--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันพุธที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2555

“พรรคการเมืองทางเลือก” มีจริงหรือ? แค่กระแส หรือ ของจริง?

โดย จิตติพร ฉายแสงมงคล
ชื่อบทความเดิม “โอกาสและความจำเป็นของพรรคทางเลือก- ทางที่ควรเลือก?”

ยิ่งใกล้วันเลือกตั้งประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกาขึ้นมาเท่าใดคำถามเรื่องพรรคทางเลือกก็ยิ่งดังขึ้นมากเท่านั้นพรรคที่สามหรือแม้แต่ผู้สมัครอิสระเป็นหัวข้อที่ถกเถียงในสหรัฐอเมริกากันมาอย่างยาวนานแต่ดูเหมือนว่าจะเป็นไปได้ยากว่าจะมีพรรคใดสามารถเบียดพรรคใหญ่ทั้งสองได้

เนื่องจากประวัติศาสตร์การเมืองรวมทั้งระบบการเลือกตั้งของสหรัฐอเมริกาแบบfirst-past-the-post (ผู้สมัครซึ่งได้คะแนนเลือกตั้งมากที่สุดได้รับเลือก) เป็นปัจจัยทำให้เกิดระบบสองพรรคขึ้น (1)
เลือกพรรคทางเลือก ภาพจาก http://whataboutpeace.blogspot.com/
เลือกพรรคทางเลือก ภาพจาก http://whataboutpeace.blogspot.com/

หันกลับมาดูในประเทศไทยซึ่งก็ใช้ระบบผู้สมัครซึ่งได้คะแนนเลือกตั้งมากที่สุดได้รับเลือกเช่นกัน(การเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อเพิ่งเพิ่มมาหลังปีพ.ศ.2540) แต่ที่นั่งในสภาก็ไม่ได้เป็นแค่ของสองพรรคแต่อย่างใดบ้านเรามีประวัติศาสตร์ที่ยาวนานของการจับมือกันของพรรคการเมืองเพื่อจัดตั้งรัฐบาลผสมจะมีก็ช่วงหลังที่ระบบพรรคการเมืองไทยเริ่มมีแนวโน้มจากแบบหลายพรรคเป็นระบบสองพรรคมากขึ้น
คำถามเรื่องพรรคทางเลือกจึงมีมากขึ้นในช่วงนี้สำหรับสหรัฐอเมริกาพรรคทางเลือกคือพรรคอื่นนอกเหนือจากพรรคเดโมแครตกับพรรครีพับลิกันสำหรับประเทศที่มีรัฐบาลผสมอย่างเยอรมนีพรรคทางเลือกเป็นพรรคที่มีคนเลือกน้อยซึ่งอาจจะนับพรรคที่ไม่มีผู้แทนเข้าไปนั่งในสภาเพราะได้รับคะแนนเสียงไม่เกินห้าเปอร์เซ็นของคะแนนเสียงทั้งหมดทั้งนี้การจะเรียกพรรคใดว่าพรรคทางเลือกในประเทศที่มีรัฐบาลผสมนั้นไม่มีข้อกำหนดที่แน่นอน[2]

ถ้ามาดูผลการเลือกตั้งของประเทศไทยเมื่อปี2554จะเห็นได้ว่าพรรคเพื่อไทยและประชาธิปัตย์คือพรรคใหญ่สองพรรคที่กวาดที่นั่งรวมกันไปเกือบ85% ของที่นั่งทั้งหมดโดยมีพรรคภูมิใจไทยและชาติไทยพัฒนาที่ตามมาห่างๆที่6.8% และ3.8% ตามลำดับซึ่งผู้เขียนคิดว่าพรรคทั้งสองนี้น่าจะจัดอยู่ในหมวดพรรคทางเลือกเช่นเดียวกับพรรคเล็กอื่นๆ

ในการเลือกตั้งครั้งนี้อาจมีหลายคนตั้งคำถามกับตัวเองว่าแล้วครั้งต่อไปจะเลือกพรรคเหล่าดีไหมหรือควรจะสนับสนุนมีพรรคทางเลือกมากขึ้นหรือเปล่าเพราะดูๆไปแล้วพรรคเหล่านี้ไม่น่าจะมีบทบาททางการเมืองมากนักสู้ไปเลือกพรรคใหญ่ที่มีโอกาสเป็นรัฐบาลได้จะดีเสียกว่า


พรรคใหญ่สองพรรคของประเทศไทย ภาพจากarticle.wn.com
พรรคใหญ่สองพรรคของประเทศไทย ภาพจากarticle.wn.com

อย่างที่เกริ่นไว้ในตอนแรกว่าแม้แต่ประเทศที่เป็นระบบสองพรรคเต็มตัวอย่างสหรัฐอเมริกาก็มีการถกเถียงเรื่องพรรคที่สามเป็นวงกว้างแน่นอนว่าระบบสองพรรคมีผลดีต่อเสถียรภาพในการปกครองและประสิทธิภาพในการทำงานของรัฐ

แต่ข้อเสียคือประชาขนมีทางเลือกที่จำกัดบล็อคเกอร์ทางการเมืองหลายท่านเคยเปรียบเทียบไว้ว่าพรรคใหญ่ทั้งสองของสหรัฐฯเน้นเรื่องเสรีทางการค้าแต่พอเป็นเรื่องการเลือกตั้งประชาชนกลับมีตัวเลือกเพียงสองพรรคจริงๆแล้วสหรัฐฯก็มีพรรคทางเลือกเช่นกันส่วนใหญ่จะได้รับเลือกให้เข้าไปบริหารระดับท้องถิ่นเช่นพรรคกรีน, Libertarian Party, Reform Party เป็นต้น[3]

ถ้าหันมามองประเทศในแถบยุโรปจะเห็นได้ว่าพรรคทางเลือกมีบทบาทสำคัญในการจัดตั้งรัฐบาลไม่น้อยเช่นสหราชอาณาจักรก็มีพรรคLiberal Democrat เป็นพรรคที่สามที่มีสัดส่วนที่นั่งในสภาสามัญชนเกือบ10% จากการเลือกตั้งในปีค.ศ. 2010 และทำให้พรรคอนุรักษ์นิยมได้เข้าไปเป็นรัฐบาลแทนพรรคแรงงานที่มีคะแนนเสียงมากกว่า

พรรคทางเลือกมักจะมีนโยบายที่แตกต่างจากพรรคใหญ่อย่างเห็นได้ชัด(ถ้าเห็นด้วยทั้งหมดคงไม่ขวนขวายที่จะตั้งพรรคใหม่) ส่วนใหญ่เป็นเพราะมีอุดมการณ์ทางการเมืองที่ต่างออกไป(สังคมนิยมหรือเสรีนิยม) หรือเรียกร้องในเรื่องที่พรรคใหญ่เมินเฉยหรือเป็นเรื่องที่กระทบคนกลุ่มน้อยในสังคมด้วยเหตุนี้พรรคทางเลือกส่วนหนึ่งจึงได้ชื่อว่าเป็น Single-Issue Party ชูนโยบายหลักอย่างเดียวพรรคทางเลือกเหล่านี้แม้จะไม่เคยจะมีโอกาสเข้าไปนั่งปริหารประเทศจริงๆจังๆแต่ได้ทิ้งร่องรอยทางการเมืองไว้มากมาย

ปัจจัยหนึ่งอาจเป็นเพราะพรรคทางเลือกมักเป็นพวก”หัวก้าวหน้า” มีวิสัยทัศน์ที่ไกลกว่าพรรคใหญ่เรื่องที่พวกเขาผลักดันก็อาจเป็นเรื่องที่ประชาชนส่วนใหญ่และพรรคใหญ่ยังไม่ตระหนักในตอนนั้นแต่ในเวลาต่อมาเรื่องนั้นอาจเป็นเรื่องที่มีความสำคัญระดับชาติก็ได้

ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือนโยบายและข้อกฎหมายหลายอย่างที่คนอเมริกันทุกวันนี้คิดว่าเป็นเรื่องปกติไม่ว่าจะเป็นเรื่องการให้ผู้หญิงมีสิทธิ์ออกเสียงเลือกตั้งห้ามไม่ให้เด็กต้องทำงานลดชั่วโมงทำงานลงเหลือ40 ชั่วโมงต่อสัปดาห์หรือระบบประกันสังคมล้วนมาจากข้อเสนอต่างๆของพรรคทางเลือกในสหรัฐฯในช่วงคาบเกี่ยวระหว่างศตวรรษที่19-20 ทั้งสิ้น พรรคเหล่านี้เป็นพรรคที่มีอุดมการณ์ทางการเมืองต่างจากพรรคใหญ่ตัวอย่างเช่นพรรคSocialist [4]

อีกบทบาทหนึ่งของพรรคทางเลือกคือการเริ่มจากนโยบายใหม่เรื่องเดียวก่อนเช่นพรรคกรีนของเยอรมนีที่ก่อตั้งเมื่อปีค.ศ.1980 โดยเน้นเรื่องสิ่งแวดล้อมเป็นหลักในปีค.ศ.1983 พรรคกรีนได้รับเสียงมากที่จะเข้าไปนั่งในสภาได้โดยไม่มีใครคาดคิดซึ่งเป็นปรากฎการณ์ที่คล้ายกับพรรคไพเรตเยอรมนีที่สามารถเข้าไปนั่งในสภารัฐท้องถิ่นของเยอรมันได้ในปีค.ศ. 2011

ปรากฏการณ์แบบนี้เป็นการปลุกพรรคใหญ่ให้ตื่นขึ้นมามองนอกกรอบความคิดของตนเองเมื่อพรรคเล็กที่เน้นนโยบายแค่เรื่องเดียวได้รับความสนใจจากประชาชนมากขนาดนั้นมันก็เหมือนเป็นสัญญาณเตือนให้พรรคใหญ่ได้รู้ว่านโยบายของตนนั้นบกพร่องในจุดใดบ้างสำหรับนโยบายเรื่องสิ่งแวดล้อมของพรรคกรีนนั้นถือว่าประสบความสำเร็จในเยอรมนีมากตอนนี้พรรคการเมืองทุกพรรคจะต้องมีนโยบายเรื่องสิ่งแวดล้อมอยู่ในกระเป๋า

แม้แต่การที่ประเทศอุตสาหกรรมอย่างเยอรมนีประกาศจะเลิกใช้พลังงานนิวเคลียร์แล้วหันมาใช้พลังงานทดแทนก็น่าจะถือได้ว่าเป็นอานิสงค์จากการรณรงค์และสร้างจิตสำนึกด้วยนโนบายของพรรคกรีนส่วนความสำเร็จพรรคไพเรตที่ทุกคนเคยมองด้วยความขบขันก็สามารถเปิดตาพรรคใหญ่ให้หันมาสนใจเรื่องเสรีภาพในโลกอินเทอร์เน็ตมากขึ้น

 ผู้นำพรรคเขียวเดินประท้วงต่อต้านโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ในปี 2008 ภาพโดย Paula Schramm

ผู้นำพรรคเขียวเดินประท้วงต่อต้านโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ในปี 2008 ภาพโดย Paula Schramm
ถ้าพรรคใหญ่เห็นดีกับนโยบายใหม่แล้วปรับนโยบายของตนให้เหมือนกับพรรคทางเลือกแล้วพรรคทางเลือกจะอยู่ได้ไหม? คำตอบน่าจะอยู่ที่ตัวพรรคทางเลือกเองมากกว่าพรรคที่มีนโยบายด้านเดียวอย่างเช่นพรรคกรีนน่าจะได้รับผลกระทบจากการถูก”กลืน” (co-opt) มากกว่าพรรคที่มีอุดมการณ์ทางการเมืองต่างจากพรรคใหญ่เช่นพรรคสังคมนิยมหรือเสรีนิยมแต่เราก็จะเห็นได้ว่าพรรคกรีนก็ยังคงอยู่มาถึงทุกวันนี้

นับเป็นเวลากว่า30 ปีแล้วแถมยังมีพรรคกรีนเพิ่มขึ้นในประเทศอื่นๆทั่วโลกรวมถึงในสหรัฐฯด้วยน่าจะเป็นว่าเพราะทางพรรคไมใช่แค่พรรคที่ชูนโยบายเดียวอีกต่อไปแต่มีนโยบายครอบคลุมมากขึ้นนอกจากนี้นโยบายในหลายๆด้านก็ยังมีความเป็นหัวก้าวหน้ามากกว่าพรรคอื่นๆในเยอรมนีอยู่ดีอาจจะเรียกได้ว่าพรรคกรีนได้สร้างอุดมการณ์ทางการเมืองที่เป็นเอกลักษณ์ของตนเองขึ้นมาก็ว่าได้

สำหรับพรรคทางเลือกที่ถูกพรรคใหญ่ดูดกลืนนโยบายแล้วหายจากวงการเมืองไปเลยก็มีเช่นกันกรณีนี้ถือว่าพวกเขาล้มเหลวหรือไม่? ถ้าพรรคเหล่านี้ทำให้ประชาชนรวมทั้งพรรคการเมืองใหญ่หันมาสนใจในประเด็นที่เขายกขึ้นมาเสนอได้รวมทั้งนำประเด็นนั้นเข้าไปใส่ในนโยบายของพรรคหลักๆได้ก็ถือว่าพรรคทางเลือกนั้นได้บรรลุเป้าหมายแล้วแม้ว่าพรรคทางเลือกนั้นจะเสียฐานคะแนนไปในที่สุดก็ตาม
“Third parties usually lose the battle but, through cooptation, they win the war”
“พรรคทางเลือกมักจะแพ้ในสนามรบแต่เมื่อนโยบายถูกดูดกลืนก็ต้องถือว่าพวกเขาชนะสงคราม” [5]
เราจะสามารถสร้างกระแสจากพลังประชาชนเพื่อผลักดันพรรคการเมืองหลักแทนการก่อตั้งพรรคทางเลือกได้ไหม? แน่นอนว่าแรงขับเคลื่อนจากภาคประชาชนควรจะต้องเป็นแรงมีพลังมากที่สุดในการขับดันกำหนดและควบคุมการทำงานสภาถ้าภาคประชาชนมีความเข็มแข็งพอแลกกฏหมายเอื้ออำนวยพรรคทางเลือกก็คงไม่ต้องมาทำหน้าที่ผลักดันนโยบายใหม่ๆเข้าสู่สภา

แต่ถ้าเรากลับมุมคิดว่าพรรคทางเลือกอาจนำมาใช้เป็นกระบวนการสร้างความคิดทางการเมืองและการเคลื่อนไหวทางนโยบายนอกสภาให้กับภาคประชาชนได้เช่นกันเช่นการจัดประชุมร่างกฎหมายและนโยบายต่างๆกับฐานเสียงและบุคคลทั่วไปหรือแม้แต่การประท้วงต่อต้านนโยบายที่ไม่เห็นด้วยกิจกรรมเหล่านี้เป็นการพัฒนาการเมืองภาคประชาชนไปในตัว

การตั้งพรรคทางเลือกและการผลักดันการเคลื่อนไหวภาคประชาชนจึงเป็นสิ่งที่สามารถทำไปได้พร้อมๆกันโดยให้ทั้งสองกระบวนการสนับสนุนกันเอง[6]

ดังนั้นคำถามสุดท้ายอาจไม่ใช่คำถามที่ว่าเราจะผลักดันประเด็นทางเลือกด้วยการตั้งพรรคทางเลือกหรือสร้างความตระหนักในสังคมในประเด็นทางเลือกนั้นๆดีแต่อาจจะเป็นคำถามที่ว่าเราจะลงมือทำทั้งสองอย่างเมื่อไหร่และทำอย่างไร

อ้างอิง
[1] Sachs JD., The Price of Civilization, 2011.

ที่มา. Siam Intelligence Unit
////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันอังคารที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2555

เปิดกล้องวงจรปิด ราบ11 พิสูจน์รถตู้ขนชายชุดดำ !!?

ขอแสดงความเสียใจกับครอบครัวลุงคิม หรือนายฐานุทัศน์ อัศวสิริมั่นคง ผู้เสียชีวิตรายที่ 99 จากการสลายการชุมนุมคนเสื้อแดงเมื่อปี 2553

นายฐานุทัศน์ไม่ใช่คนเสื้อแดง ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการชุมนุม แต่โดนยิงเข้าเต็มๆขณะยืนรอรถอยู่แถวบ่อนไก่เพื่อออกไปทำกิจธุระประจำวัน

นอนทรมานรักษาตัวอยู่นานกว่า 2 ปี ก็ต้องจบชีวิตลง

สะท้อนภาพการปฏิบัติการกระชับพื้นที่ภายใต้การนำของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ว่า “ยิงไม่เลือก”

แม้วันนี้จะมีคนเสียชีวิตถึง 99 คนแล้ว แต่ก็ยังไม่มีการแสดงความรับผิดชอบใดๆออกมาจากผู้เกี่ยวข้อง ไม่มีแม้คำขอโทษต่อเหยื่อความรุนแรงทั้งผู้บาดเจ็บและผู้เสียชีวิต

ซ้ำร้ายไปกว่านั้นยังมีความพยายามปั้นวาทกรรม “ชายชุดดำ” ขึ้นมาเป็นแพะ เพื่อให้รับผิดชอบต่อความรุนแรงทั้งหมดที่เกิดขึ้น

เมื่อฝ่ายหนึ่งยืนยันว่ามีชายชุดดำออกมาสร้างความรุนแรงต่อเจ้าหน้าที่และประชาชนมือเปล่า

กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) จึงตั้งค่าหัวนำจับรายละ 1 ล้านบาท แม้จะเลี่ยงว่าไม่ใช่รางวัลนำจับชายชุดดำ แต่เป็นรางวัลนำจับคนร้ายที่เกี่ยวข้องกับการสังหาร 7 คดี รวม 12 ศพ ที่ยังหาคนลงมือทำไม่ได้

แต่ในความเข้าใจของสังคมจากคำอธิบายของผู้มีอำนาจในขณะนั้น คนที่ก่อเหตุสังหาร 12 ศพ ก็เป็นชายชุดดำที่พยายามผูกโยงให้เกี่ยวพันถึงแกนนำเสื้อแดงนั่นเอง

เพื่อไขปริศนาเรื่องชายชุดดำให้มีความชัดเจน นายสมหวัง อัสราษี รองประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) แดงทั้งแผ่นดิน จึงประกาศเบิ้ลรางวัลนำจับชายชุดดำให้อีก 1 ล้านบาท

เพิ่มอัดฉีดคนที่ชี้เบาะแสจนสามารถจับชายชุดดำที่สังหาร 12 ศพ เป็นรายละ 2 ล้านบาท

นอกจากนี้ยังมีกระแสข่าวมาว่า จะมีแกนนำเสื้อแดง คนเสื้อแดง สมทบทุนเพิ่มรางวัลนำจับให้มากขึ้นอีกทั้งในรูปของเงินและที่ดิน

เบิ้ลกลับพรรคประชาธิปัตย์ที่กำลังโหมกระแสเรื่องชายชุดดำ นับเป็นครั้งแรกของดีเอสไอที่มีบุคคลภายนอกมาร่วมสมทบทุนจ่ายรางวัลนำจับ

และที่คืบหน้าได้ลุ้นเสียวคือ คดีการเสียชีวิตจากการสลายการชุมนุมที่อยู่ในความรับผิดชอบของดีเอสไอก็ขยับเข้าใกล้คนที่สั่งสลายการชุมนุมเข้าไปทุกที

ล่าสุดนายจตุพร พรหมพันธุ์ เปลี่ยนสถานะจากจำเลยที่เคยถูกไล่ต้อนในคดีก่อการร้าย เข้าให้ปากคำกับดีเอสไอในฐานะพยาน

น่าสนใจตรงที่นายจตุพรเสนอให้ดีเอสไอขอภาพจากกล้องวงจรปิดที่บันทึกภาพรถที่เข้า-ออกกรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ ซึ่งเป็นที่ตั้งของศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) มาดู

เพื่อหาว่ามีชายชุดดำนั่งรถออกมาจากราบ 11 หรือไม่ เพราะมีคนเคยบอกว่ามีรถตู้ขนชายแต่งชุดดำออกมา แต่ไม่รู้ว่าเป็นใคร ออกไปไหน ไปทำอะไร

นอกจากนี้ยังขอให้เชิญทหาร 2 นายมาให้ปากคำ ประกอบด้วยทหารคนที่เขียนแผนประทุษกรรม แผนผังล้มเจ้า และทหารที่ทำหน้าที่รวบรวมคำสั่งของ ศอฉ. ทุกฉบับ

ทหาร 2 คนนี้เป็นกุญแจดอกสำคัญของคดีที่จะมาช่วยไขปริศนาต่างๆให้กระจ่างขึ้นได้

ยังมีข้อสังเกตที่น่าสนใจของนายจตุพรที่ว่า เรื่องชายชุดดำอาจเป็นเพียงการสร้างสถานการณ์ หรือจัดฉากเพื่อเอื้อประโยชน์ในการปฏิบัติการ

เพราะผิดสังเกตตรงที่มีการเผยแพร่ภาพชายชุดดำหลังจากวันที่เกิดเหตุรุนแรงแล้ว 3 วัน ซึ่งเป็นเรื่องผิดปรกติในการนำเสนอข่าวสารของสื่อมวลชนที่หากพบเห็นข้อมูลก็ต้องนำเสนอต่อสาธารณะทันที

คดีความเริ่มกระชับพื้นที่ กระชับวงล้อมเข้าหาคนสั่งการเข้าไปทุกที

ประเด็นเรื่องชายชุดดำ การเสียชีวิต บาดเจ็บของเจ้าหน้าที่และผู้ชุมนุม เป็นเงื่อนปมหนึ่งที่ทำให้บ้านเมืองอยู่ในภาวะอึมครึม ไม่ปลอดโปร่ง

หากคดีนี้ถูกส่งขึ้นศาลได้เร็วเหมือนคดีก่อการร้ายน่าจะช่วยทำให้บรรยากาศอึมครึมคลี่คลายลงไปได้บ้าง

ถึงตอนนั้นใครมีพยานหลักฐานอะไรก็เอาไปสู้กันในชั้นศาล ไม่ต้องออกมาปราศรัย ออกมาตั้งเวทีให้ประชาชนสับสนในข้อมูล

แต่เตือนไว้อย่าง “ความเชื่อ” ไม่อาจใช้เป็นพยานหลักฐานในชั้นศาลได้

ถึงตอนนั้นคงได้รู้กันว่าเรื่องชายชุดดำเป็นเพียง “ความเชื่อ” ที่เล่าต่อๆกันมา หรือว่ามีที่มาที่ไปเกี่ยวข้องกับการปฏิบัติการหรือไม่ อย่างไร

ที่มา.หนังสือพิมพ์โลกวันนี้
////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันจันทร์ที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2555

แนวโน้มการเมืองขยับใกล้สงครามครั้งสุดท้าย !!??

ถ้าใครเชื่อเรื่องดวงดาว คำทำนาย คงจะขนหัวลุกไปตามๆกัน

หลายวันมานี้โหรใหญ่น้อย ทั้งที่ดังแล้ว กำลังดัง และกำลังสร้างชื่อ เรียงคิวกันทำนายดวงเมืองปี 2556 ออกจอทีวี. ทั้งจานดำ จานแดง จานเหลือง จานเขียว ไปในทิศทางเดียวกัน

ปี 2556 ดาวเสาร์ ประธานดาวบาปพระเคราะห์ ย้ายเข้าสู่ราศีตุล ได้มาตรฐานมหาอุจ แข็งแกร่ง ดาวเสาร์นั้นหมายถึงหรือมีอิทธิพลเกี่ยวกับผู้บริหารราชการแผ่นดิน คณะรัฐมนตรี

ส่วนราศีตุลก็มีความเข้มแข็ง จึงจะเกิดปัญหา ซึ่งดาวเสาร์โคจรอยู่ในภพที่ 7 เล็งลัคนาดวงเมือง และเล็งพระอาทิตย์ในลัคนาดวงเมือง เป็น “พินทุบาทว์” เรียกว่าเป็นสาเหตุทำให้เกิด “ดวงแตก”

จับยามสามตาแล้วชี้ว่าตั้งแต่ปลายปี 2555 จะเริ่มมีเค้าลางให้เห็น

ประมาณว่าเริ่มมีการสุมไฟ ใส่เชื้อ

จะลุกโชนอีกทีก็ช่วง เม.ย. 2556 ถึงขั้นมีการเปลี่ยนแปลงกันเลยทีเดียว

ที่น่าตกใจก็ตรงที่โหรหลายสำนักชี้เป้าตรงกันว่า เม.ย. 2553 ว่าแรงถึงขั้นกลียุคแล้ว

เม.ย. 2556 จะแรงกว่านั้นอีกหลายเท่า

ใครขวัญอ่อนฟังแล้วขนหัวลุกเลยก็แล้วกัน เพราะ เม.ย.-พ.ค. 2553 มีคนตาย 99 คน จากการปะทะกันของเจ้าหน้าที่กับประชาชนมือเปล่า และมีคนบาดเจ็บอีกกว่า 2,000 คน

หากแรงกว่านั้นคงจะนับศพกันไม่หวาดไหว

หมอดูไม่ใช่คู่กับหมอเดาเสียทีเดียว เรื่องแบบนี้ฟังหูไว้หู ไม่เชื่ออย่าหลบหลู่

เพราะเมื่อจับยามสามตามองดูทิศทางการเมืองตั้งแต่ช่วงปลายปีนี้จนถึงปีหน้าก็มีแนวโน้มว่าจะเป็นไปได้ดังคำทำนายมากกว่า 60-70%

ปลายเดือน พ.ย. จะมีการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล พรรคประชาธิปัตย์จัดหนักใส่พรรคเพื่อไทยและ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี แน่นอน

ดีกรีความเขี้ยวระดับพรรคประชาธิปัตย์ แค่เขียนญัตติยื่นต่อประธานสภาผู้แทนราษฎร

หากคนหัวอ่อนไม่ใฝ่หาข้อมูลใส่ตัวได้อ่านก็เชื่อเกิน 100% แล้วว่ารัฐบาลเต็มไปด้วยความชั่วร้าย ไร้ฝีมือ ไม่สมควรอยู่บริหารราชการแผ่นดินอีกต่อไปแม้สักวินาที

ยิ่งได้ฟังการอภิปราย หากหูเบา ไม่รู้จักคิดวิเคราะห์ ก็จะเพิ่มความเกลียดชังต่อรัฐบาลมากขึ้นเป็นพันเท่าทวีคูณ

ยิ่งหลังปิดสมัยประชุมสภาปลายเดือน พ.ย. มีข่าวว่าจะมีการตั้งข้อกล่าวหาคนสั่งการให้ทหารถือปืนออกมาสลายการชุมนุมคนเสื้อแดง

การเมืองจะยิ่งร้อนฉ่าเข้าไปใหญ่

ขนาดยังไม่ตั้งข้อกล่าวหา ประเด็นชายชุดดำก็ร้อนจนแทบจะไหม้ หากมีหมายเรียกให้ไปรับทราบข้อกล่าวหาก็คาดเดาได้ว่าจะเป็นอย่างไร

นี่ยังไม่รวมเรื่องการตีความนโยบายรับจำนำข้าวที่ยังหยิบมาเล่นกันต่อเนื่อง มีช่อง มีทางตรงไหนยื่นฟ้องหมด

ผสมโรงกับการประมูลใบอนุญาต 3จี แม้ไม่เกี่ยวกับรัฐบาลโดยตรง แต่จะมีการลากโยงเข้ามาหารัฐบาลจนได้ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง

ถ้าพรรคร่วมรัฐบาลตัดสินใจเดินหน้าแก้รัฐธรรมนูญด้วยการลงมติวาระสามเพื่อตั้ง ส.ส.ร. ก่อนปิดสมัยประชุมสภาอย่างที่ฮึ่มๆกัน ก็จะเพิ่มเงื่อนไขมากขึ้นไปอีก

ครั้นพอข้ามไปปี 2556 จากเชื้อไฟที่สุมเอาไว้ตั้งแต่ปลายปี 2555 เชื่อว่าจะเริ่มมีมวลชน มีม็อบต่างๆ ออกมาชุมนุมกันมากขึ้น

ทั้งมาในรูปแบบความเดือดร้อนจากปัญหาต่างๆ มาเรียกร้องต่อรัฐบาล และอื่นๆอีกจิปาถะ

มองจากแนวโน้มความน่าจะเป็นก็มีโอกาสที่จะเกิดความปั่นป่วนวุ่นวายอย่างที่บรรดาหมอดูทั้งหลายทำนายเอาไว้

เมื่อมองจากฐานมวลชนของทั้ง 2 ฝ่าย เหตุการณ์อย่างที่หน้ากองปราบปรามที่มีการปะทะกันย่อยๆของคน 2 สี มีโอกาสเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อแค่เพียงมีคนมือบอนจุดไฟ

เอาเป็นว่าฝนจะตก แดดจะออก ไม่มีใครห้ามได้ อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด

ที่สงบๆกันมาพักใหญ่ก็แค่ชักฟืนออกจากกองไฟ โหมโยนฟืนเข้ามาอีกเมื่อไรไฟก็พร้อมลุกโชนทันที

จะมีความหวังหน่อยก็ตรงที่บรรดาโหรน้อยใหญ่ต่างเห็นตรงกันว่าวิบัติใหญ่ที่กำลังจะเกิดอาจเป็น “สงครามครั้งสุดท้าย”

หลังปี 2557 ประเทศไทยจะโชติช่วงชัชวาล

แต่ไม่ยักบอกว่าฝ่ายไหนจะชนะ

ที่มา.หนังสือพิมพ์โลกวันนี้
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ฝ่าวิกฤติ:หลังพิงฝา ยกเครื่องทีมเสนาบดี เขย่าบัญชี ครม.ปู - 3 !!?

ใต้ภาวการณ์ที่แผ่ซ่านไปด้วยความอึมครึมทางการเมือง ที่แม้ด้วย “เงื่อนไขเวลา” จะทำให้ เกมพาวเวอร์เพลย์ในกระดาน ถูก “เว้นวรรค” เป็นการชั่วคราว ทว่ายังคงมี “หนังตัวอย่าง” อันเป็น ฉากรุกไล่กันอย่างเข้มข้นระหว่าง 2 ขั้วการเมือง ที่ต่างฝ่ายได้ยกเอา “วิวาทะ” มาบดขยี้กันผ่านเวที “นอกสภา” เพื่อเรียกน้ำย่อยก่อน ศึกซักฟอกรัฐบาลจะรูดม่านขึ้นในอีกไม่ช้านาน

เอาแค่เฉพาะ “โครงการจำนำข้าวเปลือก” ที่ทัพฝ่ายค้านออกมาปูด! ก็ได้สร้างความหวั่นไหวให้แก่รัฐบาลอย่างรุนแรง ผสานเข้าจังหวะไปกับ “แรงกดดัน” จากแนวร่วม “ชนชั้นกลาง” ที่ออกมาร่วม กันถล่มรัฐบาลแบบรายวัน ภายใต้ “รหัสการเมือง” ที่คลุกเคล้าไปด้วยเงื่อนปมทุจริต ต่อเนื่องมาจากนโยบายประชานิยม ยั่งยืน

เหล่านี้เป็นผลให้รัฐนาวา “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” ก้าวขาไปสู่ “คิลลิ่งโซน” และมี แนวโน้มสูงยิ่งว่า “สงครามการเมืองรอบ ใหม่” จะทวีความรุนแรงมากขึ้นเป็นลำดับ?!

แน่นอนว่า “ฝ่ายรัฐบาล” ทั้งที่มี “ความได้เปรียบ” เหนือล้ำกว่า “ฝ่ายตรง ข้าม” อยู่หลายกระบวนท่า ไม่ว่าจะ “เสียงข้างมากในสภา” หรือ “อำนาจรัฐ” ที่เกาะกุมไว้ในมือ แต่กลับมิอาจขยับ... เข้าใกล้ “เป้าหมาย” โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปมแก้รัฐธรรมนูญปี 50 “ฉบับหน้าแหลมฟันดำ” ที่ลากยาวออกไปแบบไร้กำหนด หรือกระทั่งแผน “อุ้ม..” ทักษิณกลับบ้าน!! ผ่านโมเดลปรองดองแห่งชาติ ก็ยังดูเป็นเรื่องที่ห่างไกล

ขณะเดียวกัน ยังคงมี “ภารกิจเร่งด่วน” สำหรับการขับเคลื่อน “นโยบายรัฐ” ที่นายกฯ ปู และทีมเสนาบดี ต้องแหวกฝ่า แนวต้านนี้ไปให้ได้ ท่ามกลางการติดตามและตรวจสอบอย่างถึงลูกถึงคน โดยเฉพาะ ขั้ว “ฝ่ายค้าน” ตลอดจน “กลไกสภาสูง” ที่กำลังโฟกัส ขยายปมทุจริตและความล้มเหลวจากนโยบายรัฐบาลเป็นสำคัญ

แต่ในอีกแง่มุมหนึ่ง บางเงื่อนประเด็นยังถูกร้องไปยังองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ เพื่อตรวจสอบและเช็กบิล! ในการกระทำของ “ฝ่ายอำนาจรัฐ” ว่าขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญหรือไม่... เหล่านี้ย่อมส่งผลให้หลายนโยบายมีอันต้อง หยุดชะงัก เพี่อรอความชัดเจนว่า “รัฐบาล” จะไม่พลาดพลั้งต่อ “กลไกองค์กรอิสระ” แบบซ้ำซาก

เช่นเดียวกับการปรับโฉม “ผู้นำ” และทีมบริหารพรรคเพื่อไทย ที่มีกรอบในระยะเวลา 30 วัน ซึ่งดูเหมือนว่าเวลาที่เหลืออยู่นี้ ได้ล้อไปกับ “จังหวะ” ของการปรับเปลี่ยนตัวผู้เล่นใน “ครม.ยิ่งลักษณ์ 3” หลังจากที่ “นายกฯ หญิง” ไม่อาจ “ยื้อ” ได้อีกต่อไป สิ่งเหล่านี้ล้วนสื่อเป็น “นัยยะทางการเมือง” ที่นับจากนี้ไปทั้ง “นายใหญ่” และ “นายหญิง” จะต้อง “เลือก” ใช้กลยุทธ์ “ประคองรัฐบาล” ให้อยู่ครบเทอม หรือไม่ก็ถึงเวลาเปิดฉากรุกไล่ฝ่ายตรงข้าม ด้วยการส่งสัญญาณเร่งแก้ไขรัฐธรรมนูญ

ทั้งนี้ หากพิจารณาเงื่อนเวลาแห่งการปรับ “ครม.ยิ่งลักษณ์ 3” แล้ว จังหวะที่เหมาะสมที่สุดน่าจะอยู่ในช่วงหลังเสร็จศึก “ซักฟอกรัฐบาล” เพราะหาก “ยิ่งลักษณ์” เร่งรีบปรับ ครม.ก่อนเดือนพฤศจิกายน ก็จะ “เปิดแผล” ให้ถูกรุมถล่มว่าเป็นการปรับ ครม.เพื่อหลีกหนีญัตติซักฟอกของฝ่ายค้านได้

กระนั้นแล้ว “เวทีซักฟอก” ยังถือเป็นโอกาสเหมาะสมที่ “ยิ่งลักษณ์” จะประเมินการทำงานของ “รัฐมนตรี” ที่อยู่ในข่ายถูกปรับออก ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นการขยับปรับแผง “ครม.ชุด 3” เปิดทางให้ “ขาใหญ่แห่งบ้าน 111” ก้าวเข้ามาเป็น “ผนังทองแดงกำแพงเหล็ก” ช่วยประคอง รัฐบาลในขวบปีที่ 2 นับจากนี้ ...!!!

หากว่ากันถึงความล่าช้าในการรื้อโผ ครม. ไม่ใช่เพิ่งจะเกิดขึ้นสมัยรัฐบาล “ยิ่งลักษณ์” หากมีขึ้นตั้งแต่รัฐบาล “สมัคร สุนทรเวช” เป็นต้นมา ทั้งนี้เพราะเกิดความเปลี่ยนแปลงด้วยปัจจัยหลายด้าน นั่นคือตัว “ผู้นำตัวจริง” ไม่ได้เข้ามากุมอำนาจรัฐด้วยตนเอง ต้องอาศัยบุคคลอื่นเข้ามาเป็น “นอมินี” จึงจำเป็นต้องเปลี่ยน “เงื่อนไข” บางประการ เพราะการจัดวาง ตำแหน่งทางการเมืองด้วยการใช้บัญชี 3 ชุดของ “ทักษิณ” เป็นอันนำมาใช้ไม่ได้... เนื่องจากต้องให้สิทธิ “นายกรัฐมนตรี” ทำบัญชีของตนเองอีก 1 ชุด

ทั้งนี้ บัญชี 3 ชุดของ “ทักษิณ” ย่อมแก้ปัญหาการ “ชิงตำแหน่งการเมือง” ได้ดีพอสมควร โดยใช้เป็นสัญญาณสับหลีกมุ้งค่ายการเมืองหลากหลายในพรรคเพื่อไทยอย่างได้ผล แต่ถึงกระนั้นบัญชีทั้ง 3 ชุดนี้ ก็สร้างความชำรุดสึกหรอ...แก่นักการเมืองรวดเร็วเกินไปมีบทเรียนมาแล้ว ในยุคที่ “ทักษิณ” ยังเรืองอำนาจ หรือในยุคต่อๆ มา ที่มี “ตัวตายตัวแทน” เข้ามาเป็น “ผู้นำประเทศ” ระหว่างนั้นได้มีการเปลี่ยนตัวรัฐมนตรีเกิด ขึ้นทุก 3-6 เดือน สลับตำแหน่งกันจนเป็น กิจวัตร ซึ่ง “ข้อเสีย” ในการจัดทำ “โผ ครม.” มากถึง 3 บัญชีนี้ ได้ทำให้เหล่านักการเมืองที่ก้าวขึ้นไปถึงระดับ “รัฐมนตรี” แล้วถูกปรับออกอย่างรวดเร็ว ได้ทำตัวเป็น “คลื่นใต้น้ำ” ก่อตัวขึ้นภายใน “พรรค” แค่นั้นไม่พอ ยังไปดึงเอา “ดีเพรสชั่นลูกใหญ่” จากการก่อตัวขึ้นภายนอก มาพัดถล่ม “นาย ใหญ่” ในที่สุด

ต่อจากยุค “สมัคร” ตำแหน่งนายกฯ ก็ไปออกที่ “สมชาย วงศ์สวัสดิ์” ผู้เป็นน้องเขยทักษิณ ซึ่งคราวนี้ “นายกฯ สมชาย” ใช้บัญชีเดียวและเป็น ครม.ชุดเดียวที่ไม่เคยเข้าไปทำงานในทำเนียบรัฐบาล ดังนั้น “รัฐบาลสมชาย” จึงอายุสั้นเกินกว่าจะปรับ ครม.ได้หลายบัญชี เนื่องจากถูก “คณะตุลาการภิวัฒน์” ปิดบัญชีไป อย่างรวดเร็ว

จนล่วงมาถึง “รัฐบาลปูแดง” ที่ยังใช้วิธีการเดียวกับ “โมเดลทักษิณ” แต่เนื่องจากจำนวนนักการเมือง มีตัวเลือกที่เหมาะสมที่จะก้าวเป็น “รัฐมนตรี” ได้มีอยู่น้อย รวมกันแล้วได้ไม่ถึง 1 บัญชีด้วยซ้ำไป ฉะนั้นการจัดตั้งรัฐบาลและปรับ ครม. เท่าที่ผ่านมา จึงสะดวกสบายมากที่สุด พวกไม่ได้เป็นรัฐมนตรีก็ไม่เสียใจมากนัก เพราะส่วนใหญ่ล้วนเป็น ส.ส.สมัยแรกแทบทั้งนั้น

แต่เมื่อรัฐบาลก้าวผ่านหนึ่งขวบปีแรก สอดรับกับปรากฏการณ์ “พฤษภาป่าช้าแตก” ซึ่งมีประชากรบ้าน 111 พากันหลุดออกมาจาก “คุกการเมือง” ก็เป็น สาเหตุสำคัญของความล่าช้าในการปรับแผง ครม.ชุดใหม่ เพราะมี “เงื่อนไข” และ “ตัวเลือก” ที่มากขึ้น ทำให้ตัดสินใจได้ยากยิ่ง หากตัดสินใจผิดพลาดก็คงเกิดแรง กระเพื่อมอย่างรุนแรงขึ้นภายในพรรคเพื่อไทย

เปิดโฉนดโผ ครม. “บัญชีแรก” ซึ่งถือเป็นบัญชีของ “พี่ชายใหญ่” และในโคว ตาของ “พี่สาว” และเครือญาติ ที่กำชับ ฝากฝัง ส.ส.ในสังกัด ให้เข้าไปเป็นรัฐมนตรี โดยวางเงื่อนไขเจาะจงเป็นรายกระทรวงเลยทีเดียว นอกจากนั้น ยังกำหนดจำนวน รัฐมนตรีไว้ด้วย ซึ่งนับว่า “บัญชีลำดับที่ 1” ได้สร้างปัญหาและความลำบากใจให้กับ “ยิ่งลักษณ์” เป็นอย่างยิ่ง ว่ากันว่าบัญชีนี้ได้ลัดคิวจนบัญชีอื่นหลุดโผมาแล้วถึง 2 ครั้ง

ส่วน “บัญชีที่ 2” คือบัญชีของ “ยิ่งลักษณ์” ที่จะเลือกคนที่ตัวเอง “ไว้วางใจ” ให้เข้ามาอยู่ข้างกาย ซึ่งบัญชีนี้ นับวันจะเพิ่มจำนวนรัฐมนตรีมากยิ่งขึ้น แม้แต่รัฐมนตรี เก่าก็พยายามเบียดตัวเข้าบัญชีนี้ให้ได้ เพื่อหา “หลักประกัน” จากการถูกปรับออกไว้ ก่อน ส่วนคนที่ไม่เป็น “เป้า” ถูกปลดออก ก็อาจขยับไปกินตำแหน่งในกระทรวงที่เกรด สูงกว่า ฉะนั้นการเข้าสังกัด “บัญชีปูแดง” จึงมีแต่ได้...ไม่มีเสีย

ต่อมาเป็น “บัญชีเสื้อแดง” ซึ่งเป็น การปูนบำเหน็จให้แก่เหล่าแกนนำ นปช. ซึ่งถือเป็น “บัญชีที่ 3” ส่วนเรื่องจำนวนรัฐมนตรีในบัญชีนี้ คงไม่ใช่สาระสำคัญ ไม่ว่าจะปลดออกและแต่งตั้งเข้า ก็ไม่ควรน้อย กว่า 2 ตำแหน่ง โดยไม่เกี่ยงกระทรวงขอเพียงให้ “พรรคเพื่อไทย” ไม่บิดพลิ้ว และปฏิบัติตามสัญญาก็ถือว่าเพียงพอแล้ว!!

ลำดับสุดท้าย คือ “บัญชีบ้านเลขที่ 111” โดยนักการเมืองตามบัญชีนี้ ถือว่าแต่งตั้งยากที่สุด เพราะหาตำแหน่งเหมาะสมกับความสามารถและประสบการณ์ ที่ต่างหมายมั่นจะนั่งในกระทรวงใหญ่เท่านั้น แถมยังถูกต่อต้านอย่างหนักจากนักการเมืองใน 3 บัญชีก่อนนี้ เพราะหากปล่อยให้ “คนบ้าน 111” เข้ามาร่วม ครม. นอกจากจะได้นั่งกระทรวงใหญ่แล้ว ยังเป็นตัวเปรียบ เทียบกับรัฐมนตรีมือใหม่หัดขับอย่างเห็นชัดเหนืออื่นใดเหล่านักการเมืองบ้าน 111 ล้วนเป็นกลุ่มการเมืองที่มีกำลังภายในมากพอสมควร จึงสร้างความเกรงใจให้กับ “ผู้มาก บารมี” และขาใหญ่ในพรรคได้อยู่มิใช่น้อย

จากบัญชีทั้ง 4 นี้...คาดเดาได้ว่า “รัฐบาลยิ่งลักษณ์ 3” น่าจะประกอบด้วย รัฐมนตรีจากทั้ง 4 บัญชี สัดส่วนแต่ละบัญชีจะเป็นอย่างไรนั้น คงต้องตามดูต่อไป ยาวๆ ซึ่งคุณภาพของ “ครม.ชุดใหม่” ก็ดู ได้จากสัดส่วนรัฐมนตรีนั่นเอง หากมีโควตา เด็กฝาก-เด็กวิ่งที่ครบเกณฑ์ มากกว่านักการเมืองที่มีฝีมือแล้ว คงไม่แตกต่างไปจาก รัฐบาลชุด 1 และชุด 2

หากเป็นเช่นนั้น ก็เท่ากับว่า “รัฐบาล” มีความประมาทต่อสถานการณ์ในอนาคต ซึ่งมีแนวโน้มที่มีความแหลมคม และซับซ้อนมากขึ้นอีกหลายเท่าทวี ในขณะที่รัฐบาลด้อยคุณภาพลง การต่อสู้ด้วย “ผลงานรัฐบาล” ซึ่งเป็นรูปธรรมในสงคราม การเมืองในสภา ที่ว่ากันด้วย “วิวาทะ” ในการอภิปรายตอบโต้ฝ่ายตรงข้าม ซึ่งหากผลงานไม่ดี ถึงจะมี “ไม้กันสุนัข” ขั้นเทพ อย่าง “เจ้าของบ้านริมคลอง” ก็คงจะรับ มือฝ่ายค้านได้ยากเต็มกลืน

ทั้งหมดทั้งปวง ล้วนเป็นสิ่งที่ “ผู้กำรีโมตตัวจริง” ต้องรีบเปลี่ยนท่าที แล้วหันมาคิดคำนวณใหม่ให้รอบด้าน ก่อนตัดสินใจ “ส่งสัญญาณ” ใดๆ ออกไป เพราะ สถานการณ์ในห้วงเวลานี้ “ฝ่ายกุมอำนาจรัฐ” คงรอเวลาที่สุกงอม เพื่อช่วงชิงจังหวะรุก-ไล่ทั้งในและนอกสภา เพื่อเอาตัวรอดไปให้ได้ ก่อนคิดจะทิ้งหมากตัวเดียว... กินรวบทั้งกระดาน ซึ่ง “นายใหญ่-นายหญิง” หวังให้เป็นช็อกการเมืองในภาคต่อ

“ข้อความ” จาก “คนแดนไกล” ซึ่งแว่วมาว่า...เวลานี้พรรคเพื่อไทยยัง “เปราะบาง” และไม่ได้รับความเป็นธรรมอยู่มาก และไม่อาจวางใจได้ จึงต้องมี “ผู้เสียสละ” และ “ผู้ปลดชนวน” กันอีกหลายครั้ง!! ซึ่งทั้งหมดนี้ ล้วนแต่เป็น “คีย์เวิร์ด” ที่สะท้อนให้เห็นถึงความเป็นจริงทางการเมือง และสิ่งที่รัฐบาลเคยเผชิญหน้า เหนืออื่นใดคงต้องดิ้นให้หลุดจาก “กับดักทาง การเมือง” ที่ถูกวางล่อเอาไว้ ตลอดจนปมปัญหาที่เกิดขึ้นจาก “นโยบายประชานิยมแห่งรัฐ” มีตัวอย่างให้เห็นกันไปแล้ว กรณีการไขก๊อก! ของ “ขุนพลหัวขาว” ยงยุทธ วิชัยดิษฐ อดีตผู้นำพรรคเพื่อไทย ที่ถูกตัดตอนจากทุกตำแหน่งทางการเมือง เพื่อมิให้เกิดความสุ่มเสี่ยงขึ้นในมุ้งค่ายเพื่อไทย ที่อาจบานปลายเป็น “ภาวะแทรกซ้อน” จนลามไปถึงรัฐบาลชุดปัจจุบัน ไม่น่าแปลกใจที่จะพบว่า แม้การเปลี่ยน แปลงทางการเมืองจะเกิดขึ้นหลากหลายเหตุการณ์ในระยะเวลาที่ใกล้เคียงกัน แต่ก็ยังไร้ซึ่งท่าทีหรือแนวโน้ม ที่บ่งชี้ได้ว่า “ผู้มากบารมีในรัฐบาล” จะกล้าตัดสินใจ “เล่น เกมแรง” ในเร็ววันนี้...หรือไม่?!!

ที่มา.สยามธุรกิจออนไลน์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันเสาร์ที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2555

หินลองทอง สรยุทธ สุทัศนะจินดา จุดหัก สังคม !!?



เป็นอันโค่น สรยุทธ สุทัศนะจินดา ไม่ลง

ไม่ว่าจะเป็น ภาคีเครือข่ายต่อต้านคอร์รัปชั่น อันมี นายประมนต์ สุธีวงศ์ เป็นหัวเรือใหญ่

ไม่ว่าจะเป็นสมาคมว่าด้วยนักข่าว นักหนังสือพิมพ์ และสื่อทางวิทยุกระจายเสียง โทรทัศน์ ซึ่งรวมศูนย์ภายใต้ร่มธง

สภาการหนังสือพิมพ์

ลำพัง สรยุทธ สุทัศนะจินดา ยังคงดำเนินรายการเรื่องเล่าเช้านี้ทางช่อง 3 อยู่เป็นปกติ ก็ท้าทายต่อมติขององค์กรสื่อ องค์กรต่อต้านคอร์รัปชั่นอย่างยิ่งแล้ว

ที่สำคัญ มีการยืนยันจากช่อง 3 อย่างหนักแน่นและจริงจังว่า

โฆษณาไม่เพียงแต่จะไม่มีการถอน ไม่มีการลด หากแนวโน้มอันเด่นชัดอย่างยิ่งก็คือ มีการไหลเข้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 20

เป็นไปได้ยังไง

แท้จริงแล้ว ปัจจัยโฆษณาที่ไหลเข้าไปยังช่อง 3 นี้เอง คือปัจจัยชี้ขาด เป็นปรอทสำแดงอุณหภูมิทางสังคมอย่างเด่นชัด 1 เด่นชัดถึงสถานะอันมั่นคงของ สรยุทธ สุทัศนะจินดา ว่าวางรากฐานอยู่กับปัจจัยใดในทางสังคม

1 สังคมทุนนิยม

ต้องยอมรับว่า การปรากฏขึ้นของ ภาคีเครือข่ายต่อต้านคอร์รัปชั่นเป็นเรื่องดีของคนดี การประกาศให้ความร่วมมือจากสมาชิกในภาคีจำนวนมากมาย

ก็เป็นเรื่องดี คนดี

ขณะเดียวกัน การออกโรงของสภาการหนังสือพิมพ์โดยประสานเข้ากับภาคีเครือข่ายต่อต้านคอร์รัปชั่น

ก็เป็นจังหวะก้าวที่ดี

เพียงแต่กรณีของ สรยุทธ สุทัศนะจินดา ที่ปรากฏให้เห็นดำเนินไปอย่างเลือกปฏิบัติสะท้อนความไม่มีมาตรฐาน

และแฝงด้วยเงาสะท้อนแห่งสิ่งที่เรียกว่า-ริษยาของชนชั้นกลาง

ก็อย่างที่มีหลายคนได้ตั้งข้อสังเกตไว้แล้วว่า การกล่าวหา "สีเทา" อย่างนี้มิได้มีแต่กับ สรยุทธ สุทัศนะจินดา รายเดียว ยังมีอีกหลายราย บางรายศาลได้มีคำพิพากษาอย่างเด่นชัดและเจ้าตัวเองก็ยอมรับผิดด้วยซ้ำไป

เป็นเงินมากกว่า สรยุทธ สุทัศนะจินดา หลายร้อยเท่า สร้างความเสียหายให้กับธุรกิจและสังคมอื่นอย่างมหาศาล

แต่ไม่มีการแตะ

ไม่มีการกดดัน ไม่มีการเรียกร้อง ไม่มีการยื่นคำขาด

ยิ่งกว่านั้น ไม่ว่าการแสดงออกของภาคีเครือข่ายต่อต้านคอร์รัปชั่น ไม่ว่าการแสดงออกของสภาการหนังสือพิมพ์ ยังยืนยันถึงการไม่เข้าใจต่อลักษณะที่แปรเปลี่ยนไปแล้วของสื่อ

ไม่ว่าสื่อหนังสือพิมพ์ ไม่ว่าสื่อโทรทัศน์

สื่อในกาลอดีต ยุคของ กุหลาบ สายประดิษฐ์ ยุคของ อิศรา อมันตกุล ดำรงอยู่ภายใต้ร่มเงาอันมืดครึ้มแห่งระบอบเผด็จ การ

สังคมก็อยู่ในช่วงแห่งการเปลี่ยนผ่าน

ด้านครอบงำของสื่อยังดำเนินไปในลักษณะทางความคิด ทางการเมือง เป้าหมายของสื่อเป็นเป้าหมายของความคิดของการเมืองโดยมีธุรกิจเสมอเป็นเพียงองค์ประกอบ

องค์กรสื่อสามารถทำหน้าที่เป็นตัวแทนนำการต่อสู้โดยเน้นการเมืองเป็นเป้าหมายหลัก

แต่นับจากเกิดการแปรเปลี่ยนในทางเทคโนโลยี ธุรกิจสื่อเป็นอุตสาหกรรมใหญ่ ต้องใช้เงินลงทุนมหาศาล ปัจจัยด้านทุนเข้ามาครอบงำ สื่ออาจมีหัวใจอยู่ที่การผลิตทางปัญญา ทางความคิดดำรงอยู่แต่เป้าหมายก็เพื่อผลกำไร

ยิ่งสื่อออนไลน์ปรากฏขึ้น สื่อใหม่ได้รุกคืบเข้ามาองค์ประกอบของสื่อยิ่งแตกกระจาย

ปัจจัยของจรรยาบรรณจากยุค กุหลาบ สายประดิษฐ์ ยุค อิศรา อมันตกุล อาจ ฟังดูดี แต่ปัจจัยที่สำคัญมากกว่าคือการ ขาย ไม่ว่าขายตัวสื่อเอง ไม่ว่าขายเนื้อที่ โฆษณา

โดยมีคุณภาพทางปัญญาเป็นตัวชี้ขาด

เช่นนี้เองที่พาดหัวหน้าปกมติชนสุดสัปดาห์ระบุ "คนยังคงยืนเด่นโดยท้า ทาย" จึงแหลมคมอย่างยิ่ง

แหลมคมในฐานะเป็นหินลองทองต่อ สรยุทธ สุทัศนะจินดา แหลมคมในฐานะเป็นหินลองทองต่อองค์กรสื่อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสภาการหนังสือพิมพ์

"ประชาชน" ต่างหากที่เป็นคำตอบสุดท้าย
(หน้า 3 มติชนรายวัน 20 ตุลาคม 2555)
//////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

ปิดสภา 28พ.ย.ตั้งข้อหาคนสั่งสลาย นปช. !!!!??

ถึงบางอ้อในทันทีเมื่อมีอีกาคาบข่าวมากระซิบข้างหูว่า เหตุผลที่แท้จริงที่พรรคประชาธิปัตย์ต้องออกมาเล่นแรงๆ จัดอีเวนท์เรื่องชายชุดดำอย่างต่อเนื่อง เพราะว่ามีบางคนกำลังจะเปลี่ยนสถานะเป็นผู้ต้องหา
ทันทีที่ปิดสมัยประชุมสภาในวันที่ 28 พ.ย. นี้ จะมีการออกหมายเรียกคนสั่งการกระชับพื้นที่ กระชับวงล้อม สลายการชุมนุม นปช. ไปรับทราบข้อกล่าวหา

สภาปิดแล้วเท่ากับว่าไร้ซึ่งเอกสิทธ์ ส.ส. คุ้มครอง หากไม่ไปตามหมายเรียกก็ต้องออกหมายจับ ซึ่งเป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย

การเมืองนับจากนี้ไปก่อนถึงวันปิดสมัยประชุมรัฐสภาจึงมีแต่จะร้อนแรงขึ้น โดยเฉพาะในการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลที่จะมีขึ้นก่อนปิดสมัยประชุมสภา

เรื่องที่จะโฟกัสอภิปรายอาจเป็นเรื่องชายชุดดำ ไม่ใช่เรื่องรับจำนำข้าวอย่างที่เข้าใจกัน
สอดคล้องกับการเดินหน้าของดีเอสไอ ที่ประกาศเร่งทำ 7 คดีที่มีผลกระทบทางสังคมและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ด้วยการตั้งค่าหัวคนร้ายรายละ 1,000,000 บาท
ใครชี้เบาะแสจนจับคนร้ายได้เอาเงินล้านไปเลย

4 ใน 7 คดีที่เร่งทำถือว่าน่าสนใจคือ คดีการเสียชีวิตของ พล.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม และทหาร 5 นายจากการปฏิบัติการขอคืนพื้นที่ที่ราชดำเนิน

การเสียชีวิตของ พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือ เสธ.แดง ที่ถูกซุ่มยิงจากตึกสูง
การเสียชีวิตของนายฮิโรยูกิ มูราโมโต ช่างภาพญี่ปุ่น และการเสียชีวิตของนายฟาบิโอ โปเลงกี นักข่าวอิตาลี

ใครที่เคยอวดตัวว่ารู้ข้อมูลตื้นลึกหนาบางในการเสียชีวิตของทั้ง 4 คนนี้น่าจะลองส่งข้อมูลให้ดีเอสไอเอาไปสอบขยายผล

สลับฉากไปที่ลานพระแม่ธรณีบีบมวยผม ที่ทำการพรรคประชาธิปัตย์ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เปิดตัวหนังสือ “ความจริงไม่มีสี”

เนื้อหาเล่าถึงสิ่งที่นายอภิสิทธิ์เผชิญเหตุการณ์วิกฤตการเมืองปี 2552-2553 นาทีหนีตายในสถานที่ต่างๆ การใช้ชีวิตและการทำงานบริหารราชแผ่นดินในกรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์
ที่เป็นไฮไลท์เลยคือ เบื้องลึกเบื้องหลังการตัดสินใจในเหตุการณ์ต่างๆ

ทั้งหมดทั้งมวลเป็นมุมมองของนายอภิสิทธิ์ที่ต้องการบอกเล่ากับแฟนๆที่ติดตามเชียร์
แต่ในอารมณ์ความรู้สึกที่ต่างออกไปกลับเป็นผู้นำทหารอย่าง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ที่พักหลังมองโลกในความเป็นจริงมากขึ้น

อย่าพูดกันไปมาว่ามีชายชุดดำหรือไม่ ต้องเอาเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมาพูดว่ามีผู้บาดเจ็บ สูญเสียทั้งสองฝ่าย คือเจ้าหน้าที่และประชาชน...

เมื่อเกิดเหตุบาดเจ็บ สูญเสียทั้งสองฝ่าย ถ้าประชาชนสูญเสียข้างเดียว แน่นอนว่าต้องหมายถึงเจ้าหน้าที่ เพราะถืออาวุธเพียงฝ่ายเดียว แต่ทำไมเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมีเจ้าหน้าที่เสียชีวิต ขอให้มองในมุมกลับ...”
ผู้นำทหารยังมองว่าเหรียญมีสองด้าน ผิดกับฝ่ายการเมืองที่ยังผิดไม่ได้ ผิดไม่เป็น ไม่ยอมรับความผิดพลาด

สวนทางกับตัวเลขผู้เสียชีวิตจากการสลายการชุมนุมที่ล่าสุดพุ่งสูงเป็น 99 รายแล้ว จากคำยืนยันของ พล.ต.ต.อนุชัย เล็กบำรุง รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ที่เข้าให้ข้อมูลกับคณะทำงานพิจารณาเรื่องการตรวจสอบข้อเท็จจริงการชุมนุมของ นปช. ว่ามีชายชุดดำร่วมในการชุมนุมหรือไม่ โดยมีนายสาธิต ปิตุเตชะ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ เป็นประธาน

ใน 99 ศพ ดีเอสไอส่งเรื่องให้ตำรวจชันสูตรพลิกศพทำสำนวนส่งอัยการยื่นศาลไต่สวน 35 ศพที่มีพยานหลักฐานว่าเกิดจากฝีมือเจ้าหน้าที่รัฐ

แม้พรรคประชาธิปัตย์จะใช้กลไกที่มีอยู่เต็มที่เพื่อตามหาชายชุดดำที่ถูกโยนให้เป็นแพะว่าเป็นคนฆ่า เป็นคนเริ่มต้นใช้ความรุนแรง

แต่ก็มีคนตั้งคำถามเหมือนกันว่า หากเห็นชายชุดดำใช้ความรุนแรง ถืออาวุธไล่ยิงเจ้าหน้าที่ ยิงประชาชน ทำไมพลแม่นปืนที่ขึ้นไปอยู่บนตึกสูงตั้งมากมายไม่ส่องหัวให้กระจุยเอามาโชว์เป็นหลักฐานยืนยันคำพูดสักคนสองคน

ไฉนคนที่ถูกส่องหัวมีแต่ประชาชนมือเปล่า
เวลากว่า 2 ปีหลังสิ้นเสียงปืนนัดสุดท้าย เรื่องราวต่างๆกำลังถูกเคี่ยวให้งวดขึ้น สถานการณ์ตอนนี้จึงเหมือนรถขนไก่ใกล้โรงเชือด

ก็ต้องมีการจิกตี ส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าวมากหน่อยเป็นธรรมดา เพราะไม่ว่าใครก็รักตัวกลัวตาย ไม่อยากตกเป็นผู้ต้องหา ไม่อยากไปอยู่ในคุก

หลังปิดสมัยประชุมสภาคงได้เห็นว่ามีหมายเรียกให้ไปรับทราบข้อกล่าวหาส่งถึงใครบ้าง

ที่มา.หนังสือพิมพ์โลกวันนี้
//////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันศุกร์ที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ชาวบ้านหวั่นอาเพศ ฟ้าผ่าเศียรยักษ์วัดอรุณฯ เป็นยักษ์หัวขาด !!?

นางสุกุมล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่ากระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) ได้เดินทางไปตรวจเยี่ยมความคืบหน้าการบูรณะคอม้า ประกอบพระปรางค์บริวารที่โค่นลงมา ภายในพระปรางค์วัดอรุณราชวราราม ราชวรมหาวิหาร แต่ก็ได้รับรายงานความเสียหายเพิ่มเติม บริเวณยักษ์ประดับรอบพระปรางค์องค์เล็ก ด้านทิศตะวันตกเฉียงใต้ เนื่องจากพายุฝนและเกิดฟ้าผ่าลงมา

นางสุกุมล เปิดผยว่า เมื่อสัปดาห์ก่อนได้รับแจ้งว่า เกิดฟ้าผ่าลงมาที่ยอดพระปรางค์ด้านทิศตะวันตกเฉียงใต้ ทำให้ยักษ์ประดับรอบๆ พระปรางค์ เกิดความเสียหาย เศียรยักษ์หลุดลงมาที่พื้นเบื้องล่าง จึงได้สั่งการให้ทางกรมศิลปากรได้เร่งบูรณะอย่างเร่งด่วนแล้ว คาดว่าสิ้นเดือนตุลาคมนี้ น่าจะแล้วเสร็จ

ในส่วนของการบูรณะคอม้าพระปรางค์องค์เล็ก ที่เกิดหักเสียหายเมื่อก่อนหน้านี้นั้น ขณะนี้ได้ทำการบูรณะจนแล้วเสร็จแล้ว และจะปรับภูมิทัศน์ให้กลับสู่สภาพเดิม ประมาณปลายเดือนตุลาคมนี้

อย่างไรก็ตาม เหตุฟ้าผ่าลงมาใส่พระปรางค์ จนเศียรยักษ์หลุดแตกลงมา สร้างความตกใจและหวั่นวิตกต่อชาวบ้านที่ได้ทราบข่าว บ้างก็เชื่อว่าเป็นลางร้ายบอกเหตุ ทำให้ทางด้าน นายสหวัฒน์ แน่นหนา อธิบดีกรมศิลปากร ชี้แจงว่า เหตุดังกล่าวน่าจะเกิดเพราะเป็นอุบัติเหตุจริงๆ เพราะส่วนเศียรยักษ์ที่ตกลงมา อยู่ใกล้กับสายล่อฟ้าที่ติดตั้งเอาไว้ ทำให้เกิดแรงระเบิดรุนแรง จนเศียรยักษ์ตกลงมาดังกลาว

ทั้งนี้ไม่อยากให้ประชาชนคิดเป็นเรื่องร้ายหรือเรื่องไม่ดี แต่นับว่ายังโชคดีที่ไม่ส่งผลกระทบต่อประชาชนหรือนักท่องเที่ยว เพราะเศียรยักษ์ที่ตกลงมานั้น มีขนาดและน้ำหนักพอสมควร อาจเป็นอันตรายหากตกลงมาใส่ ซึ่งขณะนี้ได้ดำเนินการให้เจ้าหน้าที่ติดตั้งสายล่อฟ้านำลงดิน เพื่อไม่ให้เกิดเหตุซ้ำรอยอีก

ที่มา.มติชนออนไลน์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

บ้านเมือง-มาก่อน !!?

ประธานองคมนตรี รัฐบุรุษ “พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์” หัวใจคือ ราษฎร
เห็นพฤติการณ์ผ่านทีวี..เข่นฆ่าประชาชน และทหาร ๓ จังหวัดภาคใต้ ท่านได้แต่เศร้า!!
บอกคนใกล้ชิด ทำไม? ถึงไม่ใช้ “พล.อ.พัลลภ
ปิ่นมณี” เขา..
ขุนศึกนักรบที่ “นายกฯ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” ใช้ดูยุทธศาสตร์ ยังไม่ชำนาญสนามรบ
“ป๋า” ฟันธง...ถ้าใช้ “บิ๊กพัลลภ” คนตรง..ลงไปแก้ ๓ จังหวัดภาคใต้ เดี๋ยวก็จบ

✮✮✮✮✮
เลือดย่อมข้นกว่าน้ำ
เข้าใจกันดี, ถึงมีคนยุแยงตะแคงรั่ว เพื่อให้ “แตกแยก” ด้วยการสร้างวาทะกรรม
แต่ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. รู้ข้อเท็จจริง เสร็จสรรพ
เข้าใจรุ่นพี่ อย่าง “พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี” ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ตลอดสิครับ
จึงไม่ขัดขวาง “บิ๊กพัลลภ” ให้เข้ามาแก้ปัญหาแผ่นดิน
..มีแต่สายการเมืองที่สร้างเรื่องวุ่น
เรียกใช้ “พี่พัลลภ”...ยามที่มีศึกมากระทบ...คิดจะคบ กัน
แค่นี้หรือคุณ
✮✮✮✮✮
แผ่นเสียงตกร่อง
เอา “ชายชุดดำ” ขึ้นมาเป็นตัวประกัน ใช้เป็นการปกป้อง
แต่จนแล้วจนรอด “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ก็ตกม้าตาย
เป็น “นายกฯ” ๒ ปี ๘ เดือน..แถมเป็น “ฝ่ายค้าน” ๑ ปีกว่าๆ ยังหาชายชุดดำไม่ได้
ตัวเองหลบ กบดานใน “ราบ ๑๑” อยู่หลังกำแพงทหาร..แต่เห็นชายชุดดำบานพะเรอ
เห็นท่านเล่าสนุก..ไม่ยักลากชายชุดดำมาติดคุก..มุกนี้ยิ่งด้านขึ้นทุกวัน แล้วสิเธอ
✮✮✮✮✮
สถานการณ์บังคับ
ผู้นำเผด็จการ ที่ใช้อำนาจป่าเถื่อน สังหารหมู่ประชาชนกลางเมือง คดีคืบใกล้แล้วสิขอรับ
“ศาล” รับไปแล้ว มีประชาชนถูก เจ้าหน้าที่ ฆ่า....
มีการดิ้นรนกันใหญ่ เพื่อดึง “กองทัพ” ให้ “พล.อ.
ประยุทธ์ จันทร์โอชา” มาร่วมชะตา
หวังใช้ “ทหาร” เป็นเกราะแก้วกำบังกาย เพื่อให้ตัวเอง
หมดเวร
ใช้วิชามารสารพัด..เพื่อเรียกทหารออกมาปฏิวัติ..พฤติการณ์รอบจัด ที่พวกมันกำลังเล่น
✮✮✮✮✮
เป็นหนึ่ง‘คุณภาพ’ชั้นดี
กระชุ่นไปถึง “องอาจ คร้ามไพบูลย์” ส.ส.ประชาธิปัตย์ กันสักที
เห็นไหม? คนที่แฉหลักฐานไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์ ..สุดท้ายก็หมดฟอร์ม
เหมือน “ชำนิ ศักดิเศรษฐ์” ที่แฉ “อดีตนายกฯบรรหาร ศิลปอาชา” จนยกธงขาวยอม
แต่เมื่อความจริงแตก “ชำนิ” ก็ไร้ความหมายในสายตาชาวบ้าน..เรื่องนักการเมือง “ไซฟ่อนเงิน” ไปซุกที่ฮ่องกง..แป๊บเดียวก็โยกโอนเงิน ไปที่ฝรั่งเศส
พูดไม่อยู่กับร่องกับรอย...เดี๋ยวก็ร่วงผล็อย...ม่อยกระรอก กันเบ็ดเสร็จ

ที่มา.คอลัมน์ตอดนิดตอดหน่อย,บางกอกทูเดย์
////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

ดร.ทนง ย้ำจำนำข้าวต้องดูแลไม่ให้เกิดคอร์รัปชั่น !!?



ดร.ทนง" ย้ำโครงการจำนำข้าง รัฐบาลต้องดูแลไม่ให้เกิดคอร์รัปชั่น และไม่ให้ชาวนาผลิตมากเกินไป และมีรายได้จากการขายทำกำไรด้วย
ดร.ทนง พิทยะ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และรมว.คลัง ให้สัมภาษณ์"กรุงเทพธุรกิจทีวี"ว่า โครงการจำนำข้าวจำนำข้าวของรัฐบาล ทำอย่างไรให้เป็นการช่วยรายได้ของชาวนา และต้องไม่ให้เกิดการคอร์รัปชั่น โดยที่ชาวนาไม่ต้องผลิตมากเกินไป นั่นคือทำให้ชาวนาผลิตข้าวออกมามีราคาที่เหมาะสม เพราะชาวนาต้องมีราคาต้นทุน และเมื่อคิดกำไรแล้ว ชาวนาต้องมีรายได้

สมัยดำรงตำแหน่งอดีตรมว.พาณิชย์ เขากล่าวว่าจำนำข้าวอยู่ที่ 10,000 บาทต่อตัน ขณะนั้นคนอีสานมีรายได้ต่อครัวเรือน 4,000 บาท

ดร.ทนง กล่าวว่า ราคาจำนำข้าวที่เหมาะสม ที่ไม่ให้ชาวนาผลิตมากจนเกินไป ต้องคำนึงคือ ชาวนาไทยผลิตข้าวได้ 30 ล้านตัน บริโภคภายในประเทศ 20 ล้านตัน และส่งออกไปขายต่างประเทศประมาณ 10 ล้านตัน และปัจจุบัน เวียดนาม อินเดีย คู่แข่งของไทย นอกจากนั้น ฟิลิปินส์ จีน อินโดนีเซีย กัมพูชา ลาว ก็มีการผลิตข้าว

"การผลิตข้าวไม่สามารถทำให้ไทยกลับมาเป็นเบอร์1ได้ เพราะหลายประเทศก็มีการผลิตข้าวมากขึ้น ดังนั้นต้องคำนึงถึงประเทศเหล่านี้"ดร.ทนง กล่าว

ดร.ทนง ย้ำว่า ทำอย่างไรไม่เอาภาษีไปช่วยเขา และที่สำคัญต้องเอาภาษีที่ไปช่วยเขาเอามาช่วยเหลือชาวนา และนี่คือกรอบคิดที่ทำอย่าไรไม่ให้ชาวนาผลิตข้าวมากเกินไป และชาวนามีต้นทุน และเมื่อกำไร ก็ทำให้ชาวนามีรายได้ด้วยในโครงการจำนำข้าว

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
///////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันพฤหัสบดีที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ฝ่า:คิลลิ่งโซน ประชานิยม รบ.ปู หนี้ท่วม-เกาไม่ถูกที่คัน !!?

รัฐบาล. คลายกังวลไปได้เปลาะ หนึ่ง! เมื่ออภิโปรเจกต์ “รับจำนำข้าว” ได้รับการ “ปลดล็อก” ในปมปัญหาแบบหืดขึ้นคอ..ทว่ายังคงมี “ก๊อก 2” สำหรับ การ “ชำแหละ” โครงการรับจำนำข้าวเปลือกทุกเม็ดด้วยราคาสูงกว่าราคาตลาด ที่ต้องเผชิญกับ “มรสุมการเมือง” และ “แนวต้าน” ที่ไหวกระเพื่อมอย่างหนักหน่วง ยิ่งเวลานี้ได้มี “แรงกดดัน” ทั้งจากนักวิชาการบางส่วน ตลอดจน “กลไกสภาสูง” ที่เตรียมคิว “ซักฟอกรัฐบาล” กรณีรับจำนำข้าวเป็นการเฉพาะ ไม่เพียงเท่านั้น... การรับจำนำข้าวยังเป็นหอกอันแหลมคมของ “ประชาธิปัตย์” ที่รอเปิดสงครามน้ำลายในศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจ เพื่อปลุก แนวร่วม “ชนชั้นกลาง” ให้ออกมา “ร่วมด้วยช่วยกัน” ถล่มรัฐบาลในรหัสการเมือง “นโยบายทุจริตแห่งชาติ”

ผลักให้สถานการณ์ของรัฐบาล “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” ก้าวเข้าสู่ “คิลลิ่งโซน” !!! นั่นเพราะ “รับจำนำข้าว” ซึ่งเป็นนโยบายสำคัญของรัฐบาล กำลังถูกทุกฝ่าย “รุมตรวจสอบ” ย้ำหัวตะปูถึง “ความล้มเหลว” และการสร้างความเสียหายอย่างใหญ่หลวงให้กับประเทศ ทั้งในด้านการส่งออกและด้านงบประมาณว่ากันว่า “รัฐบาล” เริ่มตกที่นั่งลำบาก! จากนโยบายประชานิยมที่หวังดึง “คะแนนนิยม” จากการช่วยชาวนา

พลันให้มีคำถามตามมาว่า...รัฐบาลจะพังเพราะนโยบายการรับจำนำข้าวอย่างที่ “ดร.โกร่ง” วีรพงษ์ รามางกูร ประธานที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจนายกรัฐมนตรี และประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศไทย (กยอ.) เตือนเอาไว้หรือไม่..!

ซึ่งนอกจาก “รับจำนำข้าว” ที่กำลังพ่นพิษ...กัดกร่อนรัฐนาวายิ่งลักษณ์แล้ว ยังมีการว่าถึงแผนกู้เงิน 2.27 ล้านล้านบาท เพื่อลงทุนใน “เมกะโปรเจกต์” เพราะคล้อยหลังก้าวขึ้นสู่ “เกมอำนาจ” นายกฯ ยิ่งลักษณ์ ก็ได้ปัดฝุ่น “แผนกู้เงินเพื่อลงทุนระบบบริหารน้ำ” เพื่อรับมือสถานการณ์ “มหาอุทกภัย” ที่เกิดขึ้นทั่วประเทศ เคาะเม็ดเงิน 3.5 แสน ล้านบาท จากนั้นรัฐบาลได้ประกาศนโยบาย ลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ ทั้งถนน ท่าเรือ ระบบไฟฟ้า สาธารณูปโภค ซึ่งเป็นแผนระยะ 5 ปี (2555-2559) ในวงเงินกู้ 2.27 แสนล้านบาท

“นโยบายประชานิยมยั่งยืน” เหล่านี้...ได้ทำให้ยอดหนี้สาธารณะพุ่งไปแล้วนับแสนล้าน เหลืออีกไม่เท่าไหร่ก็จะชนเพดานที่กฎหมายกำหนด คือไม่เกิน 60 เปอร์เซ็นต์ของผลผลิตมวลรวมทั้งประเทศ หรือจีดีพี หากเปรียบเทียบเดือนธันวาคม ปี 2554 ยอดหนี้สาธารณะอยู่ที่ 4.297 ล้าน ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วนราว 40% ของ จีดีพี แต่เดือนมิถุนายน 2555 ที่ผ่านมา... ยอดหนี้สาธารณะเพิ่มเป็น 4.791 ล้านล้าน บาท หรือ 43% ของจีดีพี ซึ่งเป็นตัวเลขหนี้สาธารณะสูงที่สุดในรอบ 15 ปี นับตั้งแต่ “วิกฤติเศรษฐกิจต้มยำกุ้ง” เมื่อปี 2540

ทั้งที่ “หนี้สาธารณะ” ของประเทศกำลังใกล้ถึงจุดวิกฤติ แต่ล่าสุดกระทรวงการคลังเสนอแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ก้อนใหญ่ประจำปี 2556 สูงถึงเกือบ 2 ล้าน ล้านบาท ซึ่งได้ผ่านความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) ไปแล้ว โดยแยกเป็น หนี้เก่าราว 1 ล้านล้านบาท ที่ไม่สามารถชำระเงินต้นได้จึงต้องขยายเวลาออกไป ส่วนที่เหลืออีกกว่า 9 แสนล้านบาท “เป็นหนี้กู้ใหม่”

เงินกู้มหาศาลก้อนใหม่จำนวนดังกล่าว ทำให้สัดส่วนหนี้สาธารณะของประเทศเพิ่มเป็น 47.5% ของจีดีพี ซึ่งหาก รวมหนี้ก้อนใหม่ที่รัฐบาลได้เห็นชอบกรอบ วงเงินกู้สำหรับโครงการรับจำนำข้าวฤดูกาลผลิตใหม่เพิ่มอีก 4.05 แสนล้านบาท ก็จะทำให้สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อจีดีพี เพิ่มสูงเกิน 50% ซึ่งถือเป็นสัญญาณอันตรายที่จะทำให้เกิดวิกฤติต่อการคลังของประเทศและลุกลามกลายเป็นวิกฤติเศรษฐกิจในภาพรวม!!!

ย้อนกลับไปในช่วงการเลือกตั้งใหญ่ ทั่วประเทศหนล่าสุด พรรคเพื่อไทยได้ชูสารพัดนโยบายประชานิยม เพื่อจุดมุ่งหมาย เอาชนะการเลือกตั้งให้จงได้ โดยกำหนดยุทธศาสตร์ที่มุ่งจับกลุ่มคนทุกชั้น ทุกระดับ ทุกกลุ่ม เริ่มตั้งแต่คนกลุ่มระดับรากหญ้า ชนชั้นกลาง จนถึงระดับคนร่ำรวย เล่นแบบ กินรวบคนทุกกลุ่ม กินตั้งแต่ล่างขึ้นบน เพื่อ ให้ผลการเลือกตั้งของ “เพื่อไทย” เป็นไปตามแผนยุทธศาสตร์

ในระดับรากหญ้า พรรคเพื่อไทย ชูนโยบายบัตรเครดิตชาวไร่ชาวนา, นโยบายรับจำนำข้าว, ปรับค่าแรงขั้นต่ำวันละ 300 บาท, จบปริญญาตรีเงินเดือน ขั้นต่ำ 15,000 บาท ส่วนชนชั้นกลาง ก็มีบ้านหลังแรกและรถคันแรกไม่ต้องเสียภาษี ตลอดจนการพักหนี้ลูกหนี้ที่มีประวัติชำระ หนี้ดี วงเงิน 500,000 บาท แถมให้สิทธิ์กู้เพิ่มได้อีก ขณะที่การปูประชานิยมในกลุ่ม คนมีเงิน หรือคนในระดับบนของประเทศ ได้กำหนดนโยบาย “ลดอัตราภาษีรายได้ให้แก่นิติบุคคล” จากอัตราเดิม 30% ลดลง เป็น 23%

- “ผลแห่งประชานิยม”

ทว่า...หลังจาก “รัฐบาล” ได้เข้ามาบริหารประเทศครบหนึ่งขวบปี ได้เกิด อาฟเตอร์ช็อก ตามแรงเหวี่ยงของนโยบายประชานิยมที่หว่านไถลงไปมากมาย ซึ่งแทบจะทุกนโยบาย...ล้วนก่อให้เกิดปัญหา ทำให้เกิดผลเสียหายต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศ ทั้งหมดทั้งปวง ส่งผลให้ “นโยบายประชานิยมยั่งยืน” ถูกวิพากษ์วิจารณ์ในหลายแง่มุม ทั้งด้านที่ก่อประโยชน์กับคนส่วนใหญ่ ตลอดจนผลกระทบในด้านลบจากนโยบายแห่งรัฐ ต่อเรื่องดังกล่าว “รศ.ดร.เอกชัย นิตยาเกษตรวัฒน์” นักวิชาการสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) ย้ำหัวตะปูว่า...จากผลที่คาดหวังในระยะสั้นหรือ ระยะยาว และกลุ่มเป้าหมายที่เป็น “ฐานเสียง” ของพรรคการเมือง จึงสามารถคาดเดาได้ว่า “รัฐบาล” จะให้ความสำคัญกับการกระตุ้นการบริโภคภายใน โดยใช้นโยบายประชานิยมซึ่งง่ายที่จะดำเนินการ เห็นผลเร็ว และสามารถสนองความต้องการ ของฐานเสียงที่จะช่วยสนับสนุนให้รัฐบาล สามารถปกครองประเทศได้เรื่อยๆ จนกว่า จะเจอมรสุมทั้ง “ในและนอกฤดูกาล”

“นโยบายประชานิยม” ไม่ว่าจะเป็นบ้านหลังแรก รถคันแรก แท็บเล็ตชั้นประถม ยืดชำระหนี้ทั้งหนี้ดีหนี้เสีย ค่าจ้าง 300 บาท เงินเดือน 1.5 หมื่นบาท หรือแม้แต่นโยบายจำนำข้าว จะช่วยให้ผู้ที่ได้สวัสดิการเหล่านี้มีรายได้สูงขึ้น ทำให้มีกำลังซื้อมากขึ้นและสามารถกระตุ้นการบริโภคภายในตลอดจนการเติบโตทางเศรษฐกิจได้ไม่เพียงเท่านั้น ยังสามารถดำเนินการได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งเห็นได้ว่ารัฐบาลสามารถดำเนินนโยบายเหล่านี้ภายในช่วง ปีแรกของการบริหารประเทศ และผู้ที่ได้รับประโยชน์จากโครงการเหล่านี้ ก็เป็น “ฐานเสียง” ที่สำคัญของรัฐบาลนี้ ผิดกับนโยบายการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานที่ไปไม่ถึงไหน...ซึ่งถ้าคิดตามความเป็นธรรม ก็เป็นเรื่องยากสำหรับ “ทุกรัฐบาล” ไม่ว่าจะเป็นกฎระเบียบขั้นตอนราชการที่หยุมหยิม และ “มุ่งจับผิด” ทำให้ข้าราชการและผู้บริหารระดับสูงในหน่วยงานภาครัฐ เลือกที่จะ “เกียร์ว่าง” เพราะถ้าคิดนอกกรอบก็เสี่ยงที่จะถูกสอบ

นอกจากนี้ การจัดสรรผลประโยชน์ จากการลงทุนซึ่งเป็นเม็ดเงินมหาศาล ก็เป็นอุปสรรคใหญ่ของการดำเนินนโยบาย ทำให้โครงการลงทุนเหล่านี้มัก “ถูกเบรก” เมื่อมีการเปลี่ยนผู้บริหารยิ่งเป็นการลงทุน ขนาดใหญ่ก็ยิ่งยากที่จะเห็นโครงการนั้นดำเนินการได้ ทั้งกว่าจะเห็นผลสำเร็จก็เป็น เรื่องในระยะยาวที่ “คนตัดสินใจ” อาจไม่ได้ใช้เพราะ “อยู่ไม่ถึง”

“ถ้าพิจารณาปัจจัยการพัฒนาของประเทศที่พัฒนาแล้ว ต่างก็เติบโตจากผลพวงของโครงสร้างพื้นฐานที่ทันสมัย และสามารถตัดสินใจในโครงการใหญ่ๆ ได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ส่วนประเทศที่ด้อยพัฒนาและประเทศที่ต้องเผชิญวิกฤติเศรษฐกิจ ล้วนมีรัฐบาลที่เลือก ใช้นโยบายประชานิยมหรือสวัสดิการสังคม ในอดีต ที่ได้ผลแค่ระยะสั้นแต่ก่อให้เกิดภาระและวิกฤติในระยะยาว”

- เปิดโฉนดแผนกู้หนี้!

ในการประชุมคณะรัฐมนตรี งวดแรกของปีงบประมาณ 2556 เมื่อวันที่ 2 ตุลาคมที่ผ่านมา ครม.ได้อนุมัติกรอบวงเงิน ตามแผนบริหารหนี้สาธารณะไว้ที่ 2.048 ล้านล้านบาท โดยเป็นการกู้ใหม่ 9.59 แสน ล้านบาท ขณะที่การค้ำประกันเงินกู้แก่รัฐวิสาหกิจมีกรอบอยู่ที่ 4.8 แสนล้านบาท ซึ่งภายหลัง “เดอะโต้ง” กิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และ รมว. กระทรวงการคลัง ได้ลงนามแผนการลงทุน โครงสร้างพื้นฐานในระยะ 7 ปี ตามที่สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) นำเสนอร่วมกับสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ยกร่างตามพระราชบัญญัติกู้เงิน 2 ล้านล้านบาท สำหรับการลงทุนโครงการยักษ์ที่เคยหาเสียงไว้ รวมทั้งโครงการแก้ปัญหาน้ำท่วม ทำให้ยอดหนี้สาธารณะ มีวงเงินทั้งสิ้น 2,274,359.09 ล้านบาท เพื่อลงทุน 7 ด้าน ได้แก่ 1.ระบบราง วงเงินรวม 1,201,948.80 ล้านบาท 2.ระบบขนส่งทางบก 222,347.48 ล้านบาท 3.ระบบขนส่งทางน้ำ 128,422.20 ล้านบาท 4.ระบบขนส่งทางอากาศ 69,849.66 ล้าน บาท 5.ระบบสาธารณูปการ 99,204.69 ล้านบาท 6.ระบบพลังงาน 515,689.26 ล้านบาท และ 7.ระบบสื่อสาร 36,897 ล้านบาท

ทั้งหมดถูกนำไปใช้จ่ายเพื่อปรับปรุงสร้างใหม่ในระบบราง ตามแนวนโยบายพรรคเพื่อไทย ผ่านการลงทุนของการรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) เช่น รถไฟ ความเร็วสูง รวม 845,385.01 ล้านบาท การลงทุนของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) 333,803.78 ล้าน บาท การลงทุนของกรมทางหลวง 16,550 ล้านบาท และการลงทุนของกรมทางหลวง ชนบท 6,210.01 ล้านบาท

โดยในแผนการลงทุนในโปรเจกต์ยักษ์ ภายใต้เงินกู้ 2.27 ล้านล้านบาท มีโครงการที่ต้องทำอย่างเร่งด่วน คือโครงการเกี่ยวกับการขนส่งกับประเทศเพื่อนบ้าน โครงการรถไฟฟ้า 10 สายที่อยู่ในแคมเปญหาเสียง และการเร่งก่อสร้างรถไฟฟ้าส่วนต่อขยาย 5 เส้นทางให้แล้วเสร็จภายในอีก 5 ปีข้างหน้า

พร้อมกันนี้ ยังจะลงทุนพัฒนาเส้นทาง เตรียมพร้อมสำหรับรองรับพื้นที่เศรษฐกิจใหม่ๆ เป็นเส้นทางมอเตอร์เวย์ หรือทางพิเศษระหว่างเมือง สายบางใหญ่-กาญจนบุรี และบางปะอิน-สระบุรี-นครราชสีมา อีกด้วย...ไม่นับรวมแผนงานด้าน เทคโนโลยีสารสนเทศ ด้วยการเตรียมเปิด ประมูลโครงข่ายระบบโทรศัพท์ “3 จี”

หากรัฐบาลลงทุนตามแผน 5 ปี ซึ่ง มีทั้งโครงการรถไฟฟ้า ท่าเรือทั่วทุกภูมิภาค และโครงการทวายโปรเจกต์ ที่รัฐบาลร่วม ลงขันกับกลุ่มอิตาเลียน-ไทย ประมาณ 1 แสนล้านบาท รวมทั้งรถไฟฟ้าไฮสปีด 4 สายทั่วประเทศ และรถไฟฟ้า 10 สายในกรุงเทพฯ และปริมณฑล ก็น่าจะทำให้ “รัฐบาลเพื่อไทย” ชนะเลือกตั้งอีกสมัย ครองอำนาจต่อไปอีก 4 ปี หรือมากกว่านั้น

แต่เป็นชัยชนะที่แลกมาด้วยการใช้ “เงินกู้” ทำให้ประชาชนทั้งประเทศต้องแบกภาระหนี้สินต่อไปอีกไม่น้อยกว่า 10 ปี เพราะการก่อหนี้ต่างประเทศ ส่วนใหญ่ทำกรอบเวลาในการชำระ 10 ปีขึ้นไป เหนืออื่นใด “นโยบายประชานิยม” ในบางสถานการณ์ของสังคมถือเป็นสิ่งที่ดี แต่หากมีการใช้นโยบายดังกล่าวอย่าง อีลุ่ยฉุยแฉก...ทอดยอดในทุกโครงการของ รัฐแล้ว นั่นย่อมไปสร้างปัญหาต่อระบบโครงสร้างทางการเงินการคลังของประเทศ อย่างใหญ่หลวง สุดท้ายพอไม่มีหนทางอื่น ใด “รัฐบาล” ก็ต้องถอนขนห่าน...ขึ้นสารพัดภาษี หรือกู้จากต่างประเทศ เพื่อหาเงินมาใช้จ่าย ซึ่งแน่นอนว่า สิ่งที่เกิดขึ้น ย่อมเป็นการ “ผลักภาระ” มายังผู้บริโภคอย่างหลีกเลี่ยงไปไม่ได้ จนทำให้ราคาสินค้า ทุกประเภท “แพงทั้งแผ่นดิน”

เช่นที่ว่านี้ พลันให้ “รัฐบาล” ต้องเกาให้ถูกที่คัน...เพื่อจัดการบริหาร “เม็ดเงินประชานิยม” ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ต่อคนไทยทั้งประเทศ?!!

ที่มา.สยามธุรกิจออนไลน์
///////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

พล.อ.เปรม. วอน เสื้อสีต่างๆ ยึดชาติเป็นที่ตั้ง-กลับมาสามัคคีรักกันเหมือนเดิม !!?

ที่สโมสรทหารบกเทเวศร์ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ได้เป็นประธานเปิดโครงการ "สายใจไทย สู่ใจใต้” รุ่นที่ 18 โดยเป็นเยาวชนที่นับถือศาสนาอิสลามจาก 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ จำนวน 241 คน โดยมี พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก(ผบ.ทบ.) พล.ร.อ.สุรศักดิ์ หรุ่นเริงรมย์ ผู้บัญชาการทหารเรือ(ผบ.ทร.) พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง ผู้บัญชาการทหารอากาศ(ผบ.ทอ.) พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผู้บัญชาการ ตำรวจแห่งชาติ(ผบ.ตร.) พล.อ.วรพงษ์ สง่าเนตร รอง ผู้บัญชาการทหารสูงสุด (รอง ผบ.สส.) พร้อมด้วยนายทหารระดับสูง และภาคเอกชน เข้าร่วม

พล.อ.เปรม ให้โอวาทต่อเยาวชนใต้ ว่า ตนจะพูดเสมอว่าพวกเราดีใจที่ได้พบกับลูกหลานของเราที่มาจากต่างจังหัด โดยเฉพาะจากจังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่เราทำโครงการนี้ขึ้นมาเพราะเราคิดว่าโครงการนี้จะมีส่วนช่วยให้เกิดความรักความสามัคคี ระหว่างคนไทยในชาติของเรา ตนอยากจะขอให้เด็กๆ ทั้งหลายที่มาจากจังหวัดชายแดนภาคใต้กรุณาฟังและทำความเข้าใจในสิ่งที่ตนจะพูด ตนพูดเสมอว่าพวกเราที่เป็นผู้ใหญ่ในประเทศไทยในชาติของเรามีหน้าที่ที่ต้องดูแลเยาวชนเด็กๆคนไทยทุกคน ไม่ว่าจะนับถือศาสนาอะไรต้องให้เขาเติบโตมาเป็นผู้ใหญ่ที่เป็นประโยชน์ต่อชาติของเรา เรื่องนี้ไม่ได้กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ แต่เราต้องสำนึกว่าเป็นหน้าที่ของเรา จากโดยตรงก็ไม่เชิงจากโดยอ้อมก็ไม่ใช่ แต่เรากำลังทำหน้าที่สำคัญของเราคือดูแลเด็กๆ ให้เขาเป็นเด็กดีต่อไป อย่างไรก็ตาม วันนี้นอกจากเจ้าหน้าที่โครงการยังมี ผบ.ทบ. ผบ.ทร. ผบ.ทอ. ผบ.ตร. และ รอง ผบ.สส.มาร่วมงานด้วย และหน่วยงานอื่นก็พร้อมมาร่วมงานกับเรา แต่เขามีงานมากแต่วันนี้ก็ยังมาร่วมงานด้วยตนเอง แสดงให้เห็นว่าท่านให้ความสำคัญต่อเด็กๆเยาวชนจังหวัดภาคแดนใต้ทั้ง 5 จังหวัด

"ผมคิดว่าสิ่งสำคัญสิ่งหนึ่งที่เราต้องทำให้เกิดในชาติบ้านเมืองของเรา คือความรักความสามัคคีของคนในชาติ ผมคิดว่าเจ้าหน้าที่ทุกคนนอกจากโครงการสานใจไทยสู่ใจใต้แล้วผบ.เหล่าทัพ ส่วนราชการที่มา เขารักลูกหลานที่มา นั้นคือสิ่งที่แสดงออกชัดเจนเพราะความรักคือสิ่งสำคัญ ทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างมีความสงบ ราบรื่น มีความสุข มีความสำเร็จ เพราะฉะนั้น ผมขอร้องให้ทุกคนได้โปรดรักเด็กๆ และทำให้เขาเป็นเด็กดี และขอร้องทุกคนช่วยบอกให้เด็กๆรักกัน รักบิดามารดา รักชุมชน รักอาชีพของตน และในที่สุดขอให้รักชาติของเรา ชาตินี้เป็นชาติของเรา ไม่ใช่ชาติของใคร เป็นของคนไทยทุกคนที่เราต้องให้ความรักแก่ชาติของเรา เพื่อให้ชาติของเราร่มเย็นเป็นสุข ชาติของเราจะแข็งแรงและมั่นคงเจริญเติบโต" พล.อ.เปรม ระบุ

พล.อ.เปรม กล่าวว่า ตนยืนยันว่าทุกฝ่ายโดยเฉพาะเหล่าทัพต่างๆ มีความรักต่อพวกเธอทุกคน และพยายามอย่างยิ่งจะนำความรักไปยังจังหวัดชายแดนภาคใต้ทุกแห่งที่มีความรักความสามัคคี ตนมั่นใจว่าทุกคนจะทำประโยชน์ต่อชาติบ้านเมือง ดังนั้น ความรักชาติของเราที่จะต้องสร้างให้เกิดขึ้นให้ได้ โดยวิธีใดวิธีหนึ่ง อย่างที่พวกเรากำลังดำเนินการ

จากนั้น พล.อ.เปรม ให้สัมภาษณ์ถึงการสร้างความรักความสามัคคีของคนในชาติว่า อยากให้คนในชาติมารักกันเหมือนเดิม ส่วนที่มีการแบ่งเป็นฝักเป็นฝ่าย เป็นเสื้อสีต่างๆนั้นก็ให้ทุกคนเอาชาติเป็นที่ตั้ง โดยการจัดโครงการเพื่อเสริมสร้างความสามัคคีนั้น ตนมองว่ามีการดำเนินการกันทั่วประเทศ เพียงแต่เราอาจจะรู้บ้างไม่รู้บ้างซึ่งเรื่องความรักชาติเป็นเรื่องสำคัญที่ทุกภาคส่วนตั้งใจทำอยู่

ที่มา.ข่าวสดออนไลน์
//////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันพุธที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2555

คนชุดดำยังไม่รู้....ชายใจดำ รู้แล้วใคร !!?

ถ้าจะให้ผมดีเบต ผมว่าผมรอคุณทักษิณกลับมาแล้วก็มาสู้กันในกระบวนการยุติธรรม แล้วก็ดีเบตดีกว่า...”

ปฏิเสธคำท้านิ่มๆ ปนจิกกัดนิดๆตามสไตล์ของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ไม่ขอจับคู่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกรัฐมนตรีและผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ขึ้นเวทีดีเบตเรื่องชายชุดดำกับนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ และนายจตุพร พรหมพันธุ์ 2 แกนนำคนเสื้อแดง ออกทีวี.ให้ประชาชนตัดสิน

นอกจากไม่รับคำท้าดีเบตออกทีวี. ยังกวักมือเหยงๆเรียก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ให้กลับมาแจ้งความดำเนินคดีด้วยตัวเอง หากว่าการปราศรัยเรื่องชายชุดดำเข้าข่ายหมิ่นประมาท
“...ก็กลับมาแจ้งความด้วยตัวเองสิครับ แน่จริงกลับมาสิครับ เอาอย่างนั้นดีกว่า…”

ท้าทายกันอยู่ในที

และไม่วายที่จะยกหมายจับอดีตนายกฯมาดิสเครดิตกลับ

ผมว่าอย่างนี้ดีกว่า ถ้าเกิดมีการมอบอำนาจมาก็ขอให้บอกหลักแหล่งของคนที่จะแจ้งความด้วย แล้วคราวนี้ผมจะให้ตำรวจไปสอบคุณทักษิณถึงที่อยู่ ไม่ว่าจะเป็นที่ไหน พร้อมกับหมายจับ ผมว่าถ้าแจ้งปั๊บผมจะถามตำรวจว่า เอาล่ะ คราวนี้คุณรู้หลักแหล่งของคนที่หนีคดีศาลอยู่ ผมว่าตำรวจก็โอเค อยากจะมาแจ้งความก็ไปตามตัวจับกลับมาเลย แล้วคุณก็จะมาร้องทุกข์กล่าวโทษอะไรใครก็เชิญ…”

เกทับเต็มที่เพราะรู้ว่ายังไงก็ไม่กลับ หรือหากกลับก็เข้าเงื่อนไขใหม่ที่อาจทำให้อะไรๆผลิกผันไปจากที่เป็นอยู่ได้

ไม่ต่างจากนายสุเทพที่ไม่สนใจขึ้นเวทีดีเบต แต่ขอเดินสายตั้งเวทีปราศรัยไปทั่วประเทศแทน
“…นปช. พยายามบิดเบือนข้อเท็จจริงจนทำให้ประชานเข้าใจผิด เช่น พยายามจะบอกว่าไม่มีกองกำลังผู้ก่อการร้ายชุดดำมาฆ่าเจ้าหน้าที่และประชาชน อย่างนี้เป็นการโกหกที่รับไม่ได้ เพราะคนเห็นกันทั้งประเทศ เลยต้องถือเป็นหน้าที่นำความจริงเหล่านี้ไปบอกให้ประชาชนรู้...”

พวกผมมีเวทีที่จะพูดจาอธิบายข้อเท็จจริงให้ประชาชนทราบ จะได้ทำให้ประชาชนที่เคยรับข้อมูลจากรัฐบาลฝ่ายเดียวได้ข้อมูลจากฝ่ายผมบ้าง ประชาชนที่ติดตามข่าวจะได้ชั่งใจได้ ไม่ต้องมานั่งประชันโต้วาทีให้น่ารำคาญเปล่าๆ...”

พูดราวกับว่าที่ผ่านมาไม่ได้บอกอะไรกับประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่มีอำนาจ มีสื่อของรัฐอยู่ในมือ

การไปเปิดเวทีเพื่อเอาความจริงไปบอกประชาชนว่าเกิดอะไรกับบ้านเมือง เพราะไม่ต้องการให้คนชั่วร้ายบิดเบือนข้อเท็จจริงจนคนสับสนเท่านั้น ไม่ได้คิดโค่นล้มรัฐบาล พูดบนเวทีทุกครั้งไม่มีการโจมตีรัฐบาล

ส่วนจะกลายเป็นความขัดแย้งในอนาคตได้หรือไม่นั้น ก็อยากจะบอกว่าอย่าไปกลัว อย่ากลัวว่าถ้าฝ่ายผมพูดความจริงจะเกิดบรรยากาศความขัดแย้ง...”

กลับตาลปัตรพลิกผันจากเมื่อครั้งเป็นรัฐบาลที่มักเรียกร้องให้คนเสื้อแดงเลิกเคลื่อนไหว เพราะเกรงว่าจะเป็นเงื่อนไขนำไปสู่ความขัดแย้งขึ้นมาอีก

ความจริงเรื่องคนชุดดำ การสลายการชุมนุม การเสียชีวิต 98 ศพ และบาดเจ็บกว่า 2,000 คน
ช่วงเวลากว่า 2 ปีที่ผ่านมาประชาชนได้รับข้อมูลข่าวสารมากพอที่จะคิดและตัดสินใจได้แล้วว่าควร “เชื่อใคร”

การเดินสายปราศรัยหากจะยอมรับความเป็นจริง ไม่ว่าฝ่ายใดตั้งเวที ก็จะมีแต่เฉพาะคนที่สนับสนุนฝ่ายนั้นไปนั่งฟัง ไปร่วมกิจกรรม
ไม่มีคนอีกฝั่งไปนั่งฟังการปราศรัยของคนอีกฝ่าย

พูดให้ตายข้อมูลก็วนเวียนอยู่ที่เดิม สัญญาณของข้อมูลก็ส่งไปไกลได้เท่าเดิม ไม่อาจตีกินข้ามไปอีกฟากฝั่งได้

การโหมเคลื่อนไหวเรื่องชายชุดดำในช่วงที่ใกล้จะมีการตั้งข้อกล่าวหากับนายอภิสิทธิ์และนายสุเทพ จะมีนัยทางการเมืองอะไรหรือไม่

หวังผลที่แท้จริงเป็นประการใด มีแต่นายอภิสิทธิ์และนายสุเทพเท่านั้นที่รู้
เวลากว่า 2 ปีที่พูดเรื่องชายชุดดำยังไม่อาจหาข้อสรุปได้ และไม่รู้ว่าสุดท้ายแล้วบทสรุปเรื่องชายชุดดำจะลงเอยแบบใด

แต่บทสรุปในใจของคนทั่วไปที่ไม่ต้องเสียเวลาตามหา เพราะวันนี้ทุกคนรู้แล้วว่าใครคือ “ชายใจดำ”
แม้แต่คำขอโทษเพียงแผ่วเบาสักคำก็ยังไม่เคยได้ยิน

ที่มา.หนังสือพิมพ์โลกวันนี้
///////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////