--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันจันทร์ที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ASEAN Roadshow พร้อมสู่ AEC ในปี 58 !!?

ไทยและสมาชิกอาเซียน 9 ประเทศ พร้อมกันเดินทางเข้าร่วม ASEAN Roadshow to US ครั้งที่ 2 เพื่อประกาศศักยภาพ และประชาสัมพันธ์ให้ภาคธุรกิจ นักวิชาการ และ สื่อมวลชนสหรัฐฯ ตระหนักถึงความสำคัญของอาเซียน แสดงความพร้อมในการเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในปี 2558 รวมทั้งกระชับความสัมพันธ์การเป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระหว่างอาเซียนและสหรัฐฯ ให้แน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้น

นายสิน กุมภะ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ได้นำคณะผู้แทนไทยซึ่งประกอบด้วย ผู้แทนจากกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เข้าร่วม ASEAN Roadshow to US ครั้งที่ 2 ณ นครลอสแองเจลิส นครซานฟรานซิสโก และกรุงวอชิงตัน ดีซี ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยมีรัฐมนตรีเศรษฐกิจของสมาชิกอาเซียนเดินทางเข้าร่วมกิจกรรมครั้งนี้ด้วย

ASEAN Roadshow ในครั้งนี้ มีการจัดกิจกรรมเพื่อให้ฝ่ายอาเซียนและสหรัฐฯ พบปะหารือระหว่างกันในหลายรูปแบบ ใน 3 เมืองด้วยกัน คือ นครลอสแองเจลิส ฝ่ายอาเซียนได้หารือกับสมาคมอุตสาหกรรมภาพยนตร์อเมริกา (MPAA) ซึ่งเป็นองค์กรที่คุ้มครองสิทธิ์ทาง ทรัพย์สินทางปัญญาให้กับผู้ผลิตและผู้สร้างภาพยนตร์สหรัฐฯ อย่าง เซ็นจูรี่ ฟ็อกซ์, วอลล์ ดิสนีย์ และ ยูนิเวอร์แซล สตูดิโอ เป็นต้น นอกจากนี้ คณะอาเซียนยังได้เข้าเยี่ยมชมท่าเรือลอสแองเจลิส ซึ่ง ถือเป็นท่าเรือขนส่งสินค้าทางทะเลที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ และมีการนำเข้าสินค้าจากเอเชียมากถึงร้อยละ 70 โดยในเดือน มีนาคม 2556 มีการนำเข้าสินค้าจากไทยมากเป็นอันดับที่ 4 รองจาก จีน อินเดียและญี่ปุ่น

นครซานฟรานซิสโก คณะรัฐมนตรีอาเซียนได้เข้าเยี่ยมชมซิลิกอน วัลเลย์ ศูนย์กลางนวัตกรรมและอุตสาหกรรมไอทีอันดับหนึ่งของโลก รวมทั้งเป็นที่ตั้งสำนักงานใหญ่ของบริษัทเทคโนโลยีที่ใหญ่ที่สุดของโลก เช่น กูเกิล, ไมโคร ซอฟท์ และแอปเปิล

กรุงวอชิงตัน ดีซี ภาครัฐของทั้งสองฝ่ายได้มีการหารือเกี่ยวกับแผนงานความร่วมมือภายใต้กรอบความร่วมมือด้านการค้าและการลงทุนระหว่างอาเซียนกับสหรัฐฯ (ASEAN-U.S. Trade and Investment Framework Agreement : ASEAN-U.S. TIFA) โดยเฉพาะเอกสารข้อเสนอของสหรัฐฯ เรื่อง U.S.-ASEAN Expanded Economic Engagement (E3) Initiative ซึ่งเป็น ความร่วมมือที่มุ่งเน้นไปที่การวางรากฐาน สำหรับการพัฒนาของประเทศอาเซียน

ในการเดินทางไปครั้งนี้ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงพาณิชย์ ได้กล่าวสุนทรพจน์ในหัวข้อ "Expanding U.S.-ASEAN economic relations" ในฐานะตัวแทนของอาเซียนระหว่างการหารือกับผู้แทนของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ ณ กรุงวอชิงตัน ดีซี ซึ่งถือเป็น การตอกย้ำความเชื่อมั่นของสหรัฐฯ ที่มีต่ออาเซียน และเสริมสร้างความแข็งแกร่งเพื่อขยายการค้าและการลงทุนต่อไปในอนาคต

ที่มา.สยามธุรกิจ
//////////////////////////////////////////////////

12 อรหันต์ กุนซือ นายกฯ ปฏิบัติการกู้วิกฤต-ศรัทธารัฐบาล !!??

700 วันบนเก้าอี้นายกรัฐมนตรี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นำรัฐนาวาฝ่าด่านอุปสรรคผ่านบันไดขั้นแรกของกระบวนพิจารณากฎหมายสำคัญทั้งเศรษฐกิจ-การเมืองในรัฐสภามาได้อย่างทะลุปรุโปร่ง

ทั้งกฎหมายการเมือง-เศรษฐกิจ ต่างเฝ้ารอดีเดย์เปิดสภาในเดือนสิงหาคม เพื่อเดินหน้าผ่านวาระ 2-3 ก่อนที่จะเข้าสู่ชั้นพิจารณาของ ส.ว.เป็นลำดับต่อไป

ด้านเศรษฐกิจ ปรากฏความสำเร็จจาก พ.ร.ก.กู้เงินเพื่อบริหารจัดการน้ำ 3.5 แสนล้านบาท ที่เดินมาถึงปลายทาง ก่อนเซ็นสัญญาจ้างเอกชนลงมือก่อสร้าง

เหลือเพียงร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2557 ร่าง พ.ร.บ.ลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน 2 ล้านล้านบาท ที่ต่างก็ผ่านการพิจารณาวาระแรกไปอย่างสะดวก

ด้านการเมือง ก็สามารถนำ ส.ส.พรรค-พวกเสียงข้างมาก ฝ่าแรงต้านจากฝ่ายค้านพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) กระทั่งกระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญรายมาตรา ก็ผ่านขั้นรับหลักการเป็นที่เรียบร้อย

เหลือเพียงร่างกฎหมายเรื่องนิรโทษกรรม-ปรองดอง ที่จ่อคิวพิจารณาทันทีที่สภาเข้าสู่วาระเปิดเทอม

แม้เส้นทางที่ดูเหมือนจะราบรื่นตลอด 2 ปี แต่ครึ่งปี 2556 หลังจากนี้ เกมสุ่มเสี่ยงที่สร้างแรงสะเทือนถึงเสถียรภาพของรัฐบาลเพิ่งจะเริ่มต้น

วาระปกติ เผชิญหน้าฝ่ายค้านที่ไล่จี้จุดตั้งแต่การยื่นถอดถอนคณะรัฐมนตรี (ครม.) ศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจ และเวทีพิจารณาร่างกฎหมายอีกหลายยก

วาระจร เผชิญหน้ากับมวลชนที่เริ่มกระหึ่มเสียงต่อต้าน "ระบอบทักษิณ" และรวมถึงอุปสรรคจากกระบวนการยุติธรรมที่ยกแรกปรากฏให้เห็นจากคำสั่งศาลปกครอง สั่งชะลอโครงการบริหารจัดการน้ำ 3.5 แสนล้านบาท

ไม่นับรวมนโยบายประชานิยมที่เริ่มส่งกลิ่นไม่ชอบมาพากล ปรากฏภาพสุ่มเสี่ยงล้มเหลว อย่างโครงการรับจำนำข้าว แผนบริหารจัดการน้ำ แผนลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน และอีกสารพัดนโยบายที่ผลงานยังไม่เป็นไปตามเป้า อาทิ ปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และสารพัดกองทุนต่าง ๆ

เป็นที่มาของการวางกองกำลังรอบตัว "ยิ่งลักษณ์" เพื่อประสาน-สั่งการแผนการบริหารงานได้แบบปัจจุบันทันด่วน

เป็นการจัดกองกำลังรอบตัวที่มากกว่ายุคของพี่ชาย ในรัฐบาล "ทักษิณ 2" ที่วางสูตรลงตัว 6 รองนายกฯ+1 รมต.ประจำสำนักนายกฯ

เป็นสูตรลงตัวที่ 12 กุนซือ (7+2+2+1) รวมศูนย์บัญชาการรอบตัวนายกรัฐมนตรี ที่รับคำสั่งขึ้นตรงกับ "ยิ่งลักษณ์" ครบเครื่องทั้งแนวรุก เกมรับ ครบรสทั้งภาคสังคม เศรษฐกิจ การเมือง

ชื่อที่หนึ่ง "สุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล" รองนายกฯควบ รมว.ต่างประเทศ ได้รับปูนบำเหน็จเป็น "เบอร์ 1" ในกลุ่มเก้าอี้เสนาบดีปฏิบัติหน้าที่แทนนายกฯ ลำดับแรก กุมแผนงานด้านต่างประเทศ และสถาบันการวิจัย

ชื่อที่สอง "นิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล" รองนายกฯควบ รมว.พาณิชย์ ถูกวางบทให้เข้ามาเคลียร์ "ปัญหาคาใจ" ในโครงการรับจำนำข้าวเป็นภารกิจหลัก รวมไปถึงข้ามสายอำนาจกำกับดูแลกรมการข้าวและกรมส่งเสริมการเกษตร ที่อยู่ภายใต้อำนาจของพรรคร่วมรัฐบาล

นอกจากนั้นยังเป็นมือบริหารทิศทางข่าว กุมอำนาจในกรมประชาสัมพันธ์ ปฏิบัติหน้าที่แบ่งรับ-แบ่งสู้ ควบคู่กับชื่อที่สาม "วราเทพ รัตนากร" ที่นั่งเก้าอี้ รมต.ประจำสำนักนายกฯควบ รมช.เกษตรฯ ที่กำกับดูแลทั้งงานด้านข้าวและสื่อ ไม่ต่างจาก "นิวัฒน์ธำรง"

ชื่อที่สี่ "พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก" รองนายกฯฝ่ายความมั่นคงแทนที่ "ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง" ครอบคลุมงานสำนักข่าวกรองแห่งชาติ สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ รวมถึงปฏิบัติการแก้ปัญหาภาคใต้

ชื่อที่ห้า "พงศ์เทพ เทพกาญจนา" รองนายกฯ ที่ถูกหั่นเก้าอี้ "รมว.ศึกษาธิการ" เพื่อให้เบนเข็มมาคุมเกมกฎหมายที่รัฐบาลต้องเผชิญทุกคดี โดยเซตอัพทีมกับ 2 รัฐมนตรีหน้าใหม่ ที่เป็นมือชำนาญด้านกฎหมาย ทั้ง "พีรพันธุ์ พาลุสุข" รมว.วิทยาศาสตร์ฯ และ "ชัยเกษม นิติสิริ" รมว.ยุติธรรม

ชื่อที่หก และเจ็ด ยังปฏิบัติหน้าที่คงเดิมไม่เปลี่ยนแปลง ทั้ง "ปลอดประสพ สุรัสวดี" รองนายกฯ มีงานสำคัญด้านบริหารงานเงินกู้ 3.5 แสนล้านบาท และ "กิตติรัตน์ ณ ระนอง" รองนายกฯและ รมว.คลัง ที่ต้องเป็นหัวขบวนในการนำทัพทีมเศรษฐกิจ

เช่นเดียวกันกับชื่อที่แปด "ยุคล ลิ้มแหลมทอง" รองนายกฯและ รมว.เกษตรฯ ที่อยู่ในสังกัดโควตาของพรรคร่วม

และอีกหนึ่ง รมต.ประจำสำนักนายกฯ เป็นชื่อที่เก้า "สันติ พร้อมพัฒน์" รับผิดชอบส่วนงานภาคสังคม อาทิ สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ

ทุกแผนงานจาก 9 เก้าอี้เสนาบดี ก่อนถูกส่งตรงถึง "ยิ่งลักษณ์" ต้องผ่านการสแกนข้อมูลจากเลขาธิการนายกฯ "สุรนันทน์ เวชชาชีวะ" ที่นับว่าเป็นอีกหนึ่ง "รัฐมนตรีเงา" ในอาณาบริเวณตึกไทยคู่ฟ้า ถูกนับเป็นชื่อที่สิบ

ผสมผสานผ่านไอเดียจากที่ปรึกษานายกฯ ระดับหัวกะทิของ 2 กุนซือใหญ่ ดร.วีรพงษ์ รามางกูร และนายพันศักดิ์ วิญญรัตน์ ร่วมคณะบริหารแบบรวมศูนย์การบริหารประเทศ และวางยุทธศาสตร์บริหาร ถูกนับเป็นชื่อที่สิบเอ็ด และสิบสอง

12 กุนซือข้างตัว "ยิ่งลักษณ์" จึงครบเครื่องเรื่องต่างประเทศ การเมือง กฎหมาย เศรษฐกิจมหภาค-ในประเทศ และสังคม

เป็นการวางกองกำลังรับมือ "จุดเสี่ยง" ที่จะต้องเผชิญในช่วงครึ่งปี-ครึ่งทางสุดท้ายของรัฐบาล

ด้านที่ทำการพรรคเพื่อไทย ปรากฏทีมยุทธศาสตร์ทั้งฝ่ายวิเคราะห์ และฝ่ายแผนประชาสัมพันธ์ รับบทเป็นฝ่ายสนับสนุน มีชื่อ "นพดล ปัทมะ" คนใกล้ชิด-ทนายส่วนตัว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ปรากฏอยู่ในทุกวงประชุม

เขาเปิดเผยข้อมูลว่า สถานการณ์ที่รัฐบาลต้องเผชิญในครึ่งปีหลังจะเข้มข้น ร้อนแรง แต่ไม่มีทางสะเทือน

"เชื่อว่าการเมืองครึ่งปีหลังไม่มีอะไรร้อนแรง ถ้าร้อนแรงเกินไป เราก็มีผ้าเย็นไปประคบให้สถานการณ์เบาลง เพราะพรรคเพื่อไทยก็มี safety วาล์วดักจับความร้อนไว้แล้ว โดยเราจะรับฟังเสียงประชาชน กลุ่มผลประโยชน์ต่าง ๆ ควบคู่กับเร่งสร้างผลงานเพื่อฟื้นความเชื่อมั่น"

"นพดล" ยกตัวอย่างการทำงานระบบ "safety วาล์ว" ว่า การที่ ครม.กลับมาให้เงินจำนำข้าวตันละ 1.5 หมื่นบาทดังเดิม ก็เป็นตัวอย่างหนึ่ง แสดงให้เห็นว่าพรรคเพื่อไทยที่เปรียบเป็น "หู" รับฟังเสียงของเกษตรกร ก่อนสะท้อนข้อเท็จจริงนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงของรัฐบาล

"สำหรับเรื่องการส่อทุจริตเรื่องจำนำข้าวมีผลกระทบต่อความรู้สึกของประชาชนระดับหนึ่ง แต่ไม่ส่งผลถึงทำให้รัฐบาลล้ม ฉะนั้นครึ่งปีหลังจะเป็นช่วงฟื้นความศรัทธา สร้างความศรัทธาต่อรัฐบาลเพิ่มมากขึ้น"

วิกฤต "ขาลง" ช่วงครึ่งปีแรก แม้รัฐบาลจะผ่านอุปสรรคมาได้ แต่ก็ยังไม่รอดพ้น "กับดัก" ที่ฝ่ายตรงข้ามขุดล่อไว้ โดยฝากไว้ให้กับกระบวนการยุติธรรม ที่พรรคเพื่อไทยปักใจเชื่อมาตลอดว่าอยู่ฝ่ายตรงข้ามกับรัฐบาล

เป็นเหตุผลให้รายชื่อ ครม.ยิ่งลักษณ์ 5 มีการเซตทีมผู้ชำนาญการพิเศษด้านกฎหมาย เพื่อ สู้คดีความของรัฐบาลที่จะต้องขึ้นศาลได้เต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นศาลรัฐธรรมนูญ หรือศาลปกครอง

เป็นการใช้ความช่ำชองของการเป็นอดีตผู้พิพากษา มาทำหน้าที่ "แก้ต่าง" ให้รัฐบาลแบบครบทีม

รวมถึงโครงการบริหารจัดการน้ำ ทั้งโครงการ 2 ล้านล้าน ที่ฝ่ายค้าน "ยืมดาบ" คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ มาฟาดฟัน

เช่นเดียวกับประเด็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 68 ที่ฝ่ายกฎหมายพรรคประชาธิปัตย์ และ ส.ว.สรรหาบางคน ยื่นเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตราดังกล่าวเข้าข่ายล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

"นพดล" ประเมินปลายทางต่อสู้ด้านกฎหมายว่า ถ้าศาลรัฐธรรมนูญตัดสินไปตามกฎหมายบ้านเมืองจะเรียบร้อย แต่หากตัดสินตรงข้ามอาจมีปัญหาตามมา

"ถ้าตัดสินใจไม่เป็นไปตามข้อเท็จจริง บ้านเมืองก็จะไม่เรียบร้อย เพราะสังคม นักกฎหมายที่มีความรู้ก็ดูออก เช่น กรณีรับจ้างทำกับข้าว ของสมัคร สุนทรเวช ต้องพ้นจากตำแหน่ง ก็หัวเราะกันไปทั่วทั้งโลก"

ส่วนร่างกฎหมายนิรโทษกรรม ที่รอการพิจารณาวาระ 1 ในสภา หลายคนมองว่าอาจเป็นของร้อน แต่ทนายส่วนตัวของ "พ.ต.ท.ทักษิณ" เห็นมุมมองที่ต่างออกไป โดยเฉพาะการที่ผู้นำฝ่ายค้าน-หัวหน้าพรรค ปชป. อย่าง "อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" ก็ยังแสดงท่าทีว่าเอาด้วย

"ไม่เป็นปัญหา เพราะคุณอภิสิทธิ์ก็ออกมาเห็นด้วย กับการปล่อยพวกคนตัวเล็ก ๆ เพราะเขาไม่ใช่อาชญากร

ขณะเดียวกันพรรคเพื่อไทยต้องทำให้ชัดเจนว่า ไม่ได้นิรโทษกรรมให้กับแกนนำ แต่นิรโทษกรรมให้กับผู้ชุมนุมทุกสีเสื้อ"

ถึงกลุ่มคนเสื้อเหลืองจะไม่มีพลัง "งัดข้อ" กับรัฐบาลนอมินี "พ.ต.ท.ทักษิณ" เหมือนยุครัฐบาลสมัคร-สมชาย แต่กลับมีกลุ่ม "หน้ากากขาว" เกิดขึ้นแทน ซึ่ง "นพดล" ประเมินว่า เป็นเรื่องปกติของการแสดงออกทางประชาธิปไตย แต่รัฐบาลต้องไม่ประมาท ไม่ตกใจ อย่าไปสร้างเงื่อนไขให้เขานำไปกล่าวอ้างเพื่อเรียกกระแสได้ รัฐบาลต้องไม่ทุจริต

ฉะนั้น ครม.ยิ่งลักษณ์ 5 เพื่อเปลี่ยนรัฐมนตรีประเภทสายล่อฟ้าที่ถูกแปะหน้าผากว่า "ทุจริต" และ "สุ่มเสี่ยง" จึงพอช่วยลดแรงเสียดทานจากฝ่ายตรงข้ามไปได้ไม่มากก็น้อย

เป็นเหตุที่ทำให้ "นพดล" ยืนยันว่า รัฐนาวาของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ จะไม่มีวันล่ม และยังเดินทางไปสู่เป้าหมายได้อย่างปลอดภัย

"เหมือนเครื่องบินกำลังบินอยู่ที่ระดับ 3 หมื่นฟิต อาจมีตกหลุมอากาศบ้าง แต่ไม่ตกแรงจนกระทั่งทำให้กาแฟในมือแอร์โฮสเตสหก แอร์ฯยังเสิร์ฟกาแฟให้ผู้โดยสารต่อได้ เชื่อว่ากัปตันยิ่งลักษณ์จะนำรัฐนาวาลำนี้ร่อนลงจอดสู่เป้าหมายอย่างปลอดภัย"

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
////////////////////////////////////////////////////

ได้กลิ่นฟองสบู่ : จี้รัฐฟื้นฟูเรียลเซ็กเตอร์ เตือนสติคนไทนอย่าหลง AEC !!??

3 เจ้าสัวฟันธงวิกฤติต้มยำกุ้งจะไม่หวนกลับมาแล้ว แต่วิกฤติรอบใหม่ถ้าจะเกิดต้นตอจะมาจากปัญหาหนี้ในภาครัฐ "ประชัย" จี้รัฐส่งเสริมเรียลเซ็กเตอร์ เพิ่มเม็ดเงินใส่ระบบเศรษฐกิจ  และส่งเสริมคนไทยเป็นเจ้าของแบงก์ อ้างทุกวันนี้แบงก์ต่างชาติปล่อยกู้แต่ทุนชาติเดียวกัน    ด้าน"บุญชัย" เตือนขยับตัวตามความ ส่วน"สวัสดิ์" มองว่าตลาดเสรีไม่มีอยู่จริง

 การเสวนาหัวข้อ"ถอดบทเรียนฝ่าวิกฤติต้มยำกุ้ง"จัดโดยหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจเมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม ที่ผ่านมา เนื่องในวาระครบรอบ 16 ปีวิกฤติเศรษฐกิจ 2540 หรือ วิกฤติต้มยำกุ้ง โดยมี    นายประชัย เลี่ยวไพรัตน์  ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัททีพีไอ โพลีน  จำกัด (มหาชน) (บมจ.) , นายบุญชัย เบญจรงคกุล ประธานกรรมการ บมจ.โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น และนายสวัสดิ์ หอรุ่งเรือง ประธานกรรมการบริหาร บมจ.เหมราชพัฒนาที่ดิน  ซึ่งเป็นกลุ่มผู้บุกเบิกอุตสาหกรรมและบริการในช่วงก่อนปี 2540 ร่วมวงเสวนา
   
หนึ่งในประเด็นที่ผู้ร่วมเสวนาทั้ง 3 คนเห็นพ้องกันคือ วิกฤติต้มยำกุ้ง จะไม่เกิดขึ้นอีก หรือเกิดขึ้นจะไม่รุนแรงเหมือนที่ผ่านมา เนื่องจากสภาวะแวดล้อมต่างกันไปอย่างสิ้นเชิง หนึ่งในประเด็นที่พวกเขามองคือ หลังวิกฤติปี 2540 โอกาสที่ทุนไทยเข้าถึงเงินกู้มีน้อยลง การลงทุนขนาดใหญ่ที่เกิดขึ้นเป็นของทุนต่างชาติเป็นหลัก   และทั้ง 3 คนมีความเชื่อว่า หากวิกฤติเศรษฐกิจรอบใหม่จะเกิดขึ้น ต้นตอจะมาจากการก่อหนี้ของภาครัฐที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจากการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน อาทิ รถไฟฟ้า เป็นต้น
   
นายสวัสดิ์ได้กล่าวว่า การกู้เงิน 2 ล้านล้านบาทเพื่อสร้างรถไฟความเร็วสูงและเก็บค่าโดยสารอัตราต่ำโดยไม่คำนึงถึงต้นทุนก่อสร้างและบริหารจัดการ ในท้ายที่สุดประชาชนจะเป็นผู้รับภาระ  เขาบอกว่าการที่ภาครัฐเร่งลงทุน  อาจจะเป็นปัจจัยกระตุ้นให้ภาคเอกชนเร่งลงทุนและขยายธุรกิจจนเกินกำลัง และนำไปสู่ภาวะเศรษฐกิจฟองสบู่แตกได้
   
ทั้งนี้รัฐบาลได้ออกพระราชกำหนด(พ.ร.ก.)ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงิน 3.5 แสนล้านบาท พ.ศ. 2556  และ ร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.)ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระบบคมนาคมของประเทศ พ.ศ. ..........2.2 ล้านล้านบาท  ซึ่งหลายฝ่ายออกมาแสดงความกังวลเพิ่มขึ้นของหนี้สาธารณะ และปัญหาคอร์รัปชัน  ขณะเดียวกัน รัฐบาลโดยกระทรวงการคลัง ยืนยันว่าจะรักษาวินัยการคลังตามกรอบวินัยการคลัง ที่กำหนดว่าจะก่อหนี้สาธารณะไม่เกิน 60 % ของ จีดีพี หรือ ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ
   
ในประเด็นที่เกี่ยวเนื่องกัน นายประชัย ได้เรียกร้องให้รัฐบาลสนับสนุนให้เกิดภาคการผลิตจริง(Real sector) ให้มากกว่านี้ เพราะหลังวิกฤติปี 2540 คนไทยยังชูหัวไม่ขึ้นเนื่องจากแบงก์ไม่ปล่อยกู้เขาเรียกร้องให้รัฐบาลสนับสนุนให้คนไทยเป็นเจ้าของแบงก์มากขึ้น เพราะปัจจุบันแบงก์ในระบบเป็นของต่างชาติเกือบหมดและจะปล่อยกู้เฉพาะธุรกิจในพวกเดียวกัน  เขากล่าวด้วยว่าปัจจุบัน สปิริตของผู้ประกอบการแทบไม่มีเหลือแล้วและคงสูญสิ้นไปหากไม่มีการดูแลจากรัฐ   และการอุดหนุนให้ภาคเรียลเซ็กเตอร์ (อุตสาหกรรม)เป็นหนทางหนึ่งที่จะเพิ่มเม็ดเงินให้ระบบเศรษฐกิจเช่นเดียวกับที่หลายประเทศทำอยู่

เออีซีไม่ใช่เรื่องยิ่งใหญ่
   
ด้านนายบุญชัยมีมุมมองเชิงบวกต่อการที่ต่างชาติเข้ามาร่วมทุนในกิจการคนไทยหลังวิกฤติปี 2540 คือทำให้อุตสาหกรรม และภาคบริการแข็งแกร่งขึ้น ซึ่งถือเป็นบทเรียนทรงคุณค่า   กับการเทียบเคียงวิกฤติเมื่ออดีตกับสถานการณ์ปัจจุบัน นายบุญชัยบอกว่า ก่อนหน้าฟองสบู่แตก 2 ปี (วิกฤติเศรษฐกิจปี 2540) ตนเองมีรถสปอร์ตเยอะมาก การกู้เงินง่ายมาก ไปไหนมีแต่คนชม ทำให้ลืมตัว    เหมือนกับตอนนี้ที่มีรถหรูให้เห็นมากมาย และมีคนบ่นถึงปัญหาภาระหนี้เยอะ จากประสบการณ์ของตน  ปรากฏการณ์ขณะนี้เป็นสัญญาณที่น่าห่วง ฉะนั้นหากจะกู้ขอให้ดูผลตอบแทนด้วยว่าคุ้มค่าหรือไม่  และบริหารด้วยความระมัดระวัง  
   
นายบุญชัย ซึ่งปัจจุบันกลับมาถือหุ้นใหญ่ใน บมจ.ดีแทค และอยู่ระหว่างพัฒนาธุรกิจด้านเนื้อหาขึ้นมา  ได้กล่าวเตือนสติคนไทยว่า เออีซี (ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน)ไม่ใช่เรื่องยิ่งใหญ่ เราแค่อยากได้เงินทุนเข้ามาลงทุน โดยโครงสร้างของเศรษฐกิจไทยมีกิจการขนาดกลางและเล็กจำนวนมาก การค่อยๆสร้างขึ้นไปธุรกิจขนาดใหญ่มีความเหมาะสมกว่า   และนายบุญชัยยังกล่าวด้วยว่าการขับเคลื่อนประเทศรัฐบาลกับเอกชนควรมีการหารือกันโดยเฉพาะประเด็นที่มีผลกระทบในวงกว้าง

สวัสดิ์โมเดล
   
ด้ายนายสวัสดิ์ซึ่งปัจจุบันนอกจากเป็นประธานกรรมการ บมจ. เหมราชพัฒนาที่ดิน แล้วยังเป็นประธานกรรมการ บริษัท ซีเอ โพสท์(ไทยแลนด์)ฯธุรกิจของครอบครัว กล่าวว่าตนผ่านวิกฤติต้มยำกุ้งพร้อมกับสะสางหนี้กว่าแสนล้านบาทมาได้เพราะคิดเสมอว่า "เราคืออันดับหนึ่ง"และแสดงความแข็งแกร่งให้ทีมงานเห็น  นายสวัสดิ์บอกว่าตนเรียนน้อยการสร้างธุรกิจตั้งแต่โรงกลึงเล็กๆจนถึงโรงเหล็กขนาดใหญ่ และมาจบด้วยการสะสางหนี้ก้อนโตล้วนคิดนอกกรอบทั้งสิ้น  เขาบอกว่าที่ตัวเองฝ่าวิกฤติมาได้เพราะมีเพื่อนเยอะในช่วงปรับโครงสร้างหนี้ได้เดินสายไป ลิเบีย อาร์เจนตินา บราซิล อิหร่าน หาโอกาสทำธุรกิจจาก ถ่านหิน ก๊าซ และแร่เหล็ก "เมื่อรู้ตัวว่าธุรกิจที่สร้างมากำลังจะหลุดมือไป (บจก. เอ็น.ที.เอส. สตีล กรุ๊ปส์ และ บจก.นครไทยสคริปมิล)  ผมบอกตัวเองว่าก่อนหน้านี้เรามาจากอะไร " เขาตั้งข้อสังเกตว่าตอนที่ตนเป็นหนี้ 2,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ อัตราดอกเบี้ย 15 % แต่ปัจจุบันอัตราดอกเบี้ย 7 % ธุรกิจเจ๊งได้อย่างไร ทั้งนี้เขามีมุมมองเช่นเดียวกับนายประชัยที่ว่าปัจจุบันแบงก์ปล่อยกู้ยากขึ้น เพราะหันไปทำรายได้จากค่าบริการ ซึ่งตนเองเป็นห่วงว่าผู้ประกอบการรุ่นใหม่จะสร้างธุรกิจด้วยการกู้เป็นเรื่องยาก    และเขาได้กล่าวทิ้งท้าย ว่าอย่าเชื่อเรื่องตลาดเสรีเพราะไม่มีอยู่จริงและเชื่อในหลักการทำธุรกิจต้องก้าวไปทีละขั้นๆ

ที่มา.นสพ.ฐานเศรษฐกิจ
////////////////////////////////////////////////////////////////

วันอาทิตย์ที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

World Bank จ่อหั่นเป้า GDPไทย !!?

ธนาคารโลกเตรียมหั่นเป้าเศรษฐกิจไทยเดือนส.ค. นี้ ระบุเศรษฐกิจโลกฟื้นตัว'ไม่ชัดเจน'เช่นเดียวกับ บอร์ดกนง.ถก10ก.ค.นี้ หั่นเป้าจีดีพี-ส่งออก

สำนักวิจัยหลายแห่งเริ่มปรับประมาณการเศรษฐกิจไทยในปีนี้ลง หลังเศรษฐกิจโลกและปัญหาเศรษฐกิจในจีนเริ่มส่งผลกระทบต่อภาคส่งออกชัดเจนขึ้น

นางสาวกิริฎา เภาพิจิตร นักเศรษฐศาสตร์อาวุโส ธนาคารโลก ประจำประเทศไทย กล่าวว่าในเดือนส.ค. นี้ ธนาคารโลกเตรียมปรับประมาณการเศรษฐกิจไทยใหม่ จากเดิมที่มองว่าอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจ (จีดีพี) ปีนี้จะเติบโตที่ 5% และส่งออกเติบโต 7%เหตุผลการปรับประมาณการเนื่องจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกยังไม่ชัดเจน ประกอบกับธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ประกาศจะถอนมาตรการอัดฉีดสภาพคล่อง (คิวอี) เร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้ และเศรษฐกิจจีนชะลอตัวลงเร็ว ซึ่งจะกระทบต่อการเติบโตของภาคการส่งออกไทย ขณะที่กำลังซื้อภายในประเทศเริ่มแผ่วลง

"การเติบโตของเศรษฐกิจปีนี้ คงต้องอาศัยโครงการลงทุนจากภาครัฐเป็นหลัก"

การปรับลดประมาณการของธนาคารโลก เช่นเดียวกับสำนักวิจัยหลายแห่ง และเป็นไปในทิศทางเดียวกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่จะเสนอการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในวันที่ 10 ก.ค. นี้ให้ปรับประมาณการใหม่

การประชุม กนง.ครั้งล่าสุดเมื่อเดือนเม.ย. ที่ผ่านมา กนง.ประเมินว่าจีดีพีในปีนี้จะขยายตัวได้ 5.1% และส่งออกจะขยายตัวได้ระดับ 7%

นางผ่องเพ็ญ เรืองวีรยุทธ รองผู้ว่าการ ด้านเสถียรภาพการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ย้ำว่าสำหรับแนวโน้มเศรษฐกิจไทยนั้น ในการประชุมบอร์ดกนง.ในวันที่ 10 ก.ค.นี้ ที่ประชุมกนง.น่าจะทบทวนประมาณการเศรษฐกิจใหม่

"คงมีการทบทวนตัวเลขเศรษฐกิจไทยใหม่ รวมถึงตัวเลขการส่งออกด้วย ซึ่งก็คงเป็นการปรับประมาณการลง โดยตัวเลขส่งออกไทยที่ ธปท.เคยประเมินไว้ที่ 7% นั้น ไม่น่าจะเป็นตัวเลขที่ใช้ได้แล้ว"

ส่วนแนวโน้มสถานการณ์เงินทุนเคลื่อนย้ายนั้น นางผ่องเพ็ญ กล่าวว่า ยังตอบได้ยาก ขึ้นกับว่าเศรษฐกิจของ 3 ประเทศหลัก ได้แก่ สหรัฐ จีน และไทย

"หากเศรษฐกิจสหรัฐฟื้นตัวได้ต่อเนื่อง เฟด ยุติการใช้มาตรการอัดฉีดสภาพคล่องเข้าสู่ระบบ (คิวอี) จริง ในขณะที่เศรษฐกิจจีนและไทยชะลอตัว ถ้าเป็นกรณีนี้ก็เชื่อว่า เงินทุนยังคงเป็นทิศทางไหลออก"

ศูนย์วิจัยกสิกรหั่นเป้าจีดีพีเหลือ4%

ด้าน นายเชาว์ เก่งชน กรรมการผู้จัดการ พร้อมผู้บริหาร บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ได้แถลงปรับประมาณการเศรษฐกิจวานนี้ (5 ก.ค.) โดยปรับลดลงเป็นครั้งที่ 2 ของปี เหลือ 4% หลังจากที่ไตรมาส 2 เศรษฐกิจจะชะลอตัวลงเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า และเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนจะเติบโตต่ำกว่า 3% จากเดิมที่คาดว่าจะขยายตัว 4.2%

"ขณะที่สัญญาณการฟื้นตัวเศรษฐกิจในครึ่งปีหลังมีไม่มากนัก จากการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน การชะลอมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณหรือคิวอีของสหรัฐทำให้ราคาสินทรัพย์ลดลง ประกอบกับการลงทุนภาครัฐที่ต้องล่าช้าออกไป กระทบต่อการคาดการณ์จีดีพีปีนี้ 0.1% และจะมีผลต่อเศรษฐกิจในปี 2557 ให้ขยายตัวได้ 4.5%"

ห่วงหนี้ครัวเรือนไตรมาสแรกพุ่ง

นายเชาว์ กล่าวว่า หนี้ครัวเรือนยังคงปรับเพิ่มขึ้น เร็วกว่าอัตราการเพิ่มขึ้นของรายได้และเงินออม โดยไตรมาสแรกของปี ระดับของหนี้ครัวเรือนอยู่ที่ 8.97 ล้านล้านบาท คิดเป็น 77.4% ต่อจีดีพี เทียบกับปี 2540 ที่หนี้ครัวเรือนอยู่ที่ 1.36 ล้านล้านบาท คิดเป็น 28.8% ต่อจีดีพี แต่เมื่อประเมินจากทิศทางเศรษฐกิจในขณะนี้แล้ว เศรษฐกิจไทยยังไม่มีปัจจัยชี้นำให้เกิดหนี้เสีย หรือกระทบกับเศรษฐกิจรุนแรง ทั้งอัตราดอกเบี้ยที่ไม่ได้เร่งตัวรวดเร็ว การว่างงานยังอยู่ระดับต่ำและค่าครองชีพที่ไม่ได้เพิ่มเกินระดับรายได้

หนี้ครัวเรือนที่เพิ่มขึ้นจะกระทบต่ออัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจในปี 2556-2557 ได้ โดยเฉพาะหากเศรษฐกิจชะลอตัวลงและความเชื่อมั่นครัวเรือนลดลงกระทบภาระหนี้ที่ต้องชำระต่อเดือนจนรายได้ติดลบ

ทั้งนี้ในระยะปานกลางต้องติดตาวงจรสินเชื่อและดอกเบี้ยที่คาดว่าจะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ค่อยๆ ส่งผ่านไปถึงผู้บริโภค คาดว่าต้องใช้เวลา ซึ่งยังไม่เห็นในปีนี้

คาดว่า เฟด จะทยอยถอยคิวอีได้อย่างเร็วก็ไตรมาสแรกของปี 2557 การปรับขึ้นดอกเบี้ยก็คงทยอยปรับขึ้น จากขณะนี้อยู่ที่ระดับต่ำกว่าปกติที่ 0.25% จากปกติ 3.25%ขณะที่อัตราดอกเบี้ยของไทยควรสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยสหรัฐ 0.25-0.50% ซึ่งคาดว่าจะได้เห็นอัตราดอกเบี้ยทยอยปรับเพิ่มขึ้นในอีก 2 ปีข้างหน้า

จี้รัฐคุมหนี้ครัวเรือน

ในขณะนี้ธนาคารพาณิชย์มีระดับหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) ของสินเชื่อรายย่อยประมาณ 2% และยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ ตราบใดที่รายได้ยังมากกว่ารายจ่ายปัญหาหนี้ครัวเรือนจะไม่รุนแรง ดังนั้นภาครัฐต้องรักษาอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจให้อยู่ในระดับ 5% เพื่อควบคุมปัญหาหนี้ครัวเรือนที่จะเพิ่มขึ้นสูงสุดที่ระดับ 80% ต่อจีดีพีในอีก 1-2 ปีข้างหน้า

"ปัจจุบันหนี้ครัวเรือนในปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 77-78% ต่อจีดีพีและมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตามสภาพสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป โดยจะเห็นได้ว่าในช่วงที่ผ่านมาหนี้ภาคครัวเรือนขยายตัวได้เร็วกว่าจีดีพี ทำให้คาดว่าใน 1-2 ปีข้างหน้าหนี้ต่อจีดีพีจะเพิ่มขึ้นเป็น 80% เป็นความท้าทายในการจัดการภาวะเศรษฐกิจ ประเด็นอยู่ที่การขยายตัวทางเศรษฐกิจในขณะนั้นจะสามารถรักษาระดับที่ 5%ได้หรือไม่ หากดูแลได้ก็เชื่อว่าจะไม่กระทบเหมือนปี 2540"

หั่นเป้าส่งออกปีนี้เหลือ 4%

นายเชาว์ กล่าวว่า การฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐ และค่าเงินบาทที่มีแนวโน้มอ่อนค่าจะส่งผลดีต่อภาคการส่งออกของไทย ซึ่งในปีนี้ศูนย์วิจัยได้ปรับลดคาดการณ์การส่งออกลงเหลือ 4% จากเดิม 7% โดย 5 เดือนแรกการส่งออกของไทยขยายตัวได้เพียง 1.9% ดังนั้นในช่วงที่เหลือของปีการส่งออกต้องโตได้ 5%

สำหรับผลกระทบจากมาตรการคิวอีที่มีต่อเศรษฐกิจในภูมิภาคนั้น หากเทียบกับภูมิภาคแล้ว ประเทศไทยยังมีทิศทางที่ดี จากพื้นฐานเศรษฐกิจที่ดี มีทุนสำรองที่อยู่ในระดับสูง เมื่อเทียบกับปริมาณการส่งออกที่สามารถรองรับได้ 7-8 เดือน แต่ประเทศที่ได้รับผลกระทบมากได้แก่ อินโดนีเซีย อินเดียและเวียดนาม ที่จะอ่อนไหวต่อมาตรการคิวอี เพราะระบบเศรษฐกิจที่พึ่งพิงเม็ดเงินจากต่างประเทศค่อนข้างมาก สะท้อนจากยอดขาดดุลบัญชีเดินสะพัด อัตราเร่งของสินเชื่อ เม็ดเงินที่เข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์และทุนสำรองระหว่างประเทศที่อยู่ระดับต่ำเมื่อเทียบกับมูลค่าการนำเข้า

ดังนั้น สามประเทศดังกล่าว ถือเป็นประเทศที่น่าลงทุนในระยะกลางและระยะยาว เนื่องจากราคาสินทรัพย์จะลดต่ำลง เอื้อต่อการลงทุนมากขึ้น ซึ่งที่ผ่านมาธนาคารกลางอินโดนีเซียได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% มาอยู่ที่ระดับ 6% ขณะที่เวียดนามเองอยู่ระหว่างการปฏิรูปเศรษฐกิจและลดค่าเงินด่องไปแล้ว 1%

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
/////////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันเสาร์ที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

การปรับตัว ให้ทันยุคสมัย !!??

โดย : ไสว บุญมา

จากมุมมองของเทคโนโลยี คงไม่มีข้อโต้แย้งมากนัก หากจะสรุปว่าโลกกำลังตกอยู่ในช่วงเปลี่ยนยุค ทั้งนี้ เพราะเทคโนโลยีดิจิทัลได้ก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงใหญ่หลวง วิธีผลิต การบริโภค ความหลากหลายและการกระจายสินค้าและบริการ พร้อมทั้งการดำเนินชีวิตได้เปลี่ยนไปอย่างมีนัยสำคัญ ท่ามกลางการติดต่อสื่อสารที่สามารถทำได้ภายในพริบตา ไม่ว่าจะอยู่ในส่วนไหนของโลก

ในขณะเดียวกัน เทคโนโลยีใหม่ ได้เอื้อให้ผู้ที่เป็นเจ้าของ หรือเข้าถึงเทคโนโลยี กอบโกยส่วนแบ่งของรายได้ส่วนใหญ่ที่เกิดจากการขยายตัวทางเศรษฐกิจไปเป็นของตน ส่วนประชาชนทั่วไปได้รับส่วนแบ่งเพียงเล็กน้อย และบางส่วนไม่ได้อะไรเลย

กระบวนการนี้ทำให้ความเหลื่อมล้ำ หรือความไม่เป็นธรรมในด้านการกระจายรายได้เลวร้ายขึ้น ความเลวร้ายนี้มีพลังสนับสนุนให้เพิ่มขึ้นอีกจากระบบการเมือง ที่ผู้มีทรัพย์มากเข้าถึงกระบวนการทางการเมืองมากกว่าคนทั่วไป



เมื่อคนส่วนน้อยนั้นควบคุมระบบการเมืองได้ พวกเขาก็ชี้นำ หรือดำเนินนโยบายที่เน้นการได้ประโยชน์ของพวกเขาเป็นที่ตั้ง ด้วยเหตุนี้ การกระจายรายได้จึงเลวร้ายยิ่งขึ้นทั่วทั้งโลก ไม่ว่าจะเป็นในประเทศที่ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยเต็มใบ หรือในแนวอื่น

นอกจากด้านเทคโนโลยี ยังมีความเปลี่ยนแปลงทางด้านอื่นซึ่งอาจมองว่าเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนยุค อาทิ ในด้านการเมืองระหว่างประเทศ ซึ่งเคยมีความขัดแย้งระหว่างระบบตลาดเสรีกับระบบคอมมิวนิสต์เป็นตัวกำหนดทิศทาง ได้เปลี่ยนมาเป็นความขัดแย้งระหว่างรัฐกับกลุ่มชนที่มีความเห็นต่าง รวมทั้งทางด้านศาสนาด้วย

สงครามขนาดใหญ่ถูกแทนที่ด้วยการก่อการร้ายของกลุ่มชนที่ต่อต้านการครอบงำของแนวคิดกระแสหลัก

นอกจากนั้น ยังมีด้านเศรษฐกิจ ซึ่งเกือบทั่วโลกตกอยู่ในภาวะซบเซา หลังจากเกิดความถดถอยครั้งใหญ่เมื่อฟองสบู่ภาคอสังหาริมทรัพย์ในหลายประเทศแตกเมื่อปี 2551

ความถดถอยครั้งนี้ มีความร้ายแรงสูงรองลงมาจากวิกฤตเศรษฐกิจครั้งร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ซึ่งเกิดหลังความล่มสลายของตลาดหลักทรัพย์ในอเมริกาเมื่อปี 2472 เท่านั้น

เมื่อเกิดวิกฤตหลังปี 2472 โลกใช้แนวคิดของ จอห์น เมนาร์ด เคนส์ แก้ปัญหา ปรากฏว่าได้ผล แนวคิดนั้นจึงถูกใช้แก้ปัญหามาจนถึงปัจจุบัน แต่หลังเกิดความถดถอยครั้งล่าสุด แนวคิดนั้นใช้ไม่ได้ผลเต็มที่ ประเทศต่าง ๆ จึงยังประสบปัญหาที่แสดงออกมาทางความล้มละลายในหลายประเทศ และจำนวนมากยังตกอยู่ในภาวะซบเซายืดเยื้อ

ในขณะนี้มีการว่างงานในอัตราที่สูงมากเกือบทั่วโลก ในบางประเทศสูงกว่า 25% การว่างงานในระดับนี้รังแต่จะมีผลร้ายต่อไปทั้งในด้านการเมืองและสังคม

ไม่ว่าจะมองหรือไม่ว่าเวลานี้เป็นช่วงต่อของการเปลี่ยนยุค ซึ่งคาดเดาไม่ได้ว่าจะออกมาอย่างไร แต่สภาพการณ์น่าจะยืดเยื้อต่อไปอีกนานกว่าจะมีความกระจ่าง

นั่นหมายความว่า การดำเนินนโยบายในระดับประเทศและการดำเนินชีวิตของบุคคล น่าจะยึดการลดความเสี่ยงเป็นหลัก

แต่ในช่วงนี้นโยบายของรัฐบาลไทยมีแนวโน้มว่ากำลังเดินไปในทางตรงข้าม นโยบายในแนวประชานิยมเพิ่มความเข้มข้นขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งจะใช้เงินเพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัว นโยบายล่าสุดที่กำลังมีผลเสียหายมหาศาลทางการเงิน ได้แก่ โครงการรับจำนำข้าว ในช่วงเวลา 2 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลรับจำนำข้าวจากชาวนาด้วยราคาเกือบ 2 เท่าของราคาในตลาดโลก ส่งผลให้ชาวนาไม่กลับมารับข้าวคืน รัฐบาลต้องจำหน่ายข้าวด้วยราคาที่ต่ำกว่าราคาที่รับจำนำไว้ ทำให้ขาดทุนนับแสนล้านบาท

หากรัฐบาลยังไม่ยกเลิกโครงการนี้ หรือลดราคารับจำนำลง หรือราคาข้าวในตลาดโลกไม่เพิ่มขึ้นไปใกล้ ๆ สองเท่า การขาดทุนจำนวนมากจะยังเกิดขึ้น รัฐบาลจะนำเงินที่ไหนมาใช้ในโครงการนี้ยังไม่เป็นที่ประจักษ์

แต่ที่แน่นอนคือรัฐบาลได้เริ่มกู้เงินจำนวนมหาศาลเพื่อนำมาใช้ในโครงการต่าง ๆ รวมทั้งจำนวน 2.2 ล้านล้านบาทที่ยังไม่รู้ว่าจะนำไปใช้เพื่ออะไรอีกด้วย

อนึ่ง หากดำเนินต่อไปในแนวเดิม โครงการรับจำนำข้าวนี้จะมีผลทำให้รัฐบาลเป็นผู้ผูกขาดตลาดข้าว พร้อมกับการทำลายกลไกของตลาดเสรีซึ่งทำงานเป็นอย่างดีมานาน ประวัติศาสตร์บ่งว่า ประสิทธิภาพในการทำงานของรัฐบาลด้อยกว่าของภาคเอกชน การผูกขาดตลาดข้าวจะส่งผลให้เกิดความเสียหายทางด้านกลไกแน่นอน

ข้าวเป็นเสมือนหัวใจของเศรษฐกิจและสังคมไทย เมื่อประสิทธิภาพของภาคนี้ถูกทำลาย เศรษฐกิจและสังคมไทยย่อมมีปัญหาใหญ่หลวง เกี่ยวกับประเด็นนี้มีอุทาหรณ์จากฟิลิปปินส์ รัฐบาลฟิลิปปินส์ในสมัยประธานาธิบดีเฟอร์ดินันด์ มาร์กอส เข้าไปผูกขาดตลาดมะพร้าวแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด

มะพร้าวเป็นหัวใจของเศรษฐกิจและสังคม ฟิลิปปินส์ซึ่งครั้งหนึ่งเป็นผู้ส่งมะพร้าวออกหมายเลข 1 ของโลก การผูกขาดของรัฐบาลส่งผลให้การผลิตมะพร้าวซบเซาลงจนส่งผลให้ฟิลิปปินส์ได้สมญาว่าเป็น "คนง่อยของเอเชีย"

นอกจากนั้น รัฐบาลยังกดดันให้ธนาคารแห่งประเทศไทยดำเนินนโยบายไปในแนวที่รัฐบาลต้องการอีกด้วย เท่านั้นยังไม่พอ รัฐบาลต้องการจะนำเงินสำรองของชาติออกมาใช้และบริหารจัดการเอง หากรัฐบาลทำสิ่งเหล่านั้นสำเร็จ ผลที่ออกมาจะได้แก่การเสียวินัยทั้งในด้านการคลังและการเงินพร้อม ๆ กัน เหตุการณ์เช่นนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

ในสภาพที่โลกภายนอกมีความไม่แน่นอนสูง และนโยบายภายในทำให้ความเสี่ยงต่อความเสียหายร้ายแรงเพิ่มขึ้นนี้ ประชาชนคงไม่มีทางเลือกมากนัก นอกจากจะกระทำในสิ่งที่ลดความเสี่ยงลงให้มากที่สุด

โดยเฉพาะลดการใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นจริง ๆ ลง ลดการกู้หนี้ยืมสินลง และหากมีเงินออมที่สามารถนำไปลงทุนได้ ก็ลงทุนในด้านที่มีความเสี่ยงต่ำที่สุด

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
////////////////////////////////////////////////////////

การแข่งขันกับค้าเสรี !!??

โดย อมร พวงงาม

ปลายเดือนก่อน สมาคมผู้นำเข้าและจำหน่ายรถยนต์ใหม่เขาจัดงานแถลงข่าวครับ

ผมมีโอกาสไปร่วมงาน

คุณชาญชัย พิลาวรรณ นายกสมาคม ร่ายให้ฟังว่า

ผู้นำเข้าและผู้จำหน่ายรถยนต์ใหม่จากต่างประเทศรวมตัวกันมากกว่า 50 รายตั้งขึ้น

เป้าหมายก็เพื่อพัฒนาธุรกิจนำเข้าและรถใหม่ให้ดียิ่งขึ้น

เพิ่มประโยชน์แก่ผู้บริโภคที่จะมีทางเลือกใช้รถยนต์รุ่นใหม่ ๆ

และมีสมาคมจะช่วยควบคุมสมาชิกด้วยกันเองไม่ให้ออกนอกลู่นอกทาง

ส่วนประเด็น "ฮั้วราคา" รับรองไม่มีเด็ดขาด

ฟังดูดีมากครับ แต่เสียดาย...

สมาชิกส่วนใหญ่เป็นผู้ประกอบการรายใหญ่ ๆ ทั้งนั้น

เอ็น.เค.ฯ บีอาร์จี ทีเอสแอล อีตั้น

เอจีคาร์ส ออโตเอ็กซ์เชนจ์ ฯลฯ

ไม่ปรากฏรายเล็ก ๆ

ซึ่งการยกระดับหรือพัฒนากลุ่มผู้นำเข้า

ผมว่าน่าจะต้องทำกันให้ครบ

รายเล็กๆ นี่แหละ...ตัวดี

ตีหัวเข้าบ้านมีให้เห็นบ่อย ๆ

พวกนี้ต้องเอามาอยู่ในกรอบให้ได้

ตัวนายกเองก็พูดชัดว่า ที่ผ่านมา

ผู้จำหน่ายรถยนต์นำเข้าอิสระ

หรือที่หลายคนเรียกกันติดปากว่า "เกรย์มาร์เก็ต"

มีภาพติดลบมาโดยตลอดในแวดวงอุตสาหกรรมยานยนต์ของไทย

ควรจะใช้จังหวะนี้แหละ

ฟอกกันให้สะอาดสักที

ส่วนอีกประเด็นที่ผมเห็นด้วยอย่างยิ่ง

นายกชาญชัยบอกว่า ผู้จำหน่ายรถยนต์นำเข้าจากต่างประเทศนั้น

ถือเป็นอีกทางเลือกหนึ่งให้กับผู้บริโภค

ไม่ปล่อยให้ใครบางคนผูกขาด

และที่สำคัญ ผู้บริโภคมีโอกาสได้เลือกใช้รถยนต์ที่มีคุณภาพทัดเทียมนานา

ประเทศ

มีตัวเลือกทั้งด้านออปชั่นและราคา

และที่สำคัญ ราคารถมันถูกลงกว่าเมื่อก่อนเยอะเลย

เรื่องนี้จริงครับ เมื่อก่อนรถเบนซ์ต้องระดับคุณชายหรือเศรษฐีจริง ๆ ถึงได้

สัมผัส

เดี๋ยวนี้ดูซิครับ วิ่งกันให้เกลื่อนเมืองไปหมด

การค้าเสรี...การแข่งขัน มันดียังงี้เอง

สัปดาห์ก่อน ผมเห็นข่าวรองนายก

กิตติรัตน์ ณ ระนอง

ให้สัมภาษณ์บอกว่า ผู้บริหารเมอร์

เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทย มาพบ

บอกให้ช่วยเข้มงวดกับเกรย์มาร์เก็ตหน่อย

เพราะตอนนี้รถเบนซ์ประสบปัญหานำเข้าไม่ถูกขั้นตอน

มีสัดส่วนถึง 3 ใน 4 ของรถยนต์ที่นำเข้าอย่างถูกต้อง

ถ้ารัฐบาลไม่ดูแล เบนซ์อาจย้ายฐานการผลิตในประเทศไทยออกไป

เพราะไม่คุ้มค่าในการผลิต

เนื่องจากมีรถยนต์นำเข้าผิดขั้นตอนเป็นจำนวนมาก

ผมเห็นข่าวก็ตกใจ ถ้าเบนซ์ไม่ลงทุนในเมืองไทย

แล้วใครจะแข่งกับเกรย์มาร์เก็ตล่ะ

ทีนี้ตลาดก็คงจะถูกผูกขาดอีกจนได้

อย่าหนีไปไหนเลยครับ (อ้อนวอน)

ช่วยกันสร้างความสีสันให้ตลาดรถยนต์บ้านเราต่อไปเถอะ

ผมว่าแข่งขันกันเยอะ ๆ เหอะ สนุกดี

วันก่อนตอนจังหวะผู้นำเข้าอิสระเพลี่ยงพล้ำ

ถูกหมัดน็อกจากดีเอสไอ กรณีรถหรูเลี่ยงภาษี

ผู้บริโภคหันไปซื้อรถจากตัวแทนจำหน่าย

แล้วผู้บริหารเบนซ์ออกมาถล่มซ้ำ

ดัมพ์ราคาเบนซ์ เอส-คลาส ลงอีกคันละ 1 ล้านบาท

เชื่อมั้ย..ผู้บริโภคเฮกันลั่น

แม้ว่าโมเดลใหม่ กำลังจะมาก็เถอะ

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
//////////////////////////////////////////////////////

วันศุกร์ที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

บริหารคน สไตล์เถ้าแก่ !!???

โดย : ไตรรงค์ บุตรากาศ ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ธนาคารไทยพาณิชย์

ปัญหาใหญ่แต่มองกันเล็กของการทำธุรกิจ คือ เรื่อง "คน" ครับ ลูกน้องเข้า ลูกน้องออก ไปมีเรื่องกับคนอื่น ต้องออกไปเคลียร์ ฯลฯ เหล่านี้เป็นเรื่องที่ต้องเจอกันเป็นชีวิตประจำวันของเถ้าแก่

แต่ปัญหาหนึ่งซึ่งสำคัญมาก ๆ แม้จะไม่ปัจจุบันทันด่วน และผู้ประกอบการบ่นกันทุกคน คือ หาลูกน้อง

เก่ง ๆ ยากเหลือเกิน (แต่บางคนก็ไม่บ่นเพราะฉันทำเองของฉันหมดคนเดียวอยู่แล้ว และไม่อยากปล่อยให้ใครทำก็มีครับ)

การได้ลูกน้องเก่ง ๆ นั้นมีอยู่ 2 องค์ประกอบหลัก ๆ คือ การได้คนเก่ง ๆ และการสอนให้เก่ง ในความเป็นจริงนั้นอันที่ 2 อาจจะสำคัญมากกว่า

ด้วยซ้ำ เพราะคนเก่งนั้นก็หายาก หาได้ก็แพง และบางครั้งถึงยอมจ่ายแพงเขาก็ไม่มา เพราะมันไม่ใช่สิ่งที่เขาอยากทำ และถึงแม้ได้คนเก่งมาแต่ใช้เขาไม่ถูก คนที่เก่งก็อาจจะหมดความเก่งไปได้เหมือนกันครับ

ธุรกิจ SMEs เป็นธุรกิจขนาดเล็ก หรือเริ่มมาด้วยขนาดเล็ก คนที่ดำเนินงานเกือบทุกเรื่องก็คือเจ้าของ การที่ตัวเองเป็นคนเริ่มและทำเองทุกเรื่อง ก็รู้ทุกเรื่อง และอาจจะเก่งทุกเรื่อง (ความเก่งเป็น Relative Term นะครับ คือความเก่งขึ้นกับเรื่องที่ทำ และยุคสมัยนะครับ) เมื่อรู้และทำเป็นได้ทุกเรื่องก็มีความเชื่อมั่นในตัวเองสูง

เมื่อได้ลูกน้องมา ไม่ว่าจะเก่งหรือไม่ การพยายามจะสั่งสอน ควบคุม จนถึงกับบังคับให้ทำในแบบที่ตัวเองเชื่อว่าเป็นสิ่งที่ดีที่สุด ไม่เพียงจะให้เป้าหมายที่เขาต้องทำให้เสร็จ ยังคาดหวังให้ทำในวิธีที่ตัวเองคิดอีกด้วย หากได้ตามเป้าหมาย แต่ไม่ได้ทำในวิธีที่ตัวเองคิด ก็ไม่พอใจและยังระแวงว่ามันไม่ถูกต้อง เรียกว่าได้เพียงตัวเลข แต่ยังถูกใจ หากไม่ได้ตามเป้าหมายก็ยิ่งพาลไปกันใหญ่ บางกรณี

ลูกน้องทำในวิธีที่ตัวเองอยากให้ทำแล้ว แต่ไม่ได้เป้าหมาย ก็โทษลูกน้องแทน เพราะลืมไปแล้วว่าเคยบอกไปอย่างไร หรืออาจจะบอกว่าทำไมไม่คิดเอง

เจอสถานการณ์แบบนี้ไปนาน ๆ ลูกน้องก็จะไม่กล้าคิด ไม่กล้าทำอะไร จะทำอะไรก็จะถามก่อนว่าแบบนี้ดีหรือไม่ หรือรอให้นายสั่งดีกว่าก่อนไปเสนอ กลัวผิดไปทั้งหมด พาล ๆ เข้าก็โทษกันเองเข้าไปอีก แถมเอาอาการของหัวหน้าไปลงกับลูกน้องตัวเองอีก (เชื่อผมเถอะครับพฤติกรรมของเจ้านายเป็นโรคติดต่อครับ เจ้านายเป็นอย่างไรลูกน้องมีแนวโน้มจะเป็นอย่างนั้น การแพร่ระบาดของพฤติกรรมเป็นอาการหนึ่งขององค์กรครับ และเป็นส่วนหนึ่งที่เกิดขึ้นในสิ่งที่เรียกว่าวัฒนธรรมองค์กร)

เป็นอย่างนี้ต่อ ๆ ไป คนเก่ง (ถ้ายังทนอยู่) หรือไม่เก่ง ก็จะกลายเป็นคนไม่เก่งเหมือน ๆ กัน คนที่ไม่กล้าคิดไม่กล้าทำอะไร ไม่สามารถใช้ตรรกะเหตุผลของ

ตัวเอง ก็คือการทำโดยไม่รู้ ขอเพียงให้ทำแล้วเป็นไปตามที่เถ้าแก่คิดหรือบอกเท่านั้น เมื่อไม่มีโอกาสเรียนรู้ ก็ไม่มีโอกาสเก่ง เพราะไม่เข้าใจว่าอะไรผิดอะไรถูก เพราะทุกอย่างเถ้าแก่คิดเอง วางแผนเอง กำหนดทุกขั้นตอนตั้งแต่การพูด การคิด การทำ ไป ๆ มา ๆ ลูกน้องเหล่านั้นก็ไม่รู้สึกว่าตัวเองเป็นเจ้าของงานที่ได้รับมอบหมาย แค่ทำตามสิ่งที่บอกเท่านั้น

อย่างนี้แล้วเถ้าแก่คงไม่มีโอกาสที่จะมีลูกน้องเก่ง ๆ ได้หรอกครับ เพราะทุกคนต้องให้เราคิดให้หมด ทักษะที่ลูกน้องนั้นจะสร้างขึ้นมา คือ ทักษะในการเดาใจเถ้าแก่ ซึ่งเดาถูกบ้างผิดบ้างเพราะเถ้าแก่บางทีก็เอาแน่เอานอนไม่ได้ หรือแย่ไปกว่านั้นคนเก่งบางคนก็พัฒนาเป็นคนคอยปั่นหัวเถ้าแก่จนปั่นป่วนกันไปทั้งบริษัทอีก

สิ่งเหล่านี้เป็นวงจรของการบริหารคนสไตล์เก้าแก่ ซึ่งจะสร้างลูกน้องที่ไม่เก่งแทนไปในที่สุด โดยที่เถ้าแก่ไม่รู้ตัวเลย แม้ในวันที่ตัวเองพูดว่า ลูกน้องเก่ง ๆ หายากเหลือเกิน

การแก้ไขเรื่องการบริหารคนให้เก่งขององค์กร SMEs นั้น จำเป็นต้องใช้ทั้งหลักวิชา กระบวนการ และความสามารถในการตระหนักรู้ของตัวเองเข้ามาประกอบ ถึงจะตัดวงจรได้ คราวหน้ามาคุยกันต่อเรื่องวิธีแก้ครับ

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
/////////////////////////////////////////////////////////////////

เพื่อไทยต้องไม่สู้กับตุลาการด้วยการยุบสภา !!??

โดย : พิชิต ลิขิตกิจสมบูรณ์

ในหลายเดือนที่ผ่านมา ฝ่ายเผด็จการได้ก่อการรุกครั้งใหม่เพื่อโค่นล้มรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ด้วยวิธีการเดิม ๆ คือ ส่งมวลชนเสื้อเหลืองสารพัดชื่อมาเคลื่อนไหวบนท้องถนน เรียกร้องให้มีรัฐประหาร ประสานกับสื่อมวลชนกระแสหลักช่วยกันกระพือโจมตีรัฐบาลทั้งจริงและเท็จปะปนกัน สร้างสถานการณ์ให้เห็นว่า รัฐบาลเสื่อมความนิยมจากทุจริตคอรัปชั่นและละเมิดสถาบันกษัตริย์ รวมทั้งพรรคประชาธิปัตย์ที่สนับสนุนกลุ่มมวลชนเสื้อเหลืองบนท้องถนนอย่างเปิดเผย และที่สำคัญคือ การใช้องค์กรตุลาการในมือ เข้ามาสะกัดกั้นการทำงานของรัฐบาลและรัฐสภา ขัดขวางกฎหมายและโครงการต่าง ๆ ที่ริเริ่มโดยรัฐบาล และตั้งแท่นเตรียมยุบพรรค ปลดนายกรัฐมนตรี

แต่ดูเหมือนว่า แกนนำพรรคเพื่อไทยจะยังไม่เข้าใจถึงแก่นแท้ของสถานการณ์ทั้งหมด ยังคงดำเนินยุทธศาสตร์การเมืองแบบเลือกตั้งล้วน ๆ ต่อไป ดังจะเห็นได้จากแนวทางของพรรคเพื่อไทยในการเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และในการเลือกตั้งซ่อมสส.เขตดอนเมือง ซึ่งพ่ายแพ้อย่างน่าอับอายทั้งสองกรณี

สถานการณ์ปัจจุบันเป็นการต่อสู้ทางชนชั้นระหว่างกลุ่มจารีตนิยม พวกทุนเก่า และชนชั้นกลางในเมืองฝ่ายหนึ่ง กับประชาชนรากหญ้า ชนชั้นกลางในชนบทและกลุ่มทุนใหม่อีกฝ่ายหนึ่ง และก็เป็นการต่อสู้สองแนวทางระหว่างระบอบเผด็จการจารีตนิยมกับระบอบประชาธิปไตยเสรีนิยม เป็นการต่อสู้ที่ไม่อาจประนีประนอมกันได้และจะต้องแตกหักในที่สุด

ในการต่อสู้นี้ ฝ่ายจารีตนิยมพ่ายแพ้การเลือกตั้งใหญ่สองครั้ง แต่ก็ยังมีกลไกที่เข้มแข็ง ทั้งกองทัพ ตุลาการ พรรคประชาธิปัตย์ สื่อมวลชนกระแสหลัก องค์กรพัฒนาเอกชน และฐานมวลชนในเขตกรุงเทพและเมืองใหญ่ การเลือกตั้งทั้งระดับชาติและระดับท้องถิ่นทุกครั้งในปัจจุบันจึงไม่ใช่การเลือกตั้งในระบอบรัฐสภาที่เป็นปกติภายใต้ระบอบประชาธิปไตยที่มั่นคง แต่เป็นการต่อเนื่องของสงครามชนชั้นและสงครามสองแนวทาง

พรรคเพื่อไทยชนะเลือกตั้งใหญ่ทั้งสองครั้งก็เพราะประชาชนส่วนใหญ่ที่เลือกพรรคเพื่อไทยนั้นต้องการประชาธิปไตย ขณะที่ประชาชนอีกส่วนหนึ่งไปเลือกพรรคประชาธิปัตย์ก็เพราะพวกเขาไม่ต้องการประชาธิปไตย แต่ต้องการระบอบจารีตนิยม ส่วนการแข่งขันด้วยนโยบายและโครงการนั้นเป็นเรื่องรอง

กรุงเทพฯและปริมณฑลเป็นเขตฐานมวลชนหลักของพวกจารีตนิยมและพรรคประชาธิปัตย์ ขณะที่พรรคเพื่อไทยก็มีฐานคะแนนเสียงและคนเสื้อแดงในจำนวนที่ก้ำกึ่งกัน การเลือกตั้งท้องถิ่นกรุงเทพฯเป็นการต่อเนื่องของการต่อสู้สองแนวทางและการต่อสู้ทางชนชั้นระดับชาติ การแพ้ชนะการเลือกตั้งท้องถิ่นกรุงเทพฯจึงตัดสินกันที่ดุลกำลังของฐานคะแนนเสียงทั้งฝ่ายว่า จะสามารถระดมออกมาได้อย่างเต็มที่หรือไม่ ประเด็นนโยบายและโครงการมีความสำคัญเป็นรอง

คำถามคือ แล้ว “คนกลาง ๆ” หรือ “คนไม่มีสี” อยู่ตรงไหน? คำตอบคือ คนพวกนี้เป็นพวกเฉื่อยชาทางการเมือง หากมีรายได้ไม่สูงก็จะหมกมุ่นกับการทำมาหากิน หากมีรายได้สูง ก็หมกมุ่นกับการหาความสุขส่วนตัว คนพวกนี้ไม่สนใจชะตากรรมของบ้านเมืองและความขัดแย้งใด ๆ ไม่สนใจการเลือกตั้งและส่วนใหญ่จะนอนหลับทับสิทธิ์

แกนนำพรรคเพื่อไทยยังไม่เข้าใจถึงการต่อสู้สองแนวทางในระดับท้องถิ่นกรุงเทพฯ จึงยังคงดำเนินยุทธวิธีทางการเมืองเสมือนเป็นระบอบรัฐสภาตามปกติ คือสร้างกระแสเลือกตั้งด้วยกลยุทธ์การตลาด ประดิษฐ์คำขวัญนโยบายสวยหรู เสนอขายชุดโครงการหลากหลาย เอาผลงานของรัฐบาลระดับชาติเป็นเครื่องประกันคุณภาพ แต่จงใจละเลยไม่ชูประเด็นการต่อสู้ทางประชาธิปไตย ไม่ชี้ให้เห็นว่า หากต้องการประชาธิปไตย ปฏิเสธเผด็จการ ก็ต้องเลือกพรรคเพื่อไทย

แกนนำพรรคเพื่อไทยเชื่อลม ๆ แล้ง ๆ ว่า ด้วยผลงานระดับชาติ คำขวัญหรู ๆ ชุดนโยบายหลากหลาย จะทำให้มวลชนกรุงเทพฯ “คนกลาง ๆ” หรือ “คนไม่มีสี” สนใจหันมาลงคะแนนให้กับผู้สมัครพรรคเพื่อไทย เมื่อรวมกับฐานเสียงพรรคเพื่อไทยและคนเสื้อแดงแล้ว ก็จะชนะเลือกตั้งท้องถิ่นได้ แต่นี่เป็นความเข้าใจผิด เพราะยุทธวิธีดังกล่าวนอกจากจะไม่ได้เสียงจาก “คนกลาง ๆ” “คนไม่มีสี” แล้ว พฤติกรรมอ่อนแอโลเลในการเมืองระดับชาติของพรรคเพื่อไทยยังทำให้การสนับสนุนจากมวลชนคนเสื้อแดงลดน้อยถอยลงไปอีกด้วย ผลก็คือ พรรคเพื่อไทยแพ้การเลือกตั้งท้องถิ่นกรุงเทพฯและปริมณฑลทุกครั้ง และจะแพ้ซ้ำซากเช่นนี้ต่อไปอีก

จะเห็นได้ว่า นโยบายเอาใจคนกรุงเทพฯสารพัดไม่เคยได้ผลตอบรับ ตั้งแต่การต่อสู้ป้องกันไม่ให้น้ำท่วมกรุงเทพชั้นใน โครงการรถยนต์คันแรก โครงการบ้านหลังแรก โครงการรถไฟฟ้า และโครงการอื่น ๆ คนกรุงเทพฯที่เป็น “เหลือง” และ “คนกลาง ๆ” จำนวนมากได้ประโยชน์โดยตรง แต่ก็ยังไม่ลงคะแนนให้พรรคเพื่อไทยเพราะคนกรุงเทพฯที่ “เหลือง” ก็ต่อต้าน “ระบอบทักษิณ” ขณะที่ “คนกลาง ๆ” ไม่สนใจใช้สิทธิ์เลือกตั้ง

ในทางตรงข้าม พรรคประชาธิปัตย์กลับมีความชัดเจนในเรื่องนี้ พวกเขาหาเสียงเลือกตั้งท้องถิ่นกรุงเทพฯและปริมณฑลด้วยการชูความขัดแย้งการเมืองระดับชาติเป็นธงนำ ปลุกระดมฐานมวลชนของตนด้วยการชูธง “ต้านระบอบทักษิณ” หากแพ้เลือกตั้งในกรุงเทพฯและปริมณฑลก็คือ แพ้ต่อ “ระบอบทักษิณ” ทำให้สามารถระดมพลังมวลชนของฝ่ายตนออกมาได้อย่างเต็มที่ และชนะเลือกตั้งทุกครั้ง นัยหนึ่ง พรรคประชาธิปัตย์รู้ดีว่า นี่คือสถานการณ์สู้รบ ต้องชูเป้าหมาย “ต่อต้านระบอบทักษิณ” จึงจะยืนอยู่ได้

หากองค์กรตุลาการเดินหน้าไปถึงขั้นจะยุบพรรคและปลดนายกรัฐมนตรี พรรคเพื่อไทยจะทำอย่างไร? ข้อเสนอข้อหนึ่งภายในพรรคเพื่อไทยคือ ให้สู้กับตุลาการด้วยการยุบสภาและมีการเลือกตั้งใหม่ โดยเชื่อมั่นว่า ประชาชนจะเลือกตั้งพรรคเพื่อไทยเข้ามาด้วยคะแนนล้นหลามอีกครั้ง ซึ่งจะเป็นการยับยั้งฝ่ายตุลาการ

แต่นี่เป็นข้อเสนอที่ไร้เดียงสาด้วยวิธีคิดของการเมืองแบบเลือกตั้งล้วน ๆ คือเชื่อว่า ฝ่ายจารีตนิยม “กลัวการเลือกตั้ง” และเชื่อว่า เมื่อยุบสภาแล้ว ฝ่ายจารีตนิยมจะต้องยอมให้มีการเลือกตั้งใหม่อย่างแน่นอนเพราะไม่มีทางเลือกอื่น นี่เป็นความเชื่อที่ผิด พรรคเพื่อไทยจะต้องไม่ลืมบทเรียนจากการยุบสภาเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2549 ซึ่งแทนที่จะได้เลือกตั้งใหม่ กลับนำไปสู่สภาวะสูญญากาศทางการเมือง ให้พวกจารีตนิยมสร้างวิกฤตการเมืองขึ้นทีละขั้น ขัดขวางไม่ให้มีการเลือกตั้ง จนเป็นเงื่อนไขสุกงอมให้เกิดรัฐประหาร 19 กันยายน 2549

หากพรรคเพื่อไทยสู้กับตุลาการด้วยการยุบสภาก็จะเป็นความผิดพลาดอย่างใหญ่หลวง เพราะจะเหลือแต่รัฐบาลและรัฐมนตรีรักษาการ ไม่มีสภาผู้แทนราษฎร เปิดช่องโอกาสให้พวกจารีตนิยมใช้ตุลาการ สมาชิกวุฒิสภาแต่งตั้ง และมวลชนเสื้อเหลืองบนท้องถนน ตลอดจนกองทัพในมือได้อย่างเต็มที่

สิ่งที่พรรคเพื่อไทยจะต้องทำในสถานการณ์สู้รบนี้ จึงไม่ใช่การยุบสภาอย่างเด็ดขาด แต่เป็นการเดินแนวทางการเมืองแบบมวลชน ชูธงประชาธิปไตยให้สูงเด่น เดินหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญและนิรโทษกรรมนักโทษการเมืองโดยเร็ว พึ่งพาสนับสนุนมวลชนของตนอย่างเต็มที่ ดึงความเชื่อมั่นของมวลชนคนเสื้อแดงกลับคืนมา ต่อสู้กับกลไกของจารีตนิยม ทั้งตุลาการและพรรคประชาธิปัตย์อย่างเต็มที่ด้วยแนวทางทั้งในและนอกสภา

ทีมา.ประชาไท
/////////////////////////////////////////////////////////

เฉลิม อยู่บำรุง : ในสถานการณ์ เปลี่ยนตำแหน่ง ไม่เปลี่ยนปาก !!??

โดย:นพคุณ ศิลาเณร

วูบแรกอ่านหัวข่าว “เฉลิมน้อยใจ...ฮึ่มไขก๊อก” (มติชน 2 ก.ค.2556) ได้แต่อุทาน “เอาอีกแล้ว ดร.เฉลิม อารมณ์ชายมีประจำเดือน” ไหลย้อนกลับมาอีกจนได้...

“เฉลิม อยู่บำรุง” ไม่พอใจการปรับคณะรัฐมนตรีมาตั้งแต่ 26 มิถุนายน ที่เมื่อรู้ข่าวว่าถูกโยกออกจาก “รองนายกรัฐมนตรี” ไปเป็น “รมว.แรงงาน” เท่ากับเป็น “รัฐมนตรีจับกัง” ตามการเปรียบเปรย ประชดประชันของสื่อ

อาการน้อยเนื้อต่ำใจของ “เฉลิม” ก่อรูปให้เห็นชัดเจนยิ่งขึ้นเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน เขาไม่ร่วมถ่ายรูปหมู่คณะรัฐมนตรีใหม่ตามธรรมเนียมปฏิบัติทางการเมืองที่ทำเนียบรัฐบาล

แล้วยกระดับอารมณ์น้อยใจถึงขั้น “ลา” ประชุมคณะรัฐมนตรีใหม่นัดแรกเมื่อ 2 กรกฎาคม ด้วยเหตุผลตื้นๆ ว่า นัดแพทย์ตรวจร่างกาย

จาก 26 มิถุนายน ถึง 2 กรกฎาคม อารมณ์น้อยใจของ “เฉลิม” พัฒนาขึ้นจนส่ออาการ “แยกทาง” กับรัฐบาลภายใต้การนำของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี

แยกทางมีความหมายดุจเดียวกับ “ไขก๊อก” และเท่ากับ “ลาออก” จาก รมว.แรงงาน ซึ่งสะท้อนถึงแนวโน้มทางอารมณ์ว่า มีความ “น่าจะเป็น” มากขึ้น

+ คนห่ามๆ อารมณ์เดิมๆ

หรือว่า อารมณ์น้อยใจของ “เฉลิม” เป็นเกมการเมือง แน่ละ นักวิเคราะห์ย่อมคิดได้

แต่เกมนี้คงไม่เกิดประโยชน์กับหมู่มิตรรัฐบาลและพรรคเพื่อไทย ซึ่งเป็นบรรดาคนกันเองทั้งนั้น

เอาเถอะ...หากเป็นเกมหรือไม่เป็นเกมก็ตาม แต่ดูเหมือน “เฉลิม” จวนเจียนไปสู่หนทาง “จบเกม” การเมืองมากขึ้นทุกขณะ

“เกมจบ” แล้ว ตั้งแต่สื่อพร้อมใจกันนำเสนอประเด็นในทิศทางเดียวกันว่า “เฉลิมน้อยใจ” ซึ่งอาการน้อยใจนั้น เป็นการสะท้อนอารมณ์ลึกๆ ของนักการเมืองคนแก่ๆ

เหนืออื่นใดแล้ว อารมณ์น้อยใจ ยากจะหาเหตุผลมาอธิบายช่วงเหตุการณ์จิตใจถูกฉุดกระชากจนเกิดอารมณ์แปรปรวน และออกอาการไม่พอใจจนลมออกหู...

ถึงที่สุด เฉลิมไม่มีอะไรที่ลึกลับมากไปกว่า “คนแก่น้อยใจ”

มันไม่ใช่เกมและไม่ได้เป็นกลยุทธ์ทางการเมืองเพื่อหลอกฝ่ายตรงข้ามให้หัวปั่น แต่กลับเป็นอารมณ์ของนักการเมืองในวัยชรา

คนชราภาพย่อมมีมิติจิตใจดุจเดียวกับ “เด็ก” ที่มักใช้อารมณ์มากกว่าการใคร่ครวญหาเหตุผล

ดังนั้น อารมณ์ของจิตใจจึงไม่จำเป็นต้องไปตามหาเหตุผลเบื้องลึก เพราะไม่มีให้หา และคนนอกค้นไม่เคยเจอ หากไม่เข้าไปสัมผัสภายในใจอย่างใกล้ชิด

สัมผัสด้วยจิตใจใคร่ครวญ ตามแบบฉบับสำนวนไทยที่ว่า “เอาใจเขา มาใส่ใจเรา” นั่นคือ มิติพัฒนาไปสู่จิตใจที่ปรองดองขึ้น

ในทางการเมืองเมื่อกว่า 2 ปีผ่านมา อารมณ์น้อยใจของเฉลิมเกิดขึ้นมาแล้ว 2 ครั้งติดๆ

หากว่ากันด้วยศาสตร์ทางใจ ร่องรอยอารมณ์น้อยใจของเฉลิมเกิดขึ้นครั้งแรกเมื่อกุมภาพันธ์ปี 2554 จุดเริ่มต้นมาจากมติที่ประชุมพรรคเพื่อไทยมอบหมายให้ “มิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์” เป็นหัวหน้าทีมนำทัพทำศึกซักฟอกรัฐมนตรีพรรคประชาธิปัตย์เป็นรายบุคคล

“เฉลิม” ต่อสู้ทางการเมืองมาโชกโชน มีพรรษาเข้าขั้นอาจารย์ผู้เจนจัด เมื่อมาอยู่พรรคเพื่อไทยถูกจัดเป็นอาวุโสนั่งตำแหน่ง “ประธาน ส.ส.พรรค”

ส่วนมิ่งขวัญจัดอันดับงานการเมืองอยู่ในขั้นละอ่อน ขาดประสบการณ์ แต่ “ทักษิณ ชินวัตร” กลับไว้วางใจให้เป็น “หัวหน้าทีม” ทำงานใหญ่และสำคัญ

อาการน้อยใจของเฉลิมย่อมเกิดขึ้นเป็นธรรมดา เขาประกาศไม่ทำหน้าที่ซักฟอกร่วมกับหัวหน้ามิ่งขวัญ จากนั้นเขาตระเวนไหว้พระดังๆ หาความสบายใจใส่ตัว ไม่คิดฟุ้งซ่าน

ครั้งนั้นเฉลิมย้ำเสมอๆ ว่า “ไม่กลับคืนคำ...เดี๋ยวเสียคน” แต่ถึงที่สุดเขาต้องกลับคำจนได้เมื่อทักษิณ วิดีโอลิงค์มาอ้อนกลางห้องประชุมพรรคเพื่อไทย เขาเปลี่ยนใจ เข้าร่วมทีมซักฟอกด้วยดีและเต็มใจ

อารมณ์คนแก่ในวัย 60 ปลายๆ ย่อมอยู่เหนือจุดยืนทางการเมืองเสมอ นี่คือธรรมชาติมนุษย์ ไม่มีลูกเล่นแบบมีเกมการเมืองเบื้องหลัง

ในเหตุการณ์อารมณ์น้อยใจครั้งที่สอง ก็เกิดจากมิ่งขวัญอีกตามเคย...

สาเหตุเกิดจากพรรคเพื่อไทย โดยเฉพาะ ส.ส.อีสาน พยายามดันมิ่งขวัญเป็นหัวหน้าพรรคเพื่อวัดอนาคตเบอร์หนึ่งแข่งขันเลือกตั้งสู้พรรคประชาธิปัตย์

“เฉลิม” ประเมินว่า หากเอามิ่งขวัญไปแข่งกับอภิสิทธิ์ต้องแพ้เลือกตั้งแน่นอน เขาประกาศจุดยืนการเมือง “ไม่อุ้มไก่แพ้” แต่สนับสนุนให้ “ยิ่งลักษณ์” เป็นเบอร์หนึ่ง เดิมพันอนาคตนายกรัฐมนตรีกับอภิสิทธิ์

อารมณ์น้อยใจประชดประชันของคนแก่อย่างเฉลิมเกิดขึ้นอีก ครั้งนี้เขา “ลาออกจาก ส.ส.” เมื่อ 23 มีนาคม 2554 เพื่อประท้วงไม่ยอมอยู่ภายใต้การนำของมิ่งขวัญ ราวกับส่งสัญญาณถึงทักษิณให้มาอ้อนอีก

แล้วอารมณ์การเมืองซ้ำซาก ได้ย้อนกลับมารอยเดิม ทักษิณอ้อน เฉลิมสงบ พอใจและลงแรงช่วย “ยิ่งลักษณ์” หาเสียงจนได้เป็นนายกรัฐมนตรีในปัจจุบัน

+ “ปาก” เป็นพิษ

“เฉลิม” เล่นการเมืองมานาน ได้เป็น รมว.มหาดไทย ตามที่หวังแล้ว แม้ตำแหน่ง รมว.เกษตรฯที่แอบหมายตาไว้ยังไปไม่ถึงก็ตาม แต่ในช่วงอารมณ์น้อยใจครั้งที่สอง เขาเคยบอกกับสื่อว่า ต้องการวางมือทางการเมือง ด้วยเหตุผลอายุมาก

ปัจจุบันเฉลิมอยู่ในวัย 66 ปี ในทางการเมืองไม่มีคำว่า “แก่ชรา” แต่สำหรับธรรมชาติมนุษย์แล้ว คือคนแก่ค่อนไปทาง “ผู้เฒ่า” สมควรละวางจากการงาน พักผ่อน เลี้ยงหลานอย่างเป็นสุขใจ

นับแต่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ก่อเกิดเมื่อสิงหาคม 2554 เฉลิมเป็นรองนายกรัฐมนตรีใหญ่โต คุมงานตำรวจและสายความมั่นคงทั้งหมด หากจัดอันดับทางการเมืองแล้ว ตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีของเขาคือ เบอร์หนึ่ง มีโอกาสได้เป็นนายกรัฐมนตรี “รักษาการ” เมื่อนายกรัฐมนตรีตัวจริงมอบหมาย

ตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีเบอร์หนึ่งค้ำศักดิ์ศรีทางการเมืองของเฉลิมได้เด่นชัด จนเชื่อได้ว่า นี่คือ “จุดสูงสุด” ทางการเมืองของเขาแล้ว

เฉลิมมีความสุข หัวเราะเอิ๊กอ๊ากยามสัมภาษณ์สื่อ เดินอกผึ่งเด่นสง่าเมื่อแวดล้อมด้วยตำรวจห้อมล้อม ตลอดเกือบ 2 ปีผลงานปราบปรามยาเสพติดของเขาเข้าตาประชาชน ส่วนทางการเมืองไม่มีเสื่อมเสียด้วยข้อหาโกงกิน

เขาจัดเป็นนักการเมืองมือสะอาดแบบหมองๆ ในสายตาพรรคประชาธิปัตย์

เมื่อเฉลิมสนับสนุนยิ่งลักษณ์จนได้เป็นนายกรัฐมนตรี เขาจึงปกป้องเธอจากภัยการเมืองสารพัดที่โหมกระหน่ำเข้าหา จนดูประหนึ่งเป็น “องค์รักษ์” ที่ได้รับการแต่งตั้งจากทักษิณให้ทำหน้าที่คอยป้องกันน้องสาวให้รอดปลอดภัยทางการเมือง

ในความเป็นมนุษย์ เฉลิมสมควรเกิดความน้อยเนื้อต่ำใจได้ เมื่อถูกลดชั้นทางการเมืองจากสูงสุดในบั่นปลายชีวิต แล้ว จู่ๆ การปรับ ครม.ล่าสุดกลับทำให้ให้เขาหล่นตุ้บ มาอยู่ในตำแหน่งที่สื่อเปรียบเปรยว่า เป็น“รัฐมนตรีจับกัง”

คิดแล้วใจหายวูบ ตั้งตัวไม่ทัน จนศักดิ์ศรีเด่นสง่าหนีกระเจิง

แต่ในทางการเมืองแล้ว การเปลี่ยนแปลงตำแหน่งให้สูงขึ้น หรือต่ำลงเป็นสิ่งปกติ เกิดขึ้นเป็นประจำกับหน้าที่การงาน สำหรับเฉลิมแล้ว คงคิดว่า ไม่ใช่สิ่งปกติแน่ที่เกิดขึ้นกับเขา ราวกับถูกลงโทษ ถูกปลดออกจากศูนย์กลางอำนาจรัฐ แล้วไล่ให้ไปใหญ่ในตำแหน่งหัวเมืองชายขอบอะไรประมาณนั้น

เฉลิมคงคิดทบทวนหาสิ่งผิดพลาดที่เกิดขึ้นกับเขา แน่ละคงไม่ใช่ปัญหาจากการทำหน้าที่แก้ไขสถานการณ์ชายแดนภาคใต้ เพราะใครมาเป็นรัฐมนตรีรับผิดชอบก็แก้ไขได้ยาก

แม้ไม่ใช่เฉลิม แต่เป็นยิ่งลักษณ์ ย่อมมิอาจจัดการได้อย่างราบรื่น เรียบร้อย สงบศึกราวกับมิติเจรจาสันติภาพจะเกิดขึ้นได้ง่ายๆ

ความผิดพลาดของเฉลิมคงมีประการเดียว คือเกิดจาก “ปาก” เมื่อพูดแล้ว ขยายผลเสียทางการเมืองให้เกิดขึ้นในยามสังคมต้องการความปรองดอง

ปากของเฉลิม มักย้ำเสมอว่า จะ “นำทักษิณกลับบ้าน”

แม้ทักษิณบอกว่า “หากประเทศสงบสุข พร้อมอยู่ต่างประเทศ ไม่กลับไทย” แต่เฉลิมกลับย้ำไม่ขาดปาก “ขอพาทักษิณกลับบ้าน” นั่นเท่ากับเรียกแขกให้ฝ่ายตรงข้ามรุมอัดทักษิณ แล้วลากโยงมาสู่นายกรัฐมนตรีผู้เป็นเพียงหุ่นเชิดไปอีก

ปากเฉลิมไม่หยุดเพียงเท่านั้น เขายังเปิดโปงขบวนการล้มรัฐบาล ต้องการทำลายทักษิณ อยู่เป็นประจำ ราวกับสนุกสนานเมื่อเกิดม็อบมาต่อต้านยิ่งลักษณ์

ม็อบไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ ม็อบหน้ากากขาว ถูกเฉลิมเปิดโปงผู้สนับสนุนอยู่เบื้องหลังอย่างรู้ความหมายชัดเจน แม้ระบุชื่อเพียงอักษรย่อก็ตาม

ด้วยปากเฉลิมเช่นนี้ เมื่อพูดจึงเกิดเรื่อง เรียกแขกมาถล่มรัฐบาล โจมตีนายกรัฐมนตรีอยู่เป็นประจำ และปากเป็นพิษนั้นสร้างความไม่พอใจให้กับ “วอร์รูม” พรรคเพื่อไทยที่เต็มไปด้วยนักการเมืองบ้านเลขที่ 111 เป็นอย่างยิ่ง

สิ่งนี้ เป็นเหตุผลเพียงพอแล้ว สำหรับการลง “ความเห็นเอกฉันท์” ย้ายเฉลิมมาเป็น รมว.แรงงาน ราวกับจัดงานให้เหมาะสมกับปาก อะไรทำนองนี้

แม้ตำแหน่งรัฐมนตรีเป็นสิทธิ์ของนายกรัฐมนตรีแต่งตั้ง สามารถเปลี่ยนแปลงได้ แต่ “ปากเฉลิม” ยังเป็นของเฉลิมตามเดิม เปลี่ยนได้ยาก

นี่คือ ความจริงและเป็นตัวตนทางการเมืองของเฉลิมมาแต่ไหนแต่ไร

+ จบเกมคนแก่น้อยใจ

ถึงที่สุดแล้ว การปรับ ครม.ครั้งนี้ เฉลิมย่อมน้อยใจเป็นธรรมดา และคงเกิดอารมณ์เจ็บปวดมากกว่าทุกครั้งที่จิตใจเกิดแปรปรวนทางการเมือง

คงเป็นความเจ็บปวดลึกๆ ตามสภาพของคนอารมณ์ดิบๆ ไร้การปรุงแต่งให้ไพเราะ

ไม่แปลกหรอกเมื่อเฉลิมน้อยใจ หากเชื่อมโยงการทุ่มเทจิตใจทำงานปกป้องนายกรัฐมนตรี สมองคิดวางแนวทาง หาช่องให้ทักษิณกลับบ้านให้ได้ แต่ผลที่ได้รับกลับคืนคือ การลงโทษ ถูกลดชั้นทางการเมือง

อารมณ์น้อยใจครั้งนี้ เฉลิมไม่ได้มุ่งหวังให้ทักษิณโฟนอินมาอ้อน ให้เป็น รมว.แรงงานต่ออีก เพราะอารมณ์ของเขาได้พัฒนาทางจิตใจไปถึงขั้น “ลาออก” จากรัฐมนตรี เหลือเพียง ส.ส.แก่ๆ ธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น

นายกรัฐมนตรี บอกว่าไม่เคลียร์กับเฉลิม แน่นอนเพราะคนเคลียร์และต้องอ้อนเฉลิมคือ ทักษิณ

หากครั้งนี้ ผิดคาด ทักษิณ ไม่โทร.มาอ้อนแล้ว เฉลิมคง “จบเกม” ทางการเมือง

หนทางลาออกจากรัฐมนตรีมีความเป็นไปได้สูง

ดังนั้น ตำแหน่ง รมว.แรงงานของเฉลิม จะอยู่หรือไป ทักษิณคือคนต้องตอบและตัดสิน

ที่มา.สยามธุรกิจ
////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันพฤหัสบดีที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ขบวนการ(หากิน)ของคนห่มเหลือง ปลุก ศรัทธา-เงิน-บารมี-นารีพิฆาต !!??

ตีแผ่ 2 องค์ประกอบปั้นพระโด่งดัง ดึงญาติโยมศรัทธาล้นหลาม เงินทองไหลมาเทมาไม่ขาดสาย นำไปสู่เส้นทาง “นารีพิฆาต” ถูกปาราชิกหลุดจากวิถีความเป็นพระสงฆ์ ขณะที่ ปู่เณรคำ เดินอยู่บนเส้นทางคล้ายคลึงกับอดีตพระดัง “สมีเจี๊ยบ-นิกร-ยันตระ-ภาวนาพุทโธ-อิสระมุนี” ส่วนอดีตพระมิตซูโอะ ถูกตั้งคำถามเบียดก่อนสึก หรือสึกก่อนเบียด ด้านพระผู้ใหญ่ในวัดหลวง ระบุ บริบททางสังคมทำให้พระใช้กุฎิมั่วสีกาได้ง่าย
     
              “พระพุทธศาสนา” ไม่มีวันเสื่อม!
     
       คำกล่าวนี้ถูกหักล้างแบบเบ็ดเสร็จ จากคนที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้ก่อตั้ง
     
       คำพุทธทำนายของ “พระพุทธเจ้า” ศาสดาของศาสนาพุทธ เคยกล่าวไว้ว่า พระพุทธศาสนาจะอยู่ได้นานที่สุดก็แค่ 5 พันปีเท่านั้น โดยพุทธศาสนาจะค่อยๆ เสื่อมไปในที่สุดด้วยตัวของมันเอง
     
       เวลานี้ผ่านไปแล้ว 2,600 ปี ก็เหลือเวลาอีกไม่นานนัก ที่จะถึงจุดเสื่อมของพุทธศาสนาอย่างที่มีคำทำนาย โดยพระพุทธเจ้าท่านบอกว่า ความเสื่อมนั้นจะเกิดจากพุทธบริษัททั้ง 4 ที่เป็นคนสนับสนุนพระพุทธศาสนาเอง
     
       พุทธบริษัท 4 ได้แก่ พระภิกษุ พระภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา
     
       พระผู้ชาย พระผู้หญิง ชี ญาติโยม ลูกศิษย์ลูกหา ทั้งหมดนี้แม้จะเป็นส่วนสำคัญในการสนับสนุนพุทธศาสนา แต่ในมุมกลับ คนกลุ่มนี้จะเป็นผู้ทำลายพุทธศาสนาเสียเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “พระสงฆ์” ที่ถือว่าเป็นผู้สนับสนุนพระพุทธศาสนามากกว่าพุทธบริษัทอื่นๆ ก็สามารถเป็น “ผู้ทำลาย” พุทธศาสนาได้มากที่สุดในบรรดาทั้งหมด
     
       อย่าแปลกใจที่เวลานี้เรื่องราวสุดฉาวของ “พระ” ทั้งหลาย จึงเป็นที่ถูกตั้งประเด็นสงสัยว่าศาสนาพุทธกำลังเสื่อมลงอย่างที่สุด หากย้อนดูเหตุการณ์สารพัดเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่เป็นข่าวโด่งดัง ก็ล้วนทำให้ประชาชนเกิดวิกฤตศรัทธาต่อผ้าเหลืองอย่างเห็นได้ชัด
     
       ที่สำคัญพระเหล่านี้กลับมีเส้นทางเดินและจบชีวิตความเป็นพระคล้ายๆ กัน ด้วยเหตุที่ร่ำรวยด้วยแรงบริจาคจากประชาชนที่เลื่อมใสศรัทธา และสุดท้ายมักถูก “ปาราชิก” เพราะสีกาเข้ามาเกี่ยวข้องจนเป็นที่โจษจันถึงปรากฏการณ์ “นารีพิฆาต”!
     
       กลยุทธ์สร้างศรัทธา-เงิน-บารมี
     
       อย่างไรก็ดีการครองจีวรเป็นพระนั้น ถ้าไม่ได้มีศรัทธาประชาชนเข้ามาเสริมแรง โอกาสที่จะกินอยู่อย่างสุขสบาย ร่ำรวยด้วยทรัพย์สินต่างๆ ที่จะใช้เกื้อหนุนใครต่อใครย่อมเป็นไปได้ยาก โดยเฉพาะอิสตรีที่พระนั้นหมายปอง
     
       เพราะพระที่แท้มักอยู่อย่างสมถะ
     
       ขณะที่พระอยากสบายนั้น ต้องสร้างศรัทธา เพราะศรัทธาจะนำมาสู่ “ความสุขสบาย” ที่แม้เป็นฆราวาสก็ยากที่จะประสบความสำเร็จเช่นนี้ได้
     
       ดังนั้น เมื่อเกิดเรื่องฉาวๆ ของพระสงฆ์แต่ละครั้ง แม้พระนั้นๆ จะถูกสังคมประณามหยามเหยียดเพียงไร แต่ไม่นานนักคนก็จะลืมพระฉาวคนนั้นไป และเกิดมีพระรูปอื่นกระทำเฉกเช่นเดียวกันนี้ขึ้นมาใหม่ จนทำให้กระแสวิกฤตศรัทธาในผ้าเหลืองสูงขึ้นกว่าที่ผ่านมา
     
       “เมื่อเรื่องของหลวงปู่เณรคำจบลงหรือค่อยๆ ซาลงไป เชื่อว่าอีกไม่นานก็จะมีเรื่องราวของพระรูปใหม่ๆ ที่โด่งดังในทางธรรมเกิดขึ้นมาอีก ทั้งนี้เป็นเพราะคนไทยลืมง่าย” ดร.มนัส โกมลฑา อาจารย์มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน นครราชสีมา กล่าว
     
       ดร.มนัสเป็นใคร คนในสังคมบางกลุ่มอาจไม่ทราบ แต่ ดร.มนัสนี้ประกาศตัวว่าคือศิษย์หลวงพ่อสด วัดปากน้ำ คลุกคลีกับวงการศาสนามานาน และเป็นผู้หนึ่งที่กล้าออกมาเปิดโปงคนที่เขาเรียกว่า “สมีธรรมชโย” เจ้าอาวาสวัดธรรมกาย ว่าบิดเบือนคำสอนหลวงพ่อสด วัดปากน้ำ ในวิชาธรรมกาย ออกมาหาประโยชน์ส่วนตน และมีคำสอนที่ผิดต่อหลักการพุทธศาสนา
     
       ดร.มนัสจึงเป็นคนหนึ่งที่ประกาศตัวเป็นศัตรูกับ “มาร” ของพระพุทธศาสนาในรูปแบบของพระอย่างเต็มรูปแบบ ไม่ว่าพระรูปนั้นจะได้แรงศรัทธาจากมหาชนมากขนาดไหน
     
       ดร.มนัสกล่าวกับ Special scoop ว่าการที่พระรูปหนึ่งจะโด่งดังขึ้นมา มีลูกศิษย์ลูกหาที่ศรัทธามากมายนั้น เกิดขึ้นจาก 2 องค์ประกอบ คือตัวพุทธศาสนิกชน และกระบวนการของพระ
     
       เนื่องจากเมืองไทยเป็นเมืองพุทธ คนไทยส่วนใหญ่นิยมทำบุญกับพระ เชื่อเรื่องของบาปบุญคุณโทษ เชื่อเรื่องการทำบุญมากได้ผลบุญมาก ยิ่งได้ทำบุญกับพระที่มีวัตรปฏิบัติดีหรือทำบุญกับพระในระดับอรหันต์แล้วจะได้บุญมากขึ้นกว่าพระทั่วไป โดยที่ไม่ยั้งคิดเชื่อหมดใจ ทำให้เมื่อเกิดกระแสพระดังขึ้นมา คนไทยจึงทุ่มศรัทธาไปที่พระรูปดังกล่าว
     
       อีกทางหนึ่งพระที่ดังขึ้นมาส่วนใหญ่จะมีขั้นตอนของความดัง ส่วนใหญ่เกิดขึ้นจากตัวลูกศิษย์ที่ใกล้ชิดช่วยกันส่งเสริม บางรายเป็นญาติของพระ
     
       ส่วนกลยุทธ์ที่ใช้ก็จะเป็น “แบบปากต่อปาก” ทำให้พระรูปนั้นเริ่มเป็นที่รู้จักของญาติโยมพุทธศาสนิกชนมากขึ้น
     
       เมื่อเริ่มเป็นที่รู้จักของผู้คนในระดับหนึ่งแล้ว ขั้นตอนต่อมาก็จะเป็นเรื่องของการเผยแพร่หลักธรรมคำสอน การรับงานบรรยายธรรมตามสถานที่ต่างๆ ถือว่ามีความสำคัญ เพราะยิ่งบรรยายตามสถานที่สำคัญของหน่วยงานต่างๆ มากเท่าไหร่ ยิ่งเป็นการการันตีความเก่งของพระรูปนั้น
     
       หลังจากนั้นก็จะมีเรื่องของหนังสือไม่ว่าจะเป็นชีวประวัติของพระ หรือธรรมะที่พระได้บรรยายทำออกมาเป็นรูปเล่ม ในขั้นตอนนี้มีทั้งส่วนที่ลูกศิษย์เป็นคนจัดการให้หรือบางครั้งมีสำนักพิมพ์บางแห่งเข้าไปประกบ เหมือนกับเป็นการผูกลิขสิทธิ์ไว้กับสำนักพิมพ์แห่งนั้น
     
       “พระที่รูปร่างหน้าตาดี เทศน์เก่ง ส่วนใหญ่มักจะดัง ยิ่งถ้าได้สื่ออย่างหนังสือพิมพ์รายใหญ่เข้ามาช่วยสร้างข่าวให้ก็ยิ่งทำให้ดังเร็วขึ้น เพราะคนส่วนใหญ่เชื่อหนังสือพิมพ์” ดร.มนัสกล่าว
     
       ปัจจุบันด้วยความก้าวหน้าของเทคโนโลยีทำให้ช่องทางในการโฆษณาประชาสัมพันธ์ของพระรูปดังกว้างมากขึ้น ทั้งทางเว็บไซต์และผ่านทางโซเชียลมีเดีย


ภาพที่ถูกส่งต่อในอินเทอร์เน็ตมากที่สุดภาพหนึ่ง เป็นภาพคล้ายหลวงปู่เณรคำกำลังนอนอยู่กับสีกา

       ปูดอิทธิปาฏิหาริย์เรียกแขก
     
       ดังนั้นในแต่ละขั้นตอนที่จะสร้างความดังให้พระจึงไม่ต่างจากการสร้างธุรกิจให้ติดตลาดขึ้นมา ด้วยการเอื้อประโยชน์ระหว่างกัน ธุรกิจสิ่งพิมพ์ขายดีขึ้นจากคนที่ต้องการติดตามพระองค์นั้น และพระก็จะมีญาติโยมที่ศรัทธามากขึ้น
     
       พระที่จะดังขึ้นมาได้ ไม่ใช่แค่เพียงหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าเท่านั้น แต่จะต้องมีตัวเสริมแรงอื่นเข้ามาอย่างเช่น ระลึกชาติได้ ได้พบกับพระพุทธเจ้า พระอินทร์หรืออะไรก็แล้วแต่ที่จะสรรหามาเสริมบารมีให้กับพระรูปนั้น
     
       “จริงไม่จริง ไม่มีใครรู้ได้ แต่หนึ่งในข้อห้ามประการหนึ่งของพุทธศาสนาบัญญัติไว้คือห้ามมีการอวดอุตริมนุสสธรรม ดังนั้นเมื่อศาสนิกชนได้ทราบเรื่องของพระเหล่านี้พึงทราบไว้ว่านี่เป็นการกระทำผิดพุทธบัญญัติแล้ว” ดร.มนัสระบุ
     
       พระกล้าพูด กล้าขอ- “เงิน-สตรี” ไหลมา
     
       เมื่อองค์ประกอบครบถ้วน พระดังมีปาฏิหาริย์ มีบุญบารมีสูง สื่อเริ่มเชียร์ คนศรัทธามากขึ้นด้วยเหตุที่คนไทยพร้อมเชื่อ คราวนี้เมื่อพระจะพูดอะไร บอกบุญอย่างไร ทุกอย่างจะง่ายไปหมด
     
       อย่างไรก็ดี พระผู้ใหญ่ชั้นเจ้าคุณในวัดหลวง เล่าให้ Special scoop ฟังว่า เงินบริจาคที่ทำให้พระรูปนั้นร่ำรวย หรือเพื่อนำไปก่อสร้างสิ่งต่างๆ ในวัดดังๆ ล้วนเกิดจากความศรัทธาของพุทธศาสนิกชน ทั้งหมดจะมาจากการเอ่ยปากขอของพระดังหรือเจ้าอาวาสของวัดดังแห่งนั้น
     
       “ความกล้า” นั้นเอง เป็นสิ่งที่พระที่อยากรวยต้องมีเป็นคุณสมบัติแรก เพราะพระก็เหมือนกับคนธรรมดา ใครกล้าขอก็ได้ตามที่อยากได้ เป็นเรื่องพื้นฐานของมนุษย์
     
       “พระจะรวยได้เพราะญาติโยมศรัทธา ขอให้ไม่อาย กล้าพูด กล้าขอ เมื่อญาติโยมได้ปวารณาไว้พระสามารถทวงได้ 3 ครั้ง เมื่อครบแล้วก็ไปยืนเฉยๆ ให้โยมท่านนั้นเห็นได้อีก 3 ครั้ง”
     
       เช่นเดียวกับ ดร.มนัสที่มองว่า เงินบริจาคที่เข้ามาจะมาจากโครงการของพระที่เสนอความคิดว่าจะก่อสร้างสิ่งต่างๆ เพื่อบำรุงพระศาสนา เช่น สร้างพระใหญ่ หรือถาวรวัตถุอื่นๆ คนที่ศรัทธาอยู่แล้วก็บริจาคเพื่อให้ตัวเองได้บุญมากๆ
     
       ยอมรับว่าพระในสายวิปัสสนาหรือกลุ่มพระป่ามักจะได้รับความนิยมและศรัทธามากกว่าพระสายปริยัติ เพราะคนทั่วไปมองกันว่าพระสายปฏิบัตินั้นเคร่งครัดมากกว่า ดังนั้นพระที่ดังๆ ส่วนใหญ่จะเป็นพระที่มาจากสายปฏิบัติ
     
       ดร.มนัสแนะนำว่า พระในสายปฏิบัติส่วนใหญ่แล้วจะไม่ยึดติดกับเรื่องเงินทองหรือสิ่งปลูกสร้าง หากเห็นว่าพระเหล่านี้มุ่งเน้นเรื่องการรับบริจาคเพื่อสร้างสิ่งต่างๆ แล้ว ตรงนี้ถือว่าขัดกับวิถีปฏิบัติ พระดีๆ ส่วนใหญ่จะไม่เน้นในเรื่องเหล่านี้ หากญาติโยมรุกเร้ามากก็จะปลีกตัวเองออกไป เข้าทำนองที่ว่า “พระดีไม่ดัง พระดังไม่ดี”

ภาพหลวงปู่เณรคำถือกระเป๋าหลุยส์ วิตตอง นั่งเครื่องบินเจ็ต

       ที่ผ่านมา พระที่หลงมัวเมาในสมบัติ และในนารีจึงมีไม่น้อย และส่วนใหญ่เป็นพระดังที่คนศรัทธาระดับประเทศ เช่นที่ดังระเบิดในทางลบอยู่ในเวลานี้อย่างหลวงปู่เณรคำ
     
       หรืออดีตพระอาจารย์มิตซูโอะ ที่คนส่วนใหญ่ก็ยังสงสัยในพฤติกรรมว่าแท้จริงแล้วท่านเบียดก่อนสึก หรือสึกก่อนเบียด ซึ่งเป็นปริศนาที่หลายคนมีคำตอบอยู่ในใจอยู่แล้ว
     
       ส่วนที่ผ่านมามีพระดังๆ ในทางลบจนต้องถูกจับปาราชิก ถูกติดคุก หรือบางรายต้องหลบหนีไปอยู่ในต่างประเทศ จนทำให้ศาสนามัวหมองและเสื่อมทรุดดังคำพุทธทำนายมีให้เห็นอย่างต่อเนื่อง
     
       ใครเป็นใคร ทำอะไรกันบ้าง?
     
       2532 “สมีเจี๊ยบ” มีเมียเกือบโหล
     
       เริ่มตั้งแต่ สมีเจี๊ยบ หรือพระครูสมุห์สรศักดิ์ (เจี๊ยบ) มีข้อมูลจากมหาจุฬาฯ(2535) หน้า 291 ระบุว่าสมีเจี๊ยบ หรือพระครูสมุห์สรศักดิ์ (เจี๊ยบ) คมฺภีรปญฺโญเป็นพระฐานานุกรม ที่พระครูสมุห์ ของเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ เป็นพระหนุ่มและเป็นเลขานุการประจำตัวของเจ้าประคุณ และในระหว่างที่เจ้าประคุณสมเด็จฯเป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช ตั้งแต่วันที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2531 ถึงวันที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2532 ได้ถูกความโลภครอบงำ
     
       โดยเห็นแค่เงินสินจ้างรางวัลเลยถูกจับในคดีปลอมตราสมเด็จพระสังฆราช ทำการแต่งตั้งพระอุปัชฌาย์วิสามัญ ตลอดจนมั่วกับสีกา มีเมียเกือบ 10 คนทั้งที่ยังครองผ้าเหลืองอยู่ สร้างความเสื่อมเสียให้สำนักวัดมหาธาตุฯ เจ้าประคุณสมเด็จฯ ตลอดวงการคณะสงฆ์เป็นอย่างมาก เรียกว่ากลางปี พ.ศ. 2543 สำนักวัดมหาธาตุฯ เสียชื่อเสียงมากที่สุด
     
       แต่ในที่สุดพระครูสมุห์สรศักดิ์ก็ต้องถูกจับสึก เพราะคดีปลอมตราสมเด็จพระสังฆราชทำการแต่งตั้งพระอุปัชฌาย์วิสามัญ และเสพเมถุน เป็นอาบัติปาราชิก ขาดจากความเป็นพระภิกษุเป็นนายสรศักดิ์ พรรัตนสมบูรณ์ หรือสมีเจี๊ยบ” (...มหาจุฬาฯ, ๒๕๓๕, หน้า ๒๙๑)
     
       สมีเจี๊ยบนั้น เมื่อสึกไปแล้ว ได้ให้สัมภาษณ์ในหนังสือพิมพ์มติชนสุดสัปดาห์ เขาบวชตั้งแต่อายุ 13 ปี รวมเวลาบวช 14 ปี มีความสัมพันธ์กับผู้หญิงประมาณอายุ 20 ปี มีผู้หญิงมากกว่า 7 คน เกือบๆ โหล ไล่อาชีพแล้วก็มีนักร้อง 1 คน แม่ค้า 2 คน ช่างเสริมสวย 1 คน นอกนั้นเป็นนักเรียน โดยระบุถึงความรักว่า
     
       “ความรักเป็นคำสั้นๆ แต่มันกินใจและยาวนานสำหรับคนบางคน ซึ่งมันเป็นสิ่งที่ไม่เลือกชั้นวรรณะ เมื่อเกิดขึ้นแล้วยากที่จะห้าม อย่างคนรักพระหรือพระรักคน เป็นเรื่องของสภาวะจิตใจ เมื่อความชอบเกิดขึ้นภายนอก ซึ่งอาจจะหลงรักกันโดยที่อีกคนไม่รู้ และเมื่อถึงวันที่มาประสาน มารับรู้ เข้าใจอะไรกัน ก็ถึงคราวสุกงอม จะว่าเราคนเดียวก็ไม่ได้ มันมีความพอใจและพร้อมกันทั้งสองฝ่าย พระเองก็ข่มขืนผู้หญิงไม่ได้ ความรักความใคร่ ความหลง ทำให้คนตาบอดไปชั่วขณะ บางครั้งก็เกิดอารมณ์ชั่ววูบ บางครั้งเราก็ทำไปด้วยสติสำนึกที่ดี ซึ่งในทางพระถือเป็นโทษที่ร้ายแรง เกินกว่าที่จะปลงอาบัติให้หลุดได้จึงไม่ได้ปลง”
     
       ส่วนในเรื่องเงิน สมีเจี๊ยบกล่าวว่า “บางคนอาจมองว่าผมไปจีบผู้หญิงต้องใช้เงินทุ่ม ที่จริงผู้หญิงเขาก็รู้อยู่แล้วว่าพระไม่ค่อยมีเงินที่จะไปทำอย่างนั้น อย่าง จินตนา โพธิราช นักร้องประจำพลอยคาเฟ่นั้น ผมก็ให้ใช้เดือนละ 2,000 บาท, 3,000 บาทเท่านั้น และไม่ได้ให้ประจำ รายได้ของเขาตกเดือนละ 20,000 บาท
     
       ส่วนผู้หญิงคนอื่นๆ เขาก็มีอาชีพมีงานทำ บางคนว่าผมมีรถเบนซ์ รถบีเอ็มนั่ง นั่นเป็นรถของลูกศิษย์ที่ปวารณาตัวรับใช้ ผมจะเรียกใช้สัปดาห์ละสองสามวันเท่านั้น และที่ว่ากันว่าผมมีคอนโดมิเนียมนั้นก็ไม่จริง อย่างนั้นต้องเป็นคนมีเงิน 30-40 ล้านถึงจะสร้างได้ ผมรู้สึกเสียใจที่มีการกล่าวกันว่าผมมีรายได้วันละ 15,000-100,000 บาท ซึ่งถ้าผมมีรายได้ขนาดนั้น ผมคงไม่อยู่ดักดาน ต้องออกไปนานแล้ว ตอนนี้มีเงินอยู่เพียง 30,000 บาท ใช้ชีวิตเงินเพียง 500,000-600,000 บาท ก็คิดว่าเป็นชีวิตที่สุขสบายแล้ว”
     
       ปัจจุบันสมีเจี๊ยบก็ใช้ชีวิตฆราวาสตามเส้นทางที่เลือกเดินแล้ว
     
       2533 “พระมหานิกร” เสพเมถุนกับอิสตรี
     
       ห่างกันแค่ปีเดียว ก็เกิดกรณี พระมหานิกร หรือนายนิกร ยศคำจู เป็นพระดังอีกหนึ่งรูปขณะดำรงสมณเพศในฐานะพระครูใบฎีกานิกร ธรรมวาที เจ้าอาวาสวัดสันปง อำเภอพร้าว จังหวัดเชียงใหม่ มีข่าวคาวกับ “อิสตรี” เมื่อไปมีความสัมพันธ์กับนางอรปวีณา บุตรขุนทอง จนมีลูกด้วยกัน และมีหลักฐานมากมายทั้งจดหมายรัก ภาพถ่ายต่างๆ และถูกดำเนินคดีทั้งศาลยุติธรรม และศาลสงฆ์ในท้ายที่สุด โดยศาลสงฆ์มีมติระบุความผิดพระนิกรว่าเป็น “ปฐมปาราชิก” คือการเสพเมถุนกับอิสตรี ขาดจากความเป็นพระ แม้จะกลับมาบวชใหม่ก็ไม่สามารถดำรงความเป็นสมณเพศได้
     
       แต่พระนิกรไม่ยอมถอดผ้าเหลือง จึงเป็นเหตุให้มีการแก้ พ.ร.บ.ปกครองสงฆ์ พ.ศ. 2535 (ฉบับที่ 2) ให้ตำรวจ/อัยการ จับพระสึกได้
     
       อย่างไรก็ดี หลังจากเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้น นายนิกรยังคงอยู่ในร่มกาสาวพัสตร์ โดยใช้วิธีนุ่งขาวห่มขาว ปฏิบัติธรรมต่อไปที่สำนักปฏิบัติธรรมพระธาตุดอยนางแล จังหวัดเชียงใหม่ สลับกับเดินทางไปปฏิบัติธรรมที่ประเทศมาเลเซีย และเดินทางเผยแพร่ธรรมะอีก 38 ประเทศ จนเมื่อวันที่ 13 ธ.ค. 2550 พบว่า นายนิกร ได้แต่งกายห่มผ้าสีน้ำตาลเข้ม นำเอกสารแอบอ้างว่าเป็นสงฆ์ ไปรักษาพยาบาลที่โรงพยาบาลสงฆ์ จนถูกดำเนินคดีด้วย โดยเบื้องต้นเจ้าหน้าที่แจ้งข้อหาแต่งกายหรือใช้เครื่องหมายที่แสดงว่าเป็นพระภิกษุ สามเณร นักพรต หรือนักบวช โดยมิชอบ เพื่อให้บุคคลอื่นเชื่อว่าตนเป็นเช่นนั้น มีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 2,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ตามมาตรา 208 กม. (ป.อาญา) พร้อมทั้งสอบปากคำก่อนปล่อยตัวชั่วคราว


       2537 นารีพิฆาตดับ “ยันตระ อัมโรภิกขุ”
     
       ยันตระ อมโร เจ้าสำนักวัดป่าสุญญตาราม เกริงกาเวีย อ.สังขละบุรี จ.กาญจนบุรี หรือ พระวินัย อมโร ในชื่อของนายวินัย ละอองสุวรรณ พระยันตระเป็นพระในคณะสงฆ์ธรรมยุตนิกาย ก่อนอุปสมบทเป็นพระภิกษุ เขาได้ปฏิบัติตนเป็นนักพรตฤๅษีอยู่หลายปีจนเป็นที่รู้จักกว้างขวาง ต่อมาได้อุปสมบทเป็นพระสงฆ์ในธรรมยุตนิกายเมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2517 ณ พัทธสีมาวัดรัตนาราม อำเภอปากพนัง จังหวัดนครศรีธรรมราช ชื่อ “ยันตระ” แปลว่าผู้ไกลจากกิเลส
     
       พระยันตระ ถือเป็นพระอีกรูปหนึ่งที่ได้รับแรงศรัทธามหาศาลจากผู้คนจำนวนมากถึงขนาดมีคำกล่าวว่า บ้านจำนวน 10 หลังคาเรือนต้องมี 8 ใน 10 หลังที่มีภาพพระยันตระไว้บูชา และหากพระยันตระเดินทางไปแสดงธรรมที่ใด พุทธศาสนิกชนจากทั่วทุกสารทิศต่างเดินทางมาจนแออัด แม้กระทั่งสนามหลวง ถึงขนาดมีการปูพรมแดงตลอดเส้นทางที่พระยันตระเดินผ่านก็มีให้เห็น
     
       นอกจากนี้ยังมีผู้ศรัทธาสร้างสำนักวัดถวายหลายแห่ง โดยทุกวัดที่สร้างจะใช้คำว่า “สุญญตาราม” ประกอบด้วยเสมอ สำนักที่เป็นที่รู้จักดีคือ วัดป่าสุญญตาราม กาญจนบุรี วัดป่าสุญญตาราม เมืองบันดานูน รัฐนิวเซาท์เวลส์ ประเทศออสเตรเลีย เป็นต้น
     
       แต่แรงศรัทธากลับต้องสะเทือนหนักเมื่อปี พ.ศ. 2537 เมื่อสีกากลุ่มหนึ่งทำหนังสือร้องเรียนขึ้นทูลสมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก รวมทั้งยังร้องเรียนโดยตรงไปยังอธิบดีกรมการศาสนาในขณะนั้น ถึงการปฏิบัติตัวไม่เหมาะสมกับความเป็นพระของพระยันตระ อมโร
     
       โดยในหนังสือร้องเรียนของกลุ่มสีกาดังกล่าว มีหลักฐานเป็นเทปการสนทนาระหว่างพระยันตระกับนางจันทิมา ซึ่งเป็นหนึ่งในสีกาที่ร้องเรียนว่า พระยันตระได้ล่อลวงไปเสพเมถุนด้วยจนตั้งครรภ์ และคลอดออกมาเป็นบุตรสาวในนาม “ด.ญ.กระต่าย” คดีนี้ เกิดการท้าพิสูจน์และฟ้องร้องกันเป็นเรื่องราวใหญ่โต
     
       โดยนางจันทิมา และ ด.ญ.กระต่าย ยอมเจาะเลือดตรวจดีเอ็นเอ ซึ่งถือเป็นเรื่องใหม่ในขณะนั้นเพื่อพิสูจน์ความจริงหาผู้เป็นพ่อของเด็ก แต่ทว่า พระยันตระกลับปฏิเสธไม่ยอมเจาะเลือดตรวจพิสูจน์ ในขณะที่การฟ้องร้องดำเนินคดี เรื่องน่าจะสิ้นสุดอยู่ที่ชั้นอัยการ เนื่องจากพระยันตระเดินทางหลบหนีออกไปต่างประเทศเสียก่อนที่คดีจะถูกนำขึ้นให้ศาลพิจารณา และในระหว่างอยู่ต่างประเทศก็มี หม่อมดุษฎี บริพัตร ซึ่งถือเป็นโยมอุปัฏฐากคนสำคัญของพระยันตระ นำมาเป็นหลักฐานร้องเรียนถึงความไม่เหมาะสม ต่อความเป็น “สมณสารูป” ระหว่างที่พระยันตระเดินทางไปต่างประเทศด้วย
     
       ข้อมูลการกระทำที่ผิดพระวินัยร้ายแรงด้วยการมีเพศสัมพันธ์กับนางแก้วตา บนดาดฟ้าเรือเดินสมุทรไวกิ้งไลน์ ระหว่างทางจากกรุงสตอกโฮล์ม ประเทศสวีเดน ไปยังกรุงเฮลซิงกิ ประเทศฟินแลนด์ แล้วยังมีหลักฐานว่าพระยันตระจับต้องกายนางสาวซูซานด้วยความกำหนัด ณ กุฏิริมน้ำ วัดป่าสุญญตาราม เมืองบันดานูน ประเทศออสเตรเลีย พระยันตระร่วมหลับนอนกับนางสาวอีวา ที่กรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย และพร่ำพูดถึงความรักต่ออีวาทางโทรศัพท์ ซึ่งมีหลักฐานเป็นเทปบันทึกเสียง รวมถึงหลักฐานจากสื่อต่างๆ ที่พบสลิปบัตรเครดิตที่โยมอุปัฏฐากถวายให้ แต่มีการนำไปใช้ในสถานบริการทางเพศ สถานบริการอาบอบนวดในประเทศออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ รวมทั้งหลักฐานการเปิดโรงแรม และเช่ารถร่วมกับสตรีเพียงสองต่อสอง
     
       ความผิดหวังต่อแรงศรัทธาดังกล่าว ทำให้มีผู้สูงอายุบางรายถึงกับ “ช็อก” จนลูกหลานต้องนำส่งโรงพยาบาล เพราะรับไม่ได้มาแล้ว
     
       ทั้งนี้ในปี 2537 นี้เอง พระยันตระถูกตั้งอธิกรณ์ (ข้อกล่าวหาผิดวินัยร้ายแรง)ว่า ล่วงละเมิดเมถุนธรรม ต้องอาบัติปาราชิก ขาดจากความเป็นพระภิกษุ ตามพระธรรมวินัย ซึ่งในที่สุด มหาเถรสมาคมได้พิจารณาอธิกรณ์ดังกล่าวแล้ว ปรับให้พระยันตระ เป็นปาราชิก ไม่สามารถดำรงตนในฐานะพระภิกษุได้อีกต่อไป ต้องสึกจากความเป็นพระ โดยที่ประชุมมหาเถรสมาคม มีมติเมื่อวันที่ 27 มี.ค. 2537 ให้พระยันตระ พ้นจากสมณเพศด้วยสาเหตุ “ประพฤติตัวไม่เหมาะสมกับพรหมจรรย์”
     
       แต่พระยันตระไม่ยอมรับ และยังหันไปนุ่งห่มผ้าที่คล้ายจีวร แต่ถูกย้อมเป็นสีเขียวเข้ม ทำให้ได้รับฉายาว่า “จิ้งเขียว” ร่วมกับ “สมียันดะ” ด้วย ปัจจุบันยันตระยังใช้ชีวิตสุขสบายในประเทศสหรัฐอเมริกา และยังคงมีญาติโยมรวมทั้งลูกศิษย์ลูกหาที่ยังคงศรัทธาติดตามรับใช้กันอย่างใกล้ชิด
     
       2538 เสียงครวญ “ภาวนาพุทโธ” พ่อถูกใส่ร้าย!
     
       สำหรับข่าวดังในช่วงปี พ.ศ. 2538 ไม่มีข่าวไหนดังเท่ากับแรงศรัทธาที่สิ้นลงของ “พระภาวนาพุทโธ” หรือ นายจำลอง คนซื่อ ซึ่งเป็นพระสายวิปัสสนาจารย์ มีชื่อเต็มว่าพระมหาจำลอง กิตฺติปญฺโญ เจ้าอาวาสวัดสามพราน อ.สามพราน จ.นครปฐม ซึ่งเป็นพระที่โด่งดังมากในยุคนั้น
     
       แรงศรัทธาของพุทธศาสนิกชนต่อพระภาวนาพุทโธนั้นมีมากจนทำให้มีประชาชนหลั่งไหลไปทำบุญและฝึกวิปัสสนากรรมมัฏฐานกันจำนวนมากที่วัดสามพราน จังหวัดนครปฐม แห่งนี้
     
       ปัญหาอยู่ที่ว่าวัดแห่งนี้มิได้มีเพียงแค่การฝึกวิปัสสนากรรมมัฏฐาน แต่ยังมีการรับอุปการะเด็กชาวเขาจากจังหวัดแม่ฮ่องสอน และเชียงใหม่ มาให้การศึกษาเลี้ยงดูและพักอาศัยในวัดสามพราน ซึ่งหากเป็นผู้หญิงจะไปอยู่ในกำกับดูแลของแม่ชีภายในวัด ซึ่งเด็กชาวเขาเหล่านั้นอยู่ในหมู่บ้านที่นับถือศาสนาอื่น
     
       ความมาแตกเมื่อพระลูกวัดโพธิ์เรียงซึ่งเป็นญาติของเด็กหญิงชาวเขารายหนึ่ง ทราบพฤติกรรมและได้ทำเรื่องร้องเรียนต่อกรมการศาสนา และตำรวจกองปราบปราม เรื่องราวของ “ภาวนาพุทโธ” จึงได้รับการสอบสวน และพิพากษาในปี 2547 มีความผิดในฐานข่มขืนกระทำชำเราหญิงอายุไม่เกิน 13 ปี และไม่เกิน 15 ปี ซึ่งมิใช่ภรรยาตน และฐานได้กระทำต่อศิษย์ที่อยู่ในความดูแล และพวกแม่ชีถูกฟ้องฐานเป็นผู้สนับสนุน เป็นธุระจัดหา และชักพาหญิงไปเพื่อสำเร็จความใคร่เพื่อการอนาจารเด็กหญิงชาวเขาถึง 6 คน โดยพิพากษาจำคุกเป็นเวลาถึง “160 ปี” แต่ตามกฎหมายสามารถจำคุกจำเลยได้เพียง 50 ปีเท่านั้น โทษจึงคงเหลือจำคุก 50 ปี
     
       โดยภาวนาพุทโธ มีการกระทำชำเราเด็กชาวเขาตั้งแต่ปี 2531-2538 ต่อเนื่องกัน โดยศาลฎีกาพิจารณาตัดสินในวันที่ 7 พ.ค. 2552 โดยให้ความเห็นว่า พยานโจทก์ที่เป็นผู้เสียหายเบิกความสอดคล้องกันทั้ง 9 ปากถึงพฤติการณ์จำเลยว่า ได้มีจำเลยที่เป็นแม่ชี พาผู้เสียหายรายละ 1 คน เข้ามาที่กุฏิทางห้องน้ำ อ้างว่าต้องไปทำความสะอาดห้องบันทึกเทป จากนั้นให้ผู้เสียหายไหว้พระพุทธรูป จำเลยที่ 1 จึงเดินมาจากชั้น 2 ทางบันไดเหล็ก แล้วให้ผู้เสียหายมากราบที่ตัก แล้วใช้มือลูบผม แล้วให้ผู้เสียหายไปปูที่นอน หรือให้ช่วยบีบนวดที่ขา
     
       จากนั้นจำเลยที่ 1 จะเดินมาทางด้านหลังแล้วโอบกอด โดยให้แม่ชีช่วยจับแขนขา จำเลยที่ 1 จึงจูบที่นมแล้วใช้อวัยวะเพศสอดใส่กระทำชำเรา เมื่อสำเร็จความใคร่แล้วก็ให้ผู้เสียหายกินยาคุมกำเนิด แล้วพาไปล้างอวัยวะเพศที่ก๊อกน้ำในห้องน้ำ ก่อนให้แม่ชีพากลับห้องพัก สำหรับรายที่ครั้งแรกไม่ยินยอมก็จะถูกลงโทษด้วยการเดินจงกรมกลางแดดบนพื้นดินที่มีกรวดหินแหลมคม
     
       ศาลฎีกาพบว่ามีความผิดจริง จึงพิพากษายืน จำคุกนายจำลอง คนซื่อ ตามที่ศาลชั้นต้น และศาลอุทธรณ์พิพากษา!
     
       กระนั้น แรงศรัทธามหาศาลของลูกศิษย์ลูกหาที่ยังไม่เชื่อว่าภาวนาพุทโธจะกระทำเช่นนั้นได้ ยังมีการนำเงินไปให้ภาวนาพุทโธ ระหว่างจองจำเพื่อรอคำตัดสินของ 3 ศาล ด้วยการบริจาคในชื่อ “นช.จำลอง คนซื่อ” สูงถึง 14 ล้านบาท
     
       จากคำพูดคำเดียวคือ “พ่อไม่ผิด พ่อถูกใส่ร้าย”!

       อิสระมุนี “มือที่ 3 ทำครอบครัวสีกานิด” แตกแยก?
     
       อีกรายที่โด่งดังไม่แพ้กัน พระอิสระมุนี หรือ พระพีระพล เตชะปัญโญ เดิมชื่อ นายบรรหาร อดีตเจ้าอาวาสวัดธรรมวิหารี (วัดร่วมใจพัฒนา-วัดป่าละอู) อำเภอแก่งกระจาน จังหวัดเพชรบุรี เป็นพระสงฆ์สายวิปัสสนา เป็นอดีตพระเลขาของหลวงปู่ชา สุภัทโท แห่งวัดหนองป่าพง อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี ต่อมาเกิดขัดแย้งกับลูกศิษย์ของหลวงปู่ชา ถูกกล่าวหาว่าโกงเงินของวัดจนถูกจับสึก จึงเดินทางมาที่จังหวัดเพชรบุรี ปักกลดและตั้งสำนักสงฆ์บริเวณป่าละอู ตำบลป่าแดง อำเภอแก่งกระจาน พัฒนาจนกลายเป็นวัดธรรมวิหารี มีเนื้อที่กว่า 200 ไร่ในปัจจุบัน
     
       พระอิสระมุนีนี้ เคยเป็นพระที่นับถือเลื่อมใสจากอดีตนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร และภริยา พจมาน ณ ป้อมเพชร เป็นอย่างมาก กระทั่งในปี 2543 ยังเคยให้นายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชาย เข้าอุปสมบทและศึกษาพระธรรมกับพระอิสระมุนีอยู่ระยะหนึ่ง
     
       พระอิสระมุนีเคยนิยามตัวตนของตัวเองไว้ว่า
     
       “เราผู้มีชื่อว่า อิสระมุนี ไม่ใช่ฐานันดรบุคคล ไม่ใช่พระมหาเถระผู้มีวาสนายิ่งใหญ่มหึมา ที่ใครๆ จะต้องกราบไหว้ ไม่ใช่พระมหาผู้มีความรู้กว้างขวางจนไม่มีใครเทียมเท่า ไม่ใช่บัณฑิตศิษย์เก่าของมหาวิทยาลัยใด ไม่ใช่นักปราชญ์หรือนักวิชาการ หรือนักคิดที่ถูกคนเขาให้ดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์กันเป็นกระบุงๆ เพราะฉะนั้น เราจึงมีชื่อว่า อิสระมุนี ผู้ที่ต้องการรู้จักเราก็จงรู้ที่ออกมาจากใจของเราตามที่กล่าวมานี้เถิด”
     
       อย่างไรก็ดี วันที่ 13 ต.ค. 2544 พระอิสระมุนี ถูกทีมงานรายการถอดรหัส ทางสถานีโทรทัศน์ไอทีวีเปิดเผยว่า มีเพศสัมพันธ์กับสีกานิด หรือนางอุมาพร อุมา สีกาคนสนิท ในขณะที่สีกานิดมีครอบครัวอยู่แล้ว โดยมีหลักฐานเป็นจดหมายเขียนถึงสีกาสาว 10 หน้ากระดาษและเทปสนทนาทางโทรศัพท์ซึ่งได้รับการเปิดเผยจาก น.ส.ปวรนันท์ พันสะ อดีตลูกศิษย์และเพื่อนสนิทของสีกานิดเป็นคนนำหลักฐานมาเปิดโปง ซึ่งพระอิสระมุนีก็ได้สึกจากสมณเพศในทันที
     
       ทั้งนี้ หลวงพ่ออิสระมุนี ได้ออกแถลงการณ์ฉบับที่ 2 ส่งโทรสารไปให้สำนักงานของหนังสือพิมพ์ “ไทยโพสต์” โดยข้อความในแถลงการณ์มีว่า “ข้าพเจ้าขอประกาศให้ท่านทั้งหลายทราบว่า เพื่อยุติปัญหาความวุ่นวายที่เกิดขึ้นจากกรณีการกล่าวหาข้าพเจ้าในครั้งนี้ ข้าพเจ้าขอเสียสละความเป็นพระภิกษุออกไปอย่างสิ้นเชิง
     
       ต่อไปนี้ขอให้ถือว่าข้าพเจ้ามิได้อยู่ในฐานะของพระสงฆ์หรือสามเณรแล้ว และได้ลาออกจากคณะสงฆ์ และความเป็นพระตามสมมติแล้วอย่างถูกต้องตามพระธรรมวินัยทุกประการ โดยมีพระภิกษุเป็นประจักษ์พยาน จึงขอให้ทุกฝ่ายและทุกคนจงพอใจในสิ่งที่ตนต้องการตามที่ปรารถนา ส่วนเราก็จะใช้ชีวิตสงบของเราโดยไม่สนใจว่าใครจะคิดอย่างไรในปัญหาที่เกิดขึ้น
     
       นี่คือความเสียสละอย่างที่สุดแล้ว จึงขอให้ทุกคนอยู่ในความสงบ ไม่ต้องห่วงว่าเราจะแอบอ้างความเป็นพระเพื่อแสวงหาลาภ สักการะ และยศศักดิ์ใดๆ จากใคร และใครๆ ก็อย่าเอาลาภสักการะเงินทองมาให้เรา ลงชื่อ ลายเซ็นของ อิสระมุนี วันที่ 15 ต.ค. 2544”
     
       หลวงปู่เณรคำ “เมีย 8 ลูก 2”
     
       ล่าสุดก็เป็นกรณีของหลวงปู่เณรคำ และไม่ว่าทั้งหลวงปู่เณรคำ หรือสานุศิษย์จะแก้ตัวอย่างไร กับภาพต่างๆ ที่ปรากฏตามสื่อมวลชนก็ฟังไม่ขึ้นแล้ว โดยเฉพาะการใช้สิ่งของเครื่องใช้ราคาแพงเกินสมณเพศ ทั้งแว่นเรย์แบน กระเป๋าหลุยส์ วิตตอง ใช้ไอโฟน นั่งเครื่องบินเจ็ต ฯลฯ แล้วยังเป็นที่เปิดเผยว่า “หลวงปู่เณรคำ” ที่มีอายุ 34 ปีคนนี้ มีเมียมากถึง 8 คน และมีลูกแล้ว 2 คน จากการเปิดเผยของทีมข่าวภูมิภาคของหนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวัน (แฉเรียงตัว เมีย 8 ลูก 2 ของ “ไอ้คำ” พระฉาวศรีสะเกษ, 2 ก.ค. 56) แถมทุกคนยังได้รับ “บำเหน็จ” เป็นทั้งค่าเลี้ยงดูตั้งแต่เดือนละ 20,000-100,000 บาท อีกทั้งยังมีการปลูกบ้าน ซื้อรถให้อย่างเอิกเกริก
     
       ล่าสุดเมื่อวันที่ 2 ก.ค.ที่ผ่านมา ร.ต.อ.หญิง สุวณีย์ แสวงผล รองเลขาธิการ ปปง. เปิดเผยว่าหลังจากนายสงกรานต์ อัจฉริยะทรัพย์ ประธานเครือข่ายพลังต่อต้านการบ่อนทำลายชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ยื่นเรื่องให้ ปปง.ตรวจสอบข้อเท็จจริงการทำธุรกรรมทางการเงินของพระวิระพล สุขผล หรือหลวงปู่เณรคำ ฉัตติโก ประธานสงฆ์วัดป่าขันติธรรม ต.ยาง อ.กันทรารมย์ จ.ศรีสะเกษ กับพวก พบว่า ภายหลังตรวจสอบฐานข้อมูลธุรกรรมทางการเงินของหลวงปู่เณรคำและพวก รวม 16 บัญชี พบมีกระแสเงินหมุนเวียนมากกว่า 200 ล้านบาท และมีการเคลื่อนไหวของเงินตลอดเวลาทุกวัน
     
       จากข้อมูลที่มีอยู่ค่อนข้างชัดเจนว่า หลวงปู่เณรคำและเครือข่าย มีพฤติการณ์เข้าข่ายความผิดตามมูลฐานกฎหมายฟอกเงิน ด้วยการฉ้อโกงประชาชน ในโครงการต่างๆ ทั้งการจัดสร้างพระแก้ว เปิดบัญชีหลอกให้ประชาชนมาบริจาคเงิน โครงการจัดสร้างโรงพยาบาล ซึ่ง ป.ป.ช.จะทำการตรวจสอบทรัพย์สินของหลวงปู่เณรคำ ลูกศิษย์ และผู้หญิงที่เป็นข่าวว่ามีความสัมพันธ์ใกล้ชิดทุกคนต่อไป


อาจารย์มิตซูโอะกับภรรยา

       2556 สึกเพราะรัก “มิตซูโอะ คเวสโก”
     
       อีกกรณีที่เกิดล่าสุดเป็นที่ช็อกสังคมมากที่สุดข่าวหนึ่ง เมื่อปรากฏว่าหญิงสาวนามหนึ่งได้โพสต์รูปถ่ายแนบสนิทชิดเชื้อกับอดีตพระมิตซูโอะ อดีตเจ้าอาวาสวัดสุนันทวนาราม จ.กาญจนบุรี พระสายปฏิบัติชื่อดังที่มีคนนับถือและปฏิบัติตามคำสอนทั่วประเทศ และภายในวันเดียวก็มีรูปปรากฏการจดทะเบียนสมรสระหว่าง นายมิตซูโอะ คเวสโก และนางสุทธิรัตน์ มุตตามระ ม่ายสาวอายุ 52 ปี ที่ประเทศญี่ปุ่น โดยมีการเผยแพร่คลิปวิดีโอแถลงข่าวบนยูทูบว่า
     
       “อยากให้จบแต่เพียงเท่านี้ บวชมานาน 38 พรรษา ไม่เคยคิดอยากจะสึก ไม่เคยคิดอยากแต่งงานในชาตินี้ แต่สำหรับแอนคงเป็นเนื้อคู่แต่ชาติปางก่อน เป็นคู่บารมีของอาจารย์”
     
       โดยความประทับใจต่อคุณแอนนั้น อาจารย์มิตซูโอะกล่าวว่า “เกิดจากช่วงที่เจอกันที่วัด เห็นว่าคุณแอนตั้งใจปฏิบัติทำวัตรเช้า ตั้งแต่ตี 3 ทุกวัน และยังมาที่ศาลาเป็นคนแรกด้วย ขนาดคนที่วัดยังอาย รวมทั้งช่วยงานวัดตลอดทั้งวัน ช่วยนี่ช่วยนั่น จนเสร็จทำวัตรตอน 3 ทุ่ม ก็กลับไปพัก และกลับมาทำวัตรเช้าเป็นคนแรกของอีกวัน ซึ่งเห็นคุณแอนตั้งใจปฏิบัติธรรมจนเกิดความประทับใจ”
     
       กระนั้นคำถามถึงความไม่เหมาะสม และข้อสงสัยว่าอาจจะมีการทำผิดพระวินัยยังกระหึ่มในสังคมไทยที่ยังไม่มีคำตอบ
     
       เหตุใดทำให้พระเหล่านี้ “ตบะแตก” เอาง่ายๆ ทั้งๆ ที่บวชเรียนมาหลายปี?
     
       บวชนานมีโอกาสตบะแตก
     
       เมื่อคนศรัทธามากขึ้น มีเงินเข้ามาในวัดพระดังมากขึ้น ญาติโยมต่างต้องการฟังธรรมจากพระดังเหล่านั้น เพื่อหวังบุญกุศล การใกล้ชิดระหว่างพระดังกับผู้ที่ศรัทธาย่อมมีมากขึ้น
     
       “อย่าลืมว่าพระก็คือคนธรรมดา ยิ่งพระที่บวชเรียนมาตั้งแต่เด็กที่ไม่เคยใช้ชีวิตในทางโลกเลย เมื่อมีสิ่งเร้าไม่ว่าจะเป็นการแต่งกายของโยมผู้หญิง ที่อาจจะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ นุ่งสั้นหรือใส่เสื้อคอลึก อาจทำให้ไขว้เขวได้”
     
       นอกจากนี้คนที่ศรัทธาต่อพระรูปใดรูปหนึ่งแล้ว จะมองว่าพระเป็นเหมือนดารา บางรายทำตัวเหมือนแม่ยก อีกทั้งพระชื่อดังมักจะมีเงินบริจาคเข้ามาเยอะ ส่วนใหญ่ผู้หญิงที่ตกเป็นข่าวกับพระมักจะเป็นเรื่องของเงินเข้ามาเกี่ยวข้อง
     
       ขณะที่พระผู้ใหญ่ชั้นเจ้าคุณจากวัดหลวงแห่งหนึ่ง กล่าวว่า “ปัญหาที่เกิดขึ้นนั้น ถ้าจะตบมือข้างเดียวคงไม่ดัง พระก็คือปุถุชน คนจนมักจะมีความกลัว ถ่อมตน รู้สึกหดหู่ ส่วนคนรวยไม่หดหู่ พระก็เช่นเดียวกัน เมื่อมีเงินเยอะอาจจะลืมได้”
     
       พร้อมกล่าวเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันคนที่บวชพระไม่ได้เกิดจากศรัทธา อีกทั้งการครองตัวของพระ มีเรื่องของศีล 227 ข้อ กฎหมายคณะสงฆ์ซึ่งในทางสงฆ์แล้วพิสูจน์ยาก จึงมีการนำเอากฎหมายบ้านเมืองเข้ามาเป็นตัวตัดสินอีกทางหนึ่ง โอกาสของพระที่จะถูกจับผิดก็มีมากขึ้น
     
       ที่ผ่านมาพระสงฆ์ที่ดีๆ ต้องถูกจับสึกออกไปก็มี เพราะความไม่รู้ หรือรู้เท่าไม่ถึงการณ์ และอาจไม่ทันญาติโยม
     
       สิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนไปในปัจจุบัน ทำให้โอกาสของพระทำผิดวินัยถึงขั้นปาราชิกก็มีมากขึ้น เครื่องมือสื่อสารอย่างโทรศัพท์ทำให้การติดต่อระหว่างกันง่ายขึ้น ทุกอย่างจึงอยู่ที่สามัญสำนึก ถ้าพระมีสติแล้วก็ไม่เกิดปัญหา อีกทั้งพระสงฆ์ยุคนี้ไม่ค่อยอยู่ในสายตาของชาวบ้านนัก ทำให้สถานที่อย่างกุฏิกลายเป็นต้นเหตุของปัญหา นารีพิฆาตได้
     
       เอาผิดพระไม่ง่าย
     
       แหล่งข่าวกล่าวว่า ในวงการสงฆ์ก็มีเรื่องของสมณศักดิ์ แต่ละท่านก็ต้องการเลื่อนขั้นกันทั้งนั้น ปฏิเสธไม่ได้ว่าบางตำแหน่งมีการวิ่งเต้นกันเพื่อให้ได้ตำแหน่ง เงินจึงเป็นปัจจัยสำคัญ พระดังบางท่านก็เคยสนับสนุนให้พระบางรูปขึ้นเป็นใหญ่เป็นโต หรือแม้กระทั่งสนับสนุนด้านค่าใช้จ่ายในมหาเถรสมาคมและสำนักพระพุทธศาสนา
     
       ดังนั้นการดำเนินการเอาผิดกับพระดังที่ผิดวินัย ในหลายครั้งจึงดำเนินการอย่างล่าช้า เพราะคนในวงการสงฆ์มักจะช่วยเหลือกัน พระดังบางรายไม่ถูกดำเนินการใดๆ เพราะมีพระอุปัชฌาย์เป็นใหญ่อยู่ในหน่วยงานที่กำกับดูแลพระสงฆ์
     
       นอกจากนี้บรรดาลูกศิษย์ส่วนใหญ่ จะเป็นคนที่ใหญ่โตในสังคม มีอำนาจบารมี ย่อมต้องให้ความช่วยเหลือพระที่พวกเขานับถืออยู่
     
       ขณะที่พุทธศาสนิกชนจำนวนไม่น้อย ที่ไม่อยากเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องเหล่านี้ ด้วยเกรงต่อบาปกรรม เข้าทำนอง “ชั่วช่างชี ดีช่างสงฆ์”
     
       อีกทั้งพระที่ถูกกล่าวหามักจะไม่ยอมรับความจริง เพราะบางเรื่องพิสูจน์กันในทางโลกไม่ได้ การที่จะอยู่ในสถานะเดิมจึงเป็นสิ่งที่ต้องพยายามทำ
     
       เพราะสมบัติที่ได้มาจากความเป็นพระดังนั้นมากมาย แถมมีช่องโหว่สำคัญที่จะนำเงินเหล่านั้นไปใช้เป็นของส่วนตัวหลังสึกไปแล้วก็ย่อมได้

       วิธีโกยสมบัติของพระ
     
       เมื่อรู้แล้วว่า “พระ” ที่กล้าขอ “โยม” ก็กล้าให้ ยิ่งกล้าขอ รวมกับศรัทธาที่เกิดขึ้นอย่างมากนั้น ทำให้พระมี “ปัจจัย” หรือรายได้จำนวนมาก ยิ่งพระองค์ใดมีคนศรัทธามาก ก็จะมีญาติโยมมาถวายปัจจัยมากตามไปด้วย เช่น หลวงปู่เณรคำ ที่ตอนนี้หลุดพ้นสภาพความเป็นพระ เพราะไม่มีผู้รับรองแล้ว
     
       คำถามคือ สมบัติที่ได้มาจากผ้าเหลืองเหล่านั้น ใครจะตรวจสอบได้?ในเมื่อเป็นเรื่องของความศรัทธาที่มอบให้กับพระที่ตนนับถือโดยตรง
     
       ทั้งนี้โดยปกติแล้ว สำหรับผู้ที่บวชเป็นพระ หากมีญาติโยมถวายปัจจัยแล้ว ก็มักจะไม่มีใครเข้าไปตรวจสอบว่าเงินนั้นจะเก็บอย่างไร ซึ่งพระสามารถจะเก็บไว้เป็นเงินสดก็ได้ หรือไปเปิดบัญชีเพื่อฝากเงินนั้นๆ ก็ได้ โดยไม่มีความผิด โดยสามารถเปิดบัญชีกับธนาคารต่างๆ ได้ใน 2 รูปแบบ คือเปิดบัญชีในชื่อพระ หรือเปิดบัญชีของพระเองแต่ในชื่อฆราวาส เพราะในการเปิดบัญชีจะใช้ตัวเลขบัตรประชาชนเป็นตัวอ้างอิง ดังนั้น พระจึงสามารถเปิดบัญชีของตัวเองในชื่อ “นาย” ได้ ซึ่งมีฐานะเป็นฆราวาส
     
       เมื่อพระได้รับปัจจัยจากญาติโยมนำมาถวาย พระจึงสามารถนำไปฝากบัญชีธนาคารได้ ขึ้นอยู่กับว่าพระเปิดบัญชีในชื่อพระ หรือชื่อของตัวเองในฐานะฆราวาส
     
       หรือไม่ทำเช่นนั้นก็ได้ ถ้าหากพระต้องการฝากเงินในชื่อคนอื่นๆ อาจจะเป็นโยมแม่ โยมพ่อ หรือคนใกล้ชิด ก็สามารถทำได้เช่นกัน
     
       ไม่มีใครตรวจสอบ!
     
       และเมื่อเงินเหล่านั้นเข้าไปอยู่ในรูปแบบบัญชีธนาคารแล้ว ก็จะถือว่าเงินนั้นเป็นเงินที่เป็นทรัพย์สินของคนที่เป็นเจ้าของบัญชีทันที
     
       ถ้าพระยังไม่ได้มีการทำผิดพระวินัย แต่อยากจะไปใช้ชีวิตฆราวาส หรืออยากไปใช้เงินนั้น สามารถสึกแล้วไปใช้เงินได้ทันที
     
       แต่ถ้าพระรูปนั้น มีความผิดถึงขั้นปาราชิกที่ได้รับคำสั่งให้ “สึก” ออกจากการเป็นพระ หากบัญชีธนาคารที่เปิดขึ้นมานั้นเป็นบัญชีในชื่อของพระในฐานะสงฆ์ ถือว่าเงินนั้นเป็นสมบัติของทางวัด ทางวัดสามารถเข้ามาจัดการทรัพย์สินนั้นได้ทันที
     
       แต่หากสมุดบัญชีนั้นเป็นชื่อของพระที่เป็น “นาย” หรือในฐานะฆราวาส หรือเป็นชื่อผู้อื่น ทางวัดก็ไม่สามารถเอาเงินในส่วนนั้นคืนมาได้
     
       สำหรับ “เณรคำ” โดนคำสั่งให้สึกเพราะผิดพระวินัย หากมีการโยกย้ายถ่ายเททรัพย์สินไปก่อนหน้า หรือเปิดบัญชีไว้ในชื่อส่วนตัวที่เป็นฆราวาส เงินที่ได้มาจากศรัทธาของญาติโยมนั้น เณรคำก็สามารถเอาไปใช้ได้
     
       หรือ “อาจารย์มิตซูโอะ” ที่ละผ้าเหลืองไปแต่งงาน โดยไม่มีความผิดทางพระวินัยขณะอยู่ในผ้าเหลือง ก็ถือว่าเงินที่อยู่ในบัญชีแม้จะได้มาในฐานะพระสงฆ์ แต่ไม่ผิดหากจะนำไปใช้
     
       นี่เป็น “ช่องโหว่” ที่เรียกว่าเป็นช่องรูใหญ่มาก! และพระเท่านั้นที่จะรู้ช่องทาง
     
       พระผู้ใหญ่ในวัดหลวง อธิบายว่า กรณีเช่นนี้ ญาติโยมที่เป็นเจ้าของทรัพย์สามารถไปแจ้งความดำเนินคดีกับพระรูปนั้นๆ ได้เช่นกัน หากเงินที่ให้ไป พระไม่ได้ไปสร้างหรือใช้ในสิ่งที่ตกลงกันไว้ เช่น ถวายปัจจัยเพื่อสร้างโบสถ์ แต่ไม่มีการสร้างโบสถ์ ก็จะถือเป็นคดีที่ต้องใช้กฎหมายบ้านเมืองเป็นตัวตัดสินไป
     
       ทั้งนี้ การตรวจสอบทรัพย์สินพระ ที่เป็นเงินที่มาจากศรัทธา ท้ายที่สุดแล้วก็ยังเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยากอยู่ดี
     
       ดังนั้น ปรากฏการณ์ผ้าเหลืองสะเทือนที่เกิดขึ้นในแต่ละครั้ง ล้วนเกิดจากพระสงฆ์และพุทธบริษัท ซึ่งหากพระที่บวชนานๆ แล้วไม่รู้จักยับยั้ง “รัก โลภ โกรธ หลง” ด้วยการรักษาศีล 227 ข้อ และปฏิบัติตามพระวินัยอย่างเคร่งครัดแล้ว
     
       อาจเป็นต้นเหตุสำคัญให้พุทธศาสนาพังก่อนถึงอายุ 5,000 ปีก็เป็นได้!

ที่มา.ผู้จัดการ
/////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

การบริหาร กิจการในครอบครัว !!?

โดย วิชัย เบญจรงคกุล

หัวข้อเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เป็นเรื่องที่ยังไม่มีบทสรุปที่ดีที่สุด เนื่องจากแต่ละธุรกิจครอบครัวจะมีเอกลักษณ์ที่พิเศษและแตกต่างกันจากครอบครัวหนึ่งกับอีกครอบครัวหนึ่ง แต่เราอาจสามารถเห็นความคล้ายคลึงกันบ้างในการจัดการธุรกิจของครอบครัวต่าง ๆ แต่จะไม่เหมือนกันในองค์ประกอบในรายละเอียดของแต่ละครอบครัว

แม้แต่ภายในครอบครัวเดียวกัน เราจะพบว่า สมาชิกครอบครัวแต่ละคน หรือในแต่ละรุ่นก็มีความแตกต่างกัน ดังนั้นเราอาจจะเห็นว่ารูปแบบของการจัดการธุรกิจครอบครัวจะมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลกเพราะแม้แต่ในบริษัทที่บริหารโดยผู้บริหารมืออาชีพที่มีขนาดเล็กหรือขนาดใหญ่ก็ตาม ก็ยังมีการเปลี่ยนแปลงแนวการจัดการและการบริหารได้เมื่อมีการเปลี่ยนตัวผู้บริหารเช่นกัน

เราจึงไม่สามารถสรุปอย่างที่หลาย ๆ คนมีความเข้าใจว่า ธุรกิจครอบครัวนั้นทำงานแบบไม่มีระบบ หรือเป็นการทำงานแบบที่ไม่มีมาตรฐาน เพราะการเปลี่ยนแปลงในแนววิธีการบริหารจัดการกับกิจการไม่ใช่ตัวชี้วัดของเรื่องมาตรฐานในการบริหารจัดการ แต่น่าจะอยู่กับพฤติกรรมการจัดการของแต่ละองค์กรให้เหมาะสมและนำพาธุรกิจไปสู่ความสำเร็จได้

ในปัจจุบันเริ่มจะมีผู้ที่จัดหลักสูตรการอบรมการจัดการธุรกิจครอบครัวให้มีรูปแบบหรือมีการพัฒนาการให้ทันสมัย และพยายามจะช่วยให้สมาชิกในครอบครัวได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนความคิดเห็นหรือ

แม้กระทั่งการเปิดใจคุยกันเพื่อหาทางให้การจัดการธรกิจครอบครัวมีประสิทธิภาพขึ้น

นับว่าเป็นเรื่องที่ดีที่สมาชิกของธุรกิจครอบครัวได้มีโอกาสได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็น แม้ว่าอาจไม่สามารถหาข้อยุติได้อย่างรวดเร็วหรือชัดเจนนัก

(จากคำบอกเล่าของผู้ที่เคยเข้าร่วมหลักสูตรเหล่านี้มา) แต่เป็นโอกาสที่ความคิดความรู้สึกของแต่ละฝ่ายได้มีการนำมาเปิดเผยกับสมาชิกครอบครัวที่เกี่ยวข้อง อย่างน้อยก็ทำให้เกิดการรับรู้ถึงข้อมูลความคิดของสมาชิกแต่ละคนที่ช่วยบริหารกิจการอยู่ เป็นเรื่องปกติที่ผู้อาวุโสในธุรกิจครอบครัวที่จะคิดว่าการเปลี่ยนแปลงไม่จำเป็น และสมาชิกรุ่นใหม่มักจะคิดว่าธุรกิจต้องการมีการเปลี่ยนแปลงเพื่อความอยู่รอด

ส่วนผู้อาวุโสที่มีความรู้ และประสบการณ์ก็อาจขาดทักษะในการถ่ายทอดความรู้ในการบริหารของกิจการครอบครัวจึงเกิดปัญหาในการสื่อสารและความเข้าใจระหว่างรุ่น

ทั้งนี้ การถ่ายทอดประสบการณ์จากรุ่นหนึ่งไปยังอีกรุ่นหนึ่งด้วยประสบการณ์เฉพาะตัวของผู้ที่เป็นผู้นำ ให้แก่ผู้สืบทอดกิจการที่อาจมีแนวคิดการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงการจัดการที่ตนคิดว่าจะเหมาะสมกับแนวคิดและความเข้าใจของธุรกิจจากมุมมองของตน บางครั้งก็เป็นการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นแต่บางครั้งก็เป็นทางตรงกันข้าม

การถ่ายทอดกิจการของผู้เป็นเจ้าของและผู้บริหารจากรุ่นหนึ่งไปยังอีกรุ่นหนึ่งที่อาจถือว่า ค่อนข้างมีประสิทธิภาพ คือ การถ่ายทอดกิจการหรือการเริ่มกระบวนการสืบทอดกิจการระหว่างที่ผู้บริหารรุ่นอาวุโสยังคงมีชีวิตอยู่ และสามารถฝึกสอนผู้ที่เป็นทายาทได้ ซึ่งจะเปิดโอกาสให้ทายาทได้เรียนรู้ และสอบถามข้อสงสัยต่าง ๆ ได้

แต่หากเป็นการเปลี่ยนแปลงแบบกะทันหันมักเกิดปัญหาการสืบทอดเจตนารมณ์ และกลยุทธ์ที่อาจถือว่าเป็นศาสตร์เฉพาะของกิจการนั้น ๆ โดยส่วนสำคัญที่จะช่วยให้กระบวนการเหล่านี้ประสบผลสำเร็จได้มากคือ การสื่อสารระหว่างสมาชิกในครอบครัว การรับฟัง การให้ถาม การร่วมระดมความคิด

สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องให้เกิดขึ้นเพื่อที่สมาชิกในครอบครัวสามารถเข้าใจและสามารถบริหารจัดการธุรกิจด้วยทิศทางและเป้าหมายที่ชัดเจน

เคล็ดลับอีกอย่างที่เคยมีผู้อาวุโสในธุรกิจครอบครัวได้แนะนำไว้ คือ ควรเปิดเผยความตั้งใจของผู้อาวุโสในการแต่งตั้งมอบหมายภารกิจในการเป็นผู้นำของกิจการกับเหล่าสมาชิกของครอบครัว

และต้องให้เกิดการยอมรับของหมู่สมาชิกครอบครัวเพื่อความสามัคคีของผู้สืบทอดกิจการ

ท่านผู้นั้นเคยแนะนำผมว่า "เราควรคำนึงถึงความรู้สึกและความเข้าใจของลูก ๆ ในสิ่งที่เราตัดสินใจ และเป็นหน้าที่ของเราที่ต้องทำความเข้าใจให้ดีที่สุดในขณะที่เรามีชีวิตอยู่"

ทำให้ผมเข้าใจว่า การสื่อสารที่ดีระหว่างสมาชิกครอบครัวในธุรกิจครอบครัวนั้นเป็นปัจจัยที่สำคัญมาก

อย่างน้อยว่า แม้กิจการที่สืบทอดต่อมาอาจไม่ประสบความสำเร็จในเชิงธุรกิจ แต่ความรักความผูกพันและความเข้าที่ดีระหว่างสมาชิกในครอบครัวนั้นคงมีอยู่ ซึ่งเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดในความเป็น
ครอบครัว

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
/////////////////////////////////////////////////////////////////

วันพุธที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

มึนตึ๊บ สมบัติ-ศรัทธา-ความรัก ของ มิตซูโอะ & แอน !!???

มึนตึ๊บไปตามๆ กัน สำหรับผู้ที่มีศรัทธาในพระพุทธศานา... ว่ากรณีของ นายมิตซูโอะ หรือ อดีตพระมิตซูโอะคเวสโก นั้น อะไรคือจริงอะไรคือเท็จเพราะเมื่อวันที่ 10 มิ.ย. 2556 หรือเมื่อ 19 วันที่ผ่านมา เกิดกระแสข่าวพระอาจารย์มิตซูโอะคเวสโก เจ้าอาวาสวัดสุนันทวนารามและผู้ก่อตั้งมูลนิธิมายาโคตมี ลาสิกขา เดินทางกลับบ้านเกิดประเทศญี่ปุ่น

จนทำให้เกิดคำถามกันทั่วประเทศว่า เบื้องหลังแท้จริงของการสึก คืออะไรกันแน่???

วันที่ 11 มิ.ย. พระอาจารย์หนูพรม สุชาโต รองเจ้าอาวาสวัดสุนันทวนาราม ออกแถลงการณ์ ระบุว่า พระอาจารย์มิตซูโอะกลับไปประเทศญี่ปุ่นซึ่งเป็นบ้านเกิดจริง แต่จะยังคงทำงานเผยแผ่พระพุทธศาสนาในฐานะของฆราวาสต่อไป

จากนั้นก็ตามมาด้วยกระแสข่าวว่า เป็นการสึกเพราะอาการป่วยโรคเบาหวาน

ขณะนั้นจึงเป็นการสึกที่ยังคงไว้ซึ่งกระแสความศรัทธาได้อย่างเหนียวแน่น มีการร่ำไห้อาลัยกันยกใหญ่ รูปถ่ายของพระมิตซูโอะกลายเป็นภาพเคารพที่ผู้คนแสวงหาเอาไว้กราบไหว้ เอาไว้เป็นความทรงจำ

แต่ใครจะเชื่อว่าถัดมาในวันที่ 27 มิ.ย. หรือเพียงแค่ 15-16 วันหลังสึก ชนิดที่ปริศนาเหตุแห่งการสึกยังมีการพูดกันอยู่เลย กลับต้องมึนตึ๊บเหมือนโดนตบกระโหลก เมื่อหน้าเว็บเฟซบุ๊กของนางสุทธิรัตน์ มุตตามระ หรือ “แอน” นักธุรกิจหญิงในวงสังคมชื่อดังของเมืองไทย โพสต์โชว์ภาพถ่ายคู่กับนายมิตซูโอะ ซึ่งสวมหมวกและแต่งกายในชุดนักท่องเที่ยว โดยทั้งสองคนกอดกัน นั่งซบกัน และถ่ายรูปร่วมกันอย่างสนิทสนมใกล้ชิด ใต้ภาพบางภาพมีตัวอักษรระบุว่าไปเที่ยวที่ภูเขาตาอาล ในฟิลิปปินส์

ยิ่งมึนหนักขึ้นสำหรับคนส่วนใหญ่ที่ไม่ได้รับรู้หรือระแคะระคายใดๆมาก่อน ก็จากข้อความที่นางสุทธิรัตน์โพสต์ ระบุว่า “ขอบคุณสำหรับผู้ที่ไม่หวังดีต่อดิฉัน ที่กล่าวหาว่าดิฉันวางยา Blackmail อาจารย์มิตซูโอะ โดยมีเจตนาทำให้ดิฉันเสื่อมเสียชื่อเสียง จึงทำให้อาจารย์มิตซูโอะ ผู้ที่มีเมตตาและความรักต่อดิฉัน จะต้องออกมาปกป้องศักดิ์ศรีของดิฉัน ด้วยการเปิดเผยความจริงต่อสังคมเร็วๆ นี้ ขอบคุณอีกครั้ง”

ตกลงมันอะไรกัน สึกเพราะป่วย หรือสึกเพราะต้องการไปมีครอบครัว

แต่ที่แน่ๆ คงป่วยเป็นโรคเบาหวานจริงๆ พอสึกออกมาเลยต้องเติมความหวานขนานหนักอย่างที่เห็น
ซึ่งพอเป็นข่าวครึกโครม นายวิทเยนทร์ มุตตามระ อดีตผู้สมัครส.ส.กทม. พรรคประชาธิปัตย์ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ว่าผู้หญิงในภาพเป็น “พี่สาว”ของตน แถมบอกว่าทั้งพี่สาวและอาจารย์มิตซูโอะเป็นผู้ใหญ่กันแล้ว ตอนนี้ก็ลาสิกขาออกไปเป็นฆราวาสแล้ว เชื่อว่ามีสติรู้ว่าทำอะไรอยู่และจะทำอะไรต่อในอนาคต

แถมยังเชื่อว่า คนสองคนที่ตกลงปลงใจจะใช้ชีวิตคู่ร่วมกันได้ ต้องทำบุญทำกรรมร่วมชาติกันมามากอย่างที่เรียกว่าบุพเพสันนิวาส!!!

ระยะเวลาเพียงแค่ครึ่งเดือนเท่านั้น อะไรคือจริงอะไรคือเท็จ ก็ยากที่จะบอก ยากที่จะเชื่อได้แล้ว ว่าสิ่งที่เห็นนั้นเรื่องจริงคืออะไร เชื่อได้หรือไม่... เป็นความรู้สึกที่ทำให้ต้องย้อนทบทวนคำสอนของพระพุทธเจ้าในเรื่องของหลักความเชื่อ 10 ประการ หรือ กาลามสูตร 10

ครูบาอาจารย์พูดก็ยังต้องไตร่ตรองพิสูจน์ให้ชัดแจ้งด้วยตนเองเสียก่อน จึงจะเชื่อได้

ยังดีที่สังคมไทยในช่วงระยะเวลา 20 ปี ที่ผ่านมา ได้ผ่านการฝึกให้แกร่งต่อการรับรู้เรื่องราวที่ผิดไปจากความเชื่อความศรัทธามาแล้วมากมายหลายครั้ง ไม่ว่าจะเป็นกรณี นักบวชยันตระ นายนิกร ยศคำจู สมีเจี๊ยบ หรือแม้แต่ ภาวนาพุทโธ

ได้พิสูจน์สัจจะความจริงว่าทำไมพระพุทธเจ้าถึงได้ทรงมีข้อกำหนดสำหรับพระภิกษุสงฆ์มากมายหลายร้อยข้อ... และเรื่องของผู้หญิง กับเรื่องของทรัพย์สินเงินทอง ทำไมจึงเป็นข้อห้ามที่ฉกาจฉกรรจ์

วันนี้ก็ได้รู้แล้วว่า เมื่อพระภิกษุโด่งดังขึ้น แรงศรัทธาความนิยมที่เกิดขึ้นจะนำมาซึ่งการปรนนิบัติ รับใช้ ถวายข้าวของให้สารพัด จนกลายเป็นทรัพย์สินมหาศาล และกลายเป็นแม่เหล็กที่ทรงอานุภาพที่จะดึงให้มีคนเข้ามาชิดใกล้ รวมไปถึงบรรดาสีกาทั้งหลายด้วย

ถ้าผ่านด่านสมบัติ ลาภยศสรรเสริญ และผ่านด่านนารีไปได้ แน่นอนว่าพลังศรัทธาจะเป็นอมตะไปตลอดกาล ดังเช่นอริยสงฆ์ของไทยมากมายในแต่ละยุคสมัย ที่จนวันนี้ยังดำรงศรัทธาอยู่ในใจผู้คนได้มาตลอด

แต่หากไม่ผ่านด่าน สุดท้ายก็ต้องพ้นจากเพศบรรพชิตไปเป็นเพศฆราวาส ตามแต่ชะตากรรมของแต่ละคนที่จบแตกต่างกันไป

สำคัญที่สุดคือต้องมองกันอย่างยุติธรรม ว่าข้อเท็จจริงแต่ละเรื่องเป็นอย่างไร กรณีของ ยันตระ นิกร สมีเจี๊ยบ ภาวนาพุทโธ พวกนี้เกิดเหตุในผ้าเหลือง และถูกจับสึก บังคับสึก จนต้องระเห็ดหนี หรือบ้างก็ติดคุกติดตะราง

ฉะนั้นกรณีของนายมิตซูโอะ หรือแม้แต่กรณีของพระเณรคำ หรือแม้แต่พระดังๆอย่าง พระอาจารย์เพชร วัดประยงค์ฯ ที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ในเรื่องการมีทรัพย์สินเงินทองในครอบครองมากมาย หรือการสร้างพระองค์ใหญ่ๆนั้น ต้องดูว่าพระผิด หรือเป็นเพราะคนที่นับถือศรัทธาแบบไม่บันยะบันยัง ขนข้าวของแบรนด์หรู เงินทอง บัตรเครดิต รถยนต์หรู หรือแม้แต่เครื่องบินไปถวายไปให้ใช้นั้น

เป็นความศรัทธาที่บ่อนทำลายพระ บ่อนทำลายศาสนาอยู่ลึกๆหรือไม่

อาจจะมีเสียงเถียงว่า บรรดาของแพงเหล่านั้น มันเป็นเพียงแค่เงินเหลือของคนมีเงินเท่านั้น ฉะนั้นเอามาให้ขนหน้าแข้งก็ไม่ร่วง ซึ่งถ้าคิดอย่างนั้นก็ได้แต่ปลงว่า รวยแล้วมีความคิดได้แค่นั้นก็รอวันหมดบุญไปเถอะ

แต่หากเป็นประเภทที่ลูกหลาน ครอบครัว ผัวหรือเมีย ยังไม่มีจะกิน ยังเดือดร้อน แต่ดันดิ้นรนเอาประเคนจนเป็นหนี้เป็นสิน หรือประเคนตัวจนครอบครัวพัง ก็ต้องบอกว่านอกจากเข้าไม่ถึงศานาแล้วยังโง่เองอีกต่างหาก

แต่แน่นอนว่าพระภิกษุใด หากข้องแวะกับแรงศรัทธาในลักษณะตัณหาหน้ามืดเช่นนี้ ก็ย่อมมีแต่ตกต่ำลง หรือรอวันพังกันทั้งนั้น

สิ่งเหล่านี้จึงเป็นเรื่องที่สังคมจะต้องหันกลับมามีสติ ดังที่พระพุทธศาสนาพร่ำสอนให้มีสติอยู่ตลอดเวลา จะได้ไม่กระทำผิดบาป

อย่างกรณีของนายมิตซูโอะ ภาพที่ออกมานั้นเป็นภาพในชุดของคนธรรมดาแล้ว เป็นการสึกออกมาก่อนที่จะเกิดภาพที่จะไม่เหมาะสมและผิดมหันต์ในทันที หากว่าภาพนี้ปรากฏในขณะที่ยังห่มผ้าเหลืองอยู่

นั่นแปลว่าอย่างน้อยที่สุด การที่นายมิตซูโอะ บวชเป็นเณรตั้งแต่ปี 2517 และบวชเป็นพระในปี 2518 ก็ไม่ได้สูญเปล่า เพราะเมื่อรู้ตัวว่าผ้าเหลืองร้อน ครองเพศบรรพชิตต่อไปไม่ได้แล้ว ก็มีสปิริตที่จะสึกออกมา โดยไม่ให้เกิดเหตุอื้อฉาวใดๆก่อน อย่างน้อยก็เป็นการทดแทนคุณพระพุทธศาสนาในระดับหนึ่ง

ส่วนปัญหาที่พูดกันไปว่า ผ้าเหลืองร้อนมานานเท่าไรแล้ว หรือบุเพสันนิวาสอาละวาดรุนแรงและเร็วขนาดไหน คงเป็นเรื่องของมโนสำนึกของแต่ละบุคคลที่ต้องว่ากันไป เนื่องจากหากเป็นบุพเพสันนิวาสเกิดขึ้นหลังจากที่สึกแล้ว ก็ต้องบอกว่าเป็นบุพเพที่อาละวาดรุนแรงมาก

เพราะแค่ครึ่งเดือนเศษ ยังเกิดภาพใกล้ชิดสนิทสนมเพียงนี้ได้ ต้องถือว่ากามเทพคงแผลงศรดอกใหญ่เบ้อเริ่มจนแน่นอกไปเลยทีเดียว

แต่ถ้าบุพเพอาละวาดตั้งแต่ยังห่มผ้าเหลือง ก็เป็นอีกคนละเรื่องแล้ว เพราะอาจจะไปเข้าข่ายเป็นประเด็นที่คนโบราณเรียกกันว่า “สึกพระ”เข้าก็ได้ เรื่องแบบนี้จึงต้องรอพิสูจน์ความจริง เพราะนางสุทธิรัตน์ ก็บอกแล้วว่าเดี๋ยวนายมิตซูโอะ จะออกมาชี้แจงความเป็นจริง

ว่าเป็นกรณีผ้าเหลืองร้อนจนต้องสึก!!! หรือเป็นกรณี “ร้อนตั้งแต่ยังอยู่ในผ้าเหลือง”!!!

แต่สิ่งหนึ่งที่นายมิตซูโอะ จะต้องยอมรับก็คือ 37 ปีที่อยู่ในพุทธศาสนา ทำให้ได้รับความศรัทธา สิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นในระหว่างนั้นต้องถือว่าได้มาด้วยแรงเคารพศรัทธาทั้งสิ้น เพราะหากนายมิตซูโอะไม่ได้บวช มีหรือจะได้รับแรงศรัทธากราบไหว้ และมีคนถวายข้าวของปัจจัยมากมายขนาดนี้

ดังนั้นเมื่อเป็นสิ่งที่ได้มาจากแรงศรัทธา บรรดาเงินทองข้าวของทรัพย์สินมหาศาลนั้นควรจะต้องโปร่งใส ควรจะต้องให้มีการตรวจสอบได้ ไม่ใช่ถึงเวลาก็สึกหายไปเงียบๆ ปล่อยให้ทุกอย่างงุนงงไปหมด

ขณะเดียวกันก็ต้องยอมรับว่า พอมาเกิดภาพที่โพสต์ออกมาลักษณะนี้ แม้จะไม่ผิดกฏสงฆ์ แต่ก็กระทบศรัทธาที่มีมายาวนานอย่างประเมินค่า ประเมินความรู้สึกไม่ได้ เพราะภาพมันฟ้องชัดว่า ไม่น่าที่จะเป็นความสัมพันธ์แค่ช่วงข้ามคืนครึ่งเดือน

หลายคนถึงกับออกปากว่า แล้วภาพสมัยเป็นพระที่เคยมีไว้บูชานั้น จะทำอย่างไร จะเก็บไว้ต่อไป หรือจะไปไว้ที่ไหนดี...

ยิ่งหลายคนเห็นภาพการไปท่องเที่ยว ก็ยิ่งทำให้อยากรู้ว่า ก่อนหน้าบวชนายมิตซูโอะมีฐานะอย่างไร หลังจากสึกแล้วฐานะเป็นอย่างไร ใช้เงินจากที่ไหนมาท่องเที่ยว ทั้งๆที่เพิ่งสึกมาไม่นาน หรือว่าเป็นเงินของนางสุทธิรัตน์ ที่เป็นนักธุรกิจเป็นคนจ่ายเป็นคนเลี้ยงดู

หลายคนจึงอยากเห็นกรมการศานา เห็นกระทรวงวัฒนธรรมฯ เข้ามามีบทบาทในเรื่องการตรวจสอบเงินทองของวัดที่ได้จากแรงศรัทธาเคารพนับถือของประชาชนให้มากกว่าที่ผ่านมา

ไม่ได้กลัวว่าจะมีพระหรือคนรอบข้างพระมาโกง เพราะพูดถึงการโกงเงินประชาชน ระดับเหลือบในวงการพุทธศาสนาก็คงว่ากันระดับร้อยล้านพันล้าน แต่ถ้าเป็นเหลือบการเมือง มันล่อกันเป็นพันล้านหมื่นล้านโน่นเลย... แสบกว่ากันเยอะ

ดังนั้นไม่ว่าอดีตพระ ไม่ว่านักการเมือง แค่ปลูกจิตสำนึกคงไม่พอ แต่คงต้องมีกฎหมายที่ชัดเจนเข้ามาล้อมกรอบไว้ด้วย นักการเมืองต้องแจ้งบัญชีทรัพย์สินก่อนและหลังรับตำแหน่ง พระก็ควรจะมีการตรวจสอบทรัพย์สินก่อนบวชกับหลังบวชกันบ้าง

เผื่อการตกเป็นเป้าไล่ล่า ที่มีพระผู้ใหญ่ในอดีตใช้คำว่า “นารีพิฆาต”จะได้ลดน้อยถอยลงมาบ้าง

ที่มา.บางกอกทูเดย์
/////////////////////////////////////////////////////////////