--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันอังคารที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2555

เงาสะท้อนประวัติศาสตร์ วันมหาวิปโยคประชาธิปไตย..บนกองเลือด !!?

ถนนสายประชาธิปไตย” ทอดยาวมาแล้วถึง 80 ปี พลันได้เกิดเหตุการณ์การชุมนุม ทางการเมืองที่รุนแรงถึงขั้นนองเลือดอยู่หลายต่อหลายครั้ง และเท่าที่ปรากฏว่ารุนแรง ที่สุด ซึ่งรัฐกระทำต่อประชาชน นั่นคือ “วันมหาวิปโยค” 6 ตุลาคม 2519 ที่ส่วนหนึ่งเป็น การผสมจินตภาพไปกับเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 ซึ่งมีระยะห่างกันราว 3 ปี

ทำให้ทุกปี เมื่อตรงกับวันที่ 6 และ 14 ตุลาคม จะมีการจัดงานรำลึกถึง “วีรชน” และอุดมการณ์ของผู้เสียชีวิตจากทั้ง 2 เหตุการณ์นอง เลือด อันเป็นภาพซ้อนแห่งความขัดแย้งในทาง การเมือง ระหว่างประชาชนกับ “อำนาจรัฐ”

และถือได้ว่าทั้ง 2 กรณียังมีความเกี่ยวพันกัน เพราะในเหตุการณ์ 14 ตุลา ขบวนการนักศึกษาเป็นแกนนำในการต่อต้านเผด็จการและ ประสบความสำเร็จในการขับไล่รัฐบาล “จอมพลถนอม กิตติขจร” และฟื้นฟูประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยสมบูรณ์ ส่วนกรณี 6 ตุลา หมายถึง 2 เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันเดียวกัน คือการเข่นฆ่าสังหารนักศึกษาประชาชนที่เกิดขึ้นในเวลาเช้าตรู่กับการรัฐประหารที่เกิดขึ้นเวลาเย็นวันนั้น

เหล่านี้ ได้ปรากฏให้เห็นถึง “พฤติกรรม” อันเลวร้ายของผู้มีอำนาจในการ “เข่นฆ่าประชาชน” ที่ออกมาชุมนุมทางการเมือง ซึ่งแน่นอน ว่าเหตุการณ์แบบนี้ คงไม่มีการบันทึกเอาไว้ในหน้าประวัติศาสตร์อย่างเป็นทางการ เพราะเป็นการกระทำอันโหดเหี้ยมอำมหิตจากฝ่ายที่มีอำนาจในบ้านเมือง ย่อมต้องการให้ความจริงใน วันนั้นสูญสลายหายไป!!

แต่สำหรับผู้คนที่ผ่านความเป็นความตายในวันนั้น ยุคสมัยนั้น คงยากจะลืมเลือนได้

แม้ “วันมหาวิปโยค 6 ตุลาฯ 19” ดูจะแตกต่างไปจากเหตุการณ์อื่น เพราะมีการวางแผน เอาไว้ล่วงหน้า เพื่อจะกวาดล้างขบวนการฝ่ายก้าวหน้าให้สิ้นซาก ขณะที่ 14 ตุลาฯ 2516 ต่อเนื่องมาถึงพฤษภาทมิฬ 2535 และการสั่ง “กระชับพื้นที่” และสั่งปราบปรามผู้ชุมนุมใน ช่วงปี 2552-2553 ซึ่งถือได้ว่าเป็นการปราบปรามผู้ชุมนุมประท้วง ที่เกิดจากการควบคุมสถานการณ์ไม่ได้และการ “ไม่ยอมถอยจากอำนาจ” ของรัฐบาลในขณะนั้น

ยิ่งดูในข้อเท็จจริงแล้ว ทุกเหตุการณ์ก็ไม่ได้แตกต่างกันสักเท่าไหร่! นั่นเพราะผู้สั่งปราบปรามประชาชนไม่มีความรู้สึกรับผิดชอบ ตลอด จนการดิ้นรนต่อสู้เพื่อปกปิดความจริง ก็ยังดำเนิน อยู่อย่างไม่ถดถอย

“จรัล ดิษฐาอภิชัย” อดีตกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ผู้ซึ่งอยู่ในเหตุการณ์ “วันมหาวิปโยค” ล้อมปราบนิสิตนักศึกษาและประชาชนที่โหดร้ายที่สุดในสังคมไทย ได้ฉายภาพความแตกแยกที่เกิดขึ้นในอดีตจนถึงปัจจุบันไว้อย่างน่าสนใจ

“เวลานี้สังคมแบ่งเป็น 2 ฝ่าย และต่อสู้ความคิดการเมือง ทางอุดมการณ์ซ้ายขวาเป็นเวลา 2 ปีกว่าๆ หลังจากเหตุการณ์ 14 ตุลาฯ แล้วสุดท้ายพลังฝ่ายซ้ายก็ถูกปราบปรามอย่างเหี้ยมโหดนั้น น่าจะทำให้สังคมมีบทเรียนว่าต่อไปนี้จะต้องไม่แบ่งกัน รัฐต้องไม่ล้อมปราบประชาชนกัน แต่ปรากฏว่าบทเรียนนี้ ทั้งรัฐและ สังคมไทยไม่ได้ยึดถือ เพราะว่าเกิดเหตุการณ์พฤษภาทมิฬปี 2535 และเหตุนองเลือดในเดือน เม.ย.-พ.ค.ปี 2553 ก็เกิดเหตุการณ์ในลักษณะที่ “รัฐเข้าปราบปรามประชาชน” แสดงให้เห็นว่า...สังคมไทยไม่เคยเรียนรู้บทเรียน!!

ยิ่งไปกว่านั้น อิทธิพลของวงการสื่อสารมวลชนกระแสหลัก ยังสามารถกำหนดความคิดของประชาชนได้อย่างเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 สื่อมวลชนกระแสหลัก วิทยุต่างๆ โหมกระหน่ำว่าในหมู่นักศึกษาที่ชุมนุมในมหาวิทยาลัย ธรรมศาสตร์มีพวกคนญวน คนจีน ดังนั้น นักศึกษาและประชาชนที่อยู่ในธรรมศาสตร์...ไม่ใช่คนไทย พอแบ่งแยกคนเหล่านี้ออกไป รัฐและกลุ่มพลังฝ่ายขวาจึงไม่ลังเลใจและใช้ข้ออ้างนี้ในการทำอำมหิตต่อคนในประเทศ ด้วยการเผาทั้งเป็น ตอก ลิ่มศพจับศพไปแขวนคอแล้วใช้เก้าอี้ฟาด

เช่นเดียวกับเหตุการณ์ เม.ย.-พ.ค.ปี 2553 ที่สื่อมวลชนกระแสหลักต่างนำเสนอข่าวว่า ผู้ชุมนุมเสื้อแดงไม่มีความจงรักภักดี เป็นพวกล้มเจ้า ทาง ศอฉ.ก็ทำผังล้มเจ้าขึ้นมาแถลงข่าวต่อสื่อมวลชน สื่อก็ไม่ยอมตรวจสอบแต่กลับนำไปเผยแพร่ซึ่งก็ไม่ต่างจากการเผยแพร่ใบปลิวของกลุ่มพลังฝ่ายขวาในอดีต

ดังนั้น ในเหตุการณ์สลายการชุมนุมปี 2553 สื่อมวลชนก็ผลัก “ผู้ชุมนุมเสื้อแดง” ไปอยู่อีกข้าง ทำให้รัฐบาลขณะนั้นมีความชอบธรรมและได้รับแรงสนับสนุนให้สังหารประชาชนที่ไม่มีอาวุธอยู่ในมือ แล้วก็ไปอ้างว่ากลุ่มคนเสื้อแดงที่ชุมนุมมีชายชุดดำปะปนอยู่ด้วย ไม่ต่างจากดาวสยาม หรือวิทยุยานเกราะในสมัยก่อนนี้ ที่บอกว่ามีพวกญวน คอมมิวนิสต์อยู่ปะปนกับนิสิต นักศึกษา และประชาชน ในธรรมศาสตร์ แล้วความเป็นจริงก็เห็นชัดเจนว่า คนที่ตายในเช้าวันที่ 6 ตุลาคม 2519 มีแต่คนไทย แล้วหลายคนที่เสียชีวิตก็คือ นิสิต นักศึกษาจากมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงในปัจจุบันทั้งสิ้น

อันที่จริงความขัดแย้งทางอุดมการณ์ฝ่ายซ้าย กับฝ่ายขวาในสมัยการต่อสู้คอมมิวนิสต์กับอุดมการณ์ของเหลือแดงมีความแตกต่างกัน เพราะอุดมการณ์ความขัดแย้งระหว่างเหลืองกับแดงมันกว้างประเด็นแหลมคมและฝังรากลึกเกินกว่าจะถอนออกได้

แต่สิ่งที่เหมือนกันคือ สื่อมวลชนทั้ง 2 ยุค ต่างก็สร้างความเกลียดชังให้เกิดขึ้นในสังคม แบ่งคนในสังคมให้แยกออกจากกัน คิดต่างกันไม่ใช่พวกเดียวกัน ต่างฝ่ายต่างใส่ร้ายป้ายสีว่า อีกกลุ่มเป็นยักษ์เป็นมาร เหมือนที่กล่าวหาว่า พวกนักศึกษาเป็นคอมมิวนิสต์ ตอนนี้มาบอกกลุ่มคนเสื้อแดงเป็นพวกล้มเจ้า สุดท้ายเมื่อไม่มองกันและกันว่าเป็นมนุษย์ ความรุนแรงก็ต้องเกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

“ความขัดแย้งทางการต่อสู้ที่วันนี้มันยกระดับ เป็นเรื่องความขัดแย้งเชิงอุดมการณ์ แล้ว ในช่วง 5-6 ปีที่แล้วมา ก็ฟาดฟันกันทางความคิดและวาจา โต้ตอบกันมาโดยตลอด ฟาดฟันกันจนทั้งสองฝ่ายรู้สึกเจ็บปวด เคียดแค้นชิงชัง แล้วไม่มีแนวโน้มที่จะคลี่คลาย เพราะทั้ง 2 ฝ่าย ก็ไม่เห็นด้วยกับการปรองดอง ดังนั้น ถ้าคนทั้ง 2 ฝ่ายมาอยู่ใกล้กันแนวโน้มที่จะปะทะกันก็มีสูง”

นอกจากนี้ทั้ง 2 ฝ่าย โดยเฉพาะแกนนำต้องคิดด้วยว่า ควรจะจัดชุมนุมให้เกิดการปะทะกันหรือ ไม่ ยิ่งฝ่ายคนเสื้อแดงซึ่งเป็นฝ่ายรัฐบาล ถ้าสมมติเกิดการปะทะกันของมวลชน ไม่ว่าจะกรณีใดๆ ฝ่ายเสื้อแดงชนะก็เหมือนแพ้ ถ้าแพ้แล้วก็ยิ่งแพ้เข้าไปใหญ่ เพราะคนที่แพ้ไม่ใช่แค่คนเสื้อแดง แต่รัฐบาลก็แพ้ตามไปด้วย เพราะสังคมก็จะวิจารณ์รัฐบาลหนักขึ้น แม้การปะทะกันจะผิดทั้งคู่ แต่รัฐบาลจะผิดมากที่สุด

แต่เข้าใจได้ว่า เมื่อฝ่ายเสื้อแดงเป็นรัฐบาล พวกเขาก็จะปกป้องรัฐบาลไม่ยอมให้อำนาจอื่น ใดมาล้มรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เนื่องจากรัฐบาลของพวกเขาถูกล้มไปแล้ว 3 รัฐบาลในช่วง 6 ปีมานี้ ดังนั้น พวกเขาก็ไม่ยอมให้รัฐบาลชุดที่ 4 ล้มไปง่ายๆ ด้วยเหตุนี้ “คนเสื้อแดง” จึงต้องปกป้องทุกวิถีทาง

ถ้าฝ่ายเสื้อเหลืองยังมีเจตจำนงที่จะไม่ยอม รับรัฐบาลนี้ จ้องหาทางล้มรัฐบาลทุกวิถีทาง อย่าง ล่าสุดก็คือกลุ่มคณาจารย์นิด้า ไปยื่นเรื่องการจำนำ ข้าวต่อศาลรัฐธรรมนูญ แบบนี้อย่างไรเสียก็ต้องมีการปะทะกันไปเรื่อยๆ ถ้าไม่เล่นตามหลักประชาธิปไตย คือรัฐบาลต้องมาจากการเลือกตั้ง

สำคัญคือ “รัฐบาล” ถ้าหากรัฐบาลเพื่อไทยที่มี “ยิ่งลักษณ์” เป็นนายกรัฐมนตรี คงจะไม่เกิดเหตุการณ์แบบ 6 ตุลาคม 2519 เพราะรัฐบาลที่มา จากการเลือกตั้งคงจะไม่ปราบเสื้อเหลืองอย่างแน่นอน เพราะอาจไปสู่เงื่อนไขถูกล้มรัฐบาล ส่วนเสื้อแดงอย่างไร รัฐบาลก็ไม่ปราบอยู่แล้ว แต่ถ้ามีการเปลี่ยนรัฐบาลเป็นอีกฝ่ายแล้วใช้กระบวนการกล่าวหาใส่ร้ายป้ายสีว่า “คนเสื้อแดง” เป็นพวกล้มเจ้า โอกาสที่จะเกิดเหตุการณ์เหมือน 6 ตุลาฯ จะมีสูงมาก

“การจะแก้ปัญหาความขัดแย้งเชิงอุดมการณ์ในสังคมไทยรัฐบาลหรือระบบการเมืองต้องมีมาตรการป้องกันที่ดี ซึ่งก็ยาก เพราะอำนาจ นอกระบบก็มีอยู่มาก ฉะนั้น ทางแรกคือฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งต้องชนะการเลือกตั้งแบบเด็ดขาด ซึ่งเป็นไปไม่ได้อีก ดังนั้น ก็ต้องปรองดองแต่ก็ชัดเจนแล้วว่า ถ้าเกิด พ.ร.บ.ปรองดอง ขึ้นมาเมื่อไร ทั้ง 2 ฝ่ายจะปะทะกันหรือสร้างความวุ่น วายให้เกิดขึ้นในสังคมอย่างแน่นอน”

เช่นเดียวกันนี้ ในงานสัปดาห์รำลึก “36 ปี 6 ตุลา...ประชาธิปไตยประชาชน” ศ.ดร.สมคิด เลิศไพฑูรย์ อธิการบดี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) ได้ระบุถึงขบวนการเคลื่อนไหว “ภาคประชาชน” ต่อกระบวนการประชาธิปไตยในปัจจุบัน...

“ต้องยอมรับว่าเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 และ 14 ตุลาคม 2516 นั้น ผลักดันให้ประเทศไทยเปลี่ยนแปลงไปมาก นอกจากคนในรุ่น 6 ตุลา และ 14 ตุลา เข้ามามีบทบาททางการเมืองการปกครองมากขึ้น ทำให้ความคิดในการต่อสู้ของประชาชนเพื่อสร้างประชาธิปไตย ต่อต้านเผด็จการถูกฝังลึกในสังคมไทย ถึงแม้ในบางช่วงของการรัฐประหารจะมีประชาชนออกมา สนับสนุน แต่ท้ายสุดทุกฝ่ายเห็นตรงกันว่าการรัฐประหารต้องไม่มีการทำลายล้างประชาธิปไตย หรือรัฐธรรมนูญต้องได้รับการคัดค้าน ทั้งนี้ กระบวนการเคลื่อนไหวของภาคประชาชนปัจจุบันต้องยอมรับว่า มีพรรคการเมือง นักการเมือง ให้การสนับสนุน ทั้งทุน และอื่นๆ”

อธิการบดี มธ. กล่าวว่า ปัจจุบันภาคประชาชนเรียนรู้เรื่องประชาธิปไตยมากขึ้นหาก เทียบกับยุค 14 ตุลา หรือ 6 ตุลา เพราะในการชุมนุม ไม่ว่าจะเป็นม็อบเหลือง หรือม็อบแดง พบว่ามีชาวนา กรรมกร หรือกลุ่มผู้ค้าร้านโชวห่วยมาร่วมมากขึ้น ทั้งนี้มีสิ่งที่ตนห่วง คือในการชุมนุมที่มีการแบ่งฝ่ายทางความคิด มักไม่เคารพในกฎหมาย หรือนำกฎหมายมาใช้เป็นเครื่องมือ ซึ่งในท้ายสุดอาจทำให้ความขัดแย้งมีเพิ่มขึ้น นอกจากนั้น ต้องให้มีการเรียนรู้ถึงการ เคารพสิทธิและเสรีภาพในการแสดงออกของบุคคล รวมถึงการชุมนุมที่มีขอบเขต

“ผมเชื่อว่าท้ายสุดสังคมไทยจะมีทาง ออก คือ ต้องประนีประนอม ต้องปรองดอง ต้องนิรโทษกรรม ต้องอภัยโทษ แต่ตอนนี้ยังไม่รู้ว่าต้องทำให้ใครแค่ไหน รวมถึงใครบ้างเท่า นั้น ผมเชื่อทางออกที่นำไปสู่เป้าหมายการพัฒนาประเทศ จะใช้เวลาอีกไม่นาน”

ส่วนการเคลื่อนไหวทางการเมืองของคนบางกลุ่มและมีประโยชน์ของนักการเมืองแอบแฝงนั้น “สมคิด เลิศไพฑูรย์” ย้ำหัวตะปูว่า ท้ายที่สุดประชาชนจะเข้าใจว่าผู้นำการชุมนุมเข้าขับเคลื่อนเพื่อประชาธิปไตยที่แท้ จริง หรือแค่นำประชาชนมาเป็นกำแพง เพื่อท้ายสุดให้เขาได้เป็นรัฐมนตรีเท่านั้น เมื่อประชาชนรู้และเข้าใจ ก็จะเกิดการเคลื่อนไหวโดยตัวของตัวเอง

ส่วนความขัดแย้งระหว่างภาคประชาชน ในช่วง 2-3 ปีมานี้ จะมีโอกาสทวีความรุนแรงอีกหรือไม่นั้น “อธิการบดี มธ.” ย้ำหัวตะปูว่า คงไม่มี...เพราะรัฐบาลมีบทเรียนจากเหตุการณ์ที่ผ่านมา และเห็นได้ว่าบางเรื่องที่เสื้อเหลืองคัดค้าน เช่น การออกกฎหมายปรองดอง เพื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อประโยชน์นักการเมือง ถูกถอยออกไป โดยเชื่อว่า หากรัฐบาลเดินหน้าทั้ง 2 เรื่อง คนเสื้อแดงส่วนใหญ่จะไม่เอาด้วย เพราะไม่ใช่ประโยชน์ของเขา

ทั้งหมดทั้งปวง ล้วนเป็น “เงาสะท้อน” ภาพแห่งประวัติศาสตร์ใน “วันมหาวิปโยค” ที่ข้นคลั่กไปด้วยเหตุการณ์ความรุนแรงทาง การเมือง นำไปสู่การได้มาซึ่ง “ประชาธิปไตย” ที่แลกมาจาก “ซากศพ” และ “กองเลือด” ของพี่น้องคนไทยด้วยกันเอง พลันให้มีคำถามตามมาว่า จากบทเรียนในอดีต... วันนี้เราได้เรียนรู้ถึงความผิดพลาดกันบ้างแล้วหรือยัง และสังคมไทยจะสามารถ “ก้าว ข้าม” ความขัดแย้งและแตกแยกทางความคิดนี้...ไปได้หรือไม่?!!

ที่มา.สยามธุรกิจออนไลน์
//////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันจันทร์ที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2555

สุธาชัย:แสวงจุดร่วมแดง-สงวนจุดต่าง ย้อนบทเรียน 14-6 ตุลา และพฤษภา 53....!!?

สัมภาษณ์พิเศษ
เคยร่วมต่อสู้ขับไล่เผด็จการใน 14 ตุลาคม 2516

เคยร่วมเรียกร้องให้รัฐบาลเสนีย์ ปราโมช ดำเนินคดีกับ "จอมพลถนอม กิตติขจร" อันเป็นชนวนของ 6 ตุลาคม 2519

เคยร่วมจับปืนสู้อำนาจรัฐร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ใช้ชื่อจัดตั้งว่า "สหายสมพร" เขาคือ "สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ" อาจารย์ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หลังเหตุการณ์นองเลือดครั้งล่าสุด เมื่อพฤษภา ปี"53 เขาถูกจับขัง 8 วันในค่ายทหาร

เมื่อนาฬิกาประวัติศาสตร์หมุนผ่านการนองเลือด 14 ตุลา มา 39 ปี ผ่านการล้อมปราบ 6 ตุลา มา 36 ปี ผ่านการกระชับพื้นที่พฤษภา 53 มา 2 ปี

คนที่ถูกกระทำจาก 3 เหตุการณ์ อย่าง "อาจารย์ยิ้ม" ได้บันทึกความรู้สึก ว่าทำไม เขาถึงยังคิดว่าชนชั้นนำยังคงเป็นปัญหาต่อการประชาธิปไตยไทย และทำไมเขาถึงตั้งคำถามกับพรรคเพื่อไทยว่า"ลืมเพื่อน"

 

- ตั้งแต่เหตุการณ์ 14 ตุลา 6 ตุลา จนถึงพฤษภาคม 2553 สภาพสังคมไทยและประชาธิปไตยเปลี่ยนไปไหม

คิดว่าเปลี่ยนไปเยอะ เพราะก่อนหน้าเหตุการณ์ 14 ตุลา ระบบการเมืองเป็นเผด็จการค่อนข้างยาว ถ้ามีประชาธิปไตยมีการเลือกตั้งก็อยู่ในช่วงสั้น แต่หลัง 14 ตุลา กลับเปลี่ยนไปทางตรงกันข้าม แม้มีการรัฐประหาร แต่การเมืองที่ไม่มีการเลือกตั้ง ไม่มีรัฐสภา ไม่มีพรรคการเมืองจะเป็นแค่ช่วงสั้น ๆ สะท้อนว่าหลัง 14 ตุลา ประชาธิปไตยอยู่นานขึ้น

หลังพฤษภาทมิฬ 35 เห็นว่าการเมืองเป็นประชาธิปไตยสมบูรณ์ ซึ่งดำเนินเรื่อยมาจนถึงปี 2549 จนเกิดการรัฐประหาร และรื้อฟื้นประชาธิปไตยครึ่งใบ แต่ไม่สำเร็จ มีคนต่อต้าน วิกฤตจึงเกิดขึ้นจาก

ปี 2549 ที่กลุ่มคนชั้นนำกลุ่มหนึ่งที่พยายามให้บ้านเมืองไม่เป็นประชาธิปไตย ถอยหลังเข้าคลองไปสู่ระบบอื่น เช่น ระบบคนดี แต่ในที่สุดก็แพ้ ความพยายามในการอุ้มพรรคเสียงข้างน้อยมาเป็นรัฐบาลก็จบลงอย่างน่าอับอาย ที่พรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาล ก็ชี้ให้เห็นว่าชนชั้นนำไม่สามารถทำการเมืองแบบอื่นที่ไม่ใช่ระบบรัฐสภา หรือการเลือกตั้งได้

- ประชาธิปไตยตั้งแต่ 14 ตุลา จนถึงปัจจุบันเติบโตขึ้นหรือยัง หรือย่ำอยู่กับที่


ถ้าไม่มีเหตุการณ์ 19 กันยายน 2549 เห็นได้ว่าประชาธิปไตยโตขึ้นเรื่อย ๆ แต่ถ้าพูดถึงประชาธิปไตยในเชิงประชาชนมีอำนาจ และต่อสู้ จะเห็นว่าพัฒนาขึ้น เพราะประชาชนไม่ยอมการทำรัฐประหาร แต่ถ้ามองในเชิงระบบประชาธิปไตยอาจสะดุด แต่มองในแง่ประชาชนอาจไม่สะดุด พอมาถึงวันนี้ การรัฐประหารจะทำให้ประเทศกลับไปสู่เผด็จการ ผมคิดว่าไม่น่าจะทำได้ หรือทำได้ก็ต้องนองเลือด ประชาชนต้องต่อต้านมากมายมหาศาล

- ปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดเหตุ 14 ตุลา และ 6 ตุลา คือความเหลื่อมล้ำทางสังคม


คิดว่า "ระบอบสฤษดิ์" ทำให้ความเหลื่อมล้ำมันทวีขึ้น แม้มีการพัฒนาประเทศมากมายมหาศาลก็จริง แต่ก็ไม่ได้แก้ปัญหาช่องว่างระหว่างชนชั้น จึงเป็นการเร่งให้เกิดความขัดแย้งในกรณี 14 ตุลา

แต่ปัญหาที่ทำให้เกิดการรัฐประหารในระยะหลัง ไม่ได้เกิดจากความเหลื่อมล้ำ หรือปัญหาเศรษฐกิจเป็นหลัก แต่เป็นปัญหาทางการเมืองมากกว่า เช่น รัฐประหารปี 2549 ไม่เกี่ยวกับความเหลื่อมล้ำเลย

- ถ้าต้นเหตุการรัฐประหารปี 2549 คือการเมืองจุดไหนที่ถึงขั้นทำให้แตกหัก


จุดแตกหักอยู่ที่ชนชั้นนำไทยเป็นชนชั้นนำที่โง่สายตาสั้น คับแคบ รอคอยไม่เป็น จริง ๆ ระบบประชาธิปไตยทั่วโลก กติการ่างไว้ชัดเจนว่าต้องคอยอีก 4 ปี ถ้าไม่รีบร้อนปานนั้น ระบบทักษิณก็เสื่อมลงเรื่อย ๆ เลือกตั้งครั้งต่อไป รัฐบาลทักษิณก็อยู่ไม่ได้ และแพ้การเลือกตั้งไปเอง แต่พอทำรัฐประหารแล้วใช้มาตรการต่าง ๆ มาเล่นงานคุณทักษิณไม่สำเร็จ และทำให้คุณทักษิณ (ชินวัตร) กลายเป็นฮีโร่

- เป็นเพราะอะไรที่ทำให้ชนชั้นนำรอคอยการเปลี่ยนผ่านตามระบบไม่ได้


ปัญหาชนชั้นนำไทย คิดไม่เป็นประชาธิปไตย ยังไม่เคยเห็นว่าประชาธิปไตยเป็นทางศิวิไลซ์ในการแก้ปัญหา คิดจะทำอะไรก็ทำ คิดจะล้มรัฐบาลใครก็ทำตามใจชอบ และคิดว่าประชาชนไม่มีพลัง คิดว่าประชาชนซื้อได้ ตามสถานการณ์ไม่ทัน วันนี้ประชาชนเลือกพรรคการเมืองไม่ได้เลือกเพราะซื้อเสียง แต่ประชาชนเลือกพรรคการเมืองเพราะคิดว่าเป็นประโยชน์

- ผลลัพธ์ของรัฐประหารปี 2549 ที่ทำให้ประชาธิปไตยภาคประชาชนเติบโตขึ้นมา


ผมคิดว่าใช่

- เวลานี้คนเสื้อแดงเติบโตมากแค่ไหน

คงพูดยาก คนเสื้อแดงในทางปริมาณเติบโตมาก ในวันที่กลุ่มนิติราษฎร์จัดงาน 2 ปีนิติราษฎร์ (เมื่อวันที่ 30 ก.ย. 55) ขณะเดียวกัน นปช.ก็จัดโรงเรียน นปช. คนก็เต็มทั้งสองที่ กลายเป็นว่าจัดเวทีอะไร คนเสื้อแดงก็เต็ม ประชาชนจำนวนมากสนับสนุนคนเสื้อแดง ส่วนจะโตด้านอุดมการณ์ความคิดแค่ไหน...ผมคิดว่าด้านประชาธิปไตยโอเค

ใครมาละเมิดประชาธิปไตยคิดว่ามีปัญหา แต่จะไปไกลกว่านั้นไหม คิดว่ายัง...ต้องรออีกระยะ

- คนเสื้อแดง แบ่งเป็นฝ่ายหนึ่งสนับสนุนพรรคเพื่อไทย คุณทักษิณ อีกฝ่ายหนึ่งสนับสนุนนิติราษฎร์

ผมคิดว่ากลุ่มคนเสื้อคงไม่จำเป็นต้องเป็นเอกภาพ ความไม่เป็นเอกภาพนี่ต่างหากที่เป็นเครื่องมือสำคัญทำให้ขยายตัว เติบโต ถ้าคนเสื้อแดงมีเอกภาพทางความคิด คิดเหมือนกันเปี๊ยบ เป็นแท่งเดียวกัน คิดว่าโตไม่ได้ขนาดนี้ ตัวอย่างที่โตไม่ได้เพราะความคิดเป็นแท่งเดียวกันหมด คือ คนเสื้อเหลือง เพราะคนเสื้อเหลืองไม่มีความหลากหลายทางความคิด ต้องเชื่อแต่คุณสนธิ ลิ้มทองกุล เชื่อคุณจำลอง ศรีเมือง

แต่คนเสื้อแดงสามารถคิดต่างกัน แต่มีจุดร่วมเดียวกัน คือไม่เอาอำมาตย์ ไม่ว่าปีกไหน เป็นรูปธรรม คือไม่เอาพรรคประชาธิปัตย์ ไม่เห็นด้วยกับการฆ่าคนเมื่อปี 2553 ไม่เห็นด้วยกับตุลาการภิวัตน์

- คิดว่าเสื้อแดงตอนนี้ ถ้าให้จำแนกออกมา คิดว่ามีกี่แบบ

มีกี่กลุ่มคงพูดไม่ได้ แต่เอาแค่ที่มี agenda ร่วม คือเสื้อแดงทุกกลุ่มมีคุณทักษิณเป็นจุดร่วม มีตั้งแต่รักจนถึงไม่เกลียด แค่การที่ไม่เกลียดทักษิณก็กว้างแล้ว

- ทำไมคนเสื้อแดงต้องมีจุดร่วมเดียวกันคือคุณทักษิณ


(สวนทันที) แต่ทักษิณไม่ใช่เรื่องเดียวที่ร่วม ผมคิดว่าประชาธิปไตยเป็นจุดร่วมอีกอย่างหนึ่ง ที่มีจุดร่วมกันมากคือการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 คนไม่เห็นด้วยกับศาล ตุลาการภิวัตน์ ทักษิณเป็นอันหนึ่งเท่านั้น

- คิดว่าข้อหาที่คุณทักษิณถูกคณะรัฐประหารวาดขึ้นมาใส่ร้าย เทียบกับเหตุการณ์ 6 ตุลา ที่วาดภาพว่านักศึกษายุคนั้นเป็นคอมมิวนิสต์ เป็นญวนได้หรือไม่


ใช่ครับ มันจะคล้ายกันบ้าง แต่คิดว่าข้อหา 6 ตุลา มันคงไม่คล้ายกับคุณทักษิณ แต่มันคล้ายกับการใส่ร้ายป้ายสีคนเสื้อแดงมากกว่า เรื่องคอมมิวนิสต์ก็คือเรื่องชายชุดดำ คือการสร้างเรื่องขึ้นมาเพื่อสร้างความชอบธรรมในการฆ่า เพราะถ้าไม่มีชายชุดดำพวกเขาจะเอาอะไรมาอธิบายว่า การเอาทหารมายิงคนกลางเมืองมันชอบธรรมได้อย่างไร นานาชาติเขาก็ไม่รับฟัง แต่ความพยายามสร้างชายชุดดำขึ้นมาเพื่อรองรับตรงนี้

- แต่ภาพเหตุการณ์ กับรายงานของ คอป.สรุปออกมาว่ามีชายชุดดำจริง ถ้าคิดว่าไม่มีชายชุดดำ แล้วคนที่อยู่ในภาพคืออะไร

ปัญหาชายชุดดำไม่ได้อยู่ที่มีหรือไม่มี...ก็อาจมีคนใส่ชุดดำ แต่ปัญหาคือมันใช้เป็นเหตุในการฆ่าคนไม่ได้ ต่อให้มีชายชุดดำเต็มพรืดทั้งม็อบก็ไปฆ่าเขาอย่างนั้นไม่ได้ และปัญหาชายชุดดำอยู่ที่โครงเรื่อง ถ้าชายชุดดำมีจริง คิดว่าโครงเรื่องมันเหลวไหล เพราะชายชุดดำไม่มีที่มาทางประวัติศาสตร์ และอนาคต แต่วันดีคืนดีปรากฏขึ้นมาวันที่ 10 เม.ย. 53 กลายเป็นชนวนให้ยิงกัน แล้วชายชุดดำก็อยู่เรื่อยมาจนถึง 19 พ.ค. 53 หลังจากนั้นชายชุดดำหมดอนาคต หายสาบสูญ ไม่มีตัวตนเหลืออยู่ มองในเชิงโครงเรื่องนี่มันคืออะไร มันง่ายขนาดนั้นเชียวหรือ แล้วทำไมคนไทยจำนวนมากถึงเชื่อแบบนี้

- ภาพที่ชายชุดดำถือปืนอาก้า แล้วมีประกายไฟพุ่งออกจากปากกระบอกปืน มันยังอธิบายไม่ได้ด้วยภาพอีกหรือว่าชายชุดดำก็เป็นผู้ยิงเหมือนกัน

ไปดู 90 กว่าศพ ตายด้วยปืนอาก้าไหม ไม่มีสักศพ การอ้างว่าชายชุดดำก่อเหตุการณ์ 10 เม.ย. 53 ทำให้ พ.อ.ร่มเกล้า (ธุวธรรม) ตาย ถามว่าตายด้วยอาก้าหรือเปล่า แต่ พ.อ.ร่มเกล้าตายด้วยระเบิดของกองทัพเอง หรืออาจเป็นปืนของกองทัพเอง (เน้นเสียง)

- เหตุการณ์ 10 เม.ย. และ 19 พฤษภา 53 เป็นการสร้างละครขึ้นมาเพื่อให้เกิดการสังหารหมู่


ละครสร้างทีหลัง เพราะเอาทหารมาปิดล้อม แล้วกระชับพื้นที่ มาอ้างว่าไม่ใช่สลายการชุมนุม พูดแรง ๆ คือโคตรโกหก มันต่างตรงไหน แค่เล่นลิ้นเท่านั้น 90 กว่าศพ ตายเพราะตรงนี้ เป็นคำสั่งรัฐบาลสั่งให้สลายการชุมนุม

แต่ที่พูดตรง ๆ ไม่ได้ เพราะมันผิด จึงต้องแต่งนิยายขึ้นมาเพื่อสร้างความชอบธรรมให้แก่การฆ่าต่างหาก เพื่อเอาไว้หลอกชนชั้นกลาง เอาไว้หลอกคนที่ไม่รู้ แต่นิยายนี้ไม่เวิร์กเลยในโลกนานาชาติ

ต่างประเทศไม่เชื่อ มีแต่เราเชื่อกันเองในไทย มันคือความเหลวไหลในเรื่องโครงเรื่อง ถ้าคนเสื้อแดงมีอาวุธสงครามอยู่ในมือ มีชายชุดดำปกป้อง ถามตรง ๆ ว่าทหารจะตายแค่นี้ไหม

- เมื่อคิดว่าการสังหารประชาชนเป็นฝีมือของพรรคประชาธิปัตย์ แต่พอพรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาล ทำไมถึงตั้งคำถามว่าพรรคเพื่อไทยลืมเพื่อน


ผมคิดว่าเป็นความขี้ขลาดและความไม่จริงจังของรัฐบาลชุดนี้ต้องพูดกันตรง ๆ ปัญหาคือความไม่กล้า เกรงใจอำมาตย์มากเกินไป ฉะนั้นจึงไม่กล้าทำอะไรเลย

แต่ความเกรงใจมีรากฐาน แม้พรรคเพื่อไทยชนะเลือกตั้งได้เสียงประชาชน แต่กลไกต่าง ๆ ไม่ได้อยู่ในมือเขา จึงเป็นเหตุผลส่วนหนึ่งที่เขาเกรงใจกองทัพ เกรงใจศาลมากเกินไป เมื่อเกรงใจ ในที่สุดก็วิตกเกินจริง จึงไม่ทำอะไรเลย หรืออาจต้องการประนีประนอมมากเกินไป แต่คิดว่าจะล้มเหลว เพราะฝ่ายอำมาตย์ไม่ประนีประนอมด้วย

- เมื่อรัฐบาลขี้ขลาด สุดท้ายเป็นการเกี้ยเซียะ เพื่อให้อยู่ในตำแหน่งจนถึงครบวาระ


แต่ถ้าอยู่อย่างนั้นแล้วประชาชนไม่มีประโยชน์อะไรก็ไม่ต้องอยู่เสียดีกว่าแต่เขาก็มีสิทธิทำอย่างนั้น แต่ส่วนตัวไม่เห็นด้วย

- สิ่งที่อยากให้รัฐบาลทำเพื่อลบข้อครหาว่าลืมเพื่อนคือสิ่งใด

1.ปล่อยนักโทษการเมืองทั้งหมดถ้าเยียวยาได้ก็เยียวยา แต่ต้องปล่อยเขาก่อน เรื่องนโยบายสิทธิมนุษยชนเป็นเรื่องใหญ่ที่ต้องทำ เป็นเรื่องที่ถือสามาก แต่เขาไม่ทำ 2.แก้ไขรัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตย ผมไม่เห็นด้วยกับการถอยให้กับศาล แต่ถ้าเขาไม่ทำ ผลก็ตกที่ตัวเขาเอง 3.แก้ไขมาตรา 112

- 14 ตุลา 6 ตุลา และพฤษภา 53 ประชาชนได้บทเรียนอะไรจาก 3 เหตุการณ์นี้

บทเรียนคือประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมทางการเมือง มีบทบาทในการต่อสู้มากขึ้น สามารถเรียกร้องสิ่งที่ไม่เป็นธรรมได้ แต่คนที่ไม่ได้บทเรียนคือคนชั้นนำ ไม่ยอมสรุปบทเรียน 6 ตุลา ก็เห็นอยู่ว่าฆ่าคนแล้ว รัฐประหารมันแก้ปัญหาไม่ได้ นอกจากแก้ปัญหาไม่ได้แล้วยังทำให้สังคมร้าวลึกกว่าเดิม ถ้าไม่มีฆ่ากันเลย แก้ปัญหา สมานฉันท์ ปรองดอง ง่ายกว่านี้เยอะ

ชนชั้นนำไม่รู้ว่าประชาชนไปถึงไหนแล้ว ประชาชนไม่เคยทำลายประชาธิปไตย ประชาชนไม่เคยก่อรัฐประหาร ประชาชนไม่เคยล้มกระดาน แต่พวกเขาล้มกันเอง ที่ประชาชนไม่ล้มกระดาน เพราะเขาได้ประโยชน์จากประชาธิปไตย


ที่มา.ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
/////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

ประมูล 3G ฮั้วกัน จริงหรือ !!?

โดย วีรพัฒน์ ปริยวงศ์
นักกฎหมายอิสระ

กสทช. ได้จัดแบ่งคลื่นความถี่ 3จี สำหรับใช้ประมูลที่มีอยู่ 45 MHz ออกเป็น 9 ชุด ชุดละ 5 MHz ราคาประมูลตั้งต้นชุดละ 4,500 ล้านบาท โดยผู้ประมูลแต่ละราย (เช่น AIS, DTAC, TRUE หรือเจ้าอื่น) จะประมูลได้ไม่เกิน 3 ชุด กล่าวคือ มีเพดาน Spectrum Cap ที่ 15 MHz ต่อราย

มีผู้ตั้งคำถามว่าวิธีดังกล่าวเป็นการจัดฉาก ‘ฮั้วประมูล’ หรือไม่ เพราะเมื่อมีผู้เข้าประมูลเพียงสามรายตามคาด ทุกรายก็น่าจะได้คลื่นไปรายละ 3 ชุด (15 MHz) ลงทุนเริ่มต้นรายละ 13,500 ล้านบาท
สูตรประมูลคลื่นเช่นนี้ ต่างจากแผนในอดีตที่จะให้ประมูลได้สูงสุดรายละ 20 MHz ซึ่งรายที่กระเป๋าหนักๆ ย่อมทุ่มเงินประมูลให้ตนได้คลื่น 20 MHz เพื่อป้องกันการตกเป็น ‘ที่โหล่’ ซึ่งได้ ‘คลื่นจิ๋ว’ เพียง 5 MHz
ผู้เขียนยอมรับว่าผลการประมูลชุดคลื่น 15-15-15 MHz ที่อาจเกิดขึ้น อาจ ‘ไม่น่าปราถนา’ นัก แต่ในฐานะนักกฎหมาย ก็จำต้องยึด ‘หลักการ’ เหนือ ‘ความปราถนา’ เพื่ออธิบายว่า การจะสรุปว่า กสทช. กำลังจัดให้มีการ ‘ฮั้วประมูล’ หรือ ตั้งราคาต่ำเกินไป จนผิดกฎหมาย ก็คงจะไม่ถูกต้องเช่นกัน ด้วยเหตุผลดังนี้

ประการแรก กสทช. เองไม่ได้รับผิดชอบเฉพาะ ‘การจัดประมูล’ แต่หากมองจากกฎหมายทั้งระบบ จะพบว่า กสทช. ต้องกำกับดูแลอุตสาหกรรมโทรคมนาคมอย่างรอบด้าน ไม่ว่าจะด้านการแข่งขัน การเก็บรายได้เข้ารัฐ การควบคุมราคาและคุณภาพการให้บริการ ฯลฯ

สมควรย้ำว่า พ.ร.บ. องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ฯ มาตรา 45 ประกอบ มาตรา 41 ซึ่งเป็นกฎหมายที่ควบคุมการจัดการประมูลนั้น บัญญัติ ‘หลักการเชิงนโยบาย’ กว้างๆ แต่เพียงว่า

“[การประมูลคลื่น 3จี โดย กสทช.] ต้องคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของประชาชนในระดับชาติ ระดับภูมิภาค และระดับท้องถิ่น ในด้านการศึกษา วัฒนธรรม ความมั่นคงของรัฐ และประโยชน์สาธารณะอื่น รวมทั้งการแข่งขันโดยเสรีอย่างเป็นธรรมและต้องดำเนินการในลักษณะที่มีการกระจายการใช้ประโยชน์โดยทั่วถึงในกิจการด้านต่าง ๆ ให้เหมาะสมแก่การเป็นทรัพยากรสื่อสารของชาติเพื่อประโยชน์สาธารณะ”

เห็นได้ว่า ไม่มีกฎหมายข้อใดที่กำหนดให้ กสทช. ต้องกำหนด ‘ราคา’ ให้สูง หรือ ‘รีดกำไร’ เข้ารัฐเป็นเป้าหมายสำคัญเท่านั้น (โปรดอย่าลืม ว่า กสทช. ไม่ใช่ ‘กระทรวงการคลัง’ หรือ ‘กรมสรรพากร’ ที่อยู่ภายใต้รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง)

ตรงกันข้าม กสทช. ถูกกำหนดให้คำนึงถึง “การแข่งขันโดยเสรีอย่างเป็นธรรม” ส่วนหลักเกณฑ์และรายละเอียดเพิ่มเติมนั้น กฎหมายให้ ‘กสทช.’ เป็นผู้ไปดำเนินการตั้งราคาและจัดแบ่งชุดคลื่นความถี่ให้สม “ประโยชน์สูงสุดของประชาชน”

คลื่น 3G ที่จะประมูลไปครั้งนี้ อาจถูกใช้อย่างน้อยอีก 15 ปี กสทช. จึงชอบที่จะคำนึงถึงการแข่งขัน ‘ในระยะยาว’ ที่จะตามมาด้วย กสทช. มิอาจคำนึงเฉพาะการหารายได้ให้รัฐแต่เพียงอย่างเดียว ซึ่งแม้จะสำคัญ แต่ก็เป็นเพียงหนึ่งในหลายเรื่องสำคัญที่ กสทช. ต้องรับผิดชอบและไม่ได้สำคัญไปกว่าการแข่งขันในอุตสาหกรรมในระยะยาว

ดังนั้น เมื่อ กสทช. มีเหตุผลที่อธิบายได้ว่า การขยายเพดานคลื่นความถี่ไปสู่ 20 MHz อันเป็นการ ‘เลือกสูตรเฉพาะ’ สำหรับกรณีมีผู้เข้าประมูลสามราย แม้เราอาจจะได้การแข่งขันประมูลที่เข้มข้นมากขึ้น แต่ผลเสียคือ การแข่งขันในระยะยาวอาจถูกทำลายไป อาทิ กรณี ‘คลื่นจิ๋ว-ที่โหล่’ 5 MHz (ในกรณีที่ผลการประมูลคลื่นคือ 20-20-5) หรือกรณีผลการประมูล 20-15-10 ทั้งหลายเหล่านี้อาจเปิดช่องให้ผู้ประกอบการกระเป๋าหนักซื้อคลื่นความถี่เพิ่มขึ้นจาก 15 MHz ไปเป็น 20 MHz เพื่อ ‘แช่แป้ง’ หรือยัดเยียดความเสียเปรียบในระยะยาวให้แก่คู่แข่งที่กระเป๋าเบาที่สุดให้ต้องได้รับคลื่นความถี่ไปน้อยที่สุด (ไม่ใช่ว่ารายใหญ่ซื้อคลื่นเพิ่มขึ้นเพราะเห็นคุณค่าทางเศรษฐกิจของคลื่นแต่อย่างใด)

กฎหมายก็ย่อมให้เป็นดุลพินิจของ กสทช. ที่จะพิจารณาได้ว่าสิ่งใดจะดีกว่ากัน



ประการที่สอง แน่นอนว่าสิ่งที่น่าปรารถนาที่สุดในการประมูลก็คือ การกำหนดเพดานคลื่นไว้ที่ 15 MHz (เพียงพอสำหรับการให้บริการ) และ มีจำนวนผู้เข้าร่วมประมูลมากกว่าสามราย โดยรายที่ชนะอาจได้คลื่นความถี่ไป 15-15-15 (เท่ากัน)

แต่หากจำนวนผู้เข้าร่วมประมูลมีเพียงสามรายก็เป็นเรื่องที่โทษใครไม่ได้ และไม่ควรไปแก้ปัญหานี้โดยการเพิ่มเพดานคลื่นความถี่ อันเป็นการสร้างปัญหาใหม่ซ้ำซ้อนขึ้นไปอีก หาก กสทช. มีอำนาจ ‘เสก’ ให้คลื่น 45 MHz ขยายสูงขึ้นเป็น 50 MHz หรือ มีอำนาจบังคับให้มีผู้ประกอบการรายที่สี่ และ ห้า ฯลฯ เข้าร่วมประมูล เพื่อเพิ่มการแข่งขัน กสทช. ก็คงทำไปแล้ว แต่เมื่อ กสทช. มิอาจทำได้ จึงย่อมไม่เป็นธรรมหากจะมองว่า กสทช. จงใจใช้ดุลพินิจทำลายการแข่งขันหรือเอื้อประโยชน์ใคร

ตรงกันข้าม ดุลพินิจที่ กสทช. ใช้ในครั้งนี้ หากมองในแง่กฎหมาย ย่อมเห็นได้ถึงความเป็นกลางในเชิงกฎเกณฑ์ กสทช. ไม่อาจทำเกินหน้าที่โดยทำนายอนาคตและใช้ดุลพินิจ ‘เลือกสูตรเฉพาะ’ สำหรับกรณีมีผู้ประมูลเพียงสามรายเท่านั้น ทั้งนี้ เพราะ กสทช. เองก็ต้องเคารพโอกาสและสิทธิของผู้อื่นที่จะเข้าประมูลเช่นกัน อีกทั้ง การเลือกสูตรเฉพาะสำหรับกรณีมีผู้ประมูลเพียงสามรายก็มีข้อเสียในระยะยาวดั่งที่ได้กล่าวมาแล้ว

ประการที่สาม ประเด็นที่ว่าราคาประมูลชุดความถี่ที่ตั้งต้นที่ชุดละ 4,500 ล้านบาทนั้นต่ำหรือสูงเกินไปหรือไม่ หากถามนักวิชาการ 10 คน ก็คงได้คำตอบที่ไม่ซ้ำกัน นักกฎหมายเองก็ยอมรับความจำเป็นที่ต้องเคารพดุลพินิจขององค์กรกำกับดูแล เช่น กสทช. ซึ่งผู้เขียนย้ำอีกครั้งว่า กสทช. ไม่อาจพิจารณาเฉพาะราคาการประมูลเพียงอย่างเดียว แต่ต้องอาศัยเหตุผลและปัจจัยการแข่งขันระยะยาวประกอบด้วย
การที่ กสทช. ระมัดระวังไม่ให้ราคาการประมูลนั้นสูงเกินไปนั้น จึงมีเหตุผลที่เข้าใจได้ ซึ่งคงไม่ได้เกี่ยวเฉพาะเรื่อง ‘ราคาค่าบริการ’ เท่านั้น แต่เป็นเรื่อง ‘คุณภาพบริการ’ ด้วย เช่น การขยายและพัฒนาขยายโครงข่าย 3G หลังการประมูลให้ครอบคลุมทั่วประเทศ (roll out) ซึ่งต้องใช้เงินทุนมหาศาล และหากต้นทุนการประมูลสร้างภาระที่สูงเกินไป ก็ย่อมกระทบถึงเงินทุนที่ผู้ประมูลต้องใช้เพื่อขยายพัฒนาบริการ จนประชาชนได้รับการบริการที่ล่าช้ามากขึ้น เป็นต้น การแข่งขันระหว่างผู้ประกอบการอาจอยู่ในระดับมาตรฐานคุณภาพที่ต่ำกว่าที่ควรจะเป็น

ที่สำคัญ ไม่ควรลืมว่า ในทางกฎหมาย กสทช. ก็ยังมีอำนาจคุ้มครองประโยชน์แก่รัฐและผู้ใช้บริการในระยะยาวได้ เช่น อำนาจในการเก็บค่าตอบแทนการใช้คลื่นความถี่ หรือค่าธรรมเนียมและการจัดสรรรายได้อื่นเข้ารัฐ รวมไปถึงอำนาจการกำกับดูและอัตราขั้นสูงของค่าบริการ รวมถึงมาตรการป้องกันการผูกขาดและการกำกับการมีอำนาจเหนือตลาดต่างๆ

อีกทั้ง กฎหมาย ยังให้อำนาจ กสทช. กำกับดูแลเรื่องอื่น เช่น ความเร็วของ 3จี ที่ต้องได้มาตรฐาน, ราคาที่ต้องไม่แพงเกินไป หรือเรื่องสำคัญที่ยังไม่มีใครพูดถึง เช่น การใช้ ‘เสาเดิม’ มาส่ง ‘คลื่นใหม่’ (แทนที่จะไปสร้าง ‘เสาใหม่’ ให้เปลืองเงินและเวลา) หรือ การก้าวออกจาก ‘ยุคมืด’ ของสัญญาสัมปทาน (ซึ่ง ‘รัฐวิสาหกิจ’ บางรายได้คลื่นไม่ต้องประมูล แต่กลับไม่ทำอะไร ส่วนอีกรายก็ไปทำโครงการลับๆ ล่อๆ กับเอกชนจนส่อทุจริต) ฯลฯ

ดังนั้น แม้จะมีผู้ใดมองว่าราคาประมูลนั้นต่ำเกินไปหรือสูงเกินไป แต่ กสทช. ย่อมชอบที่จะนำราคาประมูล มาเป็นเหตุผลในการใช้อำนาจตามกฎหมายเพื่อกำกับดูแลต่อไป เช่น การปรับอัตราขั้นสูงของค่าบริการ หรือ ปรับค่าตอบแทนให้แก่รัฐเพื่อนำไปพัฒนาอุตสาหกรรม หรือปฏิบัติตามมาตรการการแข่งขันที่เป็นธรรมอื่นๆ ซึ่งล้วนเกี่ยวโยงกับประสิทธิภาพการแข่งขันและประโยชน์ของประชาชนในระยะยาวเช่นกัน

ผู้เขียนกล่าวถึงเหตุผลสามประการนี้ เพื่อย้ำหลักการว่า ‘การประมูลคลื่น’ เป็นเพียงขั้นตอนหนึ่งของการกำกับดูแลโดยรวมของ กสทช. ซึ่ง กสทช. เองก็ชอบที่จะใช้ ‘ดุลพินิจตามกฎหมาย’ เพื่อรักษาการกำกับดูแลให้ได้สัดส่วน ‘ทั้งระบบ’ ไม่ใช่เฉพาะส่วนการประมูลเท่านั้น และการด่วนสรุปว่า กสทช. ตั้งราคาประมูลต่ำเกินไป หรือทำให้มีการฮั้วประมูลกัน ก็ย่อมเป็นการกล่าวอ้างที่ขาดแง่มุมในทางกฎหมาย และไม่เป็นธรรมนัก

ผู้เขียนในฐานะที่เคยวิพากษ์ กสทช. ไว้มาก (http://bit.ly/3Gthai) ก็ขอเป็นกำลังใจให้ กสทช. ว่า แม้การประมูลครั้งนี้อาจมีข้อจำกัดที่ทำให้จำนวนผู้เข้าร่วมประมูลอาจมีไม่มากและอาจสู้ราคาไม่เข้มข้นดังที่ใจปรารถนา แต่นั่นก็เป็นเพียงด่านแรก

สิ่งที่สำคัญกว่าในระยะยาว ก็คือการนำเครื่องมือทางกฎหมายชิ้นอื่นที่ กสทช. มีอยู่ มากำกับดูแล ‘การแข่งขันหลังการประมูล’ ให้มีประสิทธิภาพทั้งในเชิง ‘ราคา’ และ ‘คุณภาพ’ เพื่อประโยชน์สูงสุดของประชาชน เพราะการแข่งขันในระยะยาวนั้นเอง คือ ตัววัดอนาคต 3G ไทยที่แท้จริงยิ่งกว่าราคาการประมูล!

หมายเหตุ: บทความนี้ปรับปรุงมาจากบทความของผู้เขียน เรื่อง ‘อนาคต 3G ไทย ต้อง ‘มองไกล’ กว่า ‘เงินประมูล’ ในหนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ 17 ก.ย. 2555 ((บทวิเคราะห์กฎหมายเกี่ยวกับการประมูลคลื่น 3จี อ่านเพิ่มได้ที่นี่))

ที่มา.Siam Intelligence Unit
////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันศุกร์ที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ตามหาชายชุดดำหรือตามหาแพะรับบาป !!??

เดินหน้าผ่าความจริง ใครบงการคนชุดดำ รับจ้างฆ่าประเทศไทย” อีเวนท์แรงๆตามสไตล์พรรคประชาธิปัตย์ ที่มีโปรแกรมจัดกันในวันเสาร์ที่ 13 ต.ค. นี้ ที่อาคารสโมสรพลเมืองอาวุโสแห่งเมืองกรุงเทพฯ (ลุมพินีสถาน) สวนลุมพินี

งานนี้จัดเต็ม มีถ่ายทอดสดผ่านทีวี.สีฟ้าที่พรรคประชาธิปัตย์ปฏิเสธว่าไม่เกี่ยวข้องทางช่องบลูสกาย
นอกจากการปราศรัยของบรรดาขุนพลที่ถูกยกย่องว่าเป็นคนฝีปากกล้าแล้ว ในงานยังมีการเปิดตัวหนังสือ “ความจริงไม่มีสี”

หนังสือนี้เขียนโดยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ผู้นั่งเป็นนายกรัฐมนตรีในช่วงที่มีการปราบปรามประชาชนกลางเมือง
การปราศรัยมีชื่อบุคคลและหัวข้อเรื่องที่น่าสนใจ

นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน รองหัวหน้าพรรค พูดหัวข้อ “เวทีประชาชนผ่าความจริง เวทีของความจริง”
นายกรณ์ จาติกวณิช อดีตรัฐมนตรีคลัง พูดหัวข้อ “ผลกระทบเหตุการณ์รุนแรงปี 53 ต่อคนไทย”
นายกษิต ภิรมย์ อดีตรัฐมนตรีต่างประเทศ พูดหัวข้อ “มุมมองประชาคมโลกต่อเหตุการณ์ชุมนุมปี 53”
ที่ถูกวางเอาไว้เป็นไฮไลท์ของงานคือ หัวข้อ “ความมีจริงของคนชุดดำ” ที่จะขึ้นพูดโดยนายสาธิต ปิตุเตชะ ส.ส.ระยอง

จากนั้นต่อด้วยหัวข้อ “การชุมนุมรุนแรงกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ” รับผิดชอบโดยนายวิทยา แก้วภราดัย ส.ส.นครศรีธรรมราช

นายบัญญัติ บรรทัดฐาน รองประธานสภาที่ปรึกษาพรรค มาในหัวข้อ “สาระในรายงาน คอป.”
ขาดไม่ได้คือวอลเปเปอร์ นายศิริโชค โสภา ส.ส.สงขลา พูดหัวข้อ “ข้อเท็จจริงสำคัญในเหตุการณ์รุนแรง”

นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ ทีมกฎหมายพรรค พูดหัวข้อ “หยุดบิดเบือนกระบวนการยุติธรรม”
ปิดท้ายด้วยผู้เกี่ยวข้องโดยตรงกับเหตุการณ์ที่ทำให้มีคนตาย 98 ศพ บาดเจ็บกว่า 2,000 คน
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกรัฐมนตรีและอดีตผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ผู้ที่ยืดอกรับว่าทุกคำสั่งเป็นคนลงนามเอง จะมาในหัวข้อ “ความสูญเสียจากเหตุการณ์รุนแรง”

พระเอกของงานอย่างนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ มาพูดก่อนปิดงานหัวข้อ “เปิดใจเหตุการณ์รุนแรงปี 53”
ยังไม่นับรวมนิทรรศกาลภาพถ่าย คลิปวิดีโอในคอนเซ็ปต์ “ฉีกหน้ากากจอมบงการ”
และก่อนหน้าเวทีปราศรัยวันศุกร์ที่ 12 ต.ค. จะมีกิจกรรมตามหาชายชุดดำ โดยลงพื้นที่ 5 จุดที่รายงานของ คอป. ระบุว่าพบชายชุดดำก่อความรุนแรง

นอกจากนี้ยังเล็งขยายการจัดงานไปตามต่างจังหวัด
ประชาธิปัตย์จัดเต็ม จัดหนัก จัดแน่น

นับเป็นการดิ้นรนครั้งใหญ่ก่อนที่พนักงานสอบสวนของดีเอสไอจะตั้งข้อกล่าวหาต่อนายอภิสิทธิ์และนายสุเทพ “พยายามฆ่า หรือฆ่าคนตายโดยเจตนา” เพราะเล็งเห็นผลจากการปฏิบัติในการออกคำสั่ง
ความจริงพรรคประชาธิปัตย์ชี้แจงเรื่องนี้มานานแล้ว

ทั้งชี้แจง ทั้งกล่าวหาฝ่ายตรงข้ามอย่างรุนแรงในช่วงที่เป็นรัฐบาล มีสื่อของรัฐอยู่ในมือ
ตั้งเวทีปราศรัยโค้งสุดท้ายของการเลือกตั้งเมื่อปี 2554 ที่แยกราชประสงค์ มีทั้งบีบน้ำตา ร่ำไห้ สะอึกสะอื้น

แต่ยังแพ้เลือกตั้งเพราะคนส่วนใหญ่ไม่เชื่อถือ
ครั้งนี้คดีความเริ่มใกล้ตัวจึงต้องออกแรงดิ้นรนสร้างความชอบธรรมให้ตัวเอง
ทั้งๆที่ครั้งหนึ่งเรียกร้องฝ่ายตรงข้ามว่าอย่าจัดชุมนุม อย่าจัดปราศรัย อย่าเคลื่อนไหวนอกสภาขยายความขัดแย้ง ใครมีอะไรให้ไปสู้กันในชั้นศาลตามกระบวนการยุติธรรม
พอจะถึงคิวตัวเองบ้างกลับเลือดเข้าตา ยอมทำในสิ่งที่เคยขอไม่ให้คนอื่นทำ
ก็เหมือนกับการร้องตะโกนถามหาจริยธรรมจากคนอื่น เช่น กรณีนายยงยุทธ วิชัยดิษฐ และอีกหลายกรณี แต่ไม่เคยมองดูจริยธรรมของตัวเอง

“หลักการ” ที่แท้จริงอยู่ตรงไหน
หรือ “หลักการ” คืออะไรก็ได้หากเป็นฝ่ายได้ประโยชน์ และทำให้ตัวเองพ้นผิด
“ความรับผิดชอบทางการเมืองต้องสูงกว่าความรับผิดชอบทางกฎหมาย”
ใครเอ่ย? เคยพูดไว้

อีเวนท์ “ตามหาชายชุดดำ” จึงเป็นแค่อีเวนท์ตามหา “แพะ” มารับบาปแทนใช่หรือไม่?

ที่มา.หนังสือพิมพ์โลกวันนี้
//////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

ฟันธง-คอนเฟิร์ม !!?

เฉียบขาด เฉียบคม หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ไม่ใช่คนหนีทหาร แต่มีสมองเป็นผู้ริเริ่ม
ใช่แล้วเขาครือ “บิ๊กโอ๋” พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รมว.กลาโหม มือดี
ผลงานเข้าตา “นายใหญ่” กำหลาบ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ซะมอบกระแต ไงล่ะพี่
มีภาพซื่อตรง จะชักธง มาเป็น “หัวหน้าพรรคเพื่อไทย”เสร็จสรรพ
“อภิสิทธิ์”ที่ปากเก่ง...เห็นทีจะเจ๊ง...คนพันธ์เก่งอย่าง “บิ๊กโอ๋” เสียแล้ว สิครับ

+++++++++++++++++++++++++++++++++

“ผอ.ออมสิน”
รับประกันซ่อมฟรี ว่า “คุณพี่ชาติชาย พยุหนาวีชัย” ฝีมือเหลือกิน
สร้างมาตรฐาน ความแข็งแกร่งให้กับ “เคแบ็งก์” ธนาคารกสิกร จนประชาชนวางใจ
มาลงสมัคร เป็น “ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน” โดยไม่เกาะกระแส ขั้วไหน..ไหน
ใช้ฝีมือล้วน ๆ เข้าไปดูเงินที่เด็ก ๆ นำมาฝากเพื่อพัฒนา “แบ็งก์ออมสิน” ให้ยั่งยืน
มองอนาคตแล้วสดใส..เมื่อได้ “คุณพี่ชาติชาย”..เข้าไป บริหารแบ็งค์ออมสิน ให้ดีขึ้น

+++++++++++++++++++++++++++++++++

 รักชาติจัง
แต่กลับสร้างหนี้สินอันเป็น “ภาษี” เอาไว้อีรุงตุงนัง
อยากให้ “เสธ.อ้าย” พล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ ผู้เป็นหอกข้างแค่ล้ม “รัฐบาลปู”
ฐานะเป็น “นายใหญ่” แห่งสนามม้านางเลิ้ง ช่วยเคลียร์หนี้สินของชาติ ให้โปร่งใส น่าดู
อัน “สนามม้านางเลิ้ง” ไม่จ่ายภาษีเข้ารัฐ ไม่จ่ายอัฐให้กับแผ่นดิน จนหนี้บานพะเรอ
บริหารสนามม้าล้มละลาย..ธุรกิจการพนันยังไปไม่ไหว..แล้วจะไปทำอะไรได้ล่ะเธอ

+++++++++++++++++++++++++++++++++

“เสือนอนกิน” ผวา
นโยบาย “รับจำนำข้าว” ของ “นายกฯปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ถูกใจชาวนา
แต่ “พ่อค้าส่งออกข้าว” เสือนอนกิน ผู้ทำนา หลังกระดูกสันหลังของชาติ มานาน
เสียประโยชน์ เกิดความโกรธ จึงใช้ “อาจารย์สติหลุด” ออกมาเล่นรัฐบาล
พ่อค้าส่งออกข้าว เป็น “คนกลาง” งาบผลประโยชน์จาก “ชาวนา” มาอย่างชั่วนาตาปี
นโยบายรับจำนำข้าว..เพื่อขจัดวงจรอุบาทว์งี่เง่า..ไม่น่าเชื่ออาจารย์เขา จะเออะรับใช้พวกนี้

+++++++++++++++++++++++++++++++++

 ทุ่มเทอย่างหนัก
เหมาะสมแล้ว ที่ “พล.ต.ท.วิโรจน์ เปาอินทร์” เข้าประจำการ รักษาเก้าอี้หัวหน้าพรรค
ท่านเสียสละ ให้กับ “พรรคเพื่อไทย” โดยไม่ปริปากบ่น
สร้างผลงานเป็นที่ประทับใจ แก่ “อดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตร” หลายหน
ส้มจึงหล่น ได้ชะเวิ้ปเป็นรักษาการหัวหน้าพรรค..และมีโอกาส คว้าเก้าอี้รัฐมนตรี
“บิ๊กวิโรจน์”ไม่เคยแทงหลังใคร..จึงได้ความไว้วางใจ..จากนายใหญ่ อย่างเต็มที่

โดย.คอลัมน์ตอดนิดตอดหน่อย,บางกอกทูเดย์
////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

จาก อุโมงค์ยักษ์ ถึง ป้ายยักษ์ !!?


“หมู”พลาดซ้ำซาก!!
“มาร์ค”ชิ่งหนีดีกว่า?
“อย่าดึงฟ้าต่ำ อย่าทำหินแตก อย่าแยกแผ่นดิน”

เป็นวลีที่กองทัพไทยน่าจะจำได้เป็นอย่างดี เพราะในอดีตแทบทุกกรมทหาร จะเขียนประโยคนี้ไว้ด้านหน้าประตู เคียงคู่กับคำว่า “ทหารเป็นมิตรกับประชาชน” และคำว่า “เขตทหาร ห้ามเข้า”เลยก็ว่าได้
วันนี้หลายฝ่ายจึงเฝ้ามองพฤติกรรมทางการเมืองของคนบางกลุ่ม พรรคการเมืองบางพรรคด้วยความไม่สบายใจ ที่มีการเอื้อมมือไปดึงฟ้า นิยมโหนสถาบัน เพื่อใช้ให้เป็นประโยชน์ในการสร้างเสียงทางการเมือง

ขณะเดียวกันก็เฝ้าดูว่า แล้วกองทัพ แล้วผู้บัญชาการทหารบก ที่ชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะมีการกระแอมกระไอใดๆออกมาบ้างหรือไม่ ว่าให้เพลาๆกันบ้าง!!!

จะว่าประชาชนคิดมากเกินไปหรือเปล่ากับพฤติกรรมของพรรคการเมืองบางพรรค ก็คงไม่ใช่ เพราะแม้แต่ คณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อความปรองดองแห่งชาติ หรือ คอป. ที่มี นายคณิต ณ นคร เป็นประธาน

ทั้งๆที่ถูกตั้งขึ้นมาโดยรัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และจัดทำรายงานฉบับสมบูรณ์ออกมาสรุปข้อเท็จจริง จนถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักในหลายเรื่องที่เกี่ยวกับ “ความจริง” “ข้อเท็จจริง” และ “ความเชื่อ”

แต่สิ่งหนึ่งที่รายงานของ คอป. ทำออกมา แล้วดูเหมือนว่าทุกคนจะเห็นพ้องต้องกัน ไม่มีใครคัดค้านขัดแย้งกับ คอป.เลยนั้น ก็คือในสรุปข้อเสนอแนะของ คอป. ข้อที่ 7

คอป. ระบุว่ามีความห่วงใยอย่างยิ่งต่อสถานการณ์ความขัดแย้งที่ดำเนินอยู่ในปัจจุบัน เนื่องจากมีปัจจัยหลายประการที่อาจกระตุ้นให้ความขัดแย้งยกระดับไปสู่การใช้ความรุนแรงได้ คอป. เห็นว่า สังคมไทยควรตระหนักว่าประเทศชาติได้รับความเสียหายและบอบช้ำจากปัญหาความขัดแย้งและความแตกแยกในสังคมมาเป็นเวลานานแล้ว

และควรนำวิกฤตการณ์ความรุนแรงในอดีตมาเป็นบทเรียนเพื่อระลึกถึงความสูญเสียที่เกิดขึ้น และร่วมกันประคับประคองสถานการณ์ไม่ให้ประเทศต้องประสบกับเหตุการณ์ความรุนแรงอีก
ข้อเสนอแนะของ คอป. มีทั้งหมด 13 ข้อ สำหรับข้อที่ 7 เป็นข้อเสนอแนะเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่ง คอป. ระบุว่า

การดึงสถาบันพระมหากษัตริย์มาเกี่ยวโยงกับประเด็นและความขัดแย้งทางการเมือง เพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับการเคลื่อนไหวทางการเมืองของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง มีส่วนทำให้ปัญหาความขัดแย้งบานปลายจนเกิดความแตกแยกของประชาชน และส่งผลร้ายต่อสถาบันพระมหากษัตริย์และประเทศชาติ
คอป. จึงขอเรียกร้องให้ทุกฝ่ายยุติการกล่าวอ้างสถาบันพระมหากษัตริย์เพื่อประโยชน์ในทางการเมืองไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อม และแสดงเจตนารมณ์ร่วมกันที่จะเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ให้อยู่เหนือความขัดแย้งทางการเมือง

นอกจากนี้ คอป. เห็นว่ารัฐควรสนับสนุนให้สังคมได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้และทำความเข้าใจร่วมกันเกี่ยวกับสถานะและบทบาทของสถาบันพระมหากษัตริย์ที่สอดคล้องกับพัฒนาการของระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และส่งเสริมให้มีการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ และให้มีเวทีให้บุคคลที่มีความคิดเห็นแตกต่างกันได้พูดคุยและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันอย่างสร้างสรรค์โดยสันติวิธี

กรณีกฎหมายหมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์ คอป. ขอเรียกร้องให้ทุกฝ่ายยุติการใช้กฎหมายหมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นเครื่องมือทางการเมืองในการกำจัดคู่ขัดแย้ง เพราะไม่ส่งผลดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์และยังเป็นอุปสรรคต่อการสร้างความปรองดอง

คอป. เห็นว่ารัฐบาลและรัฐสภาควรพิจารณาแก้ไขกฎหมายหมิ่นสถาบัน ซึ่งมีปัญหาในการบังคับใช้ที่มีการระวางโทษสูงเกินสัดส่วนของความผิด จำกัดดุลพินิจของศาลในการกำหนดโทษที่เหมาะสม และการเปิดโอกาสให้บุคคลใดๆ สามารถกล่าวโทษเพื่อดำเนินคดีได้

แต่ประเด็นนี้มีความละเอียดอ่อนอย่างยิ่ง รัฐจึงต้องดำเนินการอย่างรอบคอบด้วยความระมัดระวังว่าจะไม่ทำให้ความขัดแย้งรุนแรงยิ่งขึ้น โดยอาจศึกษาแนวทางจากประเทศที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขมาปรับใช้ เพื่อหาแนวทางในการแก้ไขกฎหมายที่เหมาะสม

ในระหว่างที่ยังไม่มีการแก้ไขกฎหมายหมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์ รัฐพึงระมัดระวังในการบังคับใช้กฎหมายดังกล่าว โดยไม่ใช้อย่างกว้างขวางเกินไปกว่าที่กฎหมายบัญญัติ และไม่นำมาตรการทางอาญามาใช้ อย่างเคร่งครัดจนเกินสมควรโดยขาดทิศทางและไม่คำนึงถึงความละเอียดอ่อนของคดี

รัฐต้องส่งเสริมการใช้ดุลพินิจของหน่วยงานในกระบวนการยุติธรรมให้เป็นไปในแนวทางที่เหมาะสมและเป็นเอกภาพ รวมถึงสนับสนุนให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินงานร่วมกันอย่างบูรณาการโดยมีกลไกในการกำหนดนโยบายทางอาญาที่เหมาะสม สามารถจำแนกลักษณะคดี และกลั่นกรองคดีที่เกี่ยวข้อง
โดยพิจารณาจากความหนักเบาของพฤติกรรม เจตนาและสถานภาพของผู้กระทำ บริบทโดยรวมของสถานการณ์ รวมทั้งผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากการดาเนินคดี

โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดที่จะเกิดขึ้นจากการถวายพระเกียรติยศสูงสุดต่อสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นสำคัญ

ปัญหาก็คือ หลังจากที่ คอป. ออกคำเสนอแนะดังกล่าวออกมาแล้ว ยังคงมีพฤติกรรมการเมืองที่ คอป. เรียกว่าเป็นการ การดึงสถาบันพระมหากษัตริย์มาเกี่ยวโยงกับประเด็นและความขัดแย้งทางการเมือง เพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับการเคลื่อนไหวทางการเมืองอยู่… ตรงนี้จะแก้ปัญหาอย่างไร
ก่อนหน้านี้หากยังจำกันได้ ในช่วงรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เดือนเมษายน 2554 ที่กำลังจะมีการยุบสภาเพื่อเลือกตั้งใหม่ ปรากฏว่ามีกรณีที่มีพรรคการเมืองนำเรื่องสถาบันพระมหากษัตริย์ ไปจัดทำเป็นนโยบายหาเสียงเลือกตั้ง จนเกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์กันทั้งสังคมไทย

มีการขึ้นป้ายขึ้นคัทเอาท์โดยใช้กลไกของกระทรวงมหาดไทยขณะนั้นในหลายๆจังหวัดทั่วไปหมด
ทำให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) ต้องมีการยกร่างระเบียบคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) ว่าด้วยการหาเสียงเลือกตั้ง และการดำเนินการของรัฐในการสนับสนุนการเลือกตั้ง
มีการระบุห้ามอย่างชัดเจนเลยว่า

“มิบังควรนำสถาบันพระมหากษัตริย์ และรัชทายาท ผู้สำเร็จราชการมาใช้หาเสียงในการเลือกตั้ง ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อมมาเพื่อเป็นคุณหรือเป็นโทษแก่ผู้สมัครหรือพรรคใด”
หากใครขืนทำ และพิสูจน์ความผิดได้ โทษถึงขั้นยุบพรรคกันเลยทีเดียว

โดยนายประพันธ์ นัยโกวิท กรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ด้านบริหารงานเลือกตั้ง กล่าวเมื่อวันที่ 17 เมษายน 2554 ว่าระเบียบดังกล่าวจะมีหลักการคล้ายข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่ห้ามไม่ให้กล่าวพาดพิงถึงสถาบันพระมหากษัตริย์ไม่ว่ากรณีใดๆ

โดยระเบียบดังกล่าวจะเริ่มใช้ภายหลังยุบสภา หากผู้สมัคร ส.ส.รายใดฝ่าฝืน โดยกล่าวอ้างสถาบันพระมหากษัตริย์ ไม่ว่าจะเป็นการปกป้องหรือกรณีอื่นๆ หากทำให้เข้าใจผิดในคะแนนเสียงหรือทำให้การเลือกตั้งไม่สุจริต นอกจากมีโทษถึงขั้นให้จัดการเลือกตั้งใหม่ (ใบเหลือง) หรือตัดสิทธิทางการเมือง (ใบแดง) แล้ว ยังอาจมีโทษถึงขั้นถูกดำเนินคดีอาญา

และหากผู้ที่ทำผิดระเบียบดังกล่าวเป็นกรรมการบริหารพรรคการเมืองใด ก็จะนำไปสู่การยุบพรรคเช่นเดียวกับการซื้อเสียง ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 237 วรรคสองด้วย
กฎของ กกต.ในเรื่องนี้สร้างความหงุดหงิดให้กับพรรคภูมิใจไทยเป็นอย่างมาก

ที่สำคัญในวันนั้น พรรคประชาธิปัตย์นี่แหละที่ดาหน้ากันออกมาสนับสนุนกฎข้อนี้ของ กกต. อย่างเต็มที่
แต่วันนี้ ปรากฏการณ์ในการขึ้นป้ายโฆษณาขนาดใหญ่ที่ถูกติดตั้งบนอาคารสูงริมถนนสายหลักหลายสาย โดยมีใจความว่า “คนกรุงเทพ รักในหลวง ไม่เปลี่ยน” โดยมีภาพของ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าฯกทม. เด่นตระหง่านท่ามกลางภาพของบรรดาศิลปินนักร้องนักแสดงและนักกีฬาชื่อดัง
กำลังเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ในสังคมอย่างหนัก ว่าเป็นเรื่องที่เหมาะสมแล้วหรือ???
เป็นเรื่องที่เข้าข่ายในสิ่งที่ คอป. เขียนข้อเสนอแนะถึงหรือไม่???

และหากกรณีนี้เกิดขึ้นในช่วงที่ กกต.กำหนดวันหาเสียงเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม.แล้ว จะเข้าข่ายกฎเหล็กของ กกต. ที่ระบุห้ามนำสถาบันพระมหากษัตริย์ และรัชทายาท ผู้สำเร็จราชการมาใช้หาเสียงในการเลือกตั้ง ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อมหรือไม่???

แต่ที่แน่ๆในสังคมขณะนี้ ในโซเชียลเน็ตเวิร์ก มีการวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างหนัก แล้วด้วยความที่เป็นเรื่องละเอียดอ่อน จึงมีการแจ้งลบกันอุตลุด มีการเห็นต่างและตอบโต้กันไปมาอย่างรุนแรง โดยที่มี “สถาบัน”เป็นประเด็น

จนเกิดคำถามดังลั่นไปหมดว่า คนที่ทำป้ายนี้เอาสมองส่วนไหนคิด หรือว่าคิดอะไรอยู่ จู่ๆจึงสร้างประเด็นที่ก่อให้เกิดการลุกลาม การแบ่งแยกแตกขั้วความคิดออกมาเช่นนี้... สังคมไทยยังวุ่นวาย ยังบอบช้ำมากไม่พอใช่หรือไม่???
ถึงได้อุตริทำป้ายโฆษณานี้ขึ้นมา!!!

จะอ้างว่ารณรงค์ให้คนกรุงเทพฯรักในหลวงฯ ก็ไม่ใช่เรื่อง เพราะคนกรุงเทพฯก็รักในหลวงกันอยู่แล้ว รวมถึงคนไทยทั้งประเทศด้วย แล้วทำไมต้องรณรงค์

ที่สำคัญป้ายรักในหลวงฯในอดีต จะใช้รูปในหลวงฯเป็นหลัก แต่นี่ไม่มีเลย กลับไปใช้รูปคน แถมเป็นคนที่ตั้งใจอยากจะลงเลือกตั้งผู้ว่า กทม.เสียอีก

วันนี้คนทำป้าย คนที่อยู่เบื้องหลังความคิดนี้ คงได้รู้ซึ้งเต็มสมองและ 2 หู แล้วว่า การวิพากษ์วิจารณ์ส่วนใหญ่จะออกไปในทางลบ เพราะส่วนใหญ่คิดว่าป้ายขนาดใหญ่ทั้งหมดนี้เป็นส่วนหนึ่งของการเป็นแคมเปญเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม.สมัยหน้าของม.ร.ว.สุขุมพันธุ์

ที่สำคัญส่วนใหญ่เห็นว่าเป็นเรื่องมิบังควรที่มีการนำเอาสถาบันเบื้องสูงมายุ่งเกี่ยวกับการเมือง
กระแสเรื่องนี้แรงมาก จน ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ ต้องออกมาแก้ตัวเป็นพัลวันว่า ไม่ได้เป็นเจ้าของป้ายดังกล่าว
อ้างว่าเป็นเรื่องของกลุ่มจิตอาสากลุ่มหนึ่งที่ต้องการรูปภาพของพ่อเมืองไปรวมกลุ่มกับศิลปินนักร้องนักแสดงในการทำกิจกรรมทางสังคมภายใต้แคมเปญ “รักในหลวง”

อ้างว่าเห็นว่าเป็นเรื่องที่ดีเพราะเป็นการแสดงความจงรักภักดีผ่านป้ายเท่านั้น ไม่ได้เป็นคนต้นคิดจัดทำป้ายดังกล่าวและไม่เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม.สมัยหน้าแต่อย่างใด
“ไม่ใช่เป็นป้ายของผม และก็ไม่ใช่ของกทม. เป็นป้ายของภาคเอกชนทั้งหมด เพียงแต่มีรูปภาพของผมไปร่วมด้วยเท่านั้น” ผู้ว่าฯสุขุมพันธุ์ปฏิเสธระงม

ไม่แปลกที่ ผู้ว่าฯสุขุมพันธุ์จะต้องปฏิเสธ เพราะการขึ้นป้ายห่างจากการเลือกตั้งผู้ว่า กทม.เพียงแค่ไม่ถึง 4 เดือน แถมมีการเปิดตัวผู้สมัครบางคนไปแล้ว รวมทั้ง ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ก็เปิดใจไปแล้วว่าต้องการลงชิงเก้าอี้สมัยที่ 2… จะให้คนมองเป็นอย่างอื่น คงไม่ง่ายนัก

แต่ที่วิพากษ์วิจารณ์กันแรงคือ ไม่เพียงจะดูเหมือนการโหนสถาบัน แต่ยังเป็นการแบ่งแยกกลุ่มคนรักในหลวงฯอีกด้วย เพราะแทนที่จะเขียนว่า คนไทยรักในหลวงฯ แต่กลับเจาะจงเพียงแค่คนกรุงเทพฯ เป็นการผูกขาดความรักไว้เพียงกลุ่มเดียวอย่างนั้นหรือ

ตลกที่สุดคือ รูปบุคคลในป้ายดังกล่าว “นุ่น”ศิระพันธ์ วัฒนะจินดา ดารานักแสดงที่ดังจากเรื่องบ่วง ก็เป็นคนจังหวัดลำปาง นายกฤษฏา สุโกศล แคลปป์ หรือ น้อย วงพรู ซึ่งครอบครัวเป็นเจ้าของโรงแรมดังที่อยู่ตรงข้ามกับบ้านของ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์นั่นแหละ เกิดเมืองไทยก็จริงแต่ไปโตเมืองนอก อยู่เมืองนอกตลอด เรียนที่ Anthropology จาก Boston University และ Stella

หรือ “น้องแต้ว”นส.พิมศิริ ศิริแก้ว นักยกน้ำหนักหญิงที่สามารถคว้าเหรียญเงินในกีฬาโอลิมปิค2012ที่ผ่านมาหมาดๆ ก็เป็นชาวอำเภอมัญจาคีรี จังหวัดขอนแก่น นายสมจิตร จงจอหอ อดีตนักมวยทีมชาติไทย ดูนามสกุลก็รู้แล้วว่าเกิดที่ตำบลจอหอ อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา

ส่วน “น้องวิว”เยาวภา บูรพลชัย เจ้าของเหรียญโอลิมปิคกีฬาเทควันโดหญิงเกิดกรุงเทพฯ แต่ก็เคยลงการเมืองในนามพรรคชาติพัฒนาเพื่อแผ่นดิน พรรคที่มี นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ เป็นประธานใหญ่
แล้วป้ายกลับขึ้นว่าคนกรุงเทพฯ!!!

แถมป้ายมีการจงใจเขียนคำว่า “ไม่เปลี่ยน”เฉียงลงมาอยู่บนหัวของ ม.รว.สุขุมพันธุ์ คนเลยยิ่งมองยิ่งตีความกันหนักว่านี่คือการส่อเจตนาทำนองเรียกร้องว่าไม่เปลี่ยนผู้ว่าฯกทม.หรือไม่???
งานนี้ป้ายโฆษณาที่ออกมากลายเป็นประเด็นลบเต็มๆสำหรับคนชื่อ “สุขุมพันธุ์”

ขณะที่ด้านล่างของป้ายดังกล่าวระบุชื่อ กลุ่มคิดดีทำดี นั้น คงเห็นแล้วว่าการทำป้ายนี้ออกมาก็ไม่ได้คิดให้ดีเสียก่อน เพราะหากคิดให้ดีคิดให้รอบคอบคงไม่คิดทำเรื่องแบบนี้ออกมาแน่ๆ

เพราะพรรคประชาธิปัตย์ที่ต้องพลอยเปลืองตัวเปลืองพรรคอย่างมาก ก็ออกอาการ “ชิ่งหนี”แล้ว โดยมีรายงานข่าวจากพรรคประชาธิปัตย์ออกมาทำนองว่า เรื่องดังกล่าวสร้างความไม่สบายใจให้กับพรรคอย่างมาก เนื่องจากเป็นเรื่องค่อนข้างที่จะอ่อนไหวต่อความรู้สึกคนไทยเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์
ปชป.ปล่อยข่าวเลยว่า นายอภิสิทธิ์ มีความคิดอยากให้มีการปลดป้ายทั้งหมดโดยเร็ว
ปลดป้าย กับ ปลดคนลงเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม. อะไรดีกว่ากัน ปชป.ต้องคิดหนัก??งานนี้คุณชายหมู สร้างประเด็นปัญหาอีกแล้ว...

ที่มา.บางกอกทูเดย์
///////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันพฤหัสบดีที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ข้าว : อมตะนิยาย !!?

พรรคประชาธิปัตย์หยิบประเด็นการจำนำข้าวของรัฐบาลมาโจมตีรัฐบาล ยิ่งลักษณ์ได้ถูกเรื่องถูกราวเป็น “ปมเด่น” ของฝ่ายค้านเรื่องหนึ่ง จนวงการค้าข้าวและนักวิชาการออกมาผสมโรงให้มีน้ำหนักมากขึ้น เมื่อปนเป็นเนื้อเดียวกับวิธีโกง ที่จับได้ค่อนข้างยาก แต่มีตัวเลขเอามาหักล้างได้อย่างแนบเนียน ก็ยิ่งน่าเชื่อถือเพิ่มขึ้นไปอีก

ไม่ต่างกับข้าวหม้อหนึ่ง ถ้าให้ประชาชนไปนั่งนับว่ามีกี่เมล็ด ทุกคนมักส่ายหัว เพราะเบื่อไปนั่งนับทีละเม็ด ส่วนใหญ่จึงพูดเหมารวมแบบประมาณการ ซึ่งมีโอกาส ที่จะเถียงได้ตลอดเวลาว่า ตัวเลขไม่ตรงกับความเป็นจริง

แต่วิธีที่ “ซิกแซ็ก” ต่างหาก ที่ทำให้เชื่อได้ว่า การจำนำข้าวมีใคร กลุ่มไหนได้ประโยชน์จริง

แต่อ้างชาวนาเป็นเครื่องมือ!

ชัดแจ้งที่สุดคือ โรงสีกับผู้ส่งออก ไม่เคยมีใครเห็นว่า ต้องอาบเหงื่อต่างน้ำ หลังสู้ฟ้าหน้าสู้ดินหลังขดหลังแข็ง ร่างกายทนทุกข์ทรมาน แถมไม่เคยพลีชีพต่อสู้ กับสารเคมีเพื่อหวังจะได้ข้าวให้มากที่สุด

เพราะนั่นมันอมตะชีวิตของชาวนา ที่ลงท้ายเอาข้าวไปขายก็ถูกโรงสีเอาเปรียบ สารพัดโกงทั้งความชื้นหรือ “เศษกิโล” และส่วนเกินที่ข้าวติดค้างตามตัวเกวียนแต่ดันไปตกเรี่ยราดในโกดัง กลายเป็นส่วนได้ฟรีๆ ของเจ้าของโกดังหน้าตาเฉย

โรงสีและผู้ส่งออกมีเงินฝากแบงก์ไม่รู้กี่สิบบัญชี แต่ชาวนาเป็นหนี้ทั่วแผ่นดิน จนรัฐบาลต้องออกนโยบายพักหนี้ ต้องตั้งธนาคารเฉพาะกิจเพื่อให้ชาวนาไปกู้แล้ว เอาโฉนดไปค้ำทั่วประเทศ

โรงสีกับผู้ส่งออก ส่งลูกหลานไปเรียนเมืองนอก ว่างๆ ตัวเองก็บินไปเที่ยวทั่วโลก แต่ชาวนาต้องไปขุดดินหากบเขียด เขี่ยขี้วัวขี้ควายจับแมงกุ๊ดจี่กินแทนกับข้าว บ้านไหนอยู่ใกล้ชายป่าก็ต้องซอกแซกยิงสัตว์หาของป่ามากินประทังชีวิตอย่าง น่าสมเพชเวทนา

โรงสีกับผู้ส่งออกไม่เบื้อใบ้นิ่งเฉย วิ่งไปจับมือถือข้าราชการไว้เป็นเครื่องมือ ใช้ในยามติดขัดภาษี แถมไปนับญาติใกล้ชิดกับนักการเมืองทุกระดับเพื่อสร้างอิทธิพลทางอ้อมและมีอำนาจต่อรองกับนโยบายระดับชุมชนถึงระดับชาติ ดีไม่ดีมีทุนมากพอก็ส่งตัวเองหรือลูกหลานเข้าไปชิงพื้นที่ในวงการเมืองได้อย่างไม่ยากเย็น

เพ่งมองให้จะจะ ก็จะเห็นลูกหลานเจ้าของโรงสีและผู้ส่งออกหรือญาติใกล้ชิดเกี่ยวดองในแวดวงการเมืองกลาดเกลื่อนสายตา

นโยบายจำนำข้าว หรือประกันราคาข้าว ถ้าลงว่าตั้งใจจะโกงเสียอย่าง มันโกง ตั้งแต่ต้นทางยันปลายทางได้พอๆ กันทั้งนั้น อย่ามาพูดเลยว่าวิธีไหนดีกว่ากัน

สำคัญอยู่ที่รัฐบาลชุดไหน จริงใจมีวิธีทำให้ชาวนาส่วนใหญ่หน้าตาสดใส ไร้หนี้สิน หายจากความเป็น “ทาสติดแผ่นดิน” ได้มากกว่ากันเท่านั้น

รัฐบาลชุดไหนสามารถ “ชิงชาวนา” ให้เป็นไท มีรายได้เลี้ยงครอบครัวมั่นคง มีข้าวปลาอาหาร มีเครื่องมือครบพร้อมเลี้ยงครอบครัวได้ตลอดชีวิต ออกมาประกาศ ตัวพร้อมกันทั่วประเทศนั่นแหละ มันถึงพิสูจน์ได้ว่านโยบายของรัฐบาลชุดนั้นได้รับ ความสำเร็จ

แต่ถ้าวิธีจำนำข้าว หรือประกันราคาข้าว ถูกหยิบมาใช้และเอาตัวเลขที่ต่างกัน มาวิพากษ์โต้เถียงแบบไม่มีใครยอมใคร มันก็อาจเป็นชนวน “ข้าวขัดแย้ง” เข้ามา แทนที่ความขัดแย้งระหว่างสีเสื้อของแต่ละฝ่ายในทางการเมือง

เป็นม็อบความขัดแย้งวงใหม่ที่หาความสามัคคีในแผ่นดินไม่ได้ไปอีกนาน

คุณธนินท์ เจียรวนนท์ ตำนานผู้รู้เรื่องข้าวดีที่สุดคนหนึ่งของเมืองไทยเคยพูดว่า พ่อค้าข้าวส่งออกไทยมีมากถึง 30-40 เจ้า แย่งกันประมูลข้าวจำนำในสต็อก แล้วแย่งกันขายส่งออกแบบตัดราคากันป่นปี้ ผู้ซื้อต่างชาติรายไหนก็หัวร่องอหาย กลายเป็น “อาหารหวานหมูของผู้ซื้อ”

ก็เลยเห็น “สัจธรรมข้าว” ว่า ชาวนาไทยเป็นเกษตรกรที่ระทมทุกข์ตลอดชีวิต เพราะถูกกดขี่ขูดรีดจากโรงสีและผู้ส่งออกมาเป็นทอดๆ จนวงการข้าวของ เมืองไทยเป็น “อมตะนิยายที่แสนเศร้าของแผ่นดิน” ไปชั่วนาตาปีนี่เอง!

ที่มา.สยามธุรกิจออนไลน์
/////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

บิ๊กจิ๋ว.เชนคัมแบ็ก เอกซเรย์ ครม.ปู3 111 คืนชีพ.ทรท.โมเดล !!?

เกมไล่เบี้ย “นายกฯ ยิ่งลักษณ์” เพื่อหวังให้มีการปรับ ครม.ในหลายเก้าอี้นั้น เป็น ที่รู้กันดีว่า...มีขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง ด้วยการยกเอาสารพัดเหตุผล และทุกช็อต ทาง การเมือง เอามาเป็นสูตรผสมในคราวเดียวกัน โดยเฉพาะการขยาย “ช่องว่างแห่ง อำนาจ” ของเหล่าประชากรบ้าน 111 เสร็จนาฆ่าโคทึก..เสร็จศึกฆ่าขุนพล! ถือเป็น “วรรคทอง” อันเป็น “สูตรสำเร็จ” ในทางการเมืองทุกยุคสมัย

เมื่อ “ฟางเส้นสุดท้าย” มีอันต้องขาดผึงลงไป เพราะทนแรงเสียดทานไม่ไหวบีบให้ “ขุนพลหัวขาว” ยงยุทธ วิชัยดิษฐ ต้องยอมสละทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็น การไขก๊อก! ทิ้งเก้าอี้ “รัฐมนตรี” และสถานะผู้ทรงเกียรติในสภาผู้แทนราษฎร ตลอดจนตำแหน่ง “หัวหน้าพรรคเพื่อไทย”

จึงกลายเป็นภาวการณ์ที่อ่อนไหวในทางการเมือง ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ครั้งใหญ่ในมุ้งค่ายเพื่อไทย เพราะการที่ “ยงยุทธ” ตัดสินใจ ลาออกจากเก้าอี้หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ได้ ทอดยอดต่อกันไปเป็น “โดมิโน่” ส่งผลให้กรรมการบริหารพรรคทั้ง 18 คน...หมดสภาพไปในคราวเดียวกัน ในขณะเดียวกัน ก็ถือเป็น “โอกาส” ของเหล่านักการเมือง 111 ที่เพิ่งถูกล้างป่าช้า ได้หวนกลับมาสยายปีกประกาศความยิ่งใหญ่อีกครั้ง พลันให้เกมการเมือง ในภาคต่อนับจากนี้ไป กลายเป็น “สงคราม ขนาดย่อม” ที่ตัวนายกฯ “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร”

การไขก๊อกของ “ยงยุทธ” ได้กลายเป็นน้ำผึ้งหยดเดียว ที่ทำให้ “เกมพาวเวอร์เพลย์” ภายในพรรคเพื่อไทย มีความดุเดือดและรุนแรงมากขึ้นไปตามลำดับ โดยขึ้นอยู่กับ “ความดื้อ-สวย-ดุ” และ “ความเป็นตัวของตัวเอง” ของนายกฯ ปู ว่าจะสามารถทน “แรงเสียดทาน” ที่ถาโถม เข้ามา ทั้งจาก “พี่ชายใหญ่” และ “เหล่าบริวาร” ซึ่งกำลังหิวกระหาย...ได้ยาวนานแค่ไหน

เพราะ “นายกฯ ปู” มีความจำเป็นยิ่งยวด ในการรักษา “คนของตัวเอง” และคนที่รู้สึก “ไว้วางใจ” เก็บเอาไว้ข้างกายให้มากที่สุด ทั้งที่อยู่ใน ครม. และตีปีกราย ล้อมในตึกไทยคู่ฟ้า ด้วยเหตุที่ว่า “ผู้นำรัฐบาล” เป็นฝ่ายเผชิญหน้ากับทุกแรงเสียดทาน ทั้งปัญหาด้าน “บริหาร” รวมถึงสารพัดนโยบาย และ “การเมือง” ซึ่งแน่นอนว่าทางการเมืองนั้น “นายกฯ ปู” ย่อมไม่สันทัดกรณี และมีโอกาส “พลาดพลั้ง” ได้โดยง่าย หากเลือกใช้ “คนผิด”

ในขณะเดียวกัน คงเป็นการยากที่ “นายกฯ ปู” จะทำงานได้อย่างราบรื่นกับ “ข้าเก่าเต่าเลี้ยง” ที่ถูกส่งมาเป็น “ออเดิร์ฟจานร้อน” โดยผู้มากบารมีในรัฐบาล เพราะมีทั้งบุคคลที่ “มีตำหนิ” ทั้งก่อนและหลังเข้าเป็นเสนาบดีปูแดง ที่สำคัญคือคน เหล่านั้น แทบไม่เคย “ฟังคำสั่ง” หรือ “คำ พูด” ของผู้นำรัฐนาวาเลยแม้แต่กระผีกริ้นนั่นคือความอัดอั้นตันใจของ “นายกฯ ปู” ที่มีมาตลอดหนึ่งขวบปีหลังก้าวสู่ “เกมอำนาจทางการเมือง”

แต่ในรายของ “ยงยุทธ” กลับดูแตกต่างไป เพราะเติบโตมาจากข้าราชการประจำ ย่อมรู้ดีว่าควรเล่นบทบาทไหนที่จะไม่เป็น การ “ออฟไซด์” จนเกินพอดี เมื่อเทียบกับพวก “อะไหล่” หรือ “นอมินี” ทั้งหลาย แหล่ ทว่าเมื่อถึงที่สุดแล้ว “นายกฯ ปู” ก็ไม่อาจต้านทาน “แรงบีบ” ที่มาจากกลุ่มก้อนการเมือง และ “ประชากร 111” ได้อีกต่อไป “หมากการเมือง” อย่าง “ยงยุทธ” จึงมีอันถูก “เขี่ย” พ้นไปจากกระดาน ด้วยเหตุที่ว่า...จะพากันไปตายทั้งพรรค หากบานปลายถึงขั้นทำให้ “เพื่อไทย” ถูกสั่งยุบพรรค

ทั้งที่ในข้อเท็จจริงแล้ว การเตะตัดขา “ยงยุทธ” มีเป้าหมายเพื่อเปิดประตูไปสู่การปรับ ครม.ล็อตใหญ่ เพื่อปล่อยผี “นักการเมือง 111” ให้ออกมาสู่เวทีแห่งอำนาจ แม้ตัว “นายกฯ ปู” จะพยายามปฏิเสธ และบ่ายเบี่ยงมาโดยตลอด แต่อาการแข็งข้อหนนี้ ก็ไม่อาจโน้มน้าว หรือ ลดความต้องการของ “พี่ชายใหญ่” ลงไปได้

“นายกฯ ปู” จึงทำได้แค่ชิงเหลี่ยมคูเล็กๆ โดยเลือกที่จะใช้มติ ครม.ตั้งรักษาการแทนขึ้นมาทำหน้าที่ และดึงเรื่องการปรับ ครม.ออกไปอีกชั่วระยะหนึ่ง แต่ก็พอมี เหตุผลพอรับฟังได้ นั่นคือการดึงเวลาการ ปรับ ครม. เพื่อหวังจะใช้จังหวะนี้ให้ “รัฐมนตรีขาเก่า” ได้แสดงผลงาน เพื่อรับมือศึกซักฟอกรัฐบาลที่น่าจะเกิดขึ้นในระยะเวลาอันใกล้นี้

แต่เมื่อไม่มีการปรับทัพเสนาบดี และปล่อยให้เวลาล่วงผ่านไป ก็ยิ่งเป็นการ “สุ่มเสี่ยง” ที่จะเกิด “คลื่นใต้น้ำ” ขึ้นภายในมุ้งค่ายเพื่อไทย!!! เกมไล่เบี้ย “นายกฯ ยิ่งลักษณ์” เพื่อหวังให้มีการปรับ ครม.ในหลายเก้าอี้นั้น เป็นที่รู้กันดีว่า...มีขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง ด้วยการยกเอาสารพัดเหตุผล และทุกช็อต ทางการเมือง เอามาเป็นสูตรผสมในคราว เดียวกัน โดยเฉพาะการขยาย “ช่องว่างแห่งอำนาจ” ของเหล่าประชากรบ้าน 111 ที่พร้อมจะเข้ามาช่วยประคองและขับเคลื่อนนโยบายทางการเมืองให้กับ “รัฐบาลยิ่งลักษณ์” เพื่อเข้าสู่โหมดการทำงานในขวบปีที่ 2

นอกจากการวางตัว “ขุนพล” จากนักการเมืองขาใหญ่ในบ้าน 111 แล้ว...ยัง คงมีข่าวสายในจาก “วังจันทร์ส่องหล้า” ที่ระบุว่า “พี่สะใภ้นายหญิง” ได้ทำการ “ล็อกสเปก” เก้าอี้เสนาบดีไว้ให้กับ “พ่อใหญ่จิ๋ว” พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตประธานที่ปรึกษาพรรคเพื่อไทย ด้วยความมาดหมายของ “คุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร” ที่พร้อมต่างตอบ แทนให้แก่ “บิ๊กจิ๋ว” หลังเคยเรียกใช้บริการ “ขงเบ้งจิ๋ว” ช่วยเคลียร์ทางให้อดีตสามี มาแล้วหลายต่อหลายครั้งว่ากันว่า “คุณหญิงอ้อ” หวังจะให้ “บิ๊กจิ๋ว” เข้ามาดูแลงานด้านความมั่นคง แทนที่ “บิ๊กอ๊อด” พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รองนายกรัฐมนตรี ที่มีแนวโน้มสูง ว่าจะถูกปรับออก

บทบาทของ “บิ๊กจิ๋ว” นั้น ได้มีการวิเคราะห์กันไปหลายทาง ทั้งการเป็น “สายเหยี่ยว” ซึ่งปฏิบัติการลับใต้ดิน หรืออยู่ในสถานการณ์หลังฉาก กับอีกบทบาทใน “สายพิราบ” ด้วยคัมภีร์แห่งการนิรโทษกรรม ตามแบบฉบับของคำสั่งสำนักนายก รัฐมนตรีที่ 66/23 นำมาซึ่งการวางอาวุธของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย เพื่อเข้าร่วมเป็นผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย

ประจวบเหมาะกับที่ “รัฐบาล” กำลัง เผชิญกับปัญหารุมเร้ามากมาย โดยเฉพาะ ความล้มเหลวต่อการแก้ไขปัญหาไฟใต้ ซึ่งกลายเป็นเรื่องที่อ่อนไหว และ “เปราะบาง” เป็นอย่างยิ่ง โดยตลอดระยะเวลา 8-9 ปีมานี้ ปัญหาดังกล่าวในแดนมิคสัญญี 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ดูจะรุนแรงขึ้นทุกขณะ แม้จะมีสัญญาณการเจรจากับ ผู้ก่อความไม่สงบไปบ้างแล้ว แต่ก็ยังไม่อาจ ลดความรุนแรงลงไปได้ พลันให้ “ผู้มากบารมีในรัฐบาล” หวังที่จะนำ “คัมภีร์จิ๋ว” มาใช้เป็น “โมเดล... ดับไฟใต้”!!! ซึ่งนอกจากการวางตัว “บิ๊กจิ๋ว” แล้ว...ยังได้มีการเสนอชื่อ “เสี่ยอ้วน” ภูมิธรรม เวชยชัย ผู้อำนวยการพรรคเพื่อ ไทย เข้ามาเป็นคู่แคนดิเดต ถึงแม้จะถูกมองว่าเป็น “มวยคนละรุ่น” ทว่า “เจ้าแม่ วังบัวบาน” เยาวภา วงศ์สวัสดิ์ ก็พร้อมเทหน้าตัก มุ่งผลักดัน “เสี่ยอ้วน” ขึ้นชั้นรองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคงด้วยเช่นกัน

แต่หาก “เอกซเรย์” ให้ถึงเนื้อในแล้ว...“บิ๊กจิ๋ว” ย่อมตรงสเปกที่สุด เพราะเคยเป็นทั้งอดีตผู้บัญชาหารทหารบก และ อดีตนายกรัฐมนตรี ทั้งยังมีกระแสข่าวยืนยันอีกว่า ในการไปเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีนของ “อดีตนายกฯ ทักษิณ” ได้มีการพบปะพูดคุยเพื่อโน้มน้าว “ขงเบ้งจิ๋ว” ให้ยอมเชนคัมแบ็ก! เพราะด้วยบารมี และสายสัมพันธ์อันแนบแน่นกับ “กลุ่มอำนาจ” รวมถึงการ เป็น “มือประสานสิบทิศ” ที่สามารถเข้าได้กับทุกฝ่าย โดยเฉพาะกับ “ป๋า” พล.อ. เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและ รัฐบุรุษ นั่นย่อมเป็นผลดีมากกว่าสำหรับรัฐบาลชุดนี้ ยิ่งไปกว่านั้น ความสำคัญของเก้าอี้ รองนายกฯฝ่ายความมั่นคง ยังถือได้ว่าเป็น “ห้องเครื่องใหญ่” ที่คุมความมั่นคงทาง การเมืองของ “รัฐบาลปู” อีกทั้งยังเป็นเกราะกำบังกายให้ “รัฐบาล” สามารถยืนหยัดได้ท่ามกลางมรสุมรุมเร้า! ซึ่งผู้ที่มาดูแลคงต้องเข้าใจ “ขุนทหาร” ทุกฝ่ายเป็นอย่างดี ถ้า “รองนายกฯ ความมั่นคง” ถือธงที่สามารถเชื่อมโยงกับ “กองทัพ” ได้แล้ว แน่นอนว่า “รัฐบาล” ย่อมหายใจได้คล่องปอดขึ้น เพราะไม่ต้องหวาดกลัวกับกระแส “ปฏิวัติ” ที่ตามมาหลอกหลอน..!!! ล้อไปกับกระแสข่าวการปรับทัพ ครม. ที่ดูแล้วน่าจะปรับกันมากถึง 10-11 ตำแหน่ง เพื่อที่จะ “เขย่า” การบริหารงานให้มีความข้นคลั่ก! และเตรียม พร้อมสำหรับการออกตัวเพื่อ “บริหารอำนาจรัฐ” ในช่วงขวบปีที่ 2

ดังนั้น การพิจารณาตัวบุคคล จึงต้องมากด้วยความรอบคอบ เพราะหากสังคมขานรับ การปรับ ครม.จะทำให้รัฐบาล บริหารงานได้อย่างราบรื่นมากขึ้นและนั่นถือเป็นหนึ่งใน “ยุทธศาสตร์” ทางการเมือง ตามที่ “ยิ่งลักษณ์” วางเอาไว้ แม้จะไม่เป็นตาม “จังหวะเวลา” ที่พี่ชายคาดหวังไว้ก็ตาม ซึ่งแน่นอนว่า พอมีกระแสข่าวเขย่า เก้าอี้ “ครม.ปู 3” โหมกระพือ! การวิ่งเต้นขอตำแหน่งกับ “นายใหญ่” ย่อมเกิดขึ้นอย่างเลี่ยงไม่ได้ทำให้ “ยิ่งลักษณ์” ต้องงัดแผนสยบความเคลื่อนไหวของมุ้งการเมืองภายใน “พรรคเพื่อไทย” เพื่อมิให้เกิดการต่อรองเก้าอี้เสนาบดีกับ “พี่ชาย” ในต่างแดนแรงกระเพื่อม เรื่องตัวบุคคลที่จะมา ดำรงตำแหน่ง จึงเกิดขึ้นอย่างที่เห็น ทำให้ ยิ่งลักษณ์ ต้องรีบออกมาเบรกแรงๆ ว่า... ยังไม่ปรับ ครม.ในขณะนี้ เพื่อที่จะดึง “เกม” ให้กลับมาอยู่ในมือตามเดิม เนื่องจากการปรับทีมเสนาบดี นอกจากจะเป็นการ “เขย่าการทำงาน” ภายในแล้ว ยังเป็นเครื่องมือทางการเมือง ที่จะใช้รับมือกับพรรคฝ่ายค้านด้วย

ทำให้ “ยิ่งลักษณ์” และบริวารใกล้ชิดในตึกไทยคู่ฟ้า ต้องมาขบคิดกันต่อว่า จะใช้เกมการปรับ ครม.มาเป็นประโยชน์ต่อการลดแรงเสียดทานจากศึกซักฟอกได้อย่างไร...ซึ่งก็เกิดขึ้นได้ทั้ง 2 ทาง คือปรับใหญ่ก่อนศึกซักฟอก เพื่อจะเปลี่ยนเป้า การโจมตี หรือปรับใหญ่หลังศึกซักฟอกเพื่อ ลดผลกระทบจากศึกดังกล่าว

การเลือกทางใดทางหนึ่ง อย่างถูกจังหวะ จึงเป็นสิ่งสำคัญ เพราะจะทำให้เกิด ความได้เปรียบเสียเปรียบทางการเมืองอย่างชัดเจน ทั้งหมดทั้งปวง จะเกิดขึ้นอย่างมีประสิทธิภาพ และได้ผลดีทางการเมือง ต่อรัฐบาล ล้วนตั้งอยู่บนพื้นฐานอันสำคัญ นั่นก็คือ “ยิ่งลักษณ์” จะต้องอยู่ในบทบาท “ผู้เลือก” มากกว่า “ถูกเลือก” !!!

ที่มา.สยามธุรกิจออนไลน์
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ทักษิณ.ไร้ตัวเลือกสถานการณ์เป็นใจ จาตุรนต์. ตัวจริง !!?

หัวหน้าพรรคเพื่อไทยคนใหม่จะเป็นใคร ไม่ใช่เรื่องใหญ่โต และสำคัญอะไรกันหนักหนา เพราะความ จริงคือ หัวหน้าพรรคไม่มีบทบาททางการเมืองอะไร การตั้ง พล.ต.ท.วิโรจน์ เปาอินทร์ รองหัวหน้าพรรคอันดับ 3 และ ส.ส.บัญชีรายชื่อลำดับที่ 12 ขึ้น “รักษาการหัวหน้าพรรค” เป็นเพียงการปฏิบัติตามข้อบังคับพรรคให้สมบูรณ์ มีหน้าที่เพียงจัดการประชุมพรรคเพื่อเลือกหัว หน้าคนใหม่เท่านั้น ไม่มีรหัสบ่งบอกถึง “อำนาจ” การนำพรรคแต่ประการใด

ที่ผ่านมา การตั้งหัวหน้าพรรคเป็น ไปเพียงให้ครบเงื่อนไขกฎหมายพรรค การเมืองกำหนด ถึงกระนั้นก็ควรมีภาพลักษณ์งามๆ พอไปวัดไปวา นั่งหัวโต๊ะประชุมพอมีสง่าราศี และมีภาวะ “ผู้นำ” ระดับกลางๆ ไม่ต้องโดดเด่นด้วยอุดมการณ์ประชาธิปไตยจนสูงสุดเอื้อมสิ่งสำคัญ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ต้องคอนโทรลได้ สั่งการเคลื่อนไหว ทางการเมืองได้ ชนิดไม่มีเสียงวอแวกวนใจพรรคเพื่อไทยเป็นพรรคที่ถูกสร้างและดำรงอยู่ด้วยการ “ขาย” ภาพลักษณ์ของ “ทักษิณ”

ดังนั้น ทักษิณจึงเป็น “ยี่ห้อ” ทางการเมืองของพรรค เป็นแม่เหล็กดึง มวลชนมาสนับสนุน ส่วน “หัวหน้าพรรค” เป็นแค่ “นักบริหารการเมือง” ราวกับทำหน้าที่เซ็นเอกสารให้กระบวนการทำงานพรรค การเมืองมีความสมบูรณ์ตามกฎหมายเท่านั้นรวมความแล้ว หัวหน้าพรรคเพื่อ ไทยคนใหม่ ไม่ได้อยู่ที่ความต้องการของ สมาชิกพรรค แต่ขึ้นกับ “คนสร้างพรรค” คือ ทักษิณต้องการให้ใครเป็น ว่ากันตรงๆ แล้ว ทักษิณกับพรรค เพื่อไทยมีความชัดเจนในกระบวนการบริหาร จัดการองค์กรพรรค และสร้าง ภาพลักษณ์ของพรรคจนได้ฉายาว่า “พรรคทักษิณ” มีสโลแกนหาเสียง สวยหรู บ่งบอกยี่ห้อชัดเจนว่า “ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ” นี่คือชุดอุดมการณ์ประชาธิปไตยของพรรคแบบทักษิณ

ความชัดเจนของทักษิณและพรรคเพื่อไทยอยู่ตรงที่สังคมรับรู้ว่า เป็นพรรคของใคร ไม่มีการสร้างภาพนักประชาธิปไตยตามต้นฉบับมายาการเมืองของพรรคประชาธิปัตย์ที่ดำเนินมากว่า 60 ปี พรรคเพื่อไทยมีต้นกำเนิดมาจากพรรคไทยรักไทย แล้วแปรรูปมาเป็นพรรค พลังประชาชน จากนั้นจึง “กลายร่าง” มาเป็นพรรคเพื่อไทยในปัจจุบัน

หากนับอายุทางการเมืองของพรรค จึงไล่จากต้นกำเนิดเมื่อประมาณปี 2542 ถึงปัจจุบันก็แค่กว่า 10 ปี ซึ่งนับเป็นพรรษา ทางการเมืองอ่อนด้อย ค่อนข้างไม่ประสีประสาทางการเมืองเอาด้วยซ้ำ แต่การผ่านขวากหนามทางการเมืองอย่างหนักหน่วงโชกโชน ทำให้พรรค กล้าแกร่ง จนสามารถปรับตัวการทำงานให้เข้ากับสถานการณ์ “ช่วงชิงแต้มการ เมือง” ได้อย่างน่าทึ่ง บทเรียนครั้งสำคัญของพรรคการ เมืองแบบทักษิณ คือ ถูกอำนาจกระบวน การยุติธรรมสั่ง “ยุบพรรค” ถึง 2 ครั้ง ทำให้แกนนำคนสำคัญต้องโทษเว้นวรรคการเมือง 5 ปี สถานการณ์พรรคและบทบาททางการเมืองของทักษิณล่อแหลม แทบสูญพันธุ์ทางการเมือง

แต่พรรคการเมืองแบบฉบับของทักษิณกลับประคองตัวอยู่ได้ กระทั่งเติบโต ด้วยพลังมวลชนมาสนับสนุนให้แข็งแกร่ง จนฝ่ายตรงข้ามกลัวศักยภาพประสบการณ์ถูกยุบพรรคทำให้ทักษิณเรียนรู้ในการปรับองค์กรของพรรค เพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับแนวโน้มถูกยุบพรรคครั้งที่ 3 เอาไว้แต่เนิ่นๆ ปัจจัยบ่งบอกการเตรียมตัวคือ แยก การบริหารพรรคเพื่อไทย ออกจากระบบจัดการทางการเมืองให้ชัดเจน นั่นเท่ากับทำให้คณะผู้บริหารพรรคเพื่อไทยเป็นเพียง “องค์ประกอบ” ไม่ใช่ “ศูนย์กลางการนำ” ทางการเมืองของพรรค สิ่งนี้จึงทำให้ “นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ” ได้ “เกิดทางการเมือง” แบบทักษิณนำพาสถานการณ์ให้เป็นไป

แต่พรรคเพื่อไทยวันนี้ แตกต่างจากพรรคไทยรักไทยและพรรคพลังประชาชนอย่างมากโข เพราะพรรคได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของพลังมวลชนราว กับมีกองกำลังมวลชนคอยสนับสนุนและ คอยปกป้องภัยให้แม้พรรคเพื่อไทย ไม่ใช่พรรคตามแบบฉบับพรรคมวลชน แต่การดำเนินนโยบายทางการเมืองกลับเน้นไป “เพื่อมวลชน” จนถูกประชดประชันว่า เป็นพรรคที่หว่านโรยเม็ดเงินไปตามเส้นทาง “ประชาชนนิยม” เพื่อสร้างฐานทางการเมือง ดังนั้น เมื่อ “ยงยุทธ” ลาออก ประกอบกับพรรคเพื่อไทยเติบโตแข็งแกร่ง ด้วยแนวทาง “พรรคผสมมวลชน” การตัดสินใจเลือกหัวหน้าพรรคคนใหม่จึงต้อง สอดรับกับสถานการณ์ที่พรรคดำรงอยู่แต่อำนาจยังอยู่ใน “กำมือ” ของทักษิณ และเป็นสถานการณ์ที่ทักษิณต้องตัดสินใจยากลำบากยิ่ง เพราะการตัด สินใจแบบเดิมๆ ด้วยการสร้าง “ตัว แทน” มาเป็นหัวหน้าพรรค คงไม่สอดรับกับองค์ประกอบของพรรคเพื่อไทยที่เป็นอยู่ รวมทั้ง “ตัวแทน” แบบญาติ แบบหุ่นเชิดที่มีความงามสง่าแทบไม่มีให้เลือกในพรรค

นักการเมืองใหญ่อย่าง ร.ต.อ. เฉลิม อยู่บำรุง ผู้โชกโชนการเมืองและรอบรู้เกมมากมายตั้งแต่ดินจดฟ้า ก็ยังไม่โดดเด่นในสายตามวลชนนายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ นักการเมืองผ่านสนามเลือกตั้งมาเนิ่นนาน ก็เป็นเพียงคนรู้จัก แต่ไม่รู้ใจ หันมาหาญาติห่างๆ อย่าง พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ ที่เพิ่งเกษียณราชการ ยังไม่เพียงพอกับการตอบโจทย์การสนับสนุนจากมวลชน และกลุ่มก๊กนักเลือกตั้งที่จะเบียดแซงแย่งตำแหน่งรัฐมนตรี ถ้าจะเอาเพื่อนที่ชื่อ พล.อ.อ. สุกำพล สุวรรณทัต หรือ พล.ต.ท. ชัจจ์ กุลดิลก ยังไม่สอดรับกับสถานการณ์พรรคที่ต้องต่อสู้ทางอุดมการณ์ทางการเมืองมากขึ้น

ด้วยเหตุนี้ สิ่งที่ทักษิณเหลืออยู่ในขณะนี้ และจำเป็นต้องเลือกอย่างยิ่งคือ ใช้หลัก “คนไว้วางใจ” มากำหนดตัวหัวหน้าพรรคคนใหม่ เหนืออื่นใด บารมีของหัวหน้าพรรคคนใหม่ต้องไม่ทำให้ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของ “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” ผู้เป็นน้องสาวต้องดูด้อยค่า หมดราศีทางการเมืองอีกด้วย

นี่คือ สถานการณ์บังคับให้ราศีของ “จาตุรนต์ ฉายแสง” มีแนวโน้มดูดีในตัวเลือก “หัวหน้าพรรค” หนำซ้ำยังโดดเด่นทั้งการผ่านระบบใจตรวจสอบใจ จึงกลายเป็น “คนรู้ใจ” ในสถานการณ์ของพรรคเพื่อไทยที่มีแนวร่วมสนับสนุนอยู่กว้างขวาง ปัญหาใหญ่ของจาตุรนต์คือ ไม่เด็ดขาด มีลักษณะประนีประนอมสูง จนดูเชื่องช้า แต่ที่สำคัญพรรคเพื่อไทยขณะนี้ อยู่ในสถานการณ์ ต้อง “ประคับประคอง” มวลชน และ “ประนี ประนอม” กับศูนย์กลางอำนาจนอกระบบอีก จึงจำเป็นต้องชูคนยึดมั่น “หลัก การ” และมีองค์ความรู้เพื่อตอบโต้เกมการเมืองจากฝ่ายตรงข้าม ชนิดทันเกมและได้ใจมวลชน

ที่มา.สยามธุรกิจออนไลน์
///////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันพุธที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ภาษีนักแสดงสาธารณะและการหลีกเลี่ยงภาษี โดยการจัดให้ผู้อื่นรับเงินแทน !!?

โดย พิชัย พืชมงคล (http://dlo.co.th/attorneys/phichai-phuechmongkol)
สำนักกฎหมายธรรมนิติ (http://dlo.co.th/)
 
ตามที่มีข่าวว่า ดารา-นักแสดงชื่อดังบางคนมีพฤติการณ์หลบหนีภาษี ด้วยการจัดให้คนอื่นมารับค่าแสดงของตนเอง โดยการใช้สำเนาบัตรประชาชนของคนอื่นเป็นเอกสารในการรับเงินแทนตนเอง
เนื่องจากดารา-นักแสดงเป็นกลุ่มคนที่มีรายได้สูง จึงทำให้คนในสังคมไทยวิพากษ์วิจารณ์การหลบหนีภาษีดังกล่าวกันอย่างกว้างขวาง ทั้งดารา-นักแสดง ยังเป็นกลุ่มคนซึ่งมหาชนชื่นชอบ เป็นพระเอกนางเอกที่มีอิทธิพลต่อจิตใจ เป็นตัวอย่างในการใช้ชีวิตของแฟนคลับจำนวนมาก เห็นได้จากกรณีที่มีคนเอาอย่างตัวละครไปใช้ในชีวิตจริง

การเสียภาษีที่ไม่ถูกต้องของเหล่าดารานักแสดง อาจเกิดจากความไม่รู้ หรือรู้แล้ว แต่พยายามหลบหนีภาษี แต่หลบได้ไม่ดี ดังนั้น เพื่อให้ความรู้ความเข้าใจแก่เหล่าดารานักแสดง เมื่อวันที่ 5 กันยายน 2555 กรมสรรพากรจึงได้จัดสัมมนาในหัวข้อ “การเสียภาษีอากรของดารานักแสดงสาธารณะ”
โดย ดร.สาธิต รังคสิริ อธิบดีกรมสรรพากรเปิดการสัมมนา และ นายสมพงษ์ ตัณฑพาทย์ ผู้อำนวยการสำนักบริหารภาษีธุรกิจขนาดใหญ่ เป็นผู้บรรยายให้ความรู้การเสียภาษี โดยมีดารานักแสดง ผู้จัดการและสำนักงานบัญชีที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมการสัมมนากว่า 300 คน

เมื่อการเสียภาษีของดารานักแสดงเป็นที่สนใจของผู้คนในสังคม ผู้เขียนจึงขอนำเสนอภาระภาษีอากรของดารานักแสดงสาธารณะและผู้จ่ายเงินแก่ดารานักแสดงโดยสังเขป เฉพาะประเด็นที่น่าสนใจ ดังนี้


1. ภาระภาษีของเงินได้จากการแสดงสาธารณะ

[มาตรา 8 (43) ของพระราชกฤษฎีกา (ฉบับที่ 11) พ.ศ.2502] หมายถึง “เงินได้จากการแสดงของนักแสดงละคร ภาพยนตร์ วิทยุหรือโทรทัศน์ นักร้อง นักดนตรี นักกีฬาอาชีพ หรือนักแสดงเพื่อความบันเทิงใดๆ” ซึ่งถือเป็นเงินได้พึงประเมินประเภท เงินได้จากการธุรกิจ การพาณิชย์ การเกษตร การอุตสาหกรรม การขนส่ง หรือการอื่นนอกจากที่ระบุไว้ใน (1) ถึง (7) ตาม มาตรา 40 (8) แห่งประมวลรัษฎากร

เงินได้ ((มาตรา 39 แห่งประมวลรัษฎากร “เงินได้พึงประเมิน” หมายความว่า เงินได้อันเข้าลักษณะพึงเสียภาษีในหมวดนี้ เงินได้ที่กล่าวนี้ให้หมายความรวมตลอดถึงทรัพย์สิน หรือประโยชน์อย่างอื่นที่ได้รับซึ่งอาจคิดคำนวณได้เป็นเงิน เงินค่าภาษีอากรที่จ่ายเงินหรือผู้อื่นออกแทนให้สำหรับเงินได้ประเภทต่าง ๆ ตามมาตรา 40 และเครดิตภาษีตามมาตรา 47 ทวิ ด้วย))

จากการแสดงสาธารณะนี้ รวมถึงค่าตอบแทน เงินรางวัลและประโยชน์ใด ๆ บรรดาที่ได้เนื่องจากการแสดงหรือการแข่งขันเพื่อแสดงต่อสาธารณะ เช่น ค่าพาหนะในการเดินทาง ค่าเบี้ยเลี้ยง ค่าที่พัก หรือค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ไม่ว่าจะจ่ายตามจำนวนคราวที่แสดงหรือแข่งขัน จ่ายเป็นการเหมา หรือจ่ายในลักษณะอื่นทำนองเดียวกัน

แต่ทั้งนี้ นักแสดงสาธารณะอาจจะได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้ ถ้าเงินที่ได้รับนั้นเป็นเงินได้ที่ยกเว้นภาษีตามมาตรา 42 แห่งประมวลรัษฎากร เช่น นักแสดงเป็นพรีเซ็นเตอร์รถยนต์ เมื่อนักแสดงแต่งงาน บริษัทผู้ผลิตให้รถยนต์เป็นของขวัญในงานแต่งงาน ดังนี้ ถือว่า มูลค่ารถยนต์เป็นเงินได้จากการให้โดยเสน่หา เนื่องในพิธีหรือตามโอกาสแห่งขนบธรรมเนียมประเพณี เป็นต้น แต่บริษัทผู้ให้รถยนต์โดยเสน่หา ก็ไม่อาจนำมูลค่ารถยนต์นั้นไปถือเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล เพราะเป็นการให้โดยเสน่หาจึงไม่ใช่รายจ่ายที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับกิจการ [มาตรา 65 ตรี (3) แห่งประมวลรัษฎากร]

เงินได้จากการแสดงสาธารณะนี้ สามารถหักรายจ่ายได้สูงกว่าเงินได้ประเภทอื่นๆ เพราะรัฐเห็นว่า เงินได้ประเภทนี้ มักมีค่าใช้จ่ายสูงกว่าเงินได้จากค่าจ้างแรงงานหรือเงินได้อีกหลายประเภท จึงยอมให้ผู้มีเงินได้สามารถเลือกหักค่าใช้จ่ายได้ วิธีใดวิธีหนึ่ง จาก 2 วิธี ดังนี้

วิธีที่ 1. หักค่าใช้จ่ายเป็นการเหมา หมายถึง การใช้สิทธิหักค่าใช้จ่าย โดยไม่ต้องแสดงหลักฐานการใช้จ่าย เพื่อพิสูจน์การใช้จ่ายใด ๆ โดยหักเป็นรายจ่ายได้ดังนี้
  • (ก) เงินได้ส่วนที่ไม่เกิน 300,000 บาท หักได้ร้อยละ 60
  • (ข) เงินได้ส่วนที่เกิน 300,000 บาท หักได้ร้อยละ 40 แต่การหักค่าใช้จ่ายตาม (ก) และ (ข) รวมกันต้องไม่เกิน 600,000 บาท
เมื่อก่อน กรณีการเสียภาษีของคู่สมรสที่เป็นนักแสดงสาธารณะ หากสามีและภริยาต่างฝ่าย ต่างมีเงินได้จากการแสดงสาธารณะ ถ้าความเป็นสามีภริยาได้มีอยู่ตลอดปีภาษี ให้ถือเอาเงินได้ของภริยาเป็นเงินได้ของสามี และให้สามีมีหน้าที่และความรับผิดในการยื่นรายการและเสียภาษีโดยต่างฝ่าย ต่างหักค่าใช้จ่ายตามเกณฑ์ดังกล่าวข้างต้น

แต่หลังจากที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยที่ 17/2555 ว่า มาตรา 57 ตรี และมาตรา 57 เบญจ ที่ให้ถือเอาเงินได้ของภริยาเป็นเงินได้ของสามีนั้น ขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 6 คู่สมรสของดารา รวมถึงคู่สมรสอื่น ก็ไม่ต้องแบกรับภาระภาษีมากกว่าคนโสดอีกต่อไป

วิธีที่ 2. หักค่าใช้จ่ายได้ตามความจำเป็นและสมควร โดยผู้มีเงินได้ต้องแสดงหลักฐานการใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับรายได้จากการแสดงสาธารณะนั้น เพื่อพิสูจน์ค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ต่อเจ้าพนักงานสรรพากร ตามหลักที่ว่า “พิสูจน์ได้เท่าใด ก็หักค่าใช้จ่ายได้เท่านั้น” ถ้าตามหลักฐานที่นำมาพิสจน์ ปรากฏว่า มีรายจ่ายน้อยกว่าอัตราเหมา (ตามวิธีที่ 1) ก็ให้ถือว่า ดารา-นักแสดงมีค่าใช้จ่ายเพียงเท่าหลักฐานที่นำมาพิสูจน์ (มาตรา 8 วรรคท้าย ของพระราชกฤษฎีกา (ฉบับที่ 11) พ.ศ. 2502)

เงินได้จากการแสดงสาธารณะและการหักค่าใช้จ่ายของบุคคลธรรมดานั้น ผู้มีเงินได้ต้องรวมเงินได้จากการแสดงสาธารณะที่ได้รับทุกครั้งในรอบปีปฏิทิน แล้วจึงเลือกว่า จะใช้สิทธิขอหักค่าใช้จ่ายเหมาหรือหักค่าใช้จ่ายตามความจำเป็นและสมควร อย่างใดอย่างหนึ่ง

ในกรณีผู้มีเงินได้จากการแสดงสาธารณะ มีเงินได้ประเภทอื่นด้วย เช่น เงินเดือน ค่ารับทำงานให้ ค่าลิขสิทธิ์ ค่าดอกเบี้ย เงินปันผล ฯลฯ ผู้มีเงินได้มีสิทธิหักค่าใช้จ่ายเหมาตามประประเภทเงินได้นั้น หรือหักค่าใช้จ่ายตามจริง ถ้าประมวลรัษฎากรยอมให้หักค่าใช้จ่ายด้วยวิธีนี้ได้

จากนั้น จึงเอาเงินได้หลังจากหักค่าใช้จ่ายทุกประเภทที่ได้รับในรอบปีปฏิทินมารวมกัน แล้วจึงหักค่าลดหย่อน ตามมาตรา 47 แห่งประมวลรัษฎากรต่อไป เช่น ค่าลดหย่อนส่วนตัว ภริยา บุตร ค่าเบี้ยประกันชีวิต ดอกเบี้ยเงินกู้ยืมซื้อบ้าน เป็นต้น

เงินได้พึงประเมินหลังจากหักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อนประเภทต่าง ๆ แล้วนี้ เรียกว่า เงินได้สุทธิ ซึ่งจะใช้เป็นฐานในการคำนวณค่าภาษีที่ต้องเสียในแต่ละปี ตามอัตราก้าวหน้าตั้งแต่ ร้อยละ 10-37 ตามช่วงของเงินได้สุทธิ ตั้งแต่ 150,001- 4,000,000 บาทขึ้นไป ตามมาตรา 48 แห่งประมวลรัษฎากร

เมื่อคำนวณได้ค่าภาษีที่ต้องชำระแล้ว ผู้มีเงินได้ก็นำค่าภาษีที่ถูกหัก ณ ที่จ่ายไว้แล้ว มาหักออกก่อน ถ้าภาษีที่คำนวณไว้มากกว่าภาษีหัก ณ ที่จ่าย ก็ต้องชำระค่าภาษีเพิ่ม แต่ถ้าภาษีที่คำนวณไว้น้อยกว่าภาษีหัก ณ ที่จ่าย ผู้มีเงินได้ ก็มีสิทธิขอคืนภาษีที่ชำระไว้เกินจากกรมสรรพากรได้


2. นักแสดงสาธารณะต้องยื่นแบบแสดงรายการและชำระภาษี ปีละ 2 ครั้ง

นักแสดงสาธารณะ หมายถึง นักแสดงละคร ภาพยนตร์ วิทยุ โทรทัศน์ นักร้อง นักดนตรี นักกีฬาอาชีพ หรือนักแสดงเพื่อความบันเทิงใด ๆ ไม่ว่าจะแสดงเดี่ยว เป็นหมู่หรือคณะ หรือแข่งขันเป็นทีม เช่น นักแสดงละครเวที นักแสดงภาพยนตร์ นักแสดงละครวิทยุ นักแสดงละครโทรทัศน์ ผู้ดำเนินรายการทางโทรทัศน์ นักแสดงตลก นายแบบ นางแบบ นักพูดรายการทอล์คโชว์ นักมวยอาชีพ นักฟุตบอลอาชีพ เป็นต้น

นักแสดงสาธารณะดังกล่าว ไม่รวมถึง ผู้ประกาศข่าว โฆษก พิธีกร นักจัดรายการวิทยุ นักจัดรายการในสถานบันเทิงใด ๆ ผู้บรรยายหรือนักพากย์ ผู้จัดการส่วนตัวของนักแสดงสาธารณะ ผู้กำกับการแสดง ผู้จัดการทีมกีฬา ผู้ฝึกสอน นักกีฬาหรือบุคคลผู้กระทำการในลักษณะทำนองเดียวกัน [[ข้อ 1 วรรคสอง ของคำสั่งกรมสรรพากรที่ ป.102/2544 เรื่อง การเสียภาษีเงินได้และภาษีมูลค่าเพิ่มของนักแสดงสาธารณะ ผู้จัดให้มีการแสดงของนักแสดงสาธารณะ และคู่สัญญาที่จัดหานักแสดงสาธารณะมาแสดง]]
ดังนั้น นักแสดงสาธารณะ จึงหมายถึง บุคคลที่มีอาชีพหรือมีเงินได้จากการแสดงประเภทต่าง ๆ ต่อสาธารณะ หรือผู้ที่ดำรงชีพจากค่าตอบแทนที่ได้รับจากการแสดงประเภทต่าง ๆ ต่อสาธารณะ
เงินได้ของนักแสดงสาธารณะ หมายถึง เงินได้พึงประเมิน หรือค่าตอบแทนจากการประกอบอาชีพนักแสดงสาธารณะตามวรรคหนึ่ง รวมถึง รางวัลและประโยชน์ใด ๆ บรรดาที่ได้เนื่องจากการแสดงหรือการแข่งขัน เช่น ค่าพาหนะในการเดินทาง ค่าเบี้ยเลี้ยง ค่าที่พัก หรือค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ไม่ว่าจะจ่ายตามจำนวนคราวที่แสดงหรือแข่งขัน จ่ายเป็นการเหมา หรือจ่ายในลักษณะอื่นทำนองเดียวกัน

นักแสดงสาธารณะ มีหน้าที่ยื่นรายการและชำระภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาปีละ 2 ครั้ง [[ข้อ 2 ของคำสั่งกรมสรรพากรที่ ป.102/2544]] ดังนี้

ครั้งที่ 1 ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาครึ่งปี ให้นำเงินได้ของนักแสดงสาธารณะ ที่ได้รับตั้งแต่เดือนมกราคมถึงเดือนมิถุนายน ไปยื่นรายการและชำระภาษีภายในเดือนกันยายนของทุกปีภาษี โดยใช้แบบ ภ.ง.ด.94
ครั้งที่ 2 ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาประจำปี ให้นำเงินได้ของนักแสดงสาธารณะ ที่ได้รับตั้งแต่เดือนมกราคมถึงเดือนธันวาคม ไปยื่นรายการและชำระภาษีภายในเดือนมีนาคมของปีถัดไป โดยใช้แบบ ภ.ง.ด.90 ทั้งนี้ ให้นำภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาครึ่งปีที่ชำระไว้ตามครั้งที่ 1 มาถือเป็นเครดิตภาษีในการคำนวณภาษี

สำหรับคนที่มีอาชีพอื่น แต่มีเงินได้จากการแสดงสาธารณะประเภทต่าง ๆ แบบสมัครเล่น เป็นครั้งคราว ไม่ถือว่าเป็นนักแสดงสาธารณะ แต่ยังคงมีหน้าที่ยื่นเสียภาษีตามประเภทเงินได้ ถ้าเป็นเงินได้ 40 (1) เงินเดือนอย่างเดียวก็ยื่นแบบเสียภาษีครั้งเดียว แต่ถ้ามีเงินได้อื่นตามมาตรา 40 (5) (6) (7) และ (8) ก็ต้องยื่นแบบแสดงรายการและชำระภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาปีละ 2 ครั้ง

3. การหักภาษี ณ ที่จ่ายของเงินได้จากการแสดงสาธารณะ

บุคคลธรรมดา ห้างหุ้นส่วนสามัญหรือคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล บริษัทหรือนิติบุคคลอื่น ซึ่งเป็นผู้จ่ายเงินได้ค่าแสดงสาธารณะแก่นักแสดงสาธารณะ ต้องคำนวณหักภาษี ณ ที่จ่าย [[ข้อ 9 ของคำสั่งกรมสรรพากรที่ ท.ป.4/2528]] ดังนี้
  • (ก) กรณีนักแสดงสาธารณะมีภูมิลำเนาอยู่ในประเทศไทย ให้คำนวณหักภาษีไว้ในอัตราร้อยละ 5.0
  • (ข) กรณีนักแสดงสาธารณะมีภูมิลำเนาอยู่ในต่างประเทศ ให้คำนวณหักภาษีไว้ตามอัตราที่กำหนดในบัญชีอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
แต่ถ้าผู้จ่ายเงินได้ให้นักแสดงสาธารณะเป็นองค์กรของรัฐบาล เทศบาล สุขาภิบาล หรือองค์การบริหารราชการส่วนท้องถิ่น มีหน้าที่หักภาษีในอัตราร้อยละ 1 [[ข้อ 7 (1) ของคำสั่งกรมสรรพกรที่ ป.102/2544]]
โดยผู้จ่ายเงินได้ มีหน้าที่คำนวณหักภาษี ณ ที่จ่ายและนำส่ง ณ ที่ว่าการอำเภอท้องที่ ภายในเจ็ดวันนับแต่วันสิ้นเดือนของเดือนที่จ่ายเงินได้

4. การหลีกเลี่ยงภาษีโดยการจัดให้ผู้อื่นรับเงินแทน

การหลีกเลี่ยงการเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในอัตราที่สูง มักใช้วิธีจัดให้บุคคลอื่นเป็นผู้รับเงินแทน เรียกว่า วิธีการใช้ตัวแทนเชิด แตกหน่วยภาษีจากหน่วยเดียวเป็นหลาย ๆ หน่วย ทำให้แต่ละหน่วยภาษี สามารถหักค่าลดหย่อนได้มากขึ้นตามจำนวนหน่วยที่แตกออกไป เมื่อแตกหน่วยภาษีแล้ว แต่ละหน่วยภาษี ก็จะมีรายได้สุทธิน้อยลง เสียภาษีในอัตราที่ลดลง ทำให้ค่าภาษีโดยรวมลดลงเป็นจำนวนมาก
ทั้งนี้ ผู้รับเงินแทนอาจเป็นบุคคลธรรมดา คณะบุคคล ห้างหุ้นส่วนสามัญ บริษัทหรือนิติบุคคลอื่น หรืออาจใช้ผู้รับเงินหลายประเภทดังกล่าวข้างต้น ร่วมกันรับเงินแทน แต่หน่วยภาษีที่นิยมใช้กันมากคือ บุคคลธรรมดาและหรือคณะบุคคล ด้วยเหตุที่ทำง่าย มีค่าใช้จ่ายต่ำ เนื่องจากกฎหมายไม่ได้บังคับให้บุคคลธรรมดาและคณะบุคคลต้องจัดทำบัญชีและมีการสอบบัญชี เช่นเดียวกับบริษัทหรือนิติบุคคลประเภทอื่น
การหลีกเลี่ยงภาษีด้วยวิธีนี้ เจ้าของเงินได้หรือตัวการ จะขอให้บริษัทหรือนิติบุคคลอื่น จ่ายเงินให้แก่ตัวแทน แล้วให้ตัวแทนนำเงินนั้นมามอบให้แก่ตัวการ ถ้าหากจำนวนเงินไม่มาก ก็ให้ตัวแทนลงชื่อรับเงินแทน โดยใช้บัตรประชาชนและสำเนาทะเบียนบ้านเป็นเอกสารประกอบการรับเงิน หากจำนวนเงินมาก ก็อาจจัดให้ตัวแทนหนึ่งรายหรือหลายราย เข้าทำนิติกรรมหรือสัญญากับบริษัทหรือนิติบุคคลผู้จ่ายเงิน เพื่อรับเงินแทนตัวการ

ที่ผ่านมา กลุ่มคนที่มีรายได้สูง เช่น ดารา นักแสดง แพทย์ สถาปนิก วิศวกร ผู้บริหาร นักบัญชี รวมถึงนักวิชาชีพอื่นๆ บางส่วน ใช้ตัวแทนเชิดรับเงินแทน ทำให้รัฐจัดเก็บภาษีได้น้อยลง กรมสรรพากรได้รวบรวมข้อมูลพบว่า มีการจัดตั้งคณะบุคคลทั่วประเทศกว่า 10,000 คณะ

โดยผู้มีรายได้สูงไม่น้อย จัดตั้งและเข้าเป็นหุ้นส่วนในคณะบุคคลจำนวนมากตั้งแต่สิบถึงหลายสิบคณะ น่าเชื่อว่า เป็นการใช้คณะบุคคลเป็นตัวแทนเชิดรับเงินแทน กรมสรรพากรจึงมีคำสั่งให้เจ้าหน้าที่สรรพากรเน้นตรวจสอบรายจ่ายของบริษัทหรือนิติบุคคลที่จ่ายให้คณะบุคคลและบุคคลธรรมดา ซึ่งเป็นตัวแทนเชิดรับเงินแทนเป็นพิเศษ

กรณีตามข่าวที่ว่าดารานักแสดงคนดังใช้บัตรประชาชนของพ่อคนขับรถมารับเงินค่าตัวแทน ก็เป็นตัวอย่างการหลีกเลี่ยงภาษีด้วยวิธีการใช้ตัวแทนเชิดรับเงินแทน ดังกล่าวข้างต้น ส่วนมากเมื่อตรวจสอบเส้นทางของเงิน ก็จะพบว่า ตัวแทนเชิดแทบจะไม่ได้เงินเลย และไม่มีเหตุผลว่า พ่อคนขับรถ จะมาช่วยหรือทำอะไร จนมีเงินได้จากการแสดงสาธารณะได้

การใช้ตัวแทนเชิด จึงเป็นนิติกรรมอำพรางชนิดหนึ่ง คือการทำสัญญาให้ตัวแทนเชิดรับเงิน อำพรางตัวการ ถ้าเจ้าหน้าที่สรรพากรตรวจสอบ ก็จะพบได้ไม่ยาก เนื่องจากตัวแทนเชิด ไม่มีคุณสมบัติและไม่ใช่ผู้ให้บริการหรือผู้ทำงานที่แท้จริงให้แก่ผู้จ่ายเงิน แต่เป็นเพียงผู้รับเงินแทนอย่างเดียว จึงต้องถือว่า ตัวการเป็นผู้รับเงินได้ประเภทที่แท้จริงนั้น

นิติกรรมอำพราง (Concealed Act) หมายถึง นิติกรรมหนึ่งที่ทำขึ้นด้วยเจตนาลวง เพื่อปิดบังนิติกรรมอื่นที่ทำขึ้นด้วยเจตนาอันแท้จริง ซึ่งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 155 ท่านให้บังคับตามนิติกรรมที่ถูกอำพรางหรือตามนิติกรรมที่แท้จริง

การจ่ายเงินแก่ตัวแทนเชิด นอกจากต้องทำนิติกรรมหรือสัญญาอำพรางแล้ว ยังอาจเป็นการสร้างรายจ่ายเท็จ สร้างหลักฐานเท็จเพื่อลงบัญชี เป็นค่าใช้จ่ายประเภทต่าง ๆ เช่น ค่าจ้างที่ปรึกษา ค่าจ้างทำของ ค่าพาหนะ และค่าใช้จ่ายเบ็ดเตล็ด เป็นต้น ทำให้ภาษีเงินได้นิติบุคคลที่รัฐจัดเก็บลดลงด้วย
อาจมีคำถามว่า ทำไมบริษัทหรือนิติบุคคลอื่นซึ่งเป็นผู้จ่ายเงินได้แก่นักแสดงสาธารณะ จึงยอมให้ดารานักแสดงสาธารณะใช้ตัวแทนเชิดรับเงินแทน?



คำตอบคือ ดารานักแสดงที่ได้รับความนิยมอย่างสูงจากมหาชน จะมีอำนาจต่อรองสูงมาก ถ้าบริษัทผู้จ่ายไม่ยอม ดารานักแสดงก็จะอ้างว่า ถ้าต้องเสียภาษีสูงถึงร้อยละ 37 ก็จะไม่ไปแสดงให้ ทำให้ผู้ว่าจ้างที่แม้เป็นบริษัทใหญ่ระดับประเทศหรือระดับโลก ต้องยอมให้ความร่วมมือกับดารานักแสดง เพื่อให้กิจกรรมการตลาดและประชาสัมพันธ์ของบริษัทตนดำเนินการไปได้ตามแผน ตามคติที่ว่า “ให้งานเดินไปได้ก่อน ส่วนปัญหาค่อยหาทางแก้ภายหลัง”

ในกรณีตรวจสอบพบว่า บริษัทหรือนิติบุคคลใด จ่ายเงินแก่ตัวแทนเชิด ซึ่งไม่ใช่การจัดซื้อสินค้า หรือจัดจ้างหรือให้บริการอย่างแท้จริง หรือมีการใช้หลักฐานเท็จ รายจ่ายเท็จ เจ้าหน้าที่สรรพากรจะถือว่า ค่าใช้จ่ายดังกล่าว เป็นรายจ่ายต้องห้าม ตามประมวลรัษฎากร ม.65 ตรี บริษัทต้องนำรายจ่ายต้องห้ามดังกล่าว บวกกลับเป็นเงินได้ แล้วชำระค่าภาษีเพิ่มเติมให้ถูกต้อง รวมทั้งเสียเบี้ยปรับและเงินเพิ่มตามกฎหมายด้วย

ทั้งนี้ บริษัทอาจเสียสิทธิในการนำบรรดาภาษีหัก ณ ที่จ่าย ซึ่งบริษัทได้หักไว้และนำส่งอย่างไม่ถูกต้อง ที่เกี่ยวกับการจ่ายค่าใช้จ่ายต้องห้าม ไปใช้ประโยชน์ทางภาษี และต้องร่วมรับผิดในค่าภาษีหัก ณ ที่จ่าย ที่คำนวณตามประเภทหรือรายการจ่ายที่แท้จริง พร้อมทั้งเงินเพิ่มตามประมวลรัษฎากรด้วย
ทั้งนี้ บริษัทผู้หักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่ายผิดฝาผิดตัว เช่น ดารานักแสดง ต้องถูกหักภาษี ณ ที่จ่ายไว้ในอัตราร้อยละ 5 แต่บริษัทผู้ว่าจ้างกลับหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่ายจากตัวแทนเชิด ซึ่งเป็นบุคคลอื่นในอัตราร้อยละ 3 ทำให้บริษัทผู้จ่ายเงินต้องร่วมรับผิดในค่าภาษีหัก ณ ที่จ่ายในอัตราร้อยละ 5 ตามประเภทหรือรายการจ่ายที่แท้จริง ตามมาตรา 54 แห่งประมวลรัษฎากร

เรียกง่าย ๆ ว่า ต้องเสียใหม่ทั้งหมด และต้องเสียเงินเพิ่มตามมาตรา 27 แห่งประมวลรัษฎากร อีกทั้งมีโทษปรับซึ่งเป็นความผิดทางอาญาตามมาตรา 35 แห่งประมวลรัษฎากรอีกด้วย ส่วนเงินภาษีที่หักผิดไป บริษัทผุ้จ่ายเงิน ก็จะขอคืนไม่ได้

หากเจ้าหน้าที่สรรพากรตรวจพบรายการใช้จ่ายต้องห้ามจำนวนมาก ต่อเนื่องกันหลายปี จนน่าเชื่อว่า มีการหลีกเลี่ยงหรือพยายามหลีกเลี่ยงการเสียภาษีอากรตามกฎหมาย โดยเจตนา โดยวางแผน โดยไตร่ตรองไว้ก่อน โดยความเท็จ โดยฉ้อโกง โดยใช้อุบาย หรือโดยวิธีการอื่นใดทำนองเดียวกัน บริษัท กรรมการ ผู้เกี่ยวข้องและตัวแทนเชิด อาจต้องรับผิดทางอาญา ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 37 ต้องระวางโทษจำคุก ตั้งแต่ 3 เดือนถึง 7 ปี และปรับตั้งแต่ 2,000 บาทถึง 2 แสนบาท ต่อกระทงความผิดด้วย
หากเจ้าหน้าที่สรรพากรตรวจพบว่า ผู้จัดการส่วนตัวหรือสำนักงานบัญชีที่ทำบัญชีให้ดารานักแสดงสาธารณะรายใด ร่วมหลีกเลี่ยงภาษีด้วยการใช้ตัวแทนเชิดรับเงินแทน อธิบดีกรมสรรพากรได้มีคำสั่งให้เจ้าหน้าที่สรรพากรขยายผลการตรวจสอบไปยังลูกค้ารายอื่น ๆ ของผู้จัดการส่วนตัวหรือของสำนักงานบัญชีนั้นด้วย เพราะเป็นไปได้สูงว่า อาจหลีกเลี่ยงภาษีด้วยวิธีการใช้ตัวแทนเชิดรับเงินแทน เช่นเดียวกัน
ดารา-นักแสดงบางคน เข้าใจผิดว่า ภาษีที่ถูกหัก ณ ที่จ่ายไว้ เป็นการเสียภาษีที่ถูกต้องและครบถ้วนแล้ว จึงไม่ยื่นแบบแสดงรายการและคำนวณภาษี โดยรวมเงินได้จากการแสดงสาธารณะ ปีละ 2 ครั้ง ตามหลักเกณฑ์และวิธีการดังกล่าวข้างต้น ทำให้ถูกประเมินและต้องเสียภาษีย้อนหลัง พร้อมเบี้ยปรับเงินเพิมจำนวนมาก เช่น

คุณโก๊ะตี๋ ได้รับว่า เคยถุกประเมินและเสียภาษีย้อนหลังเป็นเงินถึง 3 ล้านบาท ดาราบางคนกลายเป็นบุคคลล้มละลาย เช่น คุณเพชรา เชาวราษฎร์ หรือดาราบางคน ต้องต่อสู้คดีกับสรรพากรจนถึงศาลฎีกา เช่น คุณญาสุมินทร์ เลิศอมรวัฒนา (จ๋า) อดีตนักแสดงและพิธีกรชื่อดัง เป็นต้น

คุณนก-จริยา แอนโฟเน่ ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนไว้อย่างน่าสนใจว่า “ดารา นักแสดงแทบทุกคน เคยถูกเรียกภาษีย้อนหลังกันเกือบทั้งนั้น เนื่องจากไม่มีความรู้ในเรื่องกฎหมายเกี่ยวกับการเสียภาษีของนักแสดงสาธารณะ ทั้งนี้ ยอมรับว่า ที่ผ่านมา มีดารานักแสดงบางคน ขอให้ทางผู้จัดละคร ช่วยหลบเลี่ยงภาษีให้ แต่ได้เตือนไปและขอให้ทำให้ถูกต้อง”

การใช้ตัวแทนเชิดรับเงินแทน เป็นการหลีกเลี่ยงการเสียภาษีโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ผู้จ่ายและผู้รับเงินได้ ควรต้องร่วมกันรับผิดชอบในการป้องกันและแก้ไข การหลีกเลี่ยงภาษีดังกล่าว นอกจากทำให้รัฐเสียรายได้ ทั้งค่าภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและค่าภาษีเงินได้นิติบุคคลแล้ว ยังไม่เป็นธรรมต่อผู้เสียภาษีที่สุจริตทั่วประเทศ เป็นตัวอย่างที่ไม่ดีในสังคมไทย ดารา-นักแสดงสาธารณะ เป็นตัวอย่างของเยาวชนวัยรุ่นจำนวนมาก จึงควรเป็นแบบอย่างที่ดีในการเสียภาษีอย่างถูกต้อง ซึ่งเป็นหน้าที่ของพลเมืองดีทุกคน*

หมายเหตุ: พิมพ์เผยแพร่ครั้งแรก ในวารสารธรรมนิติฉบับ “เอกสารภาษีอากร” เดือนตุลาคม 2555 Vol. 32 No. 373

ที่มา.Siam Intelligence Unit
////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

การเมืองไทย !!!?

ทายยาก
การเมืองไทยวันนี้..ดูเหมือนดี..แต่ไม่..
มีสิ่งบอกเหตุมากมายที่อธิบายได้ว่า..พรรคเพื่อไทยกับอำนาจที่ได้มาจากการเลือกตั้ง..ยังไม่เสถียรเพียงพอ
ที่จะนำการเมืองไปสู่ประชาธิปไตยที่ถาวร..
อีก 2 ปีกว่าๆ ที่จะทำการเมืองให้ครบสมัย..ยังดูไกลเกินไปกว่าจะไปให้ถึงวันนั้น..
สูตรทางการเมืองของพรรคเพื่อไทย ยังแข็งแกร่งและสามารถบันดาลความเปลี่ยนแปลงได้อย่างเหลือเชื่อ..ไม่มีส่วนใดอ่อนแอแต่กลับแข็งแกร่งและสุขุม
ล้ำลึกกว่าเก่า
เหมือน เอชไอวี...ที่แฝงกายฝังร่างไว้รอวันอ่อนแอลงของสังขาร..วันที่ภูมิต้านทานมีปัญหา..
ชัยชนะเหนือพรรคประชาธิปัตย์ในการเลือกตั้งครั้งที่แล้ว..เป็นการถอยเล็กๆ ของแกนแห่งอำนาจฟากตรงกันข้ามกับพรรคเพื่อไทย
แต่แน่นอนว่า มันไม่ใช่การปราชัยและไม่มีใครในฝ่ายนั้นคิดเช่นนั้น..
กองศพของประชาชน..บนการชุมนุมเรียกร้องของคนเสื้อแดง..ทำให้ประเทศได้มีการเลือกตั้งอีกครั้ง..และเมื่อพรรคเพื่อไทยได้เป็นรัฐบาล...อดีตกำลังกลับมาเป็นอนาคต
รัฐบาลพรรคเพื่อไทย..ถูกกัดกร่อนบุบสลาย..ความสามัคคีในระหว่างการต่อสู้เสื่อมคลาย..การชิงดี
ชิงเด่นแข่งกันประจบเอาใจ..เพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจและผลประโยชน์..ปรากฏขึ้นในทุกหนทุกแห่ง..
นักรบถูกดูแคลน..ตลบตะแลงตอแหล กลับได้ดิบได้ดี
...กระสือกระหังเพ่นพล่านไปทั่วทุกโครงงาน..ข้าทาสบริวารเฟื่องฟู..
กลิ่นศพของนักรบเสื้อแดงยังไม่จางหาย..กลิ่นอายของความพ่ายแพ้ครั้งใหม่เริ่มตั้งเค้า..
อำนาจมันจะยั่งยืนอยู่ได้ก็ด้วยการเสียสละส่วนตน..เพื่อเป็นผลิตผลของพี่น้องผองเพื่อน..อำนาจจะสถาพรอยู่ได้..แผ่นดินต้องมั่นคงพลเมืองต้องมั่งคั่ง..
แต่เรื่องราวบนแต่ละสื่อ..บนการรับรู้ของสาธารณชน..มันก็คือ..เรื่องราวเก่าๆ ความหิวโหยอย่างไม่รู้จบของวงศาคณาญาติ..
ถ้าชาติในความหมายของท่าน คือ จานอาหารและเหมืองสมบัติขนาดใหญ่..จงรับรู้ไว้บนความปราชัย
เบื้องหน้า..
คือ หายนะแบบถาวร..

โดย.พญาไม้ทูเดย์,บางกอกทูเดย์
////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันอังคารที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ธุรกิจเบียร์ไทย: กับตลาดใน อาเซียน !!?

ปัจจุบัน ธุรกิจเบียร์ไทย ต้องเผชิญแรงกดดันจากแนวโน้มการแข่งขันในตลาดทั้งจากผู้ประกอบการในประเทศและ เบียร์นำเข้า รวมทั้งการเติบโตของตลาดในประเทศที่มีการขยายตัวไม่มากนักในช่วงที่ผ่านมาและความเข้มงวดของมาตรการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในประเทศ นับว่าเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยผลักดันให้ธุรกิจเบียร์ไทยมุ่งรุกขยายตลาดในต่างประเทศ โดยเฉพาะตลาดอาเซียน ซึ่งเป็นตลาดที่มีการขยายตัวทั้งทางด้านของประชาชน และ กำลังซื้อที่จะเพิ่มสูงขึ้นภายหลังจากการรวมตัวเข้าสู่การเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC)ในปี 2558 นอกจากนี้ ตลาดเบียร์ในอาเซียนก็นับว่ายังเป็นตลาดที่มีการบริโภคต่อหัวเติบโตในอัตราที่สูงเมื่อ เทียบกับภูมิภาคอื่นๆ จึงยิ่งเป็นปัจจัยช่วยเสริมให้ตลาดเบียร์อาเซียนมีศักยภาพ ในการขยายตลาดและการลงทุนในมุมมองของผู้ประกอบการทั้งไทยและต่างชาติตลาดเบียร์ปี 2555 ขยายตัวร้อยละ 4.2 (YoY) จากกำลังซื้อของประชาชนที่เพิ่มสูงขึ้น

ภาพรวมของตลาดเบียร์ในประเทศปี2555 คาดว่าจะมีแนวโน้มสดใสกว่าในช่วง4 ปีที่ผ่านมา โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่าปริมาณจำหนำยเบียร์ในปี 2555 จะเพิ่มขึ้นสูงถึงประมาณ 2,000 ล้านลิตร หรือขยายตัวร้อยละ 14.5 (YoY) และมีมูลค่าตลาดอยู่ที่ประมาณ 125,000 ล้านบาทหรือขยายตัวร้อยละ 4.2 (YoY) โดยมีปัจจัยหนุนมาจากกำลังซื้อที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นทั้งจากภาวะเศรษฐกิจ การปรับขึ้น เงินเดือนข้าราชการและค่าแรง 300 บาท ตลอดจนแรงหนุนจากการแข่งขันฟุตบอลยูโรในปีนี้ซึ่งช่วยเพิ่มโอกาสในการทำการ ตลาดเพื่อกระตุ้นยอดขายของผู้ประกอบการ และเพิ่มโอกาสในการดื่มเบียร์ในช่วง ระหว่างที่ติดตามชมและเชียร์การแข่งขัน อย่างไรก็ตามเป็นที่นำสังเกตว่า แนวโน้มการเติบโตของตลาดเบียร์ในประเทศ จะมีรูปแบบที่ขยายตัวไปในกลุ่มเบียร์ระดับ อีโคโนมี ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีราคาขายถูกกว่ากลุ่มอื่น โดยสัดส่วนของมูลค่าตลาดเบียร์ในกลุ่มอีโคโนมีเพิ่มขึ้นจากเดิมร้อยละ 80 ในปี 2548 เป็นร้อยละ85 ในปี 2555

สำหรับทิศทางการแข่งขันของตลาดเบียร์ในอนาคต คาดว่าจะยังคงต้องเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรงอย่างต่อเนื่อง ทั้งจากผู้ประกอบการในประเทศ และเบียร์นำเข้า ที่เริ่มกลับมานำเข้าเพิ่มขึ้นในช่วงปี 2554 ซึ่งขยายตัวเพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 58 (YoY) และมีแนวโน้มที่การนำเข้าเบียรในปี 2555 จะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นโดยศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่าการนำเข้าเบียร์ในปี2555 จะมีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 10 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือขยายตัวไม่ต่ำกว่าร้อยละ 30 (YoY)

ในขณะเดียวกัน ผู้ประกอบการต้องเผชิญกับแรงกดดันจากมาตรการกฎหมายควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในประเทศที่มีความเข้มงวดมากขึ้น โดยในปัจจุบันมาตรการ ดังกล่าวครอบคลุมตั้งแต่เรื่องของการควบคุมการจำหนำย(กำหนดช่วงเวลาขาย กำหนดสถานที่ห้ามจำหนำย กำหนดระยะเวลาในการ เปิดให้บริการสถานบริการ/สถานบันเทิงที่จำหนำยเครื่องดื่มแอลกอฮอล์)การจำกัดกลุ่มผู้บริโภค(ห้ามเด็กซื้อและดื่มเครื่องดื่มแอล กอฮอล์ห้ามดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในทางสาธารณะขณะขับขี่ หรือขณะโดยสารในรถ)การควมคุมการโฆษณา (กำหนดช่วงเวลาในการโฆษณาเงื่อนไขในการโฆษณาผ่านป้ายกลางแจ้ง)ตลอดจนการควบคุมข้อความบนฉลากสินค้า(ระบุห้ามจำหนำยแก่เด็กอายุต่ำกว่า 18 ปีระบุคำเตือนเรื่องความสามารถในการขับขี่ในขณะเมาสุรา)อาเซียน…ตลาดเป้าหมายของผู้ประกอบการในธุรกิจเบียร์

อาเซียน นับว่าเป็นอีกหนึ่งตลาดที่น่าสนใจและมีศักยภาพสูงในการขยายตลาดในมุมมองของผู้ประกอบการเบียร์ทั้งไทยอาเซียน รวมไปถึงผู้ผลิตเบียร์ชั้นนำในระดับโลกโดยมีปัจจัยสนับสนุนดังนี้
ปริมาณการบริโภคเบียร์ต่อหัวในอาเซียนมีแนวโน้มขยายตัวค่อนข้างสูง แม้ว่าการบริโภคต่อหัวในปี 2553 จะมีปริมาณเพียง 11 ลิตรต่อคนต่อปี แต่หากพิจารณาอัตราการขยายตัวในการบริโภคนับว่าเป็นอัตราที่สูงถึงร้อยละ 6 ซึ่งนับว่าเป็นอัตราการขยายตัวที่ค่อนข้างสูงหากเทียบกับภูมิภาคอื่นๆ โดยเฉพาะในทวีปอเมริกาและยุโรปที่มีฐานการบริโภคเบียร์ค่อนข้างใหญ่ และแนวโน้มการบริโภคเบียร์ชะลอลงด้วยเหตุนี้ ทำให้การขยายตลาดไปยังอาเซียนจึงสามารถทำได้ง่ายกว่าภูมิภาคอื่นๆ

การขยายตัวของจำนวนประชากรในอาเซียน ปัจจุบันจำนวนประชากรในอาเซียนมีประมาณ 612 ล้านคน ขยายตัวโดยเฉลี่ยร้อยละ 1.2 ต่อปี (ข้อมูลจาก United nation)ซึ่งนับว่ามีการเพิ่มขึ้นของประชากรมากกว่าประเทศในกลุ่มพัฒนาแล้ว เช่น ทวีปยุโรป อเมริกาเหนือ นอกจากนี้ โครงสร้างประชากรของอาเซียน ส่วนใหญ่ประมาณ400 ล้านคน เป็นประ ชากรในวัยทำงาน(อายุ 15-60) ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูงและเป็นกลุ่มผู้บริโภคหลักในสินค้าเบียร์ด้วยเหตุนี้ จึงยิ่งเสริมให้อาเซียนเป็นตลาดที่น่าสนใจของผู้ประ กอบการธุรกิจเบียร์และเครื่องดื่มแอลกฮอล์อื่นๆ มากยิ่งขึ้น

การรวมตัวกันเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) เป็นปัจจัยหนึ่งที่ช่วยลดอุปสรรคด้านการค้าต่างๆ เช่น การเก็บภาษีศุลกากรขาเข้า การเพิ่มความ สะดวกในกระบวนการทางศุลกากร รวมถึงการผ่อนปรนกฎระเบียบทางด้านการลงทุน ซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาสในการเข้าไปทำตลาดภายในกลุ่มประเทศสมาชิกอาเซียนเพิ่มมากขึ้น

ข้อได้เปรียบด้านภูมิศาสตร์ ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางของอาเซียน และมีพรมแดนติดกับกลุ่มประเทศ CLMV ประกอบกับการมีโครงการพัฒนาเส้นทางคมนาคมขนส่งเชื่อมโยงระหว่างประเทศซึ่งจะเสริมให้การคมนาคมขนส่งเชื่อมถึง กันทั้งทางบกทางน้ำ ช่วยเพิ่มจุดแข็งจากข้อได้เปรียบทางด้านต้นทุนการขนส่งกระจายสินค้าและลดระยะเวลาการขนส่งสินค้าภายในอาเซียนโดยเฉพาะกลุ่มประเทศ CLMV ที่มีพรมแดนติดกับไทย

อย่างไรก็ตาม การที่ผู้ประกอบการเบียร์ไทยจะเข้าไปมีบทบาทในตลาดเบียร์อาเซียนเพิ่มขึ้น ลำพังเพียงการส่งออกสินค้าไปจำหนำย อาจจะยังไม่เพียงพอที่จะช่วงชิงโอกาสด้านการตลาด เนื่องจากข้อจำกัดต่างๆ อาทิ สินค้าคู่แข่งจากประเทศอื่นๆ ที่เข้ามาแข่งขัน รวมทั้งสินค้าเบียร์ท้องถิ่นที่ครองส่วนแบ่งตลาดค่อนข้าง สูงในตลาด ดังนั้น ผู้ประกอบการจึงจำเป็นต้องใช้วิธีการ/กลยุทธ์อื่นๆ เข้ามาเสริมเพื่อเพิ่มศักยภาพการแข่งขัน อาทิ การเข้าไปลงทุนตั้งโรงงานผลิตเบียร์ในประเทศอาเซียนที่มีศักยภาพเพื่อลดต้นทุน รวมทั้งดำเนินกิจกรรมส่งเสริมการตลาดอย่างเต็มที่ หรือการเข้าไปควบรวมหรือซื้อกิจการ หรือลงทุนร่วมกับธุรกิจท้องถิ่น เพื่อให้ได้ผู้ร่วมทุนที่มีความรู้ ความเชี่ยวชาญด้านการตลาดรวมทั้งความแข็งแกร่งทางด้านเครือข่ายการจัดจำหนำย/กระจายสินค้าไปสู่ร้านค้าหรือผู้บริโภค ซึ่งคาดว่าแนวทางการดำเนินธุรกิจรูปแบบดังกล่าว จะมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นก่อนที่จะเกิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน

ที่มา : ศูนย์วิจัยกสิกรไทย (สยามรัฐ)
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++