--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันพฤหัสบดีที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2555

อึ้ง-ตะลึง-ฮือฮา-เสียว เมื่อชื่อ "ปู-ยิ่งลักษณ์" กลายเป็นศัพท์การ์ตูนญี่ปุ่น !!?

สำหรับคนที่เป็นคอการ์ตูนญี่ปุ่นชนิดเข้ากระแสเลือด คงจะคุ้นเคยกับคำศัพท์ยอดฮิตหรือคำแสลงต่างๆของวัยรุ่นแดนอาทิตย์อุทัยที่สอดแทรกอยู่ในบทสนทนาของตัวละครในเรื่องเป็นอย่างดี

อาทิเช่น “โอนิ” ที่ปกติแล้วในภาษาญี่ปุ่นคำๆนี้จะแปลว่า “ยักษ์” แต่ในปัจจุบันมักจะเอามาใช้ในความหมายที่ว่า “เป็นระดับสุดยอดที่เหนือกว่าชาวบ้านทั่วๆไป”

 หรือคำว่า “โมริเกิร์ล” ที่มีความหมายถึงว่า “ผู้หญิงที่ไม่ค่อยแต่งหน้าแต่งตาและแต่งตัวเซอร์ๆ”



 แต่ที่ฮิตติดปากคนไทยมากที่สุด น่าจะเป็นคำว่า “โอตาคุ” ที่มีความหมายว่า “ผู้ที่คลั่งไคล้สิ่งใดสิ่งหนึ่งมากๆ” แต่ส่วนใหญ่คำนี้มักจะใช้กับพวกที่บ้าการ์ตูนเป็นส่วนใหญ่ อีกทั้งถ้าพูดถึงพวกโอตาคุแล้วอิมเมจของคนกลุ่มนี้ก็จะเป็นเพศชาย ตัวอ้วนๆ สิวเขรอะๆ ใส่แว่น ผมเผ้ารุงรังไม่สระผม กลิ่นเหงื่อโชย เสื้อยืด กางเกงยีนส์ รองเท้าแตะ แบกเป้ ทั้งที่ความจริงแล้วมีพวกที่ดูดีแต่เป็นโอตาคุอยู่ทั่วไป ทำให้คนที่มีบุคลิ
ดังกล่าวได้รับความซวยไปโดยปริยาย

นอกจากโอตาคุแล้วคำว่า “โลลิค่อน” ก็เป็นอีกคำหนึ่งที่ติดปากคนไทยเช่นกัน โดยมีความหมายถึง “ผู้ชายสูงวัยที่มีความรู้สึกเสน่หากับเด็กสาวที่มีอายุระหว่าง 10-20 ปี” หรือเรียกง่ายๆว่า “พวกรักเด็ก”

นอกจากคำแสลงญี่ปุ่นที่ยกตัวอย่างไปข้างต้นแล้ว ในหนังสือการ์ตูน, เกม หรือเอนิเมชั่นญี่ปุ่นที่ได้รับการตีพิมพ์ในประเทศไทยก็ยังมีคำแสลงอีกมากมายอยู่ในนั้นเพียงแต่ไม่ค่อยได้รับความนิยมจากผู้อ่านสักเท่าไหร่ ทำให้ถูกหลงลืมไป

ล่าสุดหลังจากที่นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีหญิงของไทยเดินทางไปปฏิบัติภารกิจเรียกความเชื่อมั่นจากนักลงทุนชาวญี่ปุ่นยังแดนอาทิตย์อุทัย ก็ทำให้ประชาชาติออนไลน์ฉุกใจคิดถึงคำแสลงญี่ปุ่นได้อีกหนึ่งคำนั่นก็คือ “ปูทาโร่” หรือ “ปูโกะ” หรือในการ์ตูนเรียกกันสั้นๆว่า “ปู” ที่มันช่างพ้องและล้อไปกับชื่อของนายกฯหญิงของเราเหมือนเตี้ยมกันมาเลยทีเดียว


 ส่วนคำแปลของคำว่า “ปูทาโร่” หรือ “ปูโกะ” นั้นก็คือ “คนที่อยู่ในวัยทำงาน แต่ไม่มีงานการให้ทำ” โดยผู้ชายเราจะใช้ว่า “ปูทาโร่” ส่วนผู้หญิงเราจะเรียกว่า “ปูโกะ”

แต่อย่าเพิ่งคิดว่านายกฯหญิงของเราเป็นพวกว่างงานไม่มีอะไรทำเชียวล่ะ เพราะเราแค่บอกว่าชื่อ “ปู” ของท่านนายกฯมันช่างพ้องเสียงกับคำแสลงคำนี้เท่านั้นเอง

ดังนั้นถ้าจะเรียกนายกฯหญิงของเราก็เรียกว่า “นายกฯปู” เฉยๆพอ อย่าเผลอเติม “โกะ” ลงไป ไม่อย่างนั้นแล้วมันจะกลายเป็น “นายกว่างงาน” หรือ “นายกฯเกียร์ว่าง” ทันที ขอเตือน

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

อดีต ปธน.มอนเตฯเตรียมเยือนไทย พัฒนาธุรกิจท่องเที่ยว !!?

"ดร.ปึ้ง" เผย อดีต ปธน.มอนเตฯ คนให้พาสปอร์ต "ทักษิณ" เยือนไทยหาทางพัฒนาธุรกิจท่องเที่ยว

นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รมว.ต่างประเทศ เปิดเผยว่า ตนได้ต้อนรับอดีตประธานาธิบดีของประเทศมอนเตเนโกร ซึ่งเป็นคนที่ให้หนังสือเดินทางและสิทธิความเป็นพลเมืองของประเทศมอนเตเนโกรแก่พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งการเดินทางมาประเทศไทยครั้งนี้ มาจากการแนะนำของพ.ต.ท.ทักษิณ เนื่องจากทั้งสองคนมีความสนิทสนมกันมานาน ตั้งแต่พ.ต.ท.ทักษิณ ยังดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี โดยการมาครั้งนี้ก็เพื่อดูแนวทางการพัฒนาด้านการท่องเที่ยวเนื่องจากมอนเตรเนโกร มีทรัพยากรและแหล่งท่องเที่ยวที่เหมาะสมแก่การพัฒนาอย่างมาก ซึ่งการท่องเที่ยวในประเทศไทยก็มีความโดดเด่นในเรื่องของการทำสปาและอาหารคงจะได้มีการพัฒนาต่อไป และในโอกาสนี้อดีตประธานาธิบดีของมอนเตเนโกรน่าจะได้พบปะหารือกับนักธุรกิจของไทยด้วย

“อดีตประธานนาธิบดีมอนเตเนโกรได้บอกกับผมว่า ท่านเป็นเพื่อนกับพ.ต.ท.ทักษิณมานาน ดีใจที่มีโอกาสได้ต้อนรับได้ช่วยเหลือพ.ต.ท.ทักษิณเมื่อตกอยู่ในความลำบาก ผมยังได้ขอบคุณท่านและบอกด้วยว่า ที่เมืองไทยก็มีคนรักท่านเหมือนกันกว่า 15 ล้านคน ซึ่งคนที่รักพ.ต.ท.ทักษิณก็จะช่วยเหลือท่านเหมือนกัน” นายสุรพงษ์กล่าว

นายสุรพงษ์ กล่าวต่อว่า ขณะนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ อยู่รอบๆเมืองไทย แต่ไม่ทราบว่าอยู่ที่ประเทศไหน และไม่ทราบว่ามีใครไปพบบ้าง

นายสุรพงษ์ระบุถึงการช่วยเหลือนายวีระ สมความคิด และน.ส.ราตรี พิพัฒนาไพบูรณ์ แกนนำเครือข่ายคนไทยรักชาติ ที่ถูกจำคุกอยู่ในประเทศกัมพูชานั้น ขณะนี้ทางกระทรวงการต่างประเทศได้ประสานกับสถานฑูตไทยในกรุงพนมเปญเพื่อหาทางช่วยเหลือคือ ช่องทางการแลกเปลี่ยนตัวนักโทษ การขออภัยโทษ และการให้ความช่วยเหลือด้านการรักษาพยาบาล เพราะทราบจากข่าวว่านายวีระป่วยหนัก ซึ่งตอนนี้กำลังเร่งตรวจสอบอยู่ว่าเป็นจริงหรือไม่ เพราะที่ผ่านมาทางญาติที่ไปเยี่ยมก็ยังไม่ได้แจ้งเข้ามาเพื่อขอความช่วยเหลือในเรื่องนี้ ทั้งนี้ช่องทางการแลกเปลี่ยนตัวนักโทษนั้น ขณะนี้ได้ให้ท่านทูตประสานกับทางกัมพูชาว่ามีความเป็นไปได้แค่ไหน การแลกเปลี่ยนตัวนักโทษควรมีหลักเกณฑ์อย่างไร ความรุนแรงหรือโทษของคดีจะสัมพันธ์กับจำนวนนักโทษอย่างไร ควรเป็นหนึ่งคนต่อหนึ่งคน หรือเท่าไหร่ และจะทำได้หรือไม่ ส่วนเรื่องการขออภัยโทษนั้นก็ให้มีการประสานว่าจะเป็นไปได้อย่างไร เพราะทางกัมพูชามีกฎอยู่ว่าผู้ที่จะได้รับการอภัยโทษนั้นต้องได้รับโทษก่อน 2 ใน 3

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันพุธที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2555

กมธ.ปรองดอง ฝ่อ ไม่กล้ามีมติหนุนนิรโทษกรรม !!?

กมธ. ศึกษาแนวทางการสร้างความปรองดองแห่งชาติของสภาผู้แทนราษฎรไม่ออกมติหนุนผลวิจัยสถาบันพระปกเกล้าที่เสนอนิรโทษกรรมทุกฝ่ายเพื่อสร้างความปรองดอง แค่รับทราบและยอมรับในหลักการเพื่อเสนอรายงานต่อสภา ประชาธิปัตย์ทำหนังสือค้านผลวิจัย ให้เหตุผลรับไม่ได้เพราะไปถามคนที่มีคดีติดตัวที่มีส่วนได้ส่วนเสีย “ณัฐวุฒิ” ยืนยันกีดกัน “ทักษิณ” ออกจากกระบวนการปรองดองโดยการให้อภัยไม่ได้เพราะเป็นผู้ถูกกระทำและได้รับผลกระทบจากรัฐประหารมากที่สุด

+++++++++++++++++++++

ที่ประชุมคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการสร้างความปรองดองแห่งชาติ สภาผู้แทนราษฎร ที่มี พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน หัวหน้าพรรคมาตุภูมิ เป็นประธาน เห็นชอบข้อเสนอของสถาบันพระปกเกล้าเรื่องแนวทางสร้างความปรองดองที่คณะกรรมาธิการให้ไปศึกษา ซึ่งสถาบันพระปกเกล้าเสนอมา 2 แนวทางคือ นิรโทษกรรมในทุกกรณี และนิรโทษกรรมยกเว้นผู้ที่กระทำความผิด

โดยข้อเสนอของสถาบันพระปกเกล้าต้องการให้รัฐบาลแสดงความจริงใจที่จะสร้างความปรองดองและความชัดเจนเรื่องการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบทุกฝ่าย ขณะที่ภาคประชาชนต้องยุติการเคลื่อนไหวที่จะส่งผลกระทบต่อสังคมและสถาบัน ไม่รื้อฟื้นความผิดจากการทำรัฐประหาร

“ที่ประชุมแค่เห็นชอบข้อเสนอ แต่ไม่ได้มีมติว่าจะเลือกดำเนินการตามแนวทางใด โดยจะให้กรรมาธิการทุกคนทำความเห็นประกอบเพื่อรายงานต่อที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรไม่เกินวันที่ 15 เม.ย. นี้”

ที่ทำเนียบรัฐบาล นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ระบุว่า ไม่รู้รายละเอียด พ.ร.บ.ปรองดองแห่งชาติของ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี และไม่รู้กำหนดที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จะกลับประเทศ พ.ต.ท.ทักษิณถือเป็นผู้ถูกกระทำอย่างร้ายแรง เป็นผู้ได้รับความเสียหายจากการยึดอำนาจมากที่สุดจึงไม่ควรถูกกันออกจากการได้รับความเป็นธรรมเพื่อสร้างความปรองดอง

“เรื่องคดีความ พ.ต.ท.ทักษิณควรได้รับโอกาสพิสูจน์ตัวเองในกระบวนการยุติธรรมที่เป็นประชาธิปไตยปรกติ เราจะแยก พ.ต.ท.ทักษิณออกจากการคลี่คลายความขัดแย้งทางการเมืองอย่างที่บางฝ่ายต้องการไม่ได้เพราะมันเป็นเรื่องเดียวกัน”

นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ เปิดเผยว่า ได้ทำหนังสือถึงนายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ เลขาธิการสถาบันพระปกเกล้า ขอให้ทบทวนผลการวิจัยแนวทางการสร้างความปรองดอง เพราะไม่เห็นด้วยกับข้อเสนอให้อภัยโดยการนิรโทษกรรม

“สถาบันพระปกเกล้าสอบถามความเห็นผู้ทรงคุณวุฒิ 47 คน ซึ่งมีไม่ต่ำกว่า 10 คนที่มีคดีติดตัวและมีส่วนได้ส่วนเสียกับการนิรโทษกรรม เช่น พ.ต.ท.ทักษิณ นายณัฐวุฒิ นายจตุพร พรหมพันธุ์ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ งานวิจัยจะรับฟังความเห็นคนเหล่านี้ไม่ได้ เพราะขัดหลักกฎหมายทั่วไปที่ว่าบุคคลไม่พึงตัดสินคดีของตัวเอง”

ที่มา.หนังสือพิมพ์โลกวันนี้
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

จมปลัก !!?

ถอนตัวไม่ขึ้นเสียจริง ๆ .. “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ผู้นำประชาธิปัตย์ ในฐานะหัวหน้าพรรค
“ปรองดอง” จะเกิดขึ้นได้.. “ทักษิณ ชินวัตร” ต้องรับผิดชอบ ทั้งหมด
ถามว่า ชั่วดีถี่ห่าง ที่เป็นมาตรฐานแห่งความเลวของ “ทักษิณ” อยู่ตรงไหน...เมื่อประชาชนส่วนใหญ่ของแผ่นดิน..ชี้ชัดว่า ไม่เคยปรากฏ
ที่แน่ ๆ ใครหนอที่เป็น “ผู้นำ” แล้วสั่งยิงรากหญ้า ฆ่ากันกลางเมืองนั้น..คนนี้นี่แหละ ต้องรับผิดชอบ..เพื่อคืนความเป็นธรรม ให้กับแผ่นดิน
เลิกเอาตีใส่ตัว....ประณามคนอื่นเขาชั่ว...หยุดมั่ว โยนชั่วมาให้ทักษิณ

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ข้ามก้าวกระโดด
เด่นล้ำ เป็นผู้นำ ที่ทั่วโลกยกย่อง ให้ “นายกฯปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นสตรีที่มีฟอร์มสด
ขณะที่ “ผู้นำฝ่ายค้าน” อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ตกกระป๋อง มัวหมอง นั่งเจ่าจุก
ไม่ปรับบทบาท ให้มีคุณค่าเต็มร้อย จึงกลายเป็นพรรคอภิรักษ์ ที่ตกยุค
หากยังทำตัวเป็น “สนิมสร้อย” ต่อยใต้เข็ดขัดรัฐบาลอย่างไม่รู้กาลเทศะ .. “ประชาธิปัตย์” ที่เคยมีเกียรติคุณอันยิ่งใหญ่ ..จะสูญพันธุ์ในยุค “อภิสิทธิ์”
วันๆ ดีแต่จะด่า...ช่างไร้คุณค่า...หาเรื่องเข้าตา ไม่ได้สักนิด

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

หอยใหญ่-ไข่แดง
รับประกันซ่อมฟรี ว่าการมีคำสั่ง ยึดพื้นที่ เขาแพง เกาะสมุย..ดินแดน ที่มี “เทพเทือก” สุเทพ เทือกสุบรรณ เป็น ส.ส.นามกระเดื่องอยู่ที่นี่..บอกได้เลยว่า เรื่องนี้ ไม่มีการกลั่นแกล้ง
เมื่อคณะกรรมการที่จังหวัดตั้งขึ้นมา สั่งยึดพื้นที่เขาแพง ๓ ไร่, ขณะที่คณะกรรมการจากกรมที่ดิน สั่งอายัดพื้นที่เอาไว้ ๑๔ไร่
ประเด็นตรงกัน มีนักการเมือง?“รุกป่าสงวน” ทำแผ่นดินเสียหาย
นักการเมืองคนไหน?..ที่ฮุบพื้นที่หลวง ไปเป็นสมบัติตนเอง โปรดออกมารับโทษโดย
ปากที่บอกว่ารักชาติ...แต่ทำน่าเกลียดชะมัด....แอบยัดรับประทานที่หลวง เสียนี่

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ไม่มี “มิตรแท้และศัตรูถาวร”
การเมือง,เค้าไม่เล่นกันถึงตาย อย่างแน่นอน
เท่าที่รู้และทราบว่า สส.พรรคภูมิใจไทย เตรียมยกสำรับ เข้ามาเชียร์รัฐบาล
โดยเฉพาะ, สส.บุรีรัมย์ เด็กในคาถา “เนวิน ชิดชอบ” ยกเหมาเข่ง มาสวามิภักดิ์ กันอย่างสร้างสรรค์
ว่ากันว่า, ช่วงที่ “เนวิน” บินลัดฟ้า ข้ามแผ่นดิน ไปเยี่ยมลูกที่อังกฤษนั้น..มีการต่อสายตรงคุยกับบางคน เป็นที่เรียบร้อยเสร็จสรรพ
เห็นร่องรอยความสามัคคี...เริ่มที่จะมี....เกิดขึ้นตรงนี้ กันแล้วล่ะครับ

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ปากไว ด่าได้ ไม่ยั้งคิด
สินค้าราคาแพง หมูเห็ดเป็ดไก่ ขยับราคาขึ้นไป ก็ออกมาสับกันตามสไตล์ ของ “อภิสิทธิ์”
แต่ถามสักนิด...สินค้าการเกษตร ปรับยกแผง ขึ้นราคาไปนั้น..ผลพวงกำไร ก็ไปงอกเงย อยู่กับชาวไร่ ชาวนา
กระดูกสันหลังของชาติ ที่ลืมตาอ้าปาก ...หลายผลผลิตการเกษตรได้หน่อย ก็ออกมาด่า
หรืออยากจะเห็น ชาวไร่ชาวนาจนกันชั่วนาตาปี..เป็นหนี้โดยไม่ลืมตา อ้าปาก
อย่าอิจฉาคนจน...เมื่อ “รัฐบาลปู”ให้เค้ารวยสักหน?..ยกผลประโยชน์ให้รัฐบาลไปเถอะคุณมาร์ค

คอลัมน์:ตอดนิดตอดหน่อย,บางกอกทูเดย์
/////////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันอังคารที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2555

เสียงจากฮานอย "Product of Thailand" แบรนด์ที่คนไทยต้องรักษาไว้ในเวียดนาม !!?

สัมภาษณ์พิเศษ


บุษบา บุตรรัตน์ อัครราชทูตที่ปรึกษาฝ่ายการพาณิชย์ ประจำกรุงฮานอย สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม ให้สัมภาษณ์ "ประชาชาติธุรกิจ" ระหว่างการเดินทางลงพื้นที่เพื่อสำรวจเส้นทางรถยนต์จากกรุงฮานอย-แขวง

บอลิคำไซ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ถึงจังหวัดนครพนม ประเทศไทย ซึ่งมีขึ้นระหว่างวันที่ 22-28 กุมภาพันธ์ 2555

โดยกล่าวถึงโอกาสทางการตลาดของสินค้าไทยในเวียดนาม

- โอกาสการเติบโตทางการค้าระหว่างประเทศไทยกับสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม ?

เวียดนามเป็นตลาดเกิดใหม่ที่ยังมีอนาคตไกลมากสำหรับสินค้าไทยหลากหลายชนิด ซึ่งขณะนี้เวียดนามมีประชากรทั้งหมด 89.57 ล้านคน อยู่ในวัยทำงานถึง 46 ล้านคน เศรษฐกิจของเวียดนามเติบโตอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง เวลานี้ก้าวขึ้นสู่การเป็นประเทศกำลังพัฒนาที่มีฐานะระดับกลางแล้ว รายได้ประชากรอยู่ที่ 1,300 เหรียญสหรัฐ/คน/ปี

ประเทศไทยเราได้ดุลการค้ากับเวียดนามอย่างต่อเนื่อง

ปี 2554 เราได้ดุลสูงถึง 5 พันล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 20% ทำให้ฝ่ายเวียดนามขอให้ฝ่ายไทยช่วยซื้อสินค้าเวียดนามให้มากขึ้น จนปีที่แล้วยอดนำเข้าสินค้าจากเวียดนามสูงกว่าปีก่อนถึง 46% สินค้าไทยที่ส่งไปเวียดนามมีมูลค่ามากเป็นอันดับ 9 ของตลาดส่งออกของสินค้าไทยทั่วโลก และเป็นอันดับ 4 ของตลาดอาเซียน

สินค้าส่งออกจากไทยมีความหลากหลาย แต่ละประเภทกระจายน้ำหนักออกไปที่เท่า ๆ กัน ได้แก่ น้ำมันสำเร็จรูป

เม็ดพลาสติก เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ เคมีภัณฑ์ รถยนต์และอุปกรณ์ส่วนประกอบ

ส่วนสินค้าที่ไทยนำเข้าจากเวียดนาม ได้แก่ เครื่องจักรไฟฟ้าและส่วนประกอบ เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน ด้ายและเส้นใย เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบเครื่องมือเครื่องใช้ทางวิทยาศาสตร์การแพทย์ เลนส์ แว่นตา น้ำมันดิบ

สินค้าไทยยังมีศักยภาพที่จะโตได้อย่างต่อเนื่องในเวียดนาม เนื่องจากคนเวียดนามให้ความนิยมในสินค้าไทยมาก เมื่อเห็นป้ายบอกว่าเป็น "Product of Thailand" ก็เชื่อในคุณภาพ และยอมจ่ายแพงกว่าสินค้าจากประเทศตัวเอง หรือสินค้าจากจีน

ผู้บริโภคจำนวนมากเมื่อนำสินค้าไทยไปใช้ เลือกที่จะไม่แกะฉลากออกเพื่อบอกว่าเขาใช้ของดีจากเมืองไทย

- สินค้าชนิดใดบ้างที่มีโอกาสเติบโต ?

มองดูแล้ว สินค้าไทยที่มีโอกาสเติบโตในเวียดนาม ได้แก่ 1.เครื่องใช้ในครัวเรือน เครื่องแก้ว บรรจุภัณฑ์พลาสติก 2.ผลิตภัณฑ์ซักล้าง พวกน้ำยาซักผ้า น้ำยาปรับผ้านุ่ม สบู่ แชมพู เสื้อผ้า 3.เครื่องประดับสำหรับสาวเริ่มทำงาน จากตลาดกลางลงตลาดล่าง 4.เครื่องใช้ไฟฟ้า

สินค้าที่ทำในประเทศไทย หรือออกแบบโดยบริษัทไทย

แม้ผลิตในจีน จะได้รับความนิยมกว่าสินค้าไม่มีชื่อที่ผลิตในจีน หรือเวียดนาม ตัวอย่างเช่น กระทะไฟฟ้า-ปิ้งย่าง ที่เป็นแบรนด์ไทย เป็นผลิตภัณฑ์ที่นิยมใช้มากในตลาดสดในฮานอย

ผู้ประกอบการไทยมักเข้ามาเปิดตลาดในโฮจิมินห์มากกว่าในฮานอย เนื่องจากความเป็นเมืองศูนย์กลางทางการค้า และเศรษฐกิจของประเทศที่ยาวนาน

- แบรนด์ไทยยอดนิยมในเวียดนามมีอะไรบ้าง ?

แบรนด์ไทยยอดนิยมในเวียดนามมีมากมาย เช่น เครื่องดื่มกระทิงแดง ผลิตภัณฑ์อาหารซีพี ผงซักฟอกเปา ปลากระป๋องสามแม่ครัว กระดาษทิสชูเซลล็อกซ์ เครื่องครัวสเตนเลสหัวม้าลาย และนกนางนวล รวมทั้งผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ที่ใช้ตราสากล แต่ผลิตในประเทศไทย เช่น อาหารสัตว์เลี้ยง และแชมพู

- โอกาสของผลไม้ไทยในเวียดนาม ?

ราว 70% ของปริมาณผลผลิตรวมผลไม้ไทยจาก 3 จังหวัดภาคตะวันออก ระยอง จันทบุรี และตราด เข้าสู่ตลาดเวียดนาม ออกมาผ่านลาว แล้วเข้าเวียดนาม เข้าสู่ฮานอย ใช้เวลาเดินทางกว่า 24 ชั่วโมง พ่อค้าแม่ค้าเวียดนามไปรับซื้อถึงที่ ตั้งจุดรับซื้อตามจังหวัดต่าง ๆ ของไทย แล้วคัดส่งมาขายในเวียดนาม และต่อไปในจีน

แม้เวียดนามมีผลไม้คล้ายไทย เช่น ลำไย ทุเรียน มังคุด เงาะ ลองกอง แต่ยังสู้ของจากไทยที่มีรสชาติจัดจ้านกว่าไม่ได้ ทำให้ผลไม้ของไทยขายได้ราคาดีกว่าผลไม้เวียดนามถึง 2 เท่า เป็นที่นิยมมากในตลาดบน

เกรดผลไม้ของเวียดนามที่ส่งไปขายในไทยก็มี แต่คุณภาพอาจไม่เท่าคุณภาพที่ส่งไปยุโรป แต่ในเรื่องมาตรฐานสุขอนามัยแล้วถือว่ามีความปลอดภัยอยู่สูง เนื่องจากเวียดนามให้ความสำคัญในการตรวจสอบชนิดของยาปราบศัตรูพืชที่ใช้ ต้องผ่านกรมวิชาการเกษตรของไทยอย่างสม่ำเสมอ

ประเทศไทยเป็น 1 ใน 7 ประเทศเท่านั้นที่ได้รับอนุญาตให้ส่งผัก ผลไม้ เข้าไปขายในเวียดนามได้

- ผู้ผลิตไทยควรมีกลยุทธ์อย่างไรในการรักษาตลาดเวียดนาม ?

แม้ว่าสินค้าไทยเป็นที่ต้องการและนิยมมากในเวียดนาม แต่ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายไทยต้องตระหนักว่าเศรษฐกิจเวียดนามเจริญขึ้น เขาต้องการสินค้าที่มีคุณภาพมากขึ้น และมีโอกาสเลือกสินค้าได้มากขึ้น เมื่อคนมีเงินมากขึ้น ย่อมเป็นห่วงสุขภาพมากขึ้น อย่ามองเพื่อนบ้านว่าเป็นแค่ตลาดล่าง

ดังนั้นผู้ผลิตไทยควรรักษาคุณภาพของสินค้าให้สม่ำเสมอ ถ้าคุณภาพของสินค้าแย่ลง ผู้บริโภคย่อมหันไปหาสินค้ายี่ห้ออื่น หรือจากแหล่งผลิตอื่น ๆ ช่วยกันรักษาภาพลักษณ์ของสินค้าจากประเทศไทยว่าเป็น "ของดี" ที่ผู้บริโภคยอมจ่ายแพงกว่าสินค้าที่ผลิตในประเทศเวียดนาม หรือจีน

- การจัดงานแสดงสินค้าไทยในเวียดนามมีส่วนช่วยส่งเสริมการขายอย่างไร ?

Thailand Trade Exhibition จัดมาแล้วทั้งหมด 12 ปี ปีละครั้ง ใน 2 เมืองหลักคือ ฮานอย และโฮจิมินห์ แต่เริ่มมาจัดที่เมืองไฮฟองเร็ว ๆ นี้ ล่าสุดเมื่อเดือนสิงหาคมปีที่แล้วจัด 4 วัน ในกรุงฮานอย มีคนมาร่วมงานวันละ 30,000 คน งานในครั้งนี้ได้รับความสนใจมากจากผู้ค้า จากผู้ประกอบการไทย จำนวนรวมทั้งสิ้น 140 ราย ออกร้าน 175 คูหา ต้องตัดออกไปถึง 90 คูหา

ผู้ประกอบการที่เข้าร่วมงานได้รับประโยชน์มากมาย ตั้งแต่ค่าเช่าคูหาเพียงวันละ 15,000 บาท บวกค่าธรรมเนียมเล็กน้อย ค่าโรงแรม ค่าอาหาร และค่าเครื่องบิน โดยกรมส่งเสริมการส่งออกจะช่วยอุดหนุนค่าระวางสินค้าที่มาทางเครื่องบินบางส่วน

สินค้าจากเมืองไทยที่ขนมาจัดแสดงในงานมี 12 ประเภท คือ 1.ชิ้นส่วนรถยนต์ และประดับยนต์ 2.ผลิตภัณฑ์เคมี 3.ผลิตภัณฑ์เด็ก ของเด็กเล่น และเกม 4.วัสดุก่อสร้าง ฮาร์ดแวร์ และ

เครื่องจักรกล 5.อาหารและเครื่องดื่ม 6.เสื้อผ้า สิ่งทอ และ

เครื่องประดับแฟชั่น 7.กลุ่มสินค้าของขวัญและของแต่งบ้าน 8.กลุ่มสินค้าสุขภาพและความงาม 9.กลุ่มสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านและของใช้ในครัวเรือน 10.เครื่องหนังและรองเท้า 11.บริการทางการแพทย์ 12.กลุ่มสินค้าบรรจุภัณฑ์และการพิมพ์

- ผู้ประกอบการไทยที่สนใจเข้าร่วมงานครั้งต่อไปควรทำอย่างไร ?

กรมส่งเสริมการส่งออกจัดงานแสดงสินค้าในต่างแดนในตลาดใหม่ทั้งปี ราว 20 งานทั่วโลก สามารถติดตามข้อมูลจาก http://application.depthai.go.th/International_Market/list_thailand.html

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

อภิชาต.รับกรรมการสรรหาหลุด หลังเลือก (สัก)เป็นส.ว. !!?

“อภิชาต” รับ กรรมการสรรหา "หลุด" หลังเลือก "สัก" เป็น ส.ว. โบ้ยความผิดอนุกรรมการ เชื่อไม่กระทบความเชื่อมั่น

นายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธานกกต. ในฐานะกรรมการสรรหาส.ว. กล่าวถึงกรณีที่กกต.มีมติเพิกถอนสิทธินายสัก กอแสงเรือง พ้นจากตำแหน่งส.ว.สรรหา ว่าในขั้นตอนสรรหา ส.ว. นั้น กรรมการสรรหาเองไม่สามารถไปตรวจสอบคุณสมบัติเองทั้งหมดได้ จึงแต่งตั้งคณะอนุกรรมการตรวจสอบ แต่บางทีถึงแม้ว่าจะพยายามให้มีความถูกต้องมากที่สุด บางทีก็มีหลงหลุดไปบ้าง เช่นการไม่ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง ถ้ามีการร้องคัดค้านเข้ามาก่อนการสรรหาเสร็จสิ้น อนุกรรมการฯก็จะส่งข้อมูลเอกสารเข้ามาให้กรรมการสรรหาส.ว. ก็จะทำให้กรรมการสรรหาส.ว.รู้ และไม่เลือกเข้ามา แต่เมื่อมีหลุดเข้ามาก็เกิดปัญหาและก็มีการพิจารณาเพิกถอนสิทธิการสรรหาจากกกต.ทั้ง 4 คน ซึ่งไม่รวมตน เพราะตนเป็นกรรมการสรรหาส.ว. เนื่องจากเป็นผู้มีส่วนได้เสีย

“หากนายเรืองไกรจะร้องเพิ่มเติมเข้ามาอีกก็เป็นสิทธิที่สามารถทำได้ว่าผิดที่ตรงไหน หรือหลุดรอดมาได้อย่างไร เป็นเรื่องที่กกต.ยินดีดำเนินการพิจารณาวินิจฉัย ซึ่งต้องดำเนินการก่อนเรียนมาก่อนครบกำหนด1ปี หลังจากที่คณะกรรมการสรรหาส.ว.ประกาศรับรองผล เป็นเรื่องดีที่มีการร้องเข้ามา เพราะจะปล่อยให้คนที่ขาดคุณสมบัติทำหน้าที่ได้อย่างไร การที่คุณสมบัติไม่ครบถ้วนก็จะต้องตัดไปตั้งแต่ชั้นอนุกรรมการฯแล้ว ส่วนส.ว.ที่ไม่ไปใช้สิทธิเลือกตั้งก็ถือว่าขาดคุณสมบัติ แต่การจะได้สิทธิคืนมา หรือเป็นผู้ไม่เสียสิทธิก็ต้องนำข้อมูลมาชี้แจงกับอนุกรรมการฯเพื่อให้อนุกรรมการฯ พิจารณา แต่กรรมการสรรหาส.ว.ทั้ง 6 คน ไม่ได้เห็นข้อมูลดังกล่าวนี้ เพราะในชั้นของคณะกรรมการสรรหาส.ว.ได้ข้อมูลมาว่าเป็นผู้มีสิทธิเลือกตั้งเท่านั้น จึงต้อมาดูว่าเป็นอย่างนี้เพราะใคร ถ้าเป็นเจ้าหน้าที่ก็ต้องดูว่ามีเจตนาหรือไม่ ต้องการปิดบังอะไรไว้หรือไม่ ซึ่งต้องดูไปตามระบบราชการ” นายอภิชาต กล่าว

นายอภิชาต กล่าวต่อว่า กรณีของนายสัก ถ้าคณะกรรมการสรรหาส.ว.ได้ข้อมูลมาตั้งแต่แรก ก็คงจะมีการหารือกันก่อนหน้านี้ ถ้ามีหลักฐานปรากฏชัดเจนว่าไม่เป็นผู้มีสิทธิเข้ารับการสรรหา คณะกรรมการสรรหาส.ว.ก็จะไม่ดำเนินการสรรหาคนๆนั้นเข้าไปทำหน้าที่ส.ว. ทั้งนี้ตนไม่กังวลว่ากรณีดังกล่าวจะกระทบต่อความเชื่อมั่นของสังคมต่อคณะกรรมการสรรหาส.ว. เนื่องจากการพิจารณาเป็นไปตามที่อนุกรรมการฯเสนอเข้ามาเท่านั้น เราไม่มีข้อมูลนอกเหนือจากนั้น เว้นแต่ว่าจะทราบเป็นการส่วนตัว ก็มีสิทธิที่จะมาเสนอที่ประชุมได้ บางคนที่ได้รับการสรรหาเข้ามา คณะกรรมการสรรหาส.ว.ก็ไม่ได้รู้จัก การสรรหาส.ว.ก็จะพิจารณาที่คุณสมบัติ ความเหมาะสมต่างๆ เช่นเดียวกับเงื่อนเวลาการดำรงตำแหน่งของนายสักก็เป็นหน้าที่ของอนุกรรรมการฯดำเนินการ ที่เห็นว่าถึงแล้วก็เสนอเข้ามา โดยเรื่องนี้คาดว่าส่งคำวินิจฉัยไปยังศาลฎีกา แผนกคดีเลือกตั้งได้ภายในสัปดาห์นี้

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันจันทร์ที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2555

บ้านใคร-บ้านมัน !!?

ขอบคุณพี่น้องทุกคนที่เป็นห่วง ตอนนี้ข่าวเล่นผมเละ... ผมขอบอกไว้ตอนนี้เลยว่าผมไม่เหลือง ผมไม่แดง ผมไม่เคยไปเผาหุ่น ปืนผมซื้อมายิงแต่เป้ากระดาษ อย่างน้อยในสักครั้งที่ผมได้ทำเพื่อชาติ เพื่อสถาบันที่ผมรัก...ผลที่ตามมา... ผมรับได้...วันที่ 12 มีนาฯ ตำรวจนัดที่ สน.ชนะสงคราม ผมต้องขอบอกว่าผมไม่รับเงินช่วยเหลือนะครับ เกรงว่าจะมีคนแอบอ้างหลอกเงินกัน.. อดเยี่ยงอย่างเสือ...สงวนศักดิ์ โซก็เซาะใส่ท้อง...หาเนื้อกินเอง...”

นี่คือข้อความของนายสุพจน์ ศิลารัตน์ หนึ่งในคู่แฝดที่ทำร้ายนายวรเจตน์ ภาคีรัตน์ อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ หนึ่งในแกนนำกลุ่มนิติราษฎร์ ที่ใช้ชื่อ “สุพจน์ รักในหลวง” และ “จากใจเลวๆของฝาแฝด” ซึ่งสะท้อนชัดเจนว่าพี่น้องฝาแฝด “นายสุพจน์” และ “นายสุพัฒน์ ศิลารัตน์” ไม่เกรงกลัวกฎหมายหรือคิดว่าเป็นการกระทำป่าเถื่อนเลย เช่นเดียวกับบรรดาสลิ่มที่โพสต์ข้อความยกย่องว่าเป็นเยี่ยงวีรบุรุษ (อ่านบทความประกอบในคอลัมน์ถนนประชาธิปไตย หน้า 5)

งานเข้า “แฝดนรก-แก๊งปืนเถื่อน”!

แม้พี่น้องฝาแฝดคู่นี้จะถูกแจ้งข้อหาทำร้ายร่างกาย ซึ่งโทษไม่รุนแรง แต่ที่น่าสนใจกลับเป็นเรื่องปืน kimber custom target ii ที่นายสุพจน์โชว์ในเฟซบุ๊คว่าเป็น ปืนในครอบครองและเป็นแชมป์ยิงปืนหลายเวทีนั้นเป็นทะเบียนปลอม หรือทะเบียนสวม หรือทะเบียนจริง ซึ่งตามทะเบียนถือปืนต้องเป็นโควตาของทหาร โดยใช้สิทธิทหารพรานที่ซื้อปืนสวัสดิการเท่านั้น ซึ่งทั้งสองไม่ได้เป็นข้าราชการและไม่ได้เป็นทหาร

ที่สำคัญตามกฎหมายผู้จะครอบครองปืนชนิดนี้ได้ต้องเป็นข้าราชการและต้องมีเอกสารรับรองจากผู้บังคับบัญชา ซึ่งต้องมีการสอบยิงปืนจึงจะไปขอยื่นต่อนายทะเบียนได้ ทำให้มีการตั้งข้อสันนิษ ฐานว่าปืนดังกล่าวอาจเกี่ยวข้องกับ “แก๊งค้าปืนเถื่อน” และเกี่ยวกับ “ใคร” เป็นผู้ขอ ใครเซ็นรับรอง ใครออกทะเบียนให้ คดีทำร้ายร่างกายจึงอาจบานปลายถึงผู้ที่เซ็นรับรองจนถึงคนขายปืนที่ผิดกฎหมายทั้งหมด เพราะเป็นการทำเอกสารราชการปลอมโดยเจ้าหน้าที่รัฐรู้เห็น

บทเรียนการต่อสู้?

อย่างไรก็ตาม การทำร้ายนายวรเจตน์ยังมีการตั้งข้อสังเกตว่าไม่ว่าจะเป็นการกระทำของพี่น้องฝาแฝดเองหรือมีใบสั่งก็เป็นสัญญาณชี้ว่ามีคนกลุ่มหนึ่งพยายามจะทำให้สถานการณ์บ้านเมืองเกิดความรุนแรง โดยเฉพาะประเด็นมาตรา 112 หรือที่เกี่ยวข้องกับสถาบันเบื้องสูง

นายสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล อาจารย์คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ระบุว่า ประเทศไทยกำลังป่วยหนัก และเสนอให้คณะนิติราษฎร์ทบทวนกระบวนการเคลื่อนไหวหรือยุติการล่ารายชื่อเพื่อเสนอแก้ไขมาตรา 112 แต่ไม่ได้ยุติการเสนอ ความคิดทางวิชาการ เพราะคนจำนวนมากที่ประณามการกระทำของพี่น้องฝาแฝด รวมทั้งนายสมคิด เลิศไพฑูรย์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งยืนคนละซีกกับคณะนิติราษฎร์ก็ออกมาประณาม การกระทำของผู้ใช้กำลังและความรุนแรง

ขณะที่ “ใบตองแห้ง” คอลัมนิสต์ซีกฝ่ายประชาธิปไตย ก็ตั้งคำถามในบทความชื่อ “รักในหลวงต้องคลั่ง” ว่า “ทำไมความรักในหลวงต้องมาพร้อม กับความโกรธ เกลียดชัง คลั่งแค้นผู้ที่มีความเห็นต่าง มาพร้อมกับความคับแคบ ไร้สติ ไม่ฟังอะไรทั้งสิ้น”

นายเกษียร เตชะพีระ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า ก่อนที่หมัดเถื่อนจะชกออกมาก็คือคำโกหกเถื่อนๆเรื่อง “ล้มเจ้า” ของผู้เรียกตัวเองว่าสื่อและนักวิชาการที่ปูพื้นเตรียมการทางความคิดให้คนบ้าเลือด สิ้นคิด หูเบาที่ไหนก็ได้ หลงเชื่อคำใส่ร้ายป้ายสี โกหกบิดเบือนให้มีการทำร้ายนายวรเจตน์ ซึ่งหว่านเพาะเชื้ออวิชชา มุสาวาทา และความเกลียดชังให้เพิ่มพูนขึ้นแก่สังคมไทย

ล้มเจ้า-ลดพระราชอำนาจ?

“สิ่งที่ผมทำผมทำในกรอบของวิชาการ และเป็นการแสดงความเห็นต่อสาธารณะ เราคงปล่อยให้เรื่องแบบนี้เป็นเรื่องเปลี่ยนแปลงชีวิตทั้งชีวิตเราไม่ได้ ผมจะทำต่อไป เพราะผมทำในกรอบของกฎหมายทุกอย่าง อยู่ในกรอบของหลักการที่ถูกต้อง และผมก็ทำเท่าที่เวลาอำนวย ผมมีงานที่ต้องตรวจข้อสอบ สอนหนังสือ แต่เมื่อมีความเห็นที่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะก็ทำ”

นายวรเจตน์แถลงกับผู้สื่อข่าวหลังจากถูกทำร้ายเมื่อวันที่ 29 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ซึ่งนายวรเจตน์และอาจารย์กลุ่มนิติราษฎร์ยอมรับว่าที่ผ่านมาถูกข่มขู่มาตลอดหลังจากเคลื่อนไหวให้แก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 โดยเฉพาะในสังคมออนไลน์ที่เครือข่ายกลุ่มสลิ่มบิดเบือนและกล่าวหาว่ากลุ่มนิติราษฎร์เป็นพวก “ล้มเจ้า” แทนที่ จะโต้แย้งด้วยเหตุผลว่าทำไมจึงไม่จำเป็นต้องแก้ไข แม้แต่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เองก็ยังมองต่างจากคณะนิติราษฎร์ว่าตัวมาตรา 112 ไม่มีปัญหา แต่มีปัญหาที่วิธีการนำไปใช้และการนำไปปฏิบัติ

บ้านเลขที่ 112

แต่ไม่ว่ารัฐบาลยิ่งลักษณ์ พรรคเพื่อไทย และกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) จะตัดเกมหรือปิดจุดอ่อน ประกาศชัดเจน ว่าจะไม่แก้ไขทั้งมาตรา 112 หรือการแก้ไขรัฐธรรม นูญก็จะไม่มีการแก้ไขหมวดเกี่ยวกับพระมหากษัตริย์ โดยเด็ดขาดก็ตาม แต่พรรคประชาธิปัตย์ พันธมิตรฯ และกลุ่มสลิ่มก็พยายามปลุกระดมให้เชื่อว่าการที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์และพรรคเพื่อไทยแก้ไขรัฐธรรมนูญ ทั้งฉบับก็เพื่อยึดอำนาจฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายบริหาร และฝ่ายตุลาการไว้ในมือทั้งหมด รวมทั้งล้มล้างองค์กร อิสระที่ทำหน้าที่ตรวจสอบ โดยเฉพาะศาลรัฐธรรม นูญและศาลปกครอง เพื่อฟอก พ.ต.ท.ทักษิณให้พ้นผิด ซึ่งก็เกี่ยวข้องกับ “พระราชอำนาจ”

ปัญหามาตรา 112 จึงเหมือน “ภูเขาน้ำแข็ง” ที่มีปัญหาอยู่จริง แต่ไม่มีใครมองเห็น รอเพียงกาลเวลาที่สุกงอมเท่านั้น แม้กลุ่มนิติราษฎร์และนักสิทธิมนุษยชนจะหยุดการรณรงค์การรวบรวมรายชื่อเพื่อแก้ไขมาตรา 112 หรือไม่ก็ตาม แต่ไม่ได้หยุดการเคลื่อนไหวที่จะให้ความรู้กับประชาชน โดยเฉพาะเรื่องของสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและสิทธิความเป็นมนุษย์

รวมกลุ่มเกลียดทักษิณ

สถานการณ์ทางการเมืองจึงไม่ใช่แค่ประเด็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญ แต่ยังวนเวียนอยู่กับวาทกรรม “ล้มเจ้า” และ “ทุนนิยมสามานย์” ซึ่งรัฐบาลยิ่งลักษณ์และ พ.ต.ท.ทักษิณต้องทำให้ฝ่ายที่ต่อต้านไม่สามารถปลุกกระแสได้อย่างในอดีต

แม้วันนี้พันธมิตรฯจะอยู่ในสภาวะบ้านแตกสาแหรกขาดและต้องประคองกลุ่มที่เหลือให้ยังมีปากมีเสียงบ้างเป็นครั้งคราวก็ตาม ส่วนพรรคประชาธิปัตย์ก็ทำได้แค่เป็นฝ่ายค้านที่ “ค้านทุกเรื่องโจมตีทุกรูปแบบ” โดยล่าสุดได้กระโจนเข้าสู่งานกฐินสหบาทาทักษิณ ประกาศ “ปฏิญญาหาดใหญ่” ที่เป็นมติของที่ประชุมสัมมนาสาขาพรรค 14 จังหวัดภาคใต้ และมีมติพร้อมจะปลุกระดมมวลชนให้ออกมาต่อต้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้ โดยระบุว่าเป็นการแก้เพื่อทักษิณ

ขณะที่พันธมิตรฯนอกจากนายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรฯ ที่เรียกร้องให้ทหารทำรัฐประหาร แล้ว ยังเตรียมนัดประชุมใหญ่วันที่ 10 มีนาคมนี้ เพื่อกำหนดท่าทีในการเคลื่อนไหวต่อต้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยนายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษกพันธมิตรฯ อ้างผลสำรวจของโพลสำนักต่างๆว่าประชาชนกว่า 58% ไม่เห็นด้วยกับการแก้ไขรัฐธรรม นูญขณะนี้ แต่จะยังไม่ออกมาเคลื่อนไหวจนกว่าจะเห็นเนื้อหาในร่างรัฐธรรมนูญก่อน แต่ก็แบะท่าว่าพร้อมจะร่วมต่อต้านรัฐบาลกับพรรคประชาธิปัตย์

นอกจากนี้ยังมีกลุ่มเสื้อหลากสี กลุ่มสยามสามัคคี และกลุ่ม ส.ว.สรรหา ที่มองข้ามไม่ได้ แม้การ เคลื่อนไหวล่าสุดจะไม่ได้รับความสนใจมากนักก็ตาม แต่ถือเป็นกลุ่มที่พร้อมจะออกมาต่อต้านรัฐบาลและระบอบทักษิณที่เป็นรูปธรรมมากที่สุดกลุ่มหนึ่ง

สร้างความปรองดอง

วันนี้แม้รัฐบาลยิ่งลักษณ์และพรรคเพื่อไทยจะสามารถคุมเสียงในสภาได้ และยังได้รับการสนับสนุนจากคนเสื้อแดง แต่หากประมาทหรือลุแก่อำนาจก็มีโอกาสสูงที่จะเกิดวงจรอุบาทว์ เพราะต้องยอมรับความจริงว่าคนไทยส่วนหนึ่งไม่ได้รังเกียจรัฐประหารและพร้อมจะสนับสนุนอีกด้วยหากถูกทำให้เชื่อว่านักการเมืองเลวและคอร์รัปชัน โดยเฉพาะประเด็นสถาบันเบื้องสูงที่ยังถือเป็นเรื่องละเอียดอ่อนอย่างมากสำหรับสังคมไทย แม้ประชาชนจะรู้ดีว่ามีการแอบอ้างและดึงสถาบันไปใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองก็ตาม

พรรคเพื่อไทยและรัฐบาลยิ่งลักษณ์จึงต้องปิดตายไม่ให้ถูกบิดเบือนและถูกป้ายสีเหมือนในอดีต จึงไม่แปลกที่ พ.ต.ท.ทักษิณวันนี้ยังถูกป้ายสีเรื่องของสถาบัน ไม่ว่า พ.ต.ท.ทักษิณจะพยายามพูดหรือแสดงออกอย่างไรก็ตาม

บทบาทและผลงานของรัฐบาลยิ่งลักษณ์จึงมีความสำคัญอย่างมากกับการยุติการบิดเบือนและใส่ร้ายป้ายสีจากฝ่ายตรงข้าม อย่างที่สถาบันพระปกเกล้าได้สรุปผลวิจัยเรื่องการสร้างความปรองดองแห่งชาติต่อคณะกรรมาธิการวิสามัญตรวจสอบ และค้นหาความจริงเพื่อความปรองดองแห่งชาติว่าต้องให้คณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) ดำเนินการค้นหาความจริงความรุนแรงทางการเมืองให้แล้วเสร็จภายใน 6 เดือน และเปิดเผยข้อเท็จจริงโดยไม่ระบุตัวบุคคล เพื่อให้สังคมเรียนรู้เป็นบทเรียนและป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ขึ้นอีกในอนาคต

นอกจากนี้ให้มีกระบวนการนิรโทษกรรมคดีที่เกี่ยวเนื่องกับการชุมนุมทางการเมืองกับผู้ชุมนุมทุกฝ่าย เจ้าหน้าที่รัฐและผู้บังคับบัญชา ตลอดจนถึงผู้มีหน้าที่รับผิดชอบในการรักษาความสงบเรียบร้อย รวมถึงการกำหนดกติกาทางการเมืองที่ต้องให้มีการยอมรับทั้งเสียงข้างมากและเสียงข้างน้อย โดยแก้ไขกฎหมายหลักและรัฐธรรมนูญที่ไม่ขัดต่อหลักนิติธรรมและความเป็นประชาธิปไตย

บ้านเลขที่ 111

เรื่องการปรองดองจึงเป็นโจทย์ใหญ่ที่รัฐบาลต้องการมากที่สุด เพราะหมายถึงการทำให้ พ.ต.ท. ทักษิณกลับมาโดยไม่มีเงื่อนไขใดๆ นอกจากนี้เท่ากับ กลุ่มอำนาจนอกระบบยอมยุติความขัดแย้งที่ร้าวลึกมากว่า 5 ปี แต่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ต้องมีเสถียรภาพด้วย ไม่ใช่ยังไม่มีผลงานที่เข้าตาประชาชน แม้แต่คนเสื้อแดงเองก็ยังไม่พอใจผลงานของรัฐบาลนัก แม้จะได้รับความชื่นชมเรื่องการปราบปรามยาเสพติดก็ตาม

พรรคเพื่อไทยและรัฐบาลยิ่งลักษณ์จึงต้องเร่งสร้างผลงานให้มากขึ้น โดยเฉพาะคนที่มีความรู้ความ สามารถเข้ามาช่วย ซึ่ง พ.ต.ท.ทักษิณก็พูดชัดเจนว่าสมาชิกบ้านเลขที่ 111 ที่จะพ้นโทษในเดือนพฤษภาคมนี้จะเป็นจุดเปลี่ยนการเมืองที่สำคัญ โดยเฉพาะการสร้างผลงานให้กับรัฐบาล แม้สมาชิกบ้านเลขที่ 111 จะไม่ได้กลับมาอยู่กับพรรคเพื่อไทยทั้งหมดก็ตาม

แต่สมาชิกที่เหลืออยู่ก็ถือเป็นระดับแกนนำสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นนางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์, นายจาตุรนต์ ฉายแสง, นายวราเทพ รัตนากร, คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์, นายภูมิธรรม เวชยชัย, นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช, นายสุรนันทน์ เวชชาชีวะ, พล.ต.อ.ชิดชัย วรรณสถิตย์, นายวิชิต ปลั่งศรีสกุล, นายประจวบ ไชยสาส์น, นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา, นายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล, น.ต.ศิธา ทิวารี, นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา, นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช, นายชูชีพ หาญสวัสดิ์, นายสุธรรม แสงประทุม, นายไชยยศ สะสมทรัพย์, พล.อ.ธรรมรักษ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา, นายชูชัย มุ่งเจริญพร, นพ.วัลลภ ยังตรง, นางลดาวัลลิ์ วงศ์ศรีวงศ์, นางปวีณา หงสกุล และนางสิริกร มณีรินทร์ หรือแม้แต่นายวีระกานต์ มุสิกพงศ์ เป็นต้น

รวมถึงกลุ่มที่พร้อมจะเข้าร่วมกับพรรคเพื่อไทย และอยู่ข้าง พ.ต.ท.ทักษิณคือ กลุ่มนายสุวัจน์ ลิปต พัลลภ กลุ่มนายสนธยา คุณปลื้ม หรือแม้แต่กลุ่มนาย สมศักดิ์ เทพสุทิน ก็แบะท่าพร้อมจะกลับมาหากพรรคเพื่อไทยยังมีเสียงสนับสนุนหนาแน่น หรือไม่เกิดอุบัติเหตุทางการเมืองให้ถูกยุบพรรคไปเสียก่อน

ซ่อมจุดอ่อน เสริมจุดแข็ง

แม้นายจาตุรนต์จะให้ความเห็นว่าไม่ใช่เรื่องง่าย ที่จะให้สมาชิกบ้านเลขที่ 111 ที่พ้นโทษเข้ามาในการ เมืองทันที แต่หาก พ.ต.ท.ทักษิณกลับมาและเล่นการเมืองได้อีกครั้งการเมืองไทยจะเปลี่ยนแปลงอย่างมาก แต่หมายความว่าประเทศไทยต้องเป็นประชาธิปไตย มีหลักนิติรัฐ นิติธรรมจริงๆเสียก่อน ถ้ายังมีสภาพอย่างทุกวันนี้ พ.ต.ท.ทักษิณก็ยังกลับมาไม่ได้

นายจาตุรนต์ประกาศว่าสิ่งที่ต้องทำแน่ๆหลังพ้นโทษคือเมื่อมีเลือกตั้งจะไปคูหาที่ใกล้บ้านแล้วลงคะแนน และตั้งใจจะรณรงค์คืนสิทธิเลือกตั้งให้กับนักการเมืองชุดบ้านเลขที่ 109 ด้วย

ด้านนายโภคิน พลกุล อดีตประธานรัฐสภาที่เคยร่วมทำงานกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ยอมรับว่า ทั้งนายจาตุรนต์ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ และนายสุรเกียรติ์ เสถียรไทย ล้วนเป็นคนมีความสามารถที่จะเป็นนายก รัฐมนตรีได้ ส่วนสมาชิกบ้านเลขที่ 111 คนอื่นๆเหมือนอะไหล่สำรองที่อาจมีการปรับคณะรัฐมนตรีให้บางคนเข้ามาช่วยงานเพื่อเสริมภาพลักษณ์รัฐบาล ยิ่งลักษณ์ เพราะรัฐบาลเพื่อไทยขณะนี้เป็นรุ่นที่ 3 ที่ยังอ่อนประสบการณ์ แต่คงไม่ปรับแบบรื้อยกแผง เพราะอาจเกิดปัญหาแรงกระเพื่อมภายในพรรคได้

ขณะที่ พ.ต.ท.ทักษิณเองก็ให้สัมภาษณ์ล่าสุดกรณีสมาชิกบ้านเลขที่ 111 จะพ้นโทษ โดยยอมรับ ว่าอาจจะให้บางคนเข้าไปช่วยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ คือซ่อม จุดอ่อนก่อน แม้ความจริงต้องเสริมทุกอย่างก็ตาม เพราะ 5 ปี ประเทศไทยอ่อนลงไปเยอะ จึงต้องเสริมความเข้มแข็งให้กลับมา ไม่ว่าฝ่ายการเมืองหรือข้าราชการประจำต้องไปด้วยกันได้จึงจะแก้ปัญหาได้

หนีไม่พ้นวงจรอุบาทว์

แต่การเมืองไทยไม่ได้มีแค่พรรคการเมือง ยังมีกลุ่มอำนาจทั้งในระบบและนอกระบบที่เป็นเงื่อนไขสำคัญในการต่อสู้แย่งชิงทางการเมือง แม้ 5 ปีที่ผ่านมาจะเห็นชัดเจนแล้วว่ารัฐประหาร 19 กันยายน 2549 มีแต่สร้างความหายนะอย่างใหญ่หลวงให้กับบ้านเมืองและประชาชน

ที่น่ากลัวกว่านั้นคือยังมีคนบางกลุ่มพยายามทำให้ “วงจรอุบาทว์” กลับมาอีกครั้ง ไม่ว่าจะเพื่อปกป้องอำนาจและผลประโยชน์ของใครคนใดคนหนึ่งก็ตาม วิธีที่ใช้ได้ผลมาตลอดก็คือดึงสถาบันเบื้องสูงมาเป็นเครื่องมือทางการเมือง และสร้างภาพ “ปิศาจทักษิณ” ให้อยู่ต่อไปให้นานที่สุด

จึงไม่แปลกที่พรรคประชาธิปัตย์ กลุ่มพันธมิตรฯ และกลุ่มสลิ่มยังพยายามปลุกระดมให้ประชาชนเชื่อว่าวิกฤตบ้านเมืองเกิดขึ้นเพราะคนคนเดียวคือ พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่เคยยอมรับเลยว่าหายนะของบ้านเมืองตลอด 5-6 ปีที่ผ่านมาเกิดจากวงจรอุบาทว์และอำนาจนอกระบบที่ไม่ยอมรับหลักนิติรัฐและนิติธรรมในระบอบประชาธิปไตย

การแก้ไขรัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตยที่แท้จริงจึงถูกบิดเบือนว่าเป็นวิกฤตของบ้านเมือง แทนที่ จะประณามการเมืองนอกระบบและรัฐประหารที่ทำให้บ้านเมืองฉิบหายและหายนะมาจนถึงทุกวันนี้

รัฐบาลเพื่อไทยวันนี้จึงเตรียมอ้าแขนรับพลพรรคจากบ้านเลขที่ 111 ให้กลับมาเสริมทัพปรับกลยุทธ์เพื่อเรียกคะแนนในการบริหารประเทศ ในขณะเดียวกันก็ต้องโดดหนีบ้านเลขที่ 112 ไปก่อน เพื่อปิดจุดอ่อนที่จะถูกโจมตี โดยเฉพาะเรื่องล้มสถาบัน

บ้านเลขที่ 112 จึงกลายเป็นบ้านร้างที่เงียบเหงา...

เพราะเขากำลังเตรียมงานขึ้นบ้านใหม่บ้านเลขที่ 111 กันเร็วๆนี้

ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข
***********************************************************************

ไทยยุคบ้านป่าเมืองเถื่อน !!?

แม้ว่าจะมีมิตรสหายหลายคนแล้วที่เขียนกรณีที่ รศ.ดร.วรเจตน์ ภาคีรัตน์ อาจารย์ฝ่ายนิติราษฎร์ ถูกคนร้ายดักชกเมื่อวันที่ 29 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ที่คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ แต่ผมยังอยากจะเขียนถึงเพื่อสะท้อนให้เห็นว่าสังคมไทยของเราได้ถอยไปจากความเป็นอารยะ ย้อนกลับไปเป็นบ้านป่าเมืองเถื่อนมากขึ้นทุกที

ย้อนกลับไปทบทวนเหตุการณ์คือ มีคนร้าย 2 คน ดักรออาจารย์วรเจตน์ที่บริเวณคณะนิติศาสตร์ ในเวลาราวเที่ยงอาจารย์วรเจตน์มาถึงที่จอดรถของคณะ คนร้ายคนหนึ่งก็ตรงเข้ามาชกทันที ส่วนอีกคนหนึ่งนำรถมอเตอร์ไซค์มาคอยรับและพากันหนีไป เล่ากันว่าคนร้ายไม่ได้วิตกต่อการกระทำการละเมิดกฎหมายเช่นนี้ เพราะยังประกาศท้าทายว่า “ถ้าอยากรู้กูเป็นใครให้ไปดูในวิดีโอ” ผลของการชกทำให้อาจารย์วรเจตน์บาดเจ็บเล็กน้อย แว่นตาแตก และหน้าบวม

หลังจากข่าวนี้แพร่ออกไป ปรากฏว่าพวกสลิ่มและฝ่ายพันธมิตรกลับแสดงความสะใจ บ้างก็ว่าน้อยไปด้วยซ้ำ แต่ที่ร้ายกว่านั้นคือการกล่าวหาว่าฝ่ายอาจารย์วรเจตน์จัดฉากทำร้ายตนเอง เช่น รายหนึ่งใช้นามแฝงว่า “เกลียดแม้ว+เสื้อแดง” ให้ความเห็นว่า “ไอ้วรเจตน์เองแหละไปจ้างพวกมันมาชกตัวเอง เพื่อสร้างข่าว สร้างราคา ขึ้นค่าตัวจากไอ้เแม้ว ถ้าเป็นคนที่เกลียดมันจริงๆเค้าไม่ไปชกในที่แจ้งกลางวันแสกๆอย่าง มธ. หรอก เค้าดักชกมันหน้าบ้านหรือริมถนนตรงไหนก็ได้ หรือไม่ก็ยิงมันทิ้งไปแล้ว” ส่วนผู้ใช้นามว่า “วรกร จาติกวณิช” โพสต์ว่า “ข่าวแว่วๆมาแล้วว่าคนต่อยวรเจตน์คือเพื่อนสมัยมัธยมฯที่ไม่ชอบหน้ากันมา งานนี้อำมาตย์ไม่เกี่ยว สลิ่มก็ไม่เกี่ยว...” โดยคุณวรกรไม่ได้อ้างอิงแหล่งที่มาของข่าวหรือข้อมูลเลยว่าทราบมาได้อย่างไร หรือว่าจะเป็นเธอนั่นเองที่เป็นผู้จ่ายเงินจ้างให้คนร้ายมาชก

วันรุ่งขึ้น 1 มีนาคม คนร้าย 2 คนก็เข้ามอบตัวกับตำรวจที่โรงพักชนะสงคราม คือนายสุพจน์และนายสุพัฒน์ ศิลารัตน์ อายุ 30 ปี เป็นพี่น้องฝาแฝด โดยไม่ได้ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าว แต่เมื่อถูกถามก็ตอบในเชิงกวนประสาทว่า “อยากเตะนักข่าว” ทั้งที่อยู่ต่อหน้าตำรวจ แต่ พล.ต.ท.วินัย ทองสอง ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล แถลงว่า มูลเหตุที่จูงใจให้ก่อเหตุในครั้งนี้เกิดจากความไม่พอใจและเห็นต่างในความคิดเห็น ซึ่งมาจากเรื่องที่อาจารย์วรเจตน์และคณะนิติราษฎร์เสนอแนวคิดแก้มาตรา 112 นั่นเอง ทางตำรวจจึงแจ้งข้อหาร่วมกันทำร้ายร่างกาย เป็นเหตุให้ได้รับอันตรายแก่กายหรือจิตใจโดยไตร่ตรองไว้ก่อน รวมทั้งพิมพ์ลายนิ้วมือและลงบันทึกประวัติไว้เป็นหลักฐาน แต่เนื่องจากผู้ต้องหาทั้งสองเข้ามอบตัวจึงได้รับการปล่อยตัวชั่วคราว แล้วนัดใหม่ในวันที่ 12 มีนาคม เพื่อจะดำเนินการต่อไป

จะเห็นได้ว่าท่าทางของคนร้ายทั้งสองไม่ได้แสดงเลยว่าเกรงกลัวกฎหมายหรือวิตกในอาชญากรรมที่ตนก่อขึ้น เพราะคงเป็นที่ทราบกันว่าโทษในทางกฎหมายของการทำร้ายร่างกายผู้อื่นไม่ใช่โทษรุนแรง เพราะไม่ใช่มาตรา 112 ในกรณีที่มอบตัวและรับสารภาพเช่นนี้ศาลคงจะให้ความเมตตาปรานี น่าจะลงโทษปรับ หรือถ้าจำคุกคงรอการลงอาญา เพราะทำไปภายใต้ข้ออ้างของความจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์

เมื่อข่าวการมอบตัวแพร่ออกไป ในสื่อฝ่ายขวาและเฟซบุ๊คสลิ่มยังคงแสดงปฏิกิริยาโหมกระหน่ำโจมตีคณะนิติราษฎร์ และโยงเข้ากับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร บ้างก็โจมตีว่าอาจารย์วรเจตน์ฉวยโอกาสสร้างราคาให้ตัวเอง ทั้งที่กระแสตกไปแล้ว ในทางตรงข้ามกลับแสดงท่าทีเชิงบวกต่อคนร้ายทั้งสอง บางส่วนยกย่องราวกับทั้งสองเป็นวีรบุรุษ บ้างก็แสดงเจตนาที่จะบริจาคเงินช่วยเหลือ จนกระทั่ง 1 ใน 2 คนร้ายได้ใช้นามว่า “สุพจน์รักในหลวง” โพสต์ข้อความขอบคุณต่อผู้แสดงน้ำใจดีเหล่านั้น และยืนยันว่า “ทำเพื่อชาติ เพื่อสถาบันที่ผมรัก” และขอไม่รับเงินช่วยเหลือ เพราะ “อดเยี่ยงอย่างเสือ...สงวนศักดิ์ โซก็เซาะใส่ท้อง...หาเนื้อกินเอง”

ด้วยเหตุนี้กระมังที่ “สื่อผู้จัดการ” ได้อธิบายว่า “ปรกติแล้วสองฝาแฝดที่ตกเป็นผู้ต้องหาทำร้ายอาจารย์วรเจตน์เป็นคนที่มีอุปนิสัยดี ไม่เคยเห็นทั้งสองไปเคลื่อนไหวทางการเมือง เมื่อก่อนทำงานส่งของทั่วๆไป หลังเกิดเหตุน้ำท่วมไม่ได้ทำงานอีก มาทราบข่าวอีกทีว่าไปก่อเหตุชกอาจารย์ธรรมศาสตร์ก็รู้สึกงง เนื่องจากธรรมดาแล้วคนที่ก่อเหตุอย่างนี้น่าจะเข้าร่วมเคลื่อนไหวทางการเมือง” และลงท้ายจากรายงานข่าวต่อมาถึงขณะที่เขียนอยู่นี้ ปรากฏว่าทนายความของผู้ต้องหาทั้งสองแจ้งว่า “ระหว่างนี้สุพจน์, สุพัฒน์ และครอบครัวจะไปพักผ่อนที่ฮาวาย และจะบินกลับมาวันที่ 11 มีนาคมนี้ ช่วงนี้จึงจะไม่เข้ามาโพสต์ในเว็บครับ”

สรุปแล้วการดำเนินการทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเพราะผู้ต้องหาทั้งสองมั่นใจว่าถ้ากระทำเพราะความรักในหลวงแล้วเป็นการถูกต้อง ผู้สนับสนุนด้วยความสะใจก็เพราะรักในหลวง ที่จะช่วยกันบริจาคให้คนร้ายก็เพราะรักในหลวง ที่โจมตีใส่ร้ายคณะนิติราษฎร์ก็เพราะรักในหลวง จึงเป็นไปตามที่ “ใบตองแห้ง” ตั้งคำถามในบทความชื่อ “รักในหลวงต้องคลั่ง” ด้วยข้อความว่า “นี่รักในหลวงแบบไหนกัน ทำไมความรักในหลวงต้องมาพร้อมกับความโกรธ เกลียดชัง คลั่งแค้นผู้ที่มีความเห็นต่าง มาพร้อมกับความคับแคบ ไร้สติ ไม่ฟังอะไรทั้งสิ้น” สะท้อนให้เห็นความคิดในแบบเดียวกับมวลชนฝ่ายขวาที่ถูกปลุกในข้ออ้างเรื่องปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ แล้วลุกขึ้นมาเข่นฆ่านักศึกษาในกรณี 6 ตุลาคม พ.ศ. 2519 และเป็นไปตามที่นักเขียนคือคำผกา สะท้อนให้เห็นความหน้าไหว้หลังหลอกของสังคมว่า “แฝดคู่นั้นและกองเชียร์ของเขาคือผลผลิตของสังคมอุดมปัญญา สังคมเชิดชูคุณธรรม สังคมจิตอาสา สังคมล้างถนน สังคมที่เต็มไปด้วยเพลงรักอ่อนหวาน สังคมที่ขอเป็นกลางแต่ไม่ยืนข้างความจริง”

กล่าวให้ชัดเจนขึ้นคือ การทำร้ายอาจารย์วรเจตน์เกิดขึ้นหลังจากที่สื่อมวลชนฝ่ายขวา พวกสลิ่มสารพัดสี พลพรรคแมลงสาบ สื่อกระแสหลัก แม้กระทั่งบางปีกในพรรคเพื่อไทย ได้พยายามสร้างกระแสใส่ร้ายป้ายสีว่าคณะนิติราษฎร์เป็นพวกล้มเจ้า คนที่เสนอให้แก้ไขมาตรา 112 เป็นพวกไม่จงรักภักดี และมีการข่มขู่คุกคาม ปลุกระดมให้ทำร้ายมาก่อนหน้านี้แล้ว โดยไม่เคยเสนอให้ชัดเจนเลยว่าคณะนิติราษฎร์เสนออะไร และที่ไม่เห็นด้วยนั้นมีเหตุผลอย่างไร มีแต่การปลุกเร้าความรู้สึกให้ชิงชัยต่อต้านพวกล้มสถาบัน เป็นในลักษณะที่ “เกษียร เตชะพีระ” ใช้คำว่า “หว่านเพาะเชื้ออวิชชา มุสาวาทาและความเกลียดชังเพิ่มพูนขึ้นแก่สังคมไทย” ถ้าพิจารณาในลักษณะนี้คนร้ายทั้งสองคนนี้คือเหยื่อของการปลุกระดมในลักษณะนี้ด้วยซ้ำ มีความเป็นไปได้ว่าทั้งสองคนนี้ไม่เคยอ่านและไม่รู้อย่างจริงจังในข้อเสนอและเหตุผลของฝ่ายนิติราษฎร์ มีแต่ความเกลียดชังว่าอาจารย์วรเจตน์จะมาล้มสิ่งที่เขารักและหวงแหน เขาจึงต้องตอบโต้และกระทำด้วยความภาคภูมิใจ

กระแสทั้งหมดนี้เป็นสิ่งเดียวกับเหตุผลที่ยอมรับในความชอบธรรมของรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่ใช้กำลังทหารเข่นฆ่าประชาชนคนเสื้อแดงเมื่อเดือนเมษายนและพฤษภาคม พ.ศ. 2553 โดยอ้างกันว่า “เพราะคนเสื้อแดงเผาบ้านเผาเมือง” หรือแกล้งเชื่อในข้อมูลแบบนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ที่ว่าทหารไม่ได้สังหารประชาชน แต่เป็นคนชุดดำเป็นผู้เข่นฆ่า จึงทำให้เกิดการเสียชีวิตถึง 93 ศพ คำอธิบายในลักษณะนี้ได้ข้ามความเป็นจริงที่เกิดขึ้นจำนวนมากโดยไม่ต้องตั้งคำถาม เช่น การที่เกิดเพลิงไหม้อาคารทั้งหลาย เกิดขึ้นก่อนหรือหลังการเข่นฆ่าคนเสื้อแดง หรือถ้ามีคนชุดดำมาฆ่าคนกลางเมือง เหตุใดทหารจึงเสียชีวิตน้อยมาก และกระสุนของกองทัพที่ใช้ไปนับแสนนัดใช้ไปทำอะไร

เหตุผลอันกลับหัวกลับหางเหล่านี้ทำให้เหยื่อต้องกลายเป็นผู้กระทำผิด ขณะที่ฆาตกรลอยนวล และที่สำคัญเป็นการชี้ว่าสังคมไทยย้อนกลับไปสู่ยุคบ้านป่าเมืองเถื่อน การใช้กำลังเข่นฆ่าสังหารหรือทำร้ายคนที่คิดต่างจึงกลายเป็นความชอบธรรมของสังคม นี่เป็นเรื่องที่น่าสลดหดหู่ยิ่งนัก

ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข
///////////////////////////////////////////////////////////////

วันเสาร์ที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2555

เปิดใจ:วรเจตน์ เปิดพื้นที่ใช้เหตุผลมาต่อสู้ !!?



เปิดใจ"วรเจตน์ ภาคีรัตน์ "แกนนำกลุ่มนิติราษฏร์ครั้่งแรก หลังถูกทำร้าย เผยกลุ่มไม่เห็นด้วยไม่ใช้เหตุและผลต่อสู้กัน ยันเปิดพื้นที่ถกเถียงกัน

นายวรเจตน์ กล่าวว่า หลังจากที่เกิดเหตุการณ์ทำร้ายตนเกิดขึ้น ได้ติดตามการแสดงความคิดเห็นของกลุ่มบุคคลหลายกลุ่มทั้งที่เห็นด้วย และไม่เห็นด้วย ซึ่งเห็นว่ายังมีกลุ่มคนบางกลุ่มที่ยังคงปิดหูปิดตา และมีหลายที่ใช้ถ้อยคำที่หยาบคายมาด่าท้อด้วยความไม่มีเหตุผลประกอบใดๆ ทั้งสิ้น โดยบางคนเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงในวงสังคมได้แสดความสะใจออกมา เรื่องนี้ได้สะท้อนพื้นฐานระดับจิตใจบางคนอย่างไรก็ตามเรื่องนี้ขอให้เป็นเรื่องของการกาลเวลาที่จะเป็นเครื่องพิสูจน์ เรื่องนี้เป็นเรื่องของความคิดเห็นที่เราจะเปลี่ยนแปลงความคิดเของเขาไม่ได้

"ผมเองก็ได้แต่สังเวชใจ เรื่องนี้ผมเองก็ไม่ได้ใส่ใจในกลุ่มคนพวกนี้มากนัก เพราะส่วนใหญ่แล้วเขาตอบโต้ในเรื่องของความรู้สึก มากกว่าการใช้เหตุและผลมาต่อสู้กัน "

เมื่อถามว่า หลังจากเกิดเหตุการณ์เกิดขึ้นแล้ว มันไม่ได้ทำให้เกิดความอ่อนล้าในเรื่องของความรู้สึกบ้างหรือไม่ นายวรเจตน์ กล่าวว่า สำหรับตนเองแล้ว ได้ผ่านความรู้สึกในเรื่องดังกล่าวมาหมดแล้ว เพราะได้ถูกโจมตี และได้ถูกกล่าวหามาหลายเรื่อง ทั้งที่ไม่ตรงกับความจริงเลย และทุกวันนี้ก็ยังถูกกกล่าวหาอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการกล่าวหาว่าได้รับเงินพ.ต.ท.ทักษิณ ออกมาเคลื่อนไหวเพื่อจะโค่นล้มเจ้า และโค่นล้มสถาบันอะไรต่าง ซึ่งเรื่องนี้มีการกล่าวหาตนมาโดยตลอด ซึ่งมันไม่ได้เป็นความจริง ส่วนตัวแล้วไม่เคยหวั่นไหวในเรื่องที่ไม่เป็นความจริง

"เชื่อว่ากาลเวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ความจริงทั้งหมด การกระทำของตนเองทั้งหมด ถือว่าทำทุกอย่างด้วยเจตนาดี และด้วยความหวังดี ไม่มีผลประโยชน์อะไรแอบแฝงใดๆ ทั้งสิ้น และตนเองก็ไม่เคยได้รับผลประโยชน์อะไรเลย

เมื่อถามว่า ไม่คิดว่าตัวเองโดนโจมตีจากทุกทิศทุกทางหรือไม่ นายวรเจตน์ กล่าวว่า ยอมรับว่ามีความรู้สึกอย่างนั้น แต่ในบางครั้งเราก็จำเป็นที่จะต้องอดทน แต่ก็ใช้ความจริงใจ ความบริสุทธิ์ใจเป็นเครื่องพิสูจน์ ซึ่งมันไม่มีวิธีอื่นที่จะมาพิสูจน์ ส่วนการตอบโต้ด้วยวิธีการรุนแรงนั้นไม่มีประโยชน์เลย

เมื่อถามว่า ความตั้งหวังของตนเองที่ตั้งเอาไว้ไม่ ถือว่าเป็นการตั้งต้นทุนที่มากจนเกินไปหรือเปล่า นายวรเจตน์ กล่าวว่า เรื่องนี้ไม่ทราบ และเรื่องเหล่านี้ไม่เคยประเมิน เพราะทุกครั้งที่ตัดสินใจทำเรื่องอะไรออกไปจะคำนึงเรื่องพื้นฐานของหลักการที่ตนเองคิดว่าเป็นเรื่องที่ถูกต้อง

เมื่อถามว่า การออกพูดในเรื่องมาตรา 112 ของตนเองในเวทีต่างๆ ถือว่าเป็นการออกมาสอนหนังสือ หรือว่าเป็นการออกมาเคลื่อนไหว นายวรเจตน์ กล่าวว่า ตนมีอาจารย์เป็นครูบาอาจารย์ ที่จะต้องสอนหนังสือ ดังนั้นการที่ตนไปพูดในเวทีต่างๆ ถือว่าเป็นการให้ความรู้ ไม่ใช่เป็นการเคลื่อนไหว เมื่อมีการพูดออกไปแล้ว ก็พยายามรับฟังข้อมูล การเสนอ หรือข้อท้วงติงต่างๆ ก็นำกลับมาคิดและรับฟังสิ่งต่างๆที่มีการเสนอแนะออกมา การพูดของตนเองก็พูดอย่างเปิดเผยที่จะบอกกับสังคม และการที่ตนออกมาพูดนั้นไม่ได้สนองความต้องการของคนใดคนหนึ่งอย่างแน่นอน

"สิ่งที่ผมออกมาพูดในเรื่องนี้ ไม่ได้คาดหวังว่าจะสามารถเปลี่ยนความคิดของคนทุกคนในระยะเวลาวันสองวันได้ เรื่องอย่างนี้จะต้องใช้เวลา เป็นเพียงแต่สิ่งที่ผมออกมาพูดนั้น เป็นเพียงมาตราฐานขั้นต่ำของสังคมประชาธิปไตย ที่จะให้ได้มีการพูดคุยกันอย่างเป็นเรื่องที่เป็นเหตุเป็นผล ไม่เอาเรื่องของความรู้สึก เรื่องความชัง หรือเรื่องของอคติมาสู้กัน และสิ่งที่เกิดขึ้นในสังคมที่มีการเอาข้อมูลมาแย้ง สิ่งที่ผมออกมาพูด ผมถือว่าสิ่งที่ ผมพูดนั้นประสบความสำเร็จ ถึงแม้ว่าเหตุผลที่ออกมาจะข้อบกพร่องก็ตาม ต่อไปเรื่อยๆก็จะมีการพัฒนาไป และก็จะไปสู่จุดที่มีการพัฒนาที่ดีขึ้นเรื่อยๆ " นายวรเจตน์ กล่าวว่า

เมื่อถามว่า แค่ไหนที่ตัวเองจะถือว่าควรจะหยุด นายวรเจตน์ กล่าวว่า เราจะไม่ถอยจากความเป็นคน ความเป็นมนุษย์ ที่จะมาตัดสินกันด้วยกำลัง เพราะการตัดสินกันด้วยกำลังนั้นไม่ใช่สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่ามนุษย์ เรื่องนี้หากจะต้องใช้เวลาอีกนาน หรืออีกหลายปีที่จะต้องอธิบายความเพื่อให้ไปถึงจุดที่ให้มีการปรับเปลี่ยน ก็คงจะต้องพูดอธิบาย แม้ว่าจะเป็นกลุ่มที่จะรับฟังเป็นกลุ่มคนที่มีจำนวนน้อยนิด ตนก็คงจะต้องอธิบายต่อไป เนื่องจากในสังคมทุกสังคม จำเป็นที่จะต้องมีที่ยืนให้กับคนทุกคนทุกความเห็น และการพูดคุยถกเถียงกันนั้นไม่ได้ไปทำร้ายใคร เหมือนการไปใช้กำลัง เรื่องนี้แม้ว่าจะมีคนที่ไม่เห็นด้วยกันตนในเรื่องนี้ แต่สิ่งหนึ่งที่เราควรจะมีในเรื่องของสิ่งที่เป็นขั้นต่ำของสังคม คือจะต้องมีการเปิดพื้นที่ให้มีการถกเถียงกันอย่างเป็นอารยะ

เมื่อถามว่า เมื่อมาดูแล้วก็มำให้เชื่อว่าสิ่งที่อาจารย์เสนอออกมานั้น ก็ไม่ได้รับการแก้ไขใช่หรือไม่ นายวรเจตน์ กล่าวว่า เท่าที่ดูจากแนวโน้มของฝ่ายการเมืองทั้งหมด ก็คงจะไม่มีการแก้ไข เพราะอำนาจทั้งหมดในการแก้ไขไม่ใช่ตน และไม่ใช่ประชาชนที่เข้าชื่อ แต่คือส.ส. และส.ว. ที่อยู่ในสภา เมื่อพรรคการเมืองใหญ่ทั้งหมด เขาได้ออกมาบอกว่าจะไม่แตะต้องมาตรานี้ แนวโน้มของการแก้ไขก้คงจะไม่เกิดขึ้น แต่การไม่เกิดขึ้นก็ไม่ได้ทำให้กลุ่มคนที่เห็นว่ามาตรานี้ควรจะต้องแก้ไข มาตรานี้กำลังมีปัญหา ก็ควรจะต้องให้เขาพวกนั้นได้มีโอกาสได้พูด

" สิ่งที่ผมมีความแปลกใจ และเสียใจ คือ หลังจากที่กลุ่มนิติราษฎร์ได้ออกมาเปิดประเด็นในเรื่องนี้แล้ว กลุ่มคนที่น่าจะมีความเกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็น กลุ่มนักวิชาการ หรือกลุ่มที่ไม่มีผลประโยชน์เกี่ยวกับฝ่ายการเมือง ควรจะออกมาแสดงความคิดเห็นจากข้อเสนอดังกล่าว แต่สิ่งที่ปรากฎ คือ กลับไม่มีกรเคลื่อนไหวในเรื่องนี้แต่อย่างใด ทุกคนที่เกี่ยวข้องกลับเงียบ ไม่แสดงท่าทีใด ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าาแปลกใจอย่างมาก อย่างไรก็ตามผมยอมรับว่าหลังจากที่ผมออกมาเคลื่อนไหวในเรื่องนี้แล้ว ผมได้สูญเสียบุคคลที่เคารพนับถือไปจำนวนไม่น้อย รวมทั้งเพื่อนนักวิชาการจำนวนมาก โดยเฉพาะอาจารย์ในคณะเดียวกันกับตน บางคนก็ไม่พูดคุยด้วย " นายวรเจตน์ กล่าว

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

นักการเมืองชั่ว !!?

ตรงเป็นไม้บรรทัด “ท่านปานเทพ กล้าณรงค์ราญ” ประธาน ปปช. คนนี้สิทูนหัว
คดี “ปรส.” โกงทรัพย์แผ่นดิน เงินของชาติ ๑.๔ ล้านล้านบาท..อายุความใกล้ชิดฉาก ในปี ๒๕๕๖
“ปปช.” อืดเป็นเต่าคลาน..จนแล้วจนรอด ยังไม่มีการ “สั่งศาล” ช่างเป็นเรื่องตลก
จะดองเค็ม แช่เย็น เก็บใส่ลิ้นชักไว้ทำไม?...นักการเมืองพรรคไหน,คนใด ที่เป็น “โจรใส่สูท” รวยไปพุงปลิ้น ต้องลากตัวมาลงโทษ ให้จั๋งหนับ
นักการเมืองขี้ฉ้อ....ต้องฟันคอ?..พะเน้าพะนอกับมัน ไม่ได้ดอกขอรับ

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ร่วมกันโกง
คดี “ธนาคารกรุงเทพฯ พาณิชย์การ จำกัด (มหาชน) หรือ “แบ็งค์บีบีซี” ที่จะรื้อกันขึ้นมาใหม่ เป็นเรื่องที่ต้องเสริมส่ง
เกริกเกียรติ ชาลีจันทร์ และ ราเกซ สักเสนา โกงกันในหมู่ผู้บริหารแบ็งค์บีบีซี ไม่ได้
ผู้ที่ยื่นหลักฐาน ไปขอกู้ โดยเอาโฉนดไร้ราคา ไปกู้ในราคาสูง ต้องผิดร่วมอีกบานตะทัย
ไม่คอยปล่อยให้ อดีตนักการเมือง ที่เข้ามาเป็นเจ้าของสโมสรฟุตบอล ที่กู้เงินไปโกง อยู่กับทรัพย์สินหมื่นล้านบาท อย่างสบายแฮ
“กลุ่ม ๑๖”เจ้าเก่า...ที่รวยเอ้า-รวยเอา...ประตูคุกเปิดรอเค้า แล้วแน่ ๆ

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++

คดี ๙๑ ศพ
คนสั่งฆ่า ได้รับโทษทัณฑ์..โดยคดีสู่กระบวนการยุติธรรม ทุกอย่างก็จบ
คดีมาถึงด่านสุดท้าย ...เมื่อ “ธาริต เพ็งดิษฐ์” อธิบดีกรมดีเอสไอ ทำงานอย่างไม่ไว้หน้า
ยกนิ้วให้ “อธิบดีธาริต” ที่เดินชน กันอย่างตรงไปตรงมา
พ้นภารกิจจากเรื่องฆ่า ๙๑ ศพ “ท่านธาริต” ขอล้างมือในอ่างทองคำ พ้นไปจากอธิบดีกรมดีเอสไอเสียที เจ้านาย
ขอต้อนรับคนคุยสนุก...พ.ต.อ.สุชาติ วงศ์อนันต์ชัย อธิบดีคุก...ที่จะลุกมานั่งที่ดีเอสไอ

++++++++++++++++++++++++++++++++++++

แผ่นเสียงตกร่อง
“กรณ์ จาติกวณิช” อดีตขุนคลัง พรรคประชาธิปัตย์ โชว์กึ๋นขาดไอคิว อย่างแรงสิพี่น้อง
แหกปากกู่ก้อง แก้รัฐธรรมนูญ ๕๐ ฟันแหลมหน้าดำ ทำไปทำไม? และแก้เพื่อใคร?
ที่เค้าผ่าตัด ชำแหละ โดยตั้ง “สสร.” ขึ้นมา เพื่อให้เป็น “ประชาธิปไตยเต็มใบ”
“รัฐธรรมนูญเผด็จการ” กากเดนทรราช ให้อภิสิทธิ์เหนือฟ้าเหนือแผ่นดิน ..โดยให้ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามผู้ทุจริตแห่งชาติ หรือ “ปปช.” มีอำนาจตรวจสอบบุคคลท่านใดก็ได้..แต่ตัวเอง กลับไม่ต้องแจ้งบัญชีทรัพย์สิน ..ใครก็เล่นงานไม่ได้แม้กระทงเดียว
รัฐธรรมนูญที่ขาดหลักการ..ต้องแก้ไขโดยฉับพลัน...ไฉนท่านจึงออกมาต้านจนเสียงเขียว

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

กระสุนดินดำ
บางพรรค?...ที่มีเสบียงกรัง ร้อยล้าน พันล้าน เพราะทำเรื่องใต้ดิน กันวันยังค่ำ
อยากให้ “บิ๊กอ๊อฟ” พล.ต.อ.เพรียงพันธุ์ ดามาพงศ์ ผบ.ตร. และ “บิ๊กเหลิม” ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกฯ กวดขันให้เข้าเป้า
เฉพาะเรื่องค้าน้ำมันเถื่อน ในทะเลภาคใต้ มีนักการเมืองหนุน ไม่เกรงกฎหมาย
เงินนอกรีตพวกนี้ เอามาเป็นฐานเสียงตั้งสถานีโทรทัศน์ดาวเทียม ด่า “รัฐบาลปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อย่างไม่เกรงกลัว
นักการเมืองลูกลาว...มันก่อเรื่องฉาว?...เป็นเจ้าใหม่ ที่ค้าน้ำมันเถื่อน อยู่ขณะนี้สิทูนหัว

คอลัมน์:ตอดนิดตอดหน่อย,บางกอกทูเดย์
***********************************************************************

นายกฯ ตัวจริง !!?

ทำเนียบรัฐบาล ณ เมืองดูไบ ออกมติ ครม.ส่งสัญญาณถึง “บ้านเลขที่ 111” เตรียมตัวเตรียมใจฟิตร่างกายให้พร้อมเพื่อการกระโดดเข้าเสียบเป็นเสนาบดีไม่เกินเดือนมิ.ย.-ก.ค.ปีนี้อย่างแน่นอน นัยว่าเพื่อช่วยอุ้มสม “ท่านนายกฯ น้องรัก” ให้กลับมาแข็งโป๊กเหมือนสมัยที่ “นายใหญ่” เคยรุ่งเรืองมาแล้วในอดีต ก็ขอให้บรรดาเจ้าของมุ้ง หัวหน้าก๊วน แต่งตัวรอการปรับ “ครม.ยิ่งลักษณ์ 3” หลังคุกการเมืองแตกในอีก 3 เดือนข้างหน้านี้

แต่ขอเตือนให้ระวัง “วิกฤติตัวสำรอง” ที่กำลังลุ่มหลงในอำนาจรัฐ อาจจะดื้อไม่ยอมลุกจากเก้าอี้แต่โดยดี..เพราะหลังจากบ้านเลขที่ 111 กระโดดเสียบเป็นเจ้ากระทรวงแทนตัวสำรอง หากเคลียร์กันไม่ลงตัวย่อมเกิด “คลื่นใต้น้ำ” ตามมาภายในพรรคเพื่อไทย..ลำพังพรรคประชาธิปัตย์ชั่วโมงนี้ไม่สามารถระคายผิวรัฐบาล ได้เลยแม้แต่นิดเดียว แต่ “สนิมย่อมเกิดแต่เนื้อในตน” ปัญหาความแตกร้าวภายในพรรคเพื่อไทยเองต่างหาก จะเป็นตัวสั่นคลอน “รัฐบาลยิ่งลักษณ์” ให้ลงจาก อำนาจก่อนเวลาอันควร

ชั่วโมงนี้ “นายใหญ่” ไม่ต้องออกอาการเหนียมอายกันอีกต่อไปแล้ว หลังถูกโค่นอำนาจไปด้วยวิธีไม่ปกติ แต่ก็กลับมาชนะใจประชาชนอีกครั้ง จนนำพรรคเพื่อไทย มีเสียงเกินกึ่งหนึ่งของสภา เข้าครอบครองอำนาจรัฐแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด เมื่อทุกอย่าง เริ่มนิ่งก็ต้องรีบเดินหน้าร้องหา “ความปรองดอง” ของผู้คนภายในชาติ โดยให้ทุกฝ่ายหันหน้าเข้าหากัน เพื่อเป็นยันต์กันผีรัฐประหารและการต่อต้านจากม็อบข้างถนน

“นายกฯ ตัวจริง” เริ่มส่งสัญญาณให้ทุกฝ่ายยอมรับ “ความเป็นจริง” ที่เกิดขึ้นในสังคมไทย สิ่งไหนดีควรเก็บรักษาเอาไว้ก็ไม่ต้องไปแตะ ส่วนสิ่งไหนที่เป็นปัญหากับการพัฒนาประเทศก็ต้องกล้าที่จะแก้ไขเปลี่ยนแปลง โดยโฟกัส ไปที่สถาบันตุลาการแบบเต็มหมัด เป็นหมู ที่ไม่กลัวน้ำร้อนอีกต่อไปแล้ว หลังจากพรรคที่ปั้นมากับมือถูก “ยุบทิ้ง” ไปถึงสองครั้งสองครา วันนี้ภาพพรรคเพื่อไทยไม่ต่าง จากพรรคพลังประชาชนหรือไทยรักไทยเดิมเลยแม้แต่น้อย แล้วยิ่ง “สารวัตรเหลิม” ออกมาคำรามผ่านสื่อว่าหากมีการจงใจยุบพรรคเพื่อไทยอีกครั้ง จะเดินหน้าแก้เกมตุลาการด้วยการตั้ง “พรรคทักษิณ” ให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย

การส่งสารครั้งนี้ของ “นายกฯ ตัวจริง” จนเป็นประเด็นร้อนทำให้ศาลสถิตยุติธรรมแทบจะละลายเป็นขี้ผึ้งถูกไฟลน ก็ตรงที่ “นายใหญ่” ดันเผยไต๋เรื่องความพยายามจะเปลี่ยนแปลงอำนาจในฝ่ายตุลาการและองค์กรอิสระอย่าง “ศาลรัฐธรรมนูญ” โดยพยายามให้เหตุผลที่ว่า..ทุกส่วนของอำนาจในประเทศ ควรที่จะมีส่วนที่ยึดโยงกับประชาชนบ้าง..

การที่ “อดีตนายกฯ ผู้ยิ่งใหญ่” ได้ยิงตรงไปที่ศาลรัฐธรรมนูญในทำนองว่า เป็นองค์กรอิสระที่แต่งตั้งจากใครที่ไหนก็ไม่รู้ ตั้งมา 8-9 คน แล้วสามารถปลดนายกฯ ที่ประชาชนเลือกมา 10 กว่าล้านคนได้ง่ายๆ..มันควรที่จะเป็นอย่างนั้นหรือ??? สอดรับกับกรณี “สมัคร สุนทรเวช” ที่โดนสอยร่วงลงจากเก้าอี้นายกรัฐมนตรี เพราะดันไปแอบถือตะหลิว แล้วถูกองค์กรอิสระแห่งนี้เชือดแบบค้านสายตาคนดูทั้งประเทศ.. สื่อความหมายกันชัดๆ ว่าการแก้รัฐธรรมนูญเที่ยวนี้ จะต้องมีการยกเครื่องกันครั้งใหญ่ สำหรับองค์กรอิสระโดยเฉพาะศาลรัฐธรรมนูญ โดยมีศาลปกครองถูกหางเลข ไปด้วย

ส่วนการออกมาหยอกแรงๆ เรื่องการตั้งประธานศาลฎีกานั้นควรจะต้องมาขอการรับรองจากสภาด้วยหรือไม่??? ประเด็นนี้คงเป็นเพียงแค่หมากล่อ เพื่อข่มขู่ใคร บางคน?!?! แต่ธงของฝ่ายการเมืองโดยเฉพาะพรรคร่วมรัฐบาลนั้นก็คือ “แค้นนี้ ต้องชำระ”... ในเมื่อศาลรัฐธรรมนูญ มีอำนาจยุบทิ้งพรรคการเมืองไปแล้วตั้งหลายพรรค ก็คงถึงคราวที่องค์กรอิสระแห่งนี้จะรับรู้อารมณ์ของการถูกย้อนศรบ้างจะเป็น ไรไป???

ที่มา.สยามธุรกิจ
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันศุกร์ที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2555

กรณี ฮิโรยูกิ. กับ ขนาดของ (ใจ) นายกรัฐมนตรี !!?

ขนาดของ "ใจ" ระหว่าง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กับ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ มีความแตกต่างกันอย่างแน่นอน
ทั้งๆ ที่นิยามโดยทั่วไปที่ว่า ใจเท่า "กำปั้น" ยังดำรงอยู่

แม้ว่าตามขนบความเชื่อแต่โบราณ มักโน้มเอียงที่จะเห็นว่า ใจของชายชาญมีความแกร่ง มีความใหญ่กว่า ใจของอิสตรี
แต่เมื่อเทียบกับขนาดของใจระหว่าง นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร แล้วหลายคนอาจมีความเห็นว่า

"ไม่แน่"

ไม่แน่ว่าขนาดของใจ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จะมีความใหญ่มากยิ่งกว่าขนาดของใจ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
ถามว่าเอาอะไรเป็นมาตรวัด เอาอะไรเป็นเครื่องเปรียบเทียบ
คำตอบ 1 ที่เห็นได้อย่างเด่นชัด คือ การเอาการตายของ นายฮิโรยูกิ ยามาโมโตะ ช่างภาพสำนักข่าวรอยเตอร์ ชาวญี่ปุ่น เมื่อวันที่ 10 เมษายน 2553 มาเป็นเครื่องวัด ว่า 2 คนนี้มีท่าทีและการแสดงออกอย่างไร

ไม่มีความแจ่มชัดจาก นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ แต่มีความแจ่มชัดจาก น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร

มองตามสภาพความเป็นจริง นายฮิโรยูกิ ยามาโมโตะ ไม่ได้เป็นฝ่ายแดง ไม่ได้เป็นฝ่ายเหลือง ไม่ได้เป็นฝ่าย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ไม่ได้เป็นฝ่าย นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ

เขาเป็นช่างภาพ เขาสังกัดสำนักข่าวรอยเตอร์

ในวันที่ 10 เมษายน 2553 อันเป็นวันขอคืนพื้นที่บริเวณถนนราชดำเนิน สี่แยกคอกวัว สะพานผ่านฟ้าลีลาศ เขาออกปฏิบัติหน้าที่ตามปกติ

แล้วเขาก็ตายเพราะกระสุนปืน

วันที่ 10 เมษายน 2553 เป็นห้วงเวลาที่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรีและมีส่วนอย่างสำคัญในการตัดสินใจใช้กำลังทหารเข้าสลายการชุมนุม

เป็นความรับผิดชอบของนายกรัฐมนตรีที่จะต้องหาคนสังหาร นายฮิโรยูกิ ยามาโมโตะ

ระยะเวลาจากวันที่ 10 เมษายน 2553 กระทั่งถึงวันที่ 2 มีนาคม 2555 ที่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เดินทางไปเยือนญี่ปุ่นอันเป็นบ้านเกิดของ นายฮิโรยูกิ ยามาโมโตะ แม้ไม่สามารถระบุสาเหตุการตายได้ แต่ก็ควรแสดงความรู้สึก

ความรู้สึกของในการสูญเสียของช่างภาพชาวญี่ปุ่นผู้ตายระหว่างการปฏิบัติหน้าที่

แต่ตลอดเวลาการเยือนญี่ปุ่นของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ไม่มีท่าทีใด แม้กระทั่งต่อครอบครัวของ นายฮิโรยูกิ ยามาโมโตะ

นี่ย่อมตรงกันข้ามกับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร

การเข้าดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เกิดขึ้นภายหลังสถานการณ์สลายการชุมนุมอันนำไปสู่การเสียชีวิตของ นายฮิโรยูกิ ยามาโมโตะ เป็นเวลากว่า 1 ปี

เป็น 1 ปีที่การสอบสวนสืบสวนหลงทิศผิดทาง หาคำตอบไม่ได้

กระนั้น ภายในระยะเวลาจากเดือนกรกฎาคม จนถึงเดือนธันวาคม 2554 รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ก็สามารถมีคำตอบ

มีคำตอบว่า นายฮิโรยูกิ ยามาโมโตะ ตายเพราะกระสุนปืนของเจ้าหน้าที่ทหาร

มีคำตอบกระทั่งเจ้าหน้าที่ตำรวจแห่งกองบัญชาการตำรวจนครบาลสามารถทำสำนวนส่งให้สำนักงานอัยการสูงสุดและพนักงานอัยการได้ส่งฟ้องศาลเพื่อให้มีการไต่สวน

ยิ่งกว่านั้น ยังมีคำตอบในเรื่องการเยียวยาด้วยเงินจำนวนหนึ่ง

การเดินทางไปญี่ปุ่นของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จึงนอกจากจะมีสารอันเหมือนเป็นคำตอบต่อครอบครัวของ นายฮิโรยูกิ ยามาโมโตะ แล้วยังมีคำมั่นในเรื่องการเยียวยา

เป็นการแสดงความเสียใจโดยรัฐบาลอย่างเป็นทางการ

นี่คือความรับผิดชอบในฐานะแห่งนายกรัฐมนตรี ขณะเดียวกัน ก็เป็นความรับผิดชอบในฐานะแห่งมนุษย์ต่อมนุษย์ด้วยกัน เพราะเมื่อมีการตายอย่างไม่สมควรโดยเจ้าหน้าที่รัฐ นายกรัฐมนตรีต้องรับผิดชอบ

เป็นความรับผิดชอบอันต่างไปจากที่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ แสดงออกเสมอมา

มีความแตกต่างอย่างแน่นอนในเรื่องขนาดของ "ใจ" ระหว่างนายกรัฐมนตรี 2 คนของไทย

นายกรัฐมนตรีคนหนึ่งเป็นคนออกคำสั่งอันนำไปสู่การสูญเสีย นายกรัฐมนตรีคนหนึ่งได้รับเลือกจากประชาชนให้มาชำระสะสางเรื่องเลวร้ายอันเพิ่งเกิดขึ้นในประเทศ

เด่นชัดยิ่งว่าของใครมีขนาดใหญ่กว่า

ที่มา: มติชนออนไลน์
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++