ความคิดผู้นำแถวหน้า..ต้องความคิดของ “อดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตร” เป็นความคิดดีเยี่ยม ที่ยั่งยืน
มองการณ์ไกล ไปในอนาคต ด้วยความสุขุม
พิบัติภัยน้ำท่วมครั้งนี้, สนามบินดอนเมือง จมใต้น้ำเป็นบาดาล...อยู่รอดปลอดภัย ก็สนามบินสุวรรณภูมิ
เป็นฝีมือการสร้างทันสมัย เทียบชั้นนานาโลก..ที่ทำให้ “สนามบินสุวรรณภูมิ” รอดวิกฤติจากน้ำท่วมครั้งนี้ เสร็จสรรพ
“ทักษิณ”เป็นผู้นำนักคิด...ไม่รู้ว่าอีกกี่ชาติ “อภิสิทธิ์”?...ถึงจะตามติด ได้สิครับ
+++++++++++++++++++++++
เชื่อมั่นในระบบ
ที่เก่งปากกล้า ไฉน, อดีตนายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จึงต้องหลบ
การไปพบ ให้ปากคำ “พนักงานสอบสวน”..เป็นอีกหนึ่งหนทาง ที่ความยุติธรรม ในคดีสังหารหมู่ประชาชนกลางเมือง จะได้ประจักษ์
แต่นี่มาหลบลงรู เป็นเรื่องที่น่าเกลียดมาก..มาก
ยิ่งตีฝีปาก, ว่ามีการบิดเบือนคดี ที่ปรักปรำ จะให้ตนเองผิด
ไหนบอกเชื่อความยุติธรรม....ไฉนมาพลิกคำ?....ทำเช่นนี้เล่าท่านอภิสิทธิ์
+++++++++++++++++++++++
นกมีขน คนมีพวก
ที่ “บิ๊กแป๊ะ” พล.ต.ท.จักร์ทิพย์ ชัยจินดา อดีตผบช.น. โยกไปนั่งตำแหน่ง “ผบช.ภ.๙.” ได้อย่างสะดวก
นัยว่า, เป็นการต้องการตัว ของ ฝ่ายทหาร ...โดย “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จ่าฝูงทัพบก..ขีดเส้นใต้ “ขอมาเป็นการเฉพาะ”
ถ้าไม่ได้พลังพาวเว่อร์ จาก “บิ๊กตู่” รับประกันซ่อมฟรี.. “บิ๊กแป๊ะ” ไม่มีวันได้เหาะ
ถึงจะหลุดจากสนามแม่เหล็ก เป็นแม่ทัพตำรวจนครบาลที่คุมเมืองหลวงไป...แต่ที่ได้ไปใหญ่คุม “ภาค๙” ก็ดูดี
ย้ายครั้งนี้ดูจะยุ่ง...เล่นเอาหมดสภาพความเป็นดาวรุ่ง?..แต่ยังไงก็ดีกว่านั่งตบยุง ใช่ไหมล่ะพี่
++++++++++++++++++++++++++
คิดเอง..เออเอง
สาวก “แป๊ะลิ้ม” สนธิ ลิ้มทองกุล คิดพล่าม คิดฟุ้งซ่าน แล้วออกมาพูดกวนน้ำให้ขุ่น แบบผักบุ้งโหรงเหรง
เหตุที่เร่งคดี ๙๑ ศพ ..ดึงเอา “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” และ “สุเทพ เทือกสุบรรณ” ไปเป็นจำเลย
เพื่อเร่งออก “พรบ.นิรโทษกรรม” ช่วย “พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร” ให้กลับประเทศไทยอย่างเปิดเผย
คดีที่ดินรัชดา “อดีตนายกฯทักษิณ” ถูกกลั่นแกล้ง โดนรังแกด้วยอำนาจปฏิวัติ ปลายกระบอกปืนทหาร...แต่คดีสังหารประชาชน ถึงอย่างไรก็ “นิรโทษกรรม” ไม่ได้หรอกพี่
เลิกสร้างข้อมูลมั่ว ๆ...แบบปั้นน้ำเป็นตัว?...นัวเนียพันธ์ุนี้ เสียที
++++++++++++++++++++++++++
“สื่อชั่ว...ชั่ว” ลอบกัด
แต่รัฐมนตรีคุมสื่อ “กฤษณา สีหลักษณ์”” กลับยังคุมไม่อยู่
จึงถูกลือสนั่นว่า เป็น “รัฐมนตรีที่จะถูกปลด” !?!
ว่ากันว่าแม้แต่คนแดนไกล....ยังเอ่ยปาก ถ้าจำเป็นก็ปรับตามความเหมาะสม
มีอำนาจ แต่ปล่อยให้ “สื่อโจร” ขย้ำ “รัฐบาลปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อย่างมันปาก มันอารมณ์
มีอำนาจแล้วไม่ใช้...หากโดนเลื่อยเก้าอี้ออกไป?..ว่าใครไม่ได้ ถ้าไม่รีบพัฒนาฝีมือ
คอลัมน์:ตอดนิดตอดหน่อย,บางกอกทูเดย์
///////////////////////////////////////////////////////////////////////
วันศุกร์ที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2554
วันพฤหัสบดีที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2554
คนละเรื่องเดียวกัน !!?
น้ำท่วม..น้ำใจ..ถุงยังชีพ..นักฉกฉวยโอกาส..และ..ศปภ. (รัฐบาล)..กทม...เกมการเมือง..หรือ..คนชานเมืองรื้อคันกั้นน้ำ..ชาวกรุงจัดบิ๊กคลีนนิ่งเดย์..
ล้วนเป็นคนละเรื่องเดียวกัน ที่เวียนมาบรรจบโดยไม่ได้นัดหมาย ตั้งแต่วันน้ำทะลักภาคกลาง จนขณะนี้ “น้องน้ำ” เริ่มคิดถึงบ้านและทยอยไหลสู่แม่น้ำเจ้าพระยา ท่าจีน ก่อนมุ่งหน้าลงใต้สู่ท้องทะเลอ่าวไทย!!!
พระราชกฤษฎีกาขอพระราชทานพระอภัยโทษ..พระราชบัญญัตินิรโทษกรรม..วาระแก้ไขรัฐธรรมนูญ..พาสปอร์ตเล่มแดง “อดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร”..คดีแดง 91 ศพปริศนาถูกรื้อขึ้นมาเป็นกรณีเร่งด่วน
มวลชนคนเสื้อแดงชูธงสนับสนุน..มวลชนคนเสื้อเหลือง เสื้อหลากสี พรรคประชาธิปัตย์ตีธงคัดค้านแต่ก็ไม่ได้ออกตัวแรง..
“นายกฯ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” บอกปัดไม่รู้ไม่ชี้..คนข้างตัว “นายใหญ่” ระบุ ไม่มีรีโมตจาก “คนไกล” สั่งการ แต่ไม่ได้ค้าน.. เสนาบดีเจ้าไอเดียการันตีเป็นการกระทำตามอำนาจหน้าที่รัฐมนตรี..
เรื่องราวชุลมุนทางการเมืองหลังน้ำลดทั้งหมดทั้งมวล ก็ล้วนเป็นคนละเรื่องเดียวกัน ที่ยังดำเนินไปผ่าน “อดีตนายกฯ ทักษิณ” ผู้ไม่ต่างจากแกนกลางในการเคลื่อนแห่งจักรวาลการเมืองไทย
ซีกฝ่ายค้าน ยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจในความล้มเหลวในการ บริหารจัดการน้ำล้มเหลวของ “อินทรีอีสาน-พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก” แต่กระบี่มือหนึ่งอย่าง “นายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ไม่ลงบัญชาการเอง..คะแนนเสียงฝักถั่วผ่านฉลุยแต่แนวโน้มการปรับ ครม.ยังกระหึ่มดังอย่างต่อเนื่อง..
เสนาบดีหลายกระทรวงงัวเงียตื่นขึ้นมาเทกแอ็กชั่นโชว์ผลงานตามนโยบายประชานิยม..รัฐมนตรีหลายคนก็โชว์ผลงานอันเกี่ยวเนื่องกับความดีความชอบส่วนตัวในการเอาใจ “นายใหญ่”..
นั่นมันก็กอปรกับข่าวลือการปรับคณะรัฐมนตรีล็อตเล็กในเดือนมกราคมปีหน้า และปรับรัฐมนตรีคณะใหญ่ในช่วงเดือนพฤษภาคมปีหน้า ที่เผอิญเป็นเดือนเดียวกันกับที่เหล่าเซียนการ เมืองสมาชิกบ้าน 111 ได้รับอิสรภาพทางการเมือง ซึ่งมันก็เป็นคนละเรื่องเดียวกันกับวาระการจัดสรรอำนาจ
หรือแม้กระทั่งกรณี..
“สุพจน์ ทรัพย์ล้อม” อดีตปลัดกระทรวงคมนาคม ถูกโจรขึ้นบ้าน โดยใน ทีแรกมีกระแสข่าวว่าการปล้นครั้งนี้ สามารถหอบเงินไปได้ 200 ล้านบาท..
“ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง” รองนายกรัฐมนตรี หยิบขึ้นเป็นประเด็นแฉฝ่ายค้านกลางสภา ประหนึ่งเป็นเงินที่เกี่ยวเนื่องมาจาก เมกะโปรเจกต์รถไฟฟ้า ที่มีการพาดพิงในเชิงพฤตินัยไปถึง “โสภณ ซารัมย์” อดีต รมว.คมนาคม..
ร้อนถึงอดีต รมว.คมนาคม ต้องออกมาชี้แจงผ่านสื่อว่าไม่ เกี่ยวกับตนเอง พร้อมทั้งขู่ฟ้องกลับ “สารวัตรเหลิม” จนกลายเป็นเรื่องราวใหญ่โต
วันนี้ “อดีตปลัดฯ สุพจน์” ถูกเด้งเข้ากรุ ถูกสารพัดหน่วยงานสอบสวน..
วันนี้ เจ้าพนักงานจับผู้ต้องหาได้มากหน้าหลายตา พร้อมทั้งยึดเงินของกลางได้จำนวนเฉียดๆ 20 ล้านบาท จากเดิมที่เป็นข่าวในทีแรกว่ามีการขนเงินออกจากบ้านอดีตปลัดฯ 200 ล้านบาท..
วันนี้ ด้วยความบังเอิญหรือเผอิญอะไรไม่ทราบ หนึ่งในทีมงานบ้าน 111 แทนที่จะเริ่มเคลื่อนไหววางแผนรีเทิร์นการเมือง กลับเลือกทำตัวโลว์โปรไฟล์ไปเสียดื้อๆ ประหนึ่ง มีคันกั้นน้ำทางการเมืองอะไรบังทางกลับเอาไว้..
และก็เป็นวันนี้อีกเช่นกัน คดีใหญ่ที่เกี่ยวเนื่องกับคนระดับบิ๊กในบ้าน 111 เริ่มถูกขุดคุ้ยขึ้นมาเคียงข่าว หรือเป็นข่าวเล็กๆ ออกมาตามหน้าหนังสือพิมพ์..
มันก็ไม่ทราบว่าเป็นด้วยเหตุผลใด ในยามน้ำลด นิรโทษเริ่มเบ่งบาน ถึงได้มีคดีความที่มิต่างจาก “ตอ” ผุดขึ้นมา บนปริมณฑลการเมืองไทยอย่างมากมาย
หรือว่ามันจะเป็น..คนละเรื่องเดียวกัน???
ถึงบรรทัดนี้ หากศึกษาประวัติศาสตร์ทางการเมืองไทยตั้งแต่ประเทศไทยบังคับใช้รัฐธรรมนูญปี 2540 จนทอดยอดเป็นไฮไลต์ทางการเมืองต่างๆ มากมาย
จะพบว่า บรรยากาศที่ได้เคยลำดับความมาตั้งแต่ต้น หาก ไม่รวมเหตุสุดวิสัยแห่ง “มหาอุทกภัย”..การเคลื่อนแห่งเมืองไทยมันไม่ได้ลี้หายไปจากพิกัดเดิมๆ
หลังอภิวัฒน์ประเทศ 2475 ยังมีการปฏิวัติ รัฐประหาร
หลังยกระดับการเมืองผ่านรัฐธรรมนูญ 2540 อันแข็งแกร่ง ทั่วแผ่น มันก็ได้เกิดเกมการเมืองรูปแบบใหม่ แต่สุดท้ายประเทศ ไทยก็ยังไม่ไปไหน
อนาคตต่อไป ชาติบ้านเมืองจะเป็นเช่นไร จะก้าวผ่านวังวนอันเป็นคนละเรื่องเดียวกันได้หรือไม่???
ปลายทางคงมีคำตอบ เมื่อประชาธิปไตยสุกงอมเต็มที่!!!
ที่มา.สยามธุรกิจ
///////////////////////////////////////////////////
ล้วนเป็นคนละเรื่องเดียวกัน ที่เวียนมาบรรจบโดยไม่ได้นัดหมาย ตั้งแต่วันน้ำทะลักภาคกลาง จนขณะนี้ “น้องน้ำ” เริ่มคิดถึงบ้านและทยอยไหลสู่แม่น้ำเจ้าพระยา ท่าจีน ก่อนมุ่งหน้าลงใต้สู่ท้องทะเลอ่าวไทย!!!
พระราชกฤษฎีกาขอพระราชทานพระอภัยโทษ..พระราชบัญญัตินิรโทษกรรม..วาระแก้ไขรัฐธรรมนูญ..พาสปอร์ตเล่มแดง “อดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร”..คดีแดง 91 ศพปริศนาถูกรื้อขึ้นมาเป็นกรณีเร่งด่วน
มวลชนคนเสื้อแดงชูธงสนับสนุน..มวลชนคนเสื้อเหลือง เสื้อหลากสี พรรคประชาธิปัตย์ตีธงคัดค้านแต่ก็ไม่ได้ออกตัวแรง..
“นายกฯ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” บอกปัดไม่รู้ไม่ชี้..คนข้างตัว “นายใหญ่” ระบุ ไม่มีรีโมตจาก “คนไกล” สั่งการ แต่ไม่ได้ค้าน.. เสนาบดีเจ้าไอเดียการันตีเป็นการกระทำตามอำนาจหน้าที่รัฐมนตรี..
เรื่องราวชุลมุนทางการเมืองหลังน้ำลดทั้งหมดทั้งมวล ก็ล้วนเป็นคนละเรื่องเดียวกัน ที่ยังดำเนินไปผ่าน “อดีตนายกฯ ทักษิณ” ผู้ไม่ต่างจากแกนกลางในการเคลื่อนแห่งจักรวาลการเมืองไทย
ซีกฝ่ายค้าน ยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจในความล้มเหลวในการ บริหารจัดการน้ำล้มเหลวของ “อินทรีอีสาน-พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก” แต่กระบี่มือหนึ่งอย่าง “นายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ไม่ลงบัญชาการเอง..คะแนนเสียงฝักถั่วผ่านฉลุยแต่แนวโน้มการปรับ ครม.ยังกระหึ่มดังอย่างต่อเนื่อง..
เสนาบดีหลายกระทรวงงัวเงียตื่นขึ้นมาเทกแอ็กชั่นโชว์ผลงานตามนโยบายประชานิยม..รัฐมนตรีหลายคนก็โชว์ผลงานอันเกี่ยวเนื่องกับความดีความชอบส่วนตัวในการเอาใจ “นายใหญ่”..
นั่นมันก็กอปรกับข่าวลือการปรับคณะรัฐมนตรีล็อตเล็กในเดือนมกราคมปีหน้า และปรับรัฐมนตรีคณะใหญ่ในช่วงเดือนพฤษภาคมปีหน้า ที่เผอิญเป็นเดือนเดียวกันกับที่เหล่าเซียนการ เมืองสมาชิกบ้าน 111 ได้รับอิสรภาพทางการเมือง ซึ่งมันก็เป็นคนละเรื่องเดียวกันกับวาระการจัดสรรอำนาจ
หรือแม้กระทั่งกรณี..
“สุพจน์ ทรัพย์ล้อม” อดีตปลัดกระทรวงคมนาคม ถูกโจรขึ้นบ้าน โดยใน ทีแรกมีกระแสข่าวว่าการปล้นครั้งนี้ สามารถหอบเงินไปได้ 200 ล้านบาท..
“ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง” รองนายกรัฐมนตรี หยิบขึ้นเป็นประเด็นแฉฝ่ายค้านกลางสภา ประหนึ่งเป็นเงินที่เกี่ยวเนื่องมาจาก เมกะโปรเจกต์รถไฟฟ้า ที่มีการพาดพิงในเชิงพฤตินัยไปถึง “โสภณ ซารัมย์” อดีต รมว.คมนาคม..
ร้อนถึงอดีต รมว.คมนาคม ต้องออกมาชี้แจงผ่านสื่อว่าไม่ เกี่ยวกับตนเอง พร้อมทั้งขู่ฟ้องกลับ “สารวัตรเหลิม” จนกลายเป็นเรื่องราวใหญ่โต
วันนี้ “อดีตปลัดฯ สุพจน์” ถูกเด้งเข้ากรุ ถูกสารพัดหน่วยงานสอบสวน..
วันนี้ เจ้าพนักงานจับผู้ต้องหาได้มากหน้าหลายตา พร้อมทั้งยึดเงินของกลางได้จำนวนเฉียดๆ 20 ล้านบาท จากเดิมที่เป็นข่าวในทีแรกว่ามีการขนเงินออกจากบ้านอดีตปลัดฯ 200 ล้านบาท..
วันนี้ ด้วยความบังเอิญหรือเผอิญอะไรไม่ทราบ หนึ่งในทีมงานบ้าน 111 แทนที่จะเริ่มเคลื่อนไหววางแผนรีเทิร์นการเมือง กลับเลือกทำตัวโลว์โปรไฟล์ไปเสียดื้อๆ ประหนึ่ง มีคันกั้นน้ำทางการเมืองอะไรบังทางกลับเอาไว้..
และก็เป็นวันนี้อีกเช่นกัน คดีใหญ่ที่เกี่ยวเนื่องกับคนระดับบิ๊กในบ้าน 111 เริ่มถูกขุดคุ้ยขึ้นมาเคียงข่าว หรือเป็นข่าวเล็กๆ ออกมาตามหน้าหนังสือพิมพ์..
มันก็ไม่ทราบว่าเป็นด้วยเหตุผลใด ในยามน้ำลด นิรโทษเริ่มเบ่งบาน ถึงได้มีคดีความที่มิต่างจาก “ตอ” ผุดขึ้นมา บนปริมณฑลการเมืองไทยอย่างมากมาย
หรือว่ามันจะเป็น..คนละเรื่องเดียวกัน???
ถึงบรรทัดนี้ หากศึกษาประวัติศาสตร์ทางการเมืองไทยตั้งแต่ประเทศไทยบังคับใช้รัฐธรรมนูญปี 2540 จนทอดยอดเป็นไฮไลต์ทางการเมืองต่างๆ มากมาย
จะพบว่า บรรยากาศที่ได้เคยลำดับความมาตั้งแต่ต้น หาก ไม่รวมเหตุสุดวิสัยแห่ง “มหาอุทกภัย”..การเคลื่อนแห่งเมืองไทยมันไม่ได้ลี้หายไปจากพิกัดเดิมๆ
หลังอภิวัฒน์ประเทศ 2475 ยังมีการปฏิวัติ รัฐประหาร
หลังยกระดับการเมืองผ่านรัฐธรรมนูญ 2540 อันแข็งแกร่ง ทั่วแผ่น มันก็ได้เกิดเกมการเมืองรูปแบบใหม่ แต่สุดท้ายประเทศ ไทยก็ยังไม่ไปไหน
อนาคตต่อไป ชาติบ้านเมืองจะเป็นเช่นไร จะก้าวผ่านวังวนอันเป็นคนละเรื่องเดียวกันได้หรือไม่???
ปลายทางคงมีคำตอบ เมื่อประชาธิปไตยสุกงอมเต็มที่!!!
ที่มา.สยามธุรกิจ
///////////////////////////////////////////////////
ทางสองแพร่ง.กฎหมายแก้กรรม
บนความเคลื่อนไหวเพื่อผลักดันให้มีการ “แก้ไขรัฐธรรมนูญ” ซึ่งหลายฝ่ายเชื่อมั่นว่าจะเป็นหนทางคลี่คลายวิกฤติบ้านเมือง..! ที่จมปลักอยู่ในวังวนความขัดแย้งมายาวนาน
นั่นย่อมสะท้อนอีกบริบทในการรุกคืบแก้รัฐธรรมนูญ จะเป็นกลไกสู่ “ความปรองดอง...สร้างสมานฉันท์” ได้หรือไม่!?!
เช่นว่านี้...ปมแก้รัฐธรรมนูญจึงถูกนำมาจุดขึ้นอีกครั้ง!! หลังการเดินเกมอย่างจริงจังจากซีกการเมือง มีทั้งองค์กรเครือข่ายประชาธิปไตย และการเคลื่อน ไหวจาก “ภาคประชาชน” ที่คาดหวังถึง “กลไก” อันจะช่วยแก้ปัญหาบ้านเมือง ตลอดจนการพัฒนาประชาธิปไตยในอนาคต
เมื่อสังเคราะห์ความเป็นไปได้ กับการยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ที่ครั้งนี้คง มิใช่เพียงการระดมมวลชนมาเล่นการเมือง ข้างถนน เพื่อโต้กันไปมาว่ารัฐธรรมนูญฉบับ 2540 หรือ 2550 ฉบับไหนดีกว่ากัน... หากแต่เป็น “สนามประชันแนวคิด... อุดมการณ์” ของภาคประชาชน และพิสูจน์กึ๋นของรัฐนาวา “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” ที่เคยลั่นแนวคิด “ปฏิรูปการเมือง!” ด้วยกระบวนการตั้งสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ หรือ “ส.ส.ร.3” เข้ามาสะสางปมปัญหานี้
“ธิดา ถาวรเศรษฐ์” รักษาการประธาน “นปช.แดงทั้งแผ่นดิน” ย้ำหัวตะปูว่า รัฐบาลจำเป็นต้องแก้รัฐธรรมนูญให้เร็วที่สุดเพื่อประโยชน์ของคนไทยทั้ง 67 ล้านคน ซึ่งทางกลุ่ม นปช.ได้วางยุทธศาสตร์เอาไว้ตั้งแต่ปี 2552 แล้วว่าต้องล้มเลิกรัฐธรรมนูญปี 2550 ให้ได้ เพื่อยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่ อันถือเป็นก้าวแรกใน การเปลี่ยนแปลง และนำไปสู่ระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริง...
ขณะที่การเคลื่อนไหวของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) เกี่ยวกับปมแก้รัฐธรรมนูญนั้น “สนธิ ลิ้มทองกุล” แกนนำ พธม. ชี้ว่า หากรัฐบาลอยากจะแก้ก็แก้ไป แต่ถ้าแก้มาตราใดก็ตาม ที่เป็นการยกเลิก ล้มล้างความผิดเดิม อันนี้ จะไม่ยอมเด็ดขาด ต้องเจอกัน อะไรก็ตาม ที่เป็นการทำลายหลักนิติรัฐคงยอมไม่ได้
สำหรับการเคลื่อนไหวจากเครือข่าย ภาคประชาชน “กฤษณะ พรมบึงรำ” แกนนำกลุ่มรักเชียงใหม่ 51 ได้ออกมาทวง คำมั่นจากรัฐบาลพรรคเพื่อไทย ที่เคยให้สัญญากับประชาชนไว้ตอนหาเสียงเลือกตั้ง ว่า...จะมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับปี 2550 และยังได้มีการแถลงนโยบายดังกล่าวกับรัฐสภา แต่ถึงตอนนี้เวลาผ่านไปกว่า 3 เดือน แล้ว ยังไม่เห็นทีท่าหรือการแสดงออกจะแก้ไขรัฐธรรมนูญแต่อย่างใด มีเพียงแต่การออกมาเดินหน้าเรื่องพระราชกฤษฎีกา ขอพระราชทานอภัยโทษ หรือแม้แต่ พ.ร.บ.นิรโทษกรรม
“กฎหมายทั้งสองฉบับ ไม่ใช่การแก้ไขปัญหาที่ถูกต้อง ต้นเหตุของปัญหาจริงๆ คือรัฐธรรมนูญปี 2550 ที่จัดทำโดย คณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาต (คมช.) เป็น พิษต่อระบอบประชาธิปไตย เราต้องแก้ไข ที่ต้นตอของปัญหา ถึงเวลาแล้วที่จะต้องมีการแก้ไข จะมีการตั้งคณะกรรมการอะไร ขึ้นมาก็ว่ากันไป แต่ต้องไม่ใช่การออก พ.ร.บ.หรือ พ.ร.ฎ.ออกมาเช่นนี้ ไม่อย่างนั้นก็ต้องออกกันอีกไม่รู้จักจบสิ้น เพราะแก้ไขปัญหาไม่ได้”...!!
นับเป็นทางสองแพร่ง...!!! สะท้อน ทรรศนะจากภาคพลเมืองหลากสีเสื้อ แม้จะคิดต่างกัน หากดำเนินไปตาม “กลไกประชาธิปไตย” แล้วนั้น ไม่ว่า “กฎหมายแก้กรรม” จะมีบทสรุปเช่นไร... แต่นั่นคือเจตนารมณ์ของ “รัฐธรรมนูญ ฉบับประชาชน” อย่างแท้จริง
ที่มา.สยามธุรกิจ
////////////////////////////////////////////////////////
นั่นย่อมสะท้อนอีกบริบทในการรุกคืบแก้รัฐธรรมนูญ จะเป็นกลไกสู่ “ความปรองดอง...สร้างสมานฉันท์” ได้หรือไม่!?!
เช่นว่านี้...ปมแก้รัฐธรรมนูญจึงถูกนำมาจุดขึ้นอีกครั้ง!! หลังการเดินเกมอย่างจริงจังจากซีกการเมือง มีทั้งองค์กรเครือข่ายประชาธิปไตย และการเคลื่อน ไหวจาก “ภาคประชาชน” ที่คาดหวังถึง “กลไก” อันจะช่วยแก้ปัญหาบ้านเมือง ตลอดจนการพัฒนาประชาธิปไตยในอนาคต
เมื่อสังเคราะห์ความเป็นไปได้ กับการยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ที่ครั้งนี้คง มิใช่เพียงการระดมมวลชนมาเล่นการเมือง ข้างถนน เพื่อโต้กันไปมาว่ารัฐธรรมนูญฉบับ 2540 หรือ 2550 ฉบับไหนดีกว่ากัน... หากแต่เป็น “สนามประชันแนวคิด... อุดมการณ์” ของภาคประชาชน และพิสูจน์กึ๋นของรัฐนาวา “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” ที่เคยลั่นแนวคิด “ปฏิรูปการเมือง!” ด้วยกระบวนการตั้งสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ หรือ “ส.ส.ร.3” เข้ามาสะสางปมปัญหานี้
“ธิดา ถาวรเศรษฐ์” รักษาการประธาน “นปช.แดงทั้งแผ่นดิน” ย้ำหัวตะปูว่า รัฐบาลจำเป็นต้องแก้รัฐธรรมนูญให้เร็วที่สุดเพื่อประโยชน์ของคนไทยทั้ง 67 ล้านคน ซึ่งทางกลุ่ม นปช.ได้วางยุทธศาสตร์เอาไว้ตั้งแต่ปี 2552 แล้วว่าต้องล้มเลิกรัฐธรรมนูญปี 2550 ให้ได้ เพื่อยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่ อันถือเป็นก้าวแรกใน การเปลี่ยนแปลง และนำไปสู่ระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริง...
ขณะที่การเคลื่อนไหวของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) เกี่ยวกับปมแก้รัฐธรรมนูญนั้น “สนธิ ลิ้มทองกุล” แกนนำ พธม. ชี้ว่า หากรัฐบาลอยากจะแก้ก็แก้ไป แต่ถ้าแก้มาตราใดก็ตาม ที่เป็นการยกเลิก ล้มล้างความผิดเดิม อันนี้ จะไม่ยอมเด็ดขาด ต้องเจอกัน อะไรก็ตาม ที่เป็นการทำลายหลักนิติรัฐคงยอมไม่ได้
สำหรับการเคลื่อนไหวจากเครือข่าย ภาคประชาชน “กฤษณะ พรมบึงรำ” แกนนำกลุ่มรักเชียงใหม่ 51 ได้ออกมาทวง คำมั่นจากรัฐบาลพรรคเพื่อไทย ที่เคยให้สัญญากับประชาชนไว้ตอนหาเสียงเลือกตั้ง ว่า...จะมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับปี 2550 และยังได้มีการแถลงนโยบายดังกล่าวกับรัฐสภา แต่ถึงตอนนี้เวลาผ่านไปกว่า 3 เดือน แล้ว ยังไม่เห็นทีท่าหรือการแสดงออกจะแก้ไขรัฐธรรมนูญแต่อย่างใด มีเพียงแต่การออกมาเดินหน้าเรื่องพระราชกฤษฎีกา ขอพระราชทานอภัยโทษ หรือแม้แต่ พ.ร.บ.นิรโทษกรรม
“กฎหมายทั้งสองฉบับ ไม่ใช่การแก้ไขปัญหาที่ถูกต้อง ต้นเหตุของปัญหาจริงๆ คือรัฐธรรมนูญปี 2550 ที่จัดทำโดย คณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาต (คมช.) เป็น พิษต่อระบอบประชาธิปไตย เราต้องแก้ไข ที่ต้นตอของปัญหา ถึงเวลาแล้วที่จะต้องมีการแก้ไข จะมีการตั้งคณะกรรมการอะไร ขึ้นมาก็ว่ากันไป แต่ต้องไม่ใช่การออก พ.ร.บ.หรือ พ.ร.ฎ.ออกมาเช่นนี้ ไม่อย่างนั้นก็ต้องออกกันอีกไม่รู้จักจบสิ้น เพราะแก้ไขปัญหาไม่ได้”...!!
นับเป็นทางสองแพร่ง...!!! สะท้อน ทรรศนะจากภาคพลเมืองหลากสีเสื้อ แม้จะคิดต่างกัน หากดำเนินไปตาม “กลไกประชาธิปไตย” แล้วนั้น ไม่ว่า “กฎหมายแก้กรรม” จะมีบทสรุปเช่นไร... แต่นั่นคือเจตนารมณ์ของ “รัฐธรรมนูญ ฉบับประชาชน” อย่างแท้จริง
ที่มา.สยามธุรกิจ
////////////////////////////////////////////////////////
วันพุธที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2554
แสวงหาสันติภาพ : อาเซียนกับ กรณีพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา !!?
กรณีพิพาทชายแดนระหว่างไทยกับกัมพูชาในช่วงต้นปีที่ผ่านมาท้าทายอาเซียนให้ต้องทำโวหารในเรื่องการสร้างสันติภาพและความมั่นคงให้กลายเป็นจริง
การจะทำเช่นนั้นได้จำเป็นต้องมีการดำเนินนโยบายทางการทูตที่จริงจังมากขึ้น เพื่อแก้ไขความขัดแย้งซึ่งยังไม่ยุติ
--------------------------------
จาการ์ตา/บรัสเซลล์, :อินเตอร์เนชั่นแนลไครซิสกรุ๊ป www.crisisgroup.org ได้ออกรายงาน "แสวงหาสันติภาพ: อาเซียนกับกรณีพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา" (Waging Peace: ASEAN and the Thai-Cambodian Border Conflict) เป็นรายงานฉบับล่าสุดจากอินเตอร์เนชั่นแนลไครซิสกรุ๊ป
วิเคราะห์ถึงการเมืองของข้อพิพาทไทย-กัมพูชาและบทบาทของอาเซียน กัมพูชาดำเนินการขอขึ้นทะเบียนปราสาทเขาพระวิหารเป็นมรดกโลก เมื่อปี 2549 ในช่วงที่ประเทศไทยเผชิญความขัดแย้งทางการเมืองหลังการรัฐประหารเพื่อโค่นล้มรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ปี 2551 กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) ใช้ประเด็นนี้ปลุกกระแสชาตินิยมเพื่อต่อต้านรัฐบาลที่มีอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร เป็นผู้สนับสนุน การเคลื่อนไหวดังกล่าวส่งผลให้การเจรจาเรื่องเขตแดนหยุดชะงัก และนำไปสู่การปะทะทางทหาร ที่สร้างความสูญเสียต่อชีวิตและทรัพย์สิน
อินโดนีเซียในฐานะประธานอาเซียน ได้เข้ามามีบทบาทภายหลังการปะทะตามแนวชายแดนในช่วงต้นปี 2554 ซึ่งส่งผลให้ทหารและประชาชนหลายสิบคนเสียชีวิตและประชาชนหลายพันคนต้องอพยพออกจากพื้นที่ แม้ว่าศาลยุติธรรมระหว่างประเทศได้ออกคำสั่งกำหนดมาตรการชั่วคราวในเดือนกรกฎาคม แต่ผู้สังเกตการณ์ยังไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปปฎิบัติหน้าที่
บทบาทของอาเซียนในเรื่องความขัดแย้งกรณีเขาพระวิหาร คือการพยายามยุติการสู้รบ และเริ่มต้นการเจรจาครั้งใหม่ แม้ว่าการโจมตีในบริเวณชายแดนระหว่างไทยและกัมพูชาสงบลงตั้งแต่เดือนพฤษภาคม แต่สถานการณ์ยังคงมีความเปราะบาง”, รุ่งรวี เฉลิมศรีภิญโญรัช นักวิเคราะห์โครงการเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของอินเตอร์เนชั่นแนลไครซิสกรุ๊ปกล่าว “ตราบเท่าที่ยังไม่มีการถอนทหาร ผู้สังเกตการณ์อิสระไม่สามารถเข้าไปยังพื้นที่พิพาท และการเจรจากันอย่างสันติยังไม่เกิดขึ้น ต้องถือว่ายังมีความเสี่ยงที่จะเกิดการปะทะรอบใหม่
ถึงแม้ในปี 2505 ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศได้ตัดสิน ให้ปราสาทเขาพระวิหารเป็นของกัมพูชา แต่ประเทศไทยยังคงอ้างสิทธิเหนือพื้นที่รอบปราสาท เนื่องจากว่ายังไม่มีการปักปันชายแดนอย่างชัดเจน ความขัดแย้งซึ่งสงบลงนานแล้วกลับปะทุขึ้นอีกครั้งภายหลังจากที่กลุ่มพธม. กล่าวหารัฐบาลที่อดีตนายกฯ ทักษิณ สนับสนุนว่าขายชาติเพราะให้การสนับสนุนกัมพูชาในการขอขึ้นทะเบียนปราสาทเขาพระวิหาร และเมื่อการดำเนินการดังกล่าวประสบผลสำเร็จในปี 2551 การปะทะบริเวณแนวชายแดนก็เริ่มขึ้น พร้อมกับความตึงเครียดที่เพิ่มมากขึ้น อันเป็นผลมาจากความขัดแย้งทางการเมืองภายในของฝ่ายไทย
หลังจากเกิดการปะทะอย่างรุนแรงเป็นครั้งแรกในช่วงปี 2554 กัมพูชาได้เสนอเรื่องดังกล่าวเข้าสู่การพิจารณาของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ซึ่งต่อมามีมติให้อาเซียนทำหน้าที่ผลักดันการแก้ไขปัญหา โดยที่ประชุมอาเซียนได้พิจารณาที่จะส่งคณะผู้สังเกตการณ์ชาวอินโดนีเซียเข้าไปยังพื้นที่พิพาท โดยไทยและกัมพูชาให้การสนับสนุน แต่ความริเริ่มดังกล่าวได้รับการต่อต้านจากกองทัพไทยซึ่งมองว่าเป็นการกระทำที่ละเมิดอธิปไตยไทย
ที่ผ่านมา การหยุดยิงมักเป็นเพียงข้อตกลงปากเปล่าและมีการละเมิดอยู่บ่อยครั้ง สันติภาพคงไม่สามารถเกิดขึ้นได้อย่างแท้จริงจนกว่าจะมีการตกลงหยุดยิงที่รอบด้านและเป็นลายลักษณ์อักษร รวมทั้งผู้สังเกตการณ์ต้องได้รับอนุญาตให้เข้าตรวจสอบการถอนทหารตามที่อาเซียนริเริ่มและศาลยุติธรรมระหว่างประเทศได้มีคำสั่งไว้ นอกจากนี้ กรณีพิพาทที่เกิดขึ้นยังแสดงให้เห็นว่าอาเซียนจำเป็นต้องเตรียมพร้อมที่จะดำเนินการอย่างเข้มแข็งและฉับไวในการป้องกันการสู้รบที่อาจเกิดขึ้นระหว่างประเทศสมาชิก
ในการระงับกรณีพิพาทระหว่างไทยกับกัมพูชา อาเซียนภายใต้การนำของอินโดนีเซีย ได้วางแนวทางเพื่อจัดการปัญหาที่จะเกิดขึ้นในอนาคต” จิม เดลลา-จิอาโคม่า ผู้อำนวยการโครงการเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของอินเตอร์เนชั่นแนลไครซิสกรุ๊ปกล่าว “แต่ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นถือเป็นความท้าทายที่ยังไม่จบสิ้น และหากอาเซียนต้องการสร้างความมั่นคงให้เกิดขึ้นในภูมิภาค อาเซียนก็ต้องทำให้พื้นที่ชายแดนที่เคยมีการสู้รบเกิดสันติภาพที่มั่นคงถาวร
ที่มา.กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
การบินไทยเล็งฟ้องการท่าฯ ปล่อยท่วมสูญรายได้ 3 พันล้าน ส่อ งดโบนัส-ขึ้นเงินเดือน-ปันผล !!?
ปิยสวัสดิ์žชี้น้ำท่วมใหญ่กระทบรายได้ไม่ต่ำกว่า 3 พันล้านบาท เหตุนักท่องเที่ยวลด 50% คาดงดจ่ายโบนัส ขึ้นเงินเดือน ปันผล แต่ชดเชยให้พนักงานท่วมรายละไม่เกิน 1 แสนบาท ระบุตามหลักการเจ้าของสถานที่ควรรับผิดชอบ
นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยภายหลังการเป็นประธานการเปิดทำการฐานปฏิบัติการฝ่ายช่าง และการทำบิ๊กคลีนนิ่งเดย์ที่สนามบินดอนเมืองว่า จากเหตุการณ์น้ำท่วมสนามบินใหญ่นั้นคาดว่าจะส่งผลกระทบต่อรายได้ในไตรมาส 4 ของการบินไทยไม่ต่ำกว่า 3,000 ล้านบาท เนื่องจากนักท่องเที่ยวต่างประเทศโดยเฉพาะในเอเชียลดลงเหลือ 40-50% ทั้่งที่เป็นช่วงฤดูกาลท่องเที่ยว คาดว่าอาจส่งผลกระทบต่อกำไรของบริษัทในปีนี้อาจไม่มีกำไรก็ได้ คงจะทำให้การบินไทยต้องงดจ่ายโบนัส ขึ้นเงินเดือนและเงินปันผล
นายปิยสวัสดิ์กล่าวว่า การบินไทยต้องจ่ายชดเชยน้ำท่วมให้พนักงานตามเงื่อนไขของบริษัทคือรายละไม่เกิน 100,000 บาท หรือไม่เกินเงินเดือนของพนักงาน คาดว่าพนักงานจะได้รับผลกระทบประมาณ 10,000 คนจากทั้งหมด 25,000 คน ส่วนความเสียหายเกิดจากน้ำท่วมสนามบินจนข้าวของของการบิน ไทยเสียหายนั้นจะเรียกค่าเยียวยาจากรัฐบาลหรือไม่ยังไม่ทราบ แต่ตามหลักการแล้วเจ้าของสถานที่น่าจะต้องรับผิดชอบ เพราะปล่อยให้น้ำท่วมในพื้นที่ ในส่วนการซ่อมเครื่องบินและปรับปรุงที่นั่งนั้นเดิมปีนี้จะเสร็จทั้งหมด 7 ลำ จากจำนวนปรับปรุง 20 ลำ แต่ปรากฏว่าทำได้เพียง 4 ลำ ที่เหลือคงต้องให้แล้วเสร็จทั้งหมดภายในปี 2555 ทำให้การบินไทยสูญเสียโอกาสทางรายได้ ส่วนปีหน้านั้นกำลังพิจารณาว่าจะออกหุ้นกู้เท่าไหร่ เนื่องจากต้องจ่ายค่าเครื่องบินจำนวน 7 ลำ แบ่งเป็น แอร์บัส เอ 380 จำนวน 3 ลำและแอร์บัส เอ 330 จำนวน 4 ลำ วงเงินรวม 30,000 ล้านบาท
เรืออากาศเอกมนตรี จำเรียง รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ฝ่ายช่าง บริษัท การบินไทย กล่าวว่า การบินไทยได้ทำประกันภัยน้ำท่วมที่ดอนเมืองวงเงินประมาณ 2,100 ล้านบาท มีบริษัท กรุงเทพประกันภัย และบริษัททิพยประกันภัยเป็นแกนนำ วงเงินดังกล่าวแบ่งเป็นอาคาร 2 อาคารและแฮงเกอร์หรือโรงซ่อมอากาศยาน รวม 5 แฮงเกอร์ ล่าสุดทางบริษัทได้เข้ามาดูแลไม่น่าจะมีปัญหา วงเงินเอาประกันดังกล่าวไม่รวมในส่วนของตัวเครื่องบินรอขายจำนวน 2 ลำจอดทิ้งไว้ที่สนามบิน รวมทั้งเครื่องบินอยู่ในโรงซ่อม ในส่วนนี้มีประกันไว้ต่างหากส่วนวงเงินนั้นขึ้นอยู่กับสภาพของเครื่องบินเป็นหลัก อย่างไรก็ตาม จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นส่งผลให้การปรับปรุงเครื่องบินทั้งในส่วนของที่นั่งผู้โดยสารและเครื่องบินขนส่งสินค้าต้องล่าช้าไปอย่างน้อย 1 เดือน
สำหรับเครื่องบิน 2 ลำที่จอดไว้ในบริเวณสนามบินเป็นเครื่องบินปลดระวาง อยู่ระหว่างการประมูลนั้นไม่ได้รับความเสียหาย เพราะได้ใช้พลาสติกห่อหุ้มและป้องกันไว้แล้ว และผู้ยื่นประมูลได้มาตรวจสอบแล้วทุกฝ่ายก็ไม่ได้ว่าอะไร คาดว่าจะสรุปได้ในเร็วๆ นี้ว่าใครเป็นผู้ชนะการประมูลŽ
อนึ่ง สนามบินดอนเมืองอยู่ภายใต้การบริหารงานของการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทยหรือ ทอท.
ที่มา: มติชนออนไลน์
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยภายหลังการเป็นประธานการเปิดทำการฐานปฏิบัติการฝ่ายช่าง และการทำบิ๊กคลีนนิ่งเดย์ที่สนามบินดอนเมืองว่า จากเหตุการณ์น้ำท่วมสนามบินใหญ่นั้นคาดว่าจะส่งผลกระทบต่อรายได้ในไตรมาส 4 ของการบินไทยไม่ต่ำกว่า 3,000 ล้านบาท เนื่องจากนักท่องเที่ยวต่างประเทศโดยเฉพาะในเอเชียลดลงเหลือ 40-50% ทั้่งที่เป็นช่วงฤดูกาลท่องเที่ยว คาดว่าอาจส่งผลกระทบต่อกำไรของบริษัทในปีนี้อาจไม่มีกำไรก็ได้ คงจะทำให้การบินไทยต้องงดจ่ายโบนัส ขึ้นเงินเดือนและเงินปันผล
นายปิยสวัสดิ์กล่าวว่า การบินไทยต้องจ่ายชดเชยน้ำท่วมให้พนักงานตามเงื่อนไขของบริษัทคือรายละไม่เกิน 100,000 บาท หรือไม่เกินเงินเดือนของพนักงาน คาดว่าพนักงานจะได้รับผลกระทบประมาณ 10,000 คนจากทั้งหมด 25,000 คน ส่วนความเสียหายเกิดจากน้ำท่วมสนามบินจนข้าวของของการบิน ไทยเสียหายนั้นจะเรียกค่าเยียวยาจากรัฐบาลหรือไม่ยังไม่ทราบ แต่ตามหลักการแล้วเจ้าของสถานที่น่าจะต้องรับผิดชอบ เพราะปล่อยให้น้ำท่วมในพื้นที่ ในส่วนการซ่อมเครื่องบินและปรับปรุงที่นั่งนั้นเดิมปีนี้จะเสร็จทั้งหมด 7 ลำ จากจำนวนปรับปรุง 20 ลำ แต่ปรากฏว่าทำได้เพียง 4 ลำ ที่เหลือคงต้องให้แล้วเสร็จทั้งหมดภายในปี 2555 ทำให้การบินไทยสูญเสียโอกาสทางรายได้ ส่วนปีหน้านั้นกำลังพิจารณาว่าจะออกหุ้นกู้เท่าไหร่ เนื่องจากต้องจ่ายค่าเครื่องบินจำนวน 7 ลำ แบ่งเป็น แอร์บัส เอ 380 จำนวน 3 ลำและแอร์บัส เอ 330 จำนวน 4 ลำ วงเงินรวม 30,000 ล้านบาท
เรืออากาศเอกมนตรี จำเรียง รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ฝ่ายช่าง บริษัท การบินไทย กล่าวว่า การบินไทยได้ทำประกันภัยน้ำท่วมที่ดอนเมืองวงเงินประมาณ 2,100 ล้านบาท มีบริษัท กรุงเทพประกันภัย และบริษัททิพยประกันภัยเป็นแกนนำ วงเงินดังกล่าวแบ่งเป็นอาคาร 2 อาคารและแฮงเกอร์หรือโรงซ่อมอากาศยาน รวม 5 แฮงเกอร์ ล่าสุดทางบริษัทได้เข้ามาดูแลไม่น่าจะมีปัญหา วงเงินเอาประกันดังกล่าวไม่รวมในส่วนของตัวเครื่องบินรอขายจำนวน 2 ลำจอดทิ้งไว้ที่สนามบิน รวมทั้งเครื่องบินอยู่ในโรงซ่อม ในส่วนนี้มีประกันไว้ต่างหากส่วนวงเงินนั้นขึ้นอยู่กับสภาพของเครื่องบินเป็นหลัก อย่างไรก็ตาม จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นส่งผลให้การปรับปรุงเครื่องบินทั้งในส่วนของที่นั่งผู้โดยสารและเครื่องบินขนส่งสินค้าต้องล่าช้าไปอย่างน้อย 1 เดือน
สำหรับเครื่องบิน 2 ลำที่จอดไว้ในบริเวณสนามบินเป็นเครื่องบินปลดระวาง อยู่ระหว่างการประมูลนั้นไม่ได้รับความเสียหาย เพราะได้ใช้พลาสติกห่อหุ้มและป้องกันไว้แล้ว และผู้ยื่นประมูลได้มาตรวจสอบแล้วทุกฝ่ายก็ไม่ได้ว่าอะไร คาดว่าจะสรุปได้ในเร็วๆ นี้ว่าใครเป็นผู้ชนะการประมูลŽ
อนึ่ง สนามบินดอนเมืองอยู่ภายใต้การบริหารงานของการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทยหรือ ทอท.
ที่มา: มติชนออนไลน์
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
วันอังคารที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2554
รัฐบาลสหรัฐ หนักใจ กับการตัดสินคดี อากง...!!?
Darragh Paradiso โฆษกกระทรวงต่างประเทศสหรัฐฝ่ายเอเชียตะวันออก เผย รัฐบาลสหรัฐรู้สึก “หนักใจ” ต่อการตัดสินคดีของ ‘อำพล’ ที่ไม่สอดคล้องกับมาตรฐานสิทธิมนุษยชน ในขณะที่องค์กรสิทธิ ‘ฮิวแมนไรท์ วอทช์’ เสนอให้ไทยแก้ไขกฎหมายอาญามาตรา 112 พร้อมเปิดเผยบุคคลที่ถูกดำเนินคดีหมิ่นฯ- พ.ร.บ. คอมพ์อย่างโปร่งใสต่อสาธารณะ
โฆษกกระทรวงต่างประเทศสหรัฐฝ่ายเอเชียตะวันออก Darragh Paradiso ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวเอพีว่า สหรัฐรู้สึก “หนักใจ” กับการตัดสินของศาลในคดีของนายอำพล หรือ ‘อากง’ ที่ถูกตัดสินจำคุกเป็นเวลา 20 ปี ในข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพและละเมิด พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์
พาราดิโซให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวเอพีว่า รัฐบาลสหรัฐมีความเคารพยำเกรงต่อสถาบันกษัตริย์ไทยอย่างที่สุด อย่างไรก็ตามเธอกล่าวว่า สหรัฐอเมริการู้สึก “หนักใจ” (troubled) กับการตัดสินคดีของศาลไทยเมื่อเร็วๆ นี้ ในคดีของนายอำพล ซึ่งไม่สอดคล้อง (not consistent) กับหลักสิทธิมนุษยชนสากลด้านเสรีภาพในการแสดงออก
ทั้งนี้ อำพล ชายไทย-จีน อายุ 61 ปี ถูกตัดสินจำคุกเป็นเวลา 20 ปี เมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายนที่ผ่านมา เนื่องจากศาลตัดสินให้มีความผิดจริงจากการส่งข้อความทางโทรศัพท์มือถือจำนวน 4 ข้อความซึ่งมีเนื้อหาหมิ่นเบื้องสูง ไปยังสมเกียรติ ครองวัฒนสุข เลขาฯ ของอดีตนายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะในเดือนพฤษภาคม ปี 2553
ในขณะที่องค์กรสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ ‘ฮิวแมนไรท์ วอทช์’ ได้ออกแถลงการณ์เมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมาต่อคดีของนายอำพล โดยเรียกร้องรัฐบาลไทยแก้ไขกฎหมายหมายอาญามาตรา 112 ให้สอดคล้องกับพันธะผูกพันของรัฐบาลไทยด้านสิทธิมนุษยชนที่มีต่อสหประชาชาติ และจำกัดการยื่นฟ้องไม่ให้ใครก็ได้สามารถกล่าวหาได้ เนื่องจากฮิวแมนไรท์ วอทช์มองว่ากฎหมายหมิ่นฯ ถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองอย่างแพร่หลาย อีกทั้งเจ้าหน้าที่รัฐ ทั้งตำรวจ ศาล และเจ้าหน้าที่เองก็ไม่กล้าปฏิเสธการรับฟ้อง เพราะเกรงว่าจะถูกกล่าวหาว่าไม่จงรักภักดี
นอกจากนี้ ฮิวแมนไรท์ วอทช์ ยังเรียกร้องให้รัฐบาลไทยเปิดเผยรายชื่อบุคคลที่ถูกดำเนินคดีและจับกุมด้วยกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพและ พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ทั้งหมด รวมถึงเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับสถิติการยื่นฟ้องในคดีหมิ่นฯ ทั้งที่ยื่นฟ้องโดยปัจเจกบุคคลและเจ้าหน้ารัฐ เนื่องจากปัจจุบันยังไม่มีการเปิดเผยข้อมูลที่ชัดเจนต่อสาธารณะเกี่ยวกับคดีดังกล่าว
แบรด อดัมส์ ผู้อำนวยการฮิวแมนไรท์ วอทช์ ฝ่ายเอเชียกล่าวว่า การมัดคอประชาชนด้านเสรีภาพในการแสดงออก ถูกกระทำในนามของการพิทักษ์ไว้ซึ่งสถาบันกษัตริย์
การบังคับใช้ที่รุนแรงของกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ส่งผลกระทบอย่างเลวร้ายต่อเสรีภาพในการแสดงออกในประเทศไทย” อดัมส์กล่าว “รัฐบาลต้องเปิดการพูดคุยเรื่องนี้อย่างกว้างขวางเพื่อแก้ไขกฎหมายดังกล่าว และทำให้แน่ใจว่ากฎหมายหมิ่นฯ จะสอดคล้องกับพันธะผูกพันของไทยที่มีต่อหลักสิทธิมนุษยชนสากล
ที่มา.ประชาไท
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
โฆษกกระทรวงต่างประเทศสหรัฐฝ่ายเอเชียตะวันออก Darragh Paradiso ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวเอพีว่า สหรัฐรู้สึก “หนักใจ” กับการตัดสินของศาลในคดีของนายอำพล หรือ ‘อากง’ ที่ถูกตัดสินจำคุกเป็นเวลา 20 ปี ในข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพและละเมิด พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์
พาราดิโซให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวเอพีว่า รัฐบาลสหรัฐมีความเคารพยำเกรงต่อสถาบันกษัตริย์ไทยอย่างที่สุด อย่างไรก็ตามเธอกล่าวว่า สหรัฐอเมริการู้สึก “หนักใจ” (troubled) กับการตัดสินคดีของศาลไทยเมื่อเร็วๆ นี้ ในคดีของนายอำพล ซึ่งไม่สอดคล้อง (not consistent) กับหลักสิทธิมนุษยชนสากลด้านเสรีภาพในการแสดงออก
ทั้งนี้ อำพล ชายไทย-จีน อายุ 61 ปี ถูกตัดสินจำคุกเป็นเวลา 20 ปี เมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายนที่ผ่านมา เนื่องจากศาลตัดสินให้มีความผิดจริงจากการส่งข้อความทางโทรศัพท์มือถือจำนวน 4 ข้อความซึ่งมีเนื้อหาหมิ่นเบื้องสูง ไปยังสมเกียรติ ครองวัฒนสุข เลขาฯ ของอดีตนายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะในเดือนพฤษภาคม ปี 2553
ในขณะที่องค์กรสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ ‘ฮิวแมนไรท์ วอทช์’ ได้ออกแถลงการณ์เมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมาต่อคดีของนายอำพล โดยเรียกร้องรัฐบาลไทยแก้ไขกฎหมายหมายอาญามาตรา 112 ให้สอดคล้องกับพันธะผูกพันของรัฐบาลไทยด้านสิทธิมนุษยชนที่มีต่อสหประชาชาติ และจำกัดการยื่นฟ้องไม่ให้ใครก็ได้สามารถกล่าวหาได้ เนื่องจากฮิวแมนไรท์ วอทช์มองว่ากฎหมายหมิ่นฯ ถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองอย่างแพร่หลาย อีกทั้งเจ้าหน้าที่รัฐ ทั้งตำรวจ ศาล และเจ้าหน้าที่เองก็ไม่กล้าปฏิเสธการรับฟ้อง เพราะเกรงว่าจะถูกกล่าวหาว่าไม่จงรักภักดี
นอกจากนี้ ฮิวแมนไรท์ วอทช์ ยังเรียกร้องให้รัฐบาลไทยเปิดเผยรายชื่อบุคคลที่ถูกดำเนินคดีและจับกุมด้วยกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพและ พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ทั้งหมด รวมถึงเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับสถิติการยื่นฟ้องในคดีหมิ่นฯ ทั้งที่ยื่นฟ้องโดยปัจเจกบุคคลและเจ้าหน้ารัฐ เนื่องจากปัจจุบันยังไม่มีการเปิดเผยข้อมูลที่ชัดเจนต่อสาธารณะเกี่ยวกับคดีดังกล่าว
แบรด อดัมส์ ผู้อำนวยการฮิวแมนไรท์ วอทช์ ฝ่ายเอเชียกล่าวว่า การมัดคอประชาชนด้านเสรีภาพในการแสดงออก ถูกกระทำในนามของการพิทักษ์ไว้ซึ่งสถาบันกษัตริย์
การบังคับใช้ที่รุนแรงของกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ส่งผลกระทบอย่างเลวร้ายต่อเสรีภาพในการแสดงออกในประเทศไทย” อดัมส์กล่าว “รัฐบาลต้องเปิดการพูดคุยเรื่องนี้อย่างกว้างขวางเพื่อแก้ไขกฎหมายดังกล่าว และทำให้แน่ใจว่ากฎหมายหมิ่นฯ จะสอดคล้องกับพันธะผูกพันของไทยที่มีต่อหลักสิทธิมนุษยชนสากล
ที่มา.ประชาไท
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
คุก 27 ปี นักบัญชีสภาพัฒน์ฯ ยักยอกเงิน !!?
ศาลได้อ่านคำพิพากษาคดีทุจริตต่อหน้าที่ ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษ 2 เป็นโจทก์ฟ้องนางอาภรณ์รัตน์ หรือสลักจิต โชติวิทยพร อายุ 54 ปี นักวิชาการเงินและบัญชี 6 สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือ สภาพัฒน์ ฯ เป็นจำเลยในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าซื้อ จัดทำ หรือรักษาทรัพย์ใด เบียดบังทรัพย์นั้นเป็นของตนเองหรือผู้อื่นโดยทุจริต,และเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่มิชอบ ฟ้องโจทก์เมื่อวันที่ 23 พ.ย. 53 ระบุความผิดสรุปว่า
เมื่อระหว่างวันที่ 20 มี.ค. 39 - 19 ส.ค. 40 ขณะจำเลยเป็นนักวิชาการเงินและบัญชี 5 ช่วยราชการสำนักงานเลขานุการคณะอนุกรรมการกระจายความเจริญไปสู่ภูมิภาค(สกจภ.)ได้ทุจริตปฏิบัติหน้าที่มิชอบด้วยการเบิกเงินจากบัญชีกองทุนฯ 6 โครงการรวม 13 รายการเป็นเงินจำนวน 7,174,462 บาท มาเก็บไว้ที่เป็นของตนเอง โดยนำเงินจำนวนดังกล่าวเข้าฝากบัญชีธนาคารฯของจำเลย จากนั้นจึงค่อยถอนมาชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้
ต่อมาคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) มีมติเอกเอกฉันท์ 7 เสียง เห็นว่าจำเลยกระทำผิดจริงจำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลพิเคราะห์คำเบิกความและพยานหลักฐานทั้งสองฝ่ายแล้วเห็นว่า การที่จำเลยเบิกเงินจากบัญชีของกองทุน แล้วไม่ยอมชำระให้แก่เจ้าหนี้ แต่กลับนำไปฝากเข้าบัญชีธนาคารตนเองทำให้เกิดดอกผล ซึ่งจำเลยย่อมทราบดี หากจำเลยมีเจตนาบริสุทธิ์ก็ควรแจ้งให้ผู้บังคับบัญชาทราบ และส่งเงินดอกเบี้ยคืนกระทรวงการคลัง ทั้งจำเลยยังแก้ไขวันที่ในใบเสร็จรับเงินเพื่อให้บุคคลอื่นหลงเชื่อว่า ได้จ่ายเงินให้แก่เจ้าหนี้แล้ว เพื่อปกปิดและป้องกันการตรวจพบจากสำนักตรวจเงินแผ่นดิน เป็นการส่อแสดงเจตนาโดยทุจริตและเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ แม้ภายหลังจำเลยจะนำเงินดอกผลมาคืนแก่รัฐ ก็คงยังต้องรับผิดอยู่ดี ข้อเท็จจริงจึงรับฟังโดยปราศจากข้อสงสัยว่าจำเลยกระทำผิดตามฟ้อง
พิพากษา ผิดตามประมวลกำหมายมอาญา มาตรา 147,157 และ 161 เป็นความผิดหลายกรรม ให้ลงโทษทุกกรรม ให้จำคุก ฐานเป็นเจ้าพนักงานยักยอกทรัพย์ 5 กระทง ๆ ละ 5 ปี รวมจำคุก 25 ปี และฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่มิชอบ จำคุก 2 กระทง ๆ ละ 1 ปี รวมเวลา 2 ปี เมื่อรวมโทษแล้วจำคุกจำเลยทั้งสิ้น 27 ปี แต่ทางพิจารณาจำเลยให้การเป็นประโยชน์อยู่บ้างลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุกจำเลยไว้ 18 ปี
ที่มา.เนชั่น
/////////////////////////////////////////////////////
เมื่อระหว่างวันที่ 20 มี.ค. 39 - 19 ส.ค. 40 ขณะจำเลยเป็นนักวิชาการเงินและบัญชี 5 ช่วยราชการสำนักงานเลขานุการคณะอนุกรรมการกระจายความเจริญไปสู่ภูมิภาค(สกจภ.)ได้ทุจริตปฏิบัติหน้าที่มิชอบด้วยการเบิกเงินจากบัญชีกองทุนฯ 6 โครงการรวม 13 รายการเป็นเงินจำนวน 7,174,462 บาท มาเก็บไว้ที่เป็นของตนเอง โดยนำเงินจำนวนดังกล่าวเข้าฝากบัญชีธนาคารฯของจำเลย จากนั้นจึงค่อยถอนมาชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้
ต่อมาคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) มีมติเอกเอกฉันท์ 7 เสียง เห็นว่าจำเลยกระทำผิดจริงจำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลพิเคราะห์คำเบิกความและพยานหลักฐานทั้งสองฝ่ายแล้วเห็นว่า การที่จำเลยเบิกเงินจากบัญชีของกองทุน แล้วไม่ยอมชำระให้แก่เจ้าหนี้ แต่กลับนำไปฝากเข้าบัญชีธนาคารตนเองทำให้เกิดดอกผล ซึ่งจำเลยย่อมทราบดี หากจำเลยมีเจตนาบริสุทธิ์ก็ควรแจ้งให้ผู้บังคับบัญชาทราบ และส่งเงินดอกเบี้ยคืนกระทรวงการคลัง ทั้งจำเลยยังแก้ไขวันที่ในใบเสร็จรับเงินเพื่อให้บุคคลอื่นหลงเชื่อว่า ได้จ่ายเงินให้แก่เจ้าหนี้แล้ว เพื่อปกปิดและป้องกันการตรวจพบจากสำนักตรวจเงินแผ่นดิน เป็นการส่อแสดงเจตนาโดยทุจริตและเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ แม้ภายหลังจำเลยจะนำเงินดอกผลมาคืนแก่รัฐ ก็คงยังต้องรับผิดอยู่ดี ข้อเท็จจริงจึงรับฟังโดยปราศจากข้อสงสัยว่าจำเลยกระทำผิดตามฟ้อง
พิพากษา ผิดตามประมวลกำหมายมอาญา มาตรา 147,157 และ 161 เป็นความผิดหลายกรรม ให้ลงโทษทุกกรรม ให้จำคุก ฐานเป็นเจ้าพนักงานยักยอกทรัพย์ 5 กระทง ๆ ละ 5 ปี รวมจำคุก 25 ปี และฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่มิชอบ จำคุก 2 กระทง ๆ ละ 1 ปี รวมเวลา 2 ปี เมื่อรวมโทษแล้วจำคุกจำเลยทั้งสิ้น 27 ปี แต่ทางพิจารณาจำเลยให้การเป็นประโยชน์อยู่บ้างลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุกจำเลยไว้ 18 ปี
ที่มา.เนชั่น
/////////////////////////////////////////////////////
ปชช.รัสเซียนับพันประท้วงต้านไล่พรรค ปูติน.อ้างทุจริตเลือกตั้ง !!?
ตำรวจรัสเซียควบคุมตัวประชาชนกว่า 300 คน หลังจากประชาชนหลายพันคนร่วมชุมนุมประท้วงต่อต้านผลการเลือกตั้งสมาชิกรัฐสภาเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ขณะที่ผู้สังเกตการณ์จากนานาชาติระบุว่ามีการกระทำผิดกฎการเลือกตั้งอย่างรุนแรงจำนวนมาก
สำนักข่าวอาร์ไอเอ โนโวสติ ของรัสเซียรายงานอ้างตำรวจรัสเซียกล่าวว่า ในจำนวนผู้ที่ถูกควบคุมตัวมีนายอเล็กไซ นาวาลนี นักเขียนบล็อกต่อต้านการคอร์รัปชั่นที่มีชื่อเสียงรวมอยู่ด้วย
ด้านองค์การว่าด้วยความมั่นคงและความร่วมมือในยุโรป (โอเอสซีอี) กล่าวว่าการเลือกตั้งครั้งนี้ถูกทำให้บิดเบือนอย่างเห็นได้ชัด และมีการชักใยอยู่เบื้องหลัง เพื่อหวังให้พรรคยูไนเต็ดรัสเซียของนายกรัฐมนตรีวลาดิเมียร์ ปูติน ได้รับชัยชนะ ถึงขั้นแอบยัดบัตรลงคะแนนลงในหีบบัตรลงคะแนน
แม้ว่าพรรคของนายปูตินจะได้รับคะแนนเสียงอย่างท่วมท้นในครั้งนี้ แต่พบว่าคะแนนเสียงสนับสนุนในตัวเขากลับลดลงอย่างรวดเร็ว โดยเจ้าหน้าที่การเลือกตั้งกล่าวว่า พรรคได้รับคะแนนเสียงเพียงร้อยละ 50 หรือลดลงถึง 77 ที่นั่ง จากการเลือกตั้งเมื่อปี 2007 ที่ได้รับถึงร้อยละ 64 หลังจากที่เขาประกาศว่าจะหวนคืนสู่ตำแหน่งประธานาธิบดีอีกครั้ง
รายงานบนเว็บไซต์แห่งหนึ่งระบุว่า ประชาชนประมาณ 5,000 คน มารวมตัวกันท่ามกลางสายฝนกลางกรุงมอสโกเพื่อประท้วงให้กับนักเสรีนิยมที่ถูกห้ามมีส่วนร่วมการเลือกตั้งและกล่าวหานายกรัฐมนตรีวลาดิเมียร์ ปูติน และพรรคของเขาว่าโกงการเลือกตั้ง
โดยเมื่อคืนวันจัทร์ที่ผ่านมา กลุ่มผู้ประท้วงหลายพันคนพยายามเดินขบวนไปยังคณะกรรมการเลือกตั้ง เพื่อเรียกร้องให้มีการเลือกตั้งอย่างสุจริต แต่ถูกตำรวจสกัดไว้ และมีรายงานว่าตำรวจได้ควบคุมตัวผู้ประท้วงประมาณ 100 คน ที่เมืองเซนท์ปีเตอร์สเบิร์กซึ่งประท้วงติดต่อกันเป็นวันที่สอง
การประท้วงดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากพรรคยูไนเต็ด รัสเซีย ของนายกรัฐมนตรีวลาดิเมียร์ ปูติน ชนะการเลือกตั้งโดยได้ 238 ที่นั่งในสภาดูมา ลดลงจากที่เคยได้ 315 ที่นั่งในการเลือกตั้งครั้งก่อนเมื่อปี 2007
เจ้าหน้าที่จากโอเอสซีอีเปิดเเผยว่า การเลือกตั้งครั้งนี้ได้รับการวางแผนและจัดการเป็นอย่างดี แต่พบว่าเกิดปัญหาที่รุนแรงโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับขั้นตอนการนับคะแนน และมีข้อบ่งชี้ที่เด่นชัดว่าการเลือกตั้งมีความเอนเอียงไปทางพรรครัฐบาลอย่างเห็นได้ชัด อีกทั้งการบริหารการเลือกตั้งยังขาดความเป็นอิสระ สื่อมวลชนขาดความเป็นธรรม และเจ้าหน้าที่รัฐถูกแทรกแซงมากเกินไป
ที่มา: มติชนออนไลน์
//////////////////////////////////////////////////////////
สำนักข่าวอาร์ไอเอ โนโวสติ ของรัสเซียรายงานอ้างตำรวจรัสเซียกล่าวว่า ในจำนวนผู้ที่ถูกควบคุมตัวมีนายอเล็กไซ นาวาลนี นักเขียนบล็อกต่อต้านการคอร์รัปชั่นที่มีชื่อเสียงรวมอยู่ด้วย
ด้านองค์การว่าด้วยความมั่นคงและความร่วมมือในยุโรป (โอเอสซีอี) กล่าวว่าการเลือกตั้งครั้งนี้ถูกทำให้บิดเบือนอย่างเห็นได้ชัด และมีการชักใยอยู่เบื้องหลัง เพื่อหวังให้พรรคยูไนเต็ดรัสเซียของนายกรัฐมนตรีวลาดิเมียร์ ปูติน ได้รับชัยชนะ ถึงขั้นแอบยัดบัตรลงคะแนนลงในหีบบัตรลงคะแนน
แม้ว่าพรรคของนายปูตินจะได้รับคะแนนเสียงอย่างท่วมท้นในครั้งนี้ แต่พบว่าคะแนนเสียงสนับสนุนในตัวเขากลับลดลงอย่างรวดเร็ว โดยเจ้าหน้าที่การเลือกตั้งกล่าวว่า พรรคได้รับคะแนนเสียงเพียงร้อยละ 50 หรือลดลงถึง 77 ที่นั่ง จากการเลือกตั้งเมื่อปี 2007 ที่ได้รับถึงร้อยละ 64 หลังจากที่เขาประกาศว่าจะหวนคืนสู่ตำแหน่งประธานาธิบดีอีกครั้ง
รายงานบนเว็บไซต์แห่งหนึ่งระบุว่า ประชาชนประมาณ 5,000 คน มารวมตัวกันท่ามกลางสายฝนกลางกรุงมอสโกเพื่อประท้วงให้กับนักเสรีนิยมที่ถูกห้ามมีส่วนร่วมการเลือกตั้งและกล่าวหานายกรัฐมนตรีวลาดิเมียร์ ปูติน และพรรคของเขาว่าโกงการเลือกตั้ง
โดยเมื่อคืนวันจัทร์ที่ผ่านมา กลุ่มผู้ประท้วงหลายพันคนพยายามเดินขบวนไปยังคณะกรรมการเลือกตั้ง เพื่อเรียกร้องให้มีการเลือกตั้งอย่างสุจริต แต่ถูกตำรวจสกัดไว้ และมีรายงานว่าตำรวจได้ควบคุมตัวผู้ประท้วงประมาณ 100 คน ที่เมืองเซนท์ปีเตอร์สเบิร์กซึ่งประท้วงติดต่อกันเป็นวันที่สอง
การประท้วงดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากพรรคยูไนเต็ด รัสเซีย ของนายกรัฐมนตรีวลาดิเมียร์ ปูติน ชนะการเลือกตั้งโดยได้ 238 ที่นั่งในสภาดูมา ลดลงจากที่เคยได้ 315 ที่นั่งในการเลือกตั้งครั้งก่อนเมื่อปี 2007
เจ้าหน้าที่จากโอเอสซีอีเปิดเเผยว่า การเลือกตั้งครั้งนี้ได้รับการวางแผนและจัดการเป็นอย่างดี แต่พบว่าเกิดปัญหาที่รุนแรงโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับขั้นตอนการนับคะแนน และมีข้อบ่งชี้ที่เด่นชัดว่าการเลือกตั้งมีความเอนเอียงไปทางพรรครัฐบาลอย่างเห็นได้ชัด อีกทั้งการบริหารการเลือกตั้งยังขาดความเป็นอิสระ สื่อมวลชนขาดความเป็นธรรม และเจ้าหน้าที่รัฐถูกแทรกแซงมากเกินไป
ที่มา: มติชนออนไลน์
//////////////////////////////////////////////////////////
จำคุกตลอดชีวิต ดาโอ๊ะ ท่าน้ำ ขบวนการพูโล ฐานกบฏแยกราชอาณาจักร
ศาลฎีกาพิพากษายืน ตัด สินจำคุกตลอดชีวิต 4 โจรพูโล นำโดย "หะยี ดาโอ๊ะ ท่าน้ำ" หัวหน้าขบวนการพูโลกับพวก ฐานดำเนินการเป็นขบวนการก่อความไม่สงบ วางระเบิดตามสถานที่ต่างๆ ในพื้นที่ภาคใต้ เป็นเหตุทำให้มีผู้เสียชีวิตมากมาย

เวลา 09.30 น. วันที่ 2 ธ.ค. ที่ห้องพิจารณา 914 ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาในคดีกบฏแบ่งแยกดินแดน หมายเลขดำ ด.2722/2541 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 8 เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายหะยี ดาโอ๊ะ ท่าน้ำ หรือดาโอ๊ะ มะเซ็ง หรือดาโอะ มะเซ็ง อดีตหัวหน้าขบวนการพูโล นายหะยี บือโด เบตง หรือนายบาบอแม เบตง หรือนายหะยี อาเซ็ม ประธานขบวนการพูโล นายอับดุล เราะห์มาน บิน อับดุลกาเดร์ หรือนายหะยี สมาชิกขบวนการพูโล และนายหะยีสะมะแอ ท่าน้ำ หรือนายสะมะแอ สะอะ หรือหะยี อิสมาแอล กัดดาฟี หัวหน้ากองกำลังติดอาวุธขบวนการพูโล เป็นจำเลยที่ 1-4 ตามลำดับ ในความผิดร่วมกันเป็นกบฏแบ่งแยกราชอาณาจักร สะสมกำลังพลและอาวุธ สมคบกันเป็นซ่องโจร
ตามฟ้องโจทก์สรุปว่า ระหว่างปี พ.ศ.2511-2541 มีกลุ่มคนที่นับถือศาสนาอิสลาม สมคบกันก่อตั้งองค์การทางการเมืองชื่อ องค์การปลดแอกแห่งชาติปัตตานี หรือขบวนการแบ่งแยกดินแดนพูโล เพื่อแบ่งแยกดินแดน 5 จังหวัดภาคใต้ ประกอบด้วยจังหวัดยะลา นราธิวาส ปัตตานี สตูล และสงขลาบางส่วน สถาปนาเป็นรัฐอิสระปกครองตนเอง โดยไม่ขึ้นอยู่ภายใต้การปกครองของรัฐบาลไทย ทั้งชักชวนให้สมาชิกนำญาติมิตรเข้าร่วมขบวนการจัดตั้งกองกำลังติดอาวุธ ฝึกวิชาทหาร และการสู้รบแบบกองโจร ก่อวินาศกรรมตามสถานที่ราชการต่างๆ เช่น ศาลากลางจังหวัด สถานีตำรวจ สถานีรถไฟ โรงแรม เผาอาคารสถานที่สำคัญ เช่น โรงเรียน เป็นต้น รวมทั้งใช้อาวุธยิงข้าราชการ พ่อค้า ประชาชน นอกจากนี้ ยังได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มประเทศนับถือศาสนาอิสลาม ตลอดจนมีการข่มขู่กรรโชกทรัพย์เรียกค่าคุ้มครองจากพ่อค้า นักธุรกิจ เจ้าของสวนยางพารา และบริษัทรับเหมาก่อสร้างอื่นๆ ทำให้ขบวนการพูโลมีเงินทุนซื้ออาวุธเพื่อก่อความวุ่นวายดังกล่าว ชั้นสอบสวนจำเลยที่ 1-4 ให้การรับสารภาพ ส่วนชั้นศาลจำเลยทั้งหมดให้การปฏิเสธ
คดีนี้ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำคุกตลอดชีวิต จำเลยที่ 1, 2 และ 4 ส่วนจำเลยที่ 3 ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้โทษที่ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง เป็นให้ลงโทษประหารชีวิต แต่คำให้การจำเลยที่ 3 มีประโยชน์ต่อการพิจารณาคดีอยู่บ้าง จึงลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุกเป็นเวลา 50 ปี จำเลยยื่นฎีกาขอให้ยกฟ้อง
ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือกันอย่างละเอียดรอบคอบแล้วเห็นว่า คดีนี้โจทก์มีพยาน ซึ่งเป็นน้องชายพี่สะใภ้ของจำเลยที่ 2 รวมทั้งพยานอีกหลายปาก ซึ่งร่วมกันเป็นสมาชิกของขบวนการเบิกความว่า ก่อนที่จะเข้าร่วมกับกลุ่มจำเลยได้ถูกชักชวนให้ร่วมเป็นสมาชิก และเคยเข้าร่วมประชุมกับกลุ่มสมาชิกเคยเห็นกลุ่มวัยรุ่นประมาณ 20 คนร่วมอยู่ด้วย โดยระบุว่าหากเป็นสมาชิกจะได้สิทธิพิเศษในประเทศมาเลเซียและได้รางวัลตอบแทน เมื่อจำเลยที่ 1 และ 2 ได้สั่งให้ก่อความวุ่นวาย ซึ่งพวกจำเลยจะทำจดหมายข่มขู่เรียกค่าคุ้มครองและแบ่งแยกดินแดนไปวางไว้ตามสถานที่ต่างๆ ขณะที่พยานโจทก์ยังระบุว่าเมื่อร่วมเป็นสมาชิกแล้วระยะหนึ่งต่อมามีคนในขบวนการถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุม จึงทำให้เกิดความรู้สึกขาดความน่าเชื่อถือ ทำให้สมาชิกบางส่วนเข้ามอบตัวผ่านทาง พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ รัฐมน ตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยขณะนั้น
ข้อเท็จจริงที่ได้จากคำให้การรับฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 ได้เริ่มขบวนการมาตั้งแต่ปี 2529 และได้เป็นหัวหน้าขบวนการที่ติดอาวุธอยู่ในป่า จ.ยะลา ซึ่งภายหลังได้มีการแต่งตั้งสมาชิกคนอื่นให้เป็นหัวหน้าควบคุมแทน ซึ่งแม้ว่าคำให้การในชั้นสอบสวนของพยานโจทก์บางปากจะเป็นเพียงพยานบอกเล่า แต่เมื่อรับฟังร่วมกับพยานแวดล้อมต่างๆ มีรายละเอียดเชื่อมโยงสอดคล้อง จึงสามารถรับฟังได้ ประกอบกับพยานโจทก์ซึ่งร่วมขบวนการก็ได้เข้ามอบตัวกับเจ้าหน้าที่ก่อนที่จำเลยที่ 1-4 จะถูกจับกุมในคดีนี้เป็นเวลานานหลายปี พยานโจทก์จึงไม่มีเหตุให้ต้องระแวงสงสัย
ส่วนที่จำเลยที่ 1-4 ฎีกา อ้างว่าคำให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวนไม่ได้ทำด้วยความสมัครใจ แต่ถูกกดดัน ขู่เข็ญจากเจ้าพนักงานนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า ในชั้นสอบสวนเจ้าหน้าที่ได้มีการบันทึกภาพวีดิทัศน์ของจำเลยที่ 1 ขณะแสดงวิธีการประกอบระเบิด ที่ไม่ได้แสดงว่ามีท่าทีถูกกดดัน และยังมีคำให้การของพยานที่นำมาประกอบรับฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 ได้ไปศึกษาที่ประเทศซีเรียและได้รับการสอนวิธีการทำระเบิด ประกอบกับการออกคำแถลงของพวกจำเลยภายหลังถูกจับกุมมี พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก อธิบดีกรมตำรวจในขณะนั้น และรองอธิบดีกรมตำรวจ รวมทั้งพนักงานสอบสวนร่วมอยู่ด้วย จึงไม่น่าเชื่อว่าตำรวจชั้นผู้ใหญ่จะกลั่นแกล้ง ขณะที่การสอบสวนดำเนินการเป็นคณะ จึงยากที่จะปรุงแต่งรายละเอียด ฎีกาของจำเลยที่ 1-4 ฟังไม่ขึ้น
ส่วนที่จำเลยที่ 1-4 ฎีกาขอให้ศาลพิพากษาลงโทษสถานเบานั้นเห็นว่า พฤติการณ์ของจำเลยที่ 1-4 ได้ดำเนินการเป็นขบวนการก่อความไม่สงบ โดยวางระเบิดสถานที่ต่างๆ และยิงต่อสู้เจ้าหน้าที่ต่อเนื่องเป็นเวลานานหลายปี เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก แม้ว่าพวกจำเลยจะให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวน แต่ให้การปฏิเสธในชั้นพิจารณา จึงเห็นได้ว่าพวกจำเลยไม่สำนึกในการกระทำผิด ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษนั้นเหมาะสมแล้ว พิพากษายืน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับการอ่านคำพิพากษาในวันนี้เป็นการอ่านให้นายอับดุล เราะห์มาน บิน อับดุลกาเดร์ จำเลยที่ 3 ฟัง ส่วนนายหะยี ดาโอ๊ะ ท่าน้ำ จำเลยที่ 1 นายหะยี บือโด เบตง จำเลยที่ 2 และนายหะยีสะมะแอ ท่าน้ำ จำเลยที่ 4 ซึ่งถูกควบคุมตัวอยู่ที่เรือนจำจังหวัดสงขลานั้น ศาลจังหวัดสงขลาอ่านคำพิพากษาให้ฟังไปเมื่อวันที่ 21 ก.ย.ที่ผ่านมา
ที่มา: นสพ.ข่าวสดภาพ: http://news.mthai.com
/////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
เวลา 09.30 น. วันที่ 2 ธ.ค. ที่ห้องพิจารณา 914 ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาในคดีกบฏแบ่งแยกดินแดน หมายเลขดำ ด.2722/2541 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 8 เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายหะยี ดาโอ๊ะ ท่าน้ำ หรือดาโอ๊ะ มะเซ็ง หรือดาโอะ มะเซ็ง อดีตหัวหน้าขบวนการพูโล นายหะยี บือโด เบตง หรือนายบาบอแม เบตง หรือนายหะยี อาเซ็ม ประธานขบวนการพูโล นายอับดุล เราะห์มาน บิน อับดุลกาเดร์ หรือนายหะยี สมาชิกขบวนการพูโล และนายหะยีสะมะแอ ท่าน้ำ หรือนายสะมะแอ สะอะ หรือหะยี อิสมาแอล กัดดาฟี หัวหน้ากองกำลังติดอาวุธขบวนการพูโล เป็นจำเลยที่ 1-4 ตามลำดับ ในความผิดร่วมกันเป็นกบฏแบ่งแยกราชอาณาจักร สะสมกำลังพลและอาวุธ สมคบกันเป็นซ่องโจร
ตามฟ้องโจทก์สรุปว่า ระหว่างปี พ.ศ.2511-2541 มีกลุ่มคนที่นับถือศาสนาอิสลาม สมคบกันก่อตั้งองค์การทางการเมืองชื่อ องค์การปลดแอกแห่งชาติปัตตานี หรือขบวนการแบ่งแยกดินแดนพูโล เพื่อแบ่งแยกดินแดน 5 จังหวัดภาคใต้ ประกอบด้วยจังหวัดยะลา นราธิวาส ปัตตานี สตูล และสงขลาบางส่วน สถาปนาเป็นรัฐอิสระปกครองตนเอง โดยไม่ขึ้นอยู่ภายใต้การปกครองของรัฐบาลไทย ทั้งชักชวนให้สมาชิกนำญาติมิตรเข้าร่วมขบวนการจัดตั้งกองกำลังติดอาวุธ ฝึกวิชาทหาร และการสู้รบแบบกองโจร ก่อวินาศกรรมตามสถานที่ราชการต่างๆ เช่น ศาลากลางจังหวัด สถานีตำรวจ สถานีรถไฟ โรงแรม เผาอาคารสถานที่สำคัญ เช่น โรงเรียน เป็นต้น รวมทั้งใช้อาวุธยิงข้าราชการ พ่อค้า ประชาชน นอกจากนี้ ยังได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มประเทศนับถือศาสนาอิสลาม ตลอดจนมีการข่มขู่กรรโชกทรัพย์เรียกค่าคุ้มครองจากพ่อค้า นักธุรกิจ เจ้าของสวนยางพารา และบริษัทรับเหมาก่อสร้างอื่นๆ ทำให้ขบวนการพูโลมีเงินทุนซื้ออาวุธเพื่อก่อความวุ่นวายดังกล่าว ชั้นสอบสวนจำเลยที่ 1-4 ให้การรับสารภาพ ส่วนชั้นศาลจำเลยทั้งหมดให้การปฏิเสธ
คดีนี้ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำคุกตลอดชีวิต จำเลยที่ 1, 2 และ 4 ส่วนจำเลยที่ 3 ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้โทษที่ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง เป็นให้ลงโทษประหารชีวิต แต่คำให้การจำเลยที่ 3 มีประโยชน์ต่อการพิจารณาคดีอยู่บ้าง จึงลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุกเป็นเวลา 50 ปี จำเลยยื่นฎีกาขอให้ยกฟ้อง
ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือกันอย่างละเอียดรอบคอบแล้วเห็นว่า คดีนี้โจทก์มีพยาน ซึ่งเป็นน้องชายพี่สะใภ้ของจำเลยที่ 2 รวมทั้งพยานอีกหลายปาก ซึ่งร่วมกันเป็นสมาชิกของขบวนการเบิกความว่า ก่อนที่จะเข้าร่วมกับกลุ่มจำเลยได้ถูกชักชวนให้ร่วมเป็นสมาชิก และเคยเข้าร่วมประชุมกับกลุ่มสมาชิกเคยเห็นกลุ่มวัยรุ่นประมาณ 20 คนร่วมอยู่ด้วย โดยระบุว่าหากเป็นสมาชิกจะได้สิทธิพิเศษในประเทศมาเลเซียและได้รางวัลตอบแทน เมื่อจำเลยที่ 1 และ 2 ได้สั่งให้ก่อความวุ่นวาย ซึ่งพวกจำเลยจะทำจดหมายข่มขู่เรียกค่าคุ้มครองและแบ่งแยกดินแดนไปวางไว้ตามสถานที่ต่างๆ ขณะที่พยานโจทก์ยังระบุว่าเมื่อร่วมเป็นสมาชิกแล้วระยะหนึ่งต่อมามีคนในขบวนการถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุม จึงทำให้เกิดความรู้สึกขาดความน่าเชื่อถือ ทำให้สมาชิกบางส่วนเข้ามอบตัวผ่านทาง พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ รัฐมน ตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยขณะนั้น
ข้อเท็จจริงที่ได้จากคำให้การรับฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 ได้เริ่มขบวนการมาตั้งแต่ปี 2529 และได้เป็นหัวหน้าขบวนการที่ติดอาวุธอยู่ในป่า จ.ยะลา ซึ่งภายหลังได้มีการแต่งตั้งสมาชิกคนอื่นให้เป็นหัวหน้าควบคุมแทน ซึ่งแม้ว่าคำให้การในชั้นสอบสวนของพยานโจทก์บางปากจะเป็นเพียงพยานบอกเล่า แต่เมื่อรับฟังร่วมกับพยานแวดล้อมต่างๆ มีรายละเอียดเชื่อมโยงสอดคล้อง จึงสามารถรับฟังได้ ประกอบกับพยานโจทก์ซึ่งร่วมขบวนการก็ได้เข้ามอบตัวกับเจ้าหน้าที่ก่อนที่จำเลยที่ 1-4 จะถูกจับกุมในคดีนี้เป็นเวลานานหลายปี พยานโจทก์จึงไม่มีเหตุให้ต้องระแวงสงสัย
ส่วนที่จำเลยที่ 1-4 ฎีกา อ้างว่าคำให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวนไม่ได้ทำด้วยความสมัครใจ แต่ถูกกดดัน ขู่เข็ญจากเจ้าพนักงานนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า ในชั้นสอบสวนเจ้าหน้าที่ได้มีการบันทึกภาพวีดิทัศน์ของจำเลยที่ 1 ขณะแสดงวิธีการประกอบระเบิด ที่ไม่ได้แสดงว่ามีท่าทีถูกกดดัน และยังมีคำให้การของพยานที่นำมาประกอบรับฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 ได้ไปศึกษาที่ประเทศซีเรียและได้รับการสอนวิธีการทำระเบิด ประกอบกับการออกคำแถลงของพวกจำเลยภายหลังถูกจับกุมมี พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก อธิบดีกรมตำรวจในขณะนั้น และรองอธิบดีกรมตำรวจ รวมทั้งพนักงานสอบสวนร่วมอยู่ด้วย จึงไม่น่าเชื่อว่าตำรวจชั้นผู้ใหญ่จะกลั่นแกล้ง ขณะที่การสอบสวนดำเนินการเป็นคณะ จึงยากที่จะปรุงแต่งรายละเอียด ฎีกาของจำเลยที่ 1-4 ฟังไม่ขึ้น
ส่วนที่จำเลยที่ 1-4 ฎีกาขอให้ศาลพิพากษาลงโทษสถานเบานั้นเห็นว่า พฤติการณ์ของจำเลยที่ 1-4 ได้ดำเนินการเป็นขบวนการก่อความไม่สงบ โดยวางระเบิดสถานที่ต่างๆ และยิงต่อสู้เจ้าหน้าที่ต่อเนื่องเป็นเวลานานหลายปี เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก แม้ว่าพวกจำเลยจะให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวน แต่ให้การปฏิเสธในชั้นพิจารณา จึงเห็นได้ว่าพวกจำเลยไม่สำนึกในการกระทำผิด ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษนั้นเหมาะสมแล้ว พิพากษายืน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับการอ่านคำพิพากษาในวันนี้เป็นการอ่านให้นายอับดุล เราะห์มาน บิน อับดุลกาเดร์ จำเลยที่ 3 ฟัง ส่วนนายหะยี ดาโอ๊ะ ท่าน้ำ จำเลยที่ 1 นายหะยี บือโด เบตง จำเลยที่ 2 และนายหะยีสะมะแอ ท่าน้ำ จำเลยที่ 4 ซึ่งถูกควบคุมตัวอยู่ที่เรือนจำจังหวัดสงขลานั้น ศาลจังหวัดสงขลาอ่านคำพิพากษาให้ฟังไปเมื่อวันที่ 21 ก.ย.ที่ผ่านมา
ที่มา: นสพ.ข่าวสดภาพ: http://news.mthai.com
/////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
วันจันทร์ที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2554
ฤๅจะเป็นน้ำผึ้งหยดเดียว คดีอากง SMS: ภาคนิติรัฐ !!?
โดย กานต์ ยืนยง
แด่ “ผู้เบิกบานในปัญญา”
“ผู้ใดมีศรัทธา คนผู้นั้นย่อมมีแหล่งสะสมพลังหลากหลายซึ่งเต็มเปี่ยมอยู่ภายใน อันได้แก่ พลังแห่งความกล้าหาญ ความหวัง ความมั่นใจ ความสุขุม และความเชื่อมั่นอันไม่คลอนแคลน พลังเหล่านี้จะถูกปลดปล่อยออกมาตราบเท่าที่จำเป็น แม้นว่าโลกภายนอกดูเสมือนหนึ่งจะเลวร้ายเพียงใดก็ตาม”
– บี ซี ฟอร์บส์
4 ธันวาคม 2554
เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา ศาลอาญาได้มีคำพิพากษาว่า นายอำพล (สงวนนามสกุล) มีความผิดตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และ พรบ.ความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ มาตรา 14 (2) และ (3) ในข้อหาส่ง SMS หมิ่นฯ 4 ข้อความ ให้ลงโทษกรรมละ 5 ปีรวมจำคุก 20 ปี โดยวินิจฉัยว่า บันทึกการใช้โทรศัพท์ (log) ของบริษัทผู้ให้บริการ แสดงว่า นายอำพลใช้โทรศัพท์มือถือส่ง sms หมิ่นฯในบริเวณที่พัก เนื่องจากความรุนแรงในการลงโทษ และลักษณะพิเศษของคดี สาธารณชนทั้งในประเทศและนอกประเทศจึงสนใจคดีนี้มาก มีการวิพากษ์วิจารณ์และการรณรงค์เพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมให้นายอำพลอย่างกว้างขวาง โดยเรียกคดีนี้ว่า คดี ‘อากง SMS’[1]
เนื่องจากคดี อากง SMS นี้ น่าจะมีปัญหาทั้งในแง่มนุษยธรรมและหลักการสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น จึงจะนำเสนอบทความชุดนี้เป็นสามตอนคือ “ภาคนิติรัฐ” ซึ่งจะพูดถึงกฎหมาย ข้อมูลทางเทคนิคและปัญหาเกี่ยวกับคดีความ ในขณะที่ “ภาคธรรมรัฐ” จะพูดถึงการบริหารกิจการสาธารณะซึ่งเกี่ยวกับความมั่นคงของรัฐ ในบริบทที่รัฐไทยกำลังเปลี่ยนแปลงไปตามการพัฒนาการของโลก และ “ภาคอาทรเสวนา” จะเป็นข้อเสนอในการแก้ไขปัญหาความสมดุลระหว่างหลักการทางการปกครองซึ่งมีฐานที่มาของอำนาจแตกต่างกัน อันเป็นปัญหาเชิงโครงสร้างหนึ่งที่รัฐไทยกำลังเผชิญอยู่ในระยะเปลี่ยนผ่านนี้
ใครเป็นผู้กระทำผิด
เนื่องจากปัจจุบันประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และ พรบ.ความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ ยังมีผลบังคับใช้ จึงต้องยึดเป็นหลักในการวินิจฉัย แม้ว่าในปัจจุบันจะมีการวิพากษ์วิจารณ์ต่อข้อบกพร่องทั้งในตัวบทและการบังคับใช้จนนำไปสู่การถกเถียงเพื่อให้มีการแก้ไขในกฎหมายทั้งสองฉบับ ซึ่งในประเด็นดังกล่าว จะนำเสนอใน “ภาคธรรมรัฐ” และ “ภาคอาทรเสวนา” ต่อไปคดีนี้ มีผู้ส่งข้อความ SMS ไปที่โทรศัพท์ของนายสมเกียรติ ครองวัฒนสุข ขณะดำรงตำแหน่งเลขานุการส่วนตัวของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี เมื่อเดือนพฤษภาคม 2553 จำนวน 4 ข้อความ เกิดขึ้นจริง คำถามคือ “ใคร” เป็นผู้กระทำความผิดดังกล่าว
เจ้าหน้าที่ตำรวจนำบันทึกการใช้โทรศัพท์หมายเลข xxx-xxx-3615 ที่ส่ง SMS เข้าไปยังโทรศัพท์ของนายสมเกียรติ ไปตรวจสอบกับฐานข้อมูลของบริษัท DTAC พบว่าหมายเลขดังกล่าวถูกใช้คู่กับโทรศัพท์ที่มีเลขหมายประจำเครื่อง (International Mobile Equipment Identity หรือ IMEI) หมายเลข 358906000230110 [2] และเมื่อตรวจสอบต่อกับฐานข้อมูลของบริษัท TRUE ก็พบว่ามีการใช้งานคู่กับโทรศัพท์หมายเลข xxx-xxx -4627 ของบริษัททรู โดยลูกเขยของนายอำพลเป็นผู้จดทะเบียนโทรศัพท์หมายเลข นี้เอง เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ขอหมายจับจากศาลเพื่อเข้าทำการตรวจค้นที่บ้านของนายอำพล ก็ได้พบโทรศัพท์ยี่ห้อโมโตโรลล่าของนายอำพล ซึ่งมีหลายเลข IMEI ตรงกับหมายเลขที่เป็นผู้ส่ง SMS ข้างต้น
สมมติฐานในคดีนี้ ของฝ่ายอัยการผู้ฟ้องคดี และฝ่ายทนายของนายอำพล มีดังนี้
สมมติฐานของฝ่ายอัยการ เชื่อว่านายอำพลเป็นผู้กระทำความผิด เนื่องจากเป็นเจ้าของโทรศัพท์โมโตโรลล่า ซึ่งมีเลขหมาย IMEI 358906000230110 โดยใช้ SIM บริษัท DTAC ซึ่งตรงกับโทรศัพท์หมายเลข xxx-xxx-3615 ทำการส่ง SMS หมิ่นฯ เข้าเครื่องนายสมเกียรติ 4 ข้อความ จากนั้นก็ได้ถอด SIM ของบริษัท DTAC ทิ้ง แล้วเปลี่ยนกลับมาใช้ SIM ของบริษัททรูที่เคยใช้อยู่ ซึ่งตรงกับโทรศัพท์ xxx-xxx-4627 ของนายอำพล จากบันทึกการใช้โทรศัพท์ (log) พบว่า การใช้งานโทรศัพท์ทั้งสองเลขหมายอยู่ในบริเวณสถานีส่งสัญญาณ (cell-site) เดียวกัน ทั้งไม่เคยมีข้อมูล IMEI ของเครื่องโทรศัพท์ซ้ำกัน แต่มีหมายเลขโทรศัพท์ต่างกันขึ้นมาในเวลาเดียวกัน จึงน่าเชื่อได้ว่านายอำพลเป็นผู้กระทำความผิดจริง
สมมติฐานของทนายฝ่ายนายอำพล เชื่อว่ามีความเป็นไปได้ที่บุคคลอื่น (ขอสมมติให้เป็นนาย ก.) ไม่ใช่นายอำพลเป็นผู้กระทำความผิด เนื่องจากเลขหมาย IMEI สามารถปลอมแปลงขึ้นมาได้ บันทึกการใช้โทรศัพท์ (log) ที่เจ้าหน้าที่ตำรวจนำมาใช้นั้น ไม่เพียงพอต่อการระบุว่านายอำพลเป็นผู้กระทำความผิด จึงเป็นไปได้ที่ นาย ก. ได้ดัดแปลงโทรศัพท์มือถือของตนให้มีหลายเลข IMEI ตรงกับโทรศัพท์ของนายอำพล และใช้ทำการส่งข้อความ SMS หมิ่นฯ ไปยังเครื่องนายสมเกียรติ
สามประเด็นข้อขัดแย้ง
จากสมมติฐานของทั้งสองฝ่ายข้างต้น ในการพิจารณา ‘คดีอากง SMS’ นี้ มีข้อขัดแย้งที่เกิดขึ้นเมื่อนำไปสู่การสืบพยานในสามประเด็นและต่างก็ส่งผลเนื่องถึงกัน ดังนี้ข้อมูลหมายเลข IMEI มีปัญหา
ทนายฝ่ายนายอำพล พยายามชี้ให้เห็นว่า หมายเลข IMEI ในบันทึกการใช้โทรศัพท์ (log) ของทั้ง DTAC และ TRUE อาจมีปัญหา เพราะไม่มีการจัดเก็บอย่างถูกต้องตามที่ควรเป็น เนื่องจากข้อมูลเลขหลักที่ 15 ซึ่งเป็นเลขหลักสุดท้ายของ IMEI มีสถานะเป็นเลขสำหรับตรวจสอบความถูกต้องของตัวเลขทั้งหมด (Check digit) ตัวเลขนี้จะถูกคำนวณตามหลักการของอัลกอริทึมแบบลุน (Luhn algorithm) [3] เมื่อพิสูจน์หมายเลข IMEI ตามเว็บไซต์ International Numbering Plans [4] ก็พบว่าตัวเลขที่บันทึกไว้ในบันทึกการใช้โทรศัพท์ (log) ของทั้ง DTAC และ TRUE ไม่สามารถระบุเครื่องโทรศัพท์ที่แท้จริงได้ภาพที่ 1: แสดงการป้อนข้อมูลเลข IMEI ในเว็บไซต์ เว็บไซต์ International Numbering Plans โดยใช้ IMEI หมายเลข 358906000230110 พบว่าไม่สามารถระบุข้อมูลโทรศัพท์ที่ถูกต้องได้ การใช้ IMEI ที่ลงท้ายด้วยเลข 2 ตามฐานข้อมูลของบริษัท TRUE ก็ให้ผลแบบเดียวกัน
ภาพที่ 2: แสดงการป้อนข้อมูลเลข IMEI ในเว็บไซต์ เว็บไซต์ International Numbering Plans ว่าจะต้องใช้เลข check digit ที่ถูกต้องคือเลข 6 หมายเลข IMEI จะเป็น 358906000230116 ซึ่งเป็นหมายเลข IMEI ของโทรศัพท์นายอำพลจริง จึงจะสามารถระบุข้อมูลโทรศัพท์ที่ถูกต้องได้
การจัดเก็บฐานข้อมูลหมายเลข IMEI ที่ผิดพลาดนี้ เป็นเรื่องที่น่าสงสัยเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากวิธีการใช้ หมายเลข IMEI สำหรับตรวจสอบความถูกต้องของตัวเลขทั้งหมด (Check digit) เป็นวิธีการที่วิศวกรอิเล็กทรอนิกส์ และวิศวกรคอมพิวเตอร์จะต้องมีความเข้าใจเป็นอย่างดีอยู่แล้ว ข้อมูลลักษณะนี้ยังเป็นที่รับรู้แพร่หลายในกลุ่มผู้ให้ความสนใจด้านเทคนิคและช่างซ่อมโทรศัพท์มือถือกันอย่างกว้างขวางอีกด้วย [5]
ข้อต่อสู้คดีของทนายฝ่ายนายอำพลจึงว่า เลข IMEI ที่บันทึกไว้ใน ในบันทึกการใช้โทรศัพท์ (log) ของบริษัทผู้ให้บริการทั้งสองอาจมีนัยยะว่า อาจเป็นโทรศัพท์มือถือเครื่องอื่นที่ไม่ได้เป็นของนายอำพล แต่มีการแก้ไขเลข IMEI ขึ้นมาใหม่ได้ อย่างไรก็ตามทางบริษัท DTAC และ TRUE ได้ยืนยันว่าฐานข้อมูลมีการให้ความสำคัญเพียงตัวเลข 14 หลักแรกเท่านั้น โดยตัวเลขหลักสุดท้ายไม่ได้ให้ความสำคัญแต่อย่างใด การที่ตัวเลขชุดอื่นใช้ไม่ได้ แสดงว่าเป็นการยืนยันว่ามีเพียงเลข 14 หลักแรกเท่านั้น ที่มีความสำคัญ และบันทึกการใช้โทรศัพท์ (log) ที่โจทก์ได้จาก DTAC และ TRUE นั้นเป็นหลักฐานที่ผู้ให้บริการมีหน้าที่ต้องจัดเก็บตามที่กฎหมายกำหนด หากผู้ให้บริการจัดเก็บไม่ถูกต้องลูกค้าย่อมไม่เชื่อถือ อาจเสียประโยชน์ทางธุรกิจได้ ดังนั้นจึงถือว่าหลักฐาน ในบันทึกการใช้โทรศัพท์ (log) ที่ได้รับถือเป็นเอกสารที่น่าเชื่อถือ
ข้อนี้จำเป็นต้องพิสูจน์ การจัดเก็บข้อมูลบันทึกการใช้โทรศัพท์ (log) ของบริษัทผู้ให้บริการมือถือทั้งหมดว่ามีการจัดเก็บตัวเลข IMEI อย่างถูกต้องตามหลักสากลหรือไม่ คือจัดเก็บครบทั้ง 15 หลัก และตัวเลขหลักสุดท้ายต้องเป็นตัวเลขสำหรับตรวจสอบความถูกต้องของตัวเลขทั้งหมด (Check digit) ที่คำนวณอย่างถูกต้องตามอัลกอริทึมของลุน ในกรณีที่เป็นโทรศัพท์มือถือที่ผลิตออกมาจากโรงงานผู้ผลิตอย่างถูกต้อง และไม่มีการแก้ไขดัดแปลงก็ควรจะมีการส่งข้อมูลตัวเลข IMEI ซึ่งมีตัวเลขหลักสุดท้ายที่คำนวณอย่างถูกต้องไปเก็บไว้ที่บันทึกการใช้งานของบริษัทผู้ให้บริหารมือถือตั้งแต่แรกอยู่แล้ว บริษัทผู้ให้บริการมือถือ จึงจำเป็นต้องจัดเก็บเลข IMEI ให้ถูกต้อง ทั้งยังมีความสำคัญอย่างยิ่งเพราะเป็นหลักฐานสำคัญนำไปสู่การสืบหาร่องรอยดิจิตัล (Digital Footprint) ยิ่งจำเป็นจะต้องสอบถามสาเหตุว่าเพราะเหตุใดจึงไม่มีการจัดเก็บข้อมูลตามมาตรฐานสากล เป็นไปได้หรือไม่ที่ในระบบบันทึกการใช้โทรศัพท์ (log) มีตัวเลข IMEI ของโทรศัพท์หลายเครื่องซ้ำซ้อนกันอยู่
เลข IMEI สามารถแก้ไขได้
ทนายฝ่ายนายอำพล พยายามชี้ให้เห็นว่าเลข IMEI ประจำเครื่องโทรศัพท์สามารถแก้ไขได้ การซักถามพยานบุคคลจากบริษัท TRUE ก็ยืนยันด้วยเช่นกันว่า เลข IMEI สามารถแก้ไขได้จากช่างซ่อมมือถือทั่วไป ข้อมูลในประเด็นนี้จะนำไปสู่ข้อสรุปตามสมมติฐานของทนายฝ่ายนายอำพลที่มองว่า อาจมีบุคคลอื่นสามารถใช้โทรศัพท์มือถือที่แก้ไขเลข IMEI ให้เป็นเลขเดียวกับโทรศัพท์ของนายอำพลเพื่อส่งข้อความ SMS หมิ่นฯ ได้ ประเด็นนี้ ขาดน้ำหนักเพราะทนายฝ่ายนายอำพลไม่สามารถหาผู้เชี่ยวชาญมายืนยันได้ ทั้งนี้แม้ว่าทนายฝ่ายนายอำพลจะไปปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านโทรคมนาคม ทั้งที่เป็นนักวิชาการด้านโทรคมนาคมจากสถาบันเทคโนโลยี และอาจารย์ที่เปิดร้านสอนวิชาซ่อมโทรศัพท์มือถือ แต่ไม่มีพยานผู้เชี่ยวชาญคนใดมาเบิกความเป็นพยานโดยตรงในศาลอย่างไรก็ตาม แม้อาจจะเป็นข้อบกพร่องของทนายฝ่ายนายอำพลที่ไม่สามารถหาผู้เชี่ยวชาญมาเป็นพยานในศาลได้ แต่มีการเผยแพร่เทคนิคการแก้ไขเลข IMEI ซึ่งเป็นข้อมูลที่เผยแพร่กันทั่วไปเป็นจำนวนมาก [6] สอดคล้องคำให้การของทนายฝ่ายนายอำพลที่ว่าหมายเลข IMEI นั้นสามารถแก้ไขได้โดยง่าย โดยมีอุปกรณ์ Flash box กับซอฟต์แวร์ในการแก้ไข วิธีการแก้ไขก็มีสอนกันตามโรงเรียนสอนซ่อมโทรศัพท์มือถือทั่วไป และสามารถแก้ไขได้โดยใช้เวลาไม่นาน เพียงแต่ต้องแก้ไขหมายเลข IMEI ให้ตรงกับหมายเลขที่มีอยู่จริงในระบบ ซึ่งหากทราบหมายเลขอยู่แล้วก็แก้ไขหมายเลข IMEI ได้ไม่ยาก
หลักยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลย (in dubio pro reo)
ในคดีอาญา โจทก์มีหน้าที่พิสูจน์ว่า มีการกระทำความผิดทางอาญาเกิดขึ้น และจำเลยเป็นผู้กระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ โดยต้องพิสูจน์ให้สิ้นสงสัยว่า จำเลยเป็นผู้กระทำความผิดจริงตามฟ้อง หากมีข้อสงสัย ก็ต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้นให้จำเลย ทั้งนี้ หมายถึงความสงสัยในข้อเท็จจริงตามสมควร ไม่ใช่ความสงสัยในข้อกฎหมายแกนกลางของคดีว่าใครเป็นผู้กระทำผิด ย่อมเลี่ยงไม่ได้ในการพิสูจน์ว่าเครื่องมือที่ใช้ในการกระทำความผิดเป็นโทรศัพท์มือถือของนายอำพล จริงหรือไม่ และนายอำพลเป็นผู้ส่งข้อความ sms ตามฟ้องโจทก์หรือไม่ ซึ่งหมายเลข IMEI ย่อมเป็นหลักฐานสำคัญ การที่มีปัญหาเรื่องตัวเลข IMEI จึงยังมีข้อสงสัยอยู่
หลักฐานพยานแวดล้อม อาทิเช่น การใช้งานโทรศัพท์ทั้งสองเลขหมายอยู่ในบริเวณใกล้เคียงกัน และไม่เคยมีข้อมูล IMEI ของเครื่องโทรศัพท์ซ้ำกัน ยังเป็นเพียงหลักฐานขั้นต้นที่ชี้เพียงว่าผู้กระทำความผิด
อาจอยู่ในบริเวณใกล้เคียงกันในเวลาเกิดเหตุ ทั้งนี้ยังต้องพิจารณาขอบข่ายของรัศมีเสาสัญญาณในการให้บริการโทรศัพท์ ซึ่งในคำให้การของเจ้าหน้าที่สอบสวนได้ระบุว่ามีการส่งข้อความในบริเวณขอบข่ายรัศมีการรับสัญญาณเสาสัญญาณหมายเลข CI 23672 [7] ซึ่งเสาสัญญาณดังกล่าวดังกล่าวกินพื้นที่บริเวณซอยวัดด่านสำโรงตั้งแต่ซอย 14-36 นั้นน่าสงสัยว่าเพียงพอหรือไม่ในการใช้เป็นหลักฐานยืนยันการกระทำความผิดของนายอำพล หรือข้อมูลจากบันทึกการใช้โทรศัพท์ (log) เป็นเพียงเครื่องชี้ทางสำหรับ
แนวทางการสอบสวนเท่านั้น หากจำเป็นต้องระบุการกระทำความผิดจริง เป็นไปได้หรือไม่ที่จะใช้เครื่องมือตรวจสอบทางนิติวิทยา (digital forensic) โดยหาเครื่องมือที่สามารถดึงข้อมูลจากโทรศัพท์ขึ้นมาว่ายังมีข้อมูลที่ทำการส่งนั้นค้างอยู่ในเครื่องโทรศัพท์หรือไม่ ทั้งนี้จากเอกสาร Guidelines on Cell Phone Forensics [8] ได้ระบุว่าการลบข้อความในโทรศัพท์นั้นไม่ได้เป็นการลบข้อความออกไปจริง เพียงแต่เป็นการบันทึกว่าข้อความดังกล่าวอยู่ในสถานะถูกลบออกไปเท่านั้น หากสามารถใช้เครื่องมือดังกล่าวดึงข้อความในโทรศัพท์ออกมาได้ ย่อมมีน้ำหนักที่หนักแน่นยิ่งในการระบุว่าโทรศัพท์ของนายอำพลนั่นเองที่เป็นเครื่องมือที่ใช้ในการกระทำความผิด แม้กระนั้น ก็ยังต้องหาวิธีสืบหาว่า นายอำพลเป็นผู้ส่งข้อความ sms ด้วยตนเองหรือผู้อื่นเป็นผู้ส่งกันแน่
การพิจารณาวินิจฉัยข้อเท็จจริงโดยใช้หลักฐานอย่างเพียงพอ จะช่วยสร้างการยอมรับในกระบวนการยุติธรรม และจะไม่ทำให้เกิดกระแสการต่อต้านและคัดค้านอย่างกว้างขวาง จนอาจกลายเป็นปัญหาน้ำผึ้งหยดเดียวดังที่เห็นอยู่ในขณะนี้
ข้อมูลอ้างอิง
[1] โปรดดูรายละเอียดของคดี ‘อากง SMS’ ทั้งหมดได้ที่ http://ilaw.or.th/node/1229[2] เราสามารถตรวจสอบหมายเลข IMEI ประจำโทรศัพท์ได้โดยการกดหมายเลขโทรออก *#06# สำหรับหมายเลข IMEI ชุดที่ระบุถึงนี้ยังมีปัญหา จะมีการอธิบายเพิ่มเติมในส่วน ‘สามประเด็นข้อขัดแย้ง’ ต่อไป
[3] โปรดดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ http://en.wikipedia.org/wiki/Luhn_algorithm
[4] โปรดดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ http://www.numberingplans.com/?page=analysis&sub=imeinr
[5] ดูตัวอย่างการถกเถียงผ่านเว็บไซต์ http://wintesla2003.com/topic/122327
[6] ดูตัวอย่างได้ที่ http://www.geocities.ws/phonethai/nkimei.htm
[7] เสาสัญญาณโทรศัพท์มือถือมีรัศมีการให้บริการที่แตกต่างกันตั้งแต่รัศมี 1 กิโลเมตร จนถึง 30 กิโลเมตร ดูข้อมูลเพิ่มเติมที่ http://en.wikipedia.org/wiki/Cellular_network
[8] เอกสารนี้เข้าถึงออนไลน์ได้ที่ http://csrc.nist.gov/publications/nistpubs/800-101/SP800-101.pdf
ที่มา.Siam Intelligence Unit
//////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
วันอาทิตย์ที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2554
ภารกิจด่วนภายในหนึ่งปี !!?
คอลัมน์ คนเดินตรอก
โดย วีรพงษ์ รามางกูร
อยู่ ๆ ก็ต้องกลับมาทำงานหลวงอีก ทั้ง ๆ ที่เว้นว่างมาหลายปี หลังจากต้องเข้าไปเป็นรองนายกรัฐมนตรีหลังวิกฤตการณ์ต้มยำกุ้ง ซึ่งก่อขึ้นโดยธนาคารแห่งประเทศไทย เมื่อเหตุการณ์คลี่คลายนายกรัฐมนตรี ลาออกก็เป็นอันพ้นหน้าที่
มาครั้งนี้ เกิดภาวะน้ำท่วมภาคกลางของประเทศไทยอย่างหนัก นั่งดูภาพทางโทรทัศน์นาน ๆ เข้าก็รู้สึกเครียด มีอารมณ์ร่วมกับประชาชนที่ถูกน้ำท่วม เพราะเคยมีประสบการณ์คราวเมื่อเกิดน้ำท่วมกรุงเทพฯตั้งแต่ปลายเดือนกันยายน ไปจนถึงวันเฉลิมฯจึงค่อยยังชั่ว ไปไหนมาไหนพอได้ ที่แห้งจริง ๆ ก็วันขึ้นปีใหม่
เมื่อนายกรัฐมนตรีเอ่ยปากขอให้ช่วยกันฟื้นฟูบ้านเมือง ฟื้นฟูเศรษฐกิจก็ตอบรับทันทีโดยไม่รีรอ รับทำงานให้ด้วยความเต็มใจ เพราะเห็นความทุกข์ร้อนของประชาชน ของประเทศชาติ เคยให้สัมภาษณ์ทางโทรทัศน์ว่าถ้าไม่รับก็คงจะใจดำกับประเทศชาติเกินไป
เมื่อรับแล้วก็ต้องตั้งใจทำงานเต็มที่ หลายคนบอกว่าจะมีปัญหาอย่างนั้นบ้างอย่างนี้บ้าง ก็บอกไปว่าทำงานก็ต้องมีปัญหา ปัญหานั้นมีไว้ให้แก้ ไม่ได้มีไว้ ให้หนี ปัญหานั้นเกิดจากมนุษย์ ดังนั้นมนุษย์ก็ต้องแก้ปัญหาได้ ท่านนายกฯชาติชายจึงบอกว่า "ไม่มีปัญหา" หรือ "No Problem" เมื่อนักข่าวไปถามว่า จะมีปัญหาอย่างนั้นอย่างนี้หรือไม่
เมื่อได้รับมอบหมายแล้วก็ต้องรีบทำการศึกษา ทำความเข้าใจภายในเวลาจำกัด เพราะได้ประกาศให้สัญญากับประชาชนไปแล้วว่า ปีหน้าแม้ฝนจะตกหนักเช่นปีนี้ น้ำก็จะต้องไม่ท่วมอย่างสาหัสสากรรจŒอย่างนี้
เป็นหมากบังคับว่า ภารกิจแรกก็คือ ต้องดำเนินการป้องกันอย่างสุดความสามารถตามหลักวิชาการ ไม่ให้น้ำท่วมอย่างปีนี้อีก
มีคนถามว่าจะทำอย่างไรกับเวลาแค่ 9 เดือน 10 เดือน ในช่วงเวลาอันสั้น ๆ นี้ ก็คงจะต้องใช้ของเดิมที่มีอยู่ให้ได้ประโยชน์สูงสุด ระบบที่มีอยู่ที่ได้ลงทุนทำเพื่อป้องกันน้ำท่วมมาเรื่อย ๆ ตั้งแต่หลังน้ำท่วมปี 2526 และปี 2538
เริ่มต้นจากการเปลี่ยนทัศนคติของเจ้าหน้าที่ในทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
ต่อไปนี้ต้องยอมรับว่าภูมิอากาศมีความแปรปรวนมากกว่าแต่ก่อนมาก แม้แต่ประธานบริษัท Lloyd of London หรือ ลอยด์แห่งลอนดอน ซึ่งได้พบกันเมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน เขาก็บอกว่าบริษัทลอยด์และบริษัทประกันภัยทั่วโลกต้องทบทวนเรื่องภัยธรรมชาติเสียใหม่ เพราะน้ำท่วม ฝนแล้ง แผ่นดินไหว สึนามิ ทุกอย่างเกิดถี่ขึ้นและรุนแรงมากขึ้น ดังนั้นเมื่อทั่วโลกเขายอมรับเรื่องการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ เราก็คงต้องยอมรับเช่นกัน
เมื่อยอมรับในเรื่องภูมิอากาศ ทัศนคติของหน่วยงานทั้งของรัฐบาลและของเอกชนก็ต้องเปลี่ยนไปด้วย กล่าวคือเมื่อก่อนกรมชลประทานก็ดี องค์การบริหารราชการส่วนภูมิภาคก็ดี หรือองค์การบริหารส่วนท้องถิ่นก็ดี มีแนวโน้มที่จะคิดหาน้ำหรือเก็บกักน้ำไว้ให้เกษตรกร อุตสาหกรรม ไฟฟ้า มีน้ำไว้ใช้เพาะปลูก มีน้ำไว้เดินเครื่องจักรหรือปั่นไฟ เพราะโดยปกติปริมาณน้ำที่ต้องการใช้ในเรื่องต่าง ๆ ตลอดทั้งปีจะมีปริมาณสูงกว่าปริมาณน้ำที่กักเก็บไว้ได้ เคยได้ยินว่าเรากักเก็บไว้ได้เพียง 20 เปอร์เซ็นต์ของปริมาณน้ำฝนที่ตกลงมาเท่านั้น อีก 80 เปอร์เซ็นต์เราปล่อยลงทะเล ไม่ได้ใช้ประโยชน์ ทัศนคติจึงมีแนวโน้มไปในทางกักเก็บน้ำมากกว่าระบายน้ำ
บัดนี้ ถ้าภูมิอากาศเปลี่ยนไป มีแล้ง มีท่วมถี่ขึ้น ทัศนคติต้องเปลี่ยนจากการหาน้ำกักเก็บน้ำมาเป็นการ "บริหารน้ำ" ให้เกิดความสมดุลระหว่างปริมาณทั้งที่ไหลลงมาจากทางเหนือกับการกักเก็บน้ำและระบายลงทะเล การจัดการกับปริมาณน้ำในแต่ละสัปดาห์ ในแต่ละเดือน การเมืองจะเข้ามายุ่งไม่ได้ ทำอย่างไรไม่ให้การเมืองเข้ามายุ่งก็คงต้องมีองค์กรอิสระ มีคณะกรรมการอิสระตัดสินใจและต้องอิสระจริง ๆ
หลังจากนั้นในเวลาอันจำกัด งานขุดลอก คู คลอง หนอง บึง ต้องรีบระดมกันทำอย่างรีบเร่ง เพราะระบบที่มีอยู่ตั้งแต่ท้ายเขื่อนเจ้าพระยา เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ เขื่อนทุ่งช้าง เรื่องระบบป้องกัน น้ำท่วมค่อนข้างสมบูรณ์ จะขาดก็แต่ทางระบายน้ำท่วม หรือ Floodway ลงทะเลเท่านั้นที่ยังไม่ได้ทำ
ที่ไม่สามารถใช้ประโยชน์เต็มที่ ก็เพราะเราละเลย ไม่ได้ดูแลขุดลอก ห้วยหนองคลองบึงที่ขุดไว้เป็นระบบในฤดูแล้ง เต็มไปด้วยวัชพืชขยะ ที่คลองบางซื่อน้ำไม่ไหลมาให้สูบออก เพราะพบที่นอนฟูก 6 หลังขยะมูลฝอยมาอุดตันคูคลองอยู่เต็ม
คลองหลักฝั่งต่าง ๆ ตั้งแต่อยุธยา เช่น ระบบคลองรังสิต คลองรพีพัฒน์ คลองหกวา คลองสามวา ควรจะขุดลอก คันกั้นน้ำก็ควรต้องเสริมให้สูงขึ้นให้แข็งแรงขึ้น
ประตูน้ำต่าง ๆ ก็เก่าแก่ชำรุดทรุดโทรม อาจจะต้องรื้อทำใหม่ ประตูน้ำสำคัญ ๆ มีตาแก่คนเดียวคอยเปิดคอยปิดประตูน้ำ ในรอบหนึ่งวันก็จะมีน้ำขึ้น น้ำลง ถ้าเกิดช่วงน้ำลง 2 ชั่วโมงเป็นตอนดึก ถ้าคนเฝ้าประตูน้ำนอนหลับ แกก็ไม่เปิดประตูน้ำให้น้ำไหลลงแม่น้ำ จึงมีภาพเครื่องสูบน้ำสูบน้ำจากที่ระดับสูงข้ามประตูน้ำไปที่ระดับต่ำกว่า
นอกจากนั้นคราวนี้ก็เห็นแล้วว่า พื้นที่ตรงไหนสูง ตรงไหนต่ำ น้ำท่วมสูงสุดระดับไหน คงไม่ต้องเสียเวลาทำวิจัย ออกแบบอะไรนัก ริมตลิ่ง ริมแม่น้ำคงต้องทำคันดิน ผนังซีเมนต์ตรงไหนทรุดก็ต้องเสริมขึ้นไป คันคูคงต้องเสริมขึ้นทั้งที่แม่น้ำท่าจีนและแม่น้ำบางปะกง แม่น้ำเจ้าพระยาที่ยังโหว่อยู่ตั้งแต่ฝั่งกรุงเทพฯและฝั่งธนบุรีก็คงต้องทำอย่างเร่งรีบ
เรื่องที่ต้องมีการตัดสินใจร่วมกันระหว่างรัฐบาลกลางกับรัฐบาลท้องถิ่น ก็ควรจะได้มีการจัดตั้งขึ้น เพื่อจะได้มาตรการป้องกันที่ดีที่สุดสำหรับประชาชนทั่วไปเป็นส่วนรวม ไม่ใช่ดีที่สุดสำหรับท้องถิ่นใดท้องถิ่นหนึ่งอย่างที่ทำกันในปีนี้
ทางด้านฝั่งธนบุรี หรือฝั่งตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยานั้น มีคลองหลัก คือคลองมหาสวัสดิ์ คลองทวีวัฒนา คลองภาษีเจริญ และคลองซอยและคลองสาขามากมาย แต่ไม่เป็นระบบเหมือนระบบคลองรังสิต คลองทางฝั่งตะวันออกของกรุงเทพฯและในจังหวัดสมุทรปราการ มาตรการเร่งด่วนก็คงเป็นเรื่องขุดลอก เก็บขยะวัชพืช เสริมคันดินให้สูงขึ้น หาทางส่งน้ำลงแม่น้ำท่าจีนให้เร็วขึ้น
น้ำท่วมเที่ยวนี้เห็นจุดอ่อนในเรื่องระบบการสูบน้ำ นอกจากไม่เพียงพอแล้ว หลายแห่งมีแต่หน้ากากตัวเครื่องสูบไม่มี บางแห่งภายในหน้ากากมีเครื่องสูบแต่เสียไม่ได้ซ่อมไว้ หลายแห่งเดินเครื่องจนเครื่องร้อนเพราะไม่ได้พักเครื่องจึงเสีย หลายแห่งพนักงานสูบน้ำไม่มีความรู้ เพราะจ้างชั่วคราวเอากับผู้ที่ปลูกบ้านรุกล้ำคูคลองลำน้ำ ถ้าสูบเต็มที่ก็กลัวจะท่วมบ้านตนเอง ก็เลยค่อย ๆ สูบ
ได้ยินว่ามีห้างสรรพสินค้าใหญ่แห่งหนึ่งแถวฝั่งธนบุรีสร้างขวางคลองอันเป็นอุปสรรคในการระบายน้ำ เมื่อเจ้าหน้าที่สั่งให้รื้อถอน ก็ยอมเสียค่าปรับเป็นรายวัน ไม่ยอมรื้อถอนเพราะค่าปรับรายวันถูกกว่าการรื้อถอนไปสร้างใหม่
บางที่กฎหมายต่าง ๆ อาจจะต้องทบทวนให้รัฐบาลกลางและรัฐบาล ท้องถิ่นมีอำนาจสั่งการและดำเนินการรื้อถอนได้เลยโดยไม่ต้องรอคำสั่งศาล หากความผิดนั้นชัดแจ้งและสร้างความเสียหายอย่างร้ายแรงกับประชาชนโดยส่วนรวม การบังคับใช้กฎหมายไม่รู้จะทำอย่างไรให้มันกระฉับกระเฉงมากกว่านี้
ภายในเวลาอันสั้นนี้มีเรื่องหลายเรื่องที่จะต้องทำแข่งกับเวลาพร้อม ๆ กันไป ทั้งเรื่องที่ไม่ต้องใช้เงินและเรื่องที่ต้องลงทุนใช้เงิน ฐานะการเงินของประเทศมั่นคงเพียงพอที่จะทำได้ ไม่ลำบากอะไร
เครื่องสูบน้ำนั้นเดี๋ยวนี้เขาทำเป็นระบบ ควบคุมด้วยคอมพิวเตอร์ เครื่องไหนร้อนต้องพัก เครื่องไหนเสีย เครื่องไหนถูกขยะ ถูกยางรถยนต์อุดตัน คอมพิวเตอร์จะบอกเสร็จ ประตูน้ำ ถ้าระดับน้ำในแม่น้ำต่ำกว่าระดับน้ำในคลอง เพราะน้ำลง ประตูน้ำก็เปิดโดยอัตโนมัติ ไม่ใช่ต้องไปปลุกตาแก่ลูกจ้างชั่วคราวเดินมาเปิดให้น้ำไหลลงแม่น้ำ แล้วอีก 2 ชั่วโมงกลับมาปิด ประตูน้ำ เพราะน้ำในแม่น้ำสูงกว่าน้ำในคลองที่สำคัญต้องซื้อของที่มีคุณภาพ ไม่ใช่เอาแต่ราคาถูกอย่างเดียว ต้องมีเครื่องสูบจริง ๆ ไม่ใช่มีแต่หน้ากากเหมือนอย่าง CCTV หรือกล้องวงจรปิด อุโมงค์ยักษ์ที่คุยนักคุยหนาคงต้องหาโอกาสไปเยี่ยมชม ทำอย่างไรจึงจะใช้งานได้เต็มที่ ดูเงียบ ๆ ไม่เหมือนตอนประมูลก่อสร้าง
สำหรับระยะยาวต้องลงทุนหลายอย่าง ในระยะจากนี้ไปถึง 5 ปี 10 ปี หรือ 15 ปีข้างหน้า ซึ่งมีงานศึกษาไว้หลายฉบับแล้ว อ่านดูก็มีแนวไปใน ทางเดียวกัน ไม่ได้ขัดแย้งกัน เมื่อจะ ตัดสินใจลงทุนก็คงต้องมีแผนหลัก หรือ master plan แล้วก็มีแผนรองแล้วแปลเป็นโครงการเปิดประมูล ถ้าเป็นไปได้เป็นการประมูลระหว่างประเทศ น่าจะได้ของดี ราคาเหมาะสม
ดูแล้วไม่ใช่เรื่องเหลือกำลัง อยู่ที่ความมุ่งมั่นเอาจริงเอาจังและความกล้าหาญทางการเมือง พวกที่รุกล้ำแม่น้ำลำคลองที่สาธารณะ ผมพร้อมแอ่นหน้าอกรับกระสุน ขอให้ฝ่ายการเมืองเอาจริงก็แล้วกัน
ที่พูดอย่างนี้ได้ เพราะไม่ได้คิดจะเล่นการเมือง
ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
////////////////////////////////////////////////////////////////////
โดย วีรพงษ์ รามางกูร
มาครั้งนี้ เกิดภาวะน้ำท่วมภาคกลางของประเทศไทยอย่างหนัก นั่งดูภาพทางโทรทัศน์นาน ๆ เข้าก็รู้สึกเครียด มีอารมณ์ร่วมกับประชาชนที่ถูกน้ำท่วม เพราะเคยมีประสบการณ์คราวเมื่อเกิดน้ำท่วมกรุงเทพฯตั้งแต่ปลายเดือนกันยายน ไปจนถึงวันเฉลิมฯจึงค่อยยังชั่ว ไปไหนมาไหนพอได้ ที่แห้งจริง ๆ ก็วันขึ้นปีใหม่
เมื่อนายกรัฐมนตรีเอ่ยปากขอให้ช่วยกันฟื้นฟูบ้านเมือง ฟื้นฟูเศรษฐกิจก็ตอบรับทันทีโดยไม่รีรอ รับทำงานให้ด้วยความเต็มใจ เพราะเห็นความทุกข์ร้อนของประชาชน ของประเทศชาติ เคยให้สัมภาษณ์ทางโทรทัศน์ว่าถ้าไม่รับก็คงจะใจดำกับประเทศชาติเกินไป
เมื่อรับแล้วก็ต้องตั้งใจทำงานเต็มที่ หลายคนบอกว่าจะมีปัญหาอย่างนั้นบ้างอย่างนี้บ้าง ก็บอกไปว่าทำงานก็ต้องมีปัญหา ปัญหานั้นมีไว้ให้แก้ ไม่ได้มีไว้ ให้หนี ปัญหานั้นเกิดจากมนุษย์ ดังนั้นมนุษย์ก็ต้องแก้ปัญหาได้ ท่านนายกฯชาติชายจึงบอกว่า "ไม่มีปัญหา" หรือ "No Problem" เมื่อนักข่าวไปถามว่า จะมีปัญหาอย่างนั้นอย่างนี้หรือไม่
เมื่อได้รับมอบหมายแล้วก็ต้องรีบทำการศึกษา ทำความเข้าใจภายในเวลาจำกัด เพราะได้ประกาศให้สัญญากับประชาชนไปแล้วว่า ปีหน้าแม้ฝนจะตกหนักเช่นปีนี้ น้ำก็จะต้องไม่ท่วมอย่างสาหัสสากรรจŒอย่างนี้
เป็นหมากบังคับว่า ภารกิจแรกก็คือ ต้องดำเนินการป้องกันอย่างสุดความสามารถตามหลักวิชาการ ไม่ให้น้ำท่วมอย่างปีนี้อีก
มีคนถามว่าจะทำอย่างไรกับเวลาแค่ 9 เดือน 10 เดือน ในช่วงเวลาอันสั้น ๆ นี้ ก็คงจะต้องใช้ของเดิมที่มีอยู่ให้ได้ประโยชน์สูงสุด ระบบที่มีอยู่ที่ได้ลงทุนทำเพื่อป้องกันน้ำท่วมมาเรื่อย ๆ ตั้งแต่หลังน้ำท่วมปี 2526 และปี 2538
เริ่มต้นจากการเปลี่ยนทัศนคติของเจ้าหน้าที่ในทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
ต่อไปนี้ต้องยอมรับว่าภูมิอากาศมีความแปรปรวนมากกว่าแต่ก่อนมาก แม้แต่ประธานบริษัท Lloyd of London หรือ ลอยด์แห่งลอนดอน ซึ่งได้พบกันเมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน เขาก็บอกว่าบริษัทลอยด์และบริษัทประกันภัยทั่วโลกต้องทบทวนเรื่องภัยธรรมชาติเสียใหม่ เพราะน้ำท่วม ฝนแล้ง แผ่นดินไหว สึนามิ ทุกอย่างเกิดถี่ขึ้นและรุนแรงมากขึ้น ดังนั้นเมื่อทั่วโลกเขายอมรับเรื่องการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ เราก็คงต้องยอมรับเช่นกัน
เมื่อยอมรับในเรื่องภูมิอากาศ ทัศนคติของหน่วยงานทั้งของรัฐบาลและของเอกชนก็ต้องเปลี่ยนไปด้วย กล่าวคือเมื่อก่อนกรมชลประทานก็ดี องค์การบริหารราชการส่วนภูมิภาคก็ดี หรือองค์การบริหารส่วนท้องถิ่นก็ดี มีแนวโน้มที่จะคิดหาน้ำหรือเก็บกักน้ำไว้ให้เกษตรกร อุตสาหกรรม ไฟฟ้า มีน้ำไว้ใช้เพาะปลูก มีน้ำไว้เดินเครื่องจักรหรือปั่นไฟ เพราะโดยปกติปริมาณน้ำที่ต้องการใช้ในเรื่องต่าง ๆ ตลอดทั้งปีจะมีปริมาณสูงกว่าปริมาณน้ำที่กักเก็บไว้ได้ เคยได้ยินว่าเรากักเก็บไว้ได้เพียง 20 เปอร์เซ็นต์ของปริมาณน้ำฝนที่ตกลงมาเท่านั้น อีก 80 เปอร์เซ็นต์เราปล่อยลงทะเล ไม่ได้ใช้ประโยชน์ ทัศนคติจึงมีแนวโน้มไปในทางกักเก็บน้ำมากกว่าระบายน้ำ
บัดนี้ ถ้าภูมิอากาศเปลี่ยนไป มีแล้ง มีท่วมถี่ขึ้น ทัศนคติต้องเปลี่ยนจากการหาน้ำกักเก็บน้ำมาเป็นการ "บริหารน้ำ" ให้เกิดความสมดุลระหว่างปริมาณทั้งที่ไหลลงมาจากทางเหนือกับการกักเก็บน้ำและระบายลงทะเล การจัดการกับปริมาณน้ำในแต่ละสัปดาห์ ในแต่ละเดือน การเมืองจะเข้ามายุ่งไม่ได้ ทำอย่างไรไม่ให้การเมืองเข้ามายุ่งก็คงต้องมีองค์กรอิสระ มีคณะกรรมการอิสระตัดสินใจและต้องอิสระจริง ๆ
หลังจากนั้นในเวลาอันจำกัด งานขุดลอก คู คลอง หนอง บึง ต้องรีบระดมกันทำอย่างรีบเร่ง เพราะระบบที่มีอยู่ตั้งแต่ท้ายเขื่อนเจ้าพระยา เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ เขื่อนทุ่งช้าง เรื่องระบบป้องกัน น้ำท่วมค่อนข้างสมบูรณ์ จะขาดก็แต่ทางระบายน้ำท่วม หรือ Floodway ลงทะเลเท่านั้นที่ยังไม่ได้ทำ
ที่ไม่สามารถใช้ประโยชน์เต็มที่ ก็เพราะเราละเลย ไม่ได้ดูแลขุดลอก ห้วยหนองคลองบึงที่ขุดไว้เป็นระบบในฤดูแล้ง เต็มไปด้วยวัชพืชขยะ ที่คลองบางซื่อน้ำไม่ไหลมาให้สูบออก เพราะพบที่นอนฟูก 6 หลังขยะมูลฝอยมาอุดตันคูคลองอยู่เต็ม
คลองหลักฝั่งต่าง ๆ ตั้งแต่อยุธยา เช่น ระบบคลองรังสิต คลองรพีพัฒน์ คลองหกวา คลองสามวา ควรจะขุดลอก คันกั้นน้ำก็ควรต้องเสริมให้สูงขึ้นให้แข็งแรงขึ้น
ประตูน้ำต่าง ๆ ก็เก่าแก่ชำรุดทรุดโทรม อาจจะต้องรื้อทำใหม่ ประตูน้ำสำคัญ ๆ มีตาแก่คนเดียวคอยเปิดคอยปิดประตูน้ำ ในรอบหนึ่งวันก็จะมีน้ำขึ้น น้ำลง ถ้าเกิดช่วงน้ำลง 2 ชั่วโมงเป็นตอนดึก ถ้าคนเฝ้าประตูน้ำนอนหลับ แกก็ไม่เปิดประตูน้ำให้น้ำไหลลงแม่น้ำ จึงมีภาพเครื่องสูบน้ำสูบน้ำจากที่ระดับสูงข้ามประตูน้ำไปที่ระดับต่ำกว่า
นอกจากนั้นคราวนี้ก็เห็นแล้วว่า พื้นที่ตรงไหนสูง ตรงไหนต่ำ น้ำท่วมสูงสุดระดับไหน คงไม่ต้องเสียเวลาทำวิจัย ออกแบบอะไรนัก ริมตลิ่ง ริมแม่น้ำคงต้องทำคันดิน ผนังซีเมนต์ตรงไหนทรุดก็ต้องเสริมขึ้นไป คันคูคงต้องเสริมขึ้นทั้งที่แม่น้ำท่าจีนและแม่น้ำบางปะกง แม่น้ำเจ้าพระยาที่ยังโหว่อยู่ตั้งแต่ฝั่งกรุงเทพฯและฝั่งธนบุรีก็คงต้องทำอย่างเร่งรีบ
เรื่องที่ต้องมีการตัดสินใจร่วมกันระหว่างรัฐบาลกลางกับรัฐบาลท้องถิ่น ก็ควรจะได้มีการจัดตั้งขึ้น เพื่อจะได้มาตรการป้องกันที่ดีที่สุดสำหรับประชาชนทั่วไปเป็นส่วนรวม ไม่ใช่ดีที่สุดสำหรับท้องถิ่นใดท้องถิ่นหนึ่งอย่างที่ทำกันในปีนี้
ทางด้านฝั่งธนบุรี หรือฝั่งตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยานั้น มีคลองหลัก คือคลองมหาสวัสดิ์ คลองทวีวัฒนา คลองภาษีเจริญ และคลองซอยและคลองสาขามากมาย แต่ไม่เป็นระบบเหมือนระบบคลองรังสิต คลองทางฝั่งตะวันออกของกรุงเทพฯและในจังหวัดสมุทรปราการ มาตรการเร่งด่วนก็คงเป็นเรื่องขุดลอก เก็บขยะวัชพืช เสริมคันดินให้สูงขึ้น หาทางส่งน้ำลงแม่น้ำท่าจีนให้เร็วขึ้น
น้ำท่วมเที่ยวนี้เห็นจุดอ่อนในเรื่องระบบการสูบน้ำ นอกจากไม่เพียงพอแล้ว หลายแห่งมีแต่หน้ากากตัวเครื่องสูบไม่มี บางแห่งภายในหน้ากากมีเครื่องสูบแต่เสียไม่ได้ซ่อมไว้ หลายแห่งเดินเครื่องจนเครื่องร้อนเพราะไม่ได้พักเครื่องจึงเสีย หลายแห่งพนักงานสูบน้ำไม่มีความรู้ เพราะจ้างชั่วคราวเอากับผู้ที่ปลูกบ้านรุกล้ำคูคลองลำน้ำ ถ้าสูบเต็มที่ก็กลัวจะท่วมบ้านตนเอง ก็เลยค่อย ๆ สูบ
ได้ยินว่ามีห้างสรรพสินค้าใหญ่แห่งหนึ่งแถวฝั่งธนบุรีสร้างขวางคลองอันเป็นอุปสรรคในการระบายน้ำ เมื่อเจ้าหน้าที่สั่งให้รื้อถอน ก็ยอมเสียค่าปรับเป็นรายวัน ไม่ยอมรื้อถอนเพราะค่าปรับรายวันถูกกว่าการรื้อถอนไปสร้างใหม่
บางที่กฎหมายต่าง ๆ อาจจะต้องทบทวนให้รัฐบาลกลางและรัฐบาล ท้องถิ่นมีอำนาจสั่งการและดำเนินการรื้อถอนได้เลยโดยไม่ต้องรอคำสั่งศาล หากความผิดนั้นชัดแจ้งและสร้างความเสียหายอย่างร้ายแรงกับประชาชนโดยส่วนรวม การบังคับใช้กฎหมายไม่รู้จะทำอย่างไรให้มันกระฉับกระเฉงมากกว่านี้
ภายในเวลาอันสั้นนี้มีเรื่องหลายเรื่องที่จะต้องทำแข่งกับเวลาพร้อม ๆ กันไป ทั้งเรื่องที่ไม่ต้องใช้เงินและเรื่องที่ต้องลงทุนใช้เงิน ฐานะการเงินของประเทศมั่นคงเพียงพอที่จะทำได้ ไม่ลำบากอะไร
เครื่องสูบน้ำนั้นเดี๋ยวนี้เขาทำเป็นระบบ ควบคุมด้วยคอมพิวเตอร์ เครื่องไหนร้อนต้องพัก เครื่องไหนเสีย เครื่องไหนถูกขยะ ถูกยางรถยนต์อุดตัน คอมพิวเตอร์จะบอกเสร็จ ประตูน้ำ ถ้าระดับน้ำในแม่น้ำต่ำกว่าระดับน้ำในคลอง เพราะน้ำลง ประตูน้ำก็เปิดโดยอัตโนมัติ ไม่ใช่ต้องไปปลุกตาแก่ลูกจ้างชั่วคราวเดินมาเปิดให้น้ำไหลลงแม่น้ำ แล้วอีก 2 ชั่วโมงกลับมาปิด ประตูน้ำ เพราะน้ำในแม่น้ำสูงกว่าน้ำในคลองที่สำคัญต้องซื้อของที่มีคุณภาพ ไม่ใช่เอาแต่ราคาถูกอย่างเดียว ต้องมีเครื่องสูบจริง ๆ ไม่ใช่มีแต่หน้ากากเหมือนอย่าง CCTV หรือกล้องวงจรปิด อุโมงค์ยักษ์ที่คุยนักคุยหนาคงต้องหาโอกาสไปเยี่ยมชม ทำอย่างไรจึงจะใช้งานได้เต็มที่ ดูเงียบ ๆ ไม่เหมือนตอนประมูลก่อสร้าง
สำหรับระยะยาวต้องลงทุนหลายอย่าง ในระยะจากนี้ไปถึง 5 ปี 10 ปี หรือ 15 ปีข้างหน้า ซึ่งมีงานศึกษาไว้หลายฉบับแล้ว อ่านดูก็มีแนวไปใน ทางเดียวกัน ไม่ได้ขัดแย้งกัน เมื่อจะ ตัดสินใจลงทุนก็คงต้องมีแผนหลัก หรือ master plan แล้วก็มีแผนรองแล้วแปลเป็นโครงการเปิดประมูล ถ้าเป็นไปได้เป็นการประมูลระหว่างประเทศ น่าจะได้ของดี ราคาเหมาะสม
ดูแล้วไม่ใช่เรื่องเหลือกำลัง อยู่ที่ความมุ่งมั่นเอาจริงเอาจังและความกล้าหาญทางการเมือง พวกที่รุกล้ำแม่น้ำลำคลองที่สาธารณะ ผมพร้อมแอ่นหน้าอกรับกระสุน ขอให้ฝ่ายการเมืองเอาจริงก็แล้วกัน
ที่พูดอย่างนี้ได้ เพราะไม่ได้คิดจะเล่นการเมือง
ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
////////////////////////////////////////////////////////////////////
วันเสาร์ที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2554
นิรโทษกรรม..ในมือภาคประชาชน !!?
และบนความเคลื่อนไหวทางการเมือง ท่ามกลางสถานการณ์ “มวลน้ำ ถล่มประเทศ!” ได้มีการเดินเกมอย่างซ่อนกล...โดยเฉพาะการเดินหน้าผลักดันปม “นิรโทษกรรม” นับจากที่รัฐนาวา “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” หวังทำคลอด! พระราชกฤษฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษแก่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เรื่อยไปถึงการ ปูดกระแส “พ.ร.บ.นิรโทษกรรม” อันเป็น การ “โยนหินถามทาง” จนทำให้คนซีกอริรัฐนาวา...! กลายเป็น “ปลาโง่” หลายตัวที่พลาดมาติดเบ็ด
ทว่า...สิ่งเหล่านี้ ก็เป็นเพียงละครลวงโลกฉากใหญ่เท่านั้น!!!
ดังเช่นที่ “ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง” แบไต๋เอาไว้ว่า...เป็นเพียงการ “สับขาหลอก” เพื่อเช็กกระแส!
ขณะที่ “คนเสื้อแดง” นำโดย “ขวัญชัย ไพรพนา” แกนนำคนรักอุดร ก็ปูพรม! รวบรวม 2 แสนรายชื่อ “คนรักทักษิณ!” เพื่อดันร่าง “พ.ร.บ.นิรโทษกรรม”
“แน่นอนขณะนี้จะเริ่มเปิดโต๊ะเพื่อขอรายชื่อประชาชนให้ครบ 2 แสนรายชื่อ ที่บริเวณสำนักงานชั่วคราวชมรมคนรักอุดร หลังจากนั้นวันที่ 17 ธ.ค.จะจัดเวทีปราศรัยใหญ่อีกครั้งเพื่อย้อนอดีตไปครั้งที่พรรคพลังประชาชนมาปราศรัยเมื่อปี 53 โดยในวันนั้นจะเป็นงานใหญ่จะมีคนเสื้อแดงทั้ง 20 จังหวัดภาคอีสานมาร่วมงานและลงรายชื่อเพื่อสนับสนุนรายชื่อครบ 2 แสนแน่นอน และจะมีแกนนำไม่ว่าจะเป็น จตุพร (พรหมพันธุ์) ณัฐวุฒิ (ใสยเกื้อ) มา ร่วมงานอีกครั้ง”
สิ่งที่แกนนำคนรักอุดรประกาศ ล้วน ตอกย้ำเจตนารมณ์ “เสื้อแดงภาคอีสาน” พร้อมให้การสนับสนุน และมั่นอกมั่นใจว่า “ผ่านฉลุย..!” เพราะในอดีตช่วงล่ารายชื่อถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษแก่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
ยิ่งไปกว่านั้น การทำคลอด! พ.ร.บ. นิรโทษกรรม ยังเป็นไปตามนโยบาย “พรรค เพื่อไทย” ที่เคยประกาศลั่นระหว่างหาเสียงกับคนอีสานว่าจะนำ พ.ต.ท.ทักษิณ กลับบ้าน!!!! ดังนั้น แม้จะต้องยอมถอยไม่ ออก พ.ร.ฎ.อภัยโทษ แต่คนเสื้อแดงก็ไม่ยอมกลับลำ พร้อมเดินหน้าต่อ...เพื่อออก พ.ร.บ.นิรโทษกรรม
วินาทีนี้ “กลุ่มคนเสื้อแดง” กำลังรอจนช่วงเวลาที่การเมืองสุกงอม เพื่อปลดเปลื้องพันธนาการทางการเมือง!!!
อีกด้านยังมีความเคลื่อนไหวที่น่าสนใจ นั่นคือการตั้งคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการสร้างความปรองดองแห่งชาติ สภาผู้แทนราษฎร ซึ่งมีที่มาจาก “ญัตติลับ-ลวง-พราง” ของ “บิ๊กบัง” พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน หัวหน้าพรรคมาตุภูมิ จากซีกฝ่ายค้าน
ปรากฏการณ์เหนือกระแสน้ำดังกล่าว ทำให้เกิดกระแสสังคมวิพากษ์อย่าง หนักว่า “บิ๊กบัง” แอบรับงาน พ.ต.ท.ทักษิณ เพื่อปูทางสู่การนิรโทษกรรมหรือไม่...! ขณะที่บางกระแส ลั่นดาลว่า...จากคนปฏิวัติทำลายระบอบประชาธิปไตย จะมา สร้างความปรองดองได้อย่างไร?!
แต่กระนั้น “พล.อ.สนธิ” ในฐานะประธาน กมธ.ปรองดอง ยังออกมาระบุถึงแนวทางนิรโทษกรรมให้กับคนหลากสี ทั้งเสื้อเหลือง...เสื้อแดง กระทั่งเจ้าหน้าที่รัฐ อันมีส่วนเกี่ยวข้องกับปฏิบัติการ “สลายการชุมนุม” และเหตุการณ์นองเลือด ช่วงเดือนเมษายน-พฤษภาคมปีก่อนนี้
นั่นจึงกลายเป็น “กลซ่อนเงื่อน” ที่สังคมกำลังข้องจิตว่า “เป็นการสมประโยชน์ทางการเมืองใช่หรือไม่..!”
“พิชญ์ พงษ์สวัสดิ์” อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ย้ำหัวตะปูในประเด็นนิรโทษกรรมว่า...น่าจะเป็นเรื่องดีกับทุกฝ่าย แต่หากมองในแง่ มุมของการลดความขัดแย้ง คงจะไม่มีผลอะไรมาก ซึ่งต้องหาว่าใครเป็นคนผิด เพราะเป็นเรื่องของกฎหมาย ซึ่งต้องเข้าใจ ก่อนว่าการนิรโทษกรรม กับการอภัยโทษ... ต่างกัน!!!
สำหรับการนิรโทษกรรม เป็นการยื่น ขอทางการเมือง เช่นการทำรัฐประหาร ส่วนมากจะยืนอยู่ตรงข้ามกับฝ่ายการเมือง บางครั้งอาจไม่ใช่ความผิด แต่อาจเป็นเรื่อง แนวคิดที่แตกต่างกัน ส่วนการขอพระราชทาน อภัยโทษก็เป็นไปตามกฎหมาย โดยมีการตัดสินรับโทษ แต่ได้รับความปรานีจากผู้ใหญ่ และยังต้องอาศัยปัจจัยอีกหลายอย่าง ทั้งเสียงประชาชน การตีความทางกฎหมาย และพระราชอำนาจ แม้ พ.ต.ท. ทักษิณ จะได้รับพระราชทานอภัยโทษในคดีที่ตัดสินไปแล้ว แต่ก็ยังมีอีกหลายคดีที่ อยู่ในชั้นศาล ท้ายที่สุดก็ต้องเข้าสู่กระบวน การยุติธรรมอยู่ดี
“ผมไม่คิดว่าการออกกฎหมายนิรโทษกรรมคราวนี้จะมีประโยชน์! เพราะ คนที่คิดว่ารัฐบาลจะออกกฎหมายช่วย พ.ต.ท.ทักษิณก็ไม่ได้อยากให้ช่วย แต่ต้องการจะต่อสู้เพื่อให้ความจริงปรากฏมากกว่า และที่ตลกไปกว่านั้น เพราะคนแรกที่เสนอเรื่องออกกฎหมายนิรโทษกรรม คือ พล.อ.สนธิ”
อีกทรรศนะจาก รศ.ชลิดาภรณ์ ส่งสัมพันธ์ อาจารย์ประจำภาควิชาการเมือง การปกครอง คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัย ธรรมศาสตร์ ที่ย้ำหัวตะปูว่า...จากประวัติศาสตร์การเมืองไทย เรื่องการนิรโทษกรรม คงเลี่ยงไม่ได้ แต่ขึ้นอยู่ว่าจะช้าหรือเร็ว แต่ ก็เป็นคนละประเด็น! กับการปรองดอง ส่วน สาระสำคัญการนิรโทษกรรมของกลุ่มผู้ชุมนุมทางการเมือง และเจ้าหน้าที่รัฐ เรื่องนี้เป็นสิ่งที่ต้องขบคิดให้ดี ถ้าหากไปนิรโทษกรรมให้กลุ่มก้อนเดียวกับรัฐบาลก็จะเกิดปัญหาไม่จบสิ้น
อนาคตของ พ.ร.บ.นิรโทษกรรมที่เสนอโดยภาคประชาชนจะ “คลอด” หรือ “แท้ง”...ความหวังของคนเสื้อแดงที่จะนำ “อดีตนายกฯ ทักษิณ” กลับบ้านได้หรือไม่???
คำตอบสุดท้ายย่อมมีบังเกิดที่ปลายทาง และนี่คืออีกหนึ่งบทพิสูจน์บนความเคลื่อนไหวของมวลชนรากหญ้า ที่กำลังดำเนินไปบนปริมณฑลการเมืองไทย..
แพ้ชนะไม่สลักสำคัญ นี่แหละสีสันประชาธิปไตย!!!
ที่มา.สยามธุรกิจออนไลน์
//////////////////////////////////////////////////////
ทว่า...สิ่งเหล่านี้ ก็เป็นเพียงละครลวงโลกฉากใหญ่เท่านั้น!!!
ดังเช่นที่ “ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง” แบไต๋เอาไว้ว่า...เป็นเพียงการ “สับขาหลอก” เพื่อเช็กกระแส!
ขณะที่ “คนเสื้อแดง” นำโดย “ขวัญชัย ไพรพนา” แกนนำคนรักอุดร ก็ปูพรม! รวบรวม 2 แสนรายชื่อ “คนรักทักษิณ!” เพื่อดันร่าง “พ.ร.บ.นิรโทษกรรม”
“แน่นอนขณะนี้จะเริ่มเปิดโต๊ะเพื่อขอรายชื่อประชาชนให้ครบ 2 แสนรายชื่อ ที่บริเวณสำนักงานชั่วคราวชมรมคนรักอุดร หลังจากนั้นวันที่ 17 ธ.ค.จะจัดเวทีปราศรัยใหญ่อีกครั้งเพื่อย้อนอดีตไปครั้งที่พรรคพลังประชาชนมาปราศรัยเมื่อปี 53 โดยในวันนั้นจะเป็นงานใหญ่จะมีคนเสื้อแดงทั้ง 20 จังหวัดภาคอีสานมาร่วมงานและลงรายชื่อเพื่อสนับสนุนรายชื่อครบ 2 แสนแน่นอน และจะมีแกนนำไม่ว่าจะเป็น จตุพร (พรหมพันธุ์) ณัฐวุฒิ (ใสยเกื้อ) มา ร่วมงานอีกครั้ง”
สิ่งที่แกนนำคนรักอุดรประกาศ ล้วน ตอกย้ำเจตนารมณ์ “เสื้อแดงภาคอีสาน” พร้อมให้การสนับสนุน และมั่นอกมั่นใจว่า “ผ่านฉลุย..!” เพราะในอดีตช่วงล่ารายชื่อถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษแก่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
ยิ่งไปกว่านั้น การทำคลอด! พ.ร.บ. นิรโทษกรรม ยังเป็นไปตามนโยบาย “พรรค เพื่อไทย” ที่เคยประกาศลั่นระหว่างหาเสียงกับคนอีสานว่าจะนำ พ.ต.ท.ทักษิณ กลับบ้าน!!!! ดังนั้น แม้จะต้องยอมถอยไม่ ออก พ.ร.ฎ.อภัยโทษ แต่คนเสื้อแดงก็ไม่ยอมกลับลำ พร้อมเดินหน้าต่อ...เพื่อออก พ.ร.บ.นิรโทษกรรม
วินาทีนี้ “กลุ่มคนเสื้อแดง” กำลังรอจนช่วงเวลาที่การเมืองสุกงอม เพื่อปลดเปลื้องพันธนาการทางการเมือง!!!
อีกด้านยังมีความเคลื่อนไหวที่น่าสนใจ นั่นคือการตั้งคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการสร้างความปรองดองแห่งชาติ สภาผู้แทนราษฎร ซึ่งมีที่มาจาก “ญัตติลับ-ลวง-พราง” ของ “บิ๊กบัง” พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน หัวหน้าพรรคมาตุภูมิ จากซีกฝ่ายค้าน
ปรากฏการณ์เหนือกระแสน้ำดังกล่าว ทำให้เกิดกระแสสังคมวิพากษ์อย่าง หนักว่า “บิ๊กบัง” แอบรับงาน พ.ต.ท.ทักษิณ เพื่อปูทางสู่การนิรโทษกรรมหรือไม่...! ขณะที่บางกระแส ลั่นดาลว่า...จากคนปฏิวัติทำลายระบอบประชาธิปไตย จะมา สร้างความปรองดองได้อย่างไร?!
แต่กระนั้น “พล.อ.สนธิ” ในฐานะประธาน กมธ.ปรองดอง ยังออกมาระบุถึงแนวทางนิรโทษกรรมให้กับคนหลากสี ทั้งเสื้อเหลือง...เสื้อแดง กระทั่งเจ้าหน้าที่รัฐ อันมีส่วนเกี่ยวข้องกับปฏิบัติการ “สลายการชุมนุม” และเหตุการณ์นองเลือด ช่วงเดือนเมษายน-พฤษภาคมปีก่อนนี้
นั่นจึงกลายเป็น “กลซ่อนเงื่อน” ที่สังคมกำลังข้องจิตว่า “เป็นการสมประโยชน์ทางการเมืองใช่หรือไม่..!”
“พิชญ์ พงษ์สวัสดิ์” อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ย้ำหัวตะปูในประเด็นนิรโทษกรรมว่า...น่าจะเป็นเรื่องดีกับทุกฝ่าย แต่หากมองในแง่ มุมของการลดความขัดแย้ง คงจะไม่มีผลอะไรมาก ซึ่งต้องหาว่าใครเป็นคนผิด เพราะเป็นเรื่องของกฎหมาย ซึ่งต้องเข้าใจ ก่อนว่าการนิรโทษกรรม กับการอภัยโทษ... ต่างกัน!!!
สำหรับการนิรโทษกรรม เป็นการยื่น ขอทางการเมือง เช่นการทำรัฐประหาร ส่วนมากจะยืนอยู่ตรงข้ามกับฝ่ายการเมือง บางครั้งอาจไม่ใช่ความผิด แต่อาจเป็นเรื่อง แนวคิดที่แตกต่างกัน ส่วนการขอพระราชทาน อภัยโทษก็เป็นไปตามกฎหมาย โดยมีการตัดสินรับโทษ แต่ได้รับความปรานีจากผู้ใหญ่ และยังต้องอาศัยปัจจัยอีกหลายอย่าง ทั้งเสียงประชาชน การตีความทางกฎหมาย และพระราชอำนาจ แม้ พ.ต.ท. ทักษิณ จะได้รับพระราชทานอภัยโทษในคดีที่ตัดสินไปแล้ว แต่ก็ยังมีอีกหลายคดีที่ อยู่ในชั้นศาล ท้ายที่สุดก็ต้องเข้าสู่กระบวน การยุติธรรมอยู่ดี
“ผมไม่คิดว่าการออกกฎหมายนิรโทษกรรมคราวนี้จะมีประโยชน์! เพราะ คนที่คิดว่ารัฐบาลจะออกกฎหมายช่วย พ.ต.ท.ทักษิณก็ไม่ได้อยากให้ช่วย แต่ต้องการจะต่อสู้เพื่อให้ความจริงปรากฏมากกว่า และที่ตลกไปกว่านั้น เพราะคนแรกที่เสนอเรื่องออกกฎหมายนิรโทษกรรม คือ พล.อ.สนธิ”
อีกทรรศนะจาก รศ.ชลิดาภรณ์ ส่งสัมพันธ์ อาจารย์ประจำภาควิชาการเมือง การปกครอง คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัย ธรรมศาสตร์ ที่ย้ำหัวตะปูว่า...จากประวัติศาสตร์การเมืองไทย เรื่องการนิรโทษกรรม คงเลี่ยงไม่ได้ แต่ขึ้นอยู่ว่าจะช้าหรือเร็ว แต่ ก็เป็นคนละประเด็น! กับการปรองดอง ส่วน สาระสำคัญการนิรโทษกรรมของกลุ่มผู้ชุมนุมทางการเมือง และเจ้าหน้าที่รัฐ เรื่องนี้เป็นสิ่งที่ต้องขบคิดให้ดี ถ้าหากไปนิรโทษกรรมให้กลุ่มก้อนเดียวกับรัฐบาลก็จะเกิดปัญหาไม่จบสิ้น
อนาคตของ พ.ร.บ.นิรโทษกรรมที่เสนอโดยภาคประชาชนจะ “คลอด” หรือ “แท้ง”...ความหวังของคนเสื้อแดงที่จะนำ “อดีตนายกฯ ทักษิณ” กลับบ้านได้หรือไม่???
คำตอบสุดท้ายย่อมมีบังเกิดที่ปลายทาง และนี่คืออีกหนึ่งบทพิสูจน์บนความเคลื่อนไหวของมวลชนรากหญ้า ที่กำลังดำเนินไปบนปริมณฑลการเมืองไทย..
แพ้ชนะไม่สลักสำคัญ นี่แหละสีสันประชาธิปไตย!!!
ที่มา.สยามธุรกิจออนไลน์
//////////////////////////////////////////////////////
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)