--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันพฤหัสบดีที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2556

กลุ่มคนผู้ได้รับสิทธิพิเศษในการทำผิดแล้วลอยนวล !!

บุคคลผู้แสวงหากระบวนการค้นหาความจริง ความยุติธรรม และการปรองดองที่แท้จริงควรยินดีกับข่าวในวันนี้ที่ศาลอาญาในกรุงเทพฯระบุว่า ไม่มีคนเสื้อแดงหรือผู้สนับสนุนคนเสื้อแดงคนไหนในวัดปทุมวนารามติดอาวุธในวันที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2553 และกองทัพภายใต้การสั่งการของรัฐบาลนำโดยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะต้องรับผิดชอบการเสียชีวิตของพลเรือน 6 รายในวัดปทุมฯ เราต้องใช้เวลานานถึง 3 ปีเพื่อให้ความจริงเริ่มเปิดเผย ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความลวงโลกของรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ที่ตั้งคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อความปรองดองแห่งชาติ (คอป.) ซึ่งเป็นคณะกรรมการที่มีข้อตำหนิ เพราะคณะกรรมการไม่มีอำนาจทางกฎหมายในการค้นหาความจริง กล่าวคือไม่มีอำนาจในการออกหมายเรียกพยาน

หากปราศจากความจริง ความยุติธรรมไม่มีทางเกิดขึ้นได้ และเมื่อไม่มีความยุติธรรม จึงไม่มีการนิรโทษกรรมที่แท้จริงและประสบผลสำเร็จ บางคนอาจกล่าวว่าในทางพฤตินัยแล้ว กลุ่มต่อต้านประชาธิปไตยหัวรุนแรงและกลุ่มพันธมิตรของพวกเขา รวมถึงพรรคประชาธิปัตย์ของนายอภิสิทธิ์ได้รับนิรโทษกรรมไปแล้ว นายอภิสิทธิ์และอดีตรองนายกรัฐมนตรีสุเทพถูกแจ้งข้อหาสังหารผู้ชุมนุมพลเรือนในปี 2553 แต่กลับแสดงพฤติกรรมยะโสโอหัง เพิกเฉยต่อเงื่อนไขการประกันตัว ซึ่งเป็นการยืนยันสิทธิพิเศษของพวกเขาในการทำผิดแล้วลอยนวล

ทหารซึ่งเกี่ยวข้องกับการเสียชีวิตของผู้ชุมนุมในปี 2553 ปฏิเสธอย่างโผงผางที่จะไม่ตอบคำถามใดๆเกี่ยวกับการเสียชีวิตของเพื่อนร่วมชาติจากเจ้าหน้าที่ที่ทำหน้าที่สอบสวนคดีดังกล่าวทั้งสิ้น หน้ากากของการทำผิดแล้วลอยนวลเช่นนี้แตกต่างอย่างมากจากการนิรโทษกรรมที่เป็นธรรมและมีประสิทธิผล เพราะเป็นสิ่งชัวร้ายที่นายอภิสิทธิ์นำมาใช้เพื่อเพิกเฉยต่อข้อหาที่เขาถูกแจ้ง

ในทางกลับกัน การนิรโทษกรรมในทางพฤตินัยและสิทธิพิเศษในการทำผิดแล้วลอยนวลของพธม. กองทัพและพรรคประชาธิปัตย์ หมายถึงการที่คนเสื้อแดงทั่วไปยังคงถูกคุมขังในเรือนจำอย่างน่าเศร้า หลายคนถูกป้ายสี ลงโทษโดยกระบวนการยุติธรรมที่มีมลทิล และมีการสร้างหลักฐาน คนเสื้อแดงเหล่านี้ไม่ได้รับสิทธิพิเศษดังกล่าว ไม่ได้ประกันตัว และบางครั้งได้รับการปฏิบัติที่ไม่ดี และอาจเรียกได้ว่าเป็นการทารุณกรรม หลายคนยังคงเศร้าเสียใจกับการสูญเสียมิตรสหายของการสังหารหมู่ปี 2553 หลายคนยังคงมีบาดแผลทางร่างกายและจิตใจจากการสังหารหมู่ครั้งนั้น

กระนั้น กลุ่มคนที่ออกคำสั่งสังหารหมู่และเสวยสุขจากการทำผิดแล้วลอยนวลกลับกำลังโจมตีการนิรโทษกรรมอย่างแท้จริงซึ่งจะปลดปล่อยเหยื่อของพวกเขา โดยการใช้ตรรกะที่ไร้สาระและคลุมเครือ มีการอ้างถึงกองกำลังติดอาวุธปริศนาซึ่งไม่เคยมีการพิสูจน์ว่าเชื่อมโยงกับคนเสื้อแดง พวกเขาใช้เรื่องดังกล่าวสร้างอำนาจทางศีลธรรมและกฎหมายในการยิง คุมขังและสังหารผู้ชุมนุม แม้จะมีความพยายามจากนายอภิสิทธิ์ในการจัดตั้งกระบวนการค้นหาความจิรงผ่านทางคณะกรรมการจอมปลอมอย่างคอป. แต่พวกเขากลับไม่มีหน้าที่ที่จะต้องเปิดเผย “ความจริง” ใดๆ สิ่งเหล่านี้เป็นภาระหน้าที่ในทางกฎหมายก่อนมีจะการนิรโทษกรรมที่แท้จริง

นิรโทษกรรมคือวิธีการหนึ่งในการแก้ไขความขัดแย้ง อย่างไรก็ตาม หากไม่มีความจริง ไม่มีความยุติธรรม และคนเพียงกลุ่มหนึ่งได้รับสิทธิพิเศษในการทำผิดแล้วลอยนวลเท่านั้น การแก้ไขปัญหาที่ยั่งยืนย่อมไม่เกิดขึ้น

Read more from นปช
////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันพุธที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2556

เปิดสถิติ : ม็อบล่มปากอ่าว ไม่ทันแข็ง แค่ 2ชม. 45นาที !!??

ทุบทุกสถิติ !!!

เมื่อม็อบพรรคประชาธิปัตย์ ที่ประกาศรวมตัวเคลื่อนไหวใหญ่ 7 ส.ค. 2556 ในเวลา 09.00 น.จากนั้นเคลื่อนขบวนมายังอาคารรัฐสภา ตามถนนราชวิถี แล้วมาประกาศยุติการชุมนุม ให้ประชาชนแยกย้ายกันกลับบ้าน ส่วน ส.ส.ปชป. จะเข้าไปประชุมสภาผู้แทนราษฎร ในเวลา 11.45 น.
รวมเวลาทั้งสิ้น 2 ชั่วโมง 45 นาที !!!

เป็นการชุมนุมทางการเมืองที่ “จบ” แบบ “รวดเร็วที่สุด” ครั้งหนึ่ง ตามสถิติเกี่ยวกับการ “ชุมนุมทางการเมือง” ซึ่งมีข้อมูลหลายอย่างที่มีความน่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง

โดยเวลา 09.10 น. สาทิตย์ วงศ์หนองเตย ส.ส.ตรัง ปชป. ขึ้นชี้แจงการเดินขบวนจากที่ตั้งไปยังรัฐสภา นำโดย ชวน หลีกภัย ประธานสภาที่ปรึกษา และบัญญัติ บรรทัดฐาน กรรมการสภาที่ปรึกษา พร้อมส่ง 10 ส.ส.พรรคเจรจากับเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อนำมวลชนเข้าพื้นที่บริเวณสภา

09.20 น. องอาจ คล้ามไพบูลย์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ ได้ประกาศให้ผู้ชุมนุมไปรวมตัวเพื่อรอตั้งขบวนก่อนเคลื่อนพลในเวลาต่อมา ไปถามถนนพระราม 6 และถนนราชวิถี

โดยมีรายงานว่า “แฟนนานุแฟน ปชป.” มาร่วมการชุมนุมครั้งนี้มีประมาณ 3 พันคน แม้ “พลพรรคประชาธิปัตย์” และ “สื่อสารมวลชนในเครือข่าย ปชป.” ไม่ว่าจะเป็น “สำนักทีนิวส์” หรือ “สถานีบลูสกาย” จะยืนยันว่ามีผู้มาร่วมนับหมื่นก็ตาม !!

10.19 น. อลงกรณ์ พลบุตร ส.ส.บัญชีรายชื่อ ปชป. ทวิตข้อความในทวิตเตอร์ ที่มีผู้สอบถามว่าไม่พบ อลงกรณ์ อยู่ในขบวนของ ปชป.ว่า “จะเห็นผมในสภาผู้แทนฯ เว้นแต่เข้าไปไม่ได้ครับ”

10.45 น. อภิสิทธิ์ สุเทพ และ ชวน นำทีมไปเจรจากับเจ้าหน้าที่ เพื่อขอพาผู้สนับสนุนพรรค ปชป. เข้าไปพื้นที่รัฐสภา

จากนั้นเวลา 11.45 น. สุเทพ เปิดเผยหลังประชุมร่วมกับแกนนำพรรค จะขอเดินเข้าไปภายในรัฐสภา เฉพาะ ส.ส. เท่านั้น โดยจะให้ผู้สนับสนุนพรรค ปชป. แยกย้ายกลับบ้าน !!!
สรุป “สุเทพ เทือกสุบรรณ” ประกาศยุติการชุมนุม ให้ผู้สนับสนุน ปชป.ที่เกณฑ์กันมาประมาณ 3 พันคน กลับบ้าน โดยใช้เวลาไปทั้งสิ้น 2 ชั่วโมง 45 นาที

เมื่อย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 24 พ.ย.2555 เมื่อครั้ง “เสธอ้าย” พล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ นำการชุมนุมนาม “องค์การพิทักษ์สยาม (อพส.) บริเวณลานพระบรมรูปทรงม้า ที่มีเป้าหมายในการจะ “โค่นล้มรัฐบาล แช่แข็งประเทศไทยเป็นเวลา 5 ปี”

เวลา 09.01 น.”เสธอ้าย” ขึ้นเวทีทำพิธีเปิดเวทีการชุมนุม “วันนี้จะสามารถโค่มล้มรัฐบาลได้อย่างแน่นอน” !!!

จากนั้นสลับสับเปลี่ยน แกนนำภาคส่วนต่างๆ ขึ้นเวทีปราศรัย รวมไปถึงกลุ่มสันติอโศก โดย “เสธอ้าย” ผู้นำการชุมนุมได้เก็บตัวเงียบและหายไปจากเวทีระยะหนึ่ง

โดยระหว่างนั้นมีรายงานว่า สำนักข่าวต่างๆ ได้ประเมินกันว่ามีผู้มาร่วมชุมนุมกับเสธอ้าย ประมาณ 1 หมื่นคน

กระทั่ง เวลา 17.20 น. “เสธอ้าย” ได้กลับขึ้นเวทีอีกครั้ง พร้อม “ประกาศยุติการชุมนุม” แบบไม่มีสาเหตุ พร้อมเดินทางออกจากสถานที่ชุมนุมในทันที !!!

โดยสรุป การชุมนุมของ “องค์การพิทักษ์สยาม” มีมวลชนประมาณ 1 หมื่นคน โดยใช้เวลาทั้งสิ้น 8 ชั่วโมง 19 นาที

ขณะที่ “ม็อบ ปชป.” 3 พันคน ใช้เวลาทั้งสิ้น 2 ชั่วโมง 45 นาที “ทุบสถิติ” ที่ “เสธอ้าย” เคยทำเอาไว้ราบคาบ !!

ซึ่งถ้า เปรียบเปรยกรณีการล่มลงของ “ม็อบเสธอ้าย” ครั้งนั้นว่า “ม็อบเสธอ้าย ไม่แข็ง” แล้ว “ม็อบ ปชป.” เรียกได้ว่า “ยังมิทันแข็ง” ด้วยซ้ำ !!!

ที่มา.พระนครสาส์น
//////////////////////////////////////////////////////////////

คนไทยเอือมการเมือง : หอการค้า ชี้ให้รัฐบาลเร่งใช้จ่ายงบ ฟื้นเศรษฐกิจ !!??

หอการค้าเผยดัชนีเชื่อมั่นผู้บริโภค ต่ำสุดรอบ 7 เดือน ปชช.ชะลอใช้จ่าย จี้ภาครัฐเร่งใช้จ่ายงบ ฟื้นฟูเศรษฐกิจ ชี้คนไทยเบื่อเที่ยว-ห่วงการเมือง ดัชนีต่ำสุดรอบ 25 ปี หวั่นเหตุการณ์รุนแรง ฉุดจีดีพี 0.5%

นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการพยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคประจำเดือนกรกฎาคม 2556 อยู่ที่ 80.3 ต่ำสุดในรอบ 7 เดือนและมีแนวโน้มลดลงต่อ เนื่องจากความกังวลในด้านผลกระทบทางการเมือง การชะลอตัวของเศรษฐกิจ เกษตรกรมีรายได้ที่ลดลง ปัญหาค่าครองชีพที่ปรับตัวสูงขึ้น ทำให้ประชาชนชะลอการใช้จ่ายสินค้า และลดการท่องเที่ยวในประเทศ ฉะนั้นรัฐบาลต้องเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณ เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ และลดปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองไม่ให้เกิดเหตุการณ์บานปลายในระยะยาว

ทั้งนี้ ที่น่าเป็นห่วงคือการท่องเที่ยว จากสำรวจพบว่าดัชนีความเหมาะสมในการใช้จ่ายเพื่อการท่องเที่ยวได้อยู่ในระดับ 98.1 ซึ่งเป็นระดับที่ต่ำกว่า 100 ครั้งแรกในรอบ 8 เดือน เพราะคนไทยเบื่อท่องเที่ยวและข่าวความวุ่นวายการเมือง และหากปัญหาเรื่องความขัดแย้งจบลงภายใน 3 เดือน ก่อนช่วงไฮซีซั่น ก็ยังถือว่าโชคดีสำหรับเศรษฐกิจไทย และไม่กระทบต่อรายได้ท่องเที่ยวของไทยมากนัก และความวิตกต่อปัญหาการเมือง ทำให้เกิดชะลอการลงทุนเอสเอ็มอี ส่งผลให้ดัชนีความเหมาะสมในการลงทุนอยู่ในระดับ 80.2 ต่ำสุดในรอบ 10 เดือน ขณะนี้ดัชนีความเชื่อมั่นรายได้ในอนาคตอยู่ที่ 97.9 ต่ำกว่า 100 เป็นเดือนที่ 2 ติดต่อกันและต่ำสุดในรอบ 8 เดือน สะท้อนการบริโภคชะลอตัว

"ผลสำรวจสะท้อนประชาชนกังวลมากสุดในเรื่องสถานการณ์การเมือง โดยดัชนีความคิดเห็นเกี่ยวกับสถานการณ์ทางการเมือง อยู่ที่ 65.3 ต่ำสุดในรอบ 25 ปี หากเหตุการณ์ยืดเยื้อไม่เกิน 3 เดือนและไม่มีเหตุการณ์รุนแรง ประเมินว่าเศรษฐกิจจะชะลอในระดับ 0.1-0.2% แต่หากรุนแรงจนบานปลายจะกระทบต่อเศรษฐกิจ 0.5%"

นางเสาวณีย์ ไทยรุ่งโรจน์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า ปัจจัยบวกที่มีผลต่อดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคในเดือนกรกฎาคม คือ คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 2.5% เงินบาทอ่อนตัว ค่าราคาน้ำมันดีเซลขายปลีกในประเทศยังคงอยู่ในระดับทรงตัวที่ 29.99 บาทต่อลิตร

นางเสาวณีย์กล่าวว่า ปัจจัยลบคือความกังวลต่อสถานการณ์การชุมนุมทางการเมืองที่อาจจะยืดเยื้อ ประกอบกับการใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคงที่เริ่มประกาศตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคมที่ผ่านมา ซึ่งอาจจะกระทบต่อบรรยากาศการท่องเที่ยว และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ปรับลดอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจไทยปีนี้ จาก 5.1% เหลือ 4.2% รวมทั้งความกังวลเรื่องน้ำมันรั่วที่อาจส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยวในพื้นที่ ความกังวลเรื่องของราคาพืชผลทางการเกษตรที่ทรงตัวในระดับต่ำโดยเฉพาะยางพาราและปาล์มน้ำมัน ส่งผลให้รายได้ของเกษตรกรเพิ่มขึ้นไม่มากและกำลังซื้อของคนต่างจังหวัดไม่สูงมากนัก ตลอดจนความกังวลเกี่ยวกับความไม่แน่นอนของการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก

ที่มา.มติชน
/////////////////////////////////////////////////////////

เปิดคำสั่งศาล คดี 6 ศพวัดปทุมฯ โดยย่อ..!!??

คำสั่งศาลคดี 6 ศพ วัดปทุมโดยย่อ แสดงเหตุผลว่าทำไมทั้ง 6 เสียชีวิตจากทหาร ในมือของทั้ง 6 ไม่มีเขม่าดินปืน ไม่เชื่อว่ามีการตรวจยึดอาวุธในวัดปทุมฯจริง และไม่มีชุดดำ ในคำสั่งศาลคดีดังกล่าว

6 ส.ค.56 เวลา 9.30 น. ศาลอาญากรุงเทพใต้ อ่านคำสั่งในคดีหมายเลขดำที่ ช.5/2555 ณ วันที่ 6 สิงหาคม 2556 ที่อัยการได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลทำการไต่สวนการตายของ นายสุวรรณ ศรีรักษา ผู้ตายที่ 1 นายอัฒชัย ชุมจันทร์ ผู้ตายที่ 2 นายมงคล เข็มทอง ผู้ตายที่ 3 นายรพ สุขสถิต ผู้ตายที่ 4 นางสาวกมนเกด อัคฮาด ผู้ตายที่ 5 นายอัครเดช ขันแก้ว ผู้ตายที่ 6 ศาลได้ประกาศไต่สวนตามระเบียบแล้วนับแต่ญาติของผู้ตายได้ยื่นคำร้องขออนุญาตซักถามและขอนำพยานนำสืบ โดยประชาไทสรุปคำสั่งที่ศาลได้อ่านในวันนี้เพื่อหาเหตุผลที่ศาลมีคำสั่งว่าผู้ตายทั้ง 6 เสียชีวิตเนื่องมาจากถูกยิงด้วยกระสุนปืนขนาด .223 หรือ 5.56 มม. ซึ่งวิถีกระสุนปืนยิงมาจากเจ้าพนักงานซึ่งปฏิบัติหน้าที่รักษาความสงบเรียบร้อยอยู่บนรางรถไฟฟ้าบีทีเอส หน้าวัดปทุมวนารามราชวรวิหารและบริเวณถนนพระรามที่ 1 ซึ่งเข้าควบคุมพื้นที่บริเวณแยกราชประสงค์ตามคำสั่งของศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน หรือ ศอฉ.

รวมไปถึงข้อสรุปของศาลที่ว่า ผู้ตายทั้ง 6 ไม่มีคราบเขม่าดินปืนที่มือทั้งสองข้าง แสดงว่าไม่ได้เกี่ยวข้องกับการใช้อาวุธปืนมาก่อนการเสียชีวิต การตรวจยึดอาวุธในวัดปทุมวนาราม ไม่น่าเชื่อว่ามีการตรวจยึดจริง และ กรณีชายชุดดำ ไม่ปรากฏว่ามีชายชุดดำอยู่ในบริเวณดังกล่าว ดังนี้

กว่าจะถึง 19 พ.ค. 53 ที่วัดปทุมฯ

ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานของผู้ร้องและญาติของผู้ร้องโดยตลอดแล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังได้เป็นที่ยุติว่า เมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2553 ถึงวันที่ 19 พฤษภาคม 2553 มีการชุมนุมทางการเมืองของประชาชนเพื่อเรียกร้องประชาธิปไตย ใช้ชื่อว่า กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือ นปช. ได้มีการจัดชุมนุมทางการเมืองอย่างต่อเนื่องและได้มีการขยายบริเวณการชุมนุมตั้งแต่สะพานผ่านฟ้าลีลาศไปถึงบริเวณสี่แยกราชประสงค์ ถนนเพลินจิต ถนนพระราม 1 ถนนพระราม 4 เพื่อเรียกร้องให้นายอภิสิทธิ์ เวชาชีวะ ในขณะนั้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ประกาศยุบสภาผู้แทนราษฎรและให้มีการเลือกตั้งใหม่ โดยวันที่ 7 เมษายน 2553 นายกฯ ได้ประกาศภาวะฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานคร จังหวัดนนทบุรี จังหวัดสมุทรปราการ ได้แก่ อำเภอเมือง อำเภอบางพลี อำเภอพระประแดง อำเภอพระสมุทรเจดีย์ อำเภอบางบ่อ อำเภอบางเสาธง จังหวัดปทุมธานี อำเภอธัญบุรี อำเภอลาดหลุมแก้ว อำเภอสามโคก อำเภอลำลูกกา อำเภอคลองหลวง จังหวัดนครปฐม อำเภอพุทธมณฑล และ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา อำเภอวังน้อย อำเภอบางปะอิน อำเภอบางไทร อำเภอลาดบัวหลวง ทั้งยังออกคำสั่งจัดตั้งศูนย์อำนวยการเพื่อแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน หรือ ศอฉ. โดยมีนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ขณะนั้นดำรงตำแหน่งรองนายกฯ เป็นผู้อำนวยการ และมีข้าราชการทหาร ตำรวจ และพลเรือนเป็นผู้ช่วย และยังแต่งตั้งนายสุเทพ เป็นผู้อำนวยการปฏิบัติการ และหัวหน้าผู้รับผิดชอบ

ปัญหาจะต้องวินิจฉัยประการแรกว่า ผู้ตายทั้ง 6 คือใคร ได้ความจากนายจ้างของผู้ตายทั้ง 6 ได้มีการนำสืบจากเอกสารใบมรณบัตร ประกอบกับการไต่สวน คดีจึงฟังได้ว่า ผู้ตายที่ 6 ชื่อนายสุวรรณ ศรีรักษา ผู้ตายที่2 ชื่อนายอัฒชัย ชุมจันทร์ ผู้ตายที่ 3 ชื่อนายมงคล เข็มทอง ผู้ตายที่ 4 ชื่อนายรพ สุขสถิต ผู้ตายที่ 5 ชื่อนางสาวกมนเกด อัคฮาด ผู้ตายที่ 6 อ นายอัครเดช ขันแก้ว

ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยประการสุดท้ายว่า ผู้ตายทั้ง 6 ตายที่ไหน เมื่อไร อย่างไร เหตุการณ์ที่ตายเป็นอย่างไร ใครเป็นผู้กระทำร้ายผู้ตายเท่าที่จะทราบได้ ตามกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 150 วรรค 5

ร่องรอย บาดแผล คราบเลือด วิถีกระสุน

สำหรับผู้ตายที่ 1, 3 ,4 ,5 ,6 ได้ความจากพยานหลายปาก รวมทั้งพยานผู้เชี่ยวชาญหลายปากเห็นว่า แม้ผู้ร้องและญาติของผู้ตายที่ 1,3 ถึงที่ 6 จะไม่ประจักษ์พยานในขณะที่ผู้ตายที่ 1,3 ที่ 6 ถูกกระสุนจากอาวุธจากผู้ใด แต่ขณะเกิดเหตุเป็นเวลากลางวัน และผู้ร้องมีพยานทุกปากซึ่งเป็นประจักษ์พยานเบิกความยืนยันถึงรายละเอียดของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับการตายของผู้ตายที่ 1,3 ถึงผู้ตายที่ 6 อย่างละเอียดทุกขั้นตอน ได้อย่างสอดคล้องต้องกัน เริ่มตั้งแต่จุดตำแหน่งของพยานแต่ละคนที่เห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นพร้อมทั้งได้ยินเสียงปืนดังขึ้นมาบนรางรถไฟฟ้าบีทีเอสหน้าวัดปทุมฯ กระทั่งจุดตำแหน่งของผู้ตายที่ 1 และผู้ตายที่ 3 ถูกยิง โดยเฉพาะพยานปากสำคัญ นายธวัช แสงทน และนายศักดิ์ชาย แซ่ลี้ ที่เข้าไปช่วยนำพผู้ตายที่ 1 และ 2 ตามลำดับ เข้ามาปฐมพยาบาลในเต็นท์ตามแผนที่เกิดเหตุในเอกสาร ส่วนพยานปากนางสาวนัฏธิดาและผู้ตายที่ 3 ได้ช่วยกันปฐมพยาบาลผู้ตายที่ 2 ก่อนถึงแก่ความตายภายในเต็นท์พยาบาล โดยจุดตำแหน่งที่ผู้ตายที่ 1, 3 ถึงผู้ตายที่ 6 ถูกยิงตามที่พยานทุกปากยืนยันสอดคล้องกับรายงานผลการตรวจที่เกิดเหตุของสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ เมื่อวันที่  20 พ.ค. พบคราบเลือดบนพื้นปูนซีเมนต์ด้านหลังสหกรณ์และบนพื้นใกล้ประตูทางออก  จากการตรวจพิสูจน์พบว่า คราบโลหิตดังกล่าวเป็นของผู้ตายที่ 4 กับคราบโลหิตบนฟูกนอนสีชมพู และคราบโลหิตติดอยู่ที่โทรโข่งบนโต๊ะสีขาวภายในเต็นท์ผ้าใบสีขาว จากการตรวจพิสูจน์พบว่า คราบโลหิตดังกล่าวเป็นของผู้ตายที่ 6 กับคราบโลหิตบนพื้นใกล้โต๊ะสีขาว ภายในเต็นท์ จากการตรวจพิสูจน์พบว่าคราบโลหิตดังกล่าวเป็นของผู้ตายที่ 3

นอกจากนี้เจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐาน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้ออกไปตรวจที่เกิดเหตุคือวัดปทุมวนารามเมื่อวันที่ 21 พ.ค.53 พบคราบโลหิตมนุษย์บริเวณถนนทางออกด้านหน้าวัด จำนวน 2 จุด แต่ละจุดห่างจากกำแพงแนววัด 5.3 และ 6.7 เมตรตามลำดับ และห่างจากแนวอาคารสหกรณ์ประมาณ 5.2 และ 3.2 เมตรตามลำดับ  กับพื้นที่เกิดเหตุด้านหลังสหกรณ์ใกล้ประตูทางออกด้านหน้าวัดจำนวน 1 จุด ห่างจากแนวรั้วกำแพงประมาณ 8 เมตร กับบริเวณพื้นขั้นบันไดคอนกรีตทางขึ้นสหกรณ์ใกล้ประตูทางออกหน้าวัดอีก 1 จุด ห่างจากแนวกำแพงหน้าวัดประมาณ 8 เมตร จุดตำแหน่งเหล่าตรงกับถ้อยคำของพยานผู้ร้องที่ยืนยันว่าผู้ตายถูกยิง ด้วยผลการตรวจคราบโลหิตของสถาบันนิติวิทยาศาสตร์แล้วเชื่อว่าผู้ร้อง พยานผู้ร้องทั้ง 6 ปากเห็นเหตุการณ์ในขณะที่ผู้ตายที่ 1,3 ถึงผู้ตายที่ 6 ถูกยิงจริง ส่วนทิศทางของวิถีกระสุนปืนที่ยิงผู้ตายที่ 1, 3 ถึงผู้ตายที่ 6 นั้น ได้ความจากพยานปาก พล.ต.ต.นพ.พรชัย สุธีรคุณสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ เบิกความว่า พยานเป็นแพทย์ผู้ทำการผ่าพิสูจน์ศพผู้ตายที่ 3 ถึงที่ 6 เพื่อทำการหาสาเหตุการตาย ผลจากการตรวจพิสูจน์พบว่า

ผู้ตายที่ 3 มีบาดแผลฉีกขาดเป็นรูปทรงกลมบริเวณต้นแขนซ้าย 2 แห่ง ขนาด 1x2.5 ซม. และขนาด 0.8x0.5 ซม. บาดแผลทะลุผิวหนังบริเวณทรวงอกด้านซ้าย ขนาด 3.2x1 ซม. สาเหตุการตายเกิดจากบาดแผลกระสุนปืนทำลายปอด หัวใจ และตับ พบเศษทองแดงในเสื้อ เศษตะกั่วเล็กๆ ในปอดและหัวใจ ทิศทางมาทางซ้ายไปขวา หน้าไปหลัง บนลงล่าง

ผู้ตายที่ 4 มีบาดแผลผิวหนังทะลุบริเวณต้นแขนขวาด้านนอก รูปลี ขนาด 0.6x5 ซม. ต่ำจากบ่า 17 ซม. บาดแผลต้นแขนขวาด้านใน และบาดแผลผิวหนังทะลุบริเวณทรวงอกด้านขวา ขนาด 3.5x2.5 ซม. ต่ำจากบ่า 21 ซม. บาดแผลถลอกบริเวณกว้างหน้าท้องด้านขวา โหนกแก้มขวา ใต้คางขวา ริมฝีปากซ้าย สาเหตุการตายเกิดจากบาดแผลกระสุนปืนทำลายปอด ตับ พบเศษทองแดง 2 ชิ้นบริเวณขั้วลิ้นลำไส้ ทิศทางขวาไปซ้าย หน้าไปหลัง บนลงล่าง

ผู้ตายที่ 6 มีบาดแผลผิวหนังทะลุบริเวณก้นด้านขวา 2 แห่งทะลุถึงกัน ขนาด 0.8x0.5 ซม.  และ 0.9x0.7 ซม. บาดแผลทะลุบริเวณก้นด้านซ้ายขนาด 0.8x0.4 ซม. บาดแผลผิวหนังทะลุหลังด้านซ้ายส่วนล่าง 2 แห่ง 0.7x 1.2 ซม. บาดแผลผิวหนังทะลุบริเวณต้นแขน ขวาด้านนอก ขนาด 1x0.5 ซม. บาดแผลฉีกขาดบริเวณไหล่ขวา 4.5x3 ซม. บาดแผลฉีกขาดบริเวณใบหน้าด้านขวาขนาด 5.3 ซม. บาดแผลฉีกขาดบริเวณโคนนิ้วชี้ซ้าย สาเหตุการตายเกิดจากเลือดออกใต้เยื้อหุ้มสมองชั้นนอก เนื้อสมองช้ำ  จากการถูกแรงกระแทกเกิดจากบาดแผลกระสุนปืนทะลุเข้าไปในช่องปาก ถูกยิง 2 นัด

และได้ความจากพยานปากแพทย์สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ พ.ต.ท.นพ.ปกรณ์ วะศินรัตน์ ที่พิสูจน์ศพผู้ตายที่ 1 และ 5 พบว่า

ผู้ตายที่ 1 มีบาดแผลฉีกขาดรูปวงลี ขนาด .7x.5ซม. บริเวณไหล่ซ้ายด้านหน้า บาดแผลฉีกขาดรูปวงกลมขนาด .5 ซม.  บริเวณสะโพกด้านซ้าย บาดแผลฉีกขาดขอบไม่เรียบใกล้กับรูทวารหนักขนาด 1.7x0.5 ซม. บาดแผลฉีกขาดขนาด 0.7x0.5 ซม. บริเวณต้นขาซ้ายด้านนอก บาดแผลฉีกขาดขนาด 0.8x0.5 ซม. บริเวณขาหนีบด้านซ้าย บาดแผลฉีกขาดรูปขนาด ขนาด 4.3 ซม. บริเวณโคนอวัยวะเพศ และบาดแผลฉีกขาดรูปวงรีบริเวณโคนข้อเท้าขวาด้านในและด้านนอก และหลังเท้า สาเหตุการตายเกิดจากบาดแผลกระสุนปืนทะลุปอดและหัวใจ เสียโลหิตปริมาณมาก พบเศษโลหะคล้ายหัวกระสุนปืนทองแดงบริเวณกล้ามเนื้อชายโครงด้านขวา ทิศทางซ้ายไปขวา บนลงล่าง  หลังไปหน้าเล็กน้อย

ผู้ตายที่ 5 มีบาดแผลฉีกขาด ขนาด 0.7x0.5 ซม. บริเวณหลังด้านขวา บาดแผลฉีกขาดรูปวงรีขนาด 0.7x0.5 ซม. บริเวณสีข้างด้านขวา สาเหตุการตายเกิดจากบาดแผลกระสุนปืนทำลายสมองและบริเวณศีรษะ ตรงฐานกระดูกด้านซ้ายมีรูแตก ทะลุสมองฉีกขาดเล็กน้อยและสมองใหญ่ซีกซ้ายมีเลือดออกเป็นแผล พบชิ้นส่วนโลหะคล้ายลูกกระสุนปืนลูกทองแดง ในกระโหลกศีรษะด้านขวา ทิศทางจากล่างขึ้นบน หลังไปหน้า

ประเด็นเกี่ยวกับวิถีกระสุนนี้ได้ความจากพยานปาก พ.ต.ท.สุรนาท วงศ์พรหมชัย กลุ่มงานตรวจสถานที่เกิดเหตุ กองพิสูจน์หลักฐาน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เบิกความว่า ในช่วงระหว่างวันที่ 21-29 พ.ค.53 พยานได้ร่วมกับเจ้าหน้าที่กลุ่มงานตรวจสถานที่เกิดเหตุ ในวัดปทุมวนาราม พร้อมทั้งบริเวณด้านหน้าวัด พบรอยลักษณะคล้ายถูกยิงด้วยลูกกระสุนปืนบริเวณพื้นถนนทางออกและทางเข้าหน้าวัดจำนวนมาก

พ.ต.ท.ธีรนันท์ นคินทร์พงษ์ เจ้าหน้าที่กลุ่มงานตรวจอาวุธและกระสุนปืน กองพิสูจน์หลักฐาน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เบิกความโดยสรุปว่าได้ตรวจรอยกระเทาะที่พื้นถนนดังกล่าว เชื่อว่ารอยทั้งหมดถูกยิงด้วยกระสุนปืนไม่ทราบชนิด จากด้านหน้าไปด้านหลัง จากขวาไปซ้าย ทำมุมกดลง ส่วนรอยถูกยิงที่บริเวณอาคารมูลนิธิสมเด็จพระมหิตลาธิเบศร เชื่อว่า ถูกยิงด้วยกระสุนปืนไม่ทราบชนิด จำนวน 2 นัด โดยยิงจากภายนอกเข้าสู่ภายในวัด จากด้านหน้าไปด้านหลัง

จากการตรวจสถานที่เกิดเหตุทั้งภายในวัดและบริเวณด้านนอกจนถึงบริเวณรถไฟฟ้าบีทีเอส พบว่าภายในวัดมีร่องรอยกระสุนปืน 23 รอย ร่องรอยกระสุนปืนบริเวณประตูทางออกวัดจำนวน 10 รอย ประตูทางเข้า 2 รอย บริเวณแผ่นป้ายโฆษณา 3 รอย ทั้งนี้ 15 รอยนั้น เกิดจากแนววิถีกระสุนที่ยิงมาจากบนลงล่าง  พยานยืนยันว่าน่าจะยิงลงมาจากบริเวณรถไฟฟ้าบีทีเอส ชั้นที่ 1 หรือ ชั้นที่ 2 ด้านหน้าวัด

เมื่อพิจารณาจากผลการผ่าพิสูจน์ศพผู้ตายของแพทย์ รายงานการตรวจสถานที่เกิดเหตุของผู้เชี่ยวชาญ ประกอบกับได้ความว่าด้านหลังของรางรถไฟฟ้าบีทีเอสตรงข้ามกับวัดนั้น มีอาคารของสำนักงานตำรวจแห่งชาติเพียงอาคารเดียว และอยู่ห่างจากรถไฟฟ้าดังกล่าวประมาณ 100 เมตรเศษ จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะมีบุคคลใดใช้อาวุธปืนยิงจากอาคารสำนักงานตำรวจแห่งชาติ มายังที่เกิดเหตุภายในวัดปทุมฯ เนื่องจากหากยิงมาจากอาคารดังกล่าว วิถีกระสุนจะต้องผ่านรถไฟฟ้าบีทีเอส จึงเชื่อว่า ทิศทางของแนววิถีกระสุนที่ยิงผู้ตายที่ 1 ผู้ตายที่ 3-6  ยิงมาจากบนรางรถไฟฟ้าบีทีเอสหน้าวัดปทุมฯ ส่วนผู้ตายที่ 5-6 แม้แพทย์ผู้ผ่าพิสูจน์จะลงความเห็นว่า บาดแผลของผู้ตายที่ 5 มาจากทิศทางล่างขึ้นบน หลังไปหน้า บาดแผลของผู้ตายที่  6 ไม่สามารถระบุถึงทิศทางกระสุนปืนที่ยิงได้ก็ตาม เนื่องจากทางเข้าของกระสุนรวมถึงตำแหน่งพบตะกั่วในร่างกายสั้นมากก็ตาม

แต่เมื่อพิจารณาจากภาพถ่าย จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่าในขณะที่ผู้ตายที่ 5 และ 6 ถูกยิงนั้น ผู้ตายที่ 5 และ 6 กำลังคุกเข่า ก้มลงกับพื้นโดยหันหน้าเข้าไปในวัด จึงเป็นเหตุให้ดูเสมือนหนึ่งว่าทิศทางวิถีกระสุนที่ยิงมายังผู้ตายที่ 5 และ 6 นั้น ยิงมาจากล่างขึ้นบน  และหลังไปหน้า

 เสียงปืนดังตรงจุดที่เจ้าพนักงานอยู่บนรางรถไฟฟ้า และไม่มีท่าทีหลบกระสุน

ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยว่า บุคคลใดที่อยู่บนรางรถไฟฟ้าหน้าวัดปทุมฯ ประเด็นนี้ได้ความจากพยานปาก   ส.ต.ท.อดุลย์ พรหมนอก เจ้าหน้าที่ตำรวจสังกัดกองบังคับการตรวจคนเข้าเมือง 2 สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ด.ต.สุชาติ ขอมปวน เจ้าพนักงานตำรวจสังกัดกลุ่มงานบริหารจัดการระบบคอมพิวเตอร์หรือเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ด.ต.อานนท์ ใจก้อนแก้ว เจ้าพนักงานตำรวจ กองบังคับการตำรวจตระเวนชายแดน 31 พิษณุโลก เป็นพยานเบิกความทำนองเดียวกันว่า เมื่อวันที่ 19 พ.ค.53 พยานได้รับคำสั่งปฏิบัติหน้าที่เป็นหน่วยปราบจลาจล  กองกำลังสนับสนุน ขณะนั้นเวลา 17.30น. พยานทั้งสามอยู่ภายในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ชั้นที่ 12 อาคาร 19 ในส่วนดาดฟ้า พยานทั้งสามเห็นเหตุเกิดเพลิงไหม้ที่ห้างเซ็นทรัลเวิลด์ พร้อมทั้งได้ยินเสียงปืนดังขึ้นเป็นระยะบริเวณหน้าวัดปทุมฯ ซึ่งตั้งอยู่บริเวณด้านหน้าของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พยานได้ใช้กล้องถ่ายรูปบริเวณรางรถไฟฟ้าบีทีเอสชั้น 1 และชั้น 2 บริเวณหน้าสำนักงานตำรวจแห่งชาติและหน้าวัดปทุมฯ เห็นเจ้าพนักงานบนรางรถไฟฟ้าบีทีเอส ซึ่งต่อมาใช้อาวุธปืนเล็งไปภายในวัด ในลักษณะเตรียมยิง โดยไม่มีเหตุการณ์ต่อสู้กับบุคคลใดๆ จากนั้น พยานทั้งสามได้ยินเสียงปืนดังตรงจุดที่เจ้าพนักงานอยู่บนรางรถไฟฟ้า และไม่มีท่าทีหลบกระสุน

ทหารบนราง BTS เบิกความรับยิงไปบริเวณวัดปทุมฯ

ประเด็นนี้ พยาน  พ.ท.นิมิตร วีระพงษ์  จ.ส.อ.สมยศ ร่มจำปา ส.อ.เดชาธร มาขุนทด  ส.อ.ภัทรนนท์ มีแสง ส.อ.สุนทร จันทร์งาม ส.อ.ญ.สาวตรี สีนวล  ส.อ.ชัยวิชิต สิทธิวงษา ส.อ.วิทูรย์ อินทำ  เจ้าพนักงานซึ่งเป็นทหารสังกัดกองพันจู่โจม กรมรบพิเศษ 3 ค่ายเอราวัณ จ.ลพบุรี เบิกความว่า เมื่อวันที่ 19 พ.ค.53 พยานกับผู้ใต้บังคับบัญชาทั้ง 8 รายได้รับคำสั่งจาก ศอฉ.ให้ไปประจำบนสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอส หน้าสนามกีฬาแห่งชาติ โดยมีหน้าที่ระวังคุ้มกันเจ้าพนักงานซึ่งเป็นทหารสังกัดกรมทหารราบที่ 31 กองพันที่ 2 รักษาพระองค์ ประจำบริเวณพื้นถนนพระรามที่ 1 พ.ท.นิมิตร เป็นหัวหน้าชุดใช้อาวุธปืน M16A4 เป็นอาวุธประจำกาย ส่วนผู้ใต้บังคับบัญชา ใช้อาวุธปืน M16A2 พ.ท.นิมิตรกับผู้ใต้บังคับบัญชาอีกหนึ่งนายประจำอยู่บนรางรถไฟฟ้าบีทีเอสชั้นที่ 2 ส่วนผู้ใต้บังคับบัญชา ประกอบด้วย  จ.ส.อ.สมยศ  ส.อ.เดชาธร  ส.อ.ภัทรนนท์  ส.อ.สุนทร   ส.อ.เกรียงศักดิ์  ส.อ.ชัยวิชิต  ส.อ.วิทูรย์  ประจำอยู่บนรางรถไฟฟ้าบีทีเอสชั้นที่ 1 ตั้งแต่สถานีรถไฟฟ้าหน้าสนามกีฬาแห่งชาติถึงหน้าวัดปทุมวนารามด้วย กระทั่งเมื่อเวลา 15.00น. พ.ท.นิมิตรกับผู้ใต้บังคับบัญชาได้ร่วมปฏิบัติหน้าที่บนรางรถไฟฟ้าบีทีเอสชั้นที่ 1 และชั้นที่ 2 บริเวณแยกปทุมวัน มุ่งหน้าสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอสสยาม ขณะนั้นมีชาย 2 คนใช้อาวุธปืนยิงใส่เจ้าพนักงานชุดของพยานโดยแจ้งว่า ทั้งสองคนยืนตรงแยกเฉลิมเผ่า ผู้ใต้บังคับบัญชาได้ใช้อาวุธปืนประจำกายยิงไปที่รถ 6 ล้อ ที่จอดอยู่ที่แยกเฉลิมเผ่าและบริเวณตอม่อเสารถไฟฟ้าบีทีเอสแยกเฉลิมเผ่า  เกาะกลางถนนพระรามที่ 1 ขณะนั้น เจ้าพนักงานซึ่งเป็นทหารสังกัดกรมทหารราบที่ 31 กองพันที่ 2  ประจำการอยู่ที่แยกปทุมวัน ถ.พระราม 1 ได้เคลื่อนกำลังพร้อมกับเจ้าหน้าที่ทหารหน่วยของพยานบนพื้นถนนพระรามที่ 1 ในลักษณะพร้อมกัน

จนกระทั่งเวลา 18.00 พยานกับผู้ใต้บังคับบัญชาได้เคลื่อนกำลังจากสถานีรถไฟฟ้าสยามเรื่อยไปจนบริเวณลานรถไฟฟ้าบีทีเอสหน้าวัดปทุมฯ ผู้ใต้บังคับบัญชาของพยานจำนวน 7 นาย ประจำการอยู่บนรถไฟฟ้าบีทีเอสชั้นที่ 1 หน้าวัดปทุม จ.ส.อ.สมยศ ได้ใช้อาวุธปืนประจำกายยิงไปที่บริเวณตอม่อรถไฟฟ้าบีทีเอส ตรงเกาะกลางถนนพระราม 1 จำนวน 4-5 นัด และบริเวณกำแพงด้านนอกวัดปทุม 1 นัด โดยอ้างว่าเห็นชายชุดดำบริเวณดังกล่าว ส.อ.เกรียงศักดิ์ ใช้อาวุธปืนประจำกายยิงไปที่บริเวณที่สังเกตเห็นชายชุดดำยืนอยู่ จำนวน 14 นัด ส.อ.ชัยวิชิต ได้ใช้อาวุธปืนประจำกายยิงขึ้นฟ้าจำนวน 4 นัด ส.อ.วิทูรย์ ได้ใช้อาวุธปืนประจำกายยิงที่บริเวณตอม่อเสารถไฟฟ้าบีทีเอสหน้าวัดปทุมฯ 4-5 นัดและบริเวณท้ายรถยนต์ซึ่งจอดที่บริเวณลานจอดรถของวัด 1-2 นัด พร้อมทั้งตะโกนให้ออกมาจากใต้รถและถอดเสื้อ ส.อ.ภัทรนนท์ได้ใช้อาวุธปืนยิงที่บริเวณกำแพงด้านนอกของวัด ส.อ.เกรียงศักดิ์ได้ใช้อาวุธปืนประจำกายยิงที่บริเวณพื้นถนนหน้าวัด 4 นัด

ส.อ.ภัทรนนท์ ได้ใช้อาวุธปืนประจำกายยิงไปที่กำแพงด้านนอกของวัด ส.อ.เกรียงศักดิ์ได้ใช้อาวุธปืนประจำกายยิงไปที่บริเวณพื้นถนนหน้าวัดจำนวน 4 นัด นอกจากนี้เมื่อพิจารณาภาพถ่ายและภาพเคลื่อนไหวแสดงให้เห็นว่าบนรางรถไฟฟ้าบีทีเอสหน้าวัดปทุมวนารามไม่มีบุคคลใดอยู่ในพื้นที่ดังกล่าวนอกจากเจ้าพนักงานซึ่งเป็นทหารสังกัดกองพันจู่โจม กรมรบพิเศษที่ 3 ค่ายเอราวัณ จ.ลพบุรี โดยมีพ.ท.นิมิตรกับผู้ใต้บังคับบัญชาเท่านั้น เชื่อว่าพ.ท.นิมิตร วีระพงษ์ ประจำการอยู่บนรถไฟฟ้าชั้นที่สอง โดยมีส.อ.สมยศ ร่มจำปา ส.อ.เดชาธร มาขุนทด ส.อ.ภัทรนนท์ มีแสง ส.อ.สุนทร จันทร์งาม ส.อ.เกรียงศักดิ์ สีบุ ส.อ.ชัยวิชิต สิทธิวงษา ส.อ.วิทูรย์ อินทำ ประจำการอยู่บนรถไฟฟ้าบีทีเอสชั้นที่หนึ่งตั้งแต่สถานีรถไฟฟ้าสนามกีฬาแห่งชาติ สถานีรถไฟฟ้าสยาม แยกเฉลิมเผ่าจนถึงหน้าวัดปทุมวนาราม รวมทั้งสะพานลอยทางเดินสกายวอล์คด้านล่างตั้งแต่รถไฟฟ้าบีทีเอสสยามเรื่อยมาจนถึงหน้าวัดปทุมวนารามเท่านั้น

ผ่าศพพบ เศษกระสุนปืนเล็กกลขนาด.223 หรือ 5.56 มม.

และเมื่อพิจารณาประกอบกับของกลางที่ได้มาจากการผ่าพิสูจน์ศพผู้ตายที่1 ผู้ตายที่ 3-5 ของแพทย์ผู้ผ่าพิสูจน์ศพ โดยพนักงานสอบสวนได้ส่งไปตรวจพิสูจน์ที่กองพิสูจน์หลักฐาน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ผลการตรวจพิสูจน์พบว่าวัตถุของกลางเป็นเครื่องกระสุนปืนโดยเป็นเศษรองกระสุนปืนเล็กกลหุ้มทองแดง ขนาด.223 หรือ 5.56 มม. เศษกระสุนปืนเล็กกลทองแดงหุ้มเหล็กและตะกั่วขนาด.223 หรือ 5.56 มม. สามารถใช้ยิงทำอันตรายแก่ชีวิตผู้อื่นและวัตถุได้

ประเด็นนี้ได้ความจากพ.ต.ท.ไพชยนต์ สุขเกษม สังกัดกองสรรพาวุธ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ผู้เชี่ยวชาญด้านอาวุธปืนได้เบิกความว่า อาวุธปืนเอ็ม16 ทุกรูปแบบอาทิเช่น เอ็ม16 เอ1-เอ4 และเอ็ม4จะต้องใช้กระสุนปืนขนาด.223 หรือ 5.6 มม. เศษรองกระสุนปืนและลูกกระสุนปืนตามภาพถ่ายนั้นเป็นเศษรองกระสุนปืนและเศษของกระสุนปืนเอ็ม16 เอ1-เอ4 เป็นอาวุธปืนที่ใช้ในราชการสงครามที่มีอำนาจทะลุทะลวงสูงและเป็นอาวุธประจำกายของเจ้าหน้าที่หน่วยงานของรัฐ อาทิเช่น เจ้าพนักงานทหาร เจ้าพนักงานตำรวจเท่านั้น

เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงแล้วว่าเมื่อเจ้าพนักงานซึ่งเป็นทหารสังกัดกองพันชุดจู่โจม กรมรบพิเศษที่ 3 ค่ายเอราวัณ จ.ลพบุรี ประจำการอยู่บนรางรถไฟฟ้าบีทีเอส ด้านหน้าวัดปทุมวนารามได้ใช้ประจำกายคืออาวุธปืนเอ็ม16 เอ2และเอ4 แม้หลังเกิดเหตุกรมสอบสวนคดีพิเศษจะส่งอาวุธปืนเล็กกลจำนวน 4 กระบอก และพนักงานสอบสวน สน.ปทุมวันจะส่งอาวุธปืนเล็กกลจำนวน 8 กระบอก ให้กองพิสูจน์หลักฐานกลาง สตช. ทำการตรวจพิสูจน์เปรียบเทียบเศษรองกระสุนและลูกกระสุนปืน ผลจากการตรวจพิสูจน์พบว่าเศษรองกระสุนและลูกกระสุนไม่ได้ใช้ยิงมาจากอาวุธปืนเล็กกลทั้ง 12 กระบอกก็ตาม ปรากฎว่ากรมสอบสวนคดีพิเศษ และพนักงานสอบสวน สน.ปทุมวันได้จัดส่งอาวุธปืนเล็กกลดังกล่าวไปตรวจพิสูจน์ที่กองพิสูจน์หลักฐานกลาง สตช. เมื่อวันที่ 1 ก.ย. 2553 และ 14 มี.ค. 2554 ซึ่งเป็นวันหลังจากเกิดเหตุเป็นระยะเวลานาน  ในประเด็นนี้ได้ความจาก พ.ต.อ.พิภพและพ.ต.ท.ไพชยนต์ ผู้เชี่ยวชาญอาวุธปืนสงครามยืนยันว่าอาวุธปืนเล็กกลนี้สามารถถอดประกอบชิ้นส่วนได้อาทิเช่นลำกล้อง ลูกเลื่อน เครื่องลั่นไก หากมีการถอดชิ้นส่วนดังกล่าวก่อนส่งไปตรวจพิสูจน์ก็ไม่สามารถตรวจเปรียบเทียบกับเศษรองกระสุนและลูกกระสุนปืน  ทั้งนี้ตามระเบียบการทำความสะอาดก่อนจะทำการเก็บทำความสะอาดอาวุธปืนที่ใช้  หลังจากการยิงอาวุธปืนที่ใช้หลังจากยิงทุกครั้งไม่ว่าจากการฝึกยิงหรือยิงในราชการอื่นใดจะต้องทำความสะอาดอาวุธปืนดังกล่าวทุกครั้ง การทำความสะอาดแต่ละครั้งย่อมทำให้ร่องรอยพยานหลักฐานอาวุธปืนกระบอกนั้นๆ เปลี่ยนแปลงไปได้ ด้วยเหตุผลดังกล่าวทำให้ไม่สามารถทำการตรวจพิสูจน์อาวุธปืนเล็กกลทั้ง 12 กระบอก เปรียบเทียบกับเศษรองกระสุนปืนและลูกกระสุนปืนตรงกับความเป็นจริงได้

ไม่มีน้ำหนักที่จะเชื่อถือได้ว่ามีชายชุดดำหรือเสื้อขาวถือ M16

และเมื่อพิจารณาจากจุดตำแหน่งเจ้าพนักงานซึ่งเป็นหน่วยทหารนี้ได้ใช้อาวุธปืนประจำกายยิงไปที่ประตูทางออกด้านในวัด บริเวณเต็นท์ด้านในวัด บริเวณกุฏิพระภายในวัดและกำแพงรั้วด้านนอกวัดบริเวณดังกล่าวอยู่ใกล้กับแนววิถีกระสุน  ซึ่งผู้ตายที่  1 ผู้ตายที่ 3-6 ถูกอาวุธปืนยิงถึงแก่ความตาย  ส่วนจ.ส.อ.สมยศ  ส.อ.เกรียงศักดิ์ ส.อ.ชัยวิชิต ส.อ.วิทูรย์ ส.อ.ภัทรนนท์ เบิกความว่ามีชาย 4 คนสวมชุดดำ ถืออาวุธปืนยาวบริเวณเสาตอม่อรถไฟฟ้าบีทีเอสด้านหน้าวัดปทุมฯ ยิงมายังเจ้าพนักงาน และมีชายสวมเสื้อสีขาวกางเกงลายพรางสวมหมวกไหมพรมถืออาวุธเอ็ม 16 หลบอยู่ข้างกุฏิวัดภายในวัด พร้อมเล็งมายังเจ้าพนักงานบนรางรถไฟฟ้าดังกล่าว จึงเห็นว่าขณะเกิดเป็นเวลากลางวันและบริเวณดังกล่าวมีผู้สื่อข่าวทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศมาทำข่าวและบันทึกภาพเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นเป็นจำนวนมาก  แต่กลับไม่ภาพถ่ายของชายชุดดำหรือบุคคลดังกล่าวมาแสดงแม้แต่ภาพเดียว ทั้งไม่ปรากฏว่ามีเจ้าพนักงานได้รับบาดเจ็บหรือถึงแก่ความตายจากการยิงต่อสู้

นอกจากนี้ยังได้ความจากปากส.อ.สุนทร จันทร์งามและส.อ.เดชาธร มาขุนทด เจ้าพนักงานทหารสังกัดกองพันจู่โจม กรมรบพิเศษที่ 3 ค่ายเอราวัณ เบิกความว่าในวันที่เกิดเหตุประจำการอยู่ที่รถไฟฟ้าบีทีเอสชั้นที่หนึ่ง หน้าวัดปทุม ได้ตอบทนายญาติผู้ตายที่ 1,4 ว่า ขณะที่พยานปฏิบัติหน้าที่ที่บริเวณดังกล่าวไม่มีภัยคุกคามเกิดขึ้นภายในวัดปทุมพยานจึงไม่ได้ใช้อาวุธปืนประจำกายยิง แสดงให้เห็นว่าถอยคำของเจ้าพนักงานทหารขัดแย้งกันเองทั้งที่ประจำการอยู่ในตำแหน่งเดียวกัน ข้อกล่าวหานี้จึงไม่มีน้ำหนักที่จะเชื่อถือได้ว่ามีข้อเท็จจริงเช่นว่านั้น

 ช่างทำบั้งไฟปากคำไม่มีน้ำหนักเนื่องจากถูกจูงใจจากทหาร

แม้พยานปากนายอภิสิทธิ์ แสงแก้วจะเบิกความว่าพยานได้ถูกว่าจ้างให้มาทำบั้งไฟในบริเวณสี่แยกราชประสงค์  ขณะเกิดเหตุได้หลบภายในวัดปทุมวนาราม เห็นปากกระบอกปืนโผล่ออกมาจากกุฏิวัดภายในวัดและยิงไปยังเจ้าพนักงานทหารซึ่งประจำการอยู่บริเวณรางรถไฟฟ้าบีทีเอสหน้าวัด โดยมีการยิงตอบโต้ซึ่งกันและกัน ปรากฎว่าพยานปากนี้คำถามญาติผู้ตายที่ 1, 3, 4 ว่า ก่อนที่เจ้าพนักงานทหารจะนำตัวไปให้พนักงานสอบสวน สน.ทุ่งมหาเมฆทำการสอบปากคำ พยานถูกเจ้าพนักงานพาไปที่ค่ายทหารและรับเงินเจ้าพนักงานทหารเป็นค่าใช้จ่าย กรณีนี้ถือได้ว่าเจ้าพนักงานทหารเป็นผู้นำพยานไปให้พนักงานสอบสวนทำการสอบปากคำ มิใช่เป็นความสมัครใจของพยาน ทั้งที่เจ้าพนักงานที่ถูกกล่าวหาก่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และการให้เงินพยานปากนี้ก็มีลักษณะเพื่อที่จะจูงใจดังนั้นถ้อยคำของพยานปากนี้จึงไม่มีน้ำหนักที่จะรับฟัง

ข้อเท็จจริงที่เจ้าพนักงานนำสืบว่ามีชายชุดดำถืออาวุธปืนยาวอยู่ภายในวัดปทุมฯแล้วใช้อาวุธปืนยิงมายังเจ้าพนักงานจึงไม่มีน้ำหนักน่าเชื่อถือ  ด้วยพยานหลักฐานของผู้ร้องประกอบด้วยประจักษ์พยาน พยานแวดล้อมกรณี ผู้เชี่ยวชาญที่เกี่ยวข้อง พนักงานสอบสวน ภาพถ่ายและภาพเคลื่อนไหว เชื่อว่าผู้ตายที่ 1, 3-6 ถึงแก่ความตายเพราะถูกกระสุนปืนของอาวุธปืนความเร็วสูงขนาด .223 หรือ 5.56 มม. จากเจ้าพนักงานซึ่งเป็นทหารสังกัดกองพันจู่โจม กรมรบพิเศษที่ 3 ค่ายเอราวัณ ที่ประจำการอยู่บนรางรถไฟฟ้าบีทีเอสชั้นที่ 1 หน้าวัดปทุมวนาราม

ส่วนผู้ตายที่ 2 ได้ความจากพยานยืนยันทำนองเดียวกันว่าพยานได้เข้าไปร่วมชุมนุมตั้งแต่มี.ค. 2553 – 19 พ.ค. 2553 เวลา 13.00 น. แกนนำได้ประกาศยุติการชุมนุม ได้มีการสั่งให้ผู้ชุมนุมเดินทางไปสนามกีฬาแห่งชาติเพื่อขึ้นรถโดยสารประจำทางกลับภูมิลำเนา โดยให้เด็กและคนชราเข้าไปพักในวัดปทุมวนาราม ในขณะนั้นพยานทั้งสามได้เห็นผู้ตายที่ 2 ได้ถูกอาวุธปืนยิง โดยทิศทางกระสุนมาจากบริเวณ ถ.พระราม 1 ทางด้านห้างสรรพพสินค้าสยามพารากอน

แล้วศาลก็ได้พิจารณาแล้วเห็นว่า แม้นผู้ร้องและญาติผู้ตายที่ 2 จะไม่มีประจักษ์พยานที่เห็นเหตุการณ์ขณะที่ผู้ตายที่ 2 ถูกยิงด้วยกระสุนปืนจากผู้ใด แต่ขณะเกิดเหตุเป็นเวลากลางวัน รวมทั้งประจักษ์พยานยืนยันถึงรายละเอียดของเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นที่เกี่ยวกับการตายของผู้ตายที่ 2 อย่างละเอียดทุกขั้นตอนได้อย่างสอดคล้องต้องกัน  โดยเริ่มตั้งแต่จุดที่พยานแต่ละคนเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พร้อมทั้งได้ยินเสียงปืนจากทิศทางแยกเฉลิมเผ่า บนถ.พระราม 1 หน้าห้างสรรพสินค้าสยามพารากอนกระทั่งถึงตำแหน่งที่ผู้ตายที่ 2 ถูกยิง โดยพยานทุกปากได้เข้าไปช่วยนำผู้ตายที่ 2 เข้าปฐมพยาบาลภายในเต็นท์ โดยเฉพาะพยานปากน.ส.ณัฎฐธิดา ผู้ตายที่ 3 และผู้ตายที่ 6 ช่วยกันปฐมพยาบาลด้วยการปั๊มหัวใจให้กับผู้ตายที่ 2 ก่อนสิ้นใจตายในเต็นท์พยาบาล

ประกอบกับได้ความจากพยานร.ท.พิษณุ ทัดแก้ว เจ้าพนักงานซึ่งเป็นทหารจากสังกัดกองพันทหารราบที่ 2 กรมทหาราบที่ 31 รักษาพระองค์ เบิกความว่า 19 พ.ค. 2553 เวลาประมาณ 13.00 น. เจ้าพนักงานซึ่งเป็นทหารสังกัด กองพันทหารราบที่ 2 กรมทหารราบที่ 31 รักษาพระองค์ นำโดยพ.ท.ยอดอาวุธ พึ่งพักตร์ ได้รับคำสั่งจาก ศอฉ.  ให้เคลื่อนกำลังประมาณ 500 นาย จากแยกปทุมวัน เพื่อกระชับพื้นที่บริเวณแยกราชประสงค์โดยมาตามถ.พระราม 1 ทั้งฝั่งซ้ายและขวา พยานได้ใช้ปืนเล็กยาวทาโวร์ เป็นอาวุธปืนประจำกายพร้อมด้วยกระสุนปืนขนาด 5.56 มม.

จนกระทั่งเวลา 17.30 น. ของวันดังกล่าวขณะที่พยานประจำตำแหน่งอยู่เห็นชาย 2 คน ยืนอยู่ที่บริเวณขอบปูนกั้นเสาตอม่อรถไฟฟ้าบีทีเอสแยกเฉลิมเผ่า บุคคลดังกล่าวได้ใช้อาวุธปืนเอ็ม 16 ยิงมาที่พยาน พยานจึงได้ใช้อาวุธปืนต่อสู้กับชายคนดังกล่าวจำนวน 10 นัด กระสุนปืนถูกที่ขอบปูนกั้น

หน้าวัดปทุมฯ เจ้าพนักงานควบคุมพื้นที่ไว้แล้วทั้งหมด

เมื่อพิจารณาตำแหน่งที่ ร.ท.พิษณุกับ พลฯสมรักษ์ ส.อ.โสพล  ธีระวัฒน์ พลฯไกรสร เชื้อวัฒน์ ประจำการอยู่กับตำแหน่งที่ผู้ตายที่ 2 ถูกยิง และแนวกระสุนที่ ร.ท.พิษณุยิงไปที่บริเวณขอบกั้นเสาตอม่อรถไฟฟ้าบีทีเอสแยกเฉลิมเผ่า แล้วจะเห็นได้ว่าจุดที่ร.ท.พิษณุกับพวกอีกสามนายประจำการอยู่บนถ.พระราม 1 นั้น เป็นฝั่งเดียวกับผู้ตายที่ 2 ถูกยิง และแนววิถีกระสุนที่ร.ท.พิษณุยิงไปก็อยู่ในแนวระนาบกับแนววิถีกระสุนปืนซึ่งผู้ตายที่ 2 ถูกยิง  ซึ่งแนววิถีกระสุนนี้จากผลการตรวจศพของผู้ตายที่ 2 ตามรายงานการตรวจศพของแพทย์ผู้ผ่าพิสูจน์ ว่ามีบาดแผลผิวหนังทะลุบริเวณทรวงอกด้านซ้ายส่วนบนเกิดจากกระสุนปืน ทิศทางหลังไปหน้า แนวตรง แนวระดับ  โดยเฉพาะพื้นที่ถ.พระราม 1 นั้นทั้งด้านซ้ายและด้านขวาตั้งแต่สนามกีฬาแห่งชาติจนถึงหน้าห้างสรรพสินค้าสยามพารากอนไม่ปรากฎว่ามีบุคคลใดนอกจากเจ้าพนักงานซึ่งเป็นทหารหน่วยนี้ประจำการและเข้าไปควบคุมพื้นที่ถ.พระราม 1 ไว้ทั้งหมดแล้ว

ประกอบกับได้ความจาก น.ส.ผุสดี งามขำ พยานญาติผู้ตายที่ 2  ร่วมเบิกความสนับสนุนว่า ได้เข้ารวมชุมนุมกับกลุ่ม นปช. ตั้งแต่วันที่ 13 มี.ค.- 19 พ.ค. 2553 ณ เวทีสะพานผ่านฟ้าลีลาศจนถึงเวทีแยกราชประสงค์ จนกระทั่งถึงเวลา 13.00 น. ของวันที่ 19 พ.ค.2553 กลุ่ม นปช. ได้ประกาศยุติการชุมนุมบริเวณแยกราชประสงค์และได้แจ้งให้ผู้ชุมนุมไปขึ้นรถโดยสารประจำทางที่สนามกีฬาแห่งชาติเพื่อกลับภูมิลำเนา ส่วนหนึ่งให้เข้าไปพักที่วัดปทุมวนารามซึ่งได้ประกาศเป็นเขตอภัยทาน พยานยังคงนั่งอยู่ที่หน้าเวทีและเดินรอบเวทีปราศรัย รวมทั้งเส้นทางของถ.พระราม 1 ขณะนั้นเวลาประมาณ 15.00 น. เศษ พยานได้เห็นเจ้าพนักงานเข้าควบคุมพื้นที่ทั้ง 4 ด้านล้อมรอบแยกราชประสงค์ไว้หมดแล้ว โดยเฉพาะบริเวณถ.พระราม 1 หน้าวัดปทุมวนารามเจ้าพนักงานได้เข้าควบคุมพื้นที่บริเวณดังกล่าวไว้แล้วทั้งหมดเช่นเดียวกัน

 ผู้ตายที่ 2 ตายจากกระสุนปืนของทหาร ร.31 พัน.2 รอ.

ส่วนร.ท.พิษณุเบิกความว่าเห็นชายสองคนอยู่บริเวรขอบปูนกั้นของตอม่อรถไฟฟ้าบีทีเอสแยกเฉลิมเผ่าได้ใช้อาวุธปืนเอ็ม 16 ยิงมาจุดที่พยานประจำการนั้นเห็นว่าขณะเกิดเป็นเวลากลางวันและมีผู้สื่อข่าวทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศเข้าไปทำข่าวเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นเป็นจำนวนมาก แต่กลับไม่ไม่บันทึกภาพถ่ายของชายคนดังกล่าวมาแสดงซึ่งเป็นข้อพิรุธและสงสัย อีกทั้งถ้อยคำของ ร.ท.พิษณุ  ยังขัดแย้งกับเจ้าพนังงานทหารในหน่วยเดียวกันและประจำจุดเดียวกันและไม่ไกลกัน ตามแผนที่ในแผนผังประกอบการพิจารณา (หมาย ร.97)โดยเฉพาะ ส.อ.สมพงษ์ จินดาวัตน์ ซึ่งประจำการอยู่ใกล้กับ ร.ท.พิษณุ ตามปรากฏในแผนผังประกอบการพิจารณา กล่าวเบิกความว่าไม่มีบุคคลใดเคลื่อนไหวอยู่ที่บริเวณดังกล่าวแล้วไม่มีปลายกระบอกปืนพาดกับขอบตอหม้อรถไฟฟ้า BTS ตามภาพถ่ายเอกสารหมาย ร.100 พยานทั้ง 3 จึงไม่ได้ใช้อาวุธปืนประจำกายยิงไปที่จบริเวณดังกล่าว หากชาย 2 คนบริเวณดังกล่าวใช้อาวุธปืนยิงต่อสู้กับ ร.ท.พิษณุ ทัสแก้ว เจ้าพนักงานนายอื่นที่บริเวณดังกล่าวคงไม่ปล่อยให้ ร.ท.พิษณุ ใช้อาวุธปืนเพียงลำพังเพียงคนเดียวนานถึง 40 นาที

ด้วยพยานหลักฐานของผู้ร้องและญาติของผู้ตาย ประกอบกับประจักษ์พยายาน พยานแวดล้อมที่เกี่ยวข้องการตาย เชื่อว่าผู้ตายที่ 2 ถึงแก่ความตายเพราะถูกกระสุนปืนความเร็วสูงขนาด .223 ของเจ้าพนักงานซึ่งเป็นทหารสังกัดกองพันทหารราบที่ 2 กรมทหารราบที่ 31 รักษาพระองค์ ที่ประจำการอยู่ถนนพระรามที่ 1 หน้าห้างสรรพสินค้าพารากอน

 ผู้ตายทั้ง 6 ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการใช้อาวุธปืน

สำหรับการตรวจหาคลาบเขม่าดินปืนของมือผู้ตายทั้ง 6 ของสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กระทรวงยุติธรรม กับการตรวจของกองพิสูจน์หลักฐาน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้ความจาก พ.ต.ท.วัชรัศมิ์ เฉลิมสุขสันต์ เจ้าหน้าที่ตรวจสถานที่เกิดเหตุ สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กระทรวงยุติธรรม เบิกความยืนยันว่า เมื่อวันที่ 20 พ.ค.53 กรมสอบสวนคดีพิเศษได้ประสานมายังสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กระทรวงยุติธรรม ให้มาดูสถานที่เกิดเหตุภายในวัดปทุมฯ แพทย์หญิง คุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ ผู้อำนวยการสถาบันนิติวิทยาศาสตร์กับเจ้าหน้าที่สถาบันฯ ได้เดินทางไปยังวัดปทุมฯ ขณะไปถึงเวลา 8.00 น. เศษ พบศพทั้ง 6 ศพ นอนเรียงอยู่ใกล้ศาลา แต่ละศพมีเสื่อคลุม พยานตรวจสถานที่เกิดเหตุ คลาบโลหิต รวมทั้งตรวจมือของผู้ตายทั้ง 6 เพื่อหาอนุภาคที่มาจากการยิงปืน ซึ่งผลการตรวจนั้นไม่พบอนุภาคที่มาจากการยิงปืนทั้ง 6 ศพ ตามรายงานการตรวจสถานที่เกิดเหตุ และรายงานการตรวจพิสูจน์เอกสาร สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ เป็นหน่วยงานราชการหน่วยแรกที่ตรวจสถานที่เกิดเหตุ ตรวจสภาพศพทั้ง 6 ศพ รวมทั้งจัดเก็บหลักฐานการตรวจเม่าดินปืนบริเวณมือทั้ง 2 ข้างของผู้ตายทั้ง 6 ก่อนหน่วยงานอื่น โดยแสดงถึงวิธีการ จัดเก็บหลักฐานคลาบเขม่าดินปืนดังกล่าวตามหลักการวิทยาศาสตร์ไว้อย่างละเอียด ดังนั้นผลของการตรวจเขม่าดินปืนที่มือของผู้ตายทั้ง 6 ศพ ของสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ จึงมีน้ำหนักน่าเชื่อถือ ด้วยหลักฐานจึงเชื่อว่ามือทั้ง 2 ข้างของผู้ตายทั้ง 6 ไม่มีเขม่าดินปืน แสดงว่าผู้ตายทั้ง 6 ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการใช้อาวุธปืน

ไม่น่าเชื่อว่ามีการตรวจค้นอาวุธของกลางภายในวัดปทุมและพื้นที่บนถนนพระรามที่ 1

สำหรับอาวุธปืน กระสุนปืน และปลอกกระสุนปืน ลูกระเบิดชนิดต่างๆ ที่ตรวจยึด เห็นว่าหลังจากการตรวจยึดอาวุธปืนขอกางดังกล่าวแล้ว ไม่ปรากฏว่ามีเจ้าหน้าที่หน่วยงานใดได้ส่งอาวุธของกลางไปส่งพิสูจน์กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิเช่น สถาบันนิติวิทยาศาสตร์หรือกองพิสูจน์หลักฐานกลางของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อตวรจหาลายนิ้วมือแฝงและสายพันธุกรรมดีเอ็นเอ ในการสืบหาคนร้ายที่ครอบครองของกลางดังกล่าว แม้กระทั้งปัจจุบันก็ไม่พบว่าบุคคลใดบุคคลหนึ่งที่เกี่ยวกับของกลาง อีกทั้งของกลางดังกล่าวก็ไม่ได้ตรวจยึดในวันเกิดเหตุ คือวันี่ 19 พ.ค.53 ทันที ขณะนั้นเจ้าพนักงานทหารได้ควบคุมพื้นที่ด้านภายในวัดปทุมฯ และถนนพระรามที่ 1 ไว้หมดแล้ว ก่อนที่เจ้าหน้าที่กลุ่มงานกู้และตรวจพิสูจน์วัตถุระเบิด กองบัญชาการตำรวจนครบาล ซึ่งเป็นหน่วยงานที่เข้าไปตรวจที่เกิดเหตุ อีกทั้งการตรวจยึดของกลางก็ตรวจยึดหลังจากเกิดเหตุแล้วเป็นเวลาหลายเดือน การตรวจยึดของกลางดังกล่าวนั้นจึงมีข้อพิรุธ

ประกอบกับได้ความจากนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ขณะนั้นดำรงตำแหน่ง ผู้อำนวยการ ศอฉ. และ พ.ต.อ. ปรีชา เบิกความทำนองเดียวกันว่า เมื่อวันที่ 26 เม.ย.53 ศอฉ. ได้มีคำสั่งจัดตั้งด่านแข็งแรงรอบพื้นที่การชุมนุมสี่แยกราชประสงค์ จำนวน 6 จุด ต่อมาวันที่ 13 พ.ค.53 พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา หัวหน้าผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินได้ออกประกาศ ศอฉ. ห้ามใช้เส้นทางเข้าหรือออกเส้นทางที่กำหนดเว้นแต่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ ซึ่งใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 13 พ.ค.53 เป็นต้นไป ในวันดังกล่าว พล.อ.อนุพงษ์ ได้ออกคำสั่งระงับการให้บริการเส้นทางคมนาคมทางน้ำ และในวันดังกล่าว พล.อ.อนุพงษ์ ได้ออกคำสั่งให้งดบริการรถไฟฟ้าสถานีราชดำริ สยาม ชิดลม รวมทั้งรถไฟฟ้าใต้ดินในสถานีสีลม สถานีลุมพินี ตั้งแต่เวลา 18.00 น. ของวันที่ 13 พ.ค.53 เป็นต้นไป นอกจากนี้วันที่ 13 พ.ค.53 กองบังคับการตำรวจนครบาลได้ออกคำสั่งกำหนดจุด 13 จุด โดยเริ่มปฏิบัติตั้งแต่วันที่ 13 พ.ค.53 เวลา 18.00 น. เป็นต้นไป จนกว่าจะเสร็จภารกิจ เจ้าหน้าที่หน่วยประจำหลักพกปืนพกประจำกาย การตั้งด่านดังกล่าวมีวัตถุประสงค์ต้องการจัดการคนเข้าและออกในพื้นที่ดังกล่าวโดยห้ามไม่ให้บุคคลนำอาวุธเข้าไปในพื้นที่ชุมนุมแยกราชประสงค์ รวมทั้งพื้นที่โดยรอบ แสดงให้เห็นว่าการตั้งด่านเข้มแข็งของเจ้าพนักงานในพื้นที่ดังกล่าวย่อมเป็นการยากที่บุคคลใดจะนำอาวุธเข้าไปในพื้นที่วัดปทุมฯ และพื้นที่ถนนพระราม 1 รวมทั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ไม่สามารถเข้าไปในพื้นที่ควบคุมได้เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานซึ่งเป็นทหาร จากพยานหลักฐานและเหตุผลดังกล่าวจึงไม่น่าเชื่อว่ามีการตรวจค้นอาวุธของกลางภายในวัดปทุมและพื้นที่บนถนนพระรามที่ 1

จึงมีคำสั่งว่าผู้ตายที่ 1 คือนายสุวัน ศรีรักษา ผู้ตายที่ 2 คือนายอัฐชัย ชุมจันทร์ ผู้ตายที่ 3 คือนายมงคล เข็มทอง ผู้ตายที่ 4 คือนายรพ สุขสถิต ผู้ตายที่ 5 คือ น.ส.กมนเกด อัคฮาด  ผู้ตายที่ 6 คือนายอัครเดช ขันแก้ว ถึงแก่ความตายภายในวัดปทุมวนารามราชวรวิหาร แขวงปทุมวัน เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 19 พ.ค. 2553 เวลากลางวัน เหตุและพฤติการณ์การตาย สืบเนื่องมาจากถูกยิงด้วยกระสุนปืนขนาด .223 หรือ 5.56 มม. ซึ่งวิถีกระสุนปืนยิงมาจากเจ้าพนักงานซึ่งปฏิบัติหน้าที่รักษาความสงบเรียบร้อยอยู่บนรางรถไฟฟ้าบีทีเอส หน้าวัดปทุมวนารามราชวรวิหารและบริเวณถนนพระรามที่ 1 ซึ่งเข้าควบคุมพื้นที่บริเวณแยกราชประสงค์ตามคำสั่งของศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน หรือ ศอฉ. เป็นเหตุให้ผู้ตายที่ 1 มีบาดแผลกระสุนปืนทะลุปอดและหัวใจ เสียโลหิตปริมาณมาก ผู้ตายที่ 2 มีบาดแผลกระสุนปืนทำลายปอด ผู้ตายที่ 3 มีบาดแผลกระสุนปืนทำลายปอด หัวใจ ตับ ผู้ตายที่ 4 มีบาดแผลกระสุนปืนทำลายปอด ตับ ผู้ตายที่ 5 มีบาดแผลกระสุนปืนทำลายสมอง ผู้ตายที่ 6 มีบาดแผลกระสุนปืนทะลุเข้าไปในช่องปาก โดยยังไม่ทราบแน่ชัดว่าใครเป็นผู้ลงมือกระทำ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังการอ่านคำสั่ง ศาลกล่าวสรุปประเด็นให้ผู้ที่เข้าร่วมฟังด้วยว่า 1.เกิดจากการกระทำของเจ้าพนักงานทหาร 2.ผู้ตายทั้ง 6 ไม่มีคราบเขม่าดินปืนที่มือทั้งสองข้าง แสดงว่าไม่ได้เกี่ยวข้องกับการใช้อาวุธปืนมาก่อน 3.การตรวจยึดอาวุธในวัดปทุมวนาราม ไม่น่าเชื่อว่ามีการตรวจยึดจริง และ 4.กรณีชายชุดดำ ไม่ปรากฏว่ามีชายชุดดำอยู่ในบริเวณดังกล่าว โดยศาลมีคำสั่งให้นำคำสั่งนี้ส่งต่อให้พนักงานอัยการ เพื่อดำเนินการต่อไป ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 150

ที่มา.ประชาไท
/////////////////////////////////////////////////////////////

วันอังคารที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2556

ประชาชน ถูกดำเนินคดีหลังรัฐประหาร 1,888 คน !!??

4พ.ร.บ.เข้าพิจารณาในสภา ระบุพ.ร.บ.นิรโทษกรรมหลังรัฐประหาร19ก.ย.49ปชช.ถูกดำเนินคดี1,888คน ยังมีจำนวนหนึ่งถูกคุมขังและคดี

1. ร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรมตัวเลขนักโทษจากความขัดแย้งทางการเมือง หลังเหตุการณ์รัฐประหาร ก.ย.2549 ที่ศูนย์ข้อมูลประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากการสลายการชุมนุม(ศปช.)รวบรวมเอาไว้ พบว่ามีประชาชนทั้งที่ร่วมชุมนุมและไม่ได้ร่วมชุมนุม ถูกดำเนินคดี 1,833 คน นับเป็น 1,451 คดี รวมถึงยังมีหมายจับที่ยังจับกุมตัวผู้ต้องหาไม่ได้อีกหลายร้อยคดีในหลายจังหวัดและยังมีผู้ถูกจับกุมจากเหตุการณ์อื่นอันเกี่ยวเนื่องกับความขัดแย้งทางการเมืองหลังรัฐประหาร 55 คน

โดยสรุป ตัวเลขประชาชนที่ถูกดำเนินคดี เนื่องจากความขัดแย้งทางการเมืองหลังรัฐประหาร รวมแล้ว 1,888 คน ขณะที่นักโทษการเมืองจำนวนหนึ่ง ยังถูกคุมขังและดำเนินคดี

ปัจจุบันมีข้อเสนอ ร่าง พ.ร.บ.เกี่ยวกับการนิรโทษกรรมผู้ที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ความรุนแรงทางการเมืองที่ผ่านมา 5 ฉบับ โดยเป็นข้อเสนอของ ส.ส. 2 ร่าง ซึ่งเสนอเข้าสู่วาระการประชุมของสภาไปแล้ว และข้อเสนอโดยภาคประชาชน 2 ร่าง อยู่ระหว่างล็อบบี้เสนอให้ ส.ส.บรรจุเข้าสู่วาระการประชุมสภาฯ ดังนี้

1. ร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรมฯ เสนอโดยนายวรชัย เหมะ ส.ส.สมุทรปราการ พรรคเพื่อไทย และคณะ เป็นฉบับแรกที่ถูกบรรจุเข้าวาระ วันที่ 7 ส.ค.2556 นี้ 2.ร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรมฯ เสนอโดยนิยม วรปัญญา ส.ส.ลพบุรี และคณะ 3.ร่างรัฐธรรมนูญว่าด้วยนิรโทษกรรมและขจัดความขัดแย้ง เสนอโดยคณะนิติราษฎร์ 4. ร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรมฯ เสนอโดยกลุ่มญาติวีรชน โดยนางพะเยาว์ อัคฮาดและ 5. ร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรม นายสุชาติ ลายน้ำเงิน อดีต ส.ส.ลพบุรี พรรคพลังประชาชน ในฐานะแกนนำคนเสื้อแดง จ.ลพบุรี ล่าสุด 31 ก.ค.ได้ยื่นต่อสภาฯ

ทั้งนี้ร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฉบับวรชัย เหมะจะมีเนื้อหานิรโทษฯดังนี้

1.นิรโทษกรรมให้ใครบ้าง
- คดีอาญาทุกคดี ที่เกี่ยวเนื่องกับการชุมนุมหรือการแสดงออกทางการเมือง หรือคดีที่มีมูลเหตุเกี่ยวข้องกับความขัดแย้งทางการเมือง รวมไปถึงการกล่าวด้วยวาจาหรือโฆษณา เพื่อให้มีการต่อต้านรัฐ การต่อสู้ขัดขืนเจ้าหน้าที่รัฐ

2. ไม่นิรโทษกรรมให้ใครบ้าง
- คดีของผู้ที่มีอำนาจตัดสินใจ หรือผู้สั่งการให้มีการเคลื่อนไหวทางการเมือง (ระดับแกนนำ)
- ผู้กระทำผิดตามมาตรา 112

3. ช่วงเวลานิรโทษกรรม
การกระทำระหว่าง 19 ก.ย.2549 - 10 พ.ค.2554

2. ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2557
จำนวน 2,525,000,000,000 บาท (สองล้านห้าแสนสองหมื่นห้าพันล้านบาท) เป็นการพิจารณาวาระ 2 -3 โดยฝ่ายรัฐบาลกำหนดไว้เป็นวันที่ 14-15 ส.ค.2556

3. ร่าง พ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้านบาท หรือ ร่าง พ.ร.บ.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของประเทศ

เมื่อผ่านขั้นตอนรัฐสภาแล้ว พรรคประชาธิปัตย์ในฐานะฝ่ายค้าน และ ส.ว.บางส่วน แสดงเจตนาไว้ชัดเจนว่า จะยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย เพราะมองว่า พ.ร.บ. 2 ล้านล้านบาท ขัดต่อบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญหลายประเด็นรวมทั้ง คณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย(คปก.) ที่มีนายคณิต ณ นคร เป็นประธาน ได้มีหนังสือที่ คปก. 01/721 เสนอความเห็นและข้อเสนอแนะต่อร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ว่า อาจขัดรัฐธรรมนูญมาตรา 169

โดยมาตรา 169 เกี่ยวกับเรื่องวิธีจัดทำงบประมาณ ที่กำหนดว่าการใช้จ่ายเงินแผ่นดินจะทำได้ที่อนุญาตไว้ต้องเป็นเงินงบประมาณรายจ่ายเกี่ยวกับการเงิน การโอนงบที่เป็นเงินคงคลัง เว้นแต่เป็นกรณีจำเป็นเร่งด่วนรัฐบาลจะจ่ายไปก่อนย่อมทำได้ แต่ต้องเป็นไปตามที่กฎหมายบัญญัติเอาไว้ กรณีการออกพระราชกำหนดกฎหมายกู้ยืมเงิน จึงจะเป็นข้อยกเว้น โดยที่รัฐบาลต้องไปทำรายจ่ายเพื่อข้อยกเว้นเงินคงคลัง แต่กรณี 2 ล้านล้านบาทไม่ใช่การตราพระราชกำหนดเป็นการตราพระราชบัญญัติทั่วไป จึงมีประเด็นว่า เป็นเงินแผ่นดินหรือไม่

ประเด็นที่อาจขัดต่อการมีส่วนร่วมของประชาชน 2 ประเด็นใหญ่ ในมาตรา 57 วรรคสอง ระบุว่า การวางแผนออกกฎที่มีผลกระทบต่อส่วนได้เสียของประชาชนให้รัฐควรสำรวจต้องฟังความคิดเห็นอย่างทั่วถึงก่อนดำเนินการ 4 ประการ 1.อีไอเอ 2.อีเอชไอเอ 3.รับฟังความคิดเห็น 4.มีองค์การอิสระให้ความคิดเห็น ...เป็นต้น

ทั้งนี้ ยังมีมาตรา 154 เมื่อสภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภา ผ่านนายกรัฐมนตรี จะเสนอลงพระปรมาภิไธย ส.ส.หรือ ส.ว.สามารถจะเข้าชื่อ ยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญให้วินิจฉัยกระบวนการตรากฎหมายฉบับนี้ได้อีกขยักว่า เนื้อหาขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่

4. ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ล่าสุดมี 4 ฉบับ อยู่ในขั้นตอนดังนี้

1. ร่างแก้ไขมาตรา 291 เสนอโดยรัฐบาล พรรคเพื่อไทยและแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) พรรคชาติไทยพัฒนา
ประเด็นสำคัญ คือ ให้มี ส.ส.ร. 99 คน มายกร่างรัฐธรรมนูญ โดย ส.ส.ร. มี 2 ประเภท คือ มาจากการเลือกตั้งโดยตรงจังหวัดละ 1 คน และเป็นผู้เชี่ยวชาญที่มาจากการคัดเลือกโดยที่ประชุมสภาฯ 22 คน ขั้นตอนขณะนี้ รอโหวตวาระที่ 3

2. ร่างแก้ไขเรื่องที่มาของ ส.ว. ได้แก่ มาตรา 111-115 มาตรา 117 มาตรา 118 มาตรา 120 เสนอโดยนายอุดมเดช รัตนเสถียร ส.ส.นนทบุรี พรรคเพื่อไทยประเด็นสำคัญ ให้มี ส.ว.เลือกตั้งทั้งหมด 200 คน (จากเดิมมี 150 คน โดยมาจากแต่งตั้งและเลือกตั้งจากจังหวัดละคน) ตัด ส.ว.สรรหาทิ้ง มีวาระ 6 ปี และให้ ส.ว.สามารถลงรับสมัครรับเลือกตั้งติดต่อกันได้ (จากเดิมห้ามเป็นติดต่อกันเกิน 1 วาระ) ขั้นตอนขณะนี้ ผ่านวาระแรก กรรมาธิการแปรญัตติเสร็จแล้ว รอเข้าสภาวาระ 2-3

3. ร่างแก้ไขมาตรา 237 และมาตรา 68 เสนอโดยนายดิเรก ถึงฝั่ง ส.ว.นนทบุรี
ประเด็นสำคัญ คือ ตัดเรื่องการยุบพรรคการเมืองและตัดสิทธิทางการเมืองหัวหน้าพรรคและกรรมการบริหารพรรค จากกรณีผู้สมัครของพรรคนั้นทุจริตเลือกตั้งและให้คืนสิทธิทางการเมืองให้กับผู้ที่ถูกเพิกถอนสิทธิทางการเมืองเป็นเวลา 5 ปีที่ผ่านมาด้วย อีกประเด็นคือ เรื่องการยื่นศาลรัฐธรรมนูญเพื่อให้พิจารณาสั่งยุบพรรคกรณีบุคคลหรือพรรคนั้นกระทำการที่เป็นการล้มล้างการปกครอง ต้องยื่นผ่านอัยการสูงสุดก่อน จะยื่นตรงต่อศาลรัฐธรรมนูญไม่ได้ ขั้นตอนล่าสุด ผ่านสภาวาระแรกแล้ว อยู่ระหว่างแปรญัตติ รอเข้าสภาวาระ 2-3

4. ร่างแก้ไขมาตรา 190 เสนอโดยนายประสิทธิ์ โพธสุธน ส.ว.สุพรรณบุรี
ประเด็นสำคัญ คือ ตัดข้อความที่ระบุว่า "หนังสือสัญญาที่มีผลกระทบต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจหรือสังคม หรือมีผลผูกพันด้านการค้า การลงทุน หรืองบประมาณของประเทศ ต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภา "ออกไป โดยขั้นตอนล่าสุด ผ่านสภาวาระแรก อยู่ระหว่างแปรญัตติ รอเข้าพิจารณาวาระ 2-3

5. ร่างพ.ร.บ.ว่าด้วยความปรองดองแห่งชาติ มีทั้งหมด 5 ฉบับ
เนื้อหาหลัก เกี่ยวข้องกับการนิรโทษกรรมผู้ที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ความรุนแรงทางการเมืองเช่นเดียวกับ พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ขณะนี้อยู่ในระเบียบวาระ 4 ฉบับ ได้แก่ ร่างของ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน หัวหน้าพรรคมาตุภูมิ อดีตหัวหน้าคณะรัฐประหารเมื่อ 19 ก.ย.2549 ร่างของนายสามารถ แก้วมีชัย ส.ส.เชียงราย พรรคเพื่อไทย ร่างของนายนิยม วรปัญญา ส.ส.ลพบุรี พรรคเพื่อไทย ร่างของนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย

ส่วนฉบับหลังสุด คือร่างของ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย เนื้อหาหลักคือการนิรโทษกรรมให้ทุกคดี ทุกคน ทุกระดับ ที่เกิดขึ้นหลังการรัฐประหาร ซึ่งรวมถึงคดีของนักการเมืองและอดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตร กำลังรอ(ลุ้น)บรรจุเข้าสู่วาระ

6. ญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล
สมัยประชุม สมัยสามัญทั่วไป เป็นโอกาสที่ฝ่ายค้านสามารถยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลได้ โดยพรรคประชาธิปัตย์ เตรียมกำหนดเวลาในการยื่นญัตติเอาไว้ช่วงท้ายสมัยประชุม โดยเน้นประเด็นความล้มเหลวของนโยบายและโครงการที่ส่อทุจริตคอร์รัปชัน

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
///////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

คำสัมภาษณ์สุดท้ายของ อิหม่ามยะโก๊ป !!??

อยากให้ทุกฝ่ายสร้างความเข้าใจ จริงใจ และมีความอดทนในการแก้ปัญหา แล้วปัญหาจะจบลงได้" เป็นคำให้สัมภาษณ์สุดท้ายของ อิหม่ามยะโก๊ป หรือ นายยะโก๊ป หร่ายมณี อิหม่ามประจำมัสยิดกลางจังหวัดปัตตานี



อิหม่ามกล่าว ที่มัสยิดกลางเมื่อเวลาประมาณบ่ายโมงเศษของวันจันทร์ที่ 5 ส.ค.2556 จากนั้นอีกเพียง 3 ชั่วโมงเขาก็ถูกยิงในบริเวณตลาดจะบังติกอ

ยะโก๊ปเป็นอิหม่ามที่มีชื่อเสียง ประกอบกับเป็นผู้นำศาสนาที่ใจดี คุยง่ายและไม่ถือตัว ทำให้เป็นที่รู้จักคุ้นเคยของนักข่าวในพื้นที่เป็นอย่างดี

และในวันที่เกิดเหตุ ผู้สื่อข่าวจากศูนย์ข่าวอิศราได้แวะเวียนไปหาอิหม่ามเพื่อสอบถามถึงการเตรียมความพร้อมก่อนเข้าเทศกาลฮารีรายอ เนื่องจากในวันรายอก็เป็นอีกหนึ่งวันที่พี่น้องมุสลิมจะไปร่วมละหมาดที่มัสยิดเป็นจำนวนมาก ทำให้อิหม่ามยะโก๊ปต้องเตรียมพร้อมทั้งตนเองและสถานที่ก่อนถึงเทศกาลสำคัญทุกปี

เช่นเดียวกับการละหมาดตะรอเวียะห์ทุกค่ำคืนในช่วงเดือนรอมฎอนที่อิหม่ามะยะโก๊ปจะเป็นผู้นำละหมาดด้วยตนเองด้วยน้ำเสียงอันเป็นเอกลักษณ์...ใครๆ ก็จำได้

อิหม่ามยะโก๊ปอายุได้ 51 ปี อยู่กินกับภรรยาและมีลูกด้วยกัน 2 คน เป็นชาย 1 หญิง 1 ย้อนหลังกลับไปเมื่อเกือบ 3 ปีที่แล้ว ช่วงค่ำวันที่ 11 ต.ค.2553 เขาเคยถูกคนร้ายลอบยิงที่หน้าบ้าน แต่รอดชีวิตมาได้อย่างหวุดหวิด เพราะกระสุนโดนเพียงหมวกกะปิเยาะห์

ครั้งนั้นเขาให้สัมภาษณ์ ว่า "คนร้ายไม่รู้จะไปยิงใคร อิหม่าม ครู ทุกอาชีพ ทุกคนที่อยู่ในพื้นที่เสี่ยงหมดแล้ว โดนกันหมด โจรเลยไม่รู้จะไปยิงใคร อิหม่ามก็ยิงมาเยอะแล้ว ก็เลยมาลงที่ผม แต่โชคดีที่อัลเลาะฮ์คุ้มครอง เพราะผมอยู่ในแนวทางของอัลเลาะฮ์มาตลอด"

พร้อมกับทิ้งประเด็นต่อสถานการณ์ความรุนแรงในพื้นที่ช่วงนั้นไว้อย่างน่าคิดว่า "ผมคิดว่าสถานการณ์ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ช่วงหลังๆ ดีขึ้นมาก แต่ดูเหมือนมีคนไม่อยากให้สถานการณ์สงบ"

เหตุรุนแรงที่กระทำต่ออิหม่ามคนสำคัญในครั้งนี้ เจ้าหน้าที่รัฐพุ่งเป้าไปที่การกระทำของกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรง มีรายงานเบื้องต้นถึงผลตรวจปลอกกระสุนปืนจากปากกระบอกปืนที่ใช้ยิงอิหม่าม พบว่าเคยใช้ก่อเหตุรุนแรงมาแล้ว 6 เหตุการณ์ ส่วนบุคคลที่ทางการเชื่อว่าเคยลอบยิงอิหม่ามเมื่อปี 2553 ก็เพิ่งถูกจับกุมได้เมื่อวันศุกร์ที่ 2 ส.ค.ที่ผ่านมานี้เอง

สาเหตุสำคัญที่อิหม่ามยะโก๊ปถูกลอบยิง เจ้าหน้าที่ประเมินว่าเป็นเพราะการทำงานร่วมกับรัฐอย่างเปิดเผย ตรงไปตรงมา เมื่อเร็วๆ นี้เขาเคยกล่าวต่อสาธารณะถึงความหมายของเดือนรอมฎอนว่า เป็นช่วงเวลาของการให้อภัยและไม่ทำร้ายกัน ขณะที่ก่อนหน้านั้นก็เคยพูดหลายครั้งว่า การก่อเหตุรุนแรงในพื้นที่เป็นการกระทำที่ผิดหลักศาสนาอิสลาม เพราะไม่มีคำสอนใดที่มุ่งให้ทำร้ายผู้อื่น

อิหม่ามเพิ่งให้สัมภาษณ์ เกี่ยวกับความหมายและข้อปฏิบัติของเดือนรอมฎอน เพิ่งนำเสนอบนเว็บไซต์เมื่อสัปดาห์ที่แล้วนี้เอง (25 ก.ค.) น่าจะเป็นบทสัมภาษณ์ขนาดยาวชิ้นสุดท้ายของอิหม่าม บางช่วงบางตอนอิหม่ามเน้นย้ำถึงสภาพพื้นที่ชายแดนใต้ว่าทุกฝ่ายต้องยอมรับความแตกต่างหลากหลายว่ามีอยู่จริง และเข้าใจอัตลักษณ์ของศาสนาอื่นด้วย

"ข้อเสนอบางข้อ (เงื่อนไขแลกยุติเหตุรุนแรงของบีอาร์เอ็น มี 7-8 ข้อ) อย่างกรณีให้อาสาสมัครรักษาดินแดน (อส.) กระทำละหมาด คนเหล่านี้ก็ละหมาดเป็นปกติอยู่แล้ว หรือไม่ให้ขายเหล้า ถ้ามุสลิมขายเหล้าก็หะรอมอยู่แล้ว แต่คนที่ไม่ใช่มุสลิมกระทำได้ เนื่องจากเราอยู่ในพื้นที่ที่มีความหลากหลาย คนพุทธห้ามขายหมูมันไม่ใช่ เราต้องเข้าใจว่าอัตลักษณ์ของศาสนาเป็นอย่างไร ศาสนาของเขาก็ของเขา ของเราก็ของเรา ในเรื่องวิถีชีวิต สังคม เราอยู่ร่วมกันได้ อันไหนที่ทำได้ก็ทำ อันไหนที่ขัดกับระบบอิสลามกำหนดก็มาว่ากันไป"

อิหม่ามยะโก๊ปเป็นบุคคลสำคัญทางศาสนาอิสลามที่มีผลงานโดดเด่นและเคยได้รับรางวัลมากมาย เช่น โล่รางวัลผู้ทำคุณประโยชน์ต่อกระทรวงวัฒนธรรมด้านศาสนา ประจำปี 2552 รางวัลพระราชทาน ผู้ทำคุณประโยชน์ต่อศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยทรายใต้ ปี 2536 รางวัลพระราชทานผู้ดำเนินรายการวิทยุดีเด่น สมาคมนักวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทยปี 2535 รางวัลพระราชทานโครงการคัดเลือกผู้ที่มีผลการปฏิบัติงานดีเด่นของจังหวัดชายแดนภาคใต้ สาขาการพัฒนาสังคมและทรัพยากรมนุษย์ และยังเป็นวิทยากรบรรยายศาสนธรรมตามสถานีวิทยุทั้งในกรุงเทพฯและปริมณฑล

นอกจากนั้น อิหม่ามยะโก๊ปยังเป็นตัวแทนประเทศไทยในการสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับสถานการณ์ความไม่สงบต่อองค์กรโลกมุสลิม เช่น องค์การความร่วมมืออิสลาม หรือ โอไอซี องค์กรสันนิบาตโลกมุสลิม รวมไปถึงองค์กรมุสลิมประเทศต่างๆ ด้วย



การเสียชีวิตของบุคคลผู้เป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวางอย่างอิหม่ามยะโก๊ป สร้างความรู้สึกตกใจ สูญเสีย และเศร้าสลดกับผู้คนจำนวนไม่น้อย นางรอเมาะ มือลอ แม่ค้าในตลาดจะบังติกอ เล่าว่า เธอเห็นอิหม่ามยะโก๊ปมาซื้อของที่ตลาดทุกวัน บางวันมากับภรรยา บางวันก็จะมากับเพื่อน แต่วันเกิดเหตุอิหม่ามมากับภรรยา

"ฉันไม่คิดเลยว่าคนร้ายจะกล้าเข้ามาก่อเหตุถึงในตลาด น่ากลัวมาก ตอนที่เกิดเหตุแรกๆ ก็ไม่รู้ว่ายิงใคร มารู้อีกทีก็ตอนที่อิหม่ามฟุบลงกับพื้นแล้ว รู้สึกตกใจมาก ไม่คิดว่าคนที่ตกเป็นเป้าจะเป็นอิหม่าม"

ขณะที่ นายนัน วัย 65 ปี คนทำความสะอาดมัสยิดกลางจังหวัดปัตตานี บอกว่า ตอนที่รู้ข่าวร้ายรู้สึกตกใจ ทำอะไรไม่ถูกเลย เหมือนจะเป็นลม อิหม่ามเป็นคนจริงจังกับงานมาก ตั้งแต่ท่านเป็นอิหม่าม จำไม่ได้ว่ากี่ปีแล้ว แต่มัสยิดแห่งนี้พัฒนามาก ท่านตกแต่งจนมัสยิดกลางปัตตานีเป็นมัสยิดที่สวยงามเป็นอันดับหนึ่งของประเทศไทยเลยก็ว่าได้

"ผมเองอยู่ได้ด้วยความช่วยเหลือจากท่านอิหม่าม ท่านให้เงินผมเดือนละ 500 บาทเป็นค่าตอนแทนที่ผมทำความสะอาดมัสยิด ถึงแม้ว่าเงินจะน้อย แต่ผมก็ภูมิใจ" นายนัน กล่าว

ส่วนผู้ที่ทำงานด้านประชาสังคมในพื้นที่ซึ่งต้องประสานงานอย่างใกล้ชิดกับหน่วยงานรัฐ ต่างพากันวิตกกังวลหลังเกิดเหตุร้ายกับอิหม่ามยะโก๊ป เพราะเป็นที่ทราบกันดีว่าอิหม่ามให้ความร่วมมือกับภาครัฐอย่างใกล้ชิด และยังมีแนวคิดเป็นกลาง มองปัญหาอย่างรอบด้าน

ขณะที่ ว่าที่ร้อยตรีเลิศเกียรติ วงศ์โพธิพันธ์ รองเลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) พร้อมด้วย นายประมุข ลมุล ผู้ว่าราชการจังหวัดปัตตานี ได้เข้าเยี่ยมปลอบขวัญและให้กำลังใจแก่ญาติของอิหม่าม

คืนวันจันทร์ที่ 5 ส.ค. การละหมาดตะรอเวียะห์ที่มัสยิดกลางจังหวัดปัตตานียังคงดำเนินไปตามปกติ แต่เสียงนำละหมาดไม่ใช่เสียงอันเป็นเอกลักษณ์ของอิหม่ามยะโก๊ปอีกแล้ว...

ที่มา.สำนักข่าวอิศรา
----------------------------------------------------------------------------------------------------

วันจันทร์ที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2556

ปัญหาหนี้ครัวเรือน เป็นวิกฤติประเทศ !!??

กลายเป็นเรื่องที่ควรจับตาขึ้นมาทันที สำหรับปัญหา “หนี้ครัวเรือน” ที่ต้องยอมรับว่าก่อนหน้านี้มีทั้งนักวิชาการ และหน่วยงานทางด้านเศรษฐกิจมากมาย ออกมาส่งสัญญาณเป็นนัยๆ ว่า ปัญหาดังกล่าวเริ่มส่อเค้าความน่าเป็นห่วงขึ้นในสังคมไทยมากขึ้นไปทุกทีๆ เพราะทันทีที่ “ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)” ออกมาชี้แจงถึงสถานการณ์ของปัญหานี้ว่าเริ่มมีการปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการกู้ยืมภาคครัวเรือนของสถาบันรับฝากเงินทั้งระบบ ในช่วงไตรมาส 1 ปี 2556 ที่ผ่านมา มียอดการให้กู้ยืมแก่ภาคครัวเรือนอยู่ในระดับสูงถึง 8.97 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนซึ่งอยู่ที่ระดับ 7.72 ล้านล้านบาท หรือนับเป็นการเพิ่มสูงขึ้นถึง 1.25 ล้านล้านบาท หรือ 16.24%
   
และการเพิ่มขึ้นของหนี้ครัวเรือนนี้ ส่วนหนึ่งก็มาจากสถาบันรับฝากเงิน ทั้งในส่วนของธนาคารพาณิชย์ ธนาคารเฉพาะกิจของรัฐ สหกรณ์ออมทรัพย์ และสถาบันรับฝากเงินอื่นๆ ที่มียอดการปล่อยสินเชื่อแก่ภาคครัวเรือนในไตรมาสแรกของปี อยู่ที่ 7.84 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งอยู่ที่ 6.83 ล้านล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นถึง 1 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็น 14.6% โดยในส่วนนี้นี่เองยังมีการเพิ่มขึ้นจากสถาบันการเงินอื่นๆ อาทิ บัตรเครดิต, ลีสซิ่ง, สินเชื่อบุคคล, บริษัทประกันภัยและประกันชีวิต และอื่นๆ ที่มียอดการให้กู้ยืมแก่ภาคครัวเรือนอยู่ที่ 8.84 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.44 แสนล้านบาท หรือ 27.66%
   
ขณะที่หนี้ครัวเรือนที่เพิ่มขึ้นในส่วนของสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ พบว่ามีการปล่อยสินเชื่อคงค้างอยู่ที่ 2.72 ล้านล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ปล่อยสินเชื่ออยู่ที่ 2.53 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็นการเพิ่มขึ้นถึง 1.92 แสนล้านบาท 7.6% ส่วนสหกรณ์ออมทรัพย์ก็ถือเป็นเรื่องที่น่าจับตา  เพราะพบว่ามีการปล่อยสินเชื่ออยู่ที่ 1.35 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.77 แสนล้านบาท หรือ 15.1% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และนี่เองคือตัวเลขการเพิ่มขึ้นในเบื้องต้นจากการปล่อยสินเชื่อของภาคต่างๆ ที่สะท้อนถึงภาวะ “หนี้ครัวเรือน” ที่เริ่มเข้าสู่ระดับอันตราย
   
ขณะที่ “กอบศักดิ์ ภูตระกูล” ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ยังออกมาชี้แจงอีกว่า  ระดับหนี้ครัวเรือนของประเทศไทยในปัจจุบันมีการปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว จากระดับ 40% ของจีดีพี เพิ่มเป็น 80% ของจีดีพี ซึ่งเป็นระดับที่น่าเป็นห่วง และใกล้เคียงกับสหรัฐ สิงคโปร์และมาเลเซีย และเรื่องนี้เองถือเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจในอนาคตหากรัฐบาลยังต้องการพึ่งพาการใช้จ่ายภาคประชาชนในการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ
   
แต่ความร้อนแรงของปัญหา “หนี้ครัวเรือน” ยังไม่จบเพียงเท่านี้ เพราะล่าสุด “เอแบคโพล” ออกมาเปิดเผยถึงผลงานวิจัยเรื่อง ภาระหนี้สินของประชาชน กรณีศึกษา หัวหน้าครัวเรือนที่มีอายุ 25-60 ปี ที่อาศัยอยู่ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล จำนวน 1.2 พันตัวอย่าง พบว่ามากกว่า 61% มีภาระหนี้สินที่ต้องผ่อนชำระเมื่อเทียบกับรายได้ในแต่ละเดือน โดยตัวอย่าง 30.6% ระบุต้องผ่อนชำระ 26-50% ของรายได้ต่อเดือน และ 26.4% ระบุต้องผ่อนชำระหนี้สินไม่เกิน 25% ของรายได้ต่อเดือน รวมถึง 4% ระบุต้องผ่อนชำระมากกว่า 50% ของรายได้ต่อเดือน ในขณะที่ 39% ระบุไม่มีหนี้สินที่ต้องชำระหรือผ่อนชำระ
   
ขณะที่ตัวอย่างกว่า 60% ระบุมีหนี้สินที่เป็นหนี้ในระบบมากที่สุด รองลงมา คือ หนี้นอกระบบ และหนี้ทั้งในและนอกระบบ รวมถึงกลุ่มตัวอย่างยังได้แสดงความต้องการอยากให้รัฐบาลชุดปัจจุบันดำเนินการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของประเทศ โดย 63.7% อยากให้นำหลักเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้อย่างจริงจัง รวมถึงอยากให้มีการปรับสมดุลราคาสินค้าให้มีความสอดคล้องกับรายได้และค่าแรงขั้นต่ำ จัดสวัสดิการให้ประชาชนอย่างครอบคลุม
   
“ปภาดา ชินวงศ์” ผู้จัดการโครงการวิจัยดังกล่าวระบุว่า  จากการศึกษาครั้งนี้สะท้อนให้เห็นว่ากลุ่มตัวอย่างมีภาระหนี้สิน สำหรับกลุ่มผู้มีรายได้น้อยต้องเผชิญกับปัญหาหนี้สินนอกระบบ รวมถึงภาระการจ่ายอัตราดอกเบี้ยที่สูง ดังนั้น รัฐบาลควรเข้ามาแก้ไขนอกจากตัวกฎหมายในการควบคุม ยังรวมไปถึงการให้ข้อมูลข่าวสารแก่ประชาชนให้ทั่วถึง นอกจากนี้ผู้มีรายได้ตั้งแต่ 1 หมื่นบาทขึ้นไป ซึ่งส่วนใหญ่มีการกู้เงินมาซื้อรถยนต์ ซื้อบ้าน ซึ่งเป็นผลมาจากการผลักดันจากนโยบายรัฐบาล เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการขาดสภาพคล่องที่จะนำไปสู่ภาวะหนี้เสีย รัฐบาลควรออกมาปลูกจิตสำนักให้ประชาชนในการนำหลักแนวคิด “เศรษฐกิจพอเพียง” มาใช้ ซึ่งกลุ่มตัวอย่างเกือบ 2 ใน 3 ต้องการให้รัฐบาลนำหลักการดังกล่าวมาใช้อย่างจริงจังด้วย
   
ขณะที่ “เมธี สุภาพงษ์” ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายนโยบายเศรษฐกิจการเงิน ธปท. ระบุว่า ปัญหาดังกล่าวยังมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น ยังเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ต้องจับตาและให้ความสำคัญ  เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีแรกมีสัญญาณที่ชะลอตัวลง ทำให้ประชาชนเริ่มระมัดระวังการใช้จ่ายมากขึ้น จึงอาจเป็นผลทำให้ช่วงนี้ “หนี้ครัวเรือน” ไม่เร่งตัวขึ้นแรงเหมือนช่วงที่ผ่านมามากนัก แต่จากสัญญาณกลับพบว่ายังมีแรงส่งให้อัตราหนี้ครัวเรือนดังกล่าวเร่งตัวขึ้นได้ จากโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาล
   
“เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ” รองผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ออกมายืนยันด้วยว่า ขณะนี้แนวโน้มของอัตราหนี้ครัวเรือนของไทยเริ่มมีสัญญาณที่แผ่วลงจากช่วงก่อนหน้าที่ผ่านมา ซึ่งมีการขยายตัวอยู่ในระดับสูง จากแรงส่งในเรื่องนโยบายประชานิยมของรัฐบาล โดยเฉพาะโครงการรถคันแรก รวมไปถึงการเร่งปล่อยสินเชื่อเพื่อสนับสนุนการอุปโภคบริโภคที่มีการเติบโตอย่างสูง โดยเรื่องนี้ สศค.ยังอยู่ระหว่างการติดตามความเคลื่อนไหวของตัวเลขดังกล่าวอย่างใกล้ชิด  เนื่องจากเป็นปัจจัยที่น่าเป็นห่วง เพราะอาจมีผลกระทบต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศด้วย
   
ด้านภาคเอกชนอย่าง “ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจทีเอ็มบี หรือ TMB” ระบุว่า หนี้ครัวเรือนของไทยที่เกิดจากระบบสถาบันการเงินเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจนมีขนาด 75% ของจีดีพี ในไตรมาส 1 ที่ผ่านมา ซึ่งเพิ่มขึ้นจากไตรมาสสุดท้ายของปี 2551 ซึ่งอยู่ที่ระดับ 57% ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นจากธนาคารพาณิชย์ 42% สถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ 30% สหกรณ์ออมทรัพย์ 15% บริษัทบัตรเครดิตและสินเชื่อบุคคล 10% และจากปัจจัยอื่นๆ อาทิ บริษัทประกัน โรงรับจำนำ เป็นต้น อีกราว 3%
   
โดยโครงสร้างหนี้ครัวเรือนตามการปล่อยกู้ของธนาคารพาณิชย์ แบ่งได้เป็นสินเชื่อที่เกี่ยวเนื่องกับภาคอสังหาริมทรัพย์ 46% สินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์และจักรยานยนต์ 29% รวมถึงสินเชื่อเพื่อการอุปโภค-บริโภค และอื่นๆ ซึ่งรวมถึงสินเชื่อเงินสดด้วยที่ 24% เพิ่มขึ้น 8% จากปี 2551 ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ไม่น่ามองข้าม เพราะเป็นหนี้ที่เกิดจากการซื้อรถยนต์ การใช้เงินผ่านบัตรเครดิต และสินเชื่อเงินสดต่างๆ หรือคิดง่ายๆ คือในช่วง 6 ปีที่ผ่านมาการใช้จ่ายด้านการอุปโภค-บริโภคในรายบุคคลเพิ่มขึ้นเฉลี่ยถึง 5.4% ต่อปี
   
นี่ถือเป็นสัญญาณอันตรายประการสำคัญเรื่องหนึ่งที่รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะมองข้ามเสียไม่ได้ เพราะการเพิ่มขึ้นของ “หนี้ครัวเรือน” สะท้อนถึงความเป็นอยู่ของประชาชนในประเทศ การพยายามจากรัฐบาลในการเร่งออกมาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายของประชาชน ผ่าน “โครงการประชานิยม” อาจไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้องเสมอไป นั่นเพราะเป็นการกระตุ้นให้ประชาชนดึงเงินในอนาคตออกมาใช้จ่ายก่อนเวลาอันสมควร
   
ซึ่งเรื่องนี้นักวิชาการหลายคนออกมาคัดค้านและต่อต้าน  “โครงการประชานิยม” สุดโต่งของรัฐบาลว่าเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสมและไม่ถูกต้อง และโครงการดังกล่าวยังไม่ได้ช่วยทำให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิต หรือมีฐานะที่ดีขึ้นอย่างแท้จริง  เพราะเนื้อในแล้วกลับเต็มไปด้วย “หนี้สิน” ที่ถูกพอกพูนขึ้นจากแรงกระตุ้นของภาครัฐ แม้ว่าที่ผ่านมารัฐบาลจะอ้างว่า  “โครงการประชานิยม” จะช่วยให้เศรษฐกิจของประเทศขยายตัวได้ดีขึ้น แต่นั่นคงเป็นเพียงช่วงระยะเวลาสั้นๆ เท่านั้น
   
เพราะเมื่อผ่านมาในช่วงระยะเวลาใดระยะเวลาหนึ่ง แรงส่งจากความสามารถในการใช้จ่าย การอุปโภค การบริโภคของประชาชนหมดหรือแผ่วลง ตามภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศ ที่ยังขึ้นอยู่กับแนวโน้มเศรษฐกิจโลกเป็นหนัก นั่นสะท้อนถึง ภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศในเนื้อแท้ว่า ไม่ได้มีการเติบโตได้อย่างแข็งแกร่งเลย
   
โดยเรื่องนี้ “สมประวิณ มันประเสริฐ” รองคณบดี คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มองว่า การกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการเร่งการบริโภคของภาคประชาชน ผ่านโครงการประชานิยม เหมือนเป็นการดึงเงินในอนาคตมาใช้ และการบริหารประเทศด้วยนโยบายดังกล่าว ก็ไม่ได้ช่วยทำให้ประชาชน “รวย” ขึ้นได้ในอนาคต แต่กลับเป็นการสร้างภาระหนี้ภาคครัวเรือนให้เพิ่มสูงขึ้นเสียมากกว่า
   
ดังนั้น การสนับสนุนให้ประชาชนรู้จักคำว่า “เพียงพอ พอเพียง” น่าจะเป็นแนวทางที่ดีที่สุด การชี้แจง ทำความเข้าในและกระตุ้นให้คนรู้จักการ “ออม” น่าจะเป็นแนวทางที่ถูกต้องที่สุดสำหรับประเทศไทยในภาวะที่ต้องแบกรับหรือได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกเช่นนี้
   
นี่ถือเป็นความท้าทายและเป็นความเสี่ยงของรัฐบาลในการบริหารประเทศ ที่มีทั้งปัญหาภายในและนอกรุมเร้าเช่นนี้  นั่นเพราะปัญหา “หนี้ครัวเรือน” ที่เกิดขึ้นนั้น กำลังสะท้อนถึงความสามารถในการใช้จ่ายของประชาชน ที่รัฐบาลพยายามหมายหมั้นปั้นมือว่าจะใช้เป็นกลจักรสำคัญตัวใหม่ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศแทนภาคการส่งออกที่แผ่วแรงลงตามกำลังซื้อของทั่วโลก
   
หากรัฐบาลยังนิ่งนอนใจกับปัญหาดังกล่าว เชื่อได้เลยว่า เศรษฐกิจไทยในปีนี้ และในระยะต่อๆ ไปอาจถึงคราว “ติดหล่มหนี้ครัวเรือน” จนส่งผลกระทบต่อความสามารถในการขยายตัวในระยะยาวก็เป็นได้ เนื่องจากแนวโน้ม “หนี้ครัวเรือน” ที่แม้จะทุเลาความร้อนแรงลง แต่ก็ไม่ได้แปลว่าปัญหาดังกล่าวจะหมดไป เพราะหลายฝ่ายยังประเมินว่า “หนี้ครัวเรือน” ยังมีความเป็นไปได้ที่จะขยายตัวอย่างช้าๆ อีกระยะหนึ่ง.

ที่มา.ไทยโพสต์
//////////////////////////////////////////////////////

อำนาจ ไม่เที่ยง !!?

มีคนจำนวนมากตั้งเป้าหมายในชีวิตว่าอยากไต่เต้าขึ้นสู่ความเป็นใหญ่ ความมีอำนาจ ไม่ว่าจะเป็นใหญ่ในบริษัท ในวงการสาขาอาชีพ หรือแม้แต่เป็นใหญ่ในบ้านในเมือง มีอำนาจล้นมือ เพื่อที่จะให้ได้มาซึ่งสิ่งที่ปรารถนา สามารถทำอะไรได้ตามอำเภอใจในที่นั้นๆ โดยลืมสัจธรรมที่ว่า สรรพสิ่งเป็นอนิจจัง คือมีความไม่เที่ยงเป็นที่ตั้ง แปรเปลี่ยนไม่แน่นอน ทุกขัง ความแปรเปลี่ยน ไม่อาจคงอยู่ ทำให้เกิดความรู้สึกที่รับได้ยาก เป็นทุกข์ และอนัตตา ก็คือความไม่มีตัวตน คือสุดท้ายแล้วก็ไม่เหลืออะไร
   
เมื่อไม่อาจเข้าใจในสัจธรรมดังกล่าว ผู้คนจึงหลงติดอยู่กับอำนาจ หลงติดอยู่กับสิ่งที่ตนเองเชื่อว่าเป็น "ความพิเศษ" หรือ "สิทธิพิเศษ" ที่เข้าใจว่าเป็นสิ่งดี ดังนั้น ไม่ว่าจะเพื่อให้ได้มา หรือการรักษาอำนาจที่ได้มาไว้ จึงยอมทำทุกวิถีทาง โดยไม่ได้สนใจว่า สิ่งที่กระทำลงไปนั้นถูกต้องต่อศีลธรรมหรือไม่ หรือสิ่งที่กระทำลงไป ได้สร้างความเดือดร้อน ความลำบาก หรือความเสียหายต่อทรัพย์สินและชีวิตผู้ใด ด้วยหวังเพียงอยากจะได้เสพสุข หรือรักษาการเสพสุขของตนเองในอำนาจหรือความมั่งคั่งเหล่านั้นเอาไว้
   
หากใครที่ติดตามข่าวในประเทศจีน จะพบว่าเมื่อปีที่แล้ว มีข่าวที่ฮือฮามากข่าวหนึ่ง ที่แทบไม่น่าเชื่อว่าจะเกิดขึ้นในประเทศจีน ก็คือการปลดเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์ประจำสาขาฉงชิ่ง ที่มีชื่อว่า "ป๋อซีไหล" จากนั้นก็ทำการปลดจากทุกตำแหน่งทางการเมือง และไม่นานก็ถูกส่งเข้าสู่การดำเนินคดีตามกระบวนการยุติธรรม จากนั้นเราก็เห็นว่าป๋อซีไหล รวมไปถึงข่าวของเขา ได้หายไปจากหน้าของสื่อทุกประเภทเป็นเวลากว่า 1 ปี
   
จนกระทั่งล่าสุด ได้มีการเปิดเผยว่า ขณะนี้ทางอัยการได้เตรียมยื่นฟ้องป๋อซีไหลใน 3 คดีใหญ่ ซึ่งคดีนี้จะถูกพิพากษาในช่วงฤดูใบไม้ผลิ ที่ศาลประชาชนชั้นกลางเมืองงจี้หนาน มณฑลซานตง ซึ่งมีการคาดเดากันว่า ศาลน่าจะทำการพิพากษาราวเดือนตุลาคม ซึ่งเป็นช่วงเวลาก่อนการเปิดประชุมสภาประชาชนทั่วประเทศประจำปี
   
การที่คดีนี้เป็นคดีใหญ่ และเป็นที่จับตาไม่ว่าจะเป็นประชาชนชาวจีน หรือแม้แต่ในระดับโลกก็เพราะว่า "ป๋อซีไหล" เป็นบุคคลที่ "ไม่ธรรมดา" และเพื่อให้เห็นถึงความสำคัญของบุคคลผู้นี้ จึงอยากจะเท้าความถึงความเป็นมาให้ได้รู้จักกันอีกครั้งก่อน เพื่อจะได้เห็นถึงสภาพของคดี และความสำคัญมากยิ่งขึ้น
   
ป๋อซีไหลเป็นลูกชายคนที่ 2 ของป๋ออีปอ หนึ่งในผู้นำอาวุโสของพรรคคอมมิวนิสต์ โดยหัวหน้ากลุ่มนี้ถูกกวาดล้างในยุคปฏิวัติวัฒนธรรม ในข้อหาสนับสนุนการค้าขายกับตัวตะวันตก ป๋อและครอบครัวถูกจำคุก แม่ของเขาฆ่าตัวตายในช่วงการปฏิวัติวัฒนธรรม แต่สุดท้ายพ่อของเขากลับมาอีอำนาจอีกครั้ง โดยได้รับตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีหลังยุคของเติ้งเสี่ยวผิง
   
ป๋อซีไหลได้เรียนจนจบการศึกษาภาควิชาประวัติศาสตร์จากมหาวิทยาลัยปักกิ่ง และได้เข้าทำงานในหน่วยงานที่เป็นคลังสมองของรัฐบาล เขาเริ่มก้าวเข้าสู่สายอาชีพเจ้าหน้าที่รัฐในช่วงปลายทศวรรษ 1970 ถือว่าเป็นคนรุ่นใหม่ที่มีการศึกษา มีความสามารถที่เข้ามาอยู่ในพรรคคอมมิวนิสต์
   
ชีวิตของป๋อไต่เต้ามาเรื่อย ๆ เคยเป็นผู้ว่าฯเมืองต้าเหลียน และทำให้เมืองต้าเหลียนเจริญขึ้นจนเป็นที่อิจฉาของชาวเมืองอื่น ๆ จนอยากให้เขามาปกครองเมืองของตัวเองบ้าง ต่อมาก็ได้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์อยู่หลายปี จนกระทั่งล่าสุดที่ได้ถูกส่งตัวมา โดยถือเป็นความหวังในการพัฒนาหัวเมืองตะวันตกอย่างฉงชิ่ง
   
เมืองฉงชิ่งถือว่าเป็นการดำรงตำแหน่งทางการเมืองสุดท้ายของเขา เพราะเขาถูกปลดและจับกุมตัวในระหว่างที่ดำรงตำแหน่งเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์ประจำสาขาฉงชิ่ง ควบตำแหน่งคณะกรรมการประจำกรมการเมือง และคณะกรรมการกรมการเมือง เรียกว่าจุดสูงสุดของเขาก็คือจุดจบของเขาด้วยเช่นกัน
   
การมาเป็นเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์ประจำสาขาฉงชิ่งถือว่าเป็นตัววัดความสามารถของป๋อได้เป็นอย่างดี ผลงานของเขาในช่วงก่อนถูกจับกุม ถึงขั้นได้รับการขนานนามจากทั่วประเทศ และหลาย ๆ ประเทศว่าเป็น "ฉงชิ่งโมเดล" ซึ่งผู้เขียนยังจำได้ว่า ก่อนที่เขาจะถูกจับนั้น ตอนที่ไปเยือนเมืองฉงชิ่ง ก็เห็นได้ถึงความเจริญก้าวหน้าอย่างผิดหูผิดตา และคำชื่นชมจากชาวเมืองที่นั่นไม่ขาดปาก
   
เริ่มจากหลังดำรงตำแหน่งเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์ประจำสาขาฉงชิ่ง ซึ่งถูกยกเป็นมหานครเทียบเท่าปักกิ่งกับเซี่ยงไฮ้ได้ไม่นาน ป๋อซีไหลได้ทำการปราบปรามอาชญากรรม และกลุ่มมาเฟียขนานใหญ่ และถึงขั้นรื้อระบบโครงสร้างของกรมตำรวจฉงชิ่งแบบนับหนึ่ง เพราะตำรวจในเมืองนี่แหละที่ถือเป็นตัวปัญหาในกระบวนการยุติธรรมปฐมภูมิ รวมถึงยังมีตำรวจระดับบิ๊กหลายคนที่เป็น "มาเฟียŽขาใหญ่ตัวจริงในเมือง ทำให้ฉงชิ่งที่เคยเป็นเมืองอาชญากรรม และเมืองซ่องสุมมาเฟียอันดับต้น ๆ ของโลกนั้นมีความสงบสุขขึ้นอย่างผิดหูผิดตา
   
นอกจากนั้นป๋อซีไหลยังได้เปิดมีนโยบายพัฒนาที่เรียกว่า "5 พัฒนาแห่งฉงชิ่ง" ได้แก่การพัฒนา "ระบบคมนาคม" ด้วยการซ่อมแซมถนนขนานใหญ่ และสร้างทางด่วนเพิ่มให้เป็น 3,000 กิโลเมตรในเมือง "สร้างเมืองสีเขียว" ที่กำหนดให้มีการเพิ่มพื้นที่สีเขียวร้อยละ 38 ของพื้นที่ใน 5 ปี และตั้งเป้าไว้ที่ร้อยละ 45 ในลำดับต่อไป จนคนที่ผ่านไปมาได้เห็นถึงการปลูกต้นไม้ควบคู่กับการก่อสร้างเต็มไปหมด
   
นโยบายอื่น ๆ อย่างเช่นเมืองน่าอยู่ ด้วยการปรับอัตราของสังคมเมืองกับสังคมชนบท นโยบายเมืองสุขภาพดี ที่รณรงค์ให้ออกกำลังกาย เสริมสร้างด้านสาธารณสุข และยกระดับอายุเฉลี่ยของประชาชนในเมืองจาก 71 เป็น 77 ปี และนโยบายเมืองปลอดภัยที่นอกจากปราบปรามอาชญากรรมแล้ว ยังมีการติดกล้องวงจรปิดเพื่อระวังภัย การลงโทษผู้ทรงอิทธิพลอย่างจริงจัง ฯลฯ และด้วยนโยบายเหล่านี้ ทำให้เขาถูกกล่าวขวัญและได้รับการยอมรับอย่างมากในเวลานั้น
   
นี่คือความยิ่งใหญ่ของป๋อซีไหลที่เรียกว่าอยู่ในวงการการเมืองจีนมาอย่างช้านาน แต่แล้วจุดจบหรือชะตากรรมในปัจจุบันของเขาที่สะท้อนความไม่จีรังแห่งอำนาจนั้นจะเป็นเป็นอย่างไร มาติดตามกันต่อในฉบับหน้านะครับ

ที่มา.สยามรัฐ
////////////////////////////////////////////////////////

เตือนจำนำข้าว ล้นโลก !!??


จำนำข้าว,สต็อกข้าวล้น

นักวิชาการเตือนรัฐบาลขาดทุนหนักโครงการรับจำนำข้าว เหตุสต็อกข้าวโลกพุ่งสูงขึ้น กดราคาร่วง ด้านสต็อกข้าวในเอเชียแนวโน้มทะยาน

นายสมพร อิศวิลานนท์ นักวิชาการอาวุโส สถาบันคลังสมองของชาติ กล่าวเตือนว่ารัฐบาลจะเผชิญกับภาวะการขาดทุนจากโครงการรับจำนำมากขึ้น หากไม่ลดราคารับจำนำ เนื่องจากขณะนี้เกิดภาวะข้าวล้นโลก เนื่องจากผลผลิตออกมามาก แต่หาคนซื้อได้น้อยลง

"ปัจจุบันสถานการณ์ค้าข้าวในตลาดโลกมีความตึงตัวมากขึ้น เนื่องจากความต้องการข้าวที่ลดลงและผู้ส่งออกข้าวในประเทศต่างๆ ที่เข้ามาแข่งขันในตลาดโลกมากขึ้น เช่น หลายประเทศในละตินอเมริกาวางแผนที่ส่งข้าวนึ่งไปขายยังแอฟริกาในระยะเวลาอีก 2 ปีข้างหน้า ขณะที่เวียดนามเองก็มีงบประมาณในการปรับปรุงพันธุ์ข้าวและเพิ่มผลผลิตข้าวปีละ 3 พันล้านบาท ในขณะที่ไทยมีงบประมาณด้านนี้เพียง 300 ล้านบาท" นายสมพร กล่าวในการบรรยายพิเศษเรื่อง “เปิดปมนโยบายข้าวไทย” จัดโดย ภาควิชาพืชไร่นา มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

จากข้อมูลของสถาบันฯ พบว่าตลาดข้าวไทยในปี 2555 เทียบกับปี 2554 หดตัวลงในทุกตลาดการค้าทั้งในด้านปริมาณและมูลค่า เช่น ตลาดเอเชียปริมาณลดลง 64.8% มูลค่าการส่งออกลดลง 54.03% ตะวันออกกลางปริมาณลดลง 14.5% และมูลค่าลดลง 2.75% และตลาดเอเชียตะวันออกปริมาณลดลง 39.43% และมูลค่าการส่งออกลดลง 30.41%

"สาเหตุที่ปริมาณความต้องการข้าวในตลาดโลกลดลง เนื่องจากหลายประเทศเริ่มส่งเสริมการปลูกข้าวเพื่อบริโภคเองภายในประเทศ และการเก็บสต็อกข้าวเพื่อความมั่นคงทางอาหารที่อยู่ในอัตราสูง"

นายสมพร ยกตัวอย่างจีนมีสต็อกข้าว 45.02 ล้านตัน อินเดีย 25.10 ล้านตัน อินโดนีเซีย 4.5 ล้านตัน ขณะที่ไทยมีประชากรน้อยกว่าอินโดนีเซียแต่ก็มีสต็อกข้าวไม่ต่ำกว่า 17 ล้านตัน ซึ่งการที่ตลาดข้าวรับรู้ปริมาณสต็อกข้าวจำนวนมหาศาล ส่งผลให้ราคาข้าวไม่ปรับเพิ่มขึ้น รวมทั้งมีทิศทางราคาที่ปรับตัวลดลงในบางช่วงเวลา

"ปริมาณข้าวเปลือกในสต็อกของรัฐบาลน่าจะมีสูงถึง 37 ตันข้าวเปลือก หรือประมาณ 20 ล้านตันข้าวสาร ซึ่งเป็นปริมาณที่สูงมากเพราะทั่วโลกมีการขายข้าวเพียงปีละ 32 ล้านตัน การเก็บข้าวมากๆ ทำให้โรงสีหลายแห่งของไทยขยายความจุจากเดิมที่โรงสีทั่วประเทศมีความสามารถในการเก็บข้าวได้เพียง 30 ล้านตัน แต่ในขณะนี้มีการขยายความจุในการเก็บข้าวไปเป็น 70 ล้านตัน"

นายสมพร กล่าวว่า โรงสีขนาดใหญ่เท่านั้นที่ได้ประโยชน์จากการขยายความจุในการเก็บข้าว ซึ่งเป็นรายได้เพิ่มขึ้นจากการเก็บข้าว ขณะที่โรงสีขนาดเล็กและโรงสีชุมชนไม่ได้ประโยชน์มากนัก

เมื่อรัฐบาลประกาศว่าจะมีการประมูลข้าวในสต็อกเพื่อส่งออก พบว่า ราคาข้าวในตลาดโลกลดลง และข้าว 5% ของไทยปรับลดลงจากประมาณ 550 ดอลลาร์ต่อตัน เหลือ 525 ดอลลาร์ต่อตัน ขณะที่ต้นทุนการผลิตข้าวของไทยอยู่ที่ประมาณ 799 ดอลลาร์ต่อตัน หรือ 24,777 บาทต่อตัน แบ่งเป็นต้นทุนของข้าวเปลือก 23,077 บาทต่อตัน ค่าสีแปรสภาพ 500 บาทต่อตัน ค่าการตลาด 1,200 บาทต่อตัน

"ราคาข้าวส่งออกของไทยจึงติดลบเมื่อเทียบกับราคาต้นทุนที่ 274 ดอลลาร์ต่อตัน หรือขาดทุนที่ราคาตันละเกือบ 9,000 บาท"

นายสมพร กล่าวว่า หากรัฐบาลไม่มีการเปลี่ยนแปลงด้านนโยบายจำนำข้าวการใช้เงินในโครงการนี้จะอยู่ในระดับสูงต่อไป โดยจากการตรวจสอบกับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ล่าสุด พบว่าโครงการรับจำนำข้าวตั้งแต่ปี 2554 มีการใช้เงินในโครงการไปแล้วทั้งสิ้นกว่า 6.7 แสนล้านบาท หากนโยบายนี้ยังถูกใช้ในปีต่อๆ ไป จะต้องใช้เงินปีละประมาณ 3 แสนล้านบาท

"หากรัฐบาลนี้บริหารประเทศอีก 2 ปี จะใช้เงินในโครงการรับจำนำข้าวมากกว่า 1 ล้านล้านบาทในโครงการนี้"

สื่อนอกรายงานล้นตลาดเอเชีย

หนังสือเดอะ วอลล์สตรีท เจอร์นัล รายงานว่าจากสภาพอากาศในเอเชียที่เอื้ออำนวย ประกอบการที่รัฐบาลให้การสนับสนุนเกษตรกรในการผลิตพืชที่มีความสำคัญต่อประเทศ กำลังทำให้เกิดสถานการณ์ข้าวล้นตลาดเอเชีย

สต็อกข้าวที่มีอยู่เป็นจำนวนมาก กลายเป็นปัจจัยที่ช่วยให้ราคาสำหรับผู้นำเข้ารายใหญ่ๆ ในแอฟริกา และจีน จ่ายเงินน้อยลง แต่บรรดาผู้บริโภคในประเทศที่เป็นผู้ผลิตข้าวรายใหญ่สุด รวมถึง ไทย และอินเดีย กลับต้องจ่ายเงินซื้อข้าวแพงขึ้น เพราะข้าวที่ผลิตได้เกินมายังคงถูกเก็บไว้ในโกดังของรัฐบาล

ทั้งผลผลิตที่มากเกินไปนี้ ยังส่งต่อสหรัฐเพียงเล็กน้อย เพราะข้าวที่ปลูกในสหรัฐ มีหลากหลายสายพันธุ์

หากนั่งรถไฟจากกรุงนิวเดลี เมืองหลวงของอินเดีย ไปยังรัฐข้างเคียง ภาพที่จะเห็นจนชินตาในชนบทก็คือ ข้าวที่กองสูงอยู่บนฐานไม้ และมีเพียงผ้าพลาสติกคลุมเอาไว้เท่านั้น ส่วนในไทย รัฐบาลได้ตัดสินใจใช้คลังสินค้าในสนามบินเก่าเป็นที่เก็บข้าว เพราะโกดังข้าวแห่งอื่นๆ เต็มหมดแล้ว

คาดสต็อกข้าวโลกเพิ่ม 2%

ปริมาณที่ล้นออกมานี้ เป็นผลมาจากสภาพอากาศที่เอื้ออำนวย และโครงการของรัฐบาลที่กระตุ้นให้มีการปลูกข้าวมากขึ้น โดยข้อมูลของอินเตอร์เนชั่นแนล เกรนส์ เคาน์ซิล (ไอจีซี) ในกรุงลอนดอน อังกฤษ คาดว่า ในปีนี้สต็อกข้าวโลกอาจเพิ่มขึ้น 2%

บรรดานักวิเคราะห์มองสถานการณ์ข้าวล้นตลาดในเอเชียว่าจะย่ำแย่ลงไปอีก จากปัจจัยหลายอย่าง รวมถึง การที่ไทย ประเทศผู้ส่งออกข้าวแถวหน้าของโลก พยายามเทขายข้าวในสต็อกจำนวน 17 ล้านตันออกมา โดยปริมาณที่มากถึงขนาดนี้เป็นผลมาจากโครงการรับจำนำข้าว ที่กำหนดราคารับซื้อไว้สูงกว่าราคาตลาด

ส่วน อินเดีย ผู้ส่งออกข้าวรายใหญ่สุดของโลก คาดว่า ในอีก 2-3 เดือนข้างหน้าจะมีการเก็บเกี่ยวข้าวในปริมาณที่ใกล้แตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ เหมือนกับปากีสถาน ในขณะที่ความต้องการจากประเทศผู้นำเข้ารายใหญ่ๆ อย่าง ฟิลิปปินส์ และไนจีเรีย กลับร่วงลง

"หากไทยประสบความสำเร็จในการระบายข้าวที่เก็บไว้ แน่นอนว่าจะสร้างแรงกดดันขาลงให้กับราคา" นายดาร์เรน คูเปอร์ นักเศรษฐศาสตร์อาวุโส จาก ไอจีซี ระบุ

ดัชนีราคาข้าวโลกร่วงต่ำสุดรอบ 3 ปี

ทั้งนี้ ดัชนีราคาข้าวโลกของไอจีซี ร่วงลงมาอยู่ที่ระดับ 200 จุด แตะระดับต่ำสุดนับแต่เดือนก.ย. 2553 เป็นต้นมา และปรับตัวลงมาแล้วเกือบ 5% ในปีนี้

อย่างไรก็ดี ราคายังมีช่วงห่างกันอย่างมากเมื่อเทียบเป็นรายประเทศ เพราะตามปกตินั้นข้าวจะขายกันอยู่ภายในประเทศที่ผลิต มีเพียง 8% เท่านั้นที่ซื้อขายอยู่ในตลาดโลก เทียบกับข้าวสาลีที่ 20% และถั่วเหลืองที่ 36%

ในตลาดข้าวเวียดนามนั้น ราคาข้าวในปีนี้ลดลงไปราว 5% โดยที่ข้าวขาว 5% หนึ่งในข้าวที่มีการซื้อขายกันมากที่สุด มีราคาซื้อขายอยู่ที่ราว 390 ดอลลาร์ต่อตัน ส่วนข้าวขาว 5% สำหรับการส่งออกของไทยนั้น ซื้อขายที่ราว 475 ดอลลาร์ต่อตัน ลดลงมาแล้ว 16% ตั้งแต่ช่วงต้นปี

ส่วนตลาดค้าข้าวล่วงหน้า ที่มีการซื้อขายเป็นวงกว้างเพียงแห่งเดียวของซีเอ็มอี กรุ๊ป อิงค์ และเป็นการซื้อขายที่สะท้อนถึงราคาข้าวสหรัฐด้วยนั้น ขยับขึ้นมา 7% ในปีนี้

การที่ตลาดข้าวมีการควบคุมอย่างเข้มงวด และแบ่งออกเป็นส่วนๆ นั้น หมายความว่าผู้บริโภค และผู้ที่ต้องการซื้อข้าว จะได้ประโยชน์จากการจัดหาที่ล้นตลาดเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ซึ่งนักวิเคราะห์บางรายให้คำแนะนำว่า รัฐบาลควรกระตุ้นให้เกษตรกรหันไปปลูกพืชผลอย่างอื่น ด้วยการลดราคาค้ำประกันสำหรับชาวนา

ในขณะที่ ชาวนาไทยจะได้รับประโยชน์จากราคาข้าวที่สูงขึ้น ตามโครงการรับจำนำของรัฐบาล ราคาข้าวที่จำหน่ายในซูเปอร์มาร์เก็ต ก็ขยับขึ้นมาถึง 10% นับแต่ปี 2554 เป็นต้นมา เพราะการจัดหาที่ตึงตัว และแม้สต็อกข้าวของรัฐบาลจะมีอยู่จนล้นโกดัง แต่เทรดเดอร์ไทยก็ยังนำเข้าข้าวจากกัมพูชา และเวียดนาม เนื่องจากรัฐไม่อยากที่จะระบายข้าวออกสู่ตลาดท้องถิ่นในราคาถูก

นโยบายเกษตรของอินเดีย ก็ส่งผลกระทบทำนองเดียวกันต่อราคาในท้องถิ่น ซึ่งนักเศรษฐศาสตร์ชี้ว่า จนถึงขณะนี้ ไทย และประเทศผู้ผลิตข้าวรายอื่นๆ ต่างติดอยู่ในกับดักนโยบายของตัวเอง

เทรดเดอร์ห่วงคุณภาพเมินซื้อข้าวไทย

เมื่อตัดสินใจที่จะระบายข้าวออกมา ไทยยังประสบปัญหาในการหาเทรดเดอร์ซื้อตามราคาที่ต้องการ โดยเทรดเดอร์ ชี้ว่า ราคาข้าวในตลาดอยู่ที่ 480 ดอลลาร์ต่อตัน แต่การยื่นประมูลซื้อนั้น ราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 380 ดอลลาร์ต่อตัน เพราะกังวลในเรื่องคุณภาพข้าว

ไทย ยังพยายามที่จะนำข้าวออกขายในรูปแบบรัฐต่อรัฐ และเพิ่งจะประกาศขายข้าว 250,000 ตัน ให้กับ อิหร่าน โดยจะมีการจ่ายเงินในสกุลเงินยูโร แต่ไม่มีการเปิดเผยมูลค่าการซื้อขาย ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่อิหร่านซื้อข้าวจากไทย นับแต่ปี 2550 เป็นต้นมา

ขณะที่ นายเทจินเดอร์ นาราง ที่ปรึกษาของบริษัทเทรดเดอร์โภคภัณฑ์โลก เอมสันส์ อินเตอร์เนชั่นแนล ในกรุงนิวเดลี อินเดีย มองว่า ราคาที่รัฐบาลไทยต้องการนั้น อาจเป็นตัวกำหนดว่า ราคาข้าวจะร่วงลงไปถึงระดับใด โดยในปัจจุบัน ราคาข้าว 5% เวียดนาม ซึ่งเป็นข้าวเอเชียที่มีการซื้อขายกันมากที่สุดนั้น ร่วงลงมาอยู่ที่ราว 390 ดอลลาร์ต่อตัน จากที่เคยอยู่สูงถึง 560 ดอลลาร์ต่อตัน เมื่อปี 2554

เมื่อเดือนที่แล้วเวียดนามก็เพิ่งประกาศแผน ที่จะปล่อยกู้ปลอดดอกเบี้ยให้กับผู้ส่งออก เพื่อเพิ่มความสามารถในการเก็บสำรองข้าวได้มากขึ้น ในความพยายามที่จะดันราคาข้าวในตลาดให้สูงขึ้น

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
//////////////////////////////////////////////////////////

วันอาทิตย์ที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2556

การเมืองไม่ธรรมดา ทางเลือกเพื่อเดินหน้า !!??

การที่นักการเมืองรุ่นใหญ่อย่างนายอุทัย พิมพ์ใจชน อดีตประธานสภาร่างรัฐธรรมนูญฉบับสีเขียว พ.ศ.2540  อดีตประธานรัฐสภาสมัยพรรคไทยรักไทย  ออกมาแสดงบทบาทยื่นหนังสือถึงประธานรัฐสภาคนปัจจุบันให้ถอนญัตติร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรม และร่างพ.ร.บ.บัญญัติปรองดอง

  ในจังหวะที่ฝ่ายรัฐบาลกำลังเร่งเครื่องผลักดันเต็มสูบ  ส่วนฝ่ายค้านก็ตั้งกำแพงต้านอย่างเต็มที่  คือเพียงภาพของคนแก่ว่างงานที่อยากร่วมวงสนุก   หรือเรื่องที่ผู้ใหญ่ที่หวังดีต่อประเทศชาติออกมาส่งสัญญาณเตือนภัยที่มิอาจมองข้าม
   
ข้ออ้างของอดีตประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคไทยรักไทย  นักการเมืองรุ่นเก๋าที่ยุติบทบาทไปนานแล้ว  ที่ว่าสังคมไทยยังเป็นปกติดี  ไม่มีความจำเป็นต้องมีกฎหมายทั้งสองรูปแบบ  อาจจะฟังดูบางเบาในภาพรวมเพราะสังคมไทยนั้นไม่ปกติมาหลายปีแล้ว  ประกอบกับร่างกฎหมายทั้งสองฉบับก็ได้รับการวิพากษ์วิจารณ์มามากมายจนถึงจุดว่าจะเอาหรือไม่เอาแล้ว  ดังนั้นการขับเคลื่อนของนายอุทัยครั้งนี้จึงมีคำถามว่าเพราะ ได้ข้อมูลวงใน  หรือเพราะเห็นอะไรที่จะเกิด
   
เป็นเพราะเห็นรัฐบาลประกาศใช้พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงในราชอาณาจักร ช่วงวันที่ 1-10 สิงหาคม และการระดมกำลังตำรวจเข้ารักษาพื้นที่สำคัญในเขตพระนคร ดุสิต ป้อมปราบฯ  โดยอ้างอิงข้อมูลของสันติบาลและหน่วยข่าวกรองที่ว่าจะมีผู้ชุมนุมประมาณ 2 หมื่นคน  ที่จะมาชุมนุมอย่างยืดเยื้อ  มีกลุ่มที่ต้องการสร้างสถานการณ์เพื่อยกระดับการชุมนุมสู่การจลาจลรุนแรงเพื่อหวังผลต่อเนื่อง
   
หรือเพราะว่าเห็นวงจรอุบาทว์ทางการเมืองกำลังย้อนกลับมาเล่นงานประเทศไทยอีกรอบ  ด้วยกระแสประชาธิปไตยข้างถนน  มีความพยามยามปลุกม็อบสร้างสถานการณ์รุนแรง  นำไปสู่การยึดอำนาจล้มล้างรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง  นำประเทศไทยถอยหลังกลับสู่ระบอบเผด็จการอีกครั้ง  ซึ่งนักประชาธิปไตยอย่างนายอุทัยมีจุดยืนต่อต้านอำนาจเผด็จการมาโดยตลอด
   
แต่ถ้าไม่ใช่เช่นนั้นก็คงเพราะนายอุทัยเห็นว่าประเทศไทยต้องมองข้ามปัญหาที่ฉุดยึดประเทศไทยเอาไว้นานแล้ว  เช่นเรื่องพาพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีกลับบ้าน  เพราะนายอุทัยก็เคยขึ้นเวทีขับไล่มาก่อน  การมองข้ามเรื่องปรองดอง  เพราะนายอุทัยเชื่อว่าร่างพ.ร.บ.ปรองดองจะทำให้เกิดความแตกแยกรุนแรง  และมองข้ามการนิรโทษกรรม  เพราะนายอุทัยเห็นว่าเป็นแค่ปัญหาของคน 200-300 คนที่ถูกคุมขังในคุกอันเนื่องจากการชุมนุม  ไม่ใช่ปัญหาของคนทั้งประเทศ
   
เมื่อเป็นเช่นนั้นประเทศไทยก็คงต้องเดินหน้าด้วยกฎหมายที่ชัดเจนเด็ดขาดทุกกรณี  ใครโกงบ้านโกงเมืองก็ต้องนำตัวกลับมาลงโทษ  ใครก่อม็อบยึดทำเนียบยึดสนามบินสร้างความเสียหายแก่ประเทศชาติก็ต้องลงโทษดำเนินคดี  ใครก่อม็อบเผาบ้านเผาเมืองเผาศาลากลางก็ต้องดำเนินคดี  ใครสั่งสลายม็อบขอคืนพื้นที่และสั่งฆ่าผู้ชุมนุมด้วยกระสุนจริงก็ต้องดำเนินคดี
   
นายอุทัยเป็นนักกฎหมายและคงเชื่อมั่นในกฎหมายที่เป็นมาตรฐานเดียว  แต่กับยุคตุลาการภิวัตน์ที่เราได้เห็นการใช้กฎหมายสองมาตรฐาน   นายอุทัยจะมองเห็นบ้านเมืองสงบสุขหรือไม่

ที่มา.นสพ.ฐานเศรษฐกิจ
////////////////////////////////////////////////////////////

โพลเผย คะแนนความนิยม รัฐบาล ลดฮวบ !!??

เนื่องด้วยในเดือนสิงหาคมนี้ รัฐบาลของนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จะบริหารงานประเทศครบ 2 ปีบริบูรณ์ ศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ (กรุงเทพโพลล์) จึงได้ดำเนินการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนเรื่อง ประเมินผลงาน 2 ปี รัฐบาลนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร โดยเก็บข้อมูลจากประชาชนอายุ 18 ปีขึ้นไป จำนวน 1,419 คน จากทุกภูมิภาคทั่วประเทศ พบว่าประชาชนให้คะแนนความพึงพอใจการทำงานของรัฐบาล 4.49 คะแนน จากคะแนนเต็ม 10 คะแนน ซึ่งลดลงจากการทำงานครบ 1 ปี 6 เดือน 0.38 คะแนน ทั้งยังเป็นระดับต่ำที่สุดตั้งแต่เริ่มเข้ามาบริหารประเทศ และเป็นการปรับลดลงในทุกด้านที่ทำการประเมิน โดยได้คะแนนความพึงพอใจผลงานด้านการต่างประเทศมากที่สุด (5.04 คะแนน) แต่พึงพอใจผลงานด้านเศรษฐกิจน้อยที่สุด (3.98 คะแนน)

ด้านคะแนนการปฏิบัติหน้าที่ในฐานะนายกรัฐมนตรีของ นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อยู่ที่ 4.94คะแนน จากคะแนนเต็ม 10 คะแนน ซึ่งลดลงจากการทำงานครบ 1 ปี 6 เดือน 0.48 คะแนนและเป็นระดับต่ำที่สุดตั้งแต่เริ่มเข้ามาบริหารประเทศ โดยได้คะแนนความขยันทุ่มเทในการทำงานเพื่อแก้ปัญหาของประเทศมากที่สุด(5.49 คะแนน) แต่ได้คะแนนด้านความเด็ดขาด กล้าตัดสินใจน้อยที่สุด (4.56 คะแนน)

ด้านคะแนนความพึงพอใจต่อการทำงานของพรรคแกนนำรัฐบาล พรรคร่วมรัฐบาล พรรคแกนนำฝ่ายค้าน และพรรคร่วมฝ่ายค้าน พบว่า พรรคเพื่อไทยได้ 4.94 คะแนน พรรคร่วมรัฐบาลได้ 4.40 คะแนน ในขณะที่พรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเป็นพรรคแกนนำฝ่ายค้าน ได้ 3.81 คะแนน และพรรคร่วมฝ่ายค้านได้ 3.50 คะแนนจากคะแนนเต็ม 10 คะแนน

ส่วนเรื่องที่บั่นทอนหรือทำลายภาพลักษณ์ของรัฐบาลชุดปัจจุบันมากที่สุด อันดับ 1 คือ การคอร์รัปชั่น โกงกิน ในโครงการต่างๆ (ร้อยละ 19.9) อันดับ 2 คือ โครงการรับจำนำข้าวล้มเหลว ขาดทุน (ร้อยละ 19.3) อันดับ 3 คือ การไม่สามารถแก้ปัญหาเศรษฐกิจได้เลย เพราะข้าวของแพง น้ำมันแพงและค่าครองชีพยังสูงอยู่(ร้อยละ 11.1)

สำหรับความเห็นต่อระยะเวลา 2 ปี ของรัฐบาลที่นำโดยนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ว่าสามารถนำพาประเทศ เดินทางไปถูกทางหรือไม่ พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่ร้อยละ 55.2 ยังเห็นไม่ชัดเจนว่าจะนำพาประเทศไปในทิศทางใด รองลงมาร้อยละ 27.7 เห็นว่านำพาไปถูกทางแล้ว และร้อยละ 17.1 เห็นว่ายังไม่ถูกทาง

หากมีโอกาสได้เป็นนายกรัฐมนตรี จะนำพาประเทศไทยให้มีลักษณะอย่างไร ประชาชนระบุว่าให้ทุกคนมีโอกาสในด้านต่างๆ เท่าเทียมกันมากที่สุดร้อยละ 34.8 รองลงมาคือ มีคอร์รัปชั่นให้น้อยที่สุด หรือไม่มีเลย ร้อยละ 25.7 และมีกฎหมายศักดิ์สิทธิ์เด็กขาดที่ทุกคนเคารพ ร้อยละ 17.2

ที่มา.เนชั่น
////////////////////////////////////////////////

วันเสาร์ที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2556

คิกออฟ สภาเกษตรกร ฝันที่เป็นจริงของคนจน !!??



หลังจากที่ได้มีการผลักดันกันมาอย่างยาวนานมากกว่า 30 ปี วันนี้ความฝันของพี่น้องเกษตรกร ก็เป็นจริง โดยได้มีการจัดตั้งสภาเกษตรกรแห่งชาติขึ้นมาร่วมมือทำงานกับรัฐบาลในการร่วมคิด วิเคราะห์ และลงมือแก้ไขปัญหาความ ทุกข์ยากของพี่น้องเกษตรกรให้หมดสิ้นไป นับจากนี้ไปจะมีองค์กรที่ตั้งขึ้นมาทำหน้าที่ในการเป็นปากเสียง แทนเกษตรกรในการแก้ปัญหา ปากท้องและปัญหาทำกิน

11 กรกฎาคม 2556 ที่ผ่านมา สภา เกษตรกรแห่งชาติและรัฐบาลได้ประกาศ "คิกออฟ" เดินหน้าขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ และจัดทำแผนแม่บทพัฒนาภาคเกษตรกรรมจากล่างสู่บน หวังพลิกมิติใหม่ในการพัฒนาภาคเกษตรไทย และเสริมสร้างความเข้มแข็งเครือข่ายเกษตรกรทั่วประเทศ ณ อิมแพ็ค เมืองทองธานี

นายประพัฒน์ ปัญญาชาติรักษ์ ประธานสภาเกษตรกรแห่งชาติ ได้กล่าวในการแถลงข่าวการจัดประชุมสัมมนา "การขับเคลื่อนยุทธศาสตร์สภาเกษตรกรแห่งชาติสู่มิติใหม่แห่งการพัฒนาภาคเกษตรกรรมอย่างยั่งยืน" ว่า หลังจากใช้เวลากว่า 4 ปี ในการผลักดันสภาเกษตรกรแห่งชาติตามพระราชบัญญัติสภาเกษตรกรแห่งชาติ พ.ศ.2553 สภาเกษตรกรฯ ได้เดินหน้า ขับเคลื่อนภารกิจของตัวเองในทันที โดยเข้าไปมีส่วนร่วมในการกำหนดนโยบายด้าน การเกษตรร่วมกับภาครัฐในหลายด้าน และนับเป็นครั้งแรกที่มีตัวแทนเกษตรกรอย่างแท้จริงเข้ามามีส่วนร่วมและเป็นกระบอกเสียงในการทำงานร่วมกับรัฐบาล ซึ่งแตกต่างจากที่ผ่านมาการกำหนดนโยบาย ด้านการเกษตรไม่เคยผ่านความเห็นจากเกษตรกรทำให้แก้ปัญหาไม่ตรงจุด

ดังนั้น เพื่อเป็นการประกาศทุกภาคส่วนได้รับรู้ถึงการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์สภาเกษตรกรแห่งชาติอย่างเป็นรูปธรรมเป็นครั้งแรก รวมทั้งเป็นเวทีในการระดมความคิดของเกษตรกรและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการบูรณาการจัดทำแผนแม่บท เพื่อพัฒนาเกษตรกรรมจากล่างสู่บน เสริมสร้างความเข้มแข็งของเครือข่ายเกษตรกร ทั่วประเทศ สมาชิกสภาเกษตรกรแห่งชาติ สมาชิกสภาเกษตรกรจังหวัดทั่วประเทศ 1,732 คน พนักงานสำนักงานสภาเกษตรกร 261 คน ผู้ว่าราชการจังหวัดทั่วประเทศ ผู้แทนหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องรวมทั้งหมด 2,200 คน จะมีการประชุมสัมมนา เพื่อประกาศเจตนารมณ์สร้างความร่วมมือพัฒนาประเทศชาติ โดยอาศัยพลังจากเกษตรกรทั่วประเทศ

นายประพัฒน์ กล่าวด้วยว่า ในการดำเนินงานของสภาเกษตรกรแห่งชาติ ช่วง 5-6 เดือนที่ผ่านมานับแต่ถ่ายโอนการกำกับ ดูแลจากกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ขึ้น ตรงต่อนายกรัฐมนตรี ได้ช่วยลดช่องว่าง ระหว่างรัฐบาลและเกษตรกร ช่วยให้ปัญหา ต่างๆ ไม่ลุกลามมาบนท้องถนน หรือปิดล้อม ทำเนียบรัฐบาล เพราะสภาเกษตรกรฯ ได้เป็นตัวแทนในการนำปัญหาความเดือดร้อน ของพี่น้องเกษตรกรพูดคุยกันบนโต๊ะ แทนการพูดคุยบนท้องถนน ซึ่งเชื่อว่าบทบาทหน้าที่ของสภาเกษตรกรฯ ดังกล่าว จะช่วย ให้เกิดความเป็นปึกแผ่นในมวลหมู่พี่น้องเกษตรกร ช่วยให้พี่น้องเกษตรกรไทยมีศักดิ์ศรีในอาชีพ และเป็นที่ยอมรับของสังคม ในอนาคต

"ในช่วง 2 ปีแรกของการจัดตั้งนับตั้งแต่ปี 2553 เป็นการเตรียมความพร้อมเลือกตั้งสมาชิกสภาเกษตรกรจังหวัดทั่วประเทศ สมาชิกสภาเกษตรกรแห่งชาติ การจัดตั้งสำนักงานสภาเกษตรกร จังหวัด สำนักงานสภาเกษตรกรแห่งชาติ ภายใต้การสนับสนุนดูแลของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยนายกรัฐมนตรีได้รับโอนงานของสภาเกษตรกรแห่งชาติ จากกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ไว้ในการกำกับดูแลของสำนักนายกรัฐมนตรีเป็นที่เรียบร้อยแล้ว" นายประพัฒน์ กล่าว

นอกจากนี้ ภายในงานยังจัดให้มีการ ปาฐกถาในหัวข้อ "ภาคเกษตรไทยในทศวรรษหน้าจะไปทางไหน?" โดย นาย วีรพงษ์ รามางกูร ประธานคณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย และประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ (กยอ.) การซักซ้อมเสวนา แนวทางการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์สภาเกษตรกรแห่งชาติ ปี 2556-2559 สู่การปฏิบัติเพื่อการพัฒนาภาคเกษตรกรรมอย่าง ยั่งยืน โดยประธานสภาเกษตรกรแห่งชาติ รวมถึงการจัดนิทรรศการทางวิชาการ และ การแสดงผลผลิตผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร

นายประพัฒน์ ยังกล่าวถึงวัตถุประสงค์ที่สำคัญของการจัดการประชุมสัมมนาครั้งนี้ว่า ก็เพื่อแสดงการขอบคุณต่อ รัฐบาลที่ได้ให้การสนับสนุนงานของสภาเกษตรกรแห่งชาติเป็นอย่างดี รัฐบาลเห็นปัญหาความทุกข์ยากความเดือดร้อนของพี่น้องเกษตรกรให้การช่วยเหลือแก้ไขปัญหา ไม่เมินเฉยต่อปัญหาดังเช่นกรณีล่าสุด ในเรื่องการปรับราคารับจำนำข้าวเปลือกของ รัฐบาลในรอบการผลิตปัจจุบันจากตันละ 12,000 บาท เป็น 15,000 บาท จนถึงวันที่ 15 กันยายน 2556 ตามข้อเรียกร้องของพี่น้องเกษตรกร

ที่มา.สยามธุรกิจ
/////////////////////////////////////////////////////