--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันศุกร์ที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ผ่าแผนม็อบ ต้านรัฐบาล !!??

ปัดโถ่....กลุ่มนายทหารนอกราชการ วัยแก่ๆ ค่อนเกือบ 70 ปี ยังมีเรี่ยวแรงเฮือกสุดท้ายประกาศตั้ง “กองทัพประชาชนโค่นระบอบทักษิณ” เพื่อไล่รัฐบาล “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” นายกรัฐมนตรี ให้พ้นไปจากอำนาจบริหารประเทศ...(อีกเหรอ)

นายทหารนอกราชการกลุ่มนี้ ประกอบด้วย พล.ร.อ.ชัย สุวรรณภาพ ประธานองค์การพิทักษ์สยาม(อพส.) พล.อ.ชูเกียรติ ตันสุวัฒน์ และ พล.อ.ท.วัชระ ฤทธาคนี

ช่างเหมาะสมกับชื่อใหม่ที่เรียกว่า “คณะเสนาธิการร่วม” เพราะมีครบทุกเหล่าทัพ ทั้งทัพบก เรือ และอากาศ...ย่อมน่าสนใจอย่างยิ่ง

น่าสนใจอย่างยิ่ง เมื่อลากโยงความสัมพันธ์ในระดับ “บุคคล” ของนายทหารนอกราชการกลุ่มนี้ เพราะความสัมพันธ์ย่อมเชื่อมโยงไปสู่ “ผลึก” แนวคิดทางการเมืองและดุลอำนาจอยู่ไม่น้อย

พล.ร.อ.ชัย เป็นนายทหารรุ่นเดียวกับ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรี กับ พล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ หรือ เสธ.อ้าย ผู้ก่อการม็อบสนามม้านางเลิ้ง

เมื่อ เสธ.อ้าย ก่อม็อบและพ่ายแพ้ช่วงเพียงเวลาดวงอาทิตย์ยังไม่ตกดิน เขาประกาศเลิกกิจการก่อม็อบ แล้วสลายสถานะผู้นำที่ชื่อเสธ.อ้าย ด้วยการประกาศว่า “เสธ.อ้ายตายแล้ว” นั่นหมายความว่า เสธ.อ้ายจะไม่ได้นำม็อบ เกณฑ์ชาวบ้านไม่รู้เหนือรู้ใต้มาชุมนุมไล่รัฐบาลอีกแล้ว

เสธ.อ้าย วางมือจากม็อบ เขาลาออกจากประธาน อพส. ส่งไม้ต่อให้พล.ร.อ.ชัย มารับภารกิจโค่นระบอบทักษิณแทน โดยมี พล.อ.ท.วัชระ เป็นโฆษก อพส.

พล.อ.ท.วัชระ ร่วมเคลื่อนไหวทางการเมืองกับกลุ่มพันธมิตรฯอย่างสม่ำเสมอ เขาจับมือกับนายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ เรียกร้องดินแดนเขาพระวิหาร โจมตีรัฐบาลในระบอบทักษิณว่า ขายชาติ ขายผืนดิน เพื่อแลกผลประโยชน์ด้านพลังงานจากเขมร

พล.อ.ชูเกียรติ เป็นนายทหารคนสนิทของ พล.ต.มนูญกฤต รูปจขร อดีตผู้นำทหารยังเติร์ก จปร.7 เขาเป็นกลุ่มพันธมิตรตัวยง และไม่ชอบหน้าระบอบทักษิณเข้ากระดูกดำ เนื่องจากชิงชังการเมืองแบบประชาธิปไตยของชนชั้นนายทุน ที่มีบทสรุปการทุจริตคอร์รัปชั่น

เหนืออื่นใด แนวคิดหลักของกลุ่มนายทหารนอกราชการกลุ่มนี้ ยังมีสูตรสำเร็จทางการเมืองแบบประชาธิปไตยว่า นายทุนลงทุนทางการเมือง ต้องเข้ามาถอนทุนกลับคืน

ดังนั้น ประชาธิปไตยของนายทหารนอกราชการจึงมีแนวคิดกระเดียดไปในทางประชาธิปไตยของคนดี ที่ไม่ต้องผ่านการตรวจสอบจากประชาชนด้วยกระบวนการหย่อนบัตรลงคะแนนเสียง

กล่าวกันตรงๆ ก็คือ ประชาธิปไตยของชนขั้นนำสูงสุดที่ให้เฉพาะเสรีภาพทางร่างกายและเศรษฐกิจกับประชาชนข้างล่างเท่านั้น

ด้วยแนวคิด “คนดี” เมื่อนำมาประสานกับประชาธิปไตยชนชั้นนำแล้ว จึงทำให้เห็นกลุ่มทางการเมืองแบบอนุรักษนิยมที่ติดอาวุธความคิดแบบ “พวกขวาสุดโต่ง” คือ ความคิดแบบเอาแต่ได้ ไม่เดินสายกลาง ตึงตัวเฉพาะกลุ่มก้อนตัวเอง

แน่นอน...แนวคิดแบบขวาสุดโต่ง จึงเข้ากันไม่ได้สนิทกับลักษณะทางสังคมที่หลากหลายในสังคมไทยปัจจุบัน

ไม่เพียงเท่านั้น แนวคิดขวาสุดโต่งยังเข้าไม่ได้กับหมู่มิตรการเคลื่อนไหวของพรรคพวกตัวเองด้วย พวกเขาเข้าไม่ได้กับกลุ่มชุมนุมสนามหลวงที่เรียกว่าเครือข่ายประชาชน

เพราะพวกขวาสุดโต่งต้องการเข้าไปครอบงำการเคลื่อนไหวทั้งหมด โดยมีแนวทางนำไปสู่การสร้างเหตุการณ์รุนแรงขึ้น

ดังนั้น แนวคิดกลุ่มขวาสุดโต่งจึงมีส่วนสำคัญในการยกระดับการต่อสู้ของกลุ่มสนามหลวงไปสู่การสร้างกองทัพประชาชนโค่นระบอบทักษิณ เพื่อทำลายรัฐบาลภายใต้การนำของยิ่งลักษณ์

แต่ด้วยแนวคิดขวาสุกโต่ง กลับกลายเป็นการทำลายกลุ่มชุมนุมที่สนามหลวงอย่างเด่นชัด จนขาดพลังในการเคลื่อนไหวเพื่อประกาศเจตนารมณ์ของประชาชน

บัดนี้ กลุ่มชุมนุมที่ปักหลักสนามหลวง ถูกกลุ่มขวาสุดโต่งทำลาย “เอกภาพ” จนหมดสิ้น และแตกตัว แยกการเคลื่อนไหวออกเป็น 3 กลุ่มหลัก

และที่สำคัญทั้ง 3 กลุ่มไม่ยอมรับการนำของกันและกัน นั่นบ่งบอกว่า ฐานะการทำ “แนวร่วม” ทางการเคลื่อนไหวต่อกันและกันก็ไม่เกิดขึ้นด้วย

ทั้ง 3 กลุ่มของม็อบสนามหลวงนั้น แยกออกเป็น หนึ่ง กลุ่มสภาเกษตรกรไทยที่ขับเคลื่อนในประเด็นการเสียดินเขาพระวิหารเป็นหลัก

สองกลุ่มพลังธรรมมาธิปไตย ซึ่งเป็นมิตรสหายทหารป่าดาวแดงภายใต้การนำของ “ปรีชา 505” ยังเคลื่อนไหวให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในสังคมด้วยพลังของประชาชนเป็นด้านหลัก โดยไม่อาศัยการเปลี่ยนแปลงที่มาจาก “ทหารยึดอำนาจ” ดังนั้นกลุ่มนี้จึงเข้าไปสนิทกับกลุ่มหน้ากากขาว และแทบทุกครั้งพวกเขาก็อาสาเป็นการ์ดให้กลุ่มหน้ากากขาวด้วย

ทั้งกลุ่มที่หนึ่ง และกลุ่มที่สอง ยังปักหลักชุมนุมอยู่ที่สนามหลวง ในบริเวณใกล้เคียงกัน แต่ไม่เกี่ยวข้องกัน และเส้นแบ่งพื้นที่ไม่สัมพันธ์กันนั้นอยู่ที่ “รั้วเหล็ก” มากั้นกำหนดเขตแดนกันและกัน

พัฒนาแห่งความ “แตกแยก” กันเช่นนี้ในบางครั้งถึงกับบาดหมางราวลึกกัน จนใช้กำลัง “ชกต่อย” ตาบวม ปากแตก และแจ้งความดำเนินคดีกันที่สถานีตำรวจพระราชวังมาแล้ว

ความจริงก็คือ ความแตกแยกทั้งหมดมาจากแนวคิดการทำลายของกลุ่มที่สาม คือ กลุ่มขวาสุดโต่ง ที่ต้องการผลักดันให้ม็อบสนามหลวงเกิดการปะทะกับตำรวจถึง 2 ครั้ง เริ่มตั้งแต่มาล้อมกรอบทำเนียบรัฐบาล และครั้งล่าสุดในเหตุการณ์ปิดล้อมกระทรวงกลาโหม ไม่ให้ “ยิ่งลักษณ์” ในฐานะ รมว.กลาโหม ได้เข้ากระทรวงได้

ปฏิกิริยาไม่เห็นด้วยกับแนวทาง “ปะทะ” ภายใต้การชี้นำของกลุ่มขวาสุดโต่งนั้น เกิดจากกลุ่มพลังธรรมาธิปไตยไม่ปฏิบัติตาม จนเกิดวิวาทะด้วยอารมณ์รุนแรง แล้วก็แยกตัวออกจากกันไปตามแนวทางใคร แนวทางมัน

และแล้ว กลุ่มขวาสุดโต่ง และนายไชยวัฒน์ จึงแยกวงมาปักหลักอยู่ที่สถานีโทรทัศน์ดาวเทียม “13 สยามไท” สร้างเครือข่ายทางความคิด กระทั่งแปรรูปเป็น “ขบวนการคณะเสนาธิการร่วม” ประกาศโค่นระบอบทักษิณในขณะนี้

คณะเสนาธิการร่วม ไม่มีความจัดเจนทางการเคลื่อนไหวของประชาชน ไร้วิธีการจัดตั้งมวลชน ดังนั้นนายพิเชษฐ์ พัฒนาโชติ และนายไทกร พลสุวรรณ จึงมาสวมทัพด้วย และมีนายสมศักดิ์ โกสัยสุข ผู้นำแรงงานรัฐวิสาหกิจ และหัวหน้าพรรคสังคมประชาธิปไตยไทย (เปลี่ยนชื่อจากพรรคการเมืองใหม่) มาร่วมวางและสร้างเครือข่ายมวลชน

ทั้ง “พิเชษฐ์ และไทกร” ล้วนเป็นคนสนิทกับ “พล.ต.มนูญกฤต” เช่นเดียวกับกลุ่มนายทหารนอกราชการ นั่นเท่ากับลากชื่อ “มนูญกฤต” มาพัวพันกับการเคลื่อนไหวโค่นระบอบทักษิณ

พลังสนับสนุนของกลุ่มเสนาธิการ่วมที่มีแนวคิด "ขวาสุดโต่ง” แทบไม่มีเป็นกอบเป็นกำ กลุ่มนี้ประเมินสถานการณ์การเปิดสภาในวันที่ 1 สิงหาคมนี้ว่า อยู่ในภาวะเติมเชื้อความรุนแรงให้พัฒนาไปสู่การล้มรัฐบาลและโค่นระบอบทักษิณได้

กำลังส่วนหนึ่งของพวกเขามาจากต่างจังหวัด ขณะนี้มีการเคลื่อนไหวระดมกำลังกันที่จังหวัดเลย ภายใต้การนำของ “พล.อ.กิตติศักดิ์ รัตนประเสริฐ หรือ เสธ.อู๊ด” และ “ผู้กองปูเค็ม หรือ ร.อ.ทรงกลด ชื่นชูผล” โดยแผนปฏิบัติการสร้างกำลังได้เริ่มขึ้นเมื่อ 21 กรกฎาคม ที่ผ่านมา ด้วยการประกาศสร้าง “กองทัพนิรนาม” ขึ้นมาโค่นระบอบทักษิณและรัฐบาลยิ่งลักษณ์

แน่ละ....ในขณะนี้หากพิจารณาในด้านร้ายแล้ว รัฐบาลยิ่งลักษณ์กำลังเผชิญหน้ากับกองทัพที่จะโค่นล้มอย่างน้อย 2 กองทัพ คือ “กองทัพประชาชน” ในรหัสของกลุ่มหน้ากากขาวและคณะเสนาธิการร่วม กับ “กองทัพนิรนาม” ทีผู้กองปูเค็มเร่งฝึกกำลังพลขนาดใหญ่

แผนปฏิบัติการของกลุ่มขวาสุดโต่งและกองทัพโค่นล้มทั้งหลายทั้งปวงนำ นำไปสู่เป้าหมาย “สร้างสถานการณ์ให้ทหารออกมายึดอำนาจ”

ทหารจะออกมาได้ ด้วยยุทธวิธีการเคลื่อนไหวมวลชนให้นำไปสู่การปะทะกับเจ้าหน้าตำรวจ แล้วลามไปสู่การ “ก่อวินาศกรรม” แบบ เผาโน่น ทุบนี่ อะไรประมาณนั้น รวมทั้งการสร้างความปั่นป่วนในสังคม แล้วลงท้ายด้วย “กำจัด” นักการเมืองในพรรคเพื่อไทย

นี่คือ แผนการที่ถูกวางไว้เพื่อการจัดสร้างในช่วงเดือนสิงหาคมถึงกันยายน เป็นช่วงที่กฎหมายสำคัญๆ ของรัฐบาลเข้าสู่สภา โดยเฉพาะกฎหมายนิรโทษกรรม กฎหมายกู้เงิน 2.2 ล้านล้านบาท ซึ่งจะ “เรียกแขก” ให้มาชุมนุมประท้วง

เมื่อกองทัพ กองกำลัง ของกลุ่มขวาสุดโต่งเข้าแทรกซึม ผสมส่วนในม็อบรายรอบสภาแล้ว จินตนาการความปั่นป่วน และเหตุการณ์รุนแรงย่อมเกิดขึ้นได้ทุกเสี้ยววินาที

เพียงหลับตานึก สังคมที่อันตรายย่อมลอยเด่นขึ้น สอดประสานกับเสียงข่มขู่ของพรรคประชาธิปัตย์ว่า บ้านเมืองจะลุกเป็นไฟ

แผนการของกลุ่มขวาสุดโต่งว่างไว้เช่นนี้ จะบรรลุเป้าหมายเพียงไร ทหารคงเป็นคำตอบสถานการณ์เดียวเท่านั้น

ที่มา.สยามธุรกิจ
//////////////////////////////////////////////////////////////////////////

เผยฐานะคลังยังมั่นคง มีเงินคงคลัง กว่า 4 แสนล้าน !!??

นายสมชัย สัจจพงษ์ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง แถลงข่าวฐานะการคลังของรัฐบาลตามระบบกระแสเงินสดในช่วง 9 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2556 (ตุลาคม 2555 – มิถุนายน 2556) ว่ารัฐบาลมีรายได้นำส่งคลังทั้งสิ้น 1,615,578 ล้านบาท สูงกว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้ว 174,079 ล้านบาท หรือร้อยละ 12.1 ซึ่งมีปัจจัยหลักมาจากการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม และภาษีสรรพสามิตรถยนต์ได้สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน สะท้อนถึงภาวะเศรษฐกิจที่เติบโตอย่างต่อเนื่องจากการขยายตัวของอุปสงค์ภายในประเทศ

ในขณะที่การเบิกจ่ายเงินงบประมาณมีจำนวนทั้งสิ้น 1,853,614 ล้านบาท สูงกว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้ว 124,390 ล้านบาท หรือร้อยละ 7.2    ทำให้ดุลเงินงบประมาณขาดดุล 238,036 ล้านบาท เมื่อรวมกับดุลเงินนอกงบประมาณที่ขาดดุล 120,501 ล้านบาท (สาเหตุหลักจากการไถ่ถอนตั๋วเงินคลัง 102,135 ล้านบาท) ส่งผลให้รัฐบาลขาดดุลเงินสดรวม 358,537 ล้านบาท ซึ่งรัฐบาลได้กู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุล 221,697 ล้านบาท ทำให้ดุลเงินสดหลังกู้ ขาดดุลทั้งสิ้น 136,840 ล้านบาท และเงินคงคลัง ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2556 มีจำนวนทั้งสิ้น 423,497 ล้านบาท ใกล้เคียงกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว

นายสมชัย สรุปว่า “จากการนำส่งรายได้ภาษีเงินได้นิติบุคคลจำนวนมากในเดือนมิถุนายน ส่งผลให้เงินคงคลัง ณ สิ้นเดือนมีจำนวนสูงกว่า 4 แสนล้านบาท ซึ่งเป็นระดับที่มั่นคงมาก และพร้อมรองรับต่อความผันผวนทางเศรษฐกิจ และการดำเนินนโยบายของรัฐบาลตลอดปีงบประมาณ 2556”

ฐานะการคลังของรัฐบาลตามระบบกระแสเงินสดประจำเดือนมิถุนายน 2556และในช่วง 9 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2556 (ตุลาคม 2555 – มิถุนายน 2556)

altในเดือนมิถุนายน 2556 รัฐบาลเกินดุลเงินสดจำนวน 173,070 ล้านบาท โดยเป็นการเกินดุลเงินงบประมาณ 171,275 ล้านบาท ในขณะที่ดุลเงินนอกงบประมาณเกินดุล 1,795 ล้านบาท   ส่งผลให้ในช่วง 9 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2556 รัฐบาลขาดดุลเงินสดจำนวน 358,537 ล้านบาท ทั้งนี้ รัฐบาลได้กู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุล 221,697 ล้านบาท ส่งผลให้เงินคงคลัง ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2556 มีจำนวนเท่ากับ 423,497 ล้านบาท ซึ่งเป็นระดับที่มีความมั่นคงต่อฐานะการคลังของรัฐบาล  โดยมีรายละเอียด ดังนี้

1.ฐานะการคลังเดือนมิถุนายน 2556
1.1 รัฐบาลมีรายได้นำส่งคลัง 337,673 ล้านบาท ต่ำกว่าเดือนเดียวกันปีที่แล้ว 6,257 ล้านบาท (คิดเป็นร้อยละ 1.8) ซึ่งเป็นผลมาจากเหตุการณ์อุทกภัย ทำให้รายได้นำส่งคลังของภาษีเงินได้นิติบุคคลต่ำกว่าช่วงเดียวกันปีก่อน

1.2 รัฐบาลมีการเบิกจ่ายเงินงบประมาณทั้งสิ้น 166,398 ล้านบาท สูงกว่าเดือนเดียวกัน ปีที่แล้ว 8,983 ล้านบาท (คิดเป็นร้อยละ 5.7) ทั้งนี้ การเบิกจ่ายเดือนมิถุนายน ประกอบด้วยรายจ่ายประจำ 135,424 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.0 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันปีที่แล้ว และรายจ่ายลงทุน 19,849      ล้านบาท ลดลงร้อยละ 12.2 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันปีที่แล้ว ส่วนการเบิกจ่ายเงินจากงบประมาณปีก่อนมีจำนวน 11,125 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 58.2

การเบิกจ่ายเงินงบประมาณที่สำคัญในเดือนนี้ ได้แก่ รายจ่ายชำระหนี้ของสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ 21,274 ล้านบาท รายจ่ายกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ 5,662 ล้านบาท รายจ่ายเงินอุดหนุนของกระทรวงศึกษาธิการ 5,178 ล้านบาท และรายจ่ายของกระทรวงกลาโหม 4,394 ล้านบาท

1.3 จากรายได้นำส่งคลังและการเบิกจ่ายเงินงบประมาณของรัฐบาลข้างต้น ส่งผลให้ดุลเงินงบประมาณในเดือนมิถุนายน 2556 เกินดุล 171,275 ล้านบาท เมื่อรวมกับดุลเงินนอกงบประมาณที่เกินดุล 1,795       ล้านบาท ทำให้รัฐบาลเกินดุลเงินสดจำนวน 173,070 ล้านบาท ทั้งนี้ รัฐบาลได้กู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุล 24,415 ล้านบาท ส่งผลให้ดุลเงินสด (หลังกู้ชดเชยการขาดดุล) เกินดุลเท่ากับ 197,485 ล้านบาท

2. ฐานะการคลังในช่วง 9 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2556 (ตุลาคม 2555 – มิถุนายน 2556)
2.1 รายได้นำส่งคลัง รัฐบาลมีรายได้นำส่งคลังทั้งสิ้น 1,615,578 ล้านบาท สูงกว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้ว 174,079 ล้านบาท (คิดเป็นร้อยละ 12.1) ซึ่งมีสาเหตุหลักมาจากการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม และภาษีสรรพสามิตรถยนต์ ได้สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน
2.2 รายจ่ายรัฐบาล การเบิกจ่ายงบประมาณของรัฐบาลมีจำนวนทั้งสิ้น 1,853,614 ล้านบาท      สูงกว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้ว 124,390 ล้านบาท (คิดเป็นร้อยละ 7.2) ประกอบด้วยรายจ่ายปีปัจจุบัน 1,663,938      ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 69.3 ของวงเงินงบประมาณ (2,400,000 ล้านบาท) สูงกว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 3.6  และรายจ่ายปีก่อน 189,676 ล้านบาท สูงกว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 54.7 (ตารางที่ 3)
รายจ่ายปีปัจจุบันจำนวน 1,663,938 ล้านบาท ประกอบด้วยรายจ่ายประจำ 1,464,688 ล้านบาท สูงกว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 2.6 และรายจ่ายลงทุน 199,250 ล้านบาท สูงกว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 11.1

2.3 ดุลการคลังรัฐบาลตามระบบกระแสเงินสด ขาดดุล 358,537 ล้านบาท โดยเป็นการขาดดุลเงินงบประมาณ 238,036 ล้านบาท และการขาดดุลเงินนอกงบประมาณจำนวน 120,501 ล้านบาท ซึ่งมีสาเหตุหลักมาจากการไถ่ถอนตั๋วเงินคลัง 102,135 ล้านบาท และการเบิกจ่ายเงินกู้ภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็งฯ 6,073 ล้านบาท ทั้งนี้ รัฐบาลได้บริหารเงินสดให้สอดคล้องกับความต้องการใช้เงิน โดยชดเชยการขาดดุลด้วยการกู้จำนวน 221,697 ล้านบาท ส่งผลให้ดุลเงินสด (หลังการกู้เพื่อชดเชยการขาดดุล) ขาดดุลเท่ากับ 136,840 ล้านบาท และเงินคงคลัง ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2556 มีจำนวนทั้งสิ้น 423,497  ล้านบาท

ที่มา.นสพ.ฐานเศรษฐกิจ
///////////////////////////////////////////////////////////////////////

ความกังวล ของคนเล่นทองคำ !!??

โดย ธนรัชต์ พสวงห์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฮั่วเซ่งเฮง โกลด์ฟิวเจอร์ส จำกัด

ครึ่ง ปีแรกที่ผ่านมาราคาทองคำเคลื่อนไหวในลักษณะขาลง โดยนักลงทุนมีมุมมองต่อเศรษฐกิจโลกกำลังฟื้นตัว ทำให้เม็ดเงินไหลเข้าตลาดหุ้นทั่วโลก ประกอบกับความกังวลที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะถอนมาตรการ QE จึงทำให้ปีนี้ทองคำกลับไม่ได้รับความน่าสนใจในการลงทุน โดยในช่วงครึ่งปีแรกราคาทองคำปรับตัวลงแรงในช่วงเทศกาลสงกรานต์

แล้ว หลังจากการประชุมเฟดในวันที่ 18-19 มิถุนายน 2556 โดยในคำแถลงครั้งนี้ได้มีการกำหนดเวลาที่ชัดเจนในการถอนมาตรการ ว่าอาจเกิดขึ้นในช่วงสิ้นปีนี้ หากข้อมูลเศรษฐกิจบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจฟื้นตัวตามที่คาดการณ์ไว้ และจะยังคงลดขนาดวงเงินซื้อพันธบัตรไปจนถึงช่วงครึ่งแรกของปีหน้า ก่อนที่จะมีการยุติมาตรการต่อไป

โดยเฟดประเมินว่าอัตราการว่างงาน ของสหรัฐในช่วงนั้นจะอยู่ที่ระดับ 7% สำหรับเรื่องอัตราดอกเบี้ยแถลงการณ์จากการประชุมเฟดยืนยันว่าจะคงอัตรา ดอกเบี้ยไว้ที่ 0% ต่อไป ตราบใดที่อัตราว่างงานยังคงยืนเหนือระดับ 6.5% และอัตราเงินเฟ้อจะยังคงต่ำกว่า 2.5% ซึ่งคาดว่าสิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นได้ราวกลางปี 2558

อย่างไรก็ดี ในเดือนกรกฎาคมคำแถลงของประธานเฟดกลับสร้างความหวังให้กับนักลงทุนทองคำอีก ครั้ง ประธานเฟดได้กล่าวต่อที่ประชุมสำนักงานวิจัยเศรษฐกิจแห่งชาติว่า มาตรการทางการเงิน เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจยังคงเป็นสิ่งจำเป็น เนื่องจากอัตราว่างงานยังสูง และอัตราเงินเฟ้อยังอยู่ในระดับต่ำกว่าเป้าหมายของธนาคารกลางสหรัฐ รวมทั้งนโยบายการคลังที่เข้มงวดจากการเพิ่มภาษีและลดรายจ่ายของภาครัฐมีผล ต่อการจ้างงาน

ในช่วงครึ่งปีหลังประเด็นความกังวลที่เฟดจะถอน มาตรการ QE คงเป็นปัจจัยที่มีผลต่อราคาทองคำมากที่สุด และน่าจะกระทบเชิงลบมากกว่า แต่คาดว่าราคาทองคำคงซึมซับประเด็นดังกล่าวไปพอสมควรแล้ว

นับจากนี้ เป็นต้นไป ตลาดจะให้ความสำคัญต่อตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐมากยิ่งขึ้นไปอีก โดยเฉพาะอัตราการว่างงาน มีความเป็นไปได้สูงทีเดียวว่าเฟดจะถอนมาตรการ QE ในช่วงกลางปีหน้า เนื่องจากอัตราการว่างงานปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 7.6% คาดว่าจะสามารถลดลงเหลือ 7% ในช่วงกลางปีหน้าได้

นอกจากประเด็นดัง กล่าวแล้ว ยังมีประเด็นเรื่องประธานเฟดคนใหม่ต่อจากเบอร์นันเก้ เนื่องจากคาดการณ์ว่าเบอร์นันเก้คงไม่รับตำแหน่งประธานเฟดต่อเป็นสมัยที่ 3 หลังจากที่จะหมดวาระในเดือนมกราคม 2557 รวมทั้งประธานาธิบดีโอบามาส่งสัญญาณว่าจะไม่แต่งตั้งเบอร์นันเก้ต่ออีกสมัย ดังนั้นในครึ่งปีหลังนอกจากความกังวลว่าเฟดจะถอนมาตรการ QE เมื่อไร ยังมีประเด็นเรื่องการคาดการณ์ว่าใครจะมารับตำแหน่งประธานเฟดคนต่อไปอีกด้วย

แล้วเรื่องนี้จะมีผลต่อนโยบายการเงินที่เน้นการกระตุ้นเศรษฐกิจ หรือเน้นรักษาเสถียรภาพของอัตราเงินเฟ้อ รวมทั้งจะมาสานต่อนโยบายการเงินของเบอร์นันเก้หรือไม่

ส่วนความต้อง การทองคำเพื่อการลงทุนในรูปทองกระดาษทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นอีทีเอฟทองคำและโกลด์ฟิวเจอร์สในปีนี้ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ แต่กลับมีแรงซื้อทองคำในรูป Physical เพิ่มขึ้น ไม่ว่าจะเป็นทองแท่ง ทองรูปพรรณ เหรียญทองคำ โดยเฉพาะในเดือนเมษายนที่ราคาทองคำปรับตัวลงมาอย่างรุนแรง ในแถบเอเชียคนแห่ไปซื้อทอง โดยเฉพาะทองรูปพรรณ ทำให้ถึงกับขาดแคลนในหลายประเทศ ไม่ว่าจะเป็นไทย จีน และอินเดีย สะท้อน ให้เห็นว่าการซื้อขายทองคำเพื่อเก็งกำไรลดลง แต่การซื้อเพื่อเก็บออมระยะยาวและเป็นเครื่องประดับกลับเพิ่มขึ้น ถึงแม้การลงทุนในอีทีเอฟทองคำ

ดูเหมือนเป็นสัดส่วนไม่มากประมาณ 10% เมื่อเทียบกับความต้องการทองคำทั้งหมด แต่การเทขายทองคำจากอีทีเอฟทองคำในช่วงครึ่งปีแรกของปีนี้ ถ้าดูจากตัวเลขของการขายทองคำของกองทุน SPDR Gold Trust ในปริมาณที่ค่อนข้างมากเกือบ 400 ตัน คิดเป็น 1 ใน 3 ของการถือครองทองคำของกองทุนในช่วงต้นปี กดดันให้ราคาทองคำปรับตัวลง

อย่าง ไรก็ดี เม็ดเงินไหลออกจากกองทุน SPDR Gold Trust เริ่มลดลงในเดือนมิถุนายน ทำให้คาดหวังว่าแรงเทขายทองคำจากอีทีเอฟทองคำในครึ่งปีหลังจะลดลง แต่ด้วยมุมมองของนักลงทุนสถาบันและนักลงทุนรายใหญ่ต่อราคาทองคำในเชิงลบ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นกลุ่มที่ลงทุนในอีทีเอฟทองคำ ทำให้คาดว่าในช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้เม็ดเงินยังคงไหลออกจากอีทีเอฟทองคำต่อไป

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
//////////////////////////////////////////////////////////////

วันพฤหัสบดีที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

การสร้างประชาคม ความมั่นคงของอาเซียน !!??

ภาคแนวคิดและทฤษฎีเรื่องประชาคมความมั่นคง ที่ลองนำมาเสนอให้เห็นว่าเจ้าทฤษฎีของสำนักต่างๆ คิดกันอย่างไร และกับการสร้างประชาคมความมั่นคงของอาเซียน นี้ จะพบกับความซับซ้อนในประเด็นใดบ้าง เหล่านี้เป็นประเด็นน่าศึกษาประชาคมความมั่นคงของอาเซียนอยู่มาก ว่ามีเหตุปัจจัยอื่นใดบ้าง ที่นำไปสู่การสร้างเสาหลักของประชาคมอาเซียนหนึ่งเดียว

หากย้อนไปทบทวนดูภูมิทัศน์ทางการเมืองของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่เป็นปริมณฑลของอาเซียนนั้น มีประเด็นสำคัญๆ น่าศึกษาเกี่ยวกับความเป็นประชาคมความมั่นคงมากทีเดียว เพราะถ้าดูว่าอาเซียนซึ่งก่อตั้งเป็นรูปร่างมา แต่ปี ค.ศ.1967 แล้วนั้น ได้ผ่านการเปลี่ยนแปลงสำคัญๆ ที่ เป็นสภาพแวดล้อมทางยุทธศาสตร์ของภูมิภาคในเอเชียตะวัน ออกเฉียงใต้มาแล้วอย่างโชกโชน

ช่วงทศวรรษที่ 1960 (2503) นั้น ความมั่นคงของภูมิ-ภาค และเสถียรภาพในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ตกอยู่ในภาวะ อันมืดมนมาก ภาพของภูมิภาคโดยรอบถูกมองเห็นเป็นดังเสมือน 1.ภูมิภาคที่เต็มไปด้วยการปฏิวัติ เป็น "บัลข่านแห่งตะวันออก" หรือ "เป็นภูมิภาคที่รอล้มพับ" เหมือนไพ่โดมิโน 2. การผนึกแน่นทางสังคมและการเมืองนั้นอ่อนแอมาก ในหมู่ บรรดารัฐเกิดใหม่ในภูมิภาค 3.มีปัญหาเรื่องความชอบธรรมของรัฐบาลที่ตั้งขึ้นหลังจากหลุดออกจากการเป็นอาณานิคมของมหาอำนาจตะวันตก และได้รับอิสรภาพ 4.ได้เกิดปัญหาแย่งชิงผลประโยชน์จนเป็นข้อขัดแย้งเรื่องดินแดนต่อกัน 5. มีการแข่งขันด้านอุดมการณ์ของสองขั้วมหาอำนาจระหว่างภูมิภาคและการที่มหาอำนาจนอกภูมิภาคเข้ามาแทรกแซง

ทั้งหมดนี้คือ ภูมิทัศน์ทางการเมืองของเอเชียตะวันออก เฉียงใต้ ช่วงที่สงครามโลกครั้งที่สองสิ้นสุดลง และช่วงก่อนหน้าที่อาเซียนจะก่อตัวต่อมา

ความขัดแย้งต่างๆ ที่เกิดขึ้นเหล่านี้ ข่มขู่อย่างน่ากลัวต่อการดำรงอยู่ของรัฐที่เพิ่งเกิดใหม่ ทั้งยังเห็นไปถึงการคุกคาม ต่อกฎระเบียบของภูมิภาคโดยรวมอีกด้วย สงครามเย็นในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นั้น ถูกแบ่งออกเป็นสองขั้ว อันเป็นผลเนื่องมาจากรัฐบาลปฏิวัติของคอมมิวนิสต์ที่เกิดขึ้นในอินโดจีน จากการที่รัฐบาลที่เป็นคอมมิวนิสต์ทำการส่งออกทหารไปยังรัฐเพื่อนบ้านต่างๆ ของตน

การที่เวียดนามส่งกำลังเข้าไปยึดกัมพูชาในปี ค.ศ.1978 (2521) ก่อให้เกิดความตึงเครียดปะทุขึ้นมาอีก และสร้างขั้นตอนที่ดึงเอาชาติมหาอำนาจเข้ามากระทำการแทรกแซง และสร้างความเป็นปฏิปักษ์ต่อกันขึ้นในภูมิภาค ดังจะเห็นได้จาก ความขัดแย้งที่เกิดการแย่งสิทธิครอบครองเกาะซาบาห์ ระหว่างฟิลิปปินส์กับมาเลเซีย และความขัดแย้งระหว่างอินโดนีเซียกับมาเลเซีย และมาเลเซียกับสิงคโปร์

กรณีนโยบายเผชิญหน้าระหว่างอินโดนีเซียกับสหพันธรัฐมาเลเซียที่จัดตั้งขึ้นใหม่ ภายหลังจากที่มาเลเซียได้รับเอกราช จากอังกฤษมาแล้ว เรื่องนี้นับว่ามีส่วนกำหนดลักษณะของสภาพ แวดล้อมความมั่นคงของภูมิภาคในช่วงแรกๆ หลังยุคอาณานิคม การที่เวียดนามรุกรานกัมพูชา และเกิดลักษณะสองขั้วระหว่าง อาเซียนกับอินโดจีนนั้น เป็นจุดสำคัญยิ่งของการกำเนิดสงคราม เย็นครั้งที่สองขึ้นอีกครั้งในภูมิภาคแห่งนี้

จากภูมิหลังของเหตุการณ์เหล่านี้เอง ที่นำไปสู่การจัดตั้งอาเซียนขึ้นมาในเดือนสิงหาคม ค.ศ.1967 (2510) ซึ่งก็หาใช่แรงบันดาลใจอะไรมากมายนัก กับการก้าวไปข้างหน้าของ การเกิดลัทธิภูมิภาคนิยมในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพราะในความเป็นจริงกับสถานการณ์ขณะนั้น เห็นได้ว่า บรรดาผู้นำของประเทศต่างๆ พากันให้ความสนใจกับการสร้างสัมพันธภาพกับประเทศนอกภูมิภาคมากกว่าที่จะเน้นความสัมพันธ์ระหว่างกันเอง

ประเทศต่างๆ เหล่านี้ มีแนวโน้มเข้าร่วมกับอาเซียนรวม กันทั้งหมด หรือเข้าร่วมในการประชุม หรือในองค์การระหว่าง ประเทศต่างๆ มากกว่าที่จะก่อตัวรวมกันอยู่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

จุดผันผวนหนึ่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ก็คือว่า รัฐบาล ของรัฐที่เกิดใหม่ในภูมิภาคนั้น ต่างดิ้นรนอย่างสุดฤทธิ์กับ การให้ได้มาซึ่งความเป็นรัฐชาติของตน ซึ่งแม้แต่ละรัฐต่างรับรู้ถึงกระแสภูมิภาคนิยมนานาชาติ และความเป็นผู้นำที่ดี แต่ก็กลับไม่ได้เรื่องได้ราวต่อการสร้างความมั่นคง และการพัฒนาขึ้นมาได้อย่างรวดเร็วและแข็งแรง ในขณะเดียวกันกับที่สำนึกในความเป็นประชาคมในระดับภูมิภาค และเป้าประสงค์ ในความเป็นรัฐชาติก็ยังไม่อาจนำมาดำเนินการที่จะให้บรรลุเป้า-หมายอย่างสมบูรณ์

เพราะฉะนั้น ในแง่ของความมั่นคง จึงเป็นเรื่องน่าสงสัย กันอยู่แต่แรกว่าอาเซียนจะไปรอดได้นานแค่ไหน ในเมื่อแม้เมื่อเกิดเป็นรัฐใหม่ หลุดจากการตกเป็นอาณานิคมมาเป็นประเทศเอกราช มีอิสรภาพแล้ว แต่ก็เต็มไปด้วยความขัดแย้งในระหว่างรัฐในภูมิภาคเดียวกัน ดังเช่นแรกเริ่มความขัดแย้งแย่งสิทธิเหนือหมู่เกาะซาบาห์ ระหว่างมาเลเซียกับฟิลิปปินส์ เป็นต้น

ความร่วมมือด้านการพัฒนาต่างๆ ต่อกัน ยังไม่เป็นรูปธรรมชัดเจน รวมถึงเรื่องของการเปิดเสรีทางการค้า ก็เป็นไปอย่างเชื่องช้าต่อกันมา แถลงการณ์ของอาเซียนช่วงต้นทศวรรษที่ 1970 (2513) เช่น แถลงการณ์เรื่อง "เขตแดนเสรีภาพ สันติภาพ อิสรภาพ และความเป็นกลาง (ZOFRAN = Zone of Peace, Freedom and Neutrality)" ก็ยังเต็มไปด้วยอุปสรรคขัดขวางและก็ยังโต้เถียงกันอยู่

แต่อาเซียนก็อยู่รอดมาได้ ยิ่งกว่านั้นก็คือที่จะเห็นว่า ในช่วงต้นทศวรรษที่ 1990 (2533) นั้น รัฐสมาชิกของ อาเซียนยังเอ่ยอ้างโอ่ว่า การรวมตัวเป็นกลุ่มของอาเซียน นั้น ถือเป็นการทดสอบที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในด้านความร่วมมือของภูมิภาคของโลกที่เป็นประเทศที่กำลังพัฒนา หัวใจสำคัญของการกล่าวอ้างนี้ ก็คือการแสดงบทบาทของ อาเซียนในการดำเนินการจัดการกับความขัดแย้งระหว่างกัน ของรัฐในอาเซียน ที่เห็นว่าอาเซียนเข้มแข็งขึ้น คือตรงที่สามารถลดความขัดแย้งลงได้

ที่มา.สยามธุรกิจออนไลน์
////////////////////////////////////////////////////////////////////////

ข้าราชการ กับปัญหา หนี้ท่วม !!??

แม้ยังไม่ถึงขั้นวิกฤตจนเป็นปัญหาต่อระบบเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ แต่ภาระหนี้ภาคครัวเรือนที่พุ่งสูงขึ้นต่อเนื่อง ทำให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องออกมาส่งสัญญาณเตือนและเฝ้าจับตามองอย่างใกล้ชิด

นอกจากหนี้ภาคครัวเรือนที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ระบุว่า ปัจจุบันขยับขึ้นมาอยู่ที่ 80% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติ (GDP) เทียบกับสิ้นปี 2555 อยู่ที่ 78% ของ GDP แล้ว ที่น่าห่วงยิ่งกว่าคือภาระหนี้ของครอบครัวข้าราชการที่กำลังคุกคาม บ่อนเซาะบุคลากรภาครัฐ

ข้อมูลจากการสำรวจเบื้องต้นของสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) ชี้ว่า ปัจจุบันข้าราชการที่มีภาระหนี้สินอยู่ระหว่างกระบวนการไกล่เกลี่ยประนอมหนี้ และที่ถูกฟ้องร้องดำเนินคดีทั่วประเทศรวมแล้วกว่า 8 แสนคดี มูลหนี้รวมกว่า 1 ล้านล้านบาทในจำนวนนี้บางส่วนคดีถึงที่สุด เข้าสู่ขั้นตอนการบังคับชำระหนี้ ยึดทรัพย์ หรือถูกศาลพิพากษาล้มละลาย ถือเป็นภัยเงียบที่สร้างความสั่นสะเทือนให้กับคนของรัฐและสถาบันข้าราชการอย่างรุนแรง

ก่อนหน้านี้ สำนักงานสถิติแห่งชาติเคยเปิดเผยข้อมูลการสำรวจหนี้สินของข้าราชการปี 2553 พบว่า ครอบครัวข้าราชการมีมูลหนี้เพิ่มขึ้นเท่าตัวจาก 492,253 บาท ในปี 2547 เป็น 872,388 บาท ในปี 2553 ส่วนหนึ่งมาจากปัจจัยที่เอื้อและจูงใจให้เป็นหนี้เพิ่มขึ้น ทั้งอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ซึ่งที่ผ่านมาอยู่ในระดับที่ต่ำ และการบูมของตลาดสินเชื่อส่วนบุคคลและบัตรเครดิต ตลอดจนค่านิยมที่เน้นความสะดวกสบาย และความหรูหราฟุ้งเฟ้อข้าราชการจำนวนไม่น้อยใช้จ่ายเงินเกินตัว ทำให้หนี้สินพอกพูนสะสม ขณะที่ความสามารถในการชำระหนี้มีแนวโน้มลดลง

ล่าสุดสิ้นปี 2555 หนี้เฉลี่ยของข้าราชการพุ่งสูงถึงเป็น 1,111,425 บาทต่อครัวเรือน ส่งผลกระทบทั้งต่อชีวิตส่วนตัวและหน้าที่การงาน ทั้งยังอาจจูงใจให้ข้าราชการกระทำการในลักษณะทุจริตคอร์รัปชั่นได้ง่าย

ท่ามกลางสถานการณ์ทางการเมืองที่ความแตกแยกขัดแย้งยังมีสูง ยากจะประสานให้เกิดความปรองดองให้เป็นหนึ่งเดียวกันได้ คนส่วนใหญ่ต่างหวังพึ่งสถาบันข้าราชการในฐานะหนึ่งในเสาหลักคอยค้ำจุนและนำพาประเทศไปข้างหน้า มากกว่าจะฝากความหวังไว้กับนักการเมือง

อย่างไรก็ตาม เมื่อข้าราชการเองกำลังถูกบ่อนทำลายจากภาระหนี้สินที่สร้างขึ้นล้นพ้นตัว ก็คงไม่สามารถจะเป็นเสาหลักให้กับบ้านเมืองได้อย่างเต็มที่

ถึงวันนี้แม้การสางปัญหาหนี้สินก้อนใหญ่ที่ข้าราชการจำนวนมากมีภาระต้องแบกรับจะเป็นเรื่องยาก แต่ยังไม่สายเกินไปถ้าหากรัฐบาลตลอดจนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีนโยบายชัดเจนที่จะแก้ไข ด้วยการดำเนินนโยบายทั้งในระยะสั้นและระยะยาวบรรเทาความเดือดร้อนจากภาระหนี้ทั้งในและนอกระบบ

พร้อมรณรงค์ปลูกจิตสำนึก สร้างค่านิยมใหม่ให้ข้าราชการรู้จักประหยัด อดออม ลดการฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือย และพยายามเป็นหนี้เท่าที่จำเป็น

ขณะเดียวกันก็เน้นสร้างคุณธรรม จริยธรรม ความซื่อสัตย์ ให้คนทั่วไปสามารถใช้เป็นต้นแบบในการดำรงชีวิตและการทำงาน ให้สมกับที่เป็นเสาหลัก เป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาสังคมและประเทศชาติ

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
//////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

ทำไมต้องหลีกทางให้ รถพยาบาลฉุกเฉิน !!??

ในสถานการณ์ของความเป็นกับความตายบนรถพยาบาลฉุกเฉิน เวลาทุกวินาทีเป็นสิ่งสำคัญที่จะเป็นเครื่องชี้ชะตาว่าผู้ป่วยฉุกเฉินจะมีโอการรอดชีวิตต่อไปหรือไม่ ดังนั้นการนำผู้ป่วยฉุกเฉินส่งโรงพยาบาลโดยเร็วจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ผู้ปฏิบัติการทางการแพทย์ฉุกเฉินทุกคนตระหนักถึง แต่ด้วยบางครั้งสภาพการจราจรติดขัดส่งผลให้หลายชีวิตพลาดโอกาสรอดชีวิต หรือบางครั้งบางคราวความเร่งรีบของรถพยาบาลได้ไปสร้างความไม่พอใจให้กับใครหลายๆ คน ดังเช่นเหตุการณ์ความวุ่นวายที่เคยเกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ จนเป็นเหตุทำให้รถพยาบาลฉุกเฉินที่กำลังช่วยเหลือผู้ป่วยฉุกเฉินถูกตามไล่ยิง ดังนั้นถึงเวลาหรือยังที่สังคมไทยจะร่วมกันสร้างจิตสำนึกในการ “หลีกทางให้รถพยาบาล”

นายต่อพงษ์ ส่งศรีโรจน์ ผู้จัดการหน่วยกู้ชีพหงส์แดง กรุงเทพมหานคร หนึ่งในทีมกู้ชีพ ที่มีประสบการณ์การทำงานมากว่าสิบปี เล่าว่า ทุกครั้งที่นำรถพยาบาลออกเหตุเพื่อไปช่วยเหลือผู้ป่วยฉุกเฉินก็ล้วนแล้วแต่เป็นเหตุฉุกเฉินที่อาจส่งผลกระทบต่อผู้ป่วยฉุกเฉินทุกราย โดยเฉพาะการออกเหตุในกรุงเทพมหานครที่มีสภาวะการจราจรติดขัดยิ่งเป็นเรื่องสำคัญที่เราจะต้องเข้าไปช่วยผู้ป่วยฉุกเฉินให้เร็วที่สุด ซึ่งเคยมีอยู่ครั้งหนึ่งเคยได้ไปช่วยคุณยายที่ป่วยด้วยโรคหลอดเลือดหัวใจ และต้องได้รับการรักษาจากแพทย์โดยเร็ว แต่ขณะขับรถเข้าไปรับผู้ป่วยในช่วงที่ขับรถเข้าซอยมีรถจำนวนมากที่ไม่หลีกทางให้ จนเกือบทำให้ไปรับผู้ป่วยไม่ทัน นอกจากนี้ยังมีอีกหลายกรณีในลักษณะเดียวกัน ที่ประชาชนทั่วไปยังไม่เข้าใจในเรื่องการหลีกทางให้รถพยาบาลฉุกเฉิน

“หลายคนตั้งคำถามว่าการออกเหตุแต่ละครั้งมีผู้ป่วยฉุกเฉินจริงหรือไม่ที่อยู่บนรถพยาบาลนั้นๆ ผมขอยืนยันว่ามีผู้ป่วยจริง ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นผู้ป่วยร้ายแรง อาทิ โรคหัวใจ โรคความดันโลหิต โรคเบาหวาน อุบัติเหตุที่รุนแรง หรือไม่ก็เป็นรถฉุกเฉินที่กำลังเร่งไปรับผู้ป่วย ดังนั้นหากประชาชนทั่วไปได้ยินเสียงสัญญาณไซเรนขอทางจากรถพยาบาลฉุกเฉินควรหลีกทางให้ เพราะคุณไม่สามารถรู้ได้เลยว่าบนรถคันนั้นจะเป็นญาติพี่น้องคุณหรือไม่ และควรจะเป็นเรื่องที่เราปฏิบัติทันทีโดยไม่ต้องคิดว่ามีกฎหมายบังคับหรือไม่ แต่ควรปฏิบัติให้กลายเป็นจิตสำนึก”

นายต่อพงษ์ กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ประเด็นปัญหาหนึ่งที่พบบ่อยโดยเฉพาะในกรุงเทพมหานคร คือรถพยาบาลฉุกเฉินติดสัญญาณไฟแดง ดังนั้นหากมีการบูรณาการการทำงานร่วมกันกับเจ้าหน้าที่ตำรวจโดยการประสานให้มีการเปิดไฟเขียวเพื่อให้รถพยาบาลสามารถนำผู้ป่วยฉุกเฉินส่งโรงพยาบาลได้อย่างทันท่วงที ก็จะทำให้การช่วยเหลือผู้ป่วยเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นด้วย

ขณะที่ นพ.อนุชา เศรษฐเสถียร เลขาธิการสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.) กล่าวว่า ในส่วนของ สพฉ. ที่มีบทบาทหลักในการกำหนดมาตรฐานการช่วยเหลือผู้ป่วยฉุกเฉินให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ เห็นว่าเรื่องนี้ควรมีการรณรงค์อย่างจริงจังให้ประชาชนได้เห็นถึงความสำคัญของการหลีกทางให้รถพยาบาล เพราะการช่วยเหลือผู้ป่วยฉุกเฉินยิ่งใช้เวลาน้อยเท่าไหร่ก็จะเพิ่มโอกาสในการรอดชีวิตให้กับผู้ป่วยฉุกเฉินมากขึ้นเท่านั้น ซึ่งขณะนี้สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติได้เปิดขึ้นทะเบียนและตรวจสภาพรถพยาบาลและรถกู้ชีพเพื่อให้เป็นไปอย่างถูกต้อง โดยรถกู้ชีพที่จะผ่านมาตรฐานและหลักเกณฑ์ของระบบการแพทย์ฉุกเฉินนั้น จะต้องเป็นรถยนต์ตู้ หรือรถกระบะบรรทุกที่มีทะเบียนยานพาหนะถาวร มีหลังคาสูงเพียงพอที่จะทำการช่วยฟื้นคืนชีพ (CPR) ได้สะดวก ห้องคนขับและห้องพยาบาลแยกออกจากกันแต่สามารถสื่อสารกันได้ มีแสงสว่างเพียงพอที่จะทำหัตถการช่วยเหลือผู้ป่วยฉุกเฉิน ที่กระจกหลังต้องมีการติดข้อความชื่อหน่วยปฏิบัติการ หมายเลขโทรศัพท์ 1669 ด้านข้าง และช่วงหลังทั้งสองข้างต้องแสดงตราสัญลักษณ์ของ สพฉ.  ติดแถบสะท้อนแสงด้านข้างรถตลอดแนว ดังนั้นหากประชาชนทั่วไปสังเกตุเห็นรถพยาบาลในลักษณะดังกล่าวและกำลังเปิดสัญญาณไฟฉุกเฉินควรหลีกทางให้ เนื่องจากบนรถคันดังกล่าวมีผู้ป่วยฉุกเฉินหรือกำลังเร่งไปรับผู้ป่วยฉุกเฉิน

อย่างไรก็ตามสำหรับการทำงานของรถพยาบาลฉุกเฉินเป็นไปตามเงื่อนไขของพระราชบัญญัติการจราจรทางบกมาตรา 75 ซึ่งในขณะที่ผู้ขับขี่รถฉุกเฉินไปปฏิบัติหน้าที่ ผู้ขับขี่มีสิทธิดังนี้ ใช้ไฟสัญญาณแสงวับวาบ ใช้เสียงสัญญาณไซเรน หยุดรถหรือจอดรถ ในที่ห้ามจอดรถ ขับรถเกินอัตราความเร็วที่กำหนดไว้ ขับรถผ่านสัญญาณจราจรหรือเครื่องหมายจราจรใด ๆ ที่ให้รถหยุดแต่ต้อง ลดความเร็วของรถให้ช้าลงตามสมควรอย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะขับรถไปปฏิบัติหน้าที่โดยอาศัยสิทธิตามมาตรา 75 ก็ต้องใช้ความระมัดระวังตามควรแก่กรณีเพื่อไม่ให้เกิดอุบัติเหตุ เพราะถ้าเกิดอุบัติเหตุขึ้นโดยไม่ใช้ความระมัดระวังตามควรแก่กรณีแล้ว ผู้ขับขี่มีความผิดฐานขับรถโดยประมาทได้ด้วยเช่นกัน

ที่มา.ประชาไท
/////////////////////////////////////////////////////////////////

วันพุธที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

คอรัปชั่น VS เซ็กซ์ !!??

การคอรัปชั่นถือเป็นสนิมเหล็ก ที่บ่อนทำลายความเจริญของชาติบ้านเมือง องค์กร และทุก ๆ ที่ที่มีสิ่งนี้อยู่ เนื่องจากการทุจริตคอรัปชั่นเริ่มต้นมาจาก "ความขี้โกง" "ความเห็นแก่ตัว" "ความเอาเปรียบ" อีกทั้งยังลามไปถึง "ความโลภ" "ความเห็นแก่ได้" และ "ไร้จิตสำนึกสาธารณะ" อีกด้วย
   
ในอดีตที่ผ่านมา แม้จะมีการทุจริตคอรัปชั่นอยู่มาก แต่ก็ยังเป็นการพยายามหลบซ่อน และมีอยู่เพียงบางหน่วยงานเท่านั้น เนื่องจากผู้คนส่วนใหญ่ยังคงมีจริยธรรม ศีลธรรม และรังเกียจสนิมคอรัปชั่นกันอยู่มาก แต่เมื่อเวลาผ่านไป การทุจริตคอรัปชั่นกลับกลายเป็นเหมือนเรื่องที่ธรรมดามากขึ้นทุกที
   
สิ่งนี้เท่ากับสะท้อนจิตใจของผู้คนในสังคมที่ตกต่ำ จนถึงกับมีผลโพลสำรวจที่ออกมาว่า คนจำนวนมากที่เห็นว่าขอแค่เก่ง ถ้าอย่างนั้นโกงก็ไม่เป็นไร เท่ากับเป็นการยอมรับ หรือการจำยอมต่อการทุจริต เพียงเพื่อให้ได้ผลประโยชน์ตกแก่ตนบ้างก็พอ บ้างก็อ้างว่าที่ไหนบ้างไม่มีการทุจริต  การไม่ยอมรับ การไม่กินตามน้ำ การขัดขืน ก็จะกลายเป็นแกะดำ และอยู่ได้ยากในสังคมอันสกปรกเหล่านั้น
   
ด้วยเหตุนี้ การคอรัปชั่นจึงแพร่ลามราวกับเชื้อโรค แทรกซึมอยู่ในทุกองค์กร ตั้งแต่การเมือง ข้าราชการ หน่วยงานเอกชน องค์กรการกุศล องค์กรศาสนา แม้กระทั่งมีความพยายามที่จะแทรกซอนเข้าไปในองค์กรตุลาการอย่างที่เคยปรากฏเป็นข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์ให้ได้เห็น
   
เนื่องจากทุจริตคอรัปชั่น เป็นการตอบสนองต่อกิเลสด้านมืดของตน จึงถูกคิดค้นและสรรสร้างสารพัดรูปแบบวิธีขึ้นมา และรูปแบบที่อาจจะไม่ใหม่ แต่ถูกใช้แพร่หลายมากขึ้นในปัจจุบัน ก็คือการติดสินบน หรือการคอรัปชั่นด้วย "เซ็กซ์" หรือว่าเรื่องทางเพศนั่นเอง
   
การคอรัปชั่นด้วย "เซ็กซ์" ถือเป็นหนึ่งในความเลวร้ายของสังคม รวมถึงเป็นความผิดในหลายประเทศ เพราะหลายครั้งที่ปรากฏว่ามีการใช้เรื่องเพศ หรือการร่วมหลับนอน หรือส่งคนมาร่วมหลับนอน แล้วทำให้ผู้ที่มีอำนาจรัฐ หรือผู้ที่มีอำนาจในการให้ประโยชน์โดยทางมิชอบต่าง ๆ ใช้อำนาจในมือที่มีอยู่ ในการเอื้อประโยชน์ต่อผู้ส่งมอบมาปรนเปรอ ซึ่งอาจจะมีเงินด้วยหรือไม่ก็ตาม
   
อนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านทุจริต ได้ให้คำนิยามของคอรัปชั่นว่า "ผลประโยชน์ที่ไม่ถูกต้อง" ขณะที่หน่วยงานด้านตุลาการของญี่ปุ่น เยอรมนี ได้กำหนดนิยามว่า คอรัปชั่น คือการให้ผลประโยชน์ในสิ่งที่ทำให้คนพึงพอใจ ซึ่งนิยามเช่นนี้ ได้ทำให้ญี่ปุ่นทำการลงโทษในกรณีติดสินบนด้วย "เซ็กซ์" อยู่เสมอ
   
ส่วนในสหรัฐฯ แม้ว่าจะยอมรับเรื่องการใช้ "เซ็กซ์" เพื่อคอรัปชั่น แต่กรณีที่ถูกตัดสินออกมา กลับมีน้อยมาก และมักจะเป็นในกรณีที่ข่าวฉาวออกมา จนทำให้เกิดความอับอายหรือเสียหายต่อองค์กร จนต้องลาออกจากตำแหน่งมากกว่า ซึ่งแน่นอนว่า ในกรณีนี้ เท่ากับมองข้ามความร้ายแรง และยังไม่ถึงขั้นลงโทษต่อกรณีที่ใช้เซ็กซ์เพื่อการคอรัปชั่นอย่างจริงจัง
   
แต่สำหรับประเทศจีน เรื่อง "เซ็กซ์" นอกสมรสนั้น ถือเป็นเครื่องชูรสในการใช้ชีวิตของบรรดาเจ้าหน้าที่รัฐ หรือผู้ที่มีตำแหน่งระดับสูง โดยมักจะมีแนวความคิดที่ว่า ถ้าหากเรื่องคาวฉาวโฉ่เหล่านี้ไม่เป็นข่าว และไม่ถูกเปิดโปงจนเป็นเรื่องใหญ่ ก็ไม่ถือว่าเป็นปัญหา เห็นได้จากภาพข่าวที่ปรากฏให้เห็นกันอยู่บ่อยๆ ซึ่งเป็นการสะท้อนว่า จากสิ่งที่ไม่เป็นข่าว ในประเทศที่กว้างใหญ่ขนาดนี้นั้นจะมีมากเพียงไหน
   
ที่สำคัญคือ ข่าวเรื่องการที่เจ้าหน้าที่ระดับสูง (หรือต่ำ) ของจีน ไปมีเซ็กซ์นอกสมรส นั้นยังแบ่งเป็นการไปหาเศษหาเลยธรรมดา กับการที่ถูกส่งมาเป็นเสมือนเครื่องบรรณาการ เพื่อให้หยิบยื่นผลประโยชน์อะไรบางอย่างจากหน้าที่การงานที่ตนเองได้รับผิดชอบอยู่ พูดง่าย ๆ ก็คือการใช้เซ็กซ์เพื่อเป้าหมายในการหาประโยชน์อันมิชอบนั่นเอง
   
จากกรณีที่ปรากฏในจีน ส่วนใหญ่ที่เห็นจะแยกกรณีการลงโทษออกไป เช่น การถูกปลด มักจะมาจากเหตุผลที่ทำให้ตำแหน่ง หรือว่าพรรคเกิดความด่างพร้อย จากนั้นก็มักจะถูกลากไส้ ลงโทษในกรณีทุจริตอื่น ๆ ตามมา หรือหนักหน่อยที่มีหลักฐานการทุจริตร้ายแรง ก็ถึงขั้นประหารชีวิตเลยก็เคยมีปรากฏมาแล้ว
   
ฉะนั้น ประเด็นสำคัญจึงอยู่ที่ความผิดในการทุจริตคอรัปชั่น ไม่ใช่ว่าได้อะไรจากการคอรัปชั่น เพราะนั่นเท่ากับเป็นการอาศัยอำนาจของตนในการรับผลประโยชน์อันมิพึงได้ เมื่อใช้อำนาจไปในทางมิชอบ ย่อมเป็นการเบียดเบียนทรัพยากร หรือสิทธิของผู้อื่น
   
ในประเทศไทยซึ่งได้ขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองพุทธ ก็ควรจะยิ่งตระหนัก และให้ความสำคัญกับศีลธรรม และความถูกต้อง มิใช่เอาแต่ตามน้ำ คิดว่ามันมีอยู่เต็มไปหมดในสังคม จะเพิ่มเราอีกคนจะเป็นไรไป หรือต้องเลยตามเลยเพราะเกรงกลัวต่ออำนาจอิทธิพลในองค์กรที่ตนเองได้ทำงานอยู่
   
บ้างก็เลยเถิดไปถึงว่า ไหน ๆ ก็มีคนทำกันมากมาย เราจะติดสินบน รับสินบน หรือทุจริตอีกสักคนจะเป็นไร โดยหารู้ไม่ว่าเหตุผลทั้งหมดมันเริ่มต้นมาจากความโลภ และกิเลสของตนเอง และจะแพร่ลามไปถึงสังคมของเด็ก นักเรียน เรียกว่าโกงกันตั้งแต่ในโรงเรียนจนถึงการบริหารประเทศเลยทีเดียว
   
แม้ว่าสังคมทุกวันนี้ จะถูกตราหน้าว่าเป็นสังคมที่ "คนดีอยู่ยาก" และมีตัวอย่างหลายกรณี ที่คนดี คนที่ยืนหยัดต่อต้านคอรัปชั่น ความทุจริต การโกงกิน กลับถูกเล่นงาน กลั่นแกล้ง จากองค์กร หน่วยงาน หรือแม้แต่ภาครัฐ แต่นั่นกลับยิ่งเป็นเครื่องหมายยืนยันถึงความเข้มแข็งในจิตใจ ที่ไม่ยอมแพ้ให้ความกิเลสฝ่ายต่ำในใจตน
   
ในประเทศไทย แม้ว่าน่าจะมีการนำเรื่องเซ็กซ์มาประกอบการทุจริตอย่างแพร่หลาย แต่ก็ไม่ได้ปรากฏเป็นข่าวมากนัก แต่ก็อย่างที่บอกว่าประเด็นสำคัญไม่ได้อยู่ที่ว่าใช้เงิน หรือใช้เซ็กซ์ แต่อยู่ที่จิตใจใฝ่ต่ำที่ยอมแพ้ให้กับกิเลส เท่ากับขายจิตสำนึกและจิตวิญญาณของความเป็นคนให้กับความโลภและตัณหาไปแล้ว
   
วันนี้ของปิดท้ายด้วยวจนะของบรมครูจอมปราชญ์แห่งจีนอย่างขงจื่อที่ว่า "สัตบุรุษแม้ปรารถนาในทรัพย์ แต่ก็ต้องได้มาอย่างถูกทำนองคลองธรรม"

ที่มา.สยามรัฐ
//////////////////////////////////////////////////////////////////////

มาลาลา ยูซัฟไฟ เด็กหญิง วัย 16 ปี ผู้เด็ดเดี่ยว !!??

คํากล่าวสุนทรพจน์ที่เปี่ยมไปด้วยความเด็ดเดี่ยว มุ่งมั่นและทรงพลังยิ่งของมาลาลา ยูซัฟไซ เด็กหญิงชาวปากีสถาน วัยเพียง 16 ปี บนเวทีสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ที่ได้รับการลุกขึ้นยืนปรบมือให้พร้อมกันเสียงดังกึกก้องจากผู้เข้าร่วมฟังการกล่าวสุนทรพจน์ดังกล่าว นั่นย่อมสะท้อนให้เห็นว่าเด็กหญิงตัวเล็กๆ ผู้นี้ได้รับการยอมรับชื่นชมจากผู้คนบนเวทีโลกเยี่ยงไร

สุนทรพจน์ของมาลาลาในวันนั้นเน้นย้ำให้เห็นจุดยืนในแนวทางของเธอที่จะใช้การศึกษาเป็นอาวุธในการทำสงครามต่อสู้กับการไม่รู้หนังสือและความรุนแรงจากการก่อการร้ายที่เคยมุ่งหมายเอาชีวิตของเธอมาแล้ว

"ผู้ก่อการร้ายคิดว่าพวกเขาจะเปลี่ยนเป้าหมายและความมุ่งมาดปรารถนาของฉันได้ แต่ไม่มีอะไรในชีวิตฉันที่เปลี่ยนไปยกเว้นความอ่อนแอ ความหวาดกลัว และความสิ้นหวังที่ดับดิ้นไป แต่ความเข้มแข็ง พละกำลังและความกล้าหาญกลับก่อเกิดขึ้นมาแทน"

มาลาลากล่าวถึงเหตุการณ์ในวันนั้นเมื่อปีที่แล้ววันที่เธอถูกมือปืนทาลิบันยิงโจมตีบนรถนักเรียนขณะเธอกำลังจะกลับบ้านในหุบเขาสวาทเขตปกครองที่ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของปากีสถานติดกับพรมแดนอัฟกานิสถานที่เป็นฐานที่มั่นของกลุ่มติดอาวุธทาลิบัน

กระสุนนัดหนึ่งเจาะฝังเข้าที่ศีรษะของมาลาลาอาการของเธอสาหัสเป็นตายเท่ากันร่างของเธอถูกส่งไปผ่าตัดเอากระสุนออกที่โรงพยาบาลทหารปากีสถานในเบื้องต้น

ก่อนที่เธอจะถูกส่งตัวไปเข้ารับการผ่าตัดอีกหลายครั้งที่โรงพยาบาลในอังกฤษและพักฟื้นอยู่ที่นั่นจนอาการดีขึ้น



สาเหตุที่ทำให้มาลาลาตกเป็นเป้าสังหารของกลุ่มทาลิบันถูกระบุว่าเป็นเพราะการลุกขึ้นมาเคลื่อนไหวของมาลาลาในการต่อสู้เรียกร้องสิทธิทางการศึกษาให้แก่เด็กผู้หญิงในปากีสถานที่ถูกลิดรอนย่ำยีนั่นเป็นการท้าทายกลุ่มติดอาวุธทาลิบันที่มีอิทธิพลควบคุมอยู่ในพื้นที่นั้นซึ่งไม่ต้องการให้เด็กผู้หญิงได้มีการศึกษาจึงได้ใช้กำลังโจมตีทำลายโรงเรียนหญิงล้วนหลายแห่งในพื้นที่ดังกล่าว

ทำให้มาลาลาต้องลุกขึ้นมาต่อสู้โดยผ่านงานเขียนที่เป็นบันทึกชีวิตประจำวันของเธอเกี่ยวกับ"ชีวิตภายใต้อิทธิพลครอบงำของกลุ่มทาลิบัน"โดยมีสำนักข่าวบีบีซีของอังกฤษเป็นผู้นำออกเผยแพร่เป็นภาษาอุรดูในช่วงตั้งแต่เดือนมกราคมถึงมีนาคมปี 2552

นั่นทำให้โลกได้ตระหนักรับรู้ถึงการต่อสู้อันยิ่งใหญ่ของเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ อย่างมาลาลา และทำให้เธออยู่ในความสนใจของโลกนับแต่นั้น

"หนังสือและปากกาเป็นอาวุธที่ทรงพลานุภาพที่สุดของเรา เด็กหนึ่งคน ครูหนึ่งคน หนังสือเล่มหนึ่งและปากกาด้ามหนึ่งสามารถเปลี่ยนโลกได้ การศึกษาเป็นหนทางเดียวที่จะแก้ปัญหา" นั่นเป็นอีกถ้อยความในสุนทรพจน์ของมาลาลาที่แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการที่จะใช้การศึกษาเป็นอาวุธในการแก้ปัญหาต่างๆแทนที่จะใช้ความรุนแรง

ซึ่งรวมถึงการติดอาวุธทางการศึกษาให้แก่ลูกหลานของกลุ่มทาลิบันกลุ่มผู้ก่อการร้ายและกลุ่มหัวรุนแรงต่างๆ ไม่ว่าพวกเขาจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย

เสียงเรียกร้องของมาลาลาได้รับการขานรับเป็นอย่างดีจากยูเอ็นที่ถือเอาฤกษ์วันที่12กรกฎาคมที่ผ่านมา ซึ่งตรงกับวันคล้ายวันเกิดครบอายุ 16 ปีของมาลาลาพอดี ประกาศให้เป็น "วันมาลาลา" หรือวันเพื่อการศึกษาของเด็กทั่วโลก

โดยตั้งเป้าหมายให้เด็กทุกคนในโลกทั้งหญิงและชายได้เข้าถึงการศึกษาอย่างทั่วถึงภายในปี2558ทั้งนี้ จากข้อมูลในปัจจุบันที่องค์การศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก) และองค์การพิทักษ์เด็กที่เผยแพร่ก่อนหน้านี้ชี้ให้เห็นถึงปัญหาด้านการศึกษาของเด็กทั่วโลกว่า มีเด็กมากถึง 95 เปอร์เซ็นต์จากจำนวนเด็ก 28.5 ล้านคนทั่วโลกที่ไม่ได้รับการศึกษาในภาคบังคับคือระดับประถมศึกษา โดยอยู่ในครอบครัวที่มีรายได้ต่ำถึงต่ำปานกลางในประเทศต่างๆ

ในจำนวนนี้ 44 เปอร์เซ็นต์อยู่ในภูมิภาคซับ-ซาฮารา ทวีปแอฟริกา, 19 เปอร์เซ็นต์อยู่ในภูมิภาคเอเชียใต้และเอเชียตะวันตก และอีก 14 เปอร์เซ็นต์อยู่ในประเทศอาหรับ

เป็นที่น่าคิดว่าการเคลื่อนไหวต่อสู้อย่างหาญกล้าของมาลาลาได้รับเสียงชื่นชมยกย่องจากคนทั่วโลกจนถึงขั้นมีชื่อของเธออยู่ในรายนามที่จะได้รับการพิจารณาให้ได้รับรางวัลโนเบล

แต่ในดินแดนมาตุภูมิของมาลาลาเองกลับแสดงปฏิกิริยาได้อย่างน่าผิดหวังโดยมีชาวปากีสถานเพียงกลุ่มเล็กๆที่ชื่นชมกับความกล้าหาญของเธอที่ลุกขึ้นมาต่อสู้เรียกร้องสิทธิให้กับเด็กและสตรีในปากีสถาน

แต่คนส่วนใหญ่กลับตั้งข้อกังขาในตัวเธอบ้างกล่าวหาว่าการกล่าวสุนทรพจน์ของมาลาลาบนเวทียูเอ็นเป็นการแสดงละครแค่ฉากหนึ่ง

ขณะที่ยังมีกลุ่มคนที่ไพล่คิดไปถึงขั้นว่ามาลาลาอาจเป็นเจ้าหน้าที่ซีไอเอที่สหรัฐอเมริกาใช้เป็นเครื่องมือมาทำลายประเทศชาติและยังมีการตั้งทฤษฎีสมคบคิดสุดเหลือเชื่อเกี่ยวกับตัวมาลาลาไปต่างๆนานา

เช่นว่าการที่เธอถูกยิงโจมตีเป็นการจัดฉากเพื่อที่ตัวเธอเองจะได้พาสปอร์ตอังกฤษเพื่อจะได้หนีออกไปจากปากีสถาน

แต่เชื่อว่าไม่ว่าท่าทีของคนในชาติจะเป็นอย่างไรหรือเธอจะต้องเผชิญกับอุปสรรคหนักหนาแค่ไหนคงจะไม่สามารถสั่นคลอนเจตนารมณ์อันแน่วแน่ของเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ผู้มีหัวใจอันแข็งแกร่งผู้นี้ที่จะกลับไปต่อสู้เพื่อให้เด็กๆ ได้เข้าถึงการศึกษาอย่างเท่าเทียมกันถ้วนทั่วทุกคนได้

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
//////////////////////////////////////////////////////////////////////

4ปี กับภารกิจฟื้นเชื่อมั่น กบข. !!??

เปิดใจ โสภาวดี เลิศมนัสชัย เลขาธิการ กบข. 4 ปี กับภารกิจปรับภาพลักษณ์-ผลักดันองค์กรให้มีความโปร่งใสเข้าใจสมาชิก

โสภาวดี เลิศมนัสชัย เลขาธิการกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) ซึ่งกำลังจะหมดวาระงานในช่วงเดือนธ.ค.2556 เปิดใจกับ "กรุงเทพธุรกิจ" หลังครบวาระ 4 ปี ว่า ภารกิจเร่งด่วนที่สุด ที่ตั้งเป้าไว้หลังการตัดสินใจเข้ารับตำแหน่งเลขาธิการกบข.เมื่อปี 2553 อย่างแรกคือ ปรับภาพลักษณ์ กบข.ให้เป็นองค์กรแห่งธรรมาภิบาล ที่สมาชิกมีความเชื่อมั่นและไว้วางใจรวมถึงสังคมทั่วไป มอง กบข. เป็นองค์กรต้นแบบแห่งธรรมาภิบาล

แนวทางการทำงานเพื่อให้บรรลุเป้าหมายนั้น โสภาวดี กล่าวว่า จะต้องทำงานโดยแยกเป็นภารกิจภายในและภารกิจภายนอก

ในส่วนภารกิจภายในได้มีการประกาศนโยบายชัดเจน ว่าพนักงานและผู้บริหารทุกคนต้องยึดหลักธรรมาภิบาลอย่างเคร่งครัด ผู้บริหารและพนักงานที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนห้ามซื้อขายหุ้นโดยเด็ดขาด การดำเนินงานใดๆ ต่อไปนี้ต้องยึดแนวนโยบายที่ชัดเจนว่า ผลประโยชน์สมาชิกต้องมาก่อน

ขณะเดียวกันการตัดสินใจการลงทุนใดๆ ต้องมีการศึกษาให้รอบคอบ วิเคราะห์โอกาส และความเสี่ยงให้ดี พร้อมทั้งปรับแผนการลงทุนให้เหมาะสมและสอดคล้องกับสถานการณ์ต่างๆ อยู่เสมอ

นอกจากนี้ ต้องหาช่องทางการลงทุนในสินทรัพย์ใหม่ๆ ให้มากขึ้นเพื่อกระจายความเสี่ยง รักษาสมดุลของเป้าหมาย ผลตอบแทนระยะยาวกับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ เพื่อสร้างผลตอบแทนที่มั่นคงในระยะยาวให้กับสมาชิก

ในส่วนภารกิจภายนอกนั้น จะส่งเสริมการนำหลักการเป็นองค์กรแห่งธรรมาภิบาลที่ดี เข้ามาอยู่ในกระบวนการทำงานและบริหารกิจการ โดยจะยึดหลักในธรรมาภิบาล จรรยาบรรณและหลักปฏิบัติ ที่เกี่ยวข้องทั้งตัวองค์กรและพนักงานในทุกระดับชั้น รวมทั้งการแสดงออกซึ่งสิทธิขั้นพื้นฐานทั้งในฐานะนักลงทุนสถาบันหลักของประเทศ และในฐานะผู้ถือหุ้นในบริษัทที่กบข.ร่วมลงทุน เพื่อเป็นแบบอย่างที่ดีแก่นักลงทุน การดำเนินการโดยยึดหลักการดังกล่าวข้างต้น จะเป็นแรงผลักดันให้เกิดธรรมาภิบาลในบริษัทจดทะเบียนต่างๆ

"อย่างแรกตอนที่เริ่มมาทำงานที่ กบข. คือการสร้างความเชื่อมั่นให้กับสมาชิกของ กบข.ทุกคน เนื่องจากภาพลักษณ์ที่ผ่านมาของ กบข.ดูจะไม่ดีเท่าไรในสายตาของสมาชิก เราต้องเร่งดึงความไว้ใจจากสมาชิกคืน โดยการสั่งห้ามพนักงานที่เกี่ยวข้องกับการลงทุน ห้ามซื้อขายหุ้น และวางเป้าเป็นองค์กรแห่งธรรมาภิบาล เพราะการที่เราจะสร้างให้กบข.เป็นองค์กรขนาดใหญ่ที่มีความน่าเชื่อถือ เราต้องสร้างความน่าเชื่อถือและความโปร่งใสจากตัวพนักงานก่อน"

ในวันนี้ สิ่งที่เห็นได้ชัดเจนมากที่สุด คือภาพลักษณ์ของกบข.ที่โปร่งใส ใส่ใจเงินออมของสมาชิกมากขึ้น โดยได้ปรับแผนการลงทุนของกบข.จากแผนเดิมที่มีอยู่และใช้มานาน มาเป็นแผนการลงทุนตามทางเลือกของแต่ละบุคคล ตามความต้องการและตามความเสี่ยงของแต่ละบุคคล

โสภาวดี บอกว่า ในปีแรกที่เริ่มทำงาน นอกจากจะปรับแผนเพื่อล้างภาพลักษณ์เดิมๆ แล้ว ได้มีการปรับโครงสร้างผู้เก็บรักษาทรัพย์สินในประเทศและต่างประเทศใหม่ รวมถึงการปรับโครงสร้างการลงทุนต่างประเทศโดยจ้างผู้จัดการลงทุนต่างประเทศได้โดยตรงแทนการซื้อหน่วยลงทุน พร้อมเดินหน้าแผนการลงทุน 4 แผนตามความต้องการของสมาชิก ซึ่งแต่ละคนคาดหวังผลตอบแทนแตกต่างกัน ขึ้นกับความเสี่ยงของแต่ละคนที่สามารถยอมรับได้

ขณะที่ปี 2554 กบข.ได้ลดสัดส่วนการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงลงจาก 19% เหลือ 16% เพิ่มการลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์ และเริ่มใช้แผนจัดสรรเงินลงทุนระยะยาวตั้งแต่ปี 2554 - 2556 ส่วนในปี 2555 กบข.ได้ริเริ่มแผนการลงทุนล่าสุด คือ แผนสมดุลตามอายุ บริหารเงินทุนและปรับลดความเสี่ยงโดยอัตโนมัติจนสมาชิกเกษียณอายุ เป็นรูปแบบของการลงทุนที่เน้นความเพียงพอของการออม เพื่อใช้จ่ายหลังเกษียณอายุเป็นหลัก โดยมีระดับผลตอบแทนและความเสี่ยงผันแปรไปตามอายุ เพื่อให้เกิดความสมดุลของระยะเวลาการลงทุน ตลอดช่วงอายุของสมาชิก

"แผนแต่ละแผนเราคัดสรรมา เพื่อเป็นทางเลือกให้กับสมาชิก แล้วแต่ว่าแต่ละคนจะรับความเสี่ยงได้แบบไหน และต้องการผลตอบแทนสูงเท่าใด แม้ว่าในปัจจุบันสมาชิกยังเลือกการลงทุนแบบเดิมอยู่ แต่เชื่อว่าในอนาคตก็จะเพิ่มมากขึ้น ซึ่งคงต้องฝากเรื่องนี้ให้เลขาธิการกบข.คนใหม่ เดินหน้าต่อด้วย เพราะถือว่าเป็นทางเลือกที่ดีกับสมาชิก"

ส่วนการสรรหาเลขาธิการกบข.คนใหม่นั้น เชื่อว่าจะเริ่มกระบวนการสรรหาเร็วๆนี้ เพราะตอนนี้เริ่มมีการตั้งคณะกรรมการสรรหาแล้ว ซึ่งส่วนตัวต้องการให้การสรรหาเสร็จสิ้นก่อนสิ้นปีนี้ที่จะหมดวาระ เพราะอยากมีเวลาในการมอบหมายงานให้กับเลขาธิการคนใหม่ ไม่อยากเว้นเป็นภาวะสุญญากาศในการทำงาน

"ใจพี่อยากให้มีการสรรหาเร็วๆ ซึ่งตอนนี้ก็เริ่มตั้งกรรมการสรรหาแล้ว อยากให้กระบวนการสรรหาแล้วเสร็จก่อนสิ้นปี เพราะพี่อยากมีเวลาส่งมอบงาน อยากบอก อยากเล่าการทำงานที่ผ่านมา ให้คนใหม่ได้สานต่อ ไม่อยากให้มาเป็นสุญญากาศ แล้วให้พี่มานั่งรักษาการแล้วก็ไป ไม่ได้มอบหมายงานอะไรเลย"

โสภาวดี ให้ความเห็นว่า เลขาธิการกบข. คนใหม่ ควรเป็นผู้มีความรู้ความสามารถ เข้าใจด้านการเงินการลงทุน และควรเป็นบุคคลที่อยู่ในแวดวงการเงินการลงทุน เพราะกบข.ต้องบริหารเงินของสมาชิก หากผู้บริหารไม่เข้าใจในเรื่องนี้เลย ก็จะเป็นอุปสรรคต่อการทำงาน ประกอบกับควรเป็นผู้ที่สนใจที่จะทำงานที่ท้าทาย เป็นที่ยอมรับของสังคม ซื่อสัตย์ สุจริต และไม่มีประวัติด่างพร้อย

"คนที่จะมาเป็นเลขาธิการกบข.ต้องไม่มีประวัติด่างพร้อย ต้องเป็นคนที่ซื่อสัตย์ สุจริต เป็นที่ยอมรับของสังคม พี่อยากให้คนใหม่สานต่องานต่างๆ ที่เราวางไว้ อาจจะมีการปรับการเปลี่ยนแปลงบ้างก็เป็นอำนาจหน้าที่ของเขาที่จะทำได้ แต่ก็อยากฝากให้ดูแผนงานที่เราวางไว้ด้วย" โสภาวดีกล่าวปิดท้าย

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
//////////////////////////////////////////////////////////////////

วันอังคารที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ฮิตเลอร์ ที่ไม่เกี่ยวกับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย !!??

โดย : นิธิ เอียวศรีวงศ์

ประกาศไว้ก่อนเลยครับว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับจุฬาฯ เพราะจุฬาฯ ได้รับสารภาพไปแล้วว่าตัวรู้เท่าไม่ถึงการณ์ และไร้เดียงสา หากจะเกี่ยวข้องบ้างก็คงเป็นองค์กรต่างๆ ที่ชอบประเมินอันดับมหาวิทยาลัย เพราะจุฬาฯ ถูกประเมินเป็นมหาวิทยาลัยอันดับต้นๆ แห่งหนึ่งของไทย

มันจึงเจ็บปวดมากหน่อย

ผมเพียงแต่ไม่อยากเห็นสังคมไทยเดือดเนื้อร้อนใจกับการประท้วงของสมาคมยิวในสหรัฐเกี่ยวกับฮิตเลอร์มากเกินไปเพราะผมคิดว่าฮิตเลอร์กลายเป็นบุคคลที่ถูกบังคับลืมอย่างไร้เหตุผล และในระยะยาวอาจเป็นอันตรายต่อสังคมที่ลืมเขาเสียด้วย

ผู้สำเร็จการศึกษาระดับสูงจากเยอรมนีบอกผมว่าในเยอรมนีเองก็มีกฎหมายอาญาห้ามแสดงสัญลักษณ์นาซีหรือยกย่องสรรเสริญฮิตเลอร์ (ห้ามอะไรบ้างผมอาจจำผิด เอาเป็นว่าห้ามในสิ่งที่ผมไม่เห็นว่าน่าจะห้าม) เป็นกฎหมายอาญาก็หมายความว่าใครฝ่าฝืนทำก็จะมีโทษ

แล้วก็มีสมาคมยิวในสหรัฐ ที่คอยประท้วงคนทั้งโลก ถ้าใครเอ่ยเรื่องฮิตเลอร์ หรือแสดงเครื่องหมายสวัสดิกะ

ในกรณีเยอรมนีนั้นผมพอจะเข้าใจได้ หลังสงคราม เยอรมนีต้องแสดงให้คนอื่น โดยเฉพาะเพื่อนบ้านที่ตัวเคยไปรุกรานไว้มั่นใจว่า เยอรมนีจะไม่หวนคืนกลับไปเป็นอาณาจักรไรซ์ใหม่อีกแล้ว ส่วนกรณีสมาคมยิวในสหรัฐ ก็คงมีเหตุผลอะไรในสังคมยิวอเมริกันที่ทำให้เขาต้องกระตือรือร้นคอยขัดขวางความทรงจำของคนอื่นเกี่ยวกับฮิตเลอร์

ในเมืองไทยนั้นเสรีภาพการแสดงออกถูกขัดขวางมากและบ่อยเสียจน ผมไม่อยากเห็นการเพิ่มประเด็นห้ามโน่นห้ามนี่เข้าไปอีก แค่นี้ก็ถึงคอหอยแล้วนะครับ

ผมไม่ปฏิเสธว่า ฮิตเลอร์เป็นคนไม่ดี อย่างเดียวกับพระเทวทัตก็เป็นคนไม่ดี นายพลปิโนเชต์ก็ไม่ดี โรเบสปิแอร์ก็ไม่ดี นโปเลียนก็ไม่ดี แต่เอ๊ะเดี๋ยวก่อน หากไม่มีกฎหมายและศาสนาบังคับไว้ จะว่าคนเหล่านี้ไม่ดี คงมีคนเถียงอยู่ไม่น้อย ไม่ได้เถียงว่าเขาดีนะครับ แต่เถียงว่าในท่ามกลางสิ่งไม่ดีที่เขาทำไว้นั้น บางเรื่องเป็นรากฐานของรัฐชาติในปัจจุบัน บางเรื่องเป็นประโยชน์แก่คนส่วนใหญ่ โดยผู้ทำเองไม่ได้ตั้งใจ

ที่สำคัญกว่านั้นก็คือ มีเหตุผลบางอย่างในประวัติศาสตร์ที่ทำให้สิ่งไม่ดีที่เขาทำนั้น เป็นผลรวมจากเงื่อนไขอื่นๆ อีกหลายอย่างมากกว่าการตัดสินใจทำของเขาคนเดียว ผมขอยกตัวอย่างนโปเลียนซึ่งเที่ยวรุกรานไปทั่วยุโรป จนทำให้เกิดยุคแห่งสงครามนองเลือดที่น่าเศร้ายุคหนึ่งในประวัติศาสตร์ยุโรป แต่ความเป็นศัตรูระหว่างมหาอำนาจอื่นในยุโรปต่อการปฏิวัติฝรั่งเศส นโปเลียนไม่ได้ก่อขึ้น จะมีหรือไม่มีนโปเลียน ประเทศราชาธิปไตยต่างๆ (ไม่รวมอังกฤษ แต่รวมอังกฤษ) ก็พยายามทำสงครามโค่นล้มฝรั่งเศสที่ปฏิวัติลงให้ได้

ยิ่งกว่านี้ ผู้นำฝรั่งเศสหลังปฏิวัติ ไม่ว่าจะเป็นโปเลียนหรือใครก็ตาม ย่อมรู้สึกเหมือนกันว่าฝรั่งเศสได้ค้นพบระบอบปกครองที่ยุติความอยุติธรรมลงได้อย่างสิ้นเชิง ซึ่งประเทศอื่นน่าจะนำไปใช้ นี่คิดแบบบริสุทธิ์ใจนะครับ คนที่คิดว่าระบอบประชาธิปไตยเป็นเครื่องมืออย่างดีในการขยายอำนาจของฝรั่งเศส หรือแม้แต่ขยายอำนาจของตนเอง ก็มีอีกแยะ และน่าจะแยะกว่าพวกที่คิดเชิงอุดมการณ์บริสุทธิ์ด้วยซ้ำ

นโปเลียนก็อาจเป็นหนึ่งในคนที่คิดอย่างนั้นแต่แม้ไม่มีนโปเลียน โบนาปาร์ต ก็คงมีใครอีกสักคนที่พบว่า ประชาธิปไตยของรัฐชาติทำให้สามารถเกณฑ์ทัพได้จากมวลชน สร้างกองทัพประจำการแบบใหม่ที่มีฐานจากมวลชนขึ้นมา ถึงรบไม่เก่งเท่านโปเลียนก็คงปราบกองทัพโบราณของปรัสเซียและออสเตรียลงได้ไม่ยาก และก็อาจเผลอใจว่าจะปราบรัสเซียได้เหมือนนโปเลียนด้วย

ผมเล่าเรื่องนี้เพื่อชวนตั้งคำถามว่า ความดี-ความชั่วของบุคคลในประวัติศาสตร์นั้น เป็นผลผลิตของบุคคลผู้นั้น หรือของประวัติศาสตร์กันแน่

ตอบแบบไทยๆ คือไม่เอากับข้างไหนฝ่ายเดียว แต่ขอเลือกเส้นกลางๆ ไว้ก่อนก็คือ เป็นทั้งสองอย่าง ประวัติศาสตร์ก็มีส่วนผลิตความชั่วนั้นขึ้นมา เท่าๆ กับคนเลวก็ผลิตขึ้นมาด้วย เพียงเท่านี้ฮิตเลอร์ก็รับผิดชอบต่อการกระทำของเขาเพียงครึ่งเดียวแล้ว (ครึ่งนี่แบ่งกันแบบง่ายๆ นะครับ อาจเกินครึ่งหรือน้อยกว่าครึ่งก็ว่ากันไปเป็นเรื่องๆ)

ด้วยเหตุดังนั้นผมจึงอยากชวนตั้งคำถามต่อไปว่าหากฮิตเลอร์เกิดใหม่ จะสามารถทำให้เยอรมนีในปัจจุบันสถาปนาอาณาจักรไรซ์ขึ้นมาใหม่ได้หรือไม่ ผมคิดว่าไม่ได้ เพราะขาดเงื่อนไขทางเศรษฐกิจ-สังคม-การเมืองบางอย่าง ที่ทำให้คนเยอรมันพร้อมจะกลายเป็นมวลชนเซื่องๆ ของฮิตเลอร์ หรือยิ่งไปกว่านั้น หากฮิตเลอร์เกิดเป็นคนอังกฤษ, ฝรั่งเศส, อเมริกัน, ไทย, จีน ฯลฯ จะสามารถเปลี่ยนรัฐเหล่านั้นไปสู่เผด็จการเบ็ดเสร็จได้สมบูรณ์อย่างที่ทำในเยอรมนีช่วงนั้นได้หรือไม่ ผมคิดว่าก็ไม่ได้อีก ด้วยเหตุผลเดียวกัน

ฮิตเลอร์เป็นคนชั่วแน่ แต่ไม่มีประโยชน์ที่จะเข้าใจอดีตเพียงการตัดสินคนในประวัติศาสตร์ว่าดีหรือชั่ว เพราะไม่ทำให้เราเข้าใจได้ถ่องแท้เลยว่า สิ่งที่เกิดขึ้นไปแล้วนั้น เกิดขึ้นได้ภายใต้เงื่อนไขทางสังคม, วัฒนธรรม, เศรษฐกิจ และการเมืองอย่างไร ได้แต่นั่งท่องจำรายชื่อคนดีคนชั่วไว้ฉลองกัน กลายเป็นพิธีกรรมของชาดกแห่งชาติ

ถ้ามองฮิตเลอร์ในฐานะปรากฏการณ์ เขาพัฒนาระบอบเผด็จการเบ็ดเสร็จได้สมบูรณ์แบบ ยิ่งกว่ามุสโสลินีในอิตาลี และยิ่งกว่าสตาลินในโซเวียตเสียอีก เผด็จการเบ็ดเสร็จเป็นปรากฏการณ์ซึ่งเกิดขึ้นหลังประมาณทศวรรษ 1930 เป็นระบอบและเป็นสังคมที่ไม่มีใครรู้จักมาก่อน เพราะเผด็จการเบ็ดเสร็จไม่ได้เพียงแต่ยึดอำนาจรัฐไว้เฉยๆ หากเป็นระบอบที่พยายามจะเปลี่ยนทั้งธรรมชาติของรัฐและคนในรัฐ ด้วยการทำให้มวลชนยินยอมพร้อมใจอย่างเต็มที่ (ด้วยการปลุกระดมอย่างเข้มข้นบวกกับการทำให้กลัว... ที่น่าสนใจคือไม่ใช่กลัวอำนาจรัฐนะครับ แต่กลัวเพื่อนไม่คบ กลัวเพื่อนบ้านรายงาน กลัวถูกออกจากงาน ฯลฯ กลัวตัวเองแหละครับ)

เผด็จการเบ็ดเสร็จตายจากเราไปเรียบร้อยแล้ว หรือยังอยู่ใกล้ๆ ตัวเรานี่เอง ถ้าดูจากความพยายามหรือความผันผวนในหลายประเทศทั่วโลก ก็จำเป็นต้องกล่าวว่า มันยังไม่ได้ไปไหนไกล หลายเงื่อนไขที่เกิดขึ้นแม้ในเมืองไทยเราเอง ก็อาจนำไปสู่เผด็จการเบ็ดเสร็จหรือเงาของมันได้ อย่างเช่นเมื่อคุณพงษ์พัฒน์ วชิรบรรจง พูดว่า แผ่นดินนี้เป็นของพ่อ ใครไม่รักพ่อก็ออกไปจากแผ่นดินนี้ ผู้คนปรบมือกันเกรียว สื่อกระแสหลักรายงาน โดยไม่มีใครวิพากษ์วิจารณ์แสดงความเห็นเป็นอื่น ถ้าทุกคนเห็นด้วยกับคุณพงษ์พัฒน์อย่างนั้นจริง ก็ไม่เป็นไรหรอกครับ แต่ผมไม่เชื่อว่าคนพร้อมเพรียงกันเห็นด้วยเช่นนั้น เพียงแต่ว่าส่วนใหญ่ของคนที่ไม่เห็นด้วยกลัวตัวเองเกินกว่าจะเปล่งเสียงอะไรได้ บรรยากาศของการทำให้ผู้คนกลัวตัวเองจะกลายเป็น "อื่น" ในสังคมนี่แหละครับ เป็นเงื่อนไขสำคัญที่ทำให้เกิดเผด็จการเบ็ดเสร็จหรือเงาของมันได้ดี

และด้วยเหตุดังนั้น ฮิตเลอร์และนาซีจึงเป็นสิ่งที่ควรใส่ใจ ควรศึกษา เพื่อธำรงรักษาสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานของมนุษย์เอาไว้ จะใส่ใจศึกษาได้ก็ต้องไม่ตกอยู่ใต้กระบวนการบังคับลืม การแสดงภาพฮิตเลอร์และนาซีอย่าง "รู้เท่าไม่ถึงการณ์และไร้เดียงสา" ที่นักเรียนไทยตั้งแต่ระดับมัธยมถึงมหาวิทยาลัยกระทำนั้น คือผลของกระบวนการบังคับลืมไม่ใช่หรือ

ยิวและยิปซีคือเหยื่อ ปัญหาคือเหยื่อของใคร? เรามักคิดว่าเป็นเหยื่อของนาซี แต่ที่จริงแล้วก่อนจะตกเป็นเหยื่อของนาซี พวกเขาตกเป็นเหยื่อของสังคมเยอรมันก่อน กล่าวคือในท่ามกลางความอับจนในทุกหนทาง ไม่ว่าเงินเฟ้อจนเงินกลายเป็นเศษกระดาษ, ความไร้อำนาจของรัฐชาติ, ความวุ่นวายปั่นป่วนที่เกิดขึ้นแทบทุกวันในสังคม ฯลฯ คนเยอรมันหลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง จะเหลือความเชื่อมั่นตนเองได้อย่างไร นอกจากสร้างแพะขึ้นมารับบาป ยิวเป็นแพะที่เหมาะเจาะที่สุด ดังนั้นทฤษฎีเชื้อชาติอภิชนและเชื้อชาติมลทินของนาซีจึงฟังขึ้น และเป็นฐานให้แก่การขจัดยิวให้หมดไปจากสังคม จะขจัดอย่างไร ผู้คนก็พร้อมจะหลับตาเสีย ขอให้ขจัดออกไปเท่านั้น

อย่างที่คนชั้นกลางในกรุงเทพฯ หลับตาให้แก่การสังหารหมู่คนเสื้อแดงกลางเมือง และพร้อมจะรับทฤษฎีคนชุดดำทันที หรือหลับตาให้แก่ความอยุติธรรมที่ชาวมลายูมุสลิมได้รับจากเจ้าหน้าที่บ้านเมือง หรือปลาบปลื้มกับการฆ่าตัดตอนผู้ค้ายาเสพติด

ทั้งโลกเราเวลานี้ มีคนที่ถูกผลักให้เป็นแพะอยู่เต็มไปหมด หากเราอยากขจัดการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์จริง เราต้องไม่ลืมฮิตเลอร์และนาซี เพราะฮิตเลอร์และนาซีบอกให้เรารู้ว่า ความไร้ระเบียบที่กินเวลานานๆ นั้นเป็นอันตรายในตัวของมันเอง เพราะมันเปลี่ยนให้เรากลายเป็นคนฆ่าแพะ

อนึ่ง "ล้างเผ่าพันธุ์" (ethnic cleansing) ในโลกปัจจุบันอาจผิดฝาผิดตัว ในโลกทุกวันนี้มีการฆ่าล้างผลาญคนต่างศาสนา แม้เป็นเผ่าพันธุ์เดียวกัน ต่างความเห็นทางการเมือง ต่างรัฐ ต่างค่าย ฯลฯ อย่างเปิดเผยเสียยิ่งกว่าค่ายกักกันที่แอบสร้างอยู่ตามราวป่าของนาซีเสียอีก

เพื่อจะโค่นซัดดัม กองเรือที่หกของสหรัฐส่งเครื่องบิน จรวด และปืนใหญ่ถล่มอิรักเหมือนพลุในงานฉลองวันชาติ แต่เป็นพลุที่จุดตลอด 24 ชั่วโมงเป็นเวลาหลายวัน มีเหยื่อพลเรือน "เด็ก ผู้หญิง คนชรา และชายฉกรรจ์ที่เป็นผู้ประกันขนมปังให้ครอบครัว" เป็นแสนที่ถูกล้างผลาญ แน่นอนสหรัฐไม่ได้มีเจตนา "ล้างเผ่าพันธุ์" แต่มันมีอะไรต่างกันหรือ เช่นเดียวกับการตอบโต้การก่อการร้ายด้วยการทำอย่างเดียวกันกับเลบานอนและปาเลสไตน์ โดยไม่อาจหาเป้า "ทางทหาร" ที่แน่นอนชัดเจนได้ จึงต้องปูพรมไว้ก่อน มันมีอะไรต่างกันกับการฆ่า "ล้างเผ่าพันธุ์" โดยสาระหรือ

ผมไม่ปฏิเสธว่า การก่อการร้ายเช่นถล่มตึกทำลายชีวิตคนที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่เป็นพัน หรือระเบิดพลีชีพเพียงเพื่อให้ "ฝ่ายเขา" ต้องตายเกลื่อนคือการฆ่าล้างผลาญอย่างหนึ่ง

ยิ่งกว่านี้ผมไม่มีเจตนาจะบอกว่า เพราะอิสราเอลฆ่าล้างผลาญชาวอาหรับในปาเลสไตน์และเลบานอน เราจึงควรยกย่องฮิตเลอร์ที่เคยฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิว ตรงกันข้ามเลย เราต้องพยายามทำความเข้าใจการกระทำของฮิตเลอร์ให้ดี เพื่อที่ว่าเราจะพบหนทางยุติการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์หรือการฆ่าล้างผลาญที่ไม่จำเป็นนี้ลงให้ได้ ไม่ว่าจะกระทำโดยชาวเยอรมัน, อเมริกัน, อาหรับ, ยิว หรือทหารไทย

โดยไม่มีเจตนาจะปกป้อง "ความรู้เท่าไม่ถึงการณ์และไร้เดียงสา" แต่ผมอยากพูดว่า กระบวนการบังคับลืมฮิตเลอร์และนาซีต่างหากที่ทำให้เรายิ่งอยู่ไกลจากเป้าหมายยุติการฆ่าล้างผลาญให้หมดไปโดยสิ้นเชิง

ที่มา.มติชนออนไลน์
/////////////////////////////////////////////////////

คาดญี่ปุ่นเข้าร่วมเซ็น 3 ฝ่ายกับไทย-พม่า ในโครงการทวาย ก.ย.นี้ !!??

นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) คาดว่าในเดือน ก.ย.นี้ จะมีการลงนามในกรอบความร่วมมือในการจัดตั้งบริษัท ทวาย เอส อี แซด ดีเวลล๊อปเม้นท์ จำกัด ซึ่งเป็นนิติบุคคลเฉพาะกิจ (SPV) ที่ร่วมมือกัน 3 ฝ่าย คือรัฐบาลไทย รัฐบาลเมียนมาร์ และรัฐบาลญี่ปุ่น โดยจะมีการเจรจา 3 ฝ่ายในเดือนส.ค.นี้ กันก่อน ทั้งนี้ทางญี่ปุ่นได้หารือแบบ 2 ฝ่าย ทั้งกับพม่า และไทยแล้ว

จากที่ฝ่ายรัฐบาลไทยและรัฐบาลพม่าได้ลงนาม Shareholders Agreement ฝ่ายละ 50% ลงทุนฝ่ายละ 6 ล้านบาทหรือทุน 12 ล้านบาทของบริษัท ทวาย เอส อี แซด ดีเวลล๊อปเม้นท์ จำกัด เมื่อวันที่ 17 มิ.ย.ที่ผ่านมา นอกจากนี้ พม่ามีแผนนำ บริษัท SPVในตลาดหุ้นไทย

นอกจากนี้ จะมีการจัดตั้ง SPV 2 จดทะเบียนในเมียนมาร์ ซึ่งมีหน้าที่ลงทุน ขณะที่ SPV1 ที่จดทะเบียนในไทย ทำหน้าที่ประสานงาน ให้การสนับสนุนการบริหารจัดการโครงการทวายในภาพรวม รวมทั้งให้คำปรึกษาเชิญชวนและคัดเลือกผู้ลงทุนเข้ามาพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษทวาย และเป็นผู้ถือหุ้นใน SPV2 ซึ่งจะเป็นผู้เข้าลงทุน ใน SPC จำนวน 7 แห่ง ที่จะลงทุนกิจกรรมธุรกิจ ทั้งนี้บมจ.อิตาเลียนไทย ดีเวล็อปเมนท์(ITD)จะเข้ามาลงทุนหลัก ซึ่งรอให้ บริษัททวาย เอส อี แซด ดีเวลล๊อปเม้นท์ จำกัด (DSEZ) ให้สัมปทานใหม่ โดยคาดว่าระยะเวลาใกล้เคียงที่ ITD เคยได้รับสัมปทาน ประมาณ 75-90 ปี ในโครงการทวาย

"พม่าพูดว่าโครงการทวาย มีความสำคัญเท่าเทียมโครงการติวาลา...พม่าไม่เชื่อว่า ITD จะทำโครงการทวายไปได้ ITD ก็ยอมลดบทบาท ให้รัฐบาลไทย ดำเนินการระดับรัฐต่อรัฐ เพื่อให้โครงการเดินหน้าได้เร็ว และพม่าจะมีการเลือกตั้งใหญ่ในปี 58 ก็อยากเห็นโครงการทวายเป็นรูปเป็นร่าง"นายอาคม กล่าว

ทั้งนี้ SPC ทั้ง 7 แห่ง จะแบ่งลงทุนคือ ธุรกิจไฟฟ้า, น้ำประปา, ถนน, นิคมอุตสาหกรรมและTownship, ท่าเรือ, รถไฟ และ โทรคมนาคม โครงการท่าเรือน้ำลึกและนิคมอุตสาหกรรมทวาย เป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษตั้งอยู่เขตตะนาวศรี ประเทศเมียนมาร์มีพื้นที่ 204 ตร.กม. หรือ 124,500 ไร่ คิดเป็น 2.5 เท่าของพื้นที่อุตสาหกรรมในระยอง โครงการนี้จะเป็นประตูเศรษฐกิจ และเป็นจุดแข็งในการเชื่อมโยงเมืองเศรษฐกิจในภูมิภาค กลุ่มประเทศลุ่มน้ำโขง(GMS) บนระเบียงเศรษฐกิจตอนใต้

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
/////////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันจันทร์ที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

คอนเฟิร์ม : โครงการทวาย ไม่เป็นหมัน !!?

โครงการนี้เป็นโครงการระดับประเทศ เป็นการคุยกันระหว่างรัฐบาลกับรัฐบาล ไม่มีทางเปลี่ยนแปลงง่ายๆ...

จากกรณีที่หลายฝ่ายแสดงความกังวลถึงผลกระทบความสัมพันธ์ระหว่างไทยและเมียนมาร์ หลังจากมีการเผยแพร่ คลิปลับที่มีเนื้อหาพาดพิงถึงข้าราชการระดับสูงและฝ่ายบริหารบางคนของเมียน มาร์ กับโครงการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษ ทวาย จนถึงขั้นคาดการณ์ว่า รัฐบาลเมียน มาร์อาจถอดไทยออกจากสัมปทานโครงการดังกล่าว แล้วมอบให้รัฐบาลญี่ปุ่นเข้ามาดำเนินการแทน

โดยก่อนหน้านี้นายจุลพงษ์ โนนศรีชัย ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ ได้ออกมายืนยันว่า "โครงการทวาย ทั้งฝ่ายไทยและเมียนมาร์ต่างก็ได้รับผลประโยชน์ทั้งสองฝ่าย ดังนั้น การพัฒนาร่วมกันยังคงต้องดำเนินการต่อไป เช่นเดียว กับความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศก็เป็นไปด้วยดี ไม่มีเรื่องอะไรต้องกังวล"

"สยามธุรกิจ" สอบถามไปยังนายนิยม ไวยรัชพานิช ประธานคณะกรรมการ การค้าชายแดนกับประเทศเพื่อนบ้าน หอ การค้าไทย ซึ่งติดตามโครงการนี้อย่างใกล้ชิดก็ยืนยันว่า..ไร้ปัญหา ไม่มีทางที่โครงการท่าเรือน้ำลึกทวายจะถูกพับเก็บอย่างแน่นอน

"โครงการนี้เป็นโครงการระดับประเทศ เป็นการคุยกันระหว่างรัฐบาลกับรัฐบาล ไม่มีทางเปลี่ยนแปลงง่ายๆ เพราะเมียนมาร์ก็หวังจะให้ทวายสร้างเสร็จเฟสแรกทันปี 2558 เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ" นายนิยม กล่าว

นายนิยมกล่าวต่อไปว่า ล่าสุด ตนได้ ให้คำปรึกษากับกลุ่มผู้ดำเนินการก่อสร้าง ไปว่า ให้เร่งดำเนินการทำถนนลาดยางจาก ตำบลพุน้ำร้อน จังหวัดกาญจนบุรีไปยังท่าเรือทวาย เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุนเข้าไปตั้งโรงงาน โดยเฉพาะกลุ่มอุตสาหกรรมเบา เช่น กลุ่มอุตสาหกรรมสิ่งทอและรองเท้าที่พร้อมจะเข้าไปวันนี้พรุ่งนี้ ถ้าระบบสาธารณูปโภคพร้อมสรรพ แต่เมื่อถนนยังไม่แล้วเสร็จเขาก็ไม่กล้าเข้าไป

"ตอนนี้สิ่งที่นักลงทุนต้องการอย่างมากคือแรงงานราคาถูก โดยเฉพาะอุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานเข้มข้นอย่างอุตสาหกรรมสิ่งทอและรองเท้า ซึ่งไม่ต้องการแรงงานมีฝีมือ แต่ต้อง การ แรงงานราคาถูก งานแบบนี้คนเมียน มาร์สามารถทำได้เลย ค่าแรงวันละ 70-100 บาท"

นายนิยมยังกล่าวอีกว่า ส่วนที่เป็นห่วงว่ารัฐบาลญี่ปุ่นจะไม่กล้าร่วมลงทุนใน โครงการทวายกับรัฐบาลไทยก็ลืมไปได้เลย เพราะญี่ปุ่นมีธุรกิจในเมืองไทยมากมาย ซึ่งท่าเรือน้ำลึกทวายเป็นเส้นทางขนส่งสินค้าที่สำคัญ เป็นไปไม่ได้ที่ญี่ปุ่นจะปฏิเสธ ในการร่วมลงทุน ซึ่งถ้าญี่ปุ่นไม่เอา จีนก็พร้อมจะเข้ามาเสียบทันที

นายนิยม ยังกล่าวถึงโครงการท่าเรือ น้ำลึกทิลาวาที่ญี่ปุ่นได้รับสิทธิบริหารในเมียนมาร์ว่า เมื่อเทียบกับท่าเรือน้ำลึกทวายยังห่างกันมาก ท่าเรือทิลาวามีลักษณะคล้ายกับท่าเรือคลองเตย ไม่สามารถรับเรือบรรทุกขนาดใหญ่มากๆได้ เพราะฉะนั้นการขนส่งสินค้าขนาดใหญ่ ยังไงก็ต้องใช้ทวาย ญี่ปุ่นจึงสนใจเมื่อไทย เสนอแผนการลงทุนร่วมกัน

เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา นายเซอิจิ ทานากะ กรรมการบริษัทและรองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท มิตซุยแอนด์คัมปนี จำกัด ประเทศญี่ปุ่น พร้อมด้วยนายชิเกะคะสุ ซะโต เอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำ ประเทศไทย และนายวีรศักดิ์ โฆสิตไพศาล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) ก็ได้เข้าพบ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม โดยทางรองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท มิตซุยแอนด์คัมปนี ได้กล่าวถึงความมั่นใจของบริษัทในการดำเนินธุรกิจและการลงทุนในประเทศไทย และต้องการรายงานความคืบหน้าในโครงการร่วมลงทุนกับบริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) ในการนำผลิตภัณฑ์ที่มีอยู่เดิมมาใช้เป็นวัตถุดิบเพื่อผลิตสารตั้งต้นสำหรับผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด ส่งออกไปยังบริษัทชั้นนำของญี่ปุ่นและทั่วโลก ซึ่งคาดว่าการร่วมลงทุนดังกล่าวจะสำเร็จภายในปี 2015

ซึ่งนายกรัฐมนตรีของไทย ได้ย้ำความชัดเจนแก่ภาคเอกชนญี่ปุ่น ในการพัฒนาโครงการท่าเรือน้ำลึกทวาย ซึ่งบริษัทญี่ปุ่นจะได้ประโยชน์จากความเชื่อมโยงระหว่างท่าเรือทวายและแหลมฉบัง นั่นหมายความว่าโครงการทวายยังเดินหน้าต่อไปโดยไม่สะดุด

ที่มา.สยามธุรกิจ
////////////////////////////////////////////////////////