โดย สุรศักดิ์ ธรรมโม
ในสัปดาห์ที่แล้ว ผมได้เกริ่นถึงบทวิเคราะห์ของสถาบันการเงินชั้นนำของโลก Goldman Sachs ที่เชื่อมั่นค่อนข้างมาก โดยคาดว่าในปีนี้ เศรษฐกิจโลกจะฟื้นตัวอย่างแท้จริง โดยเฉพาะเศรษฐกิจสหรัฐ ความมั่นใจของ Goldman Sachs ยังสะท้อนออกมาที่อดีตนักเศรษฐศาสตร์ชื่อดังที่สุดคนหนึ่งของโลก นายจิม โอนีลส์ ซึ่งปัจจุบันเป็นประธาน Goldman Sachs Asset Management ได้ออกจดหมายถึงลูกค้าในวันที่ 8 ม.ค. 2554 (A Reasonably Kind Start to 2011, Jan 8 2011) และเขียนบทความลงหนังสือพิมพ์ Financial Times ในวันที่ 10 ม.ค. 2554 (This will be the year of US comeback, Jan 10, 2011) ซึ่งผมเห็นว่าเนื้อหาและสาระที่นายโอนีลส์ได้เขียนนั้น มีความน่าสนใจมากเลยทีเดียว จึงได้สรุปมาให้ผู้อ่านได้ทราบกัน
นายโอนีลส์ ประเมินว่า ในอดีตก่อนวิกฤตเศรษฐกิจโลกในปี 2551 นั้น เศรษฐกิจสหรัฐมีอาการน่ากังวลในเรื่องของความยั่งยืนของการขยายตัวทางเศรษฐกิจ จากปัญหาอัตรากรออมที่ต่ำและการที่ระดับการบริโภคของคนสหรัฐซึ่งคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 70% ของจีดีพีนั้นโดยมากมาจากการกู้ และประการสำคัญแหล่งเงินที่ให้กู้นั้นมาจากต่างประเทศ แต่ ณ ขณะนี้ นายโอนีลส์มองสถานะเศรษฐกิจสหรัฐนั้นแตกต่างจากอดีตสองประการ
ประการแรก มาจากอำนาจทางเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้นของกลุ่มประเทศ BRIC ซึ่งประกอบไปด้วย บราซิล รัสเซีย อินเดีย และจีน ผนวกของกลุ่มประเทศที่เศรษฐกิจขยายตัว เช่น อินโดนีเซีย เกาหลีใต้ และตุรกี ด้วยอำนาจทางเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศเหล่านี้ ผลคือ เศรษฐกิจโลกฟื้นตัวได้ง่ายกว่าที่นักวิเคราะห์และนักเศรษฐศาสตร์ทั้งหลายได้คาดไว้ ซึ่งนี่คือเรื่องน่าประหลาดใจของนายโอนีลส์ในปีที่ผ่านมา
ประการที่สอง ด้วยลักษณะของผู้บริโภคสหรัฐ ทำให้นายโอนีลส์เชื่อว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะไม่เผชิญชะตากรรมที่เศรษฐกิจญี่ปุ่นนั้นได้เผชิญกับภาวะเงินฝืดและเศรษฐกิจขยายตัวในอัตราที่ต่ำมากใน 2 ทศวรรษก่อน ซึ่งนายโอนีลส์ประเมินว่า นี่จะเป็นเรื่องประหลาดใจของตลาดในปีนี้
โดยนายโอนีลส์ได้ขยายความว่า ในอดีตก่อนวิกฤตอัตราการออมส่วนบุคคลของสหรัฐอยู่ในอัตราที่ต่ำมาก คือ เกือบ 0% ซึ่งนำไปสู่การที่คนสหรัฐกู้เงินมาบริโภคและสถาบันการเงินออกตราสารทางการเงินที่ซับซ้อนรวมทั้งการที่เศรษฐกิจสหรัฐต้องพึ่งพาเงินจากต่างประเทศทั้งหมดล้วนมีรากเหล้ามาจากการที่คนสหรัฐมีอัตราการออมส่วนบุคคลที่ต่ำทั้งสิ้น ทั้งนี้เศรษฐกิจใดเศรษฐกิจหนึ่งนั้นไม่สามารถจะพึ่งการยืมนั้นมาจากต่างประเทศ
ปัจจุบันเศรษฐกิจสหรัฐมีพัฒนาการที่ดีขึ้นกว่าในอดีตมาก โดยอัตราการออมส่วนบุคคลได้เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 5-6% แต่อัตราการออมที่นายโอนีลส์คิดว่าเหมาะสมนั้นอยู่ที่ 8-10% แต่ในอัตราการออมปัจจุบันนี้ นายโอนีลส์เห็นว่าก็ใกล้เคียงกับอัตราที่เหมาะสมแล้ว
ประการสำคัญคือ หลังวิกฤตเศรษฐกิจพบว่าองค์กรธุรกิจของสหรัฐที่มีบทบาทอย่างสูงในเศรษฐกิจ ไม่ได้เสียหายอย่างรุนแรง ซึ่งสะท้อนถึงประสิทธิภาพการผลิตที่สูงของเศรษฐกิจสหรัฐ ผนวกกับโครงสร้างของปนระชากรสหรัฐที่มีลักษณะพลวัต คือ สหรัฐเปิดกว้างให้มีการเคลื่อนย้ายประชากรจากต่างประเทศเข้ามาทำงานในสหรัฐ ผลคือ เศรษฐกิจสหรัฐมีแนวโน้มที่จะขยายตัวในอัตราที่ใกล้เคียงกับ 3% ต่อปี ด้วยจุดแข็งของลักษณะพลวัตในการจ้างงานนี้เอง ทำให้เศรษฐกิจสหรัฐแตกต่างจากเศรษฐกิจญี่ปุ่น
นอกจากนี้ ปัจจัยอีกประการ คือ การที่รัฐบาลมีการตัดสินใจที่เด็ดขาดในการแก้ไขปัญหาทางเศรษบกิจ แม้ว่าจะมีความขัดแย้งอย่างรุนแรงระหว่างพรรคเดโมแครตและพรรครีพับลิกันในรัฐสภาสหรัฐให้ได้ทราบกันก็ตาม นี่คือจุดเด่นที่แตกต่างจากญี่ปุ่นและยุโรป ยิ่งไปกว่านั้น พฤติกรรมของธนาคารกลางสหรัฐและผลการเลือกตั้งสหรัฐในปลายปีที่ผ่านมา ซึ่งพรรคเดโมแครตแพ้การเลือกตั้งในสภาผู้แทนราษฎรจำนวนมากนั้น กลับมีส่วนช่วยให้เศรษฐกิจสหรัฐได้ขยายตัวตามศักยภาพ
กล่าวคือ ในปีที่แล้วธนาคารกลางสหรัฐ ได้สิ่งที่ควรต้องทำด้วยการสู้กับปัญหาเงินเฟ้อด้วยการพิมพ์เงินขึ้นมา และการที่นักการเมืองได้ข้อตกลงร่วมกันในการขยายการขาดดุลการคลังเป็นการชั่วคราว แต่ให้คำมั่นในการควบคุมขนาดของการขาดดุลการคลังให้ลดลงในอนาคตนั้น ทำให้ภาคธุรกิจมีความมั่นใจมากขึ้น กล่าวคือ ทั้งธนาคารกลางและนักการเมืองได้แก้ปัญหาเงินฝืดในระยะสั้นและมุ่งมั่นในการลดปัญหาการขาดดุลการคลัง ซึ่งจะลดความเสี่ยงที่อนาคตเศรษฐกิจสหรัฐจะเผชิญปัญหาเงินเฟ้อ
สัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐได้เห็นชัดตั้งแต่เดือน พ.ย. ในปลายปีที่ผ่านมา ทั้งการขยายตัวของภาตคการผลิตและการจ้างงานที่เพิ่มขึ้นในเดือน ธ.ค.
ในแง่ส่วนของผลกระทบต่อเศรษฐกิจประเทศอื่น ๆ นั้น นายโอนีลส์เห็นว่าปัจจุบันความรู้สึกในการหาผู้ที่มีส่วนก่อให้เกิดวิกฤตเศรษฐกิจนั้นลดลง ผลคือ ความสัมพันธ์ระหว่างภาคธุรกิจกับรัฐบาลเริ่มดีขึ้น ซึ่งไม่เกิดแค่ในสหรัฐเท่านั้น
***********************************************
วันจันทร์ที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2554
9 ปฏิบัติการฟรีภาษีประชาชน ทำจริง-จ่ายจริงปีละ 6 แสนล้าน
ทั้งผลงานรัฐบาล 2 ปี ทั้ง แคมเปญประชาวิวัฒน์ หรือของขวัญ 9 ข้อ และปฏิบัติการ ปฏิรูปประเทศไทย คือแนวทางต่อยอดนโยบายประชานิยม
บางแคมเปญถูกคิดค้นขึ้นใหม่จากไอเดียพรรคประชาธิปัตย์ แต่มีบางข้อที่ถูกปัดฝุ่นจากรัฐบาลเก่า
แต่ทุกข้อ-ทุกคำในแคมเปญ ครอบคลุมคนรายได้น้อย-ด้อยโอกาสทั้งประเทศ
เป็นแนวทางตามที่ "อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" นายกรัฐมนตรี เคยประกาศเป็นวรรคทองไว้ว่า "ภายในปี 2560 ประเทศไทยจะเป็นสังคมที่มีสวัสดิการ คนไทยทุกคนมีหลักประกันครบถ้วน"
คำสั่งนายกรัฐมนตรีจึงถูกนำไปสู่การปฏิบัติการ ทำตัวเลข จัดตารางงบประมาณสำหรับสวัสดิการทุกด้าน ทั้งเรียนฟรี-เดินทางฟรี-ค่าไฟฟรี และมีหลักประกันค่ารักษาพยาบาลฟรี
แผนปฏิบัติการ-ปฏิรูปประเทศไทยจึงถูกมอบหมายให้ "ทีมงานนายกรัฐมนตรี" รับไม้ต่อไปดำเนินการ อาทิ ด้านการสร้างระบบเศรษฐกิจที่เท่าเทียมและเป็นธรรม อยู่ในมือของเลขาธิการนายกรัฐมนตรี และ นายสาวิตต์ โพธิวิหค ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี
ด้านการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนและขยายระบบสวัสดิการสังคม ถูกมอบหมายให้ นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และ คุณหญิงสุพัตรา มาศดิตถ์ ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี
ด้านการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม การเมือง และความไม่เท่าเทียมในสังคม ถูกสั่งการให้ นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี รับผิดชอบร่วมกับ นายบัณฑิต ศิริพันธุ์ ที่ปรึกษาด้านกฎหมายของนายกรัฐมนตรี
ด้านการสร้างอนาคตของชาติด้วยการพัฒนาคน เด็กและเยาวชน นายกรัฐมนตรีอาสาเป็นผู้รับผิดชอบหลักด้วยตัวเองร่วมกับที่ปรึกษาคู่ใจ นายกนก วงษ์ตระหง่าน
หากนับจำนวนเด็กนักเรียนชั้นประถม-มัธยมต้น-มัธยมปลาย/สายสามัญ ที่ได้เรียนฟรีทั้งประเทศ
หากนับจำนวนแรงงานนอกระบบไม่น้อยกว่า 24 ล้านคน
หากนับผู้ได้รับอานิสงส์จากระบบสวัสดิการรักษาพยาบาล ทั้งข้าราชการและผู้อยู่ในระบบประกันสังคม และโครงการ 30 บาทรักษาฟรี การสงเคราะห์คนว่างงานและชราภาพ
และนับจำนวนผู้สูงอายุ กลุ่มผู้พิการและเด็กด้อยโอกาสแล้ว คาดว่ารัฐบาลอาจต้องใช้เงินอุดหนุนเฉลี่ยไม่น้อยกว่าปีละ 6 แสนล้าน (นับจากปีงบประมาณ 2555-2559) ที่มีอัตราเพิ่มตามจำนวนประชากร
ดังนั้น หากนับจำนวนอย่างหยาบ ๆ จะมีประชาชนที่ได้รับอานิสงส์จากแคมเปญ-ของขวัญ "9 ข้อประชาวิวัฒน์" ไม่ต่ำกว่า 31 ล้านครัวเรือน
แต่มีผู้ที่เสียประโยชน์ ขาดทุนกำไร เป็นเจ้าของบริษัทยักษ์ใหญ่วงการน้ำมันและสินค้าเกษตร ผู้ครอบครองส่วนแบ่งตลาดอันดับหนึ่งตลอดกาลไม่ต่ำกว่าปีละ 10,000 ล้านบาท
เพียงแค่ฝ่ายรัฐบาลจัดงบประมาณหว่านลงไป เพื่อชิมลางเป็นหัวเชื้อในแผนปฏิบัติการ-ปฏิรูปประเทศไทยในเดือนมกราคม ก็ใช้วงเงิน 9,190.30 ล้านบาท
โดยหวังจะช่วยให้คนไทย เด็ก เยาวชน ผู้พิการ คนจนและคนด้อยโอกาสได้รับอานิสงส์ และมีหลักประกันทางสังคมที่มีคุณภาพ ได้รับความเป็นธรรมและเท่าเทียม จากการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจและสังคม
จำแนกประชาชนที่ได้รับผลจากนโยบาย "สวัสดิการ" เฉพาะการสร้างอนาคตของชาติด้วยการพัฒนาคนเด็กและเยาวชน มีผู้ได้รับประโยชน์ 11.1 ล้านคน แบ่งเป็นกลุ่มเด็กและเยาวชนที่อยู่ในวัยเรียนที่ขาดโอกาสทางการศึกษาและประชาชนที่ต้องการศึกษาและพัฒนาเด็กนอกระบบการศึกษาอายุ 3-17 ปีจำนวน 1.7 ล้านคน เด็กพิการ 0-17 ปี จำนวนประมาณ 100,000 คน
ส่วนเด็กที่อยู่นอกระบบการศึกษา ประชากรที่ต้องการพัฒนาขีดความสามารถตนเอง 8.8 ล้านคน เด็กนักเรียนในชนบทห่างไกล 500,000 คน เด็กที่ถูกดำเนินคดี 50,000 คน ครูสอนดีทุกจังหวัดทั่วประเทศ 60,000 คน
ด้านยกระดับคุณภาพชีวิตและสวัสดิการสังคม จากการจัดระบบสวัสดิการสังคม ให้ครอบคลุมแม่และเด็ก 5.1 ล้านคน โดยเป็นกลุ่มแม่และเด็กอายุ 0-2 ปี จำนวน 2.4 ล้านคน เด็กอายุ 3-5 ปี จำนวน 2.7 ล้านคน
การแก้ไขปัญหาที่ดินทำกิน ครอบคลุมราษฎรที่ไม่มีที่ดินทำกินของตนเอง 546,942 ครัวเรือน การแก้ไขปัญหา ที่อยู่อาศัยในชนบท กลุ่มเป้าหมาย 50,000 ครัวเรือน ใน 500 ตำบล
ด้านการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม การเมือง และความไม่เท่าเทียมในสังคม มีผู้ได้รับประโยชน์ในระดับตำบล 1,000 ชุมชนทั่วประเทศ มีอาสาสมัครยุติธรรมชุมชน 99,000 คน ทำหน้าที่ไกล่เกลี่ย ข้อพิพาท
ยุทธศาสตร์นี้สามารถลดข้อพิพาทในชุมชนได้มากกว่าร้อยละ 70 ซึ่งลดค่าใช้จ่ายในการเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมรายละประมาณ 144,946 บาท
ด้านการสร้างระบบเศรษฐกิจที่เท่าเทียมและเป็นธรรม จะทำให้เกษตรกรกว่า 300,000 คน มีต้นทุนสุกรลดลง 4-7 บาทต่อกิโลกรัม และต้นทุนไข่ไก่ลดลง 30-60 สตางค์ต่อฟอง
ผู้บริโภคกว่า 67 ล้านคน ได้ซื้อไข่ไก่ ถูกลงจากการซื้อเป็นกิโลกรัมประมาณ 5-10 สตางค์ต่อฟอง และสามารถหา แหล่งซื้อที่ถูกลงจากการเปรียบเทียบ ราคาผ่านทางเว็บไซต์และรายการทีวี
มีผู้ที่รายได้น้อยกว่า 9.1 ล้านครัวเรือน ได้ประโยชน์จากมาตรการไฟฟ้าฟรี ประหยัดเงินได้เฉลี่ย 135 บาทต่อเดือน หรือเฉลี่ย 1,620 บาทต่อปี
คนไทยทั้งประเทศได้ประโยชน์จากการลดภาระอุดหนุนแอลพีจี นำเงินที่ประหยัดได้ไปใช้ในการลดราคาน้ำมันเบนซิน แก๊สโซฮอล์ และ/หรือใช้อุดหนุนราคาน้ำมันดีเซล
ผู้ที่อยู่ในเศรษฐกิจนอกระบบประกอบอาชีพได้อย่างถูกกฎหมายมีรายได้เพิ่มขึ้น เข้าถึงแหล่งเงินทุนในระบบได้ง่ายในอัตราดอกเบี้ยที่เหมาะสมและเพียงพอต่อการประกอบอาชีพ และเข้าถึงสวัสดิการประกันสังคมได้มากขึ้น
ต้นทุนของ "สังคมสวัสดิการ" ถูกคำนวณเป็นประมาณการใช้จ่ายไว้ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ต่อเนื่องทั้งฉบับที่ 10 ต่อเนื่องถึงแผนฯ 11
ประมาณการค่าใช้จ่าย ซึ่งครอบคลุมเรื่องการศึกษาเรียนฟรี 15 ปี ระบบสาธารณสุข 30 บาทรักษาทุกโรค และการประกันสังคมให้ครอบคลุมผู้ใช้แรงงาน นอกระบบ คนว่างงาน คนชราภาพ ผู้สูงอายุ ผู้พิการและเด็กด้อยโอกาส ในปี 2554 ใช้งบประมาณ 557,679.70 ล้านบาทต่อเนื่องในปี 2555 ซึ่งเป็นปีแรกของแผนพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 11 จะใช้เพิ่มขึ้นเป็น 601,189.16 ล้านบาท
ในช่วงที่อาจเป็นช่วงเริ่มต้นสมัยของรัฐบาลหน้า ตามตารางปีงบประมาณรายจ่าย 2556 จะต้องใช้เงิน 611,999.21 ล้านบาท ปีถัดไป 2557 ใช้วงเงิน 653,164.14 ล้านบาท และในปี 2558 ใช้เงินอุดหนุน อีก 700,330.21 ล้านบาท ในช่วงปีสุดท้ายของแผนฯ 11 ใช้วงเงินเพื่อระบบสวัสดิการทั้งสิ้น 750,401.66 ล้านบาท
งบประมาณทั้งหมดนี้ส่วนใหญ่เป็นภาระงบประมาณในตารางรายจ่ายประจำปี และส่วนหนึ่งมาจากงบประมาณขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น-กอนทุนระดับชาติ และรายจ่ายของภาคเอกชน
จากนี้ไปทั้งฝ่ายการเมืองและฝ่ายธุรกิจ และผู้มีรายได้สูงทุกคนต้องมี "ต้นทุน" ที่ต้องจ่ายเพิ่ม
ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
บางแคมเปญถูกคิดค้นขึ้นใหม่จากไอเดียพรรคประชาธิปัตย์ แต่มีบางข้อที่ถูกปัดฝุ่นจากรัฐบาลเก่า
แต่ทุกข้อ-ทุกคำในแคมเปญ ครอบคลุมคนรายได้น้อย-ด้อยโอกาสทั้งประเทศ
เป็นแนวทางตามที่ "อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" นายกรัฐมนตรี เคยประกาศเป็นวรรคทองไว้ว่า "ภายในปี 2560 ประเทศไทยจะเป็นสังคมที่มีสวัสดิการ คนไทยทุกคนมีหลักประกันครบถ้วน"
คำสั่งนายกรัฐมนตรีจึงถูกนำไปสู่การปฏิบัติการ ทำตัวเลข จัดตารางงบประมาณสำหรับสวัสดิการทุกด้าน ทั้งเรียนฟรี-เดินทางฟรี-ค่าไฟฟรี และมีหลักประกันค่ารักษาพยาบาลฟรี
แผนปฏิบัติการ-ปฏิรูปประเทศไทยจึงถูกมอบหมายให้ "ทีมงานนายกรัฐมนตรี" รับไม้ต่อไปดำเนินการ อาทิ ด้านการสร้างระบบเศรษฐกิจที่เท่าเทียมและเป็นธรรม อยู่ในมือของเลขาธิการนายกรัฐมนตรี และ นายสาวิตต์ โพธิวิหค ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี
ด้านการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนและขยายระบบสวัสดิการสังคม ถูกมอบหมายให้ นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และ คุณหญิงสุพัตรา มาศดิตถ์ ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี
ด้านการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม การเมือง และความไม่เท่าเทียมในสังคม ถูกสั่งการให้ นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี รับผิดชอบร่วมกับ นายบัณฑิต ศิริพันธุ์ ที่ปรึกษาด้านกฎหมายของนายกรัฐมนตรี
ด้านการสร้างอนาคตของชาติด้วยการพัฒนาคน เด็กและเยาวชน นายกรัฐมนตรีอาสาเป็นผู้รับผิดชอบหลักด้วยตัวเองร่วมกับที่ปรึกษาคู่ใจ นายกนก วงษ์ตระหง่าน
หากนับจำนวนเด็กนักเรียนชั้นประถม-มัธยมต้น-มัธยมปลาย/สายสามัญ ที่ได้เรียนฟรีทั้งประเทศ
หากนับจำนวนแรงงานนอกระบบไม่น้อยกว่า 24 ล้านคน
หากนับผู้ได้รับอานิสงส์จากระบบสวัสดิการรักษาพยาบาล ทั้งข้าราชการและผู้อยู่ในระบบประกันสังคม และโครงการ 30 บาทรักษาฟรี การสงเคราะห์คนว่างงานและชราภาพ
และนับจำนวนผู้สูงอายุ กลุ่มผู้พิการและเด็กด้อยโอกาสแล้ว คาดว่ารัฐบาลอาจต้องใช้เงินอุดหนุนเฉลี่ยไม่น้อยกว่าปีละ 6 แสนล้าน (นับจากปีงบประมาณ 2555-2559) ที่มีอัตราเพิ่มตามจำนวนประชากร
ดังนั้น หากนับจำนวนอย่างหยาบ ๆ จะมีประชาชนที่ได้รับอานิสงส์จากแคมเปญ-ของขวัญ "9 ข้อประชาวิวัฒน์" ไม่ต่ำกว่า 31 ล้านครัวเรือน
แต่มีผู้ที่เสียประโยชน์ ขาดทุนกำไร เป็นเจ้าของบริษัทยักษ์ใหญ่วงการน้ำมันและสินค้าเกษตร ผู้ครอบครองส่วนแบ่งตลาดอันดับหนึ่งตลอดกาลไม่ต่ำกว่าปีละ 10,000 ล้านบาท
เพียงแค่ฝ่ายรัฐบาลจัดงบประมาณหว่านลงไป เพื่อชิมลางเป็นหัวเชื้อในแผนปฏิบัติการ-ปฏิรูปประเทศไทยในเดือนมกราคม ก็ใช้วงเงิน 9,190.30 ล้านบาท
โดยหวังจะช่วยให้คนไทย เด็ก เยาวชน ผู้พิการ คนจนและคนด้อยโอกาสได้รับอานิสงส์ และมีหลักประกันทางสังคมที่มีคุณภาพ ได้รับความเป็นธรรมและเท่าเทียม จากการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจและสังคม
จำแนกประชาชนที่ได้รับผลจากนโยบาย "สวัสดิการ" เฉพาะการสร้างอนาคตของชาติด้วยการพัฒนาคนเด็กและเยาวชน มีผู้ได้รับประโยชน์ 11.1 ล้านคน แบ่งเป็นกลุ่มเด็กและเยาวชนที่อยู่ในวัยเรียนที่ขาดโอกาสทางการศึกษาและประชาชนที่ต้องการศึกษาและพัฒนาเด็กนอกระบบการศึกษาอายุ 3-17 ปีจำนวน 1.7 ล้านคน เด็กพิการ 0-17 ปี จำนวนประมาณ 100,000 คน
ส่วนเด็กที่อยู่นอกระบบการศึกษา ประชากรที่ต้องการพัฒนาขีดความสามารถตนเอง 8.8 ล้านคน เด็กนักเรียนในชนบทห่างไกล 500,000 คน เด็กที่ถูกดำเนินคดี 50,000 คน ครูสอนดีทุกจังหวัดทั่วประเทศ 60,000 คน
ด้านยกระดับคุณภาพชีวิตและสวัสดิการสังคม จากการจัดระบบสวัสดิการสังคม ให้ครอบคลุมแม่และเด็ก 5.1 ล้านคน โดยเป็นกลุ่มแม่และเด็กอายุ 0-2 ปี จำนวน 2.4 ล้านคน เด็กอายุ 3-5 ปี จำนวน 2.7 ล้านคน
การแก้ไขปัญหาที่ดินทำกิน ครอบคลุมราษฎรที่ไม่มีที่ดินทำกินของตนเอง 546,942 ครัวเรือน การแก้ไขปัญหา ที่อยู่อาศัยในชนบท กลุ่มเป้าหมาย 50,000 ครัวเรือน ใน 500 ตำบล
ด้านการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม การเมือง และความไม่เท่าเทียมในสังคม มีผู้ได้รับประโยชน์ในระดับตำบล 1,000 ชุมชนทั่วประเทศ มีอาสาสมัครยุติธรรมชุมชน 99,000 คน ทำหน้าที่ไกล่เกลี่ย ข้อพิพาท
ยุทธศาสตร์นี้สามารถลดข้อพิพาทในชุมชนได้มากกว่าร้อยละ 70 ซึ่งลดค่าใช้จ่ายในการเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมรายละประมาณ 144,946 บาท
ด้านการสร้างระบบเศรษฐกิจที่เท่าเทียมและเป็นธรรม จะทำให้เกษตรกรกว่า 300,000 คน มีต้นทุนสุกรลดลง 4-7 บาทต่อกิโลกรัม และต้นทุนไข่ไก่ลดลง 30-60 สตางค์ต่อฟอง
ผู้บริโภคกว่า 67 ล้านคน ได้ซื้อไข่ไก่ ถูกลงจากการซื้อเป็นกิโลกรัมประมาณ 5-10 สตางค์ต่อฟอง และสามารถหา แหล่งซื้อที่ถูกลงจากการเปรียบเทียบ ราคาผ่านทางเว็บไซต์และรายการทีวี
มีผู้ที่รายได้น้อยกว่า 9.1 ล้านครัวเรือน ได้ประโยชน์จากมาตรการไฟฟ้าฟรี ประหยัดเงินได้เฉลี่ย 135 บาทต่อเดือน หรือเฉลี่ย 1,620 บาทต่อปี
คนไทยทั้งประเทศได้ประโยชน์จากการลดภาระอุดหนุนแอลพีจี นำเงินที่ประหยัดได้ไปใช้ในการลดราคาน้ำมันเบนซิน แก๊สโซฮอล์ และ/หรือใช้อุดหนุนราคาน้ำมันดีเซล
ผู้ที่อยู่ในเศรษฐกิจนอกระบบประกอบอาชีพได้อย่างถูกกฎหมายมีรายได้เพิ่มขึ้น เข้าถึงแหล่งเงินทุนในระบบได้ง่ายในอัตราดอกเบี้ยที่เหมาะสมและเพียงพอต่อการประกอบอาชีพ และเข้าถึงสวัสดิการประกันสังคมได้มากขึ้น
ต้นทุนของ "สังคมสวัสดิการ" ถูกคำนวณเป็นประมาณการใช้จ่ายไว้ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ต่อเนื่องทั้งฉบับที่ 10 ต่อเนื่องถึงแผนฯ 11
ประมาณการค่าใช้จ่าย ซึ่งครอบคลุมเรื่องการศึกษาเรียนฟรี 15 ปี ระบบสาธารณสุข 30 บาทรักษาทุกโรค และการประกันสังคมให้ครอบคลุมผู้ใช้แรงงาน นอกระบบ คนว่างงาน คนชราภาพ ผู้สูงอายุ ผู้พิการและเด็กด้อยโอกาส ในปี 2554 ใช้งบประมาณ 557,679.70 ล้านบาทต่อเนื่องในปี 2555 ซึ่งเป็นปีแรกของแผนพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 11 จะใช้เพิ่มขึ้นเป็น 601,189.16 ล้านบาท
ในช่วงที่อาจเป็นช่วงเริ่มต้นสมัยของรัฐบาลหน้า ตามตารางปีงบประมาณรายจ่าย 2556 จะต้องใช้เงิน 611,999.21 ล้านบาท ปีถัดไป 2557 ใช้วงเงิน 653,164.14 ล้านบาท และในปี 2558 ใช้เงินอุดหนุน อีก 700,330.21 ล้านบาท ในช่วงปีสุดท้ายของแผนฯ 11 ใช้วงเงินเพื่อระบบสวัสดิการทั้งสิ้น 750,401.66 ล้านบาท
งบประมาณทั้งหมดนี้ส่วนใหญ่เป็นภาระงบประมาณในตารางรายจ่ายประจำปี และส่วนหนึ่งมาจากงบประมาณขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น-กอนทุนระดับชาติ และรายจ่ายของภาคเอกชน
จากนี้ไปทั้งฝ่ายการเมืองและฝ่ายธุรกิจ และผู้มีรายได้สูงทุกคนต้องมี "ต้นทุน" ที่ต้องจ่ายเพิ่ม
ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
ผศ.ดร.ธำรงศักดิ์ เพชรเลิศอนันต์ ถกแขมร์-แลทักษิณ-ชายแดน "มาร์ค"
สัมภาษณ์
ผศ.ดร.ธำรงศักดิ์ เพชรเลิศอนันต์ ประธาน หลักสูตรรัฐศาสตรบัณฑิต วิทยาลัยนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต ผู้เชี่ยวชาญด้านประวัติศาสตร์การเมืองเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ วิเคราะห์สถานการณ์ไทย-กัมพูชา ในห้วงเวลาที่ ส.ส.และนักเคลื่อนไหวคนไทยทั้ง 7 นอนคุกกัมพูชา และเพิ่งได้รับการประกันตัว
ผศ.ดร.ธำรงศักดิ์อธิบายว่า ความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา ขึ้นอยู่กับสถานการณ์การเมืองภายในประเทศของทั้ง 2 ฝ่าย จุดเริ่มที่สำคัญใน 2-3 ปีที่ผ่านมา ประเด็นความขัดแย้งกับประเทศกัมพูชา เกิดจากกระบวนการขับไล่อดีตนายกรัฐมนตรีที่มาจากฝ่ายของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ไม่ว่าจะเป็นการขับไล่ตัว พ.ต.ท.ทักษิณ หรือ นายสมัคร สุนทรเวช และ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ก็มีการนำประเด็นปัญหาเขตแดนขึ้นมาโจมตีกัน โดยเฉพาะเรื่องเขาพระวิหาร ถูกใช้เป็นเครื่องมือ โจมตีรัฐบาลที่อยู่ในเครือข่าย พ.ต.ท.ทักษิณ
ดังนั้น การเคลื่อนไหวประเด็นเขตแดนจึงมีเป้าหมายสุดท้ายคือการโจมตีรัฐบาลมากกว่าจะหาความชัดเจนในการเจรจาปักปันเขตแดน
แต่กรณีปัจจุบัน พรรคประชาธิปัตย์และนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ มีภูมิคุ้มกันต่อการถูกกล่าวหาว่าขายชาติ เพราะโดยทั่วไปก็ยากที่จะทำให้คนเชื่อว่ารัฐบาลนายอภิสิทธิ์และพรรคประชาธิปัตย์อยู่ในแนวทางเดียวกับรัฐบาลของ พ.ต.ท.ทักษิณ เพราะรัฐบาลชุดนี้เคยเป็นส่วนหนึ่งในการใช้ปัญหาเขตแดนไทย-กัมพูชา ในการโจมตีรัฐบาลรุ่นก่อน ดังนั้น เมื่อรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ถูกโจมตีในประเด็นนี้บ้าง ประชาชนจึงเชื่อการชี้แจงของรัฐบาลมากกว่าเชื่อกลุ่มที่เคลื่อนไหวโจมตีรัฐบาล ส่งผลให้ประเด็นการกล่าวหาว่าขายชาติ หรือเสียผลประโยชน์เสียดินแดนให้กับกัมพูชา จึงเป็นประเด็นที่อ่อน ในการใช้โจมตีรัฐบาลชุดนี้
สำหรับกลุ่มที่เคลื่อนไหวรณรงค์เรื่องเขตแดน ก็ยังคงนำเรื่องนี้ไปเป็นประโยชน์ในการปลุกระดมมวลชนของตัวเองให้ ออกจากบ้าน เพื่อมารวมเป็นกลุ่มพลังกันอีกครั้งหนึ่ง แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์ 7 คนไทยถูกควบคุมตัวในกัมพูชาและอยู่ในกระบวนการศาลของกัมพูชา เรื่องนี้อาจจะลดทอนความน่าเชื่อถือของฝ่ายที่รณรงค์เรื่องรักชาติลงไปมาก
เพราะข้อมูลที่ฝ่ายรัฐบาลนายอภิสิทธิ์เปิดเผยต่อสาธารณะตลอดมา คือคนไทยทั้ง 7 ถูกจับในเขตของกัมพูชา ซึ่งสาธารณชนมีแนวโน้มที่จะเชื่อข้อมูลฝ่ายรัฐบาล เพราะมีกลไกสำคัญคือกองทัพ กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงการ ต่างประเทศ ซึ่งมีหน้าที่พิทักษ์ดินแดน ทุกตารางนิ้ว โดยกระทรวงความมั่นคงเหล่านี้ไม่ได้มีท่าที หรือให้ข้อมูลที่ตรงกันข้ามกับทางรัฐบาล ส่งผลให้รัฐบาลไม่มีปัญหาเรื่องความน่าเชื่อถือ
ในทางตรงข้าม หากรัฐบาลไทยเชื่อว่าทั้ง 7 คนไทยถูกจับในเขตไทย รัฐบาลก็จะเล่นอีกเกม โดยใช้พลังชาตินิยมปลุกเร้าเรียกร้องให้ปล่อยคนไทยทั้ง 7 ซึ่งจะทำให้รัฐบาลได้ประโยชน์ในเรื่องคะแนนนิยมจากประชาชนไทย แต่เมื่อข้อเท็จจริงคือฝ่ายไทยเพลี่ยงพล้ำกัมพูชา รัฐบาลนายอภิสิทธิ์จึงต้องประนีประนอมและรักษาหน้าตา ของไทยในบริบทการเมืองโลก
สำหรับท่าทีของสมเด็จฮุน เซน ผู้นำกัมพูชา ที่ยืนยันว่ากรณีดังกล่าวขึ้นอยู่กับกระบวนการยุติธรรมและศาลของกัมพูชา การพูดแบบนี้ย่อมได้ใจประชาชน ว่าไม่ถูกมหาอำนาจเพื่อนบ้าน เช่น ประเทศไทยแทรกแซงต่อกระบวนการยุติธรรมของกัมพูชา และการแสดงตนเข้มแข็งของผู้นำกัมพูชา ก็เป็นประโยชน์ต่อผู้นำที่จะได้ ความนิยมจากประชาชนของตัวเองด้วย
อย่างไรก็ตาม คดีความบางคดีที่มีลักษณะพิเศษ ทำให้กระบวนการดำเนินไปอย่างรวดเร็วนั้น สาเหตุอาจเป็นเพราะมีเงื่อนไขปัจจัยหลายด้าน รวมทั้งความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ซึ่งหากปล่อยให้คดีนี้ยืดเยื้อต่อไป ก็จะไม่เป็นประโยชน์ต่อการค้าชายแดน ซึ่งก็อาจจะเกิดผลด้านลบต่อฝ่ายกัมพูชาด้วยเช่นกัน ดังนั้น จึงจำเป็นต้องมีความพอดี พอเหมาะพอควร ของระยะเวลาในการดำเนินคดี เพื่อประโยชน์ของผู้นำกัมพูชา
ส่วนกรณีของ นายศิวรักษ์ ชุติพงษ์ วิศวกรในกัมพูชา อดีตผู้ต้องหาคดีโจรกรรมข้อมูล ซึ่งเรื่องจบลงด้วยดี ได้รับพระราชทานอภัยโทษจากกษัตริย์กัมพูชาและการต้อนรับจาก สมเด็จฮุน เซน นั้น ผศ.ดร.ธำรงศักดิ์มองว่า ผู้นำของแต่ละประเทศ ต้องเล่นบทผู้มีพระคุณ มีเมตตาธรรม เป็นธรรมดา
แต่กรณี 7 คนไทยนี้ มีสถานะทางสังคม สถานะทางการเมือง ที่แตกต่างจากนาย ศิวรักษ์ เพราะกรณีคนไทยทั้ง 7 ทำให้เขารู้สึกว่ามาหยามหมิ่นกันเกินไป โดยเฉพาะคนไทยบางคน ก็เคยเข้าไปในลักษณะนี้ ไม่ใช่ครั้งแรก ดังนั้น ในแง่การเมืองภายในประเทศ การควบคุมตัวคนไทยไว้ จึงเป็นวิธีการตอบสนองอารมณ์ในประเทศวิธีหนึ่ง
หากการเคลื่อนไหวรณรงค์ของฝั่งไทย ทำอะไรที่เข้าข่ายดูหมิ่นเหยียดหยามชาวกัมพูชา ทำให้ประชาชนเขาโกรธเคืองขึ้นมา คดีนี้ก็อาจจะมีความยาวนาน เพราะผู้นำกัมพูชาก็จะต้องมีท่าทีสนองตอบอารมณ์ความรู้สึกต่อประชาชนตัวเอง ไม่ให้เสียความนิยมต่อผู้นำ และต้องไม่ลืมว่ากัมพูชาก็มีฝ่ายค้านที่พร้อมจะโจมตีรัฐบาลสมเด็จฮุน เซน หาว่ารัฐบาลอ่อนข้อให้ไทย หรือฮั้วผลประโยชน์ให้ฝ่ายไทย จึงรีบปล่อยตัวคนไทยกลับประเทศ เนื่องจากชาวกัมพูชาจำนวนไม่น้อย ก็อยากเห็นการลงโทษคนไทยให้จดจำ
ข้อสำคัญ คือหากฝ่ายที่เคลื่อนไหวรณรงค์เรื่องเขตแดนในฝั่งไทย ไปทำให้ประชาชนกัมพูชาโกรธ ยกตัวอย่างเช่น เผารูปกษัตริย์ของกัมพูชา หรือทำอย่างอื่นให้เกิดความไม่พอใจของประเทศเพื่อนบ้าน ก็จะยิ่งทำให้การเมืองภายในกัมพูชามีตัวแปร ให้ผู้นำประเทศต้องเปลี่ยนท่าทีต่อไทยทันที
แม้การควบคุมตัวคนไทยจะเป็นไปตามเหตุผลทางกฎหมายและเหตุผลทางการเมืองภายในกัมพูชา แต่กัมพูชาก็ไม่สามารถลงโทษด้วยระยะเวลายาวนานได้ ไม่เช่นนั้นจะกลายเป็นประเด็นคาราคาซังต่อไป เป็นเงื่อนไขให้คนในฝั่งไทยนำมาเป็นประเด็นเคลื่อนไหวได้ตลอดเวลา
ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
---------------------------------------------------------------
ผศ.ดร.ธำรงศักดิ์ เพชรเลิศอนันต์ ประธาน หลักสูตรรัฐศาสตรบัณฑิต วิทยาลัยนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต ผู้เชี่ยวชาญด้านประวัติศาสตร์การเมืองเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ วิเคราะห์สถานการณ์ไทย-กัมพูชา ในห้วงเวลาที่ ส.ส.และนักเคลื่อนไหวคนไทยทั้ง 7 นอนคุกกัมพูชา และเพิ่งได้รับการประกันตัว
ผศ.ดร.ธำรงศักดิ์อธิบายว่า ความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา ขึ้นอยู่กับสถานการณ์การเมืองภายในประเทศของทั้ง 2 ฝ่าย จุดเริ่มที่สำคัญใน 2-3 ปีที่ผ่านมา ประเด็นความขัดแย้งกับประเทศกัมพูชา เกิดจากกระบวนการขับไล่อดีตนายกรัฐมนตรีที่มาจากฝ่ายของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ไม่ว่าจะเป็นการขับไล่ตัว พ.ต.ท.ทักษิณ หรือ นายสมัคร สุนทรเวช และ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ก็มีการนำประเด็นปัญหาเขตแดนขึ้นมาโจมตีกัน โดยเฉพาะเรื่องเขาพระวิหาร ถูกใช้เป็นเครื่องมือ โจมตีรัฐบาลที่อยู่ในเครือข่าย พ.ต.ท.ทักษิณ
ดังนั้น การเคลื่อนไหวประเด็นเขตแดนจึงมีเป้าหมายสุดท้ายคือการโจมตีรัฐบาลมากกว่าจะหาความชัดเจนในการเจรจาปักปันเขตแดน
แต่กรณีปัจจุบัน พรรคประชาธิปัตย์และนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ มีภูมิคุ้มกันต่อการถูกกล่าวหาว่าขายชาติ เพราะโดยทั่วไปก็ยากที่จะทำให้คนเชื่อว่ารัฐบาลนายอภิสิทธิ์และพรรคประชาธิปัตย์อยู่ในแนวทางเดียวกับรัฐบาลของ พ.ต.ท.ทักษิณ เพราะรัฐบาลชุดนี้เคยเป็นส่วนหนึ่งในการใช้ปัญหาเขตแดนไทย-กัมพูชา ในการโจมตีรัฐบาลรุ่นก่อน ดังนั้น เมื่อรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ถูกโจมตีในประเด็นนี้บ้าง ประชาชนจึงเชื่อการชี้แจงของรัฐบาลมากกว่าเชื่อกลุ่มที่เคลื่อนไหวโจมตีรัฐบาล ส่งผลให้ประเด็นการกล่าวหาว่าขายชาติ หรือเสียผลประโยชน์เสียดินแดนให้กับกัมพูชา จึงเป็นประเด็นที่อ่อน ในการใช้โจมตีรัฐบาลชุดนี้
สำหรับกลุ่มที่เคลื่อนไหวรณรงค์เรื่องเขตแดน ก็ยังคงนำเรื่องนี้ไปเป็นประโยชน์ในการปลุกระดมมวลชนของตัวเองให้ ออกจากบ้าน เพื่อมารวมเป็นกลุ่มพลังกันอีกครั้งหนึ่ง แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์ 7 คนไทยถูกควบคุมตัวในกัมพูชาและอยู่ในกระบวนการศาลของกัมพูชา เรื่องนี้อาจจะลดทอนความน่าเชื่อถือของฝ่ายที่รณรงค์เรื่องรักชาติลงไปมาก
เพราะข้อมูลที่ฝ่ายรัฐบาลนายอภิสิทธิ์เปิดเผยต่อสาธารณะตลอดมา คือคนไทยทั้ง 7 ถูกจับในเขตของกัมพูชา ซึ่งสาธารณชนมีแนวโน้มที่จะเชื่อข้อมูลฝ่ายรัฐบาล เพราะมีกลไกสำคัญคือกองทัพ กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงการ ต่างประเทศ ซึ่งมีหน้าที่พิทักษ์ดินแดน ทุกตารางนิ้ว โดยกระทรวงความมั่นคงเหล่านี้ไม่ได้มีท่าที หรือให้ข้อมูลที่ตรงกันข้ามกับทางรัฐบาล ส่งผลให้รัฐบาลไม่มีปัญหาเรื่องความน่าเชื่อถือ
ในทางตรงข้าม หากรัฐบาลไทยเชื่อว่าทั้ง 7 คนไทยถูกจับในเขตไทย รัฐบาลก็จะเล่นอีกเกม โดยใช้พลังชาตินิยมปลุกเร้าเรียกร้องให้ปล่อยคนไทยทั้ง 7 ซึ่งจะทำให้รัฐบาลได้ประโยชน์ในเรื่องคะแนนนิยมจากประชาชนไทย แต่เมื่อข้อเท็จจริงคือฝ่ายไทยเพลี่ยงพล้ำกัมพูชา รัฐบาลนายอภิสิทธิ์จึงต้องประนีประนอมและรักษาหน้าตา ของไทยในบริบทการเมืองโลก
สำหรับท่าทีของสมเด็จฮุน เซน ผู้นำกัมพูชา ที่ยืนยันว่ากรณีดังกล่าวขึ้นอยู่กับกระบวนการยุติธรรมและศาลของกัมพูชา การพูดแบบนี้ย่อมได้ใจประชาชน ว่าไม่ถูกมหาอำนาจเพื่อนบ้าน เช่น ประเทศไทยแทรกแซงต่อกระบวนการยุติธรรมของกัมพูชา และการแสดงตนเข้มแข็งของผู้นำกัมพูชา ก็เป็นประโยชน์ต่อผู้นำที่จะได้ ความนิยมจากประชาชนของตัวเองด้วย
อย่างไรก็ตาม คดีความบางคดีที่มีลักษณะพิเศษ ทำให้กระบวนการดำเนินไปอย่างรวดเร็วนั้น สาเหตุอาจเป็นเพราะมีเงื่อนไขปัจจัยหลายด้าน รวมทั้งความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ซึ่งหากปล่อยให้คดีนี้ยืดเยื้อต่อไป ก็จะไม่เป็นประโยชน์ต่อการค้าชายแดน ซึ่งก็อาจจะเกิดผลด้านลบต่อฝ่ายกัมพูชาด้วยเช่นกัน ดังนั้น จึงจำเป็นต้องมีความพอดี พอเหมาะพอควร ของระยะเวลาในการดำเนินคดี เพื่อประโยชน์ของผู้นำกัมพูชา
ส่วนกรณีของ นายศิวรักษ์ ชุติพงษ์ วิศวกรในกัมพูชา อดีตผู้ต้องหาคดีโจรกรรมข้อมูล ซึ่งเรื่องจบลงด้วยดี ได้รับพระราชทานอภัยโทษจากกษัตริย์กัมพูชาและการต้อนรับจาก สมเด็จฮุน เซน นั้น ผศ.ดร.ธำรงศักดิ์มองว่า ผู้นำของแต่ละประเทศ ต้องเล่นบทผู้มีพระคุณ มีเมตตาธรรม เป็นธรรมดา
แต่กรณี 7 คนไทยนี้ มีสถานะทางสังคม สถานะทางการเมือง ที่แตกต่างจากนาย ศิวรักษ์ เพราะกรณีคนไทยทั้ง 7 ทำให้เขารู้สึกว่ามาหยามหมิ่นกันเกินไป โดยเฉพาะคนไทยบางคน ก็เคยเข้าไปในลักษณะนี้ ไม่ใช่ครั้งแรก ดังนั้น ในแง่การเมืองภายในประเทศ การควบคุมตัวคนไทยไว้ จึงเป็นวิธีการตอบสนองอารมณ์ในประเทศวิธีหนึ่ง
หากการเคลื่อนไหวรณรงค์ของฝั่งไทย ทำอะไรที่เข้าข่ายดูหมิ่นเหยียดหยามชาวกัมพูชา ทำให้ประชาชนเขาโกรธเคืองขึ้นมา คดีนี้ก็อาจจะมีความยาวนาน เพราะผู้นำกัมพูชาก็จะต้องมีท่าทีสนองตอบอารมณ์ความรู้สึกต่อประชาชนตัวเอง ไม่ให้เสียความนิยมต่อผู้นำ และต้องไม่ลืมว่ากัมพูชาก็มีฝ่ายค้านที่พร้อมจะโจมตีรัฐบาลสมเด็จฮุน เซน หาว่ารัฐบาลอ่อนข้อให้ไทย หรือฮั้วผลประโยชน์ให้ฝ่ายไทย จึงรีบปล่อยตัวคนไทยกลับประเทศ เนื่องจากชาวกัมพูชาจำนวนไม่น้อย ก็อยากเห็นการลงโทษคนไทยให้จดจำ
ข้อสำคัญ คือหากฝ่ายที่เคลื่อนไหวรณรงค์เรื่องเขตแดนในฝั่งไทย ไปทำให้ประชาชนกัมพูชาโกรธ ยกตัวอย่างเช่น เผารูปกษัตริย์ของกัมพูชา หรือทำอย่างอื่นให้เกิดความไม่พอใจของประเทศเพื่อนบ้าน ก็จะยิ่งทำให้การเมืองภายในกัมพูชามีตัวแปร ให้ผู้นำประเทศต้องเปลี่ยนท่าทีต่อไทยทันที
แม้การควบคุมตัวคนไทยจะเป็นไปตามเหตุผลทางกฎหมายและเหตุผลทางการเมืองภายในกัมพูชา แต่กัมพูชาก็ไม่สามารถลงโทษด้วยระยะเวลายาวนานได้ ไม่เช่นนั้นจะกลายเป็นประเด็นคาราคาซังต่อไป เป็นเงื่อนไขให้คนในฝั่งไทยนำมาเป็นประเด็นเคลื่อนไหวได้ตลอดเวลา
ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
---------------------------------------------------------------
ป.ป.ช. กับระเบียบว่าด้วยการจ่ายเงินสินบน พ.ศ. 2553
โดย เมธี ครองแก้ว
คงมีผู้อ่านไม่มากนักที่จะทราบว่าเมื่อวันที่ 22 ตุลาคมที่เพิ่งผ่านมา คณะกรรมการ ป.ป.ช.ได้ประกาศระเบียบว่าด้วยการจ่ายเงินสินบน พ.ศ.2553 ในราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 127 ตอนที่ 65 ก ซึ่งน่าจะมองได้ว่าเป็นเหตุการณ์ที่สำคัญเหตุการณ์หนึ่งที่เกี่ยวกับการป้องกันและปราบปรามการทุจริตของไทย ทั้งนี้ก็เพราะว่า พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 ได้บัญญัติไว้ในมาตรา 30 ว่า
“ในการไต่สวนข้อเท็จจริงกรณีที่มีการกล่าวหาว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐร่ำรวยผิดปกติ หรือการตรวจสอบความเปลี่ยนแปลงของทรัพย์สินหรือหนี้สินของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง หากมีผู้ใดชี้ช่อง แจ้งเบาะแส หรือให้ข้อมูล หรือข้อเท็จจริงเกี่ยวกับทรัพย์สินหรือหนี้สินของผู้ถูกกล่าวหาหรือผู้ถูกตรวจสอบ รวมทั้งตัวการ ผู้ใช้หรือผู้สนับสนุนต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. และการชี้ช่อง แจ้งเบาะแส หรือให้ข้อมูลหรือข้อเท็จจริงดังกล่าวเป็นผลให้ทรัพย์สินที่ร่ำรวยผิดปกติ หรือทรัพย์สินที่เพิ่มขึ้นผิดปกตินั้นตกเป็นของแผ่นดินโดยคำสั่งถึงที่สุดของศาลแล้ว ให้ผู้นั้นได้เงินสินบนตามระเบียบที่คณะกรรมการ ป.ป.ช.กำหนด”
พูดง่ายๆ ก็คือว่า คณะกรรมการ ป.ป.ช.ใช้เวลาเกือบ 11 ปีจึงสามารถออกระเบียบว่าด้วยการจ่ายเงินสินบนตามกล่าวข้างต้นออกมาได้
ผู้เขียนคงไม่สามารถตอบแทนคณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้ว่าทำไมถึงใช้เวลานานนักในการออกระเบียบนี้ออกมา แต่ที่พูดได้เต็มปากเต็มคำก็คือว่าไม่มีการรวมหัวกันที่จะจงใจดึงเรื่องให้ช้าเพื่อวัตถุประสงค์หรือวาระซ่อนเร้นอย่างใดอย่างหนึ่งแน่นอน
ในทัศนะของผู้เขียนเอง (ซึ่งเป็นทัศนะหรือความเห็นส่วนตัวไม่เกี่ยวกับความเห็นหรือฐานะอย่างเป็นทางการของคณะกรรมการ ป.ป.ช. แต่อย่างใด) คงเป็นความไม่แน่ใจของกรรมการ ป.ป.ช. แต่ละท่านมากกว่า ว่าระบบการให้เงินสินบนรางวัลที่เหมาะสมคืออย่างไร? และจะเกิดผลกระทบต่อสังคมหรือการปฏิบัติงานของ ป.ป.ช. อย่างไร?
ในการพิจารณาเรื่องนี้ในคณะกรรมการฯ ผู้เขียนได้แสดงจุดยืนด้วยซ้ำไปว่าไม่เห็นด้วยกับการให้เงินสินบนดังกล่าว เพราะเงินสินบนนี้จะไปทำลายลักษณะคุณความดี(moral character) ของผู้ได้รับสินบนดังกล่าวในทำนองว่า จะทำความดีให้สังคมก็ต่อเมื่อมีผลตอบแทนจากสังคมเท่านั้น ในเมื่อเราให้นิยามการทุจริตคอรัปชั่นว่า คือ การที่เจ้าหน้าที่ของรัฐใช้อำนาจในตำแหน่งเบียดบังเอาประโยชน์ที่เป็น (หรือควรเป็น) ของรัฐหรือสังคมไปเป็นประโยชน์ของตนเอง การจ่ายเงินสินบนโดยรัฐก็มีผลอย่างเดียวกัน คือ การเอาประโยชน์ที่เป็นของรัฐหรือสังคมไปให้แก่บุคคลเป็นการส่วนตัวนั้นเอง
อย่างไรก็ตามจุดผ่อนปรนที่ผู้เขียนยอมรับได้ก็คือ เงินสินบนที่รัฐจ่ายให้นั้นเหมาะสมกับต้นทุนแห่งความพยายาม (efforts) ของผู้ให้ข้อมูลหรือเบาะแส มิใช่ลาภลอย (windfall) ที่กินเข้าไปในส่วนที่เป็นประโยชน์หรือผลได้ของสังคมที่เกินเลยไป
แต่ในเมื่อกฎหมายสูงสุดของประเทศบังคับให้ต้องมีระเบียบการจ่ายเงินสินบนแก่ผู้ชี้ช่อง แจ้งเบาะแส ให้ข้อมูลหรือข้อเท็จจริงเกี่ยวกับผู้กระทำผิดที่ทำให้รัฐได้ทรัพย์สินของรัฐคืนมา เราก็จำเป็นต้องปฏิบัติตามโดยที่อย่างน้อยในระเบียบที่เราออกมานั้นมีหลักเกณฑ์หรือกลไกที่จะทำให้การตอบแทนในความพยายามของผู้ให้เบาะแสหรือชี้ช่องนั้นมีความเหมาะสม ไม่เกินเลยไป
ดังนั้น ในประการแรก ข้อ 13 ของระเบียบที่คณะกรรมการป.ป.ช. ได้ออกมาจึงได้ระบุว่า ข้อมูลหรือข้อเท็จจริงที่แจ้งให้รับทราบนั้น ต้องเป็นสาระสำคัญของการตรวจสอบ ซึ่งหากไม่มีการแจ้งข้อมูลหรือข้อเท็จจริงเช่นว่านั้น จะไม่สามารถรู้หรือตรวจสอบการร่ำรวยผิดปกติหรือทรัพย์สินเพิ่มขึ้นผิดปกติได้ และจะต้องไม่เป็นปกติวิสัยที่จะตรวจพบได้อยู่แล้ว
ในประการที่สอง ข้อ 17 ของระเบียบนี้ได้กำหนดเพดานของเงินสินบนที่ ป.ป.ช.จ่ายได้ว่าให้จ่ายในอัตราร้อยละสิบของมูลค่าทรัพย์สินที่นำส่งกระทรวงการคลังแต่ไม่เกิน 10 ล้านบาท
ในประการที่สาม ผู้มีอำนาจในการพิจารณาจ่ายเงินสินบนนี้มิใช่คนใดคนหนึ่ง แต่จะเป็นคณะกรรมการพิจารณาเงินสินบน ซึ่งประกอบด้วย เลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. ผู้อำนวยการสำนักกฎหมาย ป.ป.ช. ผู้อำนวยการสำนักบริหารงานกลาง ป.ป.ช. ผู้แทนกระทรวงการคลัง และกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. แต่งตั้งขึ้นอีก 5 คน (ระเบียบ ข้อ 8)
และในประการสุดท้าย คณะกรรมการ ป.ป.ช. จะเป็นผู้พิจารณาให้ความเห็นชอบเป็นคนสุดท้ายซึ่งอาจจะเห็นชอบให้มีการจ่ายเงินสินบนทั้งหมดหรือบางส่วนก็ได้ (ระเบียบ ข้อ 20)
ตามหลักเกณฑ์ต้นทุนของความพยายามที่กล่าวถึงข้างต้น ผู้เขียนใคร่ขอเสนอเพิ่มเติมว่าน่าจะมีตัวแปรที่เป็นตัวปรับคุณภาพ (quality index) ของข้อมูลหรือเบาะแสให้คณะกรรมการพิจารณาเงินสินบนจะนำมาพิจารณาขนาดของเงินสินบนชั้นหนึ่งก่อน
กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือจะมีการจำแนกคุณภาพ (quality grading) ของข้อมูล โดยข้อมูลที่มีความสำคัญอย่างยิ่งยวด อาจจะมีตัวปรับคุณภาพเท่ากับ 1 ข้อมูลที่มีความสำคัญลดหลั่นกันลงไป ก็จะมีตัวปรับคุณภาพลดหลั่นกันลงไปเช่นเดียวกัน เพื่อความสะดวก และง่ายต่อการปฏิบัติ ระดับคุณภาพประมาณ 4 หรือ 5 ระดับ น่าจะเพียงพอที่จะทำให้การพิจารณาขนาดของเงินสินบนมีความเหมาะสมเป็นที่ยอมรับได้
ในขณะนี้ยังไม่มีใครสามารถคาดเดาได้ว่าผลแห่งการประกาศระเบียบการจ่ายเงินสินบนของ ป.ป.ช. จะทำให้เกิดผลการเปลี่ยนแปลงในการทำงานด้านการต่อต้านการทุจริตของ ป.ป.ช.เป็นเช่นใด จะมีการแจ้งเบาะแสกันจน ป.ป.ช. ต้องเพิ่มงบประมาณรายจ่ายหมวดเงินอุดหนุน เพื่อนำมาใช้เป็นเงินสินบนหรือไม่? หรืออาจไม่ต้องใช้เงินในส่วนนี้เลย เพราะประชาชนให้ความร่วมมือกับ ป.ป.ช. ในฐานะ “พลเมืองดี” โดยมิได้หวังผลจากเงินสินบนจากภาครัฐแต่อย่างใด
ที่มา.มติชนออนไลน์
*****************************************************************
คงมีผู้อ่านไม่มากนักที่จะทราบว่าเมื่อวันที่ 22 ตุลาคมที่เพิ่งผ่านมา คณะกรรมการ ป.ป.ช.ได้ประกาศระเบียบว่าด้วยการจ่ายเงินสินบน พ.ศ.2553 ในราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 127 ตอนที่ 65 ก ซึ่งน่าจะมองได้ว่าเป็นเหตุการณ์ที่สำคัญเหตุการณ์หนึ่งที่เกี่ยวกับการป้องกันและปราบปรามการทุจริตของไทย ทั้งนี้ก็เพราะว่า พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 ได้บัญญัติไว้ในมาตรา 30 ว่า
“ในการไต่สวนข้อเท็จจริงกรณีที่มีการกล่าวหาว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐร่ำรวยผิดปกติ หรือการตรวจสอบความเปลี่ยนแปลงของทรัพย์สินหรือหนี้สินของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง หากมีผู้ใดชี้ช่อง แจ้งเบาะแส หรือให้ข้อมูล หรือข้อเท็จจริงเกี่ยวกับทรัพย์สินหรือหนี้สินของผู้ถูกกล่าวหาหรือผู้ถูกตรวจสอบ รวมทั้งตัวการ ผู้ใช้หรือผู้สนับสนุนต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. และการชี้ช่อง แจ้งเบาะแส หรือให้ข้อมูลหรือข้อเท็จจริงดังกล่าวเป็นผลให้ทรัพย์สินที่ร่ำรวยผิดปกติ หรือทรัพย์สินที่เพิ่มขึ้นผิดปกตินั้นตกเป็นของแผ่นดินโดยคำสั่งถึงที่สุดของศาลแล้ว ให้ผู้นั้นได้เงินสินบนตามระเบียบที่คณะกรรมการ ป.ป.ช.กำหนด”
พูดง่ายๆ ก็คือว่า คณะกรรมการ ป.ป.ช.ใช้เวลาเกือบ 11 ปีจึงสามารถออกระเบียบว่าด้วยการจ่ายเงินสินบนตามกล่าวข้างต้นออกมาได้
ผู้เขียนคงไม่สามารถตอบแทนคณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้ว่าทำไมถึงใช้เวลานานนักในการออกระเบียบนี้ออกมา แต่ที่พูดได้เต็มปากเต็มคำก็คือว่าไม่มีการรวมหัวกันที่จะจงใจดึงเรื่องให้ช้าเพื่อวัตถุประสงค์หรือวาระซ่อนเร้นอย่างใดอย่างหนึ่งแน่นอน
ในทัศนะของผู้เขียนเอง (ซึ่งเป็นทัศนะหรือความเห็นส่วนตัวไม่เกี่ยวกับความเห็นหรือฐานะอย่างเป็นทางการของคณะกรรมการ ป.ป.ช. แต่อย่างใด) คงเป็นความไม่แน่ใจของกรรมการ ป.ป.ช. แต่ละท่านมากกว่า ว่าระบบการให้เงินสินบนรางวัลที่เหมาะสมคืออย่างไร? และจะเกิดผลกระทบต่อสังคมหรือการปฏิบัติงานของ ป.ป.ช. อย่างไร?
ในการพิจารณาเรื่องนี้ในคณะกรรมการฯ ผู้เขียนได้แสดงจุดยืนด้วยซ้ำไปว่าไม่เห็นด้วยกับการให้เงินสินบนดังกล่าว เพราะเงินสินบนนี้จะไปทำลายลักษณะคุณความดี(moral character) ของผู้ได้รับสินบนดังกล่าวในทำนองว่า จะทำความดีให้สังคมก็ต่อเมื่อมีผลตอบแทนจากสังคมเท่านั้น ในเมื่อเราให้นิยามการทุจริตคอรัปชั่นว่า คือ การที่เจ้าหน้าที่ของรัฐใช้อำนาจในตำแหน่งเบียดบังเอาประโยชน์ที่เป็น (หรือควรเป็น) ของรัฐหรือสังคมไปเป็นประโยชน์ของตนเอง การจ่ายเงินสินบนโดยรัฐก็มีผลอย่างเดียวกัน คือ การเอาประโยชน์ที่เป็นของรัฐหรือสังคมไปให้แก่บุคคลเป็นการส่วนตัวนั้นเอง
อย่างไรก็ตามจุดผ่อนปรนที่ผู้เขียนยอมรับได้ก็คือ เงินสินบนที่รัฐจ่ายให้นั้นเหมาะสมกับต้นทุนแห่งความพยายาม (efforts) ของผู้ให้ข้อมูลหรือเบาะแส มิใช่ลาภลอย (windfall) ที่กินเข้าไปในส่วนที่เป็นประโยชน์หรือผลได้ของสังคมที่เกินเลยไป
แต่ในเมื่อกฎหมายสูงสุดของประเทศบังคับให้ต้องมีระเบียบการจ่ายเงินสินบนแก่ผู้ชี้ช่อง แจ้งเบาะแส ให้ข้อมูลหรือข้อเท็จจริงเกี่ยวกับผู้กระทำผิดที่ทำให้รัฐได้ทรัพย์สินของรัฐคืนมา เราก็จำเป็นต้องปฏิบัติตามโดยที่อย่างน้อยในระเบียบที่เราออกมานั้นมีหลักเกณฑ์หรือกลไกที่จะทำให้การตอบแทนในความพยายามของผู้ให้เบาะแสหรือชี้ช่องนั้นมีความเหมาะสม ไม่เกินเลยไป
ดังนั้น ในประการแรก ข้อ 13 ของระเบียบที่คณะกรรมการป.ป.ช. ได้ออกมาจึงได้ระบุว่า ข้อมูลหรือข้อเท็จจริงที่แจ้งให้รับทราบนั้น ต้องเป็นสาระสำคัญของการตรวจสอบ ซึ่งหากไม่มีการแจ้งข้อมูลหรือข้อเท็จจริงเช่นว่านั้น จะไม่สามารถรู้หรือตรวจสอบการร่ำรวยผิดปกติหรือทรัพย์สินเพิ่มขึ้นผิดปกติได้ และจะต้องไม่เป็นปกติวิสัยที่จะตรวจพบได้อยู่แล้ว
ในประการที่สอง ข้อ 17 ของระเบียบนี้ได้กำหนดเพดานของเงินสินบนที่ ป.ป.ช.จ่ายได้ว่าให้จ่ายในอัตราร้อยละสิบของมูลค่าทรัพย์สินที่นำส่งกระทรวงการคลังแต่ไม่เกิน 10 ล้านบาท
ในประการที่สาม ผู้มีอำนาจในการพิจารณาจ่ายเงินสินบนนี้มิใช่คนใดคนหนึ่ง แต่จะเป็นคณะกรรมการพิจารณาเงินสินบน ซึ่งประกอบด้วย เลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. ผู้อำนวยการสำนักกฎหมาย ป.ป.ช. ผู้อำนวยการสำนักบริหารงานกลาง ป.ป.ช. ผู้แทนกระทรวงการคลัง และกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. แต่งตั้งขึ้นอีก 5 คน (ระเบียบ ข้อ 8)
และในประการสุดท้าย คณะกรรมการ ป.ป.ช. จะเป็นผู้พิจารณาให้ความเห็นชอบเป็นคนสุดท้ายซึ่งอาจจะเห็นชอบให้มีการจ่ายเงินสินบนทั้งหมดหรือบางส่วนก็ได้ (ระเบียบ ข้อ 20)
ตามหลักเกณฑ์ต้นทุนของความพยายามที่กล่าวถึงข้างต้น ผู้เขียนใคร่ขอเสนอเพิ่มเติมว่าน่าจะมีตัวแปรที่เป็นตัวปรับคุณภาพ (quality index) ของข้อมูลหรือเบาะแสให้คณะกรรมการพิจารณาเงินสินบนจะนำมาพิจารณาขนาดของเงินสินบนชั้นหนึ่งก่อน
กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือจะมีการจำแนกคุณภาพ (quality grading) ของข้อมูล โดยข้อมูลที่มีความสำคัญอย่างยิ่งยวด อาจจะมีตัวปรับคุณภาพเท่ากับ 1 ข้อมูลที่มีความสำคัญลดหลั่นกันลงไป ก็จะมีตัวปรับคุณภาพลดหลั่นกันลงไปเช่นเดียวกัน เพื่อความสะดวก และง่ายต่อการปฏิบัติ ระดับคุณภาพประมาณ 4 หรือ 5 ระดับ น่าจะเพียงพอที่จะทำให้การพิจารณาขนาดของเงินสินบนมีความเหมาะสมเป็นที่ยอมรับได้
ในขณะนี้ยังไม่มีใครสามารถคาดเดาได้ว่าผลแห่งการประกาศระเบียบการจ่ายเงินสินบนของ ป.ป.ช. จะทำให้เกิดผลการเปลี่ยนแปลงในการทำงานด้านการต่อต้านการทุจริตของ ป.ป.ช.เป็นเช่นใด จะมีการแจ้งเบาะแสกันจน ป.ป.ช. ต้องเพิ่มงบประมาณรายจ่ายหมวดเงินอุดหนุน เพื่อนำมาใช้เป็นเงินสินบนหรือไม่? หรืออาจไม่ต้องใช้เงินในส่วนนี้เลย เพราะประชาชนให้ความร่วมมือกับ ป.ป.ช. ในฐานะ “พลเมืองดี” โดยมิได้หวังผลจากเงินสินบนจากภาครัฐแต่อย่างใด
ที่มา.มติชนออนไลน์
*****************************************************************
โสภณ พรโชคชัย: ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง กัมพูชาล้ำหน้าไทย
ดร.โสภณ พรโชคชัย
ประธานกรรมการบริหาร ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย
บจก. เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส
ในขณะที่ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างของไทยยังไม่มีความคืบหน้า แต่ในกัมพูชา กลับจะได้นำมาใช้ในปี 2554 นี้แล้ว ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก. เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส จึงขอนำเสนอความคืบหน้าของกัมพูชาเพื่อเป็นอุทธาหรณ์สำหรับประเทศไทย
ในกรณีประเทศไทย หลายฝ่ายอาจรู้สึกผวากับภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างเพราะคิดถึงการ “รีด” เอาเม็ดเงินออกจากกระเป๋าผู้เสียภาษี ดังนั้นเมื่อมีการนำเสนอภาษีใหม่นี้ มักจะถูกต่อต้าน แต่ในกรณีภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างนั้น ความจริงแตกต่างจากภาษีอื่นโดยสิ้นเชิง นับเป็นภาษีที่ “ยิ่งให้ ยิ่งได้” แก่ผู้เสียภาษีเอง
ภาษีทรัพย์สินหมายถึงภาษีที่ประชาชนผู้ครอบครองทรัพย์ ไม่ว่าจะเป็นสังหาริมทรัพย์ (รถ เรือ ฯลฯ) และโดยเฉพาะอสังหาริมทรัพย์ ต้องเสียให้กับท้องถิ่นเพื่อการพัฒนาท้องถิ่นของตนเองโดยตรง ในกรณีประเทศไทยกฎหมายภาษีทรัพย์สินที่จะออกมานั้นเก็บภาษีเฉพาะอสังหาริมทรัพย์จึงเรียกว่าภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ภาษีนี้เกิดขึ้นบนฐานคิดสากลที่ว่าใครครอบครองทรัพย์สิน ก็ต้องเสียภาษี เพื่อนำมาพัฒนาท้องถิ่น
ในปัจจุบันประเทศไทยเรามีภาษีโรงเรือน และภาษีบำรุงท้องที่ ซึ่งก็คล้ายกับภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง แต่จัดเก็บกับเฉพาะผู้ที่ให้เช่าทรัพย์สิน และมูลค่าทรัพย์สินที่ใช้ในการคำนวณภาษีก็ไม่เคยได้ปรับปรุงมาเกือบ 20 ปีแล้ว เมื่อมีการนำภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างมาใช้ ก็จะได้ยกเลิกภาษีดังกล่าวเสีย
ในร่างพระราชบัญญัติภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง กำหนดให้มีอัตราการจัดเก็บคือ ที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่ใช้เป็นที่อยู่อาศัย โดยไม่ประกอบการในเชิงพาณิชย์ จัดเก็บภาษีไม่เกิน 0.1% ของฐานภาษี อัตราภาษีสำหรับอสังหาริมทรัพย์เกษตรกรรม จัดเก็บไม่เกิน 0.05% นอกนั้นจัดเก็บไม่เกิน 0.5% และมีการยกเว้น คือ ให้ยกเว้นแก่ที่อยู่อาศัยที่มีพื้นที่ไม่เกิน 50 ตารางวาทั้งหลายและมีมูลค่าไม่เกิน 1 ล้านบาทในพื้นที่สำคัญ (กรุงเทพมหานคร หัวเมืองใหญ่และหัวเมืองท่องเที่ยว เช่น ภูเก็ต เมืองพัทยา) มูลค่าไม่เกิน 5 แสนบาทในพื้นที่เขตเทศบาล และมูลค่าไม่เกิน 3 แสนบาทในพื้นที่องค์การบริหารส่วนตำบล
ดร.โสภณ พรโชคชัย ประธานกรรมการบริหาร ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก. เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส ได้สัมภาษณ์คณะเจ้าหน้าที่ระดับสูงของกระทรวงการคลัง กัมพูชา ที่มาอบรมการประเมินค่าทรัพย์สินที่ ดร.โสภณ จัดขึ้นในกรุงเทพมหานครในช่วงวันที่ 13-14 มกราคม 2554 ได้ข้อคิดที่น่าสนใจหลายประการเพื่อให้คนไทยได้สังวร
กัมพูชามีแนวคิดที่จะมีภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างมาตั้งแต่ พ.ศ.2550 แต่ไม่ผ่านสภาในปีดังกล่าว จนเมื่อช่วงสิ้นปี 2552 หลังจากการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อปี 2551 แล้ว สภาผู้แทนราษฎรกัมพูชาก็ผ่านพระราชบัญญัติภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างนี้ออกมา โดยมีกรอบเวลาให้นำมาใช้จริงในปีเดือนกุมภาพันธ์ 2554 อย่างไรก็ตาม ณ เวลานี้ กรอบเวลาได้ขยายไปเป็นประมาณกลางปี 2554 นี้
กรณีนี้ชี้ให้เห็นว่ากัมพูชามีความรวดเร็วในการกำหนดภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างกว่าไทยเป็นอย่างยิ่ง ในกรณีของไทย มีการนำเสนอไว้ตั้งแต่ยุค “ประชาธิปไตยเต็มใบ” พ.ศ.2518 มีการยกร่างใหม่และแก้ไขเรื่อยมาจนถึงปัจจุบันและยังไม่อาจทราบแน่ชัดว่าจะมีพระราชบัญญัติฉบับนี้เมื่อใด ข้อสังวรในที่นี้ก็คือ ระบบราชการของไทยอาจมีประสิทธิภาพต่ำกว่ากัมพูชา และคงมีผู้ทรงอิทธิพลทางการเมืองและมีที่ดินมากมายที่ไม่ต้องการให้มีภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง เพราะเข้าใจผิดว่าภาษีนี้จะเป็นภาระ ทั้งที่ภาษีนี้จะช่วยพัฒนาท้องถิ่น ทำให้ทรัพย์สินที่ผู้ครอบครองไว้กลับมีมูลค่าเพิ่มขึ้นรวดเร็วกว่าเดิม
สำหรับในรายละเอียดของภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างกัมพูชานั้น มีการจัดเก็บเพียงอัตราเดียวคือ 0.1% โดยราคาที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง โดยกำหนดไว้ต่ำกว่าราคาตลาดประมาณ 30% การกำหนดราคาก็ไม่ได้กำหนดเป็นรายแปลง แต่กำหนดตามเส้นถนน สำหรับอาคารนั้น ก็มีอัตราค่าก่อสร้างอาคารมาตรฐานให้ใช้คำนวณราคา
ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างกัมพูชา ก็มีการกำหนดข้อยกเว้น เช่น ที่ดินเพื่อการเกษตรกรรม และบ้านที่มีราคาต่ำกว่า 100 รีล หรือ 740,000 บาทเป็นต้น นอกจากนี้วัดวาอาราม สถานทูตหรือสถานที่สาธารณะอื่น ๆ ก็ไม่มีการจัดเก็บภาษีแต่อย่างใด ในเบื้องต้นคาดว่าจะจัดเก็บภาษีได้จากอสังหาริมทรัพย์ได้ประมาณ 180,000 ราย และจะได้เงินภาษีไม่เกิน 300 ล้านบาท ซึ่งเป็นเพียงการเริ่มต้น
ในทางปฏิบัติของการจัดทำบัญชีราคาที่ดินและสิ่งปลูกสร้างนั้น โดยกัมพูชากำหนดให้แต่ละจังหวัด (24 จังหวัด) ตั้งคณะอนุกรรมการขึ้นมาสำรวจจัดทำบัญชี โดยเฉลี่ยแล้วจังหวัดหนึ่ง ๆ อาจมีเจ้าหน้าที่ดำเนินการประมาณ 30 คน โดยเน้นสำรวจเฉพาะในตัวเมืองเป็นสำคัญ และประมาณการราคาที่ดินตามถนนแต่ละสายไว้อย่างชัดเจน จากนั้นจะมีคณะกรรมการขึ้นมากำหนดราคาที่ดินและสิ่งปลูกสร้างเพื่อนำมาใช้จัดเก็บภาษีในท้ายที่สุด บัญชีราคาที่ดินและสิ่งปลูกสร้างนี้อาจจะมีการปรับปรุงทุกรอบ 3 ปี
ภาษีที่คาดว่าจะจัดเก็บได้นี้เก็บเข้าท้องถิ่นโดยเฉพาะ โดยท้องถิ่นเป็นผู้นำเงินส่วนนี้มาใช้พัฒนาท้องถิ่นทั้งด้านสาธารณูปโภคและสาธารณูปการ โดยไม่มีการหักเงินมาเพื่อใช้ในกิจการอื่นใด ผิดกับกรณีประเทศไทย ที่มีการเสนอให้หักเงินภาษีที่จัดเก็บได้ 2% มาเข้ากองทุนธนาคารที่ดิน ซึ่งสร้างความสับสน และทำให้ประเด็นแตกออกไปเป็นการถ่วงเวลาการให้มีภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างในประเทศไทย
การนำเสนอเกี่ยวกับความก้าวหน้าในระบบภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างของกัมพูชานี้ ไม่ใช่เพื่อนำมาข่มประเทศไทยของเราเอง แต่เพื่อให้ทุกฝ่ายในประเทศไทยได้ตระหนักถึงความก้าวหน้าของประเทศเพื่อนบ้าน และเป็นอุทาหรณ์ให้ประเทศไทยได้เร่งรัดการพัฒนาประเทศโดยเร็ว
ที่มา.ประชาไท
ประธานกรรมการบริหาร ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย
บจก. เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส
ในขณะที่ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างของไทยยังไม่มีความคืบหน้า แต่ในกัมพูชา กลับจะได้นำมาใช้ในปี 2554 นี้แล้ว ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก. เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส จึงขอนำเสนอความคืบหน้าของกัมพูชาเพื่อเป็นอุทธาหรณ์สำหรับประเทศไทย
ในกรณีประเทศไทย หลายฝ่ายอาจรู้สึกผวากับภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างเพราะคิดถึงการ “รีด” เอาเม็ดเงินออกจากกระเป๋าผู้เสียภาษี ดังนั้นเมื่อมีการนำเสนอภาษีใหม่นี้ มักจะถูกต่อต้าน แต่ในกรณีภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างนั้น ความจริงแตกต่างจากภาษีอื่นโดยสิ้นเชิง นับเป็นภาษีที่ “ยิ่งให้ ยิ่งได้” แก่ผู้เสียภาษีเอง
ภาษีทรัพย์สินหมายถึงภาษีที่ประชาชนผู้ครอบครองทรัพย์ ไม่ว่าจะเป็นสังหาริมทรัพย์ (รถ เรือ ฯลฯ) และโดยเฉพาะอสังหาริมทรัพย์ ต้องเสียให้กับท้องถิ่นเพื่อการพัฒนาท้องถิ่นของตนเองโดยตรง ในกรณีประเทศไทยกฎหมายภาษีทรัพย์สินที่จะออกมานั้นเก็บภาษีเฉพาะอสังหาริมทรัพย์จึงเรียกว่าภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ภาษีนี้เกิดขึ้นบนฐานคิดสากลที่ว่าใครครอบครองทรัพย์สิน ก็ต้องเสียภาษี เพื่อนำมาพัฒนาท้องถิ่น
ในปัจจุบันประเทศไทยเรามีภาษีโรงเรือน และภาษีบำรุงท้องที่ ซึ่งก็คล้ายกับภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง แต่จัดเก็บกับเฉพาะผู้ที่ให้เช่าทรัพย์สิน และมูลค่าทรัพย์สินที่ใช้ในการคำนวณภาษีก็ไม่เคยได้ปรับปรุงมาเกือบ 20 ปีแล้ว เมื่อมีการนำภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างมาใช้ ก็จะได้ยกเลิกภาษีดังกล่าวเสีย
ในร่างพระราชบัญญัติภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง กำหนดให้มีอัตราการจัดเก็บคือ ที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่ใช้เป็นที่อยู่อาศัย โดยไม่ประกอบการในเชิงพาณิชย์ จัดเก็บภาษีไม่เกิน 0.1% ของฐานภาษี อัตราภาษีสำหรับอสังหาริมทรัพย์เกษตรกรรม จัดเก็บไม่เกิน 0.05% นอกนั้นจัดเก็บไม่เกิน 0.5% และมีการยกเว้น คือ ให้ยกเว้นแก่ที่อยู่อาศัยที่มีพื้นที่ไม่เกิน 50 ตารางวาทั้งหลายและมีมูลค่าไม่เกิน 1 ล้านบาทในพื้นที่สำคัญ (กรุงเทพมหานคร หัวเมืองใหญ่และหัวเมืองท่องเที่ยว เช่น ภูเก็ต เมืองพัทยา) มูลค่าไม่เกิน 5 แสนบาทในพื้นที่เขตเทศบาล และมูลค่าไม่เกิน 3 แสนบาทในพื้นที่องค์การบริหารส่วนตำบล
ดร.โสภณ พรโชคชัย ประธานกรรมการบริหาร ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก. เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส ได้สัมภาษณ์คณะเจ้าหน้าที่ระดับสูงของกระทรวงการคลัง กัมพูชา ที่มาอบรมการประเมินค่าทรัพย์สินที่ ดร.โสภณ จัดขึ้นในกรุงเทพมหานครในช่วงวันที่ 13-14 มกราคม 2554 ได้ข้อคิดที่น่าสนใจหลายประการเพื่อให้คนไทยได้สังวร
กัมพูชามีแนวคิดที่จะมีภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างมาตั้งแต่ พ.ศ.2550 แต่ไม่ผ่านสภาในปีดังกล่าว จนเมื่อช่วงสิ้นปี 2552 หลังจากการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อปี 2551 แล้ว สภาผู้แทนราษฎรกัมพูชาก็ผ่านพระราชบัญญัติภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างนี้ออกมา โดยมีกรอบเวลาให้นำมาใช้จริงในปีเดือนกุมภาพันธ์ 2554 อย่างไรก็ตาม ณ เวลานี้ กรอบเวลาได้ขยายไปเป็นประมาณกลางปี 2554 นี้
กรณีนี้ชี้ให้เห็นว่ากัมพูชามีความรวดเร็วในการกำหนดภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างกว่าไทยเป็นอย่างยิ่ง ในกรณีของไทย มีการนำเสนอไว้ตั้งแต่ยุค “ประชาธิปไตยเต็มใบ” พ.ศ.2518 มีการยกร่างใหม่และแก้ไขเรื่อยมาจนถึงปัจจุบันและยังไม่อาจทราบแน่ชัดว่าจะมีพระราชบัญญัติฉบับนี้เมื่อใด ข้อสังวรในที่นี้ก็คือ ระบบราชการของไทยอาจมีประสิทธิภาพต่ำกว่ากัมพูชา และคงมีผู้ทรงอิทธิพลทางการเมืองและมีที่ดินมากมายที่ไม่ต้องการให้มีภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง เพราะเข้าใจผิดว่าภาษีนี้จะเป็นภาระ ทั้งที่ภาษีนี้จะช่วยพัฒนาท้องถิ่น ทำให้ทรัพย์สินที่ผู้ครอบครองไว้กลับมีมูลค่าเพิ่มขึ้นรวดเร็วกว่าเดิม
สำหรับในรายละเอียดของภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างกัมพูชานั้น มีการจัดเก็บเพียงอัตราเดียวคือ 0.1% โดยราคาที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง โดยกำหนดไว้ต่ำกว่าราคาตลาดประมาณ 30% การกำหนดราคาก็ไม่ได้กำหนดเป็นรายแปลง แต่กำหนดตามเส้นถนน สำหรับอาคารนั้น ก็มีอัตราค่าก่อสร้างอาคารมาตรฐานให้ใช้คำนวณราคา
ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างกัมพูชา ก็มีการกำหนดข้อยกเว้น เช่น ที่ดินเพื่อการเกษตรกรรม และบ้านที่มีราคาต่ำกว่า 100 รีล หรือ 740,000 บาทเป็นต้น นอกจากนี้วัดวาอาราม สถานทูตหรือสถานที่สาธารณะอื่น ๆ ก็ไม่มีการจัดเก็บภาษีแต่อย่างใด ในเบื้องต้นคาดว่าจะจัดเก็บภาษีได้จากอสังหาริมทรัพย์ได้ประมาณ 180,000 ราย และจะได้เงินภาษีไม่เกิน 300 ล้านบาท ซึ่งเป็นเพียงการเริ่มต้น
ในทางปฏิบัติของการจัดทำบัญชีราคาที่ดินและสิ่งปลูกสร้างนั้น โดยกัมพูชากำหนดให้แต่ละจังหวัด (24 จังหวัด) ตั้งคณะอนุกรรมการขึ้นมาสำรวจจัดทำบัญชี โดยเฉลี่ยแล้วจังหวัดหนึ่ง ๆ อาจมีเจ้าหน้าที่ดำเนินการประมาณ 30 คน โดยเน้นสำรวจเฉพาะในตัวเมืองเป็นสำคัญ และประมาณการราคาที่ดินตามถนนแต่ละสายไว้อย่างชัดเจน จากนั้นจะมีคณะกรรมการขึ้นมากำหนดราคาที่ดินและสิ่งปลูกสร้างเพื่อนำมาใช้จัดเก็บภาษีในท้ายที่สุด บัญชีราคาที่ดินและสิ่งปลูกสร้างนี้อาจจะมีการปรับปรุงทุกรอบ 3 ปี
ภาษีที่คาดว่าจะจัดเก็บได้นี้เก็บเข้าท้องถิ่นโดยเฉพาะ โดยท้องถิ่นเป็นผู้นำเงินส่วนนี้มาใช้พัฒนาท้องถิ่นทั้งด้านสาธารณูปโภคและสาธารณูปการ โดยไม่มีการหักเงินมาเพื่อใช้ในกิจการอื่นใด ผิดกับกรณีประเทศไทย ที่มีการเสนอให้หักเงินภาษีที่จัดเก็บได้ 2% มาเข้ากองทุนธนาคารที่ดิน ซึ่งสร้างความสับสน และทำให้ประเด็นแตกออกไปเป็นการถ่วงเวลาการให้มีภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างในประเทศไทย
การนำเสนอเกี่ยวกับความก้าวหน้าในระบบภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างของกัมพูชานี้ ไม่ใช่เพื่อนำมาข่มประเทศไทยของเราเอง แต่เพื่อให้ทุกฝ่ายในประเทศไทยได้ตระหนักถึงความก้าวหน้าของประเทศเพื่อนบ้าน และเป็นอุทาหรณ์ให้ประเทศไทยได้เร่งรัดการพัฒนาประเทศโดยเร็ว
ที่มา.ประชาไท
วันอาทิตย์ที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2554
เสื้อแดง418คนถูกลืมรัฐเมินเยียวยาบรรเทาความเสียหาย
คอป. ขอเลื่อนส่งรายงานผลสอบข้อเท็จจริงเหตุการณ์สลายชุมนุมคนเสื้อแดงจากวันที่ 14 ม.ค. ไปเป็น 24 ม.ค. เนื่องจากกรรมการยังตกลงกันไม่ได้ในบางประเด็น “คณิต” เผยนอกจากรายงานจะมีข้อเสนอต่อนายกรัฐมนตรี 10 ข้อให้ไปปฏิบัติเพื่อสร้างความปรองดอง ระบุมีผู้เสียหาย 418 คนยังไม่ได้รับการช่วยเหลือเยียวยาจากหน่วยงานใดทั้งที่แจ้งไปแล้ว ด้านกรรมการสิทธิมนุษยชนฯยังไม่สรุปสอบเสนอรัฐบาล อ้างรายละเอียดของเรื่องเยอะทำให้เขียนรายงานยาก ตำรวจรับลูก “มาร์ค” เป็นตัวกลางนัดแกนนำเสื้อแดง ผู้ค้าย่านราชประสงค์หารือแนวทางบรรเทาความเดือดร้อนจากการชุมนุม เบื้องต้นเสนอให้ย้ายไปจัดกิจกรรมที่สวนลุมพินีแทน
จากกรณีที่กลุ่มผู้ประกอบการค้าย่านราชประสงค์ออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลจัดระเบียบการชุมนุมของคนเสื้อแดงไม่ให้กระทบต่อการดำเนินธุรกิจ และนายกรัฐมนตรีมอบหมายให้ตำรวจเป็นผู้ประสานงานเจรจากับผู้ชุมนุมและผู้ประกอบการนั้น
เกี่ยวกับเรื่องนี้ พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ ผู้บังคับการตำรวจนครบาล 1 ออกมาระบุว่า ได้ประสานงานไปยังกลุ่มผู้ประกอบการและแกนนำผู้ชุมนุมแล้วเพื่อขอข้อมูลในแต่ละส่วนมาพิจารณาดูว่าจะยืดหยุ่นกันได้อย่างไร เช่น อาจมีการกำหนดเวลาตายตัวสำหรับการชุมนุม และให้ชุมนุมได้เดือนละครั้งเท่านั้น
เสื้อแดง-ผู้ค้าต้องพบกันครึ่งทาง
“ทั้งสองฝ่ายคงต้องมาพูดจากันเพื่อร่วมกันหาทางออกเรียกว่าพบกันครึ่งทาง ผู้ชุมนุมต้องเข้าใจความเดือดร้อนของคนอื่น ขณะเดียวกันก็ต้องมองการชุมนุมว่าเป็นการสะท้อนถึงปัญหาที่คนส่วนใหญ่ของประเทศได้รับผลกระทบด้วย ดังนั้น จึงต้องร่วมกันหาทางออกที่เหมาะสม” พล.ต.ต.วิชัยกล่าว
พล.ต.ต.ปิยะ อุทาโย โฆษกกองบัญชาการตำรวจนครบาล กล่าวว่า พล.ต.ท.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล จะประชุมหารือกับตำรวจที่เกี่ยวข้องเพื่อหามาตรการไปเจรจากับผู้ชุมนุมและกลุ่มผู้ประกอบการค้าย่านราชประสงค์
เสนอย้ายไปชุมนุมในสวนลุมพินี
“เบื้องต้นเป็นที่น่าพอใจเพราะทั้ง 2 ฝ่ายตอบรับที่จะพูดคุยกัน คาดว่าภายในไม่กี่วันนี้จะได้ข้อสรุปที่เป็นที่น่าพอใจของทุกฝ่าย เบื้องต้นจะเสนอให้คนเสื้อแดงย้ายสถานที่ไปชุมนุมที่อื่นที่ไม่ส่งผลกระทบต่อประชาชน เช่น ที่สวนลุมพินี” พล.ต.ต.ปิยะกล่าว
ผศ.ทวี สุรฤทธิกุล ประธานสาขารัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช กล่าวว่า รัฐบาลต้องบริหารจัดการการชุมนุมของคนเสื้อแดงให้ดี อย่าปล่อยให้ท้าทายอำนาจหลังยกเลิกใช้ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน เพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจเพิ่มมากขึ้น
อ้างเสื้อแดงเป็นภัยต่อสาธารณะ
“หากปล่อยให้คนเสื้อแดงชุมนุมที่ราชประสงค์เดือนละ 2 ครั้งอย่างที่ประกาศไว้ จะทำให้คนเสื้อแดงเหิมเกริมก้าวร้าวมากขึ้นเรื่อยๆ รัฐบาลต้องมีมาตรการออกมา เพราะการชุมนุมที่นำเครื่องขยายเสียงมาใช้หรือมีการปิดกั้นช่องทางการจราจรย่อมถือว่าเป็นภัยต่อสาธารณะ หากไม่ทำอะไรเท่ากับว่ารัฐบาลไม่มีประสิทธิภาพ” ผศ.ทวีกล่าวพร้อมเสนอว่า รัฐบาลควรใช้กฎหมายควบคุมการชุมนุมในที่สาธารณะที่ผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการกฤษฎีกาไปแล้ว ในขณะที่ตำรวจต้องทำหน้าที่ของตัวเองอย่างจริงจัง ไม่อย่างนั้นผู้ชุมนุมจะไม่กลัวกฎหมาย
ผศ.ทวียังเรียกร้องให้ประชาชนที่ไม่เห็นด้วยกับการชุมนุมของคนเสื้อแดงออกมาแสดงพลังเพื่อไม่ให้คนเสื้อแดงออกมาเคลื่อนไหวอีก เชื่อว่าจะไม่มีการปะทะกันระหว่างประชาชน เพราะต่างได้รับบทเรียนถึงความสูญเสียมาแล้ว
กรรมการสิทธิฯยังไม่สรุปรายงาน
นางอมรา พงศาพิชญ์ ประธานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการเฉพาะกิจเพื่อพิจารณาตรวจสอบกรณีเหตุความรุนแรงจากการขอคืนพื้นที่จากกลุ่มผู้ชุมนุมกลุ่มคนเสื้อแดง เมื่อวันที่ 10 เม.ย. 2553 กล่าวถึงความคืบหน้าในการทำงานว่า คณะอนุกรรมการแบ่งประเด็นพิจารณาออกเป็น 10 ประเด็น บางประเด็นเสร็จแล้วและอยู่ระหว่างการเขียนรายงาน ซึ่งจะพยายามทำให้เร็วที่สุด
รายละเอียดเยอะเขียนรายงานยาก
“ได้สั่งการไปแล้วว่าให้ทำให้เร็วที่สุด แต่คนที่รับผิดชอบเขียนรายงานอ้างว่าเขียนยากเพราะมีรายละเอียดเยอะ ต้องตรวจสอบข้อเท็จจริงเพื่อความถูกต้อง หากเร่งทำเกรงว่าจะเกิดข้อผิดพลาดขึ้นได้”
นางอมรายังกล่าวถึงการช่วยเหลือคนเสื้อแดงที่ถูกขังอยู่ในเรือนจำว่า คณะกรรมการสิทธิฯไม่มีหน้าที่เรื่องนี้โดยตรง แต่ได้ประสานงานกับกรมคุ้มครองสิทธิเสรีภาพ กระทรวงยุติธรรม และสภาทนายความ เพื่อให้ความช่วยเหลือแล้ว
เผย 10 ประเด็นสอบข้อเท็จจริง
สำหรับ 10 ประเด็นที่คณะอนุกรรมการแยกสอบประกอบด้วย 1.การชุมนุมและเคลื่อนไหวของผู้ชุมนุมระหว่างวันที่ 12 มี.ค.-20 พ.ค. 2553 ทั่วกรุงเทพฯ ปริมณฑล และต่างจังหวัด รวมทั้งการปิดล้อมสถานที่ราชการต่างๆ 2.กรณีนายกรัฐมนตรีประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความรุนแรง เมื่อวันที่ 7 เม.ย. 2553 รวมทั้งการที่รัฐบาลสั่งให้มีการตัดสัญญาณผ่านดาวเทียมสถานีพีเพิล ชาแนล และระงับการเผยแพร่ข่าวสารของสถานีวิทยุชุมนุม สื่อสิ่งพิมพ์ และอินเทอร์เน็ต 3.การสั่งการของรัฐบาล รวมถึงการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่และผู้ชุมนุมในวันที่ 10 เม.ย. 2553
ครอบคลุมทุกเหตุการณ์ความรุนแรง
4.เหตุการณ์ยิงระเบิดเอ็ม 79 บริเวณแยกศาลาแดง ในวันที่ 22 เม.ย. 2553 กรณีมีผู้ใช้อาวุธปืนยิงเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ศาลาแดงและถนนพระราม 4 ในวันที่ 7 พ.ค. 2553 5.เหตุการณ์ปะทะระหว่างผู้ชุมนุมกับเจ้าหน้าที่บริเวณอนุสรณ์สถานแห่งชาติ วันที่ 28 เม.ย. 2553 6.การชุมนุมบริเวณโรงพยาบาลตำรวจ รวมถึงการเข้าไปตรวจค้นภายในโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์และสภากาชาด 7.การสั่งการของรัฐบาล การปฏิบัติของเจ้าหน้าที่และผู้ชุมนุม ระหว่างวันที่ 13-19 พ.ค. 2553 รวมทั้งเหตุการณ์จลาจล การวางเพลิง และการทำลายทรัพย์สิน อาคาร สถานที่ ในพื้นที่กรุงเทพฯและต่างจังหวัด
8.กรณีมีผู้เสียชีวิต 6 รายที่บริเวณวัดปทุมวนารามฯ ระหว่างวันที่ 19-20 พ.ค. 2553 9.กรณีการเสียชีวิตและบาดเจ็บ ตลอดจนความรุนแรงต่อสื่อมวลชนในรูปแบบต่างๆ และ 10.กรณีการเสียชีวิต บาดเจ็บ สูญหาย และถูกควบคุมตัว ระหว่างวันที่ 12 มี.ค.-20 พ.ค. 2553
คอป. ยังส่งรายงานนายกฯไม่ได้
ด้านความคืบหน้าในการทำงานของคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อความปรองดองแห่งชาติ (คอป.) ที่มีนายคณิต ณ นคร เป็นประธาน วันที่ 13 ม.ค. ที่ผ่านมาได้มีการประชุมหารือกันนานกว่า 4 ชั่วโมง เพื่อจัดทำข้อสรุปตรวจสอบข้อเท็จจริงเหตุการณ์กระชับพื้น แต่ยังไม่สามารถหาข้อสรุปได้ อย่างไรก็ตาม ได้กำหนดว่าจะสรุปรายงานเสนอต่อนายกรัฐมนตรีภายในวันที่ 24 ม.ค. นี้
นายคณิตแถลงว่า ตามกำหนด คอป. ต้องทำรายงานเสนอต่อนายกรัฐมนตรีภายใน 6 เดือน ซึ่งจะครบกำหนดในวันที่ 14 ม.ค. นี้ แต่ที่ประชุมยังไม่ได้ข้อสรุปในบางประเด็นจึงขอเลื่อนไปในวันที่ 24 ม.ค.
เบื้องต้นมีเนื้อหาแค่ 25 หน้า
“เบื้องต้นรายงานนี้จะมีเนื้อหาเพียง 25 หน้า ซึ่งจะเกี่ยวกับการทำงานของ คอป. ที่ผ่านมา พร้อมมีข้อเสนอ 10 ข้อถึงนายกรัฐมนตรี หลังเสนอรายงานต่อนายกฯแล้วจะจัดพิมพ์ฉบับภาษาอังกฤษเพื่อให้เป็นกรณีศึกษาของต่างประเทศด้วย” นายคณิตกล่าวพร้อมย้ำว่า คอป. ยังต้องการเห็นความจริงใจของรัฐบาลในเรื่องการประกันตัวคนเสื้อแดง โดยเฉพาะพวกแนวร่วมที่ไม่มีทนายความ ไม่มีหลักทรัพย์ ส่วนระดับแกนนำ คอป. ไม่ได้เน้น เพราะมีขีดความสามารถหาทนายความและเงินที่จะใช้ค้ำประกันและต่อสู้คดี
418 เสื้อแดงยังไม่ได้รับเยียวยา
นายคณิตระบุอีกว่า คอป. สำรวจพบมีผู้เสียหายจากเหตุการณ์ชุมนุมที่ยังไม่ได้รับการช่วยเหลือเยียวยาจากหน่วยงานใดเลย 418 ราย ทั้งที่ยื่นเรื่องต่อรัฐบาลแล้ว ซึ่ง คอป. จะเข้าไปดูแลในส่วนนี้
“สำหรับการทำงานหลังจากนี้จะเชิญผู้เกี่ยวข้องมาให้ข้อเท็จจริงด้านต่างๆ เพราะตอนนี้ คอป. ได้ข้อมูลที่เกี่ยวข้องทั้งหมดมาแล้วแต่ยังมีความเห็นไม่ตรงกัน จึงต้องเชิญมาให้ข้อเท็จจริงเพิ่มเติมเพื่อความสมบูรณ์ของเนื้อหา” นายคณิตกล่าว
ที่มา.หนังสือพิมพ์ โลกวันนี้
**********************************************************************
จากกรณีที่กลุ่มผู้ประกอบการค้าย่านราชประสงค์ออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลจัดระเบียบการชุมนุมของคนเสื้อแดงไม่ให้กระทบต่อการดำเนินธุรกิจ และนายกรัฐมนตรีมอบหมายให้ตำรวจเป็นผู้ประสานงานเจรจากับผู้ชุมนุมและผู้ประกอบการนั้น
เกี่ยวกับเรื่องนี้ พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ ผู้บังคับการตำรวจนครบาล 1 ออกมาระบุว่า ได้ประสานงานไปยังกลุ่มผู้ประกอบการและแกนนำผู้ชุมนุมแล้วเพื่อขอข้อมูลในแต่ละส่วนมาพิจารณาดูว่าจะยืดหยุ่นกันได้อย่างไร เช่น อาจมีการกำหนดเวลาตายตัวสำหรับการชุมนุม และให้ชุมนุมได้เดือนละครั้งเท่านั้น
เสื้อแดง-ผู้ค้าต้องพบกันครึ่งทาง
“ทั้งสองฝ่ายคงต้องมาพูดจากันเพื่อร่วมกันหาทางออกเรียกว่าพบกันครึ่งทาง ผู้ชุมนุมต้องเข้าใจความเดือดร้อนของคนอื่น ขณะเดียวกันก็ต้องมองการชุมนุมว่าเป็นการสะท้อนถึงปัญหาที่คนส่วนใหญ่ของประเทศได้รับผลกระทบด้วย ดังนั้น จึงต้องร่วมกันหาทางออกที่เหมาะสม” พล.ต.ต.วิชัยกล่าว
พล.ต.ต.ปิยะ อุทาโย โฆษกกองบัญชาการตำรวจนครบาล กล่าวว่า พล.ต.ท.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล จะประชุมหารือกับตำรวจที่เกี่ยวข้องเพื่อหามาตรการไปเจรจากับผู้ชุมนุมและกลุ่มผู้ประกอบการค้าย่านราชประสงค์
เสนอย้ายไปชุมนุมในสวนลุมพินี
“เบื้องต้นเป็นที่น่าพอใจเพราะทั้ง 2 ฝ่ายตอบรับที่จะพูดคุยกัน คาดว่าภายในไม่กี่วันนี้จะได้ข้อสรุปที่เป็นที่น่าพอใจของทุกฝ่าย เบื้องต้นจะเสนอให้คนเสื้อแดงย้ายสถานที่ไปชุมนุมที่อื่นที่ไม่ส่งผลกระทบต่อประชาชน เช่น ที่สวนลุมพินี” พล.ต.ต.ปิยะกล่าว
ผศ.ทวี สุรฤทธิกุล ประธานสาขารัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช กล่าวว่า รัฐบาลต้องบริหารจัดการการชุมนุมของคนเสื้อแดงให้ดี อย่าปล่อยให้ท้าทายอำนาจหลังยกเลิกใช้ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน เพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจเพิ่มมากขึ้น
อ้างเสื้อแดงเป็นภัยต่อสาธารณะ
“หากปล่อยให้คนเสื้อแดงชุมนุมที่ราชประสงค์เดือนละ 2 ครั้งอย่างที่ประกาศไว้ จะทำให้คนเสื้อแดงเหิมเกริมก้าวร้าวมากขึ้นเรื่อยๆ รัฐบาลต้องมีมาตรการออกมา เพราะการชุมนุมที่นำเครื่องขยายเสียงมาใช้หรือมีการปิดกั้นช่องทางการจราจรย่อมถือว่าเป็นภัยต่อสาธารณะ หากไม่ทำอะไรเท่ากับว่ารัฐบาลไม่มีประสิทธิภาพ” ผศ.ทวีกล่าวพร้อมเสนอว่า รัฐบาลควรใช้กฎหมายควบคุมการชุมนุมในที่สาธารณะที่ผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการกฤษฎีกาไปแล้ว ในขณะที่ตำรวจต้องทำหน้าที่ของตัวเองอย่างจริงจัง ไม่อย่างนั้นผู้ชุมนุมจะไม่กลัวกฎหมาย
ผศ.ทวียังเรียกร้องให้ประชาชนที่ไม่เห็นด้วยกับการชุมนุมของคนเสื้อแดงออกมาแสดงพลังเพื่อไม่ให้คนเสื้อแดงออกมาเคลื่อนไหวอีก เชื่อว่าจะไม่มีการปะทะกันระหว่างประชาชน เพราะต่างได้รับบทเรียนถึงความสูญเสียมาแล้ว
กรรมการสิทธิฯยังไม่สรุปรายงาน
นางอมรา พงศาพิชญ์ ประธานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการเฉพาะกิจเพื่อพิจารณาตรวจสอบกรณีเหตุความรุนแรงจากการขอคืนพื้นที่จากกลุ่มผู้ชุมนุมกลุ่มคนเสื้อแดง เมื่อวันที่ 10 เม.ย. 2553 กล่าวถึงความคืบหน้าในการทำงานว่า คณะอนุกรรมการแบ่งประเด็นพิจารณาออกเป็น 10 ประเด็น บางประเด็นเสร็จแล้วและอยู่ระหว่างการเขียนรายงาน ซึ่งจะพยายามทำให้เร็วที่สุด
รายละเอียดเยอะเขียนรายงานยาก
“ได้สั่งการไปแล้วว่าให้ทำให้เร็วที่สุด แต่คนที่รับผิดชอบเขียนรายงานอ้างว่าเขียนยากเพราะมีรายละเอียดเยอะ ต้องตรวจสอบข้อเท็จจริงเพื่อความถูกต้อง หากเร่งทำเกรงว่าจะเกิดข้อผิดพลาดขึ้นได้”
นางอมรายังกล่าวถึงการช่วยเหลือคนเสื้อแดงที่ถูกขังอยู่ในเรือนจำว่า คณะกรรมการสิทธิฯไม่มีหน้าที่เรื่องนี้โดยตรง แต่ได้ประสานงานกับกรมคุ้มครองสิทธิเสรีภาพ กระทรวงยุติธรรม และสภาทนายความ เพื่อให้ความช่วยเหลือแล้ว
เผย 10 ประเด็นสอบข้อเท็จจริง
สำหรับ 10 ประเด็นที่คณะอนุกรรมการแยกสอบประกอบด้วย 1.การชุมนุมและเคลื่อนไหวของผู้ชุมนุมระหว่างวันที่ 12 มี.ค.-20 พ.ค. 2553 ทั่วกรุงเทพฯ ปริมณฑล และต่างจังหวัด รวมทั้งการปิดล้อมสถานที่ราชการต่างๆ 2.กรณีนายกรัฐมนตรีประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความรุนแรง เมื่อวันที่ 7 เม.ย. 2553 รวมทั้งการที่รัฐบาลสั่งให้มีการตัดสัญญาณผ่านดาวเทียมสถานีพีเพิล ชาแนล และระงับการเผยแพร่ข่าวสารของสถานีวิทยุชุมนุม สื่อสิ่งพิมพ์ และอินเทอร์เน็ต 3.การสั่งการของรัฐบาล รวมถึงการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่และผู้ชุมนุมในวันที่ 10 เม.ย. 2553
ครอบคลุมทุกเหตุการณ์ความรุนแรง
4.เหตุการณ์ยิงระเบิดเอ็ม 79 บริเวณแยกศาลาแดง ในวันที่ 22 เม.ย. 2553 กรณีมีผู้ใช้อาวุธปืนยิงเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ศาลาแดงและถนนพระราม 4 ในวันที่ 7 พ.ค. 2553 5.เหตุการณ์ปะทะระหว่างผู้ชุมนุมกับเจ้าหน้าที่บริเวณอนุสรณ์สถานแห่งชาติ วันที่ 28 เม.ย. 2553 6.การชุมนุมบริเวณโรงพยาบาลตำรวจ รวมถึงการเข้าไปตรวจค้นภายในโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์และสภากาชาด 7.การสั่งการของรัฐบาล การปฏิบัติของเจ้าหน้าที่และผู้ชุมนุม ระหว่างวันที่ 13-19 พ.ค. 2553 รวมทั้งเหตุการณ์จลาจล การวางเพลิง และการทำลายทรัพย์สิน อาคาร สถานที่ ในพื้นที่กรุงเทพฯและต่างจังหวัด
8.กรณีมีผู้เสียชีวิต 6 รายที่บริเวณวัดปทุมวนารามฯ ระหว่างวันที่ 19-20 พ.ค. 2553 9.กรณีการเสียชีวิตและบาดเจ็บ ตลอดจนความรุนแรงต่อสื่อมวลชนในรูปแบบต่างๆ และ 10.กรณีการเสียชีวิต บาดเจ็บ สูญหาย และถูกควบคุมตัว ระหว่างวันที่ 12 มี.ค.-20 พ.ค. 2553
คอป. ยังส่งรายงานนายกฯไม่ได้
ด้านความคืบหน้าในการทำงานของคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อความปรองดองแห่งชาติ (คอป.) ที่มีนายคณิต ณ นคร เป็นประธาน วันที่ 13 ม.ค. ที่ผ่านมาได้มีการประชุมหารือกันนานกว่า 4 ชั่วโมง เพื่อจัดทำข้อสรุปตรวจสอบข้อเท็จจริงเหตุการณ์กระชับพื้น แต่ยังไม่สามารถหาข้อสรุปได้ อย่างไรก็ตาม ได้กำหนดว่าจะสรุปรายงานเสนอต่อนายกรัฐมนตรีภายในวันที่ 24 ม.ค. นี้
นายคณิตแถลงว่า ตามกำหนด คอป. ต้องทำรายงานเสนอต่อนายกรัฐมนตรีภายใน 6 เดือน ซึ่งจะครบกำหนดในวันที่ 14 ม.ค. นี้ แต่ที่ประชุมยังไม่ได้ข้อสรุปในบางประเด็นจึงขอเลื่อนไปในวันที่ 24 ม.ค.
เบื้องต้นมีเนื้อหาแค่ 25 หน้า
“เบื้องต้นรายงานนี้จะมีเนื้อหาเพียง 25 หน้า ซึ่งจะเกี่ยวกับการทำงานของ คอป. ที่ผ่านมา พร้อมมีข้อเสนอ 10 ข้อถึงนายกรัฐมนตรี หลังเสนอรายงานต่อนายกฯแล้วจะจัดพิมพ์ฉบับภาษาอังกฤษเพื่อให้เป็นกรณีศึกษาของต่างประเทศด้วย” นายคณิตกล่าวพร้อมย้ำว่า คอป. ยังต้องการเห็นความจริงใจของรัฐบาลในเรื่องการประกันตัวคนเสื้อแดง โดยเฉพาะพวกแนวร่วมที่ไม่มีทนายความ ไม่มีหลักทรัพย์ ส่วนระดับแกนนำ คอป. ไม่ได้เน้น เพราะมีขีดความสามารถหาทนายความและเงินที่จะใช้ค้ำประกันและต่อสู้คดี
418 เสื้อแดงยังไม่ได้รับเยียวยา
นายคณิตระบุอีกว่า คอป. สำรวจพบมีผู้เสียหายจากเหตุการณ์ชุมนุมที่ยังไม่ได้รับการช่วยเหลือเยียวยาจากหน่วยงานใดเลย 418 ราย ทั้งที่ยื่นเรื่องต่อรัฐบาลแล้ว ซึ่ง คอป. จะเข้าไปดูแลในส่วนนี้
“สำหรับการทำงานหลังจากนี้จะเชิญผู้เกี่ยวข้องมาให้ข้อเท็จจริงด้านต่างๆ เพราะตอนนี้ คอป. ได้ข้อมูลที่เกี่ยวข้องทั้งหมดมาแล้วแต่ยังมีความเห็นไม่ตรงกัน จึงต้องเชิญมาให้ข้อเท็จจริงเพิ่มเติมเพื่อความสมบูรณ์ของเนื้อหา” นายคณิตกล่าว
ที่มา.หนังสือพิมพ์ โลกวันนี้
**********************************************************************
แค่ตลกบนหลังคารถ!
บรรยากาศที่ชายขอบ กลับเข้าสู่อาการงงๆ อันมีผลพวงจากการแก้ปัญหาด้วยการไม่แก้ปัญหา หรือบริหารโดยไม่บริหารตามสไตล์เซียนเขี้ยวการเมืองอย่างพรรคประชาธิปัตย์
แต่สำหรับบรรยากาศการเมืองภาย ในประเทศ ดูเหมือนจะเกิดอาการฝุ่นตลบอยู่พอสมควร ยิ่งสะท้อนภาพผ่านการถกเครียดกว่า 4 ชั่วโมง ในการล็อกตัวเลขจำนวน ส.ส.ที่ฝ่ายพรรคประชาธิปัตย์ต้องการให้มี ส.ส.แบบเขต จำนวน 375 คน และ ส.ส.แบบสัดส่วน จำนวน 125
ตรงกันข้าม ในซีกพรรคร่วม รัฐบาลอันมี “บรรหาร ศิลปอาชา”เป็นแกนนำ ดูจะพึงพอใจกับจำนวน ส.ส.แบบเขต 400 คน และ ส.ส.แบบสัดส่วน 100 คน กระนั้น ในการถกเครียดในชั้นกรรมาธิการ ตัวเลขในใจพรรค ประชาธิปัตย์ ก็กลายเป็นตัวเลขที่ถูกเคาะออกมา แต่ที่น่าสนใจไปกว่านั้นคือการลงมติจาก 35 ส.ส.ในคณะกรรมาธิการ มี 17 ชีวิตที่เลือกสูตรของประชาธิปัตย์ และมีอีก 17 ชีวิตเลือกสูตรของซีกพรรคร่วม
สุดท้ายต้องให้ประธานกรรมาธิการเป็นผู้ตัดสิน ก่อนหวยจะมาออกที่อัตราส่วน 375 ต่อ 125แค่เริ่มก็เสียขบวน วาระแก้รัฐธรรมนูญ รอบนี้ มีให้ลุ้นพลิกคว่ำพลิกหงายได้ตลอดเส้นทาง เพราะโดยเนื้อแท้แล้ว พรรคประชาธิปัตย์ก็ไม่เห็นด้วยกับการแก้รัฐธรรมนูญรอบนี้สักเท่าไหร่ แต่ที่ยอมถอยให้ก็เพราะจำใจ เพื่อประคับประคอง “รัฐนาวาเทพ ประทาน” ไม่ให้ล่มคาปากอ่าวการเมืองไทย
และในเมื่อประชาธิปัตย์สมยอมด้วยการถอยหนึ่งก้าว แต่พรรคร่วมรัฐบาลกลับ รุกคืบเข้ามาอีก 1 ก้าว มันก็เป็นธรรมดาที่ เซียนเขี้ยวอย่างประชาธิปัตย์ จะใช้เป็นเหตุผลให้หน้าตาของรัฐธรรมนูญจะสามารถ ออกมาได้ทุกหน้า ไม่เว้นแม้กระทั่ง กรณีการกลับไปใช้แบบเดิมตามรัฐธรรมนูญ ปี 50
แม้ “บรรหาร ศิลปอาชา” และ “พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์”จะแสดง ความไม่พอใจ พร้อมทั้งประกาศดังๆ ว่า ในชั้นรัฐสภาสัดส่วนจำนวน ส.ส.จะต้องถูกจูนกลับมาอยู่ที่ 400 ต่อ 100 ว่ากันตามจำนวนมือในชั้นกรรมาธิการ สิ่งที่ 2ผู้เฒ่ามั่นใจนักมั่นใจหนา ก็มีแนวโน้มเป็นไปได้ แต่หากว่ากันตามความเขี้ยวทางการเมืองที่พรรคประชาธิปัตย์เหยียบบ่าตีกินเพื่อนมาโดยตลอด ตัวเลข 375 ต่อ 125 ก็ยังคงเป็นตัวเลขที่มีทางเป็นไปได้มากที่สุดหรือไม่นั้น ก็กลับไปใช้ของเดิมทั้งกระบิ นั่นก็ยิ่งแย่ไปใหญ่และเข้าทางประชาธิปัตย์แบบเต็มๆ นี่ก็คือการบ้านข้อใหญ่ที่พรรคเล็กต้องไปบริหารจำนวนผู้แทน 25 คนที่หายไปเพื่อไม่ให้ไหลไปเข้าทางพรรคใหญ่ อย่างประชาธิปัตย์และพรรคเพื่อไทย
จะแก้เกมด้วยวิธีการใดไม่มีใครทราบ แต่เสียงที่ดังมาก่อนหน้านั้นว่า อาจจะเล่นกัน แรงถึงขั้นยุบสภาเลือกตั้งใหม่ แม้อาจจะเป็นไปได้แต่หากวัดกันจากฐานคะแนนนิยมของ รัฐบาล บนความโลภของนักการเมืองในเค้ก งบประมาณ 55และอาการคึกคักเป็นพิเศษ ของ “อดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร”
มันช่างเป็นเรื่องที่น่าครุ่นคิดอย่างยิ่งว่านักเลือกตั้งที่กำลังเสวยสุขอยู่ในซีกรัฐบาล จะพึงพอใจกับการลงสนามกลับไปเลือกตั้งใหม่ในสถานการณ์อันสุ่มเสี่ยงที่จะ ตกสวรรค์ได้ทุกเมื่อ สิ่งสำคัญต้องไม่ลืมว่า ตลอดห้วงเวลาที่พรรคร่วมกอดรัดฟัดเหวี่ยงกันใน “รัฐบาลเทพประทาน”ตามรายทางที่ดำเนินมาล้วนเต็มไปด้วยอาการทะเลาะเบาะแว้ง แต่นี่มัน ก็ปาเข้าไป 2 ปีแล้ว ประชาธิปัตย์กับพรรค ร่วมก็ยังอยู่ร่วมรัฐบาลกันได้เหมือนไม่มีอะไร เกิดขึ้น
เพราะฉะนั้น การวิวาทะกันรอบนี้ ที่ดูเหมือนจะรุนแรงลุกลามบานปลาย ในท้าย ที่สุด ก็คงเป็นแค่ตลกบนหลังคารถ แค่โชว์บทบาทในทางการเมืองไปวันๆ ก่อนจะหันมาจูบปากกันอีกครั้งบนกองผลประโยชน์ประเทศไทย..แต่ในส่วนที่ “นายกฯ อภิสิทธิ์”บอกว่ากลางปีนี้จะมีเลือกตั้ง ก็ควรกลับเข้าสู่กระบวนการทบทวนใหม่หมด เพราะที่สุดแล้วคนที่มีอำนาจยุบสภาไม่ได้ชื่อ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ”ขอรับครับ..ป๋า!!!
ที่มา.สยามธุรกิจ
**********************************************************************
แต่สำหรับบรรยากาศการเมืองภาย ในประเทศ ดูเหมือนจะเกิดอาการฝุ่นตลบอยู่พอสมควร ยิ่งสะท้อนภาพผ่านการถกเครียดกว่า 4 ชั่วโมง ในการล็อกตัวเลขจำนวน ส.ส.ที่ฝ่ายพรรคประชาธิปัตย์ต้องการให้มี ส.ส.แบบเขต จำนวน 375 คน และ ส.ส.แบบสัดส่วน จำนวน 125
ตรงกันข้าม ในซีกพรรคร่วม รัฐบาลอันมี “บรรหาร ศิลปอาชา”เป็นแกนนำ ดูจะพึงพอใจกับจำนวน ส.ส.แบบเขต 400 คน และ ส.ส.แบบสัดส่วน 100 คน กระนั้น ในการถกเครียดในชั้นกรรมาธิการ ตัวเลขในใจพรรค ประชาธิปัตย์ ก็กลายเป็นตัวเลขที่ถูกเคาะออกมา แต่ที่น่าสนใจไปกว่านั้นคือการลงมติจาก 35 ส.ส.ในคณะกรรมาธิการ มี 17 ชีวิตที่เลือกสูตรของประชาธิปัตย์ และมีอีก 17 ชีวิตเลือกสูตรของซีกพรรคร่วม
สุดท้ายต้องให้ประธานกรรมาธิการเป็นผู้ตัดสิน ก่อนหวยจะมาออกที่อัตราส่วน 375 ต่อ 125แค่เริ่มก็เสียขบวน วาระแก้รัฐธรรมนูญ รอบนี้ มีให้ลุ้นพลิกคว่ำพลิกหงายได้ตลอดเส้นทาง เพราะโดยเนื้อแท้แล้ว พรรคประชาธิปัตย์ก็ไม่เห็นด้วยกับการแก้รัฐธรรมนูญรอบนี้สักเท่าไหร่ แต่ที่ยอมถอยให้ก็เพราะจำใจ เพื่อประคับประคอง “รัฐนาวาเทพ ประทาน” ไม่ให้ล่มคาปากอ่าวการเมืองไทย
และในเมื่อประชาธิปัตย์สมยอมด้วยการถอยหนึ่งก้าว แต่พรรคร่วมรัฐบาลกลับ รุกคืบเข้ามาอีก 1 ก้าว มันก็เป็นธรรมดาที่ เซียนเขี้ยวอย่างประชาธิปัตย์ จะใช้เป็นเหตุผลให้หน้าตาของรัฐธรรมนูญจะสามารถ ออกมาได้ทุกหน้า ไม่เว้นแม้กระทั่ง กรณีการกลับไปใช้แบบเดิมตามรัฐธรรมนูญ ปี 50
แม้ “บรรหาร ศิลปอาชา” และ “พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์”จะแสดง ความไม่พอใจ พร้อมทั้งประกาศดังๆ ว่า ในชั้นรัฐสภาสัดส่วนจำนวน ส.ส.จะต้องถูกจูนกลับมาอยู่ที่ 400 ต่อ 100 ว่ากันตามจำนวนมือในชั้นกรรมาธิการ สิ่งที่ 2ผู้เฒ่ามั่นใจนักมั่นใจหนา ก็มีแนวโน้มเป็นไปได้ แต่หากว่ากันตามความเขี้ยวทางการเมืองที่พรรคประชาธิปัตย์เหยียบบ่าตีกินเพื่อนมาโดยตลอด ตัวเลข 375 ต่อ 125 ก็ยังคงเป็นตัวเลขที่มีทางเป็นไปได้มากที่สุดหรือไม่นั้น ก็กลับไปใช้ของเดิมทั้งกระบิ นั่นก็ยิ่งแย่ไปใหญ่และเข้าทางประชาธิปัตย์แบบเต็มๆ นี่ก็คือการบ้านข้อใหญ่ที่พรรคเล็กต้องไปบริหารจำนวนผู้แทน 25 คนที่หายไปเพื่อไม่ให้ไหลไปเข้าทางพรรคใหญ่ อย่างประชาธิปัตย์และพรรคเพื่อไทย
จะแก้เกมด้วยวิธีการใดไม่มีใครทราบ แต่เสียงที่ดังมาก่อนหน้านั้นว่า อาจจะเล่นกัน แรงถึงขั้นยุบสภาเลือกตั้งใหม่ แม้อาจจะเป็นไปได้แต่หากวัดกันจากฐานคะแนนนิยมของ รัฐบาล บนความโลภของนักการเมืองในเค้ก งบประมาณ 55และอาการคึกคักเป็นพิเศษ ของ “อดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร”
มันช่างเป็นเรื่องที่น่าครุ่นคิดอย่างยิ่งว่านักเลือกตั้งที่กำลังเสวยสุขอยู่ในซีกรัฐบาล จะพึงพอใจกับการลงสนามกลับไปเลือกตั้งใหม่ในสถานการณ์อันสุ่มเสี่ยงที่จะ ตกสวรรค์ได้ทุกเมื่อ สิ่งสำคัญต้องไม่ลืมว่า ตลอดห้วงเวลาที่พรรคร่วมกอดรัดฟัดเหวี่ยงกันใน “รัฐบาลเทพประทาน”ตามรายทางที่ดำเนินมาล้วนเต็มไปด้วยอาการทะเลาะเบาะแว้ง แต่นี่มัน ก็ปาเข้าไป 2 ปีแล้ว ประชาธิปัตย์กับพรรค ร่วมก็ยังอยู่ร่วมรัฐบาลกันได้เหมือนไม่มีอะไร เกิดขึ้น
เพราะฉะนั้น การวิวาทะกันรอบนี้ ที่ดูเหมือนจะรุนแรงลุกลามบานปลาย ในท้าย ที่สุด ก็คงเป็นแค่ตลกบนหลังคารถ แค่โชว์บทบาทในทางการเมืองไปวันๆ ก่อนจะหันมาจูบปากกันอีกครั้งบนกองผลประโยชน์ประเทศไทย..แต่ในส่วนที่ “นายกฯ อภิสิทธิ์”บอกว่ากลางปีนี้จะมีเลือกตั้ง ก็ควรกลับเข้าสู่กระบวนการทบทวนใหม่หมด เพราะที่สุดแล้วคนที่มีอำนาจยุบสภาไม่ได้ชื่อ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ”ขอรับครับ..ป๋า!!!
ที่มา.สยามธุรกิจ
**********************************************************************
คิดแบบ "ไข่ไก่"
โดย สรกล อดุลยานนท์
(ที่มา คอลัมน์ สถานีคิดเลขที่ 12 หนังสือพิมพ์มติชนรายวัน ฉบับประจำวันที่ 15 มกราคม 2554)
ต้องถือว่าโชคดีที่วันนี้ คุณสมัคร สุนทรเวช ไม่อยู่แล้ว
ไม่เช่นนั้นเราคงได้ยินคำวิจารณ์นโยบายขายไข่ไก่เป็นกิโลกรัมของรัฐบาลชุดนี้อย่างแสบสันต์
เพราะ "สมัคร" เป็นคนเดินตลาด
เขาเข้าใจพฤติกรรมของมนุษย์เดินดินเป็นอย่างดี
ไม่ได้อยู่แต่ในห้องแอร์
แนวคิดเรื่องการขายไข่ไก่ตามน้ำหนักถือเป็นตัวอย่างที่ดียิ่งที่แสดงให้เห็นว่า "อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" มองภาพการแก้ปัญหาไม่ครบทุกส่วน
คิดแค่การลดต้นทุนการผลิต คือการแยกไข่ไก่ของเกษตรกร
คิดว่าถ้าขายเป็นกิโลกรัม ก็ไม่ต้องแยกขนาดไข่ไก่
ต้นทุนก็ลดลง
แต่ลืมทำความเข้าใจพฤติกรรมของพ่อค้าและลูกค้าว่าเขาซื้อขายกันอย่างไร
จิตวิทยาการซื้อขายเบื้องต้นเวลาขายของที่ขนาดไม่เท่ากัน
คนจะเลือกไซซ์ใหญ่ก่อนเสมอ
และสุดท้ายไซซ์เล็กก็จะไม่มีคนซื้อ
การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภคเป็นเรื่องใหญ่มากในเชิงการตลาด
ไม่เชื่อลองถาม "อภิรักษ์ โกษะโยธิน" ที่เคยบริหารเป๊ปซี่ มันฝรั่งเลย์ ทรู แกรมมี่ ฯลฯ มาก่อนดูก็ได้
หรือไม่มั่นใจก็ให้ถาม "กนก วงษ์ตระหง่าน" ที่เคยทำ "โรบินสัน" ก็ได้
ไม่ใช่ว่าผู้บริโภคจะเปลี่ยนพฤติกรรมไม่ได้
เปลี่ยนได้...แต่ยาก
และต้องใช้พลังการขับเคลื่อนมากกว่าแค่การประชุมและสั่งการ
ไม่เช่นนั้นจะเหมือนงบแก้ปัญหาน้ำท่วม
น้ำแห้ง จนหนาว และกำลังจะแล้ง
แต่งบน้ำท่วมยังไปไม่ถึงไหนเลย
การเปลี่ยนแปลงอะไรก็ตาม เราจะต้องมองภาพรวมให้ครบ
ผู้ผลิต พ่อค้า และผู้บริโภค
ไม่ใช่มองเพียงฝั่งเดียว กดเครื่องคิดเลขเสร็จก็คิดว่าลดต้นทุนการผลิตได้แล้ว
สำเร็จแล้ว
ลืมมองปัญหาแบบคนเดินตลาด และไม่เข้าใจว่าพฤติกรรมของผู้บริโภคเป็นอย่างไร
ผู้บริโภคนั้นใช่ว่าใครจะสั่งซ้ายหัน-ขวาหันได้
แม่ค้าก็เหมือนกัน เขาจะปรับตามผู้บริโภค
ลูกค้าอยากได้อะไร เขาก็ตอบสนองอย่างนั้น
เรื่องแบบนี้คนที่ไม่เคยเดินตลาดไม่เข้าใจหรอกครับ
คาดว่านโยบายขายไข่ไก่ตามน้ำหนักของรัฐบาล
ไม่เกิน 2 เดือน เรื่องนี้จะเงียบหายไป
ไม่แปลกที่รัฐบาล "อภิสิทธิ์" จะถูกวิจารณ์ตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้ว่ามองบัญชีด้านเดียว
ดูบัญชีรายจ่าย โดยไม่เคยพูดเรื่อง "รายได้" เลยว่าจะมาจากไหน
นึกถึงคำขวัญวันเด็กของ "อภิสิทธิ์"
"รอบคอบ รู้คิด มีจิตสาธารณะ"
ครับ ถ้าเด็กวันนี้ที่จะต้องใช้หนี้ในวันหน้าคิดคำขวัญเพื่อมอบให้กับรัฐบาลชุดนี้
เขาคงบอกว่า
"รอบคอบบ้าง รู้คิดบ้าง อะไรบ้าง แต่อย่าสร้างหนี้สาธารณะ"
ที่มา.มติชนออนไลน์
-----------------------------------------------------------------------------------------------
(ที่มา คอลัมน์ สถานีคิดเลขที่ 12 หนังสือพิมพ์มติชนรายวัน ฉบับประจำวันที่ 15 มกราคม 2554)
ต้องถือว่าโชคดีที่วันนี้ คุณสมัคร สุนทรเวช ไม่อยู่แล้ว
ไม่เช่นนั้นเราคงได้ยินคำวิจารณ์นโยบายขายไข่ไก่เป็นกิโลกรัมของรัฐบาลชุดนี้อย่างแสบสันต์
เพราะ "สมัคร" เป็นคนเดินตลาด
เขาเข้าใจพฤติกรรมของมนุษย์เดินดินเป็นอย่างดี
ไม่ได้อยู่แต่ในห้องแอร์
แนวคิดเรื่องการขายไข่ไก่ตามน้ำหนักถือเป็นตัวอย่างที่ดียิ่งที่แสดงให้เห็นว่า "อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" มองภาพการแก้ปัญหาไม่ครบทุกส่วน
คิดแค่การลดต้นทุนการผลิต คือการแยกไข่ไก่ของเกษตรกร
คิดว่าถ้าขายเป็นกิโลกรัม ก็ไม่ต้องแยกขนาดไข่ไก่
ต้นทุนก็ลดลง
แต่ลืมทำความเข้าใจพฤติกรรมของพ่อค้าและลูกค้าว่าเขาซื้อขายกันอย่างไร
จิตวิทยาการซื้อขายเบื้องต้นเวลาขายของที่ขนาดไม่เท่ากัน
คนจะเลือกไซซ์ใหญ่ก่อนเสมอ
และสุดท้ายไซซ์เล็กก็จะไม่มีคนซื้อ
การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภคเป็นเรื่องใหญ่มากในเชิงการตลาด
ไม่เชื่อลองถาม "อภิรักษ์ โกษะโยธิน" ที่เคยบริหารเป๊ปซี่ มันฝรั่งเลย์ ทรู แกรมมี่ ฯลฯ มาก่อนดูก็ได้
หรือไม่มั่นใจก็ให้ถาม "กนก วงษ์ตระหง่าน" ที่เคยทำ "โรบินสัน" ก็ได้
ไม่ใช่ว่าผู้บริโภคจะเปลี่ยนพฤติกรรมไม่ได้
เปลี่ยนได้...แต่ยาก
และต้องใช้พลังการขับเคลื่อนมากกว่าแค่การประชุมและสั่งการ
ไม่เช่นนั้นจะเหมือนงบแก้ปัญหาน้ำท่วม
น้ำแห้ง จนหนาว และกำลังจะแล้ง
แต่งบน้ำท่วมยังไปไม่ถึงไหนเลย
การเปลี่ยนแปลงอะไรก็ตาม เราจะต้องมองภาพรวมให้ครบ
ผู้ผลิต พ่อค้า และผู้บริโภค
ไม่ใช่มองเพียงฝั่งเดียว กดเครื่องคิดเลขเสร็จก็คิดว่าลดต้นทุนการผลิตได้แล้ว
สำเร็จแล้ว
ลืมมองปัญหาแบบคนเดินตลาด และไม่เข้าใจว่าพฤติกรรมของผู้บริโภคเป็นอย่างไร
ผู้บริโภคนั้นใช่ว่าใครจะสั่งซ้ายหัน-ขวาหันได้
แม่ค้าก็เหมือนกัน เขาจะปรับตามผู้บริโภค
ลูกค้าอยากได้อะไร เขาก็ตอบสนองอย่างนั้น
เรื่องแบบนี้คนที่ไม่เคยเดินตลาดไม่เข้าใจหรอกครับ
คาดว่านโยบายขายไข่ไก่ตามน้ำหนักของรัฐบาล
ไม่เกิน 2 เดือน เรื่องนี้จะเงียบหายไป
ไม่แปลกที่รัฐบาล "อภิสิทธิ์" จะถูกวิจารณ์ตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้ว่ามองบัญชีด้านเดียว
ดูบัญชีรายจ่าย โดยไม่เคยพูดเรื่อง "รายได้" เลยว่าจะมาจากไหน
นึกถึงคำขวัญวันเด็กของ "อภิสิทธิ์"
"รอบคอบ รู้คิด มีจิตสาธารณะ"
ครับ ถ้าเด็กวันนี้ที่จะต้องใช้หนี้ในวันหน้าคิดคำขวัญเพื่อมอบให้กับรัฐบาลชุดนี้
เขาคงบอกว่า
"รอบคอบบ้าง รู้คิดบ้าง อะไรบ้าง แต่อย่าสร้างหนี้สาธารณะ"
ที่มา.มติชนออนไลน์
-----------------------------------------------------------------------------------------------
ใบตองแห้ง' ออนไลน์: เป้าหมายการเคลื่อนไหว
รุ่นน้องผมที่ไม่ใช่เสื้อแดงแต่เอาใจช่วยการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย (มิกล้าเรียกว่าสองไม่เอา อิอิ) บ่นทันทีที่เจอหน้ากันวันจันทร์ว่า “เสียของ” เพราะมวลชนเสื้อแดงมาชุมนุมกันล้นหลามถึง 3 หมื่นกว่าคน แต่กลับลงเอยด้วยการโฟนอินของทักษิณ
โอเค ผมเข้าใจดีว่ามวลชนเสื้อแดงไม่ได้เจตนาจะมาฟังทักษิณโฟนอิน มีทักษิณหรือไม่มีเขาก็มา ในทางตรงข้าม น่าจะเป็นทักษิณต่างหากที่กลัวตกกระแส จนต้องต่อสายมาโฟนอิน
แต่เรื่องนี้ต้องตำหนิแกนนำ ที่ไม่มีความชัดเจนในแง่เป้าหมายของการเคลื่อนไหว การนำยังไม่เป็นเอกภาพ และยังไร้ทิศทางเช่นเคย แบบใครใคร่พูดพูด ไม่คิดว่าจะได้อานิสงส์ส่งผลดีผลเสียอย่างไร
ที่พูดเช่นนี้ไม่ได้ปฏิเสธทักษิณ ต้องห้ามยุ่งห้ามเกี่ยว เราไม่อาจปฏิเสธว่าทักษิณเป็นส่วนหนึ่งของการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย แต่ต่างฝ่ายต่างต้องจัดบทบาทที่เหมาะสม ทักษิณควรอยู่ในบทบาทผู้สนับสนุน หรือเดินสายรณรงค์ต่างประเทศ ปล่อยให้เสื้อแดงเคลื่อนไหวอย่างเป็นตัวของตัวเอง ภายใต้เป้าหมายร่วมกัน ถ้ามัวแต่เลอะเทอะปนเปื้อนกันไปมาก็มีแต่ผลลบ
ประเด็นสำคัญที่ต้องพูดคือ ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ใช่แค่เรื่องทักษิณไม่ทักษิณ แต่มันเป็นเรื่องที่ขบวนเสื้อแดงยังไม่รู้ว่ากรูมีเป้าหมายอะไร มาชุมนุมเพื่ออะไร รู้แต่ว่านัดกันมาชุมนุม เดือนละ 2 ครั้ง
แน่นอน เราต้องแยกแยะทีละด้าน ในส่วนของมวลชน เราได้เห็นความเข้มแข็ง พร้อมเพรียง “ใจถึง” แบบกรูไม่กลัวเมริง แสดงพลังว่าพร้อมจะสู้กับ “ระบอบอภิสิทธิ์ชน” ถึงที่สุด
แต่ในส่วนของแกนนำ เห็นชัดเจนว่ายังไม่รู้เลยว่าจะนำมวลชนไปทางไหน การเคลื่อนไหวแต่ละครั้งต้องการอะไร และจะนำไปสู่เป้าหมายสูงสุดอย่างไร
การชุมนุมครั้งหน้า 23 ม.ค.เชื่อได้ว่า มวลชนจะมาอีก และมาเยอะกว่านี้ แต่ถ้ามีความก้าวหน้าแค่ทักษิณโฟนอินในระบบ 3D ก็เสียของ เสียแรง และนานไปจะมีแต่ผลเสียมากกว่าผลดี
หลังการชุมนุมเสื้อแดง วันถัดมาก็มีสมาคมผู้ค้าราชประสงค์ ออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลจัดหาพื้นที่ให้ชุมนุม โดยไม่สร้างความเสียหายกับผู้ค้า (ซึ่งมีความ “ก้าวหน้า” อย่างน่าประหลาดใจ รู้จักเร่งรัดให้มี พ.ร.บ.ชุมนุมในพื้นที่สาธารณะ)
ดูข่าวแล้วอดไม่ได้ที่จะเปรียบเทียบกับข่าวชาวสระแก้วออกมาคัดค้าน “เครือข่ายคนไทยหัวใจรักชาติ” ซึ่งทราบกันดีว่าเป็นสาขาพันธมิตรฯ แปลงร่าง จะไปประท้วงเขมรให้ปล่อย 7 คนไทยและยกเลิก MOU ปี 43
เปล่า ผมไม่ได้บอกว่าอย่ามาม็อบอีกเลย เดี๋ยวคนกรุงคนชั้นกลางเดือดร้อนแล้วจะถูกต่อต้าน แต่ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นมันสะท้อนว่า ระบอบอภิสิทธิ์ชนกำลังขี่กระแสรักสงบแบบไทยๆ โดดเดี่ยวทั้งเสื้อแดงและเสื้อเหลืองออกไปอยู่ด้านข้าง
ภายหลังจาก “นวด” กันมา 5 ปีเศษ ระบอบอภิสิทธิ์ชนใช้รัฐประหารตุลาการภิวัตน์ ความไม่เป็นประชาธิปไตยและความยุติธรรม 2 มาตรฐาน รวมทั้ง “ลูกเสือชาวบ้านยุคใหม่” เป็นเครื่องมือ ให้ท้ายยึดทำเนียบ ยึดสนามบิน ยั่วยุให้เกิดการตอบโต้ด้วยอารมณ์จากเสื้อแดง ยึดอนุสาวรีย์ชัย ยึดราชประสงค์ พันธมิตรตายไปสิบกว่าศพ เสื้อแดงตายไปเกือบแปดสิบ
สุดท้าย ระบอบอภิสิทธิ์ชนก็ฉวยกระแสความเบื่อหน่าย “อยากให้จบๆ เสียที จะได้ทำมาหากิน” ของคนส่วนใหญ่ในสังคมโดยเฉพาะคนกรุงคนชั้นกลาง ถีบหัวส่งทั้ง “การเมืองใหม่ใสสะอาด” ของเสื้อเหลือง และ “ประชาธิปไตยที่สมบูรณ์” ของเสื้อแดง ให้สังคมไทยจำยอมรับการเมืองเก่าเน่าโคตร และประชาธิปไตยพิกลพิการที่พวกเขามอบให้
คนกรุงคนชั้นกลางจึงไม่แยแสสนใจ ไม่ว่ารัฐบาลนี้จะบริหารงานห่วยแตกไร้ประสิทธิภาพเพียงไร ทุจริตคอรัปชั่นเพียงไร หรือเอาเงินภาษีของตัวเอง (คนชั้นกลางคิดว่าตัวเองจ่ายภาษี คนจนไม่ได้จ่าย) ไปถลุง 7 หมื่นล้านเพื่อตั้งกองพลทหารม้าที่ 3 เพราะพวกเขาคิดเพียงว่าให้บ้านเมืองสงบ แล้วจะได้ทำมาหากิน กรูเอาตัวรอดได้ ไม่ว่ามันจะเป็นประชาธิปไตยหรือไม่เป็น ไม่ว่าจะทุจริตคอรัปชั่นกันอย่างไร กรูก็ทำมาหากินได้ มีความสุขกับการชอปปิ้ง เที่ยวห้าง เที่ยวเมืองปาย กอดเมืองไทย หันไปต่อสู้ดิ้นรนด้วยการส่งลูกกวดวิชา เรียนอินเตอร์ สองภาษา เรียนจบมาถ้าไม่อยากอยู่เมืองไทยก็ไปทำงานเมืองนอก
อ้อ ลืมไป เพื่อไม่ให้รู้สึกว่าตัวเองสามานย์ คนชั้นกลางก็จะท่องคุณธรรมจริยธรรม “รักในหลวง” อ่านหนังสือท่านพุทธทาส ท่านปยุตต์ ท่าน ว.วชิรเมธี เห่อดอกเตอร์ไฮโซที่เขียนหนังสือขายโดยเอาภาษาท่านพุทธทาสท่านปัญญามาแปลงใหม่ให้สวยๆ เห่อสำนักสงฆ์ที่ไปสร้างรีสอร์ทอยู่ในป่า แล้วตอนนี้ก็มีศัพท์ใหม่คือ “จิตสาธารณะ” ช่วยกันทำสังคมรอบตัวให้ดีขึ้น แต่ระบบสังคมช่างหัวมัน
ในสภาพเช่นนี้เราคงไม่ต้องพูดถึงพันธมิตร ซึ่งหมดอนาคตโดยสิ้นเชิงแล้ว พันธมิตรจะมีราคาก็ต่อเมื่อออกมาต่อต้านเสื้อแดง ออกมาด่าทักษิณ ถึงจะเป็นหัวข่าว แต่ถ้าพันธมิตรไล่รัฐบาล ลำเลิกบุญคุณ หรือหันไปเล่นเรื่องเขมร เรื่อง MOU ปี 43 ก็กลายเป็นหมาหัวเน่า กระบอกเสียงของคนชั้นกลางทั้งสื่อ นักวิชาการ ไม่เพียงตีจากแต่ยังทุบหัวเอา (เถ้าแก่เปลวก็ทุบไปเปรี้ยงสองเปรี้ยง เลยโดนด่า “ขายชาติ” อิอิ)
พลังที่จะเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงระบบ จึงเหลือแต่มวลชนเสื้อแดง กับนักคิดนักวิชาการฝ่ายประชาธิปไตย ซึ่งได้กล่าวไปแล้วว่าคนเสื้อแดงหยุดการเติบโตทางปริมาณ แต่ขยายนิวเคลียสจนเข้มข้น นั่นแปลว่า นปช.พร้อมจะระดมมวลชนเป็นแสนๆ มาปิดราชประสงค์อีกเมื่อไหร่ก็ได้ แต่จะเอาชนะ “กระแสสังคม” ได้อย่างไรนี่สิ เป็นปัญหา
ผมไม่ใช่ทั้งนักวิชาการนักทฤษฎีหรือนักเคลื่อนไหว มีคนเก่งกว่าผมเยอะ แต่คนอยู่วงในอาจจะ in จนบังตา จึงต้องเสนอความเห็นจากวงนอก เพื่อให้ช่วยกันขบคิด หาลู่ทาง กำหนดแนวทาง
ในแง่หนึ่ง ฝ่ายประชาธิปไตยอาจจำเป็นต้อง “รอ” ให้ระบอบอภิสิทธิ์ชนเน่าเฟะ เสื่อมทราม ไร้ประสิทธิภาพจนถึงจุดล่มสลาย ไปไม่รอด หรือสังคมเหลืออด โดยใช้การเคลื่อนไหวระหว่างนี้รักษามวลชน หล่อหลอมมวลชน ขยายมวลชนเท่าที่จะทำได้
ในอีกแง่หนึ่ง ฝ่ายประชาธิปไตยก็ต้องแปรการเคลื่อนไหวให้ “แสวงจุดร่วม” กับผู้คนส่วนอื่นๆ ในสังคมให้มากขึ้น พร้อมกับไปการเคลื่อนไหวในประเด็นของตน เช่น การเรียกร้องให้ประกันตัวคนเสื้อแดง การวิพากษ์วิจารณ์ความยุติธรรมสองมาตรฐาน
แสวงจุดร่วมอย่างไร ต้องช่วยกันคิด และกำหนดประเด็นการเคลื่อนไหวในแต่ละครั้ง ให้เชื่อมโยงประโยชน์สาธารณะมากขึ้น
เอ้า สมมติเช่นเวลามาม็อบ คุณก็เพิ่มเนื้อหาโจมตีรัฐบาลเรื่องสินค้าแพง ให้แม่ค้ากล้วยแขก แม่ค้าลูกชิ้นที่เป็นเสื้อแดง สลับกันขึ้นเวทีมาด่าเรื่องราคาน้ำมันปาล์มมั่ง ให้มอเตอร์ไซค์รับจ้างขึ้นมาวิพากษ์นโยบายประชาวิวัฒน์ มันจะเป็นจริงได้ไงในเมื่อตำรวจตั้งด่านรีดไถมอเตอร์ไซค์แทบทุกหัวถนน ยุคทักษิณที่ว่าตำรวจมีอำนาจ ยังไม่เก็บส่วยกันมากขนาดนี้
หรือไม่ก็รู้จักด่า ปตท.มั่ง เรื่องราคาหน้าโรงกลั่น ไม่ใช่ไม่แตะเรื่องนี้เลย จนถูกกล่าวหาอยู่ซ้ำซากว่าทักษิณแอบถือหุ้น ปตท. (ตอนนี้โอกาสดี รสนาหมดมุขแล้ว ไม่ยักออกมาโวย ปตท.อีก) บางครั้งบางโอกาส ก็สามารถเอามาเป็นประเด็นเรียกร้องได้ด้วย
หรือถ้าจะมาม็อบวันที่ 23 คุณก็อาจจะกำหนดประเด็น ทวงคำมั่นรัฐบาลที่ว่าจะรีบแก้รัฐธรรมนูญแล้วยุบสภา เพราะตอนนี้เริ่มมีทีท่าว่า พวก สว.ลากตั้งกำลังจะลาออกก่อนครบวาระ เพื่อให้ตัวเองมีสิทธิ์ได้รับการสรรหาอีก จนอาจทำให้ที่ประชุมร่วมรัฐสภาไม่สามารถพิจารณาแก้ไขรัฐธรรมนูญได้ นี่เป็นเรื่องน่าเกลียดที่ต้องประณาม เพราะเสวยอำนาจจนอยากงอกราก ทอดทิ้งหน้าที่ เพียงเพื่อให้ตัวเองมีสิทธิลากตั้งอีกครั้ง
อันที่จริงควรจะฉวยโอกาสนี้ เคลื่อนไหวต่อต้าน สว.จากการลากตั้ง ถ้าทำได้ก็ไปให้ถึงการเข้าชื่อแก้รัฐธรรมนูญ ให้ สว.มาจากการเลือกตั้งทั้งหมด ถ้าไปไม่ถึงอย่างน้อยก็ทำให้การสรรหาโดยตุลาการอำมาตย์ กลายเป็นเรื่องเน่าเหม็นไม่เป็นที่ยอมรับของประชาชน ถามว่าเรื่องนี้มีจุดร่วมกับคนที่ไม่ใช่เสื้อแดงไหม มีสิ เพราะถ้าเลือกตั้ง ก็ได้ สว.เพิ่มทั้งคนกรุงเทพฯ คนอีสาน คนเหนือ คนใต้ และเป็นชัยชนะของ “ประชาธิปไตยที่สมบูรณ์” ในขั้นหนึ่ง
การคิดประเด็นเคลื่อนไหวให้สอดคล้องกับผลประโยชน์สาธารณะไปพร้อมๆ กัน เป็นภารกิจที่ผู้นำการเคลื่อนไหวต้องใช้สติปัญญามากกว่าการนำเย้วๆ แล้วก็ต้องระดมสมอง มีฐานข้อมูล มีนโยบาย มีแนวคิดทางยุทธศาสตร์ยุทธวิธี ไม่ใช่คิดแต่เอาคนมาให้มากๆ เพราะแม้คนมากจะสามารถ “คุกคาม” หรือ “เขย่า” อภิสิทธิ์ชน แต่ในเชิงคุณภาพยังไม่สามารถนำไปสู่ชัยชนะ
เว้นแต่จะคิดเอาม็อบมาสู้แตกหักแบบครั้งที่แล้วอีก
ผมชื่นชมข้อเขียนล่าสุดของ อ.ใจ “ข้อถกเถียงที่สร้างสรรค์ในขบวนการเสื้อแดง” คือถึงเวลาที่จะต้องถกเถียงกันเพื่อกำหนดแนวทางอย่างมีวุฒิภาวะ กำหนดเป้าหมายอุดมการณ์ปฏิรูปประชาธิปไตยว่าจะทำอย่างไร เสนอให้ชัดเจนว่า ต้องการปฏิรูปประชาธิปไตยอย่างไร ปฏิรูปสถาบัน ปฏิรูปกองทัพ ปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม ศาล และองค์กรอิสระ อย่างไร เพื่อให้สาธารณชนเข้าใจว่านี่คืออุดมการณ์ที่จะปฏิรูปสังคมไทยไปสู่คุณภาพใหม่ และไม่ “เลยธง” อย่างที่คนบางส่วนเกรงกลัว
เมื่อกำหนดเป้าหมายแล้วก็ต้องกำหนดยุทธศาสตร์ยุทธวิธี ซึ่งถ้ามองว่า “ชัยชนะ” คือการปฏิรูปประชาธิปไตยให้สำเร็จ โดยดึงหลายฝ่ายเข้ามามีส่วนร่วม ไม่ใช่แค่ชัยชนะของเสื้อแดงหรือพรรคเพื่อไทย ยุทธศาสตร์ก็จะไม่ใช่การแตกหัก แต่ก็ไม่ใช่การประนีประนอม หากเป็นการใช้พล้งมวลชน พลังสาธารณชน ปิดล้อมกดดันไปสู่การเปลี่ยนแปลง
มันอาจจะไม่สะใจเสื้อแดงบางส่วน แต่ก็ต้องคำนึงถึงความเป็นจริงและความเป็นไปได้
โอเค ผมเข้าใจดีว่ามวลชนเสื้อแดงไม่ได้เจตนาจะมาฟังทักษิณโฟนอิน มีทักษิณหรือไม่มีเขาก็มา ในทางตรงข้าม น่าจะเป็นทักษิณต่างหากที่กลัวตกกระแส จนต้องต่อสายมาโฟนอิน
แต่เรื่องนี้ต้องตำหนิแกนนำ ที่ไม่มีความชัดเจนในแง่เป้าหมายของการเคลื่อนไหว การนำยังไม่เป็นเอกภาพ และยังไร้ทิศทางเช่นเคย แบบใครใคร่พูดพูด ไม่คิดว่าจะได้อานิสงส์ส่งผลดีผลเสียอย่างไร
ที่พูดเช่นนี้ไม่ได้ปฏิเสธทักษิณ ต้องห้ามยุ่งห้ามเกี่ยว เราไม่อาจปฏิเสธว่าทักษิณเป็นส่วนหนึ่งของการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย แต่ต่างฝ่ายต่างต้องจัดบทบาทที่เหมาะสม ทักษิณควรอยู่ในบทบาทผู้สนับสนุน หรือเดินสายรณรงค์ต่างประเทศ ปล่อยให้เสื้อแดงเคลื่อนไหวอย่างเป็นตัวของตัวเอง ภายใต้เป้าหมายร่วมกัน ถ้ามัวแต่เลอะเทอะปนเปื้อนกันไปมาก็มีแต่ผลลบ
ประเด็นสำคัญที่ต้องพูดคือ ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ใช่แค่เรื่องทักษิณไม่ทักษิณ แต่มันเป็นเรื่องที่ขบวนเสื้อแดงยังไม่รู้ว่ากรูมีเป้าหมายอะไร มาชุมนุมเพื่ออะไร รู้แต่ว่านัดกันมาชุมนุม เดือนละ 2 ครั้ง
แน่นอน เราต้องแยกแยะทีละด้าน ในส่วนของมวลชน เราได้เห็นความเข้มแข็ง พร้อมเพรียง “ใจถึง” แบบกรูไม่กลัวเมริง แสดงพลังว่าพร้อมจะสู้กับ “ระบอบอภิสิทธิ์ชน” ถึงที่สุด
แต่ในส่วนของแกนนำ เห็นชัดเจนว่ายังไม่รู้เลยว่าจะนำมวลชนไปทางไหน การเคลื่อนไหวแต่ละครั้งต้องการอะไร และจะนำไปสู่เป้าหมายสูงสุดอย่างไร
การชุมนุมครั้งหน้า 23 ม.ค.เชื่อได้ว่า มวลชนจะมาอีก และมาเยอะกว่านี้ แต่ถ้ามีความก้าวหน้าแค่ทักษิณโฟนอินในระบบ 3D ก็เสียของ เสียแรง และนานไปจะมีแต่ผลเสียมากกว่าผลดี
หลังการชุมนุมเสื้อแดง วันถัดมาก็มีสมาคมผู้ค้าราชประสงค์ ออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลจัดหาพื้นที่ให้ชุมนุม โดยไม่สร้างความเสียหายกับผู้ค้า (ซึ่งมีความ “ก้าวหน้า” อย่างน่าประหลาดใจ รู้จักเร่งรัดให้มี พ.ร.บ.ชุมนุมในพื้นที่สาธารณะ)
ดูข่าวแล้วอดไม่ได้ที่จะเปรียบเทียบกับข่าวชาวสระแก้วออกมาคัดค้าน “เครือข่ายคนไทยหัวใจรักชาติ” ซึ่งทราบกันดีว่าเป็นสาขาพันธมิตรฯ แปลงร่าง จะไปประท้วงเขมรให้ปล่อย 7 คนไทยและยกเลิก MOU ปี 43
เปล่า ผมไม่ได้บอกว่าอย่ามาม็อบอีกเลย เดี๋ยวคนกรุงคนชั้นกลางเดือดร้อนแล้วจะถูกต่อต้าน แต่ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นมันสะท้อนว่า ระบอบอภิสิทธิ์ชนกำลังขี่กระแสรักสงบแบบไทยๆ โดดเดี่ยวทั้งเสื้อแดงและเสื้อเหลืองออกไปอยู่ด้านข้าง
ภายหลังจาก “นวด” กันมา 5 ปีเศษ ระบอบอภิสิทธิ์ชนใช้รัฐประหารตุลาการภิวัตน์ ความไม่เป็นประชาธิปไตยและความยุติธรรม 2 มาตรฐาน รวมทั้ง “ลูกเสือชาวบ้านยุคใหม่” เป็นเครื่องมือ ให้ท้ายยึดทำเนียบ ยึดสนามบิน ยั่วยุให้เกิดการตอบโต้ด้วยอารมณ์จากเสื้อแดง ยึดอนุสาวรีย์ชัย ยึดราชประสงค์ พันธมิตรตายไปสิบกว่าศพ เสื้อแดงตายไปเกือบแปดสิบ
สุดท้าย ระบอบอภิสิทธิ์ชนก็ฉวยกระแสความเบื่อหน่าย “อยากให้จบๆ เสียที จะได้ทำมาหากิน” ของคนส่วนใหญ่ในสังคมโดยเฉพาะคนกรุงคนชั้นกลาง ถีบหัวส่งทั้ง “การเมืองใหม่ใสสะอาด” ของเสื้อเหลือง และ “ประชาธิปไตยที่สมบูรณ์” ของเสื้อแดง ให้สังคมไทยจำยอมรับการเมืองเก่าเน่าโคตร และประชาธิปไตยพิกลพิการที่พวกเขามอบให้
คนกรุงคนชั้นกลางจึงไม่แยแสสนใจ ไม่ว่ารัฐบาลนี้จะบริหารงานห่วยแตกไร้ประสิทธิภาพเพียงไร ทุจริตคอรัปชั่นเพียงไร หรือเอาเงินภาษีของตัวเอง (คนชั้นกลางคิดว่าตัวเองจ่ายภาษี คนจนไม่ได้จ่าย) ไปถลุง 7 หมื่นล้านเพื่อตั้งกองพลทหารม้าที่ 3 เพราะพวกเขาคิดเพียงว่าให้บ้านเมืองสงบ แล้วจะได้ทำมาหากิน กรูเอาตัวรอดได้ ไม่ว่ามันจะเป็นประชาธิปไตยหรือไม่เป็น ไม่ว่าจะทุจริตคอรัปชั่นกันอย่างไร กรูก็ทำมาหากินได้ มีความสุขกับการชอปปิ้ง เที่ยวห้าง เที่ยวเมืองปาย กอดเมืองไทย หันไปต่อสู้ดิ้นรนด้วยการส่งลูกกวดวิชา เรียนอินเตอร์ สองภาษา เรียนจบมาถ้าไม่อยากอยู่เมืองไทยก็ไปทำงานเมืองนอก
อ้อ ลืมไป เพื่อไม่ให้รู้สึกว่าตัวเองสามานย์ คนชั้นกลางก็จะท่องคุณธรรมจริยธรรม “รักในหลวง” อ่านหนังสือท่านพุทธทาส ท่านปยุตต์ ท่าน ว.วชิรเมธี เห่อดอกเตอร์ไฮโซที่เขียนหนังสือขายโดยเอาภาษาท่านพุทธทาสท่านปัญญามาแปลงใหม่ให้สวยๆ เห่อสำนักสงฆ์ที่ไปสร้างรีสอร์ทอยู่ในป่า แล้วตอนนี้ก็มีศัพท์ใหม่คือ “จิตสาธารณะ” ช่วยกันทำสังคมรอบตัวให้ดีขึ้น แต่ระบบสังคมช่างหัวมัน
ในสภาพเช่นนี้เราคงไม่ต้องพูดถึงพันธมิตร ซึ่งหมดอนาคตโดยสิ้นเชิงแล้ว พันธมิตรจะมีราคาก็ต่อเมื่อออกมาต่อต้านเสื้อแดง ออกมาด่าทักษิณ ถึงจะเป็นหัวข่าว แต่ถ้าพันธมิตรไล่รัฐบาล ลำเลิกบุญคุณ หรือหันไปเล่นเรื่องเขมร เรื่อง MOU ปี 43 ก็กลายเป็นหมาหัวเน่า กระบอกเสียงของคนชั้นกลางทั้งสื่อ นักวิชาการ ไม่เพียงตีจากแต่ยังทุบหัวเอา (เถ้าแก่เปลวก็ทุบไปเปรี้ยงสองเปรี้ยง เลยโดนด่า “ขายชาติ” อิอิ)
พลังที่จะเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงระบบ จึงเหลือแต่มวลชนเสื้อแดง กับนักคิดนักวิชาการฝ่ายประชาธิปไตย ซึ่งได้กล่าวไปแล้วว่าคนเสื้อแดงหยุดการเติบโตทางปริมาณ แต่ขยายนิวเคลียสจนเข้มข้น นั่นแปลว่า นปช.พร้อมจะระดมมวลชนเป็นแสนๆ มาปิดราชประสงค์อีกเมื่อไหร่ก็ได้ แต่จะเอาชนะ “กระแสสังคม” ได้อย่างไรนี่สิ เป็นปัญหา
ผมไม่ใช่ทั้งนักวิชาการนักทฤษฎีหรือนักเคลื่อนไหว มีคนเก่งกว่าผมเยอะ แต่คนอยู่วงในอาจจะ in จนบังตา จึงต้องเสนอความเห็นจากวงนอก เพื่อให้ช่วยกันขบคิด หาลู่ทาง กำหนดแนวทาง
ในแง่หนึ่ง ฝ่ายประชาธิปไตยอาจจำเป็นต้อง “รอ” ให้ระบอบอภิสิทธิ์ชนเน่าเฟะ เสื่อมทราม ไร้ประสิทธิภาพจนถึงจุดล่มสลาย ไปไม่รอด หรือสังคมเหลืออด โดยใช้การเคลื่อนไหวระหว่างนี้รักษามวลชน หล่อหลอมมวลชน ขยายมวลชนเท่าที่จะทำได้
ในอีกแง่หนึ่ง ฝ่ายประชาธิปไตยก็ต้องแปรการเคลื่อนไหวให้ “แสวงจุดร่วม” กับผู้คนส่วนอื่นๆ ในสังคมให้มากขึ้น พร้อมกับไปการเคลื่อนไหวในประเด็นของตน เช่น การเรียกร้องให้ประกันตัวคนเสื้อแดง การวิพากษ์วิจารณ์ความยุติธรรมสองมาตรฐาน
แสวงจุดร่วมอย่างไร ต้องช่วยกันคิด และกำหนดประเด็นการเคลื่อนไหวในแต่ละครั้ง ให้เชื่อมโยงประโยชน์สาธารณะมากขึ้น
เอ้า สมมติเช่นเวลามาม็อบ คุณก็เพิ่มเนื้อหาโจมตีรัฐบาลเรื่องสินค้าแพง ให้แม่ค้ากล้วยแขก แม่ค้าลูกชิ้นที่เป็นเสื้อแดง สลับกันขึ้นเวทีมาด่าเรื่องราคาน้ำมันปาล์มมั่ง ให้มอเตอร์ไซค์รับจ้างขึ้นมาวิพากษ์นโยบายประชาวิวัฒน์ มันจะเป็นจริงได้ไงในเมื่อตำรวจตั้งด่านรีดไถมอเตอร์ไซค์แทบทุกหัวถนน ยุคทักษิณที่ว่าตำรวจมีอำนาจ ยังไม่เก็บส่วยกันมากขนาดนี้
หรือไม่ก็รู้จักด่า ปตท.มั่ง เรื่องราคาหน้าโรงกลั่น ไม่ใช่ไม่แตะเรื่องนี้เลย จนถูกกล่าวหาอยู่ซ้ำซากว่าทักษิณแอบถือหุ้น ปตท. (ตอนนี้โอกาสดี รสนาหมดมุขแล้ว ไม่ยักออกมาโวย ปตท.อีก) บางครั้งบางโอกาส ก็สามารถเอามาเป็นประเด็นเรียกร้องได้ด้วย
หรือถ้าจะมาม็อบวันที่ 23 คุณก็อาจจะกำหนดประเด็น ทวงคำมั่นรัฐบาลที่ว่าจะรีบแก้รัฐธรรมนูญแล้วยุบสภา เพราะตอนนี้เริ่มมีทีท่าว่า พวก สว.ลากตั้งกำลังจะลาออกก่อนครบวาระ เพื่อให้ตัวเองมีสิทธิ์ได้รับการสรรหาอีก จนอาจทำให้ที่ประชุมร่วมรัฐสภาไม่สามารถพิจารณาแก้ไขรัฐธรรมนูญได้ นี่เป็นเรื่องน่าเกลียดที่ต้องประณาม เพราะเสวยอำนาจจนอยากงอกราก ทอดทิ้งหน้าที่ เพียงเพื่อให้ตัวเองมีสิทธิลากตั้งอีกครั้ง
อันที่จริงควรจะฉวยโอกาสนี้ เคลื่อนไหวต่อต้าน สว.จากการลากตั้ง ถ้าทำได้ก็ไปให้ถึงการเข้าชื่อแก้รัฐธรรมนูญ ให้ สว.มาจากการเลือกตั้งทั้งหมด ถ้าไปไม่ถึงอย่างน้อยก็ทำให้การสรรหาโดยตุลาการอำมาตย์ กลายเป็นเรื่องเน่าเหม็นไม่เป็นที่ยอมรับของประชาชน ถามว่าเรื่องนี้มีจุดร่วมกับคนที่ไม่ใช่เสื้อแดงไหม มีสิ เพราะถ้าเลือกตั้ง ก็ได้ สว.เพิ่มทั้งคนกรุงเทพฯ คนอีสาน คนเหนือ คนใต้ และเป็นชัยชนะของ “ประชาธิปไตยที่สมบูรณ์” ในขั้นหนึ่ง
การคิดประเด็นเคลื่อนไหวให้สอดคล้องกับผลประโยชน์สาธารณะไปพร้อมๆ กัน เป็นภารกิจที่ผู้นำการเคลื่อนไหวต้องใช้สติปัญญามากกว่าการนำเย้วๆ แล้วก็ต้องระดมสมอง มีฐานข้อมูล มีนโยบาย มีแนวคิดทางยุทธศาสตร์ยุทธวิธี ไม่ใช่คิดแต่เอาคนมาให้มากๆ เพราะแม้คนมากจะสามารถ “คุกคาม” หรือ “เขย่า” อภิสิทธิ์ชน แต่ในเชิงคุณภาพยังไม่สามารถนำไปสู่ชัยชนะ
เว้นแต่จะคิดเอาม็อบมาสู้แตกหักแบบครั้งที่แล้วอีก
ผมชื่นชมข้อเขียนล่าสุดของ อ.ใจ “ข้อถกเถียงที่สร้างสรรค์ในขบวนการเสื้อแดง” คือถึงเวลาที่จะต้องถกเถียงกันเพื่อกำหนดแนวทางอย่างมีวุฒิภาวะ กำหนดเป้าหมายอุดมการณ์ปฏิรูปประชาธิปไตยว่าจะทำอย่างไร เสนอให้ชัดเจนว่า ต้องการปฏิรูปประชาธิปไตยอย่างไร ปฏิรูปสถาบัน ปฏิรูปกองทัพ ปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม ศาล และองค์กรอิสระ อย่างไร เพื่อให้สาธารณชนเข้าใจว่านี่คืออุดมการณ์ที่จะปฏิรูปสังคมไทยไปสู่คุณภาพใหม่ และไม่ “เลยธง” อย่างที่คนบางส่วนเกรงกลัว
เมื่อกำหนดเป้าหมายแล้วก็ต้องกำหนดยุทธศาสตร์ยุทธวิธี ซึ่งถ้ามองว่า “ชัยชนะ” คือการปฏิรูปประชาธิปไตยให้สำเร็จ โดยดึงหลายฝ่ายเข้ามามีส่วนร่วม ไม่ใช่แค่ชัยชนะของเสื้อแดงหรือพรรคเพื่อไทย ยุทธศาสตร์ก็จะไม่ใช่การแตกหัก แต่ก็ไม่ใช่การประนีประนอม หากเป็นการใช้พล้งมวลชน พลังสาธารณชน ปิดล้อมกดดันไปสู่การเปลี่ยนแปลง
มันอาจจะไม่สะใจเสื้อแดงบางส่วน แต่ก็ต้องคำนึงถึงความเป็นจริงและความเป็นไปได้
ปรับเงินวิทยะฐานะครู- ค่าตอบแทน เข้าสภาเดือนนี้
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการเชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกฯ อภิสิทธิเช้านี้ ว่า รัฐบาลได้สร้างแรงจูงใจให้แก่ครูในด้านต่างๆ โดยขณะนี้ได้เสนอการปรับเงินวิทยฐานะของครูและบุคลากรทางการศึกษา ซึ่งคาดว่าจะนำเข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรที่จะเปิดสมัยประชุมในช่วงปลายเดือนมกราคมนี้ได้ โดยกฎหมายฉบับดังกล่าวจะมีการปรับฐานเงินเดือน ปรับค่าตอบแทนของครู อีกทั้งยังมีนโยบายที่เกี่ยวข้องกับครูที่ต้องปฏิบัติหน้าที่พิเศษ อาทิ ครูเสี่ยงภัย ครูในพื้นที่ทุรกันดาร การปรับปรุงสิทธิประโยชน์ต่างๆ ตลอดจนการปรับปรุงระบบการประเมินพัฒนาวิชาชีพครู ให้เชื่อมโยงกับความสามารถในการจัดการเรียนการสอน รวมถึงการเร่งรัดจัดตั้งกองทุนพัฒนาครู และการแก้หลักเกณฑ์ประเมินวิทยฐานะที่เน้นเชิงประจักษ์
ที่มา.เนชั่น
ที่มา.เนชั่น
คณะครูอุตรดิตถ์ทำบุญตักบาตรเนื่องในวันครู
นายสิทธิชัย หาญสมบัติ อธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์ พร้อมด้วยคณะครู อาจารย์ของมหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์ และคณะครูจากโรงเรียนระดับมัธยมศึกษา ระดับประถมศึกษา สถาบันการศึกษาสายอาชีพสังกัดกรมอาชีวศึกษา และ สถาบันการศึกษาภาคเอกชนพื้นที่ จังหวัดอุตรดิตถ์ นักศึกษาคณะครุศาสตร์ ร่วมทำบุญตักบาตรข้าวสารอาหารแห้ง แด่พระสงฆ์จำนวน 99 รูป เนื่องในวันครูแห่งชาติ 16 มกราคม ที่หน้าอาคารภูมิราชภัฎ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์
โดยการทำบุญตักบาตรข้าวสารอาหารแห้งพระสงฆ์ของคณะครู เนื่องในวันครูแห่งชาติ เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ขอพระองค์พระเกษมสำราญ ทรง พระเจริญยิ่งยืนนาน และ เพื่อความเป็นสิริมงคลต่อวิชาชีพ พร้อมกันนี้ยังได้ทำบุญเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้กับดวงวิญญาณของเพื่อนครูที่ล่วงลับไปแล้ว โดยเฉพาะครูผู้เสียสละเพื่อรำลึกถึงพระคุณ เทพแห่งความรู้ พระระลึกถึงพระคุณครู เพื่อความเป็นสิริมงคล และเสริมปัญญาความรู้วิชาชีพครู
ที่มา.เนชั่น
--------------------------------------------------------
โดยการทำบุญตักบาตรข้าวสารอาหารแห้งพระสงฆ์ของคณะครู เนื่องในวันครูแห่งชาติ เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ขอพระองค์พระเกษมสำราญ ทรง พระเจริญยิ่งยืนนาน และ เพื่อความเป็นสิริมงคลต่อวิชาชีพ พร้อมกันนี้ยังได้ทำบุญเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้กับดวงวิญญาณของเพื่อนครูที่ล่วงลับไปแล้ว โดยเฉพาะครูผู้เสียสละเพื่อรำลึกถึงพระคุณ เทพแห่งความรู้ พระระลึกถึงพระคุณครู เพื่อความเป็นสิริมงคล และเสริมปัญญาความรู้วิชาชีพครู
ที่มา.เนชั่น
--------------------------------------------------------
วันเสาร์ที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2554
ครูผู้มีอุดมการณ์ปี 54 ขอผู้ปกครองใส่ใจให้บุตรหลานได้เล่าเรียน
ดร.ชินภัทร ภูมิรัตน เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) กล่าวว่า สพฐ. จัดโครงการ “ตามรอยเกียรติยศครูผู้มีอุดมการณ์และจิตวิญญาณครู” ครั้งแรกเมื่อปี 2550 เพื่อยกย่องให้ครูมีความเป็นครูด้วยจิตวิญญาณ ปฏิบัติตนและปฏิบัติงานเป็นแบบอย่างที่ดีของสังคม ผู้ที่ได้รับรางวัลคนแรกคือ ครูจูหลิง ปงกันมูล และ สพฐ. ได้จัดมอบรางวัลดังกล่าวจากนั้นเป็นต้นมา สำหรับการมอบรางวัลในครั้งนี้ เป็นครั้งที่ 5 ประจำปี 2554 มีผู้ได้รับรางวัล “ยอดครูผู้มีอุดมการณ์” 4 คน จาก 4 ภาค ได้แก่ น.ส.สุพิทยา เตมียกะลิน ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านสล่าเจียงตอง อ.แม่สะเรียง จ.แม่ฮ่องสอน นายศรัทธา ห้องทอง ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านคลองน้ำใส อ.กาบัง จ.ยะลา นางสิริยุพา ศกุนตะเสถียร ผู้อำนวยการโรงเรียนศึกษานารี กทม. และนางศิริพร หมั่นงาน ครูชำนาญการพิเศษ โรงเรียนบ้านวังอ้ายคง อ.เทพสถิต จ.ชัยภูมิ โดยวันนี้ เลขาธิการ กพฐ. มอบเงินรางวัลให้กับครูทั้ง 4 ราย รายละ 300,000 บาท พร้อมเข็มทองคำเชิดชูเกียรติ และเกียรติบัตร
น.ส.สุพิทยา 1 ใน 4 ยอดครูผู้มีอุดมการณ์ประจำปี 2554 กล่าวว่า รู้สึกภาคภูมิใจที่ได้รับรางวัล ทำงานครูมา 15 ปี ท่ามกลางความยากลำบาก เนื่องจากโรงเรียนอยู่ห่างไกลเมือง 96 กิโลเมตร มีการเดินทางที่ยากลำบาก ตลอด 15 ปี พักอยู่ในโรงเรียน และจะกลับเข้าเมืองเดือนละ 1-2 ครั้งเท่านั้น ในวัยเด็กครูมีความฝันอยากเป็นนักสังคมสงเคราะห์ แต่เมื่อได้มาเป็นครู ก็เหมือนกับเป็นนักสงเคราะห์เช่นกัน แต่เป็นการสงเคราะห์ด้านความรู้
ครูสุพิทยา กล่าวต่อไปว่า ใช้หลักแนวทางเศรษฐกิจพอเพียงในการสอนนักเรียนมาตลอดเวลา 15 ปี เท่าที่พูดคุยกับนักเรียน พบว่าแต่ละคนมีความฝัน อยากเป็นเจ้าหน้าที่สาธารณสุข ครู ทหาร เป็นต้น เนื่องจากเห็นตัวอย่างจากสิ่งแวดล้อมข้าง ๆ ตัว ครูสุพิทยา จึงฝากมายังนักเรียนในเมืองให้มีความตั้งใจเรียน จากความพร้อมที่มีมากกว่าเด็กในชนบท และยังฝากพ่อแม่ผู้ปกครองดูแลบุตรหลานให้ได้รับการศึกษา ให้มีความรับผิดชอบ และมุ่งมั่น ครูสุพิทยา จะสนับสนุนให้นักเรียนที่เรียนจบชั้น ป.6 เข้ามาเรียนในเมือง เพื่อจะได้เรียนรู้ชีวิตให้เท่าทันกับสังคมในเมือง ซึ่งเป็นอุดมการณ์ที่ครูใช้เป็นหลักในการสอนนักเรียนตลอดมา
ที่มา.เนชั่น
น.ส.สุพิทยา 1 ใน 4 ยอดครูผู้มีอุดมการณ์ประจำปี 2554 กล่าวว่า รู้สึกภาคภูมิใจที่ได้รับรางวัล ทำงานครูมา 15 ปี ท่ามกลางความยากลำบาก เนื่องจากโรงเรียนอยู่ห่างไกลเมือง 96 กิโลเมตร มีการเดินทางที่ยากลำบาก ตลอด 15 ปี พักอยู่ในโรงเรียน และจะกลับเข้าเมืองเดือนละ 1-2 ครั้งเท่านั้น ในวัยเด็กครูมีความฝันอยากเป็นนักสังคมสงเคราะห์ แต่เมื่อได้มาเป็นครู ก็เหมือนกับเป็นนักสงเคราะห์เช่นกัน แต่เป็นการสงเคราะห์ด้านความรู้
ครูสุพิทยา กล่าวต่อไปว่า ใช้หลักแนวทางเศรษฐกิจพอเพียงในการสอนนักเรียนมาตลอดเวลา 15 ปี เท่าที่พูดคุยกับนักเรียน พบว่าแต่ละคนมีความฝัน อยากเป็นเจ้าหน้าที่สาธารณสุข ครู ทหาร เป็นต้น เนื่องจากเห็นตัวอย่างจากสิ่งแวดล้อมข้าง ๆ ตัว ครูสุพิทยา จึงฝากมายังนักเรียนในเมืองให้มีความตั้งใจเรียน จากความพร้อมที่มีมากกว่าเด็กในชนบท และยังฝากพ่อแม่ผู้ปกครองดูแลบุตรหลานให้ได้รับการศึกษา ให้มีความรับผิดชอบ และมุ่งมั่น ครูสุพิทยา จะสนับสนุนให้นักเรียนที่เรียนจบชั้น ป.6 เข้ามาเรียนในเมือง เพื่อจะได้เรียนรู้ชีวิตให้เท่าทันกับสังคมในเมือง ซึ่งเป็นอุดมการณ์ที่ครูใช้เป็นหลักในการสอนนักเรียนตลอดมา
ที่มา.เนชั่น
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)