--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันอาทิตย์ที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2556

7 แสนล้านสู่ 1 ล้านล้าน โอกาสทองค้าชายแดน !!?

ในงานเสวนา "จาก 7 แสนล้านสู่ 1 ล้านล้าน โอกาสทองค้าชายแดน" มุมมองของภาคเอกชนและภาครัฐยังเห็นตรงกันว่า โอกาสการค้าชาย แดนนับวันมีแต่จะรุ่งโรจน์

ขนาดตั้งเป้าว่ามูลค่าการค้าปีนี้น่าจะทะลุ 1.2 ล้านล้านบาท เพิ่มจากปีที่ผ่านมาซึ่งทำได้ประมาณ 7-8 แสนล้านบาท

ในจำนวน 1.2 ล้านล้านบาท ส่วน ใหญ่ไทยเป็นฝ่ายส่งออกมากกว่าการ นำเข้า ทำให้ได้เปรียบดุลการค้า ยกเว้น พม่าซึ่งไทยต้องนำเข้าก๊าซธรรมชาติหลายหมื่นล้านบาทต่อปี

นิยม ไวยรัชพานิช รองประธาน สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และประธานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจ กับประเทศเพื่อนบ้าน สะท้อนมุมมองว่า โอกาสที่การค้าไทยกับประเทศเพื่อน บ้านจะเติบโตนั้นมีอีกมาก เพราะทุกวันนี้ยังมีการค้าในระบบใต้ดิน คือค้า ขายกันโดยไม่ผ่านศุลกากรมากกว่า 5 แสนล้านบาทต่อปี ถ้าเอาตัวเลขเหล่านี้ขึ้นมาบนดินได้ มูลค่าการค้าจะพุ่งสูง ขึ้นอีกมหาศาล

"การขนส่งเป็นหัวใจสำคัญของการค้าชายแดน ถ้าเราสามารถขับรถจากไทยไปลาว-เวียดนาม-พม่า-กัมพูชา-มาเลเซีย ได้แบบม้วนเดียวจบ ไม่ต้องเปลี่ยนถ่ายสินค้าระหว่างแดน จะช่วยให้การขนส่งผ่านแดนลื่นไหลดีกว่านี้ ซึ่งจะทำให้ยอดการค้าเพิ่มขึ้น รัฐบาลจึงต้องเร่งเจรจาทวิภาคีกับเพื่อนบ้านในประเด็นนี้ ไม่จำเป็นต้องรอปี 2558"

นายนิยม ยังกล่าวถึงการเปิดจุดผ่านแดนว่า ควรจะเปิดให้มากที่สุดเท่า ที่จะมากได้ เขาใช้คำว่า "เปิดให้พรุน" ได้ยิ่งดี อาจใช้พื้นที่ของเอกชนที่อยู่ตาม ชายแดนเป็นจุดผ่านแดนถาวรก็ได้ เพราะ การเป็นประชาคมอาเซียนในปี 58 ไม่ได้เป็นเฉพาะเรื่องของเศรษฐกิจ แต่อีก 2 เสาคือความมั่นคงและวัฒนธรรมก็ต้องเป็นเนื้อเดียวกันด้วย เมื่อความมั่นคงบูรณาการร่วมกันได้ การเปิดด่านก็เป็นเรื่องง่าย

"พม่าที่เคยยึกๆ ยักๆ กับระบบการค้าชายแดน วันนี้เขาก็แสดงความ พร้อมเดินหน้าเต็มที่ สินค้า 15 ราย การ ที่เคยห้ามนำเข้าก็นำเข้าได้คือ ผงชูรส น้ำหวาน เครื่องดื่ม ขนมปังกรอบ หมาก ฝรั่ง ขนมเค้ก ขนมเวเฟอร์ อาหารกระป๋อง บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป เหล้า เบียร์ บุหรี่ ผลิตภัณฑ์ พลาสติก ผลไม้สด หลังจากที่ประกาศ ห้ามนำเข้ามานานกว่า 10 ปี ในอนาคตสินค้าอีกหลายพันรายการที่มีเงื่อนไขก็จะเปิดเสรี 100%"

ขณะที่นายสุรัตน์ จันทองปาน ผู้จัดการการขนส่งสินค้าผ่านแดน บริษัท KWE- Kintetsu World Express (Thailand) มองว่า ประเทศไทยคือศูนย์ กลางที่ไม่อาจปฏิเสธได้ แม้กลุ่มทุนข้าม ชาติหลายรายจะเข้าไปลงทุนตรงในพม่า และลาว แต่อีกจำนวนมากก็เลือกที่จะใช้ไทยเป็นฐานการผลิตใหญ่เชื่อมต่อกับกลุ่มอินโดจีน โดยเฉพาะกลุ่มทุนญี่ปุ่น ที่ใช้ไทยเป็นจุดยุทธศาสตร์เจาะเออีซี

"นักธุรกิจพวกนี้จมูกไว เขาเตรียมตัวมานานแล้ว หลายบริษัทที่ผมรู้จักเข้าไปวางฐานในพม่าไว้ตั้งแต่ 5 ปีที่แล้ว ผมเข้าไปพม่าตั้งแต่โรงแรม ราคาคืนละ 2 พันบาท วันนี้ราคาขยับ ขึ้นมา 6 พันบาทแล้วเพราะฉะนั้นการค้าชายแดนเป็นเทรนด์ใหม่ที่นักธุรกิจมองข้ามไม่ได้ ขึ้นอยู่กับว่าจะค้าขายอะไร"

มุมมองของ 2 นักธุรกิจที่เห็นคล้ายๆ กันคือ เป้า 1 ล้านล้านบาทไม่น่าจะยากมาก ถ้าจะให้ดีควรทำได้ 2 ล้านล้านบาทภายใน 3 ปีนับจากนี้

ด้านปานจิตต์ พิศวง ผู้อำนวยการ สำนักความร่วมมือการค้าและการลงทุน กรมการค้าต่างประเทศ กระทรวง พาณิชย์ให้ข้อคิดว่าโอกาสจะมากหรือน้อยอยู่ที่ตัวนักลงทุนเอง เพราะรัฐบาลได้ดำเนินการลดขั้นตอนอุปสรรคให้แล้ว แม้กระทั่งการลงทุนในโครงการขนาดใหญ่อย่างท่าเรือน้ำลึกทวาย

ที่มา.สยามธุรกิจ
//////////////////////////////////////////////////////////////////////

โปรเจกต์ทวาย..ยังไม่นิ่ง !!?

ดังที่ เคยเกริ่น มาแล้วว่าโครงการท่าเรือน้ำลึกและนิคมอุตสาหกรรมทวาย ประเทศพม่า ไม่ได้เป็นความหวังแค่คนพม่า แต่ยังเป็นความหวังของคนทั้งอาเซียน ทุกคนล้วนอยากให้โครงการนี้บรรลุเป้าหมาย

นัยหนึ่งเพื่อตอกย้ำการเปิดเสรีของพม่าอย่างเต็มตัว

นัยหนึ่งเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจภายใต้ข้อตกลงประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนที่จะใช้ท่าเรือแห่งนี้เป็นแหล่ง ขนถ่ายสินค้า

แต่โครงการนี้ก็เต็มไปด้วยปัญหาอุปสรรคนานัปการ เริ่มตั้งแต่เม็ดเงินลงทุนที่ต้องใช้จำนวนมหาศาล มากกว่า 1.2 แสนล้านบาท เม็ดเงินจำนวนมากมายขนาดนี้ ผู้สร้างต้องเป็นบริษัทระดับโลก จึงไม่แปลกที่รัฐบาลพม่าจะไฟเขียวให้ บริษัท อิตา เลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) เข้าไปรับสัมปทาน บริหารพื้นที่ประมาณ 2 แสนไร่ ภายใต้สัญญาเช่า ที่ดินระยะเวลา 75 ปี คิดค่าสัมปทาน 3 หมื่นล้านบาท

บริษัท อิตาเลียนไทยตั้งบริษัทลูก คือ บริษัท ทวาย ดีเวล้อปเมนท์ จำกัด ทุนจดทะเบียน 100 ล้านดอลลาร์ หรือคิดเป็นเงินไทย 3 พันล้านบาท เพื่อพัฒนาโครงการ บริษัท ดังกล่าวถือหุ้นโดยกลุ่มอิตาเลียนไทย 75% อีก 25% ถือโดยกลุ่มบริษัท แม็กซ์ เมียนมาร์ ซึ่งเป็นบริษัทท้องถิ่นพม่า

ทว่า! ในเวลาต่อมากลุ่มบริษัท แม็กซ์ เมียนมาร์ ก็ประกาศถอนตัว เนื่องจากการอพยพคนออกนอกพื้นที่ ไม่เป็นไปตามแผน ชาวบ้านรับเงินแล้วไม่ยอมย้ายออก ต่อรองขอเพิ่มค่า เวนคืนอีก ส่งผลให้เม็ดเงินที่จะต้องจ่ายชดเชยไร่ละ 5 แสนจ๊าต พุ่งขึ้นไป เกิน 2 ล้านจ๊าตต่อไร่

นั่นยังไม่น่าหนักใจเท่ากับ แม้จะเพิ่มค่าเวนคืนให้ตามที่เรียกร้อง บางครอบครัวก็ยังไม่ยอมย้ายออก

ในที่สุดรัฐบาลไทยต้องโดดเข้า ไปอุ้ม เพื่อให้โครงการนี้เดินหน้าได้ โดย น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และพลเอกเต็ง เส่ง ประธานาธิบดีของสาธารณรัฐแห่งสหภาพพม่า เดินทางลงพื้นที่โครงการเพื่อรับทราบความคืบหน้า พร้อมส่งเทียบเชิญรัฐบาล ญี่ปุ่นมาร่วมลงทุนด้วย

กลายเป็นโครงการ 3 ประสาน

ซึ่งเมื่อวันที่ 25 พ.ค.56 ที่ผ่านมา น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี จัดรายการ "รัฐบาลยิ่งลักษณ์ พบประชาชน" ยิงสัญญาณตรงมาจากกรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น กล่าวว่า ตน ได้ถือโอกาสระหว่างการเข้าร่วมประชุม นานาชาติ "The Future of Asia" ครั้งที่ 19 กรุงโตเกียว เชิญชวนให้ญี่ปุ่น มาลงทุนในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ในไทย 2 ล้านล้านบาท พร้อมทั้งเชิญชวนให้ลงทุนต่อยอดในเขตเศรษฐกิจพิเศษท่าเรือน้ำลึกทวาย ภายหลังที่ญี่ปุ่น เคยให้ความร่วมมือลงทุนในโครงการท่าเรือแหลมฉบัง จ.ชลบุรี ที่ผ่านมา โดย ได้หารือกับนายชินโซ อาเบะ นายกฯ ของ ญี่ปุ่น ถึงการสานต่อการค้าการลงทุน การ ส่งออกสินค้าในแผนกอื่นๆ เพิ่มเติมด้วย

หากญี่ปุ่นโอเค ก็จะมีการจดทะเบียน จัดตั้งนิติบุคคลเฉพาะกิจ หรือ  Special Purpose Vehiclie : SPV) เพื่อบริหารจัดการโครงการร่วมทุน พัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษนิคมฯทวายในพม่าต่อไป

มองจากมุมดังกล่าวย่อมไม่มีเหตุ ผลที่ญี่ปุ่นจะปฏิเสธการเข้าร่วมโครงการ ทวายโปรเจกต์ เพราะญี่ปุ่นเป็นนักลง ทุนอันดับ 1 ในประเทศไทย ย่อมได้รับอานิสงส์จากการสร้างท่าเรือน้ำลึกทวาย อย่างแน่นอน

แต่กระแสข่าวจากแหล่งข่าวที่แนบแน่นกับกลุ่มทุนญี่ปุ่นกระซิบว่า ถึงนาทีนี้ญี่ปุ่นยังไม่ตัดสินใจว่าจะ "เยส" หรือ "โน"

เนื่องจากก่อนหน้านี้ญี่ปุ่นได้สิทธิ์จากรัฐบาลพม่าให้บริหารท่าเรือน้ำลึกใน พม่าอีกแห่งหนึ่ง ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากท่าเรือ น้ำลึกทวาย นั่นหมายความว่าญี่ปุ่นต้องใช้งบประมาณจำนวนมากไปในการบริหารท่าเรือดังกล่าว จึงอาจเป็น ไปได้ที่ญี่ปุ่นอาจจะไม่ตกลงร่วมบริหาร ท่าเรือน้ำลึกทวาย

ในขณะที่แหล่งข่าวอีกแห่งกลับมองว่า โครงการท่าเรือน้ำลึกทวาย เป็นโครงการที่รัฐบาลญี่ปุ่นยากจะปฏิเสธ

เพราะอย่างที่กล่าวแล้วว่า ญี่ปุ่น เป็นนักลงทุนรายใหญ่ในไทย ส่งสินค้า ไปขายต่างประเทศมากมาย การได้บริหารท่าเรือน้ำลึกย่อมก่อประโยชน์ทั้งทางตรงและทางอ้อมกับสินค้าของญี่ปุ่น

และหากญี่ปุ่นปฏิเสธ! จีนก็พร้อม จะโดดแทนทันที

คิดว่าญี่ปุ่นคงจะไม่กล้า..โน!

ที่มา.สยามธุรกิจ
/////////////////////////////////

สงครามไม่จบ ปรองดองไม่เกิด !!?

บางท่านที่คิดว่า....ปรองดองกันแล้วจะเกิดความสมานฉันท์..แต่ละฝ่ายจะกลับมารักกันและจรรโลงประเทศและสังคมให้เจริญเติบโตก้าวหน้า

น่าจะฝันเพ้อและวาดหวังมากเกินไป

เพราะตราบเท่าที่..อำนาจยังเป็นสุดปรารถนาของ..บุคคลชั้นนำในสังคมไทย..และเป็นการก้าวเข้ามาสู่โภคทรัพย์ของผู้ถืออาวุธรุ่นแล้วรุ่นเล่า..

การแย่งชิงก็ยังจะดำเนินต่อไป..เฉกเช่นที่เป็นมาแล้ว..ตลอดอายุประวัติศาสตร์ของชาติ..

อำนาจใหม่จะหลั่งไหลเข้าแทนที่อำนาจเก่า...ชนะเป็นพระเอาแพ้เป็นผู้ร้าย..ความดีความเลวไม่ใช่เครื่องชี้วัด..แต่มันชี้ชัดกันที่ฝ่ายชนะกับฝ่ายแพ้..

ผู้ยิ่งใหญ่ในกองทัพ..แย่งอำนาจมาจาก..อำนาจเก่าโบร่ำโบราณ.. ครอบครองอำนาจต่อเนื่องยาวนาน...พวกเขากลับมาต่อสู้ซึ่งกันและกันเพื่อแย่งชิงอำนาจที่ได้มา

บางครั้งบางคนในพวกเขากลับไปสมานฉันท์กับอำนาจก่อนเก่า..เพื่อให้ได้ชัยชนะ..

บางครั้งอำนาจก่อนเก่า..ใช้พวกเขาเพื่อเสริมสร้างพลังอำนาจ

ตราบจนคำว่าประชาธิปไตย...ที่พวกเขาชอบแอบอ้าง..กลับกลายขึ้นมาเป็นเรื่องจริง...และสะสมพลังสร้างอำนาจเผชิญหน้าขึ้นมาท้าทายอำนาจ ในมือของผู้ถืออาวุธ

สงครามแย่งอำนาจจึงเพิ่มความซับซ้อนยิ่งขึ้น กว้างขวางกว่าเก่า.. กรุงเทพฯ ไม่ใช่ประเทศไทยอีกต่อไป..การเมืองไม่ใช่เรื่องของคนกลุ่มเดียว

อำนาจเริ่มกระจัดกระจายออกไป..ปุถุชนคนธรรมดาเข้ามาสู่เกมชิงอำนาจง่ายขึ้นและมากขึ้นทุกวัน.. และยิ่งเมื่ออำนาจคือธุรกิจ..

การต่อสู้เพื่อมีอำนาจกับการต่อสู้เพื่อรักษามันไว้..จึงรุนแรงขึ้น..ในท้องถิ่นผู้แสวงหาอำนาจต่างบาดเจ็บล้มตายกันมากขึ้นในแทบจะทุกพื้นที่

ในท่ามกลางการต่อสู้เช่นนี้....กติกา...จึงสำคัญที่สุด...หากกติกาไม่เป็นธรรม..สงครามก็ยังไม่เลิกรา..ในท่ามกลางการต่อสู้แบบนี้...ไม่มีวันที่การปรองดองจะเกิดขึ้นมาได้

โดย.พญาไม้,บางกอกทูเดย์
///////////////////////////////////////////

วันเสาร์ที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2556

โพลล์ ชี้ ชิมิ - จุงเบย ศัพท์แผลงฮิตโดนใจวัยโจ๋ !!??



สำนักวิจัยเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตโพลล์ วิทยาลัยเทคโนโลยีสยาม เปิดเผยผลการสำรวจการใช้คำศัพท์แผลงที่กำลังระบาดใช้กันอย่างกว้างขวางในกลุ่มเยาวชนไทย และเป็นที่กังวลว่าจะส่งผลต่อการหลักการใช้ภาษาไทยในอนาคต เช่นคำศัพท์แผลงคำว่า ชิมิ บ่องตง จุ๊บุ จุ๊บุ ฯลฯ กับเยาวชนไทยอายุระหว่าง 15-25 ปี การศึกษาตั้งแต่ภาคบังคับถึงสูงกว่าปริญญาตรี ในกรุงเทพมหานคร จำนวน 1,065 คน พบว่า 89% ทราบความหมายของคำศัพท์แผลงที่ใช้คำศัพท์แผลงมากที่สุดคือคำว่า “ชิมิ” ซึ่งใช้ในความหมายว่า “ใช่ไหม” ส่วนในรอบสามเดือนกลุ่มเยาวชนไทยในกรุงเทพมหานครใช้คำศัพท์แผลง คำว่า “จุงเบย” ซึ่งในความหมายว่า “จังเลย” 72.68% รองลงมาคือคำศัพท์แผลงคำว่า “บ่องตง” “มะรุ” “ช่ะ” “มะเปง” และ“ชิมิ”

สำหรับคำศัพท์แผลงคำอื่น ๆ ที่เยาวชนไทยมักใช้ เช่น เมพขิง ๆ ,ฟิน,งานเข้า,เกรียน,คีบัป,คิขุ,ซุย,อิอิ,งานงอก และแอ๊บแบ๊ว อีก 51.17 % ส่วนเยาวชนไทยที่ไม่เคยใช้คำศัพท์แผลงเลยมี 12.95% ที่มาของคำศัพท์แผลงต่าง ๆ ดังกล่าว เยาวชนไทยกล่าวว่าที่มาของคำศัพท์แผลงที่เข้าถึงได้ง่ายที่สุด คือบนอินเตอร์เน็ตและเครือข่ายสังคมออนไลน์ 51.35 % พบว่าเข้าถึงและผ่านหู/ผ่านตาจากละคร/ภาพยนตร์ระดับต่ำเพียง 4.85 %

สำนักวิจัยเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตโพลล์ วิทยาลัยเทคโนโลยีสยามยังพบอีกว่าเยาวชนไทยใช้คำศัพท์แผลง เพราะต้องการลดความเครียดในการสนทนาและสร้างอารมณ์ขัน คิดเป็นร้อยละ 73.68 และ 70.01 ตามลำดับ กลุ่มตัวอย่างมากกว่าร้อยละ 90 ใช้คำศัพท์แผลงกับเพื่อนๆ และ กลุ่มตัวอย่างร้อยละ 57.09 เห็นว่าราชบัณฑิตยสถานควรจัดทำพจนานุกรมเพื่อรวบรวมคำศัพท์แผลงต่างๆ ที่กลุ่มวัยรุ่นใช้ในปัจจุบันไว้เป็นการเฉพาะ

 ที่มา.นสพ.แนวหน้า
-----------------------------------------------

โพลล์ 10 เรื่องที่ทำให้ รัฐบาลปู. สั่นคลอน แก้ รธน.- กู้เงิน - สินค้าแพง !!?

สถานการณ์ทางการเมืองที่ร้อนแรงอยู่ในขณะนี้ ต่างเป็นที่จับตามองของหลายฝ่าย โดยเฉพาะการบริหารบ้านเมืองของนายกรัฐมนตรีและรัฐบาล

ที่มีผลต่อเสถียรภาพ ความมั่นคงและความเชื่อมั่นของประชาชนที่มีต่อรัฐบาล  เพื่อเป็นการสะท้อนความคิดเห็นของประชาชน “สวนดุสิตโพล” มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต ได้สำรวจความคิดเห็นของประชาชน    ทั่วประเทศ จำนวน 1,336 คน  ระหว่างวันที่ 3-7 มิถุนายน 2556  สรุปผลดังนี้

เมื่อถามว่า ประชาชนคิดว่าสถานการณ์ทางการเมืองโดยเฉพาะ “ความมั่นคง” ของรัฐบาล ณ วันนี้ เป็นอย่างไร?

อันดับ 1    ไม่ค่อยมั่นคง    35.57%เพราะ  มีการประท้วง การเคลื่อนไหวของประชาชนบ่อยมากขึ้น สื่อ นักวิชาการและนักการเมืองวิพากษ์วิจารณ์ถึงการบริหารงานของรัฐบาลที่บกพร่อง การทุจริตคอรัปชั่น ฯลฯ

อันดับ 2    ค่อนข้างมั่นคง    33.65%เพราะ  รัฐบาลสามารถควบคุมสถานการณ์และแก้ไขปัญหาต่างๆได้ ยังไม่มีเหตุการณ์รุนแรงเกิดขึ้น ฯลฯ

อันดับ 3    ไม่มั่นคง    20.20%เพราะ  การแก้ปัญหาต่างๆของรัฐบาลยังไม่ประสบผลสำเร็จเท่าที่ควร  โดยเฉพาะเรื่องความเป็นอยู่ของประชาชน  โครงการจำนำข้าว ปัญหาไฟใต้ ส่งผลต่อความเชื่อมั่นของประชาชนที่มีต่อรัฐบาล ฯลฯ

อันดับ 4    มั่นคงดี    10.58%เพราะ  รัฐบาลยังคงมีเสียงข้างมาก  มีหลายโครงการที่ได้ทำตามนโยบายที่วางไว้ ประชาชนยังคงสนับสนุนและให้ความไว้วางใจอยู่ ฯลฯ

เมื่อถามว่า  ประชาชนคิดว่าเรื่องใด? ที่มีผลทำให้ “ความมั่นคงของรัฐบาล สั่นคลอน”

เรื่องที่ทำให้ “รัฐบาล” สั่นคลอน  
1    การแก้ไขรัฐธรรมนูญ    81.35%  
2    การกู้เงินของรัฐบาล    80.16%  
3    พรบ.ปรองดอง    74.21%  
4    สินค้าแพง /รายได้ไม่พอจ่าย    67.06%  
5    โครงการรับจำนำข้าว    59.52%  
6    ปัญหาไฟใต้    55.56%
6    ม็อบประท้วง หน้ากากขาว หน้ากากแดง    55.56%
8    ความไม่ปลอดภัยในชีวิตฯ ระเบิดหน้ารามคำแหง    50.40%
9    ยาเสพติด    46.43%
10    โครงการแก้ปัญหาน้ำ    40.87%


เมื่อถามว่า ประชาชนคิดว่า “รัฐบาล” ควรทำอย่างไร? จึงจะมั่นคง
อันดับ 1    ให้ความสำคัญในเรื่องชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน เร่งแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ของแพงให้ดีขึ้น    42.59%

อันดับ 2    แก้ปัญหาไฟใต้ให้สำเร็จเพื่อความมั่นคงของประเทศชาติและเสถียรภาพของรัฐบาล    20.99%

อันดับ 3    บริหารประเทศด้วยความซื่อสัตย์ สุจริต  /ไม่ทุจริตคอรัปชั่น ไม่เห็นแก่พวกพ้อง    19.14%

อันดับ 4    นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีต้องปฏิบัติงานอย่างเต็มกำลังความสามารถและมีศักยภาพ    10.50%

อันดับ 5    ควรปรับนโยบายการทำงานให้เหมาะสมและพัฒนาประเทศให้เจริญก้าวหน้าในทุกๆด้าน     6.78%

ที่มา.นสพ.ฐานเศรษฐกิจ
----------------------------------------------------------

กูรู-นักวิชาการแนะรัฐปรับโครงสร้างพลังงาน !!?

กูรูพลังงาน-นักวิชาการ แนะรัฐปรับโครงสร้างพลังงานทั้งระบบให้สะท้อนต้นทุนแท้จริง

นายมนูญ ศิริวรรณ ผู้เชี่ยวชาญด้านพลังงาน กล่าวว่า สถานการณ์พลังงานของไทยในปัจจุบันมีความเสี่ยงต่อการขาดแคลน และความมั่นคงทางพลังงาน เนื่องจากเป็นประเทศผู้นำเข้าพลังงาน และมีแนวโน้มการนำเข้าที่เพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่ทรัพยากรในประเทศมีอย่างจำกัด โดยก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทยจะหมดไปภายใน 15 ปีข้างหน้า ซึ่งจะทำให้ต้นทุนด้านพลังงานของประเทศจะเพิ่มขึ้นในอัตราที่สูงกว่าการขยายตัวรายได้ของประเทศ ดังนั้นจึงขอให้ผู้ที่เกี่ยวข้องเร่งปรับโครงสร้างทางพลังงาน

"การเปลี่ยนเชื้อเพลิงการผลิตไฟฟ้านั้นใช้ระยะเวลาในการทดแทนกว่า 7 ปี ซึ่งหากไม่สามารถดำเนินการได้ทันจะทำให้เราต้องนำเข้าไฟฟ้าจากต่างประเทศทำให้มีรายจ่ายที่สูง และมีความเสี่ยงด้านการพึ่งพาด้านพลังงาน" นายมนูญ กล่าว

นอกจากนี้ยังเสนอให้ปรับโครงสร้างราคาพลังงานทั้งระบบ โดยเฉพาะราคาแอลพีจี เนื่องจากราคาปัจจุบันกระตุ้นให้มีการใช้แอลพีจีที่สูงขึ้นทำให้เสี่ยงต่อการพึ่งพาเชื้อเพลิงชนิดเดียวมากเกินไป ส่วนการเก็บภาษีสรรพามิตน้ำมันดีเซลนั้นเห็นควรที่จะต้องปรับเพิ่มเพื่อให้ราคาพลังงานเป็นไปตามความจริง ขณะเดียวกัน ต้องส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทนอย่างจริงจัง

นางเดือนเด่น นิคมบริรักษ์ ผู้อำนวยการวิจัยด้านการบริหารจัดการระบบเศรษฐกิจ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย(TDRI) กล่าวว่า ธุรกิจพลังงานในประเทศไทยมีการผูกขาดมาตั้งแต่ต้น ทำให้ตลาดไม่มีการแข่งขันอย่างเสรี เนื่องจากการกำหนดราคาจะขึ้นอยู่กระทรวงพลังงาน และคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.)

ขณะเดียวกัน เอกชนที่ทำธุรกิจด้านพลังงานก็ใช้หลักการต้นทุนบวกกำไร ทำให้ผู้ประกอบการไม่จำเป็นต้องประหยัดต้นทุน เพราะสามารถผลักภาระต้นทุนไปสู่ผู้บริโภคได้ โดยจะเห็นได้จากราคาขายก๊าซธรรมชาติที่ไม่มีความเท่าเทียม เพราะภาคปิโตรเคมีจะจ่ายเงินสนับสนุนเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเพียงกิโลกรัมละ 1 บาท ส่วนภาคครัวเรือนจ่าย 1.43 บาท ขณะที่ภาคขนส่งต้องส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ กิโลกรัมละ 4.47 บาท และภาคอุตสาหกรรมต้องแบกรับภาระถึงกิโลกรัมละ 12.12 บาท ดังนั้นควรแก้ไขการผูกขาดด้วยการแยกธุรกิจท่อก๊าซกับธุรกิจอื่นออกจากกันและเป็นอิสระ

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
---------------------------------------------

โรงไฟฟ้าทวายส่อล้ม หลังญี่ปุ่นปล่อยเงินกู้ ดันเขตพิเศษติลาวา !!?

 พม่าจ่อเลิกแผนสร้างโรงไฟฟ้าทวาย หลังญี่ปุ่นหนุนปล่อยเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ 51,000 ล้านเยน ให้ช่วยเหลือและพัฒนาเศรษฐกิจดันโครงการเขตเศรษฐกิจพิเศษติลาวา ในเมืองย่างกุ้งแทน
   
แหล่งข่าวจากกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า แนวโน้มการก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินในนิคมอุตสาหกรรมทวาย ประเทศพม่า ขนาด 4,000 เมกะวัตต์ ที่นายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล รมว.พลังงาน มอบหมายให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.) ไปศึกษาร่วมกับรัฐบาลพม่า และจะให้ บมจ.ผลิตไฟฟ้าราชบุรี และ บมจ.ผลิตไฟฟ้า (เอ็กโก) เข้าไปลงทุน ซึ่งผลการศึกษาคาดว่าจะแล้วเสร็จใน 1-2 เดือนนี้ อาจจะต้องสะดุดหรือยุติโครงการไป
   
ทั้งนี้ เพราะรัฐบาลพม่าได้หันไปผลักดันให้โครงการเขตเศรษฐกิจพิเศษติลาวา ในเมืองย่างกุ้งแทน เนื่องจากซึ่งญี่ปุ่นให้การอุดหนุนและสามารถเกิดขึ้นก่อน ดังนั้น การจะพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานของพื้นที่ทวาย ซึ่งรวมถึงโรงไฟฟ้าถ่านหินอาจจะต้องชะลอออกไปด้วย เพราะรัฐบาลพม่ามีความจำเป็นต้องใช้เงินในการเข้าร่วมทุนกับทางบริษัทเอกชนของญี่ปุ่นในการก่อสร้างโรงไฟฟ้าที่ติลาวาก่อน จึงไม่มีเงินมากพอที่จะมาลงทุนโรงไฟฟ้าถ่านหินที่ทวายได้ เนื่องจากโรงไฟฟ้าแห่งนี้จะต้องมีการจัดตั้งบริษัทร่วมทุนขึ้นมาระหว่างฝ่ายไทยกับฝ่ายพม่า
   
ผลกระทบที่เกิดขึ้น ทำให้ฝ่ายที่จัดทำแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศหรือพีดีพีฉบับใหม่ 2013 กำลังกังวลว่าจะสามารถนำโรงไฟฟ้าถ่านหินที่ทวายเข้าไปบรรจุไว้ในแผนพีดีพีได้หรือไม่ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานระบุไว้  เนื่องจากไม่มีความชัดเจนของโครงการว่าพื้นที่ทวายจะเกิดได้” แหล่งข่าวกล่าว
   
แหล่งข่าวกล่าวว่า ก่อนหน้านี้ในช่วงปลายเดือน พ.ค.2556 ที่ผ่านมา นายชินโซ อาเบะ นายกรัฐมนตรีของญี่ปุ่นได้เดินทางเยือนพม่าพร้อมลงนามในข้อตกลงในการช่วยเหลือจัดหาเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำจำนวน 51,000 ล้านเยน เพื่อช่วยเหลือด้านการพัฒนาเศรษฐกิจพม่า และการเยี่ยมชมโครงการเขตเศรษฐกิจพิเศษติลาวา โดยมีภาคเอกชนของญี่ปุ่น 3 ราย ได้แก่ บริษัท มิตซูบิชิ ซูมิโตโม และบริษัท มารุเบนิ ลงนามเอ็มโอยูกับบริษัทเอกชนของพม่า 9 ราย ที่จะให้การสนับสนุนการพัฒนาโครงการเขตเศรษฐกิจแห่งนี้ในเนื้อที่ 1.25 หมื่นไร่.

ที่มา.ไทยโพสต์
/////////////////////////////////////////////////

คลังยื่น DSI ฟันแก๊งโกง VAT ส่งออก 2.6 พันล้าน !!?

โต้ง เดือด โดนแก๊งมิจฉาชีพปลอมเอกสารขอคืนภาษีแวตจากการส่งออก พบ 30 ราย วงเงินสูง 2.6 พันล้านบาท แต่งตั้ง "รังสรรค์" ยื่นดีเอสไอฟัน
   
นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.การคลัง เปิดเผยว่า ได้ลงนามแต่งตั้งให้ นายรังสรรค์ ศรีวรศาสตร์ รองปลัดกระทรวงการคลัง ดูแลด้านภารกิจรายได้ เป็นเจ้าพนักงาน ยื่นฟ้องต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เพื่อให้ดำเนินการเอาผิดกับกลุ่มบุคคล 30 ราย ที่มาขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม (แวต) จากการส่งออก โดยที่ไม่ได้มีการทำธุรกรรมจริง ซึ่งถือเป็นความเสียหายที่เกิดขึ้นกับภาครัฐ คิดเป็นวงเงินสูงถึง 2.6 พันล้านบาท
   
การทุจริตขอคืนภาษีถือว่าร้ายแรงกว่าการหนีภาษี เพราะการทุจริตขอคืนภาษีเป็นการมาขอคืนในเงินที่ตัวเองไม่ได้จ่ายไว้จริง ถือเป็นอาชญากรรมที่ร้ายแรงของประเทศ โดยยืนยันจะดำเนินการเอาผิดอย่างจริงจัง ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มบุคคลฝ่ายใดก็ตาม รวมถึงเจ้าหน้าที่ของรัฐที่มีส่วนกระทำความผิดด้วย" นายกิตติรัตน์กล่าว
   
ที่ผ่านมากระทรวงการคลังได้มีการสอบสวนทางลับว่ามีการทุจริต โดยขอคืนภาษีแวต โดยการอ้างเป็นผู้ส่งออก ซึ่งผู้ร่วมกระทำผิดมีทั้งเอกชนและเจ้าหน้าที่ของรัฐจำนวนหนึ่ง
   
นายกิตติรัตน์กล่าวว่า ปกติผู้ประกอบการนำเข้าจะต้องเสียภาษีแวตสำหรับการนำเข้าวัตถุดิบหรือชิ้นส่วนก่อน และจะมาขอคืนภาษีในส่วนวัตถุดิบและชิ้นส่วนที่นำมาประกอบเป็นสินค้าและส่งออกไปขายยังต่างประเทศในภายหลัง แต่กรณีที่พบความผิด ไม่ปรากฏว่ามีการทำธุรกรรมนำเข้า-ส่งออกเลย และมีการทำใบภาษีปลอมมาขอคืนภาษี
   
นอกจากการทุจริตโดยการขอคืนภาษีแวตแล้ว ยังสั่งการให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการเอาผิดกับผู้ที่นำเข้ารถหรูไม่ถูกต้อง เพราะมีการประเมินว่า มีการแจ้งเสียภาษีต่ำไม่ถูกต้อง ทำให้รัฐบาลสูญภาษีปีละกว่า 1 หมื่นล้านบาท
   
ด้านนายรังสรรค์กล่าวว่า เอกชนทั้ง 30 ราย ที่จะถูกยื่นฟ้องเป็นกลุ่มเดียวกันทั้งหมด ที่ร่วมมือกันเป็นขบวนการในช่วงปี 2555 และ 2556 แต่ยังบอกไม่ได้ว่าเป็นกลุ่มที่อ้างว่านำเข้าและส่งออกสินค้าประเภทใด เพราะจะทำให้ผู้กระทำผิดรู้ตัวก่อน.

ที่มา.ไทยโพสต์
---------------------------------------------

วันศุกร์ที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2556

คนจนยามเศรษฐกิจแย่ !!?

แม่ค้าในตลาด คนทำร้านอาหาร คนขับแท็กซี่หลายคนพูดเหมือนกันว่า ปีนี้เศรษฐกิจแย่ รายได้ไม่ดีไม่ใช่แต่เฉพาะช่วงเปิดเทอม แต่เป็นมาตั้งแต่ต้นปีแล้ว
   
ไปกินข้าวที่ร้านยอดฮิตที่เขาใหญ่ เจ้าของบอกว่า ปีกลายช่วงสงกรานต์ ช่วงหยุดเทศกาล คนแน่นร้าน เก็บจานแทบไม่ทัน ปีนี้มีประปรายจนถึงเงียบ ไม่รู้คนหายไปไหน คนขายผลไม้ก็พูดเหมือนกัน ไปด่านเกวียนก็ทำนองเดียวกัน บ่นว่าเงียบจนเหงา ไม่รู้จะเอาอะไรกินเพราะไม่มีรายได้
   
แท็กซี่คนหนึ่งบอกว่า ค่าแรงวันละ 300 บาทเป็นปัญหา ข้าวของขึ้นราคาหมด 300 บาท วันนี้น้อยกว่า 200 บาทปีก่อน เพราะวันนี้ได้ 300 บาทแล้วไม่มี "โอที" เพราะนายจ้างก็มีปัญหา เมื่อจ่ายรายวันมาก ไม่มีโอที หลายหน่วยงานก็อยู่ไม่ได้ เพราะผลผลิตน้อยลง คนทำงานอาศัย 300 บาทอย่างเดียวก็อยู่ไม่ได้เช่นเดียวกัน เพราะข้าวของ อาหารการกินแพงขึ้นมาก
   
แท็กซี่บอกว่า "ผมเช่ารถวันละ 900 บาท ขับวันละ 15-16 ช.ม. ค่าแก็สประมาณ 300 บาท วันหนี่งได้ 1,500 บาทก็ไม่พอกินไม่พอใช้ เพราะผมต้องให้ลูกสาวเรียน ม.2 ไปโรงเรียนวันละ 150 บาท" ถามว่าทำไมมากจัง เขาบอกว่า ค่ารถสองต่อไปกลับ ค่าอาหารเช้า-เที่ยง-เย็น 150 นี่ประหยัดแล้ว ตัวเขาเองและภรรยาก็ต้องกินต้องใช้ ไหนจะค่าเช่าที่พัก ถ้าไม่ได้ 1,800-2,000 ก็ต้องไปกู้
   
ถามว่าที่บ้านต่างจังหวัดมีที่ดินไหม เขาบอกว่ามี 2 ไร่ ไม่ได้ทำอะไร วางแผนว่า ถ้าลูกเรียนจบมหาวิทยาลัยแล้วจะกลับไปทำเกษตร ผมบอกว่า ยังอีกหลายปีนะ อย่างน้อย 8 ปี ระหว่างนี้จะทิ้งที่ดินให้รกร้างว่างเปล่าไปทำไม เขาบอกว่า ไม่มีเวลา ขับรถทุกวัน ไม่ขับก็ไม่มีกิน
   
คุยไปคุยมาเขาบอกว่า ยังมีที่มรดกของภรรยาอีก 10 กว่าไร่ ไม่ได้ทำอะไร ถามว่ามาจากศรีขรภูมิ สุรินทร์ รู้จักลุงเชียง ไทยดีไหม เขาบอกว่า ไม่รู้จัก เลยเล่าให้เขาฟังว่า เมื่อหลายสิบปีก่อน ลุงเชียงเปลี่ยนที่นา 7 ไร่ทำเกษตรผสมผสาน ส่งลูกเรียนจบมหาวิทยาลัย 5 คน โดยไม่เป็นหนี้เลย
   
เล่าให้เขาฟังต่อไปว่า ชาวบ้านขอนแก่น 20 คน ทำเกษตรผสมผสานในโครงการ 1 ไร่ได้ 1 แสน ปรากฏว่า คนที่ได้มากที่สุดได้ 240,000 บาท คนที่ได้น้อยที่สุดได้ 5,000 บาท แท็กซี่แย้งว่า ได้แค่ 5,000 ไม่น่าเป็นไปได้ ผมก็บอกว่า นี่เป็นเรื่องจริงที่หอการค้าไปทำการพิสูจน์ทดลองมา ถ้าไม่ทำด้วยความรู้ ไม่ทำด้วยความมุ่งมั่น และด้วยความขยันหมั่นเพียร การเกษตรก็ไม่ได้ผล
   
คนขับแท็กซี่บอกว่า เขาคงกลับไปทำเกษตรแบบนั้นไม่ได้ ก็เลยเล่าเรื่องที่ได้คุยกับแท็กซี่อีกคนหนึ่งก่อนนี้หลายเดือนให้เขาฟัง

แท็กซี่อีกคนที่ว่านี้มาจากชัยภูมิ มีที่ดินอยู่ 100 ไร่ ให้เขาเช่าปลูกอ้อย ตอนนี้เอาคืนมา 20 ไร่มาปลูกมันสำปะหลัง ปลูกแบบที่เคยปลูกๆ กัน คงจะได้ไร่ละ 2-3 ตันเป็นอย่างมาก ได้แนะนำเขาว่า ถ้าอยากปลูกมันก็ปลูกให้ได้สัก 20-30 ตันต่อไร่ถึงจะคุ้ม และบอกว่าให้ไปเรียนรู้กับใครที่ไหนด้วย
   
แท็กซี่ชัยภูมิยังไปๆ มาๆ ระหว่างกรุงเทพฯ กับบ้านเกิด ให้แม่และน้องสาวช่วยดูแลไร่มัน แนะนำเขาไปว่า ให้หามะขามมาปลูกเป็นรั้ว โรยเมล็ดลงไป เดี๋ยวฝนตกก็ขึ้นเอง ปล่อยให้โตสูงเท่าเอวเท่าอก เด็ดยอด เด็ดใบอ่อนขายกิโลได้เป็นร้อย เห็นขายที่ตลาดขีดละ 20 บาท
   
ปลูกกระถิน ชะอม เป็นแนวรั้ว และทำแบบเดียวกับมะขาม ปลูกตะไคร้สักสองสามพันกอ ปลูกพริกสักไร่หนึ่ง ตะไคร้กิโล 10-15 บาทก็มากแล้ว ไม่ต้องดูแลอะไรมาก พริกถ้าออกหน้าแล้งต้นปี ราคากิโลเป็นร้อย ไร่หนึ่งอาจได้หลายแสน ถ้าทำเป็นไม่ต้องใช้สารเคมีก็ได้
   
ปลูกมะขามเปรี้ยวสัก 40-50 ต้น ปลูกทิ้งๆ ไว้ ไม่กี่ปีก็ออกลูก จะได้ต้นละหลายพันบาท เพราะมะขามเปรี้ยวแกะเมล็ดวันนี้ราคาดี บางปีราคากิโลเป็นร้อย ไม่ต้องดูแลอะไร ไม่ต้องกลัวมันจะกลายพันธุ์เป็นหวาน ไม่ต้องกลัวคนขโมย
   
แนะนำให้ปลูกสบู่ดำเป็นรั้ว วัวควายไม่กิน คนไม่กินไม่ขโมย เอามาทำน้ำมัน ทำปุ๋ยชั้นเยี่ยม ทำเยื่อกระดาษชั้นดี ปลูกไร่หนึ่งอาจได้หลายแสน
   
แนะให้ไปเอาหวายจากอินแปงที่สกลนครมาปลูก ถ้าไปซื้อที่เขากล้าไว้ในกระบะๆ ละประมาณ 2,000 ต้น ราคาแค่ 500 บาท เอามาปลูกเป็นรั้วกันวัวควาย กันคนกันขโมยได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะหนามแหลมคม ราคายอดหวายวันนี้ยอดละไม่ต่ำกว่า 10 บาทเลยทีเดียว

ปลูกไม้ใหญ่ๆ ไว้เป็นสวัสดิการยามแก่ เป็นมรดกให้ลูกหลาน เขาจะได้คิดถึงเรา ปลูกยางนาไว้สักสี่ห้าร้อยต้น ปลูกไม้พะยูงที่ราคาสูงสักสามสี่ร้อยต้น ไม้มะค่า และอื่นๆ ให้ได้รวมสัก 1,000-2,000 ต้น อีก 25 ปี จะมีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 20 ล้านบาท ทำไม้แผ่นไม้กระดาน สร้างบ้านก็ได้ ขายก็ได้ราคา ได้เงินใช้ยามแก่ ไปพักผ่อน ไปเที่ยว ไปทำบุญ ไม่ต้องเดือดร้อน
   
วันนี้คนโชคดีคือคนมี่ที่ดิน คนโชคร้ายคือคนที่มีที่ดินแต่ไม่มีความรู้ ซึ่งสามารถเรียนรู้ได้ ไม่ใช่แต่ที่โรงเรียนแก้หนี้แก้จน ที่มหาวิทยาลัยชีวิต แต่ที่ไหนก็ได้ที่มีความรู้ มีผู้รู้ และเราต้องการเรียนรู้จริงๆ (ดูข้อมูลโรงเรียนแก้หนี้แก้จนที่ www.life.ac.th)
   
คนจนจำนวนมากไม่ได้จนทรัพยากร ไม่ได้จนที่ดิน ไม่ได้จนแรงงาน แต่จนปัญญาซึ่งหาได้จากการเรียนรู้

ที่มา.สยามรัฐ
+++++++++++++++++++++++++++++

ศาลสหรัฐ มีคำสั่งอายัดทรัพย์นักค้าหุ้นชาวไทย !!?

ศาลสหรัฐ มีคำสั่งอายัดทรัพย์นักค้าหุ้นชาวไทย"บดินทร์ รุ่งเรืองนวรัตน์" ฐานใช้ อินไซเดอร์ เทรดดิ้ง ฟันกำไรกว่า 92 ล้านบาท

สำนักข่าวเอพีรายงานจากกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 6 มิ.ย. ว่า ศาลรัฐบาลกลางสหรัฐอเมริกามีคำสั่งให้อายัดทรัพย์สิน นายบดินทร์ รุ่งเรืองนวรัตน์ นักค้าหุ้นชาวไทย ที่ได้กำไรจากการรู้ข้อมูลล่วงหน้าว่า บริษัทชวงฮุ่ย อินเตอร์เนชั่นแนล โฮลดิ้งส์ ของจีน มีแผนจะเสนอซื้อกิจการ บริษัทสมิธฟีลด์ ฟูดส์ อิงค์ ของสหรัฐ ซึ่งเป็นบริษัทแปรรูปเนื้อสุกรขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ด้วยราคา 4,700 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
       
คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) สหรัฐ กล่าวหา นายบดินทร์ ใช้ข้อมูลภายในในการซื้อขายหุ้น หรือ อินไซเดอร์ เทรดดิ้ง ทำให้ได้เงินมากกว่า 3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 92 ล้านบาท) ก่อนแผนการซื้อขายกิจการจะถูกประกาศในวันที่ 29 พ.ค. โดย นายบดินทร์ซื้อตราสารสิทธิหุ้น บริษัทสมิธฟีลด์ ฟูดส์ จำนวนหลายพันหุ้น รวมทั้งสัญญาซื้อขายสินค้าล่วงหน้า ซึ่งจะทำให้ได้ผลกำไร เมื่อข้อเสนอซื้อกิจการถูกประกาศต่อสาธารณชน
       
หุ้นของบริษัทสมิธฟีลด์ ฟูดส์ ในตลาดหลักทรัพย์ สูงขึ้น 29% เมื่อวันที่ 29 พ.ค. ก่อนจะปิดตลาดที่ราคาหุ้นละ 33.35 ดอลลาร์สหรัฐ

ก.ล.ต. สหรัฐ กล่าวอีกว่า นายบดินทร์ มีเพื่อนทางเฟซบุ๊ก ซึ่งทำงานที่ธนาคารเพื่อการลงทุนแห่งหนึ่ง ซึ่งอาจจะเป็นแหล่งข้อมูลให้ผู้สื่อข่าวของเอพีติดต่อขอสัมภาษณ์นายบดินทร์ แต่ยังไม่สามารถติดต่อได้ และคำสั่งอายัดทรัพย์ของศาลรัฐบาลกลางดังกล่าว จะมีผลไม่ให้ นายบดินทร์ ทำลายหลักฐานในคดีได้ด้วย

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
----------------------------------------------------

Business Ecosystem

คอลัมน์ : คิด วิเคราะห์ แยกแยะ

สมัย เด็กเราจะต้องเรียนถึงระบบนิเวศวิทยา (Ecosystem) ที่พูดถึงห่วงโซ่อาหาร วงจรของสิ่งมีชีวิตในสภาพแวดล้อมหนึ่ง ซึ่งมีองค์ประกอบหลากหลายและทำหน้าที่แตกต่างกันเช่น ผู้ผลิตสามารถผลิตอาหารขึ้นมาได้เอง พืชที่สังเคราะห์แสง มีผู้บริโภคหลาย ๆ ลำดับขั้น รูปแบบของสิ่งมีชีวิตก็จะแตกต่างกันไปในแต่ละสภาพแวดล้อม เรียกได้ว่าระบบนิเวศทางธรรมชาติคือวงจรความเป็น ความตาย และสมดุลการอยู่ร่วมกันของสิ่งมีชีวิตทั้งมวลในสภาพแวดล้อมหนึ่ง ๆ

ใน วงการธุรกิจ ตั้งแต่ปี 1990 เริ่มมีการศึกษาถึงระบบนิเวศทางธุรกิจ โดย "เจมส์ มัวร์" โปรเฟสเซอร์ของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด เรื่องการเชื่อมโยงกันของห่วงโซ่ทางคุณค่า (Value Chain) ของธุรกิจแต่ละหน่วยในระบบนิเวศธุรกิจนั้น ๆ ที่มีรูปแบบจำลองและคล้ายคลึงระบบนิเวศทางธรรมชาติมาก

การวิจัยพบ ว่าธุรกิจที่ล้มเหลว โดยมากมักจะพยายามแต่เพียงการเพิ่มประสิทธิภาพให้สินค้าและบริการสามารถตอบ สนองลูกค้าได้ดียิ่ง ๆ ขึ้น ในขณะเดียวกันธุรกิจกลับไม่ประสบ

ความ สำเร็จในการปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมภายนอก การมองภาพใหญ่ที่ผิดพลาดทำให้เกิดความล้มเหลวในการจัดการ เราจะเห็นภาพธุรกิจดี ๆ จำนวนมากที่ไม่ได้ปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมใหม่ และล้มหายตายจากไป บริษัทเหล่านี้ไม่ได้ขาดความสามารถในการแข่งขัน ไม่ได้หยุดนิ่งในการพัฒนาตัวเอง แต่ด้วยสภาพแวดล้อมใหม่ ๆ บริษัทที่มีคุณลักษณะเหมาะเท่านั้นที่จะอยู่รอด และเติบโตได้ดี

ผมขอ เล่าประวัติศาสตร์วิวัฒนาการสิ่งมีชีวิตให้เห็นว่าในอดีต สิ่งมีชีวิตที่มีขนาดใหญ่อย่างไดโนเสาร์ครองโลกมาเป็นเวลาหลายร้อยล้านปี ก่อนสภาพแวดล้อมจะเปลี่ยน และเกื้อหนุนให้สิ่งมีชีวิตขนาดเล็กลงใช้ทรัพยากรอาหารเหมาะสมและมี ประสิทธิภาพ ทั้งยังมีการถ่ายทอดองค์ความรู้ ฟูมฟัก ดูแลลูกอ่อน อย่างสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขึ้นมาแทนที่ แสดงให้เห็นภาพว่า "ขนาด" และ "ความสามารถในการล่า" ไม่ใช่สิ่งที่เป็นส่วนสำคัญในมุมธุรกิจแล้ว

บริษัทอย่าง 3M ชื่อเต็มคือ Minnesota Mining and Manufacturing Company ที่เดิมทำธุรกิจเกี่ยวข้องกับการผลิต เหมือง แต่สามารถผันตัวเองเข้าสู่ธุรกิจใหม่ ๆ ได้ต่อเนื่องจาก "รากฐานเดิม" ด้วยผู้บริหารและทีมวิจัยที่ยอดเยี่ยม ผลิตผลอย่าง Scotch Tape, Post-It ก็เป็นผลิตภัณฑ์ที่เหมาะกับภาพรวมของระบบนิเวศใหมa่มาก นั่นคือการเจริญเติบโตของวงการธุรกิจ และการจัดการเอกสารในประเทศสหรัฐ ช่วยให้บริษัทที่มีกายภาพเหมาะสมกับระบบนิเวศนี้เติบโตจากบริษัทเล็ก ๆ ในมินเนโซตา เป็นบริษัทชั้นนำใน S&P500

ในมุมกลับกันระบบนิเวศ ทางธุรกิจ หรือ Business Ecosystem ดี ๆ ที่มีอยู่ ก็เอื้อให้เกิดบริษัทใหม่ ๆ จำนวนมากได้เช่นกัน ที่เห็นเด่นชัดคือ Silicon Valley ซึ่งเป็นระบบนิเวศที่ฟูมฟักเลี้ยงดูตัวอ่อน ให้กับบริษัทไอทียักษ์ใหญ่ เช่น Apple, Google, eBay, Nvidia, Adobe, Yahoo! ผลักดันให้อุตสาหกรรม Information Technology เป็นอุตสาหกรรมสำคัญที่ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจของอเมริกา

ในทาง ทฤษฎี ถ้าจะมององค์ประกอบของระบบนิเวศทางธุรกิจดี ๆ มักจะประกอบด้วย 1.ความหลากหลายที่เกื้อหนุนกัน 2.ความซับซ้อนที่ช่วยให้การขาดองค์ประกอบหนึ่ง ไม่ทำให้ส่วนที่เหลือมีปัญหา 3.ความอุดมสมบูรณ์ทางทรัพยากรที่เกื้อหนุนระบบนิเวศนั้น ๆ 4.การแข่งขันที่ช่วยพัฒนาวิวัฒนาการของธุรกิจ ถ้าคิดถึงกรณี Silicon

Valley จะพบว่า การที่ใกล้ชิดกับเมืองมหาวิทยาลัยชั้นนำอย่าง Stanford และการมี Venture Capital ก็ช่วยให้เกิดความสมบูรณ์ทางทรัพยากรทั้งทรัพยากรมนุษย์ และทรัพยากรทุน ความหลากหลายของผู้คนมลรัฐแคลิฟอร์เนีย และประเทศอเมริกา จิตวิญญาณความเป็นผู้ประกอบการ ความซับซ้อนการเชื่อมโยงทางอุตสาหกรรม ไม่ว่าจะเป็น Hardware, Software, Internet การยอมรับของผู้คนและผู้บริโภค ปัจจัยเหล่านี้ช่วยสนับสนุนให้ Ecosystem นี้แข็งแรง และยากที่จะหาที่ใดในโลกเลียนแบบได้

กลับมาที่ประเทศไทย ผมทิ้งท้ายว่า หลายอุตสาหกรรมเราเริ่มสร้าง Cluster เริ่มมี Value Chain และกำลังก้าวไปสู่ Ecosystem ที่แข็งแรง ยิ่งมีการเชื่อมโยงกับ AEC จะช่วยสร้างความสมบูรณ์และซับซ้อนยิ่งขึ้น หน้าที่นักลงทุนคือหา

"Ecosystem ที่สุดยอด" และหา "บริษัท" ที่เหมาะกับ Ecosystem เหล่านี้ เพราะการลงทุนนั้นจะเปลี่ยนชีวิตคุณ

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
-----------------------------------------------------

สมาคมชาวนาข้าวไทย แนะรัฐบาลกำหนดปริมาณจำนำข้าว !!?

นายกสมาคมชาวนาข้าวไทยแนะรัฐบาลกำหนดปริมาณจำนำข้าว เสนอไอเดียตั้งร้านโบนัสสวัสดิการชาวนา ขายปุ๋ย เมล็ดพันธุ์ข้าวราคาถูก ลดต้นทุนเกษตรกร

นายประสิทธิ์ บุญเฉย นายกสมาคมชาวนาข้าวไทย ได้เดินทางมายังกระทรวงพาณิชย์พร้อมเปิดเผยว่า ยืนยันยังเห็นด้วยกับโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาล แม้ว่าขณะนี้เกษตรกรมองว่าจะมีปัญหาความล่าช้าของการรับเงินเพราะการรับจำนำทุกเม็ดจะมีขั้นตอนในการตรวจสอบคุณภาพข้าวมาก รวมถึงปัญหาราคารับจำนำข้าวที่กำหนดตันละ 15,000 บาท ที่ในความเป็นจริง เมื่อหักความชื้นเกษตรกรได้รับเงินในราคาต่ำมาก

ดังนั้นจึงต้องการเห็นรัฐบาลปรับปรุงระบบการรับจำนำข้าวใหม่ ด้วยการกำหนดปริมาณการรับจำนำต่อครัวเรือนแทนการรับจำนำทุกเม็ด เช่นกำหนดจำนำได้ไม่เกิน 500,000 บาทต่อครัวเรือน รวมทั้งกำหนดราคารับจำนำตายตัวที่ตันละ 10,000 บาท เพื่อให้โครงการรับจำนำข้าวมีประสิทธิภาพมากขึ้น และเชื่อว่าหากดำเนินการได้เช่นนี้รัฐบาลจะไม่ขาดทุนจากการดำเนินงานอย่างแน่นอน

ขณะเดียวกันรัฐบาลควรกำหนดโซนนิ่งการปลูกข้าว เพื่อจัดระบบการปลูกข้าวใหม่ รวมทั้งจะต้องสร้างความเข้มแข็งด้วยการเพิ่มความรู้ทั้งด้านการผลิต การลดต้นทุน และพัฒนาคุณภาพข้าวให้กับเกษตรกรมากขึ้น ซึ่งเชื่อว่าหากมีการพัฒนาการผลิตข้าวของเกษตรกรอย่างเป็นแบบระบบแล้ว ในอนาคตอาจไม่มีความจำเป็นต้องใช้โครงการรับจำนำข้าวเข้ามาช่วยอีก

นอกจากนี้ เพื่อเป็นการดูแลเกษตรกรมากขึ้น ทางสมาคมจึงมีแนวคิดก่อตั้งร้านโบนัส ร้านค้าสวัสดิการชาวนาข้าวไทย ที่จำหน่ายสินค้าราคาถูก อาทิ ปุ๋ย เมล็ดพันธ์ข้าว และยาต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการปลูกข้าว เพื่อให้เกษตรกรมีต้นทุนเฉลี่ยเพียง 4,000 บาทต่อไร่ และมีผลผลิต 800 ถังต่อไร่ รวมทั้งจะมีการจัดแฟรนไชส์ที่มีชาวนาเป็นสมาชิก เพื่อให้ชาวนาไทยมีโอกาสในการสร้างรายได้ จากต้นทุนที่ไม่สูงมาก และสามารถนำสินค้ามาจำหน่ายได้ ซึ่งเชื่อว่าจะทำให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวมีรายได้กลับมาอย่างแท้จริง ซึ่งในเบื้องต้นจะเปิดร้านได้ที่ชัยนาท มีนบุรี และพระนครศรีอยุธยา

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
------------------------------------------------