--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันอังคารที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

น้ำท่วม.. ยังเป็นประเด็นชี้ตายอันดับหนึ่งของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ !!?



ภาพจากเว็บไซต์รัฐบาลไทย
ท่ามกลางภาพลักษณ์ความชื่นมื่นระหว่างอดีตนายกรัฐมนตรี พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ กับนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตร ในงานเลี้ยงที่ทำเนียบรัฐบาลเมื่อวันที่ 10 ตุลาคมที่ผ่านมา ก็มีการจุดกระแส “รัฐประหาร” อีกครั้งหนึ่งโดยนายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำ นปช. ที่อ้างข้อมูลจากข่าวกรองสหรัฐและทหารแตงโมภายในกองทัพ

ถ้าพิจารณาบริบทแล้ว ก็ยังถือว่าน่าสนใจ เพราะอุณหภูมิทางการเมืองที่เงียบสงบไปนาน กลับเริ่มร้อนแรงขึ้นมาอีกครั้งหลังผ่านช่วงปีใหม่ หลังจากกลุ่ม “นิติราษฎร์” ออกมาจุดประเด็นเรื่องการแก้รัฐธรรมนูญ-แก้กฎหมายอาญามาตรา 112 จนเกิดประเด็นวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางในสังคม
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ทั้ง พล.อ.เปรม และ น.ส.ยิ่งลักษณ์ จะโดนโจมตีจาก “กองเชียร์” ทั้งสองสี ไม่ว่าจะเป็นประเด็น “เกี๊ยะเซี๊ยะ” “หักหลัง” “ทรยศ” ต่อฝ่ายเดียวกันที่เคยสนับสนุนกันมา แต่ “ภาพความปรองดอง” ที่ออกมากลับได้รับเสียงชื่นชมจาก “คนกลางๆ” ที่เป็นคนส่วนใหญ่ของสังคมไทยไม่น้อย เพราะเป็นสัญลักษณ์แสดงจุดเริ่มต้นของความปรองดองที่สังคมไทยโหยหามานาน

ทำให้ความขัดแย้งทางการเมืองที่ดูเหมือนจะรุนแรงขึ้นมาอีกครั้ง กลับยังไม่รุนแรงจนถึงจุดเดือดเหมือนภาพที่พยายามจะสื่อออกมา

หลักฐานนี้ถูกย้ำชัดผ่านผลการสำรวจของ “ดุสิตโพล” ระหว่างวันที่ 1-10 กุมภาพันธ์ 2555 ที่สำรวจคนไทยจำนวนกว่า 5 พันคนต่อการทำงานในรอบ 6 เดือนแรกของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ พบว่า “ความขัดแย้งทางการเมือง” ถือเป็น “ผลงานยอดแย่” อันดับ 3 ด้วยคะแนน 11.5% เท่านั้น โดนอันดับแรก “ปัญหาน้ำท่วม” ทิ้งห่างด้วยคะแนน 52% และอันดับสอง “ปัญสินค้าแพง” 36.48% ตามลำดับ



เมื่อพิจารณาดูแล้ว ความเสี่ยงของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ยังเป็นเรื่อง “น้ำท่วม” ที่มีอันตรายสูงสุด
น้ำท่วมครั้งใหญ่ในปี 2554 ถือเป็น “ประวัติศาสตร์” อีกหน้าหนึ่งของภัยพิบัติในประเทศไทย สร้างความเสียหายต่อระบบเศรษฐกิจ-สังคมไทยอย่างมหาศาล และรัฐบาลยิ่งลักษณ์ที่เพิ่งเข้าทำงานหมาดๆ ก็ประสบความล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงในการต่อกรกับน้ำท่วมครั้งใหญ่ของประเทศไทย

ถึงแม้เสียงส่วนใหญ่ของสังคมจะไม่โทษรัฐบาลยิ่งลักษณ์ว่าเป็น “สาเหตุ” ที่ทำให้น้ำท่วม เพราะภัยธรรมชาติเป็นเรื่องที่ห้ามกันยาก และความล่าช้า-ไร้ประสิทธิภาพในการทำงานแก้ปัญหาน้ำท่วมของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ก็ยังเป็นแค่เสียงก่นด่าที่ทำให้รัฐบาลเสียคะแนนนิยม แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นจะทำให้ “รัฐนาวา” ล่มลงไปได้

แต่ถ้าปี 2555 น้ำยังท่วมอีก เสียงส่วนใหญ่ของสังคมไทยย่อมจะไม่ให้อภัยความผิดซ้ำซากเป็นครั้งที่สองแล้ว

เป้าหมายสำคัญที่สุดของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ในปัจจุบัน จึงต้องทำทุกทางเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดสภาพแบบเดียวกันในปี 2555 อีกครั้ง

ถ้าดูจากความคืบหน้าของรัฐบาล จะเห็นว่าแผนการฟื้นฟูความเสียหายจากน้ำท่วมครั้งที่แล้ว-วางแผนป้องกันน้ำท่วมครั้งต่อไป ยังไม่คืบหน้าเท่าที่ควร
  • การจ่ายเงินเยียวยาความเสียหายจากน้ำท่วม ยังล่าช้าและไม่ทั่วถึง ทั้งที่ผ่านเวลาน้ำท่วมมาแล้วหลายเดือน
  • การฟื้นฟูพื้นที่ที่เสียหายจากน้ำท่วม ก็ยังล่าช้า จนนายกรัฐมนตรีต้องลงพื้นที่ “ทัวร์นกขมิ้น” เพื่อติดตามการใช้งบประมาณฟื้นฟูด้วยตัวเอง
  • ในฝั่งกฎหมายกู้เงินเพื่อวางระบบป้องกันน้ำท่วม-แก้ปัญหาเศรษฐกิจ ร่าง พ.ร.ก. 4 ฉบับก็เกิดปัญหาโดนฝ่ายค้านสกัดกั้นไปบางส่วน และต้องรอผ่านการพิจารณาจากศาลรัฐธรรมนูญที่ใช้เวลาอีกนับเดือน
  • ฝั่งคณะกรรมการอย่าง กยอ. และ กยน. ยังมีความขัดแย้งในหมู่กรรมการเป็นระยะ และมีข่าวว่ากรรมการบางคนจะลาออกอยู่เนืองๆ
  • การตั้ง “หน่วยงานบริหารจัดการน้ำ” ที่มีอำนาจบริหารเบ็ดเสร็จ ก็ยังไม่เสร็จสิ้นสมบูรณ์ดี ทั้งที่เหลือเวลาอีกไม่มากเมื่อนับถึงฤดูน้ำหลากในปีนี้ และต้องคำนึงถึงเวลาทำงาน-เตรียมการอีกส่วนหนึ่งด้วย (อ่าน ครม.เห็นชอบ ตั้ง “คณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.)” ดูแลปัญหาน้ำเบ็ดเสร็จ)
สรุปสถานการณ์ในขณะนี้อาจประเมินได้ว่า การทำงานแก้ปัญหาน้ำท่วมของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ยังไม่เข้าเป้าในแง่การสร้างความมั่นใจให้แก่ทั้งคนไทยและนักลงทุนต่างชาติ ว่าถ้าหากน้ำเยอะอย่างปีที่แล้ว จะไม่เกิดน้ำท่วมซ้ำอีก

ในอีกด้าน ปัญหาใหญ่ที่เกิดขึ้นแบบเงียบๆ คือ “ปัญหาปากท้อง” ที่โค่นรัฐบาลทั่วโลกมาแล้วทุกยุคทุกสมัย การออกมาจุดประเด็น “ของแพง” ของฝ่ายค้านสร้างแรงสะเทือนต่อรัฐบาลไม่น้อย ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่ประเด็นร้อนที่โค่นรัฐบาลลงในชั่วข้ามคืน แต่การปล่อยให้เกิดภาวะของแพงเรื้อรังต่อไป ย่อมเป็นภาวะกัดกร่อนรัฐบาลไปจนถึงแก่น และสามารถเป็น “ปัจจัยซ้ำเติม” ที่ช่วยฉุดรัฐบาลยามเกิดปัญหาอื่นเข้าแทรกได้

สุดท้ายแล้ว เราประเมินว่าในปี 2555 รัฐบาลยิ่งลักษณ์น่าจะสามารถประคองตัวผ่านความขัดแย้งทางการเมืองไปได้สำเร็จ แต่ปัญหาเรื่องน้ำท่วม-สินค้าแพง อาจกลายเป็นประเด็นชี้ตายสองอันดับแรก ที่อาจทำให้รัฐบาลต้องเสียหลักอย่างไม่คาดคิด ถ้ายังไม่จริงจังมากพอ

ที่มา:Siam Intelligence Unit
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันจันทร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

เปิดแฟ้ม ครม.เฉลิม..เสนอตั้งกรรมการปราบปราม ทุจริตภาครัฐ !!?

โดย : กชพรรณ สุขสุจิตร์

เปิดแฟ้มครม."ยิ่งลักษณ์" เสนอปรับเบี้ยเลี้ยงกองอาสารักษาดินแดน กฟภ.เสนอสร้างเคเบิลใต้น้ำเกาะกรูด ตั้งคณะกรรมปราบปรามทุจริตภาครัฐ

การประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.)วันนี้ นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เสนอขออนุมัติงบประมาณสำหรับเงินบำรุงประจำปีของศาลกฎหมายทะเลระหว่างประเทศ เงินบำรุงประจำปีขององค์กรพื้นดินท้องทะเลระหว่างประเทศประจำ ค.ศ. 2011และ 2012 และเงิน Working Capital Fund ประจำปี ค.ศ. 2011 และการเสนอขอปรับอัตราเงินค่าตอบแทนและค่าเบี้ยเลี้ยงสนามของสมาชิกกองอาสารักษาดินเเดง และเสนอผลการตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชน

นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ รองนายกฯเเละรมว.มหาดไทย เสนอโครงการก่อสร้างระบบจำหน่ายด้วยสายเคเบิลใต้น้ำไปยังเกาะต่างๆ(เกาะกูด เกาะหมาก จ.ตราด) ของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค

ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกฯ เสนอการบริหารจัดการแรงงานต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองสัญชาติพม่า ลาว และกัมพูชา ปี 2555 และเสนอขอให้ครม.มีมติเห็นชอบแต่งตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติ ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตภาครัฐชุดใหม่

พล.อ.ยุทธ ศักดิ์ ศศิประภา รองนายกฯ เสนอร่างพ.ร.บ.สถานประกอบการเพื่อสุขภาพ พ.ศ. ... และขออนุมัติการลงนามบันทึกความเข้าใจระหว่างสถาบันด้านความปลอดภัยทางนิวเคลียร์แห่งสาธารณรัฐเกาหลีกับสำนักงานปรมาณูเพื่อสันติ กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯเพื่อความร่วมมือด้านปรมาณู

สำหรับวาระเพื่อทราบ มีดังนี้

กระทรวงสาธารณสุข เสนอร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดหน่วยงานของรัฐ ตามพ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ (ฉบับที่..) พ.ศ. 2539

กระทรวงมหาดไทย เสนอร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมือง รวม จ.ลำพูน พ.ศ. ....

ศาลปกครอง เสนอรายงานการปฏิบัติงานของศาลปกครองและสำนักงานศาลปกครอง ประจำปี 2553

สภาผู้เเทนราษฎร เสนอรายงานการประชุมสมัชชาสหภาพรัฐสภา ครั้งที่ 125 และการประชุมอื่นๆที่เกี่ยวข้อง

กระทรวงการต่างประเทศ เสนอผลการเยือนสาธารณรัฐสิงคโปร์อย่างเป็นทางการของนายกฯ

สำนัก งานการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมเเห่งชาติ เสนอผลการดำเนินงานของครม.รัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ในช่วง 3 เดือน (เดือน ก.ย.-พ.ย. 2553)

กระทรวงสาธารณสุข และสปสช. เสนองบดุล และรายงานการรับจ่ายเงินกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติประจำปีงบประมาณ 2553 และ 2552

กระทรวง มหาดไทย และสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมเเห่งชาติ เสนอความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมเเห่งชาติ เรื่องการฟื้นฟูการพัฒนาตามอุดมการณ์แผ่นดินธรรม แผ่นดินทอง

ที่มา:กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันอาทิตย์ที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ศึกสายเลือดสีแดง : ชิงหัวขบวน นปช. !!?

จับตาการเมืองไทยที่กำลังฝุ่นตลบ แค่การเคลื่อนไหวแห่งวาระแก้ รัฐธรรมนูญก็ยิ่งปรากฏให้เห็น “ชนวน ความคิด” ซึ่งมีทั้งกระแสหนุนและ ต่อต้าน โดยเฉพาะในโมเดลนิติราษฎร์ ที่นักวิชาการหัวก้าวหน้าลงมือ ปรุงเมนู “ไข่ยัดไส้” วางบนจานแก้มาตราร้อน 112 หรือกฎหมายล้มเจ้า! ที่ส่อเค้าว่าจะเป็นระเบิดเวลาลูกใหญ่..

ขณะที่บริบทในหมากการเมืองข้างถนน.. กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือ นปช. ก็ยังเดินเกมคู่ขนานไปพร้อมกับคณะพรรคเพื่อไทย ด้วยการยื่น 5 หมื่นรายชื่อ เสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน ในวันที่ 9 ก.พ.นี้ เป็นจังหวะเดียวกับที่รัฐนาวา “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” เตรียมยื่นแก้ไขมาตรา 291 เพื่อปลดล็อก “ส.ส.ร.3” ซึ่งหากอ่านคิว “เบี้ยดูไบ” ไม่ผิดเพี้ยน! เป้าหมายที่มีไว้พุ่งชน คือรื้อรัฐธรรมนูญ 2550 กันหมดทั้งฉบับ ตามปฏิทินเสื้อแดง..ในอีกสัปดาห์ให้หลังก็จะมีการปรับกระบวน ทัพใหม่ หลังประเมินสถานการณ์การเมือง ตลอดจน “รอยร้าว!” ภายในขบวนเสื้อแดงที่เริ่มขยายวงกว้าง เมื่อแกนนำแดงสายฮาร์ดคอร์ อาทิ ชินวัฒน์ หาบุญพาด-พ.ต.ท. ไวพจน์ อาภรณ์รัตน์ รวมทั้ง “พายัพ ปั้นเกตุ” และ “แรมโบ้อีสาน” สุภรณ์ อัตถาวงศ์ ซึ่งทั้งหมดยังอยู่ในอารมณ์ ขัดแย้งรุนแรงกับ “ธิดา ถาวรเศรษฐ” รักษาการประธาน “นปช.แดงทั้ง แผ่นดิน” นั่นจึงเป็นที่มาของภารกิจ “หักด้ามพร้าด้วยเข่า” หวังเปลี่ยนตัวหัวขบวนเสื้อแดงในที่สุด

ไม่ใช่ครั้งแรกที่แดง..แตกออกเป็นเสี่ยงๆ เพราะก่อนหน้านี้ในเหตุการณ์ นองเลือดเมื่อเดือนพฤษภาคม 2553 ก็มีความเห็นที่ขัดแย้งกันโดยสิ้นเชิง ปีกหนึ่งให้ยุติชุมนุม อีกปีกให้เดินหน้าชน ต่อไป ทว่าผลสุดท้ายแกนนำต่างพ่ายแพ้ ติดคุก บางส่วนหลบหนีกระเจิดกระเจิง ไปต่างประเทศ

แต่พอได้มาผนึกกำลังรบกันครั้งใหม่ “เสื้อแดง” ก็สามารถโอบอุ้มให้พรรคเพื่อไทยชนะเลือกตั้งเข้ามาสู่ “อำนาจรัฐ” ได้ในที่สุด โดยขณะที่มวลชนต่างฉลองกันครื้นเครง แต่แกนนำ หลายคนใช้โอกาสนี้สะสางปัญหาความ ขัดแย้งที่สะสมจนระเบิดออกมา แดงฮาร์ดคอร์ทั้งหลาย ได้แอบเจาะ “รูรั่ว” ให้แก่ขบวนทัพ นปช. ภายใต้การนำของ “ธิดาแดง” โดยย้ำหัวตะปูถึงปัญหาที่เกิดขึ้นจากตัวบุคคล และได้สร้างความแตกแยกภายใน กระทั่ง แกนนำหลายคนไม่เผาผีกันไปแล้ว แค่เฉพาะชุดความคิดและอุดมการณ์ ก็ที่เป็นไปคนละทาง จนปริแยกเหล่านี้ได้ลามไปถึงมวลชนเสื้อแดงกลุ่มอื่นๆ แบบไฟลามทุ่ง..!! แน่นอนว่า.. “เหตุและปัจจัย” ที่เป็นตัวแปร คือแกนนำแต่ละคนก็มีความคิดที่ต่างกันไป บางพวกก็ไม่ยอมรับ ดอกไม้หลายสี หรือยึดมั่นถือมั่นแต่ตัวเองเป็นสำคัญ

อย่างเมื่อกลางปีที่แล้ว แกนนำเสื้อแดงก็มีความเห็นตรงกันว่า..ควรมีการเลือกตั้งประธาน นปช.คนใหม่ให้เร็ว ที่สุดเพื่อให้การเคลื่อนไหวมีความเป็นเอกภาพสอดคล้องกัน อีกทั้งมีการกดดัน ให้ “ธิดา” ไขก๊อก! ด้วยการขู่ว่าจะปรับเปลี่ยนยุทธศาสตร์การเคลื่อนไหว โดย แยกตัวออกมาเป็นเอกเทศ แบ่งการเคลื่อนไหวเป็นรายภาคทั้งเหนือ-อีสาน พออาการกำเริบหนัก “หัวหมู่คน เสื้อแดง” หลายคนก็เริ่มหายใจไม่ออก จึงคิดจะเปลี่ยนบทกันเล่น หาคนที่เหมาะสมมากกว่าเข้ามาแทนที่ ทำให้ปรากฏชื่อ “ตู่-จตุพร พรหมพันธุ์” แกนนำแดงรุ่นลายคราม และ ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย ถูกนำมาเทียบมวยกับ “ธิดาแดง” หลังจาก “เดอะตู่” ต้องลุ้นอีกเฮือกใหญ่ๆ ในช่วงวาเลนไทน์ สีเลือดว่าตัวเองจะหลุดพ้นสมาชิกภาพ ส.ส.หรือไม่..?!
เวลานี้ศึกชิงประธาน นปช. จึง ได้เริ่มเปิดฉากทั้งเกมบนดินและใต้ดิน

ทีนี้เมื่อ นปช.อยู่ในภาวะตีบตัน กำลังระส่ำระสายเป็นการภายใน คนบางกลุ่มจึงได้มีแนวคิด..แยกมวลชนออกจากการเมือง! เพื่อเป็นฐานมวลชน อีกกลุ่มก้อนที่จะก้าวมาเทียบเคียง “ดุลอำนาจ” กับคณะพรรค นปช. ซึ่งก่อนการระดมมวลชนกลุ่มนี้ขึ้นมา ก็มีการเปิดวงสนทนากับ “ผู้มีอำนาจตัวจริง” อย่างใกล้ชิด..เพื่อเตรียมเคลื่อนไหว ทางมวลชนระลอกใหม่ ที่น่าสนใจ เพราะคนกลุ่มนี้ได้มีรูปแบบการจัดตั้งที่แตกต่างกับ นปช. แบบคนละขั้ว ถึงแม้จะเป็นกลุ่มเคลื่อนไหว เพื่อประชาธิปไตยเหมือนๆ กัน แต่ก็อยู่ ในระดับที่ซึมลึก..ใกล้ชิดกับมวลชนมาก กว่า ซึ่งทั้งหมดจัดเป็นกลยุทธ์หนึ่ง เพื่อ สลายจุดอ่อน..สร้างจุดแข็งให้กับตัวเอง!

ขณะที่การเคลื่อนไหวก็มีแนวโน้ม ว่าอาจเป็น “ศึกนอก” ที่ล่อแหลมต่อ ขบวนทัพ นปช.สีแดง แม้จะมีลักษณะ เป็นแนวร่วมเดียวกัน แต่เอา “อุดมการณ์” ที่ต่างกันเป็นตัวแยกปลาออก จากน้ำ และเท่าที่ตรวจสอบนักเคลื่อนไหว กลุ่มนี้ มีการยืนยันแนวทางประชาธิปไตยที่แปลกแยก คือมุ่งเน้นในเชิงปริมาณ อันมาจากการเคลื่อนไหวด้านมวลชน.. แต่ไม่ขายตัวบุคคลที่อาศัยกลไกนักการเมือง หรือบุคคลที่มีชื่อเสียง มาเป็นฉากหน้า เหนืออื่นใด ด้วยความใกล้ชิดกับ “ฝ่ายทหารป่า” แบบลึกซึ้ง! กลุ่มเคลื่อนไหวดังกล่าวจึงถูกมองในแง่ที่ว่า..ถูกใช้เป็นกองกำลังใหม่ให้กับ “ฝ่ายขั้วอำนาจ” ทั้งหลายทั้งปวงคงต้องใช้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์กันต่อไป ทว่าบริบทใน “ศึกสายเลือด” รอบ นี้ ไม่จบแค่ “ศึกใน” ที่ต้องแย่งชิงกันอย่างเลือดพล่าน หากแต่ยังมี “ศึกนอก” ที่รอเวลาปะทุในองศาเดือด!?!

ที่มา:สยามธุรกิจออนไลน์
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันเสาร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

รมว.กลาโหม เร่งสอบข่าวปฏิวัติ ปลุกแดง 5 แสนต้าน !!?

“จตุพร” ยืนยันได้ข่าวปฏิวัติเดือน เม.ย. จากทหารและข่าวกรองต่างประเทศ ปลุกเสื้อแดง 500,000 คนแสดงพลังต่อต้านวันที่ 25 ก.พ. นี้ รมว.กลาโหมยังไม่ได้รับรายงาน ย้ำมีกระบวนการตรวจสอบภายใน รู้ตัวเองมีหน้าที่ป้องกันไม่ให้ปฏิวัติ “ประยุทธ์” ถามทหารหน่วยไหนจะทำ “ยิ่งลักษณ์” มั่นใจไม่ถูกยึดอำนาจ “ยงยุทธ” เชื่อ “ป๋าเปรม” ร่วมงาน “รักเมืองไทยเดินหน้าประเทศไทย” ส่งสัญญาณปรองดอง คนสนิททักษิณปูด อดีตนายกฯมั่นใจได้กลับไทยปีนี้

นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย และแกนนำคนเสื้อแดง ยืนยันว่า ได้รับข้อมูลจากทหารที่ปฏิบัติหน้าที่ช่วงสลายการชุมนุมเมื่อปีที่แล้วว่าอาจจะมีการปฏิวัติเกิดขึ้นในเดือน เม.ย. นี้ ซึ่งตรงกับข้อมูลของเจ้าหน้าที่สถานทูตสหรัฐอเมริกาที่ยืนยันรายงานข่าวของหน่วยข่าวกรองสหรัฐอเมริกาว่าจะมีการปฏิวัติในช่วงเดียวกัน เพื่อความไม่ประมาท ได้นัดประชุมแกนนำเสื้อแดงทุกจังหวัดให้รวบรวมมวลชนแสดงพลังต่อต้านปฏิวัติวันที่ 25 ก.พ. นี้ ที่โบนันซ่า เขาใหญ่ คาดว่าจะมีคนเสื้อแดงมาร่วมไม่ต่ำกว่า 500,000 คน โดย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จะวิดีโอลิ้งค์มาร่วมงานด้วย

ท้า ผบ.ทบ. ให้สัญญา

นายจตุพรยังท้าทาย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ว่ากล้าประกาศอย่างเป็นทางการหรือไม่ว่าตลอดระยะเวลาที่เป็น ผบ.ทบ. อยู่จะไม่ปฏิวัติ เพราะที่ผ่านมาก่อนปฏิวัติก็ปฏิเสธกันทุกครั้ง

“อยากให้ประกาศอย่างลูกผู้ชายว่าไม่ทำ และไม่ว่าใครเชิญชวนใครสั่งก็จะไม่ทำ” นายจตุพรกล่าวและว่า ขณะนี้ตัวละครที่เกี่ยวกับการล้มรัฐบาลเคลื่อนไหวสร้างเงื่อนไขกันคึกคัก โดยเฉพาะพรรคประชาธิปัตย์ ไม่รู้ว่าได้สัญญาณอะไรมาหรือไม่เกี่ยวกับการตีความ พ.ร.ก.กู้เงินของศาลรัฐธรรมนูญ จึงออกมาพูดว่าหากศาลชี้ว่าขัดรัฐธรรมนูญนายกรัฐมนตรีต้องลาออก ทั้งที่ไม่มีกฎหมายอะไรเขียนกำหนดไว้

จี้ฉับไวจับคนวางแผน

ส่วนกรณีที่ พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ออกมาเตือนอย่าปากไวนั้น นายจตุพรกล่าวว่า ขอขอบคุณ แต่ก็อยากเรียนกลับไปว่า ท่านก็ต้องไวเช่นกันกับการจับคนที่คิดวางแผนปฏิวัติ วันนี้ไม่มีใครกลัวว่ารัฐบาลจะทำงานไม่ได้ แต่กลัวว่ารัฐบาลจะทำงานสำเร็จอยู่จนครบวาระจนมีการเลือกตั้งสมัยหน้า เพราะรู้อยู่ว่าสู้ในสนามเลือกตั้งไม่ได้ จึงอยากให้ท่านกลับไปดูแลว่าอย่าให้เกิดการรัฐประหารซ้ำรอยวันที่ 19 ก.ย. 2549 จะดีกว่า

“ปู” มั่นใจไม่ถูกยึดอำนาจ

น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ยังไม่ได้รับรายงานเรื่องข่าวกรองของสหรัฐอย่างเป็นทางการ ส่วนตัวคิดว่าเราต้องเชื่อมั่นว่ากองทัพไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้

“เรื่องการแสดงความคิดเห็นห้ามกันไม่ได้ แต่เมื่อคนในกองทัพออกมายืนยันแล้วก็ทำให้สบายใจขึ้น ส่วนตัวเชื่อว่าทุกคนมีเจตนาดีต่อบ้านเมือง ที่นายจตุพรพูดก็คงอยากจะเตือนไม่ให้เกิด ถ้าทุกคนยืนยันว่าไม่เกิดก็จบ อย่าไปมองว่าใครพูดอะไรแล้วจะทำให้เกิดความแตกแยก”

“สุกำพล” เร่งตรวจสอบ

พล.อ.อ.สุกำพลยืนยันว่า ไม่มีรายงานเรื่องเตรียมปฏิวัติ แต่เรามีกระบวนการตรวจสอบภายใน ในฐานะรัฐมนตรีกลาโหมมีหน้าที่ไม่ให้มีการปฏิวัติ

“นายจตุพรพูดมากไปหน่อย ไม่สมควรพูดเรื่องนี้ ถ้าหยุดพูดได้ก็ยิ่งดี คำว่านึกว่า คิดว่า ได้ข่าวว่าทำให้เกิดปัญหาโลกแตกมาเยอะแล้ว เป็นกระต่ายตื่นตูมเปล่าๆ เราก็ดูกันไปว่ายังไง พูดไปหมดแล้ว ไม่อยากจะพูดซ้ำซากเรื่องปฏิวัติ แต่ไอ้ตู่พูดบ่อย หากเจอจะบอกว่าอย่าพูดมากได้หรือไม่ อย่าพูดเรื่องนี้เยอะ เพราะไม่ใช่สิ่งดี หากมีจริงก็มากระซิบบอกผมว่าเป็นอย่างไร ไม่ใช่นำมาพูดในขณะที่ประเทศชาติกำลังสร้างความปรองดอง ตอนนี้เหมือน 2 ตู่มาพูดคู่กัน ผมก็เหนื่อยหน่อย อย่างไรก็ตาม คิดว่าผมสามารถพูดกับนายจตุพรได้ ส่วนจะฟังหรือไม่ฟังก็อีกเรื่องหนึ่ง ผมก็สงสัยว่าหน่วยข่าวกรองสหรัฐไปบอกนายจตุพร ไม่บอกทางเรา ก็ตลกดีเหมือนกัน”

“ป๋า” ส่งสัญญาณปรองดอง

นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวถึงการจัดงาน “รักเมืองไทยเดินหน้าประเทศไทย” ในวันที่ 10 ก.พ. นี้ ที่เชิญ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ มาเป็นประธานในงานว่า ไม่ทำให้เกิดผลเสียกับรัฐบาลแน่นอน อยากให้มองวันนี้กับพรุ่งนี้ เรื่องในอดีตก็คืออดีต

ผู้สื่อข่าวถามว่า หลังการจัดงานจะทำให้การเดินทางกลับประเทศไทยของ พ.ต.ท.ทักษิณง่ายขึ้นหรือไม่ นายยงยุทธกล่าวว่า ไม่เกี่ยวกันเลย อย่าไปโยงขนาดนั้น การมาร่วมงานถือเป็นสัญญาณที่ดีที่เราทุกคนต้องการ การจัดงานนี้ก็ชัดเจนอยู่แล้วว่าเพื่อให้เกิดความปรองดองสมานฉันท์

ผบ.ทบ. ถามใครจะปฏิวัติ

พล.อ.ประยุทธ์ยืนยันว่า ไม่มีรายงานข่าวกรองทั้งในและต่างประเทศว่าจะมีการปฏิวัติ

“ทหารที่ไหนจะปฏิวัติอีก ไปหาข่าวมาว่าเป็นใครแล้วมาบอกผมด้วย หากเห็นว่าใครทำผิดก็แจ้งความ เรามีช่องทางอยู่”

ผู้สื่อข่าวถามย้ำว่า ไม่มีการปฏิวัติใช่หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ไม่มีใครรายงานมา เป็นหน่วยไหน กองทัพไหน กองทัพอะไร ส่วนการเชิญ พล.อ.เปรมมาเปิดงาน “รักเมืองไทยเดินหน้าประเทศไทย” ต้องเข้าใจว่าประเทศชาติต้องก้าวเดินไปข้างหน้า ปัญหาต้องช่วยกันแก้อย่าสร้างขึ้นมาอีก อย่ามัวทะเลาะเบาะแว้งกันอยู่

“แม้ว” มั่นใจกลับไทยปีนี้

นางกนกพร ศิริพรรณาภิรัตน์ คนสนิทของ พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวระหว่างนำคาราวานคนแดนไกลห่วงใยประชาชนแจกข้าวสาร อาหารแห้ง และน้ำดื่มแก่เด็กนักเรียน โรงเรียนจตุคามวิทยา จังหวัดสุรินทร์ ว่าได้เดินทางเข้าพบอดีตนายกฯอย่างสม่ำเสมอ ล่าสุดเมื่อปลายเดือน ม.ค. ที่ผ่านมา พ.ต.ท.ทักษิณได้ฝากให้มาบอกพี่น้องประชาชนว่าคิดถึงและห่วงใยทุกๆคน โดยเฉพาะเด็กนักเรียนในถิ่นทุรกันดาร พร้อมฝากบอกทุกคนว่าปีนี้จะเดินทางกลับประเทศไทยอย่างแน่นอน

ที่มา.หนังสือพิมพ์โลกวันนี้

**********************************************************************

วันศุกร์ที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

หลอกหลอนกลางวัน : คุณชายเกมขย่มซ้ำจาก พท.สะเทือนถึง ปชป. !!!?

ขณะที่ในห้วงเวลาไล่เรี่ยกันได้เกิดปรากฏการณ์กระหน่ำซ้ำจากการแถลงข่าวของรองโฆษกพรรคเพื่อไทย จิรายุ ห่วงทรัพย์ ที่ออกมาเปิดเกมรุกต่อกทม.ซ้ำ ด้วยการประกาศถึงความพร้อมในการเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม.ของพรรคเพื่อไทยที่จะมีขึ้นในช่วงเดือนมกราคม ปี 56 แถมยังพยายามโชว์ฟอร์มการเป็นกูรูด้วยการประเมินว่า ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร อาจตัดสินใจไขก๊อกพ้นตำแหน่งก่อนหมดวาระ ซึ่งจะนำไปสู่การเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.ภายในสิ้นปี 2555

พร้อมกันนั้นยังได้คณะทำงานในการเตรียมความพร้อม 5 ชุดที่ประกอบด้วย ชุดติดตามตรวจสอบผลงานระดับเขต, ชุดติดตามตรวจสอบผลงานระดับผู้บริหาร กทม. เช่นผลงานผู้ว่าฯกทม., รองผู้ว่าฯกทม., ชุดติดตามตรวจสอบการใช้งบประมาณของกทม., ชุดเผยแพร่ผลงานที่ย่ำแย่ของกทม. และชุดยุทธศาสตร์ “ปรับเปลี่ยนเพิ่มเติม” โดยคนกทม.เพื่อคนกทม.เพื่อพัฒนากทม.อย่างจริงจัง รายงานข่าวยังได้ระบุว่ากรรมการทั้ง 5 ชุดจะชี้ให้คนกรุงเทพฯได้เห็นว่าเกิดอะไรขึ้นจากคณะผู้บริหารกทม.ชุดปัจจุบันที่มี “คุณชาย” สุขุมพันธุ์ กำกับดูแล

เรียกว่าเป็นการส่งสัญญาณชักธงรบกันตั้งแต่หัววัน ประเภทขอพื้นที่ข่าวบนหน้าหนังสือพิมพ์ ชนิดที่ไม่มีปี่มีขลุ่ยหรือมีสัญญาณอะไรแจ้งกันล่วงหน้า แถมยังพ่วงท้ายรายการด้วยการเปิดรายชื่อบุคคลเข้าประกวดประเภทสะท้อนให้เห็นว่าบุคลากรในพรรคมีเยอะเป็นเข่งๆ ไม่ว่าจะเป็น ประภัสร์ จงสงวน กรรมการผู้ช่วยรมว.คมนาคม อดีตผู้สมัครผู้ว่าฯกทม., นายอุเทน ชาติภิญโญ อดีตประธานคณะกรรมการระบายน้ำลงทะเล ศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบภัย (ศปภ.), นายยุรนันท์ ภมรมนตรี ส.ส.กทม.พรรคเพื่อไทย อดีตผู้สมัครผู้ว่าฯกทม. หรือแม้กระทั่งแกนนำรุ่นลายคราม ประมุขภาคกทม.อย่าง “คุณหญิงหน่อย” สุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ อดีตรองหัวหน้าพรรคไทยรักไทย อดีตผู้สมัครผู้ว่าฯกทม.

แค่นั้นยังไม่พอตามรายงานข่าวที่แถลงโดย “จิรายุ” ยังได้กล่าวพาดพิงไปถึง รองผู้ว่าฯธีระชน มโนมัยพิบูลย์ ว่าอาจจะลงสมัครชิงเก้าอี้ผู้ว่าฯกทม. พร้อมกับอ้างว่าเห็นท่านรองผู้ว่าฯเดินทางเข้าออกพรรคปชป.บ่อยๆ พร้อมยังระบุว่าอาจเป็นประเด็นที่ทำให้ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์เกิดอาการน้อยใจจนมีข่าวว่าจะตัดสินใจไขก๊อกลาออกจากตำแหน่งก่อนหมดวาระ จึงไม่น่าแปลกใจถ้าจะได้เห็นภาพการออกมาตอบโต้จากผู้ว่าฯสุขุมพันธุ์ด้วยลีลาท่าทางนิ่มๆ แต่แฝงด้วยคำคมในแบบฉบับพรรคประชาธิปัตย์ผ่านสื่อมวลชนว่า หากจะลาออกจริงจะบอกผู้สื่อข่าวเป็นกลุ่มแรก ก่อนที่นายจิรายุจะรู้ พร้อมกับหัวเราะด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

ความจริงปฏิบัติการเขย่าเก้าอี้ผู้ว่าฯสุขุมพันธุ์ไม่ได้เพิ่งมาเปิดฉากอย่างเป็นทางการตามที่ “จิรายุ” เปิดการแถลงตามที่ได้กล่าวในข้างต้น ก่อนหน้านี้หากยังจำกันได้กรณีเรื่องของกล้องซีซีทีวีที่เป็นประเด็นร้อนก็ถูกเขย่ามาแล้วจากพลพรรคเพื่อไทย ถัดจากนั้นมาก็มาเปิดปฏิบัติเขย่าต่อจากการยึดคืนตลาดนัดจตุจักรจากกทม.ในเงื้อมมือของผู้ว่าฯสุขุมพันธุ์ คือบททดสอบด่านแรกที่ทางพรรคเพื่อไทยจัดหนักโดยเฉพาะสำหรับกทม.ภายใต้การนำของพรรคประชาธิปัตย์ เพราะอย่าลืมว่าผลประโยชน์ในตลาดนัดจตุจักรมีค่ามหาศาล ไม่ว่าจะเป็นผลประโยชน์ใต้โต๊ะหรือบนโต๊ะสามารถสร้างความมั่งคั่งให้ใครต่อใครหลายคนมาแล้ว และดูเหมือนว่าตลอด 30 ปีที่ผ่านมา การเมืองแต่ละยุคสมัยต่างเข้ามาแสวงหาประโยชน์จากรายได้ของตลาดนัดกันทั้งสิ้น กระทั่งมีการมองว่านี่คือแดนสนธยาที่ยาก ต่อการตรวจสอบ ระหว่างมาเฟียกับกลุ่มผู้ค้าแทบจะแยกกันไม่ออก ไม่รู้ใครเป็นใคร

และแล้วพรรคเพื่อไทยก็สามารถยึดคืนพื้นที่ตลาดนัดจตุจักรแห่งนี้ได้สำเร็จ แถมเจ้ากระทรวงยังได้ประกาศไว้ชัดเจนเสียงดังฟังชัดว่ายังไงก็ไม่ให้กทม.เข้าไปบริหารตลาดนัดจตุจักรอีกแล้ว พูดกันง่ายๆ ก็คือปิดประตูตลาดนัดสำหรับกทม.เรียบร้อยแล้ว นั่นหมายความว่าขณะนี้ตลาดนัดจตุจักรถูกเปลี่ยนผ่านจากพรรคประชาธิปัตย์เป็นพรรคเพื่อไทยเรียบร้อย พร้อมๆ กับมีรายงานข่าวที่เชื่อถือได้ระบุว่า ช่วงที่ผ่านมา คุณหญิงหน่อย สุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ได้มอบหมายให้คนของตนซึ่งเคยมีตำแหน่งในการบริหารตลาดนัดเดินทางไปกลุ่มผู้ค้าบางกลุ่มเพื่อเช็กตรวจสอบกระแส จึงไม่น่าแปลกใจว่าทำไมถึงมีกระแสข่าวบนหน้าสื่อระบุว่า “คุณหญิง” คือผู้อยู่เบื้องหลังในการยึดคืนพื้นที่ตลาดนัดแห่งนี้มาโดยตลอด

เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วจึงไม่ต้องสงสัยว่าทำไมถึงได้มีชื่อของ “คุณหญิง” ปรากฏบนหน้าสื่ออยู่เรื่อยๆ ในฐานะผู้สมัครชิงเก้าอี้ผู้ว่าฯกทม. ขณะที่เจ้าตัวไม่เคยออกมาตอบรับหรือปฏิเสธว่าจะลงหรือไม่ลงเลือกตั้ง แต่ก็คงเป็นเรื่องที่น่าคิดเป็นอย่างยิ่งสำหรับทีมงาน “คุณหญิง” เพราะอย่าลืมว่าครั้งหนึ่งเคยพ่ายต่อ “นายสมัคร สุนทรเวช” มาแล้วจากการเลือกตั้งชิงเก้าอี้ผู้ว่าฯกทม. จนกลายเป็นฝันร้ายสำหรับ “เจ้าแม่กทม.” เพราะหากพ่ายอีกเป็นคำรบสอง ก็คงจะบอกได้คำเดียวว่างานนี้ “จบเห่” หาโอกาสแจ้งเกิดอีกยาก ดีไม่ดีอาจจะเป็นเงาที่ตามหลอกหลอนเธอไปตลอดชีวิต งานนี้จึงเชื่อว่าทีมงานคงต้องชั่ง น้ำหนักกันอีกหลายยก

แต่ไม่ว่าใครจะได้รับมอบฉันทานุมัติให้ลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นตัวแทนของพรรคเพื่อไทยในการสู้ศึก คงบอกได้คำเดียวว่าศึกนี้ใหญ่หลวงนัก เชื่อว่าทางพรรคประชาธิปัตย์คงไม่ยอมให้ยึดสนามเมืองหลวงแห่งนี้ไปได้ง่ายๆ เหมือนเช่นที่ถูกยึดคืนตลาดนัดจตุจักรไปก่อนหน้านี้ ล่าสุด ทางพรรคเพื่อไทยจึงเตรียมเปิดแผนใหม่ด้วยการเสนอให้มีการแก้ไขพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานคร พ.ศ.2528 ด้วยการเสนอให้มีการเลือกตั้งใน 2 ระดับ กล่าวคือ ระดับแรกเป็นการเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม. และสมาชิกสภากทม. (ส.ก.) ส่วนระดับที่สอง เป็นการเลือกตั้งผู้อำนวยการเขต พร้อมกับยกฐานะบทบาทของสมาชิกสภาเขต (ส.ข.) เสียใหม่ โดยมองว่าการเลือกตั้งในลักษณะเช่นนี้ถือเป็นการกระจายอำนาจไม่ต้องมากระจุกตัวอยู่ที่ผู้ว่าฯกทม.เพียงผู้เดียว งานนี้ทางพรรคมอบหมายให้ “เสี่ยวิชาญ มีนชัยนันท์” ส.ส.กทม.เป็นโต้โผใหญ่ในการขับเคลื่อน ว่ากันว่าตามเกมที่ได้วางไว้ ทางพรรคกำหนดจะให้แล้วเสร็จในการเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม.ครั้งใหม่ที่จะมาถึงในปี 2556 งานนี้คงต้องเฝ้าติดตามกันต่อให้ดีอย่ากะพริบตา สำหรับศึกชนช้างครั้งใหม่ระหว่างสองพรรคการเมืองใหญ่ ที่ดูเหมือนว่าจะเป็นศึกศักดิ์ศรีที่วางเดิมพันไว้สูง

ที่มา:สยามธุรกิจออนไลน์
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันพฤหัสบดีที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

อานิสงส์ลดภาษีนิติบุคคล หนุนกำไร บจ.ปี55 ทะยานแตะ 6 แสนล้าน ...

โบรกฯคาดปีนี้รัฐลดภาษี รายได้หนุนกำไร บจ.พุ่ง 17% ลุ้นแตะ 6 แสนล้านบาท จับตาบริษัทฟื้นจากน้ำท่วมเร่งเดินหน้าแผนลงทุนครึ่งปีหลัง ส่วนปี"54 ยอดทะลุ 5 แสนล้าน โต 10% กลุ่ม"พลังงาน-ธนาคาร- ปิโตรฯ" กำไรโด่ง

รายงานข่าวจากบทวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) กรุงศรี ระบุว่า บริษัทได้จัดทำประมาณการกำไรปี 2554 ของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) โดยรวมอยู่ที่ประมาณ 496,540 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 46,943 ล้านบาท หรือ 10.44% จากปี 2553 ที่มีกำไรรวม 449,597 ล้านบาท กลุ่มที่มีกำไรสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ กลุ่มพลังงาน 182,196 ล้านบาท เติบโต 12.90% ตามด้วยกลุ่มธนาคาร 120,481 ล้านบาท โต 21.65% และกลุ่มปิโตรเคมี 51,750 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 90.29%

สำหรับกลุ่มหุ้นที่กำไรเติบโตลดลง 3 อันดับแรก ได้แก่ กลุ่มขนส่งและโลจิสติกส์ กำไรรวม 1,782 ล้านบาท ลดลงเกือบ 10,000 ล้านบาท หรือ-89.91% จากสิ้นปี 2553 ที่มีกำไรสูงถึง 17,670 ล้านบาท รองลงมากลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ 4,488 ล้านบาท ลดลง 2,414 ล้านบาท หรือ -34.97% และกลุ่มยานยนต์ 2,240 ล้านบาท ลดลง 922 ล้านบาท หรือ -29.15%

นอกจากนี้ บล.กรุงศรียังได้ประมาณการกำไรของหุ้นกลุ่มหลัก ๆ ในตลาด เช่น กลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม กำไรรวม 25,857 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7,000 ล้านบาท หรือ 43.61% กลุ่มวัสดุก่อสร้าง 31,338 ล้านบาท ลดลง 10,000 ล้านบาท หรือ -23.94% กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ 17,660 ล้านบาท ลดลงประมาณ 2,000 ล้านบาท หรือ -10% กลุ่มสื่อสาร 29,433 ล้านบาท ลดลง 8.4%

นางสาวอาภาภรณ์ แสวงพรรคผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตัวเลขคาดการณ์กำไร บจ.ใน ปี 2554 อยู่ที่ 516,376 ล้านบาท เติบโต 10% ซึ่งเติบโตได้ดีเนื่องจากมีกำไรสะสม ในช่วง 9 เดือนแรกที่สูง เมื่อไตรมาส 4/54 เกิดภาวะน้ำท่วม บางบริษัทบางธุรกิจได้รับผลกระทบจนกำไรลดลง บางรายขาดทุน แต่เมื่อรวมกำไรทั้งปี ไม่ได้ส่งผลกระทบหนักมาก

โดยกลุ่มที่เห็นชัดว่าได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมคือ กลุ่มส่งออก กลุ่มขนส่ง กลุ่มประกัน ที่มีกำไรลดลงแต่ไม่ถึงกับขาดทุน ขณะที่กลุ่มยานยนต์ กลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ส่วนกลุ่มนิคมอุตสาหกรรม ได้รับผลกระทบทางตรง จะมีผลกำไรขาดทุนในช่วงไตรมาส 4/54 แต่มีแนวโน้มจะฟื้นตัวได้เร็วในไตรมาส 2/55 และจะกลับมามีผลประกอบการปกติก็ไตรมาส 3-4 ประกอบกับปีนี้รัฐลดภาษีนิติบุคคลเหลือ 23% ซึ่งจะส่งผลบวกต่อผลประกอบการ บจ. คาดว่าปีนี้กำไรรวมของ บจ.จะอยู่ที่ 583,876 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 14%

นายกวี ชูกิจเกษม ผู้ช่วยกรรมการ ผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย กล่าวว่า แม้ผลประกอบการของ บจ.ใน ปี 2554 จะเติบโตน้อยกว่าปีก่อนหน้านี้ แต่เชื่อว่า บจ.ยังจะจ่ายเงินปันผลงวดสิ้นปี 2554 ตามปกติ แม้ได้รับผลกระทบ น้ำท่วม เพราะบริษัทที่มีประวัติจ่ายเงิน ปันผลสูงอย่าง ปูนซิเมนต์ไทย (SCC) แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส (ADVANC) ที่ยังจ่ายเงินปันผลได้ในอัตราสูง

ขณะที่เม็ดเงินการลงทุนก็ยังมีมองว่าบริษัทที่มีแผนการลงทุนอยู่แล้วก็จะยังลงทุนต่อเนื่อง และมีหลายบริษัทที่มี แผนลงทุนแต่ก็ยังสามารถจ่ายปันผลในอัตราที่สูงได้ เช่น เจริญโภคภัณฑ์อาหาร (CPF), ไทยยูเนียน โฟรเซ่น โปรดักส์ (TUF) เหมราชพัฒนาที่ดิน (HEMRAJ) ซึ่งมีแผนลงทุนสร้างโรงงานและรุกธุรกิจไฟฟ้าเพิ่มเติม

"การลงทุนในช่วงต้นปีนี้ ตลาดหุ้นน่าจะปรับตัวขึ้นไปรับข่าวการฟื้นตัวของกำไร บจ.ปี 2555 บล.กสิกรฯแนะนำการลงทุนให้ทยอยซื้อ จากที่ปลายปีที่แล้วยังไม่แนะนำให้ลงทุน ปีนี้คาดดัชนีปรับตัวตั้งแต่ 1,110-1,150 จุด และหลังจากนั้นจะเห็นตลาดปรับฐาน ซึ่งต้องระมัดระวังแรงเทขายหากมีข่าวลบยุโรปเข้ามา" นายกวีกล่าว

ด้านนายวิกิจ ถิรวรรณรัตน์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ทิสโก้ คาดว่า ตลาดยังจับตาดูการสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนของภาครัฐ รวมทั้งแนวโน้ม บจ.ที่จะลงทุนเพิ่มในปีนี้ และปีนี้คาดการณ์ผลประกอบการจะเติบโต 17% กลุ่มหุ้นที่น่าสนใจและมี ผลประกอบการเติบโตคือ กลุ่มวัสดุก่อสร้าง ธนาคาร รับเหมาก่อสร้าง ขณะที่กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ต้องรอดูในครึ่งปีหลังว่าจะมีความต้องการซื้อโดยเฉพาะบ้านแนวราบ

"ส่วนตลาดหุ้นได้รับรู้ข่าวการฟื้นของกำไร บจ.บางกลุ่ม รวมทั้งการเติบโตของกำไรในปีนี้ไปหมดแล้ว หากจะให้ดัชนีปรับตัวขึ้นไปมากกว่า 1,100 จุด จะต้องอาศัยข่าวดีเซอร์ไพรส์ตลาด ซึ่งเป็นข่าวนอกเหนือการคาดการณ์ที่จะหนุนเงินไหลเข้ามาในตลาดหุ้น"

นายจักรกริช เจริญเมธาชัย รองกรรมการผู้จัดการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.โกลเบล็ก กล่าวว่า ภาพรวมผลประกอบการของ บจ. ปีนี้จะชะลอเมื่อเทียบกับปีก่อน ซึ่งเป็นไปตามภาวะเศรษฐกิจ ประกอบกับกลุ่มธนาคารที่มีน้ำหนักต่อตลาดหุ้นโดยรวมได้รับผลกระทบจากการปล่อยสินเชื่อที่ชะลอ และต้องจ่ายเงินค่านำส่งเพิ่มขึ้น ทำให้กำไรกลุ่มนี้ออกมาฉุดกำไรของ บจ.โดยรวม แม้จะมีปัจจัยบวกจากการลดภาษีนิติบุคคลของรัฐบาลก็ตาม

"เราประเมินว่า EPS (อัตราการเติบโตของกำไรสุทธิต่อหุ้น) ปีนี้ยังเติบโตอยู่ 10% กลุ่มที่น่าลงทุนยังคงเป็นกลุ่มยานยนต์ ปิโตรเคมี พลังงาน ที่มีทิศทางขาขึ้นเมื่อเทียบกับกลุ่มที่ต้นทุนสูงจากการปรับเงินเดือนหรือค่าแรงขั้นต่ำ เช่น กลุ่มก่อสร้าง อุตสาห กรรมการผลิต" นายจักรกริชกล่าว

ที่มา:มติชนออนไลน์
/////////////////////////////////////////////////////////////

วันพุธที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

แกไม่มีสิทธิ์.. ข้าเท่านั้นที่มีสิทธิ์ (ว่าด้วยเรื่อง เงินกู้) !!?



หลังจากที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรใช้เวลา 2 วัน รวม 15 ชั่วโมง พิจารณาร่าง พ.ร.ก.กองทุนส่งเสริมการประกันภัยพิบัติ และ พ.ร.ก.ให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัย ซึ่งเป็น 2 ใน 2 พ.ร.ก.ที่พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะฝ่ายค้านตั้งป้อมถล่ม

เพราะหากทำให้ พ.ร.ก.ของรัฐบาลถูกตีตก หรือเดี้ยงได้ ย่อมมีผลทางการเมืองกระทบต่อสถานะของรัฐบาลอย่างมาก โดยเฉพาะในแง่ของการดิสเครดิตกันในทางการเมือง

ฉะนั้นจะเห็นได้ว่านับตั้งแต่ก้าวแรกที่รัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เดินหน้าผลักดันที่จะออก พ.ร.ก.ที่เกี่ยวโยงกับการกู้เงินจำนวน 4 ฉบับเพื่อสร้างความเชื่อมั่นด้านเศรษฐกิจการลงทุน และเพื่อการบริหารจัดการน้ำ

พรรคฝ่ายค้านก็เดินหน้าสกัดตั้งแต่ก้าวแรกเรื่อยมา

โดย 2 ฉบับถูกฝ่ายค้านยื่นให้ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญตีความไปแล้ว ซึ่งก็เท่ากับถูกแช่ให้เรื่องต้องสะดุดหรือล่าช้าจากกระบวนการตีความตรงนี้อย่างน้อยก็เดือน 2 เดือน

ในขณะที่อีก 2 ฉบับก็ถูกขึ้นเขียงในที่ประชุมสภาฯ และกลายเป็นประเด็นปะทุขึ้นมาอย่างที่คาด เพราะเมื่อเห็นว่าการชี้แจงการทำความเข้าใจถึงความจำเป็นในการที่จะต้องออก พ.ร.ก.การเงิน 4 ฉบับนี้ของ
นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง สามารถที่จะทำได้ดี
ฝ่ายค้านก็มีการเสนอขอให้นับองค์ประชุมทันที เพราะเห็นว่ามีจำนวนสมาชิกอยู่ในห้องน้อย และไม่มีรัฐมนตรีรับฟังการประชุม ซึ่งเมื่อเล่นเกมด้วยการให้นับองค์ประชุม ก็เลยโดนเล่นเกมกลับ โดย นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน พรรคเพื่อไทย ได้เสนอให้ปิดการอภิปรายเพื่อลงมติ เพราะเห็นว่าได้อภิปรายมาเป็นเวลาพอสมควรแล้ว ไม่มีอะไรเพิ่มเติม อีกทั้งยังมี พ.ร.ก.การเงิน อีก 2 ฉบับที่จะอภิปรายหลังจากศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยแล้ว

และเมื่อที่ประชุมประชุมเสียงข้างมากลงมติปิดการอภิปราย และลงมติรับรอง พ.ร.ก.ทั้ง 2 ฉบับ ด้วยคะแนนเสียงเอกฉันท์ ฝ่ายค้านก็วอลค์เอาท์ออกจากห้องประชุม ไม่ร่วมลงคะแนนด้วย
ซึ่งแม้ไม่มีฝ่ายค้านร่วมลงคะแนน แต่การลงคะแนนรับ พ.ร.ก.ทั้ง 2 ฉบับก็สามารถผ่านคะแนนได้ทั้ง 2 ฉบับ

นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี มองถึงผลกระทบต่อแผนบริหารจัดการน้ำกรณีที่ พ.ร.ก.กู้เงิน ผ่านความเห็นชอบของสภาผู้แทนราษฎรเพียงแค่ 2 ฉบับ เพราะอีก 2 ฉบับ ต้องรอให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความก่อน ว่าความจริงต้องการให้ผ่านการพิจารณาทั้งหมดโดยเร็ว เพื่อเดินหน้าแผนบริหารจัดการน้ำได้ แต่คงต้องรอ

เราต้องเคารพในกระบวนการของศาลรัฐธรรมนูญ จะพยายามต่อไป และต้องจัดทำแผนบริหารจัดการน้ำไปก่อน

ส่วนที่ฝ่ายค้านวอล์คเอ้าท์ออกจากห้องประชุมสภาฯ ไม่ยอมลงมติ พ.ร.ก.กู้เงินของรัฐบาลนั้น ไม่คิดว่าจะเป็นปัญหาอะไร เพราะเท่าที่ฟังต่างเห็นด้วยในการออก พ.ร.ก. และเห็นด้วยในการนำเงินต่าง ๆ ไปช่วยเหลือพี่น้องประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ซึ่งถือเป็นกลุ่มที่ต้องการความช่วยเหลือเร่งด่วนจริง ๆ เพราะมีภาระ โดยเฉพาะเรื่องดอกเบี้ยที่สูง

อย่างน้อย พ.ร.ก. 2 ฉบับดังกล่าว จะช่วยพยุงและแก้ปัญหาเบื้องต้นให้ได้

แต่สำหรับกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ ถือว่ามีศักยภาพด้วยตัวเอง และธนาคารต่าง ๆ ก็ประสานงานเรียบร้อยแล้ว อย่างไรก็ตามหากจะให้การดำเนินการสอดคล้องกันทั้งหมด ก็ควรจะผ่านความเห็นชอบ พ.ร.ก.ทั้ง 4 ฉบับโดยเร็ว

ปัญหาก็คือ พ.ร.ก.ทั้ง 4 ฉบับจะเดินหน้าได้เร็ว ทันกับสถานการณ์น้ำในปีนี้หรือไม่ เพราะก่อนหน้านี้ คนใน คณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อวางระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ (กยน.) หลายคนก็ยอมรับแล้วว่า ปีนี้โอกาสที่น้ำจะท่วมนั้นมีความเป็นไปได้สูง อย่างนายอานนท์ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา กรรมการ กยน. ก็ระบุว่า รัฐบาลเน้นหลักการแนวทางการจัดการน้ำภาพรวมเพื่อให้ประชาชนเข้าใจอย่างเป็นรูปธรรม และได้มีการเตรียมพื้นที่รับน้ำ หรือหน่วงน้ำให้น้ำนองไว้ 2 ล้านไร่ ตั้งแต่พิษณุโลก พิจิตร นครสวรรค์ ตามแนวแม่น้ำยม แม่น้ำน่าน จากนั้นลงมาที่พระนครศรีอยุธยา ตั้งแต่ อ.บางบาล อ.เสนา อ.สองพี่น้อง จ.สุพรรณบุรี โดยแบ่งพื้นที่กันประมาณกลุ่มละ 1 ล้านไร่

“เราตั้งสมมุติฐานไว้ที่ ปริมาณน้ำฝนมากเท่าปีที่แล้ว ทุกอย่างเหมือนปี 2554 ทั้งหมดเราจะสามารถป้องกันน้ำท่วมขังบริเวณโดยรอบกรุงเทพฯและปริมณฑล เพราะในปีนี้เรามีการบริหารจัดการ แต่ทุกอย่างต้องทำได้ตามแผนด้วยจะทำให้เราสามารถลดการท่วมขังลงไปได้ถึงครึ่งหนึ่ง แต่ก็ยังมีจุดที่กังวล และเป็นอุปสรรคคือเรื่องพื้นที่น้ำนอง เพราะมาตรการในการบริหารจัดการน้ำเพื่อลดการท่วมขังในพื้นที่สำคัญทางเศรษฐกิจและพื้นที่เมือง อาจจะทำให้น้ำท่วมขังในพื้นที่ทุ่งรับน้ำเร็วขึ้น ซึ่งจากปีที่แล้วเริ่มท่วมในเดือน มิ.ย. หรือ ก.ค. แต่ปีนี้อาจจะเร็วขึ้นคือเริ่มตั้งแต่เดือน พ.ค.ก็จะมีน้ำท่วมขังแล้ว มันท่วมขังนานก็จริง แต่ไม่ลึก พื้นที่ไม่มาก”นายอานนท์ กล่าว

สถานการณ์เช่นนี้ มุมมองแบบนี้สร้างความวิตกกังวลให้กับคนในพื้นที่น้ำท่วมอย่างหลีกไม่พ้น มีใครบ้างจะทำใจได้กับคำว่า ปีนี้จะต้องโดนน้ำท่วมซ้ำ เพราะมาถึงวันนี้บรรดา 2.6 ล้านครัวเรือนที่ถูกน้ำท่วมนั้น ล้วนแล้วแต่ยังไม่ฟื้น ยังซ่อมแซมบ้านและทรัพย์สินไม่ได้ครบทั้งหมดเลย
เงินเยียวยาครอบครัวละ 5,000 บาท ไม่ได้มากหรือไม่ได้เพียงพอที่จะซ่อมบ้าน ซ่อมรถยนต์ ซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้า หรือซื้อเฟอร์นิเจอร์ด้วยซ้ำ แถมเงินช่วยเหลือผู้ประสบภัยอีกครอบครัวละไม่เกิน 30,000 บาท ก็โดนเงื่อนไขของกรมป้องกันสาธารณภัยบีบยุบบีบยิบไปหมด และหาก อบต.ไหน แกล้งซื่อบื้อยึดตามตัวอักษร โดยไม่ได้ดูข้อเท็จจริงด้วยแล้ว

หลายๆหลังวงเงินเยียวยา 30,000 บาท ได้ตัวเงินจริงๆไม่กี่ร้อยบาท เจ้าหน้าที่ อบต.ที่ลงพื้นที่ไปประเมินเพื่อตีราคาชดเชยโดนด่าจนหูชา โดนไล่ออกจากบ้านเหมือนหมูเหมือนหมา

ซ้ำร้ายการไฟฟ้านครหลวง ที่มี นายอาทร สินสวัสดิ์ เป็นผู้ว่าการ และการประปานครหลวง ที่นายเจริญ ภัสระ นั่งเป็นผู้ว่าการ ก็ติดโรคดีแต่พูด ว่าจะช่วยเหลือเยียวยาผู้ใช้น้ำใช้ไฟฟ้าในพื้นที่น้ำท่วม แต่เอาเข้าจริงกลับไม่ได้กำชับดูแลลูกน้อง หรือไม่ได้ทำงานให้เป็นระบบ จึงปรากฏว่าบิลค่าน้ำค่าไฟที่ออกมาได้สร้างความสยดสยองให้กับผู้เดือดร้อนน้ำท่วมกันเป็นอย่างมาก

น้ำท่วมต้องอพยพหนีออกจากบ้านไปเป็นเดือน 2 เดือน ดันทะลึ่งมีค่าใช้น้ำใช้ไฟ แถมปริมาณที่ใช้ดันมากกว่าการใช้ปกติตอนน้ำไม่ท่วมเสียอีก ต้องมีการร้องเรียนกันอุตลุด ขนาดที่ผู้ตรวจการแผ่นดิน นายประวิช รัตนเพียร ต้องออกมาช่วยตั้งโต๊ะรับเรื่องร้องเรียนในเรื่องนี้โดยเฉพาะแล้วเวลานี้
แต่การประปา การไฟฟ้า ก็ยังไม่ได้มีการแก้ไขปรับปรุง หรือไม่ได้ลดค่าน้ำค่าไฟให้เป็นการช่วยเหลือเยียวยาผู้เดือดร้อนจากน้ำท่วม อย่างที่ผู้ว่าฯคุยฟุ้งเอาไว้

นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆ จากผลกระทบทางจิตใจของคนที่โดนน้ำท่วม และกำลังวิตกจริตเรื่องการจะต้องโดนน้ำท่วมซ้ำอีกหรือไม่ ทำให้ประชาชนผู้เดือดร้อนทั้งหมด จึงไม่เข้าใจการเอาแต่เล่นเกมการเมืองของฝ่ายค้าน ของพรรคประชาธิปัตย์ ที่ตั้งแง่กับ พ.ร.ก. ทั้ง 4 ฉบับ

ที่สำคัญไม่เพียงแต่พรรคประชาธิปัตย์เท่านั้นที่ยื่นเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญให้ตีความ พ.ร.ก. ในครั้งนี้ แม้แต่สมาชิกวุฒิสภาขั้วตรงข้ามรัฐบาล คือ นายคำนูณ สิทธิสมาน ส.ว.สรรหา และคณะ 69 คน ก็ลงชื่อยื่นคำร้องประธานวุฒิสภาให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความ ว่ากฎหมายฉบับหลังมีความจำเป็นรีบด่วนอันมิอาจจะหลีกเลี่ยงได้จนต้องออกเป็นพระราชกำหนดหรือไม่เช่นกัน

แผนของรัฐบาลที่จะใช้ พ.ร.ก.ที่เกี่ยวข้องการบริหารจัดการน้ำ 4 ฉบับ เป็นเครื่องมือในการขับเคลื่อนการทำงาน ทั้งการป้องกันน้ำท่วมและการลงทุนสาธารณูปโภคพื้นฐานอื่นๆ ก็เลยสะดุดไม่ราบรื่นอย่างที่ควรจะเป็น

เพราะเมื่อมีการยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความชี้ขาด พ.ร.ก.ทั้ง 2 ฉบับ ตอนนี้เท่าที่ทำได้ก็คือต้องรอคอย คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งไม่น่าเชื่อว่านายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ จะบอกง่ายๆว่าคาดว่ากระบวนการทั้งหมดจะใช้เวลาไม่น่าจะเกิน 1 เดือน

ขณะที่ นายพิมล ธรรมพิทักษ์พงษ์ หัวหน้าโฆษกศาลรัฐธรรมนูญ ก็ออกตัวไว้ล่วงหน้าว่าที่ผ่านๆมาในกรณีการยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญ ส่วนใหญ่ศาลพิจารณาไม่เกิน 2 เดือน

แล้วในช่วง 2 เดือนนี้ จะทำอย่างไร กับการดำเนินงานตามจุดมุ่งหมายของ พ.ร.ก. ที่จะไม่เกิดขึ้นอย่างเต็มที่จนกว่าจะมีคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญออกมา

รวมทั้ง พ.ร.ก.อีก 2 ฉบับที่มีเนื้อหาเกี่ยวข้องสืบเนื่องกัน แม้จะไม่ได้ถูกตีความ และผ่านสภาไปแล้ว แต่ก็ต้องถูกดึงๆเกมเพื่อรอคอยผลอันสมบูรณ์จากอีก 2 ฉบับที่ถูกตีความไปด้วย

คำถามก็คือในระหว่างรอผลวินิจฉัยของพ.ร.ก การลงมือปฏิบัติเพื่อป้องกันน้ำท่วมครั้งต่อไปของรัฐบาลจะทำอย่างไร?

หากทุกอย่างล่าช้า จนทำให้การแก้ไขป้องกันน้ำท่วมล่าช้า ประชาชนต้องถูกน้ำท่วมซ้ำอีกปี พรรคประชาธิปัตย์ นายอภิสิทธิ์ และนายคำณูนกับบรรดา ส.ว. ขั้วตรงข้าม จะแสดงความรับผิดชอบหรือไม่?
เพราะจริงแล้วเรื่องนี้นายอภิสิทธิ์ ควรที่จะรู้ดีว่า การออก พ.ร.ก. การเงินนั้น ศาลรัฐธรรมนูญได้เคยมีแนวทางในการยื่นตีความ พ.ร.ก.ทุกฉบับมาแล้ว่า จะจบลงด้วยการชี้ขาดของศาลรัฐธรรมนูญว่า
เป็นอำนาจในการบริหารของรัฐบาล

เนื่องจากศาลรัฐธรรมนูญก็เคยวินิจฉัยคดีที่คล้ายคลึงกัน ซึ่งเกิดขึ้นในสมัยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ ที่ตรา “พ.ร.ก. กู้เงิน 4 แสนล้านบาท” (พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและส่งเสริมความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. 2552) โดยไม่ผ่านสภา

ฝ่ายค้านในขณะนั้น ซึ่งนำโดยพรรคเพื่อไทย ก็ได้ยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย และในที่สุด ศาลรัฐธรรมนูญก็ได้มี คำวินิจฉัยที่ 11/2552 โดยมติเอกฉันท์ว่า รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ ได้ดำเนินการตรา “พ.ร.ก. กู้เงิน 4 แสนล้านบาท” โดยถูกต้องแล้ว จึงไม่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ

ดังนั้นในวันนี้เมื่อรัฐบาลเพื่อไทย เป็นผู้ตรา พ.ร.ก. และประชาธิปัตย์เป็นฝ่ายค้าน สถานการณ์จึงแค่กลับด้านกันเท่านั้น ที่สำคัญตุลาการผู้พิจารณาคดีทั้ง 9 คน ยังเป็นชุดเดิม แม้จะมีการสลับตำแหน่งประธานศาลแล้วก็ตาม

แต่ในเมื่อบริบทในทางกฎหมาย ซึ่งศาลจะต้องนำมาใช้พิจารณานั้นเหมือนกัน นั่นคือ หลักเกณฑ์ตาม รัฐธรรมนูญ มาตรา 184 ซึ่งใน คำวินิจฉัยที่ 11/2552 ศาลได้กำหนดประเด็นวินิจฉัยเป็นสองประเด็นด้วยกัน คือ ประเด็นแรก พ.ร.ก. นั้น ตราขึ้นเพื่อประโยชน์ในอันที่จะรักษาความมั่นคงในทางเศรษฐกิจของประเทศ ตามรัฐธรรมนูญ หรือไม่ ?

และประเด็นที่ 2 ก็คือ พ.ร.ก. นั้น ตราขึ้นเป็นกรณีฉุกเฉินที่มีความจำเป็นรีบด่วนอันมิอาจจะหลีกเลี่ยงได้ หรือไม่?

ช่วงแ รัฐบาลประชาธิปัตย์ได้อ้างเหตุสภาพวิกฤติเศรษฐกิจของโลกที่ตกต่ำ จึงจำเป็นต้องกู้เงินเพื่อรักษาความมั่นคงของเศรษฐกิจไทย ส่วนรัฐบาลเพื่อไทย ได้อ้างถึงความจำเป็นในการฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังมหาวิกฤตอุทกภัย โดยการกู้เงินและโอนหนี้จำนวนมหาศาลให้ธนาคารแห่งประเทศไทยรับผิดชอบ

ดังนั้นแล้วหากกรณีที่ กรณ์ จาติกวณิช ขอออก พ.ร.ก. กู้เงิน 4 แสนล้านบาท ในสมัยรัฐบาลประชาธิปัตย์สามารถทำได้เพราะเป็นอำนาจบริหาร ซึ่งถือเป็นคำวินิจฉัยที่มีมาตรฐานในระดับหนึ่งนั้น
แม้นายกรณ์ อาจจะคิดแบบเด็กๆว่า ถ้าเป็นตัวเองต้องการจะกู้เงิน ก็ต้องทำได้ แต่หากเป็นคนอื่นจะใช้หลักการเดียวกันบ้างกลับทำไม่ได้ ทำนองว่า “ข้ากู้ได้ แต่เอ็งกู้ไม่ได้”นั้น น่าจะเป็นสไตล์ความคิดแบบเด็กๆ ที่ไม่ควรมีน้ำหนักต่อการวินิจฉัยหรือตีความของศาลรัฐธรรมนูญแต่อย่างใด

เพราะอย่างน้อยศาลรัฐธรรมนูญก็ไม่ได้เคยมีบุคลิกเด็กเล่นขายของ เหมือนกับแก๊งการเมืองทำมาก่อน
ดังนั้นแม้จะมีหลายฝ่ายที่ห่วงเรื่อง 2 มาตรฐาน ห่วงเรื่องจุดยืนที่ผ่านมาของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญหลายคน ว่าไม่มีใครสามารถให้ความมั่นใจได้ว่าผลการตีความในครั้งนี้จะออกมาเช่นเดิมหรือไม่

แต่บางกอก ทูเดย์ ยังเชื่อมั่นว่า ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญยุคนี้ที่มี วสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ เป็นประธานศาลรัฐธรรมนูญ จะต้องมีมาตรฐานเดียว

เพราะทั้งนางสาวยิ่งลักษณ์ และนายกิตติรัตน์ ก็ชี้แจงยืนยันแล้วว่า หลักการที่จำเป็นจะต้องเร่งออก พ.ร.ก. ก็เพื่อมาใช้เป็นหลักประกันความมั่นใจให้กับทั้งนักลงทุนไทยและนักลงทุนต่างประเทศ ไม่ถอดใจ ไม่ย้ายฐานการผลิตหนีประเทศไทย

ก็คงต้องดูว่าสุดท้าย 4 พ.ร.ก.ที่เป็นเครื่องมือสำคัญในการทำแผน และการลงมือปฏิบัติเพื่อป้องกันน้ำท่วม จะฝ่าพงหนามได้หรือไม่???

ที่มา.บางกอกทูเดย์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

เดินแต่เกมการเมือง !!?

ประสิทธิภาพ ฟอร์มการทำงาน ช่างบ่มิไก๊ ไม่ได้เรื่อง
คิดแล้วก็เคือง, เรื่องไม่เป็นสับประรดขลุ่ย ของ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ที่ค้าน พรก.โอนหนี้ให้แบ็งค์ชาติ และ พรก.กู้เงิน ๓.๕ แสนล้านบาท
น้ำฝน น้ำเขื่อน น้ำเหนือ น้ำทุ่ง เตรียมประชิดมิดท่วมหัวอีก อย่างระเนระนาด
แต่หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ขวางอย่างตาลีตาเหลือก ไม่ให้มีการกู้เงิน มาแก้ปัญหาน้ำท่วมเสร็จสรรพ
เป็นศัตรูกับ “รัฐบาลปู”ก็เป็นไป...เอาประชาชนเป็นตัวประกันทำไม?..น้ำท่วมบรรลัย รับผิดชอบไปนะครับ

------------------------------------

ปราบให้เกลี้ยง
ผับนรก ผับอุบาทว์ ค้ายาไอซ์ ยาเลิฟ ทำลายเยาวชนของชาติ.. “ท่านสุรพล พงษ์ทัตศิริกุล” ผู้ว่าฯชลบุรี ต้องใช้มาตรการเอาให้เดี้ยง
คำสั่งกวาดล้างแหล่งนรก สถานเริงรมย์อเวจี ทั่วพัทยา เหนือ ชลบุรี เสียงชมไม่ขาดปาก
แต่มีอิทธิพลเหลือหลาย ผับดังหลังโลตัส แอเรีย นาเกลือ บางละมุง ชื่อหวานเจี๊ยบ ค้ายาเย้ย “ท่านผู้ว่าฯสุรพล” เป็นอันมากส์
ได้คุณอา คุณน้า อดีตนายพลสีกากีใหญ่?..เป็นแบ็กหนุน จึงทำอะไรไม่เกรงกลัวกฎหมาย
เสียงชมผู้ว่าฯสุรพลไม่ขาด..ปราบยาเสพติดได้เก่งชะมัด?.ช่วยปราบที่นี่ให้ขยาดด้วยได้มั้ย

---------------------------------

มาด้วยไฟ ไปด้วยน้ำ
“รัฐบาลปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ยังเดินหน้าเต็มพิกัด ไม่มีอะไรในกอไผ่
แม้บางฝ่าย, พยายามจะจุดไฟ เพื่อให้เกิดการ “ปฏิวัติ-รัฐประหาร” ให้ได้ ..เพื่อคว่ำรัฐบาลให้จม
อาศัย “นายกฯยิ่งลักษณ์” เป็นคนที่พูดกับปากตรงกับใจ จึงแก้ปัญหาทุกอย่างจนคลายปม
แต่ยังมีคน “มือบอน” สร้างเรื่องเท็จ กรุเรื่องลวง ปั้นน้ำเป็นตัว เพื่อโค่น “นายกฯปู”อยู่ไม่หยุด
นึกหรือว่า, ทำแล้วมีเกียรติ...อย่าหาว่ายัดเหยียด?...ท่านช่างทำตัวน่าเกลียด อย่างสุด..สุด

---------------------------------

ยกตัวเองเสียลอย
“เทพเทือก” สุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรคตัวจริง เอ่ยปากคุยอย่างเอนจอย
ว่าตัวเองมี “ความหล่อ” เกินห้ามใจ
ก้อ,คุยว่าหล่อลากดินหยั่งงี้, จึงมีคนเฮิร์ทอย่างมาก จะบอกให้
โดยเฉพาะกับ “วรวุฒิ วิชัยดิษฐ์” นักรบประชาธิปไตย แห่งกลุ่มคนเสื้อแดง ที่ว่าถ้า “สุเทพ”หล่อระดับเทพ เขาก็หล่อยิ่งกว่าเทวดา
ดูทุกส่วนหล่อมีแขก....แต่ที่บ้านสุเทพทุบกระจกแตก?..ไฉนจึงโวแหลก ว่าหล่อนักหนา

--------------------------------

“ประชาธิปไตย”ต้องมีอันดับ
ให้อยู่อำนาจลากยาว มันเป็นเผด็จการ นะครับ
ในยุค”ปู่จิ้น” ชวรัตน์ ชาญวีรกุล นั่งหัวโด่เป็น “รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย” ไปต่อวีซ่าให้กำนันผู้ใหญ่บ้าน สืบทอดอำนาจได้เกิน ๘ ปี
ต้นฉบับแห่งโลกประชาธิปไตย สหรัฐอเมริกา หรือ อังกฤษ ให้เอกเขนกอยู่ได้ ๒ เทอม แล้วต้องใส่เกียร์ถอยหลัง ออกจากตำแหน่ง ทั้งนั้นแหละคุณพี่
เมื่อให้มีการต่อวีซ่าโควตาอยู่ในตำแหน่งกันจนตายไปข้าง จึงเกิดเหตุสังหารฆ่ากันตายเป็นว่าเล่น
รอยบาปที่เกิด....ชักจะเลยเถิด?..ไม่น่าที่จะเกิดขึ้น เลยนะเนื้อเย็น

ที่มา:คอลัมน์ ตอดนิดตอดหน่อย,บางกอกทูเดย์
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันอังคารที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

เคลียร์หนี้กองทุนฟื้นฟูฯ แบงก์เอกชนอ่วม !!?

โดย : ศรัณย์ กิจวศิน

ผ่าแผนเคลียร์หนี้กองทุนฟื้นฟูฯ แบงก์เอกชนอ่วม-แบงก์รัฐรวย! ความเหลื่อมล้ำการแข่งขัน เสถียรภาพเศรษฐกิจในระยะยาวที่กำลังถูกสั่นคลอน

แม้ขณะนี้ยังไม่มีบทสรุปว่า ร่างพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) ปรับปรุงการบริหารหนี้เงินกู้ที่กระทรวงการคลังกู้เพื่อช่วยเหลือกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ปี 2555 จะมีผลบังคับใช้อย่างเป็นทางการได้หรือไม่ แต่ภาระการหาเงินชำระหนี้ พร้อมดอกเบี้ยก้อนมหึมาตกมาอยู่ภายใต้การดูแลของธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ "แบงก์ชาติ" เกือบจะเรียบร้อยแล้ว

ภาระอันหนักอึ้งที่ แบงก์ชาติ ถูกยัดใส่มือนี้ คงไม่ใช่งานง่ายเหมือนที่เคยคาดคิดไว้ในช่วงแรก เพราะเดิมแบงก์ชาติ คิดสูตรเรียกเก็บเงินนำส่งจากธนาคารพาณิชย์ในรูปแบบต่างๆ จนได้ตัวเลขค่อนข้างชัดเจนว่า หากเก็บอัตรา 0.55-0.6% จะเป็นอัตราที่ "ปลอดภัย" โดยไม่ต้องพะวงกับปัญหาว่าจะหาเงินจากแหล่งใดมาชำระดอกเบี้ยเพิ่มในปีแรกๆ ที่มีกว่า 6-6.8 หมื่นล้านบาท

แต่ฝั่งกระทรวงการคลังโดย นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ไม่ต้องการให้เก็บค่าธรรมเนียมจากธนาคารพาณิชย์เพราะจะไปเพิ่มภาระแก่ผู้ฝากเงิน ผู้กู้เงิน รวมถึงผู้ถือหุ้น ...ดังนั้น "โจทย์การหาเงินมาชำระหนี้ก้อนนี้" จึงถูกย้อนกลับมาที่แบงก์ชาติให้ปวดสมองกันอีก

ปัจจุบันหนี้ของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (เอฟไอดีเอฟ) มียอดคงค้างรวม 1.14 ล้านล้านบาท อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ยอยู่ที่เกือบๆ 6% หรือเฉลี่ยปีละ 6.8 หมื่นล้านบาท แต่ในจำนวนนี้จะทยอยครบกำหนดชำระ และหนี้ก้อนใหม่ที่จะรีไฟแนนซ์ มีดอกเบี้ยลดลง คาดว่าอยู่ที่กว่า 3% แต่ต้องขึ้นกับฝีมือของสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) ด้วยว่าจะบริหารหนี้ล็อตใหม่ที่ออกมารีไฟแนนซ์ และมีดอกเบี้ยถูกลงมากน้อยแค่ไหน

สำหรับปี 2555 จะมีหนี้หรือพันธบัตรกองทุนฟื้นฟูฯ ครบกำหนดชำระ ประมาณ 3 แสนล้านบาท ซึ่งพันธบัตรที่ออกใหม่ คาดว่าจะมีอัตราดอกเบี้ยอยู่ที่ 3% เศษ ลดลงครึ่งหนึ่งของอัตราดอกเบี้ยเดิม เท่ากับปีถัดไปจะช่วยประหยัดต้นทุนดอกเบี้ยลงได้กว่า 8 พันล้านบาท ดังนั้นยอดดอกเบี้ยที่ต้องชำระปีถัดไป ซึ่งเป็นปีแรกที่แบงก์ชาติรับภาระจึงตกอยู่ที่ประมาณ หมื่นล้านบาท

คำถาม คือ แบงก์ชาติจะหาเงินที่ไหนมาจ่ายดอกเบี้ย!!?

แน่นอนว่า ถ้าไม่ต้องการเพิ่มภาระให้ธนาคารพาณิชย์จนส่งผลกระทบกับผู้ถือหุ้น ผู้ฝากเงิน และผู้กู้เงิน ตามโจทย์ที่กระทรวงการคลังตั้งไว้ แบงก์ชาติก็ต้องเก็บค่าธรรมเนียมอัตราเดิมที่ธนาคารพาณิชย์นำส่งแก่สถาบันคุ้มครองเงินฝาก คือ 0.4% เพียงแต่จะครอบคลุมไปถึงตั๋วบี/อีด้วย จากเดิมที่ตั๋วบี/อีไม่ถูกนับรวม

จากข้อมูล ณ สิ้นเดือน พ.ย. 2554 พบว่า ธนาคารพาณิชย์ทั้งระบบ มียอดเงินฝากคงค้างรวม 7.75 ล้านล้านบาท ขณะที่ตั๋วบี/อี มียอดคงค้างรวม 1.57 ล้านล้านบาท เมื่อรวมยอดเงินฝากและตั๋วบี/อีเข้าด้วยกันจะมียอดรวม 9.32 ล้านล้านบาท

ดังนั้นหากเรียกเก็บค่าธรรมเนียมบนฐานเงินนี้ที่ 0.4% เท่ากับว่า แบงก์ชาติจะได้เงินรวมทั้งสิ้นประมาณ 3.72 หมื่นล้านบาท ซึ่งห่างไกลกับดอกเบี้ยที่ต้องชำระร่วมๆ 2.28 หมื่นล้านบาท ...คำถามที่ตามมาคือ แบงก์ชาติ จะหาเงินจากไหนมาโปะในส่วนที่ขาดตรงนี้

หากดูแหล่งรายได้อื่นๆ ที่แบงก์ชาติเคยส่งสัญญาณไว้ว่า จะนำผลตอบแทนที่ได้จากการบริหารทรัพย์สินของกองทุนฟื้นฟูฯ และผลการดำเนินงานของแบงก์ชาติกรณีที่มีผลกำไรมาร่วมจ่ายหนี้ก้อนนี้ด้วย แต่ตามข้อเท็จจริง ผลตอบแทนก็ไม่สูงมาก เช่นกรณี ผลตอบแทนจากสินทรัพย์ภายใต้การบริหารของกองทุนฟื้นฟูฯ เฉลี่ยปีละ 5 พันล้านบาท โดยมาจากผลตอบแทนเงินปันผลจากหุ้น ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) และ หุ้นบริษัทบริหารสินทรัพย์กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

ส่วนแหล่งรายได้จากการดำเนินงานของแบงก์ชาตินั้น เป็นแหล่งรายได้ที่ไม่แน่นอน ขึ้นอยู่กับอัตราแลกเปลี่ยนแต่ละปี ซึ่งปีใดที่เงินบาทแข็งค่าขึ้น ปีนั้นแบงก์ชาติจะขาดทุนจากการตีราคาสินทรัพย์ แต่ถ้าปีใดเงินบาทอ่อนค่าลง แบงก์ชาติจะมีกำไร ดังนั้นรายได้จากแหล่งนี้ จึงเป็นเพียง “ตัวแถม” ที่แบงก์ชาตินำมาใช้ คือ ปีใดมีกำไรก็นำมาใช้ชำระหนี้เงินต้น
โดยสรุป คือ แหล่งรายได้ที่แบงก์ชาตินำมาใช้ชำระดอกเบี้ยจากหนี้ก้อนนี้ น่าจะแค่ รายได้จากการบริหารสินทรัพย์ภายใต้การดูแลของกองทุนฟื้นฟูฯ และรายได้ค่าธรรมเนียมบนฐานเงินฝากและตั๋วแลกเงิน ดังนั้นถ้าคิดค่าธรรมเนียมที่อัตรา 0.4% ซึ่งจะได้เงินประมาณ 3.72 หมื่นล้านบาท รวมกับผลตอบแทนจากสินทรัพย์ของกองทุนฟื้นฟูฯ อีก 5 พันล้านบาท เท่ากับแบงก์ชาติจะมีรายได้รวมเพียง 4.22 หมื่นล้านบาทต่อปี จึงไม่พอสำหรับจ่ายหนี้แน่นอน

อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาตามสูตรเดิมที่แบงก์ชาติ เคยวางไว้ว่าจะเรียกเก็บค่าธรรมเนียมอัตรา 0.55% กรณีนี้จะได้เงินประมาณ 5.12 หมื่นล้านบาท เมื่อบวกกับผลตอบแทนจากสินทรัพย์ภายใต้การบริหารของกองทุนฟื้นฟูฯ อีก 5 พันล้านบาท เท่ากับรายได้รวมจะอยู่ที่ 5.6-5.7 หมื่นล้านบาทใกล้เคียงกับอัตราดอกเบี้ยที่ต้องชำระที่ 6 หมื่นล้านบาท ...สูตรนี้จึงเป็นสูตรที่แบงก์ชาติวางใจในการหาเงินมาชำระหนี้ รวมทั้งสามารถทยอยปรับลดลงได้ในปีหลังๆ หากฐานเงินฝากและตั๋วบี/อีขยายตัวขึ้น

ทั้งนี้ หลังมีกระแสข่าวว่า นายกิตติรัตน์ไม่เห็นด้วยหากจะเรียกเก็บเงินจากธนาคารพาณิชย์เพิ่ม จนกระทบกับผู้ฝาก ผู้กู้เงิน และผู้ถือหุ้นนั้น ทำให้แบงก์ชาติ ต้องปรับสูตรคิดค่าธรรมเนียมที่เรียกเก็บจากธนาคารพาณิชย์ใหม่ และเคาะตัวเลขออกมาอยู่ที่ 0.52% หรือเพิ่มขึ้นจากเดิม 0.12%

สำหรับตัวเลข 0.52% นี้ คำนวณจากสิทธิประโยชน์ทางภาษีของนิติบุคคล ที่ภาครัฐลดอัตราจาก 30% เหลือ 23% เมื่อตีมูลค่าผลประโยชน์ที่ได้ส่วนนี้แล้ว เฉลี่ยปีละ 1 หมื่นล้านบาท คิดเป็น 0.12% ของฐานเงินฝากและตั๋วบี/อีของธนาคารพาณิชย์ ดังนั้นหากแบงก์ชาติขอเก็บเพิ่ม จากส่วนต่างจุดนี้ ก็ไม่น่ากระทบกับธนาคารพาณิชย์จนต้องผลักภาระไปยังผู้ฝาก และผู้กู้เงิน

อย่างไรก็ตาม หากดูตัวเลขที่ 0.52% แบงก์ชาติจะมีรายได้ประมาณ 4.84 หมื่นล้านบาท เมื่อรวมรายได้จากผลตอบแทนของสินทรัพย์ภายใต้การบริหารของกองทุนฟื้นฟูฯ วงเงิน 5 พันล้านบาท เท่ากับแบงก์ชาติ มีรายได้รวมอยู่ที่ 5.34 หมื่นล้านบาท แต่ยังขาดเงินอีกจำนวนหนึ่งเพื่อชำระดอกเบี้ยปีแรกๆ ดังนั้นก็คงไม่ที่กระทรวงการคลังจะช่วยอุดหนุนส่วนที่ขาดตรงนี้ในช่วงปีแรกๆ

สำหรับฝั่งของธนาคารพาณิชย์นั้น เรื่องค่าธรรมเนียมที่ต้องชำระเพิ่ม ดูจะไม่เป็นปัญหาหนักเท่ากับปัญหา "ความเหลื่อมล้ำการแข่งขัน"โดยเฉพาะหากต้องจ่ายค่าธรรมเนียมบนฐานเงินฝากรวมถึงตั๋วบี/อี ที่เพิ่มขึ้นในปัจจุบัน โดยปัจจุบันจ่ายอยู่ 0.4% เฉพาะบนฐานของเงินฝาก ก็ทำให้ธนาคารพาณิชย์ต้องเสียส่วนแบ่งตลาดให้ธนาคารเฉพาะกิจของรัฐ

กรณีนี้ ฝ่ายวิจัยธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) ได้ศึกษาพบว่า ค่าธรรมเนียมที่เรียกเก็บเพิ่มทุกๆ 0.01% จะมีผลให้เงินฝาก 7 พันล้านบาท ไหลออกจากธนาคารพาณิชย์ไปยังธนาคารเฉพาะกิจของรัฐ ดังนั้นถ้าแบงก์ชาติเก็บค่าธรรมเนียมเพิ่มอีก 0.15% อาจทำให้ยอดเงินฝากไหลออกจากแบงก์พาณิชย์ 1.05 แสนล้านบาท โดยช่วง 4 ปีที่ผ่านมา เงินฝากของธนาคารเฉพาะกิจเติบโตเฉลี่ยปีละ 20% ขณะที่ธนาคารพาณิชย์โตเพียง 5% เท่านั้น

"ปัจจุบันเงินฝากของธนาคารพาณิชย์มากกว่าเงินฝากของธนาคารเฉพาะกิจของรัฐ เพียง 2.5 เท่า จาก 4 ปีก่อนที่เคยมากกว่าถึง 4.2 เท่า ล้อไปกับดอกเบี้ยเงินฝากของธนาคารเฉพาะกิจที่สูงกว่าธนาคารพาณิชย์ ดังนั้นจึงใช้พฤติกรรมการไหลออกของเงินฝาก จากความแตกต่างของอัตราดอกเบี้ยเงินฝากมาประเมินความเป็นไปได้ที่เงินฝากจะไหลออกจากระบบธนาคารพาณิชย์ไปสู่ธนาคารเฉพาะกิจของรัฐ” ฝ่ายวิจัยธนาคารทหารไทยประเมินไว้"

แน่นอนว่าปัญหาเหล่านี้ยังส่งผลต่อเนื่องถึงประสิทธิภาพของเครื่องมือนโยบายการเงิน โดยเฉพาะการส่งผ่านดอกเบี้ยนโยบายไปถึงดอกเบี้ยเงินกู้และเงินฝากของธนาคารพาณิชย์ หากเครื่องมือเหล่านี้ขาดประสิทธิภาพที่ดี ก็คงหนีไม่พ้นเสถียรภาพทางเศรษฐกิจในระยะยาว ที่อาจถูกสั่นคลอนได้!

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

บุกสำรวจ แม่สอด-เมียวดี บูมเศรษฐกิจ 2 เมือง 2 ประเทศ !!?

คอลัมน์ เจาะลึกเศรษฐกิจ

เมืองแม่สอด และ "เมืองเมียวดี" ประเทศพม่า หลังมีความพยายามผลักดันให้มีการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษแม่สอด รองรับการพัฒนาตามเส้นทางระเบียงเศรษฐกิจแนวตะวันออก-ตะวันตก (East-West Economic Corridor : EWEC) เชื่อมระหว่างฝั่งตะวันออกคือจังหวัดมุกดาหาร และฝั่งตะวันตกคือ ฝั่งอำเภอแม่สอด จังหวัดตาก

หากประเทศไทยสามารถจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษแม่สอดสำเร็จ ประตูแม่สอด-เมียวดี จะเป็นจุดเปลี่ยนการค้าและการลงทุนระหว่างไทยและพม่าที่สำคัญในอาเซียน

จากการสำรวจพื้นที่พบว่า "แม่สอด" แม้จะเป็นเมืองเล็ก ๆ กลางหุบเขา มีพื้นที่ประมาณ 1,986 ตารางกิโลเมตร แต่ถือได้ว่าเป็นเมืองที่มีเศรษฐกิจคึกคักอย่างมาก เมืองเจริญเติบโตขึ้นอย่างชัดเจน ปัจจุบันกำลังมีการก่อสร้างอาคารพาณิชย์ โชว์รูมรถยนต์ ร้านค้า ร้านอาหาร โรงแรมขนาดเล็กอีกหลายสิบแห่ง

นอกจากนี้ยังเป็นเมืองที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรม มีทั้งชาวเขา ชาวพม่า ชาวกะเหรี่ยง คนอพยพจากอำเภอเมืองตากเข้าไปตั้งถิ่นฐานทำมาหากิน รวมทั้งชาวพม่าที่มีภรรยาหรือสามีเป็นคนไทย นอกจากนี้ยังมีชุมชนอิสลาม ตั้งถิ่นฐานอยู่กันมายาวนาน โดยไม่มีความขัดแย้งกัน

เชื่อหรือไม่ว่า สาวพม่าในแม่สอดบางคน อยู่แม่สอดตั้งแต่เล็กจนโต พูดไทยชัดเปรี๊ยะ แต่พูดพม่าแทบไม่ได้สักคำ เพราะไม่เคยข้ามฝั่งกลับบ้านเกิด แต่วันนี้ยังคงถือสัญชาติพม่า เธอเล่าว่า อยู่เมืองไทยทำมาหากิน ค้าขายได้สะดวก ทุกวันนี้มีเงินทองใช้สอยไม่ขาดมือ

ชาวบ้านในแม่สอดหลายคนเห็นว่า แม่สอด แม้จะเป็นเมืองหลายวัฒนธรรม แต่ก็ยังไม่ได้รับการพัฒนาเท่าที่ควรในแง่การดึงดูดการท่องเที่ยว แต่ก็มีความพยายามในการพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงรุกมากขึ้น โดยเฉพาะการท่องเที่ยวตามแนวชายแดน เพราะจุดแข็งของแม่สอด คือ การท่องเที่ยวชายแดน ส่วนใหญ่เป็นโปรแกรมทัวร์ไหว้พระ 2 ฝั่งไทย-พม่า

ทุกวันนี้จึงมีความพยายามผลักดัน "แม่สอด" ให้เป็นพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดน เพราะแม่สอดมีศักยภาพในการค้าขายชายแดน เฉพาะการค้าระหว่างไทยกับพม่าที่ด่านแม่สอดอยู่ ที่ปีละ 3 หมื่นล้านบาท

ที่สำคัญรัฐบาลพม่าได้เปิดด่านแม่สอด-เมียวดีอีกครั้ง เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 2554 หลังจากปิดด่านมานานนับปี เริ่มมีนักท่องเที่ยวมากขึ้น ทั้งชาวไทยและต่างชาติ เดินทางมาเที่ยวแม่สอด และข้ามด่านไปไหว้พระในวัดชื่อดังที่เมียวดี ไม่ว่าจะเป็นวัดจระเข้ วัดหินใหญ่ หรือวัดเจดีย์ทอง ที่จำลองแบบมาจากเจดีย์ชะเวดากอง ส่งผลให้ช่วงหลังมานี้มีโรงแรมขนาดเล็กเกิดขึ้นจำนวนมากในแม่สอด เพื่อรองรับ นักท่องเที่ยว

นอกจากจุดแข็งด้านการค้าชายแดนที่สำคัญแล้ว "แม่สอด" ยังมีตลาด ค้าพลอยที่ขึ้นชื่อ ส่วนหนึ่งเพราะจังหวัดตากเป็นตลาดนำเข้าพลอยจากพม่าที่สำคัญของประเทศไทย เนื่องจากมีเพียงแม่น้ำเมยกั้นเขตแดนเท่านั้น และยังอยู่ใกล้แหล่งพลอยหลายแห่งในพม่า เช่น เหมืองโมกก เหมืองพลอยที่อยู่ทางตอนเหนือของพม่า ทั้งนี้พลอยที่นำจากพม่าสู่เมืองตาก มีสัดส่วนมากถึงร้อยละ 80 ส่วนใหญ่เป็นทับทิมและไพลิน

นาทีนี้ เสียงจากแม่สอดได้แต่ คาดหวังว่า หากนครแม่สอดเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษได้จริง การค้าชายแดน การลงทุน การท่องเที่ยวในเมืองแม่สอดจะเติบโตคึกคักกว่านี้หลายเท่าตัว

จาก "แม่สอด" ทีมข่าวได้ข้ามไปฝั่งจังหวัด "เมียวดี" ผ่านสะพานมิตรภาพไทย-พม่า โดยมีแม่น้ำเมยเป็นเขตกั้น สภาพของเมืองเมียวดีเป็นเมืองเปิด ในตัวเมืองมีการพัฒนา ไปพอสมควร มีโรงพยาบาล โรงเรียน ตลาด และวัดวาอาราม แต่ถนนหนทางยังขรุขระ มีฝุ่นคละฟุ้ง แต่บรรยากาศคึกคักในยามที่ประชาชนออกมาจับจ่ายใช้สอย

บรรยากาศการค้าค่อนข้างคึกคัก สินค้าที่วางจำหน่ายในเมียวดี โดยเฉพาะสินค้าอุปโภคบริโภค พบว่าส่วนใหญ่นำเข้าจากไทยแทบทั้งสิ้น ส่วนการปกครองเป็นแบบท้องถิ่น มีทหารพม่าและกองกำลังชนกลุ่มน้อยผสมกัน

ผู้รู้อธิบายว่า "เมียวดี" อาจเป็นจังหวัดเล็ก ๆ แต่จุดเด่นสำคัญคือเป็นเมืองผ่านสินค้านำเข้าและส่งออกหลักที่สำคัญจากไทย และอินโดจีนเข้าสู่ตลาดย่างกุ้ง และบางส่วนส่งตรงไปถึงอินเดีย ล่าสุดมีการเปิดธนาคาร KBZ ซึ่งเป็นธนาคารเอกชนที่ใหญ่ที่สุดในพม่า สาขาเมียวดีแล้ว เพื่อรองรับการขยายตัวทางเศรษฐกิจของแม่สอด-เมียวดี พร้อมกับรองรับเขตเศรษฐกิจชายแดนของทั้งสองเมือง

ทว่าจุดเด่นของ "เมียวดี" นอกจากเป็นเมืองผ่านสินค้าแล้ว งานสถาปัตยกรรมในพุทธศาสนากับวิถีความเป็นอยู่ของผู้คนถือเป็นจุดขายเช่นกัน โดยเฉพาะวัด อาทิ วัดมิเจากง หรือวัดจระเข้ วัดเด้ถั่นเอ่ หรือวัดอธิษฐาน และวัดเจ๊าลงจี หรือวัดก้อนหิน ซึ่งมีเรื่องราวตำนานที่น่าค้นหาแตกต่างกัน

นี่คือ "แม่สอด" และ "เมียวดี" 2 เมือง 2 ประเทศ ที่มีเศรษฐกิจชายแดนเติบโตคู่กัน เป็นประตูเศรษฐกิจสำคัญ ยิ่งของกลุ่มอาเซียน


ที่มา:ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันจันทร์ที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

พม่า.ดาวรุ่งน้องใหม่ ทุนนอกหลั่งไหล..ดันเสือศก.เอเชีย !!?

โดย บลจ. บัวหลวง จำกัด

พม่าว่าที่เสือเศรษฐกิจของเอเชีย?
หลังจากที่โดดเดี่ยวและถูกลืมอยู่นานกว่า 2 ทศวรรษ หลังจากที่โดนคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจจากประเทศตะวันตก

ในที่สุด พม่าก็กลายเป็นหนึ่งในประเทศที่นักลงทุนต่างชาติให้ความสนใจมากที่สุด นับตั้งแต่ นางฮิลลารี คลินตัน รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐ มาเยือนเมื่อต้นเดือนธันวาคมที่ผ่านมา ซึ่งเป็นครั้งแรกในรอบ 50 ปี ที่สหรัฐส่งตัวแทนไปเยือนพม่าอย่างเป็นทางการ เป็นสัญญาณว่า พม่ากำลังเปิดประตูกว้างเพื่อรับประชาธิปไตยและโลกตะวันตกมากขึ้น

ก่อนหน้าการมาเยือนของนางฮิลลารี คลินตัน พม่าได้มีการปฏิรูปประเทศ ทั้งในด้านเศรษฐกิจ การเมืองและสังคม เช่น การดำเนินโยบายผ่อนปรนแก่ชนกลุ่มน้อยมากขึ้น เปิดโอกาสให้สื่อมวลชนเข้ามามีบทบาทมากขึ้น เป็นต้น นอกจากนี้ พม่ามีนโยบายส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศ โดยให้สิทธิประโยชน์ด้านการลงทุนต่างๆ รวมทั้งเตรียมปรับปรุงระบบอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศให้สอดคล้องกับ มาตรฐานสากล



ล่าสุด การประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน (ASEAN Summit) ครั้งที่ 19 ณ เกาะบาหลี ประเทศอินโดนีเซีย ได้มีการตกลงรับรองพม่าเป็นประธานอาเซียน ประจำปี 2557 ก่อนการก้าวสู่การเป็นประชาคมอาเซียนในปี 2558 ส่งผลให้พม่ากลายเป็นประเทศที่เนื้อหอมสุดสุด นักลงทุนจากทั่วทุกมุมโลกต่างจับจ้องความเคลื่อนไหวของพม่าอย่างใกล้ชิด เพื่อหาช่องทางในการเข้าไปลงทุน

ในอดีตภายใต้การปกครองของประเทศ อังกฤษในช่วงปี 1930 ประเทศพม่าเคยรุ่งเรืองเป็นอันดับสองในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เป็นผู้ส่งออกข้าวอันดับหนึ่งของโลก มีทรัพยากรธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ ประชากรส่วนใหญ่มีการศึกษา และมีการลงทุนจากต่างชาติ แต่แล้วหลังสงครามโลกครั้งที่สอง พม่ากลับกลายเป็นหนึ่งในประเทศที่ยากจนที่สุด จากการปกครองของรัฐบาลทหาร นโยบายทางเศรษฐกิจที่ล้มเหลว และการโดนคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจ รายได้ต่อคน (GDP per Capita) อยู่ที่เพียง 804 เหรียญสหรัฐต่อปี เป็นอันดับ 156 ในโลก เปรียบเทียบกับคนไทยที่มีรายได้ต่อหัว 5,281 เหรียญสหรัฐ ซึ่งโดยทั่วไปแล้ว นิยามทั่วไปของคนชั้นกลางที่เริ่มจะมีกำลังซื้อคือ คนที่มีรายได้ 3,000 เหรียญสหรัฐขึ้นไป ส่วน GDP ของประเทศพม่าอยู่ที่ 8.2 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ เปรียบเทียบกับ GDP ประเทศไทยที่ 6 แสนล้านเหรียญสหรัฐ

ปัจจุบันพม่ากำลังได้รับความสนใจจากนักลงทุนทั่วโลก รวมทั้งนักลงทุนไทยอีกครั้งในฐานะแหล่งลงทุนแห่งใหม่ที่อุดมสมบูรณ์ด้วย ทรัพยากรธรรมชาติ นักลงทุนต่างชาติได้หลั่งไหลสู่ธุรกิจพลังงาน และทรัพยากรต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ปิโตรเลียม ก๊าซธรรมชาติ ป่าไม้ ดีบุก สังกะสี ทองแดง และอัญมณีจำพวกเพชร พลอย ซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นผลผลิตสำคัญของพม่า อีกทั้งประชากรจำนวน 55 ล้านคน ก็ทำให้พม่าเป็นตลาดใหญ่ที่น่าสนใจและยังมีแรงงานจำนวนมาก

ที่ตั้งของพม่าเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญมีชายแดนเชื่อมต่อกับ 5 ประเทศ และสามารถเข้าถึงประชากร 2.6 พันล้านคน หรือ 40% ของประชากรโลก พม่าจึงเป็นประตูสำคัญของทั้งจีนและอินเดีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งจีนที่ต้องการขยายเส้นทางการค้าและเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจ ให้กับมณฑลทางตะวันตก เช่น มณฑลยูนนาน ซึ่งไม่มีทางออกสู่ทะเล ดังนั้น จึงต้องใช้พม่าเป็นประตูสู่ทะเลอันดามันและมหาสมุทรอินเดีย ปัจจุบันจีนนำเข้าน้ำมัน 80% ผ่านช่องแคบมะละกา ซึ่งเป็นช่องทางที่แออัดและกว้างเพียงไม่กี่กิโลเมตร หลังจากที่ท่าเรือน้ำลึกและระบบการขนส่งระบบรางและระบบท่อส่งก๊าซได้รับการ สร้างขึ้นในพม่า จะทำให้เรือขนส่งไม่ต้องอ้อมช่องแคบมะละกา ซึ่งจะทำให้การขนส่งน้ำมันจากตะวันออกกลางและแอฟริกาไปจีนและประเทศลุ่มแม่ น้ำโขงเร็วขึ้น และจะช่วยประเทศในอาเซียนเชื่อมต่อกับอินเดียได้ดีขึ้น

ตัว เลขการลงทุนในพม่าของต่างชาติ (Foreign direct investment) ปี 2554 สูงถึง 2 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นอย่างมากเมื่อเปรียบเทียบกับปี 2553 ที่มีเม็ดเงินลงทุนเพียง 300 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยมีจีนเป็นผู้ลงทุนรายใหญ่สุดคิดเป็นมูลค่าสูงถึง 70% ของนักลงทุนต่างชาติ บริษัทข้ามชาติระดับใหญ่หลายราย อย่างเช่น คอมเมิร์ซ แบงก์ เอจี ธนาคารรายใหญ่อันดับ 2 ของเยอรมนี สถาบันการเงินเพื่อการพัฒนาแห่งชาติเยอรมนี (DEG) บริษัท เชฟรอน และเอ็กซอนโมบิล ผู้สำรวจและผลิตน้ำมันและก๊าซธรรมชาติชั้นนำของโลก และบริษัทโคคาโคลา ต่างแสดงความสนใจในการไปลงทุนในพม่า




บริษัทไทย ก็ไม่น้อยหน้า นำโดยบริษัท อิตัลไทย จำกัด (มหาชน) ที่เดินหน้าก่อสร้างโครงการท่าเรือน้ำลึกและนิคมอุตสาหกรรมทวาย หลังศึกษามานานถึง 11 ปี บนพื้นที่ 200,000 ไร่ หรือใหญ่กว่านิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุดถึง 10 เท่า เฟสแรกใช้งบลงทุนประมาณ 4,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ก่อสร้างระบบสาธารณูปโภคพื้นฐาน ถนน และท่าเรือ จากนั้นจะเปิดรับผู้สนใจร่วมลงทุนในอุตสาหกรรมหนัก อาทิ โรงไฟฟ้า โรงกลั่นน้ำมัน โรงปิโตรเคมี โรงเหล็ก ซึ่งบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) และบริษัท ผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) ได้ยืนยันว่า ต้องการมาลงทุนในโครงการนี้ ส่วนบริษัท กันกุลเอ็นจิเนียริ่ง จำกัด (มหาชน) ได้รับสัมปทานโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลม ขนาด 1,000 เมกะวัตต์ อายุสัมปทาน 30 ปี มูลค่าการลงทุนประมาณ 60,000 ล้านบาท

นักลงทุน ยังมองเห็นว่าเสน่ห์ของพม่านั้นอยู่ที่ "ความสดใหม่" ของประเทศ เนื่องจากเป็นเวลานานกว่า 21 ปี ที่ชาติตะวันตกได้ออกมาตรการคว่ำบาตรพม่า ซึ่งหมายความว่า ชาติตะวันตกอย่างสหรัฐและยุโรปไม่ได้เข้าไปทำการค้าหรือเข้าไปลงทุนในพม่า เลย ดังนั้น ในสายตานักลงทุน พม่าจึงเปรียบเสมือนตลาดใหม่ที่เปี่ยมไปด้วยโอกาสและช่องทางลงทุนมากมาย นักท่องเที่ยวต่างชาติก็ได้เริ่มหลั่งไหลเข้ามาตั้งแต่ปี โดยมีวัดที่งดงาม และสถาปัตยกรรมในยุคอาณานิคม เป็นจุดดึงดูด และคาดว่า จำนวนห้องพักโรงแรมจะขาดแคลนอย่างหนักในปีนี้



อย่างไรก็ตาม แม้บรรยากาศในพม่าขณะนี้ จะเต็มเปี่ยมไปด้วยความคึกคักและความหวัง แต่เส้นทางของพม่าในการก้าวเข้าสู่บทบาทของการเป็น "เสือเศรษฐกิจ" ของภูมิภาคนั้นยังคงอีกยาวไกล ทั้งนี้ เพราะสภาพแวดล้อมในพม่ายังคงไม่เอื้ออำนวยต่อการลงทุนมากนัก ไม่ว่าจะเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่ไร้ประสิทธิภาพ ระบบสาธารณูปโภคที่ยังไม่แข็งแกร่ง โดยเฉพาะไฟฟ้า ถนน และท่าเรือ ที่ยังไม่ได้มาตรฐานสากล และอัตราแลกเปลี่ยนที่มีปัญหา ล่าสุดพม่าตกลงที่จะให้ประเทศสิงคโปร์ มาอบรมเพื่อเตรียมความพร้อมในการปฏิรูปภาคกฎหมาย ธนาคาร และการเงิน รวมถึงชี้แนะแนวทางการพัฒนา การค้าขาย การวางผังเมือง และการท่องเที่ยว

พม่า จะต้องพิสูจน์ตัวเองว่า "พร้อม" ที่จะเป็นเสือเศรษฐกิจของเอเชีย โดยจะต้องแสดงให้เห็นถึงความตั้งใจและจริงใจในการเปลี่ยนแปลงประเทศและการ ปฏิรูปการเมือง ขณะเดียวกัน ยังต้องพิสูจน์ให้เห็นว่ารัฐบาลปัจจุบันเป็นอิสระจากร่มเงาของกองทัพและลด ปัญหาการทุจริต เมื่อสามารถบรรลุเป้าหมายเหล่านี้ได้ เชื่อว่าอีกไม่นาน ชาติตะวันตกก็จะเริ่มผ่อนมาตรการคว่ำบาตร ตามสหภาพยุโรป และนักลงทุนต่างชาติจะพากันมาลงทุนในประเทศดาวรุ่งที่น่าจับตาแห่งนี้ ถึงแม้ ณ ตอนนี้ อาจจะยากที่จะไปลงทุนโดยตรงในประเทศพม่า แต่เราควรตื่นตัวกับการเปิดเศรษฐกิจของประเทศเพื่อนบ้านเรา ยิ่งพม่าเปิดประเทศมากเท่าไร ยิ่งเป็นผลดีกับประเทศไทย เพราะต่างชาติย่อมต้องใช้ประเทศไทยเป็นเกตเวย์สู่ประเทศพม่า


ที่มา นสพ.มติชน
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันเสาร์ที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ล้มเจ้าหรือล้มรัฐ..

เผือกร้อนตกเรี่ยราดตามรายทางปริมณฑลการเมืองไทยจนน่าวังเวงหัวใจ!!!

นิติราษฎร์ ณ ม.112 สอดคล้องกับ โปรเจกต์ล้มรัฐได้โดยเผอิญและบังเอิญเหมือนเป็นคนละเรื่องเดียวกัน..ภาพ 4 ผบ.ทบ. “บิ๊กป้อม-พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ” อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม อดีต ผบ.ทบ. “พล.อ.สมทัต อัตตะนันทน์” อดีตผู้บัญชาการสูงสุด (ผบ.สส.) และอดีต ผบ. ทบ. “บิ๊กป๊อก-พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา” อดีต ผบ.ทบ. และ “บิ๊กตู่-พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ. ทบ.) ร่วมเป็นประธานเททองหล่อพระเกตุมาลาพระนาคปรก “ปกเกล้า ปกแผ่นดิน” และยกองค์ฐานองค์พระฯ ขึ้นประดิษฐาน ที่วัดอ้อน้อย อ.กำแพงแสน จ.นครปฐม

ในมุมทั้งที่ตั้งใจและไม่ตั้งใจ มันย่อม สะท้อนให้เห็นนัยยะสำคัญทางการเมืองไทย ในยามที่บรรยากาศประเทศเริ่มไม่ปกติธรรมดา ยิ่งเจาะลึกลงไปในรายละเอียดของ โครงการ ที่จัดสร้างพระมหาพุทธพิมพ์นาคปรก “ปกเกล้า ปกแผ่นดิน” นี้ขึ้นเพื่อแสดงให้เห็นถึงความกตัญญูที่มีต่อแผ่นดิน และต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่ง หลวงปู่พุทธอิสระ ได้ดำริให้จัดสร้างพระนาคปรก โดยใช้เหรียญสตางค์ ซึ่งมีพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ติดเป็นเกล็ดพญานาค มันก็ล้วนสามารถตีความไปได้ต่างๆ นานา โดยเฉพาะในท่ามกลางที่มีข้อเสนอ อันล่อแหลมออกมาจากคณะนิติราษฎร์ ไฟฟอนสุมขอนหนักข้อหลัง “พร้อมพงศ์ นพฤทธิ์” โฆษกพรรคเพื่อไทย ออกมาจุดพลุลูกใหญ่.. “ขณะนี้มีขบวนการพยายามล้มล้าง รัฐบาลด้วยการเคลื่อนไหวอย่างมีระบบ และใส่ร้ายพรรคเพื่อไทยว่าจะแก้ไขประมวล กฎหมายอาญามาตรา 112 ซึ่งยืนยันว่าไม่เป็นความจริง และพรรคเทิดทูนสถาบัน และจะไม่เสนอแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 อย่างแน่นอน”

สำทับซ้ำอีกดอกออกจากปาก “บิ๊กโอ๋-พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต” รมว. กลาโหมคนใหม่..“แน่นอนว่ามีความพยายาม อย่างไร ก็ตาม ยืนยันว่าไม่มีการล้มรัฐบาลอย่างแน่นอน ส่วนเรื่องที่มีทหารเข้าไปเกี่ยวข้อง หรือไม่ เป็นเรื่องที่ว่ากันยังไม่มีสาระมากนัก แต่แน่นอนว่ามีความพยายามเมื่อพูดคุยออก ทีวีในเรื่องแบบนี้ ก็ไม่ควรนิ่งเฉยต้องดูว่าเป็นอย่างไร ส่วนจะเป็นใครอยู่ในใจคงบอกไม่ได้”สืบสาวราวเรื่องย้อนกลับไปอีกนิดครั้งเหตุบึ้มหน้ากองสลาก “ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง” รองนายกรัฐมนตรี ก็เคยออกทิ้งบอมบ์ถึงวาระมือที่มองไม่เห็นไว้อย่างมีนัยยะสำคัญยิ่ง“วันนี้มีคนคนหนึ่งที่เป็นโรคพาร์กินสัน ที่ยังมีความวุ่นวายทางการเมือง เพราะปากพูดรู้เรื่องแต่มือสั่น รวมทั้งยังหัวดี แต่ คิดเรื่องไม่เข้าท่า ต้องพูดว่าไอ้พวกโรคจิต แพ้ไม่เป็น คนพวกนี้อยู่แถวสุขุมวิท และไปหากินหลัง รสช.เรืองอำนาจ เพราะเงิน เก่ายังไม่หมด จึงออกมาเคลื่อนไหว” ยิ่งตัวจริงเสียงจริงอย่าง “อดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร” โดดลงมาเล่นเองผ่านโฟนอินพิฆาตที่เมืองนนท์ มันล้วน สะท้อนให้เห็นชั้นบรรยากาศอันเขม็งเกลียว ที่กำลังก่อหวอดก่อตัวเพื่อรอสึนามิลูกใหญ่ “ความจริงมันมีปัญหาที่ไม่ยาก ปัญหา บ้านเมืองของเราแก้ง่าย อย่าปล่อยให้ประเทศอื่นรวย ประเทศไทยจะรวยได้แค่เลิกทะเลาะกัน บางเรื่องที่ทะเลาะกันนั้นตนนึกว่าเป็นเรื่องใหญ่ แต่ที่จริงเป็นเรื่องปัญญาอ่อนเท่านั้น พวกหัวแก่หัวหงอกเท่านั้นที่ทะเลาะกัน วันนี้ถ้าหยุดปัญญา อ่อนบ้านเมืองจะเจริญ อดทนกันอีกนิดบ้านเมืองก็จะเจริญขึ้น ผมมั่นใจว่าถ้าการ ปรองดองเกิดขึ้นทุกอย่างก็จะมีความสุข แล้วเราจะได้มาอยู่ใกล้ชิดกัน”กุข่าวหรือเรื่องจริงมิอาจทราบได้ แต่ เมื่อมีการริเริ่มจากอีกฝั่งมันก็เป็นธรรมดา ที่อีกฝั่งต้องมีเอฟเฟ็กต์กลับมา แน่นอนและหวังให้นอนฟุบแน่ๆ มันย่อมเลี่ยงที่จะ ยกกรณีที่พรรคเพื่อไทยเป็นเนื้อเดียวกันกับคณะนิติราษฎร์ขึ้นมาทิ้งบอมบ์ไปไม่พ้น

นั่นก็สอดคล้องกับสิ่งที่ “ชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต” โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ นำคลิปข่าวการเคลื่อนไหวของแกนนำคนเสื้อแดงและ ส.ส.พรรคเพื่อไทย ที่สะท้อนให้เห็นถึงการเชื่อมโยงระหว่างคนเสื้อแดง พรรคเพื่อไทย และคณะนิติราษฎร์ออกมาแฉต่อหน้าสื่อโดยคลิปแรกเป็นการปราศรัยของ “สุนัย จุลพงศธร” ส.ส.พรรคเพื่อไทยบน เวทีปราศรัยของคนเสื้อแดงที่จังหวัดราชบุรี โดยในภาพที่ปรากฏนายสุนัยยืน ปราศรัยบนเวทีที่มีสัญลักษณ์ต่อต้านกฎหมายอาญามาตรา 112 อย่างชัดเจน ส่วนอีกคลิปหนึ่งเป็นการแถลงข่าวของ “ธิดา ถาวรเศรษฐ์” ประธาน นปช. ที่ประกาศว่าคณะนิติราษฎร์มีหัวใจเดียวกับคน เสื้อแดงและเป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์สองแขนของคนเสื้อแดง คือ แขนหนึ่งหมายถึง มวลชน ส่วนอีกแขนหนึ่งคือ นิติราษฎร์

ต่อเนื่องมาถึงมวยใหญ่อย่าง “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ที่ยิงตรงเป้าถึง “นายใหญ่” โดย ตรงเปิดปมกรณีเดียวกันในรหัสร้อน 112.. “เวลาที่เคลื่อนไหวกันเรื่องนี้ เสื้อแดงก็พูด คุณยิ่งลักษณ์ก็พูดตอนหลังเลือกตั้ง ผมถามหน่อยว่า นายอัมสเตอร์ดัมนี่ใครจ้าง มาสนใจเรื่องนี้ด้วยตัวเองเลยเหรอ เพราะ ฉะนั้นไปแก้ที่ตัวเองดีกว่าครับ อย่ามาพาล คนอื่น”เครื่องแกงการเมืองไทยสุดเผ็ดร้อน ประเทศเดินมาถึงทางสองแพร่ง เลี้ยวซ้าย เจอ ม.112 ข้อหาล้มเจ้า เลี้ยวขวาเจอมือ ที่มองไม่เห็นข้อหาปฏิวัติคนหน้าฉากและคนหลังฉากกำลัง จะนำพาชาติย้อนไปสู่จุดตั้งต้นแห่งความ วังเวง ไม่ว่าจะ “ล้มเจ้า” หรือ “ล้มรัฐ”.. ประชาชนซวยตลอดศก..เอวัง!!!

ที่มา:สยามธุรกิจออนไลน์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++