--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันเสาร์ที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2556

เสน่หา อิระวดี !!?


ถ้า เจ้าพระยา คือแม่น้ำสายสำคัญที่มีบทบาทดั่งเส้นเลือดใหญ่ของคนไทย  เอยาวดี หรือที่คุ้นกันในชื่อ อิระวดี

ก็คงจะมีความหมายไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน
..............

อิระวดี. ชื่อนี้ดูเหงาปนเศร้าหากเรานึกถึงเนื้อหาของ "ผู้ชนะสิบทิศ" บทเพลงอมตะที่ "ชรินทร์ นันทนาคร" ขับร้องไว้เมื่อนานมาแล้ว ทว่าในความเป็นจริง "อิระวดี" หรือ "เอยาวดี" คือรอยยิ้มและความสุขที่คนพม่าทั้งประเทศยอมรับ เพราะไม่เพียงแค่หล่อเลี้ยงชีวิตเท่านั้น แต่เอยาวดียังเป็น "ผู้ให้ชีวิต" ที่มีพระคุณต่อคนทั้งแผ่นดิน

ฉันนั่งอยู่บนเรือท่องเที่ยวขนาด 2 ชั้น ที่กำลังวิ่งทวนน้ำด้วยความเร็วต่ำไปยังเกาะกลางลำน้ำเอยาวดี ลมพัดระเรื่อยเข้ามาเป็นระยะทำให้ช่วงเวลาที่ร้อนระอุถูกหลงลืมไปชั่วคราว

ตลอดทางตั้งแต่เรือออกจากท่าที่เมืองมัณฑะเลย์ ฉันพบเห็นวิถีชีวิตของผู้คนที่ผูกพันอยู่กับแม่น้ำเอยาวดีอย่างแยกไม่ออก พวกเขาปลูกเรือนใกล้ชิดแม่น้ำ แล้วยังหาอยู่หากินในมหานทีนั้นด้วยความเรียบง่าย ทั้งการประมงเล็กๆ รวมถึงการเกษตรริมฝั่ง ที่ล้วนแต่นำมาซึ่งข้าวปลาอาหารทั้งสิ้น ว่ากันว่า น้ำใสๆ ในแม่น้ำสายเลือดแห่งนี้ยังสามารถนำมาใช้อุปโภคบริโภคโดยไม่ต้องกรองได้อีกด้วย

แม่น้ำเอยาวดี (Ayeyarwady River) มีต้นกำเนิดในเขตนู่เจียง มณฑลยูนนานของจีน บริเวณใกล้รอยต่อเขตแดนรัฐกะฉิ่น ประเทศพม่า โดยบริเวณต้นน้ำมีชื่อเรียกว่า "แม่น้ำมายข่า" จนเมื่อไหลมารวมกับแม่น้ำมะลิข่า ที่เมืองมิตจีนา จึงเรียกแม่น้ำสายใหม่ว่า "แม่น้ำเอยาวดี" ซึ่งนับจากต้นทางจนถึงปากน้ำที่กรุงย่างกุ้งมีความยาวถึง 2,170 กิโลเมตรเลยทีเดียว

แหล่งอารยธรรมที่สำคัญในอดีตมักก่อตัวขึ้นริมแม่น้ำ ในพม่าเองก็ไม่แตกต่างกัน เพราะตามประวัติศาสตร์พบการสร้างราชธานีที่อยู่ริมฝั่งแม่น้ำเอยาวดีมาแต่โบราณ นับตั้งแต่ ตะกอง, ศรีเกษตร, พุกาม, ปีงยะ, สะกาย, อังวะ, อมรปุระ รวมถึงรัตนปุระ หรือมัณฑะเลย์ด้วย นั่นจึงเป็นเครื่องยืนยันได้ว่า แม่น้ำเอยาวดีคือแหล่งสั่งสมอารยธรรมที่สำคัญ ซึ่งอารยธรรมอันเป็นความเจริญที่ทุกคนสัมผัสได้ในพม่านั้นดูเหมือนจะเป็น "พลังศรัทธาแห่งพุทธศาสนา" ที่เหนียวแน่น

แรงศรัทธาที่ "มิงกุน"

ระยะทาง 11 กิโลเมตรจากเมืองมัณฑะเลย์ถึงเกาะกลางน้ำ "เมืองมิงกุน" (Mingun) ไม่ได้ทำให้ทุกคนที่โดยสารเรือมารู้สึกเบื่อหน่าย เพราะสองฝั่งแม่น้ำเอยาวดีมีวิถีชีวิตของผู้คนชาวพม่าให้ชมอย่างเพลินตา แต่จุดหมายของการล่องเรือทวนน้ำขึ้นมาครั้งนี้เป็นเพราะทุกๆ คนต้องการชื่นชมความอลังการของเจดีย์กลางน้ำที่ไม่มีวันสร้างเสร็จนั่นเอง

ฉันหมายถึง เจดีย์มิงกุน (ประโทหล่อจี) มหาเจดีย์ที่เป็นอนุสรณ์สถานแสดงถึงความยิ่งใหญ่ของ "พระเจ้าปดุง" กษัตริย์ราชวงศ์อลองพญา(ผู้สร้างประวัติศาสตร์ "สงครามเก้าทัพ")ที่ครองราชย์ในปี 2325 พร้อมๆ กับการเริ่มต้นราชวงศ์รัตนโกสินทร์ของไทย ว่ากันว่า พระเจ้าปดุงเป็นกษัตริย์ที่มีความทะเยอทะยาน ดังนั้นการสร้างเจดีย์จึงต้องยิ่งใหญ่กว่าใครๆ โดยพระองค์ได้เกณฑ์แรงงานทาสจำนวนมากเพื่อสร้างมหาเจดีย์แห่งนี้ และทรงควบคุมการก่อสร้างด้วยพระองค์เอง ทว่า ที่สุดแล้วก็สร้างได้แค่ฐานเนื่องเพราะพระเจ้าปดุงเสด็จสวรรคตก่อน ความตั้งใจที่จะสร้างเจดีย์ให้สูงกว่ามหาเจดีย์ชเวดากอง 3 เท่า และเป็นเจดีย์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกจึงต้องล้มพับไป

ไม่มีใครสืบทอดเจตนารมณ์ในการสร้างเจดีย์ต่อจากพระเจ้าปดุง เพราะเชื่อกันว่า หากสร้างมหาเจดีย์เสร็จเมืองจะล่มสลาย แต่บ้างก็ว่าไม่มีงบประมาณมากพอ เจดีย์มิงกุนจึงถูกทิ้งไว้แบบนี้

เจดีย์มิงกุนตั้งอยู่ริมแม่น้ำเอยาวดี เป็นเจดีย์อิฐสีแดงขนาดมหึมา ลักษณะฐานเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้ากว้างยาวด้านละ 150 เมตร และสูง 54 เมตร ด้านหน้ามีสิงห์ศิลาขนาดใหญ่เฝ้าอยู่ 2 ตัว หันหน้าไปทางแม่น้ำเอยาวดี แต่เนื่องจากเหตุแผ่นดินไหวในปี 2381 ทำให้ส่วนลำตัวและหน้าสิงห์ทั้ง 2 จุ่มหายลงไปในแม่น้ำ เหลือเพียงส่วนบั้นท้ายเท่านั้นที่อยู่บนแผ่นดิน

แม้เจดีย์จะสร้างไม่เสร็จ แต่พระเจ้าปดุงก็มีสิ่งหนึ่งที่เป็นตัวแทนความยิ่งใหญ่ นั่นคือ ระฆังมิงกุน ระฆังสำริดที่ใหญ่ที่สุดในประเทศพม่า และใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก รองจากระฆังในเมืองมอสโคว์ ประเทศรัสเซีย โดยมีเส้นผ่าศูนย์กลาง 5 เมตร น้ำหนัก 90 ตัน ส่วน เจดีย์ซินพยุเหม่ (Psinbyume) ที่อยู่ไม่ไกลกันนั้น สร้างโดยพระเจ้าพคะยีดอ เพื่ออุทิศถวายพระมเหสีซินพยุเหม่ที่สิ้นพระชนม์ไป โดยเจดีย์นี้เปรียบเสมือนจุฬามณีที่ตั้งอยู่บนเขาพระสุเมรุอันเป็นศูนย์กลางของจักรวาลตามคติไตรภูมิของศาสนาพุทธ ดังนั้นลักษณะเจดีย์จึงมีความงดงามราวกับสรวงสวรรค์

มุ่งหน้าสู่ "อังวะ"

เรียกว่าเป็นเมืองที่ดำรงสถานะ "เมืองหลวง" มากครั้งที่สุดถึง 5 ครั้ง กินเวลายาวนาน(แบบไม่ต่อเนื่อง) 400 ปีเลยทีเดียวสำหรับ "อังวะ" (Ava) ที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำเอยาวดี คนไทยอาจคุ้นชื่อเมืองนี้จากเรื่อง "ราชาธิราช" ซึ่งเป็นสงครามการแย่งชิงอำนาจระหว่างพม่าและมอญ และอย่างที่บอกว่าเมืองอังวะเคยเป็นเมืองหลวงมากครั้ง สิ่งปลูกสร้างที่เกี่ยวเนื่องกับความศรัทธาในพระพุทธศาสนาจึงมีมากมาย สังเกตได้จากการนั่งเรือล่องจากเมืองมิงกุนมาทางใต้ ผ่านเมืองมัณฑะเลย์ไม่ไกล จะพบว่ามีเจดีย์สีทองมลังเมลืองตั้งอยู่ริมแม่น้ำเอยาวดีชนิดที่นับกันไม่ถ้วน

นั่งเรือราวชั่วโมงเศษ ก่อนถึง สะพานอาว่า (Ava) ซึ่งเป็นสะพานเหล็กข้ามแม่น้ำเอยาวดีแห่งแรกที่สร้างขึ้นในสมัยที่อังกฤษเข้ามาปกครองพม่า เราพบว่ามีเรือบรรทุกไม้ซุงขนาดใหญ่ลอยอยู่เต็มท่าน้ำ ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลกเพราะไม้สักเป็นสินค้าส่งออกอันดับ 1 ของพม่า ที่สำคัญประเทศนี้ยังมีทรัพยากรป่าไม้อยู่เยอะ โดยเฉพาะทางเหนือของประเทศ และเหตุที่พม่ายังคงรักษาพื้นที่ป่าไว้ได้ก็เป็นเพราะกฎหมายที่วางไว้ นั่นคือ หากตัดต้นไม้ 1 ต้น ต้องปลูกทดแทน 2 ต้น การตัดต้องไม่ตัดถึงราก ต้องเว้นตอไว้ 3 ฟุต สุดท้ายคือห้ามใช้เลื่อยไฟฟ้าตัด

เรือจอดเทียบท่าเมื่อเลยตัวเองอังวะไป 10 นาทีเศษ บริเวณท่าเทียบเรือมีรถม้าที่เป็นเอกลักษณ์ในการเดินทางอีกอย่างหนึ่งของพม่ารออยู่ นับจำนวนได้มากเกือบ 100 คัน รถม้าเหล่านี้จะพาเราเดินทางลัดสวนป่า เลาะทุ่งนา ผ่านบ้าน ร้านค้า โบราณสถานต่างๆ นานาไปจนถึง วัดบากายา (Bagaya) ซึ่งเป็นไฮไลต์สำคัญที่ชาวสยามทุกคนควรแวะมาชม

วัดบากายา เป็นวัดที่มีวิหารไม้สักแกะสลักสวยงามไม่แพ้วัดชเวนันดอที่เมืองมัณฑะเลย์ และเสาไม้สักที่นำมาสร้างนั้นก็เป็นเสาไม้สักที่ใหญ่ที่สุดของพม่า มีจำนวนเสามากถึง 267 ต้นเลยทีเดียว ซึ่งวัดนี้เป็นวัดป่าในเขตอรัญวาสีที่รอดพ้นจากการเผาทำลายในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ความสวยงามวิจิตรบรรจงจึงยังคงสภาพเดิมไว้อย่างสมบูรณ์ที่สุด

ความสำคัญที่บอกว่าคนไทยควรมาชม นั่นก็เพราะเมืองอังวะมีประชากรชาวสยาม หรือ "โยระยา" ที่พม่าเรียก ถูกเทครัวมาแต่ครั้งอยุธยาเสียกรุงอาศัยอยู่มากมาย แม้ปัจจุบันจะถูกกลืนจนแทบไม่เหลือเชื้อสายแล้ว แต่สิ่งหนึ่งที่ยังยืนยันได้นั่นก็คือ รูปแกะสลักครุฑยุดนาค และจิตรกรรมลักษณะแบบสกุลช่างอยุธยา นักท่องเที่ยวที่หลงใหลงานพุทธศิลป์หากได้เดินทางไปที่วัดนี้คงถูกใจ เพราะสภาพวัดเหมือนกับเมื่ออดีต และยังไม่มีการบูรณะแก้ไขใดๆ ทั้งสิ้น

ชมศิลปะ "สะกาย"

นั่งรถม้ากลับมาที่ท่าน้ำเดิม คราวนี้เปลี่ยนจากเรือใหญ่มานั่งเรือข้ามฟากแม่น้ำเอยาวดีไปที่ฝั่ง "เมืองสะกาย" (Sagaing) เมืองนี้มีความงดงามมากที่สุดอีกแห่งหนึ่งของพม่า ด้วยเพราะมีเจดีย์อยู่มากมายหลายองค์ สร้างอยู่เหนือยอดเขาทางด้านหลังของเมือง นอกจากเจดีย์จะมากแล้ว เมืองนี้ยังมีจำนวนแม่ชีมากที่สุดแห่งหนึ่งของพม่าด้วย ว่ากันว่า วัดหนึ่งมีไม่ต่ำกว่า 200-300 คน โดยแม่ชีเหล่านี้มาเรียนพระไตรปิฎกเหมือนสงฆ์ทั่วไป แต่แม้จะเก็บพรรษามากแค่ไหน แม่ชีก็ไม่มีสิทธิเป็นเจ้าอาวาสเหมือนกับพระสงฆ์

ความประทับใจแรกเมื่อข้ามแม่น้ำมายังเมืองสะกายนั่นคือ เด็กๆ ชาวพม่าที่พากันเดินเข้ามาขายของที่ระลึก แม้จะออกอาการตื๊ออยู่บ้างในช่วงแรก แต่เมื่อถูกเราปฏิเสธพวกเขาก็ไม่มีอาการน้อยอกน้อยใจ หรือทำหน้างอใส่เหมือนที่อื่นๆ ในทางกลับกันพวกเขาอยากสื่อสาร อยากพูดคุย อยากรู้เรื่องราวของเรา การสนทนาที่ปราศจากราคาซื้อขายจึงเป็นความประทับใจแรกที่พบในเมืองสะกาย

เมืองสะกายเป็นอีกเมืองหนึ่งที่ชาวสยามจากกรุงศรีอยุธยาถูกกวาดต้อนมาอยู่ จึงทำให้มีวัดศิลปกรรมอยุธยาจำนวนมาก เช่น จิตรกรรมฝาผนังที่ วัดมหาเตงดอจี โดยเทียบจากลายกนกและรูปแบบการเขียนที่เหมือนกับจิตรกรรมในสมัยอยุธยาตอนกลางและตอนปลาย

ส่วน วัดถ้ำติโลกคุรุ (Tilawkaguru) ก็มีจิตรกรรมที่เกี่ยวกับพุทธประวัติที่เชื่อมโยงศิลปกรรม กับอยุธยาได้เช่นเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นลายแก้วชิงดวง ลายพุ่มข้าวบิณฑ์ก้านแย่ง รวมถึงลายสังเวียนที่มีกระจังตาอ้อย ลวดลายเหล่านี้สามารถเปรียบเทียบอายุได้จากผ้าลาย ซึ่งเป็นผ้าเขียนลายในสมัยอยุธยา การเข้าชมต้องเดินเข้าไปในช่องอุโมงค์เล็กๆ ภายในถ้ำ ซึ่งสร้างขึ้นเพื่อเป็นสถานที่วิปัสนากรรมฐานของพระสงฆ์ในสมัยโบราณ

หลายคนให้นิยามเอยาวดีว่าเป็น "ผู้ให้กำเนิดแห่งแผ่นดิน" บ้างก็ให้เป็นสัญลักษณ์ของ "ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน" เพราะมีแม่น้ำเล็กๆ อีกหลายสายที่ไหลมารวมในเอยาวดี เปรียบเสมือนความปรองดองของพี่น้อง 135 ชนเผ่าที่อยู่ในพม่า นิยามน่ารักๆ แบบที่ว่า เป็นตัวแทนของ "ความรักนิรันดร" ก็พบบ่อยในหมู่หนุ่มๆ ที่มักสาบานกับสาวๆ ว่า จะรักมั่นนิรันดรตราบเท่าที่เอยาวดียังไม่ยอมหยุดไหล และที่สำคัญแม่น้ำสายนี้เป็นแหล่งกำเนิดอารยธรรมที่น่าจดจำบนแผ่นดินพม่า

.......................

การเดินทาง

สายการบินแอร์เอเชีย ให้บริการเส้นทางกรุงเทพฯ-มัณฑะเลย์ โดยเที่ยวบินที่ FD 2760 และ FD 2761 สัปดาห์ละ 4 เที่ยวบิน บริการวันจันทร์, อังคาร, พฤหัสบดี และเสาร์ ออกเดินทางเวลา 08.50-10.15 น. ติดต่อสอบถามและสำรองที่นั่งได้ที่ โทร. 0 2515 9999 หรือ www.airasia.com การเดินทางภายในประเทศสามารถติดต่อบริษัททัวร์ หรือจะเดินทางโดยรถประจำทางก็ต้องทำใจนิดหน่อย เพราะค่อนข้างเก่า ส่วนที่แนะนำคือ บริการรถม้าและวัวเทียมเกวียน ที่มีให้บริการเฉพาะบางเมือง ซึ่งจะให้ความรู้สึกที่พิเศษกว่าการเดินทางรูปแบบไหนๆ

ส่วนการเดินทางเข้าพม่ายังต้องขอวีซ่าอยู่ แต่ไม่ยาก เพราะเพิ่งเปิดประเทศ สำหรับเงินพม่าใช้สกุล "จ๊าด" อัตราแลกเปลี่ยน 100 จ๊าด เท่ากับ 5 บาท แต่ควรแลกเป็นเงิน USD ไป(ต้องเป็นสภาพใหม่ด้วย) แล้วแลกกับไกด์ฝั่งพม่าจะดีกว่า อีกอย่างหนึ่งคือพม่ายังไม่มีบริการบัตรเครดิต ดังนั้นควรเตรียมเงินที่จะใช้ไปให้พอดี

สุดท้ายคือข้อปฏิบัติในการเดินทางไปชมวัด หรือศาสนสถานต่างๆ ในพม่า ผู้ชายห้ามใส่ขาสั้น ผู้หญิงห้ามนุ่งกระโปรงสั้น เกาะอก สายเดี่ยว เอวลอย และต้องถอดรองเท้า ถุงเท้า รวมถึงถุงน่องทุกชนิดก่อนเข้าศาสนสถาน ซึ่งกฎระเบียบนี้นักท่องเที่ยวทุกชนชาติ ทุกชนชั้น ต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด แนะนำให้ซื้อกระดาษทิชชูเปียกไปด้วย เพราะจะได้ใช้ทำความสะอาดหลังจากเที่ยวชมศาสนสถาน

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
/////////////////////////////////////////////////////

วันศุกร์ที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2556

บีโอไอ เผยยอดลงทุนไตรมาสแรกอู้ฟู่ รวมเม็ดเงิน 2.75 แสนล้านบาท !!?


บีโอไอเผย ภาวการณ์ลงทุนไตรมาสแรกปี 2556 ขยายตัวทั้งการลงทุนในภาพรวม และการลงทุนทางตรงจากต่างประเทศ โดยการลงทุนในภาพรวมยื่นขอส่งเสริมถึง 610 โครงการ เงินลงทุนรวม 275,000 ล้านบาท โดยมีโครงการลงทุนขนาดใหญ่มูลค่ามากกว่า 1 – 2 หมื่นล้านบาทจำนวน 5 โครงการ ขณะที่การลงทุนจากต่างประเทศทะลุ 150,000 ล้านบาท โดยญี่ปุ่นยังขยายลงทุนในไทยอย่างต่อเนื่อง

นายอุดม วงศ์วิวัฒน์ไชย เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือ บีโอไอ เปิดเผยถึงภาวะการลงทุนในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ (มกราคม – มีนาคม 2556) ว่า การลงทุนยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ทั้งการลงทุนในภาพรวม และการลงทุนทางตรงจากต่างประเทศ หรือ เอฟดีไอ รวมทั้งมีโครงการขนาดใหญ่มูลค่าตั้งแต่ 1 พันล้านบาท ยื่นขอส่งเสริมกว่า 40 โครงการ และโครงการขนาดใหญ่มูลค่ากว่า 1 หมื่นล้านบาท ยื่นขอรับส่งเสริม 5 โครงการ

 โดยการลงทุนภาพรวม มีการยื่นขอรับส่งเสริมการลงทุนจำนวน 610 โครงการ มูลค่าเงินลงทุนรวม 275,000 ล้านบาท ขยายตัวเพิ่มขึ้นกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 38 ในด้านจำนวนโครงการ         และร้อยละ 24 ด้านมูลค่าเงินลงทุน (ไตรมาสแรกปี 2555 มียื่นขอรับส่งเสริม 443 โครงการ เงินลงทุนรวม 221,200 ล้านบาท

 โครงการที่ยื่นขอรับส่งเสริมในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ ส่วนใหญ่เป็นการลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรมบริการและสาธารณูปโภค ยื่นขอรับส่งเสริมจำนวน 137 โครงการ เงินลงทุนรวม 90,700 ล้านบาท รองลงมาเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมเกษตร ยื่นขอรับส่งเสริมจำนวน 179 โครงการ เงินลงทุนรวม 73,000     ล้านบาท อันดับสามคือกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ ชิ้นส่วนยานยนต์ โลหะ เครื่องจักร ยื่นขอรับส่งเสริมจำนวน 124 โครงการ เงินลงทุนรวม 65,500 ล้านบาท

สำหรับโครงการขนาดใหญ่ที่ยื่นขอรับส่งเสริมในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ ซึ่งแต่ละโครงการมีมูลค่ามากกว่า 10,000 – 20,000 ล้านบาท ประกอบด้วย กิจการโรงไฟฟ้าจากก๊าซธรรมชาติ กิจการผลิตชิ้นส่วนและผลิตภัณฑ์อลูมิเนียม กิจการขนส่งทางอากาศ 2 โครงการ และกิจการผลิตรถปิกอัพ ส่วนโครงการขนาดใหญ่ที่มีมูลค่ามากกว่า 2,000 – 6,000 ล้านบาท ได้แก่ กิจการโรงไฟฟ้าจากก๊าซธรรมชาติ กิจการผลิตเครื่องดื่มจากผักผลไม้ กิจการผลิตสิ่งปรุงแต่งอาหาร กิจการผลิตเคมีภัณฑ์ กิจการผลิตแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ กิจการเลี้ยงสัตว์ และกิจการผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ เป็นต้น

ขณะที่การลงทุนทางตรงจากต่างประเทศ หรือ เอฟดีไอ (Foreign Direct Investment) ในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ ก็ขยายตัวเช่นกัน โดยมีการยื่นขอรับส่งเสริมการลงทุนจำนวน 338 โครงการ เพิ่มขึ้นร้อยละ 8.3 เมื่อเทียบกับจำนวนโครงการที่ยื่นขอรับส่งเสริมในช่วงเดียวกันของปี 2555 ซึ่งมีจำนวน 312 โครงการ ขณะที่มูลค่าเงินลงทุนของโครงการลงทุนจากต่างประเทศในไตรมาสแรกของปีนี้ มีมูลค่ารวม 157,671 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 17.5 เมื่อเทียบกับมูลค่าเงินลงทุนในไตรมาสแรกของปี 2555 ซึ่งมีมูลค่า 134,151 ล้านบาท

ทั้งนี้ โครงการลงทุนทางตรงจากต่างประเทศ ส่วนใหญ่ หรือร้อยละ 61.5 เป็นการขยายการลงทุนของโครงการเดิมที่ลงทุนอยู่ในประเทศไทยแล้ว มีจำนวน 208 โครงการ เงินลงทุนรวม 134,990 ล้านบาท และเป็นโครงการลงทุนรายใหม่จำนวน 130 โครงการ เงินลงทุนรวม 22,681 ล้านบาท

โครงการลงทุนต่างชาติที่ยื่นขอรับส่งเสริมในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้จำนวนมากที่สุด คือโครงการลงทุนจากญี่ปุ่น ยื่นขอรับส่งเสริมจำนวน 176 โครงการ เงินลงทุนรวม 87,483 ล้านบาท รองลงมาเป็นการลงทุนจากมาเลเซีย 11 โครงการ เงินลงทุน 16,608 ล้านบาท อันดับสาม คือ การลงทุนจากฮ่องกง จำนวน 10 โครงการ เงินลงทุน 15,232 ล้านบาท อันดับสี่ การลงทุนจากเนเธอร์แลนด์ 8 โครงการ เงินลงทุน 8,309 ล้านบาท อันดับห้า การลงทุนจากสิงคโปร์ 20 โครงการ เงินลงทุน 5,385 ล้านบาท

ที่มา.นสพ.ฐานเศรษฐกิจ
////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันพฤหัสบดีที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2556

สอท.วอนแบงก์ชาติอัดยาแรงสกัดบาทแข็ง ลดดอกเบี้ย คุมทุนเคลื่อนย้าย !!?


สอท.โอดค่าเงินบาทแข็ง ส่งออกแย่ วอนแบงก์ชาติงัด มาตรการเข้มข้นจัดการ ปรับนโยบายการเงินเลิกกำหนดเป้าเงินเฟ้อมาเป็นอัตราแลกเปลี่ยน ลดดอกเบี้ย 1% คุมเงินไหลเข้าต่ำกว่า 3 เดือน สกัดเก็งกำไร ด้านแบงก์ชาติย้ำเกาะติดใกล้ชิด มีแผนรับมือแต่ต้องรอบคอบหวั่นเกิดผลข้างเคียง

เมื่อวันที่ 24 เมษายน 2556 นายพยุงศักดิ์ ชาติสุทธิผล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (สอท.) ได้ประชุมสมาชิกโดยเฉพาะกลุ่มผู้ส่งออกที่เดือดร้อนจากเงินบาทแข็งค่าเพื่อกำหนดท่าทีและนำเสนอต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้เร่งดำเนินการแก้ไขต่อไป

นายพยุงศักดิ์กล่าวว่าขณะนี้มีสัญญาณการเก็งกำไรจากค่าเงินบาทต่อเนื่องและทำให้เงินบาทแข็งค่ามากกว่าภูมิภาค โดยค่าเงินบาทเทียบดอลลาร์สหรัฐตั้งแต่เดือนมกราคมถึงวันที่ 22 เมษายน 2556 แข็งค่าขึ้น 5.93% ขณะที่จีนแข็งค่า 0.97% มาเลเซียแข็งค่า 0.27% เวียดนามอ่อนค่า 0.38% อินโดนีเซียอ่อนค่า 0.74% สิงคโปร์อ่อนค่า 0.86%

การที่เงินบาทแข็งค่าต่อเนื่องส่งผลให้ผู้ผลิตเพื่อส่งออกบางส่วนหันไปใช้วัตถุดิบนำเข้ามากขึ้นหากยังเป็นเช่นนี้จะกระทบกับซัพพลายเชนที่ผลิตวัตถุดิบป้อนผู้ส่งออกและกระทบต่ออุตสาหกรรมภายใน การที่เงินบาทแข็งค่ารุนแรง สอท.ต้องการให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ดำเนินการ 5 มาตรการ คือ 1.ให้บริหารจัดการอัตราแลกเปลี่ยนแบบภาวะวิกฤติเพราะมีสัญญาณเงินทุนไหลเข้ามาเก็งกำไรชัดเจน และหลายประเทศมีมาตรการเพิ่มเงินเข้าระบบเศรษฐกิจ เช่น สหรัฐ ญี่ปุ่น ทำให้เกิดสถานการณ์เงินท่วมโลก

2.เปลี่ยนนโยบายการเงินที่ยึดอัตราเงินเฟ้อเป็นเป้าหมาย (Inflation Targeting) มาเป็นนโยบายที่ยึดอัตราแลกเปลี่ยนเป็นเป้าหมาย (Exchange Rate Targeting) เพื่อแก้ปัญหาเศรษฐกิจเพราะความกังวลเกี่ยวกับอัตราเงินเฟ้อในขณะนี้มีไม่มากเนื่องจากราคาน้ำมันและสินค้าโภคภัณฑ์ลดลงจึงควรปรับนโยบายให้เหมาะสม 3.ลดดอกเบี้ยนโยบายลง 1% ทันทีจากปัจจุบัน 2.75% เป็น 1.75% 4.ใช้นโยบายควบคุมเงินทุนเคลื่อนย้าย (Capital Control) โดยห้ามนำเงินลงทุนออกจากไทยเป็นเวลาอย่างน้อย 3 เดือน และถ้าความผันผวนของค่าเงินไม่ลดลงให้เพิ่มเป็น 6 เดือน 5.ปรับปรุงนโยบายการออกพันธบัตรของ ธปท.

ทั้งนี้อาจจะดำเนินการทั้ง 5 มาตรการ พร้อมกันก็ได้ แต่ถ้าไม่ดำเนินการอะไรเลยจะมีผลต่อการรับคำสั่งซื้อในไตรมาส 2-3 ปีนี้ โดยเงินบาทที่แข็งค่าต่อเนื่องทำให้ผู้ส่งออกกำหนดราคารับคำสั่งซื้อลำบาก และเป็นการยากที่จะทำให้การส่งออกขยายตัวได้
รวมทั้งคาดการณ์ได้ลำบากว่าอัตราแลกเปลี่ยนจะแข็งค่าขึ้นไปอยู่ระดับใดหลังจากนี้

“หากแบงก์ชาติไม่ดำเนินมาตรการใดเลยการส่งออกปีนี้คงโตแค่ 5.5% แต่ถ้าเงินบาทแข็งทะลุไป 27 บาทต่อดอลลาร์การเติบโตจะต่ำกว่านี้ ผลกระทบจะชัดเจนตั้งแต่ไตรมาส 2 เป็นต้นไปเนื่องจากเป็นยอดการส่งออกที่รับออเดอร์ในไตรมาสแรกที่เริ่มมีปัญหาเงินบาท แต่ไตรมาสแรกที่การส่งออกยังโต 4.26% เพราะออเดอร์ที่รับตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว” นายพยุงศักดิ์กล่าว

อุตสาหกรรมที่จะได้รับผลกระทบมาก คือ กลุ่มสินค้าการเกษตร สิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม เฟอร์นิเจอร์ เครื่องเงินและอัญมณี ชิ้นส่วน และอิเล็กทรอนิกส์ อย่างเช่น แผงวงจรไฟฟา เซรามิก

นายวัลลภ วิตนากร รองประธานสอท.กล่าวว่าสอท.จะขอเข้าพบนายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการธปท. ในสัปดาห์หน้าเพื่อเสนอความเห็นของสมาชิกโดยเราเห็นว่าสถานการณ์ปัจจุบันอยู่ในภาวะการเก็งกำไรจึงเห็นควรว่าน่าจะนำนโยบายควบคุมเงินทุนเคลื่อนย้ายมาใช้ ซึ่งทั้ง 5 แนวทางเป็นมาตรการเข้มข้นที่ ธปท.ปฏิเสธมาตลอดแต่ผู้ส่งออกมองว่าสถานการณ์เปลี่ยนไปแล้วจากที่ สอท.เคยเสนอ ธปท.ไปเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา

สำหรับข้อเสนอที่จะยื่นต่อนายบุญทรง เตริยาภิรมย์ รมว.พาณิชย์ในวันที่ 26 เมษายน 2556 จะเน้นเรื่องการหาตลาดให้กับวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) ซึ่งกระทรวงพาณิชย์ควรเร่งดำเนินการและขยายตลาดการค้าชายแดนมากขึ้นเพราะตลาดหลักมีภาวะเศรษฐกิจที่ไม่ชัดเจนและการแข่งขันสูง เช่น สหรัฐ สหภาพยุโรป (อียู) ญี่ปุ่น ซึ่งกระทรวงพาณิชย์ควรหาแนวทางให้ผู้ส่งออกไทยเข้าถึงศูนย์กลางการกระจายสินค้าของประเทศเพื่อนบ้านเพื่อให้สินค้ากระจายถึงมือผู้บริโภคโดยเร็ว

ขณะเดียวกันที่ทำเนียบรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตรนายกรัฐมนตรี เรียกประชุมทีมเศรษฐกิจ อาทิ นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง นายประสาร ไตรรัตน์วรกุลผู้ว่าการธปท. นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) นายอารีพงศ์ ภู่ชอุ่ม ปลัดกระทรวงการคลัง เพื่อติดตามสถานการณ์เศรษฐกิจโดยเฉพาะเงินบาทที่แข็งค่าโดยนายกิตติรัตน์กล่าวว่ารู้สึกหนักใจที่ยังไม่ได้รับการตอบสนองเรื่องการแก้ปัญหาดังกล่าวอย่างแท้จริง

นางจันทวรรณ สุจริตกุล ผู้ช่วยผู้ว่าการสายตลาดการเงินธปท. ยอมรับว่าค่าเงินบาทตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน แข็งค่าสูงสุดในภูมิภาค โดยแข็งค่าขึ้น 6.28% จากระดับ 30.55 บาทต่อดอลลาร์ มาอยู่ที่ 28.82 บาทต่อดอลลาร์ สาเหตุจากปัจจัยพื้นฐานเศรษฐกิจไทยดี ต่างประเทศเชื่อมั่น แต่ธปท. ไม่ได้นิ่งนอนใจและยังคงติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและยืนยันว่า มีมาตรการที่จะเข้าดูแล หากถึงเวลาที่เหมาะสม แต่ทุกมาตรการมีผลข้างเคียงจึงต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ และยังยืนยันว่า อัตราดอกเบี้ยไม่ใช่ปัจจัยหลักที่ดึงดูดเงินทุนไหลเข้า เพราะดอกเบี้ยนโยบายของไทยมีอัตราใกล้เคียงกับเพื่อนบ้าน แต่ที่ไทยโดดเด่นกว่า เพราะพื้นฐานเศรษฐกิจและเครดิตของไทยดีกว่าประเทศเพื่อนบ้าน

ที่มา.นสพ.แนวหน้า
////////////////////////////////////////////////

ลงทุน 2 ล้านล้าน ดร.สมคิด เตือนรัฐบาลรอบคอบ อย่าเอาประเทศไปเสี่ยง !!?



อดีตรองนายกฯ  ออกโรงเตือนรัฐบาลคิดลงทุนกู้เงินมาทำโครงการใหญ่ ต้องจัดลำดับความสำคัญ ดูแลไม่ให้การเงินการคลังเสี่ยง พร้อมฟื้นความไว้เนื้อเชื่อใจจากสาธารณชน หลังจำนำข้าวทำพิษ ขาดทุนบักโกรก


ศาสตราพิชาน ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ อดีตรองนายกรัฐมนตรี  กล่าวในงานสัมมนาเรื่อง "โครงการ 2 ล้านล้านกับอนาคตประเทศไทย : ความเสี่ยงต่อภาระหนี้" จัดโดยสถาบันอนาคตไทยศึกษา ร่วมกับสมาคมผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจ ณ โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ แอท เซ็นทรัลเวิลด์ ตอนหนึ่งถึงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานครั้งใหญ่ของประเทศ

ศาสตราพิชาน ดร.สมคิด  กล่าวว่า การลงทุนจะเกิดประโยชน์สูงสุด และหลีกเลี่ยงความเสี่ยงภัยนั้น  1. รัฐบาลควรจัดลำดับความสำคัญ  (Priority) เนื่องจากประเทศไทยปัญหาใหญ่ที่เราประสบ และเผชิญในอนาคตไม่ใช่ปัญหาเรื่องคมนาคม หรือปัญหาการเชื่อมโยง( Connectivity) แต่อย่างใด

“อนาคตสิ่งที่เราต้องเผชิญและจำเป็นแก้ปัญหาให้ได้ คือ ความยากจน ความไม่เท่าเทียมในด้านรายได้ ปัญหาโครงสร้างทางเศรษฐกิจที่เริ่มสูญเสียความสามารถทางการแข่งขัน โครงสร้างทางเศรษฐกิจที่ผลิตสินค้าและบริการที่มีมูลค่าต่ำ ซึ่งเป็นเหตุที่ทำให้คนไทยจน และก้าวไม่พ้นจากประเทศรายได้น้อย” อดีตรองนายกรัฐมนตรี กล่าว และว่า ปัญหาเหล่านี้รัฐบาลต้องจัดการให้ได้ ทำควบคู่กับการสร้างการเชื่อมโยงทางคมนาคม

และเมื่อรัฐบาลตัดสินใจดำเนินโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน 2 ล้านล้านบาท ศาสตราพิชาน ดร.สมคิด กล่าวว่า ในฐานะผู้บริหารประเทศต้องแน่ใจ การลงทุนเหล่านี้ไม่ใช่มาทดแทน หรือมาทำให้การลงทุนมิติอื่นๆ ถูกบั่นทอนลงไป หรือหดหายไป

“รัฐบาลมีหน้าที่เร่งด่วนต้องปฏิรูประบบการเกษตรให้ทันสมัย พัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่นให้เข้มแข็งให้ประชาชนมีรายได้สูงขึ้น เร่งลงทุนด้านทรัพยากรมนุษย์เพื่อให้ในอนาคตเราสามารถคิด ทำ สิ่งที่มีมูลค่าสูงขึ้น ฉะนั้น เรื่องนี้รัฐบาลต้องคิดอ่านล่วงหน้าจะลงทุนในอุตสาหกรรมไหนบ้าง เพื่อให้เส้นทางคมนาคมที่คิดไว้ เกื้อกูลกัน เชื่อมโยงให้เกิดประโยชน์สูงสุด มิเช่นนั้น Connectivity ก็จะไม่มีความหมาย”

อดีตรองนายกรัฐมนตรี กล่าวอีกว่า เมื่อมีการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน 2. รัฐบาลต้องดูแลไม่ให้เกิดความเสี่ยงภัยทางการเงินการคลังด้วย เพราะมีโอกาสอยู่บ้างที่จะเบี่ยงเบนจากที่รัฐคาดการณ์ไว้ ด้วยเศรษฐกิจโลกมีปัญหา การส่งออกของไทยติดลบ การลงทุนในประเทศไม่กระเตื้อง เป็นต้น

“นายกรัฐมนตรีต้องปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจของประเทศ ปฏิรูปเรื่องการเกษตร พยายามยกระดับการผลิตและบริการ หากคิดจะลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน สิ่งนี้ต้องขับเคลื่อนให้ได้ 7-10 ปี และเริ่มทำกันตั้งแต่วันนี้ ไม่เช่นนั้นแม้เม็ดเงินอาจจะประคอง GDP ให้อยู่ได้ในอนาคต แต่เมื่อใดเม็ดเงินหมด โครงสร้างต่างๆ ไม่ได้เปลี่ยน วันนั้นเราก็จะเห็นการทรุดต่ำของเศรษฐกิจไทย”

สำหรับหน้าที่ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังนั้น ศาสตราพิชาน ดร.สมคิด กล่าวว่า ต้องปฏิรูปการคลังอย่างจริงจัง ซึ่งไม่ใช่การลดภาษีนิติบุคคลให้ภาคเอกชน จนทำให้รายได้จากภาษีของภาครัฐน้อยลง  รวมถึงการปฏิรูประบบงบประมาณด้วย

อดีตรองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงประเด็นที่ 3. ความไว้เนื้อเชื่อใจจากภาคสาธารณะ (trust) ที่เมื่อไหร่หากความไว้เนื้อเชื่อใจจากภาคสาธารณชนไม่มี ก็จะมีอุปสรรคหลายอย่างตามมา เช่น โครงการรับจำนำข้าว

“การชนะเสียงในสภาฯ จะไม่มีความหมายเลย หากไม่มีเสียงประชาชนสนับสนุนโครงการใหญ่ๆ เหล่านี้ ดังนั้น การสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจให้เกิดขึ้น ทำได้โดยการแกะ 2 ล้านล้านบาทออกมาเป็นชิ้นๆ ให้ข้อมูลที่ครบถ้วน เช่น ทำอะไรบ้าง โครงการรถไฟความเร็วสูงไปเกื้อกูลประชาชนตรงไหน เกิดประโยชน์อย่างไร รวมถึงต้องทำให้มีความโปร่งใส”  อดีตรองนายกรัฐมนตรี กล่าว พร้อมเสนอแนะให้รัฐบาลหาผู้รับผิดชอบโครงการที่น่าเชื่อถือ มาช่วยดูแล กำกับ ประสานงาน จากนั้นสื่อสารไปสู่สาธารณชน

ทั้งนี้ ศาสตราพิชาน ดร.สมคิด กล่าวด้วยว่า หากการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน 2 ล้านล้านบาท มีข้อมูลที่เปิดเผย โปร่งใส มีประโยชน์จริง เชื่อว่า จะไม่มีคนออกมาคัดค้าน

“อย่าลืมว่าเราเป็นประเทศจน ทรัพยากรมีจำกัด เราต้องคิดอย่างคนจน  โดยเฉพาะวิสัยทัศน์ของผู้บริหารประเทศคำว่า รอบคอบสำคัญ และต้องมีความรับผิดชอบต่อคนทั้งประเทศ ไม่ใช่รับผิดชอบต่อคนใดคนหนึ่ง ต้องรู้จักคำว่าพอเพียงดี พอเพียง ไม่เอาประเทศไปเสี่ยง”

การสร้างความชอบธรรมทางการเมือง และการรักษาอำนาจ !!?


ศ.ดร.ลิขิต ธีรเวคิน,
ราชบัณฑิต ผู้อำนวยการโครงการปริญญาเอก
วิทยาลัยสื่อสารการเมือง มหาวิทยาลัยเกริก

เพื่อที่จะรักษาสภาพและระบบที่ผู้อยู่ในโครงสร้างอำนาจต้องการให้เกิดขึ้น ก็มีการตรากฎหมายเพื่อให้คนปฏิบัติตามโดยที่คนไม่มีส่วนในการตรากฎหมายนั้นเลย ซึ่งเข้าหลัก the rule by law และในบางกรณีการละเมิดต่อกฎเกณฑ์ที่ทางรัฐกำหนดขึ้นอาจจะใช้กฎหมายลงโทษที่รุนแรงที่เรียกว่า Draconian Law การใช้กฎหมายดังกล่าวนี้เป็นลักษณะของ the rule by law เพื่อที่จะรักษาไว้ซึ่งระบบที่ผู้อยู่ในอำนาจรัฐต้องการธำรงไว้

แต่ระบบที่มีความเชื่อ วัฒนธรรมและประเพณี อาจจะไม่สามารถอยู่ได้ตลอดไป จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องมีการเปิดโอกาสให้คนที่อยู่นอกกลุ่มผู้ใช้อำนาจรัฐ หรือผู้ช่วยเหลือผู้ใช้อำนาจรัฐ อันได้แก่ ผู้ปกครองบริหาร ได้มีโอกาสเข้าสู่ระบบโดยมีการขยับชั้นทางสังคม (social mobility) นั่นคือ การเปิดโอกาสให้เข้ามาดำรงตำแหน่งในองค์กรของรัฐ

ในกรณีของจีนเป็นระบบที่ยอดเยี่ยมที่สุด นั่นคือ การให้มีระบบสอบตั้งแต่ระดับ อำเภอ มณฑล และเมืองหลวง โดยคัดบุคคลที่มีความรู้ความสามารถด้วยการสอบเพื่อทำหน้าที่ดังกล่าว แต่ในขณะเดียวกันก็มีวิธีการที่จะกำหนดให้ผู้ทำหน้าที่สอบนั้นมีการถูกสั่งสอน กล่อมเกลาโดยสถาบันการศึกษา รวมทั้งการศึกษาด้วยตนเองให้มีค่านิยมแบบเดียวกัน นั่นคือ การศึกษาลัทธิขงจื้อ ซึ่งหมายความว่า กว่าจะสอบได้อาจต้องใช้เวลาประมาณสิบๆ ปี ซึ่งก็มีการกลืนความคิดและบุคลิกของบุคคลดังกล่าวจนมั่นใจได้ว่า แม้จะผ่านการคัดเลือกมีอำนาจในระบบก็จะเป็นบุคคลที่มีลักษณะเดียวกันกับที่ผู้ใช้อำนาจรัฐต้องการ การเปิดโอกาสให้มีการขยับชั้นทางสังคมนี้ทำให้ระบบการเมืองการปกครอง และกลุ่มผู้ใช้อำนาจรัฐที่อาศัยความเชื่อ วัฒนธรรม และประเพณี ในการครองอำนาจของตนนั้นมีความชอบธรรมยิ่งขึ้น

โดยมีการออกกฎหมาย และการอ้างเหตุผล เพื่อสนับสนุนให้กลุ่มบุคคลที่จะเข้ามาอยู่ในระบบที่เรียกว่า legal-rational authority ตามที่ แม็คกซ์ เวเบอร์ ได้กล่าวไว้ เมื่อผู้ใช้อำนาจรัฐสามารถกุมอำนาจรัฐโดยสร้างความชอบธรรมจากเครื่องมือสำคัญคือ การสร้างความเชื่อ วัฒนธรรม และประเพณี รวมทั้งการเปิดโอกาสให้มีการขยับชั้นทางสังคมเพื่อป้องกันมิให้มีการต่อต้านระบบ เพราะผู้ที่อยู่ใต้ปกครองก็มีโอกาสเข้าเป็นผู้ปกครองย่อมจะทำให้ระบบดังกล่าวนั้น แม้จะไม่เสมอภาคตั้งแต่ต้น แต่ก็เป็นระบบที่เปิดโอกาสให้คนที่สถานะต่ำกว่าเข้ามาอยู่ในระบบได้ ความสมบูรณ์ของระบบจึงเกิดขึ้น และสามารถดำรงอยู่ได้เป็นระยะเวลายาวนาน 4-5 พันปี

แม้ระบบดังกล่าวจะเป็นระบบที่มีเหตุมีผล เป็นระบบที่เปิดโอกาส แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าโอกาสที่เปิดนั้นเป็นโอกาสจำกัด เพราะผู้ที่จะมีโอกาสศึกษานั้นมักจะเป็นลูกหลานของเจ้าของที่ดิน ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นตระกูลขุนนางที่อยู่ในระบบการปกครอง ชาวนา ช่างฝีมือ และพ่อค้า แม้ระบบจะเปิดกว้างก็ยากที่จะก้าวข้ามไปสู่การเป็นบัณฑิตและเป็นขุนนางได้ แน่นอนย่อมมีจำนวนหนึ่งที่ประสบความสำเร็จแต่ก็ไม่ใช่เป็นปรากฏการณ์ทั่วไป

ในกรณีของระบบอื่น เป็นระบบที่พวกใครพวกมัน ญาติใครญาติมัน ไม่มีการสอบ และบางครั้งยังมีการกีดกันเสียด้วยซ้ำ เช่นกรณีของ ไทย ในสมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี คนที่จะฝากตัวเป็นมหาดเล็กต้องสืบเชื้อสายเสนาบดี นอกเหนือจากนี้ จะต้องมีคุณสมบัติพิเศษ คือ ต้องมีคุณวุฒิสี่ อธิบดีสี่ และคุณานุรูป ระบบเพิ่งเปิดให้ไพร่ฝากตัวเป็นมหาดเล็กสมัยพระพุทธเจ้าฟ้าจุฬาโลก เนื่องจากสงครามทำให้ผู้คนโรยราไป จึงจำเป็นต้องเปิดโอกาสให้ไพร่เข้ามาฝากตัวเป็นมหาดเล็ก เนื่องจากหาคนมาเป็นมหาดเล็กได้ยากยิ่งขึ้น แต่ขณะเดียวกันระบบของไทยนั้น นอกจากจะมีการสืบทอดอำนาจของผู้ปกครองโดยใช้กระบวนการราชาภิเษก โดยการสืบเชื้อสายหรือ traditional authority แต่ก็มีการใช้อำนาจรัฐ โดยการยึดอำนาจจากฝ่ายตรงกันข้าม ที่เรียกว่า การปราบดาภิเษก แปลว่าเป็นการใช้กำลังเข้ายึดอำนาจของผู้ปกครองคนก่อนเพื่อให้อำนาจเป็นของตน ในกรณีเช่นนี้มีลักษณะคล้ายกันกับการใช้กำลัง (force) เพื่อสถาปนาอำนาจรัฐใหม่เหมือนกับที่กล่าวมาเบื้องต้น

ในกรณีของจีนนั้น แม้จักรพรรดิ์จะอ้างอาณัติจากสวรรค์ แต่ก็มีการตรวจสอบพฤติกรรมของจักรพรรดิ์ โดยถ้าจักรพรรดิ์ไม่อยู่ในทำนองครองธรรม ข่มเหงบีฑาประชาราษฎร์ ปล่อยให้ขุนนางกังฉินครองแผ่นดิน ฉ้อราษฎร์บังหลวง ไม่ดูแลเอาใจใส่บ้านเมือง เขื่อนและฝายกั้นน้ำพัง สร้างความเดือดร้อนให้แก่ชาวนา เกิดโรคระบาด เกิดภัยพิบัติตามธรรมชาติ ก็จะมีการอ้างว่าอาณัติจากสวรรค์นั้นถูกถอนโดยสวรรค์ ประชาชนก็มีสิทธิ์จะยกพวกเข้าโจมตีวังของจักรพรรดิ์ ซึ่งมักจะนำโดยหัวหน้าขบวนการ เพื่อล้มจักรพรรดิ์คนเดิมและตนเองเข้าแทนที่โดยมีการสถาปนาราชวงศ์ใหม่ขึ้น ซึ่งในแง่หนึ่ง ก็คือ การปราบดาภิเษก โดยผู้เป็นฮ่องเต้คนใหม่ก็จะอ้างว่า ได้ก้าวมาสู่ตำแหน่งสูงสุด เนื่องจากอาญาสิทธิ์จากสวรรค์ หรืออาณัติจากสวรรค์
 
ที่กล่าวมาทั้งหมดจะเห็นได้ว่า กลยุทธ์ในการควบคุมอำนาจทางการเมือง หรือการครองอำนาจรัฐนั้น มีการใช้วิธีการต่างๆ มากมาย ที่สำคัญที่สุดก็คือ การสร้างความเชื่อ และการใช้วัฒนธรรม และประเพณี เพื่อสร้างความชอบธรรมในการครองอำนาจรัฐ แต่เมื่อสังคมเริ่มเปลี่ยนโดยเฉพาะอย่างยิ่งของยุโรป เกิดความขัดแย้งระหว่างกษัตริย์และขุนนาง จนนำไปสู่การทำข้อตกลงแบ่งอำนาจกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการกำหนดอำนาจในการจัดเก็บภาษีของกษัตริย์ นำไปสู่ Magna Carta หรือกฎบัตรใหญ่ ในปี ค.ศ.1215 จึงเริ่มต้นของการมีระบบการปกครองแบบประชาธิปไตย ซึ่งก็มีอุปสรรคและมีการนองเลือด แต่ผลสุดท้ายประชาชนเริ่มมีบทบาทเข้ามาเกี่ยวข้องกับอำนาจรัฐ ใช้เวลาทั้งสิ้นประมาณ 700 ปี จึงเกิดระบบการเมืองใหม่ขึ้นที่เรียกว่า ระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย โดยประชาชนมีสิทธิ์มีเสียง ที่มาแห่งอำนาจหรือความชอบธรรม ไม่ได้มาจากสวรรค์อีกต่อไป หากแต่มาจากอำนาจอธิปไตยของปวงชน (popular sovereignty)

การเกิดขึ้นของระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยเป็นทางเลือกสำคัญของมนุษย์ที่จะอยู่ภายใต้การปกครองของระบบที่ตนมีส่วนไม่ทางตรงก็ทางอ้อมด้วยการเลือกตัวแทนของตนเข้าไปอยู่ในรัฐสภา กลยุทธ์การครองอำนาจของผู้ใช้อำนาจรัฐแบบเดิมจึงต้องมีการแปรเปลี่ยนและออมชอมโดยการแบ่งอำนาจและการกระจายอำนาจ เช่น มีการกำหนดอำนาจให้มีการถ่วงดุลกันระหว่างนิติบัญญัติ บริหาร และตุลาการ การปกครองระหว่างรัฐบาลกลางและรัฐบาลท้องถิ่น ซึ่งมีสิทธิและอำนาจในการปกครองตนเอง
   
การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นนี้ทำให้กลยุทธ์ในการคุมอำนาจรัฐจะต้องแปรเปลี่ยนไป การอ้างอาญาสิทธิ์จากสวรรค์จึงต้องเป็นอำนาจอธิปไตยของปวงชน โดยปวงชนต้องมีสิทธิ์ในการยินยอมด้วยการหย่อนบัตรลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง ผลที่ตามมาจากการเปลี่ยนแปลงก็คือ ความเชื่อที่มีอยู่ดั้งเดิมนั้นว่ามนุษย์มีความเหลื่อมล้ำกันก็เปลี่ยนเป็นมนุษย์มีความเสมอภาคกัน โดยทุกคนเป็นบุตรของพระผู้ทรงมหิทธานุภาพ จึงมีความสัมพันธ์ในการเป็นมนุษย์ และนี่คือที่มาของสิทธิมนุษยชน ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ความเสมอภาคและสิทธิเสรีภาพ

นอกจากการเปลี่ยนแปลงในทางความคิดแล้ว การใช้วัฒนธรรมและประเพณีเพื่อให้คนยอมรับสถานะของตนโดยมีความเหลื่อมล้ำเป็นฐานนั้น ก็ได้มีการเปลี่ยนแปลง วัฒนธรรมอันใดที่ไม่สอดคล้องกับสิทธิขั้นมูลฐาน ที่กล่าวมาเบื้องต้นก็อาจมีการยกเลิกปรับเปลี่ยน เช่น การมีอภิสิทธิ์ของผู้ครองอำนาจรัฐก็จะถูกลดอภิสิทธิ์ลง ความสัมพันธ์ระหว่างผู้ปกครองและผู้อยู่ใต้ปกครองก็จะเปลี่ยนเป็นความสัมพันธ์ของผู้มีความเสมอภาคกันมากขึ้น การใช้อำนาจรัฐของผู้ครองอำนาจรัฐโดยประเพณีเดิมก็ต้องมีการร่วมกับอำนาจรัฐที่มาจากอธิปไตยของปวงชน เช่นในรณีของอังกฤษ เป็นต้น

ที่กล่าวมานี้จะชี้ให้เห็นว่ากลยุทธ์ในการครองอำนาจรัฐนั้นมีวิวัฒนาการมายาวนาน แต่ผลสุดท้ายก็ไม่สามารถจะรักษาสภาพเดิมได้เพราะมีการแปรเปลี่ยน และบางครั้งการแปรเปลี่ยนนั้นก็มีการนองเลือดและเสียชีวิตเช่นในกรณีของอังกฤษ แต่เมื่อเทียบกับกรณีของฝรั่งเศสในปี ค.ศ.1789 และรัสเซียในปี ค.ศ.1917 การเปลี่ยนแปลงระบบการเมืองการปกครองโดยมีกลยุทธ์ในการครองอำนาจรัฐนั้นมีการเปลี่ยนแปลงในการใช้ความรุนแรงที่เรียกว่าการปฏิวัติ โดยมีการปฏิวัติแบบถอนรากถอนโคน ซึ่งแตกต่างจากของอังกฤษ แม้ของอังกฤษจะมีการลงโทษโดยรัฐสภาให้ประหารชีวิตพระเจ้าชาร์ลส์ก็ตาม แต่ก็มีลักษณะที่ไม่รุนแรงเท่ากับฝรั่งเศสและรัสเซีย

กลยุทธ์การครองอำนาจในปัจจุบันเป็นกลยุทธ์ที่ต้องคำนึงถึงการได้อำนาจรัฐอย่างถูกต้องและมีความชอบธรรมโดยการอิงประชาชนเป็นหลัก นั่นคือ อำนาจอธิปไตยของปวงชน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าหลังจากได้อำนาจรัฐแล้วจะมีอำนาจสิทธิ์ขาด เพราะอำนาจอธิปไตยในปัจจุบันได้มีการแปรเปลี่ยนเป็นการเมืองภาคประชาชนมากขึ้น กล่าวคือ นอกจากประชาชนจะมีอำนาจในการเลือกตัวแทนของตนแล้ว ประชาชนยังมีสิทธิ์ที่จะเข้ามาเกี่ยวข้องกับการเมืองโดยมีส่วนร่วมโดยตรง ที่เรียกว่า participatory democracy ทำให้ผู้ครองอำนาจรัฐนอกจากจะต้องปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ที่กำหนดในรัฐธรรมนูญ กฎหมายต่างๆ และที่มีความชอบธรรมแล้ว ยังต้องเผชิญกับการเมืองภาคประชาชนที่เป็นการเมืองนอกเหนือจากระบบรัฐสภาและฝ่ายบริหารในทำเนียบรัฐบาล กลยุทธ์การครองอำนาจรัฐในปัจจุบันจึงเป็นสิ่งที่ต้องใช้ความพยายามเป็นพิเศษที่ให้สอดคล้องกับหลักนิติธรรม (the rule of law) มีความเป็นประชาธิปไตย มีผลงานอันเป็นที่ยอมรับของประชาชน เพื่อให้เกิดความชอบธรรมที่จะครองอำนาจ แต่ขณะเดียวกันก็ต้องพร้อมเผชิญกับการเมืองภาคประชาชนที่อาจจะไม่พอใจกับกิจกรรมบางส่วนของผู้ครองอำนาจรัฐที่มาอย่างถูกต้องตามกฎหมาย โดยประชาชนยังมีอำนาจที่จะประท้วง ต่อต้านนโยบายบางอย่างที่ตนไม่เห็นด้วยทั้งๆ ที่ตนได้มอบอำนาจในการตัดสินใจดังกล่าวด้วยการลงคะแนนเสียงไปแล้วก็ตาม

กระบวนการ และกลยุทธ์ในการครองอำนาจรัฐ จึงเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ ยากที่จะเรียนรู้ได้อย่างสมบูรณ์ นักวิชาการ หรือนักการเมือง ที่พยายามเสนอการครองอำนาจรัฐที่มีชื่อที่สุด คือ แมคเคียเวลลี โดยใช้เหลี่ยมคูทางการเมือง ซึ่งก็มีการวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นนัการเมือง หรือนักวิชาการ หรือนักคิด ที่มีแต่การใช้กลเม็ดในการรักษาอำนาจทางการเมือง เพื่อที่จะครองอำนาจรัฐจนละเลยความถูกต้องและศีลธรรม หรือกรณีของผู้นำจีนในสมัยโบราณก็มีกลยุทธ์ต่างๆ ของการเอาชนะฝ่ายตรงกันข้ามด้วยเล่ห์เหลี่ยมคูทางการเมืองมากมายคณานับยากที่จะกล่าวถึง การใช้อำนาจและการรักษาอำนาจรัฐด้วยกลวิธีต่างๆ ดังที่กล่าวมาแล้วนั้น จำเป็นต้องมีการปรับเปลี่ยนกับสถานการณ์ใหม่

ประเด็นที่ต้องพิจารณาก็คือ ผู้อยู่ในอำนาจรัฐจำเป็นต้องคำนึงถึงความยุติธรรม ความชอบธรรม ของผู้อยู่ใต้การปกครองด้วย ถ้าไม่มีการใช้อำนาจรัฐอย่างเด็ดขาดสังคมก็จะกลายเป็นอนาธิปไตย แต่ถ้ามีการใช้อำนาจจนเกินเลยก็จะถูกต่อต้าน การสร้างกลไกต่างๆ เพื่อรักษาอำนาจรัฐสามารถกระทำได้ในระดับหนึ่ง แต่ยากที่จะรักษาอำนาจรัฐได้ตลอดไป การเปลี่ยนแปลงทางการเมือง การเปลี่ยนแปลงของผู้ครองอำนาจรัฐ จึงเกิดขึ้นเป็นเรื่องปกติวิสัย

อย่างไรก็ตาม สิ่งซึ่งปฏิเสธไม่ได้ก็คือ อำนาจรัฐอันเป็นที่ยอมรับโดยสากลนั้นจะต้องเป็นอำนาจรัฐที่เอื้ออำนวยประโยชน์ของคนส่วนใหญ่ มีความยุติธรรม สิทธิเสรีภาพ มีความเสมอภาค มีการใช้หลักนิติธรรม คำนึงถึงศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์และสิทธิมนุษยชน มิฉะนั้นการครองอำนาจรัฐดังกล่าวก็ยากที่จะอยู่ได้อย่างถาวร และในแง่หนึ่งไม่มีอะไรที่อยู่อย่างถาวรตลอดไป ดังคำกล่าวที่ว่า ทุกอย่างย่อมมีการเปลี่ยนแปลง ยกเว้นกฎแห่งการเปลี่ยนแปลงŽ (Everything changes but change)

ที่มา.สยามรัฐ
////////////////////////////////////////////////////

ขอที่ยืนให้ ค้าปลีกรายเล็ก โลกนี้มีสองด้านเสมอ !!?


โดย พัฒนพันธุ์ วงษ์พันธุ์

สงกรานต์ที่ผ่านมา คนมีถิ่นฐาน ใช้ชีวิตในเมืองกรุงหรือละแวกใกล้เคียง เมื่อมีโอกาสเดินทางไปสัมผัสกับกลิ่นอายในต่างจังหวัด จะด้วยวัตถุประสงค์อะไรก็ตาม คงได้เห็นความเจริญเติบโตชนิดผิดหูผิดตา เรียกว่ากรุงเทพฯมีอะไร ต่างจังหวัดก็ไม่น้อยหน้า

ศูนย์การค้าใหญ่ ค้าปลีกสารพัดรูปแบบ โชว์รูมรถยนต์ของทุกค่าย โรงภาพยนตร์มัลติเพล็กซ์ ร้านวัสดุก่อสร้างยักษ์ไม่เว้นกระทั่งโรงพยาบาลชื่อดัง ๆ ที่เราคุ้นหู โดยเฉพาะหัวเมืองในภาคอีสานกลายเป็นแหล่งค้าขายสำคัญ แต่ละจังหวัดคึกคักขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เนื่องจากกำลังซื้อของภาคเกษตรกรรรมมีที่มาจากผลผลิตราคาสูงขึ้น

บวกกับนโยบายค่าแรง 300 บาท เกิดเป็น "อำนาจซื้อใหม่"ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้น

วิเคราะห์กันว่า ในอดีตรากหญ้า ผู้ใช้แรงงานของไทยยังฐานะฝืดเคือง หาเช้ากินค่ำ แต่เมื่อมีรายได้เพิ่มขึ้น จึงไม่มีรีรอที่จะใช้จ่าย

ผลจากการเคลื่อนทัพของทุนส่วนกลาง เฉพาะโคราช ขอนแก่น และอุดรธานี รถเครนก่อสร้างขวักไขว่เต็มไปหมดเพื่อเร่งงานการก่อสร้างทุกรูปแบบคอนโดมิเนียม บ้านจัดสรร ศูนย์การค้า ไม่รวมถึงสาธารณูปโภค ถนนหนทาง และการก่อสร้างของภาครัฐต่าง ๆ

"เพราะการเติบโตไม่ได้จำกัดแค่ในเมืองใหญ่อีกต่อไป ทำให้ผู้ประกอบการทุกคนเดินออกไปขยายสาขาต่างจังหวัดมากขึ้น ขณะที่กำลังซื้อต่างจังหวัดก็เพิ่มการขยายตัวขึ้นเช่นกัน" คือบทสรุปของผู้บริหารธุรกิจยักษ์ใหญ่รายหนึ่งที่สะท้อนภาพการไหลบ่าของทุนจากส่วนกลาง

จากที่ผ่านมาคัมภีร์สำคัญที่ภาคธุรกิจไทยท่องจนขึ้นใจเสมอมา พร้อมเข้าไปลงทุนทุกแห่งที่เมื่อมีกำลังซื้อเกิดขึ้นแล้วเท่านั้น
เมื่อติดตามความเคลื่อนไหวผู้ประกอบการระดับแถวหน้า จะพบว่าสัดส่วนการลงทุนในต่างจังหวัดช่วงที่ผ่านมา มากกว่ากรุงเทพฯและปริมณฑลเป็นเท่า ๆ ตัว สัดส่วนการลงทุนดังกล่าวมีแต่จะเพิ่มขึ้น

สมาคมผู้ค้าปลีกไทยซึ่งมีสมาชิกเป็นผู้ประกอบการหลัก ๆ ทั้งเซ็นทรัล เดอะมอลล์ บิ๊กซี แม็คโคร เทสโก้ โลตัส ฯลฯ ชี้ว่า ธุรกิจค้าปลีกค้าส่งจะมีสัดส่วนการเปิดสาขาในกรุงเทพฯและต่างจังหวัดเพิ่มจาก 40 : 60 ในปัจจุบัน เพิ่มเป็น 38 : 62 ในอีก 3 ปีข้างหน้า

เป็นไปในทิศทางเดียวกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ระบุว่า การขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในปี 2555 ที่ผ่านมา มีแรงส่งสำคัญมาจากการขยายตัวของการบริโภคและลงทุนในระดับภูมิภาค

ล่าสุดยอดขายไตรมาสแรกของยักษ์ใหญ่อย่างบิ๊กซี

เทสโก้ โลตัส เติบโตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งแน่นอนว่ากำลังซื้อในต่างจังหวัดเป็นเฟืองจักรที่สำคัญ

แต่อย่างที่บอกไว้ตั้งแต่ต้น โลกนี้มีสองด้านเสมอ

ในขณะที่ทัพการลงทุนจากส่วนกลางดาหน้าสู่ภูมิภาค ด้านหนึ่งหมายถึงการเปลี่ยนผ่านสู่ความทันสมัย เป็นการกระจายความเจริญสู่ท้องถิ่น สร้างความมีชีวิตชีวาให้เกิดขึ้น ก่อให้เกิดการสร้างงาน ได้ทำงานใกล้ ๆ สถานที่พำนักอาศัย

แต่อีกด้านหนึ่งหมายถึงว่า ปลาใหญ่ที่มีทุนทรัพย์มากกว่า มีความรู้โนว์ฮาว บริหารงานทันสมัย ย่อมคืบคลานแย่งชิงแหล่งอาหารปลาตัวที่เล็กกว่าด้วยเช่นกัน

หลายปีก่อนเราเคยชอกช้ำจากค้าปลีกยักษ์ใหญ่อาศัยช่องว่างกฎหมาย บุกเปิดสาขาทั่วทุกหย่อมหญ้า ส่งผลให้

ยี่ปั๊ว-โชห่วย-ค้าปลีกท้องถิ่น ล้มหายเป็นจำนวนมาก กระทั่งปัจจุบันมียักษ์ใหญ่ไม่กี่รายเท่านั้นที่ครอบครองยอดขายเป็นแสน ๆ ล้าน

ยักษ์ใหญ่เหล่านี้มีแต่จะเติบโตและรุกคืบต่อไปไม่หยุดยั้ง เกิดขึ้นสด ๆ ร้อน ๆ "เซเว่นอีเลฟเว่น" เพิ่งจะซื้อยักษ์ใหญ่ค้าส่ง "แม็คโคร" ผงาดขึ้นเป็นเบอร์ 1 ในวงการค้าปลีกไทยเต็มตัว เรื่องนี้ถือเป็นวัฏจักรธุรกิจที่เกิดขึ้นได้ทั่วโลก ขออย่างเดียว

อย่าบุกจนเพลิน จนไม่เหลือที่ยืนให้รายเล็กรายน้อยก็แล้วกัน

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
///////////////////////////////////////////////////////

ฤๅ ต้องพึ่งบริโภคอย่างเดียว !!?


กิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ออกมายอมรับอีกครั้งว่า การส่งออกปีนี้จะขยายตัวไม่ถึง 9% จะทำอย่างไรได้ล่ะครับ เมื่อข้อเท็จจริงเป็นอย่างนี้

ดูเหมือนว่าความสามารถในการแข่งขันการส่งออกของเราลดลง ตั้งแต่เกิดน้ำท่วมใหญ่เมื่อปลายปี 2554 ที่พืชไร่ พืชสวน นาข้าว โรงงานต่างๆ ถูกน้ำท่วมหนักเป็นเดือน ทำให้ความสามารถในการแข่งขันการส่งออกของไทยลดลง ควบคู่ไปกับเศรษฐกิจโลกหดตัวซ้ำอีกทำให้สินค้าไทยขายไม่ออก
   
ความจริงแล้วนอกจากปัญหาเหล่านี้จะเป็นอุปสรรคในการส่งออก เรายังมีอุปสรรคใหญ่ๆ หลายรายการที่เกิดขึ้นเพราะนโยบายรัฐบาล อาทิ การปรับขึ้นค่าแรงงานขั้นต่ำทั่วประเทศ 300 บาทต่อวัน นโยบายอุดหนุนภาคเกษตรที่ปลูกข้าวแบบสุดโต่ง รับจำนำข้าวเปลือกนาปรังและนาปีตันละ 15,000 บาท ทำให้ราคาข้าวขายส่งออกต้องได้ราคาถึงตันละ 800 ดอลลาร์สหรัฐฯ ถึงจะคุ้มกับการลงทุนและการรับจำนำของรัฐบาล สุดท้ายข้าวเราจึงขายส่งออกได้ช้า และขาดทุนเท่าไหร่เราก็ไม่ทราบ เพราะเป็นการขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ ข้อมูลจึงเป็นความลับ ขณะที่ราคาซื้อขายในตลาดโลกมีตั้งแต่ 400-500 กว่าดอลลาร์สหรัฐฯเท่านั้น
   
สินค้าที่ส่งออกได้ดีก็เห็นจะมีแต่รถยนต์เท่านั้น ซึ่งขณะนี้เราผลิตและส่งออกได้เดือนหนึ่งเกิน 100,000 คันไปแล้ว โดยเดือนมีนาคม 2556 ทำสถิติใหม่ในรอบ 20 ปีที่ไทยทำการส่งออกได้มากเกินกว่าทุกเดือนที่ผ่านมา โดยส่งออกได้ถึง 102,742 คัน ทำลายสถิติสูงสุดโดยคร่าว ๆ แล้วปีนี้คงส่งออกไม่น้อยกว่า 1 ล้านคันแน่นอน แต่อย่างว่าล่ะครับ แม้จะส่งออกได้ดีก็ไม่ถึงกับเป็น "ฮีโร่" ที่จะช่วยให้ตัวเลขการส่งออกโดยรวมกระเตื้องขึ้นได้มากนัก
   
ในอีกด้านหนึ่งสังเกตให้ดี สินค้าอุปโภคบริโภคภายในประเทศ จะมีสินค้าที่ผลิตจากโรงงานอุตสาหกรรมเพื่อนบ้านเขามา "แทรกตัว" วางขายบนชั้นวางขายสินค้าแล้ว ถ้าแต่ก่อนเหลือประมาณ 6-7 ปีที่แล้วจะเป็นสินค้าประเภทเครื่องใช้ไฟฟ้า อาทิ เครื่องเสียง ทีวี เป็นต้น แต่ปัจจุบันมีสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าหลากหลายชนิดเพิ่มขึ้นในตลาดเมืองไทย และยังลามไปถึงสินค้าอุปโภคบริโภค ตั้งแต่ยาสีฟัน ยาสระผม อื่นๆ เป็นต้น
   
ปกติแล้วประเทศไทยเปลี่ยนโครงสร้างจากการผลิตเพื่อทดแทนการนำเข้า ปัจจุบันเราผ่านพ้นสภาพนั้นมานานแล้ว แล้วกำลังจะผ่านพ้นการผลิตสินค้าเพื่อการส่งออกเช่นเดียวกัน นั่นหมายถึงว่าเรากำลังจะเผชิญกับการแข่งขัน ด้านการผลิตสินค้าอย่างรุนแรงกับประเทศเพื่อนบ้าน อย่าง เวียดนาม มาเลเซีย อินโดนีเซียและจีน
   
มองในอีกด้านหนึ่ง เราได้เห็นความสำเร็จของการค้าโลกกำลังจะบรรลุเป้าหมายในแผ่นดินไทย คือ ปล่อยให้สินค้าที่ราคาถูกกว่า คุณภาพด้อยกว่า เข้ามาแข่งขันในตลาด และแน่นอน เรื่องของคุณภาพใครๆ ก็สามารถพัฒนาได้ แล้วเราในฐานะผู้ผลิตจะแข่งขันกับเขาได้อย่างไร แต่ก็ยังดีเมื่อมองไปที่ผู้บริโภคแล้วจะได้เปรียบ เพราะได้สินค้าที่มีราคาถูกกว่านั่นเอง
   
ไม่มีประโยชน์อันใดที่จะไปทัดทานกับการปรับโครงสร้างการผลิตที่กำลังเกิดขึ้น ไม่มีประโยชน์อันใดจะไปปกป้องค่าเงินบาทด้วยการแทรกแซง เราต้องปล่อยให้เป็นไปตามสภาพที่ควรจะเป็น ไม่เช่นนั้นความสูญเสียครั้งใหญ่ของประเทศชาติจะเกิดขึ้นมาอีกครั้ง ให้ปรับตัวสู่สิ่งใหม่ๆ ดีกว่าเพราะเศรษฐกิจมีขึ้นมีลง วัฏจักรแบบนี้เคยเห็นมาแล้วครั้งหนึ่งในช่วงชีวิต

ที่มา.หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ
///////////////////////////////////////////////

ทนง พิทยะ แนะธนาคารแห่งประเทศไทย เร่งตัดสินใจสกัดทุนไหลเข้า !!?


ธปท.,ลดดอกเบี้ย,เงินทุนไหลเข้า,ทนง พิทยะ
ชี้มีทางเลือกระหว่างออกมาตรการระยะสั้นหรือลดดอกเบี้ย ดีกว่าปล่อยให้บาทแข็งกระทบส่งออก

นายทนง พิทยะ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวถึงสถานการณ์ค่าเงินบาทที่แข็งค่าว่าขณะนี้คงอยู่ที่การตัดสินใจของธนาคารแห่งประเทศไทยว่าจะยอมปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลงตามที่ตนเองและผู้ที่เกี่ยวข้องได้เสนอมาในระยะเวลาหลายเดือนก่อนหน้านี้หรือไม่ ซึ่งมองว่าการทยอยลดดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% ต่อเดือนและดูผลกระทบที่เกิดจากเงินทุนไหลเข้ามีความเหมาะสมที่จะดำเนินการได้

อย่างไรก็ตาม ต้องมีความเข้าใจการทำงานของ ธปท.ว่าการทำงานของ ธปท.ต้องคำนึงถึงเป้าหมายเงินเฟ้อ คือเป็นตัวเลขหลักที่ ธปท.ใช้และได้รับอนุมัติจากรัฐบาล โดยขณะที่เป้าหมายเงินเฟ้อที่ ธปท.ตั้งไว้คือ 0.5 - 3% ดังนั้นการที่อัตราเงินเฟ้อยังอยู่ที่ระดับ 1% เศษๆ ธปท.ก็เห็นว่าสถานการณ์ไม่น่าวิตกมากนัก แม้ ธปท.จะยอกมรับว่าค่าเงินบาทแข็งค่ามากกว่าประเทศอื่นๆในภูมิภาคแต่ก็ยังไม่เห็นว่าผู้ว่าการ ธปท.จะตัดสินใจอย่างไร

นายทนง กล่าวว่า หากไม่มีการลดดอกเบี้ยก็ถึงเวลาที่จะต้องหามาตรการออกมาใช้ เพราะการที่จะไปพยุงค่าเงินบาท และขาดทุนอยู่เรื่อยๆไม่เหมาะก็ต้องใช้นโยบายอย่างอื่นบ้าง ต้องไปดูว่าประเทศอื่นๆ เช่น มาเลเซีย สิงคโปร์ และจีน ว่าเขาใช้มาตรการอะไรทำอย่างไร โดยมาตรการควบคุมแม้จะออกมาเป็นระยะสั้นก็จำเป็น เพราะเป็นการส่งสัญญาณว่าเราจะไม่ยอมให้ค่าเงินบาทแข็งเกินไป

"การคุมคือการคุมอะไรที่เก็งกำไรเกินควร การคุมฟองสบู่ไม่ให้เกิดขึ้น แต่การคุมอาจไม่ต้องทำก็ได้ เพราะมันอยู่ที่ตัวเอง มันอยู่ที่อัตราดอกเบี้ยที่สูงเกินไป ซึ่งดอกเบี้ยต่ำลงก็เป็นผลดีต่อนักธุรกิจและผู้ประกอบการ ส่วนคนที่ฝากเงินก็มีทางเลือกอื่นๆ มากกว่าการฝากเงินในบัญชี ซึ่งกองทุนรวมก็มีการเติบโตมากขึ้นจนอยู่ที่ 60% แสดงว่าคนที่ฝากเงินในปัจจุบันมีความรู้มากขึ้น"นายทนงกล่าว

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
////////////////////////////////////////////////

วันพุธที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2556

ยิ่งลักษณ์-เยาวภา-พายัพ 3 พี่น้อง ตระกูลชิน !!?


เก้าอี้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในประเทศไทยหลายพื้นที่ หลายจังหวัด ล้วนถูกผูกขาดโดยตระกูลใหญ่ทางการเมือง

ใน อดีตหากพูดถึงตระกูล "ฉายแสง" ย่อมปรากฏภาพจังหวัดฉะเชิงเทรา ขานเรียกตระกูล "เทียนทอง" ย่อมนึกถึงจังหวัดสระแก้ว แม้กระทั่งตระกูลใหญ่อย่าง

"ชินวัตร" ก็เห็นชัดว่าในรอบ 12 ปี เลือกตั้ง ส.ส. 4 ครั้ง ก็ถือครองพื้นที่ส่วนใหญ่ของจังหวัดเชียงใหม่ได้สำเร็จทุกครั้ง

ชัด ยิ่งกว่าชัด เมื่อพบว่าคณะรัฐมนตรีชุดที่ 60 และ ส.ส.ชุดที่ 24 ของประเทศ ภายใต้การนำทัพของ "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" นายกรัฐมนตรี ต่างก็ปรากฏรายชื่อพี่-น้องตระกูลชินวัตรถึง 3 คน

เป็น 3 พี่น้องที่ถูกตีตราว่าได้รับภารกิจหลัก ต่างกรรมต่างวาระจากคำบัญชาของพี่ชาย-พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ตามตำราแคมเปญหาเสียง "ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ"

"ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" น้องสาวคนเล็กของตระกูล ผู้ที่ยินยอมถอดคราบนักธุรกิจก้าวเข้าสู่สนามการเมือง ถูกฝ่ายตรงข้ามโจมตีว่าเป็น "นอมินี" ของ พ.ต.ท.ทักษิณ บัดนี้นั่งเก้าอี้ประมุขฝ่ายบริหารมานานกว่า 1 ปี 8 เดือน

ทั้ง หลักการ-นโยบาย "สไตล์ทักษิณ" ล้วนถูกถ่ายทอดผ่านสายโลหิตถึง "ยิ่งลักษณ์" โดยเฉพาะโครงการประชานิยม และการลงทุนอภิมหาโปรเจ็กต์ต่าง ๆ

และ ด้วยฝีมือการบริหารของ "ยิ่งลักษณ์" บวกกับเพศสภาพความเป็นผู้หญิง ทำให้หลายสิ่งที่ พ.ต.ท.ทักษิณ เคยคิด แต่ไม่ได้ทำ กลับเกิดขึ้นในยุคของน้องสาว

ถึงขั้นที่ พ.ต.ท.ทักษิณเคยออกปากชม น.ส.ยิ่งลักษณ์หลายต่อหลายครั้งว่า บริหารงานด้านการเมืองได้ดีกว่าที่ตัวเองเคยทำ

"เยาว ภา วงศ์สวัสดิ์" ที่รู้จักกันในนาม "เจ๊แดง" หรือหัวหน้ากลุ่มจังหวัด ส.ส.ภาคเหนืออย่าง "วังบังบาน" ก็กำลังจะก้าวเข้าเป็นผู้แทนฯ สมัยที่ 3 ในสภาผู้ทรงเกียรติ

เคยถูกจองจำในคุกการเมืองกว่า 5 ปี ในฐานะสมาชิกบ้านเลขที่ 111 แต่ชื่อของ "เยาวภา" ก็ไม่เคยหลบหายไปจากแสงไฟทางการเมือง โดยเฉพาะบารมีหลังเก้าอี้รัฐมนตรีในยุคของน้องสาว

ทั้งเก้าอี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวง รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวง และรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ต่างก็มี "ร่างทรง" ของ "เจ๊แดง" ปรากฏอยู่ในทุกตำแหน่งที่กล่าวถึง

ดังนั้นการกลับคืนสู่สนามการเมือง ครั้งนี้ของ "เยาวภา" จึงถูกคาดหวัง-ตั้งเป้าหมายมากไปกว่าการดำรงตำแหน่ง ส.ส.เขต 3 จังหวัดเชียงใหม่ แต่ถูกมองไว้เป็นผู้นำ ส.ส.ในฝ่ายนิติบัญญัติ

ทั้ง ส.ส.สังกัดพรรคเพื่อไทย เด็กในคาถาวังบัวบาน แม้กระทั่งฝ่ายค้านต่างเห็นตรงกันว่า หลังจากนี้เป็นต้นไป ส.ส.ฟากรัฐบาล ภายใต้บารมีของ "เจ๊แดง" จะอยู่ในระเบียบวินัย ไม่แตกแถว ไม่โดดประชุม และไม่นอกลู่นอกทาง

โดยเฉพาะในจังหวะที่สภากำลังเข้าสู่โหมดพิจารณา ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2557 และร่าง พ.ร.บ.กู้เงินเพื่อการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน ที่เคาะลูกคิดเบ็ดเสร็จมีมูลค่ารวมมากกว่า 4 ล้านล้านบาท

ทุกบาททุก สตางค์ล้วนมีโอกาสเสี่ยงที่จะถูกตัด-ต่อในชั้นกรรมาธิการ ฉะนั้น ส.ส.ฝั่งรัฐบาลจำเป็นต้องมีระเบียบในการโหวต และแสดงความเห็นในทางเดียวกัน เพื่อไม่ให้แตกแถว

จึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลก หากพรรคและ พ.ต.ท.ทักษิณจะส่งสัญญาณร้องขอให้ "เยาวภา" หวนคืนสู่ตำแหน่ง ส.ส.ทำหน้าที่ "คลุกวงใน" ท่ามกลางสนามรบในสภา

ด้าน "พายัพ ชินวัตร" เป็นบุตรคนที่ 6 ของตระกูล มีศักดิ์เป็นน้องชาย พ.ต.ท.ทักษิณ และนางเยาวภา เป็นพี่ชายของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ เป็นผู้ที่ตัดสินใจก้าวตามรอยเท้านักการเมืองตามพี่ชายเมื่อการเลือกตั้งปี 2548 แทนที่เก้าอี้ของพี่สาวที่เลื่อนไปเป็น ส.ส.บัญชีรายชื่อให้กับพรรคบทบาทล่าสุดทางการเมืองยังคงดำรงตำแหน่งเป็น ประธานภาคอีสาน

กระทั่งพรรคปรับแผนบริหารจากระบบภาคเข้าสู่ระบบโซน ชื่อของ "พายัพ" ก็พ้นสภาพการเป็นประธานภาคโดยอัตโนมัติ และแม้จะมีความพยายามเคลื่อนไหวขอทวงคืนตำแหน่ง แต่สุดท้ายก็ไม่สำเร็จดังที่หวัง

โดยคอการเมืองเชื่อว่าเหตุที่เขา ไร้ซึ่งอำนาจบารมีจนถึงวันนี้ ล้วนมีที่มาจากฝีมือของ พ.ต.ท.ทักษิณที่ไม่ปลื้มผลงาน แต่คนวงในพรรคเพื่อไทยต่างเชื่อตรงกันว่าสายสัมพันธ์ของพี่น้องร่วมสายโลหิต ย่อมไม่มีวันตัดขาด

ณ เวลานี้ ทั้ง "เยาวภา-ยิ่งลักษณ์" ต่างต้องรับบทบริหารงานการเมืองทั้งในฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติ ส่วน "พายัพ" ยังคงมีชื่ออยู่ในพรรคเพื่อไทย เพียงแต่ไร้ซึ่งตำแหน่ง-อำนาจที่ยังคงเฝ้ารอเวลาที่เหมาะสม

เป็น 3 พี่น้องยังคงอยู่คู่พรรคเพื่อไทย และอยู่ในสนามรบ สู้ศึกแทน "ทักษิณ" ในเวลานี้

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
/////////////////////////////////////////////////////

วันอังคารที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2556

โต้งกับป๋า. ทางเลือก หอเปรมดนตรี ที่ไม่ต้องเรี่ยไร !!?


โบราณสอนไว้นักหนา “ตั้งแง่เกินไป มันไม่งาม” ยิ่งหากเป็นการตั้งแง่เพราะหวังผลทางการเมือง หรือเป็นการเดินเกมทางการเมือง จนละเลยซึ่งผลประโยชน์ของประเทศชาติ นั่นยิ่งไม่งามเข้าไปใหญ่
อย่างกรณีที่การจัดงาน “คอนเสิร์ตเปรมดนตรี” ณ ห้องแอทธินี คริสตัน ฮอลล์ โรงแรมพลาซ่าแอทธินี รอยัล เมอริเดียน ซึ่งจัดขึ้นโดยวิทยาลัยดุริยางคศิลป์ มหาวิทยาลัยมหิดล ร่วมกับมหาวิทยาลัยทักษิณ มูลนิธิสวนประวัติศาสตร์พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ เพื่อหารายได้สร้าง “หอเปรมดนตรี”

แนวคิดในการก่อสร้างหอเปรมดนตรีถือเป็นเรื่องที่ดี เพราะมีความตั้งใจที่จะออกแบบให้เป็นเสมือนเครื่องหมายของความศิวิไลซ์ใหม่สำหรับชุมชนภาคใต้ ด้วยการออกแบบให้เป็นหอแสดงดนตรีที่มีระบบเสียงที่ดีที่สุด และแสดงดนตรีได้ทุกรูปแบบ โดยที่จะสร้างขึ้นในสวนสาธารณะ สวนประวัติศาสตร์ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ จังหวัดสงขลา บรรจุผู้ชมได้ 400 ที่นั่ง

ออกแบบโดย นายชาตรี ลดาลลิตสกุล สถาปนิกผู้เชี่ยวชาญด้านหอแสดงดนตรีชั้นนำของประเทศ โดยต้องการสร้างหอแสดงดนตรีสมัยใหม่ ที่เรียบง่ายแต่ทรงพลัง เชื่อมโยงถึงบุคลิกภาพของ พล.อ.เปรม

การจัดคอนเสิร์ตในครั้งนี้ ก็เพื่อที่จะรณรงค์หารายได้เพื่อสมทบทุนสร้าง ซึ่งทาง พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษได้เดินทางมาร่วมงานแถมยังขึ้นเวทีเล่นเปียโนและร้องเพลงในฝัน กับเพลง Somewhere ซึ่งเป็นเพลงที่พล.อ.เปรมแต่งเองอีกด้วย

งานนี้เสียดายที่ นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เกิดป่วยด้วยอาการอาหารเป็นพิษ(อย่างกระทันหัน) ก็เลยไม่ได้ไปร่วมงาน มีแต่เพียง นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง ในฐานะรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นตัวแทนรัฐบาลไปร่วมงาน นอกเหนือจากความเป็นคนที่สนิทสนมกับป๋า จนถูกมองว่าเป็นเด็กสายป๋ามาตลอด

และกลายเป็นประเด็นด้วยเช่นกันว่า ทั้งๆที่สนิทกับพล.อ.เปรม ทำไมนายกิตติรัตน์ จึงปล่อยให้การสร้างหอเปรมดนตรีต้องมาใช้การะดมทุนก่อสร้างเป็นหลักเช่นนี้ ทั้งๆที่มีงบประมาณที่จะสร้างหอประชุมขนาดใหญ่ทางภาคใต้ได้อยู่แล้ว

เพราะนายกิตติรัตน์ จะต้องจำได้เป็นอย่างดีว่า เมื่อครั้งรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ ได้มีการอนุมัติงบประมาณโครงการไทยเข้มแข็ง ให้จัดสร้างศูนย์ประชุมและนิทรรศการนานาชาติภูเก็ต มูลค่าประมาณ 2,600 ล้านบาท เอาไว้โดยมีกระทรวงการคลังเป็นผู้รับผิดชอบดูแลโครงการ ซึ่งตอนนั้น นพ.พฤฒิชัย ดำรงรัตน์ เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เป็นคนที่ลงไปดูพื้นที่ก่อสร้างจำนวน 150 ไร่ บริเวณหาดไม้ขาว

โดยตอนนั้นได้วางเป้าหมายให้ศูนย์ประชุมดังกล่าวเป็นสถานที่ใช้จัดประชุมระดับนานาชาติในภูมิภาคอาเซียน จะมีสิ่งอำนวยความสะดวกแบบครบวงจร รองรับผู้เข้าร่วมประชุมประมาณ 1.6 ล้านคนต่อปี โดยจะมีอาคารศูนย์ประชุมมีห้องประชุมขนาดใหญ่จุได้ถึง 4,000 คน ขนาดกลางจุได้ 2,500 คน และห้องประชุมขนาดเล็ก 4 ห้อง ๆ ละ 500 คน และห้องประชุมขนาดย่อย

นอกจากนี้ ยังมีอาคารจัดนิทรรศการ โรงแรมระดับ 4 ดาว เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวและผู้เข้าร่วมประชุม 350 ห้อง และมีพื้นที่จอดรถยนต์และรถบัสได้ถึง 1,000 คัน

เป้าหมายเพื่อส่งเสริมธุรกิจจัดการประชุม การท่องเที่ยว การแสดงนิทรรศการและสร้างรายได้ให้กับท้องถิ่น จะสามารถดึงนักท่องเที่ยวเข้ามาภูเก็ตได้ถึง 2 ล้านคนต่อปี และสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจมีเงินหมุนเวียนถึง 20,000 ล้านบาท

แต่สุดท้ายโครงการนี้ก็แท้ง เพราะครม.รัฐบาลเพื่อไทย ได้มีมติเมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2555 ยกเลิกงบประมาณในการก่อสร้างศูนย์ประชุมและแสดงนิทรรศการนานาชาติภูเก็ต ซึ่งกระทรวงการคลังทั้งในฐานะเป็นเจ้าของที่ดินราชพัสดุ เป็นคนดูแลโครงการ รวมทั้งหลังจากที่ ครม.มีมติ ล้มโครงการ ทางนายกิตติรัตน์ ก็ได้ถูกทางผู้ประการธุรกิจในภูเก็ตตั้งคำถามมากมายเกี่ยวกับการล้มโครงการ

จริงอยู่ที่ว่าคนภูเก็ตต้องการศูนย์แสดงสินค้านานาชาติและหอประชุมนานาชาติ ทั้งรอและผลักดันที่จะให้เกิดมาเป็น 10 ปีแล้วก็จริง แต่ก็ไม่คิดว่าจะมีการใช้ความต้องการของส่วนรวมไปเสนอโครงการแบบดื้อตาใส ไปเลือกที่ดินราชพัสดุ บริเวณหาดไม้ขาว ซึ่งคนภูเก็ตไม่ได้อยากได้ตรงนั้น แต่ว่ากันว่า
มีเจ้าของที่ดินบริเวณใกล้เคียงกับที่ดินตรงนั้น ต้องการที่จะให้เกิดศูนย์ฯขึ้นที่นั่น

ชนิดที่ไม่สนใจเรื่องการออกแบบ เรื่องผลกระทบต่อระบบนิเวศน์ของเต่าทะเลและสิ่งแวดล้อม ไม่ห่วงแม้กระทั่งเรื่องการเป็นจุดล่อแหลมต่อเรื่องพายุ เรื่องสึนามิ ที่เคยถล่มภูเก็ตมาแล้ว รวมทั้งไม่สนข้อมูลของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ที่เคยว่าจ้างบริษัททำการวิจัยจากประเทศสิงคโปร์ที่ชี้แนะให้สร้างตรงบริเวณปลายแหลมสะพานหิน

ว่ากันว่าเหตุผลเหล่านี้เองที่ทำให้คณะรัฐมนตรีนางสาวยิ่งลักษณ์ตัดสินใจยกเลิกและยุบการก่อสร้างหอประชุมนานาชาติที่บริเวณหาดไม้ขาว โดยอ้างในทำนองว่ามีกรณีส่อไปในทางที่ไม่ค่อยจะสุจริตสักเท่าใดนัก
ฉะนั้นนายกิตติรัตน์ย่อมต้องรู้ดีว่า มีงบประมาณส่วนนี้อยู่ในมือกระทรวงคลัง

ประเด็นที่ บางกอก ทูเดย์ หยิบเรื่องนี้มาพูดไม่ใช่กรณีของการล้มศูนย์ประชุมนานาชาติที่ภูเก็ต เพราะในเมื่อโครงการไทยเข้มแข็งหลายโครงการพิสูจน์ให้เห็นชัดเจนถึงกรณีการมีปัญหา หากโครงการที่ภูเก็ตจะถูกล้มก็ไม่แปลก

แต่นายกิตติรัตน์ ย่อมจะต้องจำได้เป็นอย่างดีว่า ครั้งนั้น ครม.ได้นำงบดังกล่าวเอาไปรวมไว้กับงบประมาณสาขาเศรษฐกิจอื่นๆ โดยที่ยังไม่ได้มีการทำอะไร

ตรงนี้แหละที่เป็นประเด็นที่ทำให้เกิดข้อสงสัยว่าแล้วทำไมนายกิตติรัตน์ ไม่ใช้ประโยชน์จากงบประมาณก้อนนี้ที่ถูกโยกไปดอง เอามาทำโครงการในลักษณะ “ทู อิน วัน”ให้กิ๊บเก๋ยูเรก้า และเกิดประโยชน์ทางเศรษฐกิจต่อประเทศชาติไปด้วยกันในคราวเดียว

นั่นคือ แทนที่จะต้องมารณรงค์บริจาคเพื่อการกุศลเอาไปสร้าง หอเปรมดนตรี ก็ทำไมไม่เอางบโครงการสร้างศูนย์ประชุมและแสดงนิทรรศการนานาชาติภูเก็ตก้อนนั้นมาใช้ แล้วสร้างเป็นศูนย์ประชุมและแสดงนิทรรศการนานาชาติภูเก็ตที่สงขลา

แล้วมีหอเปรมดนตรีอยู่เป็นส่วนหนึ่งของโครงการไปด้วยเลย

เพราะตามแผนเดิมที่ออกแบบไว้จะมีอาคารศูนย์ประชุม ที่มีห้องประชุมขนาดใหญ่จุได้ถึง 4,000 คน ห้องขนาดกลางจุได้ 2,500 คน และห้องประชุมขนาดเล็ก 4 ห้อง ๆ ละ 500 คน อยู่แล้ว

ซึ่งหอเปรมดนตรีนั้น ต้องการความจุคนเพียงแค่ 400 คน หรือแค่ใกล้เคียงกับห้องประชุมขนาดเล็กเพียงห้องเดียวเท่านั้นเอง

เดิมวางไว้ 4 ห้อง ก็ให้เหลือแค่ 3 ห้อง แล้วเอามาใช้เป็นหอเปรมดนตรีเสีย 1 ห้อง ก็เท่านั้นเอง
ในขณะที่ผลประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นนั้นมีมากมายมหาศาลกว่ากันเยอะอย่างแน่นอน

ต่างชาติที่จะมาใช้ศูนย์ประชุมนานาชาติ ก็มีโอกาสที่จะแวะเวียนมาเยี่ยมชมเอกลักษณ์ทางดนตรีของไทยได้ที่หอเปรมดนตรี ในขณะที่ผู้คนที่จะมาใช้บริการหอเปรมดนตรี ก็จะมีศูนย์แสดงสินค้านานาชาติเป็นจุดแวะเที่ยวเพิ่มขึ้นได้อีกเช่นกัน

ปัญหาก็คือ เรื่องที่เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม เป็นประโยชน์ต่อระเทศชาติแบบนี้ทำไมนายกิตติรัตน์จึงไม่ทำ???

จริงอยู่การที่จะเรี่ยไรเงินปลูกสร้างหอเปรมดนตรีเพียงอย่างเดียวโดดๆ เชื่อว่าสามารถทำได้ไม่น่าเป็นเรื่องยากที่จะขอรับบริจาค แต่มันจะดูดีกว่าหรือไม่ ดูมีเกียรติภูมิกว่าหรือไม่ หากเอางบประมาณที่มีอยู่แล้วมาใช้ให้เป็นโครงการที่อลังการมากขึ้น

ถ้าไม่ทำเพราะโยกงบประมาณไปใช้อย่างอื่นหมดแล้ว ก็พอจะเข้าใจได้อยู่ แต่เท่าที่รู้รัฐบาลยังไม่ได้มีการใช้งบตัวนี้แต่อย่างใด จึงต้องถือเป็นเรื่องที่น่าเสียดายอย่างยิ่ง หากว่าเหตุผลที่นายกิตติรัตน์ไม่คิดจะทำนั้นเป็นเพราะกลัวเสียฟอร์ม

บางครั้ง บางเรื่องอย่าคิดในเกมการเมืองให้มากจนเกินไปนักเลย... จะเครียดแล้วท้องผูกเสียเปล่าๆ
สู้เปิดใจให้กว้าง แล้วนึกถึงประเทศชาติเป็นหลักเอาไว้ก่อน นั่นแหละดีที่สุดล่ะ

ที่มา.บางกอกทูเดย์
//////////////////////////////////////

อุตสาหกรรม ชง ครม.แก้ปัญหาค่าแรง 300 บาท ของบ 6.3 พันล้าน ช่วย เอสเอ็มอี. !!?


 อุตฯ เตรียมชงมาตรการลดผลกระทบค่าแรง 300 บาทต่อ ครม. 23 เม.ย.นี้ หวังเพิ่มขีดความสามารถเอสเอ็มอี ด้าน "ธนิต" เตรียมหารือธนาคารแห่งประเทศไทยวอนช่วยลดผลกระทบจากค่าเงินบาท ส่วน สรรพากรหวั่นบาทแข็งกระทบแผนรีดภาษี
   
นายณัฐพล ณัฎฐสมบูรณ์ โฆษกกระทรวงอุตสาหกรรม  เปิดเผยว่า วันที่ 23 เม.ย.นี้ กระทรวงอุตสาหกรรมจะเสนอคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับมาตรการบรรเทาผลกระทบจากการปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ 300 บาทต่อวัน รวมถึงการเพิ่มขีดความสามารถของผู้ประกอบการธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม(เอสเอ็มอี) โดยมาตรการดังกล่าวประกอบด้วยการจัดหาเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำมูลค่า 6,300 ล้านบาท โดยมีวงเงินอุดหนุนช่วยดอกเบี้ย 200 ล้านบาท, โครงการคลินิกอุตสาหกรรมเพื่อปรับปรุงเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต 200 ล้านบาท นอกจากนี้ เร่งรัดให้มีกองทุนเวนเจอร์แคปปิตอลฟันด์ ซึ่งเป็นเครื่องมือเดิมของสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) ที่ยังไม่ใช้งบประมาณอีก 1,000 ล้านบาท
   
นอกจากนี้ ยังเสนอให้ขยายมาตรการยกเว้นค่าธรรมเนียมรายปีให้กับเอสเอ็มอี 90,000 ราย จากเดิมที่จะสิ้นสุดในวันที่ 30 ก.ย.56 ออกไปอีก 3 ปี เป็นสิ้นสุดในปี 2559 เพื่อลดต้นทุนการผลิตได้ปีละ 300 ล้านบาท พร้อมทั้งจัดให้มีการส่งเสริมลงทุนเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ การผลิต ช่วยลดต้นทุน ช่วยลดผลกระทบเงินบาทแข็งค่า โดยยกเว้นอากรขาเข้าเครื่องจักร และยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 3 ปีในสัดส่วนประมาณ 100% ของเงินลงทุน รวมถึงให้ขยายวงเงินลงทุน 5 แสนบ้านขึ้นไปจะได้รับการยกเว้นอากรนำเข้าและภาษีเงินได้นิติบุคคล 8 ปีเป็นไม่จำกัดวงเงินลงทุน
   
นายธนิต โสรัตน์ เลขาธิการและรักษาการประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า ในวันที่ 23 เม.ย.นี้ จะเข้าพบผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย เพื่อขอให้หามาตรการรักษาเสถียรภาพอัตราแลกเปลี่ยนไม่ให้แข็งค่า  โดยเฉพาะเกี่ยวกับมาตรการป้องกันเงินทุนไหลเข้า ซึ่งเข้ามาเก็งกำไรในระยะสั้น และการพิจารณาปรับลดอัตราดอกเบี้ยให้อยู่ในอัตราร้อยละ 2
   
ส่วนการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งภายใน ส.อ.ท.นั้น ยืนยันว่ายึดแนวทางออกโดยการเจรจาร่วมกันเพื่อให้เกิดการปรองดอง โดยไม่สร้างเงื่อนไข และยังไม่ลาออกจากตำแหน่งรักษาการประธาน ส.อ.ท. เนื่องจากกลุ่มเอสเอ็มอีในต่างจังหวัดทั่วประเทศไม่ยอมให้ลาออกตอนนี้ ซึ่งหากจะลาออกจริงก็ควรให้กระบวนการปรองดองในองค์กรเสร็จสิ้นก่อน
   
นางวณี ทัศนมณเฑียร ที่ปรึกษาด้านยุทธศาสตร์การจัดเก็บภาษี กรมสรรพากร กล่าวว่า ในการจัดเก็บภาษีในช่วงครึ่งหลังของปีงบประมาณ 2556 (เม.ย.-ก.ย.2556) ต้องจับตาผลกระทบจากการปรับลดภาษีเงินได้นิติบุคคล และเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น ทำให้การเสียภาษีลดลง และค่าเงินบาทที่แข็งค่ายังส่งผลกระทบต่อการจัดเก็บภาษีสินค้านำเข้า เนื่องจากราคาประเมินภาษีลดลงตามอัตราเงินบาทที่แข็งค่า โดยก่อนหน้านี้ปัญหาค่าเงินบาทไม่เคยมาเป็นปัจจัยที่จะประเมินรายได้ของกรม แต่ในปีนี้ค่าเงินบาทแข็งค่าเร็วและแรงมาก
   
หากเงินบาทแข็งค่าขึ้นมาก กำไรของบริษัทที่เกี่ยวข้องกับการส่งออกก็จะลดลง ทำให้บริษัทเหล่านั้นเสียการจัดเก็บภาษีก็จะลดลงไปด้วย โดยกรมประเมินว่าในปีนี้บริษัทเอกชนต้องมีกำไรเติบโตในภาพรวมอย่างน้อย 25% จึงจะชดเชยรายได้ของกรมที่หายไปจากการลดภาษีเงินได้นิติบุคคลในปี 2556 ประมาณ 8 หมื่นล้านบาทได้” นางวณีกล่าว.

ที่มา.ไทยโพสต์
//////////////////////////////

ราคาทองร่วงยาวคาดต่ำสุดที่บาทละ 1.5 หมื่น !!?


นางสาวณัฐฑี จุฑาวรากุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท คลาสสิก โกลด์ ฟิวเจอร์ จำกัด กล่าวว่า จากสถานการณ์ราคาทองคำที่ปรับลดลงอย่างรุนแรง ผันผวนอยู่ในตลาดโลกอย่างต่อเนื่องซึ่งเกิดจากปัจจัยจากทางประเทศไซปรัสที่จะนำทองคำออกขายเป็นทุนสำรองภายในประเทศเพื่อชำระหนี้ และในยุโรปมีแนวโน้มที่จะขายทองคำเช่นกัน โดยปิดตลาดในสัปดาห์ที่ผ่านมา อยู่ที่ 1,400.91 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์ หรือราคาสมาคมทองคำอยู่ที่บาทละ 19,250 บาท โดยขณะนี้เริ่มชะลอตัวเหนือแนวรับ 1,300 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์ หากราคาทองคำสามารถปรับขึ้นไปทดสอบที่ระดับ 1,440 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์ แต่ไม่สามารถผ่านแนวต้านขึ้นไปได้ จะทำให้มีแนวโน้มที่จะปรับลดลงหลุด 1,300 ดอลล่าร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์ ในระยะถัดไป

“อยากให้ดูแนวต้านที่ 1,440 – 1,450 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์ หากราคาทองคำยังไม่สามารถผ่านแนวต้านนี้ไปได้ โอกาสที่จะปรับตัวลงแรงอีกครั้งก็ยังมี แต่หากผ่านแนวต้านนี้ไปได้ โอกาสที่จะปรับเพิ่มขึ้นถึง 1,500 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์ โดยในภาพรวมทิศทางขาลงอาจยังไม่จบ มีโอกาสที่จะปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง นักลงทุนที่จะเข้ามาซื้อขายทองคำในระยะนี้ ขอแนะนำให้เข้ามาซื้อขายในรูปแบบระยะสั้น”

สำหรับปัจจัยสำคัญที่ส่งผลกระทบกับราคาทองคำในประเทศไทยประกอบด้วย 2 ปัจจัยหลัก คือ ราคาทองคำในตลาดโลก และเรื่องเงินบาทแข็งค่าภายในประเทศ ซึ่งส่งผลกระทบ
ต่อราคาทองคำทำให้มีแนวโน้มราคาทองคำภายในประเทศ ในทุก 1 สตางค์ของค่าเงินบาท กดดันกับราคาทองคำในประเทศ 7-8 บาท ในขณะนี้ค่าเงินบาทแข็งค่าลงมา 2 บาท ส่งผลต่อราคาทองคำราว 2,000 บาท หากค่าเงินบาทยังคงแข็งค่าอย่างต่อเนื่องจะส่งผลต่อราคาทองคำให้มีการปรับตัวลงอีก โดยคาดว่า
จะปรับตัวลดลงกว่าที่ควรจะเป็น อยู่ที่ราคาราว 18,000 บาท

ทั้งกรอบราคาในช่วงเดือนมกราคม-มิถุนายน 2556 คาดว่าราคาทองในต่งประเทศจะอยู่บริเวณ 1,158-1,150 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์ และเมื่อคำนวณเป็นราคาในประเทศ จะอยู่ที่15,700-21,100 บาท ส่วนตลอดทั้งปีคาดว่าราคาทองคำจะขึ้นสูงสุดอยู่ที่ 1,650 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์ หรือ 22,500 บาท และราคาต่ำสุดอยู่ที่ 1,158 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์ หรือ 15,700 บาท

โดยคาดการณ์ว่าราคาทองคำจะสามารถกลับขึ้นไปที่ 1,700 และ 1,900 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์ อาจใช้เวลา 1-2 ปี โดยต้องดูจุดต่ำสุดของราคาทองคำว่าจะอยู่ในระดับไหน หากราคาลงมาอยู่ที่แนวรับระยะยาวระดับ 1,158-1,200 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์ อาจพบแรงซื้อกลับ และราคาจะดีดกลับขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยจะไปทดสอบแนวต้านระดับ 1,600-1,650 หากผ่านได้ก็จะวิ่งไปถึง 1,700 1,800 1,900 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์

ด้านนายจิตติ ตั้งสิทธิ์ภักดี นายกสมาคมค้าทองคำ กล่าวว่า ราคาทองคำในสัปดาห์นี้จะยังคงผันผวน โดยราคาเฉลี่ยจะอยู่ที่ 1,410 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ หรือเฉลี่ยอยู่ที่บาทละ 19,000 บาท เนื่องจากนักลงทุนเริ่มคลายความกังวลถึงการเทขายทองของกองทุนทองคำและของประเทศในสหภาพยุโรป โดยมองว่าในช่วงนี้ราคาทองคำจะไม่ลดต่ำลงถึง 1,325 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ หรือราคาในประเทศที่ 18,000 บาท อย่างแน่นอน ส่วนราคาทองคำในประเทศจะเป็นอย่างไรยังไม่สามารถคาดการณ์ได้เนื่องจากค่าเงินบาทยังคงแข็งค่าและผันผวนต่อเนื่อง โดยเฉลี่ยค่าเงินบาทแข็งค่า 1 บาท จะมีผลต่อราคาทองคำถูกลง 700-800 บาท

อย่างไรก็ตาม มองแนวโน้มปีนี้ นายจิตติ ระบุ ยังมีโอกาสที่ราคาทองคำในตลาดโลกปรับเพิ่มขึ้นถึง 1,600-1,700ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ได้ หากสถานการณ์กลับเข้าสู่ภาวะปกติ เพราะขณะนี้มองว่าราคาทองคำได้ลดลงเกินกว่าความเป็นจริงมากแล้ว

ด้านนายสิทธิวิชญ์ ตั้งธนาเกียรติ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ตั้งธนสิน จำกัด เจ้าของธุรกิจโรงรับจำนำ Easy Money กล่าวว่า ทองคำในเดือนกันยายนปี 2554 ราคา 27,000 บาท และในเดือนพฤษภาคมปี 2555 ราคา 22,900 บาท นับว่าขณะนี้

ยังเป็นช่วงขาลงในระยะปานกลาง แต่ในช่วงปัญหาน้ำท่วมหนักปลายปี 2554 จะมีปัญหาทองคำหลุดจำนำประมาณ 9% นับว่าสูงมาก เพราะปกติทั่วไปเฉลี่ยทองหลุดจำนำประมาณ 4-5% ของการจำนำ

ปัจจุบันเมื่อราคามีแนวโน้มลดลง และมีความผันผวนในช่วงระยะสั้น จึงเริ่มมีคนที่เคยนำสร้อยคอทองคำจำนำและปล่อยให้หลุดจำนำ แล้วกลับไปซื้อทองเส้นใหม่ เพราะราคาดีกว่าซึ่งอาจกระทบต่อผลประกอบการของโรงรับจำนำ เพราะการประเมินมูลค่ารับจำนำจะมาค่าใช้จ่าย เช่น ราคาทองปัจจุบัน 19,000 บาท จะให้เงินจำนำ 15,000 บาท จึงต้องติดตามดูว่าอัตราหลุดจำนำจะสูงเหมือนกับช่วงปัญหาน้ำท่วมครั้งใหญ่หรือไม่ เพราะรายได้ของโรงรับจำนำมาจากดอกเบี้ยและการขายทรัพย์สินหลุดจำนำ แต่หากมีทรัพย์สินหลุดจำนำมา ย่อมกระทบต่อผลดำเนินการของโรงรับจำนำทั้งภาครัฐและเอกชนด้วยเช่นกัน

ที่มา.นสพ.แนวหน้า
//////////////////////////////////////