--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันพฤหัสบดีที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

เศรษฐศาสตร์ชวนคิด ในช่วงเทศกาลวาเลนไทน์ !!?


ถึงเทศกาลวาเลนไทน์ คนมักพูดคุยประเด็นเกี่ยวกับความรัก เซ็กซ์ ปัญหาวัยรุ่น การแต่งงาน รวมถึงการแสดงออกถึงความรักแบบแปลกๆ

วันนี้ จะขออนุญาตนำเสนอประเด็นทั้งหลาย ผ่านมุมมองและแนวคิดทางเศรษฐศาสตร์ โดยรวบรวมและสรุปความมาจากเว็บไซต์ “setthasat.com” ซึ่งมักจะนำประเด็นที่น่าสนใจมาอธิบายผ่านมุมมองทางเศรษฐศาสตร์อย่างแยบคาย มีเสน่ห์ชวนคิด ชวนถกเถียง ชวนเรียนรู้

1) ดอกกุหลาบสำคัญแค่ไหนในการจีบกัน?

ช่วงวาเลนไทน์ ดอกกุหลาบจะแพงเป็นพิเศษมีนักเศรษฐศาสตร์สงสัยว่า การให้ดอกกุหลาบมีความสำคัญแค่ไหนในการจีบกัน? ช่วยให้ฝ่ายชายประสบความสำเร็จมากขึ้นจริงหรือ?

เรื่องนี้ มีการศึกษาในประเทศเกาหลี พบว่า ดอกกุหลาบเพิ่มโอกาสประสบความสำเร็จในการขอเดทมากขึ้น

โดยเฉพาะหากว่าผู้รับเป็นคนที่มีเสน่ห์ระดับกลางๆ คือ หน้าตาปานกลาง พอไปวัดไปวาได้ ไม่ใช่ประเภทสวยหยาดฟ้าซูเปอร์สตาร์ดาวล้านดวง

สาเหตุสำคัญ คือ ดอกกุหลาบได้กลายเป็นรูปแบบของการส่งสัญญาณถึงความรู้สึกพิเศษของผู้ให้ที่มีต่อผู้รับ

ยิ่งมีอยู่จำกัด ยิ่งหามายาก สัญญาณยิ่งแรงชัด

อันที่จริง ถ้าไม่ใช้ดอกกุหลาบก็อาจจะเป็นอย่างอื่นก็ได้ที่สามารถส่งสัญญาณถึงความรู้สึกพิเศษได้

ทำให้ฝ่ายหญิงรับรู้ว่า “เธอเป็นคนพิเศษ” และ “ฉันพยายาม
ทำเพื่อเธอ”

2) ทำไมผู้หญิงสวยมักลงเอยกับผู้ชายไม่หล่อ?

มุมมองทางเศรษฐศาสตร์อธิบาย โดยศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างเสน่ห์ทางร่างกาย (หน้าตา) กับความพึงพอใจในชีวิตสมรสของคู่แต่งงานใหม่

หล่อไม่หล่อ สวยไม่สวย มันมีผลต่อความสุขในชีวิตสมรสอย่างไร?

ในด้านการปฏิบัติต่อกันของสามีภรรยา ผลการศึกษา พบว่า

ความหล่อของสามี มักจะส่งผลทางลบทั้งต่อการปฏิบัติของตัวสามีเอง เช่น ให้เกียรติภรรยาน้อยลง และส่งผลต่อการปฏิบัติของตัวภรรยา เช่น มักเกิดความหึงหวง หวาดระแวงสามีที่หล่อ

ส่วนความสวยของภรรยานั้น จะส่งผลบวกต่อการปฏิบัติของตัวภรรยา เช่น ให้เกียรติสามี เพราะต้องรักษาภาพพจน์ของตัวเอง และส่งผลบวกต่อการปฏิบัติของตัวสามี เช่น คอยเอาอกเอาใจมากขึ้น เพราะภรรยาสวย

เรื่องนี้ มีคำอธิบายจากสองแนวคิด

(1) แนวคิดทางด้านมานุษยวิทยา อธิบายได้ว่า การมีรูปร่างหน้าตาดีของผู้หญิงนั้นตัวผู้หญิงเองจะถือว่าเป็นทรัพยากร (หรือทรัพย์สิน) และมักใช้ไปเพื่อคัดเลือกคู่ครองที่เหมาะสม ขณะที่การมีรูปร่างหน้าตาดีของผู้ชายนั้น ตัวผู้ชายจะถือว่ามันเป็นอาวุธที่ใช้ในการล่า เพื่อขยายเผ่าพันธุ์ ดังนั้น เมื่อมีการลงเอยกันแล้ว ผู้หญิงมักถือว่าตนเองได้คู่ครองที่เหมาะสม และสร้างครอบครัวต่อไป แต่ผู้ชายจะยังคงใช้เพื่อการล่า และนำมาซึ่งปัญหาครอบครัวต่อไป

(2) แนวคิดทางด้านเศรษฐศาสตร์พฤติกรรม อธิบายได้ว่า ผู้หญิงเป็นเพศที่มีความงามมากกว่าผู้ชาย พวกเธอจึงไม่ขาดแคลนทรัพยากรความงาม พวกเธอจึงให้ความสำคัญกับด้านอื่นๆ ที่พวกเธออาจขาดแคลนแทน เช่น ฐานะ ความสามารถ ไหวพริบ หรือแม้แต่มุขตลก (แล้วแต่ว่าใครให้น้ำหนักกับด้านไหน) ขณะที่ผู้ชายให้ความสนใจกับความงามของผู้หญิงก็เพราะเป็นสิ่งที่พวกเขาขาดแคลน

3) ทำไมวัยรุ่นจึงมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควรมากขึ้น?

ในต่างประเทศ เมื่อวัยรุ่นเขามีเพศสัมพันธ์ในวัยละอ่อน ในทางเศรษฐศาสตร์สามารถวิเคราะห์ได้ว่า วัยรุ่นตะวันตกอาจจะตอบสนองต่อทางเลือกที่ดีที่สุดที่เขาพึงมี เมื่อพวกเขาต้องตัดสินใจว่าจะมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควรหรือไม่ พวกเขาชั่งน้ำหนักระหว่างความสุขที่ได้จากการมีเพศสัมพันธ์ (Joy of Sex) กับต้นทุนของมัน ซึ่งก็คือโอกาสที่จะตั้งท้องไม่พร้อม มีโรคติดต่อ ฯลฯ เพราะการมีลูกโดยที่ยังไม่พร้อมจะนำมาซึ่งต้นทุนอีกมหาศาลของผู้เป็นแม่ ทั้งลดโอกาสในการได้รับการศึกษาและได้งานที่ดีและยังลดโอกาสที่จะได้พบคู่ครองที่ดีในอนาคตด้วย อีกทั้งก็อาจจะรู้สึกอับอายและเสียชื่อเสียง แต่ปัจจุบัน โอกาสตั้งท้องไม่พร้อมจากการมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควรลดลง เนื่องจากการคุมกำเนิดที่มีประสิทธิภาพและถูกนำมาใช้มากขึ้นจริงๆ ความเสี่ยงจึงลดลง วัยรุ่นตะวันตกจึงแสวงหาความสุขจากการมีเพศสัมพันธ์ และมีพฤติกรรมลดต้นทุนด้วยการคุมกำเนิด ใช้ถุงยางอนามัย ฯลฯ

แต่สำหรับประเทศไทยของเรา แตกต่าง
ออกไป

เพราะวัยรุ่นของเรามีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควรมากขึ้น แต่อัตราการติดเอดส์ก็ดี การตั้งท้องไม่พร้อมก็ดี ก็เพิ่มขึ้นตาม
ไปด้วย สะท้อนอะไร...

สะท้อนว่า วัยรุ่นไทยให้ความสนใจเฉพาะความสุขที่ได้จากการมีเพศสัมพันธ์ (Joy of Sex) เท่านั้น โดยในส่วนของต้นทุนจากการ
มีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควรไม่ค่อยจะได้คำนึงถึงอย่างแท้จริง ไม่มีการลดต้นทุน หรือแม้แต่จะลดความเสี่ยง ไม่ว่าจะเรื่องติดโรคหรือติดลูก วัยรุ่นไทยยังไม่ป้องกันตัว ไม่มีความรู้ ไม่ตระหนักรู้ (แถมยังอายน้อยลงที่จะมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควร)

4) วัยรุ่นมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควร เป็นเพราะพ่อแม่ไม่สั่งสอน หรือเพราะพวกเขาคบเพื่อนไม่ดี?

อย่างไหน มีผลต่อพฤติกรรมดังกล่าว มากกว่ากัน?

ปรากฏว่า จากการศึกษาแบบจำลองทางเศรษฐศาสตร์เปรียบเทียบทั้งสองปัจจัย โดยควบคุมปัจจัยอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อดูว่าใครกันที่ควรรับผิดชอบ

ผลสรุปว่า บทบาทของ “พ่อแม่ไม่สั่งสอน” สำคัญกว่า“คบเพื่อนไม่ดี”!

(อันที่จริง ทั้งพ่อแม่ไม่สั่งสอนและคบเพื่อนไม่ดี ต่างก็มีผลต่อการตัดสินใจเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควร)

พูดง่ายๆ คือ ถ้าพ่อแม่สอนมาดี คบเพื่อนไม่ดีก็ยังไม่ค่อยเป็นไรมาก

แต่ถ้าพ่อแม่สอนไม่ดี คบเพื่อนดีก็ไม่ได้ช่วยมากนัก

เพราะฉะนั้น คนเป็นพ่อแม่จึงไม่อาจโทษเพื่อนหรือโทษโรงเรียนได้ และพ่อแม่ต้องหันกลับมาดูวิธีการดูแลลูกของตนเองด้วย

ทั้งหมดนี้ ขอขอบคุณเว็บไซต์ “setthasat.com” ที่ช่วยกระตุ้นต่อมคิดสนุกๆ ได้ลองเปลี่ยนมุมคิด พลิกมุมมอง เป็นการบริหารสมองได้เป็นอย่างดี

ที่มา.นสพ.แนวหน้า
/////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันพุธที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

เงินร้อน !!?


คอลัมน์ คนเดินตรอก

"เงิน ร้อน" เป็นคำแปลตรง ๆ มาจากภาษาฝรั่งว่า "hot money" หมู่นี้มีการกล่าวถึง "hot money" กันบ่อยครั้ง พอคนถามว่า เงินร้อนมันเป็นอย่างไร เป็นเงินของประเทศไหน เคยได้ยินแต่ "เงินเย็น" ของญี่ปุ่นเขา เงินร้อนเป็นของใครประเทศไหน

เงินร้อนก็คือเงินดอลลาร์สหรัฐซึ่งเป็น เงินสกุลหลักของโลก เป็นเครื่องมือในการชำระหนี้ระหว่างประเทศ เป็นเงินที่ธนาคารกลางของประเทศต่าง ๆ ใช้เป็นทุนสำรองระหว่างประเทศ เป็นเงินที่ใช้กู้ยืมกันไปมาระหว่างประเทศ และเป็นเงินตราสกุลเดียวที่ใช้เป็นเครื่องมือในการ "เก็งกำไร" จากราคาสินค้าโภคภัณฑ์ เช่น น้ำมัน แร่ธาตุต่าง ๆ รวมทั้งการเก็งกำไรในตลาดทุน เช่น ตลาดหลักทรัพย์และตลาดตราสารหนี้ ทั้งที่เป็นตราสารหนี้ของรัฐบาลต่าง ๆ และตราสารหนี้ของเอกชน รวมทั้งการเก็งกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน

การที่สหรัฐอเมริกาสามารถขาดดุลการค้าและดุลบัญชีเดินสะพัดอย่างต่อเนื่อง โดย การผลิตเงินดอลลาร์ออกมาให้ชาวโลกถือไว้ได้โดยไม่เป็น "เศษกระดาษ" ก็เพราะไม่มีเงินตราสกุลใดมีจำนวนมากพอที่จะสนองตอบต่อการถือเงินไว้เพื่อ วัตถุประสงค์หลักทั้ง 3 อย่างนั้นได้ เพราะประเทศอื่นที่เป็นเจ้าของเงินไม่ต้องการพิมพ์เงินออกมาในตลาดโลกมาก มายอย่างนั้น

อัตราแลกเปลี่ยนระหว่างเงินตราสกุลต่าง ๆ ทั่วโลก เช่น อัตราแลกเปลี่ยนระหว่างเงินบาทกับเงินหยวน กับเงินริงกิต เงินยูโร เงินปอนด์และเงินอื่น ๆ ทั่วโลก ก็จะเริ่มจากอัตราแลกเปลี่ยนระหว่างเงินบาทกับเงินดอลลาร์ แล้วอัตราแลกเปลี่ยนระหว่างเงินบาทกับเงินหยวน กับเงินริงกิต เงินยูโร เงินปอนด์และเงินอื่น ๆ ทั่วโลกก็จะปรับตามให้สอดคล้องกัน ไม่เขย่งกัน ถ้าเขย่งกันไม่สอดคล้องกัน

ก็จะมีผู้ที่หากำไรคอยจ้องซื้อขายเงินตรา สกุลนั้นจนทำให้อัตราแลกเปลี่ยนระหว่างเงินบาทกับเงินดอลลาร์ เงินบาทกับเงินหยวน เงินริงกิตหรือเงินอื่น ๆ สอดคล้องกัน สมมติเช่น หนึ่งดอลลาร์เท่ากับสามสิบบาท หนึ่งดอลลาร์เท่ากับหกหยวน ฉะนั้นหนึ่งหยวนต้องเท่ากับห้าบาทจึงเรียกว่าสอดคล้องกัน ไม่เขย่งกัน

เงิน ดอลลาร์จึงเป็นสกุลเงินที่ยังมีความสำคัญอยู่เสมอมา โดยเฉพาะสัดส่วนของความต้องการถือเงินดอลลาร์เพื่อใช้เก็งกำไรจะมีสัดส่วน มากขึ้นตามลำดับ เมื่อเทียบกับความต้องการถือเพื่อเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน และการถือเพื่อใช้เป็นทุนสำรอง

การเคลื่อนย้ายไหลไปมาของเงินดอลลาร์นั้นอาจจะแยกออกได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆประเภท แรกเป็นการเคลื่อนย้ายอันเกิดจากการเกินดุลหรือขาดดุลบัญชีเดินสะพัด เป็นเงินที่ได้ขาด ไม่มีพันธะจะต้องจ่ายคืนหรือได้คืนในอนาคต ปัญหาไม่ค่อยมี

อีกประการหนึ่งก็คือปัญหาการเคลื่อนย้ายเงินทุนไปมาระหว่างประเทศในรูปของเงินกู้ยืมและเงินลงทุน เงินประเภทนี้มีทั้งที่ เป็นปัญหาและไม่เป็นปัญหา เช่น การนำเงินมาลงทุนจริง ๆ ตั้งโรงงาน ซื้อที่ดิน เครื่องจักร นำมาหมุนเวียน เงินลงทุนอย่างนี้เรียกว่าเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ หรือ foreign direct investment หรือ FDI เมื่อได้กำไรก็โอนเงินกำไรกลับ หรือเมื่อขาดทุนมากเข้าก็โอนเงินมาเพิ่มทุนในบริษัท

เงินลงทุนอีก ประเภทหนึ่งคือ เงินลงทุนซื้อหุ้นหรือซื้อตราสารทางการเงินต่าง ๆ หรือที่เรียกว่า portfolio investment ในตลาดรอง หรือ secondary markets เงินที่ไหลเข้ามาในประเภทนี้เกือบทั้งหมดหรือจะเรียกว่าทั้งหมดก็ได้เรียก ว่า "เงินร้อน" หรือ "hot money" เพราะสามารถขายตราสารและนำเงินออกเมื่อไหร่ก็ได้ ซึ่งมีทั้งในรูปเป็นทางการบนดินและไม่เป็นทางการอยู่ใต้ดิน แม้จะเป็นตราสารระยะยาวก็อาจจะขายขาดทุนแล้วนำเงินกลับไปก็ได้

เงิน ร้อนพวกนี้แหละที่ตำราเศรษฐศาสตร์ทุกตำรากล่าวว่า เป็นเงินที่ไม่ได้สร้างสรรค์ เป็นเงินที่ไม่มีประโยชน์หรือ "unproductive" เป็นเงินที่เป็นอันตรายและมีพลังการทำลายสูง หรือ "destructive" เพราะเงินพวกนี้เข้ามาเพื่อวัตถุประสงค์หากำไรจากช่องว่างที่เขย่งกันของ อัตราผลตอบแทนของตลาดต่าง ๆ ทั่วโลก หากำไรจากประเทศที่มีความเสี่ยงทางการเงินต่ำแต่มีผลตอบแทนสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการกำหนดอัตราผลตอบแทนโดยทางการที่ทำให้เกิดการเขย่งกัน ของดอกเบี้ยหรือผลตอบแทนอื่น ๆ ที่กลไกตลาดไม่สามารถทำให้ความแตกต่างหายไปจนเหลือแต่ความแตกต่างจากความ เสี่ยงด้านการเงิน

ยกตัวอย่างเช่นประเทศไทยมีความมั่นคงทางการเงิน สูง ดุลการค้าและดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุล ทุนสำรองระหว่างประเทศสูง ความเสี่ยงในด้านนโยบายการเงินมีน้อย เพราะทางการประกาศว่าจะยึดมั่นในเป้าหมายเงินเฟ้ออย่างมั่นคง พร้อมกับจะไม่ยอมลดอัตราดอกเบี้ย ความเสี่ยงทางด้านการเมืองก็ดีขึ้นตามลำดับ ซึ่งต่างกับประเทศอื่น ๆ ที่ยังมีความเสี่ยงในด้านต่าง ๆ สูงอยู่ ดังนั้น "เงินร้อน" จึงไหลเข้ามาหากำไรจากความแตกต่างของผลตอบแทนที่สูงกว่า รวมทั้งเข้ามาเพื่อ "ปั่นราคา" ตลาดที่มีสภาพคล่องสูง ให้ราคาสูงขึ้น เมื่อราคาสูงขึ้นถึงจุดหนึ่งก็ขายทำกำไร เมื่อถึงจุดนั้นเศรษฐกิจก็ทรุดตัวทำความเสียหายได้

การไหลเข้ามาของ "เงินร้อน" ดังกล่าวในประเทศที่มีพื้นฐานทางเศรษฐกิจมหภาคมั่นคงเท่ากันแต่ทางการให้ผลตอบแทนต่อ เงินสูงกว่าประเทศอื่น จะเริ่มจากตลาดหุ้น ตลาดตราสารแล้วก็ลุกลามไปยังตลาดอสังหาริมทรัพย์ แล้วก็ขยายไปยังภาคเศรษฐกิจอื่น ๆ โดยที่การลงทุนจริง ๆ ในการสร้างโรงงานขยายโรงงานและอื่น ๆ เพื่อขยายการผลิตของภาคเอกชนมีน้อย

หรือ ไม่มีเลย ทำให้เศรษฐกิจร้อนแรงขึ้นในภาคการเงินและภาคอสังหาริมทรัพย์ สภาพการณ์อย่างนี้นิยมเรียกกันในสมัยหลังว่า "เศรษฐกิจฟองสบู่" หรือ "bubble economies" เมื่อร้อนแรงถึงจุดหนึ่งที่ฟองสบู่แตก ทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นตลาดหลักทรัพย์ ตลาดตราสารหนี้ ตลาดอสังหาริมทรัพย์ และสถาบันการเงินก็จะล่มสลายกลายเป็นวิกฤตการณ์ทางการเงินได้อย่างที่เคยพบมาแล้วในประเทศไทยและประเทศ

อื่น ๆสิ่งที่น่าห่วงก็คือ ความรู้ความเข้าใจของทางการที่มีอำนาจหน้าที่ในการกำหนดนโยบายการเงิน บทบาทของดอกเบี้ยและมาตรการทางการเงินในภาคเศรษฐกิจที่แท้จริงหรือ real sector กับบทบาทในภาคการเงินหรือ financial sector

บทบาทดอกเบี้ยใน ภาคเศรษฐกิจที่แท้จริงจะเป็นตัวกดหรือกระตุ้นการบริโภคและการลงทุนจริง ๆ หรือ direct investment เช่น การขึ้นอัตราดอกเบี้ยมีผลต่อการชะลอตัวของการบริโภคและการลงทุนโดยตรง แต่ก็มีผลไม่มากเท่ากับการขยายตัวหรือการหดตัวของรายได้ประชาชาติ ซึ่งเป็นตัวการสำคัญของการขยายตัวหรือชะลอตัวของการบริโภคและการลงทุน

แต่ ในภาคการเงินสำหรับเศรษฐกิจเล็กและเปิดอย่างประเทศไทย การเพิ่มดอกเบี้ยเพื่อให้ดอกเบี้ยภายในประเทศมีความแตกต่างกับดอกเบี้ยภาย นอก ถ้าพื้นฐานความมั่นคงทางเศรษฐกิจยังอยู่เหมือนเดิม จะทำให้เงินทุนไหลเข้ามาในประเทศมากขึ้นแทนที่จะน้อยลง

การ จะลดความร้อนแรงทางเศรษฐกิจที่เกิดจากภาคการเงินอันมีพื้นฐานมาจากการหลั่ง ไหลเข้ามาปั่นตลาดของ "เงินร้อน" หรือเงินทุนระยะสั้นโดยการขึ้นดอกเบี้ยจึงเป็นการกระทำที่ผิด ผลจะออกมาตรงกันข้ามกับที่เข้าใจ กล่าวคือ เศรษฐกิจจะร้อนแรงยิ่งขึ้น แทนที่จะลดความร้อนแรงลง เพราะจะมี "เงินร้อน" ไหลเข้ามามากขึ้น

การพิจารณาเรื่องนี้จึงเป็นเรื่องจะเอาไปเปรียบกับประเทศอื่น ๆ ที่มีความเสี่ยงทาง ด้านมหภาคที่แตกต่างกันไม่ได้ เพราะนั่นเป็นความรู้สึกของเราเองซึ่งแตกต่างกับความรู้สึกของนักค้าเงินที่ นำเงินเข้ามาแสวงหากำไรอย่างตรงกันข้ามก็ได้ พฤติกรรมของตลาดเก็งกำไรนั้นไม่สามารถคาดการณ์ไปจากตัวเราเองได้ เป็นพฤติกรรมที่คาดการณ์ได้ยาก ทฤษฎีที่ว่าด้วยพฤติกรรมของตลาดเก็งกำไรจึงไม่มี

แม้ แต่เศรษฐกิจของเราเองในแต่ละช่วงเวลา ความเสี่ยงทางด้านมหภาคในสายตาของนักเก็งกำไรก็แตกต่างกัน ซึ่งเขาต้องนำมาพิจารณาด้วย ตัวอย่างเช่น มีผู้กล่าวว่า "เราเคยตรึงอัตราดอกเบี้ยไว้สูงกว่าดอกเบี้ยดอลลาร์ถึงกว่า 3 เปอร์เซ็นต์มาเป็นเวลาหลายปีก็ไม่เห็นเป็นไร" เป็นการกล่าวที่ไม่เข้าใจ เพราะเมื่อ 3-4 ปีก่อนประเทศเราอาจจะมีความเสี่ยงด้านอื่น เช่น ความเสี่ยงทางด้านการเมือง ความเสี่ยงทางด้านนโยบายการคลัง ความเสี่ยงทางด้านนโยบายการเงิน หรือประเทศอื่นมีความเสี่ยงน้อยกว่าของเรา รวมทั้งปริมาณเงินดอลลาร์ในตลาดโลก ความเสี่ยงใน ความมั่นคงของยุโรป ญี่ปุ่น หรือแม้แต่อเมริกาที่เปลี่ยนไป การเปรียบเทียบกับประเทศอื่นจึงทำไม่ได้หรือไม่ควรทำ ต้องดูตัวเราเองเป็นหลัก

ความเสียหายร้ายแรงจากการมาของเงินร้อนนั้น มีมากนัก จะเบาใจไม่ได้ ต้องช่วยกันคิด อย่าคิดว่าตนเองรู้ดีคนเดียว ที่สำคัญโลกทุกวันนี้ไม่มีความลับ อย่านึกว่าเราปิดได้

ความลับมีอย่างเดียวคือ เรารู้หรือไม่รู้เท่านั้น

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
//////////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันอังคารที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

อดีต รมว.คลัง ธีระชัย อัดกิตติรัตน์ ตื่นเต้นเรื่องแบงก์ชาติเกินไป !!?


นายธีระชัย ภูวนารถนรานุบาล เลขาธิการ ก.ล.ต.


จากประเด็นเรื่อง นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ส่งหนังสือถึงธนาคารแห่งประเทศไทยเรื่องอัตราดอกเบี้ยและการขาดทุนของ ธปท. จนกลายเป็นวิวาทะเรื่องขอบเขตการทำงานระหว่างกระทรวงการคลัง/รัฐบาล กับ ธปท. ตามหน้าสื่อยาวนานหลายวัน

นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีตรัฐมนตรีกระทรวงการคลังในรัฐบาลยิ่งลักษณ์ 1/1 (ก่อนจะเปลี่ยนตัวมาเป็นนายกิตติรัตน์ในภายหลัง) ได้โพสต์ข้อความบน Facebook ส่วนตัว ระบุว่าปัญหาการขาดทุนของธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นเรื่องปกติ สามารถอธิบายได้ตามหลักการทำงานของธนาคารกลางนานาชาติ และนายกิตติรัตน์นั้น “ตื่นเต้นตกใจเกินไป”


ข้อความของนายธีระชัยมีดังนี้

นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกและรัฐมนตรีคลังออกมาเตือนแบงค์ชาติ ว่าขาดทุนสี่แสนหรือห้าแสนล้านบาท ชาวบ้านฟังแล้ว ก็ย่อมตกใจเป็นธรรมดา เพราะตัวเลขสี่แสนหรือห้าแสนล้านบาทเป็นตัวเลขที่สูงมาก

นี่ไม่ใช่ห้าแสน “บาท” นะครับ แต่เป็นห้าแสน “ล้านบาท”

แต่สำหรับคนที่มีความรู้เศรษฐศาสตร์แล้ว ขาดทุนแบงค์ชาติ เป็นเรื่องที่ไม่ต้องไปตื่นเต้นตกใจเกินไปหรอกครับ

ในฐานะที่ผมเคยเป็นรองผู้ว่าการแบงค์ชาติ และผมเข้าใจกลไกการทำงานของธนาคารกลาง ผมจึงขออธิบายเพื่อเป็นความรู้

ทำไมแบงค์ชาติจึงขาดทุน

แบงค์ชาติขาดทุนเพราะเงินบาทแข็ง ดูตัวเลขง่ายๆ ถ้าประเทศมีทุนสำรองสองแสนล้านดอลลาร์ แล้วเงินบาทแข็งขึ้นหนึ่งบาทต่อดอลลาร์ เมื่อตีราคาปิดบัญชีปลายปี แบงค์ชาติก็จะขาดทุนสองแสนล้านบาท ถ้าแข็งขึ้นสองบาท ขาดทุนก็จะเพิ่มเป็นสี่แสนล้านบาท

แต่ในทางกลับกัน หากเงินบาทอ่อน ถ้าอ่อนลงหนึ่งบาทต่อดอลลาร์ จะกลับเป็นกำไรสองแสนล้านบาท ถ้าอ่อนสองบาท กำไรก็จะเพิ่มเป็นสี่แสนล้านบาท

ทำให้แบงค์ชาติ ไม่ต้องขาดทุนได้หรือไม่

ทำให้แบงค์ชาติไม่ขาดทุนนั้น ง่ายมาก เพียงแต่ให้แบงค์ชาตินั่งเฉยๆ กินเงินเดือนไปวันๆ ปล่อยให้เงินบาทแข็งไปตามภาวะตลาด โดยไม่ต้องเข้าไปแทรกแซง ทำเท่านี้ ก็จะไม่ขาดทุนแล้วครับ ทุนสำรองก็ไม่จำเป็นต้องมี

แต่ถ้าทำแบบนี้ ธุรกิจขนาดกลางและเล็ก จะต้องปรับตัวอย่างหนัก สินค้าใดที่มีมูลค่าเพิ่มต่ำ ต้องเลิกผลิต ต้องทำให้มูลค่าเพิ่มสูงขึ้นๆ เหมือนกับรถยนต์เยอรมัน ซึ่งราคาแพงขึ้นๆ มาตลอดยี่สิบปี แต่คนก็ยอมควักกระเป๋าซื้อใช้โดยตลอด เพราะคุณภาพเยี่ยมเหลือเกิน

ที่จริงประเทศเราควรทำแบบนี้ คือบีบให้ภาคเอกชนปรับตัว เพื่อพร้อมแข่งขันในเวทีโลกเต็มที่ แต่ถ้าทำแบบนี้ รัฐจะต้องเน้นการศึกษา โดยเฉพาะด้านอาชีวะ เร่งพัฒนาฝีมือแรงงาน ฝีมือการออกแบบผลิตภัณฑ์ ฝีมือการตลาด ซึ่งต้องใช้เวลา

ดังนั้น ที่ผ่านมา แบงค์ชาติจึงได้เข้าไปแทรกแซงเพื่อให้เงินบาทแข็งตัวช้าลง เพื่อให้เวลาธุรกิจปรับตัว

สำหรับประเทศพัฒนาแล้ว ธนาคารกลางเขาจะไม่ค่อยเข้าไปแทรกแซง เขาจะปล่อยให้ค่าเงินของเขาขึ้นลงตามตลาดเต็มที่

แต่บางประเทศทนไม่ได้ การเมืองกดดันให้ธนาคารกลางเข้าไปแทรกแซง กรณีนี้ ธนาคารกลางของประเทศนั้นๆ ก็จะประสบปัญหาขาดทุน ไม่ต่างจากกรณีแบงค์ชาติของไทย

เมื่อเร็วๆ นี้ ประเทศที่มีข่าวปัญหาธนาคารกลางขาดทุน ก็คือสวิตเซอร์แลนด์ พิสูจน์ให้เห็นว่า แม้แต่ประเทศต้นแบบของระบบธนาคาร ก็มีปัญหานี้เกิดขึ้นได้

มีโอกาสที่เงินบาท จะกลับอ่อนตัวลงหรือไม่

เงินบาทจะไม่แข็งไปตลอดกาล ในช่วงที่ไทยใช้อัตราแลกเปลี่ยนระบบตะกร้า ระหว่างปี 2521 – 2540 นั้น เงินบาทอ่อนตัวโดยตลอด เป็นเวลาร่วมยี่สิบปี

ในช่วงนั้น ไทยมีการลงทุนมาก มากจนเกินกำลังการออมภายในประเทศ ทำให้ขาดดุลบัญชีเดินสะพัด

เงินบาทที่อ่อนตัวนั้น ทำให้แบงค์ชาติมีกำไรทุกปี

ในช่วงนี้ ภาวะการลงทุนลดลง การนำเข้าเครื่องจักรอุปกรณ์ไม่บูมเหมือนเดิม บัญชีเดินสะพัดกลับเป็นเกินดุล เงินบาทแข็ง ทำให้แบงค์ชาติขาดทุน

แต่ในระยะยาว เมื่อการลงทุนเอกชนกลับมาบูมเต็มที่ ประกอบกับรัฐบาลมีโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานกว่า2.2 ล้านล้านบาท การนำเข้าเครื่องจักรอุปกรณ์จะเพิ่มขึ้น เงินบาทที่แข็งก็จะกลับอ่อนลงได้ครับ

นอกจากนี้ สภาวะการเมืองของไทย หากเกิดปัญหาแบบเฉียบพลัน ก็จะทำให้เงินบาทอ่อนลงอีกด้วย

แบงค์ชาติจะเจ๊งเพราะขาดทุนหรือไม่

ธุรกิจทั่วไป หากขาดทุนติดต่อกันไประยะหนึ่ง ก็จะขาดเงินสดหมุนเวียน สภาพคล่องจะติดขัด และต้องปิดกิจการ

แต่ธนาคารกลางของทุกประเทศ เขาสามารถสร้างปริมาณเงินขึ้นมา เพื่อหล่อเลี้ยงตัวเองได้

ธนาคารกลาง จึงเป็นองค์กรเดียว ที่ไม่มีวันที่จะประสบปัญหาสภาพคล่อง เป็นองค์กรเดียว ที่ไม่มีวันต้องถูกบีบให้ปิดกิจการ

จึงขอให้สบายใจนะครับ แบงค์ชาติไม่มีวันเจ๊ง

ธนาคารกลางของประเทศอื่นมีขาดทุนหรือไม่

มีครับ ถ้าประเทศใด ค่าเงินแข็ง และมีทุนสำรองมาก ย่อมขาดทุน

และถ้าประเทศนั้น ธนาคารกลางมีการแทรกแซงไม่ให้ค่าเงินแข็งเร็ว ยิ่งขาดทุนเพิ่มขึ้นไปอีก เป็นอย่างนี้ทุกประเทศ

ข้อมูลขาดทุนของธนาคารกลางทุกประเทศ เป็นข้อมูลสาธารณะ แบงค์ชาติจึงควรจะสำรวจ แล้วแสดงให้ประชาชนรับทราบ ว่ามีประเทศใด ที่ธนาคารกลางขาดทุน

ประชาชนต้องรับภาระขาดทุนแบงค์ชาติหรือไม่

ไม่ต้องครับ

กรณีรัฐบาลขาดดุลงบประมาณ เป็นภาระแก่ประชาชน เพราะในที่สุด รัฐบาลต้องเก็บภาษีมาชดเชย

แต่ธนาคารกลางของทุกประเทศนั้น อยู่นอกระบบงบประมาณ รัฐบาลไม่ต้องเก็บภาษีมาชดเชยขาดทุนแบงค์ชาติ ประชาชนไม่ต้องรับภาระขาดทุนนี้

และในระยะยาว เมื่อแนวโน้มเงินบาทแข็งตัวชะลอลง หรือเปลี่ยนเป็นอ่อนตัว ปัญหาขาดทุนแบงค์ชาติ ก็จะคลี่คลายไปเอง

ขาดทุนแบงค์ชาติเป็นหนี้สาธารณะหรือไม่

ไม่เป็นครับ

รัฐมนตรีคลังผู้ใด ที่พูดว่า กลัวขาดทุนแบงค์ชาติไปเพิ่มหนี้สาธารณะ แสดงว่าไม่มีความรู้จริง

ขาดทุนแบงค์ชาติไม่นับเป็นหนี้สาธารณะ หลักการนี้ใช้กับทุกประเทศครับ ไม่เฉพาะประเทศไทย

การแทรกแซงให้เงินบาทแข็งตัวช้าลง แบงค์ชาติจำเป็นต้องออกพันธบัตรแบงค์ชาติเป็นจำนวนมาก ถามว่าประชาชนต้องรับภาระดอกเบี้ยนี้หรือไม่ ประชาชนต้องรับภาระชำระคืนหนี้ดังกล่าวหรือไม่ และหนี้เหล่านี้เป็นหนี้สาธารณะหรือไม่

กรณีที่รัฐบาลออกพันธบัตร ประชาชนต้องเป็นผู้รับภาระดอกเบี้ยโดยตรงครับ รัฐบาลต้องเก็บภาษีมาจ่ายเป็นดอกเบี้ย

แต่กรณีที่แบงค์ชาติออกพันธบัตร ประชาชนไม่ต้องรับภาระดอกเบี้ยใดๆ แบงค์ชาติเขารับภาระเองแต่ผู้เดียว รัฐบาลไม่ต้องเข้าไปอุ้มดอกเบี้ยนี้เลย แม้แต่น้อย

ผู้ใดที่อธิบายแก่สื่อมวลชน ว่าดอกเบี้ยดังกล่าว เป็นแผนที่วางไว้ เพื่อทำให้ธนคารพาณิชย์กำไร และเป็นภาระแก่ประชาชน ผู้นั้นให้ข้อมูลที่บิดเบือนครับ

กรณีรัฐบาลออกพันธบัตร ประชาชนต้องเป็นผู้รับภาระชำระคืนพันธบัตรนั้นโดยตรงอีกเช่นกัน

แต่กรณีแบงค์ชาติออกพันธบัตร ประชาชนไม่ต้องรับภาระชำระคืนใดๆ แบงค์ชาติเขาจะดูแลบริหารคืนเงินตามพันธบัตรที่ครบกำหนดเอง รัฐบาลไม่ต้องเข้าไปชำระหนี้แทน แม้แต่น้อย

กรณีรัฐบาลออกพันธบัตร ต้องนับเป็นหนี้สาธารณะทันที

กรณีแบงค์ชาติออกพันธบัตร จะไม่นับเป็นหนี้สาธารณะ เพราะรัฐบาลไม่มีภาระต้องมาชำระหนี้แทนแบงค์ชาติครับ

ผู้ใดที่อธิบายแก่สื่อมวลชน ว่าขาดทุนแบงค์ชาติ และพันธบัตรแบงค์ชาติ ต่อไปจะเป็นภาระแก่ประชาชน ผู้นั้นให้ข้อมูลที่บิดเบือนครับ

ขาดทุนจะกระทบการทำงานของแบงค์ชาติหรือไม่

นี่เป็นเรื่องเดียวที่ต้องระมัดระวังครับ

ไม่ต้องกังวลว่าขาดทุน จะทำให้แบงค์ชาติเจ๊ง เพราะแบงค์ชาติสร้างสภาพคล่องดูแลตัวเองได้เสมอ

ไม่ต้องกังวลว่าพันธบัตรแบงค์ชาติ จะเป็นภาระแก่ประชาชน เพราะรัฐบาลไม่มีการเก็บภาษีไปชำระหนี้แทนแบงค์ชาติอยู่แล้ว

ไม่ต้องกังวลว่าขาดทุนแบงค์ชาติ จะเป็นหนี้สาธารณะ เพราะรัฐบาลไม่มีภาระต้องชำระหนี้แทนแบงค์ชาติ

แต่ที่ควรจะกังวล คือขาดทุนกระทบการทำงานของแบงค์ชาติหรือไม่

ขาดทุนจะกระทบการทำงานของแบงค์ชาติได้อย่างไร

มีกรณีเดียวครับ หากแบงค์ชาติประสาทเสีย และพยายามแก้ปัญหาการขาดทุน ด้วยการพิมพ์เงินออกมาเกินความจำเป็น ก็จะทำให้เงินเฟ้ออุตลุด

เวลาที่แบงค์ชาติพิมพ์เงินออกมานั้น แบงค์ชาติไม่มีต้นทุน

พวกเราที่มีเงินอยู่ในกระเป๋าสตางค์ ไม่ว่าจะเก็บไว้นานเท่าใด จนธนบัตรเปื่อยแล้วเปื่อยอีก ก็จะไม่สามารถไปเรียกร้อง ขอดอกเบี้ยใดๆ จากแบงค์ชาติได้เลย

แต่ในขณะเดียวกัน เงินที่ได้นั้น แบงค์ชาติสามารถนำไปซื้อพันธบัตรรัฐบาล หรือเอาไปให้แบงค์พาณิชย์กู้ ทำให้แบงค์ชาติได้ดอกเบี้ย โดยไม่มีต้นทุน

ข้อที่ควรกลัว จึงมีอย่างเดียวครับ ว่าหากแบงค์ชาติเสพติดการหากำไรแบบง่ายๆ เช่นนี้ แล้วพิมพ์เงินออกมาเกิน จะทำให้เงินเฟ้อ

ด้วยเหตุนี้ กฎหมายจึงกำหนดให้แบงค์ชาติ ต้องทำข้อตกลงกับรัฐบาล เพื่อวางเป้าหมายเงินเฟ้อร่วมกัน เพื่อป้องกันมิให้แบงค์ชาติเสพติดเรื่องนี้

ซึ่งขณะนี้ รัฐบาลและแบงค์ชาติ ก็มีข้อตกลงกันอยู่แล้วครับ

ดังนั้น เรื่องแบงค์ชาติขาดทุน จึงไม่ใช่เรื่องที่ใหญ่โต ถึงขั้นที่สมควรต้องตกใจกระตู้วู้

ขอให้ใจเย็นๆ ครับ

แต่ถ้ายังไม่หายตื่นเต้น จะอ่านข้างบนนี้ซ้ำก็ได้นะครับ

ที่มา.Siam Intelligence Unit
////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันจันทร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

มันมากับมรดกโลก !!?


โดย.บูรพา โชติช่วง





21 ปีของอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย ศรีสัชนาลัย และกำแพงเพชร ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกภายใต้ชื่อ เมืองประวัติศาสตร์สุโขทัยและเมืองบริวาร ในปี พ.ศ. 2534

โดยมีคุณสมบัติของการเป็นมรดกโลกตรงตามหลักเกณฑ์ข้อ 1 เป็นตัวแทนในการแสดงผลงานชิ้นเอกที่จัดทำขึ้นด้วยการสร้างสรรค์อันชาญฉลาดของมนุษย์ และข้อ 3 เป็นสิ่งที่ยืนยันถึงหลักฐานของวัฒนธรรม หรืออารยธรรมที่ปรากฏให้เห็นอยู่ในปัจจุบันหรือว่าที่สาบสูญไปแล้ว

แน่นอน การมีชื่ออยู่ในบัญชีมรดกโลก ย่อมนำมาความภาคภูมิใจของประเทศประการหนึ่ง และประการต่อมาคือเม็ดเงิน รายได้เป็นกอบเป็นกำจากอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว โดยเฉพาะอุทยานฯ ทั้ง 3 แห่งมีนักท่องเที่ยวไปเยี่ยมชมแล้วหลายล้านคนนับตั้งแต่เป็นมรดกโลก และหากคิดจำนวนตัวเลขของผู้ไปเยือนเฉพาะปีที่แล้ว อุทยานฯ สุโขทัย “กว่า 4.1 แสนคน” อุทยานฯ ศรีสัชนาลัย “กว่า 1.4 แสนคน” และอุทยานฯ กำแพงเพชร “กว่า 1.5 แสนคน” (ข้อมูลกรมศิลปากร ก.ย.2555)

แน่ละ ในภาพรวมของการท่องเที่ยวเมืองไทย รัฐบาลปัจจุบันตั้งเป้าตัวเลขของผู้มาเยือนไว้ 21 ล้านคนให้ได้ภายในปี 2558 “จะมีรายได้จากการท่องเที่ยว 2 ล้านล้านบาท” สนธยา คุณปลื้ม รมว.วัฒนธรรม เอ่ยก่อนหน้านี้ และแหล่งโบราณสถานเป็นอีกด้านหนึ่งนำมาซึ่งรายได้จากการท่องเที่ยว จากการประชุมคณะรัฐมนตรีที่จ.อุตรดิตถ์ รัฐบาลมีแผนขับเคลื่อนการพัฒนาท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนในพื้นที่มรดกโลก อุทยานฯ สุโขทัย ศรีสัชนาลัย และกำแพงเพชร

“เราจะนำโครงการที่อยู่ในแผนแม่บทพัฒนาอุทยานฯ ทั้ง 3 แห่งที่ทำก่อนหน้านี้มาดูความเป็นไปได้ของการต่อยอดพัฒนาท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนได้อย่างไรบ้าง และปัญหาเรื่องของผลกระทบต่อภูมิทัศน์มรดกโลกเพื่อที่จะหาทางแก้ไข” พีรพน พิสณุพงศ์ ผู้อำนวยการสำนักศิลปากรที่ 6 สุโขทัย กล่าวหลังรับนโยบายจากรมว.วัฒนธรรมคราวลงพื้นที่มรดกโลก

น่าสนใจ ตรงที่จะต่อยอดพัฒนาท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนได้อย่างไร โดยที่ยังไม่ต้องคิดเรื่องสินค้าโอทอปที่ขายให้กับนักท่องเที่ยว แต่ควรจะมองโปรแกรมทัวร์อุทยานฯ ทั้ง 3 แห่งให้นักท่องเที่ยวได้ไปเยือนครบได้อย่างไรก่อน หากดูจำนวนตัวเลขนักท่องเที่ยวไปเยี่ยมชมอุทยานฯ สุโขทัยพบว่ามีถึง 4.1 แสนคน นั่นเป็นเพราะส่วนหนึ่งมาจากการเดินทางที่สะดวก มีสนามบินรองรับ มีที่พักตั้งแต่ราคาเบาๆ คืนละห้าร้อยบาทไปถึงเฉียดหมื่นบาทร่วม 50 โรง

ขณะที่อุทยานฯ ศรีสัชนาลัย ดูเหมือนเมืองที่ต้องตั้งใจไป เพราะอยู่ไกลออกไป ส่วนอุทยานฯ กำแพงเพชร แถบไม่ต้องพูดถึง นอกจากเป็นเมืองทางผ่านแล้ว ทัวร์ที่มาทางเครื่องบินแถบจะไม่มีโปรแกรมอุทยานฯ นี้บรรจุอยู่ในตารางทัวร์ นี่คือสิ่งที่ต้องขบคิดให้แตกก่อน ว่าทำอย่างไรให้ทัวร์ลงอ้างค้างแรมที่นี่ พร้อมๆ กับมาตรฐานโรงแรมมีรองรับพอหรือไม่เมื่อเทียบกับสุโขทัย

กระนั้นก็ตาม ในเรื่องของการพัฒนาพื้นที่อุทยานฯ ทั้ง 3 แห่ง ผอ.พีรพน กล่าวว่า “เร็วๆ นี้สำนักศิลปากรที่ 6 สุโขทัยจะเชิญนักจัดทำแผนแม่บทอุทยานฯ สุโขทัยรุ่นแรกๆ บุกเบิกไว้มาร่วมระดมความคิดเห็นและสะท้อนแผนแม่บทนี้ ว่าเป็นไปตามวัตถุประสงค์ของโครงการที่วางไว้หรือไม่ ขณะที่ในส่วนของอุทยานฯ กำแพงเพชร จะต้องมาศึกษารายละเอียดการพัฒนาท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนได้อย่างไรบ้าง แต่ขณะนี้จะมีการสร้างสะพานข้ามแม่น้ำปิงผ่านเข้าพื้นที่อุทยานฯ เพื่อการท่องเที่ยวอิโคทัวร์หรือขี่จักรยาน ซึ่งการสร้างสะพานนี้เกรงว่าจะส่งผลกระทบภูมิทัศน์โบราณสถานรอบๆ และรวมไปถึงถนนในเขตอรัญญิกมีขนาดกว้างเกินจำเป็น ตนเห็นว่าควรจะลดถนนให้แคบลง ไม่ให้รถยนต์วิ่งผ่านไปมามาก เพราะแรงสั่นสะเทือนของรถส่งผลกระทบต่อโบราณสถานได้”


   
ขณะที่ เอนก สีหามาตย์ รองอธิบดีกรมศิลปากร ให้ความเห็นเพิ่มเติม “เราคงต้องกางแผนแม่บททั้ง 3 แห่งมาดูว่ามีอะไรบ้างที่ยังไม่ได้ดำเนินการ อย่างงานบูรณะโบราณสถานเกือบ 30 ปีที่แล้ว ตอนนี้พบว่าพระพุทธรูปปางลีลาบางองค์เริ่มมีรอยสึกกร่อนให้เห็น จำเป็นต้องซ่อมแซมและเสริมความมั่นคง”

รองฯ เอนก กล่าวถึงปัญหาของรถยนต์วิ่งผ่านอุทยานฯ ส่งผลกระทบต่อโบราณสถานและภูมิทัศน์มีอยู่หลายแห่ง เช่นที่อุทยานฯ ศรีสัชนาลัย ได้มีการสร้างถนนตัดสันภูเขาวัดเขาสุวรรณคีรี เพื่อที่ให้รถยนต์ใช้สัญจรข้ามไปอีกฟากหนึ่งของกำแพงเมือง ซึ่งภูเขาลูกนี้มีขนาดย่อมตั้งอยู่กลางเมืองโบราณทางด้านทิศตะวันตก บนยอดเขามีกลุ่มของโบราณสถานที่สำคัญ อาทิ เจดีย์ประธานทรงกลมองค์ระฆังขนาดใหญ่ก่อด้วยศิลาแลง ที่สันนิษฐานว่าพ่อขุนรามคำแหงสร้างไว้ ตามที่ปรากฏในศิลาจารึกหลักที่1 และภูเขาลูกนี้แสดงสัญลักษณ์ของเขาพระสุเมรุศูนย์กลางของจักรวาลหรือวัดกลางเมืองศรีสัชฯ สามารถมองเห็นได้ในระยะไกล เมื่อมีการสร้างถนนขึ้นส่งผลกระทบให้ภูมิทัศน์รอบๆ โบราณสถานได้รับความเสียหาย

“ตามแผนแม่บทอุทยานฯ ศรีสัชนาลัยปี 2530 – 2539 ได้เสนอให้ปรับสภาพทางหลวงในพื้นที่นี้ให้กลับสู่สภาพเดิม และเสนอให้สร้างอุโมงค์ลอดสันเขาแทน มีระยะทางยาวประมาณ 50 - 100 เมตร เพื่อเป็นการฟื้นฟูสภาพภูมิทัศน์ป่าโบราณคืนกลับมา” รองฯ เอนก กางแผนแม่บทให้ดู และกล่าวเพิ่มเติม “กรมศิลปากรจะเสนอต่อรมว.วัฒนธรรมว่าเห็นชอบด้วยหรือไม่ที่จะสร้างอุโมงค์ รวมทั้งแผนแม่บทอุทยานฯ ทั้ง 3 แห่งฉบับใหม่ปี 2548 ได้ว่าจ้างคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวรดำเนินการจัดทำ วางแผนผังเพื่อพัฒนาพื้นที่อย่างยั่งยืน ก่อนที่จะมีการประชุมครม.ในเดือนมีนาคม ที่จ.กำแพงเพชร”

อย่างไรก็ดี ประเด็นของการสร้างอุโมงค์ลอดสันเขาสุวรรณคีรี อันเสมือนเขาพระสุเมรุศูนย์กลางของจักรวาลหรือวัดกลางเมืองศรีสัชฯ นั้น “ต้องศึกษารายละเอียด และยูเนสโกมีกฎระเบียบอยู่แล้ว” รมว.สนธยา กล่าว แน่นอนว่า ไม่ว่าผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมทางกายภาพของพื้นที่ ผลกระทบต่อความเป็นมรดกโลกที่อาจเข้าข่ายอยู่ในภาวะเสี่ยงอันตรายจนนำอุทยานฯ ศรีสัชนาลัยไปสู่การถอดมรดกโลก และกรณีสร้างสะพานข้ามแม่น้ำปิงผ่านเข้าอุทยานฯ กำแพงเพชร ก็มีสิทธิ์ถูกถอดออกจากมรดกโลกได้

เพราะมีตัวอย่างเมืองเก่ามรดกโลกในเยอรมนีให้เห็นมาแล้วเช่นกัน
ที่มา.สยามรัฐ
--------------------------------------------------------------------------------

กิตติรัตน์ ณ ระนอง อัดแบงก์ชาติไร้คำตอบขาดทุนสะสม !!?


กิตติรัตน์.จี้แบงก์ชาติตอบข้อดี ข้อเสียดำเนินนโยบายเรื่อง"ดอกเบี้ย" อัดไร้คำตอบแก้ภาระขาดทุนสะสม5.3แสนล้านบาท

นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง กล่าวในรายการ"รัฐบาลยิ่งลักษณ์ พบประชาชน"ว่า ในระยะสั้นที่ผ่านมานี้การแข็งค่าของเงินบาท มีสาเหตุสำคัญมาจากเงินทุนไหลเข้า เนื่องจากมีความมั่นใจในเศรษฐกิจของประเทศ แต่ส่วนหนึ่งก็เกิดจากการกำหนดอัตราดอกเบี้ยในประเทศไว้สูง จนทำให้เกิดการเก็งกำไร ซึ่งอัตราดอกเบี้ยนโยบายในปัจจุบันที่ 2.75% นั้น มีความแตกต่างที่ทำให้เกิดการไหลเข้าของเงินทุน เพราะถ้าดอกเบี้ยไม่ต่างกันมาก เงินจากต่างประเทศคงไม่ไหลเข้ามาลงทุนในตราสารหนี้มากอย่างที่ผ่านมา

นายกิตติรัตน์ กล่าวว่า หากจะทบทวนนโยบายนี้ จะเป็นประโยชน์หรือไม่ ขอฝากคณะกรรมการนโยบายการเงินธนาคารแห่งประเทศไทย(กนง.) และธปท.พิจารณาเรื่องนี้ เพราะไม่ใช่เรื่องใหม่ ซึ่งฝากเรื่องนี้มาตั้งแต่ช่วงที่ดอกเบี้ยนโยบายสูง กว่า 3% และตอนนี้เห็นชัดมากขึ้นว่ามีเงินไหลเข้ามาลงทุน เพื่อหวังส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยมากขึ้

นายกิตติรัตน์ กล่าวด้วยว่า จากที่ประเทศไทยมีการกู้เงินจากต่างประเทศนั้น หากสามารถชำระคืนเงินกู้ได้ก่อนกำหนดในช่วงระยะเวลานี้ ก็จะเป็นส่วนหนึ่งในการลดการแข็งค่าเงินบาทลงได้ ซึ่งขณะนี้กระทรวงการคลัง กำลังประสานกับหน่วยงานรัฐวิสาหกิจหลายแห่ง เพื่อให้ดำเนินการในเรื่องดังกล่าว และจะได้นำเข้าสู่การพิจาณาอนุมัติจากที่ประชุมคณะรัฐมนตรี

"เรามีเงินกู้ต่างประเทศอยู่จำนวนหนึ่ง ซึ่งถ้าเราชำระคืนก่อนกำหนดได้ โดยใช้เงินกู้บาทมาแทน ก็จะทำให้อุปสงค์อุปทานของเงินตราต่างประเทศ สวนทางกันกับการไหลเข้า ทำให้ค่าเงินไม่แข็งค่ามากเท่าที่เป็นอยู่ กระทรวงการคลังกำลังขออนุมัติจากคณะรัฐมนตรี และประสานกับรัฐวิสาหกิจหลายแห่ง ที่มีเงินตราต่างประเทศว่าถ้าอนุมัติจากครม.แล้ว และด้วยความเห็นชอบจากรัฐวิสหกิจเหล่านั้น กระทรวงการคลังในฐานะที่ดูแลหนี้ของหน่วยงานเหล่านี้พร้อมให้ความร่วมมือ" นายกิตติรัตน์ กล่าว

ทั้งนี้ การที่ธนาคารกลางของแต่ละประเทศ จะต้องประสบกับภาวะขาดทุนจากการเข้าไปดูแลนโยบายต่างๆ ทางการเงิน เป็นเรื่องที่เป็นไปได้ และถือเป็นหน้าที่ แต่สิ่งที่ต้องคำนึงคือ ถ้าดูแลแล้วเป็นภาระ เป็นจำนวนมากขึ้น และเป็นระยะเวลาที่ยาวนานขึ้น โดยที่ยังไม่มีคำตอบว่าจะดำเนินการเพื่อไม่ให้ภาระนั้นสะสมมากขึ้น จนกลายเป็นปัญหาได้อย่างไรนั้น ก็ถือเป็นเรื่องที่ต้องดูแล

"การออกพันธบัตรที่ต้องจ่ายดอกเบี้ยตอบแทนผู้ถือพันธบัตรไว้แทนและส่งเงินมาให้ธปท.นำไปเก็บรักษาก็มีดอกเบี้ย ถ้าดอกเบี้ยสูงต้นทุนก็สูง ในขณะที่ผลตอบแทนจากเงินตราต่างประเทศที่อยู่ในความดูแลนั้น อัตราดอกเบี้ยต่ำ จึงเกิดส่วนต่าง ซึ่งปี 55 มีส่วนต่างที่เป็นผลขาดทุนเกิน 1 แสนล้านบาท ปีก่อนนั้นก็มีแต่น้อยกว่า สิ่งที่ผมกังวลคือ เมื่อมีนานขึ้นอีกปีและมีจำนวนมากขึ้น ผลขาดทุนสะสมจะมากขึ้นตามลำดับ หากคิดตั้งแต่ตอนนี้จะไม่เป็นปัญหารุนแรง แต่หากปล่อยให้ปี 56 มีปัญหาเดียวกัน มียอดขาดทุนสะสมเพิ่มอีก ก็จะกลายเป็นปัญหา" นายกิตติรัตน์ กล่าว

รองนายกฯและรมว.คลัง กล่าวว่า กนง. ซึ่งมีหน้าที่ในการดูแลนโยบายการเงิน และการกำหนดดอกเบี้ยนโยบาย จำเป็นจะต้องพิจารณาและไตร่ตรองในเรื่องนี้ เพราะหากดำเนินการแล้ว เป็นผลเสียต่อเศรษฐกิจก็ควรต้องรับผิดชอบ แต่หากทำแล้วเป็นผลดี แม้จะเสียบ้างแต่คุ้มค่าก็ไม่ต้องรับผิด

" ที่ทำหนังสือเพื่อแสดงความเป็นห่วงในเรื่องดังกล่าวไปถึงแบงก์ชาติอย่างเป็นทางการนั้น ไม่ใช่เป็นการเข้าไปแทรกแซง แต่เป็นการดำเนินการตามสิทธิ และหน้าที่ของรมว.คลังตามพ.ร.บ.ธนาคารแห่งประเทศไทย"นายกิตติรัตน์ กล่าวย้ำ

รองนายกฯและรมว.คลัง ยังกล่าวอีกว่า การประชุมกนง.ที่จะมีขึ้นในวันที่ 20 ก.พ.นี้สิ่งที่รัฐบาลอยากเห็นคือ การดำเนินนโยบายที่พิจารณาข้อดีข้อเสีย พิจารณาประโยชน์ต่อเศรษฐกิจควบคู่ไปกับความเข้มแข็งขององค์กรที่มีหน้าที่กำกับนโยบายทางการเงินถ้าหากคำนึงแล้ว มีคำตอบชัดเจนว่าการดำเนินงานจะใช้เวลาเท่านี้ เป็นจำนวนเท่านี้ และสามารถดูแลได้ ก็สบายใจขึ้น แต่ขณะนี้ผมไม่มีคำตอบ และตั้งแต่ที่ผมได้แสดงความกังวลไปทางวาจา ปัญหานั้นก็ยังไม่ลดลง ดูจะเพิ่มมากขึ้น ทิศทางที่เคยเป็นห่วงว่า ส่วนต่างของดอกเบี้ยที่มากจะเป็นตัวดึงดูดเงินตราต่างประเทศเข้ามา ก็เกิดขึ้นจริงเห็นชัดเจนขึ้น

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
------------------------------------------------------

ดร.ทนง พิทยะ เตือน รมว.คลังก้าวก่ายแบงก์ชาติไม่ได้ !!?


อดีตขุนคลัง เตือน คลังจะไปก้าวก่ายหน้าที่แบงก์ชาติไม่ได้ มีสิทธิเพียงแต่บอกว่า ท่านผู้ว่าการต้องระวังเรื่องเงินทุนไหลเข้าหน่อย

ดร.ทนง พิทยะ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง สนับสนุนและ"เห็นด้วย"ให้คณะกรรมการนโบายการเงินหรือกนง.ลดอัตราดอกเบี้ยลง ในการประชุม 20 ก.พ.นี้ เหตุเพราะเชื่อว่าจะช่วยลดความร้อนแรงของเงินทุนไหลเข้าได้ โดยไม่ต้องวิตกปัญหาฟองสบู่ เหตุยังไม่เห็นสัญญาณ และไม่ต้องห่วงปัญหาเงินเฟ้อ เพราะยังอยู่ระดับต่ำ แต่ถึงกระนั้น อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง "ไม่เห็นด้วย" กับแนวทางที่ กิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง ทำหนังสือถึงประธานกรรมการ ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) วีรพงษ์ รามางกูร เพราะถือว่า"ไม่เหมาะสม"ขณะที่ตัวเลขการขาดทุนทางบัญชีของ ธปท.5.3 แสนล้านบาทนั้น"ไม่น่าห่วง"

อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เริ่มต้นระบุว่าประเทศไทยปีที่ผ่านมามีปรากฏการณ์หลายอย่าง ที่สำคัญหลักๆ 2 ประเด็น เรื่องแรก คือ เรื่องของการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาทมอง ซึ่งส่วนใหญ่ก็มองในแง่ลบบ้าง เพราะห่วงว่าธุรกิจเล็กๆ ก็อาจจะอยู่ไม่ได้ ทั้งๆที่อัตราค่าแรงของไทยยังต่ำ เพียงแต่ที่ผ่านมาไม่ได้ขยับเลย พอกระโดดจาก 220 กว่าบาทมาเป็น 300 บาท ต้องมีธุรกิจที่กระทบบ้าง บางส่วนก็เลยช็อกแต่เชื่อว่าจะไม่รุนแรงมาก

เรื่องที่ 2 คือ เรื่องการลดภาษีนิติบุคคล จาก 30% มา 23% และมาถึง 20% ก็ถือว่ารุนแรงเหมือนกัน ภาพการทำกำไรของบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ ที่เคยทำกำไรสุทธิอยู่ประมาณเกือบ 10% ก็กลายเป็น 17% ถือว่าเพิ่มขึ้นมหาศาล เห็นได้จากบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ มีรายงานกำไรสูงมากๆ โดยเฉพาะธนาคารเป็นต้น ในธุรกิจต่างๆ ผลัก ดันให้นักลงทุนมองตลาดหลักทรัพย์ไทย เป็นตลาดที่น่าลงทุน และจากลดภาษีเหลือ 20% ปีนี้ เพราะฉะนั้นโอกาสทำกำไร เพราะเพียงแค่ขายสินค้าเท่าเดิม ผลดำเนินงานสามารถเพิ่มขึ้นอีก 3% ทำให้นักลงทุนต่างประเทศมองภาพว่าประเทศไทยขณะนี้มีช่องที่จะทำกำไรได้ ประเมินแค่นี้เงินทุนจากต่างประเทศ ก็ไหลเข้ามาอย่างมากแล้ว

นอกจากนั้นการที่ กนง. เฝ้าระวังเรื่องเงินเฟ้อ กลัวว่าจะเกิดเงินเฟ้อในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ไม่ยอดลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายจาก 2.75% ถือเป็นความเชื่อของธนาคารแห่งประเทศไทย ที่หนุนให้เงินทุนไหลเข้า

คงดอกเบี้ยสูงอันตรายเสี่ยง"ฟองสบู่"

ดร.ทนง พิทยะ เห็นว่า การที่ กนง. รักษาอัตราดอกเบี้ยไว้สูงกว่าประเทศอื่นนั้นจะทำให้เงินไหลเข้ามา เป็นสภาพคล่องอยู่ในประเทศไทย ส่งผลให้แบงก์พาณิชย์เอง สามารถที่จะปล่อยในระดับ MLR ลบ ได้เพราะต้นทุนเงินฝากต่ำมากๆ เพราะฉะนั้น การรับเงินจากเมืองนอก มาแลกเป็นเงินบาท กลายเป็นสภาพคล่องในเงินบาทอีกยิ่งบวกกับ รัฐบาลเองก็ใช้งบประมาณขาดดุลอีก กลายเป็นว่าการที่ให้ดอกเบี้ยเงินบาทในระดับที่สูงกว่าคนอื่น อาจจะสร้างฟองสบู่ได้ เพราะเมื่อดอกเบี้ยสูงยิ่งเพิ่มแรงจูงใจไหลเข้ามา

"เศรษฐกิจไทยในปัจจุบัน ป้องกันเงินทุนไหลเข้าได้ยากมาก เนื่องจากเศรษฐกิจก็เริ่มฟื้น เงินทุนเข้ามาเนื่องจากการค้าดี เงินบาทก็แข็งขึ้น เมื่อเข้ามาลงทุนก็ได้หลายเด้ง ทั้งค่าเงินบาทที่แข็งขึ้น ตลาดหลักทรัพย์ก็ดีขึ้น จึงฟันกำไร 2 ด้าน ทั้งจากอัตราแลกเปลี่ยน ทั้งจากตลาดหลักทรัพย์ ระหว่างพักเงินไม่ได้เข้าถือหุ้น ยังได้กำไรจากดอกเบี้ยด้วย กำไรจึง 3 เด้ง ตรงนี้ ธนาคารแห่ง ประเทศไทย น่าจะพิจารณาให้ละเอียดรอบคอบว่า การรักษาอัตราดอกเบี้ยควรจะเกี่ยวข้องหรือเปรียบเทียบกับ สกุลเงินที่กำลังไหลเข้ามา หรือแหล่งที่ไหลเข้ามาว่า อัตราดอกเบี้ยที่นั่นต่ำกว่าต้องการเงินให้ไหล เข้าแบบนั้นหรือไม่ ถ้าเงินไหลเข้ามาเพื่อมาลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ เรายังพอเข้าใจได้ว่าไม่เป็นไร ก็ยังถือว่าเป็นเพราะเศรษฐกิจไทยเราดี และอัตราเงินเฟ้อไม่น่าจะสูงเงินเฟ้อขึ้นพื้นฐานก็ทำท่าจะลดลงเช่นกัน"

สำหรับความห่วงใยเรื่องอัตราเงินเฟ้อนั้น เขาเห็นว่า ยังไม่น่าห่วง เพราะกำลังการผลิตยังมีเหลือ ยังผลิตได้ถูกลงด้วยซ้ำ การที่เกิดเงินเฟ้อจากการไม่เพียงพอของการผลิตสินค้า ไม่ค่อยน่ากลัว และสินค้าที่นำเข้าก็ถูกลง ส่วนแรงดันที่ทำให้เกิดเงินเฟ้อจากพลังงาน ตอนนี้ก็เริ่มทรงตัว หรือว่าลดลงด้วยซ้ำ

อย่างไรก็ตามเขาเห็นว่า หากลดอัตราดอกเบี้ยแล้ว เกิดสัญญาณเก็งกำไรในบางเซ็กเตอร์ เช่น อสังหาริมทรัพย์ ควรป้องกันเฉพาะอสังหาริมทรัพย์ เช่นตัวอย่างมาตรการประเทศจีน ให้แบงก์สำรองมากขึ้น ทำให้แบงก์มีต้นทุนสูงขึ้น

"ธนาคารแห่งประเทศไทยมีเครื่องมือเยอะแยะไม่ใช่แค่อัตราดอกเบี้ย กลายเป็นว่าในโลกใหม่ซึ่งทุนไหลเข้าออก ได้อย่างเสรี อัตราดอกเบี้ยไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้องที่จะไปใช้มัน ควรจะเป็นเครื่องมืออื่นที่จะมาดูแลภาคเศรษฐกิจที่ แท้จริง แต่ละภาคผ่านธนาคารพาณิชย์ซึ่งแบงก์ชาติกำกับดูแลอยู่แล้ว ทำได้เยอะแยะ

"กิตติรัตน์ ส่งหนังสือ"ไม่เหมาะ"

ดร.ทนง ยังตอบคำถามกรณีที่ กิตติรัตน์ ณ ระนอง ทำหนังสือถึงดร.วีรพงษ์ รามางกูร ประธานบอร์ดแบงก์ชาติ กดดันให้ลดดอกเบี้ย ว่า"ผมว่าไม่ดี และยิ่งทำให้แบงก์ชาติมีปฏิกิริยาตอบโต้โดยที่ทำให้ลดดอกเบี้ยช้าลงด้วยซ้ำ เพื่อยืนยันความเป็นอิสระขององค์กรตัวเอง จะเป็นเรื่องของ ศักดิ์ศรีองค์กร มากขึ้น" และในอดีตก็ไม่เห็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ท่านไหนทำกันแบบนี้

"ผมว่าควรจะคุยนอกรอบกันให้เข้าใจว่าอะไรคืออะไร และก็ปัญหาจริงๆ อยู่ที่ไหน และมาตรการที่แบงก์ชาติกับ กระทรวงการคลังควรจะเห็นพ้องต้องกันคืออะไร คือแบงก์ชาติเองก็ต้องคอยดูปริมาณเงินบาทในระบบอยู่แล้ว ถ้าตอนนี้เงินมันไหลเข้ามารัฐบาลเองก็เอาเงินจากระบบออกไปใช้และอัดฉีดเข้ามาในระบบผ่านการที่งบประมาณขาดดุล แบงก์ชาติก็ต้องดูทั้ง 2 ด้านว่าตรงไหนเป็นอะไรและก็ความพอดีของปริมาณเงินอยู่ที่ไหน แต่ว่านโยบายอัตราดอกเบี้ยนั้นไม่ได้ชะลอปริมาณเงิน ไม่ได้ลดความต้องการเงินกู้ เพราะว่ามันมีเงินไหลเข้ามาทดแทนได้"

ดังนั้นศาสตร์และศิลป์ในการทำงานร่วมกับผู้ว่าการแบงก์ชาติจะทำอย่างไร นั้นเขายกตัวอย่างว่า สมัยที่ตนเอง ทำงานร่วมกับอดีตผู้ว่าการแบงก์ชาติ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล ก็ใช้วิธีโทรศัพท์หารือ พูดคุยกันตลอด บางทีตนเองก็แวะไปหาที่แบงก์ชาติ และบางครั้ง ม.ร.ว.ปรีดิยาธร ก็มาหาตนที่กระทรวงการคลัง ซึ่งต่างคน ต่างก็ชี้แจงความจำเป็นและเสร็จแล้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ก็มีสิทธิชี้แจงสาธารณชน ฝั่ง ม.ร.ว.ปรีดิยาธร ก็มีสิทธิชี้แจงเช่นกัน

"แต่ก็ในที่สุดแล้วมันก็คุยกันได้ ถึงเวลามันเห็นปัญหาร่วมกันได้ เพราะข้อเท็จจริงทางเศรษฐกิจมันมี ข้อเท็จจริงทางเศรษฐกิจโดยแบงก์ชาติก็ต้องมารายงานรัฐบาลอยู่ ข้อเท็จจริงทางเศรษฐกิจที่กระทรวงการคลังมีก็รายงานรัฐบาล ข้อเท็จจริงทางเศรษฐกิจที่สภาพัฒน์ทำก็รายงานรัฐบาล ฉะนั้นก็สามารถจะเปรียบเทียบได้ว่าใครถูกใครผิด มันสามารถจะเปรียบเทียบได้ว่าแต่ละคนเห็นความสำคัญคนละด้าน ฉะนั้นความพอดีอยู่ตรงกลางทำยังไงดี มันก็มีสิทธิที่จะทำได้ แต่คลังจะไปก้าวก่ายหน้าที่แบงก์ชาติไม่ได้ มีสิทธิเพียงแต่บอกได้ว่าท่านผู้ว่าการต้องระวังเรื่องนี้หน่อยนะ และไม่ต้องไปบอกเขาว่าดอกเบี้ยควรจะลดลง เพียงแต่อาจจะบอกว่าท่านผู้ว่า ให้ระวังเรื่องการไหลเข้าของเงินทุนหน่อย เพราะว่าหากมันเข้ามามากเกินไปมันจะทำให้เศรษฐกิจกลายเป็นฟองสบู่ได้ เพราะฉะนั้นแบงก์ชาติก็ต้องไปกลับดูว่านโยบายอะไรที่จะทำให้ได้ผล หรือท่านต้องระวังอย่าไปดูแลค่าเงินบาทแบบนี้ เพราะอาจจะขาดทุนมากขึ้นอีก และก็จะมีปัญหาในระยะยาวได้ เรามีสิทธิที่จะพูดได้อย่างนี้"

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันเสาร์ที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

เหตุการณ์สำคัญ 2 เรื่องสัปดาห์ที่แล้ว !!?


ผมได้ทำงาน  2  เรื่องใหญ่ในสัปดาห์ที่แล้ว จึงอยากแบ่งปันความรู้ให้ท่านผู้อ่าน เพื่อนำไปพิจารณาต่อยอดเป็นบทเรียน

เรื่องแรก คือ ได้รับเกียรติไปเป็นองค์ปาฐกในหัวข้อ “การพัฒนาทุนมนุษย์เพื่อนำไทยสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน” ในงานประชุมวิชาการและเสนอผลงานวิจัย สร้างสรรค์ทางการจัดการ ระดับ ปริญญาตรี ของชาติประจำปี 2556 ณ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตตรัง

ประทับใจที่นักศึกษาจากหลาย ๆ มหาวิทยาลัยมารวมตัวกันเสนองานวิจัยระดับปริญญาตรี และมหาวิทยาลัยได้เชิญผู้เชี่ยวชาญในแต่ละสาขาจากหลาย มหาวิทยาลัยมาวิจารณ์ทำให้ผมประทับใจมากมหาวิทยาลัย (มอ.) มีวิทยาเขตหลายแห่ง เช่นที่ภูเก็ต สุราษฎร์ธานี ปัตตานี และตรัง ขยายความรู้กว้างขวางมากขึ้น

ที่วิทยาเขตตรังมีคณะบริหารธุรกิจและคณะสถาปัตย์ฯ ซึ่งเป็นคณะที่มีประโยชน์ต่ออาชีพและการจ้างงานที่สำคัญที่สุด คือ การเข้าสู่ประชาคมอาเซียน

ที่น่าสนใจคือ ผมมีลูกศิษย์ปริญญาเอก มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา คือ คุณเชษฐา หรนจันทร์ ที่เป็นตำรวจที่จังหวัดสตูล ถือโอกาสไปเยี่ยมและหาความรู้ที่จังหวัดสตูล 1 วัน

สตูลมีชาวมุสลิมกว่า 90% สามารถใช้ชีวิตอย่างสันติ ไม่มีเหตุการณ์รุนแรงเลยทำให้ผมมีความมั่นใจว่า ปัญหาขัดแย้ง 3 จังหวัดภาคใต้จะสามารถแก้ไขได้ ถ้าใช้บทเรียนของจังหวัดสตูลซึ่งเป็นเมืองเล็ก ๆ ชายแดนติดกับมาเลย์เซียถ้าใครยังไม่เคยไป ผมขอแนะนำให้ไปเที่ยวและไปเกาะตะรุเตากับเกาะหลีเป๊ะด้วย ซึ่งผมยังไม่มีเวลาไปคราวนี้ เพียงแต่ได้แวะที่ท่าเรือ พบนักท่องเที่ยวเป็นจำนวนมากจากต่างประเทศให้ความสนใจ

สรุป

1)     ได้เห็นมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์มีการทำงานในระดับวิทยาเขต ซึ่งทำได้ดี ผมในฐานะกรรมการสภาฯ รู้สึกภูมิใจ

2)     มีความหวังเรื่องสันติภาพใน 3 จังหวัดชายแดนใต้มากขึ้น โดยใช้สตูลเป็นตัวอย่างให้ความสำคัญการบริหารความหลากหลาย ( Diversity) ระหว่างชาวพุทธกับชาวมุสลิม ความหลากหลายไม่ใช่อุปสรรค ต้องสร้างประโยชน์จากความสามัคคีมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์จะต้องเป็นองค์กรหลักในการดับไฟใต้ให้ได้

อีกเรื่องที่สำคัญ คือ ได้รับเชิญไปร่วมบรรยายพิเศษ เรื่อง ยุทธวิธีและทางออกที่เป็นไปได้ของ SME ไทย  .. เพื่อรองรับ ASEAN 2015 ที่ บริษัท ศรีไทยซุปเปอร์แวร์ จำกัด (มหาชน) ซึ่งประธานฯ สนั่น อังอุบลกุล เป็นนักธุรกิจที่มีบทบาทสูง ทั้งในระดับประเทศ และระดับองค์กร บริษัท ศรีไทยฯ ปรับตัวเรื่องนวัตกรรมของสินค้าอย่างต่อเนื่อง สามารถอยู่รอดได้อย่างดีในอาเซียน มีการขยายโรงงานไปในอาเซียนหลายโรง คงจะช่วยกระตุ้นให้ SMEs ในประเทศไทยมีบทบาทเตรียมตัวรองรับการเปิดอาเซียนเสรีได้

แนวคิดของผมมีหลายข้อ สรุปสั้น ๆ ได้ดังต่อไปนี้

(1)   SMEs มีทั้งจุดแข็งและจุดอ่อน ต้องทำจุดอ่อนมาใช้และเน้นจุดแข็ง

จุดอ่อนของ SMEs คือ

-  มาตรฐานต่ำ

-  คุณภาพยังไม่ดีพอ

-  ทรัพยากรมนุษย์ที่คุณภาพยังไม่เข้าสู่ SME

-  แหล่งเงินทุนไม่พอ

จุดแข็งของ SMEsคือ

-  คล่องตัว (Flexible)

-  เล็กและว่องไว (Agility)

-  ระบบ Silo ยังไม่มี

-  โครงสร้างไม่แข็งตัว ปรับตัวได้ง่าย

-  สายการบังคับบัญชาขึ้นไม่ยาว

แม้กระทั่ง Jack Welch ยังพูดว่าธุรกิจใหญ่ต้องมีพฤติกรรมเหมือนระบบครอบครัว และ SMEs เป็นวิธีการทำงานที่คล่องตัว

(2)   จะแก้ปัญหา SMEs เพื่อรองรับอาเซียนต้องทำอย่างต่อเนื่อง ชนิดกัดไม่ปล่อย เป็นการเดินทาง (Journey) และต้องเน้นกระบวนการ (Process) ไปสู่ความสำเร็จ มี 4 ขั้นตอน

     (1) Where are we?เราอยู่ตรงไหน?

      (2) Where we want to go?เราต้องการไปถึงไหน? - Vision (วิสัยทัศน์)หรือ Goal เป้าหมายสูงสุดคืออะไร?

      (3) Strategic – How to get there? มียุทธศาสตร์ เราจะไปถึงจุดนั้นอย่างไร?

(4) Execution – ทำให้สำเร็จ วัดผล

(3)   การมียุทธศาสตร์เข้าสู่อาเซียน

-          ทำการบ้านอย่างรอบคอบเกี่ยวกับอาเซียน

-          ศึกษารายละเอียด รู้เขา - รู้เรา

-          กฎ ระเบียบที่ตกลงและยังไม่ตกลง

-          ศึกษาเชิงลึกในแต่ละภาคส่วนSectorsให้ดี

(4)   การปรับตัวของ SMEs

-          ต้องปรับ ทัศนคติว่ามาตรฐานที่สำคัญที่สุด คือ มาตรฐานโลก (World Standard) และต้องพัฒนาให้ไปสู่จุดนั้นให้ได้

-          ปรับความเป็นมืออาชีพ

-          ปรับการทำงานแบบสากลมากขึ้น รวมทั้งการสื่อสารภาษา

-          ปรับพื้นฐาน คือ จริยธรรมและความถูกต้อง (Integrity) ให้พร้อมเสียก่อน

(5)   การปรับตัวต้องรู้ว่าใช้เวลา เพราะต้องเน้นความสำคัญของคนหรือทุนมนุษย์เป็นหลัก แต่การเปิดเสรีเริ่มต้นแล้ว จำเป็นต้องรู้ว่าตลาดทำงานแล้ว แต่พฤติกรรมของคนใน SMEs ต้องใช้เวลา จะทำอย่างไร?

(6)   การปรับตัว นอกจากระดับบุคคลและองค์กรแล้ว ต้องดูว่านโยบายรัฐบาลจะประคับประคองให้ SMEs อยู่รอด เป็นอย่างไร? ตัวละครที่จะเล่นมีหลายตัว จึงต้องทำงานให้เป็นทีม อย่าขัดแย้ง อย่าเน้นระยะสั้นเพื่อเป้าหมายทางการเมืองเท้านั้นทำอย่างต่อเนื่อง เช่น นโยบายในประเทศ ค่าแรง 300บาท จะกระทบการแข่งขันในอาเซียนหรือไม่ สำนักงาน สสว. มีประโยชน์แต่การเมืองยุ่งเกี่ยวน้อย ๆ เน้นมืออาชีพ ธนาคาร SMEs จะควบรวมกับธนาคารออมสินหรือเปล่า? การเงิน SMEs ใครจะดูแลอย่างจริงจัง ระดับนโยบาย SMEs ขาดความต่อเนื่อง และขาดความเป็นมืออาชีพถูกปัจจัยทางการเมืองกระทบมากเกินไป

(7)   การสร้างความสัมพันธ์ของ SMEs ไทย กับ SMEs ในอาเซียน+6 เป็นเรื่องสำคัญมาก การใช้ ทัศนศึกษาของสมาคมการค้าและวิชาชีพ และสร้างโอกาสในการเป็นพันธมิตรกับ SMEs ในอาเซียน เป็น Business Matching ซึ่ง สสว. และกระทรวงพาณิชย์เคยทำ น่าจะต้องทำอย่างต่อเนื่อง เป็นมาก เพราะ การเชื่อมโยงของ ASEAN คือ เชื่อมโยงความสัมพันธ์ของประชาชนกับนักธุรกิจ

(8)   ปัญหา SMEs กับความเป็นมืออาชีพของธุรกิจครอบครัว ต้องมีการศึกษาเพื่อให้ธุรกิจครอบครัวเติบโตอย่างมั่นคง ปัจจุบันยังมีการศึกษา SMEs กับธุรกิจครอบครัวน้อยเกินไป ต้องมีการฝึกอบรมให้ครอบครัวที่เป็นเจ้าของทำหน้าที่เป็นมืออาชีพ สร้างความสัมพันธ์กับพนักงานมืออาชีพเพื่อสร้างความเจริญให้แก่ SMEs ในอนาคต

(9)   ปัญหาการบริหารทุนมนุษย์ใน SMEs  ไม่ว่าจะปลูกคุณภาพของคนหรือทุนมนุษย์ใน SMEs (8K’s+5K’s) ที่สำคัญ การบริหารคนได้จะต้องเน้น “เก็บเกี่ยว” ผมใช้แนวคิด

HRDS

-  Happiness

-  Respect

-  Dignity

-  Sustainability

เป็นหลัก คือ มองคนเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว ให้เกียรติและศักดิ์ศรี ไม่ใช่แค่พนักงานกินเงินเดือน

(10)          และสุดท้าย จะต้องปรับให้ผู้นำ SMEs เป็นผู้ประกอบการให้สำเร็จ เพราะการเป็นผู้ประกอบการ คือ หัวใจสำคัญที่จะขับเคลื่อนมูลค่าเพิ่มของ SMEs – 3V

-  Value Added

-  Value Creation

-  Value Diversity

ผมเชื่อว่า SMEs จะเป็นกำลังสำคัญในการเข้าสู่ ASEAN 2015 บริษัท ศรีไทยฯ ของคุณสนั่น ก็ต้องเติบโตมาจาก SMEsจึงเป็นตัวอย่างที่ดีสำหรับ SMEs อื่น ๆ ได้นำไปพิจารณา

ศ.ดร.จีระ หงส์ลดารมภ์
เลขาธิการมูลนิธิพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ระหว่างประเทศ

ที่มา.นสพ.แนวหน้า
///////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

ชำแหละหนี้สาธารณะ : เราคงแก่ก่อนรวย !!?


สมชัย จิตสุชน ผอ.วิจัยการพัฒนา อย่างทั่วถึง กล่าวถึงเรื่องหนี้สาธารณะว่า โดยแนวคิดแล้ว หนี้สาธารณะเป็นเรื่องจำเป็น เพื่อการลงทุนในระบบสวัสดิการโครงสร้างพื้นฐานเพื่อดูแลประชาชน แต่ต้องบริหารให้มี “พื้นที่การ คลัง” มากพอเพื่อรองรับความจำเป็นหรือวิกฤติในอนาคต โดยแนวทางการบริหารหนี้สาธารณะนั้น ทำได้โดยการ 1.เพิ่มรายได้รัฐ ทั้งการจัดระบบภาษีอัตราก้าวหน้า เพิ่มฐานภาษีใหม่ๆ เช่น ภาษีทรัพย์สิน 2.การวางแผนการใช้จ่าย อย่างระมัดระวัง นโยบายประชานิยมที่ พรรคการเมืองทำนั้นไม่ใช่สิ่งเลวร้าย แต่ ในเมื่อจะเสียเงินทั้งทีก็ควรเป็นไปเพื่อ ให้เกิดการลดความเหลื่อมล้ำที่แท้จริง 3.บริหารหนี้สาธารณะอย่างโปร่งใส มีการวางแผน 5 ปีเป็นอย่างน้อย

สำหรับผลการประมาณการหนี้สาธารณะในช่วง 5 ปีข้างหน้านั้น สมชัย ระบุว่า หนี้สาธารณะในช่วง 5 ปีข้างหน้า ที่จะอยู่ที่ 70-80% ของจีดีพี ซึ่งเป็นกรณี ที่แย่ที่สุดและไม่คิดว่าจะเกิดขึ้น เพราะเศรษฐกิจไทยน่าจะขยายตัวมากกว่า 4% ซึ่งเป็นค่าที่ตั้งสมมติฐานไว้ โดยสัดส่วนหนี้นี้ คำนวณรายจ่ายจากความสามารถในการคุมรายจ่ายประจำที่ระดับการขยายตัว 7 และ 10% (เฉลี่ยในอดีตปี 33-56 อยู่ที่ 9.7%), โครงการพิเศษต่างๆ ที่จะเกิดในช่วง 5 ปี ไม่ว่าจะเป็นการขาดทุนจากโครง การรับจำนำข้าว-การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานรองรับ AEC-การลงทุนป้องกันน้ำท่วม-การลดลงของภาษีนิติบุคคลตามนโยบายรัฐบาล รวมถึงนโยบายพิเศษอื่นๆ ที่อาจเกิดขึ้นอีกจำนวนหนึ่ง

ทั้งนี้ หนี้สาธารณะของไทยมีแนวโน้ม เพิ่มขึ้นนอกเหนือจากโครงการพิเศษที่ใช้งบประมาณมากแล้วยังเป็นเพราะแม้ในภาวะปกติ การคลังไทยก็มีโครงสร้างขาด ดุลโดยพื้นฐานอยู่แล้ว และยังมีภาระดอกเบี้ยทับถม การควบคุมรายจ่ายประจำจะมี ผลช่วยควบคุมการเพิ่มของหนี้สาธารณะได้ค่อนข้างดี

ภายใต้หนี้สาธารณะที่จะเกิดขึ้นนี้ ยังมีแนวทางการบริหารโอกาสเพื่อไม่ให้หนี้สูงเกินไปได้ เช่น การลงทุนโครงสร้าง พื้นฐาน 2 ล้านล้านจะมีส่วนช่วยให้เศรษฐกิจ ขยายตัว (อาจถึง 6%) ซึ่งช่วยป้องกันไม่ให้หนี้สาธารณะเพิ่มเกิน 60% จึงควรบริหารจัดการให้งบส่วนนี้เกิดประสิทธิภาพ สูงสุด และควรมีมาตรการอื่นๆ เพื่อให้ประเทศหลุดพ้นกับดักประเทศรายได้ปานกลาง เช่น การพัฒนาแรงงาน พัฒนา เทคโนโลยี

ส่วนแนวโน้มหนี้สาธารณะในระยะยาวกรณีที่ไทยหลุดพ้นกับดักประเทศรายได้ ปานกลาง โดยมีจีดีพีโต 6% ต่อเนื่องทุกปี กราฟของหนี้สาธารณะก็จะดิ่งหัวลงมาอยู่ที่ 20-40% ของจีดีพีเท่านั้น ซึ่งโดยทิศทางแล้วมีความเป็นไปได้ไม่มากนักและขึ้นอยู่กับความเสี่ยงหลายอย่าง เช่น อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงอาจปรับตัวขึ้นภายใน 2 ปีข้างหน้า (จากปัจจุบันที่ติดลบ อยู่) ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจอเมริกา ประกอบกับรัฐยังไม่มีแผนการปรับระบบภาษีที่ควรจะเป็น ดังนั้น ข้อเสนอแนะสำหรับช่วงนี้ซึ่งแนวโน้มเศรษฐกิจอยู่ในช่วงขาขึ้นคือ การควรมี “พื้นที่การคลัง” เพิ่มขึ้นในระยะ 5 ปีข้างหน้า เนื่องจากยังมีความเสี่ยงหลายด้าน โดยแนวทางเพิ่ม พื้นที่การคลังที่เป็นรูปธรรมคือ พิจารณา ปรับลดโครงการพิเศษที่ใช้งบประมาณสูง เช่น โครงการรับจำนำข้าว, คุมการขยาย ตัวของรายได้ประจำ, ปรับเพิ่มภาษีบางประเภท เช่น ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ภาษี VAT

ภายในไม่กี่ปีข้างหน้าสังคมไทยจะเป็นสังคมผู้สูงอายุ แต่ด้วยสถานการณ์ ทางการเงินและเศรษฐกิจที่เป็นอยู่นี้ทำให้คาดหวังได้ว่าเราจะหลุดพ้นกับดักประเทศรายได้ปานกลาง และเป็นประเทศ ที่มีรายได้สูง อาจเรียกได้ว่า เราคงแก่ก่อนรวย

ที่มา.สยามธุรกิจ
------------------------------------------------------------

อัปยศ.. ฮั้วประมูลสร้างโรงพัก หมัดน็อก คู่กรรม แห่ง ปชป. !!?


กลายเป็นเรื่องอื้อฉาวในแวดวงสีกากีอีกครั้งกับปัญหาการก่อสร้าง สถานีตำรวจ (ทดแทน) จำนวน 396 แห่งทั่วประเทศ ที่ขณะนี้ยังเหลือเวลาอีกเพียงเดือนเศษก็จะครบกำหนดตามสัญญาในวันที่ 14 มี.ค. แต่ความคืบหน้าการก่อสร้างในแต่ละหน้างาน กลับดำเนินการไปน้อยมาก ขณะที่หลายแห่งยังไม่เริ่มดำเนินการก่อสร้างด้วยซ้ำ บางแห่งมีปัญหาผู้รับเหมาทิ้งงาน จึงอาจกล่าวได้ ว่า ห้วงระยะเวลาที่เหลือ บริษัทผู้รับเหมาไม่สามารถดำเนินการก่อสร้างให้แล้วเสร็จอย่างแน่นอน
     
       ปัญหาที่ถูกกล่าวถึงอันดับแรก คือ ในการก่อสร้างมีการทุบทำลายสถานีตำรวจหลังเก่า เพื่อสร้างสถานีตำรวจหลังใหม่ทับในพื้นที่เดิม จนเป็นเหตุให้ตำรวจไม่มีสถานที่ทำงาน เพราะแม้จะมีการสร้างสถานีตำรวจชั่วคราว แต่นั่นก็ไม่เพียงพอในการปฏิบัติงาน หลายแห่งมีการปลูกสร้างที่ทำการชั่วคราวในลักษณะของเต็นท์ หรือ เพิงพัก บางแห่งมีการดัดแปลงตู้คอนเทนเนอร์มาใช้ ขณะที่บางโรงพักห้องควบคุมผู้ต้องหามีการก่อสร้างแบบชั่วคราวแบบตามมีตามเกิด หรือใช้บ้านพักตำรวจเป็นห้องขังจำเป็น ที่อนาถกว่านั้นในบางพื้นที่ถึงกับมีการนำผู้ต้องหาไปควบคุมในห้องน้ำก็มี
     
       และยิ่งการก่อสร้างล่าช้าออกไป ความเดือดร้อนของตำรวจยิ่งมากขึ้นไปอีก เรื่องนี้จึงส่งผลกระทบต่อการให้บริการประชาชนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ที่สำคัญได้ทำให้ภาพลักษณ์ของตำรวจได้รับความเสียหาย และกระทบต่อความน่าความเชื่อถือ คนในแวดวงสีกากีหรือ แม้แต่ประชาชนทั่วไปถึงกับเบือนหน้าหนี เมื่อเห็นสภาพของสถานีตำรวจเหล่านี้
     
       อีกประเด็นที่ถูกจับตามองและวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางไม่แพ้กัน คือ การประมูลงานจัดจ้างที่ดำเนินการโดยบริษัทผู้รับเหมาเพียงรายเดียว คือ บริษัท พีซีซี ดีเวลล็อปเม้นท์ แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด ทั้งๆ ที่มีทุนจดทะเบียนเพียง 500 ล้านบาทแต่สามารถรับงานอภิมหาโปรเจ็กต์ ซึ่งมีไซต์งานก่อสร้างสถานีตำรวจที่กระจายตัวอยู่ทั่วทุกมุมของประเทศได้
     
       ขณะเดียวกันหลังมีการตีแผ่ปัญหานี้ จึงเริ่มได้กลิ่นการทุจริต การฮั้วประมูล รวมทั้งความไม่ชอบมาพากลในการทำสัญญาที่เดิมทีมีการทำสัญญา 9 สัญญา ก่อนที่จะมีการรวบมาไว้เป็นสัญญาเดียว และให้บริษัทเดียวดำเนินการก่อสร้าง มิหนำซ้ำบริษัทแห่งนี้ ยังได้งานก่อสร้างแฟลตตำรวจทั่วประเทศกว่า 163 หลัง มูลค่ากว่า 3,800 ล้านบาท จนหลายฝ่ายเกิดความกังขาว่า บริษัทนี้ที่มีทุนจดทะเบียนเพียง 500 ล้านบาท แต่กลับได้รับการว่าจ้างให้สร้างโปรเจ็กต์ยักษ์ถึง 2 โครงการ รวมมูลค่าของโครงการเกือบ 1 หมื่นล้านบาท
     
       ขณะเดียวกันก็ได้มีกระแสข่าวออกมาเป็นระยะว่ากรรมการของบริษัทพีซีซีฯ คือ นายพิบูลย์ อุดมสิทธิกุล ประธานกรรมการ และนายวิษณุ วิเศษสิงห์ กรรมการ มีความสัมพันธ์แนบแน่นกับพ่อตาของนักการเมืองใหญ่ทางภาคอีสานจึงทำให้ได้งานดังกล่าว
     
       ที่สำคัญเรื่องนี้เป็นการเดินเกมของฝ่ายการเมือง เริ่มจากการเดินหน้าจี้ กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ ตรวจสอบปมการจัดซื้อจัดจ้างครั้งนี้ว่ามีการฮั้วประมูล หรือ มีการดำเนินการโดยถูกต้องตามขั้นตอนของกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการจัดซื้อจัดจ้างหรือไม่ ขณะเดียวกันยังได้ยื่นเรื่องให้สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน หรือ ปปง. ตรวจสอบเส้นทางการเงิน ของบริษัทผู้รับเหมา และข้าราชการที่อาจมีส่วนเกี่ยวข้องทั้งหมด
     
       สอดรับกับท่าทีของ “บิ๊กเหลิม” ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ที่ออกโรงกำชับตำรวจให้ส่งข้อมูลการฮั้วประมูลกับดีเอสไอ รวมทั้งให้ความร่วมมือในการตรวจสอบเรื่องนี้
       
       การเดินเกมของพรรคเพื่อไทย ย่อมทำให้ถูกมองว่าเรื่องนี้มีการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้องอย่างแน่นอน โดยเฉพาะโครงการนี้ริเริ่มในสมัยรัฐบาลประชาธิปัตย์ ซึ่งเป็นขั้วการเมืองฝ่ายตรงข้ามกับรัฐบาลชุดปัจจุบัน
     
       หลังรับลูกจากฝ่ายการเมือง นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดี ดีเอสไอ เดินหน้าเต็มสูบในการตรวจสอบ โดยเตรียมเรียกอดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ 3 คน ได้แก่ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ พล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ และพล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี มาให้ข้อมูลเรื่องนี้ โดยมีประเด็นสอบถาม พล.ต.อ.พัชรวาท ตั้งแต่การร่างสัญญาสัมปทาน ส่วน พล.ต.อ.ปทีป จะถูกสอบถามประเด็นการเปลี่ยนแปลงสัญญา จากสัญญาที่แยกตามสำนักงานตำรวจ 9 ภาค และให้รวมเป็นสัญญาเดียว โดยมีบริษัทเดียวได้รับสัมปทาน และพล.ต.อ.วิเชียร จะถูกสอบถามประเด็นการลงนามสัญญาจ้าง และการติดตามงาน และสุดท้ายที่ถือเป็นไฺฮไลท์ของคดีนี้ คือ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกรัฐมนตรี กำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่งปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น เป็นผู้ลงนามอนุมัติโครงการนี้ เข้าชี้แจงข้อเท็จจริงด้วย
     
       ทั้งนี้ อธิบดี ดีเอสไอ ตั้งข้อสังเกต 6 ข้อ ว่าการสัญญาว่าจ้างครั้งนี้ เข้าข่ายฮั้วประมูล คือ การเสนอราคาประมูลที่ต่ำกว่าราคากลางถึง 540 ล้านบาท และยังพบว่าเป็นราคาที่ต่ำกว่า หจก.สามประสิทธิ์ คู่แข่งถึง 247 ล้านบาท ซึ่งเป็นตัวเลขผิดปกติ ประเด็นการรวบสัญญา จาก 9 สัญญาให้เป็นสัญญาเดียว การจ่ายเงินงวดแรกเต็มเพดานร้อยละ15 ซึ่งปกติ หลายหน่วยงาน จะจ่ายเพียง ร้อยละ 7-8 ของมูลค่าโครงการ รวมทั้ง ประเด็นการจ้างบริษัทอื่นทำงานแทน และการทิ้งงาน
     
       “เมื่อเห็นข้อมูลพิรุธทั้ง 6 กรณี จะเห็นว่าพฤติการณ์เรื่องนี้เข้าข่ายการกระทำความผิดตามกฎหมายฮั้วประมูล มาตรา 11, 13 และ 8 ในส่วนของเจ้าหน้าที่รัฐ จะเกี่ยวข้องกับมาตรา 11 ประเด็นเรื่องการกำหนดเงื่อนไข คือ มีเพียงบริษัทเดียว ไม่มีการแข่งขันกัน 9 ภาค ส่วนผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเข้าข่าย มาตรา 13”นายธาริตระบุ
     
       นอกจากนี้อธิบดีดีเอสไอ ยังได้ อนุมัติให้มีการสืบสวนในเรื่องของการฉ้อโกง เนื่องจากวิเคราะห์จากการกระทำทั้ง 6 ขั้นตอน ที่ผ่านมา ตั้งข้อสังเกตว่าทางบริษัทพีซีซีฯ รู้อยู่แล้วว่าไม่มีความสามารถที่จะสร้างสถานีตำรวจให้แล้วเสร็จตามสัญญา เพราะบริษัทเดียวรับผิดชอบงานก่อสร้างทั่วประเทศ ประกอบกับบริษัทมีทุนจดทะเบียนแค่ 500 ล้านบาท ไม่เคยรับงานใหญ่ขนาดนี้ แต่มีการสู้ราคาที่ต่ำมาก เพราะต้องการแค่ชนะ ให้ได้สัญญา เพื่อต้องการแค่สัญญา เบิกเงินล่วงหน้า และถ้ามีเรื่องเกิดขึ้นจะสู้ว่าเป็นความผิดทางแพ่ง เพราะมีการประมูลตามขั้นตอน เมื่อเกิดเหตุสุดวิสัย สร้างไม่ได้ หรือไม่ทันเวลา ก็ปล่อยบริษัทล้มละลาย ผู้บริหารไม่ต้องรับผิดทางอาญา ดังนั้น จึงสงสัยว่ามีเจตนาทุจริตหลอกลวงมาตั้งแต่ต้น ไม่ใช่ทำสัญญาทางแพ่งตามปกติ ทั้งนี้ คดีฉ้อโกงเป็นคดีเกี่ยวพัน พ.ร.บ.ฮั้ว ดีเอสไอ สามารถดำเนินการได้ทันที เพราะถือเป็นการอาชญากรรมทางเศรษฐกิจที่ร้ายแรง
     
       สำหรับโครงการนี้ย้อนไปเมื่อปี 2552 คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติหลักการในโครงการก่อสร้างสถานีตำรวจ (ทดแทน) จำนวน 396 หลัง วงเงินงบประมาณ 6,672,000,000 บาท แยกเป็นอาคารที่ทำการสถานีตำรวจ 3 ขนาด คือ ขนาดใหญ่ 88 หลัง ขนาดกลาง 136 หลัง และ ขนาดเล็ก 172 หลัง ซึ่งตรงกับสมัย พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร. จากนั้นเมื่อวันที่ 9 มิ.ย. 2552 มีการอนุมัติคำสั่งก่อสร้างครั้งแรกให้แยกเป็นรายกองบัญชาการ 1-9 แต่หลังจากนั้น 5 เดือน ในวันที่ 18 พ.ย. 2552 ในสมัย พล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ รรท.ผบ.ตร. ได้มีการยกเลิกคำสั่งเดิมเป็นอนุมัติให้ประกวดราคารวมเข้าด้วยกันจากส่วนกลาง ก่อนมีการกำหนดประกวดราคาก่อสร้างด้วยวิธีอิเล็กทรอนิกส์ (อีอ๊อคชั่น) โดยบริษัท พีซีซี ดีเวลล็อปเม้นท์ แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด ซึ่งเสนอราคาต่ำสุดเป็นผู้ชนะการประกวดราคาด้วยวงเงิน 5,848,000,000 บาท ต่ำ กว่าราคากลางถึง 540 ล้านบาท เอาชนะหจก.สามประสิทธิ์ จำกัด ที่เข้าร่วมเสนอราคา โดยเสนอราคาสู้ที่ 6,095 ล้านบาท ต่ำกว่าราคากลางเพียง 293 ล้านบาท
     
       ในส่วนงบประมาณที่ใช้ดำเนินการก่อสร้าง สำนักงบประมาณ ได้จัดสรรงบประมาณก่อสร้างเป็นงบผูกพัน ตั้งแต่ปี 2552-2555 แยกเป็น ปี 2552 จำนวน 311,500,000 บาท, ปี 2553 จำนวน 1,174,000,000 บาท, ปี 2554 จำนวน 2,199,852,800 บาท และปี 2555 จำนวน 2,162,647,200 บาท โดยสัญญาก่อสร้างเริ่มตั้งแต่วันที่ 26 มี.ค. 2554 สิ้นสุดวันที่ 17 มิ.ย. 2555 รวมเวลาก่อสร้างตามสัญญา 450 วัน แต่มีการขยายสัญญาเพิ่มเติมอีก 3 ครั้ง โดยอ้างปัญหาน้ำท่วม ครั้งแรกขยายออกไปอีก 30 วัน ครั้งที่ 2 ขยายไป 180 วัน และล่าสุดครั้งที่ 3 ขยายไป 60 วัน ซึ่งจะสิ้นสุดสัญญา ในวันที่ 14 มี.ค. 2556 นี้
     
       ทั้งนี้ ตามสัญญากำหนดให้มีการจ่ายเงินล่วงหน้าให้บริษัทผู้รับเหมาร้อยละ 15 ของราคาค่าจ้างคิดเป็นเงินจำนวน 877,200,000 บาท รวมทั้งมีการเบิกเงินค่างวดไปแล้วทั้งสิ้น 656,251,000 บาท รวมเป็นเงินที่มีการเบิกจ่ายไปแล้วทั้งสิ้น 1,533,451,000 บาท แต่จากข้อมูลของสำนักงานส่งกำลังบำรุง หรือ สกบ.ระบุความคืบหน้าการก่อสร้างของบริษัทผู้รับเหมามีการดำเนินการก่อสร้างไปแล้ว 280 หลัง แต่ยังไม่มีหลังใดก่อสร้างแล้วเสร็จ ส่วนอีก 116 หลัง ที่เหลือยังไม่ดำเนินการก่อสร้าง
     
       ขณะที่เรื่องนี้มีความเคลื่อนไหวในส่วนของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ล่าสุด เมื่อวันที่ 4 ก.พ.ที่ผ่านมา คณะกรรมการติดตามการดำเนินการโครงการก่อสร้างอาคารที่ทำการสถานีตำรวจ (ทดแทน) ที่มี พล.ต.อ.วรพงษ์ ชิวปรีชา รองผบ.ตร. เป็นประธานได้มีมติให้ยกเลิกสัญญากับบริษัทผู้รับเหมา โดยให้เหตุผลว่าอีกฝ่ายมีการทำผิดสัญญาที่ชัดเจน 2 ประการ ได้แก่ การฝ่าฝืนข้อห้ามในสัญญาที่ระบุว่าห้ามมีการจ้างช่วง ที่สำคัญที่สุด คือ การไม่สามารถดำเนินการก่อสร้างให้แล้วเสร็จตามกำหนดเวลา โดยมีแนวโน้มเกือบ 100 เปอร์เซ็นต์ที่จะบอกเลิกสัญญาหลังวันที่ 14 มี.ค.2555 ซึ่งเป็นวันที่ครบกำหนดตามสัญญา และเตรียมฟ้องเรียกค่าเสียหายกับบริษัทพีซีซีฯ
     
       นอกจากนี้ได้มอบหมายให้ฝ่ายอำนวยการดำเนินการเตรียมการทางธุรการเพื่อจัดการประมูลใหม่ ซึ่งครั้งนี้จะมีการกระจายสัญญา และเร่งดำเนินการก่อสร้างให้เร็วที่สุด ขณะเดียวกันในการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า ได้สั่งการให้มีการจัดสรรงบประมาณในการปรับปรุงสถานีตำรวจชั่วคราวที่อยู่ในสภาพทรุดโทรม ให้สามารถดำเนินการให้บริการประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
     
       และที่ต้องขีดเส้นใต้เอาไว้ก็คือ เนื้อหาในหนังสือที่นายพิบูลย์ทำชี้แจงถึงผบ.ตร. มีใจความสำคัญ สรุปได้ว่า ประเด็นการรวมสัญญา ทางบริษัท พีซีซีฯไม่เห็นด้วยกับการประมูลโดยการรวมสัญญาทั้งประเทศ ทางบริษัทและพวกมีความประสงค์จะเข้าร่วมประกวดราคา โดยวิธีแยกประมูล จึงได้ทำหนังสือร้องเรียนถึงนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯในขณะนั้น นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯในขณะนั้น เพื่อขอให้ใช้วิธีแยกประมูลเป็นรายภาค
     
       คำชี้แจงดังกล่าวเมื่อผนวกรวมกับสิ่งที่ดีเอสไอตั้งเป็นประเด็น ก็ต้องบอกว่า ทำให้พลพรรคประชาธิปัตย์เต้นเป็นเจ้าเข้า ทั้งตัวหัวหน้าพรรคคือนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ซึ่งเป็นนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น รวมถึงนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐตรีในขณะนั้นที่เป็นผู้ลงนามในการเปลี่ยนสัญญาจากวิธีแยกประมูลเป็นวิธีรวมประมูล ทั้ง 2 คนกลายเป็น “คู่กรรม” ที่ตกเป็นผู้ต้องสงสัยอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ จนต้องมีการเปิดโต๊ะแถลงข่าวตอบโต้
     
       เพราะปฏิเสธไม่ได้ว่า ความฉาวโฉ่ที่ถูกหยิบยกมาเป็นประเด็นในขณะนี้ได้ส่งผลกระเทือนต่อการเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร(กทม.) ไม่น้อย โดยเฉพาะพรรคประชาธิปัตย์ที่ส่ง ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ บริพัตร ลงชิงชัย เพราะไม่ว่าสุดท้ายแล้วข้อเท็จจริงจะเป็นอย่างไร แต่นี่คือการดิสเครดิตทางการเมืองที่ทรงประสิทธิภาพยิ่ง
     
       ด้วยเหตุดังกล่าว เมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2556 ที่ผ่านมา นายสุเทพและพรรคประชาธิปัตย์จึงเปิดชี้แจงรายละเอียดถี่ยิบ
     
       “การพยายามดึงนายอภิสิทธิ์มาเป็นจำเลยในคดีนี้ เป็นการแสดงเจตนาชัดเจนว่าทำเพื่อผลประโยชน์ทางการเมือง เพราะนายอภิสิทธิ์ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องเลย ถ้าตั้งข้อหาผมก็จะดำเนินคดีกับนายธาริตเพิ่มแน่นอน และเชื่อว่า พล.ต.อ.พัชรวาท และ พล.ต.อ.ปทีป ก็ไม่เกี่ยวข้อง เพราะการประมูลเสร็จสิ้นในสมัย พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี เป็น ผบ.ตร. แต่ผมไม่ได้กล่าวหาว่าใครผิด เพียงแต่สงสัยว่าเหตุใดดีเอสไอจึงไม่มีการพิจารณาผู้ที่ต้องบริหารสัญญาว่าทำไมไม่ปฏิบัติให้เป็นไปตามสัญญาที่ทำไว้กับเอกชน โดยเห็นว่า พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ อดีต ผบ.ตร.ในช่วงการบริหารสัญญาต้องมีส่วนรับผิดชอบด้วย ผมจึงอยากให้มีการนำเรื่องนี้ขึ้นสู่ศาลเพื่อพิสูจน์ความจริงต่อไป ผมฝากไปถึงนายธาริตด้วยว่า หากยังปฏิบัติหน้าที่เช่นนี้ หลังจากที่ผมชนะคดีอาญาแล้วจะดำเนินคดีแพ่งเพื่อเรียกค่าเสียหายเป็นจำนวนเงินให้เท่ากับบ้านหรูราคาหลักสิบล้านของนายธาริตด้วย เพราะที่ผ่านมาการกระทำของนายธาริตจงใจทำลายภาพลักษณ์การเมืองของผมและนายอภิสิทธิ์ ซึ่งผมก็ทำใจแล้วว่ามีรัฐบาลอธรรมก็จะถูกเล่นงาน จึงต้องพร้อมต่อสู้ทุกอย่าง”นายสุเทพแจกแจง
     
       นี่คือสงครามการเมืองที่ร้อนแรงที่สุดในห้วงนี้
     
       อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าสุดท้ายแล้วผลจะออกมาอย่างไร ข้าราชการหรือนักการเมืองคนไหนมีความผิด แต่ที่แน่ๆ คือ โครงการก่อสร้างสถานีตำรวจถือเป็นความอัปยศที่คนในแวดวงตำรวจไม่อาจลืมเลือน และเป็นประเด็นร้อนที่ประชาชนให้ความสนใจ ทั้งในเรื่องการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า รวมทั้งการดำเนินการทางแพ่งกับบริษัทผู้รับเหมาของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และการดำเนินการสอบสวนหาตัวคนผู้กระทำผิด ทั้งในส่วนข้าราชการประจำ และนักการเมืองที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการอนุมัติโครงการดังกล่าว ของ ดีเอสไอ ขณะที่ในมุมของการเมือง โครงการนี้อาจถือเป็นรอยด่างพร้อยของรัฐบาลประชาธิปัตย์ และกำลังถูกพรรคเพื่อไทยไล่บี้อย่างหนัก โดยฝ่ายหลังคาดหมายว่านี่จะเป็นหมัดเด็ดน็อก "สุเทพ เทือกสุบรรณ" คีย์แมนคนสำคัญของพรรค
     
       ส่วนใครอยู่ใครจะไปต้องติดตาม...

ที่มา.ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์
//////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันศุกร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ถอดรหัส 3ป.นิรโทษกรรม หูทวนลมกล เหนือเมฆ.แยกสลายมวลชน !!?


ถอดรหัสการเมืองไทย ที่ขยับเข้าสู่ “จุดสัมพัทธ์” ในเชิงอำนาจจากที่ “ฝ่ายการเมือง” และ “ชนชั้นนำ” เคยเป็น “คู่ขัดแย้ง” กันมาโดยตลอด แต่หลังปรากฏภาพแห่งความชื่นมื่นของ “3 ผู้ทรงอิทธิพล” ในงานเลี้ยงกองทัพบก เมื่อวันที่ 21 มกราคมที่ผ่านมา ก็ทำให้บรรยากาศที่เคยเขม็งเกลียว เริ่มสลายหายไป ภาพการเดินเคียงคู่กันของ “พล.อ. เปรม ติณสูลานนท์” ประธานองค์มนตรี และ “น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” นายกรัฐมนตรี รวมไปถึง “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” ผู้บัญชาการทหารบก อาจถือได้ว่าเป็น “รหัส” ที่สะท้อนสัมพันธภาพครั้งใหม่ ระหว่างฝ่ายการเมือง กองทัพ และ “ชน ชั้นนำ” ยิ่งทำให้เชื่อว่า “รัฐบาล” มีความพยายามที่จะเปิดประตูไปสู่ “ปรองดอง” และสลายความขัดแย้งกับ “ชนชั้นนำ” ที่เกิดขึ้นมาตลอดหลายปีมานี้

การพบปะของ “แกนอำนาจ” ทั้ง 3 คนพร้อมกันนี้ เกิดขึ้นหลังจาก “ป๋าเปรม” ได้ให้โอวาท “ผู้นำเหล่าทัพ” ที่ตบเท้าเข้าอวยพรปีใหม่ โดยมีใจความที่ว่า...“ขณะนี้บ้านเมืองของเรามีการแบ่ง ฝ่ายกันเห็นได้อย่างชัดเจน มูลเหตุคืออะไร ก็รู้ๆ กันอยู่ ทำให้มีผลข้างเคียงไปถึงความ รัก ความสามัคคีของคนในชาติเรา เป็นข้อจำกัดต่อความสำเร็จ โดยมีความเห็นส่วนตัวว่าการที่มีความคิดเห็น ความเชื่อที่แตกต่างกัน ไม่เป็นอุปสรรคของการดำรงความรัก ความสามัคคีของคนไทยแม้ แต่น้อย ถ้าคนในชาติมุ่งประสงค์ในสิ่งที่สำคัญที่สุดของประเทศเราคือ ความสงบ สุข ความร่มเย็น ความสันติ และความมั่นคง โดยแท้แน่นอน ความเห็นและความ เชื่อที่แตกต่าง จะไม่เป็นสิ่งกีดกันให้คนไทย รู้รักสามัคคีกัน...”

ด้วยวาทกรรม “สามัคคี..ไม่แตกแยก” ที่ฝากถึง “ลูกป๋า” ในครั้งนั้น ได้ถือเป็นมิติใหม่ และเป็นสัญญาณที่เปิดกว้างให้ แก่ “ทุกฝ่าย” ได้กลับมาเริ่มต้นกันใหม่ “ยิ่งลักษณ์” ในฐานะผู้นำรัฐบาล แม้จะเป็น “น้องสาว” ของ “พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร” ที่เคยเป็น “คู่ขัดแย้ง” กับ “ป๋า” ชนิดที่ว่า “ผีไม่เผา..เงาไม่เหยียบ” แต่เมื่อโอกาสเปิดกว้าง ก็ย่อมเล็งเห็นและหา ช่องทาง “ตอบสนอง” เพื่อคลายเกลียว “ในใจ..ป๋า” และสร้างสัมพันธภาพอันดีให้เกิดขึ้นภาพความชื่นมื่นของ “3ป.” ที่กอปรไปด้วย “ปู-ประยุทธ์” และ “ป๋าเปรม” ในค่ำคืนดังกล่าว จึงทรงความหมายยิ่งนัก!!!

แม้จะไม่ได้ส่งผลให้ความขัดแย้งหลักๆ ทางการเมือง จบสิ้นลงไปได้ แต่ก็ถือเป็นการนับหนึ่งที่ปูทางไปสู่ “สมานฉันท์” โดยเฉพาะการแก้ไขรัฐธรรมนูญ นิรโทษกรรม หรือแนวทางปรองดอง ที่มีแนวโน้มว่าจะดีขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งเมื่อ “รัฐบาล” กำลังเผชิญกับปัญหามากมาย ก็ต้องแก้ปัญหาทั้งหมดอย่างมีเอกภาพ ฉะนั้นความสัมพันธ์ที่ดีกับ “กองทัพ” และผู้ใหญ่อย่าง “ป๋าเปรม” ทั้งในแง่ “ภาพลักษณ์” และทั้งใน “แง่เนื้อหา” ก็ย่อมเป็นสิ่งจำเป็นเช่นเดียวกัน เพราะจะช่วยกลบร่องรอยแตกร้าวได้เป็น อย่างดี...!!!

ในอีกด้านหนึ่ง ท่าทียิ้มระรื่นเป็น “คนแก่ใจดี” ของ “ป๋า” ในงานเลี้ยงดังกล่าว ย่อมบ่งบอกถึงความสัมพันธ์ทางอำนาจที่สามารถลดทอน “ความแตกแยก” จนแทบจะหมดสิ้นจะว่าไปแล้วก็พอมองเห็น “สูตร” ที่สัมพันธ์เข้าด้วยกัน จนทำให้เกิด “ปฏิกิริยา” แบบลุกลี้ลุกลนของเหล่า “นักเคลื่อนไหวทางการเมือง” ทั้ง “มวลชน” ในซีกพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) หรือแม้แต่แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ตลอดทั้งกองเชียร์คนเสื้อแดง ที่ต่างช็อกไปกับ “ภาพ” สุดแสนชื่นมื่นที่ปรากฏ และยัง “ตีความ” ไกลถึงขั้นว่าเกิดอีเวนต์ “ปรองดอง” ในระดับนำเป็นไปอย่างราบรื่น เพราะมี “เงื่อนไข” ที่สอดประสานเอาไว้อย่างลงตัว

กระทั่งมีการคาดเดาไปต่างๆ นานาว่า สิ่งที่เกิดขึ้นนั้น เป็น “หนทาง” ที่ระดับบนของแกนอำนาจ มีความพยายาม “สลัด เสี้ยนหนามทิ้ง” เพื่อนำไปสู่มิติใหม่ที่ว่า ... “คนไทยไร้เฉดสี” ซึ่งก็มีความเป็นไปได้สูงยิ่งที่ “ฝ่ายอำนาจ” จะเดินเกม “แยกสลายมวลชน” เพื่อแลกเปลี่ยนกับบางสิ่งบางอย่าง...

ขณะเดียวกัน อารมณ์ชื่นมื่นของ “ป๋าเปรม” กับ “หลานปู” ก็ยังบ่งบอกได้อีกว่า ทั้งพันธมิตรฯ และคนเสื้อแดง เริ่มจะหมดความหมายลงไปทุกที ท่าม กลาง “ความเจ็บปวด..ร้าวลึก” ที่ทั้ง 2 ฝ่ายต้องตกเป็น “เหยื่อสถานการณ์” บน กระดานหมากของ “ชนชั้นนำ” ?!! ทั้งนี้ หากทบทวนถึงบทบาททางการ เมืองของ “รัฐบาล” ในช่วงเกือบ 2 ปีมานี้ ย่อมจะเห็นภาพเดิมๆ ที่รัฐบาลพยายาม “รักษาระยะ” กับมวลชนเสื้อแดง อาการขบเกลียวที่เกิดขึ้นระหว่าง “คนเสื้อแดง” กับ “คนในพรรคเพื่อไทย” เกิดขึ้นบ่อยในระยะหลังมานี้ แม้ว่าขวัญใจ แม่ยกอย่าง “เดอะเต้น” ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ จะพยายามไกล่เกลี่ย มุ่งสร้างภาพสมานฉันท์ ระหว่าง 2 ฝ่ายมาโดยตลอด พร้อมกับชี้ว่า “...แม้จะเดินกันคนละทิศทาง แต่เป้าหมายนั้นล้วนมีจุดหมายเดียวกัน คือสร้างสรรค์ประชาธิปไตย แล้วจะขัดแย้งกันทำไม”

ทว่าด้วยเป้าหมายของ “คนเสื้อแดง” อยู่ที่การ “เอาเพื่อนออกจากคุก..” เพราะเกือบ 3 ปีแล้วที่คนเหล่านี้ถูกคุมขังด้วยข้อหาทางการเมือง แต่ก็ไม่ได้รับอิสรภาพ เสียที ทั้งที่ “อำนาจ” ก็ได้เปลี่ยนมือจาก “รัฐบาลประชาธิปัตย์” มาเป็นรัฐบาลพรรคเพื่อไทยนานแล้วก็ตาม กอปรกับ “คนเสื้อแดง” เริ่มคิดต่างและเห็นต่างไปจากรัฐบาลมากขึ้น ทำให้เกิด “ศรัทธาถดถอย” อย่างไม่เคยปรากฏ จนเข้าสู่ห้วงอารมณ์ “เหินห่าง” เข้าไปทุกที โดยข้อเรียกร้องของ “คนเสื้อแดง” หลักๆ แล้ว ก็คือ เร่งทำคลอดร่างนิรโทษกรรม!! เพื่อให้นักโทษการเมืองทุกกลุ่มทุกสี ที่ถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำให้ได้รับการปล่อย ตัวเป็นอิสรภาพ ยกเว้นเพียง “แกนนำสีเสื้อ” และ “ผู้นำ” ที่มีอำนาจตัดสินใจกระทำการจะไม่ได้รับอานิสงส์จากกฎหมาย ร้อนฉบับนี้ เช่นที่ว่านี้ การเลือกห้วงเวลาในการ ผลักดัน “โมเดลนิรโทษกรรม” เพื่อหวังช่วยเหลือ “แกนนำ” และ “ผู้ชุมนุม” ในเหตุการณ์นองเลือดเมื่อปี 2553 รอบนี้นั้น ด้านหนึ่งเพราะเชื่อมั่นว่าฝ่ายตนเองมี “ขุมกำลัง” มากพอที่จะ “ขยับ” เพื่อต่อรอง

ที่สำคัญต้องไม่ลืมว่า “เดอะตู่” จตุพร พรหมพันธุ์ หนึ่งในหัวขบวน “เสื้อแดง” ก็พลาดหวังกับ “บำเหน็จ” ในการเคลื่อนไหว ทางการเมืองครั้งเก่า ซึ่งก็คาดเดาได้ยากว่า “ครม.ปู 4” จะมีแกนนำเสื้อแดงอยู่ในโผด้วยหรือไม่... แต่เหนืออื่นใด “อารมณ์เจ็บปวด” ของ “จตุพร” ก็สะท้อนด้วยปฏิกิริยา “แผ่น เสียงตกร่อง” หลังออกมาเตือนสติ “รัฐบาล” และ “พรรคเพื่อไทย” โดยเอามวลชนเสื้อแดงมาต่อรอง ให้ปลดปล่อยนักโทษการ เมืองออกจากคุก เพราะทุกคนคือ “เหยื่อสถานการณ์” ของฝ่ายการเมือง ที่ไม่ได้มี ส่วนได้-เสียกับความขัดแย้งของคนในระดับบน

“อีกไม่กี่เดือนจะครบรอบ 3 ปีของแนวร่วมที่ถูกควบคุมตัว ซึ่งจะเป็นการคุม ขังนักโทษการเมืองที่ยาวนานที่สุดของ ประเทศ การเสนอ พ.ร.ก.นิรโทษกรรม ไม่ใช่ทำเพื่อ นปช.เท่านั้น แต่ทำเพื่อประชาชน...”

สำหรับรัฐบาลยิ่งลักษณ์แล้ว การตกอยู่ท่ามกลาง “วงล้อม” จากทั้ง “ฝ่ายปฏิปักษ์” และพวกเดียวกันเองอย่าง “คนเสื้อแดง” ก็ย่อมแตกตื่นอยู่มิใช่น้อย แม้จะมีอำนาจบริหารเต็มมือ หรือคุมสภาไว้ได้อย่างเบ็ดเสร็จ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า จะเพียงพอที่จะ “ต่ออายุรัฐบาล” ให้อยู่จนครบเทอมได้อย่างราบรื่น

เมื่อมีแนวโน้มที่จะเกิด “บ่อนทำลาย” จากทั้งภายใน-ภายนอก “ยิ่งลักษณ์” และ “ผู้มากบารมีในรัฐบาล” ย่อมคิดหาหนทาง ใหม่เพื่อจัดการ “ปัญหา” ไม่ให้บานปลาย หรือส่งผลกระทบต่อรัฐบาล พลันให้รีบ ต่อท่อร้อยสาย...เชื่อมสัมพันธภาพกับ “กองทัพ” และ “ผู้นำชนชั้นสูง” อย่าง “ป๋า”

ทั้งหมดทั้งปวง เป็นหนังเรื่องยาว ที่ต้องลุ้นเหนื่อยในฉากจบ ว่าที่สุดจะเป็น ละครการเมืองที่มาแบบ “เหนือเมฆ” ที่ นำไปสู่ “เกมกระชับอำนาจ” หรืออาจเป็น ได้แค่ “นิรโทษกรรม..หูทวนลม” ที่ กลายเป็นมวยล้ม “ตุ๋น” คนเสื้อแดงจนเปื่อย?!!

ที่มา.สยามธุรกิจออนไลน์
//////////////////////////////////////////////////////////

Premium/Discount.


คอลัมน์ คิด วิเคราะห์ แยกแยะ

หากพิจารณาตลาดหุ้นสำคัญและตลาดหุ้นภูมิภาค ณ สิ้นเดือนมกราคม จะพบว่ามีการเคลื่อนไหวในทิศทางบวกแทบทั้งสิ้น กล่าวคือ ตลาดหุ้นเวียดนาม +16% ฟิลิปปินส์ +7.4% ญี่ปุ่น +7.2% อเมริกา/ดาวโจนส์ +5.8% และจีน/เซี่ยงไฮ้ +5.1% มีเพียงตลาดหุ้นมาเลเซียเท่านั้นที่ให้ผลตอบแทนติดลบ -1.8%

ตลาดหุ้นไทยยังเต็มไปด้วยความความเชื่อมั่น จากภาวะเศรษฐกิจฟื้นตัวของอุปสงค์ภายในประเทศ การลงทุนทั้งจากภาครัฐและเอกชน เงินบาทแข็งค่า เงินทุนไหลเข้าต่อเนื่อง ส่งผลดีต่อบรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้น

โดยดัชนี SET ปิด ณ สิ้นมกราคมที่ 1,474 จุด หรือปรับตัวเพิ่มขึ้น 5.9% โดยมีหมวดอสังหาริมทรัพย์ปรับตัวเพิ่มขึ้นมากที่สุดถึง 17.2% ตามด้วยหมวดปิโตรเคมี +11.9% และหมวดขนส่ง +11% ในเวลาเพียงหนึ่งเดือนแรกของปีเท่านั้น

การปรับตัวขึ้นของดัชนีและราคาหุ้นอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน ทำให้ตลาดหุ้นไทยเคยซื้อขายแบบมีส่วนลด (Discount) ที่ระดับ P/E ต่ำกว่าตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาค หันมาซื้อขายในระดับ P/E ที่ใกล้เคียงกัน แต่เมื่อพิจารณาหุ้นรายตัวจะพบว่า มีหุ้นจำนวนไม่น้อยที่ได้รับ Price Premium (ส่วนเพิ่มของราคา) ในระดับที่สูงมาก แม้หุ้นเหล่านั้นมีปัจจัยบวกสนับสนุนราคา premium แต่นักลงทุนก็ควรตั้งคำถามตรวจสอบว่า หุ้นนั้นควรได้รับ Premium มากน้อยเพียงใด ตัวอย่างคำถามได้แก่

หนึ่ง มูลค่าทั้งหมดของกิจการ (Market Capitalization) มีขนาดเหมาะสมหรือไม่ โดยเฉพาะเมื่อเปรียบเทียบกับขนาดอุตสาหกรรมหรือโอกาสทางธุรกิจโดยรวม และตำแหน่งทางการตลาด (Market Share) ของบริษัท การเลือกลงทุนกิจการที่มีโอกาสธุรกิจระดับพันล้านบาท แต่มูลค่ากิจการสูงหลายหมื่นล้านบาท หรือเปรียบเทียบกับในเชิงรายได้ เช่น หุ้นที่มียอดขายไม่กี่ร้อยล้านบาท แต่กลับมีมูลค่ากิจการสูงหลายพันล้านบาท แม้จะเป็นกิจการที่โดดเด่นและอยู่ในอุตสาหกรรมที่เติบโตสูง แต่หุ้นเหล่านั้นอาจได้รับ premium สูงมากจนไม่อาจคาดหวังผลตอบแทนที่ดีในการลงทุนเช่นในอดีต

สอง แม้กิจการมีความแข็งแกร่ง มีโอกาสการเติบโตของกำไรและ P/E to Growth (PEG) ที่ดีในอนาคต แต่ราคาซื้อขาย ณ ระดับ P/E สูงกว่า 40 - 50 เท่า สูงกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรม หรือสูงกว่าค่าเฉลี่ยตลาดโดยรวมที่ 14 -15 เท่า จะมีความเหมาะสมหรือไม่ นักลงทุนต้องคำนึงถึงความสมเหตุผลในการเข้าลงทุนในหุ้นที่ได้รับ premium ที่สูงมาก และต้องไม่ลืมว่า อาจยังมีกิจการที่แข็งแกร่งระดับใกล้เคียงกันแต่ซื้อขาย ณ ราคาที่มีส่วนต่างความปลอดภัย (Margin of Safety) มากกว่า

สาม ปริมาณมูลค่าการซื้อขายหุ้นเฉลี่ยต่อวันเมื่อเทียบกับมูลค่าตลาดของหุ้นนั้น อยู่ในระดับที่เหมาะสมหรือไม่ หุ้นที่มีปริมาณการซื้อขายมากผิดปกติ มีโอกาสที่ราคาและ Premium จะบิดเบือนจากระดับที่ควรเป็น ทั้งนี้ อาจเป็นเพราะกระแสการแย่งเข้าซื้อหุ้น ภาวะอารมณ์ ความลำเอียงจากข้อมูลที่ได้รับ นอกจากนี้ Premium ที่ได้รับอาจจะเป็นเรื่องชั่วคราว เมื่อหุ้นได้รับความสนใจลดน้อยลง ปริมาณการซื้อขายกลับสู่ภาวะปกติ ราคาหุ้นอาจปรับตัวลดลงและสะท้อนจากผลประกอบการที่แท้จริงของกิจการ

นอกจากนี้ นักลงทุนยังต้องพิจารณาถึง Price Discount (ส่วนลดของราคา) ในกรณีที่กิจการนั้นต้องเผชิญกับความเสี่ยงหรือความท้าทายที่อาจเกิดขึ้น ได้แก่

หนึ่ง ปัจจัยเสี่ยงที่ควบคุมไม่ได้ เช่น ภัยธรรมชาติ น้ำท่วม ไฟไหม้ แผ่นดินไหว ภาวะโลกร้อน การเปลี่ยนแปลง

กฎระเบียบจากภาครัฐ การเปลี่ยนแปลงและการทดแทนทางเทคโนโลยี การหยุดชะงักของ Supply Chain เป็นต้น นักลงทุนควรศึกษาโอกาสที่จะเกิดความเสี่ยง และการบริหารจัดการของบริษัท แม้การประกันภัยจะช่วยป้องกันความเสี่ยงและช่วยบรรเทาความเสียหาย แต่การหยุดชะงักอาจทำให้สูญเสียส่วนแบ่งทางการตลาดและความได้เปรียบในการแข่งขันอย่างถาวรได้

สองปัจจัยเสี่ยงจากการดำเนินงาน เช่น ต้นทุนวัตถุดิบและการขาดแคลน ความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนและอัตราดอกเบี้ย หนี้สูญ ค่าแรงและการขาดแคลน การพึ่งพาผู้ผลิตหรือผู้ซื้อน้อยราย การพึ่งพาผู้บริหารและบุคลากร เป็นต้น ปัจจัยเสี่ยงเหล่านี้ล้วนขึ้นอยู่กับความสามารถของผู้บริหาร ในภาวะตลาดกระทิง นักลงทุนทุกคนล้วนมีความสุขกับผลกำไรจากการลงทุน สำหรับ Value Investor

นี่คือช่วงเวลาพิสูจน์การมีวินัยในหลักการและแนวทางการลงทุนของตน ไม่โลภ และใช้สติพิจารณาความสมเหตุสมผลของ Premium หรือ Discount ของกิจการ และหากคงยังยึดมั่นในแนวทางของตน ทั้งนี้ก็เพราะ "เราจะไม่เล่นในเกมที่เราไม่ถนัดนั่นเอง"

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ตัวเลขพื้นฐานทางเศรษฐกิจของประเทศอาเซียนทั้ง 10 ประเทศ.

ตัวเลขพื้นฐานทางเศรษฐกิจของประเทศอาเซียนทั้ง 10 ประเทศเพื่อดูร่วมกันว่าจะมีประเด็นใดน่าสนใจบ้างครับ (ดูตารางประกอบ)








1. อาเซียนโดยรวมถือว่ามีขนาดใหญ่เมื่อใช้ประชากรเป็นตัววัดเพราะมีประชากรเกือบ 600 ล้านคน (ผมเชื่อว่าเกิน 600 ล้านไปมากแล้ว เพราะมั่นใจว่าได้มีการประเมินขนาดประชากรของพม่าต่ำกว่าจริงมาก เนื่องจากไม่ได้มีการเก็บข้อมูลอย่างเป็นระบบและมีปัญหากระทบกระทั่งกันระหว่างรัฐบาลกับชนกลุ่มน้อยหลายกลุ่ม) ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับประชากรทั้งโลกซึ่งมีอยู่กว่า 7 พันล้านคนก็สรุปได้ว่าอาเซียนมีประชากรคิดเป็นสัดส่วน 8.6% ของประชากรโลกทั้งหมด แต่ต้องยอมรับว่าประชากรอาเซียนส่วนใหญ่ยังยากจนอยู่มาก เพราะมีรายได้ต่อหัวเพียง 3,638 ดอลลาร์ต่อปี ซึ่งต่ำกว่าจีดีพีต่อหัวของทั้งโลกอย่างมาก เพราะจีดีพีของโลกเท่ากับ 71.28 ล้านล้านดอลลาร์ ดังนั้น จีดีพีต่อหัวของโลกจึงสูงถึง 10,143 ดอลลาร์ต่อปี อย่างไรก็ดี จีดีพีของอาเซียนโดยรวมน่าจะขยายตัวได้ปีละเกือบ 6% ในขณะที่จีดีพีโลกขยายตัวเฉลี่ยประมาณ 3-4% ต่อปี

2. อาเซียนโดยรวมมีเศรษฐกิจที่ “เปิด” มากวัดจากสัดส่วนของการส่งออกเมื่อเทียบกับจีดีพี กล่าวคือการส่งออกทั้งหมดมีมูลค่า 1.23 ล้านล้านดอลลาร์เมื่อเทียบกับจีดีพี 2.18 ล้านล้านดอลลาร์คิดเป็น 56.4% ของจีดีพี ทั้งนี้ ตัวเลขถูกฉุดในทางบวกโดยสิงคโปร์ที่การส่งออกสูงถึง 157.5% ของจีดีพี และในอีกด้านหนึ่งประเทศที่ยังไม่สามารถทำการค้าขายได้โดยปกติคือพม่า ก็ยังไม่สามารถส่งสินค้าออกได้ อีก 3 ประเทศที่ส่งออกน้อยคือ ลาว (ส่งออก 22.8% ของจีดีพี) ซึ่งเป็นประเทศไม่มีทางออกทางทะเล (land locked) ซึ่งตัวเลขการส่งออกน่าจะต่ำเกินจริงที่มีการค้า-ขายอย่างไม่เป็นทางการทางชายแดนเป็นจำนวนมาก แต่สำหรับอินโดนีเซียที่มีการส่งออกเพียง 24% ของจีดีพีนั้นก็น่าจะเป็นเพราะว่าเป็นประเทศใหญ่ ซึ่งพึ่งตนเองได้มากกว่าประเทศเล็กและยังพัฒนาไปไม่มากนัก สำหรับรายที่ 3 คือฟิลิปปินส์ (สัดส่วนการส่งออก 21.5% ของจีดีพี) นั้นก็มิได้สะท้อนความ “เปิด” ที่แท้จริงของประเทศซึ่งมีประชาชนชาวฟิลิปปินส์เดินทางไปประกอบอาชีพในต่างประเทศเป็นจำนวนหลายล้านคนและนำเงินกลับเข้าประเทศหลายพันล้านเหรียญ กล่าวคือแม้ฟิลิปปินส์จะส่งออกสินค้าไม่มากนัก แต่ส่งออกแรงงานเป็นจำนวนมาก จึงสามารถกล่าวโดยสรุปได้ว่าอาเซียนโดยรวมมีเศรษฐกิจที่เปิดและน่าจะเปิดมากขึ้นเรื่อยๆ กล่าวคือสัดส่วนการส่งออกต่อจีดีพีน่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะพม่าเมื่อได้มีการยกเลิกการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจอย่างเป็นทางการในอนาคต

3. ตัวเลขทุนสำรองระหว่างประเทศของอาเซียนเป็นตัววัดเสถียรภาพตัวหนึ่งซึ่งสะท้อนว่าอาเซียนมีความมั่นคงทางการเงินพอสมควร เพราะโดยเฉลี่ยแล้วมีทุนสำรองระหว่างประเทศสูงถึง 749,000 ล้านดอลลาร์หรือ 34.4% ของจีดีพีของอาเซียนโดยรวม ทั้งนี้บางประเทศอาเซียนมีทุนสำรองสูงมาก เช่น สิงคโปร์ที่ 91.5% ของจีดีพี ไทยที่ 50.6% ของจีดีพีและมาเลเซียที่ 46.4% ของจีดีพี ในอีกด้านหนึ่งประเทศที่มีทุนสำรองน้อยมากคือพม่าและลาว ในขณะที่บางประเทศยังมีทุนสำรองไม่สูงมาก เช่น เวียดนาม ทุนสำรองเพียง 10% ของจีดีพี (ในขณะที่การนำเข้าประมาณ 78% ของจีดีพี) และบรูไนที่มีทุนสำรองประมาณ 10% ของจีดีพีเช่นกัน กล่าวโดยรวมนั้นประเทศที่ทุนสำรองสูงน่าจะมีเงินที่แข็งค่ามากขึ้นในอนาคตครับ

4. ในส่วนของการวัดคุณภาพชีวิต โดยอาศัยดัชนีการพัฒนาระดับความเป็นอยู่ของประชาชน หรือ UNDP Human Development Index (เช่นอัตราการเสียชีวิตตอนเกิด จำนวนประชากรต่อแพทย์หนึ่งคน ระดับการศึกษาของประชาชน ฯลฯ) นั้นก็สะท้อนความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจโดยเฉลี่ยของประชาชน (คือรายได้ต่อหัว) เป็นหลัก คือสิงคโปร์มีระดับความเจริญสูงสุด (ที่ลำดับ 26) ตามด้วยบรูไน (ลำดับ 33) มาเลเซีย (61) ไทย (103) ที่แตกต่างกันคือ ฟิลิปปินส์ที่ตามมาติดๆ ที่ลำดับ 112 แต่จีดีพีต่อหัวเท่ากับ 2,346 ดอลลาร์ต่ำกว่าจีดีพีต่อหัวของอินโดนีเซียที่ 3,511 ดอลลาร์ค่อนข้างมาก ขณะที่คุณภาพชีวิตของคนอินโดนีเซียตกลงมาที่ลำดับ 124 สูงกว่าเวียดนาม (ลำดับ 128) ไม่มากนัก แม้ว่าจีดีพีต่อหัวของเวียดนามจะเพียง 1,375 เหรียญ และเป็นที่ชัดเจนว่าประเทศลาว เขมรและพม่าจะเป็นประเทศที่ยังต้องพัฒนาเศรษฐกิจและคุณภาพความเป็นอยู่ของประชาชนอีกยาวนาน จึงจะทำให้มีระดับความเจริญใกล้เคียงกับประเทศไทย

5. หากดูตัวเลขโดยรวมทั้งหมดจะเห็นได้ว่าประเทศไทยเจริญกว่าประเทศเพื่อนบ้านที่อยู่บนพื้นแผ่นดินเอเชียตะวันออกอย่างชัดเจนยกเว้นมาเลเซีย และโดยรวมประเทศไทยล้ำหน้ากว่าประเทศสมาชิกอาเซียนอื่นๆ เกือบทั้งหมดโดยประเทศไทยจะอยู่ที่ลำดับ 3-4 จาก 10 ประเทศอาเซียนครับ

ที่มา : กรุงเทพธุรกิจ
/////////////////////////////////////////////