--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันเสาร์ที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ปลุกวิญญาณแดง แช่แข็ง อำมาตย์ !!?

ถ้อยคำผ่านวิดีโอลิงก์ข้ามโลกของ "พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร" อดีตนายกรัฐมนตรี มายังเวทีคนเสื้อแดงที่ชุมนุมต่อต้านการแช่แข็งประเทศ ภายใต้ชื่อว่า "รวมพลคนรักรัฐบาล ต้านกบฏ เดินหน้าลงมติรับร่างรัฐธรรมนูญวาระ 3" นับเป็นการปลุกพลังมวลชนเสื้อแดงให้ลุกขึ้นสู้กับม็อบ "องค์การพิทักษ์สยาม" (อพส.) "บ้านเมืองต้องมีกติกา ถ้าจะแช่แข็งกัน ต้องมีกติกา บ้านเมืองจะไปได้ ถ้าไม่มีกติกา บ้านเมืองก็เจ๊ง ที่มีกลุ่มคนออกมาเคลื่อนไหวให้แช่แข็งประเทศไทย ขอให้พี่น้องประชาชนอยู่กับบ้านเฉย ๆ สื่อสารกันไว้ อย่าหวั่นไหวกับกลุ่มคนเหล่านั้น แต่ถ้าเมื่อไรบ้านเมืองไม่มีกติกา แล้วเราค่อยออกมาคิดว่าจะทำอย่างไร เพราะการแช่แข็งเอาไว้ใช้กับคนตาย คนเป็นเขาไม่แช่แข็งกัน ไว้ให้คนพวกนั้นตายเมื่อไร ผมจะมาแช่แข็งให้"

เป็นการปลุกคนเสื้อแดงทุกหัวมุมเมือง ตั้งแต่เชียงใหม่ อุดรธานี นครราชสีมา ปทุมธานี สมุทรปราการ ให้เตรียมพร้อมรอฟังเสียงสัญญาณนกหวีดจากแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ซึ่งบัญชาการมาจากกรุงเทพมหานคร หากเกิดการใช้วิธีนอกระบบ เข็นรถถังออกมายึดอำนาจ

ขณะเดียวกัน ถ้อยคำของ "พ.ต.ท.ทักษิณ" ก็เป็นกุศโลบาย-ปั่นกระแสประชานิยมซื้อใจคนรากหญ้า คนชั้นกลางให้ลุกขึ้นต่อต้านวาทกรรม "แช่แข็งประเทศ"

"ไม่เข้าใจว่าพวกเสธ.อ้ายจะออกมาแช่แข็งประเทศไทยทำไม ในเมื่อประเทศกำลังไปด้วยดี วันนี้เก็บภาษีทะลุเป้า โครงการบ้านหลังแรกทะลุเป้า ค่าแรง 300 บาทต่อวัน ราคาจำนำข้าว 1.5 หมื่นบาท ทำให้เศรษฐกิจประเทศเข้มแข็ง ชาวนาได้ประโยชน์ และประเทศไทยยังได้รับการยอมรับ"

"หลังจากดูแลคนชั้นล่างแล้ว ต่อไปจะดูแลคนชั้นกลาง สิ่งหนึ่งที่กำลังคิด คือภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา บางอันมันมากไป เราอยากให้ไทยมีความสุข มีสวัสดิการที่ดี" พ.ต.ท.ทักษิณกล่าว

ดังนั้น การวิดีโอลิงก์ของ "พ.ต.ท.ทักษิณ" เป็นการใช้กลยุทธ์ป่าล้อมเมือง ผสมการปรุงแต่งถ้อยคำ แฝงนัยการเมือง หวังผลให้คนตั้งแต่ระดับรากหญ้า จนถึงคนชั้นกลางที่หาเช้า-กินค่ำได้เห็นว่าการเคลื่อนไหวของ "ม็อบเสธ.อ้าย" ทำให้ประเทศล้าหลัง กระทบไปถึงโครงสร้างเศรษฐกิจต้องหยุดชะงัก

อย่างไรก็ตาม แม้ "พ.ต.ท.ทักษิณ"-แกนนำคนเสื้อแดงประเมินว่า การชุมนุมของ อพส.อาจลุกลามกลายเป็นความรุนแรง เพราะมีมือที่ 3 เข้ามาปั่นป่วน สร้างสถานการณ์ สำทับกับหน่วยข่าวด้านความมั่นคงว่า กลุ่มทุนเก่าและกลุ่มธุรกิจผิดกฎหมายมีการลงขันถึง 6 พันล้านบาท เพื่อล้มรัฐบาล จนทำให้การคุ้มกันอาคารรัฐสภาเป็นไปอย่างเข้มงวด รัดกุม มาตร

วัดระดับการรักษาความปลอดภัยถึงขั้นสีแดง มีการเตรียมแผน "high alert" พร้อมสละอาคารรัฐสภาทันทีที่ม็อบประชิดรั้ว

แต่วอร์รูมประเมินสถานการณ์ระดับผู้นำความคิดในพรรคเพื่อไทยประเมินสถานการณ์การชุมนุมของอพส.ว่าไม่มีทางล้มรัฐบาล "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" ได้

เพราะเมื่อยกความเข้มข้นทางอุดมการณ์ของ อพส. รวมทั้งปัจจัยแวดล้อมการเมือง เศรษฐกิจ สังคม ในยุค "ยิ่งลักษณ์" เป็นนายกฯ จะเห็นได้ว่าพลัง-ความเข้มข้นทางอุดมการณ์ของ อพส.น้อยกว่ากลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย

เมื่อครั้งยึดสะพานมัฆวานรังสรรค์ ล้อมอาคารรัฐสภา ยึดทำเนียบรัฐบาล ปิดสนามบินดอนเมือง และสนามบินสุวรรณภูมิ
ในยุค 2 นายกฯ "สมัคร สุนทรเวช-สมชาย วงศ์สวัสดิ์" จากพรรคพลังประชาชน

เมื่อประเมินว่าการชุมนุมของ อพส.ไม่สามารถใช้เป็นอาวุธจัดการรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ฟาดฟันให้ล้มพ้นอำนาจการเมืองได้ จึงวิเคราะห์ถึงดาบ 2 คือการใช้กลไกรัฐธรรมนูญที่ยังไม่เป็นประชาธิปไตยขึ้นมาจัดการผ่านกระบวนการตุลาการภิวัตน์

แต่เนื่องจากพรรคเพื่อไทยมีบทเรียนจากการยุบพรรคไทยรักไทย-พรรคพลังประชาชน จึงทำให้ทุกก้าวย่างทางการเมืองเป็นไปอย่างรัดกุม

แหล่งข่าวจากวอร์รูมพรรคเพื่อไทยวิเคราะห์ว่า เวลานี้ยังไม่มีปัจจัยใด ๆ ที่เป็นอันตรายถึงขั้นทำให้พรรคเพื่อไทยถูกกระบวนการตุลาการภิวัตน์เขี่ยพ้นกระดานการเมือง และยังไม่มีข้อกล่าวหาใดที่พุ่งตรงไปถึงตัว "ยิ่งลักษณ์" แต่ก็มีการประเมินสถานการณ์ถึงขั้นเลวร้ายที่สุด หากกลุ่มทุนเก่า-กลุ่มธุรกิจผิดกฎหมาย-กลุ่มชนชั้นนำเล่นเกมแรงแบบพรรคเพื่อไทยไม่คาดฝัน ทำให้ "ยิ่งลักษณ์" ต้องพ้นเก้าอี้นายกฯด้วยกระบวนการกฎหมายที่ยังกึ่งเผด็จการ พรรคเพื่อไทยก็พร้อมหาคนในพรรคขึ้นมารับตำแหน่งนายกฯแทนทันที "แม้จะจัดการกับนายกฯไม่ง่าย แต่หากเขาทำสำเร็จ นายกฯคนต่อไปก็ยังอยู่ในพรรคเพื่อไทย" แหล่งข่าวกล่าว

สอดคล้องกับ "จาตุรนต์ ฉายแสง" อดีตรักษาการหัวหน้าพรรคไทยรักไทย มองเกมเบื้องหน้า วิเคราะห์ถึงเกมเบื้องหลังการชุมนุมของกลุ่ม อพส.ว่ามี 2 ระยะ 1.ระยะสั้น ใช้การชุมนุมของมวลชนกดดันรัฐบาล 2.ระยะยาว ใช้กระบวนการตุลาการภิวัตน์จัดการ

"จาตุรนต์" บอกว่า "ถ้าล้มเหลวตั้งแต่ระยะสั้น การจะฟื้นการเคลื่อนไหวแบบนี้จะทำได้ยากมาก เพราะทั่วทั้งสังคมจะเรียนรู้ เป็นการดิ้นเฮือกสุดท้าย"

แม้เขาทำนายว่า การชุมนุมของ อพส.จะเป็นการดิ้นเฮือกสุดท้ายของกลุ่มที่อยู่เบื้องหลังการชุมนุมของเสธ.อ้าย แต่ก็ยังไม่ใช่สงครามครั้งสุดท้ายของชนชั้นนำ

"มันอาจดิ้นรนเฮือกสุดท้ายของกลุ่มที่เคลื่อนไหว แต่อาจยังไม่ใช่เฮือกสุดท้ายของชนชั้นนำที่ยังไม่เชื่อเรื่องประชาธิปไตย อาจมีเรื่องไม่เป็นเหตุผล ลี้ลับซับซ้อนปนอยู่ บางทีเราคาดไม่ถึง แต่มันเป็นไปได้ เพราะให้คิดแทน ก็ไม่รู้มันคืออะไร แต่มันต้องมีเหตุที่เราคาดไม่ถึง หรือเป็นเหตุที่เขาไม่พูดตรง ๆ แต่การที่เขาใช้เหตุ ข้ออ้างที่ไม่เป็นเหตุผล มันทำให้เคลื่อนไหว ลดความชอบธรรม ลดความน่าเชื่อถือลงอย่างมาก ถ้าสำเร็จได้ต้องมุทะลุบ้าบิ่น บ้าเลือด" จาตุรนต์กล่าว

วาทกรรมของ "พ.ต.ท.ทักษิณ" การปลุกคนเสื้อแดงทุกหัวเมืองผ่านวิดีโอลิงก์ เป็นเกมดึงคนรากหญ้า-ดึงคนชั้นกลางเข้ามาเป็นพวก พร้อมทั้งผลักม็อบ "เสธ.อ้าย" ให้กลายเป็นพวกล้าหลัง เป็นวิธีการเคลื่อนไหวแยบยลมีนัย เป็นการแช่แข็ง "เสธ.อ้าย" และเผด็จศึกม็อบอำมาตย์

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

แผนปฏิบัติการ ศอ.รส. รับมือม็อบ เสธ.อ้าย !!?


พล.ต.อ.วรพงษ์ ชิวปรีชา รอง ผบ.ตร. ในฐานะรองผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย (ศอ.รส.) และเลขาธิการ ศอ.รอ. แถลงแนวทางการปฏิบัติของ ศอ.รส.ตาม พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร เมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยการชุมนุมขององค์การพิทักษ์สยาม ที่ลานพระบรมรูปทรงม้า ในวันที่ 24 พฤศจิกายน

การชุมนุมในครั้งนี้ เนื่องจากใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ สำนักงานตำรวจแห่งชาติจึงไม่ใช้แผนกรกฎ 52 แต่ ศอ.รส.ได้ออกแผนปฏิบัติการที่ 1/2555 เป็นหลักในการปฏิบัติงาน แบ่งเป็น 4 ขั้นตอน ได้แก่

1.ขั้นเตรียมการจะเป็นขั้นที่ดำเนินการก่อนการชุมนุม โดยดำเนินการด้านการข่าว การเตรียมการด้านกำลังพล การจัดเตรียมสถานที่ควบคุมกรณีเหตุการณ์บานปลาย การเตรียมการด้านแผนต่างๆ ที่สำคัญ

 2.ขั้นการเผชิญเหตุจะเป็นขั้นที่ดำเนินการขณะชุมนุม โดยยึดถือแนวทางตามมาตรา 63 ของรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 ที่ระบุให้ตำรวจท้องที่เข้ารักษาความสงบบริเวณที่ชุมนุมและใกล้เคียง ดำเนินการรักษาความปลอดภัยสถานที่และบุคคลสำคัญ ใช้ศูนย์ปฏิบัติการทุกระดับ ในการติดตาม ควบคุม และสั่งการ ชี้แจงทำความเข้าใจต่อแกนนำและกลุ่มผู้ชุมนุมให้ทราบถึงขอบเขตของการใช้สิทธิและเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ ดำรงการเจรจาต่อรอง เพื่อคลี่คลายสถานการณ์

3.ขั้นการใช้กำลังเข้าคลี่คลายสถานการณ์จะเริ่มปฏิบัติตั้งแต่ 22-30 พฤศจิกายน โดยแจ้งเตือนและเจรจากับผู้ชุมนุม เพื่อป้องกันการปลุกระดมและสร้างความวุ่นวาย พร้อมทั้งปฏิบัติการข่าวสารควบคู่กับการปฏิบัติงานในทุกขั้นตอน เมื่อการเจรจาต่อรองหรือการปฏิบัติการอื่นใดไม่เป็นผล สถานการณ์กลับทวีความรุนแรงให้ผู้บัญชาการเหตุการณ์พิจารณาสั่งใช้กำลังเข้าแก้ไขสถานการณ์และรายงานให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติผ่านศูนย์อำนวยการรักษาความสงบ (ศอ.รส.) ทราบทันที และการใช้กำลังให้ปฏิบัติตามกฎการใช้กำลังในการควบคุมฝูงชน

4.ขั้นการฟื้นฟู เป็นขั้นตอนที่ดำเนินการหลังการชุมนุม โดยจะดำเนินการสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานดำเนินคดีต่อผู้กระทำความผิด การฟื้นฟู เยียวยาการจัดทำรายงานภายหลังการปฏิบัติ และบทเรียนจากการปฏิบัติงาน และชี้แจงข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นต่อสาธารณชน

สำหรับกฎการใช้กำลังตำรวจต้องพึงระลึกและยึดถือรัฐธรรมนูญว่า การชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธเป็นเสรีภาพของประชาชนที่ได้รับการรับรองตามกฎหมายโดยมีแนวทางการปฏิบัติ ดังนี้ 1.ต้องพิจารณาถึงความชอบธรรมในการใช้กำลังตามที่กฎหมายกำหนด 2.ยึดหลักในการคุ้มครองเสรีภาพและหลักในการรักษาความสงบเรียบร้อย 3.การใช้กำลังตามกฎนี้ให้หมายความรวมถึงการใช้อุปกรณ์หรืออาวุธประกอบการใช้กำลังด้วย และ 4.การจัดการเมื่อมีการชุมนุมที่ผิดกฎหมาย ตำรวจจะต้องดำเนินการจัดการตามอำนาจหน้าที่เพื่อให้กลับสู่ภาวะปกติโดยเร็ว ทั้งนี้ หลักการใช้กำลังของตำรวจที่ควบคุมฝูงชนที่มีผลต่อชีวิตร่างกายตำรวจต้องคำนึงถึงปัจจัยต่อไปนี้ หลักแห่งความจำเป็นให้ตำรวจใช้กำลังเท่าที่จำเป็น พยายามใช้วิธีการอื่นเท่าที่สามารถทำได้ก่อน เลือกวิธีการใช้กำลังที่เบาที่สุด (เป็นอันตรายต่อผู้ชุมนุมน้อยที่สุด) และหากผู้ชุมนุมลดหรือยุติความรุนแรง ต้องลดระดับหรือยุติระดับกำลังด้วย หลักแห่งความได้สัดส่วน ให้ใช้วิธีการและกำลังที่เหมาะสม สอดคล้องกับภยันตรายที่คุกคามเพื่อป้องกันสิทธิของตนเองหรือของผู้อื่น หลักความถูกต้องตามกฎหมายให้พิจารณาใช้กำลังและเครื่องมือ หรือยุทโธปกรณ์ตามที่มีกฎหมาย ระเบียบ หรือตามหลักสากลกำหนด และหลักความรับผิดชอบให้พิจารณาถึงผลที่เกิดจากการใช้กำลังโดยต้องมีผู้รับผิดชอบในการสั่งการ

ตำรวจต้องใช้กำลังตามระดับความรุนแรงของผู้ชุมนุมหรือได้สัดส่วนกับความรุนแรงที่คุกคาม เพื่อให้การบังคับใช้กฎหมายมีประสิทธิผล ตามภัยคุกคามหรือความรุนแรงของผู้ชุมนุมดังนี้ 1.ผู้ชุมนุมโดยสงบ ให้ตำรวจดูแลรักษาความสงบเรียบร้อย ด้วยการแสดงกำลัง การเจรจา ให้ข้อมูลข่าวสาร หรือชักจูงแนะนำ 2.ผู้ชุมนุมไม่ปฏิบัติตามคำสั่งหรือคำแนะนำของตำรวจในการดูแลรักษาความสงบเรียบร้อย แต่ไม่มีพฤติการณ์ก้าวร้าวหรือก่อเหตุ หรือกระทำผิดกฎหมายเล็กน้อย ให้ตำรวจแสดงกำลัง หรือใช้วิธีการในการเจรจาหรือดำเนินกลยุทธ์กดดันผู้ชุมนุม (Offensive Movement) ที่ได้สัดส่วนกับการกระทำผิดเล็กน้อย หรือการก่อเหตุนั้นๆ หากจำเป็นต้องใช้อุปกรณ์ประกอบก็ให้ใช้อุปกรณ์ที่ไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต 3.สถานการณ์การชุมนุมที่ไม่สงบหรือมีอาวุธหรือมีการก่อเหตุวุ่นวาย ทำร้ายตำรวจหรือบุคคลอื่น ให้ตำรวจพิจารณาใช้กำลังและเครื่องมือที่เหมาะสมในรูปแบบที่เป็นระดับที่สูงขึ้นเพื่อป้องกันพอสมควรแก่เหตุ การใช้กำลังที่อาจจะเกิดอันตรายต่อผู้ชุมนุม ได้แก่ การใช้แก๊สน้ำตา หรือเครื่องเปล่งเสียงความถี่สูง การใช้กำลังผลักดัน การใช้น้ำฉีดแรงดันสูง และการยิงกระสุนยาง ต้องมีการประกาศแจ้งเตือนผู้ชุมนุมก่อนทุกครั้ง และให้เวลาพอสมควรเพื่อให้ ผู้ชุมนุมสามารถปฏิบัติตามคำเตือนได้ทันเว้นแต่ไม่สามารถประกาศเตือนได้ก่อนหรือหากไม่ใช้กำลังเช่นว่านั้นในทันทีทันใดจะเกิดภัยอันตรายต่อบุคคล สถานที่ หรือทรัพย์สิน

แนวทางการปฏิบัติหลังการใช้กำลัง เมื่อสถานการณ์คลี่คลายแล้วจะต้องดำเนินการ คือ 1.การช่วยเหลือทางการแพทย์ โดยผู้ที่ได้รับบาดเจ็บต้องได้รับการปฐมพยาบาล และรีบส่งไปรับการรักษาพยาบาลตามความจำเป็นรวมทั้งแจ้งญาติให้รับทราบ 2.การบันทึกและการรายงาน หน่วยจะต้องบันทึกรายละเอียดของเหตุการณ์ทั้งหมดและรายงานตามสายการบังคับบัญชาโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ 3.การปฏิบัติต่อพื้นที่เกิดเหตุ ให้ปิดกั้นบริเวณพื้นที่ที่เกิดเหตุการณ์ ไว้จนกระทั่งมีการดำเนินการตรวจสถานที่เกิดเหตุ และรวบรวมหลักฐานสำหรับใช้ดำเนินการทางกฎหมายต่อไป 4.โดยถือปฏิบัติด้วยความมีมนุษยธรรมและคำนึงถึงหลักสิทธิมนุษยชน

นอกจากนี้ ศอ.รส.มีข้อกำหนด ออกตามความในมาตรา 18 แห่งพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร คือ 1.ให้เจ้าหน้าที่ของรัฐที่เกี่ยวข้องปฏิบัติการหรืองดเว้นการปฏิบัติการอย่างหนึ่งอย่างใดเพื่อช่วยเหลือหรือสนับสนุนการดำเนินการในอำนาจหน้าที่ของกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ทั้งนี้ ตามที่ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการ หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายจากผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร หรือ ผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการ มีคำสั่ง หรือเป็นการปฏิบัติตามแผนการดำเนินการ เพื่อป้องกัน ปราบปราม ระงับ ยับยั้ง และแก้ไขหรือบรรเทาเหตุการณ์ที่กระทบต่อความมั่นคงในราชอาณาจักร

2.ห้ามบุคคลใดเข้าหรือต้องออกจากบริเวณพื้นที่ อาคาร หรือสถานที่ที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติหน้าที่ของกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร และภายในระยะเวลาปฏิบัติหน้าที่ของ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ทั้งนี้ ตามที่ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการ หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายจากผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร หรือผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการ ประกาศกำหนด เว้นแต่เป็นบุคคลที่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ หรือเป็นบุคคลที่มีประกาศของบุคคลดังกล่าวเป็นบุคคลที่ได้รับการยกเว้น

3.ห้ามนำอาวุธออกนอกเคหสถาน 4.ห้ามการใช้เส้นทางคมนาคมหรือการใช้ยานพาหนะหรือต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขการใช้เส้นทางคมนาคมหรือการใช้ยานพาหนะ ทั้งนี้ ตามที่ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ผู้อำนวยการ หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายจากผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร หรือผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการ ประกาศกำหนด

5.ให้บุคคลปฏิบัติหรืองดเว้นการปฏิบัติอย่างใดอันเกี่ยวกับเครื่องมือหรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ตามชนิด ประเภทลักษณะการใช้หรือภายในเขตบริเวณพื้นที่ที่ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการ ประกาศกำหนด เพื่อป้องกันอันตรายที่จะเกิดแก่ชีวิต ร่างกาย หรือทรัพย์สินของประชาชน

ที่มา.มติชนออนไลน์
//////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

แก่แช่แข็ง: การชุมนุมล้มล้างประชาธิปไตยขององค์การพิทักษ์สยาม !!?


จากคำประกาศทางการล่าสุด กลุ่มต่อต้านประชาธิปไตยพิทักษ์สยามระบุว่าเป้าหมายของการชุมนุมวันที่ 24 พฤศจิกายนในกรุงเทพฯคือ การบังคับให้รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตรลาออกจากตำแหน่ง แม้ว่าองค์การพิทักษ์สยามจะทราบดีว่ารัฐบาลมากจากการเลือกตั้งโดยคนส่วนมากเมื่อ 18 เดือนที่แล้วจะไม่คิดว่าการรวมตัวของคนไม่กี่หมื่นคน (อย่างมากที่สุด) จะเป็นเหตุผลของการลาออก โดยเฉพาะเมื่อรัฐบาลได้รับเสียงสนับสนุนส่วนใหญ่ในรัฐสภาและยังได้รับแรงหนุนอย่างเหนียวแน่นจากประชาชนโดยเห็นได้จากการสำรวจความคิดเห็น ความคิดที่ว่าคนกลุ่มน้อยควรจะเอาชนะเจตจำนงค์ของประชามติจากการเลือกตั้งโดยคนส่วนมากไม่ต้องครงกับความคิดของยุคศตวรรษที่ 21 ของประเทศไทย นี่ไม่ใช่ประเทศไทยในยุครุ่นปู่ย่าตาทวดอีกต่อไป

เมื่อไม่กี่อาทิตย์ที่ผ่านมา แกนนำชราภาพขององค์กรพิทักษ์สยามเปิดเผยแผนการของพวกเขาอย่างตรงไปตรงมามากกว่านี้  พวกเขาถูกบังคับให้เปลี่ยนท่าทีเนื่องจากมาจากคำแถงการณ์ต่อสาธารณชนอันน่าตลกขบขันก่อนหน้านี้  พวกเขาบอกว่ากับนักข่าวว่า ควรมีจะการปิดประเทศไทย หรือที่เขาใช้ศัพท์ว่า “แช่แข็ง” เหมือนที่ผู้นำประเทศเพื่อนบ้านอย่างนายพอลพตและเนวินเคยใช้ พลเอกบุญเลิศ แก้วประสิทธิสรุปว่า “รัฐประหารคือวิธีเดียวที่จะล้มล้างรัฐบาล”

ความหมายโดยนัยคือภารกิจขององค์การพิทักษ์สยามคือการสร้างเงื่อนไขซึ่งจะนำไปสู่การทำรัฐประหาร อย่างน้อยที่สุดคือจำเป็นต้องมีการทำให้คนเข้าร่วมการชุมนุมในจำนวนที่มากพอ-คือไม่ใช่การล้มล้างรัฐบาลโดยตรงแต่เป็นการสร้างเงื่อนไขให้คนอื่นไปใช้อ้างว่าจะต้องมีการขับไล่รัฐบาลเพราะ “ประชาชน” ไม่ต้องการรัฐบาลอีกต่อไป ข้ออ้างประเภทนี้ถูกป่าวประกาศโดยสื่อมวลชนในกรุงเทพฯ และได้รับการสนับสนุน  (โดยไม่เจตนา) จากสื่อมวลชนต่างชาติ ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นในประเทศไทยไม่เคยไปไกลกล่าวแนวความคิดของกลุ่มอำมาตย์ในกรุงเทพฯ (ตัวอย่างล่าสุดเช่น: http://online.wsj.com/article/SB10001424127887324352004578134581768219170.html?mod=SEA_TOPLEFT)

และเงื่อนไขอื่นที่ผสมผสานรวมกันอันอาจเป็นสาเหตุของการทำรัฐประหารคือความรุนแรงและความวุ่นวายบนท้องถนนในระดับหนึ่ง หากมองตามแนวทางขององค์การพิทักษ์สยามแล้ว ความรุนแรงเป็นประโยชน์ต่อพวกเขาสองประการ: ประการแรก เป็นการทำลายความน่าเชื่อถือของรัฐบาลต่อคนที่อาศัยอยู่ในกรุงเทพฯ เพราะจะต้องมีการตำหนิรัฐบาลที่ไม่สามารถคุ้มครองพวกเขาให้ได้รับความปลอดภัยได้; ประการที่สองคือ เป็นข้ออ้างเอามาใช้ในการขับไล่รัฐบาล ด้วยการอ้างว่าจะต้องมีการรักษาความสงบเรียบร้อย หรือโน้มน้าวบังคับทางอ้อมให้ประชาชนเลือกเอาความปลอดภัยมากกว่าประชาธิปไตย (อีกครั้ง) และที่สำคัญคือเป็นยุทธศาสตร์เดิมที่กลุ่มพันธมิตรใช้ในปี 2552 ซึ่งอาจจะเป็นสาเหตุว่าทำไมกลุ่มศาสนาอย่างกลุ่มสันติอโศก และกลุ่มที่บ้าคลั่งอย่าง “กองทัพธรรม” ออกมาให้การสนับสนุนองค์การพิทักษ์สยามอย่างมาก เนื่องจากความนิยมของรัฐบาล ก็มีความเป็นไปได้ว่าองค์การพิทักษ์สยามต้องการคนมากกว่าที่พันธมิตรต้องการเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา พรรคประชาธิปัตย์ทำงานอย่างหนักเพื่อเคลื่อนผู้สนับสนุนของพรรค ด้วยความหวังว่าจะได้คนไปร่วมชุมนุมตามจำนวนที่ต้องการ

นอกจากนี้  จุดจบของวาระมีลักษณะเปิด เพราะรัฐประหารในประเทศไทยสามารถเกิดขึ้นได้ในหลายรูปแบบ พลเอกบุญเลิสแสดงความเห็นว่าชอบการทำรัฐประหารโดยกองทัพมากกว่า โดยกล่าวว่าประเทศต้องมีทหารเป็นผู้นำ กองทัพมีอาวุธอาวุธเพียงพอที่จะจัดการกับผู้ต่อต้านการทำรัฐประหาร และสร้างสถานการณ์ “แช่แข็ง” พลเอกบุญเลิสอธิบาย อย่างไรก็ตาม การทำรัฐประหารโดยกองทัพเป็นการทำรัฐประหารที่เสี่ยงที่สุด โดยเฉพาะในบริบทนี้ เพราะต่างจากปี 2549 ผู้นำโลกเหมือนจะรับรู้ว่าอะไรเกิดขึ้นในประเทศไทย ดังนั้นจึงไม่น่าจะให้ความร่วมมือกับผู้ที่ก่อรัฐประหารเหมือนเมื่อ 6ปีที่แล้วโดยปริยาย

หากเหล่านายพลไม่กล้าที่จะทำรัฐประหาร องค์การพิทักษ์สยามและผู้สนับสนุนยังคงหวังว่าจะมี “ตุลาการรัฐประหาร”  หากเงื่อนไขครบถ้วน ศาลรัฐธรรมนูญสามารถช่วย “สุมเชื้อเพลิง” ในการหาสาเหตุที่จะถอดถอนรัฐบาล เหมือนที่พวกเขาทำสองครั้งในปี 2552 อย่างไรก็ตาม มีความเป็นไปได้ว่าอาจมีว่าเราจะได้เห็นรัฐประหารชนิดใหม่ และเนื่องจากไม่มีคำจำกัดความที่ดีกว่านี้ (หลังจาก 80 ปี รัฐประหาร 18 ครั้ง ศัพท์ดีๆถูกได้ถูกนำใช้ไปหมดแล้ว) อาจมีการเรียกการทำรัฐหารครั้งนี้ว่า “รัฐประการโดยพนักงานฝ่ายปกครอง” หรือ “รัฐประการโดยวุฒิสภา”

หนึ่งวันหลังจากการชุมุนมขององค์การพิทักษ์สยาม มีกำหนดการอภิปรายไม่วางใจรัฐบาล แต่การอภิปรายไม่ไว้วางใจยื่นโดยพรรคประชาธิปัตย์คงไม่ได้มีผลมากนัก เพราะรัฐบาลมีจำนวนสส.ในสภาที่จะลงคะแนนเสียงสนับสนุนรัฐบาล นอกจากนี้ ประเด็นของพรรคประชาธิปัตย์ยังอ่อนมากและอาจทำให้พรรคฝ่ายค้านอื่นตัดสินใจสนับสนันรัฐบาลในที่สุด คำขู่ที่สำคัญมากมาจากวุฒิสภา วุฒิสภาไม่ได้มีสิทธิ์ลงคะแนนเสียงในการอภิปรายไม่ไว้วางใจ อย่างไรก็ตามพรรคประชาธิปัตย์ได้ยื่นถอดถอนนายกยิ่งลักษณ์, รมว.กลาโหม พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัตและรมช.มหาดไทย พล.ต.อ.ชัช กุลดิลก ภายใต้บทบัญญัติในมาตรา 270-274 ของรัฐธรรมนูญ วุฒิสภาสามารถส่งคำร้องให้กับคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ปปช.) ได้ ซึ่งตอนนี้ ปปช.กำลังพิจารณาคำร้องอยู่ หากหลังจากทำการสอบสวน ปปช.เห็นด้วยกับวุฒิสภา วุฒิสภาสามารถถอดถอนนายกรัฐมนตรีได้โดยเสียงส่วนมากอย่างน้อย 60 เปอร์เซ็นต์

การกระทำที่คล้ายกันในอดีตนั้นลงเอยด้วยความล้มเหลว แต่เราไม่สามารถเพิกเฉยต่อแนวทางนี้ได้ โดยเฉพาะหากองค์การพิทักษ์สยามและแนวร่วมประสบความสำเร็จในการทำให้รัฐบาลอ่อนแอโดยการสร้างสถานการณ์ ทั้งนี้ปปช.เป็นหน่วยงานเป็นที่รู้จักกันเป็นอย่างดีว่าเป็นพรรคพวกของคนเหล่านี้ ในขณะที่ วุฒิสภาซึ่งมาจากการแต่งตั้งและมีอยู่ไม่ใช่ด้วยเหตุผลอะไรที่มากไปกว่าความต้องการในการจำกัดประชาธิปไตย สมาชิกวุฒิสภาที่มาจากแต่งตั้งและเลือกตั้งมีความใกล้ชิดกับพรรคประชาธิปัตย์ และมีความเป็นไปได้ว่าวุฒิ

สมาชิกจะสามารถรวบรวมเสียงข้างมากได้ โดยเฉพาะหากมีมือที่มองไม่เห็นได้ออกมากดดันเหมือนที่ทำในปี 2552 จนทำให้อภิสิทธิ์ได้ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี หากกลุ่มอำมาตย์กระหายอยากขับไล่รัฐบาล พวกเขาอาจต้องพึ่งพาปปช.หรือวุฒิสภา

บางคนวิจารณ์รัฐบาลไทยว่าถือเอาคำขู่นี้เป็นเรื่องจริงจัง  แน่นอนมันเป็นเรื่องยากที่จะหยั่งรู้ว่องค์การพิทักษ์สยามลและแนวร่วมอาจจะโง่พอที่จะสร้างสถานการ์ทำให้เกิดรัฐประหารและนำไปสู่หายนะอันร้ายแรงหรือไม่  อย่างไรก็ตาม เมื่อมองว่าเหตุการณ์ล่าสุดที่เกิดขึ้นประเทศไทยและความรุนแรงที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง รัฐบาลไม่สามารถที่จะสบประมาทความสามารถององค์กรพิทักษ์สยามได้ โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาถึงความสนับสนุนที่ได้รับจากกลุ่มที่บ้าคลั่ง เงินทุนที่พวกเขาได้รับ และความสัมพันธ์อันแนบแน่นกับกลุ่มอำมาตย์ โดยเฉพาะเมื่อคนที่มีสายสัมพันธ์อันแน้นแฟ้นกับอำมาตย์อย่างนายนายวสิษฐ เดชกุญชรออกมาเตือนรัฐบาลว่าอาจลงเอยเหมือนกัดดาฟี่ กล่าวคือข่มขู่ว่านายกรัฐมนตรีที่มาจากการเลือกตั้งโดยชอบด้วยกฎหมายจะถูกสังหาร รัฐบาลไทยไม่มีทางเลือกอื่นใดนอกจากจะต้องถือเอาคำขู่นี้เป็นเรื่องจริงจัง ความตื่นตระหนกได้แผ่ขยายในกลุ่มของผู้สนับสนุนองค์กรสยามพิทักษ์ในกองทัพและพรรคประชาธิปัตย์บางรายว่า เพราะระบบการทำผิดแล้วลอยนวลกำลังสั่นคลอนและนั้นอาจส่งผลทำให้พวกเขาทำอะไรที่อันตรายและไม่คาดคิดได้มากขึ้น

เราได้เรียนรู้ใน 7 ปีที่ผ่านมาว่า กลุ่มหัวรุนแรงที่อยู่เบื้องหลังองค์กรพิทักษ์สยามสามารถทำลายประเทศได้หากจำเป็น รัฐที่เลือกตั้งมาจากประชาชนจึงมีหน้าที่ป้องกันไม่ให้พวกเขาทำเช่นนั้น

Read more from โรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม
//////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

ภราดร..ยันไม่สลายชุมนุม ใช้แก๊สน้ำตาแค่ยิงเตือน !!?


พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ให้สัมภาษณ์ "กรุงเทพธุรกิจทีวี" ถึงสถานการณ์การชุมนุมของกลุ่มองค์การพิทักษ์สยาม (อพส.) ในช่วงเช้าที่ส่อเค้ารุนแรงเพราะมีการใช้แก๊สน้ำตาจากเจ้าหน้าที่บริเวณสะพานมัฆวานรังสรรค์ว่า ยังไม่รุนแรง เป็นเพียงการจัดระเบียบผู้ร่วมชุมนุม เพราะเจ้าหน้าที่ยึดหลักการให้ประชาชนชุมนุมได้อย่างเสรีตามรัฐธรรมนูญ ไม่ได้ปิดกั้น เพียงแต่ขอความกรุณาให้เข้าพื้นที่ชุมนุมตามเส้นทางที่เจ้าหน้าที่กำหนด เพราะเส้นทางที่ไม่อนุญาตให้ใช้นั้น จะผ่านไปยังสถานที่ราชการสำคัญ

"เมื่อผู้ชุมนุมไม่ทำตาม ก็มีการปะทะกันนิดหน่อย จากนั้นเจ้าหน้าที่ได้ชี้แจงว่าจะใช้แก๊สน้ำตา ได้แจ้งเตือนก่อนแล้วว่าจะใช้ มั่นใจว่าสถานการณ์จะไม่บานปลาย เพราะเจ้าหน้าที่ได้เรียกแกนนำผู้ชุมนุมมาทำความเข้าใจเรียบร้อยว่ามีช่องทางเข้าสู่พื้นที่ชุมนุมอยู่แล้ว"

"เรื่องการใช้แก๊สน้ำตา เราตัดสินใจใช้เพราะพูดแล้วผู้ชุมนุมไม่ฟัง มีการประสานแล้วทุกอย่าง แต่ไม่ฟัง จึงมีการ 'ยิงแจ้งเตือน' ซึ่งก่อนยิงแก๊สน้ำตาก็ได้ประกาศเตือนและแจ้งว่าจะใช้แล้วนะ ก็มีการเตือนทุกครั้งตามขั้นตอน"

พล.ท.ภราดร ยังกล่าวถึงข่าวการจับกุมผู้ชุมนุมจำนวนหนึ่งเนื่องจากพกพาอาวุธว่า เจ้าหน้าที่พบอุปกรณ์ที่อาจนำมาทำเป็นอาวุธได้ จึงควบคุมตัวผู้ชุมนุมไป แต่สถานการณ์ตอนนั้นชุลมุนวุ่นวาย จึงมีผู้สื่อข่าวติดไปด้วย ตอนนี้ได้สอบสวนกันเรียบร้อยแล้ว และได้ปล่อยตัวไปแล้ว

"เรายืนยันว่าให้ชุมนุมอย่างเสรี เพราะ เสธ.อ้าย ก็ประกาศว่าจะชุมนุมอย่างสันติ ถ้ามีปัญหาก็จะคุยกับเสธ.อ้ายว่าจะยุติดีกว่าหรือไม่ แต่ยืนยันว่าจะไม่สลายการชุมนุม" พล.ท.ภราดร กล่าว

ที่มา.เนชั่น
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันศุกร์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

พ.ร.บ.มั่นคงคุมม็อบ ศาลรัฐธรรมนูญไฟเขียวไล่รัฐบาล !!!?


รัฐบาลประกาศใช้ พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงฯควบคุมการชุมนุมในพื้นที่ 3 เขตคือ พระนคร ดุสิต ป้อมปราบศัตรูพ่าย ตั้งแต่วันที่ 22-30 พ.ย. หลังฝ่ายข่าวพบมีแนวโน้มเกิดความรุนแรง รับกังวลบุกยึดสถานที่ราชการจนถึงบุกจับตัวนายกรัฐมนตรี “เสธ.อ้าย” เย้ยกลัวม็อบ มั่นใจช่วยเรียกมวลชนเข้าร่วมมากขึ้น ด้านศาลรัฐธรรมนูญเปิดไต่สวนคำร้องม็อบใช้วิถีทางนอกกฎหมายไล่รัฐบาล ล้มล้างการปกครอง ก่อนมีคำสั่งให้ยกคำร้อง เพราะยังไม่ปรากฏมูลเหตุว่าจะมีการกระทำตามข้อกล่าวหา แค่มาแสดงพลังขับไล่รัฐบาล

ที่ทำเนียบรัฐบาล คณะรัฐมนตรี (ครม.) กลุ่มย่อย 9 คนที่ได้รับมอบหมายให้ติดตามการชุมนุมขององค์การพิทักษ์สยาม (อพส.) มีมติให้ประกาศใช้ พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ. 2551 ครอบคลุมพื้นที่ 3 เขตของกรุงเทพมหานคร (กทม.) คือ เขตพระนคร เขตดุสิต และเขตป้อมปราบศัตรูพ่าย มีผลตั้งแต่วันที่ 22-30 พ.ย. นี้

ม็อบมามากกว่า 5 หมื่น

พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) กล่าวว่า ฝ่ายความมั่นคงประเมินว่าจะมีผู้ร่วมชุมนุมมากกว่า 50,000 คน แต่ไม่ถึงล้านคนอย่างที่แกนนำตั้งเป้าไว้ การประกาศใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคงมีวัตถุประสงค์เพื่อดูแลผู้ชุมนุมให้ปลอดภัย และให้เจ้าหน้าที่มีเครื่องมือรองรับการปฏิบัติงาน

หวั่นบุกจับตัวนายกฯ

“ผมจะเป็นผู้อำนวยการศูนย์เฉพาะกิจที่ตั้งขึ้น โดยใช้ชั้น 20 ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติเป็นศูนย์อำนวยการ ที่ต้องใช้กฎหมายพิเศษเพราะมีแนวโน้มว่าผู้ชุมนุมจะใช้ความรุนแรง มีกลุ่มที่จ้องจะก่อความวุ่นวาย และมีความกังวลว่าจะมีการบุกยึดสถานที่ราชการตลอดจนการบุกจับตัวนายกรัฐมนตรี”

“สุกำพล” ชี้ล้วนหน้าเก่า

พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวว่า ที่ทหารมีการเคลื่อนไหวในช่วงนี้เพราะเตรียมพิธีสวนสนามถวายสัตย์ปฏิญาณเนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษา จึงมากันหลายหน่วย ไม่เกี่ยวกับการปฏิวัติ

“คนที่มาชุมนุมก็ให้ดูหน้าเอาเอง เป็นศัตรูถาวรกันไปแล้ว เรารู้หมดว่าฝ่ายที่มาร่วมชุมนุมมีใครบ้าง คนเก่าๆทั้งนั้น”

พ.ร.บ.มั่นคงช่วยเรียกแขก

ที่สนามม้านางเลิ้ง พล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ ประธานองค์การพิทักษ์สยาม กล่าวว่า รัฐบาลไม่มีเหตุผลใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคง เพราะเราประกาศแล้วว่าจะชุมนุมโดยสงบ ไม่ยืดเยื้อ ไม่เคลื่อนย้าย ไม่ยึดสถานที่ราชการ

“แสดงให้เห็นว่ารัฐบาลกลัวการชุมนุม หากไม่กลัวคงไม่ใช้กฎหมายพิเศษ แต่ก็คงไม่มีกฎหมายใดสกัดการชุมนุมได้ และการประกาศใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคงจะเป็นการเรียกแขกให้มาชุมนุมมากขึ้นแน่นอน”

ศาล รธน. ออกบัลลังก์ไต่สวน

ที่ศาลรัฐธรรมนูญ คณะตุลาการออกนั่งบัลลังก์ไต่สวนคำร้องที่นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ส.ว.สรรหา นายสิงห์ทอง บัวชุม สมาชิกพรรคเพื่อไทย และนายหนึ่งดิน วิมุตตินันท์ ทนายความชมรมผู้รักความเป็นธรรม ยื่นขอให้พิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญมาตรา 68 ว่าการชุมนุมของ อพส. ภายใต้การนำของ พล.อ.บุญเลิศเป็นการล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการที่มิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญหรือไม่  ซึ่งศาลได้เรียก พล.อ.บุญเลิศ และ พล.อ.ท.วัชระ ฤทธาคนี โฆษก อพส. มาให้ปากคำ แต่ทั้ง 2 คนไม่ได้มาตามนัดหมาย โดยมอบหมายให้นายประยงค์ ไชยศรี และนายนิติธร ล้ำเหลือ ทนายความ เข้าชี้แจงแทน

ทนายยันชุมนุมสงบ

นายประยงค์กล่าวว่า การชุมนุมครั้งนี้เกิดขึ้นเพราะรัฐบาลปล่อยให้มีการจาบจ้วงสถาบันเบื้องสูงโดยไม่ดำเนินการ แสดงตนเป็นนอมินีของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี มีการทุจริตคอร์รัปชัน การชุมนุมครั้งนี้มีเจตนาชัดเจนว่าเป็นการชุมนุมโดยสงบ ปราศจากอาวุธ ไม่มีการปลุกระดมให้เกิดการคลุ้มคลั่ง ไม่เคลื่อนไปยึดสถานที่ราชการหรือรัฐสภา หากผู้ชุมนุมมาน้อยจะยุติการชุมนุม อีกทั้งรัฐบาลก็ระบุเองว่าจะจัดกำลังตำรวจดูแลไม่น้อยกว่า 50,000 นาย มีการตรวจค้นไม่ให้พกพาอาวุธ

ด้านนายเรืองไกรนำหลักฐานการถอดเทปคำสัมภาษณ์ของ พล.อ.บุญเลิศมายื่นต่อศาล ซึ่งเข้าข่ายเป็นการกระทำที่ล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตย

ไต่สวนแค่ 15 นาทีก่อนตัดสิน

ทั้งนี้ ศาลใช้เวลาไต่สวนเพียง 15 นาที โดยมีคำถามสำคัญคือ ที่ พล.อ.บุญเลิศประกาศจะแช่แข็งประเทศไทยมีความหมายอย่างไร และคณะผู้บริหารประเทศที่มาจากการปฏิวัติของประชาชนคืออะไร รวมถึงการชุมนุมครั้งนี้มีเจตนาเพื่อล้มล้างรัฐบาลโดยวิธีการที่ไม่เป็นไปตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติใช่หรือไม่

ยกคำร้องไม่สั่งห้ามชุมนุม

หลังการไต่สวนศาลมีคำสั่งไม่รับคำร้องทั้ง 3 คำร้อง เนื่องจากพิจารณาแล้วเห็นว่า จากการสอบถามผู้แทน พล.อ.บุญเลิศ และผู้แทน พล.อ.ท.วัชระ ยืนยันว่าไม่ได้มีการกล่าวเกี่ยวกับแนวคิดการปิดประเทศหรือแช่แข็งประเทศ แต่หมายความว่าเป็นการแช่แข็งนักการเมืองเลว นักการเมืองชั่วไว้ 5 ปี เพื่อป้องกันมิให้เข้ามากอบโกยหาผลประโยชน์ การนัดชุมนุมในวันที่ 24 พ.ย. เป็นการชุมนุมเพื่อแสดงพลังขับไล่รัฐบาล หากขับไล่แล้วไม่เป็นผลก็จะยุติการชุมนุม ยังไม่ปรากฏมูลเหตุว่าจะมีการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญ หรือเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งไม่ได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ ตามมาตรา 68 วรรคหนึ่ง

ที่มา.หนังสือพิมพ์โลกวันนี้
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ต้นกำเนิด แช่แข็ง !!?


เสธ.อ้าย. พล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ รู้ฤทธิ์ถูกจับเข้าห้องฟรีส ห้องเย็น จนหมดแรง
ตนเองในฐานะ “นายกสมาคมมวยสมัครเล่น” ถูกต่อต้านจนสิ้นฤทธิ์
“นักมวยทีมชาติ” ทั้งชายและหญิง ไม่ให้ความร่วมมือ อย่างที่คิด
เป็นการจับ “เสธ.อ้าย” แช่แข็ง..เพราะเป็น “นายกฯสมาคมมวย” ที่บ่มิไก๊ เหลือดี
โดนแช่แข็งจนสิ้นสภาพ...นี่ไงขอรับ...ผู้เป็นต้นฉบับ ที่นักมวย พากันแอนตี้

+++++++++++++++++++++++++++++++

“ตีกิน”ไปวัน ๆ
สื่อสาร อย่างหลุดโลก อีกแล้วขอรับล่ะท่าน
เมื่อ “หมอตุลย์ สิทธิสมวงศ์” ตัวเป๋งม๊อบหลายสี ปากพาทีหลุดโลก
อวดหน้าตัก “ม๊อบภาชีกีฬาบัตร” มีทหารเสือราชินี ร่วมด้วย..หลายคนมองว่าเป็นเรื่องตลก
ทหารอยู่ในระเบียบวินัย รักประชาธิปไตย เพื่อให้ประเทศก้าวหน้า ไปในสังคมที่ดี
อ้างโดยไม่รับผิดชอบ...อ้างกันทุกจ๊อบ...ทหารไม่ชอบ เลิกอ้างเสียที

+++++++++++++++++++++++++++++++

“เต้น”ลนลาน
ฐานเสียงเลือกต้น ในพื้นที่ภาคใต้ ถิ่นแดนสะตอ คะแนนนิยม กำลังเป็นของรัฐบาล
“ธานี เทือกสุบรรณ” สส.ประชาธิปัตย์ เมืองสุราษฎร จึงตีขลุมเป็นวรรคเป็นเวร
ว่า “ตระกูลชินวัตร” หลอกชาวใต้ ทุกคนต่างมองเห็น
แต่แปลกแฮะ, คนใต้ชื่นชม “ทักษิณ ชินวัตร” และ “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” เป็นกอง
เทงบพัฒนาภาคใต้...เรื่องที่รับปากเอาไว้..ไม่เคยทำผิดเงื่อนไข หลอกเสียทีไหนพี่น้อง

+++++++++++++++++++++++++++++++

ตีตราจองเก้าอี้
พ้นโทษการเมือง หลุดจากการจองจำ จากสมาชิกบ้านเลขที่ตองหนึ่ง กันเสียที
“ธานี ยี่สาร” คนดีคนเก่ง แห่ง ท่ายาง เมืองเพชรบุรี ..นักการเมืองหัวใจแกร่ง
มาทวงแชมป์คืน จาก สส.ประชาธิปัตย์ “นายกัมพล สุภาแพ่ง”
“ประชาธิปัตย์” ของ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” เตรียมลดยอด สส.ลงไปได้
แค่ “ธานี ยี่สาร” พ้นโทษ...คนก็เชียร์กันโลด...ให้กระโดดกลับมาเป็น “ผู้แทน”กันใหม่

+++++++++++++++++++++++++++++++

“ต้นไม้ใหญ่” ใครก็อาศัย
บินไปพบกันมาหลายรอบ สำหรับ “เสี่ยหนู” อนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย
กับ “อดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตร” คุยกันทุกเรื่องจบ
ส่วนกับ “เนวิน ชิดชอบ” ผู้เคยแตกทัพ เพราะถูก “สีเขียว”บีบจนตาถลน ก็เคยพบ??
ว่ากันว่า เมื่อคราวที่ “ทักษิณ” บินไปเมืองผู้ดีอังกฤษ “เนวิน” ก็เข้าไปเจรจาต้าอวย
“ประชาธิปัตย์”อย่าได้มาจีบ..ขอให้อยู่หัวเดียวกระเทียมลีบ...เอาหัวคลุมปี๊บ ไม่มีใครเป็นพวกด้วย

โดย:ตอดนิดตอดหน่อย, บางกอกทูเดย์
////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันพฤหัสบดีที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

จับสัญญาณร้ายหนีไม่พ้นนองเลือด !!!?


นปช. จะว่าจ้างผู้ตรวจสอบทางกฎหมายให้ลงพื้นที่ในระหว่างการชุมนุม และประสานกับเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องในประเทศไทย เพื่อประกันว่าหากมีรัฐประหารหรือความรุนแรงอันร้ายแรงเกิดขึ้น ประชาคมโลกต้องประณามและนำตัวคนที่มีส่วนรับผิดชอบมาลงโทษ และเมื่อกลุ่มผู้ให้การสนับสนุนทางการเงินต่อการเคลื่อนไหวนี้ถูกเปิดโปงต่อสาธารณชน นปช. มีแผนการเรียกร้องให้สมาชิกกว่า 14 ล้านคน เลิกอุดหนุนกลุ่มธุรกิจดังกล่าวในประเทศไทย...”

เสียงขู่ออกอากาศดังๆของนายโรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม ทนายมือหนึ่งด้านต่างประเทศของแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) แดงทั้งแผ่นดิน

ส่งสัญญาณให้รู้ว่างวดนี้ใครคิดจะทำอะไรไม่ง่าย

ถ้าปฏิวัติยึดอำนาจจะถูกสังคมโลกรุมประณามและไม่ให้การยอมรับ ถึงปิดประเทศได้แต่ก็ไม่มีใครคบหาสมาคมด้วย

ขณะที่กลุ่มทุนสนับสนุนการเคลื่อนไหวเพื่อให้เปลี่ยนแปลงโดยวิธีการนอกระบบก็ต้องหนาวๆร้อนๆกับคำขู่ว่าจะเปิดโปงรายชื่อเพื่อให้สมาชิกคนเสื้อแดงกว่า 14 ล้านคน บอยคอตไม่ซื้อ ไม่กิน ไม่ใช้บริการธุรกิจของกลุ่มทุนเหล่านั้น

ตัดฉากไปที่รัฐสภา นายก่อแก้ว พิกุลทอง ส.ส.บัญชีรายชื่อ นายวรชัย เหมะ ส.ส.สมุทรปราการ และ จ.ส.ต.ประสิทธิ์ ไชยศรีษะ ส.ส.สุรินทร์ พรรคเพื่อไทย ในฐานะแกนนำคนเสื้อแดง แท็กทีมกันมาเล่าฉากหลังความเคลื่อนไหวของม็อบไล่รัฐบาล

ขณะนี้พบว่ามีการวางแผนก่อเหตุ ซึ่งไม่ได้มาจากมือที่สาม แต่มาจากกลุ่มผู้ชุมนุมเอง โดยเป็นไปได้ 4 แนวทางคือ 1.ก่อเหตุการณ์คล้ายกับวันที่ 7 ต.ค. 2551 ที่กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยล้อมสภา จนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต จากนั้นเรียกร้องให้รัฐบาลรับผิดชอบ หากไม่ยอมจะก่อการจลาจล ตามด้วยให้ทหารออกมายึดอำนาจ

2.สร้างสถานการณ์ให้คนไทย 2 กลุ่ม เกิดการเผชิญหน้ากันจนบาดเจ็บล้มตาย และนำไปสู่การให้ทหารออกมา

3.ส่งคนเข้ามาแฝงตัวในสภาเพื่อก่อเหตุร้าย และ 4.ส่งคนเข้ามาแฝงและจับกุมตัว น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี

นอกจากนี้เชื่อว่าจะมียุทธการลักษณะคู่ขนาน การอภิปรายไม่ไว้วางใจของฝ่ายค้านจะมีเหตุวุ่นวายในสภา จนทำให้สังคมเห็นว่ากลไกในสภาไม่ทำงาน

เมื่อตั้งเป้าหมายไว้สูงว่าจะต้องทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงก็มีทางเดียวคือ ต้องทำให้เกิดความรุนแรงให้ได้มากที่สุด เพราะการชุมนุมปรกติล้มรัฐบาลไม่ได้

ฟังแล้วก็รู้สึกระทึกกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่วันข้างหน้า

ไม่รวมกับข่าวการตรวจพบว่ามีการเตรียมอาวุธสงคราม เช่น ระเบิด เอ็ม 79 เพื่อยิงใส่กลุ่มผู้ชุมนุมเพื่อสร้างเหตุจลาจล และอาจมีการยิงเข้ามาในสภาด้วย และยังทราบมาว่ามีทหารยศพลเอกชื่อย่อ น. สั่งให้คนไปซื้อเหล็กแป๊ป 100 ท่อน และไม้ตีหัวตะปู รวมถึงไม้ชนิดอื่นๆกว่าพันท่อน อยากถามว่าเตรียมไว้ทำอะไร

เร้าฉากบู๊ตะลุมบอนที่จะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่วันข้างหน้า

ร้อนถึงพรรคประชาธิปัตย์ที่ต้องออกหน้ามารับรองความชอบธรรมของม็อบไล่รัฐบาล

นายถาวร เสนเนียม รองหัวหน้าพรรค จวกตำรวจเละว่าใส่ร้าย ดูถูกประชาชนที่จะมาชุมนุมว่ารับค่าจ้างวันละ 300-1,500 บาท และมีแผนเคลื่อนไหวแบบดาวกระจายไปปิดล้อมสถานที่สำคัญต่างๆ

นายถาวรมั่นใจว่าการชุมนุมขับไล่รัฐบาลเป็นการรวมตัวของกลุ่มประชาชนคนไทยที่ทนไม่ได้กับการบริหารราชการแผ่นดินของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ที่ใช้นโยบายประชานิยมผลาญงบประมาณ เปิดช่องให้มีการทุจริตคอร์รัปชัน และทำ 2 มาตรฐาน มีการเล่นพรรคเล่นพวก

นอกจากรับประกันว่ามาด้วยใจ ยังมั่นใจว่าไม่มีมือที่สามสวมรอยเป็นแดงเทียมก่อเหตุปั่นป่วน มีแต่แดงฮาร์ดคอร์ที่จ้องลอบกัดผู้ชุมนุม โดยให้ดูสัญญาณของการสร้างสถานการณ์ง่ายๆว่าในช่วงชุมนุมมีบรรดาลูกหลานของคนตระกูลชินวัตรเดินทางออกนอกประเทศหรือไม่

ประทับตรารับรองล่วงหน้าว่าถ้ามีความรุนแรงก็ไม่ได้เกิดจากผู้ชุมนุม

จับสัญญาณจาก 2 ฝ่าย ทำให้มั่นใจได้ว่าโอกาสจะมีเหตุการณ์เลือดตกยางออกในการชุมนุมขับไล่รัฐบาลนั้นมีความเป็นไปได้มาก

ที่มา.หนังสือพิมพ์โลกวันนี้

**********************************************************************

วันพุธที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ปิดฉากอาเซียนซัมมิต ระอุโอบามา ยกสิทธิมนุษยชนฉะ ฮุนเซน ปินส์ฯ ฉุนเขมร ขวาง มะกันแก้พิพาททะเลจีนใต้ !!?


ปิดฉาก"อาเซียนซัมมิต"ระอุ"โอบามา"ยกสิทธิมนุษยชนฉะ"ฮุนเซน"-ปินส์ฉุนเขมรขวางมะกันแก้พิพาททะเลจีนใต้

รูดม่านประชุมอาเซียนบรรยากาศ ระอุ หลังโอบามายกปัญหาสิทธิมนุษยชนขึ้นหวดฮุน เซน พร้อมขู่อยากสัมพันธ์ราบรื่นต้องเร่งแก้ไข ขณะที่ กรณีพิพาททะเลจีนใต้ยังไร้ทางออกเหมือนเคย เหตุมังกรกันท่าลุงแซม และกัมพูชาหนุนจีน จนผู้นำตากาล็อกออกอาการฉุนขาด
       
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า การประชุมสุดยอดสมาคมประชาชาติเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรืออาเซียนซัมมิต ครั้งที่ 21 พร้อมด้วยการประชุมที่เกี่ยวข้องอื่นๆ อาทิ การประชุมสุดยอดเอเชียตะวันออก หรืออีสต์เอเชียซัมมิต และเสวนาอาเซียนโลก หรืออาเซียนโกลบอลไดอะล็อก เป็นต้น ซึ่งมีขึ้น ณ กรุงพนมเปญ เมืองหลวงของกัมพูชา ได้เสร็จสิ้นลงแล้ว เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา ตามเวลาท้องถิ่น
       
รายงานข่าวแจ้งว่า บรรยากาศการประชุมในช่วงวันสุดท้ายนี้ ดำเนินไปอย่างเคร่งเครียด โดยประธานาธิบดีบารัก โอบามา ผู้นำสหรัฐฯ คนแรกที่เยือนกัมพูชา ได้พบปะกับสมเด็จฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ที่พระราชวังสันติภาพ ซึ่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้หยิบยกประเด็นต่างๆ ขึ้นมาหารือกับสมเด็จฮุน เซน ได้แก่ ปัญหาสิทธิมนุษยชนในกัมพูชาที่ยังคงมีละเมิดกันอย่างรุนแรงอยู่ การคุมขังนักโทษการเมืองในเรือนจำที่มีอยู่เป็นจำนวนมาก รวมถึงการเลือกตั้งในกัมพูชาที่จะมีขึ้นในอนาคต ทางประธานาธิบดีโอบามา ได้กระตุ้นเตือนให้ดำเนินไปอย่างบริสุทธิ์ยุติธรรม ทั้งนี้ ผู้นำสหรัฐฯ ย้ำว่า การแก้ไขปัญหาสิทธิมนุษยชนในกัมพูชา จะช่วยส่งผลให้ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ กับกัมพูชา พัฒนาไปในทิศทางที่มั่นคงมากกว่าที่เป็นอยู่
       
ขณะที่ ประเด็นอื่นๆ ที่เป็นที่จับตามองมากที่สุด ได้แก่ ปัญหาพิพาทดินแดนทะเลจีนใต้ ส่งผลให้หลายฝ่ายคาดหวังว่า ประธานาธิบดีโอบามา จะสามารถเข้าไกล่เกลี่ยข้อพิพาทข้างต้นที่เกิดขึ้นระหว่างจีนกับหลายชาติสมาชิกในอาเซียน ได้แก่ ฟิลิปปินส์ เวียดนาม มาเลเซีย และบรูไน อย่างไรก็ตาม ปรากฎว่า นายเหวิน เจียเปา นายกรัฐมนตรีของจีน ได้แสดงท่าทีไม่เห็นด้วยต่อการที่จะให้นานาชาติที่ไม่ใช่ชาติสมาชิกอาเซียน เข้ามามีส่วนร่วมในการแก้ไขข้อพิพาทดังกล่าว พร้อมกันนี้ ก็ได้หยิบยกในข้อตกลงที่ทำไว้กับอาเซียนเมื่อปี 2545ที่ระบุให้จำกัดจำนวนชาติตัวแทนการเจรจาแก้ไขข้อพิพาท ทำให้ชาติสมาชิกอาเซียนไม่สามารถขอความช่วยเหลือจากสหรัฐฯ เข้ามาไกล่เกลี่ยได้ ประกอบกับที่ประชุมอาเซียนซัมมิตครั้งนี้ มีความเห็นไม่เป็นเอกฉันท์ และไม่สามารถออกแถลงการณ์ร่วมเพื่อแก้ไขข้อพิพาทเหมือนเช่นที่ผ่านมา ส่งผลให้ประธานาธิบดีเบนิกโน อาควิโน แห่งฟิลิปปินส์ แสดงความไม่พอใจอย่างรุนแรง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ที่ต่อสมเด็จฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชาที่แสดงท่าทีสนับสนุนจีน เป็นเหตุให้ประธานาธิบดีอาควิโน มีแผนการที่จะเชิญตัวแทนจากเวียดนาม มาเลเซีย และบรูไน ที่มีปัญหาพิพาทดินแดนกับจีน ไปหารือกันนอกรอบ

ที่มา.สยามรัฐ
///////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

ต้อนรับอเมริกากับจีน แล้วอย่าลืมอินเดีย !!?


ในรอบสัปดาห์นี้ ประเทศไทยคึกคักอย่างมากเนื่องจาก “แขกสำคัญ” ทั้งผู้นำสหรัฐและจีนต่างมาเยือนในเวลาไล่เลี่ยกัน เป็นสัญญาณอันดีว่าไทยต้องปรับตัวและหาจุดสมดุลทางการทูตระหว่างมหาอำนาจทั้งสองชาติของโลก เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประเทศ
แต่ในรอบสัปดาห์เดียวกัน นายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตร ยังได้หารือกับ “ผู้นำประเทศ” อีกคนหนึ่งที่สำคัญไม่แพ้กัน
นั่นคือนายมานโมฮัน ซิงค์ นายกรัฐมนตรีแห่งอินเดีย

ภาพจาก thaigov.go.th
แม้นายซิงค์ไม่ได้แวะมาเมืองไทย แต่ก็เข้าร่วมประชุมสุดยอดผู้นำเอเชียตะวันออก East Asian Summit ที่ประเทศกัมพูชาด้วยเช่นกัน นอกจากการหารือระดับพหุภาคีกับอาเซียนทุกชาติแล้ว นายซิงค์ยังมีกำหนดการเจรจาแบบทวิภาคีกับนายกรัฐมนตรีไทยอีกด้วย
เนื้อหาการเจรจาส่วนใหญ่เป็นเรื่องการพัฒนา “พื้นที่ด้านตะวันตก” ของไทย ตามแนวทาง Look East ของอินเดีย และ Look West ของประเทศไทย ซึ่งมี “พม่า” เป็นพื้นที่ตรงกลาง โดยเน้นหนักไปที่โครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมคือโครงการทางหลวงสามฝ่าย (ไทย พม่า อินเดีย) แต่ก็ยังมีข้อตกลงอื่นๆ เรื่องการค้าการลงทุนอีกด้วย
นอกจากการหารือกับนายกรัฐมนตรีอินเดียแล้ว นายกยิ่งลักษณ์ยังมีกำหนดหารือทวิภาคี กับ นายเต็ง เส่ง ประธานาธิบดี สหภาพเมียนมาร์ ในเรื่องท่าเรือทวายด้วยเช่นกัน
การพบปะกับผู้นำชาติที่อยู่ทาง “ตะวันตก” ของประเทศไทยทั้งสองชาติ เป็นสัญญาณที่ดีว่าไทยเองก็ต้องให้ความสำคัญกับพื้นที่ฝั่งทะเลอันดามันมากขึ้น หลังจากที่ถูกปิดกั้นทาง “มายาคติ” มานานว่าพรมแดนด้านตะวันตกของไทยคือพม่า ชาติคู่แค้นในอดีต และชาติล้าหลังในปัจจุบัน
ไทยต้องเปลี่ยนความคิดเสียใหม่ มองพรมแดนด้านตะวันตกให้เป็น “โอกาส” ของการค้าและการลงทุน ใช้จังหวะที่พม่ากำลังเปิดประเทศเชื่อมโยงไปยังอินเดีย มหาอำนาจอีกรายของเอเชีย
Thailand Look West to India
พื้นที่การพัฒนาฟากตะวันตกของประเทศไทย  ด้านทะเลอันดามันและอ่าวเบงกอล อยู่ภายใต้องค์กรความร่วมมือ BIMSTEC (Bay of Bengal Initiative for MultiSectoral Technical and Economic Cooperation) ซึ่งมีประเทศสมาชิกคือ ไทย พม่า บังกลาเทศ ภูฏาน เนปาล อินเดีย และศรีลังกา ซึ่งประเทศในกลุ่มมีการประชุมระดับรัฐมนตรีกันเป็นระยะ แต่ความสำคัญยังไม่มากนักเมื่อเทียบกับความร่วมมือทางเศรษฐกิจของกลุ่มความร่วมมืออื่นๆ
อินเดียถือเป็นมหาอำนาจของเอเชียอีกประเทศหนึ่ง ควบคู่ไปกับจีนและญี่ปุ่น ถึงแม้ว่าอินเดียจะอยู่ใกล้ชิดกับภูมิภาคอินโดจีน แต่กลับไม่มีทางเชื่อมถึงกันยกเว้นผ่านพม่า ดังนั้นไทยควรใช้ประโยชน์ทางภูมิรัฐศาสตร์ และความสัมพันธ์ที่ดีกับประเทศอินเดีย ขยายความร่วมมือทางการค้าและเศรษฐกิจให้มากขึ้นด้วย
ข้อมูลจาก สำนักข่าวแห่งชาติ และ MCOT
ที่มา.Siam Intelligence Unit
/////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

สู่การสร้างประวัติศาสตร์ ความร่วมมือ ลาว-เวียดนาม !!?


ลาวและเวียดนาม สถาปนาความสัมพันธ์ทางประวัติศาสตร์ โดยการจัดตั้งโครงการ “ประวัติศาสตร์การต่อต้านเจ้าอาณานิคมฝรั่งเศส และจักรวรรดินิยมอเมริกาผู้รุกราน ของกองกำลังติดอาวุธและบรรดาชนเผ่าแขวงภาคกลางของลาว
สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว และสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม มีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นต่อเนื่อง ซึ่งเป็นผลมาจากการร่วมรบเพื่อเรียกร้องเอกราชจากฝรั่งเศสในช่วงระหว่างปี ค.ศ. 1945-1975 โดยความสัมพันธ์นี้ สามารถเห็นได้จากการให้เกียรติ เยี่ยมเยือนระหว่างตัวแทนการนำของทั้งลาวและเวียดนาม รวมถึงการเข้ามาลงทุนในลาวของกลุ่มทุนเวียดนาม เช่น ธนาคารร่วมพัฒนาลาว-เวียดนาม, การร่วมก่อตั้งตลาดหลักทรัพย์ลาว และการก่อสร้างโครงการถนนเชื่อมสายสำคัญ รวมถึงแผนเครือข่ายรถไฟความเร็วสูงระหว่างลาวกับตอนกลางของเวียดนามเป็นสายแรก
นอกจากประเด็นทางเศรษฐกิจนั้น ยังเป็นที่น่าสนใจว่า ทางการลาวและเวียดนาม ได้ส่งเสริมความสำคัญทางการศึกษาประวัติศาสตร์ และสังคม โดยเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา กระทรวงป้องกันประเทศแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ร่วมกับกระทรวงป้องกันประเทศของสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม ร่วมกันจัดตั้งโครงการ “ประวัติศาสตร์การต่อต้านเจ้าอาณานิคมฝรั่งเศส และจักรวรรดินิยมอเมริกาผู้รุกราน ของกองกำลังติดอาวุธและบรรดาชนเผ่าแขวงภาคกลางของลาว (1945-1975)” และ “โครงการสรุปขั้นตอนการเคลื่อนไหวทางการทหารเพื่อปลดปล่อยพูเพียงบอลิเวน (1970-1971)” ตั้งแต่ปี 2010 เป็นต้นมา และได้สำเร็จโครงการสมบูรณ์ในปี 2012 นี้
ในพิธีการรับมอบเอกสารโครงการทั้งสอง ณ กระทรวงการป้องกันประเทศ สหายพลตรี จันสะหมอน จันยาลาด กรรมการศูนย์กลางพรรค รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงป้องกันประเทศ ได้ลงนามร่วมกับสหายเหงียนแทงกุง กรรมการศูนย์กลางพรรค รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงป้องกันประเทศแห่งสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม โดยโครงการทั้งสองเป็นการร่วมลงมือศึกษาค้นคว้าระหว่างนักประวัติศาสตร์ลาวและเวียดนาม ในเรื่องของการต่อต้านเจ้าอาณานิคมฝรั่งเศส และจักรวรรดินิยมอเมริกาที่มารุกราน ระหว่างปี 1945-1975 ความยาวทั้งหมด 450 หน้า พร้อมกันนี้ยังมีแผนที่ แผนผัง รูปภาพที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ ส่วนในโครงการสรุปขั้นตอนการปลดปล่อยพูเพียงบอลิเวนนั้น เป็นการศึกษาประวัติศาสตร์เชิงยุทธศาสตร์การทหาร
ซึ่งโครงการดังกล่าว จะนำไปประยุกต์ปรับปรุงบรรจุลงเป็นหลักสูตรในการศึกษาวิชาสังคมศึกษาและประวัติศาสตร์ ของนักเรียนนักศึกษาของลาวและเวียดนาม รวมถึงจัดพิมพ์เป็นหนังสืออ้างอิงให้แก่ผู้สนใจศึกษาต่อไป
นอกจากนี้ ทางกรมสำเนาเอกสารของทั้งสองประเทศ ยังได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจ เพื่อร่วมมือการส่งเสริมสนุนสนุนการศึกษาและอบรมให้แก่พนักงานรัฐการของลาว ไปศึกษาต่อ ณ ประเทศเวียดนามในระดับชั้นปริญญาตรี-โท และการอบรมระยะสั้น 1-3 เดือน เพื่อแลกเปลี่ยนบัญชีเอกสารที่เกี่ยวข้องกับสายสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศ แลกเปลี่ยนข้อมูลเอกสารวิชาการ สำเนาเอกสารที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ และข่าวสารการเคลื่อนไหวในวงวิชาการอีกด้วย
โดยโครงการต่างๆ ถือเป็นการเฉลิมฉลองปีสามัคคีมิตรภาพระหว่างลาว-เวียดนาม ที่ได้เจริญสัมพันธไมตรี และร่วมต่อสู้กับเจ้าอาณานิคมและจักรวรรดินิยมมาเป็นเวลา 50 ปี คือตั้งแต่ปี 1962 – 2012

เกร็ดภาษาลาววันนี้ เสนอคำว่า ພົວພັນ (พัวพัน) : สัมพันธ์, เกี่ยวข้อง, concern, relate
ประเทศลาวและเวียดนาม ถือว่าเป็นสองประเทศที่มีความ ພົວພັນ ต่อเนื่อง โดยการนำของพรรคคอมมิวนิสต์ หรือพรรคประชาชนปฏิวัติ ที่มีความ ພົວພັນ ช่วยเหลือกันในการต่อสู้กับชาติตะวันตกในยุคสงครามเย็น

ที่มา:

////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันอังคารที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

วัดกันที่ลูกบ้าไม่กล้า ไม่แรง ก็จบเห่ !!?


ส่งสัญญาณสงครามครั้งสุดท้ายชัดขึ้นเรื่อยๆระหว่างฝ่ายต่อต้านกับลูกข่ายทักษิณ

การเคลื่อนไหวสุดสัปดาห์นี้เป็นอะไรที่น่าติดตามว่าคนไทยจะได้ออกไปลอยกระทงกันอย่างสบายใจหรือไม่

“...ทุกอย่างจะต้องยุติในการชุมนุมวันที่ 24-25 พ.ย. และจะไม่มีการนัดชุมนุมอีกเป็นครั้งที่ 3...”

เป็นเสียงประกาศอย่างชัดถ้อยชัดคำจากแกนนำชุมนุมขับไล่รัฐบาลนายกฯยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อย่าง พล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ หรือ เสธ.อ้าย

แล้วก็เป็นอะไรที่ต้องเปิดหน้าเล่น เลิกเหนียมอายหลบอยู่หลังฉาก หลังถูกนายห้างดูไบห่อโฟนอินเข้ามาแฉว่ามีส่วนร่วมเคลื่อนไหวโค่นล้มรัฐบาลชุดนี้

พล.ร.อ.พะจุณณ์ ตามประทีป อดีตหัวหน้าสำนักงานมูลนิธิรัฐบุรุษ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี ออกมายอมรับตรงๆว่าวันที่ 24 พ.ย. จะไปร่วมม็อบขับไล่รัฐบาลที่ลานพระบรมรูปทรงม้าแน่นอน

แม้จะบอกว่าแค่ไปร่วม ไม่ขึ้นเวทีปราศรัย และเป็นการไปในนามส่วนตัว ไม่เกี่ยวอะไรกับประธานองคมนตรี

ที่ไปเพราะความรักชาติ ขอเป็นทหารแก่ที่จะไม่มีวันตายไปจากการรักชาติบ้านเมือง ห่วงใยกองทัพ ปกป้องสถาบัน แต่ก็ห้ามความคิดของฝ่ายตรงข้ามไม่ได้ว่าอาจมีความผูกโยงไปถึงตัวประธานองคมนตรี

ประหนึ่งว่า “มองพะจุณณ์เห็นป๋าเปรม” ยังไงยังงั้น

ยิ่งเจ้าตัวออกงานนั่งเล่นเปียโนโชว์ลูกคอร้องเพลงชิลๆในอารมณ์ ทำให้ใครหลายคนนึกย้อนไปถึงวันเก่าๆ เพราะนี่มันซีนคุ้นๆเหมือนเคยเห็นทุกครั้งก่อนมีการโค่นล้มเครือข่ายทักษิณ

การเมืองนอกสภาได้เวลาเปิดหน้าเล่น ใครเป็นใคร คิดอะไร อย่างไร ได้เห็นกันชัดเจน

หันไปมองการเมืองในสภาก็ช่างเหมาะเจาะ ช่วยปั่นอุณหภูมิให้สูงขึ้นได้อย่างไม่ต้องสงสัย เมื่อนายนิคม ไวยรัชพานิช ประธานวุฒิสภา บรรจุญัตติซักฟอกรัฐบาลของ ส.ว. เครือข่ายการเมืองนอกสภาให้ได้อภิปรายกันในวันที่ 23-24 พ.ย. นี้

ตรงกับการชุมนุมใหญ่ไล่รัฐบาลพอดิบพอดี

หมดจากการอภิปรายของ ส.ว. ก็ต่อคิวด้วยการซักฟอกของพรรคประชาธิปัตย์ที่ถือเป็นไฟท์บังคับต้องจัดหนักจัดเต็มใส่รัฐบาลแบบไม่ยั้งมือ เพราะการเมืองหลังศึกซักฟอกเดิมพันสูง

หากไม่ระคายผิวรัฐบาล นายกฯยิ่งลักษณ์ยังอยู่ในตำแหน่งได้ต่อไป พรรคประชาธิปัตย์คงไม่ได้ผุดได้เกิดทางการเมืองไปอีกนาน

ดูแนวโน้มว่ามีความเป็นไปได้ไม่น้อย เพราะถึงยังไงการเมืองในสภาก็โค่นล้มรัฐบาลไม่ได้ ต้องอาศัยการเมืองนอกสภา และอาศัยมือขององค์กรอิสระ

การเมืองนอกสภาแม้จะสร้างความหวาดหวั่นให้รัฐบาลได้ แต่หากไม่มีลูกบ้าเหมือนครั้งปิดล้อมรัฐสภา ยึดทำเนียบรัฐบาล ยึดสนามบิน หรือยึดอำนาจ โอกาสโค่นล้มเครือข่ายทักษิณแทบเป็นไปไม่ได้เลย

เลวร้ายที่สุดแม้นายกฯยิ่งลักษณ์ต้องลาออกเพราะถูกองค์กรอิสระที่ไหนสักองค์กรชี้มูลความผิด แต่การเลือกนายกฯคนใหม่ในสภาก็จะได้คนของพรรคเพื่อไทยอยู่ดี เพราะมี ส.ส. พรรคเดียวเกินครึ่ง

หากคิดจะใช้วิธีเก่าเรียกแกนนำกลุ่มต่างๆไปข่มขู่ให้ย้ายข้างมาสนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์เหมือนคราวที่แล้วก็เป็นไปได้ยาก เพราะคนที่อยู่กับพรรคเพื่อไทยทุกวันนี้จัดเป็นพวกเลือดแท้ ไม่ทิ้งพรรค

ภารกิจทลายห้างโค่นล้มเครือข่ายทักษิณเที่ยวนี้เดิมพันจึงสูงปรี๊ด หากไม่บรรลุผลตามเป้า โอกาสแช่แข็งประเทศร่างกติกาตามที่ต้องการแทบปิดประตูล็อกตาย

เมื่อเดิมพันสูง และเป็นสงครามครั้งสุดท้าย โอกาสที่จะเล่นแรงๆก็เป็นไปได้สูงอย่างไม่ต้องสงสัย

แต่จะแรงในระดับไหน อย่างไร ยังยากที่จะประเมิน

ที่มา.หนังสือพิมพ์โลกวันนี้
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ไอเอ็มเอฟ ชม ธปท.ฉลาดใช้เป้าหมายเเงินเฟ้อ !!?



ไอเอ็มเอฟ ชื่นชมแบงก์ชาติฉลาด ใช้กรอบเป้าหมายเงินเฟ้อ พร้อมอัตราแลกเปลี่ยนยืดหยุ่นตามกลไกตลาด ช่วยลดทอนผลกระทบจากภาวะช็อกทางศก.

กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) ได้เผยแพร่งานวิจัยล่าสุดเรื่อง “Shock Therapy! What Role for Thai Monetary Policy?” ซึ่งศึกษาถึงบทบาทและประสิทธิภาพการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารแห่งประเทศไทย ในช่วงที่เกิดภาวะช็อกทางเศรษฐกิจ 3 ครั้ง ได้แก่ วิกฤติการเงินโลกในช่วงปี 2551-2552 เหตุการณ์แผ่นดินไหวใน ญี่ปุ่นในช่วงต้นปี 2554 และมหาอุทกภัยในประเทศในช่วงปลายปี 2554

งานวิจัยเริ่มอธิบายจากพายุหนักลูกแรกจากวิกฤติการเงินโลกพัดกระหน่ำแรงขึ้น เมื่อการล้มของเลแมนบราเดอร์ส สะเทือนมาถึงไทยในปลายปี 2551 ก่อเกิดภาวะช็อกครั้งแรก ช่วงแรกได้รับผลกระทบ ผลประกอบการภาคส่งออกยังมีความยืดหยุ่น ด้วยอัตราโตเฉลี่ยกว่า 10% ช่วงปี 2549-2550 และช่วยให้การเติบโตของจีดีพีแท้จริงแข็งแกร่ง แต่สถานการณ์เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทำให้ส่งออกไทยทรุดในไตรมาสสุดท้ายปี 2551 ตามหลังการล้มพังพาบของการค้าโลก

ขณะเดียวกัน นักลงทุนต่างชาติพากันถอนตัว ซึ่งมาพร้อมกับความผันผวนเพิ่มขึ้นมากในตลาด และตามด้วยดัชนีตลาดสำคัญๆ ลดลงอย่างมาก บวกกับการใช้มาตรการกระตุ้นทางการคลังอย่างต่อเนื่อง ธปท. ปรับลดดอกเบี้ยลง 2.5% ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายแตะระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 1.25%

ไอเอ็มเอฟ ระบุว่า ไทยยังเผชิญภาวะช็อกครั้งใหญ่อีก 2 ครั้ง ในปี 2554 โดยภาวะช็อกครั้งแรกเป็นเหตุแผ่นดินไหวทำให้เกิดภัยจากคลื่นสึนามิครั้งใหญ่เมื่อเดือนมี.ค. ในญี่ปุ่น ไทยได้รับผลกระทบเป็นพิเศษ เนื่องจากญี่ปุ่นเป็นแหล่งสำคัญในการผลิตสินค้าคงทน และสินค้าระดับกลาง มีความซับซ้อนให้ไทย สินค้าเหล่านี้มีสัดส่วนกว่า 90% ของส่วนประกอบบางอย่าง และเพราะความเป็นผู้ผลิตกับซัพพลายเชนที่เน้นสินค้าปลายน้ำกับความเชี่ยวชาญพิเศษ เป็นเหตุให้การผลิตของไทยสะดุดลงอย่างฉับพลันและชะลอตัว

สำหรับภาวะช็อกครั้งที่ 2 ในปี 2554 เป็นปัญหาน้ำท่วมครั้งรุนแรงที่สุดในรอบ 50 ปี ซึ่งเกิดช่วงเดือนส.ค. จนถึงเดือนพ.ย.ปีที่แล้ว ในช่วงเวลาดังกล่าวมีผู้เสียชีวิตกว่า 800 ราย และคนไทยหลายล้านคน ไร้ที่อยู่อาศัยและต้องอพยพออกจากพื้นที่พำนักอยู่ใน 66 จังหวัด ประมาณ 1 ใน 3 ของประเทศเผชิญภาวะน้ำท่วม ซึ่งรวมถึงจังหวัดอยู่ในภาคการผลิต ทั้งการผลิตรถยนต์และชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ฉุดการเติบโตจีดีพีระดับ 7.8% ในปี 2553 เหลือเพียง 0.1% ในปี 2554 หลังจากจีดีพีไตรมาสสุดท้ายของปีที่แล้วที่มีสัดส่วน 50% ของการคำนวณหาจีดีพีทั้งปี หดตัวมากถึง 11%

รัฐบาลไทยตอบสนองต่อสถานการณ์น้ำท่วม ด้วยการกำหนดนโยบายครอบคลุม รวมถึงการใช้มาตรการกระตุ้นทางการคลัง การวางแผนการลงทุนในสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน และทาง ธปท. ได้ปรับลดดอกเบี้ยลง 0.50% เพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวให้เกิดขึ้นต่อเนื่อง

ในงานวิจัยของไอเอ็มเอฟ พบว่า ช่วงที่เศรษฐกิจไทยได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ต่างๆ ข้างต้น นโยบายการเงินภายใต้ “กรอบเป้าหมายเงินเฟ้อแบบยืดหยุ่น” (Flexible Inflation Targeting : FIT) ที่ชัดเจนน่าเชื่อถือ และอัตราแลกเปลี่ยนที่สามารถเคลื่อนไหวได้ยืดหยุ่นตามกลไกตลาด มีส่วนสำคัญในการลดทอนผลกระทบและสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยในช่วงเวลาดังกล่าว

โดยไทยนำเอฟทีไอมาใช้อย่างเป็นทางการในเดือนพ.ค. ปี 2543 ความสอดคล้องกับเป้าหมายนี้คือปล่อยอัตราแลกเปลี่ยนลอยตัว เป้าหมายหลักของธปท.เพื่อให้แน่ใจเศรษฐกิจไทยมีเสถียรภาพด้านราคา ซึ่งกำหนดให้ต่ำกับเงินเฟ้อคงที่ อย่างไรก็ตาม ธปท.ได้ดำเนินการพิจารณาพัฒนาการเรื่องต่างๆ อย่างรอบคอบ ให้เหมาะสมกับการเติบโตและเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ หลังจากนำกรอบงานนโยบายการเงินใหม่มาใช้ เศรษฐกิจไทยช่วงปี 2544-2550 มีอัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยต่อปีอยู่ที่ 2.6% และจีดีพีขยายตัวเฉลี่ยต่อปี 5.1%

ในบทวิจัยทางเจ้าหน้าที่ไอเอ็มเอฟ ประมาณการว่า หากประเทศไทยไม่ได้ใช้กรอบเป้าหมายเงินเฟ้อแบบยืดหยุ่น หรือ เอฟไอที และมีอัตราแลกเปลี่ยนที่ยืดหยุ่น แต่ใช้กรอบอื่นเช่น กรอบนโยบายอัตราแลกเปลี่ยนคงที่ จะทำให้เศรษฐกิจไทยในช่วงเหตุการณ์ดังกล่าวได้รับผลกระทบรุนแรงกว่า ที่เกิดขึ้น กล่าวคือ อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจจะต่ำกว่าที่เกิดขึ้นจริงถึง 3.7% ซึ่งถือเป็นอัตราที่สูงเมื่อเทียบกับปกติที่เศรษฐกิจไทยเติบโตอยู่ที่ประมาณ 5% ต่อปี

งานศึกษาของ ไอเอ็มเอฟ ชิ้นนี้ ยังให้ข้อสังเกตว่า กรอบ เอฟไอที นอกจากจะมีส่วนช่วยให้เศรษฐกิจไทยมีเสถียรภาพอัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับต่ำแล้ว กรอบนโยบายนี้ยังมีความยืดหยุ่นพอ เพราะไม่ได้มุ่งแค่เป้าหมายแคบๆ ในระยะสั้นแต่เน้นเป้าหมายเป็นกรอบกว้างในระยะปานกลาง จึงทำให้มีความยืดหยุ่นพอที่จะใช้ดูแลการเติบโตของเศรษฐกิจและลดความผันผวนระยะสั้น โดยเฉพาะเมื่อเศรษฐกิจได้รับผลกระทบจากภายนอกได้

งานวิจัยนี้ยังได้ยกตัวอย่างการตัดสินใจของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในช่วงปลายปี 2551 ที่ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายรวม 2.5% จาก 3.75% ไปอยู่ที่ 1.25% ต่อปี ถือเป็นอัตราต่ำเป็นประวัติการณ์ รวมทั้งการปล่อยให้ค่าเงินบาทสามารถเคลื่อนไหวได้ตามกลไกตลาด ว่า การดำเนินนโยบายการเงินดังกล่าวมีส่วนช่วยรองรับผลจากวิกฤติเศรษฐกิจโลกได้มาก

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
//////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////