สุดท้ายเพื่อประโยชน์ของชาติ ของแผ่นดิน ต้องหันหลังกลับ มาจับกันแน่นอน
ไชโยโห่ฮิ้วสุดลิ่มทิ่มประตู กับข่าวลับข่าวล่า มาล่าสุด ว่า “ป๋าเปรม” พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี รัฐบุรุษ และ “อดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตร” กลับมาชื่นมื่นเหมือนเก่า
ทุกอย่างแฮปปี้เอนดิ้ง ราบรื่น ไปด้วยดี เหมือนยืนอยู่บนเนินเขา
เราจะได้เห็นประโยชน์ของแผ่นดิน เกี่ยวกับ “น้ำมัน” ที่ว่าแผ่นดินไทยมีมูลค่ามหาศาล ถูกจัดการมาให้คนไทยใช้ อย่างโชติช่วงชัชวาลย์ เหมือน ยุค “ป๋า” ที่ขุดก๊าซจากอ่าวไทยขึ้นมาไทย
เพื่อประโยชน์ของชาวบ้าน...จับมือประสานใจกัน..มันก็ดีอย่างนี้แหละเจ้านาย
+++++++++++++++++++++++++++++++++++
โกหกสีขาว ใส่ไคล้เขาสีดำ
“กิตติรัตน์ ณ. ระนอง” ขุนคลังและรองนายกรัฐมนตรี ตกเป็นเหยื่อในวาทะกรรม
เขาฆ่าชาวบ้านตกตายไปตามกัน ยังลอยหน้าลอยตา ว่า “ชายชุดดำ” ยิงคนตาย
เอาหลักฐานมาแฉ เอาคลิปมาโชว์..จนบัดนี้ ยังจับ “กลุ่มก่อการร้าย” ได้ที่ไหน
เรื่องกล่าวสุนทรพจน์ “ตั้งเป้า” การส่งออก ๑๕ % ... เป็นแนวทางที่ทุกรัฐบาลวางคอนเซปป์ เพื่อสร้างความมั่นใจ ให้แก่นักลงทุน
ฆ่าประชาชนตายชัด ๆ ... หลักฐานมีมัด... เมื่อไหร่จะหัดรับผิดชอบมั่งล่ะคุณ
++++++++++++++++++++++++++++
กรรมตามสนอง
“ท่านชวน หลีกภัย”, “ท่านบัญญัติ บรรทัดฐาน” ๒ บิ๊กอาวุโสคนโต พรรคประชาธิปัตย์ ลงพื้นที่ใด ..ไม่มีคนเสื้อแดงไปขับไล่ จริงมั้ยพ่อแม่พี่น้อง
“อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ควรสำรวจเอกซเรย์ผลงานของตัวเองมั่ง..ทำไม๊..ทำไม ประชาชนพี่น้องชาวเสื้อแดง ถึงได้ราวีไม่ลดละ
เลิกขี่ม้าสามศอก ไปร้องทุกข์กับ “บิ๊กอู๋” พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ว่าที่ ผบ.ตร. และ “อภิชาต สุขัคคานนท์” ประธาน กตต. ผู้มีชื่อเล่นสารพัดชื่อเล่นว่า “หมู-ช้างน้ำ-ตุ่ม-ตุ้ยนุ้ย” ตามแต่เพื่อนนักเรียนเบญจมราชูทิศ ราชบุรี จะเรียกกันฮะ
ถ้าไม่มีวีรกรรม เป็นที่สะเทือนขวัญ ใครจะเป็น “ปรปักษ์” ตามจี้เพื่อเอาผิด ทุกวัน
“ท่านชวน-ท่านบัญญัติ”...เป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์..มีใครด่ากราดที่ไหนกัน
+++++++++++++++++++++++++++++++
ได้ทีเป็นขยับ สับรัฐบาล
ดีเด่มาจากไหนกัน?.. “นายนิพนธ์ พัวพงศกร” ประธานทีดีอาร์ไอ ขึงขัง ว่านโนบายรับจำนำข้าว เกือบ ๓ แสนล้านบาท ของ “นายกฯ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” โกงกินกัน
ตัวเองคือ “สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย” ยังเป็น “ลูกแหง่” ไม่โตเสียที
แบมือขอ “งบประมาณ” จาก “รัฐบาล” แต่ทำมา ปากดี
หน่วยงานสถานบันวิจัยแห่งนี้ “ทีดีอาร์ไอ” คือต้นแบบที่วางกรอบเศรษฐกิจ..เมื่อไหร่ที่ “พรรคประชาธิปัตย์” เป็นรัฐบาล ก็ก๊อปปี้ โรเนียว เอาพิมพ์เขียว มาใช้กันเสร็จสรรพ
แต่รัฐบาลของประชาชน...เขาไม่อับจน...ใช้คนสมองเยี่ยมๆ เขียนเองขอรับ
+++++++++++++++++++++++++++++++
แพงทั้งแผ่นดิน
“มุกแป๊ก” ที่ “กรณ์ จาติกวณิช” ว่าที่หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ในอนาคต ปั่นขึ้นมาแต่ล้มเหลว ทั้งสิ้น
ตีรวนไปกล่าวหา “คุณพี่อารักษ์ ชลธานนท์” แห่งกระทรวงพลังงาน ที่ปล่อยให้น้ำมันแพง จนต้นทุนปากท้องชาวบ้าน ก้าวกระโดดแพงลิบลับ
ยุค “นายกฯปู” กับ “อดีตนายกฯมาร์ค” ใครแพงกว่าครับ
นโยบาย ๙๙ วันทำได้...ที่ประกาศสัจจะวาจา ว่าจะไม่เก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมัน..แต่ก็เก็บกันตะบันลาก หายห่วง
ด่าแบบเอามันส์...ชาวบ้านเซ็งกัน...ทุกวันคะแนนศรัทธาประชาธิปัตย์ ยิ่งร่วง
ที่มา:ตอดนิดตอดหน่อย,บางกอกทูเดย์
//////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
วันศุกร์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2555
วันพฤหัสบดีที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2555
ทนง พิทยะ เตือนสติ รมว.คลัง ต้องไม่โกหกประชาชน !!?
ทนง. เตือนสติ กิตติรัตน์.หัวหน้าทีมเศรษฐกิจและรมว.คลัง ต้องไม่โกหกประชาชน หลังออกมายอมรับ "White lie" เพื่อสร้างความเชื่อมั่น
นายทนง พิทยะ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ให้สัมภาษณ์ รายการ "Morning News" ทาง "กรุงเทพธุรกิจทีวี" วานนนี้ (28 ส.ค.55) กรณีนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ระบุว่า การประเมินตัวเลขเศรษฐกิจ ในฐานะหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ ได้พูดโกหกสีขาว หรือ "White lie" เพื่อสร้างความเชื่อมั่น
นายทนง มีบทบาทสำคัญในหลายรัฐบาล โดยสมัย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีหลายกระทรวง จนได้รับฉายาว่าเป็น "ยาสามัญประจำบ้าน" และมีรายชื่อติดโผรัฐมนตรีมาโดยตลอด แต่นายทนงระบุว่า "เป็นยาหมดอายุ" ซึ่งปัจจุบัน ไม่ได้ดำรงตำแหน่งใดๆ ในรัฐบาลปัจจุบัน
ความเห็นของนายทนง มีประเด็นที่น่าสนใจ ดังนี้
ส่วนตัวคิดว่านายกิตติรัตน์เป็นคนตั้งใจทำงาน มีความรู้ความสามารถ แต่ผลงานที่ออกมาอาจจะต่ำกว่าที่หลายคนคาดหวังไว้ สาเหตุเพราะเกิดจากปัจจัยควบคุมไม่ได้หลายอย่าง โดยเฉพาะเรื่องของเศรษฐกิจโลกที่ตกต่ำลง ส่งผลกระทบถึงเศรษฐกิจของไทย ที่เมื่อปีที่ผ่านมา เผชิญกับปัญหาน้ำท่วม ซึ่งเป็นเรื่องปกติที่รองนายกฯ ด้านเศรษฐกิจจะต้องเหนื่อยและต้องยอมรับกับความเป็นจริง
"ท่านอาจพยายามตั้งใจทำงาน และเชื่อว่าแก้ปัญหาได้ดีกว่าที่ควรจะเป็น แต่ก็อาจทำให้ประชาชนผิดหวังบ้าง ผมคิดว่าคนที่เป็น รมว.เศรษฐกิจ ควรต้องรู้ความเป็นจริงของเศรษฐกิจโลก ต้องเรียนรู้มากๆ ต้องเข้าใจ และอธิบายให้ประชาชนทราบว่าเราอยู่ในโลกแบบไหน ไทยมีจุดด้อยอย่างไรบ้าง เพื่อที่จะพยายามแก้จุดอ่อน"
อีกจุดด้อยหนึ่งของประเทศไทย คือ เรื่องของคอร์รัปชัน ซึ่งเกิดขึ้นสูงมากเป็นที่รับรู้กันโดยทั่วไปในหมู่นักธุรกิจ แต่ไม่สามารถจับมือใครดมไม่ได้ จิตสำนึกของการแก้ปัญหาของนักการเมืองไทยน้อยเกินไป แม้ว่าไทยจะมีศักยภาพสูงที่จะแก้ปัญหาได้ดี แต่ความสนใจของนักการเมืองที่จะพัฒนาประเทศ มักจะเป็นเรื่องรองจากการที่จะหาเงินมาเพื่อพัฒนาการเมือง จุดนี้เป็นจุดที่น่ากลัวมากสำหรับประเทศไทย
"ผมรู้สึกแปลกใจ ที่มีการสำรวจข้อมูลแล้ว พบว่า คนไทย บอกว่า คอร์รัปชันไม่เป็นไร ขอให้เศรษฐกิจดี ซึ่งผมว่ามันหมดสมัยไปแล้ว เพราะว่าคอร์รัปชันสมัยก่อน เท่าที่ผมเคยสัมผัสมาเป็นการตามน้ำบ้าง คือ ผลประโยชน์ของประเทศชาติมาก่อน และค่อยตามน้ำ แต่คอร์รัปชันปัจจุบันมันทวนน้ำ เงินมาก่อน แต่ผลประโยชน์ชาติค่อยตามมา ทำให้ทุกอย่างล่าช้าออกไป การตัดสินใจก็โยนไปโยนมา ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเสียดายหากประชาชนไม่กระตือรือร้น ไม่เปลี่ยนวิธีการคิด นักธุรกิจ การเมือง ไม่เปลี่ยนวิธีคิด คิดแต่ว่าต้องหาเงินมาเพื่อต่อสู้ทางการเมือง ผมว่าเป็นอันตรายอย่างยิ่งในประเทศไทย"
หน้าที่ของ รมว.คลัง ควรมีความพยายามที่จะวีโต้ได้ในทุกๆ โครงการ โดยในสมัยที่ดำรงตำแหน่งนั้น หากโครงการไหนมีกลิ่นก็จะใช้วิธีวีโต้ ซึ่งทุกโครงการควรต้องผ่านการประมูลที่โปร่งใส และทำเพื่อผลประโยชน์ประเทศชาติมากที่สุด
กรณีการปรับเป้าการส่งออกจาก 15% เหลือเพียง 9% ด้วยว่า การกำหนดเป้าหมายเป็นเรื่องของงานวิชาการ อย่าง สศช. แบงก์ชาติ จะออกเป้าหมายทางเศรษฐกิจ เป้าหมายส่งออก เป็นเรื่องทางวิชาการปกติ แต่ในฐานะรัฐมนตรีไม่ใช่คนที่จะต้องไปนั่งคาดคะเนเป้าหมาย ในสมัยที่นั่งเป็น รมว.คลังนั้น ไม่เคยบอกว่า เป้าหมายเศรษฐกิจจะเป็นอย่างไร รู้แต่ว่าเมื่อ สศช.บอกเป้าหมายเศรษฐกิจว่าจะอยู่ในระดับ 4-5% หน้าที่ของรัฐมนตรี คือ ทำอย่างไรให้ใกล้เคียง 5% ตรงนี้ คือ ความสามารถในการบริหารประเทศ จะทำอย่างไรให้สูงกว่า หรือเท่ากับเป้าหมาย
"คนที่เป็น รมว.ต้องมานั่งดูจุดอ่อน แล้วค่อยๆ ผลักดันให้เกิด"
ประเด็นเรื่อง "White lie" นั้น นายทนง กล่าวว่า การเป็น รมว.ไม่ควรพูดโกหก แต่ควรพูดในแง่การเตือนประชาชนมากกว่าที่จะไปให้ความหวังของประชาชน โดยส่วนตัวมองว่า ไม่จำเป็นที่จะต้องโกหก เพราะ รมว.มีสิทธิที่จะพูดว่า เป้าหมายแบบนี้อยู่ในเงื่อนไขอะไรบ้าง ถ้าเป็นเงื่อนไขแบบนี้เราควรต้องเฝ้าดู และคอยเตือนประชาชนว่าสถานการณ์เริ่มแย่ลง
คือ ผมว่า ต้องคอยเตือนประชาชน หรืออธิบายให้ทราบว่า เป้าหมายอาจจะทำได้ไม่ถึง ซึ่งก็ไม่ใช่การโกหก แต่ก็ทำให้ประชาชนรับทราบสถานการณ์ความเปลี่ยนแปลงไปจากประมาณการเดิมเพราะถ้าไปบอกว่า ผมต้องทำให้ได้ มันไม่ใช่นักเศรษฐศาสตร์ แต่ว่าเรื่องนี้ ท่านอาจจะพูดตรงๆ ตามนิสัยของท่านก็ได้ อย่าไปคิดว่ามันเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่ หรือซีเรียสเกินไป หรือว่ารุนแรงเกินไป ผมว่าท่านคงพยายามพูดในแนวความคิดของท่าน ซึ่งท่านก็ไม่ได้คิดอะไร ผมเพียงแต่มองว่า ไอ้คำว่าโกหกมันไม่ควรจะใช้ ควรมีวิธีการอธิบายที่ดีกว่านั้น"
นายทนง กล่าวว่า ตอนเป็น รมว.คลังนั้น ไม่เคย "White lie" เพราะตอนที่จะลดค่าเงินบาท มีคนมาถามก็บอกว่ายังไม่ได้ทำ แม้จะมีการศึกษาของแบงก์ชาติมาระยะหนึ่งแล้ว แต่ยังไม่ถึงเวลาตัดสินใจ จะไปบอกไม่ได้ว่าได้ตัดสินใจแล้ว แต่เมื่อถึงเวลาจำเป็นต้องทำ ก็อธิบายให้เกิดความเข้าใจว่าทำไมต้องทำ
บางอย่าง เราไปบอกว่า จะทำมันจะเกิดความเสียหาย ทำให้คนเก็งกำไร รมว.คลัง พูดไม่ได้ แต่เราพูดได้ว่ามีการศึกษาเรื่องนี้อยู่ซึ่งเป็นเรื่องปกติ คนเป็น รมว.คลังจะอ่อนไหวมากในเรื่องของการแถลงการณ์ ในประเทศอื่น การแถลงการณ์ของ รมว.คลังจะเป็นทางการ เขาไม่ค่อยให้สัมภาษณ์ ไม่พยายามตอบ เพราะคนจะพยายามล้วงลูก เราเอาความลับที่เรากำลังจะทำ ให้คนรู้ มันก็จะเสียหาย เป็นเรื่องที่ต้องระวังมากๆ ในการให้สัมภาษณ์ แต่ในเรื่องความเป็นอยู่ของประชาชน ต้องให้สัมภาษณ์ว่า จะแก้ไขจะช่วยเยียวยาอย่างไร ต้องรีบทำ เพราะถือเป็นหัวใจสำคัญ"
ในการให้สัมภาษณ์ ผมคิดว่า อย่าไปถือเป็นเรื่องใหญ่ แต่ดูว่าท่านทำงาน ท่านอยากจะทำอะไรให้ประชาชน ท่านวางแผนอย่างไร มีวิสัยทัศน์อย่างไร ผมคิดว่า ท่านควรจะพูดในเรื่องของวิสัยทัศน์ของท่าน แผนงานประเทศว่า อะไรจะเกิดขึ้นในแง่ของโครงการต่างๆ ให้แล้วเสร็จเมื่อไร ตรงนั้นประชาชนจะฟัง และก็ควรพยายามผลักดันทุกกระทรวงว่าจะต้องทำให้เสร็จ อะไรที่เสร็จตามกำหนด การคอร์รัปชันจะน้อยลง"
ที่มา.ประชาชาตฺธุรกิจออนไลน์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
วันพุธที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2555
ผ่าตัดใหญ่ บิ๊กราชการ รัฐบาล..เอาอยู่ ขันน็อต กระทรวงเกรดเอ !!?
กลายเป็นว่ากระแสการปรับ ครม. “ยิ่งลักษณ์ 3” คงจะลากยาวออกไปถึงปลายเดือน ก.ย.นี้ เพราะคั่นด้วยศึกซักฟอกรัฐบาล ซึ่ง “พรรคประชาธิปัตย์” กำลังจองกฐิน “รัฐมนตรีสายล่อฟ้า” เอาไว้ในช่วงเวลาไล่เรี่ยกัน เช่นเดียวกับร่าง แก้ไขรัฐธรรมนูญที่อยู่ในช่วง “เว้นวรรค” และ “ร่างปรองดองแห่งชาติ” ที่กำลังถูก “แขวน” เอาไว้ก่อน ขณะที่การส่งการบ้าน “ผลงานรัฐบาล” ตลอดหนึ่งขวบปีที่ ได้ก้าวมา “กุมอำนาจรัฐ” ซึ่งมีการกำหนด “ยื้อคิว” แถลงผลงานไปอีกชั่วระยะ
พลันให้ “กระแสทางการเมือง” ตกอยู่ใต้ความอึมครึม ก่อนที่ “มรสุมลูกใหญ่” จะพัดโหมกระหน่ำรุนแรงในอีกไม่ช้านาน กระนั้นในช่วงเวลานี้ก็เป็นจังหวะที่ลงตัวในการ “เว้นวรรค” พักสถานการณ์ร้อนทาง การเมืองเอาไว้ก่อน เพราะยังมีประเด็นการ แต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการ “ระดับบิ๊ก” ที่ขับเคลื่อนการทำงานระดับปฏิบัติ ซึ่งจะมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในรอบหลายปี
โดยเฉพาะเก้าอี้ “เบอร์ 1” ของแต่ละกระทรวง ที่รอเกษียณอายุราชการเกือบจะ ยกแผง ซึ่งมีข่าวว่า “น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” นายกรัฐมนตรี สั่งลัดคิวแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการขึ้นมาก่อน ขีดเส้นให้จบภายในเดือน ส.ค.นี้ จากนั้นค่อยไปว่ากันเรื่องการจัดแถว “เสนาบดีปู 3”
ยิ่งการปรับโผข้าราชการระดับบิ๊กเนม ล็อตนี้ ได้มีข่าวลือสะพัดว่า ...อาจมีรายการ “ข้ามห้วย” ในหลายกระทรวง ทำให้การ “ทอดอำนาจฝ่ายข้าราชการประจำ” ดูจะเร้าอารมณ์ยิ่งไปกว่าครั้งไหนๆ ทั้งระดับปลัด กระทรวง, รองปลัดฯ, เลขาธิการ, รองเลขาธิการ, อธิบดี ตลอดจนผู้ว่าราชการจังหวัด และผู้บริหารระดับ “ซี 10” ที่นับดูคร่าวๆ แล้วมีมากกว่าร้อยเก้าอี้เลยทีเดียว ซึ่งถือว่า สูงเป็นประวัติการณ์
แยกเป็นระดับปลัดกระทรวง เกษียณ 8 คน คือ สุพัตรา ธนเสนีวัฒน์ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์, ศิลปชัย จารุเกษมรัตนะ ปลัดกระทรวงคมนาคม, จีราวรรณ บุญเพิ่ม ปลัดกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที), ยรรยง พวงราช ปลัดกระทรวงพาณิชย์, พระนาย สุวรรณรัฐ ปลัดกระทรวงมหาดไทย, พรชัย รุจิประภา ปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และ น.พ.ไพจิตร์ วราชิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข
ขณะที่ระดับรองปลัดกระทรวง เกษียณ 24 คน ระดับผู้ตรวจระดับ 10 เกษียณ 21 คน และระดับอธิบดี 26 คน ระดับผู้ว่าราชการจังหวัด 16 จังหวัด และระดับเอกอัครราชทูต 13 ตำแหน่ง ทำให้ถนนทุกสายลิ่วตรงไปที่ “ฝ่ายกุมอำนาจรัฐ” และ “คนแดนไกล” ที่วันนี้กำลัง “เล่นกำลังภายใน” กันเองระหว่าง “พี่ชาย” กับ “น้องสาว” ที่ยังมีความเห็นขัดแย้งกันอยู่ในเรื่องโผโยกย้ายข้าราชการระดับสูง โดยเฉพาะเก้าอี้ปลัดกระทรวงกลาโหม ที่กลายเป็น “ชนวนแก้วร้าว” ของสองพี่น้องตระกูลชินวัตร ที่น่าจับตาคือการ “ขันน็อต” กระทรวง คลองหลอด หลังจากมี “สัญญาณ” จากแดนไกลส่งผ่าน “ยงยุทธ วิชัยดิษฐ” รองนายกฯ และ รมว.กระทรวงมหาดไทย โดย มีเนื้อหาสรุปได้ว่า ให้เร่งจัดทำ “โผ” จัดแถว เหล่าบิ๊กข้าราชการมหาดไทยให้เสร็จสิ้นในเร็ววัน
โฟกัสไปยังเก้าอี้ “บิ๊กบอส” ของฝ่ายข้าราชการประจำ มีกระแส “ข้ามห้วย” หลุด ออกมาก่อนแล้ว ทั้ง “บิ๊กน้อย-พล.ต.อ. วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี” เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) และอดีตผู้บัญชาการ ตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ที่มีชื่อจ่อนั่งเก้าอี้ “ปลัดกระทรวงคมนาคม” ซึ่งที่ถูกยกให้เป็น “เต็งหนึ่ง” เพราะมีกระแสข่าวว่า “คนแดนไกล” เป็นผู้ติดต่อทาบทามด้วยตัวเอง โดยหวังให้ “พล.ต.อ.วิเชียร” มานั่งปลัดกระทรวงคมนาคมจนเกษียณในปี 2556
ขณะที่ “คนใน” อย่าง “สมชัย ศิริวัฒนโชค” อธิบดีกรมการขนส่งทางบก ก็ดูเข้าตา “จารุพงศ์ เรืองสุวรรณ” รมว. กระทรวง คมนาคม อีกทั้งยังเป็นสายตรงของ “ปิยะพันธ์ จัมปาสุต” อดีตอธิบดีกรมการขนส่งทางบก ที่ยังคงมี “เพาเวอร์” อยู่ในกระทรวง เป็นอย่างสูง
ด้านศึกสิงห์คลองหลอด “วิเชียร ชวลิต” ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ก็มีข่าวว่าจะได้ “คัมแบ็ก” กลับมาคั่วเก้าอี้ “ปลัดกระทรวงมหาดไทย” แซงหน้า “ประชา เตรัตน์” รองปลัดฯ เพื่อเปิดทางคืนตำแหน่ง “ปลัด พม.” ให้กับ “พนิตา กำภู ณ อยุธยา” ที่ถูกเรียกไปนั่งตบยุงในตำแหน่งที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ฝ่ายข้าราชการประจำมากว่า 3 เดือน เพื่อยุติศึก “เกาเหลา” ในพรรคเพื่อไทย
แต่กระนั้นการชิงดำปลัด มท.เวลานี้ สถานการณ์ยังคง “ไม่นิ่ง” เพราะ “ประชา เตรัตน์” ถือเป็นคู่แคนดิเดตที่เบียดกันมาอย่างคู่คี่ตลอดเวลา ยิ่งไปกว่านั้น “รองปลัด มท.” ยังมีความใกล้ชิดกับ “ยงยุทธ วิชัยดิษฐ” ค่อนข้างมาก เพราะเคยเป็น “ลูกหม้อ เก่า” เมื่อครั้ง “ยงยุทธ” ยังทำหน้าที่ปลัดกระทรวงมหาดไทย จึงมีแนวโน้มสูงยิ่งที่จะ ก้าวสู่ “เก้าอี้เบอร์ 1” ในกระทรวงคลองหลอด และหากว่ากันในเรื่องอาวุโส “ประชา” ยังถือเป็น “อาวุโสอันดับ 1” อีกด้วย แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็ขึ้นอยู่กับฝ่ายการเมืองว่าจะ “เอาใคร” ขึ้นมาครองเก้าอี้ เพราะปัจจัยสำคัญคือต้อง “เอาอยู่...!”
ด้วยเหตุนี้ อาจเป็น “ปัจจัยสำคัญ” ที่ทำให้ “วิเชียร ชวลิต” พลาดเก้าอี้ปลัด มท. เพราะยังคงมี “ชนักติดหลัง” หลังถูกเด้งข้ามห้วยมาแล้ว แถมเจ้าตัวยังเป็น “คนใกล้ชิด” เนวิน ชิดชอบ แกนนำพรรคภูมิใจไทย ที่ถูก “นายใหญ่-นายหญิง” ขึ้นบัญชีดำเอาไว้ชนิดที่ว่า “ผีไม่เผา เงาไม่เหยียบ” กันเลยทีเดียว แต่ยังแทรกชื่อของ “วิบูลย์ สงวนพงศ์” อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ลูกหม้อจากค่ายสิงห์ดำ ที่ติดโผมาเป็น “ม้าตีนปลาย”
สำหรับ “กระทรวงไอซีที” ก็เป็นที่ถูกจับตาว่าจะมี “ปลัดคนใหม่” ย้ายข้ามห้วยมาเสียบแทน โดยมีชื่อ “สุรชัย ศรีสารคาม” ผู้ว่าราชการจังหวัดนครนายก ที่เคยได้รับรางวัลนำร่อง “จังหวัดอัจฉริยะ” จากการนำความรู้ด้านไอซีทีมาบริหารจัดการจังหวัด แถมยังมี “เจ๊ดัน” อย่าง “คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์” แกนนำค่ายเพื่อไทย เจ้าของสัมปทานกระทรวงตัวจริง คอยหนุนนำ ถึงขนาดพาไปให้ “นายใหญ่” ดูตัว ที่ฮ่องกงมาแล้ว
ขณะที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้ปลัดกระทรวงคนใหม่ไปแล้ว หวยไปตกที่ “ชวลิต ชูขจร” รองปลัดฯ ที่ขึ้นเป็นปลัดกระทรวง แทน “สุพัตรา ธนเสนีวัฒน์”
ด้านกระทรวงสาธารณสุข มีคู่แคนดิเดตอย่าง “น.พ.พรเทพ ศิริวนารังสรรค์” อธิบดีกรมควบคุมโรค และ “พ.ญ.วิลาวัณย์ จึงประเสริฐ” อธิบดีกรมการแพทย์ เป็นคู่ชิงดำปลัดคนใหม่ ซึ่งรายหลังนี้เป็นที่ถูกจับตา เพราะเป็นภริยาของ “สมชัย จึงประเสริฐ” คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)
เช่นเดียวกับกรุงเทพมหานคร (กทม.) ที่ปีนี้ “เจริญรัตน์ ชูติกาญจน์” ปลัด กทม.จะเกษียณอายุราชการ โดยผู้ที่เข้าข่ายจะเข้ามานั่ง “ปลัด กทม.คนใหม่” มีที่เข้าเกณฑ์อยู่ 2 คน คือ “นินนาท ชลิตานนท์” รองปลัด กทม.ที่รับผิดชอบงานด้านบริหาร ซึ่งมีอาวุโสลำดับ 1 และเคยเป็นแคนดิเดตชิงตำแหน่งปลัด กทม.มาแล้วครั้งหนึ่งเมื่อ 2 ปีก่อน ส่วนอีกคนที่ติดอยู่ในโผ คือ “จุมพล สำเภาพล” รองปลัด กทม.ที่รับผิดชอบงานด้านโยธา แต่อาจเป็นรองอยู่บ้าง เพราะเพิ่ง ขึ้นเป็นรองปลัดฯ เมื่อปีกลายที่ผ่านมา
ถือเป็นการ “ผ่าตัดใหญ่” ในฝ่ายข้าราชการที่ประจวบเหมาะกับ “จังหวะเวลา” การเกษียณอายุราชการของ “ระดับปลัดกระทรวง” และ “ข้าราชการระดับสูง” จำนวนมาก ซึ่งครั้งนี้นับได้ว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในระบบราชการไทย
แม้ว่า “รัฐบาล” จะพยายามนำร่อง! ชูภาพนักบริหารคนรุ่นใหม่เข้ามา ทว่าใน บางกระทรวงได้ถูกแค่นเสียงว่า “สายการเมือง” ส่งเข้าประกวดแทบทั้งสิ้น และยังคั่นด้วย “วาระร้อน” ....ย้ายข้ามห้วย “บิ๊กข้าราชการ” ในหลายกระทรวง แต่ทั้งหมดทั้งปวง ยังมิใช่ “คำตอบสุดท้าย” เพราะจากนี้ไป คงจะมีการ “เขย่า” คนกันอีกครั้งหนึ่งในโผรอบใหม่ ซึ่งเหล่าบิ๊ก เนมในกระทรวงต่างลุ้นระทึก เพราะในฤดู โยกย้ายทุกรอบ ชิวิตข้าราชการต่างหวัง ไกลถึงเป้าหมายสูงสุด...มุ่งคว้าดาวเพียง ดวงเดียวอย่างเก้าอี้ปลัดกระทรวง?!!
ที่มา.สยามธุรกิจออนไลน์
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
พลันให้ “กระแสทางการเมือง” ตกอยู่ใต้ความอึมครึม ก่อนที่ “มรสุมลูกใหญ่” จะพัดโหมกระหน่ำรุนแรงในอีกไม่ช้านาน กระนั้นในช่วงเวลานี้ก็เป็นจังหวะที่ลงตัวในการ “เว้นวรรค” พักสถานการณ์ร้อนทาง การเมืองเอาไว้ก่อน เพราะยังมีประเด็นการ แต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการ “ระดับบิ๊ก” ที่ขับเคลื่อนการทำงานระดับปฏิบัติ ซึ่งจะมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในรอบหลายปี
โดยเฉพาะเก้าอี้ “เบอร์ 1” ของแต่ละกระทรวง ที่รอเกษียณอายุราชการเกือบจะ ยกแผง ซึ่งมีข่าวว่า “น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” นายกรัฐมนตรี สั่งลัดคิวแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการขึ้นมาก่อน ขีดเส้นให้จบภายในเดือน ส.ค.นี้ จากนั้นค่อยไปว่ากันเรื่องการจัดแถว “เสนาบดีปู 3”
ยิ่งการปรับโผข้าราชการระดับบิ๊กเนม ล็อตนี้ ได้มีข่าวลือสะพัดว่า ...อาจมีรายการ “ข้ามห้วย” ในหลายกระทรวง ทำให้การ “ทอดอำนาจฝ่ายข้าราชการประจำ” ดูจะเร้าอารมณ์ยิ่งไปกว่าครั้งไหนๆ ทั้งระดับปลัด กระทรวง, รองปลัดฯ, เลขาธิการ, รองเลขาธิการ, อธิบดี ตลอดจนผู้ว่าราชการจังหวัด และผู้บริหารระดับ “ซี 10” ที่นับดูคร่าวๆ แล้วมีมากกว่าร้อยเก้าอี้เลยทีเดียว ซึ่งถือว่า สูงเป็นประวัติการณ์
แยกเป็นระดับปลัดกระทรวง เกษียณ 8 คน คือ สุพัตรา ธนเสนีวัฒน์ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์, ศิลปชัย จารุเกษมรัตนะ ปลัดกระทรวงคมนาคม, จีราวรรณ บุญเพิ่ม ปลัดกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที), ยรรยง พวงราช ปลัดกระทรวงพาณิชย์, พระนาย สุวรรณรัฐ ปลัดกระทรวงมหาดไทย, พรชัย รุจิประภา ปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และ น.พ.ไพจิตร์ วราชิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข
ขณะที่ระดับรองปลัดกระทรวง เกษียณ 24 คน ระดับผู้ตรวจระดับ 10 เกษียณ 21 คน และระดับอธิบดี 26 คน ระดับผู้ว่าราชการจังหวัด 16 จังหวัด และระดับเอกอัครราชทูต 13 ตำแหน่ง ทำให้ถนนทุกสายลิ่วตรงไปที่ “ฝ่ายกุมอำนาจรัฐ” และ “คนแดนไกล” ที่วันนี้กำลัง “เล่นกำลังภายใน” กันเองระหว่าง “พี่ชาย” กับ “น้องสาว” ที่ยังมีความเห็นขัดแย้งกันอยู่ในเรื่องโผโยกย้ายข้าราชการระดับสูง โดยเฉพาะเก้าอี้ปลัดกระทรวงกลาโหม ที่กลายเป็น “ชนวนแก้วร้าว” ของสองพี่น้องตระกูลชินวัตร ที่น่าจับตาคือการ “ขันน็อต” กระทรวง คลองหลอด หลังจากมี “สัญญาณ” จากแดนไกลส่งผ่าน “ยงยุทธ วิชัยดิษฐ” รองนายกฯ และ รมว.กระทรวงมหาดไทย โดย มีเนื้อหาสรุปได้ว่า ให้เร่งจัดทำ “โผ” จัดแถว เหล่าบิ๊กข้าราชการมหาดไทยให้เสร็จสิ้นในเร็ววัน
โฟกัสไปยังเก้าอี้ “บิ๊กบอส” ของฝ่ายข้าราชการประจำ มีกระแส “ข้ามห้วย” หลุด ออกมาก่อนแล้ว ทั้ง “บิ๊กน้อย-พล.ต.อ. วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี” เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) และอดีตผู้บัญชาการ ตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ที่มีชื่อจ่อนั่งเก้าอี้ “ปลัดกระทรวงคมนาคม” ซึ่งที่ถูกยกให้เป็น “เต็งหนึ่ง” เพราะมีกระแสข่าวว่า “คนแดนไกล” เป็นผู้ติดต่อทาบทามด้วยตัวเอง โดยหวังให้ “พล.ต.อ.วิเชียร” มานั่งปลัดกระทรวงคมนาคมจนเกษียณในปี 2556
ขณะที่ “คนใน” อย่าง “สมชัย ศิริวัฒนโชค” อธิบดีกรมการขนส่งทางบก ก็ดูเข้าตา “จารุพงศ์ เรืองสุวรรณ” รมว. กระทรวง คมนาคม อีกทั้งยังเป็นสายตรงของ “ปิยะพันธ์ จัมปาสุต” อดีตอธิบดีกรมการขนส่งทางบก ที่ยังคงมี “เพาเวอร์” อยู่ในกระทรวง เป็นอย่างสูง
ด้านศึกสิงห์คลองหลอด “วิเชียร ชวลิต” ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ก็มีข่าวว่าจะได้ “คัมแบ็ก” กลับมาคั่วเก้าอี้ “ปลัดกระทรวงมหาดไทย” แซงหน้า “ประชา เตรัตน์” รองปลัดฯ เพื่อเปิดทางคืนตำแหน่ง “ปลัด พม.” ให้กับ “พนิตา กำภู ณ อยุธยา” ที่ถูกเรียกไปนั่งตบยุงในตำแหน่งที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ฝ่ายข้าราชการประจำมากว่า 3 เดือน เพื่อยุติศึก “เกาเหลา” ในพรรคเพื่อไทย
แต่กระนั้นการชิงดำปลัด มท.เวลานี้ สถานการณ์ยังคง “ไม่นิ่ง” เพราะ “ประชา เตรัตน์” ถือเป็นคู่แคนดิเดตที่เบียดกันมาอย่างคู่คี่ตลอดเวลา ยิ่งไปกว่านั้น “รองปลัด มท.” ยังมีความใกล้ชิดกับ “ยงยุทธ วิชัยดิษฐ” ค่อนข้างมาก เพราะเคยเป็น “ลูกหม้อ เก่า” เมื่อครั้ง “ยงยุทธ” ยังทำหน้าที่ปลัดกระทรวงมหาดไทย จึงมีแนวโน้มสูงยิ่งที่จะ ก้าวสู่ “เก้าอี้เบอร์ 1” ในกระทรวงคลองหลอด และหากว่ากันในเรื่องอาวุโส “ประชา” ยังถือเป็น “อาวุโสอันดับ 1” อีกด้วย แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็ขึ้นอยู่กับฝ่ายการเมืองว่าจะ “เอาใคร” ขึ้นมาครองเก้าอี้ เพราะปัจจัยสำคัญคือต้อง “เอาอยู่...!”
ด้วยเหตุนี้ อาจเป็น “ปัจจัยสำคัญ” ที่ทำให้ “วิเชียร ชวลิต” พลาดเก้าอี้ปลัด มท. เพราะยังคงมี “ชนักติดหลัง” หลังถูกเด้งข้ามห้วยมาแล้ว แถมเจ้าตัวยังเป็น “คนใกล้ชิด” เนวิน ชิดชอบ แกนนำพรรคภูมิใจไทย ที่ถูก “นายใหญ่-นายหญิง” ขึ้นบัญชีดำเอาไว้ชนิดที่ว่า “ผีไม่เผา เงาไม่เหยียบ” กันเลยทีเดียว แต่ยังแทรกชื่อของ “วิบูลย์ สงวนพงศ์” อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ลูกหม้อจากค่ายสิงห์ดำ ที่ติดโผมาเป็น “ม้าตีนปลาย”
สำหรับ “กระทรวงไอซีที” ก็เป็นที่ถูกจับตาว่าจะมี “ปลัดคนใหม่” ย้ายข้ามห้วยมาเสียบแทน โดยมีชื่อ “สุรชัย ศรีสารคาม” ผู้ว่าราชการจังหวัดนครนายก ที่เคยได้รับรางวัลนำร่อง “จังหวัดอัจฉริยะ” จากการนำความรู้ด้านไอซีทีมาบริหารจัดการจังหวัด แถมยังมี “เจ๊ดัน” อย่าง “คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์” แกนนำค่ายเพื่อไทย เจ้าของสัมปทานกระทรวงตัวจริง คอยหนุนนำ ถึงขนาดพาไปให้ “นายใหญ่” ดูตัว ที่ฮ่องกงมาแล้ว
ขณะที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้ปลัดกระทรวงคนใหม่ไปแล้ว หวยไปตกที่ “ชวลิต ชูขจร” รองปลัดฯ ที่ขึ้นเป็นปลัดกระทรวง แทน “สุพัตรา ธนเสนีวัฒน์”
ด้านกระทรวงสาธารณสุข มีคู่แคนดิเดตอย่าง “น.พ.พรเทพ ศิริวนารังสรรค์” อธิบดีกรมควบคุมโรค และ “พ.ญ.วิลาวัณย์ จึงประเสริฐ” อธิบดีกรมการแพทย์ เป็นคู่ชิงดำปลัดคนใหม่ ซึ่งรายหลังนี้เป็นที่ถูกจับตา เพราะเป็นภริยาของ “สมชัย จึงประเสริฐ” คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)
เช่นเดียวกับกรุงเทพมหานคร (กทม.) ที่ปีนี้ “เจริญรัตน์ ชูติกาญจน์” ปลัด กทม.จะเกษียณอายุราชการ โดยผู้ที่เข้าข่ายจะเข้ามานั่ง “ปลัด กทม.คนใหม่” มีที่เข้าเกณฑ์อยู่ 2 คน คือ “นินนาท ชลิตานนท์” รองปลัด กทม.ที่รับผิดชอบงานด้านบริหาร ซึ่งมีอาวุโสลำดับ 1 และเคยเป็นแคนดิเดตชิงตำแหน่งปลัด กทม.มาแล้วครั้งหนึ่งเมื่อ 2 ปีก่อน ส่วนอีกคนที่ติดอยู่ในโผ คือ “จุมพล สำเภาพล” รองปลัด กทม.ที่รับผิดชอบงานด้านโยธา แต่อาจเป็นรองอยู่บ้าง เพราะเพิ่ง ขึ้นเป็นรองปลัดฯ เมื่อปีกลายที่ผ่านมา
ถือเป็นการ “ผ่าตัดใหญ่” ในฝ่ายข้าราชการที่ประจวบเหมาะกับ “จังหวะเวลา” การเกษียณอายุราชการของ “ระดับปลัดกระทรวง” และ “ข้าราชการระดับสูง” จำนวนมาก ซึ่งครั้งนี้นับได้ว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในระบบราชการไทย
แม้ว่า “รัฐบาล” จะพยายามนำร่อง! ชูภาพนักบริหารคนรุ่นใหม่เข้ามา ทว่าใน บางกระทรวงได้ถูกแค่นเสียงว่า “สายการเมือง” ส่งเข้าประกวดแทบทั้งสิ้น และยังคั่นด้วย “วาระร้อน” ....ย้ายข้ามห้วย “บิ๊กข้าราชการ” ในหลายกระทรวง แต่ทั้งหมดทั้งปวง ยังมิใช่ “คำตอบสุดท้าย” เพราะจากนี้ไป คงจะมีการ “เขย่า” คนกันอีกครั้งหนึ่งในโผรอบใหม่ ซึ่งเหล่าบิ๊ก เนมในกระทรวงต่างลุ้นระทึก เพราะในฤดู โยกย้ายทุกรอบ ชิวิตข้าราชการต่างหวัง ไกลถึงเป้าหมายสูงสุด...มุ่งคว้าดาวเพียง ดวงเดียวอย่างเก้าอี้ปลัดกระทรวง?!!
ที่มา.สยามธุรกิจออนไลน์
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
บทเรียน:พลังเสื้อแดง !!?
ศาลไม่ถอนประกันแกนนำเสื้อแดงเกือบทั้งหมด เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เว้นนาย ยศวริศ ชูกล่อม หรือ เจ๋ง ดอกจิก ที่รับกรรมแต่ผู้เดียว ต้องถูกจำขังเพราะสาเหตุ ขึ้นเวทีช่วงวิพากษ์ศาลรัฐธรรมนูญ แล้วดันไปเอาชื่อ-สถานที่-เบอร์โทรศัพท์ของคณะ ตุลาการรัฐธรรมนูญเปิดเผยบนเวทีปราศรัย
เท่ากับเข้าข่าย ข่มขู่ คุกคามและสร้างความปั่นป่วนวุ่นวายวิถีชีวิตปกติของ ครอบครัวตุลาการคงเป็นที่สะใจของมวลชนเสื้อเหลือง และเสื้อสีฟ้าประชาธิปัตย์ ซึ่งถนัด “สงครามปาก” ที่ไม่ว่าจะพูดทั้งในสภาและนอกสภาอย่างแสบคัน เจ็บกระดองใจ ใครแค่ไหน ก็มักรอดตัวจากการถูกกล่าวหาทุกที
เว้นแต่แกนนำเสื้อเหลืองอย่าง สนธิ ลิ้มทองกุล ที่ดูมีลีลาเก่งกาจและยกเมฆพลิกมุมได้คมคายไม่น้อย แต่บนเวทีตุลาการ สนธิ ก็ถูกลงโทษให้แพ้คดีขั้นจำคุก เป็นระยะๆ
นอกจากต้องระวังภัยอย่างหนัก เพราะเคยถูก “ใบสั่งฆ่า” และรอดมาได้อย่างเหลือเชื่อแล้ว สนธิยังมีชนักในศาลอีกมากที่ไม่เพียงน่ากลัวอย่างคดีก่อการร้าย...แต่คดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพที่ดันไปขยายความของ “ดา ตอร์ปิโด” พูดเรื่องเดียวกัน จนดา ตอร์ปิโด ถูกตัดสินจำคุกไปนานแล้ว
แต่สนธิกลับ “ลอยชาย” ไม่ถูกจำคุกตามเวลาและกรรมเดียวกัน อันทำให้ประชาชนทั่วไปกังขาถึงระบบยุติธรรม 2 มาตรฐาน แน่นอนประชาชนย่อมสงสัยอย่างบริสุทธิ์ใจต่อไปว่า “อำนาจนอกระบบ” มีจริง?
พรรคประชาธิปัตย์นั้นอ่านเกมการเมืองได้ถูกเป้า แต่ดันเป็นเป้า “นอกสภา” ที่พรรคการเมืองไม่ควรเป็นตัวอย่าง “ตามก้น” ม็อบเสื้อเหลืองหรือเสื้อแดง แต่เมื่อวิเคราะห์แล้วเห็นทีนิ่งเฉยไม่ได้อีก จึงตัดสินใจเปิดเวทีปราศรัยใช้วาจาคารมอันคมกริบที่ตัวเองถนัด ควบคู่ไปกับใช้สื่อโทรทัศน์ “บลูสกาย” ขยายผล เดินตามเกมมวลชนคนเสื้อแดงหน้าตาเฉย
ประชาธิปัตย์อาจไม่ยี่หระกับกลยุทธ์ “ลุยนอกสภา” เพราะแม้แต่ในสภา ก็ได้สร้างประวัติศาสตร์ “พาเก้าอี้ประธานหนี กระชากประธานบนบัลลังก์ คลั่ง ปาแฟ้มกลางสภา” ประจานตัวเอง โดยคิดว่า “คุ้ม” กับคุณธรรมจริยธรรมที่บัณฑิตทางการเมืองไม่พึงเป็นแบบอย่าง ก็กล้าแสดงบทถ่อยเถื่อนมาแล้วก็แล้วแต่วิจารณญาณของประชาชนว่า จะไม่ไว้วางใจพฤติกรรมพรรคการเมือง เช่นนี้อีกนานเท่าใด
แต่ภาพม็อบเสื้อแดง ซึ่งยกระดับต่อสู้จน “ก้าวข้าม” พรรคการเมืองไปอย่างมีพลังเข้มแข็งมากยิ่งกว่าพรรคใหญ่อย่างประชาธิปัตย์ กลับอ่อนหัดจนกลายเป็น “จุดตาย” ที่แกนนำเสื้อแดงหลายคน “สอบตก” ด้านวาทกรรมที่ใส่สีแสนทื่อ ก้าวร้าว กร้าวกร่าง และหยาบคายในหลายโอกาส
เนื่องเพราะการก่อตัวของมวลชนเกิดขึ้นโดยขาดกระบวนการคัดกรอง ด้านการพูดในที่สาธารณะในที่สุดการพูด “ร้ายเดียงสา” อย่าง “เจ๋ง ดอกจิก” และอีกหลายคน ก็ถูก “นักการเมืองหัวหมอ” อย่างประชาธิปัตย์หยิบเอาไปเล่นงานทางกฎหมาย กลายเป็น “เหยื่ออันโอชะ” เมื่อผสมกับ “ตุลาการภิวัตน์” ที่บรรเลงเพลงเดียวกับพรรคเก่า...มีหรือที่ “มวลชนอ่อนหัด” จะไม่ถูก “กุดหัว” เข้าคุกทีละหัวสองหัวเพราะการรวมกลุ่มอย่างมีพลังที่สุดของมวลชนคนเสื้อแดง แต่แกนนำก็ยัง “ไม่พัฒนา” บุคลากรหรือคัดคนเป็น “นักพูด” มีฝีปากคมได้ ทั้งๆ ที่มีคนเก่งอยู่ไม่น้อย เรียกว่า “คนเก่งไม่ได้พูด คนพูดดันเก่งพูดเรียกแขก” ไปเสียทุกคราฝ่ายเปลี่ยนเร็วคือประชาธิปัตย์ที่ล้อเกมเสื้อแดง
รวมทั้งแอบตั้งโรงเรียนการเมืองได้ผลทีละคืบทีละพื้นที่โดยฝีมือ สุเทพ เทือกสุบรรณ กำลังปลื้มกับ ผลงานอย่างเงียบๆ
แต่ฝ่ายที่เพลี่ยงพล้ำกลายเป็นมวลชนเสื้อแดง ที่แม้แต่สื่อโทรทัศน์อย่าง “เอเชีย อัพเดท” ก็ชักไม่อัพเดต แถมสื่อ “ความจริงวันนี้” ก็ล้มหายตายไปจากมือผู้อ่านระดับ “พ่อยกแม่ยก” นับหมื่นนานแล้วมวลชนเสื้อแดงจะรู้จักประเมินตัวเองมั่งหรือไม่.. “เจ๋ง ดอกจิก” จะเป็น บทเรียนตัวอย่างแค่ไหน ย่อมแล้วแต่ “สำนึกแห่งพลังมวลชน” ว่าควรจะรักษา ความเข้มแข็งอย่างไร เพื่อประชาธิปไตย หรือเพื่ออะไรกันแน่?
ที่มา.สยามธุรกิจออนไลน์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
เท่ากับเข้าข่าย ข่มขู่ คุกคามและสร้างความปั่นป่วนวุ่นวายวิถีชีวิตปกติของ ครอบครัวตุลาการคงเป็นที่สะใจของมวลชนเสื้อเหลือง และเสื้อสีฟ้าประชาธิปัตย์ ซึ่งถนัด “สงครามปาก” ที่ไม่ว่าจะพูดทั้งในสภาและนอกสภาอย่างแสบคัน เจ็บกระดองใจ ใครแค่ไหน ก็มักรอดตัวจากการถูกกล่าวหาทุกที
เว้นแต่แกนนำเสื้อเหลืองอย่าง สนธิ ลิ้มทองกุล ที่ดูมีลีลาเก่งกาจและยกเมฆพลิกมุมได้คมคายไม่น้อย แต่บนเวทีตุลาการ สนธิ ก็ถูกลงโทษให้แพ้คดีขั้นจำคุก เป็นระยะๆ
นอกจากต้องระวังภัยอย่างหนัก เพราะเคยถูก “ใบสั่งฆ่า” และรอดมาได้อย่างเหลือเชื่อแล้ว สนธิยังมีชนักในศาลอีกมากที่ไม่เพียงน่ากลัวอย่างคดีก่อการร้าย...แต่คดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพที่ดันไปขยายความของ “ดา ตอร์ปิโด” พูดเรื่องเดียวกัน จนดา ตอร์ปิโด ถูกตัดสินจำคุกไปนานแล้ว
แต่สนธิกลับ “ลอยชาย” ไม่ถูกจำคุกตามเวลาและกรรมเดียวกัน อันทำให้ประชาชนทั่วไปกังขาถึงระบบยุติธรรม 2 มาตรฐาน แน่นอนประชาชนย่อมสงสัยอย่างบริสุทธิ์ใจต่อไปว่า “อำนาจนอกระบบ” มีจริง?
พรรคประชาธิปัตย์นั้นอ่านเกมการเมืองได้ถูกเป้า แต่ดันเป็นเป้า “นอกสภา” ที่พรรคการเมืองไม่ควรเป็นตัวอย่าง “ตามก้น” ม็อบเสื้อเหลืองหรือเสื้อแดง แต่เมื่อวิเคราะห์แล้วเห็นทีนิ่งเฉยไม่ได้อีก จึงตัดสินใจเปิดเวทีปราศรัยใช้วาจาคารมอันคมกริบที่ตัวเองถนัด ควบคู่ไปกับใช้สื่อโทรทัศน์ “บลูสกาย” ขยายผล เดินตามเกมมวลชนคนเสื้อแดงหน้าตาเฉย
ประชาธิปัตย์อาจไม่ยี่หระกับกลยุทธ์ “ลุยนอกสภา” เพราะแม้แต่ในสภา ก็ได้สร้างประวัติศาสตร์ “พาเก้าอี้ประธานหนี กระชากประธานบนบัลลังก์ คลั่ง ปาแฟ้มกลางสภา” ประจานตัวเอง โดยคิดว่า “คุ้ม” กับคุณธรรมจริยธรรมที่บัณฑิตทางการเมืองไม่พึงเป็นแบบอย่าง ก็กล้าแสดงบทถ่อยเถื่อนมาแล้วก็แล้วแต่วิจารณญาณของประชาชนว่า จะไม่ไว้วางใจพฤติกรรมพรรคการเมือง เช่นนี้อีกนานเท่าใด
แต่ภาพม็อบเสื้อแดง ซึ่งยกระดับต่อสู้จน “ก้าวข้าม” พรรคการเมืองไปอย่างมีพลังเข้มแข็งมากยิ่งกว่าพรรคใหญ่อย่างประชาธิปัตย์ กลับอ่อนหัดจนกลายเป็น “จุดตาย” ที่แกนนำเสื้อแดงหลายคน “สอบตก” ด้านวาทกรรมที่ใส่สีแสนทื่อ ก้าวร้าว กร้าวกร่าง และหยาบคายในหลายโอกาส
เนื่องเพราะการก่อตัวของมวลชนเกิดขึ้นโดยขาดกระบวนการคัดกรอง ด้านการพูดในที่สาธารณะในที่สุดการพูด “ร้ายเดียงสา” อย่าง “เจ๋ง ดอกจิก” และอีกหลายคน ก็ถูก “นักการเมืองหัวหมอ” อย่างประชาธิปัตย์หยิบเอาไปเล่นงานทางกฎหมาย กลายเป็น “เหยื่ออันโอชะ” เมื่อผสมกับ “ตุลาการภิวัตน์” ที่บรรเลงเพลงเดียวกับพรรคเก่า...มีหรือที่ “มวลชนอ่อนหัด” จะไม่ถูก “กุดหัว” เข้าคุกทีละหัวสองหัวเพราะการรวมกลุ่มอย่างมีพลังที่สุดของมวลชนคนเสื้อแดง แต่แกนนำก็ยัง “ไม่พัฒนา” บุคลากรหรือคัดคนเป็น “นักพูด” มีฝีปากคมได้ ทั้งๆ ที่มีคนเก่งอยู่ไม่น้อย เรียกว่า “คนเก่งไม่ได้พูด คนพูดดันเก่งพูดเรียกแขก” ไปเสียทุกคราฝ่ายเปลี่ยนเร็วคือประชาธิปัตย์ที่ล้อเกมเสื้อแดง
รวมทั้งแอบตั้งโรงเรียนการเมืองได้ผลทีละคืบทีละพื้นที่โดยฝีมือ สุเทพ เทือกสุบรรณ กำลังปลื้มกับ ผลงานอย่างเงียบๆ
แต่ฝ่ายที่เพลี่ยงพล้ำกลายเป็นมวลชนเสื้อแดง ที่แม้แต่สื่อโทรทัศน์อย่าง “เอเชีย อัพเดท” ก็ชักไม่อัพเดต แถมสื่อ “ความจริงวันนี้” ก็ล้มหายตายไปจากมือผู้อ่านระดับ “พ่อยกแม่ยก” นับหมื่นนานแล้วมวลชนเสื้อแดงจะรู้จักประเมินตัวเองมั่งหรือไม่.. “เจ๋ง ดอกจิก” จะเป็น บทเรียนตัวอย่างแค่ไหน ย่อมแล้วแต่ “สำนึกแห่งพลังมวลชน” ว่าควรจะรักษา ความเข้มแข็งอย่างไร เพื่อประชาธิปไตย หรือเพื่ออะไรกันแน่?
ที่มา.สยามธุรกิจออนไลน์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
วันอังคารที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2555
เอดีบี ชี้ พม่า ยังล้าหลังในอาเซียน หนุนนักลงทุนเร่งพัฒนาสร้างถนน-ไฟฟ้า-ธนาคาร !!?
เอดีบีชี้พม่ายังล้าหลังในอาเซียนต้องปรับก่อนเข้าปีเออีซี หนุนนักลงทุนให้เชื่อมั่น พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานถนน-ไฟฟ้า-การเงินดันการลงทุนจากต่างประเทศ เชื่อหากปฏิรูปได้กลายเป็นประเทศรายได้ปานกลาง เศรษฐกิจขยายตัวโต 7-8% ต่อปี
นางสาวซิน ยัง ปาร์ค ผู้ช่วยหัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ และหัวหน้าแผนกเศรษฐศาสตร์วิเคราะห์และสนับสนุนปฏิบัติการเอดีบี ชี้ปัจจัยเสี่ยงที่พม่าต้องเผชิญในการปฏิรูปเพื่อเปิดเสรีทางเศรษฐกิจว่า การสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนต่างชาติของรัฐบาลในช่วงเริ่มต้นของการ ปรับเปลี่ยนประเทศเป็นสิ่งสำคัญ และต้องใช้เวลา นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยเรื่องความตึงเครียดที่เกิดขึ้นจากความขัดแย้งภายในพม่า การรักษาความมั่นคงทางเศรษฐกิจ การคุมอัตราเงินเฟ้อให้อยู่ในระดับต่ำ และการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ โดยการปฏิรูปประเทศในครั้งนี้พม่าต้องทำอย่างรอบคอบ ไม่เช่นนั้นอาจส่งผลกระทบต่อการพัฒนาได้
"การปฏิรูปในพม่าจะเกิดขึ้น รวดเร็วแค่ไหนขึ้นอยู่กับการเร่งพัฒนาของรัฐบาล โดยในการก้าวสู่ประชาคมอาเซียนภายในปี 2558 นั้น ทางอาเซียนเองก็มีแผนที่จะพัฒนาร่วมกันอยู่ แต่เมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ ถือว่าพม่ามีความล้าหลัง เพราะฉะนั้นพม่าจะต้องพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ รวมถึงการเปิดเสรีทางเศรษฐกิจในประเทศ การออกกฎหมายการส่งเสริมการลงทุนฉบับใหม่ ถือเป็นการดำเนินมาถูกทางแล้ว แม้ว่ากฎหมายฉบับดังกล่าวยังอยู่ในขั้นตอนของการดำเนินการอยู่ก็ตาม" นางสาวปาร์คกล่าว
ด้านสิ่งที่พม่าจะต้องพัฒนาประเทศเพื่อรองรับ การเติบโต คือ การลงทุนด้านทรัพยากรมนุษย์ และพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ ทั้งระบบคมนาคม การเงิน และไฟฟ้า ขณะนี้เส้นทางถนนที่มีเพียง 1 ใน 5 ที่อยู่ในระดับมาตรฐาน ส่วนไฟฟ้ามีประชากรพม่าเพียง 1 ใน 4 ที่สามารถเข้าถึง ด้านบริษัทและโรงงานที่เข้าไปลงทุนก็ผลิตกระแสไฟฟ้าเพียงเพื่อไว้ใช้เอง ซึ่งในย่างกุ้ง เมืองหลวงมีไฟฟ้าใช้ 70%
พร้อมกันนั้น พม่าก็ต้องดำเนินงานในด้านระบบการเงิน ซึ่งถือว่าจำนวนธนาคารยังขาดแคลนในด้านการรองรับการเข้ามาลงทุนของต่างชาติ ซึ่งยังน้อยกว่าจำนวนธนาคารในกัมพูชา จึงถือเป็นเรื่องท้าทายอีกอย่างหนึ่งในพม่าจำเป็นต้องมีการพัฒนา
นาง สาวปาร์กเพิ่มเติมว่า เอดีบีได้คาดการณ์ถึงการเติบโตของจีดีพีพม่า โดยในปีนี้จะอยู่ที่ประมาณ 6% และปีหน้าอยู่ที่ 6.3% ในขณะที่ตัวเลขอัตราเงินเฟ้อปีนี้อยู่ที่ 6.2% และปี 2556 อยู่ที่ 6.3% ทั้งนี้ พม่ามีรายได้ต่อหัวอยู่ที่ 1,700-1,800 เหรียญสหรัฐต่อหัว ซึ่งต่ำสุดในบรรดาประเทศอาเซียนด้วยกัน
อย่างไรก็ตาม นางสาวปาร์คได้กล่าวถึงศักยภาพด้านเกษตรกรรมและการท่องเที่ยวของพม่า โดยเห็นว่าพม่าสามารถพัฒนาผลผลิตทางการเกษตรได้เพิ่มขึ้นอีกมาก เนื่องจากเกษตรกรรมในพม่ามีระบบชลประทานที่ดีรองรับอยู่ ส่วนอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของพม่าถือว่าปรับตัวดีขึ้น โดยแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนจากจำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นเป็น 800,000 คน ซึ่งพม่าจะได้รับผลดีจากการพัฒนาด้านท่องเที่ยว ทั้งการก่อสร้างอาคาร โรงแรม และพัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวที่หลั่งไหลเข้าประเทศ
นอกจากนี้ การที่พม่าตั้งอยู่ระหว่างประเทศเพื่อนบ้านอย่างจีนและอินเดีย ซึ่งมีการบริโภคคิดเป็น 43% ของโลก หรือประมาณ 32 ล้านล้านเหรียญสหรัฐนั้น ทำให้พม่าสามารถใช้โอกาสดังกล่าวในการพัฒนาเศรษฐกิจ จากการบริโภคของเพื่อนบ้านที่อยู่ในระดับสูง รวมถึงการเชื่อมต่อระหว่างประเทศในอาเซียน กับจีนและอินเดีย ซึ่งถือเป็นโอกาสดีของพม่าในด้านการค้าและคมนาคม
ทั้งนี้ รายงาน "พม่าบนความเปลี่ยนแปลง : โอกาสและความท้าทาย" ของเอดีบี ได้กล่าวถึงโอกาสการเติบโตทางเศรษฐกิจอันรุ่งเรืองของพม่า หากสามารถรักษากระบวนการปฏิรูปอย่างเข้มงวด
นายสตีเฟ่น กรอฟฟ์ รองประธานธนาคารพัฒนาเอเชีย ด้านภูมิภาคเอเชียตะวันออกระบุว่า หากพม่ารักษากระบวนการปฏิรูปได้ คาดว่าจะมีการเติบโตอย่างรวดเร็ว และขยายตัวทางเศรษฐกิจเติบโต 7-8% ต่อปี ทำให้พม่ากลายเป็นประเทศที่มีรายได้ระดับกลาง และจะมีรายได้ประชาชาติต่อหัวเพิ่มขึ้นเป็น 3 เท่า หรือประมาณ 2,000-3,000 ดอลลาร์ ภายในปี 2573 โดยข้อได้เปรียบสำคัญของพม่าคือ ที่ตั้งของประเทศ ทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่อย่างเหลือเฟือ และจำนวนแรงงานที่มีมาก เหล่านี้จะส่งผลให้พม่าสามารถที่จะขยายตัวทางเศรษฐกิจ และกลายเป็นดาวรุ่งดวงใหม่ของเอเชียได้
ทั้งนี้ ในช่วงเดือน ส.ค.ที่ผ่านมา เอดีบีได้เปิดสำนักงานและแต่งตั้งเจ้าหน้าที่ประจำการในกรุงย่างกุ้ง เพื่อสนับสนุนการปฏิรูปประเทศของพม่า ก่อนหน้านี้ เอดีบีได้ยุติการปฏิบัติงานในพม่าตั้งแต่ปี พ.ศ. 2531 แม้ว่าพม่าจะเป็นสมาชิกของโครงการพัฒนาความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาค ลุ่มแม่น้ำโขง และเข้าร่วมในกิจกรรมระดับภูมิภาคที่เอดีบีให้การสนับสนุนในช่วงเวลา 20 ปีที่ผ่านมา
ล่าสุด เอดีบีได้กล่าวถึงเงินกู้คงค้างที่พม่ายังมีต่อจากเอดีบีจำนวน 504 ล้านเหรียญสหรัฐว่า ขณะนี้รัฐบาลพม่ายังไม่มีการชำระแต่อย่างใด แต่ได้มีการปรึกษาร่วมกับธนาคารโลก เอดีบี และรัฐบาลญี่ปุ่นถึงการชำระเงินคืนเม็ดเงินดังกล่าวถึงขั้นตอนการดำเนินการ แล้ว
ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
นางสาวซิน ยัง ปาร์ค ผู้ช่วยหัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ และหัวหน้าแผนกเศรษฐศาสตร์วิเคราะห์และสนับสนุนปฏิบัติการเอดีบี ชี้ปัจจัยเสี่ยงที่พม่าต้องเผชิญในการปฏิรูปเพื่อเปิดเสรีทางเศรษฐกิจว่า การสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนต่างชาติของรัฐบาลในช่วงเริ่มต้นของการ ปรับเปลี่ยนประเทศเป็นสิ่งสำคัญ และต้องใช้เวลา นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยเรื่องความตึงเครียดที่เกิดขึ้นจากความขัดแย้งภายในพม่า การรักษาความมั่นคงทางเศรษฐกิจ การคุมอัตราเงินเฟ้อให้อยู่ในระดับต่ำ และการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ โดยการปฏิรูปประเทศในครั้งนี้พม่าต้องทำอย่างรอบคอบ ไม่เช่นนั้นอาจส่งผลกระทบต่อการพัฒนาได้
"การปฏิรูปในพม่าจะเกิดขึ้น รวดเร็วแค่ไหนขึ้นอยู่กับการเร่งพัฒนาของรัฐบาล โดยในการก้าวสู่ประชาคมอาเซียนภายในปี 2558 นั้น ทางอาเซียนเองก็มีแผนที่จะพัฒนาร่วมกันอยู่ แต่เมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ ถือว่าพม่ามีความล้าหลัง เพราะฉะนั้นพม่าจะต้องพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ รวมถึงการเปิดเสรีทางเศรษฐกิจในประเทศ การออกกฎหมายการส่งเสริมการลงทุนฉบับใหม่ ถือเป็นการดำเนินมาถูกทางแล้ว แม้ว่ากฎหมายฉบับดังกล่าวยังอยู่ในขั้นตอนของการดำเนินการอยู่ก็ตาม" นางสาวปาร์คกล่าว
ด้านสิ่งที่พม่าจะต้องพัฒนาประเทศเพื่อรองรับ การเติบโต คือ การลงทุนด้านทรัพยากรมนุษย์ และพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ ทั้งระบบคมนาคม การเงิน และไฟฟ้า ขณะนี้เส้นทางถนนที่มีเพียง 1 ใน 5 ที่อยู่ในระดับมาตรฐาน ส่วนไฟฟ้ามีประชากรพม่าเพียง 1 ใน 4 ที่สามารถเข้าถึง ด้านบริษัทและโรงงานที่เข้าไปลงทุนก็ผลิตกระแสไฟฟ้าเพียงเพื่อไว้ใช้เอง ซึ่งในย่างกุ้ง เมืองหลวงมีไฟฟ้าใช้ 70%
พร้อมกันนั้น พม่าก็ต้องดำเนินงานในด้านระบบการเงิน ซึ่งถือว่าจำนวนธนาคารยังขาดแคลนในด้านการรองรับการเข้ามาลงทุนของต่างชาติ ซึ่งยังน้อยกว่าจำนวนธนาคารในกัมพูชา จึงถือเป็นเรื่องท้าทายอีกอย่างหนึ่งในพม่าจำเป็นต้องมีการพัฒนา
นาง สาวปาร์กเพิ่มเติมว่า เอดีบีได้คาดการณ์ถึงการเติบโตของจีดีพีพม่า โดยในปีนี้จะอยู่ที่ประมาณ 6% และปีหน้าอยู่ที่ 6.3% ในขณะที่ตัวเลขอัตราเงินเฟ้อปีนี้อยู่ที่ 6.2% และปี 2556 อยู่ที่ 6.3% ทั้งนี้ พม่ามีรายได้ต่อหัวอยู่ที่ 1,700-1,800 เหรียญสหรัฐต่อหัว ซึ่งต่ำสุดในบรรดาประเทศอาเซียนด้วยกัน
อย่างไรก็ตาม นางสาวปาร์คได้กล่าวถึงศักยภาพด้านเกษตรกรรมและการท่องเที่ยวของพม่า โดยเห็นว่าพม่าสามารถพัฒนาผลผลิตทางการเกษตรได้เพิ่มขึ้นอีกมาก เนื่องจากเกษตรกรรมในพม่ามีระบบชลประทานที่ดีรองรับอยู่ ส่วนอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของพม่าถือว่าปรับตัวดีขึ้น โดยแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนจากจำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นเป็น 800,000 คน ซึ่งพม่าจะได้รับผลดีจากการพัฒนาด้านท่องเที่ยว ทั้งการก่อสร้างอาคาร โรงแรม และพัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวที่หลั่งไหลเข้าประเทศ
นอกจากนี้ การที่พม่าตั้งอยู่ระหว่างประเทศเพื่อนบ้านอย่างจีนและอินเดีย ซึ่งมีการบริโภคคิดเป็น 43% ของโลก หรือประมาณ 32 ล้านล้านเหรียญสหรัฐนั้น ทำให้พม่าสามารถใช้โอกาสดังกล่าวในการพัฒนาเศรษฐกิจ จากการบริโภคของเพื่อนบ้านที่อยู่ในระดับสูง รวมถึงการเชื่อมต่อระหว่างประเทศในอาเซียน กับจีนและอินเดีย ซึ่งถือเป็นโอกาสดีของพม่าในด้านการค้าและคมนาคม
ทั้งนี้ รายงาน "พม่าบนความเปลี่ยนแปลง : โอกาสและความท้าทาย" ของเอดีบี ได้กล่าวถึงโอกาสการเติบโตทางเศรษฐกิจอันรุ่งเรืองของพม่า หากสามารถรักษากระบวนการปฏิรูปอย่างเข้มงวด
นายสตีเฟ่น กรอฟฟ์ รองประธานธนาคารพัฒนาเอเชีย ด้านภูมิภาคเอเชียตะวันออกระบุว่า หากพม่ารักษากระบวนการปฏิรูปได้ คาดว่าจะมีการเติบโตอย่างรวดเร็ว และขยายตัวทางเศรษฐกิจเติบโต 7-8% ต่อปี ทำให้พม่ากลายเป็นประเทศที่มีรายได้ระดับกลาง และจะมีรายได้ประชาชาติต่อหัวเพิ่มขึ้นเป็น 3 เท่า หรือประมาณ 2,000-3,000 ดอลลาร์ ภายในปี 2573 โดยข้อได้เปรียบสำคัญของพม่าคือ ที่ตั้งของประเทศ ทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่อย่างเหลือเฟือ และจำนวนแรงงานที่มีมาก เหล่านี้จะส่งผลให้พม่าสามารถที่จะขยายตัวทางเศรษฐกิจ และกลายเป็นดาวรุ่งดวงใหม่ของเอเชียได้
ทั้งนี้ ในช่วงเดือน ส.ค.ที่ผ่านมา เอดีบีได้เปิดสำนักงานและแต่งตั้งเจ้าหน้าที่ประจำการในกรุงย่างกุ้ง เพื่อสนับสนุนการปฏิรูปประเทศของพม่า ก่อนหน้านี้ เอดีบีได้ยุติการปฏิบัติงานในพม่าตั้งแต่ปี พ.ศ. 2531 แม้ว่าพม่าจะเป็นสมาชิกของโครงการพัฒนาความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาค ลุ่มแม่น้ำโขง และเข้าร่วมในกิจกรรมระดับภูมิภาคที่เอดีบีให้การสนับสนุนในช่วงเวลา 20 ปีที่ผ่านมา
ล่าสุด เอดีบีได้กล่าวถึงเงินกู้คงค้างที่พม่ายังมีต่อจากเอดีบีจำนวน 504 ล้านเหรียญสหรัฐว่า ขณะนี้รัฐบาลพม่ายังไม่มีการชำระแต่อย่างใด แต่ได้มีการปรึกษาร่วมกับธนาคารโลก เอดีบี และรัฐบาลญี่ปุ่นถึงการชำระเงินคืนเม็ดเงินดังกล่าวถึงขั้นตอนการดำเนินการ แล้ว
ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
อากง ไปแล้ว มาตรา 112 ยังอยู่ ..!!?
เย็นวันที่ 26 ส.ค. ที่ผ่านมา แม้ฟ้าฝนจะไม่เป็นใจแต่คนที่รัก “อากง” นายอำพล ตั้งนพกุล ชายวัย 61 ปี อดีตผู้ต้องขังตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และคนที่ไม่เห็นด้วยกับบทลงโทษที่หนักน่วงของกฎหมาย ต่างไปรวมตัวกันที่วัดลาดพร้าวเพื่อร่วมส่ง “อากง” เป็นครั้งสุดท้ายในพิธีฌาปนกิจศพ
การถูกจับดำเนินคดีของ “อากง” เป็นประเด็นฮือฮา
การถูกศาลสั่งจำคุก 20 ปี ก็เป็นประเด็นฮือฮา
การไม่ได้รับสิทธิประกันตัว ก็เป็นประเด็นฮือฮา
การเสียชีวิตหลังถูกจำคุกได้ไม่นานยิ่งเป็นประเด็นฮือฮา
คำถามคือ สังคมได้อะไรจากความ “ฮือฮา” ที่เกิดขึ้น
“อากง” ถูกตำรวจเข้าควบคุมตัวที่บ้านพักย่านสมุทรปราการ เมื่อวันที่ 3 ส.ค. 2553 ด้วยข้อกล่าวหาใช้โทรศัพท์มือถือส่วนตัวพิมพ์ข้อความอันเป็นการจาบจ้วง ดูหมิ่นพระเกียรติยศ และหมิ่นประมาทใส่ความให้ร้ายสมเด็จพระราชินี ส่งไปยังโทรศัพท์มือถือของนายสมเกียรติ ครองวัฒนสุข เลขานุการส่วนตัวของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี ในขณะนั้น
เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และ พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 มาตรา 14 (2), (3) ฐานนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลใดๆอันเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร
คดีนี้ศาลตัดสินจำคุก “อากง” รวม 20 ปี จากความผิด 4 กระทง กระทงละ 5 ปี เมื่อวันที่ 23 พ.ย. 2554
ตลอดระยะเวลาของการต่อสู้คดี แม้ทนายความจะยื่นขอประกันตัวเพื่อออกมาต่อสู้คดีหลายครั้งแต่ก็ไม่ได้รับอนุญาต
หลัง “อากง” เสียชีวิตเมื่อวันที่ 8 พ.ค. 2555 จากโรคมะเร็งตับ มีคำอธิบายจากนายสราวุธ เบญจกุล รองเลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม ว่า
ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 108 ที่ว่าด้วยการปล่อยตัวผู้ต้องหาเป็นการชั่วคราว จำเป็นต้องมีเหตุผลที่ชัดเจน และเพียงพอที่ศาลจะอนุญาตให้ประกันตัวออกไปได้ ส่วนจะอนุญาตหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของศาล และกว่าร้อยละ 93 ศาลจะอนุญาตให้ประกันตัว แต่ในกรณีของ “อากง” เป็นการเจ็บป่วยที่ไม่มีความชัดเจนในตอนที่แจ้งขอรับการประกันตัว จึงเป็นเหตุผลให้ศาลไม่อนุญาต
“ศาลเองก็รู้สึกไม่สบายใจ และเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พร้อมกับเป็นห่วงและไม่อยากให้ใครมาใช้ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 เพื่อเป็นเครื่องมือทางการเมืองในการทำลายฝ่ายตรงข้าม”
กรณีของ “อากง” ไม่ได้เป็นที่ฮือฮาเฉพาะในประเทศไทยเท่านั้น แต่ต่างประเทศก็ให้ความสนใจเป็นอย่างมาก
นายธานี ทองภักดี อธิบดีกรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ ยอมรับว่าสื่อต่างประเทศ เอ็นจีโอ องค์กรสิทธิมนุษยชน และสหภาพยุโรปหรืออียู ต่างให้ความสนใจในประเด็นนี้อย่างกว้างขวาง
โดยเฉพาะเรื่องของการบังคับใช้ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ว่าอาจส่งผลกระทบต่อสิทธิเสรีภาพของประชาชนหรือไม่ ซึ่งทีมทนายความของกลุ่มคนเสื้อแดงระบุว่า กรณีของอากงนั้นเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์การทำงานของศาลที่ไม่อนุญาตให้ประกันตัว ทั้งที่ก่อนหน้านี้อากงเดินทางไปศาลด้วยตนเองทุกครั้ง โดยไม่คิดหลบหนี แต่กับกรณีของนายสนธิ ลิ้มทองกุล ที่มีความผิดในกรณีเดียวกันกลับได้รับการประกันตัวออกมา (ผู้จัดการออนไลน์ 16 พ.ค. 2555)
ประเด็นเรื่องมาตรา 112 เคยเป็นประเด็นที่สังคมให้ความสนใจอย่างมาก เมื่อคณะนิติราษฎร์ : นิติศาสตร์เพื่อราษฎร ออกมาชี้ให้เห็นว่า กฎหมายนี้เกิดจากคณะรัฐประหารเมื่อปี 2519 จากนั้นมีการปรับปรุงเพิ่มโทษให้หนักมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งไม่สมเหตุสมผล และไม่สอดคล้องหลักการของกฎหมาย
ข้อเสนอของคณะนิติราษฎร์คือ ปรับปรุงกฎหมายให้มีความสมเหตุสมผล ทั้งเรื่องการคุ้มครองที่ต้องแยกสถานะราชวงศ์ไม่ใช่เหมารวม
ให้ลดอัตราโทษเป็นจำคุกไม่เกิน 3 ปี ปรับไม่เกิน 50,000 บาท สำหรับการหมิ่นประมาท ดูหมิ่นพระมหากษัตริย์ ส่วนการหมิ่นประมาท ดูหมิ่นพระราชินี รัชทายาท โทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี ปรับไม่เกิน 30,000 บาท ไม่กำหนดอัตราโทษขั้นต่ำ เพื่อเปิดโอกาสให้ศาลใช้ดุลยพินิจลงโทษตามสมควรแก่เหตุ
นอกจากนี้ยังมีข้อกำหนดเหตุยกเว้นความผิดและเหตุยกเว้นโทษ หากพิสูจน์ได้ว่าเป็นการติชมโดยสุจริต เพื่อรักษาไว้ซึ่งการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขภายใต้รัฐธรรมนูญ
หรือหากพิสูจน์ได้ว่าข้อความนั้นเป็นความจริงก็ไม่ต้องรับโทษ
แต่ประเด็นการเสนอก้ไขมาตรา 112 ก็เหมือนกับไฟไหม้ฟาง ที่จุดติดพึ่บเดียวก็เหลือแต่เถ้าถ่าน
หลังคณะกรรมการรณรงค์แก้ไขมาตรา 112 (ครก.112) ยื่นรายชื่อประชาชนต่อประธานสภาผู้แทนราษฎร เพื่อขอแก้ไขกฎหมาย 26, 968 รายชื่อ เมื่อวันที่ 29 พ.ค. 2555 เรื่องก็เงียบหายไปตั้งแต่บัดนั้น
ไม่มีความคืบหน้า ไม่มีการดำเนินการต่อทั้งจากผู้ยื่นเสนอแก้ไข ผู้รับเรื่อง นักการเมือง พรรคการเมือง หรือแม้แต่กระแสของสังคมที่ต้องการให้ปรับปรุงแก้ไขกฎหมายก็หยุดลง
แม้วันที่เปลวไฟเผาไหม้ร่างไร้วิญญาณของ “อากง” ที่เมรุวัดลาดพร้าว ก็ไม่เป็นประเด็นให้ฮือฮาเหมือนแต่ก่อน
มีคนบอกว่ามาตรา 112 มีไว้กลั่นแกล้งกันทางการเมือง
หรือการเคลื่อนไหวเพื่อให้มีการแก้ไขมาตรา 112 ที่ผ่านมาเป็นแค่เรื่องทางการเมืองที่ไม่ได้ต้องการให้มีการปรับแก้เกิดขึ้นจริง
วันนี้ “อากง” ไปสูสุคติแล้ว
แต่มาตรา 112 ยังดำรงอยู่ และคงจะอยู่ต่อไปอย่างอมตะนิรันดร์กาล
ที่มา.หนังสือพิมพ์โลกวันนี้
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
การถูกจับดำเนินคดีของ “อากง” เป็นประเด็นฮือฮา
การถูกศาลสั่งจำคุก 20 ปี ก็เป็นประเด็นฮือฮา
การไม่ได้รับสิทธิประกันตัว ก็เป็นประเด็นฮือฮา
การเสียชีวิตหลังถูกจำคุกได้ไม่นานยิ่งเป็นประเด็นฮือฮา
คำถามคือ สังคมได้อะไรจากความ “ฮือฮา” ที่เกิดขึ้น
“อากง” ถูกตำรวจเข้าควบคุมตัวที่บ้านพักย่านสมุทรปราการ เมื่อวันที่ 3 ส.ค. 2553 ด้วยข้อกล่าวหาใช้โทรศัพท์มือถือส่วนตัวพิมพ์ข้อความอันเป็นการจาบจ้วง ดูหมิ่นพระเกียรติยศ และหมิ่นประมาทใส่ความให้ร้ายสมเด็จพระราชินี ส่งไปยังโทรศัพท์มือถือของนายสมเกียรติ ครองวัฒนสุข เลขานุการส่วนตัวของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี ในขณะนั้น
เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และ พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 มาตรา 14 (2), (3) ฐานนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลใดๆอันเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร
คดีนี้ศาลตัดสินจำคุก “อากง” รวม 20 ปี จากความผิด 4 กระทง กระทงละ 5 ปี เมื่อวันที่ 23 พ.ย. 2554
ตลอดระยะเวลาของการต่อสู้คดี แม้ทนายความจะยื่นขอประกันตัวเพื่อออกมาต่อสู้คดีหลายครั้งแต่ก็ไม่ได้รับอนุญาต
หลัง “อากง” เสียชีวิตเมื่อวันที่ 8 พ.ค. 2555 จากโรคมะเร็งตับ มีคำอธิบายจากนายสราวุธ เบญจกุล รองเลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม ว่า
ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 108 ที่ว่าด้วยการปล่อยตัวผู้ต้องหาเป็นการชั่วคราว จำเป็นต้องมีเหตุผลที่ชัดเจน และเพียงพอที่ศาลจะอนุญาตให้ประกันตัวออกไปได้ ส่วนจะอนุญาตหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของศาล และกว่าร้อยละ 93 ศาลจะอนุญาตให้ประกันตัว แต่ในกรณีของ “อากง” เป็นการเจ็บป่วยที่ไม่มีความชัดเจนในตอนที่แจ้งขอรับการประกันตัว จึงเป็นเหตุผลให้ศาลไม่อนุญาต
“ศาลเองก็รู้สึกไม่สบายใจ และเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พร้อมกับเป็นห่วงและไม่อยากให้ใครมาใช้ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 เพื่อเป็นเครื่องมือทางการเมืองในการทำลายฝ่ายตรงข้าม”
กรณีของ “อากง” ไม่ได้เป็นที่ฮือฮาเฉพาะในประเทศไทยเท่านั้น แต่ต่างประเทศก็ให้ความสนใจเป็นอย่างมาก
นายธานี ทองภักดี อธิบดีกรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ ยอมรับว่าสื่อต่างประเทศ เอ็นจีโอ องค์กรสิทธิมนุษยชน และสหภาพยุโรปหรืออียู ต่างให้ความสนใจในประเด็นนี้อย่างกว้างขวาง
โดยเฉพาะเรื่องของการบังคับใช้ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ว่าอาจส่งผลกระทบต่อสิทธิเสรีภาพของประชาชนหรือไม่ ซึ่งทีมทนายความของกลุ่มคนเสื้อแดงระบุว่า กรณีของอากงนั้นเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์การทำงานของศาลที่ไม่อนุญาตให้ประกันตัว ทั้งที่ก่อนหน้านี้อากงเดินทางไปศาลด้วยตนเองทุกครั้ง โดยไม่คิดหลบหนี แต่กับกรณีของนายสนธิ ลิ้มทองกุล ที่มีความผิดในกรณีเดียวกันกลับได้รับการประกันตัวออกมา (ผู้จัดการออนไลน์ 16 พ.ค. 2555)
ประเด็นเรื่องมาตรา 112 เคยเป็นประเด็นที่สังคมให้ความสนใจอย่างมาก เมื่อคณะนิติราษฎร์ : นิติศาสตร์เพื่อราษฎร ออกมาชี้ให้เห็นว่า กฎหมายนี้เกิดจากคณะรัฐประหารเมื่อปี 2519 จากนั้นมีการปรับปรุงเพิ่มโทษให้หนักมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งไม่สมเหตุสมผล และไม่สอดคล้องหลักการของกฎหมาย
ข้อเสนอของคณะนิติราษฎร์คือ ปรับปรุงกฎหมายให้มีความสมเหตุสมผล ทั้งเรื่องการคุ้มครองที่ต้องแยกสถานะราชวงศ์ไม่ใช่เหมารวม
ให้ลดอัตราโทษเป็นจำคุกไม่เกิน 3 ปี ปรับไม่เกิน 50,000 บาท สำหรับการหมิ่นประมาท ดูหมิ่นพระมหากษัตริย์ ส่วนการหมิ่นประมาท ดูหมิ่นพระราชินี รัชทายาท โทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี ปรับไม่เกิน 30,000 บาท ไม่กำหนดอัตราโทษขั้นต่ำ เพื่อเปิดโอกาสให้ศาลใช้ดุลยพินิจลงโทษตามสมควรแก่เหตุ
นอกจากนี้ยังมีข้อกำหนดเหตุยกเว้นความผิดและเหตุยกเว้นโทษ หากพิสูจน์ได้ว่าเป็นการติชมโดยสุจริต เพื่อรักษาไว้ซึ่งการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขภายใต้รัฐธรรมนูญ
หรือหากพิสูจน์ได้ว่าข้อความนั้นเป็นความจริงก็ไม่ต้องรับโทษ
แต่ประเด็นการเสนอก้ไขมาตรา 112 ก็เหมือนกับไฟไหม้ฟาง ที่จุดติดพึ่บเดียวก็เหลือแต่เถ้าถ่าน
หลังคณะกรรมการรณรงค์แก้ไขมาตรา 112 (ครก.112) ยื่นรายชื่อประชาชนต่อประธานสภาผู้แทนราษฎร เพื่อขอแก้ไขกฎหมาย 26, 968 รายชื่อ เมื่อวันที่ 29 พ.ค. 2555 เรื่องก็เงียบหายไปตั้งแต่บัดนั้น
ไม่มีความคืบหน้า ไม่มีการดำเนินการต่อทั้งจากผู้ยื่นเสนอแก้ไข ผู้รับเรื่อง นักการเมือง พรรคการเมือง หรือแม้แต่กระแสของสังคมที่ต้องการให้ปรับปรุงแก้ไขกฎหมายก็หยุดลง
แม้วันที่เปลวไฟเผาไหม้ร่างไร้วิญญาณของ “อากง” ที่เมรุวัดลาดพร้าว ก็ไม่เป็นประเด็นให้ฮือฮาเหมือนแต่ก่อน
มีคนบอกว่ามาตรา 112 มีไว้กลั่นแกล้งกันทางการเมือง
หรือการเคลื่อนไหวเพื่อให้มีการแก้ไขมาตรา 112 ที่ผ่านมาเป็นแค่เรื่องทางการเมืองที่ไม่ได้ต้องการให้มีการปรับแก้เกิดขึ้นจริง
วันนี้ “อากง” ไปสูสุคติแล้ว
แต่มาตรา 112 ยังดำรงอยู่ และคงจะอยู่ต่อไปอย่างอมตะนิรันดร์กาล
ที่มา.หนังสือพิมพ์โลกวันนี้
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
วันจันทร์ที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2555
โภคิน พลกุล แก้ รธน.50 กลบ หลุมดำ การเมือง !!?
โดย : ประพันธ์ จินดาเลิศอุดมดี,สมฤทัย ทรัพย์สมบูรณ์
ขณะที่ฝ่ายรัฐบาลพรรคเพื่อไทยมองว่ารัฐธรรมนูญปี 50 เป็น “ผลที่มาจากต้นไม้พิษ ย่อมต้องเป็นพิษ” จึงต้องกำจัด
แต่ฝ่ายค้านและฝ่ายตรงข้ามกลับมองว่า เพื่อไทยกำลังทำเพื่อตัวเอง การแก้รัฐธรรมนูญปี 50 จึงเป็นอีกสาเหตุหลักของความขัดแย้งในสังคม
โภคิน พลกุล มือกฎหมายจากพรรคเพื่อไทย เห็นว่า รัฐบาลต้องใช้ความอดทนในการทำความเข้าใจกับสังคมเพื่อให้ “หลุมดำ” การเมืองตื้นขึ้น
ผมชื่นชมนายกฯ ท่านอดทน ไม่ก้าวร้าว ไม่โต้ตอบ เราหยุดตรงนี้เสียก่อน ผมว่าสิ่งนี้ถูกต้อง" โภคิน เอ่ยถึงผู้นำรัฐบาล
ปัจจุบันโภคินเป็น ประธานคณะทำงานพรรคร่วมรัฐบาลเพื่อศึกษาแนวทางการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เป็นหนึ่งในมือกฎหมายของอดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร และเขาเป็นอดีตรัฐมนตรีมาหลายกระทรวง
โภคิน พูดถึงเรื่องระยะเวลาที่จะได้ข้อสรุปเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญว่า "อย่าไปกำหนดล่วงหน้า เพราะอาจเกิดปัญหาตามมาเยอะ เอาเป็นว่าคณะทำงานจะเร่งรัดทำให้ดีที่สุด ส่วนพรรคร่วมรัฐบาลตัดสินใจอย่างไรก็ว่ากันไป แต่พวกเราต้องทำให้เสร็จก่อน แต่ไม่ใช่ว่าไปตัดสินใจให้เขา ถือเป็นการนำเสนอทางเลือกที่ดี แต่ที่แน่ๆ ให้ฝ่ายอื่นๆ ที่ไม่เห็นด้วยได้เข้าใจ"
"ถ้ารัฐบาลได้รับข้อเสนอต่างๆ แล้วเห็นว่าสถานการณ์ยังไม่เหมาะสม ความเข้าใจต่างๆ ยังไม่ชัดเจน หากทำไปอาจเกิดปัญหา ก็รอดูเพื่อให้เกิดความเหมาะสม ผมคิดว่าคนคงไม่ว่า แต่หากโหวตแล้วคนไม่เอา เรื่องจะยุ่ง เราหลงทางไปเยอะ 6-7 ปีที่ผ่านมา ไม่รู้อะไรคือหลักหรือไม่ใช่หลัก อะไรคือถูกจริงหรือไม่ถูกจริง วันนี้ต้องกลับมาใหม่ ลดอารมณ์ความเกลียดชังต่างๆ ลงไป"
"วันนี้ไม่ใช่เรื่อง พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ใช่ปัญหานายสนธิ (ลิ้มทองกุล) แต่เป็นปัญหาที่สังคมตกหลุมดำ การใช้อารมณ์ทำให้หลุมดำขยายไปทุกวัน เราต้องหยุดแล้วถอย ไม่ใช้อารมณ์มาพูดกัน ต้องก้าวข้ามหลุมดำนี้"
"วันนี้ผมว่ารัฐบาลทำดีแล้ว แม้รัฐบาลถูกก็ไม่ดึงดัน ใช้เวลาหน่อย แม้จะเสียเปรียบเพราะมรดกของรัฐประหารที่พร้อมจะทำลายมีอีกเยอะ ไม่มีรัฐบาลไหนที่เดินและแก้ปัญหาให้ชาวบ้านยากขนาดนี้ แก้ปัญหาบ้านเมืองก็ยาก แล้วยังต้องระวังตัวด้วย เมื่อคนใช้อารมณ์มากๆ เราใช้อารมณ์ตามไม่ได้ แม้จะเจ็บ รู้สึกว่าบริหารคนไม่ได้ผล แต่ต้องอดทนและทำความเข้าใจ"
"ในความเห็นผม รัฐบาลแม้จะเจ็บปวด จะกัดฟันเท่าไหร่ก็ต้องทน เป็นวิธีเดียวเท่านั้น เมื่อผ่านช่วงนี้ไปได้หลุมดำก็จะตื้นขึ้น เราจะก้าวข้ามไปทันทีไม่ได้ แต่ทำให้หลุมมันตื้นขึ้นจนไม่มีหลุมได้ ส่วนจะใช้เวลานานหรือไม่นั้น ผมก็ตอบไม่ได้"
โภคิน พูดถึงร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ยังคาอยู่ในสภาเพื่อรอลงมติวาระ 3 ว่า ถึงอย่างไรก็ต้องมีการโหวตวาระ 3 ส่วนจะโหวตให้ผ่านหรือโหวตให้ตก ก็ต้องดูสถานการณ์
ต่อข้อถามถึงการแก้ไขเนื้อหารัฐธรรมนูญรายมาตรา โดยเฉพาะแก้มาตรา 68 เพื่อป้องกันไม่ให้มีการร้องศาลรัฐธรรมนูญก่อนโหวตวาระ 3 หรือไม่นั้น เขาบอกว่า ถึงตอนนี้มี 2 แนวคิด
"ส่วนหนึ่งบอกถ้าอะไรที่จำเป็นต้องแก้เพื่อให้เกิดความบาลานซ์ (สมดุล) ของ 3 อำนาจก็ควรต้องแก้ แต่อีกส่วนบอกว่าต้องระวัง เพราะอาจเป็นการทำให้เกิดความเข้าใจผิดว่าแก้เพื่อตัวเอง หากจะมีการแก้รายมาตรา ก็จะถูกใส่ร้ายว่าทำเพื่อตัวเอง เราจึงต้องให้ ส.ส.ร. (สมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ) เป็นคนทำ"
โภคิน ย้ำว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญไม่ใช่ทำเพื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ แต่ต้องแก้เพราะรัฐธรรมนูญนี้ทำให้เกิดความไม่เป็นธรรม
“โดยเฉพาะมาตรา 309 ไปรับรองประกาศของคณะรัฐประหารให้ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ทั้งอดีต ปัจจุบัน และอนาคต นั่นหมายความว่ากฎหมายอื่นๆ แม้แต่ประกาศ พระบรมราชโองการ ซึ่งเป็นกฎหมายของพระมหากษัตริย์ยังขัดรัฐธรรมนูญได้ กฎหมายที่ออกโดยรัฐสภาแล้วพระมหากษัตริย์ทรงลงพระปรมาภิไธยอาจขัดต่อรัฐธรรมนูญได้ แต่กฎหมายของคณะรัฐประหารขัดไม่ได้เลย เพราะรัฐธรรมนูญบอกเองให้ชอบหมด แบบนี้ทำไมเราทนอยู่ได้ ผมไม่เข้าใจ”
“กฎหมายของคณะรัฐประหารใหญ่ที่สุดในประเทศไทย มีค่าเท่ากับรัฐธรรมนูญ อันนี้คิดว่าแย่แล้ว แต่ที่ไปบอกว่าผู้ปฏิบัติตามคำสั่งให้ถือว่าชอบระดับรัฐธรรมนูญเช่นเดียวกัน อันนี้ยิ่งแย่ใหญ่ เช่น ป.ป.ช. (คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ) บอกว่าต้องทำหน้าที่โดยเที่ยงธรรม หากไม่เที่ยงธรรมคุณถูกลงโทษทางอาญา สมมติว่าเขาปฏิบัติหน้าที่ไม่เที่ยงธรรม แต่เป็นการปฏิบัติตามคำสั่ง คปค.(คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข) ผลคือใครทำอะไรไม่ได้ เพราะถือว่าชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ผมถึงไม่เข้าใจว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้อยู่ได้อย่างไร”
“ทั้งโลกที่เขาพูดเรื่องต้นไม้พิษ ผลไม้พิษ เป็นคำวินิจฉัยของศาลสูงสหรัฐ เขาบอกว่าหากคุณเริ่มต้นไม่ถูก ท้ายมันต้องไม่ถูกด้วย พอบอกว่าจะแก้มาตรา 309 ก็หาว่าทำเพื่อตัวเอง ผมยังมองไม่ออกว่ามาตรา 309 มันไปเกี่ยวกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ตรงไหน มันไม่เกี่ยวกับ พ.ต.ท.ทักษิณ มันเกี่ยวกับการนิรโทษกรรมให้กับผู้ยึดอำนาจ”
เมื่อถามว่าการนิรโทษกรรมตามร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ว่าด้วยการปรองดองแห่งชาติ จำเป็นต้องยกเลิกมาตรา 309 ก่อนหรือไม่ โภคิน บอกว่า จะนิรโทษกรรมใครสามารถออกกฎหมายได้อยู่แล้ว แต่ถ้ามาตรา 309 ยังอยู่ แปลว่าคำสั่งของคณะรัฐประหารชอบด้วยรัฐธรรมนูญตลอดไป การปฏิบัติขององค์กรหรือบุคคลใดก็ตามที่ปฏิบัติตามคำสั่งของ คปค. เป็นการชอบด้วยรัฐธรรมนูญ แม้คุณจะแกล้งหรือรังแกอย่างไรก็ชอบหมด
เมื่อซักอีกว่า ตามร่าง พ.ร.บ.ปรองดองฯ จะมีผลให้ยกเลิกคดีความต่างๆ รวมทั้งคดีของ พ.ต.ท.ทักษิณ เพื่อเข้าสู่กระบวนการที่ฝ่ายพรรคเพื่อไทยเห็นว่าเป็นไปตามหลักนิติธรรม รายละเอียดขั้นตอนคืออย่างไร ใครจะเป็นเจ้าภาพเริ่มต้น เพราะฝ่ายไม่เห็นด้วยก็ไม่เชื่อมั่นว่าจะมีการดำเนินคดีกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้จริงๆ ประเด็นนี้ โภคิน ตอบว่า เขาไม่สามารถบอกได้ ต้องขึ้นอยู่กับสภาที่จะต้องไปหารือกัน แต่ก็ต้องได้ข้อสรุปก่อนว่าสิ่งที่ทำมาไม่ถูกต้อง แล้วก็ต้องทำให้ถูกต้องตามหลักนิติธรรม ตามกระบวนการปกติ
โภคิน ยังแสดงท่าทีให้เห็นว่า มีความเป็นไปได้ที่จะมีการแก้รัฐธรรมนูญกำหนดให้เพิ่มชั้นศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
"เราเอาศาลฎีกาแผนกคดีอาญามาจากฝรั่งเศส ซึ่งเดี๋ยวนี้ฝรั่งเศสเขาถือว่าขัดต่อหลักสิทธิมนุษยชนเพราะมีศาลเดียว แต่ของเขาอำนาจจำกัดที่การทรยศต่อชาติเป็นหลัก แต่ของเรากวาดเรียบ แม้แต่คนที่ไม่ใช่นักการเมือง เป็นผู้สนับสนุนก็โดนหมด ขึ้นศาลเดียวหมด ระบบนี้จริงๆ มันขัดรัฐธรรมนูญ แต่ไม่มีใครเข้าใจ มองว่าคอร์รัปชันต้องกำจัด แต่ไม่ได้ดูว่าถ้าเอาไปแกล้งกันแล้วจะเป็นอย่างไร หลักสิทธิมนุษยชนต้องมี 2 ชั้นศาล คนต้องมีสิทธิอุทธรณ์โดยไม่มีกำหนดเวลา"
อนึ่ง ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเกิดขึ้นจากรัฐธรรมนูญปี 2540 ที่ต้องการให้สามารถดำเนินคดีอาญากับนักการเมืองได้อย่างเห็นผล รวดเร็ว จึงให้มีเพียงศาลเดียว ซึ่งศาลนี้เป็นศาลที่พิพากษาจำคุก พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นเวลา 2 ปีในคดีทุจริตจัดซื้อที่ดินย่านถนนรัชดาภิเษก จนทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ต้องหนีออกนอกประเทศ (ก่อนมีคำพิพากษา) และยังไม่ยอมเดินทางกลับประเทศไทย
โภคิน เห็นว่า ในระบบการเมืองไทยยังควรมี "องค์กรอิสระ" ต่อไป แต่ต้องแก้ไขเรื่องที่มาและอำนาจ โดยในส่วนที่มานั้น ไม่ควรให้ศาลเข้ามาเกี่ยวข้องมากเหมือนในรัฐธรรมนูญนี้ เพราะยิ่งศาลเข้ามาเกี่ยวข้องมาก สถาบันศาลก็จะได้รับผลกระทบมาก ภาพพจน์ศาลระยะหลังเสียหายไปเยอะ
เขาพูดถึงการทำงานของศาลรัฐธรรมนูญด้วยว่า หลายเรื่องตัดสินได้ดี อะไรที่ไม่ใช่ประเด็นที่เป็นเรื่องอารมณ์ของคน 2 กลุ่ม ศาลทำหน้าที่ได้ค่อนข้างดี แต่พอเป็นประเด็นของคน 2 สีเมื่อไหร่ ศาลก็จะแกว่ง
สำหรับข่าวลือว่าเขาถูกวางตัวให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย หรือรองนายกรัฐมนตรีใน ครม.ยิ่งลักษณ์ 3 เพื่อดูแลงานด้านกฎหมายให้กับรัฐบาลนั้น โภคิน บอกว่า "ไม่ใช่ว่าผมต้องไปตรงนั้นถึงจะช่วยได้ แค่ช่วยพรรคในระดับนี้ก็เต็มใจแล้ว จริงๆ ไม่ได้อยู่ที่ตำแหน่ง เพราะผมเป็นมาหลายตำแหน่งแล้ว และทุกตำแหน่งก็ทำมาอย่างเต็มที่"
ที่มา.กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ขณะที่ฝ่ายรัฐบาลพรรคเพื่อไทยมองว่ารัฐธรรมนูญปี 50 เป็น “ผลที่มาจากต้นไม้พิษ ย่อมต้องเป็นพิษ” จึงต้องกำจัด
แต่ฝ่ายค้านและฝ่ายตรงข้ามกลับมองว่า เพื่อไทยกำลังทำเพื่อตัวเอง การแก้รัฐธรรมนูญปี 50 จึงเป็นอีกสาเหตุหลักของความขัดแย้งในสังคม
โภคิน พลกุล มือกฎหมายจากพรรคเพื่อไทย เห็นว่า รัฐบาลต้องใช้ความอดทนในการทำความเข้าใจกับสังคมเพื่อให้ “หลุมดำ” การเมืองตื้นขึ้น
ผมชื่นชมนายกฯ ท่านอดทน ไม่ก้าวร้าว ไม่โต้ตอบ เราหยุดตรงนี้เสียก่อน ผมว่าสิ่งนี้ถูกต้อง" โภคิน เอ่ยถึงผู้นำรัฐบาล
ปัจจุบันโภคินเป็น ประธานคณะทำงานพรรคร่วมรัฐบาลเพื่อศึกษาแนวทางการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เป็นหนึ่งในมือกฎหมายของอดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร และเขาเป็นอดีตรัฐมนตรีมาหลายกระทรวง
โภคิน พูดถึงเรื่องระยะเวลาที่จะได้ข้อสรุปเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญว่า "อย่าไปกำหนดล่วงหน้า เพราะอาจเกิดปัญหาตามมาเยอะ เอาเป็นว่าคณะทำงานจะเร่งรัดทำให้ดีที่สุด ส่วนพรรคร่วมรัฐบาลตัดสินใจอย่างไรก็ว่ากันไป แต่พวกเราต้องทำให้เสร็จก่อน แต่ไม่ใช่ว่าไปตัดสินใจให้เขา ถือเป็นการนำเสนอทางเลือกที่ดี แต่ที่แน่ๆ ให้ฝ่ายอื่นๆ ที่ไม่เห็นด้วยได้เข้าใจ"
"ถ้ารัฐบาลได้รับข้อเสนอต่างๆ แล้วเห็นว่าสถานการณ์ยังไม่เหมาะสม ความเข้าใจต่างๆ ยังไม่ชัดเจน หากทำไปอาจเกิดปัญหา ก็รอดูเพื่อให้เกิดความเหมาะสม ผมคิดว่าคนคงไม่ว่า แต่หากโหวตแล้วคนไม่เอา เรื่องจะยุ่ง เราหลงทางไปเยอะ 6-7 ปีที่ผ่านมา ไม่รู้อะไรคือหลักหรือไม่ใช่หลัก อะไรคือถูกจริงหรือไม่ถูกจริง วันนี้ต้องกลับมาใหม่ ลดอารมณ์ความเกลียดชังต่างๆ ลงไป"
"วันนี้ไม่ใช่เรื่อง พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ใช่ปัญหานายสนธิ (ลิ้มทองกุล) แต่เป็นปัญหาที่สังคมตกหลุมดำ การใช้อารมณ์ทำให้หลุมดำขยายไปทุกวัน เราต้องหยุดแล้วถอย ไม่ใช้อารมณ์มาพูดกัน ต้องก้าวข้ามหลุมดำนี้"
"วันนี้ผมว่ารัฐบาลทำดีแล้ว แม้รัฐบาลถูกก็ไม่ดึงดัน ใช้เวลาหน่อย แม้จะเสียเปรียบเพราะมรดกของรัฐประหารที่พร้อมจะทำลายมีอีกเยอะ ไม่มีรัฐบาลไหนที่เดินและแก้ปัญหาให้ชาวบ้านยากขนาดนี้ แก้ปัญหาบ้านเมืองก็ยาก แล้วยังต้องระวังตัวด้วย เมื่อคนใช้อารมณ์มากๆ เราใช้อารมณ์ตามไม่ได้ แม้จะเจ็บ รู้สึกว่าบริหารคนไม่ได้ผล แต่ต้องอดทนและทำความเข้าใจ"
"ในความเห็นผม รัฐบาลแม้จะเจ็บปวด จะกัดฟันเท่าไหร่ก็ต้องทน เป็นวิธีเดียวเท่านั้น เมื่อผ่านช่วงนี้ไปได้หลุมดำก็จะตื้นขึ้น เราจะก้าวข้ามไปทันทีไม่ได้ แต่ทำให้หลุมมันตื้นขึ้นจนไม่มีหลุมได้ ส่วนจะใช้เวลานานหรือไม่นั้น ผมก็ตอบไม่ได้"
โภคิน พูดถึงร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ยังคาอยู่ในสภาเพื่อรอลงมติวาระ 3 ว่า ถึงอย่างไรก็ต้องมีการโหวตวาระ 3 ส่วนจะโหวตให้ผ่านหรือโหวตให้ตก ก็ต้องดูสถานการณ์
ต่อข้อถามถึงการแก้ไขเนื้อหารัฐธรรมนูญรายมาตรา โดยเฉพาะแก้มาตรา 68 เพื่อป้องกันไม่ให้มีการร้องศาลรัฐธรรมนูญก่อนโหวตวาระ 3 หรือไม่นั้น เขาบอกว่า ถึงตอนนี้มี 2 แนวคิด
"ส่วนหนึ่งบอกถ้าอะไรที่จำเป็นต้องแก้เพื่อให้เกิดความบาลานซ์ (สมดุล) ของ 3 อำนาจก็ควรต้องแก้ แต่อีกส่วนบอกว่าต้องระวัง เพราะอาจเป็นการทำให้เกิดความเข้าใจผิดว่าแก้เพื่อตัวเอง หากจะมีการแก้รายมาตรา ก็จะถูกใส่ร้ายว่าทำเพื่อตัวเอง เราจึงต้องให้ ส.ส.ร. (สมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ) เป็นคนทำ"
โภคิน ย้ำว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญไม่ใช่ทำเพื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ แต่ต้องแก้เพราะรัฐธรรมนูญนี้ทำให้เกิดความไม่เป็นธรรม
“โดยเฉพาะมาตรา 309 ไปรับรองประกาศของคณะรัฐประหารให้ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ทั้งอดีต ปัจจุบัน และอนาคต นั่นหมายความว่ากฎหมายอื่นๆ แม้แต่ประกาศ พระบรมราชโองการ ซึ่งเป็นกฎหมายของพระมหากษัตริย์ยังขัดรัฐธรรมนูญได้ กฎหมายที่ออกโดยรัฐสภาแล้วพระมหากษัตริย์ทรงลงพระปรมาภิไธยอาจขัดต่อรัฐธรรมนูญได้ แต่กฎหมายของคณะรัฐประหารขัดไม่ได้เลย เพราะรัฐธรรมนูญบอกเองให้ชอบหมด แบบนี้ทำไมเราทนอยู่ได้ ผมไม่เข้าใจ”
“กฎหมายของคณะรัฐประหารใหญ่ที่สุดในประเทศไทย มีค่าเท่ากับรัฐธรรมนูญ อันนี้คิดว่าแย่แล้ว แต่ที่ไปบอกว่าผู้ปฏิบัติตามคำสั่งให้ถือว่าชอบระดับรัฐธรรมนูญเช่นเดียวกัน อันนี้ยิ่งแย่ใหญ่ เช่น ป.ป.ช. (คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ) บอกว่าต้องทำหน้าที่โดยเที่ยงธรรม หากไม่เที่ยงธรรมคุณถูกลงโทษทางอาญา สมมติว่าเขาปฏิบัติหน้าที่ไม่เที่ยงธรรม แต่เป็นการปฏิบัติตามคำสั่ง คปค.(คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข) ผลคือใครทำอะไรไม่ได้ เพราะถือว่าชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ผมถึงไม่เข้าใจว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้อยู่ได้อย่างไร”
“ทั้งโลกที่เขาพูดเรื่องต้นไม้พิษ ผลไม้พิษ เป็นคำวินิจฉัยของศาลสูงสหรัฐ เขาบอกว่าหากคุณเริ่มต้นไม่ถูก ท้ายมันต้องไม่ถูกด้วย พอบอกว่าจะแก้มาตรา 309 ก็หาว่าทำเพื่อตัวเอง ผมยังมองไม่ออกว่ามาตรา 309 มันไปเกี่ยวกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ตรงไหน มันไม่เกี่ยวกับ พ.ต.ท.ทักษิณ มันเกี่ยวกับการนิรโทษกรรมให้กับผู้ยึดอำนาจ”
เมื่อถามว่าการนิรโทษกรรมตามร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ว่าด้วยการปรองดองแห่งชาติ จำเป็นต้องยกเลิกมาตรา 309 ก่อนหรือไม่ โภคิน บอกว่า จะนิรโทษกรรมใครสามารถออกกฎหมายได้อยู่แล้ว แต่ถ้ามาตรา 309 ยังอยู่ แปลว่าคำสั่งของคณะรัฐประหารชอบด้วยรัฐธรรมนูญตลอดไป การปฏิบัติขององค์กรหรือบุคคลใดก็ตามที่ปฏิบัติตามคำสั่งของ คปค. เป็นการชอบด้วยรัฐธรรมนูญ แม้คุณจะแกล้งหรือรังแกอย่างไรก็ชอบหมด
เมื่อซักอีกว่า ตามร่าง พ.ร.บ.ปรองดองฯ จะมีผลให้ยกเลิกคดีความต่างๆ รวมทั้งคดีของ พ.ต.ท.ทักษิณ เพื่อเข้าสู่กระบวนการที่ฝ่ายพรรคเพื่อไทยเห็นว่าเป็นไปตามหลักนิติธรรม รายละเอียดขั้นตอนคืออย่างไร ใครจะเป็นเจ้าภาพเริ่มต้น เพราะฝ่ายไม่เห็นด้วยก็ไม่เชื่อมั่นว่าจะมีการดำเนินคดีกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้จริงๆ ประเด็นนี้ โภคิน ตอบว่า เขาไม่สามารถบอกได้ ต้องขึ้นอยู่กับสภาที่จะต้องไปหารือกัน แต่ก็ต้องได้ข้อสรุปก่อนว่าสิ่งที่ทำมาไม่ถูกต้อง แล้วก็ต้องทำให้ถูกต้องตามหลักนิติธรรม ตามกระบวนการปกติ
โภคิน ยังแสดงท่าทีให้เห็นว่า มีความเป็นไปได้ที่จะมีการแก้รัฐธรรมนูญกำหนดให้เพิ่มชั้นศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
"เราเอาศาลฎีกาแผนกคดีอาญามาจากฝรั่งเศส ซึ่งเดี๋ยวนี้ฝรั่งเศสเขาถือว่าขัดต่อหลักสิทธิมนุษยชนเพราะมีศาลเดียว แต่ของเขาอำนาจจำกัดที่การทรยศต่อชาติเป็นหลัก แต่ของเรากวาดเรียบ แม้แต่คนที่ไม่ใช่นักการเมือง เป็นผู้สนับสนุนก็โดนหมด ขึ้นศาลเดียวหมด ระบบนี้จริงๆ มันขัดรัฐธรรมนูญ แต่ไม่มีใครเข้าใจ มองว่าคอร์รัปชันต้องกำจัด แต่ไม่ได้ดูว่าถ้าเอาไปแกล้งกันแล้วจะเป็นอย่างไร หลักสิทธิมนุษยชนต้องมี 2 ชั้นศาล คนต้องมีสิทธิอุทธรณ์โดยไม่มีกำหนดเวลา"
อนึ่ง ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเกิดขึ้นจากรัฐธรรมนูญปี 2540 ที่ต้องการให้สามารถดำเนินคดีอาญากับนักการเมืองได้อย่างเห็นผล รวดเร็ว จึงให้มีเพียงศาลเดียว ซึ่งศาลนี้เป็นศาลที่พิพากษาจำคุก พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นเวลา 2 ปีในคดีทุจริตจัดซื้อที่ดินย่านถนนรัชดาภิเษก จนทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ต้องหนีออกนอกประเทศ (ก่อนมีคำพิพากษา) และยังไม่ยอมเดินทางกลับประเทศไทย
โภคิน เห็นว่า ในระบบการเมืองไทยยังควรมี "องค์กรอิสระ" ต่อไป แต่ต้องแก้ไขเรื่องที่มาและอำนาจ โดยในส่วนที่มานั้น ไม่ควรให้ศาลเข้ามาเกี่ยวข้องมากเหมือนในรัฐธรรมนูญนี้ เพราะยิ่งศาลเข้ามาเกี่ยวข้องมาก สถาบันศาลก็จะได้รับผลกระทบมาก ภาพพจน์ศาลระยะหลังเสียหายไปเยอะ
เขาพูดถึงการทำงานของศาลรัฐธรรมนูญด้วยว่า หลายเรื่องตัดสินได้ดี อะไรที่ไม่ใช่ประเด็นที่เป็นเรื่องอารมณ์ของคน 2 กลุ่ม ศาลทำหน้าที่ได้ค่อนข้างดี แต่พอเป็นประเด็นของคน 2 สีเมื่อไหร่ ศาลก็จะแกว่ง
สำหรับข่าวลือว่าเขาถูกวางตัวให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย หรือรองนายกรัฐมนตรีใน ครม.ยิ่งลักษณ์ 3 เพื่อดูแลงานด้านกฎหมายให้กับรัฐบาลนั้น โภคิน บอกว่า "ไม่ใช่ว่าผมต้องไปตรงนั้นถึงจะช่วยได้ แค่ช่วยพรรคในระดับนี้ก็เต็มใจแล้ว จริงๆ ไม่ได้อยู่ที่ตำแหน่ง เพราะผมเป็นมาหลายตำแหน่งแล้ว และทุกตำแหน่งก็ทำมาอย่างเต็มที่"
ที่มา.กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
วันเสาร์ที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2555
จังหวัด จัดการตนเอง ธงนำปฏิรูปประเทศไทย !!?
การปฏิรูปประเทศไทย! เพื่อสร้างความเป็นธรรมและลดความเหลื่อมล้ำ ถือเป็นแนวทางที่คณะกรรมการปฏิรูปฯ ได้ตั้งเป้าหมายเอาไว้ ผ่านข้อเสนอไปยังรัฐบาลและภาคประชาสังคม โดยมีสำนักงานปฏิรูปประเทศไทย (สปร.) เป็นแกนสำคัญในการประสานงานกับภาคีเครือข่าย “ภาคประชาชน” จากทั่วประเทศ
แม้ “จุดแข็ง” ขององค์กรเหล่านี้ จะมีกลุ่มเครือข่ายในพื้นที่จำนวนมาก และมีการ ทำงานร่วมกันมายาวนาน แต่ทว่าจำนวน พื้นที่ และงบประมาณ ตลอดจนสมาชิกในเครือข่ายยังน้อยกว่าการจัดตั้งของภาครัฐ รวมทั้งการขยายผลและการบริหารจัดการที่มีคุณภาพยังเป็น “จุดอ่อน” ที่ไม่สามารถทะลุทะลวงไปสู่การสร้างความเป็นธรรมและลดความเหลื่อมล้ำทางสังคมได้
จนถึงวันนี้ ก็มีตัวอย่างการบูรณาการพื้นที่ในหลายจังหวัด ทั้งสมุทรสาคร นครปฐม สระแก้ว อำนาจเจริญ เชียงราย สงขลา ฯลฯ กระทั่งล่าสุดยังมีข้อเสนอให้ “นครเชียงใหม่” นำร่องเป็นจังหวัดจัดการตนเอง ซึ่งทั้งหมดได้มีความพยายาม บูรณาการองค์กรต่างๆ ให้มาทำงานร่วมกันโดย ใช้พื้นที่จังหวัดและตำบลเป็นตัวตั้ง โดยวิเคราะห์ปัญหาสาเหตุ การจัดทำแผนเพื่อ แก้ไขปัญหาต่างๆ การสร้างความร่วมมือของนักพัฒนา นักวิชาการ ข้าราชการ ผู้นำท้องถิ่น และสื่อสารมวลชน เข้ามาเป็นกลไกขับเคลื่อนมุ่งผลักดันเข้าสู่ระบบข้อบัญญัติของท้องถิ่นนั้นๆ
ในอนาคตอันใกล้นี้ กระแสจังหวัดและพื้นที่จัดการตนเอง ยังคงเป็นกระแสหลักทั้งการผลักดันนโยบายการเสนอกฎหมาย รวมถึงการปฏิบัติจริงในพื้นที่โดย เครือข่ายภาคประชาชน ศ.นพ.ประเวศ วะสี ราษฎรอาวุโส และประธานคณะกรรมการปฏิรูป (คสป.) ยอมรับว่า การขับเคลื่อน “จังหวัดจัดการ ตนเอง” ขณะนี้แรงและมีพลังมาก หลังจากจังหวัดเชียงใหม่ประกาศเจตนารมณ์ผลักดันจังหวัดจัดการตนเองไปเมื่อเร็วๆ นี้ ก็นับว่าเป็นการขับเคลื่อนที่ค่อนข้างประสบความสำเร็จ มีผู้เข้าร่วมงานมากพอสมควร มีการขับเคลื่อนที่ชัดเจน ได้รับการ ยอมรับมากขึ้น โดยมีตัวชี้วัดที่สำคัญคือกระแสต่อต้าน เกิดความสนใจของฝ่ายที่ไม่เห็นด้วย
“ชัชวาลย์ ทองดีเลิศ” คณะทำงานเชียงใหม่จัดการตนเอง ระบุว่า ได้มีการยกระดับการทำงานมองภาพรวมทั้ง จังหวัด พร้อมทั้งประสานงานกลุ่มพลังทางสังคมและภาคประชาชนต่างๆ เข้ามาเพิ่ม ทั้งนักวิชาการ นักพัฒนา นักธุรกิจ สมาพันธ์ครูเชียงใหม่ ศิลปิน นักเขียน สื่อมวลชน ทั้งชมรมองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอีก 210 องค์กร
“เป็นการทำงานร่วมของกลุ่มคนที่หลากหลาย มีทุกสีเข้ามาขับเคลื่อนร่วมกันแบบข้ามสี โดยใช้ระบบปรึกษาหารือและความสัมพันธ์แบบแนวนอน มีสิ่งที่เป็น เป้าหมายร่วมกัน เชียงใหม่ที่เข้มแข็ง น่าอยู่และยั่งยืน เพื่อมอบสิ่งดีๆ ให้ลูกหลานในอนาคต”
นอกจากนี้ ยังได้จัดเวทีแลกเปลี่ยน เรียนรู้ร่วมกับผู้นำชุมชนทั้ง 25 อำเภอ และเวทีเครือข่าย 30 เครือข่าย จัดทำฐานข้อมูลกรณีการจัดการตนเองของชุมชนท้องถิ่นที่น่าสนใจ และนำข้อคิดเห็นต่างๆ มาจัดทำร่าง พ.ร.บ.ระเบียบบริหาร ราชการเชียงใหม่ ซึ่งจะนำไปจัดประชาพิจารณ์ใน 210 ตำบล รวมทั้งเปิดให้ประชาชนลงชื่อเสนอกฎหมาย 15,000 รายชื่อต่อรัฐสภา ตามบทบัญญัติในรัฐ ธรรมนูญ ซึ่งได้จัดกิจกรรมเสนอต่อสาธารณะ ไปก่อนแล้ว
“จากนี้ไปจะเป็นการทำงานกันอย่าง เข้มข้นและทั่วถึงในจังหวัดเชียงใหม่ 210 ตำบล ตลอดจนการเชื่อมโยงจังหวัดต่างๆ ราว 45 จังหวัดที่กำลังขับเคลื่อน”
> ภาคประชาชนตื่นตัวทั่วไทย
เมื่อภาคประชาชนทั้ง 45 จังหวัดตื่นตัวแล้ว น่าจับตามองว่า “การปฏิรูป ประเทศไทย” จะเกิดขึ้นได้อย่างเป็นรูปธรรมหรือไม่ แม้ว่าในบางจังหวัดจะอาศัย การเปลี่ยนแปลงตามระบบคือผ่านขั้นตอน การยื่น พ.ร.บ.เข้าสู่การพิจารณาของสภา ผู้แทนราษฎร หรือลงรายชื่อเพื่อนำเสนอ ในนามองค์กรภาคประชาชนก็ตาม
ในจังหวัดขอนแก่นมีการรวมตัวของภาคส่วนต่างๆ จัดสมัชชา ประกาศปฏิญญา “ขอนแก่นจัดการตนเอง” ด้วย 8 ยุทธศาสตร์ ที่ศาลากลางจังหวัดฯ ซึ่งมีประชาชนเข้าร่วมหลายพันคน และได้จัดตั้งสภาประชาชนด้านต่างๆ ได้แก่ ด้านการเกษตรกรรม ด้านทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม ด้านอุตสาหกรรมและพาณิชย์ ด้านการศึกษา สังคม คุณภาพชีวิตและสวัสดิการสังคม ด้านการเมืองภาคพลเมือง และด้านแก้ไขโครงสร้างการพัฒนาจากภาครัฐที่ส่งผลกระทบต่อประชาชน
ส่วนการดำเนินการนั้นได้ส่งมอบยุทธศาสตร์ให้ผู้ว่าราชการจังหวัด โดยมีครูสน รูปสูง และเครือข่ายภาคประชาชน ประสานงาน เริ่มต้นจากการจัดเวทีย่อย 4 โซนจากฐานราก รวมเป็นยุทธศาสตร์ร่วมของจังหวัด
ด้านจังหวัดปราจีนบุรี ก็มีองค์กรต่างๆ เข้าร่วมราว 70 เครือข่าย เริ่มต้นคล้ายธรรมนูญคนอำนาจเจริญ โดยการ เตรียมพูดคุยกันโดยเฉพาะประเด็นอุตสาหกรรม เพื่อยกระดับเป็นธรรมนูญและสภา ประชาชนของจังหวัดขึ้นมา
สำหรับจังหวัดพัทลุงนั้น “แก้ว สังข์ชู” กรรมการในคณะกรรมการปฏิรูป กล่าวย้ำว่า คนพัทลุงต้องการกำหนดคุณสมบัติ และเลือกผู้ว่าราชการจังหวัดพัทลุงด้วยตน เอง เนื่องจากกระทรวงมหาดไทยส่งผู้ว่าฯ ลงมาโดยไม่คำนึงถึงความรู้สึกของประชาชนที่ต้องการพัฒนาบ้านเมือง เพราะ 3 ปีที่ผ่านมา พัทลุงมีผู้ว่าราชการจังหวัดถึง 4 คน
“ผู้ว่าฯ บางคนอยู่ไม่นาน บางคนย้ายมารอเกษียณอายุราชการ บางคนย้าย มาเพื่อรอไปจังหวัดใหญ่ๆ อย่างนี้จะมีเวลา ใส่ใจพัฒนาและแก้ปัญหาให้คนพัทลุงได้อย่างไร ยุทธศาสตร์และวิสัยทัศน์ของคน พัทลุงก็ไม่สามารถขับเคลื่อนไปข้างหน้าได้”
นอกจากนี้ ยังมีการจัดเวทีและกิจกรรมในจังหวัดต่างๆ เช่น ยะลา และแม่ ฮ่องสอน เป็นต้น แต่ล่าสุดคือจังหวัดภูเก็ต โดยหนึ่งในคณะทำงานภูเก็ตจัดการตนเอง ระบุว่า จากปัญหาและความเหลื่อมล้ำที่เกิดขึ้นในจังหวัดภูเก็ต ทางคณะทำงานจึง มีเป้าหมายในการพัฒนาโดยประกาศเจตนารมณ์ร่วมเพื่อผลักดัน “ภูเก็ต” เป็นจังหวัดจัดการตนเอง และจัดตั้งสภาพลเมืองภูเก็ต เพราะที่ผ่าน มาพบว่าจังหวัดภูเก็ต ยังมีการพัฒนาอย่าง ไร้ทิศทาง ส่งผลให้ยากต่อการควบคุมปัญหา ที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นปัญหาด้านสิ่งแวด ล้อม ปัญหาสังคม รวมไปถึงปัญหาการพัฒนา ที่ไม่ยั่งยืน และขาดประสิทธิภาพในการจัดการ ทั้งการบังคับใช้กฎหมายและกฎระเบียบที่ไม่เคร่งครัด ภาคประชาชนมีส่วน ร่วมน้อย หากภูเก็ตจัดการตนเอง ปัญหาเหล่านี้จะสามารถแก้ไขได้
เป็นต้นว่าการพัฒนาทรัพยากรบุคคลในภูเก็ตให้มีความรู้ความสามารถเพิ่มขึ้น ปรับกระบวนและสนับสนุนให้มีการ คิดอย่างเป็นระบบ ปลูกฝังความสำนึกรักในพื้นที่บ้านเกิด สร้างภาคีและแลกเปลี่ยนความรู้ในการผลักดันให้เกิดความร่วมมือต่างๆ ตลอดจนสร้างวัฒนธรรมจิต สำนึกเพื่อส่วนรวม จัดกิจกรรมที่สนับสนุน ให้มีพฤติกรรมที่ดีต่อสิ่งแวดล้อม ส่งเสริม ให้มีคุณภาพทางธุรกิจ มีภาวะความเป็นผู้นำ โดยในอนาคตอาจจะตั้งคนในพื้นที่เป็น ผู้ว่าราชการจังหวัด
อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมาจังหวัดภูเก็ต ได้ดำเนินการขับเคลื่อนขั้นตอนต่างๆ ด้วยตนเอง อาทิ การมีสื่อกลางเพื่อเผยแพร่ข่าวสารต่างๆ ไปยังประชาชน เพื่อสร้างองค์ความรู้และทำความเข้าใจ การสร้างกระแสให้กับชาวภูเก็ตเพื่อให้เกิดความต่อเนื่องในการตกผลึกเรื่องจังหวัดจัดการ ตนเอง รวมถึงจัดทำเอกสารแจกใบปลิวให้ ความรู้ การทำประชาพิจารณ์ การจัดประชุมหารือทุกวันเสาร์ที่ 3 ของเดือน การจัด เวทีย่อยโดยรวบรวมความเห็นจากผู้บริหาร ท้องถิ่น มีเวทีใหญ่ 3-6 เดือนต่อครั้ง เป็นต้น ซึ่งได้รับความร่วมมือจากประชาชนเป็นอย่างดี
ด้าน “ดร.วณี ปิ่นประทีป” รองผู้อำนวยการสำนักงานปฏิรูป (สปร.) ยอมรับว่า สปร.ได้มองจังหวัดจัดการตนเองในภาคเหนือคือ เชียงใหม่ ส่วนภาคอีสานคือ อำนาจเจริญ และจะยินดีสนับสนุนอย่างยิ่งหากภาคใต้จะมี “ภูเก็ต” เป็นจังหวัดจัด การตนเอง และต้องการเห็นการวางแผน ที่เป็นระบบ และกำหนดเป้าหมายที่ชัดเจน
> การก่อตัวของแนวคิดจัดการตนเอง
ก่อนหน้านี้ แนวคิดจังหวัดจัดการ ตนเองก่อตัวและเกิดขึ้นแล้วที่จังหวัดอำนาจเจริญ ชื่อว่า “ธรรมนูญประชาชน ฅนอำนาจเจริญ” ซึ่งถือเป็นธรรมนูญประชาชนฉบับแรกของไทยโดยที่ “กำธร ถาวรสถิตย์” ผู้ว่าราชการจังหวัดอำนาจเจริญ ยอมรับว่า ปัจจุบันสังคมเผชิญกับวิกฤติทางสังคมที่รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ด้วยความสลับซับซ้อนและการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของสังคมโลก จึงเป็นแรงผลักดันให้ชุมชนท้อง ถิ่นร่วมกันจัดการตนเองทั้งการทำแผนชุม ชน การจัดการสวัสดิการชุมชน การจัด การทุนของชุมชน การจัดการทรัพยากรสิ่งแวดล้อม เกษตรอินทรีย์ เป็นต้น
ขณะเดียวกันก็มีการจัดให้มีสภาผู้นำ ชุมชนเพื่อเปิดเวทีแลกเปลี่ยนในการหาแนวทางแก้ไขปัญหาด้านต่างๆ นำไปสู่การ สร้างเป้าหมายร่วมกันของชุมชนท้องถิ่น
ด้าน “วิรัตน์ สุขกุล” ผู้ประสานงานเครือข่ายองค์กรชุมชนจังหวัดอำนาจ เจริญ ชี้ว่า เหตุผลในการจัดทำธรรมนูญประชาชนตนอำนาจเจริญ เพื่อเป็นเครื่อง มือในวางระเบียบกติกาของชุมชนร่วมกับ หน่วยงานภาครัฐและภาคีที่เกี่ยวข้อง สำหรับใช้เป็นมาตรการปฏิบัติเพื่อสร้างประชาธิปไตยชุมชนเป็นกรอบและแนวทาง ในการกำหนดนโยบาย ยุทธศาสตร์ แผนพัฒนา และการดำเนินการที่เกี่ยวข้อง กับชุมชนท้องถิ่น อนาคตจะมีการยกร่างธรรมนูญประชาชน “ฅนอำนาจเจริญ” เป็นพระราชบัญญัติจังหวัดจัดการตนเอง โดยจะให้มีประชาชนรักษาการในข้อบัญญัตินี้ด้วย
ขณะที่ “กรรณิการ์ บรรเทิงจิตร” รองผู้อำนวยการ สปร.มองว่า ธรรมนูญประชาชนฉบับนี้ มีข้อตกลงที่น่าสนใจ คือ การจัดให้มีการประชุมใหญ่สามัญประจำปี ของสภาประชาชนทุกระดับ เพื่อเป็นเวทีทบทวนแผนงาน ตรวจสอบการนำแผนไป ปฏิบัติ และนำข้อเสนอของชุมชนต่อหน่วย งานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งนับว่าเป็น “ธรรมนูญประชาชน” ระดับจังหวัดฉบับแรกของประเทศไทย
ทั้งนี้ ธรรมนูญประชาชนฅนอำนาจ เจริญ มี 9 หมวด คือ 1.บททั่วไป 2.ปรัชญาแนวคิด 3.การเมืองภาคพลเมือง ที่มีเนื้อ หาสร้างสังคมเครือข่ายแห่งการเรียนรูปตามแนวทางวิถีประชาธิปไตยชุมชน โดยอาศัยสภาหมู่บ้าน ฯลฯ 4.ด้านสังคมเพื่อ ชุมชนเข้มแข็ง ผู้คนฮักแพงแบ่งปัน สานต่อวัฒนธรรมประเพณี โดยมีข้อเสนอจัดการด้านการศึกษา ด้านสตรี เด็ก และเยาวชน ผู้สูงอายุ ผู้ด้อยโอกาส และศาสนา ความเชื่อ 5.ระบบเศรษฐกิจชุมชนการยกระดับการกินดีอยู่ดีของคนในชุมชน โดยทุกครอบครัวจะปลูกพืชผักสวนครัวไว้กินและแบ่งปัน กองทุนเพื่อการผลิตดอกเบี้ย ต่ำ ปรับวิถีการผลิตพืชเชิงเดี่ยวมาเป็นวิถีเกษตรอินทรีย์ ฯลฯ และ 6.ด้านสุขภาพ สุขภาวะที่สมบูรณ์ทั้งกาย จิต สังคม และจิตวิญญาณ หมวดนี้มีความน่าสนใจตรงการกำหนดให้มี “ธรรมนูญสุขภาพ” ซึ่งทางสมัชชาสุขภาพ แห่งชาติ (สช.) สนับสนุน
ในการจัดทำกระบวนการ 7.ด้านทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อมเป็นเรื่องสิทธิชุมชนในการ บริหารจัดการทรัพยากรในท้องถิ่นของตนเอง ที่ชาวบ้านขอเข้าไปมีส่วนร่วมในการกำหนดและตัดสินใจ 8.ด้านการรับรู้ การเข้าถึง และการกระจายข่าวสารเป็นข้อ เสนอด้านการสื่อสารของชุมชน โดยชุมชน ต้องเข้าถึง อิสระเท่าเทียม และเป็นเจ้า ของพื้นที่สาธารณะ ผลิตเนื้อหาสาระด้วยตนเอง หลากหลายเนื้อหาสาระ และ 9.บทเฉพาะกาล
ที่มา.สยามธุรกิจออนไลน์
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
แม้ “จุดแข็ง” ขององค์กรเหล่านี้ จะมีกลุ่มเครือข่ายในพื้นที่จำนวนมาก และมีการ ทำงานร่วมกันมายาวนาน แต่ทว่าจำนวน พื้นที่ และงบประมาณ ตลอดจนสมาชิกในเครือข่ายยังน้อยกว่าการจัดตั้งของภาครัฐ รวมทั้งการขยายผลและการบริหารจัดการที่มีคุณภาพยังเป็น “จุดอ่อน” ที่ไม่สามารถทะลุทะลวงไปสู่การสร้างความเป็นธรรมและลดความเหลื่อมล้ำทางสังคมได้
จนถึงวันนี้ ก็มีตัวอย่างการบูรณาการพื้นที่ในหลายจังหวัด ทั้งสมุทรสาคร นครปฐม สระแก้ว อำนาจเจริญ เชียงราย สงขลา ฯลฯ กระทั่งล่าสุดยังมีข้อเสนอให้ “นครเชียงใหม่” นำร่องเป็นจังหวัดจัดการตนเอง ซึ่งทั้งหมดได้มีความพยายาม บูรณาการองค์กรต่างๆ ให้มาทำงานร่วมกันโดย ใช้พื้นที่จังหวัดและตำบลเป็นตัวตั้ง โดยวิเคราะห์ปัญหาสาเหตุ การจัดทำแผนเพื่อ แก้ไขปัญหาต่างๆ การสร้างความร่วมมือของนักพัฒนา นักวิชาการ ข้าราชการ ผู้นำท้องถิ่น และสื่อสารมวลชน เข้ามาเป็นกลไกขับเคลื่อนมุ่งผลักดันเข้าสู่ระบบข้อบัญญัติของท้องถิ่นนั้นๆ
ในอนาคตอันใกล้นี้ กระแสจังหวัดและพื้นที่จัดการตนเอง ยังคงเป็นกระแสหลักทั้งการผลักดันนโยบายการเสนอกฎหมาย รวมถึงการปฏิบัติจริงในพื้นที่โดย เครือข่ายภาคประชาชน ศ.นพ.ประเวศ วะสี ราษฎรอาวุโส และประธานคณะกรรมการปฏิรูป (คสป.) ยอมรับว่า การขับเคลื่อน “จังหวัดจัดการ ตนเอง” ขณะนี้แรงและมีพลังมาก หลังจากจังหวัดเชียงใหม่ประกาศเจตนารมณ์ผลักดันจังหวัดจัดการตนเองไปเมื่อเร็วๆ นี้ ก็นับว่าเป็นการขับเคลื่อนที่ค่อนข้างประสบความสำเร็จ มีผู้เข้าร่วมงานมากพอสมควร มีการขับเคลื่อนที่ชัดเจน ได้รับการ ยอมรับมากขึ้น โดยมีตัวชี้วัดที่สำคัญคือกระแสต่อต้าน เกิดความสนใจของฝ่ายที่ไม่เห็นด้วย
“ชัชวาลย์ ทองดีเลิศ” คณะทำงานเชียงใหม่จัดการตนเอง ระบุว่า ได้มีการยกระดับการทำงานมองภาพรวมทั้ง จังหวัด พร้อมทั้งประสานงานกลุ่มพลังทางสังคมและภาคประชาชนต่างๆ เข้ามาเพิ่ม ทั้งนักวิชาการ นักพัฒนา นักธุรกิจ สมาพันธ์ครูเชียงใหม่ ศิลปิน นักเขียน สื่อมวลชน ทั้งชมรมองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอีก 210 องค์กร
“เป็นการทำงานร่วมของกลุ่มคนที่หลากหลาย มีทุกสีเข้ามาขับเคลื่อนร่วมกันแบบข้ามสี โดยใช้ระบบปรึกษาหารือและความสัมพันธ์แบบแนวนอน มีสิ่งที่เป็น เป้าหมายร่วมกัน เชียงใหม่ที่เข้มแข็ง น่าอยู่และยั่งยืน เพื่อมอบสิ่งดีๆ ให้ลูกหลานในอนาคต”
นอกจากนี้ ยังได้จัดเวทีแลกเปลี่ยน เรียนรู้ร่วมกับผู้นำชุมชนทั้ง 25 อำเภอ และเวทีเครือข่าย 30 เครือข่าย จัดทำฐานข้อมูลกรณีการจัดการตนเองของชุมชนท้องถิ่นที่น่าสนใจ และนำข้อคิดเห็นต่างๆ มาจัดทำร่าง พ.ร.บ.ระเบียบบริหาร ราชการเชียงใหม่ ซึ่งจะนำไปจัดประชาพิจารณ์ใน 210 ตำบล รวมทั้งเปิดให้ประชาชนลงชื่อเสนอกฎหมาย 15,000 รายชื่อต่อรัฐสภา ตามบทบัญญัติในรัฐ ธรรมนูญ ซึ่งได้จัดกิจกรรมเสนอต่อสาธารณะ ไปก่อนแล้ว
“จากนี้ไปจะเป็นการทำงานกันอย่าง เข้มข้นและทั่วถึงในจังหวัดเชียงใหม่ 210 ตำบล ตลอดจนการเชื่อมโยงจังหวัดต่างๆ ราว 45 จังหวัดที่กำลังขับเคลื่อน”
> ภาคประชาชนตื่นตัวทั่วไทย
เมื่อภาคประชาชนทั้ง 45 จังหวัดตื่นตัวแล้ว น่าจับตามองว่า “การปฏิรูป ประเทศไทย” จะเกิดขึ้นได้อย่างเป็นรูปธรรมหรือไม่ แม้ว่าในบางจังหวัดจะอาศัย การเปลี่ยนแปลงตามระบบคือผ่านขั้นตอน การยื่น พ.ร.บ.เข้าสู่การพิจารณาของสภา ผู้แทนราษฎร หรือลงรายชื่อเพื่อนำเสนอ ในนามองค์กรภาคประชาชนก็ตาม
ในจังหวัดขอนแก่นมีการรวมตัวของภาคส่วนต่างๆ จัดสมัชชา ประกาศปฏิญญา “ขอนแก่นจัดการตนเอง” ด้วย 8 ยุทธศาสตร์ ที่ศาลากลางจังหวัดฯ ซึ่งมีประชาชนเข้าร่วมหลายพันคน และได้จัดตั้งสภาประชาชนด้านต่างๆ ได้แก่ ด้านการเกษตรกรรม ด้านทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม ด้านอุตสาหกรรมและพาณิชย์ ด้านการศึกษา สังคม คุณภาพชีวิตและสวัสดิการสังคม ด้านการเมืองภาคพลเมือง และด้านแก้ไขโครงสร้างการพัฒนาจากภาครัฐที่ส่งผลกระทบต่อประชาชน
ส่วนการดำเนินการนั้นได้ส่งมอบยุทธศาสตร์ให้ผู้ว่าราชการจังหวัด โดยมีครูสน รูปสูง และเครือข่ายภาคประชาชน ประสานงาน เริ่มต้นจากการจัดเวทีย่อย 4 โซนจากฐานราก รวมเป็นยุทธศาสตร์ร่วมของจังหวัด
ด้านจังหวัดปราจีนบุรี ก็มีองค์กรต่างๆ เข้าร่วมราว 70 เครือข่าย เริ่มต้นคล้ายธรรมนูญคนอำนาจเจริญ โดยการ เตรียมพูดคุยกันโดยเฉพาะประเด็นอุตสาหกรรม เพื่อยกระดับเป็นธรรมนูญและสภา ประชาชนของจังหวัดขึ้นมา
สำหรับจังหวัดพัทลุงนั้น “แก้ว สังข์ชู” กรรมการในคณะกรรมการปฏิรูป กล่าวย้ำว่า คนพัทลุงต้องการกำหนดคุณสมบัติ และเลือกผู้ว่าราชการจังหวัดพัทลุงด้วยตน เอง เนื่องจากกระทรวงมหาดไทยส่งผู้ว่าฯ ลงมาโดยไม่คำนึงถึงความรู้สึกของประชาชนที่ต้องการพัฒนาบ้านเมือง เพราะ 3 ปีที่ผ่านมา พัทลุงมีผู้ว่าราชการจังหวัดถึง 4 คน
“ผู้ว่าฯ บางคนอยู่ไม่นาน บางคนย้ายมารอเกษียณอายุราชการ บางคนย้าย มาเพื่อรอไปจังหวัดใหญ่ๆ อย่างนี้จะมีเวลา ใส่ใจพัฒนาและแก้ปัญหาให้คนพัทลุงได้อย่างไร ยุทธศาสตร์และวิสัยทัศน์ของคน พัทลุงก็ไม่สามารถขับเคลื่อนไปข้างหน้าได้”
นอกจากนี้ ยังมีการจัดเวทีและกิจกรรมในจังหวัดต่างๆ เช่น ยะลา และแม่ ฮ่องสอน เป็นต้น แต่ล่าสุดคือจังหวัดภูเก็ต โดยหนึ่งในคณะทำงานภูเก็ตจัดการตนเอง ระบุว่า จากปัญหาและความเหลื่อมล้ำที่เกิดขึ้นในจังหวัดภูเก็ต ทางคณะทำงานจึง มีเป้าหมายในการพัฒนาโดยประกาศเจตนารมณ์ร่วมเพื่อผลักดัน “ภูเก็ต” เป็นจังหวัดจัดการตนเอง และจัดตั้งสภาพลเมืองภูเก็ต เพราะที่ผ่าน มาพบว่าจังหวัดภูเก็ต ยังมีการพัฒนาอย่าง ไร้ทิศทาง ส่งผลให้ยากต่อการควบคุมปัญหา ที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นปัญหาด้านสิ่งแวด ล้อม ปัญหาสังคม รวมไปถึงปัญหาการพัฒนา ที่ไม่ยั่งยืน และขาดประสิทธิภาพในการจัดการ ทั้งการบังคับใช้กฎหมายและกฎระเบียบที่ไม่เคร่งครัด ภาคประชาชนมีส่วน ร่วมน้อย หากภูเก็ตจัดการตนเอง ปัญหาเหล่านี้จะสามารถแก้ไขได้
เป็นต้นว่าการพัฒนาทรัพยากรบุคคลในภูเก็ตให้มีความรู้ความสามารถเพิ่มขึ้น ปรับกระบวนและสนับสนุนให้มีการ คิดอย่างเป็นระบบ ปลูกฝังความสำนึกรักในพื้นที่บ้านเกิด สร้างภาคีและแลกเปลี่ยนความรู้ในการผลักดันให้เกิดความร่วมมือต่างๆ ตลอดจนสร้างวัฒนธรรมจิต สำนึกเพื่อส่วนรวม จัดกิจกรรมที่สนับสนุน ให้มีพฤติกรรมที่ดีต่อสิ่งแวดล้อม ส่งเสริม ให้มีคุณภาพทางธุรกิจ มีภาวะความเป็นผู้นำ โดยในอนาคตอาจจะตั้งคนในพื้นที่เป็น ผู้ว่าราชการจังหวัด
อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมาจังหวัดภูเก็ต ได้ดำเนินการขับเคลื่อนขั้นตอนต่างๆ ด้วยตนเอง อาทิ การมีสื่อกลางเพื่อเผยแพร่ข่าวสารต่างๆ ไปยังประชาชน เพื่อสร้างองค์ความรู้และทำความเข้าใจ การสร้างกระแสให้กับชาวภูเก็ตเพื่อให้เกิดความต่อเนื่องในการตกผลึกเรื่องจังหวัดจัดการ ตนเอง รวมถึงจัดทำเอกสารแจกใบปลิวให้ ความรู้ การทำประชาพิจารณ์ การจัดประชุมหารือทุกวันเสาร์ที่ 3 ของเดือน การจัด เวทีย่อยโดยรวบรวมความเห็นจากผู้บริหาร ท้องถิ่น มีเวทีใหญ่ 3-6 เดือนต่อครั้ง เป็นต้น ซึ่งได้รับความร่วมมือจากประชาชนเป็นอย่างดี
ด้าน “ดร.วณี ปิ่นประทีป” รองผู้อำนวยการสำนักงานปฏิรูป (สปร.) ยอมรับว่า สปร.ได้มองจังหวัดจัดการตนเองในภาคเหนือคือ เชียงใหม่ ส่วนภาคอีสานคือ อำนาจเจริญ และจะยินดีสนับสนุนอย่างยิ่งหากภาคใต้จะมี “ภูเก็ต” เป็นจังหวัดจัด การตนเอง และต้องการเห็นการวางแผน ที่เป็นระบบ และกำหนดเป้าหมายที่ชัดเจน
> การก่อตัวของแนวคิดจัดการตนเอง
ก่อนหน้านี้ แนวคิดจังหวัดจัดการ ตนเองก่อตัวและเกิดขึ้นแล้วที่จังหวัดอำนาจเจริญ ชื่อว่า “ธรรมนูญประชาชน ฅนอำนาจเจริญ” ซึ่งถือเป็นธรรมนูญประชาชนฉบับแรกของไทยโดยที่ “กำธร ถาวรสถิตย์” ผู้ว่าราชการจังหวัดอำนาจเจริญ ยอมรับว่า ปัจจุบันสังคมเผชิญกับวิกฤติทางสังคมที่รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ด้วยความสลับซับซ้อนและการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของสังคมโลก จึงเป็นแรงผลักดันให้ชุมชนท้อง ถิ่นร่วมกันจัดการตนเองทั้งการทำแผนชุม ชน การจัดการสวัสดิการชุมชน การจัด การทุนของชุมชน การจัดการทรัพยากรสิ่งแวดล้อม เกษตรอินทรีย์ เป็นต้น
ขณะเดียวกันก็มีการจัดให้มีสภาผู้นำ ชุมชนเพื่อเปิดเวทีแลกเปลี่ยนในการหาแนวทางแก้ไขปัญหาด้านต่างๆ นำไปสู่การ สร้างเป้าหมายร่วมกันของชุมชนท้องถิ่น
ด้าน “วิรัตน์ สุขกุล” ผู้ประสานงานเครือข่ายองค์กรชุมชนจังหวัดอำนาจ เจริญ ชี้ว่า เหตุผลในการจัดทำธรรมนูญประชาชนตนอำนาจเจริญ เพื่อเป็นเครื่อง มือในวางระเบียบกติกาของชุมชนร่วมกับ หน่วยงานภาครัฐและภาคีที่เกี่ยวข้อง สำหรับใช้เป็นมาตรการปฏิบัติเพื่อสร้างประชาธิปไตยชุมชนเป็นกรอบและแนวทาง ในการกำหนดนโยบาย ยุทธศาสตร์ แผนพัฒนา และการดำเนินการที่เกี่ยวข้อง กับชุมชนท้องถิ่น อนาคตจะมีการยกร่างธรรมนูญประชาชน “ฅนอำนาจเจริญ” เป็นพระราชบัญญัติจังหวัดจัดการตนเอง โดยจะให้มีประชาชนรักษาการในข้อบัญญัตินี้ด้วย
ขณะที่ “กรรณิการ์ บรรเทิงจิตร” รองผู้อำนวยการ สปร.มองว่า ธรรมนูญประชาชนฉบับนี้ มีข้อตกลงที่น่าสนใจ คือ การจัดให้มีการประชุมใหญ่สามัญประจำปี ของสภาประชาชนทุกระดับ เพื่อเป็นเวทีทบทวนแผนงาน ตรวจสอบการนำแผนไป ปฏิบัติ และนำข้อเสนอของชุมชนต่อหน่วย งานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งนับว่าเป็น “ธรรมนูญประชาชน” ระดับจังหวัดฉบับแรกของประเทศไทย
ทั้งนี้ ธรรมนูญประชาชนฅนอำนาจ เจริญ มี 9 หมวด คือ 1.บททั่วไป 2.ปรัชญาแนวคิด 3.การเมืองภาคพลเมือง ที่มีเนื้อ หาสร้างสังคมเครือข่ายแห่งการเรียนรูปตามแนวทางวิถีประชาธิปไตยชุมชน โดยอาศัยสภาหมู่บ้าน ฯลฯ 4.ด้านสังคมเพื่อ ชุมชนเข้มแข็ง ผู้คนฮักแพงแบ่งปัน สานต่อวัฒนธรรมประเพณี โดยมีข้อเสนอจัดการด้านการศึกษา ด้านสตรี เด็ก และเยาวชน ผู้สูงอายุ ผู้ด้อยโอกาส และศาสนา ความเชื่อ 5.ระบบเศรษฐกิจชุมชนการยกระดับการกินดีอยู่ดีของคนในชุมชน โดยทุกครอบครัวจะปลูกพืชผักสวนครัวไว้กินและแบ่งปัน กองทุนเพื่อการผลิตดอกเบี้ย ต่ำ ปรับวิถีการผลิตพืชเชิงเดี่ยวมาเป็นวิถีเกษตรอินทรีย์ ฯลฯ และ 6.ด้านสุขภาพ สุขภาวะที่สมบูรณ์ทั้งกาย จิต สังคม และจิตวิญญาณ หมวดนี้มีความน่าสนใจตรงการกำหนดให้มี “ธรรมนูญสุขภาพ” ซึ่งทางสมัชชาสุขภาพ แห่งชาติ (สช.) สนับสนุน
ในการจัดทำกระบวนการ 7.ด้านทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อมเป็นเรื่องสิทธิชุมชนในการ บริหารจัดการทรัพยากรในท้องถิ่นของตนเอง ที่ชาวบ้านขอเข้าไปมีส่วนร่วมในการกำหนดและตัดสินใจ 8.ด้านการรับรู้ การเข้าถึง และการกระจายข่าวสารเป็นข้อ เสนอด้านการสื่อสารของชุมชน โดยชุมชน ต้องเข้าถึง อิสระเท่าเทียม และเป็นเจ้า ของพื้นที่สาธารณะ ผลิตเนื้อหาสาระด้วยตนเอง หลากหลายเนื้อหาสาระ และ 9.บทเฉพาะกาล
ที่มา.สยามธุรกิจออนไลน์
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ความเสื่อมจาก 98 ศพ !!?
ในระบอบประชาธิปไตย หากมีคนตายทางการเมืองแม้แต่คนเดียวเช่นกรณีกลุ่ม พันธมิตรเสื้อเหลือง เห็นหรือไม่ว่าพลังแห่งการเรียกร้องหาความยุติธรรมจากรัฐบาลคุณสมัครมีความรุนแรงไม่น้อย
เมื่อมีฝูงชนถูกฆ่าทางการเมืองมากถึง 91 ศพ ในปี 2553 และตายเพิ่ม ภายหลังเป็น 98 ศพ ย่อมเป็นธรรมดาที่พลังมวลชนเสื้อแดงเรียกร้องหาความยุติธรรมจากรัฐบาลคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จนหลอกหลอนมาจนถึงวันนี้..ทั้งๆ ที่พรรคของคุณอภิสิทธิ์ก็เป็นฝ่ายค้านไปนานถึง 1 ปีแล้ว
นักการเมืองในระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริงจึงพึงสำเหนียกทุกขณะจิตว่า ต้อง แสดงความรับผิดชอบเช่นไร จึงจะได้ชื่อว่าเป็นนักการเมืองมีจิตสำนึกดี มีวุฒิภาวะสูง เป็นที่ชื่นชมสรรเสริญของประชาชนโดยทั่วไป เหมือนประเทศประชาธิปไตยอื่นๆ เคย แสดงให้เห็นเป็นประจักษ์มาแล้ว
แต่คุณอภิสิทธิ์นอกจากไม่แสดงภาวะผู้นำมาตรฐานแล้ว ยังปล่อยให้ความตายของคนไทยเกือบร้อยศพถูกเรียกร้องหาความยุติธรรมแทบไม่คืบหน้า เรียกว่า ถ่วงเวลา ให้นานที่สุดด้วยซ้ำ มันจึงส่งผลสะเทือนไปสู่การเลือกตั้งครั้งล่าสุดให้พรรคประชาธิปัตย์ต้อง พ่ายแพ้แบบ “หูรูดตูดฉีก” อย่างเหลือเชื่อ
ไม่น่าเชื่อว่า ทั้งที่มีอำนาจรัฐอยู่ในมือ และทหาร “ให้ท้าย” ทั้งกองทัพสนับสนุน เต็มกำลัง ก็ยังแพ้หมดรูป
ครั้งที่คุณอภิสิทธิ์เป็นรัฐบาล ผู้คนก็เห็นว่าข้าราชการหลายกรมกองถูกโยกย้ายเพื่อ “ผ่องถ่าย” ให้พวกข้าราชการที่ฝ่ายประชาธิปัตย์ไว้ใจเข้าไปทำงานแทนที่ ฉะนั้นเมื่อคุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตรเป็นรัฐบาลแล้ว ฝ่ายค้านจึงไม่ควรโวยวาย เมื่อข้าราชการที่ฝ่ายเพื่อไทย ไม่ไว้ใจต้องถูกโยกย้ายเป็นธรรมดา
วันนี้ที่พรรคฝ่ายค้านรู้สึกว่า ฝ่ายตัวเองไม่ได้รับความยุติธรรม จึงไม่ต่างจากที่ฝ่าย มวลชนเสื้อแดงเคยประสบมาแล้ว แต่เสื้อแดงเขาพกความแค้นมากกว่าเพราะมี “คนตาย 98 ศพ” เป็นประสบการณ์การต่อสู้ ซึ่งเป็นธรรมดาอีกนั่นแหละที่รัฐบาลนี้ดำเนินคดีได้รวดเร็ว ไม่ถ่วงเวลา จนถึงขั้นเชิญตัวคุณอภิสิทธิ์-คุณสุเทพเป็นฝ่ายถูกสอบจาก ปมฆ่า 98 ศพที่นักการเมืองห้วงนั้นไม่แสดงความรับผิดชอบมาตั้งแต่ต้น
มองด้วยใจเป็นธรรม จึงพูดไม่ได้ว่าคุณอภิสิทธิ์หรือคุณสุเทพถูกกลั่นแกล้ง แต่น่าจะเป็นผลกรรม
ยิ่งได้เห็นหนังสือลับ ลงวันที่ 17 เม.ย. 53 สมัยคุณสุเทพ เทือกสุบรรณ อนุมัติ ให้เจ้าหน้าที่ใช้ “พลแม่นปืน” และ “สามารถร้องขอการสนับสนุนพลซุ่มยิง (Sniper) จาก ศอฉ.ได้”...โดยลืมการอนุมัติให้ใช้โล่ ไม้พลองยาว หรือการฉีดน้ำและใช้คลื่นเสียง แม้แต่แก๊สน้ำตา กระบองหรือกระสุนยาง หรือยิงเตือน
จึงเป็นอนุสติเตือนนักการเมืองในอุดมคติ พึงหลีกเลี่ยงให้มากที่สุดกับการใช้ทหาร ที่มีอาวุธสงครามเพื่อนำมาสกัดฝูงชนที่เรียกร้องประเด็นการเมือง โดยเฉพาะคนที่ผ่าน สถาบันการเมืองมาจากอังกฤษ
แม้ฝ่ายทหารจะอ้างว่า ทหารก็เจ็บและเสียชีวิตหรือมีเหตุผลมากพอ แต่มันก็เกิน กว่าเหตุที่ภาพจากช่างภาพและกล้องวีดิโอจำนวนมากได้บันทึกเป็นประจักษ์ว่า ทหารใช้อาวุธสงคราม ใช้กระสุนจริง ใช้สไนเปอร์จริง และใช้รถหุ้มเกราะปฏิบัติการเทียบเท่า “สนามรบ” ใช้รหัส “เผาบ้านเผาเมือง” เหมือนฝูงชนเหล่าเนื้อเชื้อสายคนไทยด้วยกันเป็นข้าศึกศัตรูร้ายจากต่างชาติ
ที่ประเทศในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขไม่ควรกดปุ่มเลือกใช้
แต่นักการเมืองจากพรรคเก่าแก่กลับกล้าหาญชาญชัยใช้แก้ปัญหาการเมืองด้วยอารมณ์อำมหิต
คำตอบที่ซ้ำซากก็คือ ทำให้ประชาชนส่วนใหญ่ใช้เวทีประชาธิปไตย เลือกตั้งไม่ไว้วางใจให้พรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาลอีก
วิญญาณ 98 ศพ จึงเรียกร้องโหยหวนยาวนานมาจนถึงวันนี้ และวันต่อไป...ตราบใด ที่นักการเมืองบางคน “ไม่เข้าถึงจิตสำนึกประชาธิปไตย” มัวแต่ตะแบง “ดีแต่พูด” หวังใช้คารมบิดเบือนข้างๆ คูๆ ทุกเวที
โดยหารู้ไม่ว่า “ยิ่งตะแบง ก็ยิ่งเสื่อม” แม้กระทั่งความหล่อเหลาที่เหลืออยู่ ก็ช่วยกู้หน้าไม่ได้!
ที่มา.สยามธุรกิจออนไลน์
//////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
เมื่อมีฝูงชนถูกฆ่าทางการเมืองมากถึง 91 ศพ ในปี 2553 และตายเพิ่ม ภายหลังเป็น 98 ศพ ย่อมเป็นธรรมดาที่พลังมวลชนเสื้อแดงเรียกร้องหาความยุติธรรมจากรัฐบาลคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จนหลอกหลอนมาจนถึงวันนี้..ทั้งๆ ที่พรรคของคุณอภิสิทธิ์ก็เป็นฝ่ายค้านไปนานถึง 1 ปีแล้ว
นักการเมืองในระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริงจึงพึงสำเหนียกทุกขณะจิตว่า ต้อง แสดงความรับผิดชอบเช่นไร จึงจะได้ชื่อว่าเป็นนักการเมืองมีจิตสำนึกดี มีวุฒิภาวะสูง เป็นที่ชื่นชมสรรเสริญของประชาชนโดยทั่วไป เหมือนประเทศประชาธิปไตยอื่นๆ เคย แสดงให้เห็นเป็นประจักษ์มาแล้ว
แต่คุณอภิสิทธิ์นอกจากไม่แสดงภาวะผู้นำมาตรฐานแล้ว ยังปล่อยให้ความตายของคนไทยเกือบร้อยศพถูกเรียกร้องหาความยุติธรรมแทบไม่คืบหน้า เรียกว่า ถ่วงเวลา ให้นานที่สุดด้วยซ้ำ มันจึงส่งผลสะเทือนไปสู่การเลือกตั้งครั้งล่าสุดให้พรรคประชาธิปัตย์ต้อง พ่ายแพ้แบบ “หูรูดตูดฉีก” อย่างเหลือเชื่อ
ไม่น่าเชื่อว่า ทั้งที่มีอำนาจรัฐอยู่ในมือ และทหาร “ให้ท้าย” ทั้งกองทัพสนับสนุน เต็มกำลัง ก็ยังแพ้หมดรูป
ครั้งที่คุณอภิสิทธิ์เป็นรัฐบาล ผู้คนก็เห็นว่าข้าราชการหลายกรมกองถูกโยกย้ายเพื่อ “ผ่องถ่าย” ให้พวกข้าราชการที่ฝ่ายประชาธิปัตย์ไว้ใจเข้าไปทำงานแทนที่ ฉะนั้นเมื่อคุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตรเป็นรัฐบาลแล้ว ฝ่ายค้านจึงไม่ควรโวยวาย เมื่อข้าราชการที่ฝ่ายเพื่อไทย ไม่ไว้ใจต้องถูกโยกย้ายเป็นธรรมดา
วันนี้ที่พรรคฝ่ายค้านรู้สึกว่า ฝ่ายตัวเองไม่ได้รับความยุติธรรม จึงไม่ต่างจากที่ฝ่าย มวลชนเสื้อแดงเคยประสบมาแล้ว แต่เสื้อแดงเขาพกความแค้นมากกว่าเพราะมี “คนตาย 98 ศพ” เป็นประสบการณ์การต่อสู้ ซึ่งเป็นธรรมดาอีกนั่นแหละที่รัฐบาลนี้ดำเนินคดีได้รวดเร็ว ไม่ถ่วงเวลา จนถึงขั้นเชิญตัวคุณอภิสิทธิ์-คุณสุเทพเป็นฝ่ายถูกสอบจาก ปมฆ่า 98 ศพที่นักการเมืองห้วงนั้นไม่แสดงความรับผิดชอบมาตั้งแต่ต้น
มองด้วยใจเป็นธรรม จึงพูดไม่ได้ว่าคุณอภิสิทธิ์หรือคุณสุเทพถูกกลั่นแกล้ง แต่น่าจะเป็นผลกรรม
ยิ่งได้เห็นหนังสือลับ ลงวันที่ 17 เม.ย. 53 สมัยคุณสุเทพ เทือกสุบรรณ อนุมัติ ให้เจ้าหน้าที่ใช้ “พลแม่นปืน” และ “สามารถร้องขอการสนับสนุนพลซุ่มยิง (Sniper) จาก ศอฉ.ได้”...โดยลืมการอนุมัติให้ใช้โล่ ไม้พลองยาว หรือการฉีดน้ำและใช้คลื่นเสียง แม้แต่แก๊สน้ำตา กระบองหรือกระสุนยาง หรือยิงเตือน
จึงเป็นอนุสติเตือนนักการเมืองในอุดมคติ พึงหลีกเลี่ยงให้มากที่สุดกับการใช้ทหาร ที่มีอาวุธสงครามเพื่อนำมาสกัดฝูงชนที่เรียกร้องประเด็นการเมือง โดยเฉพาะคนที่ผ่าน สถาบันการเมืองมาจากอังกฤษ
แม้ฝ่ายทหารจะอ้างว่า ทหารก็เจ็บและเสียชีวิตหรือมีเหตุผลมากพอ แต่มันก็เกิน กว่าเหตุที่ภาพจากช่างภาพและกล้องวีดิโอจำนวนมากได้บันทึกเป็นประจักษ์ว่า ทหารใช้อาวุธสงคราม ใช้กระสุนจริง ใช้สไนเปอร์จริง และใช้รถหุ้มเกราะปฏิบัติการเทียบเท่า “สนามรบ” ใช้รหัส “เผาบ้านเผาเมือง” เหมือนฝูงชนเหล่าเนื้อเชื้อสายคนไทยด้วยกันเป็นข้าศึกศัตรูร้ายจากต่างชาติ
ที่ประเทศในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขไม่ควรกดปุ่มเลือกใช้
แต่นักการเมืองจากพรรคเก่าแก่กลับกล้าหาญชาญชัยใช้แก้ปัญหาการเมืองด้วยอารมณ์อำมหิต
คำตอบที่ซ้ำซากก็คือ ทำให้ประชาชนส่วนใหญ่ใช้เวทีประชาธิปไตย เลือกตั้งไม่ไว้วางใจให้พรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาลอีก
วิญญาณ 98 ศพ จึงเรียกร้องโหยหวนยาวนานมาจนถึงวันนี้ และวันต่อไป...ตราบใด ที่นักการเมืองบางคน “ไม่เข้าถึงจิตสำนึกประชาธิปไตย” มัวแต่ตะแบง “ดีแต่พูด” หวังใช้คารมบิดเบือนข้างๆ คูๆ ทุกเวที
โดยหารู้ไม่ว่า “ยิ่งตะแบง ก็ยิ่งเสื่อม” แม้กระทั่งความหล่อเหลาที่เหลืออยู่ ก็ช่วยกู้หน้าไม่ได้!
ที่มา.สยามธุรกิจออนไลน์
//////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
วันศุกร์ที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2555
โคตรใหญ่ !!?
กรณีคลิปเสียงนักการเมืองใหญ่นนทบุรี พรรคเพื่อไทย โทรศัพท์ถึงอดีตหัวหน้าอุทยานแห่งชาติเขาแหลม อำเภอทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งประจำกรมอุทยานแห่งชาติส่วนกลาง แม้เป็นคำพูดที่ต้องการไกล่เกลี่ยปัญหาให้กับเพื่อนที่มีปัญหาเรื่องการถือครองที่ดิน แต่หลายประโยคก็สะท้อนถึงพฤติกรรมของนักการเมืองที่พยายามแสดงบารมีต่อข้าราชการ โดยอ้างอำนาจของรัฐมนตรีและพวกพ้อง ซึ่งเป็นปัญหาของข้าราชการทุกยุคทุกสมัย
โดยเฉพาะปัญหาการบุกรุกป่าและเขตอุทยานแห่งชาติมากมายขณะนี้ ซึ่งนายดำรงค์ พิเดช อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) และเจ้าหน้าที่ทุกคนยืนหยัดต่อสู้กับผู้บุกรุกอย่างจริงจังโดยไม่เกรงกลัวอิทธิพลใดๆ แต่ผู้บุกรุกส่วนใหญ่ไม่เกรงกลัวกฎหมายหรือสำนึกในความผิด ยังพยายามทุกวิถีทางที่จะให้ทางราชการยอมรับการกระทำผิด โดยอ้างสารพัดเหตุผล
ที่สำคัญการบุกรุกป่าและพื้นที่อุทยานแห่งชาตินั้นมีมากมายและเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แต่ที่เป็นคดีความกว่า 360 คดีขณะนี้ส่วนใหญ่เป็นการบุกรุกทำรีสอร์ตและบ้านพักตากอากาศ ซึ่งเป็นผู้มีฐานะและมีอิทธิพล
จึงไม่แปลกที่จะมีการใช้อำนาจและอิทธิพล ทั้งทางตรงและทางอ้อมเพื่อข่มขู่และกลั่นแกล้งเจ้าหน้าที่รัฐที่ทำงานอย่างสุจริต แม้แต่นายดำรงค์ พิเดช ยังถูกตั้งคณะกรรมการสอบสวนในขณะนี้ แต่ถือเป็นการพิสูจน์ว่ารัฐบาลชุดนี้จะเอาจริงเอาจังและแก้ปัญหาอย่างถอนรากถอนโคนกับการบุกรุกทำลายป่า และนำคนผิดทุกระดับมาลงโทษหรือไม่ ไม่ใช่ปากว่าตาขยิบ “ช่วยคนเลว ทำลายคนดี” อย่างนักการเมืองหลายยุคหลายสมัยที่ผ่านๆมา
ที่มา.หนังสือพิมพ์โลกวันนี้
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
วันพฤหัสบดีที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2555
เปิดบทเรียน : รถไฟความเร็วสูง ขนผัก จากต่างประเทศ !!?
เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ประเด็นหนึ่งที่น่าจับตามองในแวดวงเศรษฐกิจ-การเมืองไทย คือการออกมาให้สัมภาษณ์ของนายพันศักดิ์ วิญญรัตน์ ประธานที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี 3 สมัย (ชาติชาย-ทักษิณ-ยิ่งลักษณ์) ในประเด็นเรื่องแผนการลงทุนสร้าง “ไฮสปีดเทรน” หรือรถไฟความเร็วสูงของประเทศไทย

แนวคิดของการขนส่งด้วย Railex คือใช้รถไฟความเร็วสูงขนส่งสินค้าทางไกล และตั้งศูนย์ขนถ่ายสินค้าตามจุดต่างๆ ทั่วประเทศ จากนั้นต่อเชื่อมเส้นทางด้วยรถบรรทุกในระยะสั้นจากจุดกระจายสินค้าอีกทีหนึ่ง
Railex ให้บริการมาตั้งแต่ปี 2006 โดยเริ่มจากเส้นทางระหว่างรัฐวอชิงตันทางตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศ มายังรัฐนิวยอร์กที่อยู่ด้านตะวันออกสุดของประเทศ จากนั้นก็ขยายเส้นทางในปี 2008 โดยเพิ่มเส้นทางระหว่างรัฐแคลิฟอร์เนีย-นิวยอร์ก เพิ่มเข้ามา ในอนาคต Railex มีแผนตั้งจุดขนถ่ายสินค้าตอนกลางประเทศที่ชิคาโก และมีแผนขยายเส้นทางมายังภาคตะวันออกเฉียงใต้อีกเส้นทางหนึ่ง

ในหนึ่งสัปดาห์มีรถไฟของ Railex วิ่งให้บริการขนส่งสินค้า 4 ขบวน โดยแบ่งเป็นเส้นทางวอชิงตัน-นิวยอร์ก 2 ขบวน และเส้นทางแคลิฟอร์เนีย-นิวยอร์ก 2 ขบวน รถทุกขบวนปรับอากาศและมีระบบตรวจสอบสินค้าด้วยกล้องวงจรปิด ระบบเช็คพิกัดด้วยจีพีเอส ส่วนศูนย์ขนถ่ายสินค้าทั้งสามแห่งก็มีระบบห้องเย็นพร้อมมูล ช่วยการันตีว่าสินค้าเกษตรที่ขนส่งด้วย Railex จะผ่านการปรับอากาศตลอดการเดินทาง
ตัวอย่างการขนสินค้าของ Railex ได้แก่การขนส่งไวน์ และการขนผลไม้ที่ลงเรือหรือเครื่องบินจากแอฟริกามายังฝั่งตะวันออกของสหรัฐ และกระจายไปยังภาคตะวันตกอีกทีหนึ่ง
หลังจากเปิดบริการมาได้ราว 5 ปี ทาง Railex ระบุว่าได้ขนส่งสินค้าเท่ากับรถบรรทุก 100,000 เที่ยวไปเรียบร้อยแล้ว การขนส่งด้วยรถไฟมีประสิทธิภาพดีกว่ารถบรรทุกมาก เพราะต้นทุนการขนส่งต่ำกว่า อนุรักษ์สิ่งแวดล้มมากกว่า และลดปัญหาจากการขนส่งโดยรถยนต์ เช่น การจราจรหรืออุบัติเหตุไปได้มาก
โครงการ Euro Carex มีแนวทางที่ต่างไปจาก Railex อยู่บ้าง เพราะเป็นโครงการที่ผลักดันโดยอุตสาหกรรมการบินที่กำลังถูกบีบจากกฎกติกาทางสังคม (เช่น การห้ามบินในเวลากลางคืน) ทำให้ทำธุรกิจขนส่งสินค้ายากขึ้น ทางออกที่เป็นไปได้จึงเป็นการเปลี่ยนวิธีขนส่งมาใช้รถไฟแทน และใช้จุดขนถ่ายสินค้าของสนามบิน (cargo) ที่มีอยู่แล้วในปัจจุบัน หรือพูดในอีกแง่ก็คือเปลี่ยนจากการขนส่งทางอากาศมาเป็นรถไฟเท่านั้น ส่วนโครงสร้างของอุตสาหกรรม cargo ยังเป็นเหมือนเดิม
Euro Carex มีจุดศูนย์กลางอยู่ที่สนามบินชาร์ลเดอโกล ปารีส และเมือง Liege ในเบลเยียม จากนั้นจะกระจายสินค้าไปยังประเทศอื่นๆ ในยุโรปตะวันตก เช่น ขนข้ามไปลอนดอนผ่านอุโมงค์ลอดใต้ช่องแคบอังกฤษ ขนขึ้นเหนือไปอัมสเตอร์ดัมและโคโลญจ์ และในระยะยาวจะขยายไปยังยุโรปตอนใต้อย่างสเปนและอิตาลีด้วย

ในเว็บไซต์ของ Euro Carex อธิบายแรงจูงใจของโครงการนี้ว่ามีปัจจัย 6 ประการที่ช่วยหนุนให้การขนส่งสินค้าด้วยรางลักษณะนี้เป็นไปได้ในเชิงธุรกิจ
Euro Carex จะใช้ขบวนรถ 2 แบบ ได้แก่ รถด่วน (Express) เน้นการขนสินค้าขนาดเล็ก มีกำหนดเวลาการส่งสินค้าที่ชัดเจน (เช่น ต้องส่งภายในวันรุ่งขึ้น) ซึ่งตลาดนี้เดิมเป็นตลาดที่ใช้เครื่องบินขนส่ง กับรถสินค้า (Cargo) สำหรับสินค้าขนาดใหญ่ที่ไม่เน้นระยะเวลาการส่งมากนัก (เช่น ภายใน 3 วัน) แต่เน้นเรื่องต้นทุนค่าส่งสินค้าที่ต่ำกว่าแบบ Express
โครงการ Euro Carex ถูกริเริ่มในปี 2009 มีแผนเพิ่มให้บริการจริงในปี 2015 และจะขยายเส้นทางไปเรื่อยๆ จนถึงปี 2020
การเกิดขึ้นของ Railex และแนวคิดการสร้าง Euro Carex เป็นตัวอย่างที่ดีว่าการขนส่งด้วยรถไฟความเร็วสูงเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ในทางปฏิบัติ และมีผลตอบแทนที่คุ้มค่าในเชิงธุรกิจ (ในกรณีของ Railex) ในกรณีของประเทศไทยที่มีที่ตั้งทางภูมิรัฐศาสตร์อันโดดเด่น สามารถนำหลักการนี้มาประยุกต์ใช้ได้ โดยอาจพิจารณาร่วมกับโครงการทางรถไฟสายอาเซียน (Kunming–Singapore Railway) ที่เคยถูกคิดขึ้นตั้งแต่สมัยอาณานิคม มาประกอบการตัดสินใจเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับประเทศ
ที่มา.Siam Intelligence Unit
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
- ประชาชาติธุรกิจ “พันศักดิ์ วิญญรัตน์” ชู Magic Number ชงรถไฟไฮสปีดทะลุยุโรป
- ไทยรัฐออนไลน์ รัฐสร้างเสาหลักรายได้ใหม่ เดินหน้าไฮสปีดเทรนเปลี่ยนอนาคตประเทศไทย
- หมายเหตุ: อ่านสกู๊ปพิเศษบทสัมภาษณ์พันศักดิ์ วิญญรัตน์ ของ SIU
“ที่น่าสนใจคือ การขนส่งสินค้าที่เน่าเสียได้ อย่างผัก ผลไม้ ที่ปัจจุบันนี้มีการขนส่งทางรถยนต์เกิดการเน่าเสีย 17-35% แต่เมื่อขนส่งทางไฮสปีดเทรน จะมีอัตราการเน่าเสีย 0% ประเทศไทยจะสามารถขนส่งสินค้าเกษตรไปถึงลูกค้าในมูลค่า 336,000 ล้านบาท ในปี 2561 ที่ไฮสปีดเทรนสร้างเสร็จโดยไม่มีความสูญเสียเลย ขณะที่การขนส่งสินค้าสดๆ อย่างปลาสดจะถึงมือลูกค้าทั้งๆที่ปลายังเป็นอยู่”SIU คิดว่าแนวคิดเรื่องการปรับระบบลอจิสติกส์ด้วยรถไฟความเร็วสูงเป็นเรื่องน่าสนใจมาก และลองหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับกรณีการขนส่งสินค้าเกษตรด้วยระบบรางจากต่างประเทศ เพื่อค้นหาว่าต่างประเทศมีประสบการณ์ด้านนี้อย่างไรบ้าง
Railex รถไฟความเร็วสูงขนสินค้าเกษตรข้ามทวีปของสหรัฐ
Railex รถไฟขนสินค้าเกษตรข้ามฝั่งทะเลสหรัฐ
ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดคือบริษัท Railex ของสหรัฐอเมริกา ซึ่งโฆษณาตัวเองไว้ว่าเป็น “Temperature Controlled Unit Train” หรือรถไฟควบคุมอุณหภูมิพิเศษ ที่วิ่งระหว่างฝั่งตะวันตก-ตะวันออกของสหรัฐอเมริกาเพื่อขนส่งสินค้าเกษตรโดยเฉพาะ ระยะเวลาการวิ่งจากฝั่งหนึ่งไปอีกฝั่งหนึ่งใช้เวลา 5 วันแนวคิดของการขนส่งด้วย Railex คือใช้รถไฟความเร็วสูงขนส่งสินค้าทางไกล และตั้งศูนย์ขนถ่ายสินค้าตามจุดต่างๆ ทั่วประเทศ จากนั้นต่อเชื่อมเส้นทางด้วยรถบรรทุกในระยะสั้นจากจุดกระจายสินค้าอีกทีหนึ่ง
Railex ให้บริการมาตั้งแต่ปี 2006 โดยเริ่มจากเส้นทางระหว่างรัฐวอชิงตันทางตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศ มายังรัฐนิวยอร์กที่อยู่ด้านตะวันออกสุดของประเทศ จากนั้นก็ขยายเส้นทางในปี 2008 โดยเพิ่มเส้นทางระหว่างรัฐแคลิฟอร์เนีย-นิวยอร์ก เพิ่มเข้ามา ในอนาคต Railex มีแผนตั้งจุดขนถ่ายสินค้าตอนกลางประเทศที่ชิคาโก และมีแผนขยายเส้นทางมายังภาคตะวันออกเฉียงใต้อีกเส้นทางหนึ่ง
เส้นทางของ Railex ในปัจจุบัน (2012)
ในหนึ่งสัปดาห์มีรถไฟของ Railex วิ่งให้บริการขนส่งสินค้า 4 ขบวน โดยแบ่งเป็นเส้นทางวอชิงตัน-นิวยอร์ก 2 ขบวน และเส้นทางแคลิฟอร์เนีย-นิวยอร์ก 2 ขบวน รถทุกขบวนปรับอากาศและมีระบบตรวจสอบสินค้าด้วยกล้องวงจรปิด ระบบเช็คพิกัดด้วยจีพีเอส ส่วนศูนย์ขนถ่ายสินค้าทั้งสามแห่งก็มีระบบห้องเย็นพร้อมมูล ช่วยการันตีว่าสินค้าเกษตรที่ขนส่งด้วย Railex จะผ่านการปรับอากาศตลอดการเดินทาง
ตัวอย่างการขนสินค้าของ Railex ได้แก่การขนส่งไวน์ และการขนผลไม้ที่ลงเรือหรือเครื่องบินจากแอฟริกามายังฝั่งตะวันออกของสหรัฐ และกระจายไปยังภาคตะวันตกอีกทีหนึ่ง
หลังจากเปิดบริการมาได้ราว 5 ปี ทาง Railex ระบุว่าได้ขนส่งสินค้าเท่ากับรถบรรทุก 100,000 เที่ยวไปเรียบร้อยแล้ว การขนส่งด้วยรถไฟมีประสิทธิภาพดีกว่ารถบรรทุกมาก เพราะต้นทุนการขนส่งต่ำกว่า อนุรักษ์สิ่งแวดล้มมากกว่า และลดปัญหาจากการขนส่งโดยรถยนต์ เช่น การจราจรหรืออุบัติเหตุไปได้มาก
Euro Carex โครงการรถไฟเชื่อมยุโรปตะวันตก
ฝั่งยุโรปเองก็มีแนวคิดการสร้างโครงข่ายรถไฟความเร็วสูงสำหรับขนถ่ายสินค้า (European High-speed Rail Freight Network) เช่นกัน ถึงแม้ว่าจะยังเป็นเพียงโครงการอยู่ก็ตามโครงการ Euro Carex มีแนวทางที่ต่างไปจาก Railex อยู่บ้าง เพราะเป็นโครงการที่ผลักดันโดยอุตสาหกรรมการบินที่กำลังถูกบีบจากกฎกติกาทางสังคม (เช่น การห้ามบินในเวลากลางคืน) ทำให้ทำธุรกิจขนส่งสินค้ายากขึ้น ทางออกที่เป็นไปได้จึงเป็นการเปลี่ยนวิธีขนส่งมาใช้รถไฟแทน และใช้จุดขนถ่ายสินค้าของสนามบิน (cargo) ที่มีอยู่แล้วในปัจจุบัน หรือพูดในอีกแง่ก็คือเปลี่ยนจากการขนส่งทางอากาศมาเป็นรถไฟเท่านั้น ส่วนโครงสร้างของอุตสาหกรรม cargo ยังเป็นเหมือนเดิม
Euro Carex มีจุดศูนย์กลางอยู่ที่สนามบินชาร์ลเดอโกล ปารีส และเมือง Liege ในเบลเยียม จากนั้นจะกระจายสินค้าไปยังประเทศอื่นๆ ในยุโรปตะวันตก เช่น ขนข้ามไปลอนดอนผ่านอุโมงค์ลอดใต้ช่องแคบอังกฤษ ขนขึ้นเหนือไปอัมสเตอร์ดัมและโคโลญจ์ และในระยะยาวจะขยายไปยังยุโรปตอนใต้อย่างสเปนและอิตาลีด้วย
แผนที่โครงการของ Euro Carex
ในเว็บไซต์ของ Euro Carex อธิบายแรงจูงใจของโครงการนี้ว่ามีปัจจัย 6 ประการที่ช่วยหนุนให้การขนส่งสินค้าด้วยรางลักษณะนี้เป็นไปได้ในเชิงธุรกิจ
- อุตสาหกรรมขนส่งสินค้าเองมีการเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่อง
- การบินช่วงดึกเริ่มเจอข้อจำกัดจากระเบียบของชุมชนใกล้สนามบิน ที่ต้องการลดมลภาวะทางเสียง
- ถนนในยุโรปเริ่มมีการจราจรหนาแน่น และยุโรปก็เริ่มออกกฎจำกัดความเร็วของรถบรรทุกหนักส่งสินค้า (HGV หรือ heavy goods vehicle)
- ราคาน้ำมันเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ
- การขยายตัวของโครงข่ายรางรถไฟ
- อุตสาหกรรมการขนส่งด้วยรางในยุโรปกลับถูกจำกัดด้านกฎระเบียบน้อยลง
Euro Carex จะใช้ขบวนรถ 2 แบบ ได้แก่ รถด่วน (Express) เน้นการขนสินค้าขนาดเล็ก มีกำหนดเวลาการส่งสินค้าที่ชัดเจน (เช่น ต้องส่งภายในวันรุ่งขึ้น) ซึ่งตลาดนี้เดิมเป็นตลาดที่ใช้เครื่องบินขนส่ง กับรถสินค้า (Cargo) สำหรับสินค้าขนาดใหญ่ที่ไม่เน้นระยะเวลาการส่งมากนัก (เช่น ภายใน 3 วัน) แต่เน้นเรื่องต้นทุนค่าส่งสินค้าที่ต่ำกว่าแบบ Express
โครงการ Euro Carex ถูกริเริ่มในปี 2009 มีแผนเพิ่มให้บริการจริงในปี 2015 และจะขยายเส้นทางไปเรื่อยๆ จนถึงปี 2020
สรุป
แนวคิดเรื่องการใช้รถไฟความเร็วสูงขนส่งสินค้าไม่ใช่เรื่องใหม่เลย เพราะแนวคิดนี้ถูกเสนอตั้งแต่ปี 1984 โดย Yanick Paternotte นักการเมืองชาวฝรั่งเศสที่เชี่ยวชาญเรื่องสิ่งแวดล้อมและกฎเกณฑ์ของสนามบิน เขาเสนอว่าเที่ยวบินสินค้ารอบดึกสามารถใช้การขนส่งด้วยรถไฟได้ และทางบริษัทรถไฟแห่งชาติของฝรั่งเศส (SNCF) ก็ตอบรับและเคยศึกษาเรื่องนี้ในเชิงธุรกิจการเกิดขึ้นของ Railex และแนวคิดการสร้าง Euro Carex เป็นตัวอย่างที่ดีว่าการขนส่งด้วยรถไฟความเร็วสูงเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ในทางปฏิบัติ และมีผลตอบแทนที่คุ้มค่าในเชิงธุรกิจ (ในกรณีของ Railex) ในกรณีของประเทศไทยที่มีที่ตั้งทางภูมิรัฐศาสตร์อันโดดเด่น สามารถนำหลักการนี้มาประยุกต์ใช้ได้ โดยอาจพิจารณาร่วมกับโครงการทางรถไฟสายอาเซียน (Kunming–Singapore Railway) ที่เคยถูกคิดขึ้นตั้งแต่สมัยอาณานิคม มาประกอบการตัดสินใจเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับประเทศ
ที่มา.Siam Intelligence Unit
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
3 กูรู ชี้ทิศทางฝ่าวิกฤตเศรษฐกิจ พลิกกลยุทธ์รับมือสงครามการค้าโลก !?
เวที ปาฐกถาพิเศษ หัวข้อเรื่อง "จุดเปลี่ยนการค้าโลก : ไทยจะเดินทางอย่างไร" ในวันครบรอบ 92 ปีการสถาปนากระทรวงพาณิชย์ 20 ส.ค.ที่ผ่านมา องค์ปาฐกถาประกอบด้วย นายวีรพงษ์ รามางกูร ประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ (กยอ.), นายศุภชัย พานิชภักดิ์ เลขาธิการการประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการค้าและการพัฒนา (อังค์ถัด) และ นายธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานกรรมการและประธานคณะผู้บริหาร เครือเจริญโภคภัณฑ์ สุดยอดกูรูด้านธุรกิจ เศรษฐกิจ ถ่ายทอดประสบการณ์ชี้ทิศทางฝ่าวิกฤตที่กำลังเผชิญอยู่ขณะนี้
NTMs โมเดลใหม่กีดกันทางการค้า
นาย ศุภชัยกล่าวว่า เศรษฐกิจสหภาพยุโรปและสหรัฐกำลังเข้าสู่ภาวะซบเซาจากที่เคยขยายตัวปีละ 6-7% ปีก่อนลดเหลือ 2.5% และปีนี้จนถึงปีหน้าคงเติบโตไม่ถึง 2.5% นอกจากนี้ยังมีปัญหาขาดความเชื่อมั่นในระบบการค้าแบบพหุภาคี จากที่การเจรจารอบโดฮา ภายใต้กรอบองค์การการค้าโลกไม่คืบหน้า และไม่น่าจะได้ข้อสรุปในปีนี้ ประเทศต่าง ๆ จึงเพิ่มการใช้มาตรการกีดกันทางการค้าที่มิใช่ภาษี (NTMs : Non Tariff Measures) มากขึ้น
ไทยควรปรับวิธีเจรจาใหม่เป็นกลุ่มย่อย เฉพาะเรื่อง เลือกเรื่องที่พร้อมมาเจรจาก่อน จากเดิมเจรจาทุกเรื่องให้จบพร้อมกัน ทำให้ยืดเยื้อ เช่น เลือกเจรจาประเด็นการเงิน การจัดซื้อจัดจ้างโดยรัฐ ฯลฯ ซึ่งอาจจะมีฝ่ายคัดค้าน แต่จะได้ประโยชน์กว่า
ตนไม่เห็นด้วยที่จะ เปิดการเจรจากรอบความตกลงที่ให้สิทธิพิเศษทางการค้า (PTA : Preference Trade Agreement) ซึ่งเริ่มมีมากขึ้น เพราะเป็นการเจรจาระหว่างประเทศที่ไม่มีความเท่าเทียมกัน เช่น กรอบเจรจาสหรัฐกับเอเชีย-แปซิฟิก (TPP) ซึ่งเสี่ยงมากที่ข้อตกลงจะมีผลเกินกว่าที่ตกลงไว้ในกรอบดับบลิว
ทีโอ หรืออาจเรียก WTO+4 หรือปรับเงื่อนไขเจรจาให้เป็น soft law นอกจากนี้เป็นห่วงประเทศกำลังพัฒนาจะติดกับดัก global public goods ให้เป็นหนึ่งในห่วงโซ่การผลิต แต่ไม่สามารถพัฒนาให้ก้าวหน้าต่อไปได้ ต้องปรับแนวคิดนำเทคโนโลยี การวิจัยและพัฒนา การใช้เครือข่ายการค้าสากลในระดับต่าง ๆ มาใช้
โลกอนาคตไม่ใช่ของอียู-สหรัฐ
ประเด็น ที่ไทยจะเตรียมความพร้อมสู่การเป็นประชาคมอาเซียน (AEC) ในอนาคตไทยไม่มีปัญหาเรื่องการเตรียมตัว แต่อาเซียนคงไม่สามารถรวมกลุ่มประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนได้สำเร็จ เพราะไม่ใช่แค่ลดภาษี แต่หมายถึงการปรับกฎระเบียบอื่นด้วย ซึ่งขณะนี้ทั้งเรื่องแรงงาน พลังงาน การเงิน การศึกษา ล้วนอยู่ในขั้นตอนดำเนินการ ให้กลุ่มอาเซียนเร่งพัฒนาความร่วมมือทางเศรษฐกิจร่วมกับภาคีทั้ง 6 ประเทศ ทั้งกรอบการเจรจาอาเซียน+3 อาเซียน+6 เพราะโลกต่อไปจะไม่ใช่โลกของอียูและสหรัฐแล้ว
นายศุภชัยย้ำว่า ขอให้รัฐบาลคำนึงถึงการใช้ประโยชน์จากกฎระเบียบที่มีอยู่ 4 เรื่องมากขึ้น คือ การจดทะเบียนคุ้มครองสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (GI) การออกประกาศบังคับใช้สิทธิ์ (CL) การเพิ่มประสิทธิภาพในการบังคับใช้ พ.ร.บ.แข่งขันทางการค้า พ.ศ. 2542 และการเข้าเป็นภาคีเรื่องความหลากหลายทางชีวภาพ โดยยึดหลัก Nagoya Protocal ปกป้องการเข้ามาโจรกรรมทรัพยากรไปใช้ประโยชน์ โดยไม่แบ่งปันให้เจ้าของสิทธิ์ หากไม่ตื่นตัวไม่มีกฎเข้มแข็งจะเสียเปรียบ กระทบผู้บริโภค
ทัพหน้า-ทัพหลังหนุนเอกชนส่งออก
ขณะ ที่นายวีรพงษ์กล่าวว่า กระทรวงพาณิชย์เป็นทัพหน้าในการนำเอกชน ส่วนกระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เป็นหน่วยระวังหลัง ต้องสนับสนุนและให้ความสะดวกเอกชน เพราะการค้าไทยมีสัดส่วนเพียง 1% ของการค้าโลก จะให้อยู่เฉพาะตลาดในไทยคงไม่ได้ ต้องสนับสนุนออกไปทั่วโลก
ตอน นี้ไทยอยู่บนทาง 3 แพร่ง จะต้องเลือกเลี้ยวซ้ายหรือขาว เพราะข้างหน้าคือหุบเหว ก่อนหน้านี้หัวรถจักรคือสหรัฐ-สหภาพยุโรป แต่สหรัฐคงไม่ฟื้น ที่ผ่านมาสหรัฐแข่งขันได้ในตลาดโลก เพราะใช้กฎหมายผูกขาดทรัพย์สินทางปัญญามาควบคุมคนอื่น แต่ตอนนี้ไม่มีเทคโนโลยีอะไรผูกขาดได้
ส่วนสหภาพยุโรปก็รอวันตาย เพราะเอาคนแก่เล็กเด็กแดงไปผูกไว้ด้วยสกุลเงินเดียวกัน ทั้งที่ความสามารถแข่งขันต่างกัน มาตรการแก้ปัญหาที่นำมาใช้ไม่ได้แก้ไขปัญหาแท้จริง แค่อุดสภาพคล่อง ถ้าไม่ไหวอาจต้องยอมตัดเนื้อร้ายหรือพายุโรปตายยกแผง
ทวาย-มาบตาพุด พลิกโฉมประเทศไทย
ที่ น่าจับตามองคือ ผลกระทบต่อจีน ซึ่งเป็นผู้ส่งออกที่พึ่งพาตลาดสหรัฐและยุโรป แต่เชื่อว่าจีนไม่น่าทรุด เพราะเริ่มปรับตัวโดยกระตุ้นการใช้จ่ายในประเทศ และการลงทุนภาครัฐ จุดนี้ถือเป็นโอกาสของไทยที่เป็นศูนย์กลางของอาเซียน อยู่ใกล้จีน ประกอบกับญี่ปุ่นจะขยายอำนาจไปทวาย เพื่อลดต้นทุนการขนส่ง
จึงเห็นด้วยที่รัฐบาลสนับสนุนโครงการทวาย เพราะจะเชื่อมมาบตาพุด แหลมฉบังไปยังทวาย ทำให้การค้าไทยไปยังฝั่งตะวันตกเติบโตขึ้น จากเดิมมีเพียง 35% เทียบกับการค้าไทยกับฝั่งตะวันออก มีโอกาสขยายการค้าไปยังอินเดีย ตะวันออกกลาง จะพลิกโฉมประเทศไทยมหาศาลในอีก 20-30 ปีข้างหน้า
มุ่งแชมป์คุณภาพข้าวแทนแชมป์ราคา
ด้าน นายธนินท์กล่าวสนับสนุนโครงการรับจำนำข้าว โดยระบุว่าเคยสอบถามชาวนาก็เห็นว่าดีกว่าการประกันราคา ซึ่งไม่ได้เข้าข้างรัฐบาล แต่ราคาประกัน 10 บาท ขายได้ 5 บาท รัฐบาลจาก 5 บาท ขายได้ 7 บาท รัฐจ่าย 3 บาท มีการรั่วไหล แล้วจะป้องกันความเสียหายอย่างไร นักธุรกิจค้าข้าวพอใจ ซื้อถูกขายถูก ง่าย แต่จำนำซื้อแพง ขายแพง ยาก มีโอกาสขาดทุน
คนได้คือชาวนา คนเสียคือรัฐบาลกับนักธุรกิจ จึงต้องช่วยให้นักธุรกิจเสียหายน้อยที่สุด เช่น ปรับมาใช้ระบบโควตาข้าวเหมือนเดิม ให้แต่ละคนได้ข้าวตามประวัติส่งออก ทุกคนต้องไปขายข้าวคุณภาพเดียวกันราคาเท่ากัน ไม่ตัดราคา ใช้บริษัทเซอร์เวเยอร์ระดับโลกมาดูแลและรับฝาก และให้แบงก์การันตี
การ ส่งออกข้าวไทยต้องไม่มุ่งแข่งขันเป็นแชมป์ด้านราคา แต่ควรเป็นแชมป์ด้านคุณภาพมากกว่า อนาคตพม่าจะเป็นคู่แข่งสำคัญที่สุด อินเดียไม่ใช่คู่แข่งถาวร เวียดนาม กัมพูชาก็ไม่ใช่ เพราะพม่ามีพื้นที่ และมีคนกว่า 90 ล้านคน รัฐจึงควรส่งเสริมเอกชนไทยไปลงทุนซื้อข้าวจากพม่าเป็นวัตถุดิบส่งออก ให้ปรับแนวคิดว่าวัตถุดิบของไทยมีอยู่ทั่วโลก ส่งเสริมให้ไปซื้อหน้าดินมา แล้วนำสินค้าพวกรถจักรยานยนต์ โทรทัศน์ ส่งกลับไปขาย
หนุนเกษตร-พลังงานทดแทน-ท่องเที่ยว
ไทย ไม่ควรกังวลปัญหาเงินเฟ้อเกินไป เพราะไม่สามารถคุมราคาน้ำมันในตลาดโลก วิกฤตยุโรปและสหรัฐ จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกในปีหน้ารุนแรงกว่าปีนี้ เป็นโอกาสของไทยในการลงทุน หรือเข้าซื้อกิจการ รัฐบาลก็มีโอกาส เพราะเงินทุนสำรองมากถึง 1.8 แสนล้านเหรียญสหรัฐ ควรนำมาลงทุนสร้างสาธารณูปโภค ทั้งท่าเรือ คมนาคม โลจิสติกส์ ชลประทาน รถไฟรางคู่ และสนับสนุนนักธุรกิจเล็ก กลาง จิ๋ว ไปลงทุนต่างประเทศ
พัฒนา ระบบชลประทาน 25 ล้านไร่ปลูกข้าวให้ผลผลิตเท่ากับที่เคยปลูก 67 ล้านไร่ แล้วนำที่ดินที่เหลือ 30-40 ล้านไร่ ไปปลูกปาล์มน้ำมัน ยางพารา อ้อย มันสำปะหลัง เป็นวัตถุดิบผลิตพลังงานทดแทน ต้องสนับสนุนธุรกิจด้านการท่องเที่ยว ปรับลดภาษี สร้างฟรีเทรดโซนเพิ่มขึ้น แก้กฎหมายดึงเอกชนเข้ามาลงทุน เช่น ให้เช่าที่ดินเป็น 99 ปี ลดภาษีนิติบุคคลเหลือ 16-17% ต่ำกว่าฮ่องกง เพื่อดึงดูดเม็ดเงินต่างชาติ
ที่มา.ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
NTMs โมเดลใหม่กีดกันทางการค้า
นาย ศุภชัยกล่าวว่า เศรษฐกิจสหภาพยุโรปและสหรัฐกำลังเข้าสู่ภาวะซบเซาจากที่เคยขยายตัวปีละ 6-7% ปีก่อนลดเหลือ 2.5% และปีนี้จนถึงปีหน้าคงเติบโตไม่ถึง 2.5% นอกจากนี้ยังมีปัญหาขาดความเชื่อมั่นในระบบการค้าแบบพหุภาคี จากที่การเจรจารอบโดฮา ภายใต้กรอบองค์การการค้าโลกไม่คืบหน้า และไม่น่าจะได้ข้อสรุปในปีนี้ ประเทศต่าง ๆ จึงเพิ่มการใช้มาตรการกีดกันทางการค้าที่มิใช่ภาษี (NTMs : Non Tariff Measures) มากขึ้น
ไทยควรปรับวิธีเจรจาใหม่เป็นกลุ่มย่อย เฉพาะเรื่อง เลือกเรื่องที่พร้อมมาเจรจาก่อน จากเดิมเจรจาทุกเรื่องให้จบพร้อมกัน ทำให้ยืดเยื้อ เช่น เลือกเจรจาประเด็นการเงิน การจัดซื้อจัดจ้างโดยรัฐ ฯลฯ ซึ่งอาจจะมีฝ่ายคัดค้าน แต่จะได้ประโยชน์กว่า
ตนไม่เห็นด้วยที่จะ เปิดการเจรจากรอบความตกลงที่ให้สิทธิพิเศษทางการค้า (PTA : Preference Trade Agreement) ซึ่งเริ่มมีมากขึ้น เพราะเป็นการเจรจาระหว่างประเทศที่ไม่มีความเท่าเทียมกัน เช่น กรอบเจรจาสหรัฐกับเอเชีย-แปซิฟิก (TPP) ซึ่งเสี่ยงมากที่ข้อตกลงจะมีผลเกินกว่าที่ตกลงไว้ในกรอบดับบลิว
ทีโอ หรืออาจเรียก WTO+4 หรือปรับเงื่อนไขเจรจาให้เป็น soft law นอกจากนี้เป็นห่วงประเทศกำลังพัฒนาจะติดกับดัก global public goods ให้เป็นหนึ่งในห่วงโซ่การผลิต แต่ไม่สามารถพัฒนาให้ก้าวหน้าต่อไปได้ ต้องปรับแนวคิดนำเทคโนโลยี การวิจัยและพัฒนา การใช้เครือข่ายการค้าสากลในระดับต่าง ๆ มาใช้
โลกอนาคตไม่ใช่ของอียู-สหรัฐ
ประเด็น ที่ไทยจะเตรียมความพร้อมสู่การเป็นประชาคมอาเซียน (AEC) ในอนาคตไทยไม่มีปัญหาเรื่องการเตรียมตัว แต่อาเซียนคงไม่สามารถรวมกลุ่มประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนได้สำเร็จ เพราะไม่ใช่แค่ลดภาษี แต่หมายถึงการปรับกฎระเบียบอื่นด้วย ซึ่งขณะนี้ทั้งเรื่องแรงงาน พลังงาน การเงิน การศึกษา ล้วนอยู่ในขั้นตอนดำเนินการ ให้กลุ่มอาเซียนเร่งพัฒนาความร่วมมือทางเศรษฐกิจร่วมกับภาคีทั้ง 6 ประเทศ ทั้งกรอบการเจรจาอาเซียน+3 อาเซียน+6 เพราะโลกต่อไปจะไม่ใช่โลกของอียูและสหรัฐแล้ว
นายศุภชัยย้ำว่า ขอให้รัฐบาลคำนึงถึงการใช้ประโยชน์จากกฎระเบียบที่มีอยู่ 4 เรื่องมากขึ้น คือ การจดทะเบียนคุ้มครองสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (GI) การออกประกาศบังคับใช้สิทธิ์ (CL) การเพิ่มประสิทธิภาพในการบังคับใช้ พ.ร.บ.แข่งขันทางการค้า พ.ศ. 2542 และการเข้าเป็นภาคีเรื่องความหลากหลายทางชีวภาพ โดยยึดหลัก Nagoya Protocal ปกป้องการเข้ามาโจรกรรมทรัพยากรไปใช้ประโยชน์ โดยไม่แบ่งปันให้เจ้าของสิทธิ์ หากไม่ตื่นตัวไม่มีกฎเข้มแข็งจะเสียเปรียบ กระทบผู้บริโภค
ทัพหน้า-ทัพหลังหนุนเอกชนส่งออก
ขณะ ที่นายวีรพงษ์กล่าวว่า กระทรวงพาณิชย์เป็นทัพหน้าในการนำเอกชน ส่วนกระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เป็นหน่วยระวังหลัง ต้องสนับสนุนและให้ความสะดวกเอกชน เพราะการค้าไทยมีสัดส่วนเพียง 1% ของการค้าโลก จะให้อยู่เฉพาะตลาดในไทยคงไม่ได้ ต้องสนับสนุนออกไปทั่วโลก
ตอน นี้ไทยอยู่บนทาง 3 แพร่ง จะต้องเลือกเลี้ยวซ้ายหรือขาว เพราะข้างหน้าคือหุบเหว ก่อนหน้านี้หัวรถจักรคือสหรัฐ-สหภาพยุโรป แต่สหรัฐคงไม่ฟื้น ที่ผ่านมาสหรัฐแข่งขันได้ในตลาดโลก เพราะใช้กฎหมายผูกขาดทรัพย์สินทางปัญญามาควบคุมคนอื่น แต่ตอนนี้ไม่มีเทคโนโลยีอะไรผูกขาดได้
ส่วนสหภาพยุโรปก็รอวันตาย เพราะเอาคนแก่เล็กเด็กแดงไปผูกไว้ด้วยสกุลเงินเดียวกัน ทั้งที่ความสามารถแข่งขันต่างกัน มาตรการแก้ปัญหาที่นำมาใช้ไม่ได้แก้ไขปัญหาแท้จริง แค่อุดสภาพคล่อง ถ้าไม่ไหวอาจต้องยอมตัดเนื้อร้ายหรือพายุโรปตายยกแผง
ทวาย-มาบตาพุด พลิกโฉมประเทศไทย
ที่ น่าจับตามองคือ ผลกระทบต่อจีน ซึ่งเป็นผู้ส่งออกที่พึ่งพาตลาดสหรัฐและยุโรป แต่เชื่อว่าจีนไม่น่าทรุด เพราะเริ่มปรับตัวโดยกระตุ้นการใช้จ่ายในประเทศ และการลงทุนภาครัฐ จุดนี้ถือเป็นโอกาสของไทยที่เป็นศูนย์กลางของอาเซียน อยู่ใกล้จีน ประกอบกับญี่ปุ่นจะขยายอำนาจไปทวาย เพื่อลดต้นทุนการขนส่ง
จึงเห็นด้วยที่รัฐบาลสนับสนุนโครงการทวาย เพราะจะเชื่อมมาบตาพุด แหลมฉบังไปยังทวาย ทำให้การค้าไทยไปยังฝั่งตะวันตกเติบโตขึ้น จากเดิมมีเพียง 35% เทียบกับการค้าไทยกับฝั่งตะวันออก มีโอกาสขยายการค้าไปยังอินเดีย ตะวันออกกลาง จะพลิกโฉมประเทศไทยมหาศาลในอีก 20-30 ปีข้างหน้า
มุ่งแชมป์คุณภาพข้าวแทนแชมป์ราคา
ด้าน นายธนินท์กล่าวสนับสนุนโครงการรับจำนำข้าว โดยระบุว่าเคยสอบถามชาวนาก็เห็นว่าดีกว่าการประกันราคา ซึ่งไม่ได้เข้าข้างรัฐบาล แต่ราคาประกัน 10 บาท ขายได้ 5 บาท รัฐบาลจาก 5 บาท ขายได้ 7 บาท รัฐจ่าย 3 บาท มีการรั่วไหล แล้วจะป้องกันความเสียหายอย่างไร นักธุรกิจค้าข้าวพอใจ ซื้อถูกขายถูก ง่าย แต่จำนำซื้อแพง ขายแพง ยาก มีโอกาสขาดทุน
คนได้คือชาวนา คนเสียคือรัฐบาลกับนักธุรกิจ จึงต้องช่วยให้นักธุรกิจเสียหายน้อยที่สุด เช่น ปรับมาใช้ระบบโควตาข้าวเหมือนเดิม ให้แต่ละคนได้ข้าวตามประวัติส่งออก ทุกคนต้องไปขายข้าวคุณภาพเดียวกันราคาเท่ากัน ไม่ตัดราคา ใช้บริษัทเซอร์เวเยอร์ระดับโลกมาดูแลและรับฝาก และให้แบงก์การันตี
การ ส่งออกข้าวไทยต้องไม่มุ่งแข่งขันเป็นแชมป์ด้านราคา แต่ควรเป็นแชมป์ด้านคุณภาพมากกว่า อนาคตพม่าจะเป็นคู่แข่งสำคัญที่สุด อินเดียไม่ใช่คู่แข่งถาวร เวียดนาม กัมพูชาก็ไม่ใช่ เพราะพม่ามีพื้นที่ และมีคนกว่า 90 ล้านคน รัฐจึงควรส่งเสริมเอกชนไทยไปลงทุนซื้อข้าวจากพม่าเป็นวัตถุดิบส่งออก ให้ปรับแนวคิดว่าวัตถุดิบของไทยมีอยู่ทั่วโลก ส่งเสริมให้ไปซื้อหน้าดินมา แล้วนำสินค้าพวกรถจักรยานยนต์ โทรทัศน์ ส่งกลับไปขาย
หนุนเกษตร-พลังงานทดแทน-ท่องเที่ยว
ไทย ไม่ควรกังวลปัญหาเงินเฟ้อเกินไป เพราะไม่สามารถคุมราคาน้ำมันในตลาดโลก วิกฤตยุโรปและสหรัฐ จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกในปีหน้ารุนแรงกว่าปีนี้ เป็นโอกาสของไทยในการลงทุน หรือเข้าซื้อกิจการ รัฐบาลก็มีโอกาส เพราะเงินทุนสำรองมากถึง 1.8 แสนล้านเหรียญสหรัฐ ควรนำมาลงทุนสร้างสาธารณูปโภค ทั้งท่าเรือ คมนาคม โลจิสติกส์ ชลประทาน รถไฟรางคู่ และสนับสนุนนักธุรกิจเล็ก กลาง จิ๋ว ไปลงทุนต่างประเทศ
พัฒนา ระบบชลประทาน 25 ล้านไร่ปลูกข้าวให้ผลผลิตเท่ากับที่เคยปลูก 67 ล้านไร่ แล้วนำที่ดินที่เหลือ 30-40 ล้านไร่ ไปปลูกปาล์มน้ำมัน ยางพารา อ้อย มันสำปะหลัง เป็นวัตถุดิบผลิตพลังงานทดแทน ต้องสนับสนุนธุรกิจด้านการท่องเที่ยว ปรับลดภาษี สร้างฟรีเทรดโซนเพิ่มขึ้น แก้กฎหมายดึงเอกชนเข้ามาลงทุน เช่น ให้เช่าที่ดินเป็น 99 ปี ลดภาษีนิติบุคคลเหลือ 16-17% ต่ำกว่าฮ่องกง เพื่อดึงดูดเม็ดเงินต่างชาติ
ที่มา.ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)