--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันศุกร์ที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

ความภูมิใจ ในความเป็นไทย !!?


คอลัมน์ เรื่องเล่าซีอีโอ

โดย ศุภชัย เจียรวนนท์

ความภูมิใจในตัวเองเป็นพื้นฐานที่สำคัญในการสร้างความเชื่อมั่น หากปราศจากความภาคภูมิใจและความเชื่อมั่นในตัวเองจะทำให้เราไม่สามารถสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ ไม่กล้าเผชิญหน้ากับความเปลี่ยนแปลง นั่นหมายถึงความภูมิใจ และความมั่นใจเป็นพื้นฐานที่สำคัญในการพัฒนาระบบสังคม และเศรษฐกิจ หรือแม้กระทั่งองค์กร หรือแม้กระทั่งผู้นำในครอบครัว

ผมยังจำได้ว่า ตอนที่ลูกชายคนโตยังเด็ก เขาเรียนโรงเรียนอินเตอร์ ประวัติศาสตร์ต่าง ๆ ที่เรียนจะเกี่ยวกับยุโรป ประวัติศาสตร์กรุงโรม ผู้ที่มีความยิ่งใหญ่ที่สุดสำหรับเด็กชายวัย 10 ขวบตอนนั้น ชื่อ Alexander the Great ซึ่งสามารถครอบครองพรมแดนในอาณาบริเวณกว้างถึง 1/3 ของโลก สิ่งที่สะท้อนกลับมาตอนนั้น ดูเหมือนว่า เด็กวัย 10 ขวบคนหนึ่ง ไม่ได้มีอะไรในความเป็นประเทศเอเชีย หรือแม้กระทั่งประเทศไทย ที่ทำให้รู้สึกภาคภูมิใจ หรือแม้กระทั่งความเป็นเด็กไทยของตัวเอง หรือความเป็นเด็กเอเชียคนหนึ่ง

ดูเหมือนว่า ความยิ่งใหญ่ทั้งหมดเกิดขึ้นจากยุโรป ไม่ใช่เพียงแค่การปกครอง แต่ยังรวมถึงการค้นคว้าวิจัย นักวิทยาศาสตร์ นักปรัชญาที่มีชื่อเสียง

ผมถามลูกชายวัย 10 ขวบในเวลานั้นว่า นอกจาก Alexander the Great แล้ว เขารู้จัก "สิทธัตถะ" หรือไม่ เขาบอกว่า ไม่รู้จัก และเมื่อถามว่า รู้จักพระพุทธเจ้าหรือไม่ เขาบอกว่า รู้จัก แต่พระพุทธเจ้าไม่ได้ปกครองโลกถึง 1 ใน 3 เหมือน Alexander ผมเลยถามต่อว่า แล้ว Alexander มีคุณค่าและความทรงจำที่เป็นประโยชน์ต่อเนื่องไว้ให้คนรุ่นปัจจุบันนี้หรือไม่ หากเทียบกับเจ้าชายสิทธัตถะ ที่เวลาผ่านมากว่า 2500 ปีแล้ว ยังมีคนเรียนรู้คำสอน ยังเคารพบูชา แม้กระทั่งหุ่นปั้น หรือรูปของท่านอยู่ตลอด

ผมถามลูกชายผมต่อไปถึงสิ่งที่รู้สึกภูมิใจในประเทศไทย ในความเป็นคนไทย

คำตอบที่เขาสามารถตอบได้ทันที คือภูมิใจใน "ในหลวง" ซึ่งเป็นความภาคภูมิใจ และเป็นจุดยึดเหนี่ยวของคนไทย แต่ถ้าถามไปว่า มีอะไรอีก เขาเริ่มจะคิดไม่ออก

ผมกลับมานึกถึงตัวเองว่า ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ได้มีโอกาสเดินทางไปในหลายประเทศ โดยเฉพาะประเทศจีน ซึ่ง 20 ปีก่อนล้าหลังเรามาก แต่ปัจจุบันก้าวนำหน้าประเทศเราไปแล้ว ผมสังเกตได้ชัดเลยว่า เวลาคนจีนพูดถึงประเทศตัวเอง จะพูดด้วยความเชื่อมั่น และภาคภูมิใจว่า สามารถทำทุกอย่างได้ไม่แพ้ประเทศอื่น

เรื่องความภาคภูมิใจในประเทศของตนไม่ใช่มีเพียงแค่คนในประเทศจีน แต่ทั้งประเทศญี่ปุ่นและเกาหลี ต่างมีความชัดเจนเรื่องความภาคภูมิใจในประเทศของตน ซึ่งรวมถึงผู้คนในประเทศสหรัฐอเมริกา และประเทศในยุโรปตะวันตกด้วย

การสร้างความภาคภูมิใจในประเทศของเรา ถือเป็นโครงสร้างพื้นฐานทางด้านความคิดที่สำคัญมาก เพราะหากปราศจากความเชื่อมั่น เราก็ไม่สามารถสร้างสังคมที่ยั่งยืนได้ ทั้งนี้ ความเชื่อมั่นต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานของคุณธรรม

ทุกวันนี้ สิ่งที่เป็นความภาคภูมิใจของไทยยังมีอีกหลายเรื่อง ซึ่งชาวโลกยอมรับ แต่คนไทยเองอาจยังมองไม่เห็น ทั้งศิลปะการป้องกันตัวของไทย "มวยไทย" ที่มีชื่อเสียงติดระดับท็อปของโลก อาหารไทยก็ได้รับการยอมรับในระดับท็อปของโลกเช่นกัน โดยเฉพาะเรื่องวัฒนธรรมไทย ที่นานาประเทศต่างชื่นชมว่า เป็นเมืองที่น่าอยู่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก มีการ

หล่อหลอมวัฒนธรรมในภาคพื้นเอเชียเข้ามาด้วยกัน อันเนื่องมาจากความเป็นเอกราชของไทย ที่ทำให้วัฒนธรรมไทยเปิดกว้าง และยอมรับสิ่งใหม่ ๆ ซึ่งต้องบอกว่าเป็นเรื่องที่ภาคภูมิใจ

ประเทศไทยยังมีสถานที่ท่องเที่ยวที่สวยงามในระดับโลก และเป็นที่กล่าวขานไปทั่วโลก ว่าทำไมต้องมาเที่ยวที่ประเทศไทย แต่เราอาจไม่ดูแล และรักษาความน่าภาคภูมิใจเหล่านี้เท่าที่ควรจะเป็น

ยังมีศิลปวัฒนธรรมของไทยอีกมายมาย ที่แสดงถึงความสามารถของคนไทย รวมไปถึงอุตสาหกรรม เช่น เกษตรกรรม เป็นอุตสาหกรรมที่มีความรุดหน้า และเทคโนโลยีระดับแนวหน้าของโลก จะพูดไป ก็มีอีกหลายเรื่องที่เป็นความภาคภูมิใจของคนไทย แต่หลายสิ่งเหล่านี้อาจไม่ได้มีการนำมาถ่ายทอดไปสู่เยาวชน ให้เขาได้รู้สึกภาคภูมิใจ และเสริมสร้างความมั่นใจว่า เขาสามารถสร้างสรรค์ภายใต้ความเป็นไทยไปสู่ความเป็นผู้นำในระดับสากลได้ เขาสามารถสร้างคุณค่าที่แบ่งปันให้คนทั้งโลกได้ เขาจะมีความรู้สึกได้ว่า ถ้าประเทศอื่น โดยเฉพาะประเทศที่พัฒนาแล้ว สมารถทำได้ ทำไมตัวเราจะทำไม่ได้

คนทุกคนอยากรู้ว่า ตัวเองมีที่มาจากครอบครัว จากสังคม หรือจากประเทศ ที่ประสบความสำเร็จในทางใดทางหนึ่ง หากขาดความภาคภูมิใจ และความมั่นใจในพื้นฐานของตัวเอง ขาดความรู้สึกที่เรียกว่า Sense of Belongings ไม่เข้าใจหรือเคารพในที่มาที่ไปของตัวเอง ก็ยากที่จะเติบโตอย่างมีความมั่นใจ

ในฐานะที่เป็นคนไทย ความมั่นใจ ความภูมิใจ คือความแข็งแกร่งของเมล็ดพันธุ์ที่จะหยั่งรากลึก พร้อมที่จะเผชิญกับอุปสรรค และความท้าทายนานัปการในการดำเนินชีวิต พร้อมที่จะแข่งขัน สร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ คุณค่าที่เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม

ในฐานะคนไทยคนหนึ่ง ลองถามตัวเองดูว่า คุณเชื่อหรือไม่ว่า คนไทย ประเทศไทยสามารถเป็นผู้นำในเกษตรอุตสาหกรรมของโลกได้ ? คุณเชื่อหรือไม่ว่า ประเทศไทยสามารถเป็นผู้นำในเรื่องของอาหาร เพื่อเสิร์ฟคนทั่วโลกได้ ? คุณเชื่อหรือไม่ว่า ประเทศไทยจะเป็นศูนย์กลางในการเผยแผ่พระธรรม คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าให้เกิดประโยชน์ต่อคนทั้งโลกได้ ?

คุณเชื่อหรือไม่ว่า ประเทศไทยจะเป็นศูนย์กลางของ AEC เชื่อหรือไม่ว่า ประเทศไทยจะเป็นประเทศไทยน่าอยู่ประเทศหนึ่งของโลก ? คุณเชื่อหรือไม่ว่า จะสามารถเป็นผู้นำในเทคโนโลยีด้านอวกาศ และส่งกระสวยอวกาศไปดาวอังคารได้ ?

ถ้าคำตอบคือไม่เชื่อ มันก็คงเป็นไปไม่ได้ ถ้าคำตอบคือประเทศไทยทำได้อยู่แล้ว ทุกอย่างก็เป็นไปได้ ลองถามเด็ก ๆ รุ่นใหม่ดูว่า เขามีความเชื่อหรือไม่ และมีความภาคภูมิใจในประเทศมากน้อยแค่ไหน มีเรื่องอะไรบ้างที่เขามีความภูมิใจในความเป็นคนไทย แต่ต้องอย่าลืมเริ่มต้นด้วยการถามตัวคุณเองก่อน

ทุกอย่างเริ่มต้นจากความภาคภูมิใจ "You are what you belong" ในพื้นฐานที่คนเอเชียมักคิดคือความกตัญญู คือการรู้ถึงที่มาที่ไปของตัวเอง และสามารถที่จะทดแทนและตอบแทนให้กับที่มาของตัวเอง อันนี้เป็นความภาคภูมิใจขั้นพื้นฐาน

ด้วยสื่อ หนังสือ และระบบการเรียนการสอนในปัจจุบัน และรวมถึงระบอบที่เป็นวัตถุนิยมมากขึ้น ทำให้ลืมพื้นฐาน ที่มาที่ไป และความภาคภูมิใจของตัวเราเอง รวมทั้งลืมความเป็นไทย ที่สามารถสร้างคุณค่าให้คนทั้งโลกได้

ในฐานะผู้นำขององค์กรไทยองค์กรหนึ่ง หลายครั้งที่ผมตั้งคำถามว่า เราจะทำสิ่งใหม่ ๆ ได้หรือไม่ แต่คำถามที่ผมมักได้รับกลับมา คือมีประเทศอื่นทำสำเร็จหรือยัง ถ้าไม่มี แล้วเราจะทำสำเร็จได้หรือ ซึ่งก็ยังคงเป็นสิ่งที่ท้าทายสำหรับองค์กรไทย แต่ผมมีความหวังว่าสักวันหนึ่งที่ผมถามถึงการทำเรื่องอะไรใหม่ ๆ จะมีคนถามผมกลับว่าทำไมเราจะทำไม่ได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมคิดเช่นเดียวกัน เพราะผมมั่นใจว่าคนไทยทำได้

ผมมั่นใจในศักยภาพของคนไทย และภูมิใจในความเป็นคนไทย

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
/////////////////////////////////////////////////////////


เศรษฐกิจอินโดนีเซีย ของจริงหรือฟองสบู่ !!?


คอลัมน์ มายาการเงิน โดย สันติธาร เสถียรไทย

เมื่อเทียบเศรษฐกิจประเทศอินโดนีเซียกับเศรษฐกิจประเทศอื่นในเอเชียแล้ว เศรษฐกิจอินโดนีเซียนั้นมีอะไรให้อิจฉาหลายข้อ

อย่างแรกคือ การที่เศรษฐกิจของเขามีอัตราการเจริญเติบโต (GDP Growth Rate) ที่มีเสถียรภาพสูง โดยโตอย่างสม่ำเสมอที่อัตราประมาณ 6% ใน 5 ปีที่ผ่านมา จนรัฐบาลอินโดนีเซียชอบพูดอย่างภูมิใจเสมอว่า ขนาดในปี 2552 ที่ทั้งโลกโดนกระทบจากวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์นั้น เศรษฐกิจที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในอาเซียนนี้ก็ยังโตได้ 4.6% ขณะที่ไทยกับมาเลเซีย ติดลบประมาณ 2% และแม้แต่เศรษฐกิจที่ไม่พึ่งพาการส่งออกมากอย่างฟิลิปปินส์ก็โตได้แค่ 1%

นอกจากนี้ อินโดนีเซียยังมีหนี้ในระบบต่ำมาก ทั้งในรัฐบาล (23% ของ GDP) และภาคเอกชน (33% ของ GDP) ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการที่อินโดนีเซียนั้นเบี้ยวไม่จ่ายและยกเลิกหนี้ไป หลังจากเกิดวิกฤตต้มยำกุ้ง แต่อีกเหตุผลหนึ่ง ก็คือการที่รัฐบาลเขาระมัดระวังการใช้จ่ายการคลังมากในสิบปีที่ผ่านมา ถึงขนาดมีกฎในรัฐธรรมนูญว่าการ
ขาดดุลการคลังนั้นห้ามเกิน 3% ของ GDP

สุดท้ายแม้แต่เรื่องที่เคยเป็นจุดอ่อนใหญ่ของอินโดนีเซียมาตลอด อย่าง "เงินเฟ้อ" ใน 2-3 ปีที่ผ่านมา ก็อยู่ภายใต้การควบคุมได้อย่างน่าแปลกใจ ทั้ง ๆ ที่เศรษฐกิจและสินเชื่อโตอย่างรวดเร็วเกิน GDP เสมอมา จนทำเอานักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ผิดครั้งแล้วครั้งเล่า

ขวัญใจของนักลงทุน

จึงไม่น่าแปลกใจที่ประเทศนี้เป็นที่ชื่นชอบของนักลงทุนทุกประเภท ใน 5 ปีที่ผ่านมา ในด้านตลาดหุ้นก็เป็นตลาดที่ร้อนแรงที่สุดของอาเซียน (ดัชนีปรับตัวขึ้นมา 110% ในช่วงเวลานี้) พันธบัตรรัฐบาลก็ได้อัพเกรดระดับความน่าเชื่อถือ จากสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือต่าง ๆ กลับมาเป็น Investment Grade ตั้งแต่ปี 2554 บริษัทข้ามชาติ (Multinational Companies) ก็นำเงินมาลงทุกปี ทีละ 1-1.5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ

ทำเอาไทยกับมาเลเซียที่ได้ปีละ 8-9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐนั้นดูน้อยไปเลย (ถ้าไม่เทียบกับขนาดของเศรษฐกิจ) บริษัทเหล่านี้ไม่ได้มีเพียงมีบริษัทชั้นนำที่ลงทุนในอินโดนีเซีย เพื่อให้เข้าถึงแหล่งทรัพยากรที่อุดมสมบูรณ์ ทั้งถ่านหิน ก๊าซธรรมชาติ และแร่โลหะ แต่ยังมีเจ้าอื่น เช่น พวกยักษ์ใหญ่ในอุตสาหกรรมยานยนต์ อย่างโตโยต้าและการค้าปลีก เช่น ยูนิลีเวอร์ ที่อยากได้ประโยชน์จากตลาดผู้บริโภคขนาดใหญ่ เมื่อขนาดของชนชั้นกลางกำลังเติบใหญ่ (Mckinsey คาดการณ์ว่าตลาด

ผู้บริโภคที่มีกำลังซื้อในอินโดนีเซียจะขยายใหญ่ขึ้น จาก 45 ล้านคนในปี 2553 เป็น 85 ล้านคนภายใน 10 ปี)

ในขณะเดียวกันแรงงานราคาถูกก็ยังมีจำนวนมาก ส่วนหนึ่งเพราะประชากรที่ยังเด็กและโตเร็ว สุดท้ายที่ลืมไม่ได้คือธุรกิจก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์ที่มาแรงเช่นกัน โดยส่วนหนึ่งเป็นเพราะพวกเศรษฐีพันล้านที่นิตยสาร Forbes บอกว่ามีถึง 25 คนในอินโดนีเซีย (อยู่ที่อันดับ 5 ของเอเชีย และสูงกว่าญี่ปุ่นหรือไทยที่มี 10 คน) เริ่มนำเงินที่คนเชื่อว่าเก็บไว้ที่สิงคโปร์กลับมาลงทุนในประเทศของตนมากขึ้น

ภัยซ่อนเร้นสภาวะฟองสบู่

หากจะถามว่าอย่างนั้นรีบไปลงทุนในอินโดนีเซียกันเลยไหม? ผมว่ายังก่อนดีกว่าครับ เมื่อที่ใดดูดีไร้ที่ติเกินความเป็นจริงจนนักลงทุนต่างชาติเรียกกัน ว่าเป็น "สิ่งมหัศจรรย์" เหมือนกับที่ไทยเราเคยถูกขนานนามก่อนวิกฤตต้มยำกุ้ง

เมื่อนั้นคือยามที่ต้องถอยหนึ่งก้าวแล้วเอาแว่นขยายมาส่องมองให้ลึกลงไปอีกสักหน่อย

เสมอ

แท้จริงแล้วเศรษฐกิจของอินโดนีเซียเริ่มมีอาการหลายอย่างที่ส่อถึงสภาวะที่นักเศรษฐศาสตร์เรียกว่า"Overheating" หมายถึงการที่เศรษฐกิจโตเร็วเกินไป แต่ที่นักเศรษฐศาสตร์และนักการเงินหลายคนมองข้ามปัญหานี้ไป มีอย่างน้อยสองข้อคือ

ข้อแรกคือ การที่พวกเรามักจะให้ความสำคัญกับเงินเฟ้อมากเกินไปในการเป็นสัญญาณเตือนภัย เหมือนเป็นปรอท

วัดอุณหภูมิที่เชื่อถือได้ เมื่อเงินเฟ้อไม่ดีดตัวขึ้นสูงอย่างมีนัย นักเศรษฐศาสตร์

และนักลงทุนจึงวางใจคิดว่า "ไม่มีอะไร" ต้องห่วง และนี่อาจเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ธนาคารชาติของอินโดนีเซียวางใจถึงขนาดลดดอกเบี้ยลงไปอีก

หลังจากวิกฤตเศรษฐกิจโลกผ่านไปแล้วอีก 0.75% จนดอกเบี้ยนโยบายนั้นลงมาอยู่ที่ระดับต่ำที่สุดในประวัติศาสตร์ เพื่ออัดฉีดกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มในยามที่ GDP ยังโตได้เฉลี่ยปีละกว่า 6% อย่างไม่มีปัญหา (เป็นรองแค่จีนและอินเดีย)

ซึ่งนโยบายการเงินที่ผิดพลาดนี่เองก็คือหนึ่งในปัจจัยที่ทำให้เศรษฐกิจของอินโดนีเซียนั้นเริ่ม Overheat

ถ้าเรามองกลับไปในประวัติศาสตร์จริง ๆ แล้ว หลายต่อหลายครั้งเงินเฟ้อไม่ใช่สัญญาณเตือนภัยทางเศรษฐกิจล่วงหน้าที่ดี ไม่ว่าจะเป็นในอเมริกาก่อนวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ และวิกฤตดอตคอม (Dot-com Crisis) หรือในอินโดนีเซียเอง ช่วงก่อนฟองสบู่จะแตกตอนวิกฤตต้มยำกุ้ง เงินเฟ้อที่วัดจากดัชนีราคาผู้บริโภคนั้นก็ไม่ได้ปรับตัวสูงขึ้น ไม่ได้เตือนภัยว่า "เครื่องยนต์ร้อนจนไฟติดแล้ว" สุดท้ายเครื่องเลยระเบิด

โดยทั่วไปสิ่งที่เตือนภัยได้ดีกว่ามากคือ ราคาสินทรัพย์ เช่น ราคาอสังหาริมทรัพย์ แต่ในกรณีของอินโดนีเซียนั้น เรียกได้ว่าปราบเซียนซ้อนขึ้นอีกชั้นหนึ่ง เพราะหากไปดูดัชนีราคาอสังหาฯที่รวบรวมโดยรัฐบาล จะพบว่าราคานั้นไม่ได้ปรับตัวขึ้นสูงนัก อยู่เพียง 5-7% ต่อปีที่ผ่านมา

เหตุที่เป็นเช่นนี้ เพราะตัวเลขไม่สะท้อนถึงสภาพความจริง ไม่ว่าจะเป็นราคาที่ดิน บ้าน คอนโดฯ ราคาไม่ได้ขึ้นทุกที่เหมือนฝนที่ตกไม่ทั่วฟ้า เพราะฉะนั้น หากดูดัชนีราคาอสังหาฯที่เป็นค่าเฉลี่ย หรือถามผิดคน ก็จะไม่รู้ว่าราคาขึ้นสูงเสี่ยงต่อการเกิดภาวะฟองสบู่ขนาดนี้

ตอนนี้สิ่งเดียวที่ออกอาการ ฟ้องว่าเศรษฐกิจมหภาคของอินโดนีเซียกำลังมีปัญหาคือ ดุลการค้าและดุลบัญชีเดินสะพัด (Current Account Balance) ที่ตกฮวบ จากที่เคยเกินดุลกว่า 2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ มาเป็นติดลบ 2.4 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐในปีที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็นการขาดดุลที่สูงที่สุด ยิ่งกว่าช่วงก่อนวิกฤตต้มยำกุ้งเสียอีก

นี่ก็เป็นปัจจัยหลักตัวหนึ่งที่ทำให้ธนาคารชาติของอินโดนีเซียต้องเข้าไปแทรกแซงพยุงค่าเงินรูเปียห์ไม่ให้อ่อนไป ในขณะที่ประเทศอื่นในเอเชียกำลังปวดหัวเรื่องเงินตนเองแข็งเกินไป

มีนักเศรษฐศาสตร์หลายคนมองว่า การขาดดุลบัญชีเดินสะพัดของอินโดนีเซียนี้เป็นปัญหาเพียงชั่วคราว เนื่องจากราคาสินค้าโภคภัณฑ์ (Commodities) ที่ประเทศนี้ส่งออก เช่น ถ่านหิน น้ำมันปาล์ม และยางพารานั้นซบเซามากในปีที่ผ่านมา แล้วปีนี้ราคาน่าจะกระเตื้องกลับขึ้นสูง

แต่วิธีคิดเช่นนี้มีข้อบกพร่องสองข้อคือ ข้อแรก-ราคาสินค้าโภคภัณฑ์เหล่านี้อาจไม่ดีขึ้นสักเท่าไร โดยเฉพาะถ่านหิน เมื่อลูกค้าใหญ่อย่างจีนพอใจกับการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ช้ากว่าเดิม และยังมีสต๊อกอยู่มาก สอง-หากเราแยกบัญชีการค้าของอินโดนีเซียเป็นส่วนที่เกี่ยวกับ

สินค้าโภคภัณฑ์ กับส่วนที่ไม่เกี่ยว

(Commodity and Noncommodity Trade Balances) จะเห็นว่าส่วนที่ไม่เกี่ยวกับราคาสินค้าโภคภัณฑ์นั้นแย่ลงมากเช่นกัน

จึงโทษราคาถ่านหินหรือน้ำมันปาล์มไม่ได้ แต่ต้องโทษอุปสงค์ภายในประเทศที่โตเร็วเกินไป จนเศรษฐกิจเริ่ม Overheat อย่างที่กล่าวไว้ตอนต้น

เศรษฐกิจอินโดฯจะพังหรือไม่ ?

คำตอบคือ ทั้งหมดนี้ไม่ได้แปลว่าเศรษฐกิจอินโดนีเซียจะพัง และผจญกับวิกฤตแบบช่วงปี 2540-2542 แต่มันเป็นสัญญาณเตือนว่าค่าเงินรูเปียห์จะถูกแรงกดดันให้อ่อนตัวลงไปอีก เพราะการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดนี้น่าจะแย่ลงกว่าปีที่แล้ว ทำให้มีเงินที่ไหลออกจากอินโดนีเซียมากกว่าเงินที่ไหลเข้า

และแม้แบงก์ชาติของอินโดฯจะแทรกแซงเพื่อพยุงค่าเงินอยู่สุดท้ายรัฐบาลคงไม่อยากใช้เงินสำรองต่างประเทศมากเกินไป และน่าจะยอมให้ค่าเงินค่อย ๆ อ่อนตัวลงจนเกิน 10,000 เทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งจะมีผลลบต่อภาคเศรษฐกิจและธุรกิจที่พึ่งพาการนำเข้าสูง เช่นภาคยานยนต์และก่อสร้าง ในขณะที่ธุรกิจที่เน้นส่งออก เช่น ถ่านหิน น้ำมันปาล์ม และยางพารา จะได้รับประโยชน์

สุดท้ายรัฐบาลก็คงไม่สามารถจะหลีกเลี่ยงการเหยียบเบรกเพื่อชะลออุปสงค์ภายในประเทศ อาจจะด้วยการผลักภาระราคาน้ำมันที่ตนอุ้มอยู่ให้ผู้บริโภคต้องจ่ายเองมากขึ้น หรือการปล่อยให้ธนาคารชาติขึ้นดอกเบี้ยบางตัว เพื่อลดปัญหา Overheating ลง

ถ้าเราเป็นนักลงทุนในอินโดนีเซีย คงต้องถามตัวเองว่าเราพร้อมกับการปรับตัวของอินโดนีเซียที่น่าจะเกิดในไม่นานนี้
หรือยัง

เมื่อมองเขาแล้วกลับมามองเรา

นิทานเรื่องนี้มีข้อคิดสำคัญ ที่ว่าการจะดูว่าเศรษฐกิจ Overheat หรือมีสภาวะฟองสบู่หรือไม่นั้น ต้องดูจากหลายมุม และเข้าใจข้อจำกัดของตัวแปรเศรษฐกิจแต่ละตัว ซึ่งเปรียบดั่งปรอทวัด

อุณหภูมิที่มีข้อดีข้อด้อยต่างกัน ไม่เว้นแม้แต่อัตราเงินเฟ้อที่เรามักจะให้ความสำคัญค่อนข้างมาก จนบางครั้งอาจจะมากเกินไป

ในกรณีของประเทศไทย "ปรอทวัดไข้" ที่อาจต้องจับตาดูคือ การเจริญเติบโตของหนี้ภาคครัวเรือน ราคาอสังหาริมทรัพย์ ทั้งในและนอกกรุงเทพฯ รวมไปถึงดุลบัญชีเดินสะพัด ซึ่งอาจเปลี่ยนจากบวกเป็นติดลบได้ในเวลาไม่นาน

เพราะแม้ว่าเศรษฐกิจของไทยวันนี้ยังไม่ Overheat แบบอินโดนีเซียขณะนี้ แต่ถ้านโยบายการเงินและการคลังของเรายังกระตุ้นเศรษฐกิจต่อไปอย่างไม่ระวัง ปีหน้าบทความนี้อาจต้องเปลี่ยนชื่อเป็นเรื่องของประเทศไทย

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
///////////////////////////////////////////////////////////////

วันพฤหัสบดีที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

ครม.ฉุนขาด ประสาร ทำรัฐตกเป็นจำเลย !!?

ประชุมครม.ถกเครียดไม่พอใจผู้ว่าการธปท. โวยทำรัฐบาลตกเป็นจำเลย หลังกนง.ชง 4 มาตรการเริ่มจากอ่อนยันเข้มสุดให้ใช้ยาแรงกันสำรองทุนไหลเข้า ตอบกลับจ.ม.คลัง ระบุเงินไหลเข้าเพื่อเก็งกำไรค่าบาท ตามพื้นฐานศก.แกร่งมากกว่าหาผลตอบแทนส่วนต่างดอกเบี้ย "กิตติรัตน์" ตอกย้ำ "ลดอาร์/พีจำเป็น" นายกฯปูสั่งรมว.คลังประสานธปท.ใกล้ชิดระบุอยากให้แก้ปัญหาศก.แบบองค์รวม ด้าน "หม่อมอุ๋ย- ค้านลดดอกเบี้ย-ชี้บล็อกกระแสเงินไหลเข้าตราสารหนี้วิธีแก้ตรงจุดสุด



ประสาร ไตรรัตน์วรกุล ทางออกในการสกัดทุนร้อนไหลเข้าเพื่อแก้ปัญหาเงินบาทแข็งค่า ซึ่งกระทรวงการคลัง ยังคงยื่นไม้ตายให้คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ต้องปรับลดดอกเบี้ยนโยบายหรืออาร์/พีลง 1% จากปัจจุบันที่ระดับ 2.75% เหลือ 1.75% แม้ว่าก่อนหน้าธปท. จะเสนอแนวทางเริ่มจากมาตรการอ่อนยันเข้มแล้วก็ตาม อาทิ การลงทะเบียนนักลงทุนต่างชาติ,การกำหนดให้นักลงทุนต่างชาติถือครองเงินบาทที่ลงทุนในตราสารหนี้และพันธบัตรรัฐตามระยะเวลาที่ธปท.กำหนด ตลอดจนการจัดเก็บภาษีหรือมาตรการกันสำรองเงินไหลเข้าระยะสั้น

โดยน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน ภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ถึงสถานการณ์ค่าเงินบาทว่าขณะนี้ได้มอบหมายให้นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรี ว่าการ(รมว.)กระทรวงการคลัง ประสานกับนายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) พร้อมให้รมว.คลังประสานกับกระทรวงที่เกี่ยวข้อง อาทิกระทรวงพาณิชย์เพื่อติดตามดูว่ามีกรณีใดที่จะต้องเร่งช่วยเหลือโดยเฉพาะกลุ่มผู้ประกอบการเอสเอ็มอีและภาคส่งออก

ส่วนปัญหาที่ผู้ว่าการธปท.ไม่สนองนโยบายภาครัฐ ที่กระทรวงการคลังยืนกรานจะให้ลดดอกเบี้ยนโยบายนั้น นายกฯกล่าวว่า ข้อกฎหมายได้ให้ความอิสระต่อธปท.ที่จะตัดสินใจในวิธีการ ในขณะที่รมว.คลังก็มีหน้าที่มอบนโยบายอย่างเดียว ดังนั้นคงต้องประสานงานพูดคุย ซึ่งขึ้นอยู่กับกนง. ที่จะเป็นผู้พิจารณาร่วมกับผู้ว่าการธปท. เพราะการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ต้องแก้แบบองค์รวม
ทั้งนี้นายกฯ ยังปฏิเสธที่จะตอบสื่อมวลชนที่ถามว่า พอใจหรือมองว่าผู้ว่าการธปท.เป็นอุปสรรคในการแก้ปัญหาค่าเงินหรือไม่

"โต้ง" ย้ำลดอาร์/พีจำเป็น

ขณะที่นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง กล่าวว่า กระทรวงการคลังได้รายงานมาตรการแก้บาทแข็งค่า 4 ข้อตามที่ที่ประชุมกนง.นัดพิเศษเมื่อวันที่ 30 เมษายน เสนอให้กระทรวงการคลัง โดยได้แจงให้ที่ประชุมครม.รับทราบ ซึ่งเป็นเพียงแนวทาง เพราะกนง.ไม่ได้เสนอเพื่อขออนุมัติ และบางข้อเสนอผู้ว่าการธปท.มีอำนาจพร้อมใช้ แต่บางข้อต้องมีการแก้ไขกฎหมายก่อน

อย่างไรก็ดีรมว.คลัง ไม่ได้ระบุถึงรายละเอียดของมาตรการทั้ง 4 กล่าวเพียงว่า ไม่สามารถเปิดเผยได้เพราะธปท.ประทับตราลับ แต่มีบางมาตรการที่มีความพร้อม ธปท.สามารถดำเนินการได้เลย แต่ขณะนี้ก็ยังไม่เห็นธปท.ออกบังคับใช้มาตรการใด ทำให้รู้สึกเป็นห่วงอัตราแลกเปลี่ยน และการไหลเข้าของเงินทุน" นายกิตติรัตน์กล่าวและว่าในฐานะรองนายกฯ ที่ดูแลเศรษฐกิจ เห็นว่าจำเป็นที่ต้องลดดอกเบี้ยนโยบายมากที่สุด เพราะวิธีการดังกล่าวเป็นเครื่องมือที่ง่ายในการใช้กลไกของตลาดควบคุมเงินทุนไหลเข้า
เปิดจ.ม.ธปท.ตอบคลัง

นายกิตติรัตน์ ยังได้กล่าวถึงจดหมายที่ธปท.ตอบกลับกระทรวงการคลังใน 3 ประเด็นถึง 1.สถานการณ์ทางการเงินของธปท.ว่างบการเงินของธปท.สิ้นปี 2555 ส่วนทุน ธปท.แจงกลับมาว่าติดลบอยู่ที่ 5.3 หมื่นล้านบาท โดยผลกระทบมาจาก 2 ส่วน คือ 1.ส่วนของผลขาดทุนที่เกิดขึ้นจากต้นทุนดอกเบี้ยที่สูง และส่วนที่ 2 คือผลกระทบจากการตีมูลค่าทางบัญชีของสินทรัพย์หรือหลักทรัพย์ต่างประเทศที่ถือครองอยู่ ซึ่งหากค่าเงินบาทมีมูลค่าแข็งขึ้นทำให้การคำนวณมูลค่าทางบัญชีประสบผลขาดทุน

2. แนวคิดเรื่องอัตราดอกเบี้ย ธปท.ตอบกลับว่า แม้ว่าการลดดอกเบี้ยลงจะสามารถชะลอการไหลเข้าเงินทุนจากต่างประเทศได้ แต่ข้อกังวลของธปท.วิเคราะห์ว่าส่วนต่างของดอกเบี้ยน่าจะเป็นปัจจัยรองเพราะว่าผู้ลงทุนน่าจะประสงค์ที่จะได้ผลตอบแทนอื่นเช่นเรื่องของการแข็งค่าของเงิน หรือหวังผลตอบแทนจากตลาดหุ้น


3. ส่วนในเรื่องมาตรการการควบคุมการไหลเข้าของเงินทุน ทาง ธปท. ได้ชี้แจงกลับในภายหลังว่ากนง.พิจารณาอย่างไรรวมถึงมาตรการทั้ง 4 มาตรการ
เผยธปท.เสนอใช้ยาแรง "กันสำรอง"

สำหรับบรรยากาศการประชุมครม. เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม แหล่งข่าวระดับสูง เปิดเผยว่า การประชุมรอบนี้ได้ใช้เวลาเกือบ 1 ชั่วโมงเต็มหารือกันอย่างตึงเครียดเรื่องค่าเงินบาทและ 4 มาตรการคุมเงินไหลเข้า โดยเฉพาะข้อ 4 ว่าด้วยมาตรการกันสำรองเงินทุนไหลเข้าระยะสั้น ซึ่งถือเป็นมาตรการเข้มและแรงที่สุด โดย ธปท.เสนอมาว่า เมื่อเงินเข้ามาแล้วก็เก็บส่วนหนึ่งเป็นเงินสำรอง ตรงนี้ครม.เห็นตรงกันว่า กระทรวงการคลังทั่วโลกไม่มีใครทำ ขณะที่บ้านเราเคยทำมาแล้วครั้งหนึ่ง ตอนปฏิวัติปี 2549 จนเมื่อปี 2550 เมื่อออกมาตรการนี้มาใช้อยู่ได้ไม่นาน เพราะเมื่อตลาดหุ้นตกก็ร่วงเลย จึงไม่สามารถที่จะดำเนินการได้
"ครม.มองว่าต่างต้องตกอยู่ในสภาพเป็นจำเลยกันหมด ทั้งๆที่เรื่องดูแลค่าเงินไม่ได้เกี่ยวกับครม.เลย เนื่องจากเป็นหน้าที่ของบอร์ดธปท.ที่มีหน้าที่บริหาร แต่บอร์ดธปท.ก็ไม่มีหน้าที่ดูแลเรื่องของความเปลี่ยนแปลงค่าเงิน เพราะเป็นหน้าที่ของกนง.ที่คณะกรรมการธปท.ได้ให้อำนาจ ตอนนี้รัฐบาลอยู่ในภาวะกลืนไม่เข้าคลายไม่ออก เพราะต่างได้รับผลกระทบอย่างมากจากเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น มีการพูดถึงในลักษณะเป็นนัยที่ว่า จะดำเนินการกับ ผู้ว่าการธปท.อย่างไร จะปล่อยให้เป็นอย่างนี้ต่อไปอีกไม่ได้ โดยเฉพาะนายบุญทรง เตริยาภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ที่ออกอาการไม่พอใจอย่างชัดเจน"

ด้านแหล่งข่าวกระทรวงการคลัง ระบุว่าขณะนี้มาตรการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายยังเป็นมาตรการบรรเทาเงินทุนไหลเข้าได้ดีและง่ายที่สุด แต่ต้องรอดูท่าทีที่ชัดเจนของกนง.ในการประชุมวันที่ 29 พฤษภาคม ที่จะถึงนี้ หากไม่ลดดอกเบี้ยและสถานการณ์เงินบาทยังแข็งค่าต่อ คงมีความจำเป็นต้องใช้ยาแรงโดยใช้มาตรการกันสำรอง

มองบาทอ่อนแตะ 31 บาทยาก

นายพยุงศักดิ์ ชาติสุทธิผล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.) เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ประกอบด้วย ส.อ.ท. สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย ว่า กกร. ได้เชิญ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล อดีตรองนายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง และนายกอบศักดิ์ ภูตระกูล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ มาหารือแลกเปลี่ยนความเห็นกรณีเงินบาทแข็งค่า

โดยทั้ง 2 ท่านได้ให้ข้อมูล ว่าเงินบาทไทยมีแนวโน้มแข็งค่าตามพื้นฐานเศรษฐกิจที่เติบโตและแข็งแกร่งต่อเนื่อง อย่างไรก็ดี ม.ร.ว.ปรีดิยาธร ระบุตอนหนึ่งว่า ธปท.เองก็มีส่วนชะล่าใจเล็กน้อยที่ในช่วงต้นปี (กลางเดือนมกราคม ) ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น 2-3 % แต่ยังไม่ได้มีมาตรการรับมืออะไรออกมา จนปัจจุบันแข็งค่ากว่าคู่แข่งมากถึง 6-7% ดังนั้น ก็ควรออกมาตรการดูแลทันที เพื่อไม่ให้ไทยแข็งค่า

มากกว่าประเทศคู่แข่งและประเทศในภูมิภาคเดียวกันแถบนี้
ม.ร.ว.ปรีดิยาธร กล่าวอีกว่าทิศทางค่าเงินบาทจากนี้ชัดเจนว่ามีแนวโน้มแข็งค่าตามเศรษฐกิจไทย โดยประเมินว่าโอกาสที่เงินบาทจะกลับไปแตะ 31 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯไม่มีทางเกิดขึ้นได้อีก
ขณะที่ประธานส.อ.ท.กล่าวอีกว่า กกร.อยากเห็นการเคลื่อนไหวที่ระดับ 29.6-30 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯมากกว่า เพราะไม่กระทบผู้ประกอบการมากนัก แต่สิ่งที่ผู้ประกอบการในยุคปัจจุบันต้องทำคือ มีความพร้อมที่จะปรับตัวรับกับการแข่งขันที่จะเพิ่มขึ้นในอนาคต อาทิ การลดต้นทุน สร้างมูลค่าเพิ่มให้สินค้า เพื่อให้ขีดความสามารถเหนือคู่แข่ง

กกร.เห็นไปในทิศทางเดียวกันกับ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร ว่าการใช้มาตรการเข้ามาแทรกแซงค่าเงินบาท โดยการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในขณะนี้อาจจะไม่ได้ผลแล้ว แม้จะลดดอกเบี้ยแรง 1% แต่หากจะใช้มาตรการแรงสุดในการควบคุมเงินทุนไหลเข้า เช่นมาตรการภาษี แคปิตอล คอนโทรล ก็อาจจะเกิดความเสียหาย ซึ่งเชื่อว่าธปท.จะมีมาตรการควบคุมที่มีผลดูแล ในระดับปานกลางออกมาในระยะต่อไป"
ด้านนายอิสระ ว่องกุศลกิจ ประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า หอการค้าไทยและสมาคมธนาคารไทย จะร่วมหารือ กับนายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการ ธปท. วันที่ 16 พฤษภาคม 2556 นี้ เพื่อขอคำแนะนำเกี่ยวกับทิศทางอัตราแลกเปลี่ยนระยะสั้น กลาง และระยะยาว ใช้เป็นข้อมูลประกอบการดำเนินธุรกิจ รวมทั้งการเข้าถึงแหล่งเงินทุนของผู้ประกอบการ โดยเฉพาะผู้ประกอบการ ขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี)

นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองผู้อำนวยการ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ผู้เชี่ยวชาญทางด้านการวิเคราะห์เศรษฐกิจกล่าวว่า ปัจจุบันทั้งกระทรวงการคลังกับธปท. ก็มียาค่อนข้างพร้อมอยู่แล้วเพียงแต่ศึกษาว่ามาตรการที่เรามีอยู่จะเหมาะสมออกมาใช้เมื่อสถานการณ์อย่างไร อาทิ การเข้าแทรกแซงเงินบาทซึ่งเป็นยาขั้นต่ำที่ผลข้างเคียงน้อย ,การลดดอกเบี้ยนโยบาย ,การกำกับดูแลให้มีการจดทะเบียนของนักลงทุนซึ่งเป็นระดับยาที่แรงขึ้นอีก หรือการเก็บค่าธรรมเนียม ฯลฯ

นักเศรษฐศาสตร์แนะคลังเปิดกว้างงัดภาษีคุม

นักเศรษฐศาสตร์กล่าวว่า สาเหตุที่ทุนไหลเข้ามหาศาลขณะนี้ ไม่ได้เพื่อหาผลตอบแทนจากส่วนต่างดอกเบี้ย จากการที่อัตราดอกเบี้ยไทยสูงกว่าต่างประเทศ แต่เพื่อมาเก็งกำไรผลตอบแทนจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากคาดคะเนได้ว่าเงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้น จากการที่นักลงทุนเชื่อมั่นในพื้นฐานเศรษฐกิจ และแรงหนุนจากการที่รัฐบาลประกาศเดินหน้าโครงการลงทุนบริหารจัดการน้ำ 3.5 แสนล้านบาท ,โครงการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน 2 ล้านล้านบาท

ขณะนี้มาตรการที่เหมาะสมและได้ผลมากสุดก็คือ" ภาษี" ซึ่งอยู่ในอำนาจกระทรวงการคลัง แต่รัฐไม่ทำเพราะกลัวว่าจะกระทบต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจและการลงทุนในตลาดหุ้น " แหล่งข่าวกล่าวและว่าสิ่งที่ภาครัฐ-ธปท. ควรทำในทันที คือการประกาศให้นักลงทุนทราบว่าประเทศไทยมีมาตรการในการควบคุมเงินทุนไหลเข้าอย่างไร ตั้งแต่ระดับอ่อนถึงเข้ม โดยไม่จำเป็นต้องรอให้เงินบาทแข็งค่าหลุด 29 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ

หวั่นลำพังลดดบ.สกัดเงินร้อนไม่อยู่

นายสมภพ มานะรังสรรค์ อธิการบดีสถาบันเทคโนโลยีปัญญาภิวัฒน์ กล่าวว่าการแก้ไขปัญหาบาทแข็ง รัฐบาลควรจะใช้มาตรการจัดเก็บภาษีจากทุนไหลเข้าหรือ มาตรการ Capital Control โดยกำหนดอัตราภาษีตามความยืดหยุ่น เพราะประเทศทั่วโลกต่างก็ใช้มาตรการนี้ไม่ว่าเป็นประเทศที่เผชิญค่าเงินแข็งหรืออ่อน

 ไม่เห็นด้วย หากจะลดดอกเบี้ยนโยบาย (อาร์/พี )ลง เพราะการจะสกัดทุนไหลเข้าอย่างได้ผล อาจต้องลดดอกเบี้ยนโยบายลงถึง 1.50% จากปัจจุบันที่ 2.75% มาอยู่ระดับ 1.25-1.50 % จึงจะปิดส่วนต่างดอกเบี้ยในและต่างประเทศได้ และไม่คุ้มค่ากับผลเสียทั้งความเสี่ยงที่จะเกิดฟองสบู่ในภาคธุรกิจเพิ่ม และฉุดเงินฝากไหลออกจากระบบ เพราะดอกเบี้ยเงินฝากอาจจะติดดินอยู่ที่ 0.50%ต่อปี "

ที่มา.นสพ.ฐานเศรษฐกิจ
////////////////////////////////////////////////

วันพุธที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

คลัง จี้ ธปท.คุมเงินบาท-ลดดอกเบี้ย !!?


กิตติรัตน์ รายงานครม. ยัน “คลัง” รวบรวมมาตรการแก้ไขปัญหา “บาทแข็ง” ไปให้ผู้ว่าฯธปท.พิจารณาแล้ว รวมถึงความเป็นไปได้ในการลดดอกเบี้ย ด้าน “กกร.” เตือนผู้ประกอบการเตรียมรับมือบาทแข็งค่าได้อีก

น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กล่าวหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง ได้รายงานสถานการณ์ค่าเงินบาทให้ครม.รับทราบ โดยรัฐบาลก็มีความห่วงใยในการแก้ปัญหา และเห็นว่าต้องแก้โดยภาพรวมทั้งนโยบายการเงินและการคลังควบคู่กัน

ทั้งนี้ ได้ให้คลังรวบรวมมาตรการแก้ไขปัญหาเพื่อประสานไปยังผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) แล้ว ซึ่งตามข้อกฎหมายรัฐบาลไม่สามารถเข้าไปแทรกแซงการทำงานของธปท.ได้ แต่คลังก็จะคอยทำหน้าที่ประสานและให้นโยบาย ซึ่งจะเป็นเชิงของการพูดคุย พร้อมยืนยันว่ารัฐบาลจะทำหน้าที่และให้ความช่วยเหลืออย่างเต็มที่

เมื่อถามว่า รัฐบาลพอใจการทำงานของนายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการ ธปท.หรือไม่ น.ส.ยิ่งลักษณ์กล่าวว่า ขออนุญาตไม่วิพากษ์วิจารณ์ เพราะจริงๆ แล้วนายกรัฐมนตรีไม่สามารถที่จะเข้าไปแทรกแซงได้

ด้านนายกิตติรัตน์ กล่าวว่า ได้รายงานต่อที่ประชุมครม.ในการดูแลค่าเงินบาทด้วยการทำหนังสืออีกฉบับ เพื่อสอบถามไปยังธปท.เกี่ยวกับแนวคิดในการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย แม้ ธปท.จะมองว่าการลดดอกเบี้ยจะไม่มีปัจจัยสำคัญต่อการไหลเข้าของเงินทุน เพราะมองว่าเงินทุนไหลเข้าขณะนี้ เพื่อเข้ามาเก็งกำไรในตลาดหุ้นและเก็งกำไรส่วนต่างของค่าเงิน

“ที่ประชุมครม.เห็นชอบให้กระทรวงการคลังติดตามดูแลค่าเงินบาท โดยกระทรวงการคลังยังเป็นห่วงจากอัตราแลกเปลี่ยน และมองว่าการลดดอกเบี้ยนโยบายเป็นปัจจัยสำคัญต่อการไหลเข้าของเงินทุนต่างชาติ ซึ่งส่วนต่างของอัตราดอกเบี้ยเป็นโอกาสสำคัญของการตัดสินใจเข้ามาหาส่วนต่างจากทั้งตลาดหุ้นและค่าเงินบาท จึงแยกออกจากกันไม่ได้ และติงคณะทำงานของ ธปท. ที่ตั้งขึ้นมาตั้งแต่ปีที่แล้วยังไม่มีความคืบหน้า” นายกิตติรัตน์ กล่าว

ในวันเดียวกัน มีการประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน(กกร.) ซึ่งประกอบด้วยสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(สอท.) สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย

นายพยุงศักดิ์ ชาติสุทธิผล ประธานสอท.กล่าวว่าที่ประชุมได้เชิญม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล อดีตรองนายกรัฐมนตรี และอดีตผู้ว่าการ ธปท. มาร่วมให้ข้อมูลและเสนอแนะการปรับตัวของเอกชนต่อภาวะค่าเงินบาทที่แข็งค่า

“ม.ร.ว.ปรีดิยาธร ชี้ให้เห็นว่าค่าเงินบาท ของไทยปี 2540 ตั้งแต่ 45 บาทต่อเหรียญสหรัฐต่อมาใน ปี 2544 ค่าเงินบาทเฉลี่ยอยู่ที่ 45.4 บาทต่อเหรียญ ปี 2546 บาท อยู่ที่ 37.56 บาทต่อเหรียญ ขณะนี้ 29 บาทต่อเหรียญก็เห็นว่าบาทไทยมีแต่จะแข็งขึ้นเรื่อยๆ ตามภาวะเศรษฐกิจโดยเฉพาะเอเชียที่เงินจะไหลมาอีกมาก โอกาสจะเห็น 31 บาทต่อเหรียญจะไม่มีแล้ว แต่สิ่งที่เห็นตรงกันคือช่วง 3 เดือนที่ผ่านมาบาทของไทยแข็งค่ามากเกินพื้นฐานเศรษฐกิจ” นายพยุงศักดิ์กล่าว

ทั้งนี้ กกร.พอใจการทำงานร่วมกันระหว่างกระทรวงการคลัง กับ ธปท. ที่ใช้มาตรการผสมผสานระหว่างมาตรการการเงินและการคลัง โดยเฉพาะท่าทีของผู้ว่าการ ธปท.ที่ส่งสัญญาณว่าเงินบาทที่แข็งค่ามากของไทยช่วงที่ผ่านมาเกินพื้นฐานเศรษฐกิจของประเทศ ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและความสามารถในการแข่งขัน ทำให้เงินบาทในช่วงนี้เริ่มอ่อนค่าลง และเป้าหมายต่อไปคือการสร้างเสถียรภาพของเงินบาท ซึ่งจะต้องดูแลและเฝ้าติดตามการเคลื่อนไหวของค่าเงินแบบวันต่อวัน

ด้านนักค้าเงินจากธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) หรือ BAY กล่าวว่าค่าเงินบาทวันที่ 7 พฤษภาคม ปิดตลาดที่ระดับ 29.58-29.60 บาท/ดอลลาร์ ทรงตัวจากที่เปิดตลาดในช่วงเช้า โดยระหว่างวันอ่อนค่าสุด 29.68 บาท/ดอลลาร์ ก่อนจะแข็งค่าขึ้นมาเล็กน้อยปิดที่ระดับดังกล่าว

ที่มา.นสพ.แนวหน้า
//////////////////////////////////////////////////////////////////////

เลือกตั้งมาเลเซีย สิ่งที่เห็นอาจไม่เป็นอย่างที่คิด !!?



แม้ว่าฝนจะตกกระหน่ำราวฟ้ารั่วในหลายพื้นที่ของมาเลเซียเมื่อวันอาทิตย์ที่ 5 พฤษภาคมที่ผ่านมา แต่ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งก็ยังหลั่งไหลไปลงคะแนนเสียงถึง 80 เปอร์เซ็นต์ของผู้มีสิทธิเลือกตั้งทั้งหมดราว 13 ล้านคน

นับเป็นจำนวนสูงสุดในประวัติศาสตร์การเลือกตั้งของประเทศ

ตลอดทั้งวันกองเชียรฝ่ายค้านดูจะคึกคักเป็นพิเศษ เพราะตั้งความหวังไว้สูงว่า คงถึงยึดทำเนียบปุตราจายาเป็นแน่แท้ เพราะปัจจัยแวดล้อมไม่ว่าจะเป็นกลุ่มผู้มีสิทธิลงคะแนนเสียงครั้งแรก หรือ “คนรุ่นใหม่” ที่คาดว่าเป็นกลุ่มหัวก้าวหน้าจำนวนมาก กับความตื่นตัวทางการเมืองของประชาชนผู้สนับสนุนฝ่ายค้าน รวมทั้งผล การสำรวจความเห็นทางการเมืองหลายสำนักที่ชี้ไปในทางเดียวกันว่าฝ่ายค้าน จะมีคะแนนสูสี หรือแม้กระทั่งมีคะแนนนำฝ่ายรัฐบาลในการเลือกตั้งครั้งนี้

หลังจากลุ้นระทึกผลแพ้ชนะหลายชั่วโมง ราวตีหนึ่งของวันใหม่คณะกรรมการเลือกตั้งมาเลเซียประกาศว่า แนวร่วมพรรครัฐบาลได้ที่นั่งในรัฐสภารวมกันแล้ว 112 ที่นั่ง หรือเกินครึ่งของจำนวนที่นั่งในสภาฯซึ่งมีทั้งหมด 222 ที่นั่ง มีสิทธิในการจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ต่อไป

ผลการเลือกตั้งอย่างไม่เป็นทางการที่ประกาศราวตีสาม ระบุว่าแนวร่วมพรรครัฐบาล ที่เรียกกันสั้นๆว่า บีเอ็น (BN: Barisan Nasional) ชนะได้ที่นั่งในรัฐสภาของรัฐบาลกลางทั้งหมด 133 ที่นั่ง ในขณะที่แนวร่วมพรรคฝ่ายค้าน หรือ พีเคอาร์ (PR: Pakatan Rakyat) ได้ 89 ที่นั่ง

ผลที่ได้ทำเอาผู้สนับสนุนฝ่านค้านทุกรุ่นทุกวัยที่นั่งถ่างตารอข้ามคืนถึงกับอ่อนเปลี้ยเพลียแรง แยกย้ายกันกลับบ้านไปตามๆกัน

ชาวมาเลเซียโดยเฉพาะชนชั้นกลางในเมืองจำนวนมากคนเชื่อว่า การเลือกตั้นทั่วไปในครั้งนี้อาจเป็นจุดเปลี่ยนแปลงทางการเมืองครั้งใหญ่ที่สามารถลิดรอนการผู้ขาดอำนาจของรัฐบาลพรรคอัมโนที่ดำเนินมากว่า 50 ปี

การเผชิญหน้าระหว่างแนวร่วมฝ่ายค้านอันประกอบด้วยพรรคเคอาดิลัน รักยัต (PKR: People’s Justice Party) นำโดยนายอันวาร์ อิบราฮิม พรรคดีเอพี (DAP: Democrat Action Party) ของนายลิม กิต เสียง และพรรคพาส (PAS: Pan-Malaysian Democratic Party) นำโดยนาย ฮาดี อาวัง กับแนวร่วมพรรครัฐบาล หรือ บีเอ็น (Barisan Nasional) นำโดยพรรคอัมโน (United Malays National Organisation) ของนาย นาจิบ ราซัค นายกรัฐมนตรี พรรค เอ็มซีเอ หรือ(Malaysian Chinese Association) และพรรคเอ็มไอซี (Malaysian Indian Congress) และพรรคเล็กพรรคน้อยอื่นๆ ทวีความเข้มข้นขึ้นหลังจากฝ่ายค้านได้ที่นั่งในสภาฯจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างไม่เคยมีมาก่อนในการเลือกตั้งเมื่อ พ.ศ. 2551

นับแต่นั้นเป็นต้นมา บรรยากาศของความกลัวที่เคยครอบงำการเมืองมาเลเซียในยุคมหาเธร์ก็เริ่มจืดจางไป ชาวมาเลเซียเริ่มแสดงความคิดเห็นของตัวเองมากขึ้น ประหนึ่งสังคมมาเลเซียเริ่มก้าวกระโดดทางความคิดไปไม่น้อย

ภาพผู้มีสิทธิลงคะแนนเสียงเข้าแถวยาวหน้าซุ้มเลือกตั้งหลายแห่งในกรุงกัวลาลัมเปอร์ถือเป็นภาพที่ไม่ได้เห็นในการเลือกตั้งครั้งก่อนๆ และอาจแสดงถึงความรู้สึกคึกคักทางการเมืองในหมู่คนเมือง

มีบางซุ้มเลือกตั้งผู้รอลงคะแนนเข้าแถวยาวกว่าหนึ่งกิโลเมตร ผู้ลงคะแนนเสียงวัยกว่า 50 คนหนึ่งบอกว่าเขาเข้าแถวรอหย่อนบัตรนานถึงกว่าชั่วโมงซึ่งเป็นสิ่งที่เขาไม่เคยพบในการหย่อนบัตรที่ผ่านมาในชีวิต

ในขณะเดียวกัน มีการร้องเรียน เปิดโปง ความไม่ชอบมาพาในกระบวนการเลืกตั้งกลว่อนอินเตอร์เน็ตตลอดตลอดวันเลือกตั้ง เริ่มตั้งแต่เรื่องหมึกถาวรที่ผู้ลงคะแนนต้องแต้มที่ปลายนิ้วนี้เพื่อกันการเวียนเทียนเลือกตั้งที่ไม่ถาวรจริง เพราะสามารถล้างออกได้อย่างหมดจด

เรื่องการใช้เที่ยวบินพิเศษขนคนจากเกาะซาบาห์และซาราวักมาลงคะแนนในกัวลาลัมเปอร์ และข้อกล่าวหาเรื่องการให้บัตรประชาชนชั่วคราวแก่ชาวบังกลาเทศเพื่อให้มาลงคะแนนในบางพื้นที่

แม้ว่ากลุ่มบีเอ็นจะยังคงกุมอำนาจรัฐได้อีกครั้งหนึ่ง แต่เมื่อลองใช้วิชาคณิตศาสตร์เบื้องต้นมาพิจารณาคะแนนเลือกตั้ง ก็ให้สงสัยว่าสิ่งที่เห็นๆนั้นเป็นเรื่องจริงแน่หรือ

เริ่มจากตัวเลข ส.ส.ในสภาฯของกลุ่มพรรคร่วมรัฐบาลที่หายไปถึงเจ็ดที่นั่งเมื่อเทียบกับสมัยที่แล้ว ในขณะที่กลุ่มฝ่ายค้านได้ สส.เพิ่มเป็นเจ็ดที่นั่งเท่ากัน

คำถามก็คือ รัฐบาลทำอีท่าไหนที่นอกจากจะไม่ได้ที่นั่งเพิ่มแล้ว ยังถูกฝ่ายค้านเฉือนให้เจ็บใจได้อีก

เรื่องนี้คำตอบอยู่ที่พรรคฝ่ายค้านตัวแทนชาวจีน หรือ พรรคดีเอพี ซึ่งได้ที่นั่งเพิ่มถึง 10 ที่นั่ง ในขณะที่ พรรคร่วมฝ่ายค้านอีกสองพรรคเสียที่นั่งรวมกันแล้วสามที่นั่ง บวกลบคูณหารแล้วแนวร่วมฝ่ายค้าน “กำไร” มาเจ็ดที่นั่ง

เจ็ดที่นั่งที่หายไปของฝ่ายรัฐบาล มากพอที่จะสั่นสะเทือนขาเก้าอี้ในฐานะหัวหน้าพรรคอัมโนของนายกรัฐมนตรี นาจิบ ราซัค ผู้สัญญากับสมาชิกพรรคเอาไว้ว่าจะเพิ่มที่นั่ง ส.ส. ของรัฐบาให้ได้ไม่น้อยกว่า 140 ที่นั่ง หรือสองในสามของที่นั่งทั้งหมดในสภาฯ

คนคนแรกที่ออกมาเขย่าเก้าอี้ของนายนาจิบ หาใช่ใครอื่นนอกจากอดีตนายกรัฐมนตรี มหาเธร์ โมฮัมหมัด ผู้ออกมาให้สัมภาษณ์ว่า เขาไม่คิดเลยว่านายนาจิบจะมีผลงานเลือกตั้งที่แย่กว่าอดีตนายกรัฐมนตรี อับดุลลาห์ บาดาวี ผู้มีผลงานย่ำแย่ในการเลือกตั้งครั้งที่แล้ว

คำพูดของมหาเธร์ที่ว่าคนในพรรคอัมโนจะต้องตั้งคำถามต่อความสามารถและยุทธศาสตร์ของนายนาจิบ ราซัค นั้นเป็นคำพูดที่ไม่ค่อยเป็นมงคลสักเท่าไหร่ในการเข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรีรอบสองของเขา

มหาเธร์มองผลการเลือกตั้งว่าเป็น “ความผิดพลาด” ของพรรคร่วมรัฐบาล และบอกว่าอัมโนจะต้องเรียนรู้จาก ความผิดพลาดในครั้งนี้ หาไม่ผลการเลือกตั้งครั้งต่อไปอาจเลวร้ายยิ่งกว่านี้

พรรคดีเอพีของฝ่ายค้าน มีคู่แข่งคือพรรคเอ็มซีไอซึ่งเป็นพรรคคนจีนข้างรัฐบาล พรรคพรรคนี้ร่ำรวยมหาศาล มีกิจการมากมาย หนึ่งในนั้นคือหนังสือพิมพ์ “เดอะสตาร์” ที่ได้ชื่อว่าเป็นสื่อสิ่งพิมพ์ที่ร่ำรวยที่สุดของมาเลเซีย

ในการเลือกตั้งครั้งนี้เอ็มซีไอได้ที่นั่งในรัฐสภาฯมาเพียงเจ็ดที่นั่ง จากที่เคยได้ครั้งที่แล้ว 15 ที่นั่ง เป็นตัวบ่งชี้สำคัญอีกประการหนึ่งคือชาวมาเลเซียเชื้อสายจีนในประเทศแห่กันเทคะแนนเสียงให้ฝ่ายค้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งพรรคดีเอพีที่มีฐานสำคัญที่ปีนัง

ตัวเลขปริศนาอีกกลุ่มหนึ่งคือตัวเลข “ป๊อปปูล่าร์โหวต” หรือตัวเลขคะแนนรวมทั้งประเทศอย่างเป็นทางการ ที่กลุ่มพรรคฝ่ายค้านได้ 50.1 เปอร์เซ็นต์ ชนะแนวร่วมพรรครัฐบาลที่ได้ 46.7 เปอร์เซ็นต์ ใกล้เคียงกับผลสำรวจความเห็นประชาชนก่อนการเลือกตั้ง

สิ่งที่ทำให้พรรคร่วมรัฐบาลได้ที่นั่งในสภาฯมากกว่าฝ่ายค้านคือกลเม็ดในการแบ่งซอยพื้นที่เลือกตั้งฐานเสียงรัฐบาลเพื่อเพิ่มจำนวน ส.ส. ซึ่งเป็นเทคนิกที่ใช้กันในบางประเทศ

การเลือกตั้งครั้งนี้เป็นเพียงการอุ่นเครื่องเพื่อรอการประลองกำลังครั้งใหญ่ในอีกห้าปีข้างหน้า ที่จะตัดสินชะตาประเทศมาเลเซียว่าจะเป็นประเทศประชาธิปไตยที่ใกล้เคียงกับความหมายที่แท้จริง

หรือจะเป็นประชาธิปไตยแบบขำขันที่สังคมโลกดูแคลนต่อไป

ที่มา.สำนักข่าวอิศรา
//////////////////////////////////////////////////////////////

เส้นทางและอนาคต ทองคำ !!?


โดย ธำรงชัย เอกอมรวงศ์ นักลงทุนผู้เชี่ยวชาญการลงทุนทางเทคนิค

เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ผมได้แวะไปทำธุระแถวเยาวราช และได้สัมผัสปรากฏการณ์ "ตื่นทอง" แผงแขวนสร้อยทองโล่งเลย อดประหลาดใจไม่ได้ว่าทำไมต้องขนาดนี้ อะไรคือบรรทัดฐานที่ทำให้คนคิดว่าต่ำกว่าบาทละ 20,000 บาท คือ ถูก มันใช่เหรอ ? และจุดนี้ที่ซื้อคือการซื้อเก็บยาว อีก 10 ปีค่อยว่ากัน หรือซื้อเก็งกำไรระยะสั้นหรือยังไง

บทวิเคราะห์ออกมาเพียบ ส่วนใหญ่เชิงเทคนิคคอล ว่า แนวรับ-แนวต้านที่มีนัยสำคัญอยู่ตรงไหน ที่ Extreme หน่อยก็คือ การมองว่า ทองคำ ไม่ใช่สินทรัพย์ปลอดภัย หรือ Safe haven อีกต่อไป จะเหลือ $800 อีกครั้ง ฯลฯ รับข้อมูลไปไม่พิจารณาให้ดี อ่วมแหง ๆ

ผมว่า เราต้องพิจารณาที่มากันก่อน ราคาทองคำเลี้ยงอยู่ข้างในกรอบ 300-500 ดอลลาร์ อยู่ 20 ปี (ช่วงปี 1980-2001+/-)

และหลังจากนั้นก็ดีดขึ้นอย่างต่อเนื่องอีกเกือบทศวรรษที่ผ่านมาจนกระทั่งไปพีก (สูงสุด) ที่ระดับ 1,921 ดอลลาร์ เพราะประธานาธิบดี Richard Nixon ยกเลิก Gold standard ใน US dollar (เรียกเหตุการณ์นี้ว่า Nixon shock) ก็ไม่เชิง เพราะประกาศยกเลิกไปตั้งแต่ปี 1971 นั่นเพราะสมัยก่อนธนบัตร US dollar มีเขียนว่า "Redeemable in gold หรือสามารถนำไปขึ้นเป็นทองคำได้" ที่ต้องทำก็เพื่อให้ธนบัตรนั้นมีมูลค่า ไม่งั้นมันก็คือกระดาษเปล่า ๆ Link: http://goo.gl/qTXS) แต่กว่าจะได้เปลี่ยนเป็นเรื่องเป็นราว (คือเลิกผูกธนบัตรกับทองคำอย่างเป็นทางการ) ก็ปี 1976 ซึ่งทำให้ทองดีดขึ้นจากระดับที่ผูกไว้ที่ 35 ดอลลาร์/ออนซ์ เป็นหลักร้อย

แต่ก็ไม่ยังไม่สามารถอธิบายได้ว่าทำไมราคาทองถึงนิ่งอยู่เป็น 20 ปีหลังจากนั้น และจะบอกว่าจากการวินาศกรรมอาคาร World Trade Center ในปี 2001 "คนเริ่มรู้สึกไม่ปลอดภัยในชีวิต" ซึ่งเป็นเหตุให้สหรัฐตัดสินใจบุกประเทศอัฟกานิสถาน และอิรัก และ FED จำเป็นต้องปั๊มเงิน

ออกมาจำนวนมาก เพื่อ Finance สงครามอ่าวเปอร์เซีย ผลคือเงินเฟ้อสูงขึ้น นักลงทุนเริ่มเล็งเห็นว่า เงินดอลลาร์ มีแต่จะด้อยค่า "คนเริ่มรู้สึกไม่ปลอดภัยในทรัพย์สิน" เลยแห่ไปซื้อทอง ก็ไม่ถูกเสียทีเดียว เพราะในปี 1991 สหรัฐก็ประกาศสงครามกับอิรัก ราคาทองยังนิ่ง ๆ อยู่ที่ระดับ $350+/- อีกเป็น 10+ ปี ก็น่าคิดนะ

สังเกตดี ๆ มักเกิดเหตุการณ์หรือภาวะบางอย่างที่ไปสร้าง "จุดเปลี่ยน" หรือ Trigger

ให้ทองคำ หลังจากที่ราคาเคลื่อนไหวออกข้างมา 20 ปี เริ่มเป็น Uptrend อะไรเป็นเหตุที่แท้จริง ไม่มีคำตอบที่ชัดเจน มีแต่สมมติฐานทั้งนั้น พอที่จะมีทฤษฎีอธิบายเหมือนกัน เขาเรียกว่า Black swan effect เขียนไว้

ในหนังสือชื่อเดียวกันโดย Nassim Nicholas Taleb - Link: http://goo.gl/MxYT7

สรุปไว้ว่า "บทมันจะมาก็มา บทมันจะไปก็ไป"

เมื่อทองคำเริ่มสร้างฐานที่ระดับ 450 ดอลลาร์ อีกครั้งในปี 2005 ก็ไล่ราคาขึ้นไป และไม่เคยลงมาที่ระดับนั้นอีกเลย

ในบรรดาสมมติฐานทั้งหลาย ผมเชื่อ ว่าราคาทองจะเปลี่ยนได้ระดับ 500 ดอลลาร์ ไป 1,900 ดอลลาร์ (เกือบ 4 เด้ง) นั้น บทบาทในตลาดทุนโลกต้องเปลี่ยน ซึ่งไม่ใช่แค่สกุลเงินดอลลาร์ เท่านั้นที่ลดมูลค่า แต่กับสกุลเงินทั่วโลกก็ลดค่า วิธีการรับมือกับเงินเฟ้อในระยะยาวกว่า คือต้องโยกไปในสินทรัพย์อื่น ๆ ถ้าดีที่สุด ต้องเป็นสินทรัพย์ที่ไม่สามารถสร้าง Supply เพิ่มขึ้น

ได้อีก เช่น ที่ดิน แปลว่า เงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ 2 เท่าตัว ที่ดินราคาเพิ่มขึ้น 2 เท่าตัว ที่รองลงมาคือ ทองคำ เพราะหาได้ยาก และทุกวัฒนธรรมมองทองคำเป็นโลหะมีค่า ถามว่าพวกเพชร หรือหินมีค่าได้มั้ย ก็ได้เหมือนกัน แต่ทองคำแพร่หลายมากกว่า และมาตรฐานทองคำก็ค่อนข้างนิ่ง อย่างบ้านเราก็ 96.5%

ที่ไม่แปลกว่าทำไมนักลงทุนถึงมองทองคำ เป็น Safe haven ก็เพราะมีมูลค่าในทุกวัฒนธรรม ขึ้นเงินที่ไหนก็ได้ สภาพคล่องเหลือเฟือ แต่อย่างที่บอก

นี่ไม่ใช่เรื่องใหม่ และ Gold standard ก็ถูกยกเลิกไปกว่า 20 ปี เพิ่งจะมาขึ้น ผม เชื่อว่า เกิด Triggering events คนก็เริ่มหวั่นใจในความปลอดภัยของชีวิต (และทรัพย์สิน) จากการก่อการร้าย ทองคำเริ่มซื้อขายได้สะดวก Gold ETF เปิดตัวในปี 2003 และสกุลเงินสุดท้ายที่ยกเลิก Gold standard คือ Swiss Franc ยกเลิกใน

ปี 2000 เหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่งอาจไม่สร้างกระแสมากพอให้ทองคำดีดตัวขึ้น แต่เมื่อเกิดขึ้นช่วงเวลาใกล้ ๆ กัน แม้จะ

ไม่ได้เกี่ยวกัน ก็สร้าง Black swan effect ซึ่งไปเตะตานักลงทุน

นี่แหละ ตัวเร่งปฏิกิริยา

บทบาทของทองคำเปลี่ยนตั้งแต่ปี 1971 แต่เพราะไม่มีตัวเร่ง ไม่มี "เหตุ" ราคาก็ไม่ไปไหน วิ่งในกรอบ พอเกิดเหตุการณ์ (ที่อ้างมาข้างต้น) มุมมองนักลงทุนเปลี่ยน เริ่มโยกเงินมาเป็นทองคำ ราคาทองคำขึ้น มีการเก็งกำไรเข้ามาเอี่ยว พอเริ่มเก็งกำไร ราคาทำนิวไฮหรือสร้าง All time high คนก็ยิ่งซื้อ ยิ่งซื้อก็ยิ่งเก็งกำไร ฯลฯ จนทำให้ราคาขึ้นในช่วงเกือบ 10 ปีที่ผ่านมา

แล้วการที่ราคาทองคำลงในช่วงสงกรานต์ที่ผ่านมาล่ะ จะกลับขึ้นขาขึ้นแล้วหรือยังลงต่อได้อีก ? ก็ต้องทบทวนเงื่อนไขว่า บทบาทของทองคำยังเป็น Safe haven อยู่มั้ย ทุกประเทศทั่วโลกหยุดปั๊มเงินอัดเข้าระบบเศรษฐกิจแล้วใช่มั้ย มีการสร้าง Supply ทองคำเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ?

คำตอบคือ "ไม่" ตราบใดที่ยังมีการปั๊มเงินพิมพ์แบงก์ ทองคำก็จะยังเป็น Safe haven ไม่เปลี่ยนแปลงครับ

อ้าว ! แล้วที่ราคาลงหนักสุดในรอบ 30 ปีล่ะ ? คำถามนี้ต้องตอบ 2 ส่วน

1)เวลาเราคำนวณการลงในขาขึ้น เราต้องคำนวณเป็นสัดส่วน (%) นะครับ ไม่ควรคำนวณเป็นส่วนต่าง

ช่วงวิกฤตซัพไพรม ทองขึ้นไปสูงสุดที่ 1,033.90 ดอลลาร์ และลงมาต่ำสุด 681.0 ดอลลาร์ และลงมา 352.9 ดอลลาร์ หรือ 34.14% และช่วง Sideway ใหญ่ยักษ์ที่ผ่านมา ทองขึ้นไปทำจุดสูงสุด 1,923.7 ดอลลาร์ และลงมาต่ำสุด 1,321.5 ดอลลาร์ ยังลงต่อมา 602.2 ดอลลาร์ หรือเพียง 31.30% มองแบบนี้ทองราคาลงช่วงซัพไพรม

"รุนแรง" กว่าตอนนี้เสียอีก

และ 2) (ผมเชื่อว่า) เป็นเพียงการทำกำไรในขาขึ้นช่วงที่ผ่านมาเท่านั้น

ชัดเจนว่าราคาสร้างฐานที่ระดับ +/-1,550 ดอลลาร์ และก็ยังเป็น "แนวรับสุดท้าย" ของขาขึ้นด้วย ถ้าซื้อทองเพื่อเก็งกำไร

นี่คือราคาสุดท้ายที่ต้องปิดสถานะซื้อ... และที่บอก ๆ กันว่าทองกลับตัวแล้ว ด้วยภาพนี้ "ยากครับและไม่เร็ว" สังเกตว่าราคาออกข้างอยู่กว่า 18 เดือน ก่อนที่จะกลับตัวจาก Uptrend และหลุดลงมา อย่าเพิ่งประมาทว่า Reversal pattern จะลงแค่นี้

ครับ รอให้เห็น Bullish reversal ชัด ๆ เสียก่อน ยังไงก็ซื้อทันครับ

เพราะทองคำยังเป็น Safe haven อยู่ สำหรับการออม (ผมซื้อทองคำแท่งเพื่อออมเท่านั้น) ยังไม่มีความจำเป็นต้องขาย แต่ควรใช้ Hedging techniques พวก Gold futures/option เพื่อลดแรงกดดันหากทองคำลงต่อ สำหรับการเก็งกำไร

ผมว่า Technical play บน TF day ก็น่าจะ Bias short ต่อได้ หลุด 1,400 ดอลลาร์ก็น่าจะเห็น 1,200 ดอลลาร์

มุมมองทางเทคนิคส่วนตัวของผม คือ ในสัญญาณกลับตัวมักไม่จบที่ 161.8% แต่ราคาเป้าหมายอยู่ที่ 261.8% หรือ 1,200 ดอลลาร์/ออนซ์

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
/////////////////////////////////////////////////////////////////////

คลังเตรียมถก ธปท. เล็งออกมาตรการเพ็คเกจ ดูแลค่าเงิน !!?


นายอารีพงศ์  ภู่ชอุ่ม ปลัดกระทรวงการคลัง เปิดเผยถึงแนวทางในการดูแลค่าเงินบาทว่ากระทรวงการคลังเตรียมหารือธนาคารแห่งประเทศ (ธปท.) เพื่อพิจารณาออกมาตรการเป็นแพ็กเกจ แต่ทั้งนี้ต้องคำนึงถึงผลกระทบในหลายด้านด้วย

อย่างไรก็ดีหากคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีเครื่องมือใดที่พร้อมจะดูแลค่าเงินก็ให้ดำเนินการได้ ยกเว้นในกรณีของการใช้มาตรการภาษี ซึ่งเป็นอำนาจของกระทรวงการคลัง  ส่วนมาตรการกีดกันไม่ให้เงินทุนไหลเข้ามา ในลักษณะทำให้การเคลื่อนย้ายเงินทุนมีอุปสรรค กระทรวงการคลังมีความเห็นว่าขณะนี้ยังไม่มีประเทศไหนใช้และเป็นเรื่องละเอียดอ่อน หากใช้มาตรการดังกล่าว จะทำให้คนที่เข้ามาลงทุนในตลาดตราสารระยะยาวหนีออกไปแล้วจะมีผลกระทบต่ออัตราดอกเบี้ยระยะยาวสูงขึ้น

ปลัดกระทรวงการคลัง กล่าวต่อว่าหากกนง.จะลดดอกเบี้ยนโยบายเพื่อชะลอการไหลเข้าของเงินทุน แต่ห่วงเรื่องฟองสบู่เศรษฐกิจ ก็เป็นความรับผิดชอบซึ่งธปท.สามารถดำเนินการโดยการออกมาตรการควบคุมสินเชื่อ ธนาคารพาณิชย์ได้อยู่แล้ว

ทั้งนี้กระทรวงการคลัง ได้ติดตามสถานการณ์ค่าเงินบาทอย่างต่อเนื่อง ที่ระดับ 29.5-29.6 บาทต่อดอลลาร์  ต่อความห่วงใยค่าเงินบาทของกระทรวงการคลังนั้น ปลัดกระทรวงการคลัง มองว่า สถานการณ์บาทแข็งอยู่ในระดับที่ทรงตัว ไม่ได้แข็งค่ามากเหมือนกับสถานการณ์ค่าเงินบาทแข็งที่ระดับ 28 บาทต่อดอลลาร์  และการบริหารค่าเงินบาท ก็ยังเป็นภาระหน้าที่ของ ธปท.  และจะต้องหารือมาตรการดูแลค่าเงินบาทที่ยังหารือกันและมีการรายงานต่อเนื่อง

นายอารีพงศ์ กล่าวด้วยว่า จากการประชุมเอดีบีในสัปดาห์ที่ผ่านมานี้  ต่างชาติยังให้ความสนใจและเห็นว่าประเทศไทย ยังมีศักยภาพที่ดี โดยเห็นโอกาสจากตราสารหนี้ของไทยให้ผลตอบแทนดีกว่ามาก ญี่ปุ่น สหรัฐ และยุโรป ที่ผลตอบแทนติดดิน  โดยเฉพาะฟันด์เมเนเจอร์ รีไทร์เม้นท์อินคัม  ที่ต้องการผลตอบแทนระยะยาว ที่ทำให้กองทุนมีรายได้ จึงเป็นประเด็นที่ว่า ความคิดของ ธปท.  ยังไม่แน่ใจว่า ถ้าลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายแล้ว จะทำให้อัตราดอกเบี้ยพันธบัตรระยะยาวลดลงจริงหรือไม่  เพราะว่าบางประเทศที่ใช้วิธีการนี้แล้ว แต่อัตราดอกเบี้ยพันธบัตรระยะยาวไม่ได้ลดลง

ขณะเดียวกันในที่ประชุมเอดีบีก็ได้ถามถึงประเด็นดังกล่าวต่อประเทศในภูมิภาคอาเซียนที่เงินแข็งค่าขึ้น คิดอย่างไรบ้าง โดยประเทศส่วนใหญ่ในภูมิภาคนี้ มองในทิศทางเดียวกันว่า ไม่ว่า ญี่ปุ่น สหรัฐฯ หรือยุโรป จะใช้มาตรการอะไรเข้ามาเพื่อทำให้เศรษฐกิจของประเทศกลับแข็งแรงขึ้นก็ตาม  จะทำให้เศรษฐกิจของทั้งโลกแข็งแรงขึ้นด้วย

 “ตอนนี้ไทยเข้าสู่มิติของโลกที่มีการเปลี่ยนแปลงสูง และวิธีการดังกล่าวในบางประเทศใหญ่ๆ ก็ยังไม่เคยมีประเทศใดดำเนินการมาก่อน  แต่ถ้าเมื่อญี่ปุ่นใช้มาตรการดังกล่าวแล้ว เศรษฐกิจญี่ปุ่นฟื้นตัวก็จะเป็นผลดีต่อประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคและการส่งออกจะฟื้นตัวด้วย แต่แน่นอนว่า จะทำให้ค่าเงินในภูมิภาคนี้แข็งค่าขึ้น

ที่มา.นสพ.ฐานเศรษฐกิจ
////////////////////////////////////////////////

วันอังคารที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

คลัง - ผู้ว่าธนาคารกลางอาเซียน รับเสี่ยงฟองสบู่ !!?


คลัง-ผู้ว่าธนาคารกลางอาเซียน+3 ยอมรับเอเชียเสี่ยงฟองสบู่-เงินทุนเคลื่อนย้ายผันผวน

นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในฐานะหัวหน้าคณะผู้แทนไทย พร้อมกับนายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ได้เข้าร่วมการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและผู้ว่าการธนาคารกลางอาเซียน+3 ครั้งที่ 16 (ASEAN+3 Finance Ministers and Central Bank Governors’ Meeting: AFMGM+3) ณ กรุงนิวเดลี ประเทศอินเดีย

ที่ประชุมได้หารือร่วมกันเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจโลก สถานการณ์เศรษฐกิจในภูมิภาค และเศรษฐกิจของประเทศสมาชิก โดยเห็นว่าเศรษฐกิจในภูมิภาคอาเซียน+3 จะยังคงขยายตัวได้อย่างต่อเนื่องในปี 2556 ท่ามกลางความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก โดยการขยายตัวของเศรษฐกิจในภูมิภาคได้รับแรงสนับสนุนจากความแข็งแกร่งของอุปสงค์ภายในประเทศ สถาบันการเงิน และระบบการเงิน

อย่างไรก็ตาม ประเทศในภูมิภาคอาเซียน+3 ยังจะต้องเผชิญความท้าทายทางเศรษฐกิจจากความเสี่ยงของการขยายตัวทางเศรษฐกิจของจีน และปัญหาที่อาจเกิดขึ้นจากสภาพคล่องทางการเงินของโลกที่มีอยู่ในระดับสูง เนื่องจากการดำเนินนโยบายทางการเงินที่ผ่อนคลายของประเทศพัฒนาแล้ว เช่น ความเสี่ยงที่เกิดขึ้น จากการขยายตัวของสินเชื่อ ปัญหาฟองสบู่ และความผันผวนของเงินทุนเคลื่อนย้าย ซึ่งอาจส่งผลต่อเสถียรภาพทางการเงินของภูมิภาค

ทั้งนี้ ประเทศสมาชิกจะให้ความสำคัญต่อการดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจมหภาค ที่เหมาะสมกับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ ตลอดจนยกระดับความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการเงิน เพื่อรักษาอัตราการเจริญเติบโตและเสถียรภาพทางเศรษฐกิจในภูมิภาค

ที่ประชุมได้หารือความคืบหน้าการแก้ไขความตกลงเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของกลไกความช่วยเหลือทางการเงินระหว่างกันของประเทศสมาชิกในภูมิภาคอาเซียน+3 หรือมาตรการริเริ่มเชียงใหม่ไปสู่การเป็นพหุภาคี (Chiang Mai Initiative Multilateralisation: CMIM) ที่กำหนดให้ (1) เพิ่มขนาดของ CMIM เป็น 2 เท่า จากเดิม 120 พันล้านเหรียญสหรัฐ เป็น 240 พันล้านเหรียญสหรัฐ (2) เพิ่มสัดส่วนการให้ความช่วยเหลือทางการเงินส่วนที่ไม่เชื่อมโยงกับเงื่อนไขการให้ความช่วยเหลือของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF Delinked Portion) เพื่อลดการพึ่งพากองทุนการเงินระหว่างประเทศ (International Monetary Fund: IMF) ในยามวิกฤต และ (3) การจัดตั้งกลไกให้ความช่วยเหลือช่วงก่อนเกิดวิกฤตเศรษฐกิจ (Crisis Prevention Facility) เพื่อป้องกันวิกฤตเศรษฐกิจที่อาจจะเกิดขึ้นและป้องกันการลุกลามไปยังของประเทศสมาชิกอื่นๆ ในภูมิภาค ซึ่งภายหลังจากนี้ ประเทศสมาชิกจะดำเนินกระบวนการภายในประเทศเพื่อเข้าร่วมลงนามในความตกลง CMIM ฉบับแก้ไขนี้ โดยคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในปี 2556 นี้

ที่ประชุมได้ติดตามการดําเนินงานของมาตรการริเริ่มพัฒนาตลาดพันธบัตรเอเชีย (Asian Bond Markets Initiative: ABMI) เพื่อสนับสนุนการพัฒนาตลาดพันธบัตรสกุลเงินท้องถิ่นของภูมิภาคอาเซียน+3 ให้มีความแข็งแกร่งและมีประสิทธิภาพ สามารถเป็นแหล่งระดมเงินทุนและเป็นทางเลือกในการออมของภูมิภาค

โดยมีประเด็นหลัก ได้แก่ 1) ความสำเร็จของกลไกการค้ำประกันเครดิตและการลงทุน (Credit Guarantee and Investment Facility: CGIF) ของภูมิภาคอาเซียน+3 ซึ่งบริษัทเอกชนที่ CGIF ให้การค้ำประกันเครดิตในการออกพันธบัตร ได้ออกพันธบัตรสกุลเงินบาทในประเทศไทยได้สำเร็จแล้ว เมื่อวันที่ 26 เม.ย. 2556 โดยมีมูลค่า 2,850 ล้านบาทหรือประมาณ 100 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งถือเป็นความสำเร็จครั้งสำคัญของความร่วมมือ

2) การให้ความเห็นการศึกษาความเป็นไปได้เรื่องการพัฒนาตลาดพันธบัตรเพื่อการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน (Fostering Infrastructure Financing Bonds Development) โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อสนับสนุนด้านการเงิน สำหรับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศสมาชิกอาเซียน+3 ซึ่งไทยได้กล่าวสนับสนุนการศึกษาดังกล่าว โดยเห็นว่าการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานมีความสำคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างยั่งยืนของภูมิภาค

นายกิตติรัตน์ฯ ได้หารือทวิภาคีกับ ผู้บริหารระดับสูงของสำนักงานเพื่อการพัฒนาแห่งสาธารณรัฐฝรั่งเศส โดยได้หารือเกี่ยวกับความเป็นไปได้ในการเข้ามามีส่วนร่วมของสำนักงานฯ เพื่อพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานของไทยโดยเฉพาะด้านระบบรถไฟที่จะพัฒนาภายใต้ "ไทยแลนด์ 2020" และ ผู้บริหารระดับสูงของบริษัทหลักทรัพย์ไดวะ (Daiwa Securities) โดยหารือเกี่ยวกับสถานการณ์ค่าเงินเยนของญี่ปุ่น ความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างญี่ปุ่นกับไทยและแนวทางการร่วมมือเพื่อพัฒนาอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
////////////////////////////////////////////////

ปรีดิยาธร : รับ ธปท.ดูแลค่าเงินบาทช้า !!?


ปรีดิยาธร ยอมรับแบงก์ชาติดูแลค่าบาทช้าบางจังหวะ แต่ขณะนี้ถือว่าเงินบาทอยู่ระดับน่าพอใจ ค้านลดดอกเบี้ย ชี้ไม่ช่วยชะลอเงินไหลเข้า

การประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ประกอบด้วย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (สอท.) สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย วันนี้ (7 พ.ค.) โดยมีนายพยุงศักดิ์ ชาติสุทธิผล ประธานสอท.ทำหน้าที่เป็นประธาน โดยก่อนประชุม ได้เชิญ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล อดีตผู้ว่าการ ธปท. มาบรรยายถึงทิศทางของค่าเงินบาทว่าจะเป็นอย่างไรบ้าง

ม.ร.ว.ปรีดิยาธร บอกว่า ได้อธิบายภาพรวมถึงสถานการณ์ค่าเงินบาท เพื่อไม่ให้ผู้ประกอบการตื่นตระหนกกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยยอมรับว่าที่ผ่านมา ธปท.เข้าไปดูแลค่าเงินบาทช้าเกินไปในบางจังหวะ เหมือนสมัยที่ตัวเองเป็นผู้ว่าธปท. ปี 2549 และยุคนางธาริษา วัฒนเกส อดีตผู้ว่า ธปท. เมื่อปี 2553 และล่าสุดเดือน ม.ค.2556 ที่ นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการ ธปท. ทำได้ช้าทำให้เงินบาทแข็งค่าแตะระดับ 28 บาทต่อดอลลาร์

ปัจจุบัน ธปท.ถือว่าดูแลเงินบาทได้ดี เห็นได้จากเงินบาทอ่อนค่าลง ซึ่งระดับปัจจุบันถือว่าเป็นระดับที่เหมาะสมและสบายใจ ส่วนการเรียกร้องให้ลดดอกเบี้่ยนโยบายนั้น เห็นว่าการลดดอกเบี้ยไม่ช่วยชะลอเงินทุนไหลเข้า โดยค่าเงินบาทเช้าวันนี้อยู่ที่ 29.55 บาทต่อดอลลาร์

ม.ร.ว.ปรีดิยาธร ยังบอกถึงกรณีที่มีข่าวว่าผู้ว่าธปท.ได้หารือร่วมกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในต่างประเทศ และมีข้อสรุปร่วมกันถึงมาตรการดูแลค่าเงินบาทนั้นถือว่าเป็นสัญญาณที่ดี เพราะการดูแลอัตราแลกเปลี่ยนทั้งสองหน่วยงานต้องร่วมมือกัน

ทั้งนี้ ค่าเงินบาทตั้งแต่ปี 2554 จนถึงปัจจุบัน เคลื่อนไหวแข็งค่าขึ้นประมาณ 6.5% ซึ่งถือว่าเป็นระดับที่ใกล้เคียงภูมิภาค เช่นมาเลเซีย แข็งค่าเกือบ 6% และสิงคโปร์ 5%

อย่างไรก็ตาม วันพรุ่งนี้  นายอิสระ ว่องกุศลกิจ ประธานสภาหอการค้าฯพร้อมคณะกรรมการจะเข้าพบกับผู้ว่าการ ธปท. เพื่อหารือถึงสถานการณ์ค่าเงินบาท และขอคำแนะนำในการปรับตัวของผู้ประกอบการ

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
//////////////////////////////////////////////

วันจันทร์ที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

14-20 พ.ค.56 ประชุมน้ำโลก..ที่เชียงใหม่ !!?


ใน ช่วงวันที่ 14-20 พฤษภาคมนี้ จังหวัดเชียงใหม่ได้รับเลือกให้เป็นสถานที่จัดการประชุมระดับผู้นำด้านน้ำ แห่งภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ครั้งที่ 2 The 2nd Asia-Pacific Water Summit (2nd APWS) ภายใต้หัวข้อเรื่อง ความมั่นคงด้านทรัพยากรน้ำ ณ ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติเฉลิมพระเกียรติ 7 รอบพระชนมพรรษา จังหวัดเชียงใหม่

หัวข้อหลักของการประชุมมีทั้งหมด 7 หัวข้อ คือ 1.ความมั่นคงด้านน้ำ อาหาร และเศรษฐกิจ 2.ความมั่นคงด้านน้ำเพื่อชุมชนเมือง 3.ความมั่นคงด้านน้ำเพื่อสิ่งแวดล้อม 4.ความมั่นคงด้านน้ำเพื่อการอุปโภคบริโภคในครัวเรือน 5.ความเสี่ยงจากภัยพิบัติด้านน้ำและการรับมือ 6.การจัดการน้ำเชิงบูรณาการเพื่อโลกแห่งความมั่นคงด้านน้ำ 7.ความท้าทายจากภัยพิบัติด้านน้ำ

โดยงานนี้จะมีผู้นำและเจ้าหน้าที่ อาวุโสของประเทศในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก เข้าร่วมประชุมถึง 49 ประเทศ มีผู้เข้าร่วมประชุมพร้อมผู้ติดตามราว 3,000 คน

นายจักรกฤษณ์ ศรีวลี รองอธิบดีกรมสารนิเทศ เปิดเผยว่า มีประมุขของรัฐและหัวหน้ารัฐบาลตอบรับเข้าร่วมการประชุมแล้ว 9 ประเทศ และระดับผู้แทนอีก 12 ประเทศ ซึ่งจะเริ่มทยอยเข้ามาเรื่อย ๆ

เมื่อ สิ้นสุดการประชุมแล้วจะร่วมกันรับรอง "ปฏิญญาเชียงใหม่" (Chiang Mai Declaration) ซึ่งจะย้ำเจตนารมณ์ทางการเมืองให้ประเทศในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ตระหนักถึงความสำคัญในการส่งเสริมความร่วมมือด้านการจัดการทรัพยากรน้ำใน ภูมิภาคอย่างใกล้ชิด

นายธานินทร์ สุภาแสน ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ กล่าวว่า จังหวัดเชียงใหม่ได้เตรียมความพร้อมอย่างเต็มที่ทั้งการตกแต่งเมือง การปรับปรุงสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญ ๆ การรักษาความปลอดภัย ระบบขนส่งจราจร และการจัดแสดงสินค้า OTOP ของชุมชนภายในศูนย์ประชุม

ขณะที่ พล.ต.ท.สุเทพ เดชรักษา ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 กล่าวว่า จะมีการปิดถนนบางสายเพื่อความคล่องตัวของผู้เข้าร่วมประชุม ขณะที่ระบบรักษาความปลอดภัยจะอยู่ในขั้นสูงสุด เพราะบางประเทศที่เดินทางมาเป็นผู้นำระดับกษัตริย์ โดยได้จัดกำลังตำรวจ 2,500 นาย และจะใช้รถสี่ล้อแดงเป็นหลักในการรับส่งผู้เข้าร่วมประชุม

ดร.ศรา วุฒิ ศรีศกุน ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาพิงคนคร (องค์การมหาชน) เปิดเผยว่า การประชุมเรื่องน้ำเป็นอีเวนต์ใหญ่ และอีเวนต์แรกของศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติจังหวัดเชียงใหม่ ขณะนี้มีความพร้อมสมบูรณ์ที่จะให้บริการในทุกส่วน ซึ่งสำนักงานพัฒนาพิงคนครได้เตรียมพร้อมทั้งระบบโครงสร้างพื้นฐานและ สาธารณูปโภค อาทิ เตรียมน้ำสำรอง 3,500 ลูกบาศก์เมตรกรณี

น้ำประปาปกติขัดข้อง รวมถึงระบบไฟฟ้าสำรอง ระบบไอที ตู้กดเงินอัตโนมัติ และจุดรับแลกเปลี่ยนเงิน เป็นต้น

ด้าน นายภูณัช ธนาเหล่าพานิช นายกสมาคมโรงแรมไทย (ภาคเหนือตอนบน) กล่าวว่า มีโรงแรมที่เป็นสมาชิกของสมาคมเข้าร่วมให้บริการกว่า 30 แห่ง โดยเตรียมห้องพักโรงแรมระดับ 5 ดาว และ 4 ดาวไว้จำนวนกว่า 3,000 ห้อง เพื่อรองรับผู้เข้าร่วมประชุมและผู้ติดตามที่คาดว่าจะเดินทางเข้ามา เชียงใหม่เกือบ 3,000 คน

การประชุมครั้งนี้จะช่วยส่งเสริมการท่อง เที่ยวของเชียงใหม่ในภาพรวมได้เป็นอย่างดี ทั้งโรงแรม ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยว เช่น ร้านอาหาร สถานที่ท่องเที่ยว ร้านขายของที่ระลึก ฯลฯ คาดว่าจะมีเงินสะพัดมากกว่า 200 ล้านบาท

การ ประชุมครั้งนี้จะเป็นการพิสูจน์ฝีมือของผู้บริหารศูนย์ประชุมและแสดงสินค้า นานาชาติจังหวัดเชียงใหม่ ที่จะได้เปิดฉากต้อนรับงานยักษ์ และยังจะมีอีเวนต์ใหญ่ ๆ ตามมาอีก และจังหวัดเชียงใหม่ที่พร้อมจะเป็นศูนย์กลางการประชุมและแสดงสินค้านานาชาติ ในกลุ่มประเทศอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงและเอเชียใต้อย่างเต็มระบบแล้ว

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
//////////////////////////////////////////////////////////////////

วอน ธปท - คลัง ยุติศึก กิตติรัตน์ รับ 2 มาตรฐาน กนง.คุมค่าเงินบาท รูดไร้ทิศทาง !!?

รมว.คลังรับ 2 มาตรการ กนง.ยุติศึก หวั่นเฮดจ์ฟันด์ยกระดับโจมตีบาท ด้านส.อ.ท.เดินสายไม่หยุดเข้าทำเนียบเสนอ 5 ข้อ ยํ้าเร่งแก้ด่วน หอการค้าวอน 2 หน่วยงานยุติศึก ชี้ส่งผลกระทบความเชื่อมั่น นักลงทุนถอยจากตลาดรอดูสถานการณ์ เปิด 5 มาตรการ แบงก์ชาติชงรับมือบาทแข็ง ไม่ยอมแตะดอกเบี้ยอาร์/พี ทำความอดทนคลัง ขาดผึง "โกร่ง" ร้องนายกฯปูดูแลด้วยตนเอง
 
ความขัดแย้งคลังกับแบงก์ชาติ จากความเห็นต่างในมาตรการดูแลค่าบาท บานปลายเป็นวิกฤติความเชื่อมั่นแล้ว เมื่อกระแสข่าวปลดนายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)ยังลือกระฉ่อนไม่หยุด โดยทั้งนายวีรพงษ์ รามางกูร ประธานคณะกรรมการธปท. และนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกฯและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง แสดงตนชัดเจนว่าต้องการเปลี่ยนตัวผู้ว่าการธปท. เพียงแต่ยังเกี่ยงว่าเป็นอำนาจของใคร นั้น

-แก้บาท รอ นายกฯปู
 
ที่ผ่านมา นายวีรพงษ์ รามางกูร ประธานบอร์ดธปท. ได้เปิดแถลงที่ทำเนียบรัฐบาล วิจารณ์การทำงานของผู้ว่าการ ธปท. และคณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.)อย่างหนักว่า ทำให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรง แต่ก็ยอมรับว่าไม่สามารถเข้าไปก้าวก่ายการทำงานของคณะกรรมการในธปท.ได้  "คงต้องฝากท่านนายกรัฐมนตรีให้เข้ามาดูแล ส่วนที่ครม.อาจจะมีอำนาจหน้าที่ในการถอดถอนผู้ว่าการธปท.ได้ ก็ไม่อยากให้ไปถึงขั้นนั้น"
 
ขณะที่ภาคเอกชนเดินสายต่อร้องทางการเร่งแก้บาทแข็ง โดยเมื่อวันที่ 3 พฤษภาคมที่ผ่านมา นายพยุงศักดิ์ ชาติสุทธิผล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.) พร้อมด้วยกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ อาหาร และสิ่งทอ เข้าพบนายกฯ นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร หลังจากที่ไปพบผู้ว่าการ ธปท. มาก่อนแล้ว
 
เพื่อยื่นหนังสือเสนอ 5 มาตรการแก้ปัญหาค่าเงินบาท  พร้อมระบุว่า แม้ค่าเงินบาทในตอนนี้อ่อนค่าลง แต่ก็มีแนวโน้มจะแข็งค่าต่อเนื่อง  ขณะที่ผลกระทบที่เกิดขึ้นกับภาคอุตสาหกรรม ได้ขยายวงกว้างครอบคลุมทุกระดับแล้ว เห็นได้จากหลายธุรกิจสั่งซื้อสินค้าจากต่างประเทศ ทดแทนสินค้าในประเทศแล้ว และคาดว่ามูลค่าการส่งออกที่ลดลง เห็นได้ชัดเจนในไตรมาส 2 และ 3 ทำให้ทั้งปีนี้การส่งออกจะขยายตัวเพียง 4-5% หรือครึ่งหนึ่งของเป้าที่ตั้งไว้ 8-9%  
 
ด้านนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ยอมรับว่า ภาครัฐกังวลถึงสถานการณ์อัตราแลกเปลี่ยนที่แข็งค่าขึ้น เพราะกลัวว่าเงินทุนที่ไหลเข้ามาจำนวนมาก จะไม่ได้ลงสู่ระบบเศรษฐกิจที่แท้จริง แต่เป็นการเข้าไปเก็งกำไรในตราสารหนี้ ซึ่งหลังจากนี้ก็จะเร่งไปหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งกระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และเร่งเดินหน้าโครงการลงทุน 2 ล้านล้านบาท ซึ่งจะเป็นการนำเงินบาทมาใช้ในการลงทุน เพื่อลดแรงกดดันปัญหาเงินบาทแข็งค่า

-วิวาทะหนัก"หนุน-ปลด"ประสาร
 
ส่วนเรื่องการปลดผู้ว่าการ ธปท.กลายเป็นประเด็นร้อนที่มีการแสดงความคิดเห็นตอบโต้กันอย่างกว้างขวาง มีทั้งที่สนับสนุนจุดยืนของฝ่ายการเมือง-รัฐบาล ที่เห็นว่าต้องเปลี่ยนตัวผู้ว่าการ ธปท. และที่เห็นคัดค้าน อาทิ นายพรายพล  คุ้มทรัพย์ อดีตบอร์ดกนง.กล่าวว่า ส่วนตัวมองไม่ควรปลด เพราะยังไม่เห็นมีรายละเอียดอะไรที่เป็นความผิดร้ายแรงในการทำหน้าที่ของผู้ว่าการ ธปท.ถ้าจะปลดต้องอธิบายเหตุผลให้ชัด   ถ้าตอบไม่ได้แปลว่า"มั่ว"
 
อย่างไรก็ตาม ในที่สุดกระทรวงการคลังอาจจะบรรลุเป้าหมายในการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย และปลดผู้ว่าการธปท.  ถ้ามีการปลดผู้ว่าการธปท. ย่อมทำให้ภาพรวมของประเทศไทยไม่ดีแน่ และเชื่อว่าจะตามมาด้วยการสรรหาผู้ว่าการ ธปท.คนใหม่ และการวางคนใหม่ให้บอร์ดกนง.ใหม่ว่านอนสอนง่าย
 
ขณะเดียวกันนายพรายพลยังได้แนะนำให้มองรอบด้าน ถึงกรณีที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย  เพราะการลดอาร์/พีไม่ใช่มีผลเพียงสกัดกั้นเงินทุนไหลเข้าเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบกับผู้ออมเงิน หรือผู้ลงทุน และปัจจัยอื่นที่ต้องคำนึงด้วย (อ่านประกอบล้อมกรอบ)

-วอนยุติความขัดแย้ง
 
ความขัดแย้งที่บานปลายนี้ส่งผลให้ภาคเอกชนกังวลหนัก โดยนายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการบริษัทศรีไทยซุปเปอร์แวร์ จำกัด (มหาชน) ในฐานะรองประธานกรรมการหอการค้าไทย กล่าวว่า หากธปท.และรัฐบาลขัดแย้งกัน จะทำให้นักธุรกิจไม่เชื่อมั่น โดยเห็นได้จากข่าวปลดผู้ว่าการ ธปท. ทำให้เช้าวันที่ 23 เมษายนที่ผ่านมา เงินบาทอ่อนค่ามาอยู่ที่ 29.65 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ จากที่แข็งค่าขึ้นไปแตะที่กว่า 27 บาท
 
ข่าวเช่นนี้เป็นเรื่องไม่ดี เพราะนักลงทุนต่างประเทศกำลังเฝ้ามองข่าวที่เกิดขึ้นอยู่ ว่าจะแก้ปัญหาเงินทุนไหลเข้าจำนวนมากนี้อย่างไร และภาคเอกชนก็เห็นว่า รัฐบาลและธปท.ควรทำงานไปในทิศทางเดียวกัน โดยต่างฝ่ายต่างใช้กลไกที่มีในการเข้ามาจัดการเงินที่ไหลเข้ามาเก็งกำไร เชื่อว่าถ้ามีเอกภาพในการทำงานร่วมกัน จะดูแลค่าเงินบาทให้มีเสถียรภาพได้"
 
ทั้งนี้ ในวันศุกร์ที่  3 พฤษภาคมที่ผ่านมา  เงินบาทอยู่ที่ระดับ 29.56 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ปรับตัวอ่อนค่าลงต่อเนื่อง จากวันก่อนหน้าที่ 29.42 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ และเมื่อวันศุกร์ที่ 26 เมษายนที่ผ่านมา อยู่ที่ 28.61 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุ เงินบาทอ่อนค่าลงจากแรงซื้อดอลลาร์สหรัฐฯต่อเนื่องท่ามกลางความกังวลต่อท่าทีของทางการ ในการดูแลความเคลื่อนไหวของเงินบาท  นอกจากนี้นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิหุ้น และพันธบัตรไทยเป็นปัจจัยกดดันเงินบาทด้วย

-5มาตรการธปท.จุดแตกหักคลัง
 
ความขัดแย้งคลัง-แบงก์ชาติ มาถึงจุดแตกหัก เมื่อนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกฯและรมว.คลัง ได้รับหนังสือตอบกลับจากผู้ว่าการ ธปท. ตอบข้อถามถึงสถานการณ์และการแก้ปัญหาค่าบาท โดยก่อนหน้านี้มีท่าทีว่าทั้งสองหน่วยงานจะร่วมมือกันดูแล  โดยหนังสือธปท.ระบุได้เตรียมมาตรการ 5 ข้อดูแลค่าเงินบาทในสถานการณ์ความรุนแรงระดับต่าง ๆ โดยไม่ระบุการลดอัตราดอกเบี้ยอาร์/พีอย่างที่คลังต้องการเลย
 
แหล่งข่าวกระทรวงการคลัง เปิดเผย"ฐานเศรษฐกิจ"ว่า มาตรการ 5 ข้อของธปท.ดังกล่าว ประกอบด้วย  1.กันสำรองเงินทุนนำเข้าจากต่างประเทศ (เคยใช้ปี 2549 กันสำรอง 30%)  2.การประกันความเสี่ยงเต็มจำนวน(Fully Hedge) 3.กำหนดระยะเวลาการถือครองพันธบัตรไม่น้อยกว่า 6 เดือน 4.ภาษีหัก ณ ที่จ่ายจากดอกเบี้ยและกำไรในการลงทุนพันธบัตร(Withholding Tax อัตราภาษี 15%) 5.ภาษีที่จัดเก็บจากธุรกรรมการแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ (Tobin Tax)
 
แหล่งข่าวรายเดิมกล่าวว่า เมื่อรัฐบาลรับรู้เช่นนี้จึงสั่งเบรก และตีกลับไปให้พิจารณาอย่างรอบคอบอีกครั้ง รวมถึงมีการสอบถามถึงอำนาจในการปลดผู้ว่าการ ธปท. จนนำไปสู่ข่าวลือในตลาดหุ้น  ทำให้นักลงทุนต่างชาติต้องถอยเพื่อตั้งหลัก รอดูว่ารัฐบาลและธปท.จะทำอย่างไรต่อไป ซึ่งทำให้เงินบาทอ่อนค่าลงเล็กน้อย เท่ากับว่างานนี้ยังไม่มีใครต้องออกมาตรการอะไรมาสกัดเงินทุนไหลเข้า ค่าบาทได้อ่อนลงแล้วแต่เกิดจากวิกฤติความเชื่อมั่นในการบริหารนโยบายของรัฐ ที่ยังคาราคาซังอยู่จนถึงตอนนี้

-โต้งรับ 2ข้อเสนอคุมเงินบาท
 
นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง เปิดเผยว่า ข้อเสนอของ ธปท.ที่สำคัญ 2 มาตรการ คือ1.การกำหนดให้นักลงทุนต่างชาติถือครองเงินบาทที่ลงทุนในตราสารหนี้ รวมถึงพันธบัตรของรัฐบาลและ ธปท.ตามระยะเวลาที่ ธปท.กำหนดและ2.การคิดค่าธรรมเนียมกับนักลงทุนต่างชาติที่เข้ามาลงทุนในประเทศไทย
   
มาตราการที่ ธปท.ส่งมาให้กระทรวงการคลังรับทราบ มันกว้างมากๆ จึงถือว่า ยังไม่มีความชัดเจนใดๆ ที่จะออกมาตรการช่วงนี้ เพื่อดูแลค่าเงินบาทเพราะตัวผมเองก็ไม่รู้ว่า ธปท.จะนำมาตรการใดมาใช้ในเวลาไหนเพียงแต่ผู้ว่าการ ธปท.บอกว่า ขึ้นอยู่กับความเหมาะสม"

-หนุนคุมลงทุนระยะสั้น
 
นายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานสภาธุรกิจตลาดทุนไทย เปิดเผยว่า ที่ประชุมสมาชิกสภาตลาดทุนได้หารือถึงสถานการณ์บาทแข็งแล้ว มีความเห็นร่วมกันว่า บาทแข็งเกิดจากนักลงทุนต่างชาติเข้ามาเก็งกำไรในตลาดตราสารหนี้ระยะสั้นของไทย จึงเสนอภาครัฐออกมาตรการจำกัดการเก็งกำไรของต่างชาติ ด้วยการห้ามนักลงทุนต่างชาติเข้าลงทันตราสารหนี้ระยะสั้นที่มีอายุไม่ถึง 6 เดือน เพราะการเก็งกำไรในตลาดตราสารหนี้ระยะสั้นดังกล่าว ถือเป็นต้นตอของปัญหาบาทแข็งในช่วงที่ผ่านมา
 
การจำกัดการเก็งกำไรในตราสารหนี้ระยะสั้นของนักลงทุนต่างชาติ เป็นการแก้ปัญหาที่ตรงจุดมากที่สุด เราไม่เห็นด้วยที่จะออกมาตรการที่กระทบความเชื่อมั่นเศรษฐกิจ ตลาดทุน และการลงทุนในตราสารหนี้ระยะยาว เพราะไทยยังต้องการเม็ดเงินระยะยาวมาลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน"
-แหยงเฮดจ์ฟันด์ยกระดับโจมตีเงินบาท
 
แหล่งข่าวจากสภาอุตสาหกรรมตั้งข้อสังเกตว่า  ความขัดแย้งคลัง-ธปท.เวลานี้  อาจทำให้นักเก็งกำไรฉวยจังหวะยกระดับโจมตีเงินบาท ซึ่งในที่สุดทำให้ธปท.ต้องงัดมาตรการเข้มข้น ให้กันสำรองเงินทุนนำเข้าจากต่างประเทศในอัตรา 30 % ซึ่งมาตรการดังกล่าวจะเป็นปัญหาในอนาคต เนื่องจากนักลงทุนไม่กล้าเข้ามา ยกเว้นเมืองไทยไม่ต้องการกู้เงินจากต่างประเทศแล้ว
 
ขณะเดียวกันยังมีความเป็นห่วงกรณีนักลงทุนรับทราบว่าเมืองไทยสนับสนุนเงินลงทุนโดยตรง(FDI) จึงเสนอให้มีการแยกบัญชี FDI ให้ชัด เพราะกลัวว่านักลงทุนจะฉวยโอกาสโยกเงินไปทำกำไร ก่อนจะโอนกลับเข้ามาในบัญชีFDI แต่จนถึงตอนนี้ทางธปท.ยังไม่แยกรายละเอียดนักลงทุนที่เข้ามา อย่างไรก็ตาม ระยะสั้นที่ยังเป็นสุญญากาศ อยากเสนอให้ธปท.ลดดอกเบี้ยนโยบายครั้งเดียวในอัตรา 1%

ที่มา.นสพ.ฐานเศรษฐกิจ
///////////////////////////////////////////////////

สรุป ลอบเผาสถานที่ราชการ 4 อำเภอ ภาคใต้ !!?


สรุปเหตุการณ์กลุ่มก่อความไม่สงบก่อเหตุป่วนลอบวางเพลิงสถานที่ราชการในพื้นที่ 4 อำเภอ จังหวัดปัตตานี

ศูนย์รับแจ้งเหตุฉุกเฉิน กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ได้สรุปเหตุการณ์กลุ่มก่อความไม่สงบลอบวางเพลิงสถานที่ราชการ เผายางรถยนต์ เผาเสาสัญญาณโทรศัพท์ และโปรยตะปูเรือใบจำนวนหลายจุดในพื้นที่ 4 อำเภอของจังหวัดปัตตานี โดยเหตุการณ์เริ่มเกิดขึ้นตั้งแต่เวลา 18.50 น.ของวันที่ 5 พ.ค.56 ที่ผ่านมา มีดังนี้ พื้นที่ อ.ยะรัง จ.ปัตตานี เกิดเหตุจำนวน 8 จุด คือ 1.ลอบวางเพลิง ที่ทาการ อบต.ประจัน ซึ่งเป็นอาคารไม้ชั้นเดียว ม.4 ต.ประจัน อ.ยะรัง จ.ปัตตานี ได้รับความเสียหายทั้งหลัง

2.ลอบวางเพลิงที่ทำการเทศบาลตำบลยะรัง เป็นอาคารปูน 2 ชั้น ม.4 ต.ยะรัง อ.ยะรัง จ.ปัตตานี ได้รับความเสียหาย บริเวณชั้นล่างประมาณ 30 เปอร์เซ็น ซึ่งที่นี้เคยถูกลอบวางเพลิงมาแล้ว 1 ครั้ง เมื่อวันที่ 18 ก.ย.52 ได้รับความเสียหายทั้งหลัง 3.ลอบวางเพลิงที่ทำการ อบต.คลองใหม่ เป็นอาคารปูน 2 ชั้น ม.5 ต.คลองใหม่ อ.ยะรัง จ.ปัตตานี ได้รับความเสียหายทั้งหลัง 4.เผายางรถยนต์ บนถนนสาย 410 ต.ยะรัง อ.ยะรัง จ.ปัตตานี 5.เผายางรถยนต์และโปรยตะปูเรือใบ บนถนนสาย 410 ต.เมาะมาวี อ.ยะรัง จ.ปัตตานี

6.เผายางรถยนต์และโปรยตะปูเรือใบ บนถนนสาย 4061 ต.ยะรัง อ.ยะรัง จ.ปัตตานี 7.วางวัตถุต้องสงสัย เป็นถังแก๊ส และโปรยตะปูเรือใบ หน้าโรงเรียนบ้านละหาร ม.2 ต.กอลำ อ.ยะรัง จ.ปัตตานี 8.เวลา 20.50 น. ขณะที่เจ้าหน้าที่ทหารพราน ร้อย.ทพ.2211 ฉก.ทพ.22 ทำการลาดตระเวนมาถึงบริเวณหน้า อบต.กอลำ อ.ยะรัง จ.ปัตตานี พบคนร้ายพยายามจะลอบวางเพลิง จึงใช้อาวุธปืนยิงคนร้าย แต่คนร้ายอาศัยความมืดหลบหนีไปได้ จากการตรวจสอบพบว่า คนร้ายใช้น้ำมันราด ที่ทำการ อบต.กอลำ และพบรอยเลือดคาดว่า คนร้ายอาจจะได้รับบาดเจ็บ

ส่วนพื้นที่ อ.หนองจิก จ.ปัตตานี เกิดเหตุจำนวน 2 จุด คือ 1.ลอบวางเพลิงที่ทำการ อบต.ดาโต๊ะ เป็นอาคารคอนกรีต 2 ชั้น ม.1 ต.ดาโต๊ะ อ.หนองจิก จ.ปัตตานี ได้รับความเสียหายทั้งหลัง (ซึ่งอาคารดังกล่าวเคยถูกลอบวางเพลิงมาแล้ว 2 ครั้ง เมื่อ 24 มิ.ย.47 และวันที่ 26 ธ.ค.51 2.ลอบวางเพลิงศูนย์เทคโนโลยีการเกษตร อบต.คอลอตันหยง เป็นอาคารไม้ชั้นเดียว ม.1 ต.คอลอตันหยง อ.หนองจิก จ.ปัตตานี ได้รับความเสียหายเล็กน้อย

พื้นที่ อ.มายอ จ.ปัตตานี เกิดเหตุจำนวน 3 จุด คือ 1.ลอบวางเพลิงที่ทำการ อบต.สาคอบน ม.1 ต.สาคอบน อ.มายอ จ.ปัตตานี ได้รับความเสียหายทั้งหลัง 2.ลอบวางเพลิงสำนักงานบริหารราชการตำบลสาคอใต้ ม.1 ต.สาคอบน อ.มายอ จ.ปัตตานี ได้รับความเสียหายประมาณ 30 เปอร์เซ็น จำนวน 1 ห้อง 3.ลอบวางเพลิงที่ทำการ อบต.ปะโด ม.1 ต.ปะโด อ.มายอ จ.ปัตตานี ได้รับความเสียหาย ประมาณ 60 เปอร์เซ็น

สุดท้ายพื้นที่ อ.แม่ลาน จ.ปัตตานี เกิดเหตุจำนวน 2 จุด คือ 1.เผาเสาสัญญาณโทรศัพท์ดีแทค ม.4 ต.ม่วงเตี้ย อ.แม่ลาน จ.ปัตตานี ได้รับความเสียหายเล็กน้อย 2.เผาเสาสัญญาณโทรศัพท์ดีแทค ม.5 ต.ป่าไร่ อ.แม่ลาน จ.ปัตตานี ได้รับความเสียหายเล็กน้อย

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
/////////////////////////////////////////////////////////