--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันพุธที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

มองผ่านเลนส์คม:ทีวีมีฐานมวลชน !!?


เมื่อวันพุธที่ผ่านมา คณะกรรมการกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ (กสท.) ได้มอบใบอนุญาตประกอบกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ กลุ่มไม่ใช้คลื่นความถี่ รวม 632 ใบอนุญาต หรือราว 60% ของผู้ยื่นขอใบอนุญาตรวม 1,000 ราย

 ในจำนวนนี้ แยกเป็นใบอนุญาตประเภทช่องรายการ ในกลุ่มช่องทีวีดาวเทียม และช่องรายการในเคเบิลทีวีรวม 301 ใบอนุญาต และใบอนุญาตโครงข่ายเคเบิลทีวี และทีวีดาวเทียม ทั้งระดับชาติ ภูมิภาค และท้องถิ่น รวม 331 ใบอนุญาต และกำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาใบอนุญาตทั้ง 2 ประเภทรวมกันอีกราว 400 ราย

 เฉพาะทีวีดาวเทียม เมื่อตรวจสอบรายชื่อ ก็พบว่าเป็นช่องรายการที่มีอยู่แล้ว ซึ่งได้ส่งสัญญาณผ่านดาวเทียมไทยคม 5 และดาวเทียม NSS6

 หลังจากนี้ ประเทศไทยจะไม่มีทีวีดาวเทียมเถื่อน เคเบิลทีวีเถื่อน และผู้ได้รับใบอนุญาตจะต้องนำเสนอเนื้อหาภายใต้หลักเกณฑ์ กสทช.กำหนด

 ตรงจุดนี้ ทีวีดาวเทียมอีกกลุ่มหนึ่งที่เรียกว่า "ทีวีการเมือง" ได้รับการจับตามองเป็นพิเศษ เนื่องจากมีนักวิชาการสื่อสารมวลชนวิพากษ์วิจารณ์ว่า เป็นสื่อเลือกข้างหรือสื่อปลุกระดมมวลชน

 พ.อ.นที ศุกลรัตน์ ประธานกรรมการกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ (กสท.) กล่าวว่า ช่องทีวีดาวเทียมกลุ่มการเมืองทุกช่องได้รับใบอนุญาตครบทุกราย ซึ่งจะต้องไม่นำเสนอเนื้อหาที่เข้าข่ายยุยง ทำให้สังคมเกิดความแตกแยก

โดย กสทช.จะมีหน่วยงานรับเรื่องร้องเรียน และจะมีหน่วยงานมอนิเตอร์การนำเสนอเนื้อหาของช่องทีวีดาวเทียมที่ได้รับใบอนุญาตไปแล้วทุกช่อง หากพบว่ากระทำผิดหลักเกณฑ์ จะถูกพิจารณาเป็นลำดับขั้นคือ ตักเตือน ระงับ และพักใช้ใบอนุญาต

 ช่องรายการทีวีการเมืองที่ได้รับใบอนุญาตล็อตแรก ประกอบด้วย ช่องบลูสกาย แชนแนล ดำเนินการโดยบริษัท บลูสกาย แชนแนล จำกัด เป็นทีวีดาวเทียมเกิดใหม่ และได้รับความนิยมสูงทางภาคใต้ ซึ่งชาวบ้านร้านถิ่นเรียกกันว่า "ช่องอภิสิทธิ์"

 อีกช่องหนึ่งคือ ช่องดีเอ็นเอ็น (ช่องเอเชียอัพเดท) ของบริษัท เดโมเครซี นิวส์ เน็ตเวิร์ค จำกัด ที่มีเรตติ้งสูงสุดในกลุ่มช่องข่าว จากการสำรวจเฉพาะจานดำ "พีเอสไอ" สำหรับคนเสื้อแดงจะรู้จักช่องนี้ในนาม "จอแดง" หรืออีกฟากฝ่ายหนึ่งอาจเรียกว่า "ช่องทักษิณ"

 ช่องเอเอสทีวีนิวส์วัน ของบริษัท เอเอสทีวี (ประเทศไทย) จำกัด ถือว่าเป็นสถานีแรกที่สร้างปรากฏการณ์ "สื่อเลือกข้าง" ที่โด่งดังและจุดกระแสความนิยมการรับชมทีวีดาวเทียม ระหว่างปี 2548-2549

 คาดว่าช่องทีนิวส์ ,ช่อง 13 สยามไท, ช่องเอฟเอ็มทีวี, ช่องพีแอนด์พี และช่อง 4 ทีวีประชาชน ต่างก็เป็นกลุ่มทีวีการเมือง คงได้รับใบอนุญาตในคราวต่อไป

 สิ่งที่นักวิชาการสื่อกำลังเฝ้ามองจากนี้ไป ก็คือการกำกับดูแลเนื้อหาทีวีมีสีเหล่านี้ ของ กสทช. เพราะทีวีช่องดังกล่าว มีจุดยืนชัดเจนว่านำเสนอข่าวสารตอบสนอง "มวลชน" ฝักฝ่ายของตัวเองเป็นสำคัญ

 ที่น่าสนใจจากการวัดเรตติ้งของจานดำพีเอสไอ ก็ต้องเข้าใจว่าผู้ชมจานดำร้อยละ 80 อยู่ในต่างจังหวัด โดยเฉพาะนอกเขตเทศบาล จึงไม่แปลกที่ช่องเอเชียอัพเดท จะเป็นช่องข่าวที่ได้รับความนิยมสูงสุด เพราะอิงไปกับฐานมวลชนคนเสื้อแดงในชนบทภาคกลาง ภาคเหนือ และภาคอีสาน

 อย่างเช่น "ช่อง 4 ทีวีประชาชน" ที่เพิ่งออกอากาศปีที่แล้ว ก็มีเรตติ้งติดอันดับความนิยมเหนือช่องทีวีแนวบันเทิงหลายช่อง เนื่องจากทีวีช่องนี้มี "วิทยุชุมชน" ทั่วประเทศเป็นฐานให้การสนับสนุน

 แม้แต่ช่องเอเอสทีวีนิวส์วัน ที่ออกอากาศผ่านดาวเทียม NSS6 ก็ยังได้รับความนิยมในเขตหัวเมืองและเขตเทศบาล อันเป็นฐานมวลชนคนเสื้อเหลือง

 นี่คือลักษณะพิเศษของช่องทีวีการเมืองบ้านเรา อันจะเป็นความยากลำบากของ กสท.ในการกำกับดูแลเนื้อหาอย่างแน่นอน

.......................................

(หมายเหตุ ทีวีมีฐานมวลชน : คอลัมน์ มองผ่านเลนส์คม โดย.... บรรณวัชร.คมชัดลึก )

ดร.วีรพงษ์.หอบหนังสือคลัง ถกบอร์ด ธปท. !!?


นายวีรพงษ์.  เผยนำหนังสือแสดงความห่วงใยของ รมว.คลัง เข้าหารือบอร์ดธปท.แล้ว หลังขาดทุนบักโกรกกว่า 5.3 แสนล้านบาท ดูดซับสภาพคล่อง

นายวีรพงษ์ รามางกูร ประธานคณะกรรมการ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า หลังได้รับหนังสือจาก นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ที่แสดงความเป็นห่วงเกี่ยวกับฐานะการเงินของธปท.ที่มีผลขาดทุนจำนวนมาก โดยส่วนตัวก็ได้นำหนังสือดังกล่าวเข้าหารือกับคณะกรรมการธปท.ในการประชุมเมื่อวันที่ 31 ม.ค.ที่ผ่านมา พร้อมกับขอให้ นายชาญชัย บุญฤทธิ์ไชยศรี เลขานุการคณะกรรมการธปท. ร่างหนังสือตอบกลับไปยัง นายกิตติรัตน์ ว่าที่ผ่านมาคณะกรรมการธปท.ชุดนี้ ได้ดำเนินการแก้ไขปัญหาเรื่องดังกล่าวไปแล้วอย่างไรบ้าง

"ผมให้เลขานุการบอร์ดทำหนังสือตอบกลับไปอยู่ ซึ่งคงต้องรีบทำให้เร็วที่สุด เพราะตอนนี้ผมและบอร์ดทุกคนถูกคาดโทษเอาไว้ คาดว่าหนังสือฉบับนี้คงจะถูกส่งกลับไปยัง รมว.คลัง ภายในสัปดาห์นี้"นายวีรพงษ์กล่าว

สำหรับหนังสือที่ขอให้เลขานุการคณะกรรมการธปท.ร่างขึ้นมานั้น เป็นการอธิบายว่าที่ผ่านมาคณะกรรมการชุดนี้ได้ดำเนินการแก้ไขปัญหาดังกล่าวไปแล้วอย่างไรบ้าง เพราะตั้งแต่เดือนมิ.ย.55 คณะกรรมการธปท.ชุดนี้ ได้แสดงความห่วงใยถึงผลขาดทุนของธปท. ที่ส่วนหนึ่งเกิดจากการกำหนอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ระดับที่สูง เป็นเหตุให้มีเงินทุนไหลเข้ามาในประเทศจำนวนมาก และทำให้เงินบาทแข็งค่าขึ้น

เขากล่าวว่า เมื่อเงินทุนเหล่านี้ไหลเข้ามา เพื่อกินส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทย ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 2.75% จึงมีผลให้เงินบาทแข็งค่าขึ้น ส่งผลให้ธปท.ต้องเข้าแทรกแซงเพื่อลดการแข็งค่า และหลังการเข้าแทรกแซง ธปท.ก็ต้องออกพันธบัตรเพื่อดูดซับสภาพคล่องที่เกิดจากการแทรกแซงนั้น โดยพันธบัตรที่ธปท.ออกมีอัตราดอกเบี้ยในระดับใกล้เคียงดอกเบี้ยนโยบาย ขณะที่เงินดอลลาร์ซึ่งธปท.ซื้อมา ก็ถูกนำไปลงทุนซึ่งได้ผลตอบแทนที่ต่ำมาก จึงเกิดเป็นส่วนต่างระหว่างดอกเบี้ยรับกับดอกเบี้ยจ่ายขึ้นมา

"ปัจจุบันแบงก์ชาติมียอดคงค้างของการออกพันธบัตรเพื่อดูดซับสภาพคล่องรวมแล้วกว่า 4.6 ล้านล้านบาท ดอกเบี้ยเฉลี่ยที่ 3% ลองคิดดูว่าแบงก์ชาติจะต้องจ่ายดอกเบี้ยปีละเท่าไร และงบดุล ล่าสุด ณ สิ้นธ.ค.55 แบงก์ชาติก็มียอดขาดทุนรวมแล้วกว่า 5.3 แสนล้านบาท ไม่ใช่ 4 แสนล้านบาทอย่างที่เป็นข่าว ถ้าไม่รีบแก้ไข การขาดทุนคงจะเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ"นายวีรพงษ์กล่าว

สำหรับสิ่งที่คณะกรรมการธปท.ได้ดำเนินการไปแล้ว เพื่อลดผลกระทบจากการขาดทุนตรงนี้ คือ การขยายประเภทสินทรัพย์ที่ให้ ธปท. สามารถนำเงินสำรองระหว่างประเทศไปลงทุนเพิ่มได้ เพื่อให้ได้ผลตอบแทนที่มากขึ้น เพียงแต่แก้ได้ในระดับหนึ่งเท่านั้น เพราะวิธีแก้ปัญหาที่ตรงจุดที่สุด คือ การลดดอกเบี้ยนโยบายลง ซึ่งตรงนี้ก็อยากจะฝากไปถึงคณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.) ด้วย

"บอร์ดธปท.คงไม่มีอำนาจไปสั่งการให้ บอร์ดกนง. ลดดอกเบี้ยลงได้ เพียงแต่อยากฝากให้เห็นถึงประเด็นความเป็นห่วงตรงนี้ เพราะบอร์ดธปท.เองคงทำอะไรมากไม่ได้ ซึ่งในบอร์ดธปท.ก็มี ผู้ว่าการแบงก์ชาติ(นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล) นั่งเป็นรองประธานอยู่ และตัวผู้ว่าการแบงก์ชาติ มีฐานะเป็นประธานในบอร์ด กนง. ด้วย เพียงแต่ท่านอาจมีความเห็นที่แตกต่างออกไป ยืนยันว่าเรื่องนี้ผมแจ้งให้บอร์ดทราบตั้งแต่เดือนมิ.ย.55แล้ว"นายวีรพงษ์กล่าว

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
++++++++++++++++++++++++++

วันอังคารที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

นักวิชาการชี้แนะ นิรโทษกรรมการเมือง !!?


นักวิชาการชี้แนะ นิรโทษกรรมการเมือง


ปมเด่นประเด็นร้อนทางการเมืองในประเทศนี้เกิดขึ้นโดยพลันต้อนรับศักราชใหม่อีกกรณีหนึ่ง เมื่อกลุ่มอาจารย์นิติศาสตร์ ในนามกลุ่มนิติราษฎร์ออกมาผลักดันให้มีร่างรัฐธรรมนูญนิรโทษกรรมนักโทษทางการเมืองที่เกิดขึ้นตั้งแต่ 19 ก.ย.2549 ถึง 4 ม.ค.2554 แล้วได้รับการสนับสนุนจากแนวร่วม "29 มกรา ปลดปล่อยนักโทษการเมือง"ได้มาชุมนุมและยื่นหนังสือถึงรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีให้ดำเนินการตามข้อเสนอของกลุ่มนิติราษฎร์

อย่างไรก็ตาม เผือกร้อนทางการเมืองนี้รัฐบาลยังสงวนท่าทีไม่กล้าแสดงออกในทิศทางใด วันนี้เรามาฟังความเห็นของนักวิชาการอาวุโสกันบ้างว่าเป็นอย่างไร ดังนี้

โคธม อารียา
อาจารย์ สถาบันสิทธิมนุษยชนและสันติศึกษา ม.มหิดล
    

"ถ้ามีการนิรโทษกรรมได้นั้นก็เป็นการดี แต่ทว่ามีการขัดแย้งกันนั้นผมก็ไม่รู้จะว่ายังไง แบบนี้มาคุยกันไม่ได้เหรอว่าใครมีเหตุผลกว่ากัน คือนิรโทษกรรม ถ้าในสมัยก่อนที่มีการนิรโทษกรรมนั้นถ้ามีความผิดอาญาเราก็นิรโทษกรรม แต่ทีนี้ถ้าเป็นความผิดกฎหมายอาญาเราก็ต้องมาดูว่าทำผิดกฎหมายข้อไหน เพราะกฎหมายอาญามีเยอะแยะไปหมด เช่นการทำผิดคำสั่งเจ้าพักพนักงานก็ผิดกฎหมายอาญา


สำหรับใจผมนั้นถ้านิรโทษกรรมก็ควรนิโทรกรรมที่เกี่ยวกับเหตุการณ์ทางการเมือง แล้วใจผมอยากจะเรียนถึงเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติตามคำสั่งด้วย ในระดับภาคสนามขอให้รวมไปหน่อยเถอะ แต่ทีนี้ ถ้าหากว่าสมมุติมีใครคสวมรอยไปเผา อันนี้ไม่ใช่เกี่ยวกับเหตุการณ์ทางการเมือง แบบนี้ก็ว่าไปอีกแบบหนึ่ง แต่ว่าาไอ้ที่เกี่ยวกับเหตุการณ์ ก็ให้มันคุมไปทั้งหมด พูดง่ายๆมันก็จะได้ยกภูเขาออกจากอกนะ ใครที่หวากกลัวว่าจะโดนหรือไม่โดนนั้นนะ หรือที่ตอนนี้กำลังโดนอยู่นะ ยกเลอกกันไป เลิกแล้วกันไป รวมทั้งทหาร ตำรวจด้วย

ส่วนจะให้รวมถึงผู้บัญคับบัญชาที่สั่งการหรือไม่นั้น สำหรับผู้สั่งการนั้นเอาไว้อีกสักระยะหนึ่ง เพื่อให้อันดับแรกนี้นั้นไปได้ ไม่ทำให้เกิดปัญหาในสังคม

ส่วนฝ่ายค้านนั้นต้องการสกัดว่าการนิรโทษกรรมไม่ให้ช่วยพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีเรื่องการทำความผิดทุจริตต่างๆนั้น เราก็สามารถเชขียนให้ชัดได้ว่ามันไม่รวม แม้ว่าเราเขียนในกฎหมายไม่ได้ว่าห้ามใช้กับนายโน้น นายนี่ แต่เราเขียนให้อ่านความได้ว่ารวมหรือไม่รวมแล้วแค่นี้ก็คงเข้าในจกันมั้ง เพื่อให้เข้าใจว่ารวมถึงกรณีใดบ้าง เช่นถ้าสมุติว่าเหตุการณ์นับตั้งแต่ 19 ก.ย.2549 เพราะพ.ต.ท.ทักษิณ 19 ก.ย.2549 เขาก็ไม่ได้อยู่ในประะเทศไทยแล้ว แบบนี้ก็เขียนไว้ได้ว่าอย่ารวมนะ ให้รวมตั้งแต่ 19 ก.ย.2549 ถึงอะไรปี 31 ธ.ค.2554 อะไรก็ได้ให้มันพ้นตรงนั้นที่มีเหตุการณ์ทางการเมืองหลายเหตุการณ์ ทั้งเสื้อเหลือง เสื้อแดงอะไรต่างๆที่มีการประท้วงตั้วแต่ประท้วงรัฐประหารเรื่อยมาถึงประท้วงรัฐบาลคุณสมชาย วงศ์สวัสดิ์ มาถึงรัฐบาลคุณสมัคร สุนทรเวช อะไรตจ่างๆทั้งเสื้อเหลือง เสื้อแดง ต่างๆ ทหารตำรวจที่ปฏิบัติตามคำสั่งเลิกแล้วต่อกันไป"
พนัส ทัศนียานนท์
อดีตสสร.ปี 2540
    
 อันนี้ก็ขึ้นอยู่กับคนส่สนใหญ่ของประเทศเขาจะคิดอย่างไรเป็น  การช่วนรนิโทษกรรม คนที่เผาบ้านเผาเมืองนั้นเขาอยากให้ทำไหม หรือว่าอาจะให้เลิกแล้วกันไปเพราะตอนนี้ก็มีคนที่ติดคุกติดตารางจำนวนไม่น้อย รอคอยการนิรโทษกรรมอยู่แต่ก็ยังไม่รู้ว่าจะออกมาอย่างไร ขณะที่ขึ้นอยู่กับว่ารัฐบาล จะหาทางออกเรื่องนี้อย่างไร เพราะรัฐบาลต้องวิตกกังวลว่าจะเป็นกับดัก หรือเป็นหลุมพรางที่อาจจะทำให้หลุดจากอำนาจการบริหารประเทศหรือไม่ จึงต้องใช้การพินิจพิจารณาอย่างมากที่สุด ขณะที่ฝ่ายค้านเองเขามองว่ากลัวจะเป็นการช่วยเหลือพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จึงต้องออกมาทักท้วงอย่างหนักทำให้ตอนนี้รัฐบาลยังไม่กล้าตัดสินใจอย่างไร

อย่างไรก็ตามเรื่องนี้มีคนที่เสนอทางออก 3 แนวทางคือการออกพระราชกำหนด(พ.ร.ก.)นิรโทษกรรม ซึ่งถ้าต้องการช่วยนิรโทษกรรมให้เร็วต้องออกพ.ร.ก.โดยรับาลบเสนอโปรดเกล้าฯแล้วนำเข้าสภาฯ แต่ทว่ารัฐบาลก็เกรงว่าหากมีการคัดค้านกั้นมาแล้วไม่น่าสภาฯรัฐบาลก็อาจจะหลุดจากเก้าอี้

ส่วนอีกฝ่ายก็อยากให้ออกเป็นพระราชบัญญัติ(พ.ร.บ.)นิรโทษกรรม เพราะถึงแม้จะช้าแต่ก็เป็นทางออกรัฐบาลที่ถ้าผ่านสภาฯก็ใช้ไปและจะได้รับการยอมรับจากคนจส่วนใหญ่ ฝ่ายค้านก็ต้องยอมรับให้ผานไปได้ แต่ถ้าไม่ผ่านสภาฯรนัฐบาลเองก็สามารถชี้แจงได้ว่าเรื่องนี้รัฐบาลไม่ต้องรับผิดชอบ เพราะเป็นเรื่อบของสภาฯรํบบาลสามารถเลีร่ยงได้

อีกแนวทางหนึ่งคือการแก้ไขร่างพ.ร.บ.รัฐธรรมนูญ เพื่อนิรโทษกรรม ซึ่งที่ผ่านมาจะเห็นได้มีว่าการเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญ แต่เกิดข้อขัดแย้งกันมาก จนไม่สามารถทำได้ รวมทั้งต้องเกี่ยวพันถึงตุลาการศาลรัฐธรรมนูญอีก จึงเป็นเรื่องที่ทำได้ยากและรัฐบาลก็ดึงเรื่องเอาไว้ ดังนั้นหากจะแก้รัฐธรรมนูญเพื่อนิรโทษกรรมกลัวว่าจะเป็นแบบนั้นอีก

อย่างไรก็ดี ทั้ง 3 วิธีทางต้องผ่านสภาฯทั้งนั้น แต่รัฐบาลจะเลือกวิธีการไหนก็ต้องพิจารณาหาทางออกที่ดีที่สุด "
ที่มา.สยามรัฐ
//////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
                                                                 

วันจันทร์ที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

นิรโทษกรรม : นักโทษทางการเมือง นักโทษทางความคิด ความผิด112 !!?


เมื่อวันที่ 29 มกราคม 2556 “กลุ่ม 29 มกรา ปลดปล่อยนักโทษการเมือง” ภายใต้การนำของ “กลุ่มปฏิญญาหน้าศาล” พร้อมผู้ชุมนุมจำนวนมาก ได้รวมตัวกันที่บริเวณลาน พระบรมรูปทรงม้า จัดกิจกรรม “หมื่นปลดปล่อย” เพื่อยื่น “ร่างรัฐธรรมนูญว่าด้วยนิรโทษกรรมและการขจัดความขัดแย้ง” ที่กลุ่มนักวิชาการ “คณะนิติราษฎร์” ได้เสนอเมื่อวันที่ 13 มกราคม ให้ปล่อยผู้มีความผิดตาม พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ร.บ.ความมั่นคงแห่งชาติ พ้นจากความผิด ตั้งแต่วันที่ 19 กันยายน 2549-9 พฤษภาคม 2554

กลุ่ม 29 มกราฯถือว่าเป็นก้าวแรกในการคืนความยุติธรรมให้กับประชาชน เพราะ 6 ปีที่ผ่านมาหลังจากที่มีการยึดอำนาจจากคณะรัฐประหาร ทำให้ประเทศเกิดวิกฤตทางการเมือง รวมทั้งส่งผลให้ประเทศเสียหายมาอย่างต่อเนื่อง ประชาชนถูกทำร้าย จับกุม และมีบางส่วนถึงขั้นเสียชีวิต เฉพาะปี 2553 มีประชาชนถูกเจ้าหน้าที่รัฐออกหมายจับตามคำสั่งของศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ถึง 1,857 ราย

ขณะที่ปัจจุบันมีนักโทษการเมืองที่ถูกคุมขังอยู่คือ คดีหมิ่นฯ 6 คน ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพ และที่ทัณฑสถานหญิงกลาง 1 คน คดีเกี่ยวเนื่อง จากการสลายการชุมนุม 2553 จำนวน 4 คน ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพ และที่เรือนจำหลักสี่ (เรือนจำการเมือง) 22 คน

ทุกข์ของนักโทษการเมือง

นางสุดา รังกุพันธุ์ อาจารย์คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แกนนำ “ปฏิญ ญาหน้าศาล” ระบุว่า การนิรโทษกรรมนักโทษการเมืองควรทำตั้งแต่มีรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งแล้ว ไม่ควรปล่อยให้ผู้ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยและเรียกร้องการเลือกตั้งต้องถูกจองจำถึง 2 ปีกว่า โดยมีผู้ถูกจับกุมคุมขังด้วยข้อหาทางการเมืองถึง 1,857 คน ถูกดำเนินคดีในศาล 59 แห่งทั่วประเทศ จนกรณีอากงหรือนายอำพล ตั้งนพกุล ที่ถูกจำคุกด้วยมาตรา 112 แม้พยายามยื่นขอประกันตัวแต่ก็ไม่ได้ กระทั่งเสียชีวิตในคุก จนมาถึงกรณีนายวันชัย รักสงวนศิลป์ นักโทษการเมืองอีกคนที่เสียชีวิตในคุกเช่นกัน

ยิ่งรัฐบาลต้องการแก้รัฐธรรมนูญปี 2550 ยิ่งต้องสร้างบรรยากาศให้เป็นประชาธิปไตย ให้ประชาชนทุกคน โดยเฉพาะนักโทษการเมืองที่อยู่ในคุกออกมามีส่วนร่วมกำหนดวาระการแก้ไขรัฐธรรมนูญ หาทางออกให้ประเทศร่วมกัน ประโยชน์ของการนิรโทษกรรมไม่ได้ตกอยู่กับคนที่ถูกดำเนินคดีเท่านั้น แต่เกิดกับคนทุกคนที่ต้องการเห็นสังคมเป็นประชาธิปไตย

ขณะที่กลุ่มนักโทษการเมืองได้ส่งจดหมายขอบคุณกลุ่ม 29 มกราฯ ที่ออกมาเคลื่อนไหวให้มีการนิรโทษกรรมที่จริงจังและชัดเจนที่สุด

“พวกเราต่างประสบชะตากรรมเดียวกันคือ ต้องพบกับความยากลำบากอย่างแสนสาหัส ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความเป็นอยู่ ปัญหาทางด้านการเงิน การต่อสู้คดี และผลกระทบอีกมากมายที่ถาโถมเข้ามาอย่างไร้ความปรานี เราทุกคนตกอยู่ในสภาพ เดียวกันคือ ต้องประสบกับช่วงที่ตกต่ำที่สุดในชีวิต

มีสักกี่คนที่จะตระหนักว่าพวกเราแทบจะทั้งหมดไม่เคยคิดที่จะต้องเจอกับปัญหานี้ ไม่เคยวางแผนล่วงหน้าที่จะติดคุก ไม่เคยวางแผนที่จะรับมือกับความหายนะของครอบครัว ธุรกิจ หรือแม้แต่กระทั่งชีวิตตัวเอง เพราะพวกเราคือประชาชนคนธรรมดา”

ตั้งข้อหาเกินจริง-ขังฟรี-ไม่ให้ประกัน

การเคลื่อนไหวของกลุ่ม 29 มกราฯจึงถือเป็นก้าวแรกและก้าวสำคัญที่เรียกร้องให้รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และพรรคเพื่อไทย หรือพรรคประชาธิปัตย์เอง ร่วมมือเร่งคืนความยุติ ธรรมให้แก่นักโทษการเมืองทุกกลุ่ม อย่างที่ศูนย์ข้อมูลประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากการสลายการชุมนุมเมษา-พฤษภา 2553 (ศปช.) และเครือข่ายสันติประชาธรรม ซึ่งเคลื่อนไหวคู่ขนานกับกลุ่ม 29 มกราฯ ได้ออกแถลงการณ์เรียกร้องรัฐบาลคืนสิทธิและเสรีภาพให้แก่นักโทษการเมือง

แถลงการณ์ระบุว่า นับเป็นเวลา 2 ปี 8 เดือน ตั้งแต่รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้ใช้กำลังทหารเข้าสลายการชุมนุมของคนเสื้อแดง จนนำไปสู่การเสียชีวิตและบาดเจ็บของประชาชนจำนวน มาก และนับตั้งแต่รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ขึ้นบริหารประเทศ กระบวนการเยียวยาให้แก่ครอบ ครัวของผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บในรูปของเงินชด เชย รวมทั้งการดำเนินคดีอาญากับผู้ที่เกี่ยวข้องได้ เริ่มไปบ้างแล้ว แต่ปรากฏว่าผู้ชุมนุมที่ถูกดำเนินคดี อย่างไม่เป็นธรรมจำนวนมากกลับไม่ได้รับการเหลียว แลใดๆจากรัฐบาลพรรคเพื่อไทยอย่างจริงจังเลย

ที่สำคัญประชาชนที่ถูกจับกุมคุมขังหลังเหตุ การณ์เมษายน-พฤษภาคม 2553 ถูกเจ้าหน้าที่ใช้อำนาจเกินขอบเขตเข้าจับกุมและคุมขังตามอำเภอใจ ตั้งข้อหาร้ายแรงเกินจริง เป็นการจับกุมแบบเหวี่ยง แห ขาดหลักฐาน หลายกรณีมีเพียงภาพถ่ายผู้เข้าร่วมชุมนุมเป็นหลักฐานเท่านั้น ทั้งมีการซ้อมและทรมานผู้ต้องขัง และหลายรายเป็นเยาวชน

นอกจากนี้ผู้ต้องขังส่วนใหญ่ไม่ได้รับสิทธิการประกันตัว อันเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานตามรัฐ ธรรมนูญ มีการใช้ข้อหาก่อการร้ายต่อผู้ต้องขัง 44 รายในลักษณะครอบจักรวาล โดยไม่มีนิยามและขอบเขตของคำว่าก่อการร้ายที่ชัดเจน ผู้ชุมนุมจำนวนมากถูกคุมขังเกินกว่าคำพิพากษาจำนวนมากถูกขังฟรีเป็นเวลาปีกว่า หลังจากศาลเห็นว่าหลักฐานไม่เพียงพอและพิพากษายกฟ้อง

ร่างนิติราษฎร์-นปช.-คอ.นธ.

นอกจากร่างนิรโทษกรรมของกลุ่มนิติราษฎร์ที่เสนอให้แก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ และจัดตั้งคณะกรรมการขจัดความขัดแย้งเป็นองค์กรทางรัฐธรรมนูญ เพื่อให้วินิจฉัยกรณีการกระทำความผิดอันผู้กระทำได้กระทำไปโดยมีมูลเหตุจูงใจทาง การเมืองแล้ว กลุ่ม นปช. ยังเสนอ พ.ร.ก.นิรโทษกรรม และข้อเสนอของนายอุกฤษ มงคลนาวิน ประธานคณะกรรมการอิสระว่าด้วยการส่งเสริมหลักนิติธรรมแห่งชาติ (คอ.นธ) ที่เสนอ พ.ร.บ.นิรโทษกรรมผู้กระทำความผิดเนื่องในการชุมนุมทางการเมืองระหว่างวันที่ 19 กันยายน 2549-30 พฤษภาคม 2554

โดยข้อเสนอของนายอุกฤษระบุว่า การนิรโทษกรรมต้องไม่รวมถึงผู้มีอำนาจในการตัดสินใจหรือสั่งการให้มีการเคลื่อนไหวทางการเมือง และไม่รวมถึงเจ้าหน้าที่ของรัฐที่เกี่ยวข้องกับการใช้อำนาจตามกฎหมายในการรักษาความสงบหรือยุติเหตุการณ์ ช่วงระหว่างวันที่ 19 กันยายน 2549-30 พฤษภาคม 2554 ซึ่งนายอดุลย์ เขียวบริบูรณ์ ประธานคณะกรรมการญาติวีรชนพฤษภา’35 ได้แถลงการณ์สนับสนุนข้อเสนอของนายอุกฤษ เพราะเห็นว่ามีความชัดเจนและสามารถปฏิบัติได้มากกว่าร่างของทุกฉบับ ทั้งเรียกร้องคู่กรณีให้ใช้ความเจ็บปวดในอดีตมาเป็นบทเรียนเพื่อฝ่าข้ามวิกฤต ทุกฝ่ายมีส่วนร่วมในการนำเสนอกฎหมายที่เป็นที่ยอมรับแก่ทุกฝ่าย และสามารถนำไปดำเนินการโดยเร็วที่สุด ทั้งรัฐบาล เจ้าหน้าที่ ผู้นำเหล่าทัพ และแกนนำทุกฝ่ายไม่ตั้งข้อรังเกียจการนิรโทษกรรมประชาชน

ไม่ผิดต้องเยียวยาและชดใช้

นายวีรพัฒน์ ปริยวงศ์ นักกฎหมายอิสระ เห็นด้วยกับร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมของนายอุกฤษที่ให้ ส.ส. และ ส.ว. ดำเนินการว่าเป็นหลักการที่มาถูกทางแล้ว คลายความขัดแย้งในสังคมได้ เพราะนิรโทษกรรมเฉพาะบุคคลที่ไปร่วมชุมนุมทางการเมืองหรือแสดงออกทางการเมือง ไม่ว่าจะเป็นการฝ่าฝืนกฎหมายห้ามชุมนุม การต่อสู้ขัดขืน การทำร้ายร่างกายหรือทรัพย์สินผู้อื่น แต่ไม่รวมนักการเมือง แกนนำ หรือผู้มีบทบาทนำคนออกมาชุมนุม คล้ายกับ พ.ร.ก.นิรโทษกรรมของ นปช. เพราะเหตุการณ์การชุมนุมผ่านมานาน แล้ว ผู้ชุมนุมที่ได้รับเคราะห์กรรม ความไม่เป็นธรรมยังมีอยู่เยอะ คนที่รอการเยียวยายังมีอยู่ จึงถึงเวลาที่จะนำเรื่องนี้มาคุยกัน ไม่เหมือนการเสนอ ร่าง พ.ร.บ.ปรองดองที่เกิดความตึงเครียด เพราะจะนิรโทษกรรมแบบยกเข่ง ซึ่งตนไม่เห็นด้วย

พล.อ.เอกชัย ศรีวิลาศ ผู้อำนวยการสำนักสันติวิธีและธรรมาภิบาล สถาบันพระปกเกล้า เห็นด้วยกับการนิรโทษกรรม ไม่ว่าข้อเสนอของ นปช. หรือกลุ่มนิติราษฎร์ เพราะประชาชนที่ติดคุกนานเป็นปี เท่ากับว่าชีวิตถูกทำลาย ไม่สามารถ ทำมาหากินได้ ครอบครัวอาจแตกแยก หากศาลตัดสินว่าจำเลยไม่มีความผิดก็ต้องให้ได้รับสิทธิเยียวยาจากสิ่งที่สูญเสียไป

แต่ พล.อ.เอกชัยได้ตั้งข้อสังเกตข้อเสนอของกลุ่มนิติราษฎร์ที่ให้ตั้งคณะกรรมการขจัดความขัดแย้งเป็นองค์กรทางรัฐธรรมนูญจำนวน 5 คนว่าจะเชื่อถือได้อย่างไร หากการทำงานไม่ต่างจากองค์กรอิสระจะทำอย่างไร การเสนอกฎ หมายนิรโทษกรรมในช่วงเวลานี้นับว่าเหมาะสม แต่เหมาะสมเพียงแค่เหตุการณ์เฉพาะหน้าที่บรรเทาความขัดแย้งในระยะสั้น เพราะภาพใหญ่อย่าง พ.ร.บ.ปรองดองที่จะแก้ไขความขัดแย้งในระยะยาวยังค้างอยู่ในสภา รัฐบาลซึ่งเป็นภาคส่วนสำคัญที่ต้องผลักดันกลับไม่กล้าเดินหน้า เนื่องจากเกรงว่าจะถูกล้มเหมือนการโหวตร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 291 วาระ 3 และการทำประชามติ รัฐบาลก็ไม่กล้าเดินหน้า หากเป็นเช่นนี้ต่อไปโอกาสที่จะจบความขัดแย้งอย่างราบรื่นคงยาก ถ้าทั้ง 2 ฝ่ายยังหาทางบรรจบกันไม่ได้

“เพราะหลักเกณฑ์การสร้างความปรองดองคือต้องค้นหาความจริง อย่างที่กระบวนการยุติธรรม กำลังเดินหน้าเพื่อดำเนินคดีกับผู้กระทำผิด และต้อง เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบทางการเมืองที่เกิดขึ้น”

วิวาทะ “โอ๊ค-มาร์ค”

แม้การนิรโทษกรรมจะได้รับการตอบรับจากหลายฝ่าย แม้แต่พรรคประชาธิปัตย์ อย่างนายถาวร เสนเนียม ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ยอมรับได้หากเป็นการนิรโทษกรรมเฉพาะผู้ชุมนุมที่ฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน แม้จะยังอ้างว่าต้องดูรายละเอียดในร่าง พ.ร.บ. ก่อนว่ามีอะไรซ่อนเร้นหรือไม่ เพราะหากมีอะไรซ่อนเร้นก็พอเดาออกได้ รวมทั้งต้องดูว่าคำจำกัดความและความหมายเรื่องผู้สั่งการมีแค่ไหน

แต่ยังไม่น่าสนใจเท่ากับการที่นายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชาย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร โพสต์เฟซบุ๊คภาพของ พ.ต.ท.ทักษิณและน้องสาวที่กำลังเดินเล่นในห้างดูไบ พร้อมระบุว่า ครอบ ครัวถูกกลั่นแกล้งจนไม่ได้เจอกันพร้อมหน้า และเริ่มชินที่ไม่ได้กลับเมืองไทยแล้ว แต่ยังเป็นห่วงประชาชนที่ถูกดำเนินคดีทางการเมือง จึงรับคำท้าของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี ที่เคยระบุว่าให้อภัยโทษนักโทษการเมืองทุกคน ยกเว้น พ.ต.ท.ทักษิณ นายอภิสิทธิ์และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ว่านายอภิสิทธิ์จะทำจริงหรือไม่

“หรือเป็นเพียงลมปากเกรียนๆ เท่ๆ ถ้าพูดจริง-ทำจริง ยืนยันมาเลยครับ เปิดประชุมสภาสมัยนี้จะได้เห็นทั้งฝ่ายค้านและรัฐบาลร่วมกันบำบัดทุกข์-บำรุงสุขแบบไร้รอยต่อให้กับพี่น้องประชาชนเสียที

ทักษิณโดนโทษจำคุก 2 ปี โทษฐานที่เมียไปซื้อที่ดิน กับอภิสิทธิ์-สุเทพสลายการชุมนุม มีคนตายเกือบร้อย จะโดนโทษอะไรยังลุ้นกันอยู่ สมน้ำสมเนื้อกันดี ดีลนี้ตกลงเลยครับ”

นายนพดล ปัทมะ ที่ปรึกษากฎหมาย พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวสนับสนุนแนวคิดของนายพานทองแท้ว่าเป็นเจตนาที่ดีในการแสดงความจริงใจที่คิดว่าการนิรโทษกรรมผู้มาร่วมชุมนุมทางการเมืองไม่ควรถูกจำคุก โดยเชื่อว่านายพาน ทองแท้คงมั่นใจว่า พ.ต.ท.ทักษิณพร้อมพิสูจน์ความบริสุทธิ์จากคดีที่ดินรัชดาฯอยู่แล้ว เมื่อเทียบข้อกล่าวหาของนายอภิสิทธิ์และนายสุเทพต่างกันราวฟ้ากับเหว จึงหวังว่าพรรคประชาธิ ปัตย์จะรับคำท้าด้วยดี

ส่วนนายอภิสิทธิ์ได้กล่าวถึงคำท้าของนายพานทองแท้ว่า ตนรอฟังคำตอบจากปาก พ.ต.ท. ทักษิณเช่นกันว่าจะไม่นิรโทษกรรมตัวเองและเดินทางกลับประเทศไทยมาสู้คดี ส่วนที่ คอ.นธ. มีข้อเสนอให้นิรโทษกรรมก็ไม่ขัดข้อง และเห็นด้วยกับแนวทางนิรโทษกรรมผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน โดยไม่พ่วงคดีอาญาและคดีการทุจริตเข้ามาด้วย โดยเฉพาะกรณีของ พ.ต.ท.ทักษิณ

“ไม่ควรเอากลุ่มคนเสื้อแดงมาเป็นตัวประ กัน เพื่อที่จะนิรโทษกรรมให้ พ.ต.ท.ทักษิณ และหากรัฐบาลจะเสนอร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมตามแนวคิดดังกล่าวก็สามารถมาคุยกับฝ่ายค้านได้ เราพร้อมให้การสนับสนุน โดยต้องคุยกันในจุดที่เห็นตรงกัน แต่แนวทางการปรองดองที่ไม่สามารถเดินหน้าได้เพราะติดขัดอยู่ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ” นายอภิสิทธิ์กล่าว

คืนความยุติธรรมแก่ประชาชน

การเคลื่อนไหวให้นิรโทษกรรมนักโทษทาง การเมืองจึงมีความเป็นไปได้สูง ไม่ว่าพรรคประชาธิปัตย์จะมีความจริงใจหรือไม่ก็ตาม แต่นายอภิสิทธิ์และพรรคประชาธิปัตย์ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าประชาชนที่ต้องตกเป็นเหยื่อทางการเมืองส่วนหนึ่งเพราะรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ การนิรโทษกรรมจึงอาจทำให้พรรคประชาธิปัตย์ได้ความเห็นใจจากคนเสื้อแดงก็ได้ รวมถึงคนเสื้อเหลืองที่มีคดีจ่อคอหอยอยู่

การนิรโทษกรรมครั้งนี้บางฝ่ายอยากให้รวมไปถึงนักโทษและผู้ถูกกล่าวหาคดีมาตรา 112 ด้วย โดยเฉพาะกรณีนายสมยศ พฤกษาเกษมสุข ที่ถูกตัดสินจำคุก 11 ปีนั้น ส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของประเทศอย่างมาก เพราะองค์กรระ หว่างประเทศและสหภาพยุโรปเห็นว่าเป็นการบ่อน ทำลายอย่างร้ายแรงต่อสิทธิมนุษยชน เป็นการถอยหลังอย่างร้ายแรงในเรื่องเสรีภาพการแสดง ออก และเสรีภาพตามระบอบประชาธิปไตย

และก่อนมีคำพิพากษาคดีนายสมยศเมื่อวันที่ 23 มกราคม องค์กรสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศได้ส่งข้อความถึงสมาชิกทั่วโลกเมื่อวันที่ 11 มกราคม 2556 แสดงความกังวลถึงการพิจารณาคดีของนายสมยศ และได้ขอความร่วมมือจากสมาชิกให้ร่วมกันส่งจดหมายร้องเรียนถึงรัฐบาลไทยผ่านทางนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม รวมถึงคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ให้ยกเลิกข้อกล่าวหาและปล่อยตัวนายสมยศโดยทันทีอย่างไม่มีเงื่อนไข เพราะถือว่านายสมยศเป็น “นักโทษทางความคิด” (prisoner of conscience) ที่ถูกควบคุมตัวเพราะใช้เสรีภาพในการแสดงออกโดยสงบ

การเคลื่อนไหวเพื่อให้นิรโทษกรรมนักโทษทางการเมือง ไม่ว่ารัฐบาล พรรคเพื่อไทย และพรรค การเมืองต่างๆต้องไม่ละเลยนักโทษทางความคิด ซึ่งส่วนใหญ่ถูกกล่าวหาในมาตรา 112 ที่ทุกฝ่ายทราบดีว่าเป็นการกลั่นแกล้งทางการเมือง

แม้การนิรโทษกรรมจะไม่ทำให้เกิดความปรองดองในทันที แต่ อย่างน้อยก็ลดความ ขัดแย้งที่ฝังลึกได้ระดับหนึ่ง เพราะได้คืนความยุติธรรม ให้กับประชาชนผู้บริสุทธิ์

ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข
////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

การศึกษาขั้นพื้นฐานอของไทยถึงวันที่จะต้องเปลี่ยนแปลง !!?


โดย.เพชร เหมือนพันธุ์

ท่านรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา เคยให้ความเห็นกับสื่อว่า พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติที่ผ่านมามีทุกคนได้ประโยชน์หมด ยกเว้นเด็ก การปฏิรูปการศึกษาต้องพัฒนาที่คุณภาพของการศึกษาเป็นหลัก นับว่าเป็นความเห็นที่ชี้ให้เห็นความเป็นจริงของปัญหาการศึกษาชาติที่ผ่านมา ว่าการปฏิรูปการศึกษาไม่ประสบผลสำเร็จ

ท่าน ภาวิช ทองโรจน์ ที่ปรึกษาของท่านรัฐมนตรีกระทรวงศึกษาได้ให้ข่าวว่าท่านได้เสนอให้ท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาฯ ท่านพงศ์เทพ เทพกาญจนา ได้ปฏิรูปการศึกษาขั้นพื้นฐาน โดยขอให้ปฏิรูปการศึกษาในระดับชั้นประถมศึกษาฯ ได้ลดวิชาที่ซ้ำซ้อน ลดชั่วโมงเรียน และปรับโครงสร้างกระทรวงศึกษาฯให้เหมาะสม นับว่าเป็นข่าวดีที่ครูในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานรอคอย และตั้งความหวังว่า ผู้นำหัวเรือใหญ่ด้านการศึกษาของประเทศจะไม่พาพวกเราหลงทางอีก

ความรู้สึกอึดอัดต่อผลลัพธ์ Out Come ด้านการศึกษาที่ผ่านมา ทุกคนล้วนรู้สึกเหมือนกันว่าคุณภาพของการศึกษาไทยไม่ดีขึ้น มีแต่ตกต่ำลงเรื่อยๆ อย่างไม่รู้ว่าจะมีพระเอกคนใดมาฉุดขึ้น ท่านพงศ์เทพ เทพกาญจนา แม้ท่านจะเป็นนักกฎหมาย เมื่อท่านได้มารับผิดชอบอนาคตการศึกษาของชาติแล้ว ท่านยังมีความพยายามจะปรับหัวเรือเข้าสู่ทิศทางที่ถูกต้อง ท่านได้สร้างความหวังให้กับกลุ่มครูการศึกษาขั้นพื้นฐานและประเทศไทยแล้ว พวกเราพร้อมที่จะให้ความร่วมมือและเป็นกำลังใจในการทำงานครั้งนี้

ความอึดอัดใจไม่ได้มีอยู่เฉพาะผู้มีอาชีพเป็นครูในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานเท่านั้น ตัวอย่างเช่น ท่าน ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย ก็ยังได้เขียนบทความในหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ฉบับวันที่ 26 มกราคม 2556 ว่า "การศึกษาไทยล่มสลายแล้วหรือ?" ท่านตำหนิว่านักศึกษาแพทย์ของท่าน ไม่รู้จักคิด คิดไม่เป็น ไม่รู้จักประยุกต์ใช้ความรู้รอบตัวให้เกิดประโยชน์ นักศึกษาแพทย์ไม่เคยอ่านวารสารทางการแพทย์....ชั้นนำของโลกให้ได้สัปดาห์ละ 1 เล่ม ก็แปลว่า ระบบการศึกษาของประเทศไทยได้เกิดความผิดปกติอาเพศทางการศึกษามาแล้วอย่างน้อย 15-20 ปี ถ้าระบบการศึกษาไทยห่วยขนาดนี้ อย่าได้คิดฝันไปไกลถึงความมั่งคั่ง รุ่งเรืองของประเทศ....แค่เอาตัวรอดไปวันๆ ก็ถือว่าเก่งแล้ว

และยังมีอีกท่าน เช่น รศ.ดร.ฤๅเดช เกิดวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา ท่านเห็นว่า "ปัจจุบันการศึกษาไทยค่อนข้างล้มเหลว นักเรียนไม่มีทักษะชีวิต"

และจะขอยกตัวอย่างอีกท่านคือ นายสมบัติ นพรัก คณบดีวิทยาลัยการศึกษาต่อเนื่อง มหาวิทยาลัยพะเยา ท่านได้เสนอว่า ให้ปรับโครงสร้างหลักสูตร ลดวิชาเรียนบางวิชาที่ไม่จำเป็นในระดับประถมศึกษาลงให้ลดวิชาที่ซ้ำซ้อน เพิ่มวิชาภาษาไทย ภาษาอังกฤษ เพราะภาษาเป็นสื่อให้เข้าถึงความรู้วิชาอื่น

และยังมีอีกหลายท่านที่เห็นตรงกันว่าการศึกษาขั้นพื้นฐานของไทยมีปัญหาอย่างแน่นอน

การศึกษาขั้นพื้นฐานของประเทศนับว่าเป็นหัวใจของการศึกษาทุกระดับ การจะก้าวออกเดินไปข้างหน้าหรือเข้าศึกษาต่อ ถ้าคุณภาพการศึกษาขั้นพื้นฐานไม่ดีอย่าได้หวังว่าเราจะประสบความสำเร็จ ตะกั่วหรือจะไปมีค่าสู้ทองคำ ดาบเหล็กอ่อนหรือจะหาญกล้าไปสู้กับดาบเหล็กน้ำพี้ ตึกอาคาร ถ้าฐานไม่ดีก่อสูงขึ้นไปก็จะมีแต่พังลงมาทับคนอยู่อาศัยและคนงาน การปฏิรูปการศึกษาขั้นพื้นฐานจึงถือเป็นไฟต์บังคับที่นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการจะต้องดำเนินการอย่างถูกต้องโดยรีบด่วน

การศึกษาขั้นพื้นฐานคือ การศึกษาในระดับชั้นประถมศึกษาไปจนถึงชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย (ป.1-ม.6) หากจะแก้ปัญหาจะต้องแก้ให้ถูกจุด เกาให้ถูกที่คัน ปัญหาการศึกษาช่วงชั้นนี้ที่มีปัญหาอย่างรุนแรงจริงๆ จะอยู่ในช่วงชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น ถึงมัธยมศึกษาตอนปลายส่วนที่มีปัญหาน้อยที่สุดคือช่วงชั้นประถมวัย

ในระดับประถมวัย ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมานี้ ครูที่รับผิดชอบในช่วงชั้นนี้ได้รับการอบรมพัฒนามามากและมีการร่วมกลุ่มกันได้ดี ไปศึกษาดูงานทั้งในประเทศและต่างประเทศอยู่บ่อยๆ แม้ในศูนย์เด็กเล็ก หรือตามศูนย์การเรียนในวัดก็ไม่มีปัญหา เรื่องหลักสูตรก็ไม่กดดันเด็ก เป็นการพัฒนากล้ามเนื้อส่วนต่างๆ ของร่างกาย ของมือ และการเล่น กิน นอน

ในระดับประถมศึกษา โดยปกตินักเรียนจะอ่านหนังสือออกเมื่อเรียนในระดับชั้น ป.2 ภาคเรียนที่ 2 จะอ่านได้คล่อง ถ้าอ่านได้ก็จะคิดเลขเป็น ในระดับประถมศึกษา ครูจะเริ่มพบเด็กที่มีปัญหาทางการเรียนห้องละ 1-5 คน เด็กกลุ่มนี้คือเด็กเรียนช้า เด็กออทิสติก เด็กสมาธิสั้น เด็กเกเร เด็กก้าวร้าว เด็กพิการ 9 ประเภท เด็กที่มีพฤติกรรมเป็นปัญหาต่อการเรียนนี้จะมีอยู่ทุกประเทศทั่วโลก โดยสถิติ ในร้อยคนจะมีอยู่ระหว่าง 5-10% ถ้าครูที่สอนดูออกเข้าใจเด็กกลุ่มนี้สามารถแยกมาเรียนซ่อมเสริมพิเศษได้ แต่ถ้าครูไม่รู้เรื่อง ไม่เข้าใจเด็ก ก็จะไปโทษเด็กโทษผู้ปกครองว่า เด็กโง่ เด็กเกเร เด็กไม่สนใจเรียน ผู้ปกครองไม่สั่งสอน เด็กกลุ่มนี้จะเป็นปัญหาไปถึงชั้น ป.6 และเลยไปถึงชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย ดังนั้น ครูจึงต้องเป็นนักจิตวิทยาด้วย ในแต่ละจังหวัดจะมีศูนย์ดูแลให้การศึกษาเด็กพิการ จังหวัดละ 1 ศูนย์ จะออกไปโรงเรียนเพื่อไปดูแลช่วยเหลือเด็กกลุ่มนี้ สัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง ในประเทศอเมริกาก็มีที่ครูออกไปพบเด็กตามโรงเรียนต่างเวียนไปจนครบ ส่วนในชั้นประถมศึกษาตอนปลาย เด็กเริ่มโต ผู้หญิงบางคนก็เริ่มเข้าสู่วัยรุ่นจะได้รับมอบหมายจากครูให้เป็นหัวหน้า เป็นคณะกรรมการนักเรียน จะได้รับความนับถือจากรุ่นน้องครูเริ่มมองเห็นแววอัจฉริยะของเด็กบางคนแล้ว หลักสูตรการศึกษาก็ควรจัดเนื้อหาให้ใกล้ชิดกับตัวเด็ก ให้เด็กสามารถนำไปใช้ในชีวิตจริงได้ ให้เด็กได้ฟังนิทานที่สร้างแรงบันดาลใจเด็กได้ ให้เด็กได้ไปสัมผัสกับของจริงนอกห้องเรียน

ระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น ระดับนี้ถ้าจัดการศึกษาได้ดี มีคุณภาพเหมาะสมกับพัฒนาการของเด็กจะช่วยให้เด็กมีความมั่นใจในตนเอง มีความเชื่อมั่นในวิชาที่เรียนรู้ ปัญหาที่พบคือ ครูในโรงเรียนมัธยมศึกษาจะให้ความสนใจเด็กในระดับชั้น ม.1 น้อยกว่าชั้น ม.2 และ ม.3 ถ้าโรงเรียนเปิดสอนถึงชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย ครูจะไปให้ความสนใจในเด็ก ชั้น ม.3 และ ม.6 มากกว่าชั้น ม.1 และชั้นอื่นๆ ในชั้น ม.1 เด็กมาจากที่ต่างๆ กัน คนเก่งสอบเข้ามาได้เอง คนไม่เก่งจับสลากเข้ามา หรือเป็นเด็กฝากหรือเป็นเด็กในพื้นที่บริการ เด็กเรียนเก่งมักไม่มีปัญหาทางการเรียน ส่วนเด็กอ่อนจะเรียนไม่ทันเพื่อน จะส่งงานไม่ทัน แล้วก็จะติด 0 ติด ร เมื่อมีปัญหามากเข้าก็จะรวมกันเป็นแก๊ง ก่อกวน ลักขโมย จะสอบตกสะสมไปจนถึงชั้น ม.3 ดังนั้น วิธีการวัดผล ประเมินผลที่ใช้กันอยู่ ในหลักสูตรทุกวันนี้ก็จะต้องปฏิรูปด้วย พอถึงชั้น ม.2 เด็กกลุ่มนี้ก็จะตั้งแก๊งสร้างปัญหาให้กับเพื่อนในชั้น ให้กับครู ให้กับผู้ปกครอง เด็กผู้หญิงจะมีปัญหาทางชู้สาวมากกว่าเด็กชายเป็นวัยที่มีพลังมาก หลักสูตรต้องเพิ่มทักษะทางวิชาช่างเบื้องต้น เช่น งานไม้ งานปูน งานไฟฟ้า งานเกษตร งานดนตรี กีฬา ศิลปะ เป็นต้น

ในระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย หลักสูตรการสอนและกิจกรรมการเรียนของนักเรียนชั้น ม.ปลาย ต้องแตกต่างจากเด็ก ม.ต้น เพราะเด็ก ม.ปลายเป็นผู้ใหญ่วัยรุ่นเต็มตัวแล้ว มีกำลังมากเป็นวัยพายุบุแคม ชอบคบเพื่อน บูชาเพื่อนสูง เหินห่างจากพ่อแม่

เด็ก ม.4 ในหลายโรงเรียนจะจับเด็กแยกห้องเก่งห้องอ่อน ห้องโปรแกรมพิเศษ เช่นห้อง IEP เด็กที่เข้ามาเรียนพร้อมกันแต่จะไม่เหมือนกันเพราะการเลือกต่างกัน ถ้าโรงเรียนใดจัดเด็กเรียนอ่อนให้ไปอยู่รวมกัน นั้นคือการจับเด็กไปลงนรก ครูประจำชั้นก็จะลงนรกด้วย เพราะเด็กกลุ่มนี้แทบจะช่วยเหลือตนเองทางการเรียนไม่ได้เลย หลายโรงเรียนจึงจัดเพียงห้องคิงและห้องควีนเท่านั้น นอกนั้นจะเป็นห้องคละในถัวเฉลี่ยเด็กที่มีสติปัญญาต่างกันคอยช่วยเหลือกันได้ การจัดชั้นเรียนจึงเป็นศาสตร์อย่างหนึ่ง เด็กที่เรียนช้าเรียนอ่อน หรือพิการ 9 ประเภทก็ยังตามมาอยู่ในระดับนี้ ผลการสอบของเด็กกลุ่มนี้จะติด 0 ร มส ไปเรื่อยๆ จนถึงชั้น ม.6 สร้างปัญหาให้ตนเอง ให้ผู้ปกครอง ให้ครูให้โรงเรียนทุกระยะ เด็กบางคนก็จับกลุ่มกันหนีเรียน แสวงหากิจกรรมพิเศษนอกห้องเรียน ระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนที่มีความจริงจังก็พอช่วยเหลือเด็กกลุ่มนี้ได้

หลักสูตรการศึกษาชั้น ม.ปลาย ควรปฏิรูปทั้งระบบเนื้อหารายวิชา ลดวิชาที่ซ้ำซ้อน เปลี่ยนวิธีสอนของครู จากการเล็กเชอร์เป็นให้ลงมือปฏิบัติ เปลี่ยนวิธีวัดผลประเมินผลที่ใช้ข้อสอบปรนัยอย่างเดียวเป็นใช้ข้อสอบได้หลากหลาย แบบแก้ปัญหาการแก้ 0 ร มส ปลายปีชั้น ม.6 ให้เนื้อหารายวิชาใกล้ชิดกับเด็กให้ผู้เรียนสามารถนำความรู้ที่เรียนในแต่ละวันไปใช้ในชีวิตประจำวันได้จริง อย่าจัดรายวิชาหรือสาระการเรียนรู้ทุกอย่างไว้ในชั่วโมงการเรียน เพราะยิ่งเรียนมากเด็กยิ่งไม่ได้อะไร จัดให้เด็กมีส่วนร่วมให้มาก ให้ผู้เรียนได้ลงมือทำได้แก้ปัญหาเอง งานกิจกรรมที่นักเรียนได้ทำจะทำให้เขามีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ นำประสบการณ์หรือความรู้ที่บ้านมาประยุกต์ใช้ได้ แก้ปัญหาเป็น ความรับผิดชอบจะเกิดขึ้น ให้โอกาสเด็กได้ไปยืนหน้าชั้นแทนครู ปฏิรูปการวัดผลประเมินผลที่ใช้อยู่ทุกวันนี้ด้วย จะได้แก้ปัญหาเด็กติด 0 ร มส ปลายปี สรุปว่า ระดับมัธยมศึกษามีปัญหาทั้งมัธยมต้นและมัธยมปลาย เนื้อหารายวิชาที่ซ้ำซ้อนในแต่ละรายวิชาก็ยังมี วิธีสอนของครูที่ผูกขาดการยืนหน้าห้องตลอดปีก็ควรต้องแก้ไข การวัดประเมินผลที่สร้างปัญหา ติด 0 ร มส ก็ต้องเปลี่ยนแปลง

เด็ก ผู้ปกครอง และสังคมกำลังรอรับฟังผลดีของการแก้ปัญหาการศึกษาที่ถูกจุดครั้งนี้ อย่างตั้งใจ ดังคำปราชญ์ที่กล่าวไว้ว่า "บัณฑิตทั้งหลายย่อมหวั่นไหวเมื่อรู้ว่าภัยกำลังรุกเข้ามาใกล้บริวาร จึงต้องปลุกบริวารให้ป้องกัน"

ที่มา.หน้า 7 มติชนรายวัน ฉบับวันจันทร์ที่ 4 ก.พ.56
////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันอาทิตย์ที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

เผือกร้อนในมือแบงก์ชาติ !!?


โดย ชลิต กิตติญาณทรัพย์

ความขัดแย้งเรื่องการดำเนินนโยบายทางการเงินของผู้บริหารธนาคารแห่งประเทศไทยกับ ดร.วีรพงษ์ รามางกูร มิใช่เพิ่งเกิดขึ้นครั้งนี้เป็นครั้งแรก

ดร.วีรพงษ์จะออกมาวิพากษ์วิจารณ์ทุกครั้งเมื่อเห็นการดำเนินนโยบายของผู้บริหาร ธนาคารแห่งประเทศไทยไม่ถูกต้อง แล้วจะสร้างความเสียหายให้ประเทศชาติบ้านเมือง

ประวัติศาสตร์ 30 ปีที่ผ่านมามีเหตุการณ์สำคัญ ๆ อย่างน้อย 3 ครั้งที่ ดร.วีรพงษ์แสดงให้ปรากฏว่า ธนาคารแห่งประเทศไทยบริหารนโยบายการเงินผิดพลาด

ปี 2527 นายสมหมาย ฮุนตระกูล รัฐมนตรีคลัง ดร.วีรพงษ์ ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี เห็นควรลดค่าเงินบาท แต่นายนุกูล ประจวบเหมาะ ผู้ว่าการแบงก์ชาติ

ไม่ เห็นด้วย นายสมหมายต้องปลดออกจากตำแหน่งแล้วลดค่าเงินบาทจาก 25 บาท เป็น 27 บาทต่อเหรียญสหรัฐ จากนั้นเศรษฐกิจของไทยขยายตัวอย่างมาก

ปี 2540 ดร.วีรพงษ์ ในฐานะนักวิชาการ เรียกร้องให้ ธปท.ลดค่าเงินบาท อย่าเอาทุนสำรองเงินตราต่างประเทศไปสู้กับจอร์จ โซรอส ผู้นำเฮดจ์ฟันด์ที่เข้ามาโจมตีค่าเงินบาท แต่แบงก์ชาติไม่ฟัง กระโดดเข้าสู้อย่างไม่คิดชีวิต จนกระทั่งหมดตัว ค่าเงินบาทอ่อนค่าถึง 50 กว่าบาทต่อเหรียญสหรัฐ ภาวะเศรษฐกิจของบ้านเมืองถดถอยหรือเสียหายอย่างหนักแบบไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ทรัพย์สินโดยรวมด้อยค่า ถูกเลหลังขายแบบไม่มีราคา

ปี 2543-44 ม.ร.ว.จัตุมงคล โสณกุล เป็นผู้ว่าการแบงก์ชาติ ไม่บริหารค่าเงินบาท ปล่อยให้ค่าเงินบาทขึ้นลงตามกลไกตลาด และสร้างนวัตกรรม inflation targeting ดร.วีรพงษ์ไม่เห็นด้วยเพราะทำให้พ่อค้าส่งออกและพ่อค้านำเข้าขาดทุนจากอัตรา แลกเปลี่ยนกันถ้วนหน้า ครั้นเปลี่ยนมาเป็นรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร นายกฯทักษิณ

ทำ ตามข้อเสนอ ดร.วีรพงษ์ ปลด ม.ร.ว.จัตุมงคล จากนั้นเริ่มบริหารค่าเงินบาทให้มีเสถียรภาพและอ่อนตัวนิด ๆ พร้อมกับกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศจนกระทั่งเศรษฐกิจเมืองไทยเฟื่องฟู

ฝีมือการบริหารเศรษฐกิจของ พ.ต.ท.ทักษิณสร้างคะแนนนิยมให้กับเจ้าตัวจนถึงทุกวันนี้

2 ผู้ว่าการแบงก์ชาติ ธาริษา วัฒนเกส และประสาร ไตรรัตน์วรกุล ดูแคลนขิงแก่อย่าง ดร.วีรพงษ์ทุกครั้งที่ออกมาเสนอแนะให้แบงก์ชาติให้ความสนใจกับช่องว่าง ระหว่างดอกเบี้ยบาทกับดอลลาร์สหรัฐ อย่าให้ห่างกันมากจนเป็นเหตุจูงใจให้ hot money เข้ามาแสวงหากำไร

ดร.วีรพงษ์ออกปากเตือนมาอย่างยาวนาน แต่แบงก์ชาติไม่สนใจ แถมยังเหน็บแนมว่า มีเครื่องมืออื่นที่ดีกว่าดอกเบี้ยที่จะสกัด hot money จนกระทั่งปัญญาชนบางท่านออกปากถามถึง "เครื่องมืออันลี้ลับ" ของนายประสาร

นับ ตั้งแต่นายประสารเข้ามารับตำแหน่ง แบงก์ชาติยังไม่สามารถแก้ไขปัญหา hot money ได้สำเร็จ อาวุธแต่ละเล่มที่นำมาออกสกัดมีแต่บาดสถานะการเงินของแบงก์ชาติให้ถลำลึก

บาดแผลของแบงก์ชาติสะท้อนผ่านสถานะกองทุนของแบงก์ชาติ ติดลบไม่ต่ำกว่า 500,000 ล้านบาท นี่คือภาระของประชาชนทุกคนที่จะต้องชดใช้ในอนาคต

วันนี้ ดร.วีรพงษ์ออกมาเตือนให้สังคมระมัดระวังภัยจาก hot money กำลังสร้างภาวะฟองสบู่ในตลาดการเงิน หากแบงก์ชาติแก้ไขไม่ได้จะลุกลามไปภาคธุรกิจอื่น

คำเตือนของ ดร.วีรพงษ์สะกดนักธุรกิจกว่า 200 คนที่เข้าไปฟังจนเงียบสนิท นิ่งเงียบเหมือนไม่มีตัวตนอยู่ในห้องนั้นแม้แต่คนเดียวไม่ทราบว่าผู้บริหารแบงก์ชาติจะได้ยินหรือไม่

สถานการณ์ hot money ที่เข้ามาแสวงหากำไรเที่ยวนี้รุนแรงมาก ผมอยากทราบว่า แบงก์ชาติจะใช้เครื่องมืออะไรแก้ปัญหาครั้งนี้ อยากให้ผู้ว่าฯประสารตอบกับสังคมให้ชัดเจน อย่าเอาแต่พูดว่าแบงก์ชาติมีเครื่องมือพร้อมแก้ไข หากมีพร้อมจริงดังว่า hot money คงทำมาหากินกับเมืองไทยไม่ได้ไปตั้งนานแล้ว

สังคมกำลังรอให้แบงก์ชาติตอบโจทย์ของ ดร.วีรพงษ์ หรือปล่อยให้ภาวะฟองสบู่แพร่กระจายไปเรื่อย ๆ เช่นนี้

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
/////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันเสาร์ที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

การวิเทโศบาย ของไทย !!?


วันอาทิตย์ที่ 3 ก.พ.นี้ จะมีงานพระราชทานเพลิงศพ ศาสตราจารย์กนต์ธีร์ ศุภมงคล อดีตเอกอัครราชทูตไทยประจำนิวซีแลนด์ สหพันธ์สาธาณรัฐเยอรมนี ฟินแลนด์ และสหราชอาณาจักร ตามลำดับ

                ศาสตราจารย์กนต์ธีร์ เป็นนักเรียนทุนกระทรวงการต่างประเทศ หลังจากได้รับปริญญาธรรมศาสตรบัณฑิต (เกียรตินิยม) ก็ไปศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส จนจบปริญญาเอก ด้านกฎหมายและประกาศนียบัตรชั้นสูงทางเศรษฐศาสตร์ เริ่มรับราชการในกระทรวงการต่างประเทศตั้งแต่ปี 2483 เรื่อยมาจนได้รับตำแหน่งอธิบดีกรมการเมืองตะวันตก กรมสหประชาชาติ กรมองค์การระหว่างประเทศ และเป็นเอกอัครราชทูตในอีกหลายประเทศ ดังที่กล่าวมา ก่อนที่จะเกษียณอายุราชการในปี 2519

                เดือนสิงหาคม 2525 ศาสตราจารย์กนต์ธีร์ได้มีโอกาสไปเยี่ยมท่านอาจารย์ปรีดี พนมยงค์ ที่ประเทศฝรั่งเศส ในตอนหนึ่งของบทสนทนา ได้มีการพูดคุยกันในเรื่อง “ขบวนการเสรีไทย” ท่านอาจารย์ปรีดีปรารภว่า อยากจะให้อาจารย์กนต์ธีร์เขียนหนังสือเกี่ยวกับเรื่องเสรีไทย ในฐานะที่เป็นผู้หนึ่งที่มีส่วนใกล้ชิดกับขบวนการเสรีไทย เพราะถึงแม้ในเวลานั้นจะมีผู้เขียนเรื่องเสรีไทยกันมากมาย ทั้งคนไทยและต่างชาติ แต่ก็ยังเขียนผิดๆ ถูกๆไม่ทราบเหตุการณ์ที่แท้จริง ได้แต่ฟังคำบอกเล่าสืบต่อกันมา

อาจารย์กนต์ธีร์จึงเสนอว่า ผู้ที่ควรเขียนเรื่องเสรีที่สุด ก็คือตัวท่านอาจารย์ปรีดีเอง เพราะเป็นผู้เดียวที่ทราบทุกสิ่งทุกอย่าง ตัวอาจารย์กนต์ธีร์เองนั้นเพียงได้รับมอบหมายให้ปฏิบัติงานเพียงด้านหนึ่ง เป็นด้านเล็กๆ เท่านั้น แต่ท่านอาจารย์ปรีดีเป็นศูนย์กลางของขบวนการ ทุกสิ่งทุกอย่างต้องผ่านท่าน เพราะฉะนั้นท่านจึงอยู่ในฐานะที่จะเขียนได้ดีที่สุด ซึ่งท่านอาจารย์ปรีดีก็บอกว่า ตัวท่านเองก็เขียนไว้บ้างแล้ว แต่อยากจะให้คนอื่นช่วยเขียนบ้าง ซึ่งท่านยินดีจะช่วยตรวจแก้ให้และเพิ่มเติมเสริมแต่งให้บ้าง

อาจารย์กนต์ธีร์ก็ยอมรับว่า โดยส่วนตัวก็มีความคิดที่จะเขียนเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน โดยกำลังรวบรวมหลักฐานอยู่ และความจริงก็ได้เริ่มเขียนไปบ้างแล้ว คิดว่าจะให้เสร็จทันพิมพ์แจกงานศพของตัวท่านเอง เมื่อได้ยินเช่นนั้น ท่านอาจารย์ปรีดีก็บอกว่า รอนานขนาดนั้นไม่ได้ ควรจะรีบเขียนให้เสร็จเสียตอนนี้ซึ่งท่านยังอยู่ ท่านจะได้ช่วยตรวจแก้และต่อเติมให้ตามที่จำเป็น ถ้าท่านพ้นไปเสียแล้ว ใครจะช่วยข้าพเจ้าได้

ภายหลังรับปากกับท่านอาจารย์ปรีดีและเริ่มลงมือเขียน แทนที่จะเขียนเฉพาะเรื่องเสรีไทยอย่างเดียว อาจารย์กนต์ธีร์ก็ขยายขอบเขตการเขียนออกไปเป็น เรื่องวิเทโศบายของประเทศไทยระหว่างปี 2483 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่อาจารย์กนต์ธีร์เริ่มเข้ารับราชการในกระทรวงการต่างประเทศ ถึงปี 2495 ซึ่งเป็นปีที่ถูกส่งออกไปรับราชการในต่างประเทศในฐานะอัครราชทูตไทยประจำออสเตรเลีย ในช่วงนั้นเป็นระยะเวลาที่มีการผันแปรในการดำเนินนโยบายต่างประเทศของประเทศไทยเป็นอย่างมาก

                พอเขียนไปได้ 22 บท ยังไม่จบดี อาจารย์กนต์ธีร์ก็ได้นำต้นฉบับไปมอบให้อาจารย์ปรีดีที่กรุงปารีส ขอให้ท่านช่วยตรวจสอบ โดยหาได้สังหรณ์ว่า ท่านอาจารย์ปรีดีจะไม่ได้ตรวจสอบตามที่รับปากไว้อย่างมั่นเหมาะ ท่านอาจารย์รับต้นฉบับนี้ไปได้ไม่นาน ก็ถึงอสัญกรรมไปเมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม 2526 ท่านผู้หญิงพูนศุขจึงได้นำส่งต้นฉบับคืนกลับมาให้กับอาจารย์กนต์ธีร์ พร้อมกับแจ้งให้ทราบว่า ท่านอาจารย์ปรีดียังไม่ทันได้มีโอกาสแก้ไขหรือเพิ่มเติมให้เลย  อาจารย์กนต์ธีร์จึงได้นำเอาต้นฉบับนั้นมาเขียนต่อจนจบบทที่ 30 แล้วมอบให้มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จัดพิมพ์เนื่องในโอกาสครับรอบ 50 ปี แห่งการสถาปนาในปี 2527 เป็นหนังสือเรื่อง “การวิเทโศบายของไทย ระหว่างปีพุทธศักราช ๒๔๘๓ ถึง ๒๔๙๕”              

แม้ว่าเหตุการณ์และเรื่องราวในหนังสือดังกล่าวจะเกิดขึ้นเมื่อ 60 กว่าปีที่แล้ว แต่สัจธรรม สารัตถะและหลักการเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในหนังสือเรื่อง “การวิเทโศบายของไทย ระหว่างปีพุทธศักราช ๒๔๘๓ ถึง ๒๔๙๕” ที่อาจารย์กนต์ธีร์รวบรวมเสนอมาล้วนแล้วเป็นประโยชน์แก่ความรู้ความเข้าใจของคนรุ่นหลังในการแก้ปัญหาการต่างประเทศที่ไทยต้องเผชิญด้วยความยากลำบากยิ่งในสมัยนั้นและยังสามารถนำมาเพื่อปรับใช้กับสถานการณ์ในปัจจุบันได้ ดังเช่น

“........ 1. ในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ หลักเสมอภาคเท่าเทียมกันมีอยู่แต่ในนาม ในทางความเป็นจริงแล้ว มหาอำนาจมักจะเอาแต่ใจตน ไม่ยอมผ่อนปรนให้ประเทศเล็กเท่าใดนัก ปัญหาจึงมีว่า บรรดาประเทศเล็กอย่างประเทศไทยจะยอมลอยคอตามกระแสน้ำไปนานเท่าใด เมื่อใดจะหยุดเป็นกังหันให้ลมพัดไปทุกทิศทุกทางเสียที ถึงเวลาแล้วหรือยังที่จะเลิกกระวีกระวาดเอาใจประเทศนั้น ต่อต้านประเทศนี้ อาศัยประเทศหนึ่ง ให้มาช่วยขัดจังหวะอีกประเทศหนึ่ง เป็นการปัดสวะเฉพาะหน้าให้ล่วงพ้นไปโดยไม่คำนึงถึงอนาคตอันยืนนาน ประเทศเล็กไม่น่าจะคิดทะเยอทะยานฝันหวานว่า สามารถใช้ประเทศใหญ่เป็นเครื่องมือ จะอ้าขาผวาปีกไปถึงไหน ถ้าไม่ระวังให้ดีแล้ว จะตกเป็นเครื่องมือของประเทศใหญ่โดยไม่ทันรู้ตัว หรือรู้ตัวก็สายเสียแล้ว อีกประการหนึ่งเด็กที่เลี้ยงไม่โตสักวัน พี่เลี้ยงย่อมจะอิดหนาระอาใจ ขออย่าได้หลงเชื่อว่า ความช่วยเหลือที่คิดว่าได้เปล่านั้นไม่มีข้อไขผูกพัน

                2. การดำเนินวิเทโศบายของไทยก็พยายามเจริญรอยสายกลางเสมอมา ไทยไม่อยากจะเข้าร่วมในการขัดแย้งระหว่างประเทศที่อุบัติขึ้นเป็นระยะๆ โดยเฉพาะระหว่างมหาอำนาจ แต่ก็ไม่วายที่เหตุการณ์ภายนอกบังคับให้ต้องเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเพื่อความปลอดภัยและผาสุกของประชาชน รัฐบาลจำต้องออกนอกทางไปบ้าง แล้วก็กระเสือกกระสนหันกลับมาหาสายกลาง แล้วก็มีเหตุการณ์ทั้งภายในและภายนอกบังคับให้จำเป็นต้องเปลี่ยนวิถีทางเลือก บางที เห็นได้ชัดว่าวิเทโศบายของไทยเป็นไปเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวของผู้ครองอำนาจยิ่งกว่าเพื่อผลประโยชน์ของประเทศชาติอย่างแท้จริง

                3. การเข้าร่วมกับมหาอำนาจนั้นไม่ใช่ของดี บางทีเมื่อต้องพึ่งพาอาศัยเขามาก เขามักจะถือเราเป็น “หมูในอวย” จะต้มยำทำแกงอย่างใดก็ได้ตามใจชอบ ตามใจของเขาไม่ใช่ของเรา เขามิได้ปฏิบัติเช่นนี้กับเราซึ่งเป็นประเทศเล็กอยากได้ความช่วยเหลือจากเขาเท่านั้น แม้แต่กับประเทศใหญ่ ๆ ด้วยกันก็หาได้เคารพหลักเกณฑ์เสมอไปนัก

4. ปัญหาชายแดนของไทยรอบด้านมีอยู่อย่างใดหลายสิบปีมาแล้ว ยังคงมีอยู่อย่างนั้น ฝ่ายเขาสับเปลี่ยนหน้ากันเข้ามาหลายต่อหลายคณะ เรายืนกรานเผชิญอยู่ผู้เดียว หาทางออกกันไม่ได้สักที ข้อสำคัญอยู่ที่ต่างฝ่ายต่างมีความจริงใจต่อกันเพียงใด ถ้าเอาใจเขามาใส่ใจเรา และเอาใจเราไปใส่ใจเขา บางทีจะพอคลี่คลายไปในทางดีได้บ้าง ไม่จำเป็นต้องอาศัยประเทศภายนอกเข้ามาช่วย เพราะผู้มาช่วยย่อมเพ่งเล็งถึงประโยชน์ของเขาเป็นสำคัญยิ่งกว่าของเรา เมื่อสร้างความเป็นมิตรกับเพื่อนใกล้เรือนเคียงไม่ได้ ไฉนเลยจะทำความเข้ากับผู้อยู่ห่างไกลได้สนิท

5. ในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ไม่มีมิตรแท้ ศัตรูแน่ มีแต่ผลประโยชน์เท่านั้น.......”

สุดท้ายผู้เขียนขออนุญาตเติมสิ่งที่จะทำให้ประเทศชาติเสียหายยิ่งกว่า น่ากลัวกว่า ที่ท่านศาสตราจารย์กนต์ธีร์กล่าวถึง คือ “คนขายชาติ” ครับ  

.................................................................

หมายเหตุ : ในบทความสัปดาห์ที่แล้ว เรื่อง “หลักป้องกันความผิดโดยการทักท้วงคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายในการก่อหนี้ผูกพันหรือจ่ายเงินของผู้บังคับบัญชา” ได้มีการพิมพ์ผิดพลาดในข้อความย่อหน้าสุดท้าย ที่เป็นกฎมณเทียรบาล มาตรา ๑๐๖ อันเป็นอมตะสัจธรรมกฎหมายของไทยและของโลก จึงขอแก้ไขให้ถูกต้องตามอักขระต้นฉบับเดิม ดังนี้.....

“อนึ่งพระเจ้าอยู่หัว  ดำรัสตรัสด้วยกิจราชการคดีถ้อยความประการใดๆ  ต้องกฎหมายประเวนีเปนยุติธรรมแล้วให้กระทำตาม  ถ้าหมีชอบจงอาจพิดทูลทัดทาน  ครั้ง ๑ ๒ ๓  ครั้ง   ถ้าหมีฟังให้งดไว้อย่าเพ่อสั่งไปให้ทูลในที่ระโหถาน  ถ้าหมีฟัง  จึ่งให้กระทำตาม  ถ้าผู้ใดมิได้กระทำตามพระอายการดั่งนี้  ท่านว่าผู้นั้นเลมีดพระราชอาชา”

ที่มา.นสพ.แนวหน้า
//////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

วิกฤติคือโอกาสในทางธุรกิจ ทำไมทุนมนุษย์จึงสำคัญ !!?

Fridtjof Nansen, Wikipedia
โดย แบ๊งค์ งามอรุณโชติ
(ว่าที่) อาจารย์ประจำมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้า (ธนบุรี), นักเศรษฐศาสตร์

ผมต้องออกตัวก่อนว่า สิ่งที่จะเล่าวันนี้อาจจะจัดอยู่ใน series เศรษฐศาสตร์ชาวบ้านได้ แต่ในขณะเดียวกันก็จะเป็นอีกบทความหนึ่งที่ไม่ได้พยายามจะนำเสนอทฤษฎีเลย เป็นประสบการณ์ของผู้เขียนล้วนๆ ครับ

เรื่องที่จะนำเสนอวันนี้ก็คือ แง่คิดที่ว่า “วิกฤติและโอกาสทางธุรกิจเป็นเรื่องเดียวกัน” ดูอย่างคำว่า วิกฤติในภาษาอังกฤษ หรือ Crisis นั้นถึงไปค้นหาว่าเชื่อมโยงไปสู่ลาตินคำว่าอะไร ก็จะพบว่าไปพ้องกับความว่า angustum (ซึ่งจะแปลว่าวิกฤติก็ได้ หรือจะแปลว่า ช่องทางหรือโอกาสก็ได้)

แต่กล่าวเช่นนี้ลอยๆ ก็กระไรอยู่ครับ ผมขอยกตัวอย่างของกรณีที่เกิดขึ้นจริงๆ 2 เรื่องให้อ่านครับ (จริงๆ มีมากกว่า 2 เรื่องแต่ด้วยความจำกัดของพื้นที่การเขียน ซักสองก็พอนะครับ)
ลูกค้าบัตรเครดิตกับความรับผิดชอบของเจ้าหน้าที่ธนาคาร

เรื่องแรก เพื่อนของผมสมัครบัตรเครดิตธนาคารแห่งหนึ่ง ปรากฏว่า ด้วยความผิดพลาดบริษัทส่งบัตรมาให้ที่บ้าน แต่ลืมส่งรหัสบัตรมาด้วย เพื่อนผมจึงโทรประสานไปที่ธนาคารและได้รับคำมั่นสัญญาว่าจะจัดส่งมาให้ในเร็ววัน ผ่านไปราวอาทิตย์หนึ่งไม่มีการติดต่อหรือส่งเอกสารที่ตกลงกันไว้มาที่บ้าน เพื่อนผมจึงเดินไปที่ธนาคารแห่งนั้น (ด้วยอารมณ์โกรธพอสมควร ตั้งใจว่าจะไปตำหนิที่สาขา)

เมื่อพนักงานที่รับเรื่องได้ทราบก็ขอเวลาราว 5 นาทีในการโทรศัพท์ หลังจากวางสายลงก็ได้ขอโทษเพื่อนผมและพร้อมกันนั้น ได้เสนอว่า ทางธนาคารจะจัดส่งรหัสไปให้ภายใน X วันและพร้อมกันนั้นทางธนาคารได้โอนเงินค่าเสียเวลา (Timing cost) ที่เพื่อนของผมต้องเดินทางมาดำเนินการที่ธนาคารด้วยตนเอง หลังจากนั้น เพื่อนผมก็กลายเป็นลูกค้าที่ภักดีของธนาคารแห่งนี้เรื่อยมา
Service mind ของเจ้าหน้าที่สายการบินแห่งหนึ่ง

เรื่องที่สอง เป็นกรณีศึกษาที่อาจารย์ของผมเล่าให้ฟังในห้องเรียนเกี่ยวกับสายการบินหนึ่ง ซึ่งประสบอุบัติเหตุเครื่องบินตก โดยทั่วไปแล้ว สายการบินใดที่มีปัญหาเครื่องบินตก สายการบินนั้นจะตกอยู่ในภาวะเสี่ยงทางธุรกิจอย่างมาก ด้วยชื่อเสียงความปลอดภัยที่ด้อยลงและภาพฝังใจของผู้บริโภค ยังไม่นับถึงญาติผู้เสียชีวิตที่อาจจะมองเป็นความผิดของสายการบิน

ทว่า สายการบินที่อาจารย์ผมยกเป็นกรณีศึกษาให้ฟังในห้องเรียนนั้น ทุ่มเททรัพยากรทั้งหมดเพื่อให้ญาติผู้ประสบภัยได้รับข่าวสารอย่างเต็มที่และอำนวยความสะดวกในทุกๆ ด้าน เช่น ตั๋วเดินทางและที่พักเพื่อให้ญาติของผู้โดยสารสามารถเดินทางไปจัดการเกี่ยวกับพิธีกรรมทางศาสนา หรือเพื่อตรวจสอบความปลอดภัยของคนในครอบครัว

การตอบสนองอย่างทันท่วงทีและแสดงให้เห็นถึงความเข้าอกเข้าใจสภาวะความรู้สึกในช่วงเวลาวิกฤตินั้น ทำให้ลูกค้าที่กำลังโกรธเกรี้ยวหรือเสียใจอย่างสุดซึ้ง กลายมาเป็นความผูกพันต่อบริษัทได้ หากเรารู้วิธีการจัดการกับวิกฤติอย่างถูกต้อง

สถานการณ์แย่ๆ กับความรับผิดและความสำนึกในหน้าที่ของเจ้าพนักงาน


ในทางกลับกัน กรณีศึกษาที่แย่นั้น กลับขยายความไม่พอใจเล็กๆ น้อยๆ ไปสู่การขัดแย้งและกลายเป็นความวิกฤติได้ไม่ยาก ยกตัวอย่างเช่น บริษัทขายเฟอนิเจอร์ราคาแพงแห่งหนึ่ง ขายชุดโซฟาราคาหลายหมื่นให้ลูกค้า ปรากฏว่าภายในเวลาเพียงไม่เกิน 1 ปีโซฟาดังกล่าวก็ตกน้ำมันเหนียวเป็นคราบ (เจ้าของคงเสียวว่าจะเฮี้ยนแบบเสาตกน้ำมันหรือไม่)

ทางเจ้าของจึงไปสอบถามกับทางบริษัทว่า จะช่วยสอบหาสาเหตุของการเกิดปัญหานี้ให้หน่อยได้หรือไม่ – ทางบริษัทตอบว่า “ทางบริษัทไม่มีนโยบายรับประกันตัวหนังหุ้มโซฟา ดังนั้น ทางเราจะไม่สืบหาสาเหตุ มีเพียงทางเลือกที่ว่า ท่านจะเสียค่าซ่อม หรือไม่ซ่อมเท่านั้น”

การตอบสนองเช่นนี้ ด้านหนึ่งทางบริษัทไม่มีวันได้ทราบเลยว่ากระบวนการผลิตมีปัญหาหรือไม่ และที่แย่ไปกว่านั้นคือ การตอบสนองเช่นนี้ผลักดันให้ปัญหาของผู้บริโภคในเรื่องโซฟาราคาแพงพังก่อนกำหนด กลายเป็นความไม่พอใจเรื่องความรับผิดชอบของบริษัท (ที่แม้จะหาสาเหตุว่าเกิดจากอะไรก็ไม่ยอมทำ)

อีกตัวอย่างหนึ่งที่ชัดเจนไม่แพ้กันคือ มีสายการบินสายการบินหนึ่งรับจองตั๋วผู้โดยสารระหว่างประเทศโดยไม่ได้ให้ข้อมูลล่วงหน้าว่า มีเก้าอี้นั่งบางช่วงของเครื่องบินที่ไม่สามารถเอนหลังได้ เมื่อผู้โดยสารท่านนั้นขึ้นเครื่องจึงทราบแต่ก็ไม่ได้ว่าความอะไรทนจนเครื่องบินขึ้นฟ้าและสัญญาณรัดเข็มขัดดับลง จึงเดินไปนั่งบริเวณที่เอนหลังได้และว่างอยู่

ปรากฏว่าแอร์โฮสเตสเดินมาห้ามและบอกว่า ที่นั่งดังกล่าวราคาแพงกว่าที่คุณจองเอาไว้ ดังนั้นไม่สามารถย้ายมานั่งได้ (และที่นั่งอื่นๆ ก็เต็มหมดแล้ว) ผู้โดยสารที่ไม่ได้ติดใจจะตำหนิอะไรตั้งแต่ต้น รู้สึกโกรธแล้วถามไปว่า “ทำไมจัดที่นั่งคุณภาพแย่แบบนี้มาให้ลูกค้า โดยไม่มีการให้ข้อมูลลูกค้าล่วงหน้าว่า มีบางที่นั่งไม่สามารถเอนเบาะได้”

พนักงานคนดังกล่าว หันมากล่าวด้วยน้ำเสียงหน่ายใจว่า “จะบ่นเอาอะไรกับที่นี่ ก็ไม่มีประโยชน์หรอกนะคะ หากจะบ่นก็เชิญกับทางบริษัท”

ทั้งสองเรื่องที่พลิกวิกฤติเป็นโอกาส และ สองเรื่องที่ พลิกวิกฤติกลายเป็นนรก นี่อาจจะถกเถียงกันได้มากถึงความสมเหตุสมผล (Justification) ของตัวละครที่เป็นลูกค้าและผู้ให้บริการ แต่ประเด็นหลักของบทความนี้ไม่ได้ต้องการจะถกเถียงว่าใครผิดหรือถูก และอันที่จริงแล้วในการบริหารภาวะวิกฤติมันไม่ได้มีแก่นสารอยู่ที่ผิดหรือถูกเลย

คำถามสำคัญอยู่ที่ว่า เราจะบริหารสภาวะดังกล่าวอย่างไร ให้กลายเป็นด้านบวกของความสัมพันธ์ระหว่างบริษัทและลูกค้า ซึ่งสองกรณีหลังทำได้แย่มากในแง่นี้ จนกระทั่งทำให้ผมนึกถึงคำพูดของผู้บริหารบริษัทรถยนต์หรูท่านหนึ่งเคยกล่าวว่า “เป็นเรื่องน่าเสียดายอย่างมากที่เรามีเทคโนโลยียานยนต์ที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งของโลก แต่เราไม่สามารถหาคนที่ดีที่สุดได้ง่ายนัก”

ท่ามกลางวิกฤติและโอกาสทางธุรกิจนี้ ตัวพลิกผันมิใช่ทุนหรือเทคโนโลยีแต่อย่างไร แต่เป็น “ตัวพนักงานที่ต้องรับมือกับสถานการณ์โดยตรง” (เช่น นายธนาคาร หรือแอร์โฮสเตส) การแสดงด้านที่เหมาะสมต่อลูกค้า รวมไปถึงการเลิกนิสัยหลีกเลี่ยงที่จะรับผิดไว้ก่อน และการแสดงความเข้าอกเข้าใจต่อต่อปัญหาของลูกค้า จะช่วยแปลงวิกฤติให้เป็นความประทับใจ

แต่การพลิกเปลี่ยนวิกฤติเป็นโอกาสนี้จะเกิดขึ้นไม่ได้เลยหาก… พนักงานของบริษัทไม่รู้สึกรับผิดรับชอบต่อชื่อเสียงของบริษัทเหมือนพนักงานธนาคารในเรื่องที่หนึ่ง แต่กลับแสดงด้านร้ายและทอดทิ้งปัญหาของลูกค้าดังปรากฏในกรณีของแอร์โฮสเทจสาว คุณว่าเช่นนั้นไหมครับ?

ที่มา.Siam Intelligence Unit
---------------------------------------------------------------------------------------------------

วันศุกร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

คิดถึงชนบทไทย !!?


คิดถึงชนบทไทย
เมื่อสมัยยังเป็นเด็ก เคยคิดเสมอว่าชีวิตจะผูกติดกับแสงสีเสียง และความศิวิไลส์ของเมืองหลวง และมีความหลงใหลได้ปลื้มกับชีวิตในเมืองหลวง เพราะไม่ชอบความเงียบสงัดในชนบท ทั้งๆที่เป็นเด็กบ้านนอกโดยกำเนิด
   
เมื่อมาใช้ชีวิตในเมืองหลวงทั้งต่างประเทศและในประเทศนานๆ ก็เกิดความเบื่อหน่ายต่อชีวิตในเมืองหลวง เบื่อหน่ายกับความสับสนความวุ่นวายของเมืองหลวง  ตัณหาเกิดกลับ จึงมีความคิดอยากอยู่เงียบๆกับธรรมชาติในชนบทไทย
   
คิดถึงชนบทไทย คนไทยมีน้ำใจ สมัยก่อนเดินขึ้นบ้านไหนมีข้าวให้กิน ในขณะที่เมืองหลวงขอเข้าห้องน้ำเขายังไม่ให้เข้า ต้องวิ่งกันจนหน้าซีด
   
ถ้ามีโอกาสจะต้องไปอยู่ชนบท ใช้ชีวิตกับความวิเวก ใช้ชีวิตกับธรรมชาติ เพราะความสุขของมนุษย์ เกิดได้จากธรรมชาติมากกว่าการปรุงแต่ง
   
แต่ชนบทไทยในปัจจุบันก็ต้องเลือกหน่อย เพราะส่วนหนึ่งได้กลายเป็นแหล่งทุนนิยมไปแล้ว เมื่อความเจริญเข้าไปซื้อชีวิตของคนไทยให้กลายเป็นพวกทุนนิยมไปหมด
   
บัดนี้ตามชายทุ่งเริ่มกลายเป็นบ้านจัดสรร และที่ดินอันเป็นเรือกสวนไร่นา นายทุนซื้อเอาไว้หมด
   
คนกรุงเทพฯที่กระเป๋าหนักทั้งหลาย เขาเอาเงินออกไปใช้ตามชนบทแบบไม่เสียดายกัน อยากซื้อที่เท่าไรก็ซื้อ เขาไม่ต่อกันแล้ว
   
เรื่องที่ดินมันไม่สำคัญ แต่สำคัญที่เขาซื้อจิตใจของชาวบ้าน เมื่อเขามีเงินมากกว่าชนิดที่ชาวไร่ชาวนาไล่เขาไม่ทัน เสมือนหนึ่งผักตบลอยอยู่เหนือน้ำ น้ำขึ้นเท่าไร ผักตบก็ยังลอยอยู่เหนือน้ำ
   
ชาวนาขายข้าว ขายที่ได้เงินก็ใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่าย ซื้อโทรทัศน์จอแบน ตู้เย็นแบบละลายน้ำแข็งอัตโนมัติ โทรศัพท์มือถือไอโฟน ไอแพด ตลอดจนซื้อรถเครื่องให้ลูกให้หลาน
   
เมื่อความเจริญเข้าถึง ทำให้ภาพของชนบทใกล้เมืองเปลี่ยนไป ชนบททั่วไปก็เริ่มเปลี่ยน
 เศรษฐีประเภทรวยใหม่ ตอนนี้มีมากเหมือนดอกเห็ด
 เมื่อก่อนเป็นชาวไร่ชาวนาขี่ควายเป่าขลุ่ยอยู่แถวปทุมธานี นนทบุรี
 เมื่อที่ดินบูม ถนนตัดผ่านที่นา จึงเลิกอาชีพชาวนาชาวสวน ขายที่ขี่เบนซ์ ส่งลูกไปเรียนเมืองนอก กลายเป็นคหบดีตีกอล์ฟไปในพริบตา
   
แต่คนพวกนี้ไม่รวยจริง ที่เป็นเศรษฐีจริงๆ คือพวกที่ไปกว้านซื้อที่จากชาวนาชาวไร่ แล้วเอามาตัดขายต่อ หรือสร้างคอนโดทำบ้านจัดสรร ฯลฯ
   
อยู่เมืองหลวงนานๆ ก็เริ่มเบื่อความจำเจ เบื่อความสับสนและความวุ่นวายของบ้านเมือง  เบื่อความเอารัดเอาเปรียบของคนส่วนหนึ่ง
   
และที่เบื่อที่สุดคือ ความน่ารักของนักการเมืองบางคน เวลาหาเสียงใครขออะไรให้หมด ใครขออะไรทำหมด ไม่ว่าต้มก๊วยเตี๋ยว ผัดราดหน้า ตำส้มตำ ทำได้หมด เมื่อทำเสร็จยังป้อนให้อีกด้วย บางคนไปหอมแก้มเขา บางคนให้เขาหอมแก้ม ไม่ทราบว่าจะเลือกเขาเข้าไปตำ หรือเข้าไปหอมแก้ม
   
เหตุการณ์เช่นนี้ได้ปรากฏขึ้นเป็นรายวันมากขึ้น เป็นสาเหตุที่ทำให้ไม่อยากดูโทรทัศน์ ไม่อยากอ่านหนังสือพิมพ์ บอกตรงๆว่า เบื่อจริงๆ
   
จึงทำให้เริ่มคิดถึงความวิเวกจากลมทุ่ง เสียงนกร้อง ภาพสุดลูกหูลูกตา อันเขียวขจีคือข้าวและนิวไม้ที่อยู่ห่างออกไป เพียงเดินแค่เคี้ยวหมากจืดของคนรุ่นพ่อรุ่นแม่
   
สมัยเด็กมีเพื่อนรุ่นเดียวกันหลายคน ชอบแก้ผ้าเล่นน้ำฝนตอนฝนตกหนักชอบว่ายน้ำ
   
เข้ากรุงเทพฯตั้งแต่ยังเป็นเด็ก กลับไปอีกทีตอนโรงเรียนปิดเทอมใหญ่ อายุเกิน ๑๐ แล้ว อาศัยอยู่ที่บ้านญาติริมแม่น้ำเจ้าพระยา ปากคลองบางโพธิ์ อำเภอเมือง ปทุมธานี
   
เมื่อน้ำเหนือหลาก ชอบเกาะเรือโยงให้เขาไล่แล้วพุ่งหลาวลงน้ำ ส่วนใหญ่ชอบขึ้นหลังคาเรือเมล์ขนาดใหญ่ของบริษัทขนส่งที่แล่นระหว่างกรุงเทพฯ-บ้านแพน แล้วแข่งกันกระโดดมัดหมูที่ท้ายเรือ
   
บ้านที่ไปขออาศัยอยู่ หน้าบ้านขายก๊วยเตี๋ยวและกาแฟ ทุกวันจะมีคนเล่นหมากรุกจีนและคุยกันเรื่องสัพเพเหระ ส่วนใหญ่จะคุยกันเรื่องการเมือง ฟังรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง
   
ส่วนหลังบ้านเป็นโรงเรียนจีนชั้นประถมศึกษา สอนทั้งภาษาไทยและจีน หน้าโรงเรียนเป็นสนามหญ้า ครั้นถึงคืนเดือนหงาย ท้องฟ้าสว่างดังกลางวันไร้เมฆหมอก อากาศเย็นสบาย เพราะลมพัดเบาๆ พวกเด็กๆจะออกมาเล่นกันที่สนามหญ้า
   
ผู้ใหญ่นัดกันจับกลุ่มคุยกันทุกเรื่อง เท่าที่จะหยิบยกมาคุยกันและวิพากษ์วิจารณ์ การตั้งวงคุยกันของผู้ใหญ่ นั่งที่สนามหญ้าโดยปูด้วยเสื่อและมีขันน้ำฝน มีกลีบกุหลาบโรยในขัน และมีจอกเล็กๆวางไว้ข้างๆ เพื่อแก้กระหายเมื่อถึงวาระถกเถียงกัน
   
เรื่องที่เถียงกันมากที่สุดคือ เรื่องเปลี่ยนแปลงการปกครองไปจนระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย ตลอดจนการวิพากษณ์การทำงานของรัฐบาลจอมพลป.พิบูลสงคราม และนักการเมืองที่ทุจริตโกงกินบ้านเมือง และเลยไปถึงเรื่องของความบันเทิง หมัดมวย ฯลฯ
   
ผู้ใหญ่เขาคุยกันนานและครื้นเครง เมื่อเวลาใกล้ ๓ ทุ่ม พวกแม่บ้านจะเตรียมข้าวต้มเลี้ยงกัน แต่ย้ายที่กินมาบนหลังคาเรือส่งน้ำแข็ง ซึ่งจอดอยู่ที่หน้าร้านขายก๊วยเตี๋ยวกาแฟ นั่งกินข้าวต้มไปดูน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาไป มีเรือพ่วงประปราย  เป็นบรรยากาศชนบทอย่างแท้จริง
   
ข้าวต้มที่เลี้ยงกันนั้น ถ้าไม่เป็นข้าวต้มเครื่องก็เป็นข้าวต้มกับ
 ข้าวต้มเครื่องเป็นข้าวต้มกุ้ง ปลา กุ้งปลาหาง่ายจับขึ้นมาจากแม่น้ำสดๆยังดิ้นได้
 ส่วนข้าวต้มกับก็มีซีเซ็กฉ่าย  หัวไชโป๊วผัดไข่ ยำกุ้งแห้ง ยำไข่เค็ม ผัดผักบุ้ง ฯลฯ
ไข่จอมพลป. ฟองละ ๒๕ สตางค์เท่านั้น ถือเป็นอาหารของรากหญ้า ส่วนกุ้งแม่น้ำกิโลละ ๑๓ บาท ทุเรียนก้านยาวจากสวนนนทบุรีลูกละ ๑๐ บาท เป็นของบริโภคของคนมีตังค์
   
คุยกันไป หยอกล้อกันไป กินกันไป ดึกดื่นไม่เกี่ยง  ถ้ายังไม่จบ วันรุ่งขึ้นนัดกันใหม่
   
บางทีนัดกันตั้งแต่เย็นโดยสมาชิกสภาทุ่งจะถืออาหารมาคนละจาน เจ้าบ้านเพียงแต่หุงข้าวหรือตำน้ำพริกมะเขือกรอบ เหยาะแมงดาพร้อมเครื่องจิ้ม มีต้นหอมดอง ผักเสี้ยน และปลาช่อนย่าง หนังกรอบเนื้อในฟู นิ่มยังกะสำลี พร้อมน้ำปลาพริกขี้หนู บีบมะนาว มีหอมหรือกระเทียมซอยใส่ อร่อยกว่าภัตตาคาร ราคาย่อมเยาว์ ถ้าตั้งวงกันก่อนแดดร่มลมตก ก็หมายความว่า คืนนั้นต้องมีมโหรี
ที่แปลกที่สุดคือกินอาหารไทย แต่เล่นมโหรีจีน
   
ถ้าวันไหนมีมโหรีจีนสภาทุ่งจะมาตั้งวงที่ร้านก๊ยวเตี๋ยว ซึ่งตั้งอยู่ตรงคุ้งน้ำพอดี จะส่งเสียงตามสายลมไปไกลทีเดียว
   
บรรยากาศแบบนี้ที่ไหนก็หาไม่ได้อีกแล้ว หรือวันไหนวัดใกล้บ้านมีงาน ก็ยกทีมไปคุยต่อที่วัดพร้อมกับโขกหมากรุกด้วย บางครั้งโขนถูกม้ากินกลางกระดาน ก็เฮฮากันเสียงดัง
   
ในแวดวงนักคุยสมัยนั้น มีรุ่นพ่ออยู่คนหนึ่งชื่อ “น้าแดง” เป็นเจ้าของเรือเครื่องรับจ้างลากเรือ ทุกครั้งที่ตั้งวงน้าแดงจะแวบมาร่วมเป็นประจำ พร้อมอาหารติดมือ น้าแดงเป็นคนชอบอ่านวรรณคดี ที่ชอบมากคือ “สามก๊ก” น้าแดงรู้ด้วยว่า คนที่เขียนเรื่องสามก๊กชื่อ “หลอกว้านจง”
   
น้าแดง บอกว่า “เรื่องสามก๊กมีตัวละครที่สำคัญอยู่ ๓ ตัว คือโจโฉ เล่า ปี่ และขงเบ้ง โจโฉแม้จะเก่งเฉียบขาดขนาดไหน ก็ยังเป็นรองจากขงเบ้ง เล่าปี่ก็เป็นรองโจโฉ แต่เก่งทางจิตวิทยา สามารถใช้ขงเบ้งดำเนินการทางการเมืองได้จนวาระสุดท้าย โจโฉเป็นคนเก่ง มีความสามารถที่จะปกครองคนทั้งโลก แต่อีกภาพหนึ่งคือโจโฉมีความชั่วร้ายที่จะทำให้คนเดือดร้อนได้ทั้งโลก”
   
สมัยก่อน(๕๖ ปีแล้ว) ภาพยนตร์ละคร หาดูยาก มีก็แต่ลิเกกับรำวง ลมหนาวโชยมา อากาศชนบทสดชื่น ก็จะนัดกันมีรำวง โดยหนุ่มจากหมู่บ้านกับสาวอีกหมู่บ้าน เสียงกองโทนรำมะนาดังมาตามสายลมไพเราะมากทีเดียว นักร้อง ร้องเพลงสากลประยุกต์เป็นเพลงรำวงในจังหวะต่างๆ เช่นเพลง “เสียงครวญ”ของสมยศ ทัศนพันธ์ ที่ฟังแล้วใจหาย ดังว่า“เสียงครวญเรียกหา ตามสายลมพลิ้วมา เหมือนดั่งจะพาใจมั่น พอฟังไปเสียงก็คลาย...........” ไพเราะจับใจ หาที่เปรียบยาก
   
เพลงของกรมโฆษณาการ (ต่อมาเป็นกรมประชาสัมพันธ์) ทำนอง เอื้อ สุนทรสนาน เนื้อร้อง ชอุ่ม ปัญจพรรค์ ดังว่า“นกบินกลับรัง แต่ตัวฉันยังนั่งคอยคู่...............” ฟังหวานใจลอยจนหายไปกับความรู้สึก จนจำไม่ได้ว่าตัวเราขณะนั้นอยู่ที่ไหน
   
เพลง “เจ้าสาวชาวไร่” ซึ่งถือเป็นเพลงแรกของเพลงลูกทุ่ง ประพันธ์โดยเหม เวชกร ร้องโดยคำรณ สัมปุญญานนท์ ดังว่า“โอ้เจ้าสาวชาวไร่ ไปไหนกันหนอ ตัดผมต้นคอ ดูลออสำอางตา......”
   
บรรยากาศแบบนี้ ปัจจุบันเราจะหาได้จากไหน เพราะไม่ว่าจะไปไหน มีแต่เสียงนินทา เป็นเพลงฮิตยอดนิยม หรืออาจเป็นเพราะเรามาจมอยู่ในปลักของการต่อสู้ที่เอารัดเอาเปรียบทางสังคมที่ไม่เป็นธรรมจากการยึดถือเงินเป็นอำนาจ
   
สังคมกำลังเปลี่ยนไปจากสังคมที่เกิดจากน้ำใจเป็นสังคมที่เอารัดเอาเปรียบ และเอาชนะกันด้วยเล่ห์เหลี่ยม ซึ่งมันได้เกิดจากสิ่งแวดล้อมโดยเฉพาะประเทศที่มีการปฏิวัติทางอุตสาหกรรม โดยไม่มีการปฏิวัติทางด้านจิตใจ ตรงจุดนี้แหละที่เริ่มคิดถึงชนบทไทย


ที่มา.สยามรัฐ
/////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันพฤหัสบดีที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2556

คนไม่มีสิทธิ์ !!?


โดย สุชาฎา ประพันธ์วงศ์

น่าเสียดายที่ไม่มีโอกาสได้กากบาทเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครในวันอาทิตย์ที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2556 เนื่องจากย้ายสำมะโนครัวออกจากชาวเมืองหลวงไปเป็นคนชานเมืองที่มีรั้วชิดติดกันแต่ไม่มีสิทธิ์ ได้แต่เฝ้าติดตามการลงพื้นที่หาเสียงของผู้สมัครที่ขยันขันแข่ง เข้าใจงัดกลเม็ดแพรวพราวเรียกเรตติ้งกันน่าดู แม้บางครั้งจะกลายเป็นตัวตลกก็ไม่สน ขอให้เป็นข่าวก็พอเพื่อขอคะแนนจากจำนวนผู้มีสิทธิ์ลงคะแนนทั้งหมด 4,333,157 คน (ชาย 1,997,113 คน หญิง 2,336,044 คน)

มาดูวิธีหาเสียงที่เหนือธรรมชาติของแต่ละคนกัน ไม่ว่าจะเป็นคุณชาย (ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม.เบอร์ 16) และอดีตนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ (พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ เบอร์ 9) ที่เดินดินกินข้าวแกง กลายเป็นภาพสงวนที่จะได้ชมเฉพาะช่วงหาเสียงเท่านั้น ส่วนกิริยามารยาทนี่ไม่ต้องพูดถึง ไหว้ทุกที่ทุกคนตั้งแต่ปากซอยยันท้ายซอย แม้แต่เสาไฟฟ้าก็ยังไหว้ได้ เป็นเรื่องธรรมดาสามัญของผู้สมัครไปเสียแล้ว

ลองมาดูสโลแกนหาเสียงของแต่ละคนก็ไม่ธรรมดา พล.ต.อ.พงศพัศ อดีตโฆษก สนง.ตำรวจแห่งชาติ ชูการทำงาน "อย่างไร้รอยต่อ" มีแฟนคลับช่วยโปรโมตต่อว่า คนไทยได้หลับเต็มตื่นนอนหลับสบายอย่างแน่นอน ส่วนคุณชายคลอดสโลแกนรักโลก "รักกรุงเทพฯ ร่วมสร้างกรุงเทพฯ" เรียกคะแนนเสียงจากคนกรุงฐานเสียงเดิมแบบเข้าใจกัน ไม่ต้องพูดอะไรมาก

แต่คนที่พลิกวิกฤตเป็นโอกาส มองเห็นช่องทางโปรโมตตัวเองจากกรณี 2 แคนดิเดตจากพรรคเพื่อไทยกับพรรคประชาธิปัตย์ รีบช่วงชิงนำเสนอตัวเองเป็นผู้สมัครอิสระ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส เบอร์ 11

ผู้สมัครแห่งความปรองดอง บอกว่า "เลือกประชาธิปัตย์ก็ทะเลาะกับเพื่อไทย ถ้าเลือกเพื่อไทยท่านตรวจสอบได้หรือไม่...แต่ผมตรวจสอบได้"

ครั้นกลับมาดูโพลสำรวจความเห็นของคนกรุงแล้ว สิ่งที่ชาวบ้านอยากเห็นผู้ว่าฯแก้คือ ปัญหาปากท้อง สินค้าราคาแพง และปัญหารถติด และยังชื่นชอบผู้สมัครที่สังกัดพรรคการเมือง มากกว่าผู้สมัครอิสระ

ส่วนบรรยากาศที่สร้างสีสันให้การเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.คึกคักเป็นพิเศษในโลกโซเชียลเน็ตเวิร์กที่สร้างหน้าเพจเชียร์และแช่งกันอย่างสนุกสนาน รักใครชอบใครก็กด Like แต่จะเลือกหรือไม่นั้นอีก

เรื่องหนึ่ง และคอยลุ้นคอยเชียร์ว่าใครจะชนะ

ไม่เหมือนกับ "กรณ์ จาติกวณิช" เอาตำแหน่งรองหัวหน้าพรรค ภาค กทม.เป็นเดิมพันหาก ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์แพ้การเลือกตั้งในครั้งนี้ ดังนั้นคุณชายจึงแพ้ไม่ได้

เช่นเดียวกับกองเชียร์แต่ละฝ่ายต่างพากันออกมาตีฆ้องร้องป่าวราวกับจะไปออกรบ แสดงวิสัยทัศน์เฉียบคมแบบเชือดเฉือนสติปัญญาผู้อื่นประหนึ่งว่าคิดได้อยู่คนเดียว ใครที่คิดต่างจากนี้ไม่ใช่คนกรุงเทพฯ

โดยลืมไปว่า กรุงเทพมหานครเมืองฟ้าอมรที่ฉาบไว้อย่างสวยหรูนั้นเป็นเพียงฉากหน้าบังความสกปรกโสมมที่หมักหมมกันมายาวนาน ควรถึงเวลาทำความสะอาดครั้งใหญ่ได้แล้ว

แต่ด้วยระยะเวลาการทำงาน 4 ปีของผู้ว่าฯ กทม. แทบมองไม่เห็นแสงที่ปลายอุโมงค์ว่าใครจะลุยเข้าใส่ปัญหากล้าแก้แบบไม่หวงและห่วงคะแนนนิยม กล้าขยับเขยื้อนยอมเจ็บตัวบ้าง เพราะการเปลี่ยนแปลงย่อมต้องเกิดแรงเสียดทานเป็นเรื่องปกติ

ดูเหมือนทุกพรรคและทุกคนจะพยายามประคองคะแนนนิยมของตนเองไม่ให้หกกระเด็นออกจากแก้ว แล้วแบบนี้ความหวังจะได้เห็นการเปลี่ยนแปลงของ กทม.คงต้องฝันกันต่อไป

เพราะในสนามเลือกตั้งตอนนี้มีแต่ พระเอก นักบุญ มารยาทงาม ที่เดินขายฝันให้คนกรุงเทพฯ กราบกรานขอคะแนนเพื่อเข้าไปนั่งเก้าอี้ผู้ว่าฯกรุงเทพมหานคร

สุดท้ายก็ความจำสั้น จำไม่ได้ว่าสัญญาอะไรไว้บ้าง

ส่วนหน้าตาผู้ว่าฯ กทม.จะเป็นอย่างไรนั้น ขอฝากความหวังไว้ที่ชาวกรุงผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งกว่า 4 ล้านคน ช่วยกากบาทเลือกผู้แทนเผื่อคนที่อพยพเข้ามาใช้ชีวิตในเมืองหลวง แต่ไม่มีสำมะโนครัวจำนวนมากกว่าคนมีสิทธิ์เลือกตั้งถึง 2 เท่าด้วยละกัน

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
///////////////////////////////////////////////////////////

วันพุธที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2556

สงครามจากข้างนอก..ศึกจากข้างใน !!?


โดย:วีระศักดิ์ พงศ์อักษร

ศึกที่น่ากลัวมากสุด...คือศึกจากภายใน ซึ่งนั้นหมายถึงทั้งในประเทศและจิตใจ เพราะหากเราสามารถเอาชนะความรู้สึกในใจตัวเองได้

ย่อมเป็นชัยชนะที่สูงสุด เช่นกันหากเราสามารถแก้ปมความขัดแย้งในประเทศได้ ประเทศจะสดใสมากกว่านี้"

ขณะที่ศึกในประเทศย่อมหนีไม่พ้นความขัดแย้งคนในชาติ...นอกจากยังไม่เห็นทิศทางสดใสแล้ว ตรงกันข้ามมีทิศทางรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ

เพราะสังคมไทย ตอนนี้เหมือนคนที่ยืนอยู่ปากเหว ผลักเพียงเบาๆ ก็หายนะแล้ว!

ยิ่งได้ยินข่าว(ลือ) แต่ละฝ่ายหันไป "ฝึกอาวุธ" เตรียมพร้อมสำหรับการปะทะศึกใหญ่ในอนาคตแล้ว... "น่าวิตกยิ่ง" !!!

เพราะหากในประเทศไทยยังจัดระเบียบไม่ลงตัวแล้ว เมื่อเผชิญกับศึกจากข้างนอกแล้ว ประเทศจะยิ่งอ่อนไหว ไม่ว่าจะเป็นปมทางเศรษฐกิจ ที่โอกาสโดยถล่มจาก "สงครามค่าเงิน" ....ความอ่อนไหวจากคดีเขาพระวิหาร ตั้งแต่เม.ย.2556 ซึ่งยังไม่มีใครประเมินได้ว่า จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง จากการตัดสินของศาลโลก

เริ่มจากปัจจัยศึกภายใน...
หากจะประเมินกันแล้ว บารมีของนายกรัฐมนตรี "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร "..เด่นชัดขึ้น ส่วนหนึ่งเพราะที่ปีที่แล้ว เริ่มจากฐานความคาดหวังที่ต่ำมาก จากภาพลักษณ์ "หุ่นเชิด"

1 ปีที่ผ่านมาประชาชนยอมรับมากขึ้น ยิ่งมีกระแสข่าวออกอาการ"ดื้อ"กับพี่ชายบ้าง ยิ่งได้คะแนนนิยม และหากการปรับคณะรัฐมนตรี ที่กำลังเกิดขึ้นนั้น กิตติรัตน์ ณ ระนอง ยังอยู่ในตำแหน่ง ก็จะเป็นการการันตีบทบาทของตัวเองให้เด่นชัดมากขึ้น แม้ว่าโดยภาพรวม"คนไกลบ้าน"ยังเป็นผู้กุมชะตากรรมของรัฐบาลก็ตาม

ปมการแก้ไขรัฐธรรมนูญและการร่างกฎหมายนิรโทษกรรม คือ "เชื้อไฟ" ก้อนใหญ่ ที่จะสุมให้ความขัดแย้ง บานปลายและลงลึกมากขึ้น บนสภาวการณ์ที่ความไว้วางใจของคนในชาติตกต่ำอยู่ก่อนแล้ว

ถามว่า..รัฐธรรมนูญปัจจุบันหรือ การไม่มีร่างกฎหมายนิรโทษกรรม เป็นอุปสรรคต่อการบริหารประเทศ หรือขัดขวางแผนลงทุน 2 ล้านล้านบาทหรือไม่..?

เปล่าเลย ขณะเดียวกันกำลังไปได้สวย...

คนที่บริหารประเทศอยู่ไย ต้องดิ้นรนสร้างแรงกดดัน ข้อจำกัดให้กับ "ตัวเอง" ...เพียงแต่นายกรัฐมนตรี จะทนทานต่อแรงกดดันจาก "บางคน" และการทวงการบ้านจากกลุ่มคนเสื้อแดง ได้มากน้อยแค่ไหน

เพราะทราบดีว่า..หยิบทั้งสองเรื่องขึ้นมาเมื่อไหร่นั้น ...เสี่ยงจะวุ่นวายและกระทบต่อเสถียรภาพรัฐบาลได้ง่าย
หาก "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" ไม่เชื่อก็ลองหยิบขึ้นมาพิจารณาดูเองแล้วกัน

เมื่อดูปมศึกภายในประเทศ ที่คาดจะ "วุ่น" ช่วงกลางปีนี้นั้น ก็น่าจะสอดรับกับคดีเขาพระวิหาร ที่ศาลโลก จะพิจารณาในระยะเวลาใกล้เคียงกัน ซึ่งหากให้อ่านใจรัฐบาล ดูเหมือนว่า "จะถอดใจ" ...หาทางลงรับความพ่ายแพ้ตั้งแต่ยังวไม่ได้สู้ด้วยซ้ำ

เรื่องที่เกี่ยวกับความเป็นชาติ "อ่อนไหวยิ่ง" !!!

ที่สำคัญหาก ประเทศไทยต้องเผชิญศึกจากสงครามค่าเงินบาท เข้ามาผสมโรงด้วย "ยิ่งน่าสะพรึงกลัว" เพราะโอกาสที่จะเกิดขึ้นก็ไม่น้อยไปเหมือนกัน เนื่องจากเมื่อหันมาดูมาตรการของธนาคารกลางหลายประเทศ เริ่มจากธนาคารกลางสหรัฐ ธนาคารกลางญี่ปุ่นและอีกหลายประเทศแล้ว "ทำเหมือนกันหมด" ...ปั๊มเงิน

เพียงแต่เม็ดเงินที่อัดฉีดออกมานั้นล้วนทะลักมายัง "เอเชีย" ...ซึ่งนั้นหมายความว่า "ไทย" เป็นเป้าหมายอันดับแรกๆ ของ "นักเก็งกำไร"

บทเรียนสยอง!! เมื่อปี 2540 ไม่มีใครอยากให้เกิด..แต่ก็อย่าประมาท และการป้องกันที่ดีที่สุด คือสร้างภูมิคุ้มกันตัวเอง อย่าทำให้ข้างในอ่อนแอ

นี้คือประเทศไทย..หลังจากวันนี้!!!

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ลอกคราบ !!?


ลอกคราบ. ทับรอยเดิม
เหมือน “มาร์ค” อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ที่ยังใหญ่มะล่ะเทิ้ม
วางเดิมพัน ถ้าแพ้เลือกตั้งแก่ “ปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ไขก๊อก ลาออกพ้นเก้าอี้
เมื่อแพ้หมดสภาพ.. ยัง“กลืนน้ำลาย” กลับมาเป็น “หัวหน้าพรรค” ไม่อับไม่อายเสียนี่
เหมือนกับ “ดอน” กรณ์ จาติกวณิช เกรงว่าหัวใจจะไม่ช่วยหาเสียงให้กับ “คุณชายหมู” ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร จริง..จึงลั่นวาจาเลือกตั้ง “ผู้ว่าฯ”แล้วแพ้ ขอลาออกจากหัวหน้าพรรคเลยนะ
ถ้าแพ้แล้วนะครับ...อย่าได้หันหลังกลับ..มารับตำแหน่งอีกเชียวฮะ

--------------------------------------

หัวหมอ ต่อข้อกฎหมาย
ฉะนั้น, “ธาริต เพ็งดิษฐ์” อธิบดีกรมดีเอสไอ ต้องทำกฎหมายให้ศักดิ์สิทธิ์ เข้าไว้
อย่าให้ “นักการเมือง” อาศัย “ข้อกฎหมาย” มาเตะถ่วง ดำเนินคดี
อาศัยความเป็น “หมอความ” เล่นเชิง เพื่อกลบเกลื่อน.. ต้องเล่นงาน ให้จั๋งหนับกว่านี้
นักการเมืองไม่มีอภิสิทธิ์ เมื่อทำผิด “ดีเอสไอ” ต้องเร่งส่งฟ้อง กันเสร็จสรรพ
ร้องว่าดีเอสไอกลั่นแกล้ง..หวังใช้กฎหมายพลิกแพลง..ต้องแจ้งความเพิ่มขอรับ

---------------------------------------

อย่าประมาท
นักการเมือง ที่ไม่ได้เข่นฆ่าประชาชน ล้วนเป็น “สมบัติของชาติ”
ว่ากันว่า ในวันที่ “ชาละวันพิจิตร” พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ จะหลับเป็นเจ้าชายนิทราไม่รู้ตัว
ในคืนที่ป่วย ตอนตี ๓ ท่านลุกขึ้นมา “กินยาหอม” เหมือนทุกครั้ง ที่ปวดหัว
ถึง “พี่น้อย” ฉวีวรรณ ขจรประศาสน์ คู่ขวัญคู่ชีวิต ร้องขอให้ไปโรงพยาบาล ท่านก็ไม่ไป
กราบเรียนนักการเมืองวัยชรา...เจ็บป่วยเป็นไข้ขึ้นมา..หาหมอดีกว่า ก่อนทุกอย่างจะสาย

---------------------------------------

น้ำลดตอผุด
หลักฐาน สร้างโรงพักทั่วประเทศ ๕๐๐ กว่าแห่ง มีรายการเปิบพิสดารกันสุด..สุด
“อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” อดีตนายกรัฐมนตรี ร้องเป็น แผ่นเสียงตกร่อง
“รัฐบาลปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ยืมมือ “ดีเอสไอ” เล่นงาน “เทพเทือก” สุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกฯ ดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ให้หงายท้อง
เงินเกือบ ๖ พันล้าน..เหมาเข่ง เทกระจาด ให้ “ผู้รับเหมา” เจ้าเดียว รวบยอดไปทำคนเดียว..เสร็จแล้ว “หอบเงินหนี” โดยทิ้งงาน
เงิน ๖ พันล้านอักโข...โกงกันคำโต...ยังมาโอ่ว่าถูกแกล้ง มันไม่ไหวเหมือนกัน

---------------------------------------

ตายเพราะ โพลล์
สำรวจความคิดเห็นทีไร, “พรรคเพื่อไทย” ชนะในสนามเลือกตั้ง “กทม.”ทุกหน
ไม่ว่าจะเป็นเลือกตั้ง ส.ส. เมื่อวันที่ ๓ กค. “โพลล์” ทุกสำนัก ว่าทิ้งขาด
แต่ผลเลือกตั้งออกมา “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” นำทีมชนะในนาม พรรคประชาธิปัตย์
จริงอยู่ “จูดี้” พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ ได้แรงศรัทธาจากมหาชน..แต่อาจพลิกล็อคให้กับ “คุณชายหมู” ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร อย่างไม่เห็นฝุ่น
อย่าไปปักใจเชื่อคำเขา...ระวัง “หนังม้วนเก่า”..เค้าจะได้เป็นผู้ว่าฯ อีกนะคุณ

ที่มา.คอลัมน์ ตอดนิดตอดหน่อย ,บางกอกทูเดย์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++