--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันพฤหัสบดีที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2556

ขอที่ยืนให้ ค้าปลีกรายเล็ก โลกนี้มีสองด้านเสมอ !!?


โดย พัฒนพันธุ์ วงษ์พันธุ์

สงกรานต์ที่ผ่านมา คนมีถิ่นฐาน ใช้ชีวิตในเมืองกรุงหรือละแวกใกล้เคียง เมื่อมีโอกาสเดินทางไปสัมผัสกับกลิ่นอายในต่างจังหวัด จะด้วยวัตถุประสงค์อะไรก็ตาม คงได้เห็นความเจริญเติบโตชนิดผิดหูผิดตา เรียกว่ากรุงเทพฯมีอะไร ต่างจังหวัดก็ไม่น้อยหน้า

ศูนย์การค้าใหญ่ ค้าปลีกสารพัดรูปแบบ โชว์รูมรถยนต์ของทุกค่าย โรงภาพยนตร์มัลติเพล็กซ์ ร้านวัสดุก่อสร้างยักษ์ไม่เว้นกระทั่งโรงพยาบาลชื่อดัง ๆ ที่เราคุ้นหู โดยเฉพาะหัวเมืองในภาคอีสานกลายเป็นแหล่งค้าขายสำคัญ แต่ละจังหวัดคึกคักขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เนื่องจากกำลังซื้อของภาคเกษตรกรรรมมีที่มาจากผลผลิตราคาสูงขึ้น

บวกกับนโยบายค่าแรง 300 บาท เกิดเป็น "อำนาจซื้อใหม่"ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้น

วิเคราะห์กันว่า ในอดีตรากหญ้า ผู้ใช้แรงงานของไทยยังฐานะฝืดเคือง หาเช้ากินค่ำ แต่เมื่อมีรายได้เพิ่มขึ้น จึงไม่มีรีรอที่จะใช้จ่าย

ผลจากการเคลื่อนทัพของทุนส่วนกลาง เฉพาะโคราช ขอนแก่น และอุดรธานี รถเครนก่อสร้างขวักไขว่เต็มไปหมดเพื่อเร่งงานการก่อสร้างทุกรูปแบบคอนโดมิเนียม บ้านจัดสรร ศูนย์การค้า ไม่รวมถึงสาธารณูปโภค ถนนหนทาง และการก่อสร้างของภาครัฐต่าง ๆ

"เพราะการเติบโตไม่ได้จำกัดแค่ในเมืองใหญ่อีกต่อไป ทำให้ผู้ประกอบการทุกคนเดินออกไปขยายสาขาต่างจังหวัดมากขึ้น ขณะที่กำลังซื้อต่างจังหวัดก็เพิ่มการขยายตัวขึ้นเช่นกัน" คือบทสรุปของผู้บริหารธุรกิจยักษ์ใหญ่รายหนึ่งที่สะท้อนภาพการไหลบ่าของทุนจากส่วนกลาง

จากที่ผ่านมาคัมภีร์สำคัญที่ภาคธุรกิจไทยท่องจนขึ้นใจเสมอมา พร้อมเข้าไปลงทุนทุกแห่งที่เมื่อมีกำลังซื้อเกิดขึ้นแล้วเท่านั้น
เมื่อติดตามความเคลื่อนไหวผู้ประกอบการระดับแถวหน้า จะพบว่าสัดส่วนการลงทุนในต่างจังหวัดช่วงที่ผ่านมา มากกว่ากรุงเทพฯและปริมณฑลเป็นเท่า ๆ ตัว สัดส่วนการลงทุนดังกล่าวมีแต่จะเพิ่มขึ้น

สมาคมผู้ค้าปลีกไทยซึ่งมีสมาชิกเป็นผู้ประกอบการหลัก ๆ ทั้งเซ็นทรัล เดอะมอลล์ บิ๊กซี แม็คโคร เทสโก้ โลตัส ฯลฯ ชี้ว่า ธุรกิจค้าปลีกค้าส่งจะมีสัดส่วนการเปิดสาขาในกรุงเทพฯและต่างจังหวัดเพิ่มจาก 40 : 60 ในปัจจุบัน เพิ่มเป็น 38 : 62 ในอีก 3 ปีข้างหน้า

เป็นไปในทิศทางเดียวกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ระบุว่า การขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในปี 2555 ที่ผ่านมา มีแรงส่งสำคัญมาจากการขยายตัวของการบริโภคและลงทุนในระดับภูมิภาค

ล่าสุดยอดขายไตรมาสแรกของยักษ์ใหญ่อย่างบิ๊กซี

เทสโก้ โลตัส เติบโตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งแน่นอนว่ากำลังซื้อในต่างจังหวัดเป็นเฟืองจักรที่สำคัญ

แต่อย่างที่บอกไว้ตั้งแต่ต้น โลกนี้มีสองด้านเสมอ

ในขณะที่ทัพการลงทุนจากส่วนกลางดาหน้าสู่ภูมิภาค ด้านหนึ่งหมายถึงการเปลี่ยนผ่านสู่ความทันสมัย เป็นการกระจายความเจริญสู่ท้องถิ่น สร้างความมีชีวิตชีวาให้เกิดขึ้น ก่อให้เกิดการสร้างงาน ได้ทำงานใกล้ ๆ สถานที่พำนักอาศัย

แต่อีกด้านหนึ่งหมายถึงว่า ปลาใหญ่ที่มีทุนทรัพย์มากกว่า มีความรู้โนว์ฮาว บริหารงานทันสมัย ย่อมคืบคลานแย่งชิงแหล่งอาหารปลาตัวที่เล็กกว่าด้วยเช่นกัน

หลายปีก่อนเราเคยชอกช้ำจากค้าปลีกยักษ์ใหญ่อาศัยช่องว่างกฎหมาย บุกเปิดสาขาทั่วทุกหย่อมหญ้า ส่งผลให้

ยี่ปั๊ว-โชห่วย-ค้าปลีกท้องถิ่น ล้มหายเป็นจำนวนมาก กระทั่งปัจจุบันมียักษ์ใหญ่ไม่กี่รายเท่านั้นที่ครอบครองยอดขายเป็นแสน ๆ ล้าน

ยักษ์ใหญ่เหล่านี้มีแต่จะเติบโตและรุกคืบต่อไปไม่หยุดยั้ง เกิดขึ้นสด ๆ ร้อน ๆ "เซเว่นอีเลฟเว่น" เพิ่งจะซื้อยักษ์ใหญ่ค้าส่ง "แม็คโคร" ผงาดขึ้นเป็นเบอร์ 1 ในวงการค้าปลีกไทยเต็มตัว เรื่องนี้ถือเป็นวัฏจักรธุรกิจที่เกิดขึ้นได้ทั่วโลก ขออย่างเดียว

อย่าบุกจนเพลิน จนไม่เหลือที่ยืนให้รายเล็กรายน้อยก็แล้วกัน

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
///////////////////////////////////////////////////////

ฤๅ ต้องพึ่งบริโภคอย่างเดียว !!?


กิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ออกมายอมรับอีกครั้งว่า การส่งออกปีนี้จะขยายตัวไม่ถึง 9% จะทำอย่างไรได้ล่ะครับ เมื่อข้อเท็จจริงเป็นอย่างนี้

ดูเหมือนว่าความสามารถในการแข่งขันการส่งออกของเราลดลง ตั้งแต่เกิดน้ำท่วมใหญ่เมื่อปลายปี 2554 ที่พืชไร่ พืชสวน นาข้าว โรงงานต่างๆ ถูกน้ำท่วมหนักเป็นเดือน ทำให้ความสามารถในการแข่งขันการส่งออกของไทยลดลง ควบคู่ไปกับเศรษฐกิจโลกหดตัวซ้ำอีกทำให้สินค้าไทยขายไม่ออก
   
ความจริงแล้วนอกจากปัญหาเหล่านี้จะเป็นอุปสรรคในการส่งออก เรายังมีอุปสรรคใหญ่ๆ หลายรายการที่เกิดขึ้นเพราะนโยบายรัฐบาล อาทิ การปรับขึ้นค่าแรงงานขั้นต่ำทั่วประเทศ 300 บาทต่อวัน นโยบายอุดหนุนภาคเกษตรที่ปลูกข้าวแบบสุดโต่ง รับจำนำข้าวเปลือกนาปรังและนาปีตันละ 15,000 บาท ทำให้ราคาข้าวขายส่งออกต้องได้ราคาถึงตันละ 800 ดอลลาร์สหรัฐฯ ถึงจะคุ้มกับการลงทุนและการรับจำนำของรัฐบาล สุดท้ายข้าวเราจึงขายส่งออกได้ช้า และขาดทุนเท่าไหร่เราก็ไม่ทราบ เพราะเป็นการขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ ข้อมูลจึงเป็นความลับ ขณะที่ราคาซื้อขายในตลาดโลกมีตั้งแต่ 400-500 กว่าดอลลาร์สหรัฐฯเท่านั้น
   
สินค้าที่ส่งออกได้ดีก็เห็นจะมีแต่รถยนต์เท่านั้น ซึ่งขณะนี้เราผลิตและส่งออกได้เดือนหนึ่งเกิน 100,000 คันไปแล้ว โดยเดือนมีนาคม 2556 ทำสถิติใหม่ในรอบ 20 ปีที่ไทยทำการส่งออกได้มากเกินกว่าทุกเดือนที่ผ่านมา โดยส่งออกได้ถึง 102,742 คัน ทำลายสถิติสูงสุดโดยคร่าว ๆ แล้วปีนี้คงส่งออกไม่น้อยกว่า 1 ล้านคันแน่นอน แต่อย่างว่าล่ะครับ แม้จะส่งออกได้ดีก็ไม่ถึงกับเป็น "ฮีโร่" ที่จะช่วยให้ตัวเลขการส่งออกโดยรวมกระเตื้องขึ้นได้มากนัก
   
ในอีกด้านหนึ่งสังเกตให้ดี สินค้าอุปโภคบริโภคภายในประเทศ จะมีสินค้าที่ผลิตจากโรงงานอุตสาหกรรมเพื่อนบ้านเขามา "แทรกตัว" วางขายบนชั้นวางขายสินค้าแล้ว ถ้าแต่ก่อนเหลือประมาณ 6-7 ปีที่แล้วจะเป็นสินค้าประเภทเครื่องใช้ไฟฟ้า อาทิ เครื่องเสียง ทีวี เป็นต้น แต่ปัจจุบันมีสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าหลากหลายชนิดเพิ่มขึ้นในตลาดเมืองไทย และยังลามไปถึงสินค้าอุปโภคบริโภค ตั้งแต่ยาสีฟัน ยาสระผม อื่นๆ เป็นต้น
   
ปกติแล้วประเทศไทยเปลี่ยนโครงสร้างจากการผลิตเพื่อทดแทนการนำเข้า ปัจจุบันเราผ่านพ้นสภาพนั้นมานานแล้ว แล้วกำลังจะผ่านพ้นการผลิตสินค้าเพื่อการส่งออกเช่นเดียวกัน นั่นหมายถึงว่าเรากำลังจะเผชิญกับการแข่งขัน ด้านการผลิตสินค้าอย่างรุนแรงกับประเทศเพื่อนบ้าน อย่าง เวียดนาม มาเลเซีย อินโดนีเซียและจีน
   
มองในอีกด้านหนึ่ง เราได้เห็นความสำเร็จของการค้าโลกกำลังจะบรรลุเป้าหมายในแผ่นดินไทย คือ ปล่อยให้สินค้าที่ราคาถูกกว่า คุณภาพด้อยกว่า เข้ามาแข่งขันในตลาด และแน่นอน เรื่องของคุณภาพใครๆ ก็สามารถพัฒนาได้ แล้วเราในฐานะผู้ผลิตจะแข่งขันกับเขาได้อย่างไร แต่ก็ยังดีเมื่อมองไปที่ผู้บริโภคแล้วจะได้เปรียบ เพราะได้สินค้าที่มีราคาถูกกว่านั่นเอง
   
ไม่มีประโยชน์อันใดที่จะไปทัดทานกับการปรับโครงสร้างการผลิตที่กำลังเกิดขึ้น ไม่มีประโยชน์อันใดจะไปปกป้องค่าเงินบาทด้วยการแทรกแซง เราต้องปล่อยให้เป็นไปตามสภาพที่ควรจะเป็น ไม่เช่นนั้นความสูญเสียครั้งใหญ่ของประเทศชาติจะเกิดขึ้นมาอีกครั้ง ให้ปรับตัวสู่สิ่งใหม่ๆ ดีกว่าเพราะเศรษฐกิจมีขึ้นมีลง วัฏจักรแบบนี้เคยเห็นมาแล้วครั้งหนึ่งในช่วงชีวิต

ที่มา.หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ
///////////////////////////////////////////////

ทนง พิทยะ แนะธนาคารแห่งประเทศไทย เร่งตัดสินใจสกัดทุนไหลเข้า !!?


ธปท.,ลดดอกเบี้ย,เงินทุนไหลเข้า,ทนง พิทยะ
ชี้มีทางเลือกระหว่างออกมาตรการระยะสั้นหรือลดดอกเบี้ย ดีกว่าปล่อยให้บาทแข็งกระทบส่งออก

นายทนง พิทยะ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวถึงสถานการณ์ค่าเงินบาทที่แข็งค่าว่าขณะนี้คงอยู่ที่การตัดสินใจของธนาคารแห่งประเทศไทยว่าจะยอมปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลงตามที่ตนเองและผู้ที่เกี่ยวข้องได้เสนอมาในระยะเวลาหลายเดือนก่อนหน้านี้หรือไม่ ซึ่งมองว่าการทยอยลดดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% ต่อเดือนและดูผลกระทบที่เกิดจากเงินทุนไหลเข้ามีความเหมาะสมที่จะดำเนินการได้

อย่างไรก็ตาม ต้องมีความเข้าใจการทำงานของ ธปท.ว่าการทำงานของ ธปท.ต้องคำนึงถึงเป้าหมายเงินเฟ้อ คือเป็นตัวเลขหลักที่ ธปท.ใช้และได้รับอนุมัติจากรัฐบาล โดยขณะที่เป้าหมายเงินเฟ้อที่ ธปท.ตั้งไว้คือ 0.5 - 3% ดังนั้นการที่อัตราเงินเฟ้อยังอยู่ที่ระดับ 1% เศษๆ ธปท.ก็เห็นว่าสถานการณ์ไม่น่าวิตกมากนัก แม้ ธปท.จะยอกมรับว่าค่าเงินบาทแข็งค่ามากกว่าประเทศอื่นๆในภูมิภาคแต่ก็ยังไม่เห็นว่าผู้ว่าการ ธปท.จะตัดสินใจอย่างไร

นายทนง กล่าวว่า หากไม่มีการลดดอกเบี้ยก็ถึงเวลาที่จะต้องหามาตรการออกมาใช้ เพราะการที่จะไปพยุงค่าเงินบาท และขาดทุนอยู่เรื่อยๆไม่เหมาะก็ต้องใช้นโยบายอย่างอื่นบ้าง ต้องไปดูว่าประเทศอื่นๆ เช่น มาเลเซีย สิงคโปร์ และจีน ว่าเขาใช้มาตรการอะไรทำอย่างไร โดยมาตรการควบคุมแม้จะออกมาเป็นระยะสั้นก็จำเป็น เพราะเป็นการส่งสัญญาณว่าเราจะไม่ยอมให้ค่าเงินบาทแข็งเกินไป

"การคุมคือการคุมอะไรที่เก็งกำไรเกินควร การคุมฟองสบู่ไม่ให้เกิดขึ้น แต่การคุมอาจไม่ต้องทำก็ได้ เพราะมันอยู่ที่ตัวเอง มันอยู่ที่อัตราดอกเบี้ยที่สูงเกินไป ซึ่งดอกเบี้ยต่ำลงก็เป็นผลดีต่อนักธุรกิจและผู้ประกอบการ ส่วนคนที่ฝากเงินก็มีทางเลือกอื่นๆ มากกว่าการฝากเงินในบัญชี ซึ่งกองทุนรวมก็มีการเติบโตมากขึ้นจนอยู่ที่ 60% แสดงว่าคนที่ฝากเงินในปัจจุบันมีความรู้มากขึ้น"นายทนงกล่าว

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
////////////////////////////////////////////////

วันพุธที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2556

ยิ่งลักษณ์-เยาวภา-พายัพ 3 พี่น้อง ตระกูลชิน !!?


เก้าอี้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในประเทศไทยหลายพื้นที่ หลายจังหวัด ล้วนถูกผูกขาดโดยตระกูลใหญ่ทางการเมือง

ใน อดีตหากพูดถึงตระกูล "ฉายแสง" ย่อมปรากฏภาพจังหวัดฉะเชิงเทรา ขานเรียกตระกูล "เทียนทอง" ย่อมนึกถึงจังหวัดสระแก้ว แม้กระทั่งตระกูลใหญ่อย่าง

"ชินวัตร" ก็เห็นชัดว่าในรอบ 12 ปี เลือกตั้ง ส.ส. 4 ครั้ง ก็ถือครองพื้นที่ส่วนใหญ่ของจังหวัดเชียงใหม่ได้สำเร็จทุกครั้ง

ชัด ยิ่งกว่าชัด เมื่อพบว่าคณะรัฐมนตรีชุดที่ 60 และ ส.ส.ชุดที่ 24 ของประเทศ ภายใต้การนำทัพของ "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" นายกรัฐมนตรี ต่างก็ปรากฏรายชื่อพี่-น้องตระกูลชินวัตรถึง 3 คน

เป็น 3 พี่น้องที่ถูกตีตราว่าได้รับภารกิจหลัก ต่างกรรมต่างวาระจากคำบัญชาของพี่ชาย-พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ตามตำราแคมเปญหาเสียง "ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ"

"ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" น้องสาวคนเล็กของตระกูล ผู้ที่ยินยอมถอดคราบนักธุรกิจก้าวเข้าสู่สนามการเมือง ถูกฝ่ายตรงข้ามโจมตีว่าเป็น "นอมินี" ของ พ.ต.ท.ทักษิณ บัดนี้นั่งเก้าอี้ประมุขฝ่ายบริหารมานานกว่า 1 ปี 8 เดือน

ทั้ง หลักการ-นโยบาย "สไตล์ทักษิณ" ล้วนถูกถ่ายทอดผ่านสายโลหิตถึง "ยิ่งลักษณ์" โดยเฉพาะโครงการประชานิยม และการลงทุนอภิมหาโปรเจ็กต์ต่าง ๆ

และ ด้วยฝีมือการบริหารของ "ยิ่งลักษณ์" บวกกับเพศสภาพความเป็นผู้หญิง ทำให้หลายสิ่งที่ พ.ต.ท.ทักษิณ เคยคิด แต่ไม่ได้ทำ กลับเกิดขึ้นในยุคของน้องสาว

ถึงขั้นที่ พ.ต.ท.ทักษิณเคยออกปากชม น.ส.ยิ่งลักษณ์หลายต่อหลายครั้งว่า บริหารงานด้านการเมืองได้ดีกว่าที่ตัวเองเคยทำ

"เยาว ภา วงศ์สวัสดิ์" ที่รู้จักกันในนาม "เจ๊แดง" หรือหัวหน้ากลุ่มจังหวัด ส.ส.ภาคเหนืออย่าง "วังบังบาน" ก็กำลังจะก้าวเข้าเป็นผู้แทนฯ สมัยที่ 3 ในสภาผู้ทรงเกียรติ

เคยถูกจองจำในคุกการเมืองกว่า 5 ปี ในฐานะสมาชิกบ้านเลขที่ 111 แต่ชื่อของ "เยาวภา" ก็ไม่เคยหลบหายไปจากแสงไฟทางการเมือง โดยเฉพาะบารมีหลังเก้าอี้รัฐมนตรีในยุคของน้องสาว

ทั้งเก้าอี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวง รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวง และรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ต่างก็มี "ร่างทรง" ของ "เจ๊แดง" ปรากฏอยู่ในทุกตำแหน่งที่กล่าวถึง

ดังนั้นการกลับคืนสู่สนามการเมือง ครั้งนี้ของ "เยาวภา" จึงถูกคาดหวัง-ตั้งเป้าหมายมากไปกว่าการดำรงตำแหน่ง ส.ส.เขต 3 จังหวัดเชียงใหม่ แต่ถูกมองไว้เป็นผู้นำ ส.ส.ในฝ่ายนิติบัญญัติ

ทั้ง ส.ส.สังกัดพรรคเพื่อไทย เด็กในคาถาวังบัวบาน แม้กระทั่งฝ่ายค้านต่างเห็นตรงกันว่า หลังจากนี้เป็นต้นไป ส.ส.ฟากรัฐบาล ภายใต้บารมีของ "เจ๊แดง" จะอยู่ในระเบียบวินัย ไม่แตกแถว ไม่โดดประชุม และไม่นอกลู่นอกทาง

โดยเฉพาะในจังหวะที่สภากำลังเข้าสู่โหมดพิจารณา ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2557 และร่าง พ.ร.บ.กู้เงินเพื่อการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน ที่เคาะลูกคิดเบ็ดเสร็จมีมูลค่ารวมมากกว่า 4 ล้านล้านบาท

ทุกบาททุก สตางค์ล้วนมีโอกาสเสี่ยงที่จะถูกตัด-ต่อในชั้นกรรมาธิการ ฉะนั้น ส.ส.ฝั่งรัฐบาลจำเป็นต้องมีระเบียบในการโหวต และแสดงความเห็นในทางเดียวกัน เพื่อไม่ให้แตกแถว

จึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลก หากพรรคและ พ.ต.ท.ทักษิณจะส่งสัญญาณร้องขอให้ "เยาวภา" หวนคืนสู่ตำแหน่ง ส.ส.ทำหน้าที่ "คลุกวงใน" ท่ามกลางสนามรบในสภา

ด้าน "พายัพ ชินวัตร" เป็นบุตรคนที่ 6 ของตระกูล มีศักดิ์เป็นน้องชาย พ.ต.ท.ทักษิณ และนางเยาวภา เป็นพี่ชายของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ เป็นผู้ที่ตัดสินใจก้าวตามรอยเท้านักการเมืองตามพี่ชายเมื่อการเลือกตั้งปี 2548 แทนที่เก้าอี้ของพี่สาวที่เลื่อนไปเป็น ส.ส.บัญชีรายชื่อให้กับพรรคบทบาทล่าสุดทางการเมืองยังคงดำรงตำแหน่งเป็น ประธานภาคอีสาน

กระทั่งพรรคปรับแผนบริหารจากระบบภาคเข้าสู่ระบบโซน ชื่อของ "พายัพ" ก็พ้นสภาพการเป็นประธานภาคโดยอัตโนมัติ และแม้จะมีความพยายามเคลื่อนไหวขอทวงคืนตำแหน่ง แต่สุดท้ายก็ไม่สำเร็จดังที่หวัง

โดยคอการเมืองเชื่อว่าเหตุที่เขา ไร้ซึ่งอำนาจบารมีจนถึงวันนี้ ล้วนมีที่มาจากฝีมือของ พ.ต.ท.ทักษิณที่ไม่ปลื้มผลงาน แต่คนวงในพรรคเพื่อไทยต่างเชื่อตรงกันว่าสายสัมพันธ์ของพี่น้องร่วมสายโลหิต ย่อมไม่มีวันตัดขาด

ณ เวลานี้ ทั้ง "เยาวภา-ยิ่งลักษณ์" ต่างต้องรับบทบริหารงานการเมืองทั้งในฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติ ส่วน "พายัพ" ยังคงมีชื่ออยู่ในพรรคเพื่อไทย เพียงแต่ไร้ซึ่งตำแหน่ง-อำนาจที่ยังคงเฝ้ารอเวลาที่เหมาะสม

เป็น 3 พี่น้องยังคงอยู่คู่พรรคเพื่อไทย และอยู่ในสนามรบ สู้ศึกแทน "ทักษิณ" ในเวลานี้

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
/////////////////////////////////////////////////////

วันอังคารที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2556

โต้งกับป๋า. ทางเลือก หอเปรมดนตรี ที่ไม่ต้องเรี่ยไร !!?


โบราณสอนไว้นักหนา “ตั้งแง่เกินไป มันไม่งาม” ยิ่งหากเป็นการตั้งแง่เพราะหวังผลทางการเมือง หรือเป็นการเดินเกมทางการเมือง จนละเลยซึ่งผลประโยชน์ของประเทศชาติ นั่นยิ่งไม่งามเข้าไปใหญ่
อย่างกรณีที่การจัดงาน “คอนเสิร์ตเปรมดนตรี” ณ ห้องแอทธินี คริสตัน ฮอลล์ โรงแรมพลาซ่าแอทธินี รอยัล เมอริเดียน ซึ่งจัดขึ้นโดยวิทยาลัยดุริยางคศิลป์ มหาวิทยาลัยมหิดล ร่วมกับมหาวิทยาลัยทักษิณ มูลนิธิสวนประวัติศาสตร์พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ เพื่อหารายได้สร้าง “หอเปรมดนตรี”

แนวคิดในการก่อสร้างหอเปรมดนตรีถือเป็นเรื่องที่ดี เพราะมีความตั้งใจที่จะออกแบบให้เป็นเสมือนเครื่องหมายของความศิวิไลซ์ใหม่สำหรับชุมชนภาคใต้ ด้วยการออกแบบให้เป็นหอแสดงดนตรีที่มีระบบเสียงที่ดีที่สุด และแสดงดนตรีได้ทุกรูปแบบ โดยที่จะสร้างขึ้นในสวนสาธารณะ สวนประวัติศาสตร์ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ จังหวัดสงขลา บรรจุผู้ชมได้ 400 ที่นั่ง

ออกแบบโดย นายชาตรี ลดาลลิตสกุล สถาปนิกผู้เชี่ยวชาญด้านหอแสดงดนตรีชั้นนำของประเทศ โดยต้องการสร้างหอแสดงดนตรีสมัยใหม่ ที่เรียบง่ายแต่ทรงพลัง เชื่อมโยงถึงบุคลิกภาพของ พล.อ.เปรม

การจัดคอนเสิร์ตในครั้งนี้ ก็เพื่อที่จะรณรงค์หารายได้เพื่อสมทบทุนสร้าง ซึ่งทาง พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษได้เดินทางมาร่วมงานแถมยังขึ้นเวทีเล่นเปียโนและร้องเพลงในฝัน กับเพลง Somewhere ซึ่งเป็นเพลงที่พล.อ.เปรมแต่งเองอีกด้วย

งานนี้เสียดายที่ นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เกิดป่วยด้วยอาการอาหารเป็นพิษ(อย่างกระทันหัน) ก็เลยไม่ได้ไปร่วมงาน มีแต่เพียง นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง ในฐานะรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นตัวแทนรัฐบาลไปร่วมงาน นอกเหนือจากความเป็นคนที่สนิทสนมกับป๋า จนถูกมองว่าเป็นเด็กสายป๋ามาตลอด

และกลายเป็นประเด็นด้วยเช่นกันว่า ทั้งๆที่สนิทกับพล.อ.เปรม ทำไมนายกิตติรัตน์ จึงปล่อยให้การสร้างหอเปรมดนตรีต้องมาใช้การะดมทุนก่อสร้างเป็นหลักเช่นนี้ ทั้งๆที่มีงบประมาณที่จะสร้างหอประชุมขนาดใหญ่ทางภาคใต้ได้อยู่แล้ว

เพราะนายกิตติรัตน์ จะต้องจำได้เป็นอย่างดีว่า เมื่อครั้งรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ ได้มีการอนุมัติงบประมาณโครงการไทยเข้มแข็ง ให้จัดสร้างศูนย์ประชุมและนิทรรศการนานาชาติภูเก็ต มูลค่าประมาณ 2,600 ล้านบาท เอาไว้โดยมีกระทรวงการคลังเป็นผู้รับผิดชอบดูแลโครงการ ซึ่งตอนนั้น นพ.พฤฒิชัย ดำรงรัตน์ เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เป็นคนที่ลงไปดูพื้นที่ก่อสร้างจำนวน 150 ไร่ บริเวณหาดไม้ขาว

โดยตอนนั้นได้วางเป้าหมายให้ศูนย์ประชุมดังกล่าวเป็นสถานที่ใช้จัดประชุมระดับนานาชาติในภูมิภาคอาเซียน จะมีสิ่งอำนวยความสะดวกแบบครบวงจร รองรับผู้เข้าร่วมประชุมประมาณ 1.6 ล้านคนต่อปี โดยจะมีอาคารศูนย์ประชุมมีห้องประชุมขนาดใหญ่จุได้ถึง 4,000 คน ขนาดกลางจุได้ 2,500 คน และห้องประชุมขนาดเล็ก 4 ห้อง ๆ ละ 500 คน และห้องประชุมขนาดย่อย

นอกจากนี้ ยังมีอาคารจัดนิทรรศการ โรงแรมระดับ 4 ดาว เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวและผู้เข้าร่วมประชุม 350 ห้อง และมีพื้นที่จอดรถยนต์และรถบัสได้ถึง 1,000 คัน

เป้าหมายเพื่อส่งเสริมธุรกิจจัดการประชุม การท่องเที่ยว การแสดงนิทรรศการและสร้างรายได้ให้กับท้องถิ่น จะสามารถดึงนักท่องเที่ยวเข้ามาภูเก็ตได้ถึง 2 ล้านคนต่อปี และสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจมีเงินหมุนเวียนถึง 20,000 ล้านบาท

แต่สุดท้ายโครงการนี้ก็แท้ง เพราะครม.รัฐบาลเพื่อไทย ได้มีมติเมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2555 ยกเลิกงบประมาณในการก่อสร้างศูนย์ประชุมและแสดงนิทรรศการนานาชาติภูเก็ต ซึ่งกระทรวงการคลังทั้งในฐานะเป็นเจ้าของที่ดินราชพัสดุ เป็นคนดูแลโครงการ รวมทั้งหลังจากที่ ครม.มีมติ ล้มโครงการ ทางนายกิตติรัตน์ ก็ได้ถูกทางผู้ประการธุรกิจในภูเก็ตตั้งคำถามมากมายเกี่ยวกับการล้มโครงการ

จริงอยู่ที่ว่าคนภูเก็ตต้องการศูนย์แสดงสินค้านานาชาติและหอประชุมนานาชาติ ทั้งรอและผลักดันที่จะให้เกิดมาเป็น 10 ปีแล้วก็จริง แต่ก็ไม่คิดว่าจะมีการใช้ความต้องการของส่วนรวมไปเสนอโครงการแบบดื้อตาใส ไปเลือกที่ดินราชพัสดุ บริเวณหาดไม้ขาว ซึ่งคนภูเก็ตไม่ได้อยากได้ตรงนั้น แต่ว่ากันว่า
มีเจ้าของที่ดินบริเวณใกล้เคียงกับที่ดินตรงนั้น ต้องการที่จะให้เกิดศูนย์ฯขึ้นที่นั่น

ชนิดที่ไม่สนใจเรื่องการออกแบบ เรื่องผลกระทบต่อระบบนิเวศน์ของเต่าทะเลและสิ่งแวดล้อม ไม่ห่วงแม้กระทั่งเรื่องการเป็นจุดล่อแหลมต่อเรื่องพายุ เรื่องสึนามิ ที่เคยถล่มภูเก็ตมาแล้ว รวมทั้งไม่สนข้อมูลของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ที่เคยว่าจ้างบริษัททำการวิจัยจากประเทศสิงคโปร์ที่ชี้แนะให้สร้างตรงบริเวณปลายแหลมสะพานหิน

ว่ากันว่าเหตุผลเหล่านี้เองที่ทำให้คณะรัฐมนตรีนางสาวยิ่งลักษณ์ตัดสินใจยกเลิกและยุบการก่อสร้างหอประชุมนานาชาติที่บริเวณหาดไม้ขาว โดยอ้างในทำนองว่ามีกรณีส่อไปในทางที่ไม่ค่อยจะสุจริตสักเท่าใดนัก
ฉะนั้นนายกิตติรัตน์ย่อมต้องรู้ดีว่า มีงบประมาณส่วนนี้อยู่ในมือกระทรวงคลัง

ประเด็นที่ บางกอก ทูเดย์ หยิบเรื่องนี้มาพูดไม่ใช่กรณีของการล้มศูนย์ประชุมนานาชาติที่ภูเก็ต เพราะในเมื่อโครงการไทยเข้มแข็งหลายโครงการพิสูจน์ให้เห็นชัดเจนถึงกรณีการมีปัญหา หากโครงการที่ภูเก็ตจะถูกล้มก็ไม่แปลก

แต่นายกิตติรัตน์ ย่อมจะต้องจำได้เป็นอย่างดีว่า ครั้งนั้น ครม.ได้นำงบดังกล่าวเอาไปรวมไว้กับงบประมาณสาขาเศรษฐกิจอื่นๆ โดยที่ยังไม่ได้มีการทำอะไร

ตรงนี้แหละที่เป็นประเด็นที่ทำให้เกิดข้อสงสัยว่าแล้วทำไมนายกิตติรัตน์ ไม่ใช้ประโยชน์จากงบประมาณก้อนนี้ที่ถูกโยกไปดอง เอามาทำโครงการในลักษณะ “ทู อิน วัน”ให้กิ๊บเก๋ยูเรก้า และเกิดประโยชน์ทางเศรษฐกิจต่อประเทศชาติไปด้วยกันในคราวเดียว

นั่นคือ แทนที่จะต้องมารณรงค์บริจาคเพื่อการกุศลเอาไปสร้าง หอเปรมดนตรี ก็ทำไมไม่เอางบโครงการสร้างศูนย์ประชุมและแสดงนิทรรศการนานาชาติภูเก็ตก้อนนั้นมาใช้ แล้วสร้างเป็นศูนย์ประชุมและแสดงนิทรรศการนานาชาติภูเก็ตที่สงขลา

แล้วมีหอเปรมดนตรีอยู่เป็นส่วนหนึ่งของโครงการไปด้วยเลย

เพราะตามแผนเดิมที่ออกแบบไว้จะมีอาคารศูนย์ประชุม ที่มีห้องประชุมขนาดใหญ่จุได้ถึง 4,000 คน ห้องขนาดกลางจุได้ 2,500 คน และห้องประชุมขนาดเล็ก 4 ห้อง ๆ ละ 500 คน อยู่แล้ว

ซึ่งหอเปรมดนตรีนั้น ต้องการความจุคนเพียงแค่ 400 คน หรือแค่ใกล้เคียงกับห้องประชุมขนาดเล็กเพียงห้องเดียวเท่านั้นเอง

เดิมวางไว้ 4 ห้อง ก็ให้เหลือแค่ 3 ห้อง แล้วเอามาใช้เป็นหอเปรมดนตรีเสีย 1 ห้อง ก็เท่านั้นเอง
ในขณะที่ผลประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นนั้นมีมากมายมหาศาลกว่ากันเยอะอย่างแน่นอน

ต่างชาติที่จะมาใช้ศูนย์ประชุมนานาชาติ ก็มีโอกาสที่จะแวะเวียนมาเยี่ยมชมเอกลักษณ์ทางดนตรีของไทยได้ที่หอเปรมดนตรี ในขณะที่ผู้คนที่จะมาใช้บริการหอเปรมดนตรี ก็จะมีศูนย์แสดงสินค้านานาชาติเป็นจุดแวะเที่ยวเพิ่มขึ้นได้อีกเช่นกัน

ปัญหาก็คือ เรื่องที่เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม เป็นประโยชน์ต่อระเทศชาติแบบนี้ทำไมนายกิตติรัตน์จึงไม่ทำ???

จริงอยู่การที่จะเรี่ยไรเงินปลูกสร้างหอเปรมดนตรีเพียงอย่างเดียวโดดๆ เชื่อว่าสามารถทำได้ไม่น่าเป็นเรื่องยากที่จะขอรับบริจาค แต่มันจะดูดีกว่าหรือไม่ ดูมีเกียรติภูมิกว่าหรือไม่ หากเอางบประมาณที่มีอยู่แล้วมาใช้ให้เป็นโครงการที่อลังการมากขึ้น

ถ้าไม่ทำเพราะโยกงบประมาณไปใช้อย่างอื่นหมดแล้ว ก็พอจะเข้าใจได้อยู่ แต่เท่าที่รู้รัฐบาลยังไม่ได้มีการใช้งบตัวนี้แต่อย่างใด จึงต้องถือเป็นเรื่องที่น่าเสียดายอย่างยิ่ง หากว่าเหตุผลที่นายกิตติรัตน์ไม่คิดจะทำนั้นเป็นเพราะกลัวเสียฟอร์ม

บางครั้ง บางเรื่องอย่าคิดในเกมการเมืองให้มากจนเกินไปนักเลย... จะเครียดแล้วท้องผูกเสียเปล่าๆ
สู้เปิดใจให้กว้าง แล้วนึกถึงประเทศชาติเป็นหลักเอาไว้ก่อน นั่นแหละดีที่สุดล่ะ

ที่มา.บางกอกทูเดย์
//////////////////////////////////////

อุตสาหกรรม ชง ครม.แก้ปัญหาค่าแรง 300 บาท ของบ 6.3 พันล้าน ช่วย เอสเอ็มอี. !!?


 อุตฯ เตรียมชงมาตรการลดผลกระทบค่าแรง 300 บาทต่อ ครม. 23 เม.ย.นี้ หวังเพิ่มขีดความสามารถเอสเอ็มอี ด้าน "ธนิต" เตรียมหารือธนาคารแห่งประเทศไทยวอนช่วยลดผลกระทบจากค่าเงินบาท ส่วน สรรพากรหวั่นบาทแข็งกระทบแผนรีดภาษี
   
นายณัฐพล ณัฎฐสมบูรณ์ โฆษกกระทรวงอุตสาหกรรม  เปิดเผยว่า วันที่ 23 เม.ย.นี้ กระทรวงอุตสาหกรรมจะเสนอคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับมาตรการบรรเทาผลกระทบจากการปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ 300 บาทต่อวัน รวมถึงการเพิ่มขีดความสามารถของผู้ประกอบการธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม(เอสเอ็มอี) โดยมาตรการดังกล่าวประกอบด้วยการจัดหาเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำมูลค่า 6,300 ล้านบาท โดยมีวงเงินอุดหนุนช่วยดอกเบี้ย 200 ล้านบาท, โครงการคลินิกอุตสาหกรรมเพื่อปรับปรุงเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต 200 ล้านบาท นอกจากนี้ เร่งรัดให้มีกองทุนเวนเจอร์แคปปิตอลฟันด์ ซึ่งเป็นเครื่องมือเดิมของสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) ที่ยังไม่ใช้งบประมาณอีก 1,000 ล้านบาท
   
นอกจากนี้ ยังเสนอให้ขยายมาตรการยกเว้นค่าธรรมเนียมรายปีให้กับเอสเอ็มอี 90,000 ราย จากเดิมที่จะสิ้นสุดในวันที่ 30 ก.ย.56 ออกไปอีก 3 ปี เป็นสิ้นสุดในปี 2559 เพื่อลดต้นทุนการผลิตได้ปีละ 300 ล้านบาท พร้อมทั้งจัดให้มีการส่งเสริมลงทุนเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ การผลิต ช่วยลดต้นทุน ช่วยลดผลกระทบเงินบาทแข็งค่า โดยยกเว้นอากรขาเข้าเครื่องจักร และยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 3 ปีในสัดส่วนประมาณ 100% ของเงินลงทุน รวมถึงให้ขยายวงเงินลงทุน 5 แสนบ้านขึ้นไปจะได้รับการยกเว้นอากรนำเข้าและภาษีเงินได้นิติบุคคล 8 ปีเป็นไม่จำกัดวงเงินลงทุน
   
นายธนิต โสรัตน์ เลขาธิการและรักษาการประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า ในวันที่ 23 เม.ย.นี้ จะเข้าพบผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย เพื่อขอให้หามาตรการรักษาเสถียรภาพอัตราแลกเปลี่ยนไม่ให้แข็งค่า  โดยเฉพาะเกี่ยวกับมาตรการป้องกันเงินทุนไหลเข้า ซึ่งเข้ามาเก็งกำไรในระยะสั้น และการพิจารณาปรับลดอัตราดอกเบี้ยให้อยู่ในอัตราร้อยละ 2
   
ส่วนการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งภายใน ส.อ.ท.นั้น ยืนยันว่ายึดแนวทางออกโดยการเจรจาร่วมกันเพื่อให้เกิดการปรองดอง โดยไม่สร้างเงื่อนไข และยังไม่ลาออกจากตำแหน่งรักษาการประธาน ส.อ.ท. เนื่องจากกลุ่มเอสเอ็มอีในต่างจังหวัดทั่วประเทศไม่ยอมให้ลาออกตอนนี้ ซึ่งหากจะลาออกจริงก็ควรให้กระบวนการปรองดองในองค์กรเสร็จสิ้นก่อน
   
นางวณี ทัศนมณเฑียร ที่ปรึกษาด้านยุทธศาสตร์การจัดเก็บภาษี กรมสรรพากร กล่าวว่า ในการจัดเก็บภาษีในช่วงครึ่งหลังของปีงบประมาณ 2556 (เม.ย.-ก.ย.2556) ต้องจับตาผลกระทบจากการปรับลดภาษีเงินได้นิติบุคคล และเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น ทำให้การเสียภาษีลดลง และค่าเงินบาทที่แข็งค่ายังส่งผลกระทบต่อการจัดเก็บภาษีสินค้านำเข้า เนื่องจากราคาประเมินภาษีลดลงตามอัตราเงินบาทที่แข็งค่า โดยก่อนหน้านี้ปัญหาค่าเงินบาทไม่เคยมาเป็นปัจจัยที่จะประเมินรายได้ของกรม แต่ในปีนี้ค่าเงินบาทแข็งค่าเร็วและแรงมาก
   
หากเงินบาทแข็งค่าขึ้นมาก กำไรของบริษัทที่เกี่ยวข้องกับการส่งออกก็จะลดลง ทำให้บริษัทเหล่านั้นเสียการจัดเก็บภาษีก็จะลดลงไปด้วย โดยกรมประเมินว่าในปีนี้บริษัทเอกชนต้องมีกำไรเติบโตในภาพรวมอย่างน้อย 25% จึงจะชดเชยรายได้ของกรมที่หายไปจากการลดภาษีเงินได้นิติบุคคลในปี 2556 ประมาณ 8 หมื่นล้านบาทได้” นางวณีกล่าว.

ที่มา.ไทยโพสต์
//////////////////////////////

ราคาทองร่วงยาวคาดต่ำสุดที่บาทละ 1.5 หมื่น !!?


นางสาวณัฐฑี จุฑาวรากุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท คลาสสิก โกลด์ ฟิวเจอร์ จำกัด กล่าวว่า จากสถานการณ์ราคาทองคำที่ปรับลดลงอย่างรุนแรง ผันผวนอยู่ในตลาดโลกอย่างต่อเนื่องซึ่งเกิดจากปัจจัยจากทางประเทศไซปรัสที่จะนำทองคำออกขายเป็นทุนสำรองภายในประเทศเพื่อชำระหนี้ และในยุโรปมีแนวโน้มที่จะขายทองคำเช่นกัน โดยปิดตลาดในสัปดาห์ที่ผ่านมา อยู่ที่ 1,400.91 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์ หรือราคาสมาคมทองคำอยู่ที่บาทละ 19,250 บาท โดยขณะนี้เริ่มชะลอตัวเหนือแนวรับ 1,300 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์ หากราคาทองคำสามารถปรับขึ้นไปทดสอบที่ระดับ 1,440 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์ แต่ไม่สามารถผ่านแนวต้านขึ้นไปได้ จะทำให้มีแนวโน้มที่จะปรับลดลงหลุด 1,300 ดอลล่าร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์ ในระยะถัดไป

“อยากให้ดูแนวต้านที่ 1,440 – 1,450 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์ หากราคาทองคำยังไม่สามารถผ่านแนวต้านนี้ไปได้ โอกาสที่จะปรับตัวลงแรงอีกครั้งก็ยังมี แต่หากผ่านแนวต้านนี้ไปได้ โอกาสที่จะปรับเพิ่มขึ้นถึง 1,500 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์ โดยในภาพรวมทิศทางขาลงอาจยังไม่จบ มีโอกาสที่จะปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง นักลงทุนที่จะเข้ามาซื้อขายทองคำในระยะนี้ ขอแนะนำให้เข้ามาซื้อขายในรูปแบบระยะสั้น”

สำหรับปัจจัยสำคัญที่ส่งผลกระทบกับราคาทองคำในประเทศไทยประกอบด้วย 2 ปัจจัยหลัก คือ ราคาทองคำในตลาดโลก และเรื่องเงินบาทแข็งค่าภายในประเทศ ซึ่งส่งผลกระทบ
ต่อราคาทองคำทำให้มีแนวโน้มราคาทองคำภายในประเทศ ในทุก 1 สตางค์ของค่าเงินบาท กดดันกับราคาทองคำในประเทศ 7-8 บาท ในขณะนี้ค่าเงินบาทแข็งค่าลงมา 2 บาท ส่งผลต่อราคาทองคำราว 2,000 บาท หากค่าเงินบาทยังคงแข็งค่าอย่างต่อเนื่องจะส่งผลต่อราคาทองคำให้มีการปรับตัวลงอีก โดยคาดว่า
จะปรับตัวลดลงกว่าที่ควรจะเป็น อยู่ที่ราคาราว 18,000 บาท

ทั้งกรอบราคาในช่วงเดือนมกราคม-มิถุนายน 2556 คาดว่าราคาทองในต่งประเทศจะอยู่บริเวณ 1,158-1,150 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์ และเมื่อคำนวณเป็นราคาในประเทศ จะอยู่ที่15,700-21,100 บาท ส่วนตลอดทั้งปีคาดว่าราคาทองคำจะขึ้นสูงสุดอยู่ที่ 1,650 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์ หรือ 22,500 บาท และราคาต่ำสุดอยู่ที่ 1,158 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์ หรือ 15,700 บาท

โดยคาดการณ์ว่าราคาทองคำจะสามารถกลับขึ้นไปที่ 1,700 และ 1,900 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์ อาจใช้เวลา 1-2 ปี โดยต้องดูจุดต่ำสุดของราคาทองคำว่าจะอยู่ในระดับไหน หากราคาลงมาอยู่ที่แนวรับระยะยาวระดับ 1,158-1,200 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์ อาจพบแรงซื้อกลับ และราคาจะดีดกลับขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยจะไปทดสอบแนวต้านระดับ 1,600-1,650 หากผ่านได้ก็จะวิ่งไปถึง 1,700 1,800 1,900 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์

ด้านนายจิตติ ตั้งสิทธิ์ภักดี นายกสมาคมค้าทองคำ กล่าวว่า ราคาทองคำในสัปดาห์นี้จะยังคงผันผวน โดยราคาเฉลี่ยจะอยู่ที่ 1,410 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ หรือเฉลี่ยอยู่ที่บาทละ 19,000 บาท เนื่องจากนักลงทุนเริ่มคลายความกังวลถึงการเทขายทองของกองทุนทองคำและของประเทศในสหภาพยุโรป โดยมองว่าในช่วงนี้ราคาทองคำจะไม่ลดต่ำลงถึง 1,325 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ หรือราคาในประเทศที่ 18,000 บาท อย่างแน่นอน ส่วนราคาทองคำในประเทศจะเป็นอย่างไรยังไม่สามารถคาดการณ์ได้เนื่องจากค่าเงินบาทยังคงแข็งค่าและผันผวนต่อเนื่อง โดยเฉลี่ยค่าเงินบาทแข็งค่า 1 บาท จะมีผลต่อราคาทองคำถูกลง 700-800 บาท

อย่างไรก็ตาม มองแนวโน้มปีนี้ นายจิตติ ระบุ ยังมีโอกาสที่ราคาทองคำในตลาดโลกปรับเพิ่มขึ้นถึง 1,600-1,700ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ได้ หากสถานการณ์กลับเข้าสู่ภาวะปกติ เพราะขณะนี้มองว่าราคาทองคำได้ลดลงเกินกว่าความเป็นจริงมากแล้ว

ด้านนายสิทธิวิชญ์ ตั้งธนาเกียรติ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ตั้งธนสิน จำกัด เจ้าของธุรกิจโรงรับจำนำ Easy Money กล่าวว่า ทองคำในเดือนกันยายนปี 2554 ราคา 27,000 บาท และในเดือนพฤษภาคมปี 2555 ราคา 22,900 บาท นับว่าขณะนี้

ยังเป็นช่วงขาลงในระยะปานกลาง แต่ในช่วงปัญหาน้ำท่วมหนักปลายปี 2554 จะมีปัญหาทองคำหลุดจำนำประมาณ 9% นับว่าสูงมาก เพราะปกติทั่วไปเฉลี่ยทองหลุดจำนำประมาณ 4-5% ของการจำนำ

ปัจจุบันเมื่อราคามีแนวโน้มลดลง และมีความผันผวนในช่วงระยะสั้น จึงเริ่มมีคนที่เคยนำสร้อยคอทองคำจำนำและปล่อยให้หลุดจำนำ แล้วกลับไปซื้อทองเส้นใหม่ เพราะราคาดีกว่าซึ่งอาจกระทบต่อผลประกอบการของโรงรับจำนำ เพราะการประเมินมูลค่ารับจำนำจะมาค่าใช้จ่าย เช่น ราคาทองปัจจุบัน 19,000 บาท จะให้เงินจำนำ 15,000 บาท จึงต้องติดตามดูว่าอัตราหลุดจำนำจะสูงเหมือนกับช่วงปัญหาน้ำท่วมครั้งใหญ่หรือไม่ เพราะรายได้ของโรงรับจำนำมาจากดอกเบี้ยและการขายทรัพย์สินหลุดจำนำ แต่หากมีทรัพย์สินหลุดจำนำมา ย่อมกระทบต่อผลดำเนินการของโรงรับจำนำทั้งภาครัฐและเอกชนด้วยเช่นกัน

ที่มา.นสพ.แนวหน้า
//////////////////////////////////////

นายใหญ่ มาแล้ว !!?


หลังการความสำเร็จและชัยชนะที่ฝ่ายรัฐบาลของนายกฯ ยิ่งลักษณ์ชินวัตร ได้รับจากเกมในรัฐสภา จนสามารถผลักดัน 2 ร่างกฎหมายสำคัญให้ผ่านการพิจารณา จากที่ประชุมรัฐสภา ผ่านเข้าไปอยู่ในวาระแรกได้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว การปรากฏตัวของ"นายใหญ่" พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรอดีตนายกฯจึงเปิดฉากขึ้น !
   
ล่าสุด พ.ต.ท.ทักษิณ ได้เขียนเฟชบุ๊กส่วนตัวเพื่อสร้างความมั่นใจว่าโครงการกู้เงิน 2 ล้านล้านบาทที่ผ่านสภาในวาระแรกไปแล้วนั้น ถือเป็นการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่จะสามารถสร้างรายได้ให้กับประเทศ และที่สำคัญเราไม่ต้องใช้หนี้กันยาวนานถึง 50 ปีตามที่ฝ่ายค้านโจมตีอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน !
   
การออกมาแสดงความคิดเห็นและเคลื่อนไหวของ พ.ต.ท.ทักษิณ ผ่านโลกออนไลน์ เช่นนี้นั้น จะเป็นด้วยเหตุที่"บริวาร" ทำงานไม่ได้อย่างใจ
   
หรือจะเป็นเพราะตัว พ.ต.ท.ทักษิณ เองต้องการประกาศการคืนสู่สังเวียนการต่อสู้ เปิดหน้า "ชน" กับ"ฝ่ายตรงข้าม" หรือจะเป็นเพราะต้องการเรียกความเชื่อมั่น ดึงแนวร่วม ฝ่ายสนับสนุนรัฐบาลให้คืนกลับมาในมือก็ตาม ล้วนแล้วแต่เป็นเกมที่ทำให้บรรยากาศทางการเมือง คึกคักและเข้มข้นขึ้นโดยปริยาย
   
แม้ในอีกด้านหนึ่ง จะพบว่าบรรดาลูกพรรคเพื่อไทย บางส่วน บางกลุ่มยังพยายามส่งสัญญาณ ว่าการผลักดันให้มีการพิจารณาร่างกฎหมายนิรโทษกรรมและพ.ร.บ.ปรองดองนั้น จะมีการเดินหน้ากันต่อไปก็ตาม
   
สอดรับกับที่ล่าสุด "กลุ่ม 29 มกรา" นัดรวมพลบุกไปสอบถามความคืบหน้าร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรม ไปพร้อมกับกดดันรัฐบาลหลังจากที่"เพิกเฉย"ประวิงเวลายืดเยื้อจนถึงวันปิดสมัยประชุมสภา
   
หรือแม้กระทั่งการที่มีแกนนำพรรคเพื่อไทยบางกลุ่ม ประกาศเตรียมเดินสายลงพื้นที่ตามจังหวัดต่างๆ ทั่วประเทศ พร้อมด้วยแกนนำคนเสื้อแดงเพื่อปลุกระดมเรื่องการปรองดองโดยวางคิวเอาไว้ที่ช่วงปิดสภายาวนานหลายเดือน
   
ล้วนแล้วแต่เป็นการเดินเกมเพื่อ"ตรึงกำลัง" รอจังหวะเวลา เคลื่อนพลหากท้ายที่สุดแล้ว"งานใหญ่" ทั้งการแก้ไขรัฐธรรมนูญ, ร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรมและพ.ร.บ.ปรองดองแห่งชาติไม่สามารถ"ยุติ" ลงได้ในเวทีนิติบัญญัติ
   
งานใหญ่ ที่มีความสำคัญต่อรัฐบาลเพื่อไทย วันนี้แม้จะมีด้วยกันมากมาย หลายวาระ ก็ตาม แต่นั่นย่อมไม่ได้หมายความว่า ทุกเรื่อง ทุกวาระจำเป็นต้องได้รับการขับเคลื่อน ผลักดันไปในคราวเดียวกัน !
 
หากเมื่อใดก็ตามที่"เรื่องเล็ก"กำลังกระทบ"งานใหญ่" อย่างการแก้ไขรัฐธรรมนูญ และร่างพ.ร.บ.กู้เงิน2 ล้านล้านบาท ย่อมเป็นไปได้ว่า อาจถูกชะลอเอาไว้เป็นการชั่วคราว
 
โดยเฉพาะการออกมาเคลื่อนไหวของกลุ่ม 29 มกรา เพื่อหวังกดดันให้รัฐบาล "ขานรับ" ในสิ่งที่ทางกลุ่มต้องการ ที่สุดแล้วนายใหญ่ อาจสั่งการให้"แกนนำคนเสื้อแดง" บางคนลงไปล็อบบี้ เจรจาให้อยู่ในความสงบ
 
การกลับมาของ พ.ต.ท.ทักษิณผ่านโลกออนไลน์ ที่ครอบคลุมและทั่วถึง ส่งสัญญาณแรงชัดไปถึงทั้งกลุ่มที่สนับสนุนและต่อต้านเช่นนี้นั้นกำลังสะท้อนมิติการต่อสู้ทางการเมืองของเขาเองด้วยกันหลายประเด็น ในคราวเดียวกัน
 
ทั้งการแสดงออกถึงความเชื่อมั่นในฐานอำนาจ ขุมกำลังที่มีอยู่ในมือ ไม่ว่าจะเป็น"ฝ่ายการเมือง" หรือ"กลุ่มทุน" ที่เลือกยืนอยู่ข้าง"อำนาจรัฐ" มากกว่า"พรรคฝ่ายค้าน" โดยมีโครงการกู้เงินจำนวนมหาศาลเป็นเครื่องยืน ยันถึงเสถียรภาพรัฐบาล และโอกาสการเข้าถึงแหล่งเงิน ของกลุ่มทุนฝ่ายรัฐบาล
 
และในอีกด้านหนึ่ง นี่คือการเปิดหน้าประกาศตัวสู้กับ"ฝ่ายตรงข้าม"ของ พ.ต.ท.ทักษิณเอง ภายใต้ความมั่นใจว่า ในตอนจบของเกมนี้ เขาเองจะต้องเป็นฝ่ายกุมชัยชนะโดยที่กองทัพจะไม่เข้ามามีแอ็กชั่นอย่างใดอย่างหนึ่งแน่นอน!
 ที่มา.สยามรัฐ
////////////////////////////////////

สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย วอนรัฐบาลออกมาตรการแก้บาทแข็งค่า ลดดอกเบี้ย !!?


นายธนิต โสรัตน์ เลขาธิการ รักษาการประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ร้องรัฐบาลออกมาตรการแก้บาทแข็งค่า เก็บภาษีเงินไหลเข้า-ลดดอกเบี้ย
   
นายธนิต โสรัตน์ เลขาธิการ รักษาการประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวเรียกร้องให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ร่วมกับกระทรวงการคลังดูแลเสถียรภาพค่าเงินบาท เพราะขณะนี้เงินบาทแข็งค่าอยู่ในระดับ 28.67 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ แข็งค่าจากต้นปีที่อยู่ในระดับประมาณ 31 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ เงินบาทที่แข็งค่านี้ต่างจากประเทศเพื่อนบ้านอย่างมาเลเซีย และจีน ที่เงินอ่อนค่าลง
         
ทั้งนี้ ในวันพรุ่งนี้ (23 เม.ย.) จะทำหนังสือถึง รมว.คลังและ ผู้ว่าการ ธปท. เพื่อขอให้ออกมาตรการดูแลเงินทุนเคลื่อนย้าย โดยพิจารณาจัดเก็บภาษีเงินทุนไหลเข้าที่มาเก็งกำไรระยะสั้น แต่จะต้องไม่กระทบต่อตลาดเงิน และการระดมทุนของภาคเอกชน และขอให้ ธปท. ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายจากร้อยละ 2.75 ในปัจจุบัน ให้เหลือร้อยละ 2 เพื่อเป็นเครื่องมือในการบริหารเงินทุนไหลเข้าให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม โดยคำนึงถึงผลกระทบต่อภาคการส่งออก รวมทั้งขอให้มีกลไกให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี สามารถเข้าถึงการทำประกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน
         
นับตั้งแต่ต้นปีเงินบาทแข็งค่าประมาณร้อยละ 7 ถึง 8 ส่งผลกระทบผุ้ประกอบการ โดยเฉพาะวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม(เอสเอ็มอี) ที่ใช้วัตถุดิบภายในประเทศสูง และอุตสาหกรรมการเกษตร นอกจากนี้ ยังมีผลกระทบจากค่าแรงที่ปรับเพิ่มขึ้นเป็นวันละ 300 บาททั่วประเทศ ซึ่งมาตรการช่วยเหลือที่มีอยู่แล้วของรัฐบาล ไม่สามารถช่วยบรรเทาผลกระทบให้ภาคเอกชนได้เพียงพอ"นายธนิต กล่าว
         
 ส่วนการแก้ไขปัญหาความขัดแยังภายในของ ส.อ.ท.ที่ยืดเยื้อนานกว่า 5 เดือน นายธนิต กล่าวว่า ขณะนี้ได้เจรจาร่วมกับกลุ่ม นายพยุงศักดิ์ ชาติสุทธิผล ประธาน ส.อ.ท.เพื่อแก้ไขปัญหา โดยมีผู้ใหญ่ที่เป็นที่เคารพของทั้งสองฝ่ายเข้ามาเป็นคนกลาง โดยคาดว่าจะได้ข้อยุติเร็วๆ นี้ แต่ยังมีอีกหลายเงื่อนไขที่ต้องพูดคุย โดยเฉพาะประเด็นเรื่องการกำหนดตัวประธาน ส.อ.ท.
         
 อย่างไรก็ตาม ในระหว่างนี้ตนเองจะยังดำรงตำแหน่งรักษาการประธาน ส.อ.ท.ต่อไป จนกว่าการแก้ไขปัญหาจะจบลง โดยยืนยันว่าจะไม่ลงชิงตำแหน่งประธาน หากมีการแต่งตั้งประธานคนใหม่

ที่มา.สยามรัฐ
////////////////////////////////////////

วันจันทร์ที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2556

วิกฤต : เอสเอ็มอี ส่งออก เอาต์ซอร์ซ อุตลุด ยุบแผนก-จ่ายตามจริง !!?


ผล จากค่าแรง 300 บาทเริ่มใช้เมื่อมกราคม 2556 ที่ผ่านมา ตามด้วยค่าเงินบาท ต้นทุนพลังงาน ผลก็คือรายย่อยไม่อาจจะรับภาระต้นทุนที่สูงขึ้น ขณะที่ยอดขายรายได้ลดลง

สัมภาษณ์:นายจิรบูลย์ วิทยสิงห์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท แดช อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด ถึงแนวทางในการลดต้นทุนใน 3 เดือนที่ผ่านมา

ชัดล่ะ เอาต์ซอร์ซอุตลุด...

กรณีของ บริษัท คือ บริษัทรับจ้างผลิตและส่งออกของชำร่วยของตกแต่งบ้านไปยังยุโรปและอเมริกา ผล กระทบมาจากหลาย ๆ ส่วน ประการแรกคือ ค่าแรง 300 บาท ต้นทุนพลังงานค่าเงินบาท ที่สำคัญคือ ออร์เดอร์จาก

ต่างประเทศลดลงมาก และมีการปรับตัวของลูกค้าจากต่างประเทศ จากเคยออร์เดอร์ครั้งละ 5,000 ชิ้น เหลือเพียงแค่ 1,000-5,000 ชิ้นเท่านั้น

เป็น สาเหตุสำคัญที่ทำให้บริษัทต้องหาวิธีในการลดต้นทุนลง แนวทางแรกคือการเอาต์ซอร์ซ ตั้งแต่การยุบบางแผนกลง เช่น ส่วนของโลจิสติกส์ คนขับรถส่งสินค้า ในอดีตจะต้องจ้างประจำ ทั้งคนขับและเด็กนั่งรถ บริษัทเปลี่ยนเป็นการจ้างพนักงานมาขับรถส่งของเป็นครั้งคราว และจ่ายเป็นครั้ง ทำให้ลดค่าใช้จ่ายที่เป็นรายได้ประจำต่าง ๆ เช่น ค่าสวัสดิการและเงินเดือน

"จากเมื่อก่อนเคยจ่ายทุกเดือนไม่ต่ำกว่าเดือนละ 50,000 บาท สำหรับแผนกนี้ ตอนนี้เหลือเพียงเดือนละ 2-3 หมื่นบาท"

ขณะ ที่เมสเซนเจอร์ปกติมาทำงานทุกวัน แต่เมื่องานลดลง ผมหันมาจ้างมอเตอร์ไซค์รับจ้างแทน และอบรมให้เขาสามารถรับส่งเอกสาร โดยมอเตอร์ไซค์รับจ้างเขาจะมีรับส่งคนเฉพาะช่วงเช้าและเย็น ส่วนช่วงเก้าโมงจะเข้ามารับงานส่งเอกสารเป็นงานสำรอง ขณะที่เราได้งานที่ตรงเวลามากขึ้น ไม่ต้องสำรองเงินสด เช่น ค่าน้ำมัน ค่าซ่อม เพราะจะมีการวางบิลตอนปลายเดือนอีกครั้ง

ฝ่ายต่างประเทศใช้น้อยจ่ายน้อย

ใน ส่วนของงานต่างประเทศ คุณจิรบูลย์กล่าวว่า ปกติเวลาออกงานในต่างประเทศ จะต้องมีผู้ช่วย ซึ่งทำหน้าที่ติดตามลูกค้าส่งตัวอย่าง ตอบอีเมล์ รับออร์เดอร์ ตรงนี้ในแผนกต่างประเทศจะต้องจ่ายพนักงานไม่ต่ำกว่า 35,000-50,000 บาทต่อเดือน/คน ประกอบกับเมื่องานน้อยลง พนักงานต้องการความมั่นคงในอาชีพ จึงตัดสินใจออกมาเปิดบริษัท รับงาน โดยรับงานจากเราเป็นครั้ง คิดจากการตอบจดหมายลูกค้า ตามอีเมล์ ส่งตัวอย่างสินค้า

อีก ส่วนคือ การออกบูทต่างประเทศจะคิดเป็นครั้ง โดยบริษัทจะออกค่าเครื่องบินค่าใช้จ่ายในการเดินทาง ค่าอาหาร เบี้ยเลี้ยงให้ ซึ่งปีหนึ่งไปออกงานไม่กี่ครั้ง เฉลี่ยครั้งละ 30,000-50,000 บาทเท่านั้น

เมื่อเทียบกับการจ่ายต่อครั้ง วิธีนี้อาจจะมีค่าใช้จ่ายที่สูงกว่า แต่หากเทียบกับภาพรวมแล้ว บริษัทไม่จำเป็นต้องแบกรับต้นทุนที่ต้องจ่ายทุกเดือน

จ้างเหมาแก้ปัญหาค่าแรง 300

ใน ส่วนของโรงงานผลิต คุณจิรบูลย์แก้ปัญหาแรงงานขาดแคลน เพราะแรงงานบางส่วนกลับบ้าน เนื่องจากไม่มีงาน บางส่วนเปลี่ยนไปอยู่ที่ใหม่ที่ค่าแรงสูงกว่า ขณะที่ลูกค้าจากต่างประเทศสั่งออร์เดอร์เล็กลง เพราะลูกค้าไม่ต้องการสต๊อกสินค้า จึงยอมจ่ายในราคาสูงขึ้น 10-15% แต่จำนวนชิ้นน้อยลง แต่ระยะเวลาในการส่งสินค้าสั้นขึ้น จาก 20 วันเหลือเพียง 10 วันเท่านั้น

"งานที่ไม่ต้องใช้แรงงานฝีมือ เราใช้วิธีการ จ้างเหมาจ่าย เช่น การประกอบพวงกุญแจไม่ต้องใช้แรงงานฝีมือ และโรงงานของเราอยู่ในเขตชุมชน หาคนงานยาก จะมีผู้มารับงานและกระจายไปตามหอพักต่าง ๆ ให้กับนักศึกษา ที่ต้องการรายได้พิเศษ ซึ่งจะมีการจ้างเหมางานแบบนี้ เฉพาะช่วงที่ออร์เดอร์เร่ง ๆ เท่านั้น แทนที่จะจ่ายโอที การจ้างงานแบบเหมาจ่ายคุ้มกว่า เพราะได้งานตรงเวลาอีกด้วย"

คุณจิร บูลย์กล่าวต่อด้วยว่า "ตอนนี้ลูกค้าต่างประเทศออร์เดอร์ใหญ่หายไปเกือบ 100% ซึ่งลูกค้ากลุ่มนี้จะต้องมาดูโรงงาน ตรวจสอบคุณภาพ เหลือแต่รายเล็ก ๆ และในแถบเอเชียซึ่งสั่งน้อยไม่เคร่งครัดเรื่องนี้มากนัก"

จูงใจ จ่ายสด ลด 5%

และสุดท้ายคือ เรื่องของกระแสเงินสด ทำอย่างไรให้เกิดกระแสเงินสดเข้ามา คุณจิรบูลย์แนะว่า ลูกค้าในประเทศ เช่น ห้างสรรพสินค้า ร้านค้า มีการยืดเครคิตยาวขึ้น ซึ่งตนเองได้กลับมาคิดวิธีที่จะให้ลูกค้าจ่ายเงินสดมากขึ้น คือ จูงใจให้ลูกค้าจ่ายเงินสด จะลดราคาลง 5%

วิธีนี้เป็นการ กระตุ้นให้ลูกค้าตัดสินใจจ่ายสดมากขึ้น เพราะลดค่าใช้จ่าย ขณะที่ผู้ประกอบการเอง ลดความเสี่ยงลงเพราะมีกระแสเงินสดเข้ามาต่อเนื่องอีกด้วย

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
////////////////////////////////////////////////////////

ห่วงค่าบาทฉุด SME ล้ม !!?


แบงก์พาณิชย์"ชี้ครึ่งหลังบาทผันผวนแน่ เข็นเอสเอ็มอีซื้อฟอร์เวิร์ด-บริหารต้นทุนป้องกำไร  ค่าย "กรุงไทย"จับลูกค้าทำเฮจจิ้ง  เตือนถ้าบาทแข็งต่อเนื่องอีก 2-3 เดือนมีโอกาสเห็นธุรกิจล้ม ขณะที่ "กสิกรไทย-ทหารไทย" แนะไทยเอาย่างญี่ปุ่นทำเฮจจิ้ง 50-70% เตือนธุรกิจอย่าเก็งค่าเงิน-ฟิกซ์เรตทำเฮจจิ้ง ส่วน "กรุงศรีฯ"ใส่เกียร์ถอยเทรดไฟแนนซ์รอสถานการณ์

 หลังจากที่ธนาคารกลางชั้นนำของโลกทั้งญี่ปุ่น (บีโอเจ) และสหรัฐอเมริกา (เฟด) ยังมีแนวโน้มเดินหน้ามาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ต่อไป ตลาดยังติดตามกระแสการเคลื่อนย้ายเงินทุนระหว่างประเทศโดยเงินบาทเคลื่อนไหวต่ำสุดระหว่างวันศุกร์ที่ 19 เมษายนที่ระดับ 28.66 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ เทียบกับระดับ 29.00 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ เมื่อวันที่ 12 เมษายนที่ผ่านมา  ทั้งนี้ ผลจากเงินบาทแข็งค่าในรอบ 16 ปี ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)ได้ขอให้ธนาคารพาณิชย์ช่วยเหลือธุรกิจเอสเอ็มอีนั้น
 
ต่อประเด็นดังกล่าวนายประสิทธิ์  วสุภัทร  รองกรรมการผู้จัดการ  ผู้บริหารสายงาน สายงานธุรกิจขนาดกลาง ธนาคารธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) (บมจ.) เปิดเผยว่า  ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาธนาคารได้เข้าไปให้ความช่วยเหลือลูกค้าจากผลกระทบของค่าเงินบาทอย่างต่อเนื่อง  ทั้งการออกผลิตภัณฑ์การป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน  การปล่อยสินเชื่อหมุนเวียน  การแนะนำในเชิงลึกเป็นรายกรณี ทำให้สถานการณ์ของลูกค้าในภาพรวมยังไม่มีปัญหา
 
ส่วนลูกค้าที่เริ่มได้รับผลกระทบ ได้แก่ ภาคการเกษตร สิ่งทอ รองเท้า ผักผลไม้แช่แข็ง และธุรกิจที่ใช้วัตถุดิบในประเทศในการผลิตเพื่อส่งออก เป็นต้น แม้ขณะนี้ยังสามารถประคับประคองธุรกิจเพื่อความอยู่รอดได้ แต่หากเงินบาทปรับแข็งค่าต่อเนื่องไปอีก 2-3 เดือน ถ้าภาคธุรกิจไม่สามารถปรับราคาขึ้นได้ หรือไม่สามารถปรับตัวได้ โดยเฉพาะรายสายป่านสั้นนั้นน่าเป็นห่วง  เนื่องจากการค้าขายของผู้ประกอบการส่วนใหญ่กำหนดราคาผ่านเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐฯ
 
"ภาพรวมช่วงที่ค่าเงินบาทแข็งค่าหนักในระดับ 29 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ หรือหลุดกรอบไม่มากอาจไม่ได้กระทบธุรกิจมากนัก รวมถึงแบงก์ไม่ต้องมีการตั้งสำรองหรือเพิ่มค่าความเสี่ยง แต่หากระยะข้างหน้าเงินบาทยังแข็งค่าต่อเนื่องไปเรื่อยๆ ลูกค้าต้องเร่งปรับตัว  เพราะแบงก์ช่วยได้เต็มที่เพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น  แต่ลูกค้าจะเป็นผู้ที่สามารถทำให้ธุรกิจตัวเองผ่านพ้นวิกฤติไปได้ เช่น อาจจำเป็นต้องนำเข้าเครื่องจักรหรือสินค้าทุนเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนการผลิต เป็นต้น"
 
นายประสิทธิ์ กล่าวอีกว่า ที่ผ่านมาธนาคารเน้นปล่อยสินเชื่อเป็นแพ็กเกจกับวงเงินการซื้อประกันความเสี่ยง (แพ็กกิ้งเครดิต) เนื่องจากตระหนักถึงความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน ทำให้ลูกค้าที่มีการทำธุรกรรมการค้าระหว่างประเทศของธนาคารมีการป้องกันความเสี่ยง 100% โดยระยะเวลาการซื้อเครื่องมือป้องกันความเสี่ยงจะขึ้นอยู่กับระยะการค้าของลูกค้า  ซึ่งส่วนใหญ่จะกำหนดราคาอัตราแลกเปลี่ยนล่วงหน้าตามระยะเวลาสัญญา
 
นายทรงพล  ชีวะปัญญาโรจน์ รองกรรมการผู้จัดการ บมจ.ธนาคารกสิกร ไทย กล่าวว่า แนวโน้มผู้ส่งออกเอสเอ็มอีน่าจะตื่นตัวมากขึ้นจากสัญญาณความผันผวนของค่าเงิน  ส่วนที่ผ่านมาแม้ว่าทุกธนาคารพาณิชย์พยายามจะให้คำแนะนำลูกค้าป้องกันความเสี่ยงแต่พบว่ามีกลุ่มธุรกิจเอสเอ็มอีที่ส่งออกเพียง 15-20%เท่านั้นที่มีการป้องกันความเสี่ยงไว้โดยการประกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน(เฮจจิ้ง) แต่ส่วนใหญ่ไม่ยอมเฮจจิ้ง  เมื่อเทียบกับตลาดญี่ปุ่นนั้นมีการเฮจจิ้ง 50-70% แต่ธุรกิจไทยมีการกำหนดอัตราแลกเปลี่ยนเผื่อบางส่วนเก็งกำไร  นอกจากนี้โดยทั่วไปแล้วธนาคารจะมีเครื่องมือและวงเงินรวมป้องกันความเสี่ยงให้ลูกค้าโดยไม่เรียกหลักประกันเพิ่ม แต่ขึ้นอยู่กับลูกค้าจะเลือกใช้หรือไม่
 
นายปพนธ์  มังคละธนะกุล  ประธานเจ้าหน้าที่บริหารเอสเอ็มอีและซัพพลายเชน บมจ.ธนาคารทหารไทย หรือทีเอ็มบีแบงก์ (TMB) กล่าวว่า ล่าสุดธนาคารเพิ่งออกผลิตภัณฑ์ใหม่ "พรีเพด ฟอร์เวิร์ด"โดยให้ลูกค้าสินเชื่อไม่ต้องมีวงเงินกับธนาคารสามารถซื้อฟอร์เวิร์ดในระดับอัตราแลกเปลี่ยนที่พอใจได้ เพียงวางเงินมัดจำกับ  12-15% ของมูลค่าธุรกรรม  อย่างไรก็ตาม เมื่อแนวโน้มธุรกิจเห็นความผันผวนและโอกาสที่เงินบาทจะแข็งต่อเนื่องแล้ว จึงควรตัดสินใจคำนวณกำไรที่คาดหวังแล้วล็อกอัตราแลกเปลี่ยนซื้อฟอร์เวิร์ดโดยรวมควรซื้อไม่ต่ำกว่า 50% ทั้งนี้ ธุรกิจที่ที่ไม่สามารถแข่งขันหรือไม่มีตลาดรองรับบวกกับไม่สามารถปรับตัวบริหารต้นทุนนั้นมีโอกาสจะทำให้กำไรลดลงกว่าที่ควรจะได้รับ
 
ทั้งนี้เงินบาทที่แข็งค่าทำให้ต้นทุนการผลิตของธุรกิจเอสเอ็มอีสูงขึ้น จึงมีโอกาสฉุดให้รายได้และกำไรลดลง  โดยเวลานี้ผลกระทบลูกค้ายังไม่ถึงขั้นปิดกิจการ  หรือไม่สามารถชำระหนี้  เพียงแต่ทำให้กำไรลดลงเท่านั้นเอง  ขณะที่ทุกธนาคารพยายามแนะนำลูกค้า  และแจ้งสถานการณ์ให้ลูกค้าทราบเพื่อปรับตัวแล้ว แต่ขึ้นอยู่กับความตระหนักและตื่นตัวของลูกค้าว่าจะมีแค่ไหน  แต่แนวโน้มเชื่อว่าลูกค้าน่าจะตื่นตัวขึ้น
 
ด้านนายสยาม  ประสิทธิศิริกุล  ประธานคณะเจ้าหน้าที่ด้านลูกค้าธุรกิจเอสเอ็มอี บมจ. ธนาคารกรุงศรีอยุธยา กล่าวยอมรับว่า ผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากบาทแข็งต่อเนื่องจากการปรับค่าแรงขั้นต่ำยิ่งเพิ่มผลกระทบเป็น2เท่า เช่น ธุรกิจสิ่งทอ  อุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับไม้  โดยในส่วนของธนาคารเองมีพอร์ตสินเชื่อเอสเอ็มอีที่ส่งออกไม่ถึง 5% ซึ่งเดิมธนาคารมองว่าเป็นสัดส่วนที่น้อยเกินไป  และเตรียมจะขยายเพิ่มสินเชื่อดังกล่าว แต่ต้องพับเก็บแผนไว้ก่อน เพื่อรอสถานการณ์ให้นิ่ง
 
ขณะที่ปริมาณการซื้อประกันป้องกันความเสี่ยงของลูกค้าเอสเอ็มอีของธนาคาร ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาไม่ได้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ  เนื่องจากลูกค้าส่วนใหญ่ 90.4% หรือกว่า 4.52 หมื่นราย จากจำนวนลูกค้ารวม 5 หมื่นราย ยังเป็นผู้ประกอบการรายเล็กที่มียอดขายน้อยกว่า 50 ล้านบาทต่อปี  หรือมีวงเงินกู้น้อยกว่า 30 ล้านบาท  และในจำนวนดังกล่าวยังมีสัดส่วนผู้ประกอบการส่งออกไม่มากนัก
 
"ลูกค้าผู้ประกอบการส่งออกเรามีไม่มาก ไม่ถึง 5% ของพอร์ตเอสเอ็มอีรวม  โดยส่วนใหญ่เป็นผู้ประกอบการรายเล็กจึงไม่ค่อยทำประกันความเสี่ยงมากนัก  ยกกรณีบางรายส่งออกในบางครั้งเพียง 1-2 ตู้คอนเทรนเนอร์ มูลค่าสินค้าไม่ถึง 1 ล้านบาท  หากทำประกันความเสี่ยงจะต้องจ่ายอีกประมาณ 10 สตางค์ ของมูลค่าสินค้า  และยังมีค่าบริหารจัดการ  หรือทำเอกสารเพิ่มเติม  ส่วนใหญ่จึงเลือกรับความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนแทนการเสียค่าพรีเมียมเพิ่มขึ้น"
 
อย่างไรก็ตาม  หากพิจารณาในส่วนของลูกค้าเอสเอ็มอีรายใหญ่ที่มียอดขายตั้งแต่ 50 ล้านบาท ขึ้นไป พฤติกรรมการซื้อประกันความเสี่ยงยังเลือกซื้อในบางรอบ ขึ้นอยู่กับโอกาส จังหวะ และความสามารถของคู่ค้าเป็นสำคัญ  และส่วนใหญ่จะมองค่าเงินมีแนวโน้มแข็งค่าสามารถบริหารจัดการได้ง่ายกว่าค่าเงินที่มีเคลื่อนไหวลักษณะผันผวน
 
อนึ่ง ธปท.ขอให้ธนาคารพาณิชย์ช่วยเหลือเอสเอ็มอีใน 4เรื่องคือ  1.การให้คำแนะนำ  2.ออกโปรดักส์ประกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน (FX) ที่มีขนาดเล็กลง  3.การทำประกันความเสี่ยงไม่ควรตัดวงเงินเครดิตเดิม  และ4.อำนวยความสะดวกไม่แลกเงินตราต่างประเทศเป็นเงินบาทโดยสามารถฝากในบัญชีเงินฝากสกุลเงินต่างประเทศ (FCD) และลดค่าธรรมเนียม

ที่มา.นสพ.ฐานเศรษฐกิจ
//////////////////////////////////////////////////

วันเสาร์ที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2556

อลินา มิรอง อาวุธลับน็อกเขมร ขวัญใจคนไทย !!?


 หากไม่นับ “วีรชัย พลาศรัย” หัวหน้าทีมกฎหมายฝ่ายไทยในการสู้ศึกปราสาทพระวิหารที่ศาลโลก ณ กรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์ ซึ่งทำหน้าที่ได้อย่างโดดเด่นจนได้รับคำชมจากคนไทยทั้งชาติแล้ว คงต้องบอกว่า อีกหนึ่งบุคคลที่โดดเด่นไม่แพ้กันก็คือ “มิสอลินา มิรอง” (Alina Miron) ทนายความสาวชาวโรมาเนีย ซึ่งเป็นผู้ช่วยของ ศ. อแลง แปลเล่ต์
     
       โดดเด่นชนิดที่กลายเป็นขวัญใจของคนไทยในชั่วข้ามคืน โดยเฉพาะในโลกออนไลน์ที่มีการโพสต์ข้อความชื่นชมกันเป็นจำนวนมาก กระทั่งเกิดกระแสมิสอลินา มิรอง ฟีเวอร์ขึ้นในโลกโซเชียลมีเดีย ทันที
     
       กล่าวสำหรับอลินา มิรองแล้ว เธอถือเป็น “อาวุธลับ” หรือ “หมัดเด็ด” ที่เรียกว่า มีผลต่อการแพ้ชนะเลยก็ว่าได้ เพราะเธอสามารถงัดข้อมูลทางกฎหมายเพื่อต่อสู้กับข้อมูลฝ่ายกัมพูชาได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะข้อมูลในเรื่องความมั่วนิ่มของแผนที่ ซึ่งสามารถเล่นงาน The annex 1 map หรือแผนที่มาตราส่วน 1 ต่อ 200,000 ที่ฝ่ายกัมพูชาหมายมั่นปั้นมือว่าเป็นหมัดเด็ดน็อกฝ่ายไทยให้ง่อยเปลี้ยเสียขาในสายตาของชาวโลกในทันที
     
       อลินา มิรอง สามารถชี้ให้เห็นถึงปัญหาของกัมพูชาในเรื่องการกำหนดเส้นเขตแดนในแผนที่ภาคผนวก 1 ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงไปมาและแผนที่ดังกล่าวขัดต่อหลักภูมิศาสตร์ไม่สามารถถ่ายทอดลงแผนที่ในโลกปัจจุบันได้ และแผนที่ภาคผนวก 1 ที่กัมพูชาอ้างถึงนั้นไม่ได้มีแค่ฉบับเดียวแต่ทีมฝ่ายไทยพบถึง 6 ฉบับ ทำให้แผนที่นี้ขาดความน่าเชื่อถือ และยังขาดความแม่นยำทางเทคนิคด้วย"
     
       “แม้ว่าจะมีความชัดเจนเรื่องปราสาท แต่แผนที่ภาคผนวก 1 ไม่สามารถปฏิเสธว่ากัมพูชามีสิทธิเหนือพื้นที่อื่นๆ จึงคิดว่าแผนที่นี้มีคุณค่าในการพิสูจน์ แต่จะใช้กำหนดเขตแดนหรือไม่เพราะไม่ชัดเจนเรื่องภูมิศาสตร์ ภูมิรัฐต่างๆ และแผนที่อีกฉบับที่ไทยได้ส่งเมื่อปี 1947 ซึ่งเสนอต่อคณะกรรมการประนีประนอมที่ให้ความสนใจในที่ตั้งของปราสาทพระวิหาร และมีความคล้ายกันทั้งหมดที่แสดงให้เห็นว่าปราสาทตั้งอยู่ทางตอนใต้ของเขตแดน จึงสามารถสรุปได้ว่าแผนที่ภาคผนวก 1 ไม่สามารถใช้เป็นตราสารที่แยกจากสนธิสัญญา 1904 เนื่องจากไม่มีความแม่นยำทางเทคนิค จึงไม่สามารถนำแผนที่เก่าๆ มาใช้ในการปักปันเขตแดน จึงควรใช้แผนที่ภาคผนวก 1 หลายๆ ฉบับมากกว่า การที่นายร็อดแมน บันดี ทนายชาวอเมริกันของฝ่ายกัมพูชา บอกว่าการมีหลายฉบับไม่สำคัญ แต่ที่สำคัญคือแผนที่ที่กัมพูชาแนบมากับคำร้องเมื่อปี 1959 ซึ่งถือเป็นการด่วนสรุปเกินไปว่า แผนที่ที่ศาลใช้นั้นมีฉบับเดียว แต่ที่จริงศาลได้มีการเผยแพร่แผนที่ภาคผนวก 1 แล้วทำไมเอกสารที่ศาลนำเผยแพร่จึงมีความสำคัญน้อยกว่า”มิสอลินา มิรองอธิบายให้คนทั้งโลกเห็นว่ากัมพูชาไม่ได้มีสิทธิ์ในพื้นที่บริเวณรอบปราสาทพระวิหาร
     
       ปณิธาน วัฒนายากร อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย ให้ความเห็นต่อการทำหน้าที่ของมิสอลินา มิรองว่า “ไม้เด็ดของการแถลงฝ่ายไทยครั้งนี้ถือว่าเป็นครั้งแรกที่มีผู้เชี่ยวชาญด้านแผนที่คือ อลินา มิรอง ทนายความหญิงฝ่ายไทยมายืนยันความล้มเหลวของแผนที่ 1 ต่อ 200,000 ของกัมพูชา โดยอ้างแผนที่ที่มีความแม่นยำกว่าจากการศึกษาของไอบีอาร์ยู ที่มีหลักฐานทั้งทางประวัติศาสตร์และวิทยาศาสตร์อันน่าเชื่อถือได้ ที่สำคัญการยกข้อมูลแผนที่อีกฉบับมาหักล้างกัมพูชาถือเป็นการเน้นย้ำว่า หากศาลตีความซ้ำในคำพิพากษาเดิมที่ยึดแผนที่ 1 ต่อ 200,000 ก็ไม่สามารถยุติความขัดแย้งของ 2 ชาติได้ตามที่กัมพูชากล่าวอ้าง แต่จะยิ่งเพิ่มทวีความขัดแย้งขึ้นมา เพราะแผนที่ที่กัมพูชาเรียกร้องนั้นไม่มีประสิทธิภาพ”
     
       เช่นเดียวกับ คำนูณ สิทธิสมาน ส.ว.สรรหา ซึ่งอยู่ที่ศาลโลก กรุงเเฮก เนเธอร์แลนด์ ถึงกับชื่นชมว่า “เธอเป็นอาวุธลับที่ขึ้นมาพูดเรื่อง 'map'(แผนที่) โดยเฉพาะ”
     
       นอกจากนี้ จากการตรวจสอบในโซเชียลเน็ตเวิร์กพบว่า ชื่อของมิสอลินา มิรองดังกระฉ่อนในชั่วข้ามคืน ยกตัวอย่างเช่น หน้าเพจของ "สายตรงภาคสนาม" ที่โพสต์ข้อความเกี่ยวกับเธอ ปรากฏว่า มีคนกดไลค์มากว่า 5 พันไลค์และกด แชร์มากถึง 2,310 แชร์ เพียงแค่โพสต์ข้อความนี้ลงไปแค่ 22 ชั่วโมง
     
       หรือแม้แต่ในเว็บไซต์พันทิพย์ ก็มีการหยิบยก เรื่องนี้ขึ้นมาพูดคุยเช่นกัน เช่น BaaD ตั้งกระทู้ ชื่อว่า "ชาวเน็ตแห่ชม อลินา มิรอง ทีมกฎหมายไทยแจงคดีเขาพระวิหาร หลังนำแผนที่ The big map โต้ the Annex I map ของกัมพูชาขาดกระจุย" เป็นต้น
     
       สำหรับประวัติส่วนตัวนั้น มิสอนินา มิรอง ปัจจุบันอายุ 34 ปี ถือสัญชาติโรมาเนียและฝรั่งเศส มีความสามารถถึง 5 ภาษาด้วยกันคือ โรมาเนียที่เป็นภาษาแม่ ภาษาอังกฤษและฝรั่งเศสที่จัดอยู่ในระดับเชี่ยวชาญ ภาษาอิตาลีที่เข้าขั้นดี ภาษาสเปนและโปรตุเกสที่จัดอยู่ในระดับพอใช้
     
       ส่วนประวัติการศึกษา เธอจบปริญญาตรี เกียรตินิยมอันดับหนึ่ง นิติศาสตรบัณฑิต (2543-2546)ปริญญาโท เกียรตินิยมอันดับสอง กฎหมายระหว่างประเทศ แผนกคดีเมือง (2546-2547)มหาวิยาลัย เด ซิอองส์ โซซิอัล ที่เมืองตูลูส ประเทศฝรั่งเศส โดยขณะนี้กำลังศึกษาระดับปริญญาเอก
     
       ขณะที่ประสบการณ์การทำงาน มิสอลินา มิรองทำหน้าที่เป็นผู้ช่วย ศ.อแลง แปลเล่ต์ว่าความในหลายคดีด้วยกัน อาทิ ว่าความให้ประเทศญี่ปุ่น คดีล่าวาฬในมหาสมุทรแอนตาร์กติก (ออสเตรเลีย ฟ้อง ญี่ปุ่น) ว่าความให้ประเทศนิการากัว คดีความเคลื่อนไหวละเมิดอธิปไตยบริเวณชายแดน (คอสตาริก้า ฟ้อง นิการากัว) ว่าความให้ประเทศกรีซ คดีความชอบธรรมเอกสารข้อมติรัฐบาลชั่วคราว ปี 1995 (มาเซโดเนีย ฟ้อง กรีซ) ว่าความให้ประเทศรัสเซีย คดีความชอบธรรมพิธีสารว่าด้วยการยุติการแบ่งแยกทางเชื้อชาติ (จอร์เจีย ฟ้อง รัสเซีย) เป็นต้น
     
       นี่คือความไม่ธรรมดาของทนายสาวชาวโรมาเนียที่วันนี้ได้กลายเป็นขวัญใจคนไทยไปเรียบร้อยแล้ว

ที่มา.ผู้จัดการออนไลน์
/////////////////////////////////////////////////