ผศ.วุฒิศักดิ์ ลาภเจริญทรัพย์ อธิการบดี ม.รามคำเเหง นายวุฒิสาร ตันไชย รองเลขาธิการสถาบันพระปกเกล้า นายอนุสรณ์ ธรรมใจ กรรมการสถาบันปรีดีพนมยงค์ นายลิขิต ธีรเวคิน ราชบัณฑิต นายธีรภัทร์ เสรีรังสรรค์ ประธานสภาพัฒนาการเมือง นายเดโช สวนานนท์ รองประธาน สสร.2540 นายธงทอง จันทราศุ ปลัดสำนักนายกฯ นายกิตติพงษ์ กิตติยารักษ์ ปลัดกระทรวงยุติธรรม ศ.นพ.รัชตะ รัชตะนาวิน อธิการบดีม.มหิดล นายคณิน บุญสุวรรณ สสร.2540

เอกชน 11 คน นายวีรพงษ์ รามางกูร ประธาน กยอ. นายอิสระ ว่องกุศลกิจ ประธานสภาหอการค้าไทย นายพยุงศักดิ์ ชาติสุทธิผล ประธานสภาอุตสาหกรรมเเห่งประเทศไทย นายชาติศิริ โสภณพนิช ประธานสมาคมธนาคารไทย นางปิยะมาน เตชะไพบูลย์ ประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวเเห่งประเทศไทย นายมนัส โกศล ประธานสภาองค์การลูกจ้างพัฒนาเเรงงานเเห่งงประเทศไทย นายอุกฤษณ์ กาญจนเกตุ รักษาการผอ.สภาองค์การนายจ้างเเห่งประเทศไทย นายประสิทธิ์ บุญเฉย นายกสมาคมชาวนาไทย นายโอกาส เตพละกุล ประธานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจเเละสังคมเเห่งชาติ นายวิเชียร ชุบไธสง อุปนายกสภาทนายความ นางสุพัฒนา อาทรไผท รองประธานสภาสตรีเเห่งชาติ

ภาคประชาชน 19 คน นายประพัฒน์ ปัญญาชาติรักษ์ ประธานสภาเกษตรกรเเห่งชาติ นางประทีป อึ้งทรงธรรม ฮาตะ เลขาธิการมูลนิธิดวงประทีป นางมุกดา อินต๊ะสาร ประธานคณะทำงานเครือข่ายสวัสดิการชุมชน นางธิดา ถาวรเศรษฐ ประธาน นปช. นายชัยมงคล ไชยรบ นายกสมาคมองค์การบริหารส่วนจังหวัดเเห่งประเทศไทย นายวิชัย บรรดาศักดิ์ นายกสมาคมสันนิบาตเทศบาลเเห่งประเทศไทย นายนพดล เเก้วสุพัฒน์ นายกสมาคมองค์การบริหารส่วนตำบลเเห่งประเทศไทย นายยงยศ เเก้วเขียว นายกสมาคมกำนันผู้ใหญ่บ้านเเห่งประเทศไทย นายสุพัฒน์ อาษาศรี เลขาธิการ สนนท.

สื่อมวลชน 3 คน นายสมชาย กรุสวนสมบัติ ผู้เเทน น.ส.พ.ไทยรัฐ นายฐากูร บุนปาน ผู้เเทน น.ส.พ.มติชน นางประภา เหตระกูล ผู้เเทน น.ส.พ.เดลินิวส์

หน่วยงานเพิ่มเติม 3 คน นายธวัชชัย ยงกิตติกุล เลขาธิการสมาคมธนาคารไทย นายอาณัฐชัย รัตตกุล ผอ.ศูนย์นโยบายสาธารณะเเละการจัดการ นายพรชัย ปุณณวัฒนาพร ผู้ช่วย บก.น.ส.พ.เดลินิวส์

ที่มา.เนชั่น
/////////////////////////////////////////////////////

วันเสาร์ที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2556

เฉลิม-สุเทพ ดวลเดือดพรบ.งบฯ ดีเอสไอ. !!??



อีกไฮไลท์ที่น่าสนใจของการอภิปรายร่างพรบ.งบประมาณปี2557 ในวันนี้ก็คือการตอบโต้ระหว่างร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รมว.แรงงาน กับนายสุเทพ  เทือกสุบรรณ สส.สุราษฎร์ธานี พรรคประชาธิปัตย์ กรณีการใช้งบประมาณสำหรับทำคดีพิเศษที่ส่อว่าจะเป็นการเลือกปฏิบั ติทางการเมือง

สถานการณ์ร้อนที่ว่าถูกจุดชนวนขึ้นโดย นายวัชระ เพชรทอง สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ ที่อภิปรายว่า การทำงานของดีเอสไอไม่มีประสิทธิภาพ  ไม่มีคุณธรรม ไม่เที่ยงธรรม

คดีใหญ่ๆ เช่นคดีฆ่านายเอกยุทธ์ อัญชันบุตร นักธุรกิจชื่อดัง กลับไม่รับเป็นคดีพิเศษ แต่รับคดีการโพสต์ภาพของน.ส.มัลลิกา บุญมีตระกูล รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ รวมทั้งคดีเงินบริจาคเข้าพรรคประชาธิปัตย์ด้วย ซึ่งนายธาริตต้องการเอาใจรัฐบาล

จากนั้น ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง  รมว.แรงงาน  ลุกขึ้นใช้สิทธิ์พาดพิงชี้แจงว่า  การรับคดีใดเป็นคดีพิเศษ ไม่ได้อยู่ที่ใครคนใดคนหนึ่ง ต้องมีการตรวจสอบ และมีพยานหลักฐาน ถ้ามีหลักฐานเพียงพอก็สั่งเรื่องให้คณะกรรมการคดีพิเศษพิจารณาว่าจะรับเป็นคดีพิเศษหรือไม่  ที่ผ่านมาตนทำหน้าที่เป็นประธานมา 2 ปี มีการรับคดี 98 ศพ มาเป็นคดดีพิเศษ ก็ถูกกล่าวหาว่าเป็นคนกลั่นแกล้ง ทั้งที่เวลานี้อัยการดำเนินการสั่งฟ้องแล้ว ไม่มีใครแกล้งใคร และไม่มีนักการเมืองคนไหนสามารถจะแกล้งพรรคประชาธิปัตย์ได้  การเมืองไม่มีใครกลัวใคร ไอ้ที่พูดคือพวกไม่รู้ภาษา อย่ามากล่าวหาว่าพวกตนกลั่นแกล้ง

ทำให้ นายสุเทพ  เทือกสุบรรณ สส.สุราษฎร์ธานี พรรคประชาธิปัตย์ ลุกขึ้นประท้วงว่า  เป็นการกล่าวคำเท็จในสภาฯ ที่บอกว่า อัยการสั่งฟ้องคดี 98 ศพ นั้น ข้อเท็จจริงดีเอสไอได้สั่งฟ้อง แต่อัยการยังไม่ได้สั่งฟ้อง  ร.ต.อ.เฉลิม จึงลุกขึ้นโต้ว่า ดีเอสไอได้สั่งฟ้องแล้ว

นายสุเทพ ลุกขึ้นโต้อีกว่า ก่อนหน้านี้ได้เดินทางไปพบอัยการ ก็มีการชี้แจงว่ายังพิจารณาไม่เสร็จ จึงเลื่อนนัดพิจารณาไปเป็นวันที่ 26 ส.ค.นี้ การที่ร.ต.อ.เฉลิม บอกว่ารู้ล่วงหน้า ทำให้เคลือบแคลงใจว่ารู้ได้อย่างไร  หรือฝ่ายการเมืองจะข้าไปเกี่ยวข้องกับกระบวนการยุติธรรม ทั้งที่ไม่มีหน้าที่ หรือแอบสั่งการอัยการไว้แล้ว หากเป็นเช่นนี้ตนก็จะดำเนินการอีกคดีหนึ่ง

ทำให้ ร.ต.อ.ฉลิม ลุกขึ้นตอบโต้ว่า ถ้านักการเมืองคนไหนไปสั่งให้ดีเอสไอสอบสวนคดีนี้ ขอให้นักการเมืองคนนั้นวิบัติ  และคณะกรรมการไม่ตั้งในสมัยตน ตั้งในสมัยพรรคประชาธิปัตย์ ที่ต้องการจัดการกับคนเสื้อแดง มันอุบาทว์ ทำให้นายสุเทพ  ลุกขึ้นประท้วงว่าใช้คำหยาบในสภาฯ และขอให้ประธานสั่งให้ ร.ต.อ.เฉลิม ถอนคำพูด แต่ ร.ต.อ.เฉลิม ไม่ยอมถอน ทำให้ นายเจริญ ต้องสั่งให้ ร.ต.อ.เฉลิม ออกจากห้องประชุม

ด้านนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ลุกขึ้นใช้สิทธิ์พาดพิงว่า  คดี 98 ศพ ยังไม่มีการดำเนินคดี  ที่ผ่านมา เป็นคดีที่ตนเองและนายสุเทพ ถูกดีเอสไอดำเนินคดี เป็นการเสียชีวิตของนายพัน คำกอง และด.ช. คุณากร ศรีสุวรรณ  ที่เสียชีวิตในช่วงการชุมนุม  ซึ่งก็ต้องไปสืบสวนหาข้อเท็จจริงในรายละเอียด จากนั้นนายเจริญ ได้ไกล่เกลี่ยให้เข้าสู่การอภิปรายต่อไป

การอภิปรายของ ร.ต.อ.เฉลิม ยังสร้างความไม่พอใจ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ยังลุกขึ้นประท้วงกรณีที่ ร.ต.อ.เฉลิม ระบุว่า พรรคประชาธิปัตย์ จะทำอะไรใครก็ได้
       
อย่างไรก็ตาม นายเจริญ ได้พยายามควบคุมให้การอภิปรายเป็นไปด้วยความเรียบร้อย และเชิญ ร.ต.อ.เฉลิม ออกนอกห้องประชุม ให้การอภิปรายอยู่ในประเด็นโดยไม่กล่าวหาพาดพิงบุคคลอื่น ซึ่งกรณีดีเอสไอ จะรับเรื่องใดเป็นคดีพิเศษ ก็ขอให้เป็นอำนาจหน้าที่ของดีเอสไอเอง
       
ทั้งนี้ เมื่อไม่สามารถยุติความวุ่นวายได้ จึงเชิญร.ต.อ.เฉลิม ออกนอกห้องประชุมเพื่อทำให้บรรยากาศผ่อนคลายลง แต่ก็ยังมีการประท้วงอย่างต่อเนื่อง

สำหรับงบประมาณในมาตรา 18 ของกระทรวงยุติธรรมที่เกิดการถกเถียงกันอย่างหนัก โดยเฉพาะงบประมาณของกรมสอบสวนคดีพิเศษ ซึ่งถูกจับตามองว่าเป็นไปเพื่อทำงานรับใช้ฝ่ายการเมืองหรือไม่

มาตรา ๑๘ งบประมาณรายจ่ายของกระทรวงยุติธรรมและหน่วยงานในกำกับ ให้ตั้งเป็นจำนวน ๑๙,๗๓๕,๔๕๒,๘๐๐ บาท จำแนกดังนี้

 ๑. สานักงานปลัดกระทรวงยุติธรรมรวม ๖๘๐,๕๒๗,๖๐๐ บาท
 ๒.กรมคุมประพฤติ ๑,๘๒๔,๖๙๐,๙๐๐ บาท
 ๓.กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ ๔๘๖,๙๐๕,๑๐๐ บาท
 ๔.กรมบังคับคดี ๘๕๔,๕๗๑,๐๐๐ บาท
 ๕.กรมพินิจคุ้มครองเด็กและเยาวชน ๑,๖๖๗,๘๒๕,๑๐๐ บาท
 ๖.กรมราชทัณฑ์ ๙,๗๕๗,๓๒๙,๙๐๐ บาท
 ๗.กรมสอบสวนคดีพิเศษ ๑,๐๘๘,๗๒๐,๕๐๐ บาท
 ๘.สำนักกิจการยุติธรรม ๑๘๑,๓๘๓,๗๐๐ บาท
 ๙.สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ๒๖๖,๘๖๖,๖๐๐ บาท
 ๑๐. สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ๒,๕๒๒,๔๒๘,๔๐๐ บาท
 ๑๑.สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทำทุจริตภาครัฐ ๒๗๑,๙๕๔,๕๐๐ บาท
 ๑๒. สถาบันอนุญาโตตุลาการ ๒๓,๑๖๒,๐๐๐ บาท
 ๑๓.สถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย ๑๐๙,๐๘๗,๕๐๐ บาท

กรมสอบสวนคดีพิเศษแห่งราชอาณาจักรไทย เป็นหน่วยงานของรัฐ สังกัด กระทรวงยุติธรรม เพื่อป้องกัน ปราบปราม และควบคุมอาชญากรรมที่มีผลกระทบอย่างร้ายแรงต่อเศรษฐกิจ สังคม ความมั่นคงและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ

กรมสอบสวนคดีพิเศษก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2545 ตามพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม พ.ศ. 2545 ใช้ชื่อภาษาอังกฤษว่า Department of Special Investigation มีชื่อย่อว่า DSI

กรมสอบสวนคดีพิเศษมีบทบาทภารกิจดังต่อไปนี้

ป้องกัน ปราบปรามและควบคุมอาชญากรรมที่มีผลกระทบร้ายแรงต่อเศรษฐกิจ สังคม ความมั่นคง และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ

พัฒนา กฎหมาย กฎระเบียบ รูปแบบ วิธีการ และมาตรการในการป้องกัน ปราบปรามและควบคุมอาชญากรรมที่มีผลกระทบอย่างร้ายแรงต่อเศรษฐกิจ สังคม ความมั่นคง และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
 
พัฒนาโครงการและการบริหารจัดการองค์กร
 
พัฒนาบุคลากรโดยเสริมสร้างศักยภาพในด้าน ความรู้ ความสามารถ คุณธรรม จริยธรรม และขวัญกำลังใจ
 
ประสานส่งเสริมเครือข่าย ความร่วมมือในการป้องกัน ปราบปรามและควบคุมอาชญากรรมกับทุกภาคส่วนทั้งภายในและต่างประเทศ

ที่มา.คอลัมน์ : เจาะข่าวร้อนล้วงข่าวลึก
///////////////////////////////////////////////////////////////////////

รบ.วางรากฐาน การเติบโตที่ยั่งยืน !!??

ขณะที่เศรษฐกิจไทยอยู่ในภาวะเสี่ยง และมีแนวโน้มที่เดินเข้าสู่เส้นทางของความยากลำบากมากขึ้น จากที่สภาพัฒน์ได้แถลงตัวเลขเศรษฐกิจไตรมาส 2 ของไทย ที่พบว่ามีการขยายตัวเพียง 2.8% ทั้งปรับลดคาดการณ์เติบโตของเศรษฐกิจทั้งปีลงมาอยู่ที่ 3.8-4.3% พร้อมปรับลดตัวเลขส่งออกจาก 7.6% ลดลงเหลือ 5% จนทำให้หลายฝ่ายตั้งข้อสังเกตว่าเศรษฐกิจไทยกำลังจะเดินสู่ "ภาวะเศรษฐกิจถดถอย" หรือไม่

สอดคล้องกับที่เกิดคำถามและกระตุ้นเตือนจากหลายภาคส่วน รวมทั้ง นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่มองว่า เศรษฐกิจไทยในช่วงที่ผ่านมาขาดการวางรากฐานเพื่อการสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน เพราะการดำเนินนโยบายของรัฐบาลที่ผ่านมาเป็นนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจที่ให้ผลระยะสั้น โอกาสนี้ได้สัมภาษณ์พิเศษ นายประสารถึงมุมมองต่อปัญหา แนวคิด และกลไกที่จะขับเคลื่อนไปสู่การวางรากฐานการเติบโตของเศรษฐกิจไทยอย่างยั่งยืน

- แนวทางสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน

เพราะนโยบายเศรษฐกิจของประเทศในช่วงหลัง ๆ เป็นการมองระยะสั้น โดยเฉพาะนโยบายด้านการเงินการคลังช่วง 2 ปีที่ผ่านมา เป็นนโยบายด้านดีมานด์ที่กระตุ้นเศรษฐกิจให้เกิดผลระยะสั้นเป็นหลัก ซึ่งหากพูดกันแค่นี้คงไม่สามารถพาประเทศเจริญก้าวหน้าอย่างยั่งยืนในระยะยาวได้ เช่น นโยบายการเงินส่วนใหญ่มีวัตถุประสงค์ดูแลเสถียรภาพ ไม่ว่าจะเป็นดอกเบี้ยหรืออัตราแลกเปลี่ยน ส่วนนโยบายการคลังก็พูดถึงเรื่องการใช้จ่ายเพื่อกระตุ้นให้เกิดการอุปโภคบริโภค อย่างโครงการรถคันแรก เหล่านี้ไม่มีผลเป็นลูกโซ่ให้ประเทศเข้มแข็งในระยะยาว จึงเป็นจุดเริ่มต้นที่ดึงให้คนหันมาสนใจด้านซัพพลาย ที่จะเป็นตัวพัฒนาประเทศให้เข้มแข็งในระยะยาวและยั่งยืนได้ ซึ่งหมายถึงการสร้างความพร้อมของประเทศในด้านต่าง ๆ ได้แก่ ด้านโครงสร้างพื้นฐาน คุณภาพคน ด้านความรู้เทคโนโลยี วัฒนธรรม และความพร้อมของตลาดแรงงาน เหล่านี้คือซัพพลายไซด์ที่จะเป็นรากฐานของการสร้างความยั่งยืนของเศรษฐกิจประเทศ

- มีกลไกหรือเครื่องมืออะไรที่จะทำให้ฝ่ายการเมืองเห็นพ้อง

ก็เป็นความท้าทาย เวลานี้ก็เห็นบทเรียน อย่างอียิปต์มีเลือกตั้ง อีกข้างหนึ่งก็ล้ม มีความขัดแย้งกัน เราก็หวังว่าในบ้านเราจะไปแบบสันติได้ เรื่องนี้ต้องทำความเข้าใจกันทุกฝ่าย เริ่มต้นต้องมีฝ่ายคิดจากนักวิชาการต่าง ๆ ฝ่ายการเมือง ฝ่ายประชาชน และภาคเอกชน ต้องประกอบกันหมด คนที่คิดก็ต้องคิดอย่างมีหลักการ มีเหตุผล ฝ่ายการเมืองที่อาศัยฐานประชาชน หากการมีส่วนร่วมประชาชนมีทั้งปริมาณและคุณภาพก็จะมีพลังมากขึ้น สำหรับภาคเอกชนที่มีบทบาทเยอะในทางเศรษฐกิจก็ต้องสร้างแรงจูงใจให้ดี พร้อมกับมีหลักธรรมาภิบาลรวมถึงการใช้กฎหมายหรือแผนพัฒนาเศรษฐกิจ เพื่อให้ผู้นำทางการเมืองต้องมีหน้าที่ประกาศวิสัยทัศน์และนโยบายที่มีความต่อเนื่อง อย่างเรามีแผนพัฒนาเศรษฐกิจตามกรอบเวลา 5 ปี เวลาฝ่ายการเมืองออกนโยบาย แม้จะเป็นระยะสั้นก็ต้องอ้างอิงถึง อย่าทำอะไรที่ขัดกัน

- ในส่วนของ ธปท.ทำอะไรได้บ้าง

ธปท.ก็พยายามทำส่วนของเรา เช่น ที่จะจัดสัมมนาเชิงวิชาการในเดือน ก.ย.นี้ หัวข้อ "การวางรากฐานสู่การเติบโตอย่างยั่งยืนของเศรษฐกิจไทย" เพราะก็รู้อยู่ว่าเครื่องมือที่มีอยู่ เช่น นโยบายการเงิน ก็ทำได้ระดับหนึ่งในการดูแลเสถียรภาพระยะสั้น ที่เปิดโอกาสให้เสริมศักยภาพในระยะยาวได้ แต่การจะสร้างศักยภาพระยะยาว เรารู้ว่าข้อจำกัดนโยบายการเงินไปไม่ถึง ก็พยายามสร้างความรู้ความเข้าใจร่วม เปิดเวทีให้คนแลกเปลี่ยนความคิดเห็นช่วยกันในมุมต่าง ๆ

- จะทำอย่างไรไม่ให้เรื่องนี้อยู่แค่ในวงวิชาการ

เชื่อว่าทางการเมืองก็คงจะนำไปคิดบ้าง เพราะเราพยายามจะพูดเสมอว่า การกระตุ้นอุปโภคบริโภค หากทำเพราะเกิดน้ำท่วมใหญ่ ชุมนุมทางการเมือง สึนามิแบบญี่ปุ่น การกระตุ้นช่วงสั้น ๆ ก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าเป็นการกระตุ้นด้วยการลงทุนจะยั่งยืนกว่า โดยเฉพาะที่ประเทศไทยเวลานี้มีการลงทุนน้อยกว่าในอดีต เดิมมีงบฯลงทุนกว่า 20% ของจีดีพี เวลานี้ก็เหลือเพียง 15-16% ทำให้งบฯลงทุนแต่ละปีก็น้อย

ตอนนี้รัฐบาลก็มีการพูดถึงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน แต่เราก็ยังมีเรื่องที่ไม่อยากให้ทำต่อเนื่องไปเยอะ เช่น โครงการรับจำนำข้าว รถยนต์คันแรก

- ลงทุน 2 ล้านล้านถือว่าตอบโจทย์ความยั่งยืนหรือไม่

เรื่องนี้เป็นโจทย์ 2 อันซ้อน ถ้าถามถึงความจำเป็นลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน แน่นอนเราสนับสนุนให้มีนโยบายที่ทำต่อเนื่อง เพราะเวลานี้ค่าใช้จ่ายโลจิสติกส์ของไทย 15% ของจีดีพี แต่ของอเมริกาแค่ 8% ของจีดีพี พูดง่าย ๆ เราสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ 100 บาท เสียไปกับค่าขนส่ง 15 บาท แต่อเมริกาเสียแค่ 8% เท่านี้เราก็เสียเปรียบแล้ว

แต่คำถามที่สองต่อมา คือ โครงการใด และวิธีการใด ตรงนี้มีรายละเอียดที่มีการตั้งคำถาม อย่างเช่น ไฮสปีดเทรน เหมาะสมหรือไม่ หรือการลงทุนจะใช้เงินงบประมาณรายปีได้หรือไม่ เพราะการใช้เงินกู้นอกงบประมาณ จะไม่มีกระบวนการตรวจสอบถ่วงดุลต่าง ๆ อันนี้ก็มีความเห็นที่หลากหลาย มีรายละเอียดที่มีความซับซ้อน ถ้าไม่เอาข้อมูลมากางก็คงไม่สามารถตัดสินได้

- เรื่อง 2 ล้านล้านรัฐบาลควรเอาข้อมูลมากางก่อนตัดสินใจ

บนเวทีสัมมนาวิชาการของ ธปท.จะมีการเสนอ 6 หัวข้อ จะมีเรื่องกฎหมายธรรมาภิบาลอยู่ด้วย ซึ่งก็จะสามารถแก้โจทย์ข้อสองได้ จะมีการนำเสนอการศึกษาเรื่องเกี่ยวกับกติกาภาครัฐ และประสิทธิภาพของตลาด ก็จะเกี่ยวกับสเตรตคอนโทรลหรือไม่สเตรตคอนโทรล เช่น เรื่องจำนำข้าว และเรื่องวัฒนธรรม สถาบันและการเติบโตระยะยาว ที่พูดถึงเรื่องธรรมาภิบาล คอร์รัปชั่น เพราะในขณะที่เราอยากเห็นการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน แต่ในโลกแห่งความเป็นจริงก็จะมีเรื่องคอร์รัปชั่น ความไม่โปร่งใสเข้ามา ดังนั้น ซัพพลายไซด์ไม่ใช่เรื่องของแรงงานหรือเรื่องการเพิ่มประสิทธิภาพเท่านั้น ก็ต้องมีเรื่องกฎกติกาต่าง ๆ ที่เข้ามาเป็นเครื่องมือสร้างหลักธรรมาภิบาลด้วย

- ในแง่เอกชนต้องให้การสนับสนุนอะไรเป็นพิเศษหรือไม่

ภาคเอกชนมีความตระหนักรู้อยู่แล้ว ไม่ใช่โจทย์ใหม่ แต่ว่าสิ่งที่เราต้องเพิ่มคือระดับนโยบาย ตั้งแต่การแถลงทิศทางของประเทศ และนโยบายที่เกี่ยวข้องต้องออกมาเป็นขบวนและสอดคล้องกัน ประกาศแนวทางที่ชัดเจนของประเทศ ให้เขารู้ว่าประเทศกำลังเดินไปในทิศไหน พร้อมกับการสร้างแรงจูงใจที่เหมาะสม คืออย่าไปสร้างอุปสรรคให้กับภาคธุรกิจ

- ความเสี่ยงในครึ่งปีหลังมีอะไรบ้าง

ไม่มีอะไรที่เป็นตัวหนัก ๆ ที่จะมาน็อกเอาต์ ให้ปัจจัยสนับสนุนการทำงานของเศรษฐกิจไม่ทำงาน อาจมีเร่งไปบ้าง พักฐานบ้างในบางช่วง ส่วนความเสี่ยงที่จับตามอง เรื่องความผันผวนในตลาดการเงินโลกยังมีอยู่ ขณะที่การฟื้นตัวของเศรษฐกิจหลักยังไม่แข็งแรงเต็มที่ ดังนั้น ธปท.ยังติดตามความเสี่ยงอยู่

ปัจจัยเสี่ยงในประเทศ คือ ระดับหนี้ของภาคครัวเรือนที่เพิ่มขึ้น จะกระทบสภาพคล่องของผู้บริโภค มีผลต่อกำลังซื้อ แม้รายได้ประชากรไม่ตก แต่การมีหนี้เพิ่มขึ้นย่อมฉุดกำลังซื้อออกไป ดังนั้นเราจึงต้องติดตามว่า การผิดนัดชำระหนี้จะมีผลต่อกำลังซื้ออย่างไร ความเสี่ยงอีกเรื่องคือ แรงกระเพื่อมทางการเมือง ไม่แน่ใจว่าจะกระทบต่อนโยบายการลงทุนหรือไม่ หากโครงการลงทุน 2 ล้านล้าน มีข้อโต้แย้งทางกฎหมายอยู่ อาจมีผลทำให้เลื่อนลงทุนออกไป แต่หากภาครัฐมีแผนสำรอง โดยใช้กรอบงบประมาณปกติซึ่งสามารถนำมาใช้ได้ทันเวลาก็สามารถช่วยได้ คงไม่เสียหายมากนัก

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
/////////////////////////////////////////////////////////

วันศุกร์ที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2556

ภาคเอกชนวอน..สภาไทย อย่าเลียนแบบไต้หวัน !!??

บางคนชอบใจแต่บางคนเน็จอนาจใจอับอายขายหน้าชาวโลกที่การประชุมรัฐสภาของผู้ทรงเกียรติช่วง2-3 วันที่ผ่านมาปั่นป่วนสับสนวุ่นวายสภาไทยกลายเป็นเหมือนสภาไต้หวันไปเสียแล้ว  นับเป็นบทเรียกแรกกับประเด็นแก้ไขรัฐธรรมนูญว่าด้วยที่มาของส.ว.ยังยืดเยื้อนบานปลายเท่านี้ ต่อไปถึงคิวพิจาณาพ.ร.บ.งบประมาณปี 57,พ.ร.บ.  เงินกู้ 2 ล้านล้านบาท พ.ร.บ.บริหารจัดการน้ำ 3.5 แสนล้านบาทยิ่งจะไม่ยื้อกันไปใหญ่โตทำร้ายเศรษฐกิจที่กำลังจมน้ำอยู่เวลาให้ดำดิ่งยิ่งนักแล้วประชาชนคนรากหญ้ายิ่งจะลำบากแสนเข็ญเดือนร้อนกว่าเก่า
   
ไม่เท่านั้น หากเป็นพ.ร.บ.นิรโทษกรรม พ.ร.บ.ปรองดองหรือพ.ร.บ.แก้ไขรัฐธรรมนูญว่าด้วยเรื่องอื่นๆประเทศนี้เข้าสู่การพิจารณาของสภา  จะยิ่งขัดแย้งรุนแรงกลายเป็นชนวนเกิดสงครามกลางเมืองเอาตัวอย่างอียิปต์ก็ได้
   
ดังนั้น วันนี้มารับฟังความคิดเห็นของภาคเอกชนว่าเขามองการประชุมสภาอย่างไรและเขาขอฝากวิงวอนอะไรเพื่อบ้านเพื่อเมือง เพื่อประชาชนคนจนๆกันบ้าง

พยุงศักดิ์  ชาติสุทธิผล
ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย

ภาคเอกชนมองการประชุมรัฐสภาพิจารณาเรื่องแก้ไขรัฐธรรมนุญว่าด้วยที่มาของส.ว.1-2 วันที่ผ่านมาเป็นอย่างไรและเห็นว่าควรเป็นอย่างไร
   
คงไม่อยากวิพากษ์วิจารณ์มากนัก แต่ว่าการประชุมนั้นก็มีกฎระเบียบอยู่ การประชุมแล้วประชุมให้แล้วเสร็จจะเป็นเรื่องที่ดีต่อส่วนรวม ผมคิดว่าอย่างนั้นคงไม่อยากวิจารณ์ในเชิงลึก  ผมคิดว่าคงเข้าใจกันได้ว่า สิ่งที่ออกมานั้นสะท้อนถึงอะไรบ้าง ไม่ว่าเรื่องอะไร คิดว่ามีการประชุมตามกฎระเบียบของการประชุมตามขั้นตอนอะไรต่างๆในระเบียบวินัยที่เขาใช้อยู่ในสภา  โดยปกติอยู่แล้วจะดีกว่า
   
แต่ช่วงหลังๆการประชุมสภาของเรารู้สึกจะมีเรื่องของอะไรที่ไม่เคยเป็นมาก่อนในอดีตมากขึ้น ไม่ว่าครั้งก่อนที่มีความวุ่นวายอยู่ช่วงหนึ่ง มาคราวนี้รู้สึกว่าจะเยอะกว่าคราวที่แล้วอีกด้วย

ต่างประเทศเขามองการเมืองเราแบบว่าด้อยประชาธิปไตยหรือด้อยพัฒนาหรือเปล่า
     
เมื่อเป็นอย่างนี้คงอยู่ที่ความเข้าใจด้วย จริงๆเขาคงอยากเห็นการประชุมที่ไปตามเหตุผล กฎระเบียบที่มีอยู่แล้ว ทำให้ให้เห็นไปตามกฎระเบียบที่ใช้กันมานานแล้ว

 ความคิดเห็นที่แตกต่างของนักการเมืองในสภาจะแก้ไขได้อย่างไร
     
เข้าใจว่าประเด็นความเห็นเขามีต่างกันมากอยู่แล้วสุดท้ายก็คงใช้วิธีการของสภาในการที่จะพูดคุยกันนะครับ

 การประชุมแก้ไขรัฐธรรมนูญว่าด้วยที่มาของส.ว.ยังยืดเยื้อวุ่นวายมากขนาดนี้แล้วการพิจารณาพ.ร.บ.งบประมาณ พ.ร.บ.เงินกู้ 2 ล้านล้านบาท พ.ร.บ.การบริหารจัดการน้ำ 3.5 แสนล้านบาท ถ้ายืดเยื้ออีกจะมีปัญหาต่อประเทศเพราะกระทบเศรษฐกิจที่กำลังชะลอตัวลง
     
ใช่ ครับ ถ้าหากยืดเยื้อเราจะเสียเวลาในการแก้ไขปัญหาที่มีอยู่ รวมทั้งด้านการพัฒนาและทุกคนคงอยากจะเห็นการพัฒนาทางด้านต่างๆมากขึ้น

จิตติ ตั้งสิทธิ์ภักดี
นายกสมาคมค้าทองคำ

 ขอความเห็นกรณีการประชุมรัฐสภาพิจารณาแก้ไขรัฐธรรมนูญเกิดความวุ่นวายเรื่องที่มาของส.ว.นั้นเป็นอย่างไร
     
เท่าที่รับฟังๆมาแล้วมันไม่ดีหรอก ครับ ไม่ดีเหมือนกับสภาไต้หวัน ไม่ว่าใครถูกหรือใครผิด  ดูภาพรวมที่ปรากฎออกมาแล้วไม่ดี

การประชุมสภายิ่งวุ่นวายยิ่งกระทบภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงอยู่ในขณะนี้
     
ผมว่ามันควรจะหาวิธีพูดคุยกัน น่าจะคุยกันดีๆ ไม่อยากให้มีปัญหา ตอนนี้ปัญหาเศรษฐกิจที่เป็นอยู่ยิ่งถดถอยก็ไม่ดีอยู่แล้ว
     
ผมว่าแต่ละคนช่วยกันถอยออกมาสักนิดหนึ่ง แล้วพูดคุยกันก็จะดีนะครับ
ถ้าต่างคนต่างถือทิฐิ มันก็มีปัญหาถ้าคุยกันแล้วได้ตกลงกันได้  น่าจะดีเหมือนกันน่าจะเป็นที่ออกที่ดีที่สุดของประเทศ

พล.อ.เอกชัย ศรีวิลาศ
ผอ.สำนักสันติวิธีและธรรมาภิยาล สถาบันพระปกเกล้า

ขอความเห็นต่อการประชุมรัฐสภาที่เกิดความวุ่นวายขึ้น
     
ผมคิดว่าไม่น่าที่จะเกิดอะไรวุ่นวายแบบนี้ ไม่เคยเห็นกันมาก่อน อีกหน่อยคงเป็นเหมือนกับสภาไต้หวันแล้วจะเห็นความวุ่นวาย บางทีผุ้หญิงก็มาขว้างสิ่งของหรือมีชกต่อยกัน ซึ่งไม่ดีเลย ตอนนี้ประเทศเราถือว่าเป็นประเทศที่เรียกได้ว่าพัฒนาแล้ว การประชุมสภาน่าจะมีความเป็นอะไรที่อาริยะมากกว่านี้
     
ขอฝากไปถึงทุกฝ่ายการทำแบบนี้ไม่ทำให้ใครได้ประโยชน์มีแต่ประเทศชาติที่เสียประโยชน์ ประเทศของเราจะตกต่ำไปลงไปเรื่อยๆ  ยิ่งเวลานี้เศรษฐกิจโลกไม่ดี ประชาชนคนไทยส่วนใหญ่รายได้น้อย ข้าวงยากหมากแพงยิ่งจะเดือดร้อน น่าจะออกกฎหมายหรือบังคับใช้กฎหมายที่จะมีผลออกมาช่วยเหลือคนส่วนใหญ่ของประเทศได้
     
ความจริงแล้วน่าที่จะยอมโดนอ่อนผ่อนให้กันขอกันทีแบบนี้ไปก่อนได้ใหม่ คราวหน้าค่อยว่าแก้กันใหม่ ยอมกันบ้างก็ได้ ตอนนี้ต่างฝ่ายเขาคงคิดว่าไม่มีทางออก ต้องเอาชนะกันใหม่ได้ แต่ผมว่าจริงๆทางออกมีเยอะแยะ เพียงแต่ไม่เลือกเอาเท่านั้น

  ที่มา.สยามรัฐ
////////////////////////////////////////////////////

พาณิชย์ดิ้น ปรับวิธีประมูลข้าว !!??

นิวัฒน์ธำรง” ชง กขช. อนุมัติขายตรงข้าวในสต็อก ให้รัฐวิสาหกิจ-เอกชนต่างประเทศ พร้อมปรับเงื่อนไขประมูลใหม่ เตรียมหารือชาวนาถกแนวทางจำนำรอบใหม่ 2556/57 พร้อมดึงเงินกองทุนส่งออก 240 ล้านบาท วางมัดจำระบายข้าวผ่านเอเฟต ล็อตแรก 1.4 แสนตันต้น ก.ย.นี้
   
นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พาณิชย์ เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะอนุกรรมการระบายข้าว ได้พิจารณาแนวทางการระบายข้าวในสต็อกรัฐบาลเพิ่มเติม โดยเห็นชอบแนวทางการเปิดระบายข้าวให้กับรัฐวิสาหกิจในต่างประเทศ หรือเอกชนต่างประเทศที่ติดต่อขอซื้อเข้ามาโดยตรง แต่มีเงื่อนไขว่า จะต้องซื้อข้าวสต็อกรัฐไม่ต่ำกว่าราคาประมูลทั่วไป และราคาที่แบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) ให้กับต่างประเทศ พร้อมกับจะต้องมีการส่งออกจริง หรือมีเอกสารการส่งออกมายืนยัน
       
แนวทางดังกล่าวจะต้องเสนอให้คณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.) อนุมัติก่อน ซึ่งจะมีการประชุมวันที่ 26 ส.ค.นี้ เชื่อว่าวิธีการดังกล่าวจะทำให้รัฐบาลระบายข้าวในสต็อกได้มากขึ้น และขณะนี้ก็มีเอกชนต่างประเทศเข้ามาเสนอซื้อข้าวในสต็อกหลายราย ทั้งจากจีน และประเทศในตะวันออกกลาง
   
ส่วนวิธีการประมูลข้าวให้กับภาคเอกชนในประเทศ ยังจะใช้วิธีนี้อยู่ แต่จะมีการปรับหลักเกณฑ์การประมูลจากเดิมที่ให้ประมูลแบบยกคลัง เป็นสามารถซื้อย่อยแยกกองได้ เพื่อจูงใจให้เอกชนมาเข้าร่วมประมูลมากขึ้น
   
สำหรับการกำหนดราคารับจำนำข้าวเปลือกในโครงการรับจำนำฤดูกาล 2556/57  จะมีการหารือกับตัวแทนเกษตรกร ทั้งจากสภาเกษตรกรแห่งชาติ สมาคมส่งเสริมชาวนาไทย สมาคมชาวนาและเกษตรกรไทย และสมาคมชาวนาข้าวไทย เพื่อหารือถึงแนวทางการรับจำนำข้าวในรอบใหม่ ทั้งเรื่องราคาและหลักเกณฑ์ เมื่อได้ข้อสรุปจะนำแนวทางทั้งหมดเสนอให้ กขช.พิจาณาว่าจะเลือกแนวทางใด ก่อนเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติต่อไป คาดว่าหลักเกณฑ์ใหม่จะทันกับการเปิดรับจำนำข้าวฤดูกาลใหม่ในเดือน ต.ค.นี้
   
น.ส.วิบูลย์ลักษณ์ ร่วมรักษ์ อธิบดีกรมการค้าภายใน กล่าวภายหลังเป็นประธานประชุมชี้แจงโครงการประมูลข้าวสารในสต็อกของรัฐบาลผ่านตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้า (AFET) ว่า เพื่อให้เจ้าหน้าที่ของหน่วยงานภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงพาณิชย์ ตลอดจนภาคเอกชนที่สนใจ ได้ศึกษาหลักเกณฑ์และวิธีการในการประมูลเพื่อเตรียมความพร้อมก่อนเปิดประมูลข้าวในตลาดเอเฟต โดยการนำข้าวออกมาประมูลผ่านตลาดเอเฟต ถือเป็นการสะท้อนราคาตลาดที่แท้จริง และจะทำให้เกิดความโปร่งใส สามารถช่วยเหลือเกษตรกรได้มาก
   
สำหรับข้าวล็อตแรก จะเป็นข้าวขาว 100,000 ตัน และข้าวหอมมะลิ 40,000 ตัน รวมเป็น 140,000 ตัน ทั้งนี้ คาดว่าหลังจากการชี้แจงทำความเข้าใจแล้ว จะเริ่มประมูลรอบแรกในต้นเดือน ก.ย.นี้ และจะมีการรับมอบข้าวตั้งแต่เดือน พ.ค.นี้เป็นต้นไป
   
ส่วนการติดขัดในขั้นตอนการวางหลักทรัพย์ค้ำประกัน และค่าธรรมเนียมในการนำข้าวสต็อกรัฐบาลในการซื้อขายผ่านตลาดเอเฟต จำนวน 240 ล้านบาทนั้น นายนิวัฒน์ธำรงได้เห็นชอบที่จะนำเงินจากกองทุนส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศมาใช้ในการค้ำประกัน โดยระบุว่าไม่ได้ผิดหลักเกณฑ์ในการใช้เงินกองทุน เพราะเป็นเพียงการนำเงินมาค้ำประกันเท่านั้น.

ที่มา.ไทยโพสต์
/////////////////////////////////////////////

อัยการนัดสั่งคดี มาร์ค-สุเทพ กรณีคำสั่งสลายการชุมนุม !!??

นายวินัย ดำรงค์มงคลกุล อธิบดีอัยการสำนักงานคดีพิเศษ กล่าวถึงกรณีที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ส่งสำนวนพร้อมความเห็นสมควรสั่งฟ้องนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ อดีตนายกรัฐมนตรี และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ส.ส.สุราษฎร์ธานี อดีตรองนายกฯ และอดีตผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ผู้ต้องหาคดีร่วมกันก่อให้ผู้อื่นฆ่าและพยายามฆ่าคนตายโดยเจตนาเล็งเห็นผล จากกรณีที่ ศอฉ.มีคำสั่งใช้กำลังเจ้าหน้าที่ในการกระชับพื้นที่ เพื่อขอคืนพื้นที่การชุมนุมของกลุ่มแนวร่วมประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (นปช.) ระหว่างเดือนเมษายน-พฤษภาคม 2553 บริเวณถนนราชดำเนินและแยกราชประสงค์ ส่งผลให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตหลายราย เมื่อวันที่ 26 มิถุนายน ว่า ทางอัยการได้นัดสั่งคดีดังกล่าวในวันที่ 26 สิงหาคมนี้ ซึ่งขณะนี้กำลังอยู่ระหว่างประชุมคณะทำงานเพื่อพิจารณาสำนวนคดีว่าจะสามารถสั่งคดีในวันดังกล่าวได้ทันหรือไม่ โดยทางอัยการอาจจะแถลงความคืบหน้าให้ทราบอีกครั้งในวันที่ 26 สิงหาคม นี้

ส่วนกรณีที่ขณะนี้กำลังอยู่ระหว่างสมัยประชุมสภาจะต้องเลื่อนการสั่งคดีออกไปก่อนหรือไม่นั้น ทางนายอภิสิทธิ์และนายสุเทพก็ยังไม่ได้แจ้งขอเลื่อนมาแต่อย่างใด โดยคาดว่าคงจะต้องรอในวันดังกล่าวอีกครั้งว่าผู้ต้องหาจะขอเลื่อนนัดหรือไม่

อย่างไรก็ตาม หากทางอัยการมีความเห็นสั่งฟ้องผู้ต้องหา แต่ยังไม่สามารถนำตัวผู้ต้องหามายื่นฟ้องต่อศาลได้เนื่องจากติดสมัยประชุมสภา ก็คงจะต้องเลื่อนนัดออกไปก่อนจนกว่าจะปิดสมัยประชุมสภา

ที่มา.มติชน
///////////////////////////////////////////////////////

วรงค์หอบหลักฐานยัน ข้าวไทย ถูกตีกลับจริง !!??

นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม สส.พิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์ แถลงยืนยันกรณีข้าวไทยที่ส่งออกไปสหรัฐอเมริกา 4 หมื่นกิโลกรัม แต่ถูกตีกลับ 3.2 หมื่นกิโลกรัม โดยนำเอกสารใบขนสินค้าขาเข้าพร้อมแบบแสดงรายการภาษีสรรพสามิตและภาษีมูลค่าเพิ่มมาแถลงยืนยันด้วย นอกจากนี้ยังนำตัวอย่างข้าวที่ถูกตีกลับมาแสดงประกอบการแถลงข่าวด้วย

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เอกสารดังกล่าวระบุว่า นำข้าวหอมมะลิไทย (ข้าวขาว 100% ชั้น 2) บรรจุกระสอบ 2 ชั้น ซึ่งระบุในหมายเหตุว่าเป็นสินค้านำกลับ ตามใบขนขาออกส่งออกจำนวน 4,000 ถุง นำกลับ 3,200 ถุง นำเข้าเมื่อวันที่ 27 ก.ค. 2556 โดยต้นทางบรรทุกอยู่ที่สหรัฐอเมริกา และระบุท่าเรือนำเข้าคือสำนักงานศุลกากรท่าเรือแหลมฉบัง สถานที่ตรวจปล่อยคือ สถานี 3(c) รพท.การรถไฟ ฯ ลาดกระบัง สสล.?

ทั้งนี้ นพ.วรงค์ กล่าวว่า? ข้าวล็อตนี้เป็นข้าวของบริษัทเอกชน ที่ขายต่อเอกชนสหรัฐอเมริกาไม่ใช่ขายแบบรัฐต่อรัฐ ซึ่งขอไม่เปิดเผยชื่อบริษัทเอกชนดังกล่าว ?โดยประเด็นคือมีความเป็นห่วงว่า ข้าวที่สหรัฐฯตีกลับเพราะมีสารปลอมปนไม่ได้มาตรฐาน จะถูกนำกลับมาผสมขายในประเทศ เพราะเวลานี้กระจายออกจากท่าเรือไปหมดแล้ว ? และแม้ว่าสหรัฐฯจะมีมาตรฐานสูงในเรื่องการตรวจสอบคุณภาพนำเข้า แต่เรื่องนี้สร้างความวิตกว่าข้าวล็อตดังกล่าวจะมีสารปลอมปนเป็นอันตรายแค่ไหนอย่างไร รัฐบาลจึงควรส่งเจ้าหน้าที่ไปตรวจสอบว่าข้าวล็อตดังกล่าวที่ออกจากท่าเรือไปแล้วไปอยู่ที่ใดตอนนี้ รวมทั้งต้องหาหน่วยงานที่มีความน่าเชื่อถือมาตรวจสอบคุณภาพและแถลงให้ประชาชนทราบ

ที่มา.เนชั่น
//////////////////////////////////////////////

วันพฤหัสบดีที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2556

วิกฤตแรงงานไทยสะท้อนอันตราย นโยบายทุนนิยม !!??

นอกเหนือจากสถานการณ์เศรษฐกิจประเทศ  ที่ทุกฝ่ายยอมรับว่าครึ่งปีหลังนี้ต้องลุ้นระทึกว่า รัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์จะนำประเทศฝ่าฟันทุกอุปสรรคปัญหาไปได้หรือไม่ กับผลกระทบจากระบบทุนนิยม ก็คือการขยายตัวด้านอุตสาหกรรมก่อสร้างที่กำลังประสบวิกฤตด้านปริมาณแรงงาน และต้นทุนที่เพิ่มขึ้นจากนโยบายค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท

ทั้งนี้จากข้อมูลของสภาพัฒน์ฯ เมื่อเร็ว ๆ นี้  ระบุภาพรวมภาวะเศรษฐกิจประเทศ   พบว่าภาคการก่อสร้างในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปีนี้มีการขยายตัวเพียงร้อยละ 5 โดยเฉพาะการก่อสร้างภาคเอกชนที่ลดลงต่อเนื่อง เนื่องมาจากปัญหาแรงงานขาดแคลน ซึ่งถือเป็นปัญหาใหญ่ที่เรื้อรังมานานกว่า 1 ปี จนทำให้การก่อสร้างล่าช้าไม่แล้วเสร็จตามกำหนดเวลา

สอดรับกับข้อเท็จจริงจาก นายอธิป  พีชานนท์ ในฐานะนายกสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรรและนายกกิตติมศักดิ์  สมาคมอาคารชุดไทย ที่ให้ข้อมูลว่า  ปัญหาแรงงานไทยในธุรกิจก่อสร้างไม่เพียงพอ ที่ส่งสัญญาณมาระยะหนึ่งแล้ว  ทำให้ผู้รับเหมาเกือบทุกรายต้องหันไปใช้แรงงานต่างด้าวเพิ่มมากขึ้น แต่ก็ใช่ว่าปัญหาที่เกิดขึ้นกับภาคการก่อสร้างขณะนี้จะหมดไป  เพราะการใช้แรงงงานต่างด้าว ก็ยังมีปัญหาในเรื่องขั้นตอนการขออนุญาตที่ยุ่งยาก และเสียค่าใช้จ่าย และแนวโน้มการขาดแคลนแรงงานจะรุนแรงมากขึ้นไปอีก หากโครงการเมกะโปรเจกต์รัฐเกิดขึ้น เพราะจะสภาะการณ์ดูดแรงงานจากภาคเอกชนไปใช้ในโครงการของรัฐสูงขึ้น

ขณะที่สภาพการลงทุนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์  ช่วงครึ่งปีแรก 2556 ก็สะท้อนว่าในส่วนของผู้บริโภคเอง  ก็ส่งสัญญาณชะลอการตัดสินใจซื้อโครงการอสังหาริมทรัพย์ เพราะสถานการณ์ด้านรายได้ที่ไม่สอดรับกับค่าใช้จ่ายและมูลหนี้ภาคครัวเรือนที่เพิ่มขึ้น

ข้อควรพิจารณาหนึ่งว่าจะเกี่ยวข้องกันหรือไม่  มาจากการรายงานความก้าวหน้างานโยธา  โครงการรถไฟฟ้าในความรับผิดชอบขององค์การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย  (รฟม.) เพราะเมื่อกลับไปดูการให้สัมภาษณ์ของ นายยงสิทธิ์ โรจน์ศรีกุล  ผู้ว่าการ รฟม. ที่ยอมรับว่าทุกการก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าตามแผนแม่บทมีความล่าช้ากว่าแผนงานทั้งหมด  ซึ่งปัญหาก็มาจากการขาดแคลนแรงงานก่อสร้างอย่างหนัก ไม่นับรวมปัญหาทางเทคนิค

จากข้อมูทั้งหมดก็พอจะมองเห็นภาพความเป็นจริงที่เกิดขึ้นกับสถานการณ์การลงทุนเพื่อพัฒนาประเทศของรัฐบาล ซึ่งหลายคนตั้งคำถามว่าทำไมต้องเร่งผ่านร่าง   พ.ร.บ.กู้เงิน  เพื่อดำเนินโครงการบริหารจัดการนำ 3.5 แสนล้าน และ  ร่าง พ.ร.บ.  โครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน  2 ล้านล้านบาท  ทั้งที่โครงการเดิม ๆ ก็ยังล่าช้าเพราะหลายปัจจัยเกี่ยวเนื่อง ซึ่งก็รวมถึงวิกฤตการณ์ด้านแรงงาน และจะส่งผลกระทบต่อภาพรวมของธุรกิจเอกชน

ที่มา.ทีนิวส์
/////////////////////////////////////////////////////////////