เป็นผลสะเทือนของข้อมูลสอบสวนคดี 6 ศพวัดปทุมฯ และการเสียชีวิตของนายฮิโรยูกิ มูราโมโตะ ช่างภาพรอยเตอร์ชาวญี่ปุ่น
ที่รั่วไหลไปถึงมือ นายจตุพร พรหมพันธุ์ และสำนักข่าวรอยเตอร์
นายจตุพรอ้างว่าได้รับข้อมูลจากตำรวจแตงโมที่รับมาจากดีเอสไออีกทอด ขณะที่รอยเตอร์ระบุได้ข้อมูลมาจากฝ่ายรัฐบาล
เป็นข้อมูลตรงกันว่าการตายของประชาชน 6 ศพ และนายมูราโมโตะ
อาจเกิดจากฝีมือเจ้าหน้าที่รัฐ
ภายหลังการเปิดโปงข้อมูลดังกล่าวถูกจับแยกออกเป็น 2 ส่วน
คือส่วน 'ที่มา' และ 'เนื้อหา'
คล้ายๆ กรณีคลิปศาลรัฐธรรมนูญก่อนหน้านี้
อย่างไรก็ตามการที่นายจตุพร และรอยเตอร์
นำเนื้อหาข้อมูลสอบสวนคดี 6 ศพวัดปทุมฯ และคดีนายมูราโมโตะ ของดีเอสไอที่ได้รับออกมาเปิดโปง
เป้าหมายใหญ่ไม่ได้อยู่ตรงเจ้าหน้าที่ในระดับปฏิบัติหรือแม้แต่ผู้บังคับบัญชาที่อยู่เหนือขึ้นไป
แต่น่าจะอยู่ที่ตัวผู้นำการเมืองสูงสุดขณะนั้นมากกว่า
ท่ามกลางกระแสการเคลื่อนไหวทวงถามหาความรับผิดชอบต่อความตาย 91 ศพ ที่พุ่งตรงเข้าใส่นายกฯ อภิสิทธิ์ คนเดียวเต็มๆ
จึงไม่ใช่เรื่องแปลกกับข่าวที่เริ่มกระฉอกออกมา
กองทัพหวาดระแวงกำลังถูกบางคนในรัฐบาลเล่นเกมตลบหลัง
ตรงนี้เองคือต้นตอคำถามถึง 'ที่มา' ของข้อมูลในสำนวนสอบสวนของดีเอสไอ
เป็นการ 'จงใจ' ปล่อยให้รั่วไปถึงมือฝ่ายตรงข้ามหรือไม่
อันเป็นจุดที่พรรคเพื่อไทยนำไปขยายผลต่อ
มีบิ๊กทหารบางคนไม่พอใจผลสอบสวนของ ดีเอสไอ ที่ระบุถึงคดี 6 ศพวัดปทุมฯ และการเสียชีวิตของนายมูราโมโตะอาจเกิดจากการกระ ทำของเจ้าหน้าที่รัฐ
และต้องการกดดันให้รัฐบาลปลดนายธาริต เพ็งดิษฐ์ พ้นจากเก้าอี้อธิบดีดีเอสไอ
ซึ่งไม่น่าจะสำเร็จ เพราะรัฐบาลย่อมตระหนักดีว่านายธาริตคือคนหนึ่งที่ใกล้ชิดกับเหตุการณ์เดือนเม.ย.-พ.ค. และเป็นเจ้าของสำนวนสอบสวนคดี 91 ศพ
เสร็จนาฆ่าโคถึก เสร็จศึกฆ่าขุนพล
ยังนำมาใช้กับนายธาริตไม่ได้ในตอนนี้
ในตอนที่ศึกเสื้อแดงยังไม่สะเด็ดน้ำ
ที่มา.ข่าวสดรายวัน คอลัมน์ เหล็กใน
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
วันเสาร์ที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2553
ผู้ก่อตั้งวิกิลี้คส์ย้ำกลัวถูกส่งตัวไปให้สหรัฐดำเนินคดี
นายจูเลียน อัสซานจ์ ผู้ก่อตั้งเว็บไซท์ วิกิลี้คส์ เปิดเผยที่ด้านนอกสถานีตำรวจเบ็คเซิลส์ ในมณฑลซัฟฟอล์ค ของอังกฤษ เมื่อวันศุกร์ว่า เขากลัวว่า สหรัฐกำลังเตรียมพร้อมที่จะตั้งข้อหาเขา และเขาวิตกอย่างยิ่งต่อสถานการณ์ที่ยากลำบากของตัวเอง
นายอัสซานจ์ ชาวออสเตรเลียวัย 39 ปี ซึ่งออกจากเรือนจำในกรุงลอนดอน หลังจากได้รับการประกันตัวเมื่อวันพฤหัสบดี กล่าวว่า ปัญหาใหญ่หลวงของเขาในเวลานี้ คือ กำลังมีการตั้งข้อหาเขาและเป็นไปได้ว่า อาจรวมถึงสมาชิกคนอื่น ๆ ที่เป็นทีมงานของเขาในสหรัฐ โดยก่อนหน้านี้ เขาได้ให้สัมภาษณ์ สกายนิวส์ว่า เขาได้ยินข่าวลือว่า เขาได้ถูกตั้งข้อหา " จารกรรม " ในสหรัฐ และมียังมีความพยายามที่จะส่งตัวเขาไปดำเนินคดีที่ไหนสักแห่งที่อาจทำให้เขาถูกส่งตัวไปยังสหรัฐได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ มาร์ค สตีเฟ่นส์ หนึ่งในทนายความชาวสหรัฐของเขา ได้บอกข้อมูลที่ยังไม่ได้รับการยืนยันว่า มีการคณะลูกขุนชุดใหญ่ขึ้นอย่างลับ ๆ ที่รัฐเวอร์จิเนีย เพื่อสืบสวนข้อกล่าวหา " จารกรรม " ที่อาจใช้เล่นงานเขา
สวีเดน ต้องการตัวนายอัสซานจ์ ไปดำเนินคดีในข้อกล่าวหาข่มขืนผู้หญิงสองคน ในระหว่างที่เขาไปสวีเดนเมื่อเดือนสิงหาคม แต่ปัจจุบัน เขาถูกจำกัดบริเวณอยูแต่ภายในอาณาบริเวณของที่พักอาศัย และต้องสวมอุปกรณ์อิเล็คทรอนิคส์ เพื่อตรวจหาพิกัดของตัวเขา และยังต้องรายงานตัวต่อตำรวจทุกวันด้วย
นายอัสซานจ์ ยืนยันว่า ไม่ได้ทำความผิด แต่เขาวิตกว่า ถ้าเขาถูกส่งตัวไปสวีเดน อาจถูกส่งตัวต่อไปยังสหรัฐ และเผชิญข้อกล่าวหาในกรณีที่วิกิลี้คส์ เอาความลับทางการทูตของกระทรวงต่างประเทศสหรัฐ เผยแพร่ไปทั่วโลก ส่วนข้อกล่าวหาด้านอาชญากรรมทางเพศนั้น เป็นส่วนหนึ่งของเรื่องนี้ แต่ทางการสวีเดน ยืนยันว่า ข้อกล่าวหานี้มาจากผู้หญิงสองคนที่อ้างว่าตกเป็นเหยื่อการล่วงละเมิดทางเพศของนายอัสซานจ์จริง
ที่มา.เนชั่น
-----------------------------------------------
นายอัสซานจ์ ชาวออสเตรเลียวัย 39 ปี ซึ่งออกจากเรือนจำในกรุงลอนดอน หลังจากได้รับการประกันตัวเมื่อวันพฤหัสบดี กล่าวว่า ปัญหาใหญ่หลวงของเขาในเวลานี้ คือ กำลังมีการตั้งข้อหาเขาและเป็นไปได้ว่า อาจรวมถึงสมาชิกคนอื่น ๆ ที่เป็นทีมงานของเขาในสหรัฐ โดยก่อนหน้านี้ เขาได้ให้สัมภาษณ์ สกายนิวส์ว่า เขาได้ยินข่าวลือว่า เขาได้ถูกตั้งข้อหา " จารกรรม " ในสหรัฐ และมียังมีความพยายามที่จะส่งตัวเขาไปดำเนินคดีที่ไหนสักแห่งที่อาจทำให้เขาถูกส่งตัวไปยังสหรัฐได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ มาร์ค สตีเฟ่นส์ หนึ่งในทนายความชาวสหรัฐของเขา ได้บอกข้อมูลที่ยังไม่ได้รับการยืนยันว่า มีการคณะลูกขุนชุดใหญ่ขึ้นอย่างลับ ๆ ที่รัฐเวอร์จิเนีย เพื่อสืบสวนข้อกล่าวหา " จารกรรม " ที่อาจใช้เล่นงานเขา
สวีเดน ต้องการตัวนายอัสซานจ์ ไปดำเนินคดีในข้อกล่าวหาข่มขืนผู้หญิงสองคน ในระหว่างที่เขาไปสวีเดนเมื่อเดือนสิงหาคม แต่ปัจจุบัน เขาถูกจำกัดบริเวณอยูแต่ภายในอาณาบริเวณของที่พักอาศัย และต้องสวมอุปกรณ์อิเล็คทรอนิคส์ เพื่อตรวจหาพิกัดของตัวเขา และยังต้องรายงานตัวต่อตำรวจทุกวันด้วย
นายอัสซานจ์ ยืนยันว่า ไม่ได้ทำความผิด แต่เขาวิตกว่า ถ้าเขาถูกส่งตัวไปสวีเดน อาจถูกส่งตัวต่อไปยังสหรัฐ และเผชิญข้อกล่าวหาในกรณีที่วิกิลี้คส์ เอาความลับทางการทูตของกระทรวงต่างประเทศสหรัฐ เผยแพร่ไปทั่วโลก ส่วนข้อกล่าวหาด้านอาชญากรรมทางเพศนั้น เป็นส่วนหนึ่งของเรื่องนี้ แต่ทางการสวีเดน ยืนยันว่า ข้อกล่าวหานี้มาจากผู้หญิงสองคนที่อ้างว่าตกเป็นเหยื่อการล่วงละเมิดทางเพศของนายอัสซานจ์จริง
ที่มา.เนชั่น
-----------------------------------------------
วันศุกร์ที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2553
ลึกแต่ไม่ลับ บิ๊กจิ๋วและพวก สนทนากับ"เจียง เจ๋อหมิน" 1ชั่วโมงครึ่ง ได้เคล็ดลับ2 เรื่องใหญ่!!!
เมื่อไม่นานมานี้ พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกรัฐมนตรี และประธานพรรคเพื่อไทย พร้อมคณะ เดินทางไปสาธารณรัฐประชาชนจีน
ไฮไลท์ของ ทริปนี้คือการได้พบปะสนทนากับ อดีตประธานาธิบดี "เจียง เจ๋อหมิน "
และที่สำคัญได้สนทนากันยาวนานกว่า 1 ชั่วโมงครึ่ง ไม่มีใครทราบว่า หัวข้อสนทนา ในวันนั้น คือเรื่องอะไร ? แต่
วันนี้ มีคำเฉลย !!!
ปกติแล้ว เจียง เจ๋อหมิน ไม่ค่อยออกพบปะกับผู้ใดบ่อยครั้งนัก หลังจากส่งมอบอำนาจ แต่การพบกับคณะของ"บิ๊กจิ๋ว" ย่อมมีทีเด็ด อย่างแน่นอน
คณะของพลเอกชวลิตที่พบผู้นำรุ่น 3 ของจีนประกอบด้วย นายจาตุรนต์ ฉายแสง นายภูมิธรรม เวชยชัย นายสุชน ชาลีเครือ นายทหารติดตามพลเอกชวลิต และล่ามอีก 1 คน
ปัจจุบัน ท่าน เจียง เจ๋อหมิน อายุ 84 ปี เป็นบุคคลหลักของ "ผู้นำรุ่นที่สาม" ของประเทศจีน ดำรงตำแหน่งเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์จีน ในช่วง พ.ศ. 2532 -2545 และประธานาธิบดี ในช่วงปี พ.ศ. 2536 - พ.ศ. 2546
เจียง เจ๋อหมิน เป็นผู้คิดทฤษฎีสามตัวแทนซึ่งนำมาใช้ในรัฐธรรมนูญของประเทศ และของพรรคคอมมิวนิสต์จีนด้วย
พื้นฐานการศึกษา ของผู้นำจีน ผู้นี้ จบการศึกษาปริญญาตรีวิศวกรรมไฟฟ้าจากมหาวิทยาลัยเจียวตง เคยฝึกงานในโรงงานสร้างรถยนต์สลาตินที่มอสโกทำให้พูดภาษารัสเซียได้อย่างคล่องแคล่ว และยังมีชำนาญหลายภาษาไม่ว่าจะเป็นอังกฤษ ฝรั่งเศส รัสเซีย โรมาเนีย และ ญี่ปุ่น
นายภูมิธรรม เวชยชัย หนึ่งในผู้ร่วมคณะ เล่าว่า " ปกติ พลเอกชวลิตก็ไปจีนเป็นประจำทุกปี เพราะท่านเป็นคนมีเพื่อนเยอะ ส่วนใหญ่เป็นผู้นำทางทหาร ทุกครั้งที่ไปก็ได้รับการต้อนรับอย่างดี แต่ครั้งนี้ พลเอกชวลิตไปในฐานะพลเรือน และแขกของทางการ "
"ปกติท่านเจียง เจ๋อหมิน หลังจากมอบภารกิจ ท่านก็ไม่ค่อยได้ออกงาน แต่ก็ยังพักอยู่ที่จงหนานไห่ ซึ่งเป็นทำเนียบผู้นำ การไปพบท่านเจียง เจ๋อหมินในอายุวัย 84 ปี ถือว่าผิดคาด เพราะคิดว่า จะเจอผู้นำสูงวัย แต่เห็นท่าทางเดินของท่านสง่า แข็งแรงมาก กำหนดการเดิมพบได้ครึ่งชั่วโมง แต่เมื่อคุยจริงๆ ด้วยความที่คุยกันถูกคอก็ใช้เวลาไป ชั่วโมงครึ่ง คุยไม่เลิก "
" แต่ไม่ได้คุยเรื่องการเมืองในประเทศไทย เพราะท่านเป็นผู้มีมารยาททางการเมือง " อดีตรมช.กระทรวงคมนาคม ยืนยัน
ทว่า ในช่วงแนะนำตัว พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ แนะนำตัว"อ๋อย"จาตุรนต์ ฉายแสง ต่อท่านเจียง เจ๋อหมิน ว่า เป็นนักการเมืองรุ่นใหม่ และน่าจับตาว่าจะเป็นนายกรัฐมนตรีไทยในอนาคต
สำหรับประเด็นสำคัญ ที่คณะจากไทย ได้เรียนรู้จากท่านเจียง เจ๋อหมิน 2 เรื่องใหญ่
เรื่องแรก สุขภาพ เป็นเรื่องสำคัญมาก ท่านก็เล่าฟังว่าที่แข็งแรงอยู่เพราะออกกำลังกายทุกวัน ว่ายน้ำวันละ 1 ชั่วโมง จนถึงปัจจุบัน ต่อเนื่องมาตลอดจนถึงปัจจุบัน
" คนเราจะมีสุขภาพดีไม่จำเป็นต้องไปซื้อขาย ทำเองได้ ท่านเอง เคยอยู่ในขบวนของเหมา เจ๋อตุง ตอนปฏิวัติด้วย ไปเจอตัวจริงจะทึ่งมาก ตัวท่านใหญ่ สูงมาก ผมถ่ายรูปจับมือท่าน ท่านตัวใหญ่กว่าผมอีก คนก็ยังมานึกว่าจะเจอผู้สูงอายุ แต่กลับพบอดีตผู้นำที่ผึ่งผายมาก " ภูมิธรรม เวชยชัย กล่าว
เรื่องที่สอง เรื่องการเรียนรู้ตลอดชีวิต ท่านเจียง เจ๋อหมิน เล่าให้คณะจากประเทศไทย ฟังว่า เพิ่งอ่านหนังสือ สตาร์บัคส์ หนา 500 กว่าหน้า เวอร์ชั่นภาษาอังกฤษ 3-4 วันจบเล่ม
" สิ่งนี้ สะท้อนว่า ท่านสนใจ ใฝ่รู้ตลอดเวลา ท่านเล่าต่อมาถึงว่าท่านมีความสนใจความรู้ทางด้านภาษามาก ทำให้เราตกใจ ท่าน เจียง เจ๋อหมิน อายุ 84 ปีแล้ว ยังอ่านสตาร์บัคส์ ท่านบอกว่า เรียนภาษาอังกฤษตั้งแต่ 9 ขวบ แล้วยังรู้ภาษาญี่ปุ่น แต่ฟังจากน้ำเสียงดูจะไม่ค่อยชอบภาษาญี่ปุ่น ไม่ค่อยอยากพูดภาษาญี่ปุ่นสักเท่าไร แต่สุดท้าย ท่านบอกว่าเป็นวิธีคิดที่ผิด เพราะ ความจริงภาษาก็เป็นเพียงแค่เครื่องมือ เพื่อให้มนุษย์สื่อสารต่อกันเท่านั้น ภาษาไม่ใช่กำแพง กีดกันมนุษย์ชาติ "
ท่านเจียง เจ๋อหมิน เล่าว่า " เคยเรียนภาษาโรมาเนีย มีความสามารถถึงขั้นเคยทำหน้าที่เป็นล่ามภาษาโรมาเนียมาแล้ว และที่สำคัญตอนอายุประมาณ 76 ปี เรียนภาษาสเปนสองปี สามารถพูดสเปนในที่ประชุมสหประชาชาติได้ และก็ยังเรียนรู้อีกหลายภาษา เป็นคนที่เรียนรู้ และสนใจภาษา เพราะท่านเชื่อว่า เพราะภาษาเครื่องมือทางวัฒนธรรม ภาษาสะท้อน ความรู้สึกนึกคิดของผู้คน และเป็นสื่อประสาความสัมพันธ์กับผู้คน "
ก่อนอำลาอดีตประธานาธิบดีจีน ได้มีการถ่ายรูปร่วมกัน แต่คนที่ดูจะมีความสุขมากกว่าใครเพื่อนก็คือ "จาตุรนต์ ฉายแสง"
เพราะได้สนทนากับท่านเจียง เจ๋อหมินเป็นภาษาจีน เรียกว่า ไม่เสียแรงที่ได้เรียนภาษาจีนมาหลายปี .
ที่มา.มติชนออนไลน์
--------------------------------------------------------------------------------------------
ไฮไลท์ของ ทริปนี้คือการได้พบปะสนทนากับ อดีตประธานาธิบดี "เจียง เจ๋อหมิน "
และที่สำคัญได้สนทนากันยาวนานกว่า 1 ชั่วโมงครึ่ง ไม่มีใครทราบว่า หัวข้อสนทนา ในวันนั้น คือเรื่องอะไร ? แต่
วันนี้ มีคำเฉลย !!!
ปกติแล้ว เจียง เจ๋อหมิน ไม่ค่อยออกพบปะกับผู้ใดบ่อยครั้งนัก หลังจากส่งมอบอำนาจ แต่การพบกับคณะของ"บิ๊กจิ๋ว" ย่อมมีทีเด็ด อย่างแน่นอน
คณะของพลเอกชวลิตที่พบผู้นำรุ่น 3 ของจีนประกอบด้วย นายจาตุรนต์ ฉายแสง นายภูมิธรรม เวชยชัย นายสุชน ชาลีเครือ นายทหารติดตามพลเอกชวลิต และล่ามอีก 1 คน
ปัจจุบัน ท่าน เจียง เจ๋อหมิน อายุ 84 ปี เป็นบุคคลหลักของ "ผู้นำรุ่นที่สาม" ของประเทศจีน ดำรงตำแหน่งเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์จีน ในช่วง พ.ศ. 2532 -2545 และประธานาธิบดี ในช่วงปี พ.ศ. 2536 - พ.ศ. 2546
เจียง เจ๋อหมิน เป็นผู้คิดทฤษฎีสามตัวแทนซึ่งนำมาใช้ในรัฐธรรมนูญของประเทศ และของพรรคคอมมิวนิสต์จีนด้วย
พื้นฐานการศึกษา ของผู้นำจีน ผู้นี้ จบการศึกษาปริญญาตรีวิศวกรรมไฟฟ้าจากมหาวิทยาลัยเจียวตง เคยฝึกงานในโรงงานสร้างรถยนต์สลาตินที่มอสโกทำให้พูดภาษารัสเซียได้อย่างคล่องแคล่ว และยังมีชำนาญหลายภาษาไม่ว่าจะเป็นอังกฤษ ฝรั่งเศส รัสเซีย โรมาเนีย และ ญี่ปุ่น
นายภูมิธรรม เวชยชัย หนึ่งในผู้ร่วมคณะ เล่าว่า " ปกติ พลเอกชวลิตก็ไปจีนเป็นประจำทุกปี เพราะท่านเป็นคนมีเพื่อนเยอะ ส่วนใหญ่เป็นผู้นำทางทหาร ทุกครั้งที่ไปก็ได้รับการต้อนรับอย่างดี แต่ครั้งนี้ พลเอกชวลิตไปในฐานะพลเรือน และแขกของทางการ "
"ปกติท่านเจียง เจ๋อหมิน หลังจากมอบภารกิจ ท่านก็ไม่ค่อยได้ออกงาน แต่ก็ยังพักอยู่ที่จงหนานไห่ ซึ่งเป็นทำเนียบผู้นำ การไปพบท่านเจียง เจ๋อหมินในอายุวัย 84 ปี ถือว่าผิดคาด เพราะคิดว่า จะเจอผู้นำสูงวัย แต่เห็นท่าทางเดินของท่านสง่า แข็งแรงมาก กำหนดการเดิมพบได้ครึ่งชั่วโมง แต่เมื่อคุยจริงๆ ด้วยความที่คุยกันถูกคอก็ใช้เวลาไป ชั่วโมงครึ่ง คุยไม่เลิก "
" แต่ไม่ได้คุยเรื่องการเมืองในประเทศไทย เพราะท่านเป็นผู้มีมารยาททางการเมือง " อดีตรมช.กระทรวงคมนาคม ยืนยัน
ทว่า ในช่วงแนะนำตัว พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ แนะนำตัว"อ๋อย"จาตุรนต์ ฉายแสง ต่อท่านเจียง เจ๋อหมิน ว่า เป็นนักการเมืองรุ่นใหม่ และน่าจับตาว่าจะเป็นนายกรัฐมนตรีไทยในอนาคต
สำหรับประเด็นสำคัญ ที่คณะจากไทย ได้เรียนรู้จากท่านเจียง เจ๋อหมิน 2 เรื่องใหญ่
เรื่องแรก สุขภาพ เป็นเรื่องสำคัญมาก ท่านก็เล่าฟังว่าที่แข็งแรงอยู่เพราะออกกำลังกายทุกวัน ว่ายน้ำวันละ 1 ชั่วโมง จนถึงปัจจุบัน ต่อเนื่องมาตลอดจนถึงปัจจุบัน
" คนเราจะมีสุขภาพดีไม่จำเป็นต้องไปซื้อขาย ทำเองได้ ท่านเอง เคยอยู่ในขบวนของเหมา เจ๋อตุง ตอนปฏิวัติด้วย ไปเจอตัวจริงจะทึ่งมาก ตัวท่านใหญ่ สูงมาก ผมถ่ายรูปจับมือท่าน ท่านตัวใหญ่กว่าผมอีก คนก็ยังมานึกว่าจะเจอผู้สูงอายุ แต่กลับพบอดีตผู้นำที่ผึ่งผายมาก " ภูมิธรรม เวชยชัย กล่าว
เรื่องที่สอง เรื่องการเรียนรู้ตลอดชีวิต ท่านเจียง เจ๋อหมิน เล่าให้คณะจากประเทศไทย ฟังว่า เพิ่งอ่านหนังสือ สตาร์บัคส์ หนา 500 กว่าหน้า เวอร์ชั่นภาษาอังกฤษ 3-4 วันจบเล่ม
" สิ่งนี้ สะท้อนว่า ท่านสนใจ ใฝ่รู้ตลอดเวลา ท่านเล่าต่อมาถึงว่าท่านมีความสนใจความรู้ทางด้านภาษามาก ทำให้เราตกใจ ท่าน เจียง เจ๋อหมิน อายุ 84 ปีแล้ว ยังอ่านสตาร์บัคส์ ท่านบอกว่า เรียนภาษาอังกฤษตั้งแต่ 9 ขวบ แล้วยังรู้ภาษาญี่ปุ่น แต่ฟังจากน้ำเสียงดูจะไม่ค่อยชอบภาษาญี่ปุ่น ไม่ค่อยอยากพูดภาษาญี่ปุ่นสักเท่าไร แต่สุดท้าย ท่านบอกว่าเป็นวิธีคิดที่ผิด เพราะ ความจริงภาษาก็เป็นเพียงแค่เครื่องมือ เพื่อให้มนุษย์สื่อสารต่อกันเท่านั้น ภาษาไม่ใช่กำแพง กีดกันมนุษย์ชาติ "
ท่านเจียง เจ๋อหมิน เล่าว่า " เคยเรียนภาษาโรมาเนีย มีความสามารถถึงขั้นเคยทำหน้าที่เป็นล่ามภาษาโรมาเนียมาแล้ว และที่สำคัญตอนอายุประมาณ 76 ปี เรียนภาษาสเปนสองปี สามารถพูดสเปนในที่ประชุมสหประชาชาติได้ และก็ยังเรียนรู้อีกหลายภาษา เป็นคนที่เรียนรู้ และสนใจภาษา เพราะท่านเชื่อว่า เพราะภาษาเครื่องมือทางวัฒนธรรม ภาษาสะท้อน ความรู้สึกนึกคิดของผู้คน และเป็นสื่อประสาความสัมพันธ์กับผู้คน "
ก่อนอำลาอดีตประธานาธิบดีจีน ได้มีการถ่ายรูปร่วมกัน แต่คนที่ดูจะมีความสุขมากกว่าใครเพื่อนก็คือ "จาตุรนต์ ฉายแสง"
เพราะได้สนทนากับท่านเจียง เจ๋อหมินเป็นภาษาจีน เรียกว่า ไม่เสียแรงที่ได้เรียนภาษาจีนมาหลายปี .
ที่มา.มติชนออนไลน์
--------------------------------------------------------------------------------------------
เหนือกฎหมาย
ใต้กาลเวลา
ไม่มีใครรู้ตอนจบสำหรับการเมืองไทยวันนี้ ตราบเท่า ที่ยังไม่มีใครพูดถึงกติกาของการอยู่ร่วมกันเพราะถึงเราจะมีรัฐธรรมนูญ แต่เราก็ฉีกก็เปลี่ยนมันทุก ครั้ง เพื่อสนองตอบต่อความต้องการของผู้มีอำนาจทางการเมือง ทั้งที่มองเห็นและมองไม่เห็น พวกที่ไม่สนใจในกติกา
บางครั้งผู้มาจากการเลือกตั้งก็เปลี่ยนมันเอง บางครั้งโดยผู้ถืออาวุธ ที่จะเขียนกติกาเพื่อสืบต่ออำนาจเเห่งเขา เเล้วเรียก มันว่ารัฐธรรมนูญเราคนไทยยังไม่มีรัฐธรรมนูญสักฉบับ ที่เป็นประชาธิปไตยที่เป็นของประชาชน
คนอังกฤษที่ก้าวขึ้นฝั่งเเผ่นดินอเมริกา ต้องจับอาวุธขึ้น มาเผชิญหน้าเเละรบราฆ่าฟันกับคนชาติเชื้อเดียวกันที่เเต่งเครื่องเเบบอยู่หลายปีกว่าจะเอาชนะเเละสร้างประเทศของเขาขึ้นมาได้
เขาเกลียดประเทศที่เขาจากมา ประเทศเก่าของเขา ขนาดที่ปฏิเสธทุกอย่างที่เป็นของเเผ่นดินเก่า เขาขับรถทางซ้าย ใช้มาตรา ชั่ง ตวง วัด ที่สร้างขึ้นมาใหม่..สร้างไมล์เเทนกิโลเมตร
เเล้วเขาก็สร้างรัฐธรรมนูญของพวกเขาขึ้นมาตั้งเเต่บัดนั้นจนบัดนี้..เขาก็ยังมีธรรมนูญฉบับเดียว เเต่กระนั้นเขาก็ยังต้องฆ่ากันอีกครั้ง เขาต้องตายกันเป็นล้าน เพื่อรักษารัฐธรรมนูญเเละความเป็นประเทศของพวกเขา
กว่าจะมาถึงวันนี้ ญวนกับญวนก็ต้องทำสงครามรวมชาติ สงครามกับมหาอำนาจผู้รุกราน..ไม่ว่าจีน ฝรั่งเศส สหรัฐอเมริกา วันนี้ชาวญวนยืนอยู่เเถวหน้าสุดของชาตินักรบเรียบเรียงกันขึ้นมาเพื่อที่จะบอกว่ารัฐธรรมนูญ ที่คงทนต่อการถูกฉีกถูกทำลาย มันจะต้องถูกเขียน ถูกสร้างขึ้นมาจากโลหิตเเละความตายโยงใย กันขึ้นมาด้วยความพลัดพรากของหลายหมื่นหลายพันครอบครัว เเต่มันจะโบกสะบัดสะพัดใบอยู่ได้ อย่างยิ่งใหญ่ยาวนาน เพราะพัดโบกด้วยลมหายใจ ที่ขาดหายไปของผู้คนที่จารึกตนอยู่บนอนุสาวรีย์
ลมหายใจของผีถ้าประชาชนคนไทย จะได้รัฐธรรมนูญของเขาขึ้นมาสักฉบับ เราจะต้องตายกันอีกกี่ครั้ง เขาจะต้องถูก สังหารกันอีกกี่หนจะต้องโค่นทรราชกันอีกกี่ทีรัฐบาลดีๆ จะเกิดขึ้นมาได้อย่างไร จากกลไกสังหารของผู้ถืออาวุธ หรือจากการปลิ้นปล้อนสับปลับของคนสวมสูทใน คราบเงาของครูบา และชาวสภา
รัฐธรรมนูญดีๆ เกิดขึ้นมาไม่ได้เลยหรือ...แบบว่าคนไทยกับคนไทยไม่ต้องฆ่ากันคนไทยกับประเทศไทยจะต้องทนกันไปอีกนานแค่ไหน กว่ารากษสการเมืองทุกเผ่าพันธุ์จะล้างผลาญกันจนสิ้นสกุลหรือคนไทยทั้งหลาย ต้องเร่งรับจัดให้ ฌาปนกิจเหล่า มันทั้งหลาย สร้างชาติกันขึ้นมาใหม่ มายอมพร้อมตายกันสักครั้ง สร้างรัฐธรรมนูญที่ไม่มีวันถูกฉีกขึ้นมา
ที่มา.สยามธุรกิจ
********************************************************
ไม่มีใครรู้ตอนจบสำหรับการเมืองไทยวันนี้ ตราบเท่า ที่ยังไม่มีใครพูดถึงกติกาของการอยู่ร่วมกันเพราะถึงเราจะมีรัฐธรรมนูญ แต่เราก็ฉีกก็เปลี่ยนมันทุก ครั้ง เพื่อสนองตอบต่อความต้องการของผู้มีอำนาจทางการเมือง ทั้งที่มองเห็นและมองไม่เห็น พวกที่ไม่สนใจในกติกา
บางครั้งผู้มาจากการเลือกตั้งก็เปลี่ยนมันเอง บางครั้งโดยผู้ถืออาวุธ ที่จะเขียนกติกาเพื่อสืบต่ออำนาจเเห่งเขา เเล้วเรียก มันว่ารัฐธรรมนูญเราคนไทยยังไม่มีรัฐธรรมนูญสักฉบับ ที่เป็นประชาธิปไตยที่เป็นของประชาชน
คนอังกฤษที่ก้าวขึ้นฝั่งเเผ่นดินอเมริกา ต้องจับอาวุธขึ้น มาเผชิญหน้าเเละรบราฆ่าฟันกับคนชาติเชื้อเดียวกันที่เเต่งเครื่องเเบบอยู่หลายปีกว่าจะเอาชนะเเละสร้างประเทศของเขาขึ้นมาได้
เขาเกลียดประเทศที่เขาจากมา ประเทศเก่าของเขา ขนาดที่ปฏิเสธทุกอย่างที่เป็นของเเผ่นดินเก่า เขาขับรถทางซ้าย ใช้มาตรา ชั่ง ตวง วัด ที่สร้างขึ้นมาใหม่..สร้างไมล์เเทนกิโลเมตร
เเล้วเขาก็สร้างรัฐธรรมนูญของพวกเขาขึ้นมาตั้งเเต่บัดนั้นจนบัดนี้..เขาก็ยังมีธรรมนูญฉบับเดียว เเต่กระนั้นเขาก็ยังต้องฆ่ากันอีกครั้ง เขาต้องตายกันเป็นล้าน เพื่อรักษารัฐธรรมนูญเเละความเป็นประเทศของพวกเขา
กว่าจะมาถึงวันนี้ ญวนกับญวนก็ต้องทำสงครามรวมชาติ สงครามกับมหาอำนาจผู้รุกราน..ไม่ว่าจีน ฝรั่งเศส สหรัฐอเมริกา วันนี้ชาวญวนยืนอยู่เเถวหน้าสุดของชาตินักรบเรียบเรียงกันขึ้นมาเพื่อที่จะบอกว่ารัฐธรรมนูญ ที่คงทนต่อการถูกฉีกถูกทำลาย มันจะต้องถูกเขียน ถูกสร้างขึ้นมาจากโลหิตเเละความตายโยงใย กันขึ้นมาด้วยความพลัดพรากของหลายหมื่นหลายพันครอบครัว เเต่มันจะโบกสะบัดสะพัดใบอยู่ได้ อย่างยิ่งใหญ่ยาวนาน เพราะพัดโบกด้วยลมหายใจ ที่ขาดหายไปของผู้คนที่จารึกตนอยู่บนอนุสาวรีย์
ลมหายใจของผีถ้าประชาชนคนไทย จะได้รัฐธรรมนูญของเขาขึ้นมาสักฉบับ เราจะต้องตายกันอีกกี่ครั้ง เขาจะต้องถูก สังหารกันอีกกี่หนจะต้องโค่นทรราชกันอีกกี่ทีรัฐบาลดีๆ จะเกิดขึ้นมาได้อย่างไร จากกลไกสังหารของผู้ถืออาวุธ หรือจากการปลิ้นปล้อนสับปลับของคนสวมสูทใน คราบเงาของครูบา และชาวสภา
รัฐธรรมนูญดีๆ เกิดขึ้นมาไม่ได้เลยหรือ...แบบว่าคนไทยกับคนไทยไม่ต้องฆ่ากันคนไทยกับประเทศไทยจะต้องทนกันไปอีกนานแค่ไหน กว่ารากษสการเมืองทุกเผ่าพันธุ์จะล้างผลาญกันจนสิ้นสกุลหรือคนไทยทั้งหลาย ต้องเร่งรับจัดให้ ฌาปนกิจเหล่า มันทั้งหลาย สร้างชาติกันขึ้นมาใหม่ มายอมพร้อมตายกันสักครั้ง สร้างรัฐธรรมนูญที่ไม่มีวันถูกฉีกขึ้นมา
ที่มา.สยามธุรกิจ
********************************************************
‘ไม่หักหลัง คิดคด ทรยศ’
ว่ากันว่า “หากไม่เคยพ่ายแพ้มาก่อน ย่อมไม่อาจรู้จักกับคำว่าชนะที่แท้จริง” เรื่องนี้เห็นจะไม่เกินจริง เพราะต่อไปนี้คือเรื่องราวชีวิตจริงของ ส.ส.หน้าใหม่ หนุ่มไฟแรงวัยเพียง 30 กว่าๆ ที่ผ่านเรื่องราวการเมืองมาอย่างโชกโชน เคยล้มแล้วก็ลุก จนในที่สุดก็ได้มายืนแถวหน้าของ จ.ขอนแก่น กลายเป็นขวัญใจชาวบ้าน ได้ในที่สุด นั่นก็คือ “นวัธ เกาะเจริญสุข” ส.ส.ขอนแก่น พรรคเพื่อไทย
>> เริ่มสนใจในการเมือง
“เริ่มจากการเล่นการเมืองท้องถิ่นมาก่อน โดยเป็น ส.จ.จากนั้นเป็นรองนายก อบจ.รวมแล้ว ประมาณ 2 สมัย จากนั้นราวปี 40 ก็เริ่มลงการเมือง สนามใหญ่ในนามพรรคราษฎร แต่สอบตก และเมื่อ มีการเลือกตั้งอีกครั้งในราวปี 44 ก็ลงอีกครั้งในนาม พรรคมหาชน แต่ก็สอบตกอีกครั้ง จากนั้นก็เว้นวรรคไปจนกระทั่งในการเลือกตั้งครั้งล่าสุดในปี 50 จึงได้รับความไว้วางใจจากคนในพื้นที่ ในสีเสื้อพรรค พลังประชาชน ซึ่งก็ต้องยอมรับว่า นอกจากผลงาน ที่ทำไว้กับการเมืองท้องถิ่นแล้ว กระแสความนิยม ของพรรคก็มีส่วนสำคัญให้ได้รับเลือกเข้ามา”
>> ผลงานที่ผ่านมา
“เริ่มตั้งแต่การเป็น ส.จ.ก็ทำกิจกรรมกับ ชาวบ้านมาตลอด ทั้งเรื่องการประสานงาน ถนนหนทาง ซึ่งผมจะเน้นในเรื่องของการมีส่วนร่วมกับ ชาวบ้านตลอด ตั้งแต่ครั้งเป็น ส.จ.จนมาถึงตอนนี้”
>> จุดเด่นของตัวเอง
“ผมว่าคงเป็นจุดที่ผมทำงานจริงจัง ไม่หักหลัง คิดคด ทรยศ จงรักภักดีกับพรรค ส่วนหนึ่งเกิดจากประชาชนที่ทำให้ไม่อยาก ไปที่อื่น”
>> ความพร้อมในการเลือกตั้งครั้งหน้า
“เป็นนักการเมืองยังไงก็ต้องพร้อม ถึงจะเลือกวันนี้พรุ่งนี้ก็พร้อมตลอด เพราะเราอาสาเข้ามาแล้ว ที่สำคัญเรามั่นใจ เพราะมีการลงพื้นที่ตลอด ที่สำคัญไปกว่านั้นคือ ผมมั่นใจในกระแส
ของพรรคเพื่อไทย ศรัทธาของคนในพื้นที่ จ.ขอนแก่น ยังคงยึดมั่นอยู่กับอดีตนายกฯ ทักษิณ (ชินวัตร) จนชาวบ้านบอกว่า ต่อให้ ส.ส.ทำดียังไง รักยังไง แต่อยู่พรรคอื่นก็จะไม่เลือก ซึ่งแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ปัจจุบันการเมืองเริ่มเปลี่ยนไป ตัวบุคคลเริ่มไม่ใช่สิ่งที่เป็นตัวชี้วัดว่าจะได้รับเลือกตั้ง หรือไม่แล้ว”
“ตัวอย่างง่ายๆ ที่ผ่านมาผมลงพรรค ราษฎร มหาชน ซึ่งทำโพลออกมานำมาตลอด แต่พอเลือกตั้งจริง ผมสอบตกทั้งสองครั้ง แม้กระแสชาวบ้านจะออกมาว่ารักอดีต ส.จ.อย่างผม เพราะทำผลงานไว้มาก แต่เขาก็บอกว่า เขารักทักษิณมากกว่า เพราะมีผลงานช่วยเหลือพวกเขาเป็นรูปธรรมที่สุดกว่ารัฐบาลไหนๆ ผมจึงขอบอก เลยว่า ถ้าผมไม่ได้อยู่พรรคนี้ ผมคงไม่ได้เป็น ส.ส.และผมก็ไม่ย้ายพรรคอย่าง ส.ส.คนอื่นที่เห็นในสภา เพราะคนที่ย้ายไปแล้ว หลายคนกลับพื้นที่เข้าบ้านไม่ได้ หรือไม่สนิทใจ เพราะไม่โดนโห่ไล่ก็ถูกสาปแช่งจากคนในพื้นที่”
“เพราะฉะนั้น ผมเชื่อว่า ถ้ามีการเลือกตั้งอย่างบริสุทธิ์ยุติธรรม ไม่มีการโกง เปลี่ยนบัตร เปลี่ยนหีบ หรืออะไรก็ตาม ภาคอีสานและเหนือจะตกเป็นของพรรคเพื่อไทย เกือบหมด ซึ่งพรรคเพื่อไทยไม่ต้องใช้เงิน ใช้แค่การปราศรัยเท่านั้น จนในที่สุดก็จะกลับมาเป็นรัฐบาลอีกครั้ง”
>> เรื่องนี้เลยทำให้ที่ผ่านมา
ชาวอีสานมาชุมนุมจำนวนมาก
“ผมไม่เคยเห็นครั้งไหนๆ ชาวบ้านขายข้าวขายของขายผลผลิต แล้วเอาเงิน มาสนับสนุนการชุมนุม หากใครมีเวลาก็ไป ที่สำคัญเขาไม่ง้อ ส.ส.ด้วยว่าจะช่วยหรือไม่ช่วย เขาช่วยกันบริจาคเงิน ช่วยแรง บ้างก็ช่วยเป็นผลผลิตในไร่นามาช่วยในการชุมนุม เขาประชุมบริหารจัดการกันเองหมดโดยที่ ส.ส.ไม่ได้เข้าไปเป็นแกนนำเลย มีบางคนโจมตีว่าคนมาชุมนุมได้เงิน แต่ที่ขอนแก่นตรงกันข้าม คนที่มาชุมนุมนอก จากไม่ได้เงินแล้ว ยังต้องเสียเงินบริจาคอีก บางครั้งมีการทำบัตรขายล่วงหน้าสำหรับ คนที่จะมาชุมนุมในจังหวัด ก็ได้เงินมาหลาย แสนมาเป็นกองกลาง ซึ่งถ้าเป็นอดีตถ้าจะ ให้คนมารวมกันได้ อย่างน้อยก็ต้องมีค่ารถ หรือค่าหัว แต่ตอนนี้การเมืองเปลี่ยนไปกลายเป็นประชาชนเป็นคนลงทุน”
>> เรื่องนี้สะท้อนให้เห็นภาพอะไร
“มันแสดงให้เห็นว่า ประชาชนเริ่มเห็น เริ่มรู้ เริ่มเชื่อมั่นและศรัทธา โดยเฉพาะการ ศรัทธาในตัวอดีตนายกฯ ทักษิณ ซึ่งเขาเห็น ผลงานจริงที่เป็นรูปธรรม”
>> เปรียบเทียบเสื้อเหลืองกับเสื้อแดง
“เท่าที่สัมผัสมา ในภาคอีสานส่วนใหญ่เป็นเสื้อแดง เพราะเขาบอกเหตุผลว่า ดีกว่าคนที่ไม่ได้ทำอะไรให้บ้านเมือง ที่สำคัญคนที่เคยเห็นต่างส่วนหนึ่งก็เข้ามาเป็นเสื้อแดงเกือบหมดแล้ว เพราะเขาเห็น ว่าที่ผ่านมาไม่เคยเห็นผลดีอะไรอย่างเป็น รูปธรรมเลยจากอีกฝ่าย”
>> การเข้าประเทศของอดีตนายกฯ
หากกลับมาเป็นรัฐบาล
“หากกลับมาเป็นรัฐบาล เรื่องนี้ต้อง ดูความถูกต้องเป็นหลัก ไม่ว่าใครจะทำผิด ไม่ว่าเป็นอดีตนายกฯ หรือผู้ที่ถูกกักขังในข้อหาก่อการร้ายหรือคนอื่นๆ ก็ต้องทำตาม กฎหมาย ในขณะที่การตรวจสอบก็ต้องเป็นไปโดยบริสุทธิ์และยุติธรรม ผิดก็ผิด ถูกก็ถูก”
>> การถูกกล่าวหาว่ากลุ่มเสื้อแดงล้มเจ้า
“สถาบันพระมหากษัตริย์นับเป็นสถาบัน ที่สูงสุดของคนไทย ผมเชื่อว่าคนไทยทุกคน รักและเทิดทูนพระองค์ท่าน การถูกกล่าวหา เราจึงยอมรับไม่ได้ เป็นการกล่าวหาข้างเดียว เพราะคนไทยเราถูกปลูกฝังมาตั้งแต่ เด็ก เด็กทุกคนต้องร้องเพลงชาติ สวดมนต์ ร้องเพลงสรรเสริญพระบารมี เพราะฉะนั้น คน ในผืนแผ่นดินไทยทุกคน ย่อมต้องรักและเทิดทูนสถาบันทั้งสิ้น ซึ่งการถูกกล่าวหาเช่นนี้ รวมถึงกรณีอดีตนายกฯ ทักษิณ จึงเป็นการ กล่าวหาที่จ้องทำลายล้างทางการเมือง”
“ที่ผ่านมาพรรคก็ได้ชี้แจงให้สังคม รับทราบแล้วว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร แต่เราคงไปห้ามคนที่ใส่ร้ายทั้งที่มีตัวตนและไม่มีตัวตนได้อย่างไร แต่ผมเชื่อว่าคนเสื้อแดงทุกคน จงรักภักดีต่อสถาบัน เพราะฉะนั้น ถ้าจะให้ดีรัฐบาลไม่ควรนำเรื่องสถาบัน เบื้องสูงเข้ามาเกี่ยวข้องอย่างเด็ดขาด โดยเฉพาะ ณ ขณะนี้ หากต้องการความสมานฉันท์ที่แท้จริง รัฐบาลต้องมีความจริงใจ ไม่ทำเพียงเพื่อโค่นล้มอำนาจฝ่ายตรงข้าม”
>> มองรัฐบาลชุดนี้
“จริงๆ คำว่าประชาธิปไตยต้องมาจากประชาชน เพราะฉะนั้น ความต้องการ ใดๆ ของประชาชนควรเป็นที่ตั้ง ผมว่าผู้บริหารที่อยู่แต่ข้างบน ไม่รู้ความต้องการที่แท้จริงของประชาชน อย่างทุกวันนี้พื้นที่ น้ำท่วมในขอนแก่นบางที่ยังไม่ได้รับความช่วยเหลือหรือค่าทดแทนอะไรเลย เขาก็โทร.มาถาม ส.ส.ในพื้นที่อย่างผมว่าตกลง รัฐบาลจะช่วยเหลือรายละเท่าไร ช่วยยังไง บางทีน้ำไม่ได้ท่วมบ้านเขา แต่ท่วมในพื้นที่ การเกษตร แล้วเขาจะเอาอะไรกิน หนี้สิน เขาจะทำยังไง ขณะที่รัฐบาลก็ไม่มีความชัดเจนในเรื่องนี้ สุดท้าย ณ ขณะนี้ก็ไม่มีความคืบหน้าอะไร ในขณะที่ภาคใต้ซึ่งถูกน้ำท่วมทีหลังกลับได้รับความช่วยเหลือแล้ว คนอีสานรวมถึงคนส่วนใหญ่มองว่า รัฐบาลไม่มีศักยภาพในการบริหารประเทศชาติ มี ปัญหามากมายถ้ารัฐบาลแก้ปัญหาไม่ได้ ก็ ยิ่งทำให้ประชาชนคิดถึงอดีตนายกฯ ทักษิณ”
>> เหตุการณ์รุนแรง
ทางการเมืองที่ผ่านมา
“รัฐต้องแสดงความรับผิดชอบโดยเอาผู้กระทำผิดมาลงโทษให้ได้ หาข้อเท็จจริงแล้วเอาคนสั่งการฆ่าประชาชนมาลงโทษให้ได้ เพราะเหตุการณ์เช่นนี้ไม่ควร เกิดขึ้นกับการปกครองในระบอบประชาธิปไตยในประเทศไทยในสมัยนี้แล้ว เรื่องต่างๆ มันสะท้อนให้เห็นว่าประเทศไทยกลายเป็นประเทศที่ไม่มีมาตรฐานไปแล้ว ตอนนี้พี่น้องประชาชนไม่รู้จะหันหน้าไปพึ่งอะไร ผมจึงบอกประชาชนว่า วันนี้ประชาชนต้องเป็นที่พึ่งของตัวเองแล้ว แต่ว่าระหว่างที่เป็นที่พึ่งของตัวเองนี้ จะมี ส.ส.เพื่อไทยยืนอยู่เคียงข้างตลอด”
>> จุดสิ้นสุดความขัดแย้ง
“ความขัดแย้งจะจบลงได้ เมื่อมีการ เลือกตั้งใหม่ แล้วทุกฝ่ายไม่ว่าสีเสื้อใดต้อง ยอมรับในกติกา แต่การเลือกตั้งต้องเป็นไป อย่างบริสุทธิ์ยุติธรรม ถ้าพรรคใดได้เสียง ข้างมาก อีกฝ่ายก็ต้องยอม”
>> กรณีมีการยื่นศาลรัฐธรรมนูญ
ยุบพรรคเพื่อไทย
“ผมเรียนว่า ในขณะที่พรรคการ เมืองบางพรรคเสนอยังไงก็ไม่ถูกยุบ ซึ่งอาจมีของขลังอะไรบางอย่าง แต่ผมเชื่อว่า ถ้าเป็นพรรคเพื่อไทยถูกเสนอให้ยุบพรรควันไหน ผมฟันธงได้เลยว่าถูกยุบแน่นอน แล้วจะถูกยุบอย่างรวดเร็วด้วย ไม่มีข้ามเดือนข้ามปี ซึ่งเรื่องนี้ทำให้ความเชื่อมั่นใน ระบอบประชาธิปไตยของประชาชน โดยเฉพาะในพื้นที่อีสานเริ่มเสื่อมไปมาก อย่าง ไรก็ตาม แม้ไม่มีพรรคเพื่อไทย วันหนึ่งก็ต้องมีพรรคอื่นที่เข้ามาสานต่อ เพราะศรัทธาของคนอีสานก็ยังมีจุดยืนเดิม”ครบถ้วนกระบวนความสำหรับมุมมองอันแหลมคมของนักการเมืองหนุ่มไฟแรงอย่าง “นวัธ เกาะเจริญสุข” ส.ส.ขอนแก่น พรรคเพื่อไทย
ที่มา.สยามธุรกิจ
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
>> เริ่มสนใจในการเมือง
“เริ่มจากการเล่นการเมืองท้องถิ่นมาก่อน โดยเป็น ส.จ.จากนั้นเป็นรองนายก อบจ.รวมแล้ว ประมาณ 2 สมัย จากนั้นราวปี 40 ก็เริ่มลงการเมือง สนามใหญ่ในนามพรรคราษฎร แต่สอบตก และเมื่อ มีการเลือกตั้งอีกครั้งในราวปี 44 ก็ลงอีกครั้งในนาม พรรคมหาชน แต่ก็สอบตกอีกครั้ง จากนั้นก็เว้นวรรคไปจนกระทั่งในการเลือกตั้งครั้งล่าสุดในปี 50 จึงได้รับความไว้วางใจจากคนในพื้นที่ ในสีเสื้อพรรค พลังประชาชน ซึ่งก็ต้องยอมรับว่า นอกจากผลงาน ที่ทำไว้กับการเมืองท้องถิ่นแล้ว กระแสความนิยม ของพรรคก็มีส่วนสำคัญให้ได้รับเลือกเข้ามา”
>> ผลงานที่ผ่านมา
“เริ่มตั้งแต่การเป็น ส.จ.ก็ทำกิจกรรมกับ ชาวบ้านมาตลอด ทั้งเรื่องการประสานงาน ถนนหนทาง ซึ่งผมจะเน้นในเรื่องของการมีส่วนร่วมกับ ชาวบ้านตลอด ตั้งแต่ครั้งเป็น ส.จ.จนมาถึงตอนนี้”
>> จุดเด่นของตัวเอง
“ผมว่าคงเป็นจุดที่ผมทำงานจริงจัง ไม่หักหลัง คิดคด ทรยศ จงรักภักดีกับพรรค ส่วนหนึ่งเกิดจากประชาชนที่ทำให้ไม่อยาก ไปที่อื่น”
>> ความพร้อมในการเลือกตั้งครั้งหน้า
“เป็นนักการเมืองยังไงก็ต้องพร้อม ถึงจะเลือกวันนี้พรุ่งนี้ก็พร้อมตลอด เพราะเราอาสาเข้ามาแล้ว ที่สำคัญเรามั่นใจ เพราะมีการลงพื้นที่ตลอด ที่สำคัญไปกว่านั้นคือ ผมมั่นใจในกระแส
ของพรรคเพื่อไทย ศรัทธาของคนในพื้นที่ จ.ขอนแก่น ยังคงยึดมั่นอยู่กับอดีตนายกฯ ทักษิณ (ชินวัตร) จนชาวบ้านบอกว่า ต่อให้ ส.ส.ทำดียังไง รักยังไง แต่อยู่พรรคอื่นก็จะไม่เลือก ซึ่งแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ปัจจุบันการเมืองเริ่มเปลี่ยนไป ตัวบุคคลเริ่มไม่ใช่สิ่งที่เป็นตัวชี้วัดว่าจะได้รับเลือกตั้ง หรือไม่แล้ว”
“ตัวอย่างง่ายๆ ที่ผ่านมาผมลงพรรค ราษฎร มหาชน ซึ่งทำโพลออกมานำมาตลอด แต่พอเลือกตั้งจริง ผมสอบตกทั้งสองครั้ง แม้กระแสชาวบ้านจะออกมาว่ารักอดีต ส.จ.อย่างผม เพราะทำผลงานไว้มาก แต่เขาก็บอกว่า เขารักทักษิณมากกว่า เพราะมีผลงานช่วยเหลือพวกเขาเป็นรูปธรรมที่สุดกว่ารัฐบาลไหนๆ ผมจึงขอบอก เลยว่า ถ้าผมไม่ได้อยู่พรรคนี้ ผมคงไม่ได้เป็น ส.ส.และผมก็ไม่ย้ายพรรคอย่าง ส.ส.คนอื่นที่เห็นในสภา เพราะคนที่ย้ายไปแล้ว หลายคนกลับพื้นที่เข้าบ้านไม่ได้ หรือไม่สนิทใจ เพราะไม่โดนโห่ไล่ก็ถูกสาปแช่งจากคนในพื้นที่”
“เพราะฉะนั้น ผมเชื่อว่า ถ้ามีการเลือกตั้งอย่างบริสุทธิ์ยุติธรรม ไม่มีการโกง เปลี่ยนบัตร เปลี่ยนหีบ หรืออะไรก็ตาม ภาคอีสานและเหนือจะตกเป็นของพรรคเพื่อไทย เกือบหมด ซึ่งพรรคเพื่อไทยไม่ต้องใช้เงิน ใช้แค่การปราศรัยเท่านั้น จนในที่สุดก็จะกลับมาเป็นรัฐบาลอีกครั้ง”
>> เรื่องนี้เลยทำให้ที่ผ่านมา
ชาวอีสานมาชุมนุมจำนวนมาก
“ผมไม่เคยเห็นครั้งไหนๆ ชาวบ้านขายข้าวขายของขายผลผลิต แล้วเอาเงิน มาสนับสนุนการชุมนุม หากใครมีเวลาก็ไป ที่สำคัญเขาไม่ง้อ ส.ส.ด้วยว่าจะช่วยหรือไม่ช่วย เขาช่วยกันบริจาคเงิน ช่วยแรง บ้างก็ช่วยเป็นผลผลิตในไร่นามาช่วยในการชุมนุม เขาประชุมบริหารจัดการกันเองหมดโดยที่ ส.ส.ไม่ได้เข้าไปเป็นแกนนำเลย มีบางคนโจมตีว่าคนมาชุมนุมได้เงิน แต่ที่ขอนแก่นตรงกันข้าม คนที่มาชุมนุมนอก จากไม่ได้เงินแล้ว ยังต้องเสียเงินบริจาคอีก บางครั้งมีการทำบัตรขายล่วงหน้าสำหรับ คนที่จะมาชุมนุมในจังหวัด ก็ได้เงินมาหลาย แสนมาเป็นกองกลาง ซึ่งถ้าเป็นอดีตถ้าจะ ให้คนมารวมกันได้ อย่างน้อยก็ต้องมีค่ารถ หรือค่าหัว แต่ตอนนี้การเมืองเปลี่ยนไปกลายเป็นประชาชนเป็นคนลงทุน”
>> เรื่องนี้สะท้อนให้เห็นภาพอะไร
“มันแสดงให้เห็นว่า ประชาชนเริ่มเห็น เริ่มรู้ เริ่มเชื่อมั่นและศรัทธา โดยเฉพาะการ ศรัทธาในตัวอดีตนายกฯ ทักษิณ ซึ่งเขาเห็น ผลงานจริงที่เป็นรูปธรรม”
>> เปรียบเทียบเสื้อเหลืองกับเสื้อแดง
“เท่าที่สัมผัสมา ในภาคอีสานส่วนใหญ่เป็นเสื้อแดง เพราะเขาบอกเหตุผลว่า ดีกว่าคนที่ไม่ได้ทำอะไรให้บ้านเมือง ที่สำคัญคนที่เคยเห็นต่างส่วนหนึ่งก็เข้ามาเป็นเสื้อแดงเกือบหมดแล้ว เพราะเขาเห็น ว่าที่ผ่านมาไม่เคยเห็นผลดีอะไรอย่างเป็น รูปธรรมเลยจากอีกฝ่าย”
>> การเข้าประเทศของอดีตนายกฯ
หากกลับมาเป็นรัฐบาล
“หากกลับมาเป็นรัฐบาล เรื่องนี้ต้อง ดูความถูกต้องเป็นหลัก ไม่ว่าใครจะทำผิด ไม่ว่าเป็นอดีตนายกฯ หรือผู้ที่ถูกกักขังในข้อหาก่อการร้ายหรือคนอื่นๆ ก็ต้องทำตาม กฎหมาย ในขณะที่การตรวจสอบก็ต้องเป็นไปโดยบริสุทธิ์และยุติธรรม ผิดก็ผิด ถูกก็ถูก”
>> การถูกกล่าวหาว่ากลุ่มเสื้อแดงล้มเจ้า
“สถาบันพระมหากษัตริย์นับเป็นสถาบัน ที่สูงสุดของคนไทย ผมเชื่อว่าคนไทยทุกคน รักและเทิดทูนพระองค์ท่าน การถูกกล่าวหา เราจึงยอมรับไม่ได้ เป็นการกล่าวหาข้างเดียว เพราะคนไทยเราถูกปลูกฝังมาตั้งแต่ เด็ก เด็กทุกคนต้องร้องเพลงชาติ สวดมนต์ ร้องเพลงสรรเสริญพระบารมี เพราะฉะนั้น คน ในผืนแผ่นดินไทยทุกคน ย่อมต้องรักและเทิดทูนสถาบันทั้งสิ้น ซึ่งการถูกกล่าวหาเช่นนี้ รวมถึงกรณีอดีตนายกฯ ทักษิณ จึงเป็นการ กล่าวหาที่จ้องทำลายล้างทางการเมือง”
“ที่ผ่านมาพรรคก็ได้ชี้แจงให้สังคม รับทราบแล้วว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร แต่เราคงไปห้ามคนที่ใส่ร้ายทั้งที่มีตัวตนและไม่มีตัวตนได้อย่างไร แต่ผมเชื่อว่าคนเสื้อแดงทุกคน จงรักภักดีต่อสถาบัน เพราะฉะนั้น ถ้าจะให้ดีรัฐบาลไม่ควรนำเรื่องสถาบัน เบื้องสูงเข้ามาเกี่ยวข้องอย่างเด็ดขาด โดยเฉพาะ ณ ขณะนี้ หากต้องการความสมานฉันท์ที่แท้จริง รัฐบาลต้องมีความจริงใจ ไม่ทำเพียงเพื่อโค่นล้มอำนาจฝ่ายตรงข้าม”
>> มองรัฐบาลชุดนี้
“จริงๆ คำว่าประชาธิปไตยต้องมาจากประชาชน เพราะฉะนั้น ความต้องการ ใดๆ ของประชาชนควรเป็นที่ตั้ง ผมว่าผู้บริหารที่อยู่แต่ข้างบน ไม่รู้ความต้องการที่แท้จริงของประชาชน อย่างทุกวันนี้พื้นที่ น้ำท่วมในขอนแก่นบางที่ยังไม่ได้รับความช่วยเหลือหรือค่าทดแทนอะไรเลย เขาก็โทร.มาถาม ส.ส.ในพื้นที่อย่างผมว่าตกลง รัฐบาลจะช่วยเหลือรายละเท่าไร ช่วยยังไง บางทีน้ำไม่ได้ท่วมบ้านเขา แต่ท่วมในพื้นที่ การเกษตร แล้วเขาจะเอาอะไรกิน หนี้สิน เขาจะทำยังไง ขณะที่รัฐบาลก็ไม่มีความชัดเจนในเรื่องนี้ สุดท้าย ณ ขณะนี้ก็ไม่มีความคืบหน้าอะไร ในขณะที่ภาคใต้ซึ่งถูกน้ำท่วมทีหลังกลับได้รับความช่วยเหลือแล้ว คนอีสานรวมถึงคนส่วนใหญ่มองว่า รัฐบาลไม่มีศักยภาพในการบริหารประเทศชาติ มี ปัญหามากมายถ้ารัฐบาลแก้ปัญหาไม่ได้ ก็ ยิ่งทำให้ประชาชนคิดถึงอดีตนายกฯ ทักษิณ”
>> เหตุการณ์รุนแรง
ทางการเมืองที่ผ่านมา
“รัฐต้องแสดงความรับผิดชอบโดยเอาผู้กระทำผิดมาลงโทษให้ได้ หาข้อเท็จจริงแล้วเอาคนสั่งการฆ่าประชาชนมาลงโทษให้ได้ เพราะเหตุการณ์เช่นนี้ไม่ควร เกิดขึ้นกับการปกครองในระบอบประชาธิปไตยในประเทศไทยในสมัยนี้แล้ว เรื่องต่างๆ มันสะท้อนให้เห็นว่าประเทศไทยกลายเป็นประเทศที่ไม่มีมาตรฐานไปแล้ว ตอนนี้พี่น้องประชาชนไม่รู้จะหันหน้าไปพึ่งอะไร ผมจึงบอกประชาชนว่า วันนี้ประชาชนต้องเป็นที่พึ่งของตัวเองแล้ว แต่ว่าระหว่างที่เป็นที่พึ่งของตัวเองนี้ จะมี ส.ส.เพื่อไทยยืนอยู่เคียงข้างตลอด”
>> จุดสิ้นสุดความขัดแย้ง
“ความขัดแย้งจะจบลงได้ เมื่อมีการ เลือกตั้งใหม่ แล้วทุกฝ่ายไม่ว่าสีเสื้อใดต้อง ยอมรับในกติกา แต่การเลือกตั้งต้องเป็นไป อย่างบริสุทธิ์ยุติธรรม ถ้าพรรคใดได้เสียง ข้างมาก อีกฝ่ายก็ต้องยอม”
>> กรณีมีการยื่นศาลรัฐธรรมนูญ
ยุบพรรคเพื่อไทย
“ผมเรียนว่า ในขณะที่พรรคการ เมืองบางพรรคเสนอยังไงก็ไม่ถูกยุบ ซึ่งอาจมีของขลังอะไรบางอย่าง แต่ผมเชื่อว่า ถ้าเป็นพรรคเพื่อไทยถูกเสนอให้ยุบพรรควันไหน ผมฟันธงได้เลยว่าถูกยุบแน่นอน แล้วจะถูกยุบอย่างรวดเร็วด้วย ไม่มีข้ามเดือนข้ามปี ซึ่งเรื่องนี้ทำให้ความเชื่อมั่นใน ระบอบประชาธิปไตยของประชาชน โดยเฉพาะในพื้นที่อีสานเริ่มเสื่อมไปมาก อย่าง ไรก็ตาม แม้ไม่มีพรรคเพื่อไทย วันหนึ่งก็ต้องมีพรรคอื่นที่เข้ามาสานต่อ เพราะศรัทธาของคนอีสานก็ยังมีจุดยืนเดิม”ครบถ้วนกระบวนความสำหรับมุมมองอันแหลมคมของนักการเมืองหนุ่มไฟแรงอย่าง “นวัธ เกาะเจริญสุข” ส.ส.ขอนแก่น พรรคเพื่อไทย
ที่มา.สยามธุรกิจ
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
คู่บารมี'มาร์ค'
ไม่แปลกใจเลยกับวิธีคิดของคนประชาธิปัตย์
พูดกันมานานแล้วกับแบบฉบับ "เอาดีใส่ตัว เอาชั่วให้คนอื่น"
ล่าสุดก็มีการตอกย้ำเข้าไปอีก
เมื่อนายเทพไท เสนพงศ์ โทรโข่งประจำตัวนายกรัฐมนตรี
แสดงความเห็นกรณี นิตยสารไทม์ แม็กกาซีน สื่อยักษ์ทรงอิทธิพลของสหรัฐ
จัดอันดับ 10 ข่าวใหญ่ระดับโลกแห่งปี 2553 ที่มีข่าวม็อบเสื้อแดงของไทยรวมอยู่ด้วย
นายเทพไทบอกว่า คนไทยไม่ควรภาคภูมิใจกับข่าวนี้ ดังนั้น ขอให้แกนนำนปช.ทบทวนการเคลื่อนไหวไม่ให้ไปสู่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นช่วงเดือนเม.ย.-พ.ค.ที่ผ่านมาอีก
นายเทพไทคงไม่ได้อ่านเหตุผลที่ไทม์ยกข่าวนี้เป็นข่าวแห่งปี
เพราะไทม์ระบุว่ารัฐบาลไทยใช้มาตรการกระชับพื้นที่ม็อบแดงจนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต 91 ศพ บาดเจ็บกว่า 1,800 คน
เหตุการณ์นี้มีผู้สื่อข่าวและช่างภาพจากหลายประเทศบันทึกไว้ได้และถ่ายทอดสดไปทั่วโลกตลอด 24 ชั่วโมง
ฉะนั้น การที่ไทม์จัดให้ข่าวเสื้อแดงติดอันดับข่าวใหญ่ของโลก เพราะเห็นว่ามีการใช้อำนาจรัฐ ใช้อาวุธสงครามเข้าสลายการชุมนุมของประชาชนจนบาดเจ็บล้มตายจำนวนมาก
ไม่ใช่เพราะประชาชนออกมาชุมนุมประท้วงขับไล่รัฐบาล
แบบที่นายเทพไทเอาดีใส่ตัว โยนบาปให้คนเสื้อแดง!!
อีกเรื่องที่ไม่แปลกใจเลยเช่นกัน
กรณีนายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และรองนายกฯ สุเทพ เทือกสุบรรณ ออกมาปกป้องนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ)
หลังพรรคเพื่อไทยปูดข่าวว่ามีบิ๊กสีขี้ม้ากดดันให้ปลดนายธาริต
ทั้งนายกฯ อภิสิทธิ์ และรองนายกฯ สุเทพ ประสานเสียงยืนยัน
นายธาริตเป็นคนดี ทำงานมีประสิทธิภาพ
ไม่มีปลด ไม่มีเด้ง
แน่นอนอยู่แล้ว รัฐบาลไม่มีทางที่จะปลดนายธาริต
เพราะทั้งทำงานเข้าตา ทั้งรู้ใจรัฐบาลเป็นที่สุด
คดี 91 ศพก็อืดอาดได้ใจรัฐบาลเป็นอย่างยิ่ง
ล่วงเลยมาเกือบ 8 เดือนแล้วยังไม่รู้เลยว่าใครเป็นคนสั่งฆ่าประชาชน!?
คดีความที่แกนนำนปช.เป็นผู้ต้องหาก็จับยัดคุกฉับไว สมกับที่รัฐบาลไว้วางใจ
การตามล้างตามผลาญคนเสื้อแดงก็ทำได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง
ตรงตามนโยบายเป๊ะ!
มีหรือที่นายกฯ อภิสิทธิ์จะปลดคนแบบนี้
รัฐบาลอยู่รอดมาได้ 7-8 เดือนหลังเหตุการณ์สลายม็อบแดง
ส่วนหนึ่งก็มาจากความสามารถของนายธาริตนี่แหละ!
ฝีมืออธิบดีคู่บารมีนายกฯ อภิสิทธิ์
ที่มา.ข่าวสดรายวัน คอลัมน์ เหล็กใน
-----------------------------------------------------------------
พูดกันมานานแล้วกับแบบฉบับ "เอาดีใส่ตัว เอาชั่วให้คนอื่น"
ล่าสุดก็มีการตอกย้ำเข้าไปอีก
เมื่อนายเทพไท เสนพงศ์ โทรโข่งประจำตัวนายกรัฐมนตรี
แสดงความเห็นกรณี นิตยสารไทม์ แม็กกาซีน สื่อยักษ์ทรงอิทธิพลของสหรัฐ
จัดอันดับ 10 ข่าวใหญ่ระดับโลกแห่งปี 2553 ที่มีข่าวม็อบเสื้อแดงของไทยรวมอยู่ด้วย
นายเทพไทบอกว่า คนไทยไม่ควรภาคภูมิใจกับข่าวนี้ ดังนั้น ขอให้แกนนำนปช.ทบทวนการเคลื่อนไหวไม่ให้ไปสู่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นช่วงเดือนเม.ย.-พ.ค.ที่ผ่านมาอีก
นายเทพไทคงไม่ได้อ่านเหตุผลที่ไทม์ยกข่าวนี้เป็นข่าวแห่งปี
เพราะไทม์ระบุว่ารัฐบาลไทยใช้มาตรการกระชับพื้นที่ม็อบแดงจนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต 91 ศพ บาดเจ็บกว่า 1,800 คน
เหตุการณ์นี้มีผู้สื่อข่าวและช่างภาพจากหลายประเทศบันทึกไว้ได้และถ่ายทอดสดไปทั่วโลกตลอด 24 ชั่วโมง
ฉะนั้น การที่ไทม์จัดให้ข่าวเสื้อแดงติดอันดับข่าวใหญ่ของโลก เพราะเห็นว่ามีการใช้อำนาจรัฐ ใช้อาวุธสงครามเข้าสลายการชุมนุมของประชาชนจนบาดเจ็บล้มตายจำนวนมาก
ไม่ใช่เพราะประชาชนออกมาชุมนุมประท้วงขับไล่รัฐบาล
แบบที่นายเทพไทเอาดีใส่ตัว โยนบาปให้คนเสื้อแดง!!
อีกเรื่องที่ไม่แปลกใจเลยเช่นกัน
กรณีนายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และรองนายกฯ สุเทพ เทือกสุบรรณ ออกมาปกป้องนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ)
หลังพรรคเพื่อไทยปูดข่าวว่ามีบิ๊กสีขี้ม้ากดดันให้ปลดนายธาริต
ทั้งนายกฯ อภิสิทธิ์ และรองนายกฯ สุเทพ ประสานเสียงยืนยัน
นายธาริตเป็นคนดี ทำงานมีประสิทธิภาพ
ไม่มีปลด ไม่มีเด้ง
แน่นอนอยู่แล้ว รัฐบาลไม่มีทางที่จะปลดนายธาริต
เพราะทั้งทำงานเข้าตา ทั้งรู้ใจรัฐบาลเป็นที่สุด
คดี 91 ศพก็อืดอาดได้ใจรัฐบาลเป็นอย่างยิ่ง
ล่วงเลยมาเกือบ 8 เดือนแล้วยังไม่รู้เลยว่าใครเป็นคนสั่งฆ่าประชาชน!?
คดีความที่แกนนำนปช.เป็นผู้ต้องหาก็จับยัดคุกฉับไว สมกับที่รัฐบาลไว้วางใจ
การตามล้างตามผลาญคนเสื้อแดงก็ทำได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง
ตรงตามนโยบายเป๊ะ!
มีหรือที่นายกฯ อภิสิทธิ์จะปลดคนแบบนี้
รัฐบาลอยู่รอดมาได้ 7-8 เดือนหลังเหตุการณ์สลายม็อบแดง
ส่วนหนึ่งก็มาจากความสามารถของนายธาริตนี่แหละ!
ฝีมืออธิบดีคู่บารมีนายกฯ อภิสิทธิ์
ที่มา.ข่าวสดรายวัน คอลัมน์ เหล็กใน
-----------------------------------------------------------------
วันพฤหัสบดีที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2553
เพื่อไทยเชื่อ'อภิสิทธิ์'ไม่มีอำนาจยุบสภาจริง
"สุทิน"ระบุ"อภิสิทธิ์"ไม่มีอำนาจยุบสภาจริง เพราะมีคนที่มีอำนาจเหนือกว่าคอยบงการอยู่เบื้องหลัง คาดยุบสภาต.ค.54 ใช้งบก่อน และแต่งตั้งย้ายขรก.
นายสุทิน คลังแสง อดีตกรรมการบริหารพรรคพลังประชาชน กล่าวถึงกรณีที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ระบุว่ามีความเป็นไปได้ที่จะมีการยุบสภาในช่วงเดือนมี.ค.-เม.ย. 2554 ว่า ไม่เชื่อว่านายอภิสิทธิ์ จะยุบสภาในเดือนมี.ค.-เม.ย. 25 54 แต่น่าจะยุบสภาในช่วงเดือนต.ค.2554 หลังจากใช้งบประมาณปี 2554 หมดแล้ว และเตรียมจัดงบประมาณในปี 2555 ไว้ก่อนมากกว่า ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับการโยกย้ายแต่งตั้งข้าราชการระดับสูงเสียก่อนในช่วงเดือนตุลาคม เพื่อที่รัฐบาลจะได้ประโยชน์จากการใช้งบประมาณถึง 2 ปีคือปี 2554 และปี 2555
เพราะคนอย่างนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี และนายเนวิน ชิดชอบ แกนนำพรรคภูมิใจไทยนั้น ไม่มีทางปล่อยโอกาสแบบนี้เด็ดขาด เขาต้องการจะได้ทุนก่อนเลือกตั้ง และได้ข้าราชการเป็นพวก ปล่อยนโยบายประชานิยมของเขาเสร็จจากนั้นก็จะออกไปหมด
" เชื่อว่านายอภิสิทธิ์ไม่มีอำนาจที่จะยุบสภาจริง เพราะอาจจะมีคนที่มีอำนาจที่เหนือกว่าคอยบงการอยู่ แต่ถ้านายอภิสิทธิ์มีอำนาจจริงเชื่อว่านายอภิสิทธิ์จะมองอนาคตทางการเมืองข้ามช็อตไปถึงการจะกลับมาอีกครั้ง โดยจะฟังความเห็นเรื่องการยุบสภาจากพรรคร่วมรัฐบาลก่อน "
นายสุทิน กล่าวว่า วิธีการสร้างความชอบธรรมของนายอภิสิทธิ์ เพื่อลากยาวนั้นง่ายมาก โดยจะบอกว่ายังแก้ไขรัฐธรรมนูญไม่เสร็จ รวมทั้งพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส.และส.ว.นั้น ก็จะให้ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์แปรญัตติแก้ไขมาก ๆ เมื่อแก้ไขไม่เสร็จนายอภิสิทธิ์ก็จะโยนความผิดให้สภาว่าสภาช้า ส่วนเงื่อนไขที่ 2 ที่นายอภิสิทธิ์อาจจะใช้อ้างก็คือ บ้านเมืองต้องสงบ ทั้งๆ ที่ความจริงวันนี้บ้านเมืองสงบแล้ว เพราะการเลือกตั้งซ่อมส.ส.ทั้ง 5 เขตนั้นก็ไม่มีปัญหา แต่เงื่อนไขนี้เขาสามารถสร้างความไม่สงบให้เกิดขึ้นได้โดยผ่านการสร้างสถานการณ์ ยั่วให้คนเสื้อแดงออกมาชุมนุม
ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
---------------------------------------------------------
นายสุทิน คลังแสง อดีตกรรมการบริหารพรรคพลังประชาชน กล่าวถึงกรณีที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ระบุว่ามีความเป็นไปได้ที่จะมีการยุบสภาในช่วงเดือนมี.ค.-เม.ย. 2554 ว่า ไม่เชื่อว่านายอภิสิทธิ์ จะยุบสภาในเดือนมี.ค.-เม.ย. 25 54 แต่น่าจะยุบสภาในช่วงเดือนต.ค.2554 หลังจากใช้งบประมาณปี 2554 หมดแล้ว และเตรียมจัดงบประมาณในปี 2555 ไว้ก่อนมากกว่า ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับการโยกย้ายแต่งตั้งข้าราชการระดับสูงเสียก่อนในช่วงเดือนตุลาคม เพื่อที่รัฐบาลจะได้ประโยชน์จากการใช้งบประมาณถึง 2 ปีคือปี 2554 และปี 2555
เพราะคนอย่างนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี และนายเนวิน ชิดชอบ แกนนำพรรคภูมิใจไทยนั้น ไม่มีทางปล่อยโอกาสแบบนี้เด็ดขาด เขาต้องการจะได้ทุนก่อนเลือกตั้ง และได้ข้าราชการเป็นพวก ปล่อยนโยบายประชานิยมของเขาเสร็จจากนั้นก็จะออกไปหมด
" เชื่อว่านายอภิสิทธิ์ไม่มีอำนาจที่จะยุบสภาจริง เพราะอาจจะมีคนที่มีอำนาจที่เหนือกว่าคอยบงการอยู่ แต่ถ้านายอภิสิทธิ์มีอำนาจจริงเชื่อว่านายอภิสิทธิ์จะมองอนาคตทางการเมืองข้ามช็อตไปถึงการจะกลับมาอีกครั้ง โดยจะฟังความเห็นเรื่องการยุบสภาจากพรรคร่วมรัฐบาลก่อน "
นายสุทิน กล่าวว่า วิธีการสร้างความชอบธรรมของนายอภิสิทธิ์ เพื่อลากยาวนั้นง่ายมาก โดยจะบอกว่ายังแก้ไขรัฐธรรมนูญไม่เสร็จ รวมทั้งพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส.และส.ว.นั้น ก็จะให้ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์แปรญัตติแก้ไขมาก ๆ เมื่อแก้ไขไม่เสร็จนายอภิสิทธิ์ก็จะโยนความผิดให้สภาว่าสภาช้า ส่วนเงื่อนไขที่ 2 ที่นายอภิสิทธิ์อาจจะใช้อ้างก็คือ บ้านเมืองต้องสงบ ทั้งๆ ที่ความจริงวันนี้บ้านเมืองสงบแล้ว เพราะการเลือกตั้งซ่อมส.ส.ทั้ง 5 เขตนั้นก็ไม่มีปัญหา แต่เงื่อนไขนี้เขาสามารถสร้างความไม่สงบให้เกิดขึ้นได้โดยผ่านการสร้างสถานการณ์ ยั่วให้คนเสื้อแดงออกมาชุมนุม
ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
---------------------------------------------------------
รัฐทหาร
รายงานสถานการณ์สิทธิมนุษยชนของคณะกรรมาธิการสิทธิมนุษยชนแห่งเอเชีย (AHRC) ประจำปี 2553 ในภูมิภาคเอเชีย ถือเป็นการตอกย้ำสถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนในประเทศไทยว่ายังมืดมนและน่าวิตกอย่างมากกับการใช้อำนาจรัฐ โดยเฉพาะภายใต้ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินและศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ในช่วงกว่า 6 เดือนที่ผ่านมา
AHRC ระบุว่า ศอฉ. ใช้อำนาจราวกับประเทศไทยอยู่ในยุคของรัฐทหาร เพราะให้อำนาจเจ้าหน้าที่ออกหมายเรียกบุคคลเข้าไปสอบสวนได้ตามต้องการ ผู้ที่ถูกเรียกต้องไปรายงานตัวในค่ายทหาร และถูกแยกสอบปากคำนานถึง 6 ชั่วโมงจากเจ้าหน้าที่รัฐ ทั้งตำรวจ ทหาร และกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) รวมถึงการแจ้งข้อหากับประชาชนโดยอาศัยอำนาจตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน จนบางคนต้องรับโทษคุมขังจนถึงขณะนี้
AHRC ยังระบุถึงแผนผังล้มเจ้าที่ ศอฉ. นำมากล่าวหาฝ่ายตรงข้ามเมื่อวันที่ 26 เมษายน 2553 ซึ่งนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี และผู้อำนวยการ ศอฉ. ขณะนั้น ยืนยันว่ามีหลักฐานเพียงพอที่จะออกหมายจับและห้ามบุคคลที่ถูกกล่าวหาเดินทางออกนอกประเทศได้ แต่ไม่เคยนำหลักฐานดังกล่าวออกมาเปิดเผยเลย เช่นเดียวกับกลุ่มคนเสื้อแดงที่ชุมนุมประท้วงรัฐบาลก็ถูกจับกุมด้วยการกล่าวหาว่าเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ
AHRC จึงเห็นว่าอำนาจของ ศอฉ. ไม่ต่างกับการใช้อำนาจในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ทำให้เจ้าหน้าที่รัฐอยู่เหนือกฎหมายที่ผู้ถูกกล่าวหาไม่มีสิทธิจะโต้แย้งข้อกล่าวหาใดๆ ซึ่งขัดกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมืองอย่างชัดเจน
นอกจากนี้ AHRC ยังระบุว่าเคยเรียกร้องให้สหประชาชาติลดความน่าเชื่อถือและเพิกถอนสิทธิการเป็นสมาชิกในคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนของไทยมาตั้งแต่ปี 2540 แล้ว เนื่องจากไม่ปฏิบัติสอดคล้องกับหลักการกรุงปารีสของสหประชาชาติ เพราะคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนของไทยขาดความเหมาะสมทั้งในเชิงองค์ประกอบและกระบวนการสรรหาบุคลากร โดยคณะกรรมการมีนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ 1 คน นักการเมือง 2 คน และนักธุรกิจที่ติดบัญชีดำละเมิดสิทธิมนุษยชนจากคณะกรรมการชุดก่อนหน้านี้ ทั้งหมดไม่เคยมีประวัติอันเป็นสาธารณประโยชน์ทางด้านสิทธิมนุษยชนเลยแม้แต่คนเดียว ทั้งนายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว เอกอัครราชทูตและผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ ยังได้ดำรงตำแหน่งประธานคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติอีกด้วย
รายงานที่เผยแพร่ไปทั่วโลกยังถากถางคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนของไทยว่าไม่น่าแปลกใจที่มีการละเมิดสิทธิเสรีภาพในไทย โดยเฉพาะเหตุการณ์ “เมษา-พฤษภาอำมหิต” ที่ผ่านมา
ที่มา. หนังสือพิมพ์โลกวันนี้รายวัน
**********************************************************************
AHRC ระบุว่า ศอฉ. ใช้อำนาจราวกับประเทศไทยอยู่ในยุคของรัฐทหาร เพราะให้อำนาจเจ้าหน้าที่ออกหมายเรียกบุคคลเข้าไปสอบสวนได้ตามต้องการ ผู้ที่ถูกเรียกต้องไปรายงานตัวในค่ายทหาร และถูกแยกสอบปากคำนานถึง 6 ชั่วโมงจากเจ้าหน้าที่รัฐ ทั้งตำรวจ ทหาร และกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) รวมถึงการแจ้งข้อหากับประชาชนโดยอาศัยอำนาจตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน จนบางคนต้องรับโทษคุมขังจนถึงขณะนี้
AHRC ยังระบุถึงแผนผังล้มเจ้าที่ ศอฉ. นำมากล่าวหาฝ่ายตรงข้ามเมื่อวันที่ 26 เมษายน 2553 ซึ่งนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี และผู้อำนวยการ ศอฉ. ขณะนั้น ยืนยันว่ามีหลักฐานเพียงพอที่จะออกหมายจับและห้ามบุคคลที่ถูกกล่าวหาเดินทางออกนอกประเทศได้ แต่ไม่เคยนำหลักฐานดังกล่าวออกมาเปิดเผยเลย เช่นเดียวกับกลุ่มคนเสื้อแดงที่ชุมนุมประท้วงรัฐบาลก็ถูกจับกุมด้วยการกล่าวหาว่าเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ
AHRC จึงเห็นว่าอำนาจของ ศอฉ. ไม่ต่างกับการใช้อำนาจในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ทำให้เจ้าหน้าที่รัฐอยู่เหนือกฎหมายที่ผู้ถูกกล่าวหาไม่มีสิทธิจะโต้แย้งข้อกล่าวหาใดๆ ซึ่งขัดกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมืองอย่างชัดเจน
นอกจากนี้ AHRC ยังระบุว่าเคยเรียกร้องให้สหประชาชาติลดความน่าเชื่อถือและเพิกถอนสิทธิการเป็นสมาชิกในคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนของไทยมาตั้งแต่ปี 2540 แล้ว เนื่องจากไม่ปฏิบัติสอดคล้องกับหลักการกรุงปารีสของสหประชาชาติ เพราะคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนของไทยขาดความเหมาะสมทั้งในเชิงองค์ประกอบและกระบวนการสรรหาบุคลากร โดยคณะกรรมการมีนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ 1 คน นักการเมือง 2 คน และนักธุรกิจที่ติดบัญชีดำละเมิดสิทธิมนุษยชนจากคณะกรรมการชุดก่อนหน้านี้ ทั้งหมดไม่เคยมีประวัติอันเป็นสาธารณประโยชน์ทางด้านสิทธิมนุษยชนเลยแม้แต่คนเดียว ทั้งนายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว เอกอัครราชทูตและผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ ยังได้ดำรงตำแหน่งประธานคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติอีกด้วย
รายงานที่เผยแพร่ไปทั่วโลกยังถากถางคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนของไทยว่าไม่น่าแปลกใจที่มีการละเมิดสิทธิเสรีภาพในไทย โดยเฉพาะเหตุการณ์ “เมษา-พฤษภาอำมหิต” ที่ผ่านมา
ที่มา. หนังสือพิมพ์โลกวันนี้รายวัน
**********************************************************************
ค่าแรงและการเมือง
บทบรรณาธิการ
คณะกรรมการไตรภาคีขานรับแนวทางของรัฐบาลด้วยการประกาศขึ้นค่าแรงขั้นต่ำสำหรับปี 2554 ขึ้นอีกวันละ 9-17 บาททั่วประเทศ ตามแต่สภาพค่าครองชีพของแต่ละพื้นที่ โดยจำนวนจังหวัดที่ปรับค่าแรงเพิ่มขึ้น 10-11 บาท/วันมากที่สุด
ค่าแรงขั้นต่ำที่ปรับเพิ่มขึ้นไม่ได้ทำให้อัตราคาแรงพุ่งไปถึงระดับวันละ 250 บาท ดังที่นายกรัฐมนตรีเคยแสดงเจตนาไว้ แต่ก็อยู่ในระดับที่ผู้ประกอบการจำนวนไม่น้อยเห็นว่า
เหมาะสม โดยมีกลุ่มผู้ใช้แรงงานอีกจำนวนหนึ่งแสดงความเห็นว่าน่าจะปรับเพิ่มมากขึ้นกว่านี้
ประเด็นว่าอัตราค่าจ้างที่เหมาะสมควรจะเป็นเท่าใด
เป็นหัวข้อที่มีการถกเถียงมานานนับสิบปี และมีปัจจัยที่แปรผันไปตามสถานการณ์เข้ามาเกี่ยวข้องหลายประการด้วยกัน ตั้งแต่มาตรฐานการครองชีพที่เหมาะสมของประชาชน ไปจนกระทั่งถึงต้นทุนการประกอบการของธุรกิจ และความสามารถในการแข่งขันกับคู่แข่งประเภทเดียวกันใน
ต่างประเทศ
ซึ่งจะต้องมีกระบวนการที่ทำให้การตกลงและการต่อรองผลประโยชน์ของแต่ละฝ่าย เป็นไปอย่างเท่าเทียม เป็นธรรมให้มากที่สุด เพื่อให้ความขัดแย้งทางผลประโยชน์ที่เป็นอยู่ตามธรรมชาติได้รับการแก้ไขด้วยกระบวนการสันติ
แต่สิ่งที่เป็นหัวข้อวิพากษ์วิจารณ์ของสังคม ซึ่งติดตามมาพร้อมกับการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ และการปรับเงินเดือนของข้าราชการ ที่อยู่ในระดับไม่เกินอัตราร้อยละ 5-6 ก็คือเพิ่มค่าตอบแทนของ ส.ส. และวุฒิสมาชิกขึ้นไปอีกเกือบร้อยละ 15
ประการหนึ่งเป็นเพราะที่ผ่านมา ทั้ง ส.ส.และ ส.ว. มิได้พิสูจน์ตนเองให้สังคมเห็นว่าได้ปฏิบัติงานด้วยความรับผิดชอบอย่างเต็มกำลังและความสามารถ ในทางตรงข้ามกลับมี
ภาพของความย่อหย่อน ความไม่เอาใจใส่ และความไร้ประสิทธิภาพเกิดขึ้นบ่อยครั้ง
ยังไม่นับข้อครหาเรื่องการใช้อำนาจหน้าที่แสวงหาผลประโยชน์อันมิชอบหรือกระทำการทุจริต ซึ่งจากผลสำรวจทั้งภายในประเทศและโดยการประเมินเปรียบเทียบชี้ว่า ระดับการทุจริตโครงการภาครัฐในเมืองไทย อันมีนักการเมืองและข้าราชการเป็นต้นตอนั้น สูงถึงร้อยละ 25-30 ของมูลค่าโครงการ และถูกจัดเป็นประเทศที่มีการทุจริตติดอันดับต้น ๆ ของโลก
ในขณะที่รัฐบาลซึ่งเสนอให้ขึ้นค่าตอบแทนกับนักการเมืองระดับชาติ อ้างเหตุผลแต่ว่าที่ผ่านมา ส.ส.และ ส.ว.มิได้รับการปรับค่าตอบแทนมาเป็นเวลานาน หรือมีภาระทางสังคมอื่น ๆ ที่ทำให้เงินเดือนในปัจจุบันไม่พอกับค่าใช้จ่าย
แต่กลับไม่ได้พูดถึงประเด็นของความสุจริต ความรับผิดชอบ และการเพิ่มประสิทธิภาพในการทำหน้าที่ ให้สมกับที่นำเงินภาษีอากรของประชาชนมาเพิ่มค่าตอบแทนให้ตนเองหรือพวกพ้อง
จึงยากที่รัฐบาลและฝ่ายการเมืองจะหลีกเลี่ยงคำวิพากษ์วิจารณ์ และการต่อต้านจากคนอีกกลุ่มหนึ่ง ซึ่งประสงค์ที่จะเห็นเงินของชาวบ้านได้รับการใช้จ่ายไปในทางที่เหมาะควรกว่านี้
รัฐบาลและนักการเมืองพึงน้อมรับคำวิจารณ์ และนำสาระที่อยู่ในนั้นไปปรับปรุงตน ให้สมกับความประสงค์ของเจ้าของเงิน และเจ้าของอำนาจที่ตนเองหยิบยืมมา
ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
------------------------------------------------------
คณะกรรมการไตรภาคีขานรับแนวทางของรัฐบาลด้วยการประกาศขึ้นค่าแรงขั้นต่ำสำหรับปี 2554 ขึ้นอีกวันละ 9-17 บาททั่วประเทศ ตามแต่สภาพค่าครองชีพของแต่ละพื้นที่ โดยจำนวนจังหวัดที่ปรับค่าแรงเพิ่มขึ้น 10-11 บาท/วันมากที่สุด
ค่าแรงขั้นต่ำที่ปรับเพิ่มขึ้นไม่ได้ทำให้อัตราคาแรงพุ่งไปถึงระดับวันละ 250 บาท ดังที่นายกรัฐมนตรีเคยแสดงเจตนาไว้ แต่ก็อยู่ในระดับที่ผู้ประกอบการจำนวนไม่น้อยเห็นว่า
เหมาะสม โดยมีกลุ่มผู้ใช้แรงงานอีกจำนวนหนึ่งแสดงความเห็นว่าน่าจะปรับเพิ่มมากขึ้นกว่านี้
ประเด็นว่าอัตราค่าจ้างที่เหมาะสมควรจะเป็นเท่าใด
เป็นหัวข้อที่มีการถกเถียงมานานนับสิบปี และมีปัจจัยที่แปรผันไปตามสถานการณ์เข้ามาเกี่ยวข้องหลายประการด้วยกัน ตั้งแต่มาตรฐานการครองชีพที่เหมาะสมของประชาชน ไปจนกระทั่งถึงต้นทุนการประกอบการของธุรกิจ และความสามารถในการแข่งขันกับคู่แข่งประเภทเดียวกันใน
ต่างประเทศ
ซึ่งจะต้องมีกระบวนการที่ทำให้การตกลงและการต่อรองผลประโยชน์ของแต่ละฝ่าย เป็นไปอย่างเท่าเทียม เป็นธรรมให้มากที่สุด เพื่อให้ความขัดแย้งทางผลประโยชน์ที่เป็นอยู่ตามธรรมชาติได้รับการแก้ไขด้วยกระบวนการสันติ
แต่สิ่งที่เป็นหัวข้อวิพากษ์วิจารณ์ของสังคม ซึ่งติดตามมาพร้อมกับการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ และการปรับเงินเดือนของข้าราชการ ที่อยู่ในระดับไม่เกินอัตราร้อยละ 5-6 ก็คือเพิ่มค่าตอบแทนของ ส.ส. และวุฒิสมาชิกขึ้นไปอีกเกือบร้อยละ 15
ประการหนึ่งเป็นเพราะที่ผ่านมา ทั้ง ส.ส.และ ส.ว. มิได้พิสูจน์ตนเองให้สังคมเห็นว่าได้ปฏิบัติงานด้วยความรับผิดชอบอย่างเต็มกำลังและความสามารถ ในทางตรงข้ามกลับมี
ภาพของความย่อหย่อน ความไม่เอาใจใส่ และความไร้ประสิทธิภาพเกิดขึ้นบ่อยครั้ง
ยังไม่นับข้อครหาเรื่องการใช้อำนาจหน้าที่แสวงหาผลประโยชน์อันมิชอบหรือกระทำการทุจริต ซึ่งจากผลสำรวจทั้งภายในประเทศและโดยการประเมินเปรียบเทียบชี้ว่า ระดับการทุจริตโครงการภาครัฐในเมืองไทย อันมีนักการเมืองและข้าราชการเป็นต้นตอนั้น สูงถึงร้อยละ 25-30 ของมูลค่าโครงการ และถูกจัดเป็นประเทศที่มีการทุจริตติดอันดับต้น ๆ ของโลก
ในขณะที่รัฐบาลซึ่งเสนอให้ขึ้นค่าตอบแทนกับนักการเมืองระดับชาติ อ้างเหตุผลแต่ว่าที่ผ่านมา ส.ส.และ ส.ว.มิได้รับการปรับค่าตอบแทนมาเป็นเวลานาน หรือมีภาระทางสังคมอื่น ๆ ที่ทำให้เงินเดือนในปัจจุบันไม่พอกับค่าใช้จ่าย
แต่กลับไม่ได้พูดถึงประเด็นของความสุจริต ความรับผิดชอบ และการเพิ่มประสิทธิภาพในการทำหน้าที่ ให้สมกับที่นำเงินภาษีอากรของประชาชนมาเพิ่มค่าตอบแทนให้ตนเองหรือพวกพ้อง
จึงยากที่รัฐบาลและฝ่ายการเมืองจะหลีกเลี่ยงคำวิพากษ์วิจารณ์ และการต่อต้านจากคนอีกกลุ่มหนึ่ง ซึ่งประสงค์ที่จะเห็นเงินของชาวบ้านได้รับการใช้จ่ายไปในทางที่เหมาะควรกว่านี้
รัฐบาลและนักการเมืองพึงน้อมรับคำวิจารณ์ และนำสาระที่อยู่ในนั้นไปปรับปรุงตน ให้สมกับความประสงค์ของเจ้าของเงิน และเจ้าของอำนาจที่ตนเองหยิบยืมมา
ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
------------------------------------------------------
วันพุธที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2553
"ชาติพันธุ์และเขตปกครองตนเอง" จากจีน-เวียดนาม กับภาพ 3 จังหวัดชายแดนใต้
ที่ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร มีการจัดเสวนาเรื่อง "นโยบายพหุวัฒนธรรมและนโยบายเขตปกครองพิเศษที่ต่างแดน" จัดโดย กลุ่มวิจัยความขัดแย้งและพหุวัฒนธรรม ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร มีวิทยากรเข้าร่วมได้แก่ อ.วรศักดิ์ มหัทธโนบล จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ผศ. ดำรงพล อินทร์จันทร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร และผศ.ดร.ยุกติ มุกดาวิจิตร มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
"พหุวัฒนธรรม" จากจีนสู่ 3 จังหวัดชายแดนใต้
นายวรศักดิ์ กล่าวว่า เขตปกครองตนเอง, จังหวัดปกครองตนเอง และอำเภอปกครองตนเอง เป็นหน่วยหลักที่มีขนาดใหญ่ของจีน ส่วนตำบลชนชาตินั้นจะมีชนชาติอื่นอยู่ร่วมกับจีนฮั่น แต่ว่าไม่มีสิทธิพิเศษในการปกครองตนเองซึ่งจริงๆแล้วตำบลปกครองตนเองก็มีกระจัดกระจายอยู่ทั่วประเทศมีลักษณะการบริหารที่แตกต่างกันเพราะ จีนมีชนชาติทั้งหมด 56 ชนชาติ
หนึ่งใน 56 ชนชาตินั้นคือฮั่น ซึ่งถือว่าเป็นจำนวนถึง 90 % จากทั้ง 56 ชนชาติ ส่วนอีก 55 ชนชาติคิดเป็นแค่ 10 % ถ้าหากเป็นชนชาติที่มีจำนวนประชากรขนาดใหญ่ รัฐบาลจีนจะยกให้เป็นเขตปกครองเทียบเท่ามณฑล แต่บางชนชาติที่มีคนจำนวนน้อยบางชนชาติมีประชากร 3,000 คนเท่ากับหมีแพนด้า ก็ไม่สามารถให้มีสิทธิในการปกครองตนเองได้ ชนชาติที่มีจำนวนประชากรน้อยแค่หลักหมื่น รัฐบาลจีนก็ให้สิทธิเรื่องพิเศษอย่างเช่น ให้มีลูกได้มากกว่าหนึ่งคน เป็นนโยบายที่ต้องการรักษาประเพณี และวัฒนธรรมของชนชาติที่มีประชากรน้อย
เมื่อพูดถึงทั้งเขต จังหวัดและอำเภอแต่ละหน่วยมีสภาผู้แทนประชาชนเป็นของตนเอง โดยที่มาของสภาผู้แทนจะดูจาก"สัดส่วนของประชากร กับ จำนวนตัวแทนหนึ่งคน" เนื่องจากชนชาติพันธุ์มีจำนวนน้อยเมื่อเทียบกับจีนฮั่น ซึ่งมีการเลือกตั้งโดยตรงโดยแบ่งเป็นชนบทกับเมือง ถ้าชนบทประชากรอาจมีน้อย สองแสนต่อผู้แทนหนึ่งคน คนเมืองถ้ามากอาจเป็นสามแสนถึงสี่แสนต่อผู้แทนหนึ่งคน เมื่อเลือกตั้งเสร็จแล้ว พวกผู้เแทนเหล่านี้ในหน่วยที่เล็กที่สุด ซึ่งมีจำนวนหลายร้อยคนก็จะเลือกผู้แทนในเขตปกครองนั้นๆขึ้นมาจำนวนหนึ่งไปนั่งในผู้แทนประชาชนในสภาของหน่วยปกครองที่สูงขึ้นไปอีก
เมื่อผู้แทนหลายๆอำเภอมารวมก็จะมีผู้แทนเป็นหลักร้อย ในสภานั้นก็เลือกผู้แทนกันเองขึ้นไปในจังหวัดและจังหวัดก็เลือกในระดับมณฑล มณฑลก็เลือกกันเองเพื่อขึ้นไปนั่งในสภาผู้แทนประชาชนแห่งชาติที่อยู่ในปักกิ่ง ซึ่งระดับตำบลในจีนจะมีสภาแม้ว่าบางตำบลรัฐบาลไม่อนุญาตให้มี แต่โดยส่วนใหญ่แล้วผู้แทนที่ไปนั่งนั้นมีมากกว่า 70-80 เปอร์เซ็นต์เป็นชนชาติพันธุ์
นโยบายแต่ละนโยบายที่ออกมาคนชาติพันธุ์มีสิทธิในการกำหนดนโยบายค่อนข้างมาก ลักษณะแบบนี้เพึ่งเกิดขึ้นได้ไม่ถึง 30 ปี สิทธิตรงนี้ทำให้ชนชาติพันธ์ของเขามีสิทธิพิเศษนำเสนอเรื่องประเพณี วัฒนธรรมได้ แต่ละชนชาติจะมีความเชื่อไม่เหมือนกันเวลากำหนดกฎอะไรที่ใช้สำหรับตัวเองก็จะแตกต่างกัน อย่าเข้าใจว่ากฎใช้เหมือนกันหมด ต้องดูเป็นแต่ละหน่วยปกครองนั้นๆ
ที่กล่าวมานี้ ฟังดูเหมือนดีน่าศึกษา แต่จริงๆแล้วก็มีปัญหา เราพบว่าถ้ามีการประเมินผลภาพรวมถือว่ามีปัญหาน้อย ปัญหาใหญ่ๆที่เกิดคือทิเบต กับซินเจียง กล่าวคือเป็นพื้นที่ที่ถูกกระทำในช่วงแรกของการปกครองอย่างรุนแรงเป็นบาดแผลทางประวัติศาสตร์ เมื่อมีการปกครองตนเองอีกครั้งกลุ่มคนเหล่านี้ก็จะไม่เห็นด้วยกับรัฐ โดยเฉพาะนโยบายการพัฒนาทางเศรษฐกิจ เมื่อรัฐบาลจีนให้ชนชาติฮั่นเข้าไปในหน่วยปกครองของชนชาติเหล่านี้ทำให้เกิดความไม่พอใจขึ้น
ในกรณีทิเบต ก็มีความเคร่งครัดในแบบของเขา แต่สิ่งที่รัฐเอาไปพัฒนาเป็นการพัฒนาเศรษฐกิจในรูปแบบธุรกิจอบายมุข เช่น บาร์ และสิ่งมอมเมา ฉะนั้น คนเมื่อเจอสิ่งเหล่านี้ก็หลงระเริง และทำให้ผู้นำชุมชนไม่พอใจ ซึ่งเป็นที่มาของความขัดแย้ง
จากการศึกษาเรื่องนี้ รู้สึกว่ากรณีสามจังหวัดชายแดนใต้น่าจะเป็นลักษณะแบบนั้น ซึ่งบางทีกรณีคนที่สื่อสารกรณีนี้มักเป็นชนชั้นนำที่กล่าวแล้วเข้าใจยาก ซึ่งจริงๆแล้วเราอาจสามารถนำปัญหาต่างๆมาประยุกต์ใช้แก้ปัญหาในบางด้านได้
ภาษากับชาติพันธุ์จีน
อ.ดำรงพล กล่าวว่า กรณีการใช้ภาษาจีนการจัดจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ พื้นที่จีนในแต่ละเขตมีกลุ่มชาติพันธ์จำนวนมาก มีกลุ่มชาติพันธุ์ที่กระจายอยู่มีความหลากหลายทางภาษาสามกลุ่มคือ จีนที่เรียกว่าไซแนติก, ฉาน หรือไต และทิเบต-พม่า แต่ก็ยังมีกลุ่มย่อยเป็นจำนวนมาก
โครงการจัดจำแนกกลุ่มชาติพันธ์ในจีนที่ใช้คำว่า MInzu (หมินฉู) นำไปสู่การจัดแบ่งเขตปกครองตนเอง ดังนั้นนักวิชาการบางท่านอาจกล่าวว่า เป็นการสถาปนาสถาบันทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมภายใต้โครงการนี้ ปัจจัยหลักที่จะบอกว่าเป็นหมินฉูหรือไม่นั้น คือการสำรวจกลุ่มชาติพันธุ์ที่เกิดขึ้นทั่วประเทศตั้งแต่หลังจากปฎิวัติเป็นต้นมา, ดูจากกลุ่มที่อยู่รอบๆที่ไม่ใช่ฮั่นคือใครบ้าง และรัฐให้นิยามการประกาศกลุ่มหมินฉูเป็นอย่างไร ซึ่งต้องใช้ภาษาในการกำหนด กระบวนการหมินฉู ก็หมายถึงรัฐเป็นผู้สร้างและกำหนดกลุ่มชาติพันธุ์เหล่านั้นมีภาษาและอัตลักษณ์อย่างไร ซึ่งต่างกับคำว่า ความเป็นชาติพันธุ์ กล่าวคือเมื่อถูกกำหนดว่าเป็นหมินฉูแล้วจะคล้ายกับตายตัว แยกออกไปจากกลุ่มอื่นอย่างชัดเจน แต่ถ้าคำว่า "ชาติพันธุ์" บางครั้งมันสามารถเปลี่ยนได้
ภายใต้หลักการกลุ่มโครงการนี้ต้องการดูว่ากลุ่มที่ไม่ใช่ฮั่นคืออะไร ซึ่งเป็นการผสมผสานแนวคิดมาร์กซิสต์ กล่าวคือทฤษฎีที่ใช้เป็นการกำหนดว่าเป็นหมินฉูจะบอกด้วยเรื่อง ภาษา, เขตแดน, เศรษฐกิจ และจิตสำนึกทางวัฒนธรรมที่ใช้ร่วมกัน ก็ถือว่าเป็นกลุ่มที่สามารถจัดเข้าไปอยู่ในกลุ่มหมินฉูได้
เวลาที่จัดมีสามระยะ คือในช่วงปี 1949-1953 มี 38 กลุ่ม ระยะปี 1954-1964 มี 15 กลุ่ม และปี 1969-1979 มี 2 กลุ่มซึ่งยังคงมีความซับซ้อนอยู่ คือบางกลุ่มอาจไม่เคยสำนึกว่ากลุ่มตนเป็นอะไร ก็เริ่มเรียกตัวเอง การจัดสิ่งเหล่าเป็นเหมือนการสร้างความเข้มแข็ง หรือแม้แต่อาจทำให้เกิดความเข้าใจผิดสำหรับบางกลุ่มที่อาจถูกจัดเข้าไปอยู่ในกลุ่มย่อยไปด้วย ประการต่อมาคืออาจเกิดความพยายามนิยามตัวเองใหม่ ทั้งๆที่ตัวเองมีวัฒนธรรมของตัวเอง
ในกรณีพื้นที่ที่เข้าไปวิจัยภาคสนามนั้นเป็นเขตปกครองตนเอง ในบริเวณพื้้นที่เหล่านี้จ้วง แม้ว เหวินซาน มีการถกเถียงเรื่องนี้มาก ซึ่งการที่จะจัดแบ่งได้ก็ต้องมีการจัดแบ่งภาษาเพื่อใช้เป็นภาษาราชการ ส่วนในเชิงวัฒนธรรมเชื่อว่าฮั่นเข้าไปมีอิทธิพลมาก
เกณฑ์การแบ่งเรื่อง 56 ชนชาติแบบนี้อาจไม่ใช่เป็นเรื่องการบอกซะทีเดียวว่ากลุ่มแต่ละกลุ่มเป็นใคร แต่ก็มีกลุ่มประมาณกว่า 8 แสนกลุ่ม ที่รอการประกาศอยู่ เพราะฉะนั้น 56 ชนชาติที่ได้รับประกาศไปแล้ว นักวิชาการบางท่านในโลกตะวันตกเชื่อว่าอาจเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการการสร้างชาติของจีน และอาจเป็นการยกระดับเป็นมาตรฐานเดียวกัน และได้รับการยอมรับทางวิชาการ ได้รับการพิจารณาทางภาษาและวัฒนธรรม
สุดท้ายแล้วเราจะตีความกฎเกณฑ์การชี้วัดเหล่านี้ไม่เท่ากับเกณฑ์ตะวันตก จีนใช้เกณฑ์บางเรื่องที่ตรงไปตรงมาแต่บางเรื่องก็อาจซ่อนเร้น และอีกด้านหนึ่งก็อาจมีการปะทะกันระหว่างสำนึกของคนในแต่ละพื้นที่อย่างเช่น ยูนนาน เรียกตัวเองต่างกันไปในแต่ละพื้นที่ ก็มีการถกเถียงกัน การจัดจำแนกอาจไม่ลงล็อคตามที่จัดก็ได้ กลุ่มชาติพันธุ์ของจีนนั้นจะเห็นได้ว่าบางกลุ่มอาจเป็นเขตปกครองตนเอง หรือจังหวัดตนเอง แต่นักวิชาการจีนเชื่อว่าอย่างน้อยยังประกาศว่าตัวเองเป็นใคร สามารถยืนอยู่บนเวทีเอเชี่ยนเกมส์ได้ เป็นตัวแทนของกลุ่มตัวเอง แต่ว่าจะอยู่แค่ในกระดาษหรือจะสามารถเป็นในเชิงวัฒนธรรมก็อีกเรื่องหนึ่ง
เวียดนามกับความล้มเหลวเรื่องเขตปกครองตนเอง
ดร.ยุกติกล่าวว่า เขตปกครองในเวียดนามตอนนี้้ถูกยกเลิกไปแล้ว เขตปกครองตนเองนั้นเกิดจากความสัมพันธ์ระหว่างชนกลุ่มน้อยกับรัฐไม่ได้เกิดขึ้นมาลอยๆแต่มีเงื่อนไขคือความเป็น"รัฐพหุชาติพันธุ์" ซึ่งการเกิดเขตปกครองตนเองแก้ปัญหาบางประการได้แต่ก็ก่อให้เกิดปัญหาหลายประการเช่นกัน
เวียดนามในช่วงปี 1890 เป็นอาณานิคมของฝรั่งเศสโดยสมบูรณ์ ต่อมาปี 1930 ก่อตั้งพรรคคอมมิวนิสต์อินโดจีน แต่อีกสิบปีต่อมาก็ถูกญี่ปุ่นยึดครอง(ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2) ปี1945 ญี่ปุ่นแพ้สงครามโลกก็ออกไปจากเวียดนาม กองกำลังพรรคคอมมิวนิสต์ในเวียดนามก็ยึดพื้นที่ในเวียดนามเหนือ และหลายพื้นที่ และประกาศอิสรภาพ 1947 ฝรั่งเศสกลับมายึดครองโดยทางการ แต่หลายพื่้นที่กว่าครึ่งอยู่ในอำนาจพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนาม พอหลัง 1954 จึงเป็นอิสระจากฝรั่งเศส จนตั้งเวียดนามเหนือซึ่งตั้งแต่ 1945 ก็พูดเรื่องเขตปกครองตนเองกันมาแล้ว
เมื่อดูข้อความในรัฐธรรมนูญปี 1945, 48 และ 55 ที่มีข้อความว่า "สาธารณรัฐประชาธิปไตยเวียดนาม(เวียดนามเหนือ)เป็นประเทศหนึ่งเดียวที่ประกอบกันหลายชนชาติ" ส่วนมาตราหนึ่งระบุว่า "พื้นที่ใดที่กลุ่มชาติพันธ์ส่วนน้อยอาศัยเป็นชุมชนเฉพาะก็สามารถก่อตั้งเป็นเขตปกครองตนเองได้"
ลักษณะเขตปกครองพิเศษ เตย บัค (ตะวันตกเฉียงเหนือ), เบียค บัค และลาว ฮา เอียน สามเขตนี้อยู่ล้อมกับฮานอย พื้นที่เหนือส่วนใหญ่ถูกประกาศเป็นเขตปกครองตนเอง ตั้งแต่ปี 1955-1975 ซึ่งนโยบายฝั่งเหนือกับใต้แตกต่างกันมาก ใต้ดำเนินนโยบายลักษณะต้องการกลืนกลายชาติพันธุ์ แต่ทางเหนือพยายามดำเนินนโยบายที่ให้สิทธิมากกว่า ที่น่าสนใจคือพื้นเขตปกครองตนเองที่กินพื้นที่เกินกว่าครึ่งของเวียดนามเหนือ โครงสร้างของเขตปกครองตนเองแบ่งออกเป็น 3 ระดับด้วยกัน แต่มาเพิ่มเป็น 4 ในช่วงหลัง คู (เขตปกครองตนเอง ) ทิน(จังหวัด) โจว (เมือง)
โครงสร้างการบริหารที่พรรคคอมมิวนิสต์ได้สร้างขึ้นมาใหม่คือคณะกรรมการประชาชน เป็นฝ่ายบริหารมาจากการแต่งตั้ง และสภาประชาชนที่เป็นฝ่ายตรวจสอบมาจากการเลือกตั้งโดยสมาชิกพรรคฯในท้องถิ่นระดับต่างๆ โครงสร้างสองอันนี้อยู่มาจนถึงปัจจุบัน ทั้งหมดนี้อยู่ใต้พรรคฯ โดยมีมวลชนระดับรากหญ้าประกอบด้วยสมาชิกพรรคในระดับต่างๆ จัดตั้งเป็นแนวหน้าคือ ปิตุภูมิ, สหภาพสตรี, ชมรมทหารผ่านศึก, สหภาพเกษตรกร และสหภาพเยาวชน (5 แฉกของดาวกลางธงชาติ)
แต่ที่สุดแล้วการมีเขตปกครองตนเองก็อยู่ภายใต้การควบคุมของพรรค แต่คนเหล่านี้ไม่ใช่เป็นคนที่ส่งมาจากส่วนกลาง แต่เป็นคนในท้องถิ่นเอง
สำหรับตัวสภาประชาชนแม้จะอยู่ใต้การดูแลของพรรคแต่ก็ได้รับการเลือกตั้งมาจากท้องถิ่นเอง ที่น่าสนใจคือสภาประระชาชนควบคุมการปกครองระบบท้องถิ่นหลายๆด้าน ตรวจสอบถอดถอนผู้พิพากษาท้องถิ่น ยับยั้งกฎหมายฝ่ายยบริหารท้องถิ่น และกำหนดนโยายได้พอสมควร
นโยบายที่น่าสนใจคือเรื่องภาษา ที่ใช้ภาษาชาติพันธ์เป็นภาษาทางการ สอนภาษากลุ่มชาติพันธุ์ในโรงเรียนประถม ซึ่งเห็นได้ชัดที่สุดมีผลอย่างจริงจังที่สุด แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะมีความหลากหลายในทางชาติพันธ์ซึ่งเกิดปัญหามากมาย
สาเหตุที่ต้องทำให้มีการปกครองตนเองคือ เรื่องนโยบายแบบ"มาร์กซ์และเลนิน" ที่เชื่อว่าความเป็นชาติพันธ์เป็นส่วนหนึ่งของสังคม ชนกลุ่มน้อยเองก็ครองพื้นที่กว่าครึ่งของชาติ พรรคก่อตั้งและเติบโตขึ้นมาในเขตกลุ่มชาติพันธุ์ส่วนน้อย แสดงให้เห็นความเป็นรัฐพหุชนชาติ การจัดตั้งเขตปกครองตนเองเป็นส่วนหนึ่งที่แสดงให้เห็นถึงความสนใจในตัวชนกลุ่มน้อย
อย่างไรก็ตาม มีปัญหาของเขตปกครองพิเศษเกิดขึ้น เมื่อแต่เดิมรัฐสัญญาว่าจะสืบทอดเขตปกครองตนเอง แต่เมื่อ 1962 รัฐได้ตั้งจังหวัดซ้อนเข้าไปในเขตปกครองตนเอง ทำให้นโยบายเรื่องภาษาเริ่มมีปัญหา ว่าจะเลือกภาษาไหนเป็นภาษากลาง รวมไปถึงปัญหาการใช้ตัวอักษร จึงนำไปสู่ปัญหาความขัดแย้งในท้องถิ่น
นอกจากนี้ยังเกิดความขัดแย้งภายในระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์ในเขตฯเพราะมีหลายกลุ่มชาติพันธุ์ การจัดสรรทรัพยากรตามกลุ่มชาติพันธุ์ที่แตกต่างกัน จนนำไปสู่การยกเลิกเขตปกครองตนเองในที่สุด
ที่มา.มติชนออนไลน์
******************************************************************************
"พหุวัฒนธรรม" จากจีนสู่ 3 จังหวัดชายแดนใต้
นายวรศักดิ์ กล่าวว่า เขตปกครองตนเอง, จังหวัดปกครองตนเอง และอำเภอปกครองตนเอง เป็นหน่วยหลักที่มีขนาดใหญ่ของจีน ส่วนตำบลชนชาตินั้นจะมีชนชาติอื่นอยู่ร่วมกับจีนฮั่น แต่ว่าไม่มีสิทธิพิเศษในการปกครองตนเองซึ่งจริงๆแล้วตำบลปกครองตนเองก็มีกระจัดกระจายอยู่ทั่วประเทศมีลักษณะการบริหารที่แตกต่างกันเพราะ จีนมีชนชาติทั้งหมด 56 ชนชาติ
หนึ่งใน 56 ชนชาตินั้นคือฮั่น ซึ่งถือว่าเป็นจำนวนถึง 90 % จากทั้ง 56 ชนชาติ ส่วนอีก 55 ชนชาติคิดเป็นแค่ 10 % ถ้าหากเป็นชนชาติที่มีจำนวนประชากรขนาดใหญ่ รัฐบาลจีนจะยกให้เป็นเขตปกครองเทียบเท่ามณฑล แต่บางชนชาติที่มีคนจำนวนน้อยบางชนชาติมีประชากร 3,000 คนเท่ากับหมีแพนด้า ก็ไม่สามารถให้มีสิทธิในการปกครองตนเองได้ ชนชาติที่มีจำนวนประชากรน้อยแค่หลักหมื่น รัฐบาลจีนก็ให้สิทธิเรื่องพิเศษอย่างเช่น ให้มีลูกได้มากกว่าหนึ่งคน เป็นนโยบายที่ต้องการรักษาประเพณี และวัฒนธรรมของชนชาติที่มีประชากรน้อย
เมื่อพูดถึงทั้งเขต จังหวัดและอำเภอแต่ละหน่วยมีสภาผู้แทนประชาชนเป็นของตนเอง โดยที่มาของสภาผู้แทนจะดูจาก"สัดส่วนของประชากร กับ จำนวนตัวแทนหนึ่งคน" เนื่องจากชนชาติพันธุ์มีจำนวนน้อยเมื่อเทียบกับจีนฮั่น ซึ่งมีการเลือกตั้งโดยตรงโดยแบ่งเป็นชนบทกับเมือง ถ้าชนบทประชากรอาจมีน้อย สองแสนต่อผู้แทนหนึ่งคน คนเมืองถ้ามากอาจเป็นสามแสนถึงสี่แสนต่อผู้แทนหนึ่งคน เมื่อเลือกตั้งเสร็จแล้ว พวกผู้เแทนเหล่านี้ในหน่วยที่เล็กที่สุด ซึ่งมีจำนวนหลายร้อยคนก็จะเลือกผู้แทนในเขตปกครองนั้นๆขึ้นมาจำนวนหนึ่งไปนั่งในผู้แทนประชาชนในสภาของหน่วยปกครองที่สูงขึ้นไปอีก
เมื่อผู้แทนหลายๆอำเภอมารวมก็จะมีผู้แทนเป็นหลักร้อย ในสภานั้นก็เลือกผู้แทนกันเองขึ้นไปในจังหวัดและจังหวัดก็เลือกในระดับมณฑล มณฑลก็เลือกกันเองเพื่อขึ้นไปนั่งในสภาผู้แทนประชาชนแห่งชาติที่อยู่ในปักกิ่ง ซึ่งระดับตำบลในจีนจะมีสภาแม้ว่าบางตำบลรัฐบาลไม่อนุญาตให้มี แต่โดยส่วนใหญ่แล้วผู้แทนที่ไปนั่งนั้นมีมากกว่า 70-80 เปอร์เซ็นต์เป็นชนชาติพันธุ์
นโยบายแต่ละนโยบายที่ออกมาคนชาติพันธุ์มีสิทธิในการกำหนดนโยบายค่อนข้างมาก ลักษณะแบบนี้เพึ่งเกิดขึ้นได้ไม่ถึง 30 ปี สิทธิตรงนี้ทำให้ชนชาติพันธ์ของเขามีสิทธิพิเศษนำเสนอเรื่องประเพณี วัฒนธรรมได้ แต่ละชนชาติจะมีความเชื่อไม่เหมือนกันเวลากำหนดกฎอะไรที่ใช้สำหรับตัวเองก็จะแตกต่างกัน อย่าเข้าใจว่ากฎใช้เหมือนกันหมด ต้องดูเป็นแต่ละหน่วยปกครองนั้นๆ
ที่กล่าวมานี้ ฟังดูเหมือนดีน่าศึกษา แต่จริงๆแล้วก็มีปัญหา เราพบว่าถ้ามีการประเมินผลภาพรวมถือว่ามีปัญหาน้อย ปัญหาใหญ่ๆที่เกิดคือทิเบต กับซินเจียง กล่าวคือเป็นพื้นที่ที่ถูกกระทำในช่วงแรกของการปกครองอย่างรุนแรงเป็นบาดแผลทางประวัติศาสตร์ เมื่อมีการปกครองตนเองอีกครั้งกลุ่มคนเหล่านี้ก็จะไม่เห็นด้วยกับรัฐ โดยเฉพาะนโยบายการพัฒนาทางเศรษฐกิจ เมื่อรัฐบาลจีนให้ชนชาติฮั่นเข้าไปในหน่วยปกครองของชนชาติเหล่านี้ทำให้เกิดความไม่พอใจขึ้น
ในกรณีทิเบต ก็มีความเคร่งครัดในแบบของเขา แต่สิ่งที่รัฐเอาไปพัฒนาเป็นการพัฒนาเศรษฐกิจในรูปแบบธุรกิจอบายมุข เช่น บาร์ และสิ่งมอมเมา ฉะนั้น คนเมื่อเจอสิ่งเหล่านี้ก็หลงระเริง และทำให้ผู้นำชุมชนไม่พอใจ ซึ่งเป็นที่มาของความขัดแย้ง
จากการศึกษาเรื่องนี้ รู้สึกว่ากรณีสามจังหวัดชายแดนใต้น่าจะเป็นลักษณะแบบนั้น ซึ่งบางทีกรณีคนที่สื่อสารกรณีนี้มักเป็นชนชั้นนำที่กล่าวแล้วเข้าใจยาก ซึ่งจริงๆแล้วเราอาจสามารถนำปัญหาต่างๆมาประยุกต์ใช้แก้ปัญหาในบางด้านได้
ภาษากับชาติพันธุ์จีน
อ.ดำรงพล กล่าวว่า กรณีการใช้ภาษาจีนการจัดจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ พื้นที่จีนในแต่ละเขตมีกลุ่มชาติพันธ์จำนวนมาก มีกลุ่มชาติพันธุ์ที่กระจายอยู่มีความหลากหลายทางภาษาสามกลุ่มคือ จีนที่เรียกว่าไซแนติก, ฉาน หรือไต และทิเบต-พม่า แต่ก็ยังมีกลุ่มย่อยเป็นจำนวนมาก
โครงการจัดจำแนกกลุ่มชาติพันธ์ในจีนที่ใช้คำว่า MInzu (หมินฉู) นำไปสู่การจัดแบ่งเขตปกครองตนเอง ดังนั้นนักวิชาการบางท่านอาจกล่าวว่า เป็นการสถาปนาสถาบันทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมภายใต้โครงการนี้ ปัจจัยหลักที่จะบอกว่าเป็นหมินฉูหรือไม่นั้น คือการสำรวจกลุ่มชาติพันธุ์ที่เกิดขึ้นทั่วประเทศตั้งแต่หลังจากปฎิวัติเป็นต้นมา, ดูจากกลุ่มที่อยู่รอบๆที่ไม่ใช่ฮั่นคือใครบ้าง และรัฐให้นิยามการประกาศกลุ่มหมินฉูเป็นอย่างไร ซึ่งต้องใช้ภาษาในการกำหนด กระบวนการหมินฉู ก็หมายถึงรัฐเป็นผู้สร้างและกำหนดกลุ่มชาติพันธุ์เหล่านั้นมีภาษาและอัตลักษณ์อย่างไร ซึ่งต่างกับคำว่า ความเป็นชาติพันธุ์ กล่าวคือเมื่อถูกกำหนดว่าเป็นหมินฉูแล้วจะคล้ายกับตายตัว แยกออกไปจากกลุ่มอื่นอย่างชัดเจน แต่ถ้าคำว่า "ชาติพันธุ์" บางครั้งมันสามารถเปลี่ยนได้
ภายใต้หลักการกลุ่มโครงการนี้ต้องการดูว่ากลุ่มที่ไม่ใช่ฮั่นคืออะไร ซึ่งเป็นการผสมผสานแนวคิดมาร์กซิสต์ กล่าวคือทฤษฎีที่ใช้เป็นการกำหนดว่าเป็นหมินฉูจะบอกด้วยเรื่อง ภาษา, เขตแดน, เศรษฐกิจ และจิตสำนึกทางวัฒนธรรมที่ใช้ร่วมกัน ก็ถือว่าเป็นกลุ่มที่สามารถจัดเข้าไปอยู่ในกลุ่มหมินฉูได้
เวลาที่จัดมีสามระยะ คือในช่วงปี 1949-1953 มี 38 กลุ่ม ระยะปี 1954-1964 มี 15 กลุ่ม และปี 1969-1979 มี 2 กลุ่มซึ่งยังคงมีความซับซ้อนอยู่ คือบางกลุ่มอาจไม่เคยสำนึกว่ากลุ่มตนเป็นอะไร ก็เริ่มเรียกตัวเอง การจัดสิ่งเหล่าเป็นเหมือนการสร้างความเข้มแข็ง หรือแม้แต่อาจทำให้เกิดความเข้าใจผิดสำหรับบางกลุ่มที่อาจถูกจัดเข้าไปอยู่ในกลุ่มย่อยไปด้วย ประการต่อมาคืออาจเกิดความพยายามนิยามตัวเองใหม่ ทั้งๆที่ตัวเองมีวัฒนธรรมของตัวเอง
ในกรณีพื้นที่ที่เข้าไปวิจัยภาคสนามนั้นเป็นเขตปกครองตนเอง ในบริเวณพื้้นที่เหล่านี้จ้วง แม้ว เหวินซาน มีการถกเถียงเรื่องนี้มาก ซึ่งการที่จะจัดแบ่งได้ก็ต้องมีการจัดแบ่งภาษาเพื่อใช้เป็นภาษาราชการ ส่วนในเชิงวัฒนธรรมเชื่อว่าฮั่นเข้าไปมีอิทธิพลมาก
เกณฑ์การแบ่งเรื่อง 56 ชนชาติแบบนี้อาจไม่ใช่เป็นเรื่องการบอกซะทีเดียวว่ากลุ่มแต่ละกลุ่มเป็นใคร แต่ก็มีกลุ่มประมาณกว่า 8 แสนกลุ่ม ที่รอการประกาศอยู่ เพราะฉะนั้น 56 ชนชาติที่ได้รับประกาศไปแล้ว นักวิชาการบางท่านในโลกตะวันตกเชื่อว่าอาจเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการการสร้างชาติของจีน และอาจเป็นการยกระดับเป็นมาตรฐานเดียวกัน และได้รับการยอมรับทางวิชาการ ได้รับการพิจารณาทางภาษาและวัฒนธรรม
สุดท้ายแล้วเราจะตีความกฎเกณฑ์การชี้วัดเหล่านี้ไม่เท่ากับเกณฑ์ตะวันตก จีนใช้เกณฑ์บางเรื่องที่ตรงไปตรงมาแต่บางเรื่องก็อาจซ่อนเร้น และอีกด้านหนึ่งก็อาจมีการปะทะกันระหว่างสำนึกของคนในแต่ละพื้นที่อย่างเช่น ยูนนาน เรียกตัวเองต่างกันไปในแต่ละพื้นที่ ก็มีการถกเถียงกัน การจัดจำแนกอาจไม่ลงล็อคตามที่จัดก็ได้ กลุ่มชาติพันธุ์ของจีนนั้นจะเห็นได้ว่าบางกลุ่มอาจเป็นเขตปกครองตนเอง หรือจังหวัดตนเอง แต่นักวิชาการจีนเชื่อว่าอย่างน้อยยังประกาศว่าตัวเองเป็นใคร สามารถยืนอยู่บนเวทีเอเชี่ยนเกมส์ได้ เป็นตัวแทนของกลุ่มตัวเอง แต่ว่าจะอยู่แค่ในกระดาษหรือจะสามารถเป็นในเชิงวัฒนธรรมก็อีกเรื่องหนึ่ง
เวียดนามกับความล้มเหลวเรื่องเขตปกครองตนเอง
ดร.ยุกติกล่าวว่า เขตปกครองในเวียดนามตอนนี้้ถูกยกเลิกไปแล้ว เขตปกครองตนเองนั้นเกิดจากความสัมพันธ์ระหว่างชนกลุ่มน้อยกับรัฐไม่ได้เกิดขึ้นมาลอยๆแต่มีเงื่อนไขคือความเป็น"รัฐพหุชาติพันธุ์" ซึ่งการเกิดเขตปกครองตนเองแก้ปัญหาบางประการได้แต่ก็ก่อให้เกิดปัญหาหลายประการเช่นกัน
เวียดนามในช่วงปี 1890 เป็นอาณานิคมของฝรั่งเศสโดยสมบูรณ์ ต่อมาปี 1930 ก่อตั้งพรรคคอมมิวนิสต์อินโดจีน แต่อีกสิบปีต่อมาก็ถูกญี่ปุ่นยึดครอง(ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2) ปี1945 ญี่ปุ่นแพ้สงครามโลกก็ออกไปจากเวียดนาม กองกำลังพรรคคอมมิวนิสต์ในเวียดนามก็ยึดพื้นที่ในเวียดนามเหนือ และหลายพื้นที่ และประกาศอิสรภาพ 1947 ฝรั่งเศสกลับมายึดครองโดยทางการ แต่หลายพื่้นที่กว่าครึ่งอยู่ในอำนาจพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนาม พอหลัง 1954 จึงเป็นอิสระจากฝรั่งเศส จนตั้งเวียดนามเหนือซึ่งตั้งแต่ 1945 ก็พูดเรื่องเขตปกครองตนเองกันมาแล้ว
เมื่อดูข้อความในรัฐธรรมนูญปี 1945, 48 และ 55 ที่มีข้อความว่า "สาธารณรัฐประชาธิปไตยเวียดนาม(เวียดนามเหนือ)เป็นประเทศหนึ่งเดียวที่ประกอบกันหลายชนชาติ" ส่วนมาตราหนึ่งระบุว่า "พื้นที่ใดที่กลุ่มชาติพันธ์ส่วนน้อยอาศัยเป็นชุมชนเฉพาะก็สามารถก่อตั้งเป็นเขตปกครองตนเองได้"
ลักษณะเขตปกครองพิเศษ เตย บัค (ตะวันตกเฉียงเหนือ), เบียค บัค และลาว ฮา เอียน สามเขตนี้อยู่ล้อมกับฮานอย พื้นที่เหนือส่วนใหญ่ถูกประกาศเป็นเขตปกครองตนเอง ตั้งแต่ปี 1955-1975 ซึ่งนโยบายฝั่งเหนือกับใต้แตกต่างกันมาก ใต้ดำเนินนโยบายลักษณะต้องการกลืนกลายชาติพันธุ์ แต่ทางเหนือพยายามดำเนินนโยบายที่ให้สิทธิมากกว่า ที่น่าสนใจคือพื้นเขตปกครองตนเองที่กินพื้นที่เกินกว่าครึ่งของเวียดนามเหนือ โครงสร้างของเขตปกครองตนเองแบ่งออกเป็น 3 ระดับด้วยกัน แต่มาเพิ่มเป็น 4 ในช่วงหลัง คู (เขตปกครองตนเอง ) ทิน(จังหวัด) โจว (เมือง)
โครงสร้างการบริหารที่พรรคคอมมิวนิสต์ได้สร้างขึ้นมาใหม่คือคณะกรรมการประชาชน เป็นฝ่ายบริหารมาจากการแต่งตั้ง และสภาประชาชนที่เป็นฝ่ายตรวจสอบมาจากการเลือกตั้งโดยสมาชิกพรรคฯในท้องถิ่นระดับต่างๆ โครงสร้างสองอันนี้อยู่มาจนถึงปัจจุบัน ทั้งหมดนี้อยู่ใต้พรรคฯ โดยมีมวลชนระดับรากหญ้าประกอบด้วยสมาชิกพรรคในระดับต่างๆ จัดตั้งเป็นแนวหน้าคือ ปิตุภูมิ, สหภาพสตรี, ชมรมทหารผ่านศึก, สหภาพเกษตรกร และสหภาพเยาวชน (5 แฉกของดาวกลางธงชาติ)
แต่ที่สุดแล้วการมีเขตปกครองตนเองก็อยู่ภายใต้การควบคุมของพรรค แต่คนเหล่านี้ไม่ใช่เป็นคนที่ส่งมาจากส่วนกลาง แต่เป็นคนในท้องถิ่นเอง
สำหรับตัวสภาประชาชนแม้จะอยู่ใต้การดูแลของพรรคแต่ก็ได้รับการเลือกตั้งมาจากท้องถิ่นเอง ที่น่าสนใจคือสภาประระชาชนควบคุมการปกครองระบบท้องถิ่นหลายๆด้าน ตรวจสอบถอดถอนผู้พิพากษาท้องถิ่น ยับยั้งกฎหมายฝ่ายยบริหารท้องถิ่น และกำหนดนโยายได้พอสมควร
นโยบายที่น่าสนใจคือเรื่องภาษา ที่ใช้ภาษาชาติพันธ์เป็นภาษาทางการ สอนภาษากลุ่มชาติพันธุ์ในโรงเรียนประถม ซึ่งเห็นได้ชัดที่สุดมีผลอย่างจริงจังที่สุด แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะมีความหลากหลายในทางชาติพันธ์ซึ่งเกิดปัญหามากมาย
สาเหตุที่ต้องทำให้มีการปกครองตนเองคือ เรื่องนโยบายแบบ"มาร์กซ์และเลนิน" ที่เชื่อว่าความเป็นชาติพันธ์เป็นส่วนหนึ่งของสังคม ชนกลุ่มน้อยเองก็ครองพื้นที่กว่าครึ่งของชาติ พรรคก่อตั้งและเติบโตขึ้นมาในเขตกลุ่มชาติพันธุ์ส่วนน้อย แสดงให้เห็นความเป็นรัฐพหุชนชาติ การจัดตั้งเขตปกครองตนเองเป็นส่วนหนึ่งที่แสดงให้เห็นถึงความสนใจในตัวชนกลุ่มน้อย
อย่างไรก็ตาม มีปัญหาของเขตปกครองพิเศษเกิดขึ้น เมื่อแต่เดิมรัฐสัญญาว่าจะสืบทอดเขตปกครองตนเอง แต่เมื่อ 1962 รัฐได้ตั้งจังหวัดซ้อนเข้าไปในเขตปกครองตนเอง ทำให้นโยบายเรื่องภาษาเริ่มมีปัญหา ว่าจะเลือกภาษาไหนเป็นภาษากลาง รวมไปถึงปัญหาการใช้ตัวอักษร จึงนำไปสู่ปัญหาความขัดแย้งในท้องถิ่น
นอกจากนี้ยังเกิดความขัดแย้งภายในระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์ในเขตฯเพราะมีหลายกลุ่มชาติพันธุ์ การจัดสรรทรัพยากรตามกลุ่มชาติพันธุ์ที่แตกต่างกัน จนนำไปสู่การยกเลิกเขตปกครองตนเองในที่สุด
ที่มา.มติชนออนไลน์
******************************************************************************
ขึ้นเงินข้าราชการการเมือง: ร่างพระราชกฤษฎีกาอัปยศ
ข้าราชการประจำ ต้องมีระบบที่ดีเพื่อดึงคนดีมีความสามารถให้อยู่นานๆ จึงใช้บำเหน็จบำนาญเป็นเครื่องล่อใจ ส่วนขรก.การเมืองคืองาน"อาสา" วาระสั้นๆ
เหตุผลที่ผมไม่เห็นด้วยกับการขึ้นเงินเดือนข้าราชการการเมืองและข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ คือ 1.นักการเมืองส่วนมากไม่ทำหน้าที่ของตัว และส่วนหนึ่งเป็นผู้ก่อการร้ายทำความเสียหายให้แก่บ้านเมืองมากที่สุด ในรอบ 7 ปีที่ผ่านมา ควรหาทางลดหรือตัดเงินเดือนของผู้ก่อการร้ายที่แฝงตัวอยู่ในคราบนักการเมืองดีกว่า
2.นักการเมืองที่ดีมีไม่ถึง 20% ของทั้งหมด ผมเชื่อว่าพวกนี้ไม่สนใจดอกว่ามีเงินดือนมากหรือน้อย ผลตอบแทนที่พวกนี้ได้รับคือความรัก-เคารพจากประชาชน ชื่อเสียง-คุณความดีคงอยู่ในประวัติศาสตร์ถึงชั้นลูกหลาน มีคุณค่ามากกว่าเงินทอง กินใช้ไม่หมดตลอดกาล
3.ข้าราชการ พนักงานอื่น ๆ ที่มีเงินเดือนต่ำควรเพิ่มมาก ๆ คิดเป็นเปอร์เซ็นต์ลดน้อยลงตามลำดับตามขั้นเงินเดือนที่สูงขึ้น ระงับการขึ้นเงินเดือนสำหรับคนมีเงินเดือนสูงตั้งแต่ 40,000 บาทขึ้นไป
4.ผมเคยคัดค้านร่าง พ.ร.ฎ.อัปยศขึ้นเงินเดือนข้าราชการการเมืองสมัยรัฐบาลทักษิณมาแล้ว
5.ผมไม่อยากเห็น อภิสิทธิ์ หรือพรรคประชาธิปัตย์ ทำอัปยศอย่างทักษิณกับพรรคพวก
ต่อไปนี้ เป็นบทความของอาจารย์เขียน ธีระวิทย์ ที่เคยแสดงเหตุผลหนักแน่นต่อต้านการขึ้นเงินเดือนค่าตอบแทนข้าราชการการเมือง น่าจะสกิดใจพวกอย่างหนาบ้าง
O ผมตกใจจริง ๆ เมื่อได้อ่านคำสัมภาษณ์ของรองนายกฯ ดร.วิษณุ เครืองาม ที่ลงในมติชนรายวัน(14 กรกฎาคม 2548, น.11) เกี่ยวกับการออก พ.ร.ฎ.การให้บำเหน็จบำนาญข้าราชการการเมือง ท่านว่า “การให้บำนาญ ส.ส. เพิ่งเกิดขึ้นตามความคิดในรัฐธรรมนูญปี 2540...”
เข้าใจว่าเหตุผลข้อนี้คงจะถูกนำไปอ้างใน พ.ร.ฎ.ที่จะออกตามมาด้วย ผมตกใจเพราะเกรงว่ารัฐธรรมนูญกำลังถูกนำไปใช้อย่างบิดเบือนอย่างจงใจหรือไม่จงใจก็ไม่ทราบ ผมรีบไปเปิดรัฐธรรมนูญดู มีมาตราเดียวที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ คือ มาตรา 229 ซึ่งบัญญัติว่า
"เงินประจำตำแหน่งและผลประโยชน์ตอบแทนอย่างอื่นขององคมนตรี ประธานและรองประธานสภาผู้แทนราษฎร ประธานและรองประธานวุฒิสภา ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และสมาชิกวุฒิสภาให้กำหนดโดยพระราชกฤษฎีกา
บำเหน็จบำนาญหรือผลประโยชน์ตอบแทนอย่างอื่นขององคมนตรี ประธานและรองประธานสภาผู้แทนราษฎร ประธานและรองประธานวุฒิสภา นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และสมาชิกวุฒิสภา ซึ่งพ้นจากตำแหน่ง ให้กำหนดโดยพระราชกฤษฎีกา"
ผมสลดใจอย่างสุดซึ้ง เมื่ออ่านทบทวนหลายจบ ที่เศร้าใจก็เพราะตัวเองเป็นหนึ่งใน 99 สมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ(ส.ส.ร.) และเป็นหนึ่งในคณะกรรมาธิการยกร่างและกรรมาธิการวิชาการของสภาร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ด้วย ทำไมปล่อยให้มาตรานี้หลุดออกมาได้ ผมขาดความรับผิดชอบปานนี้เชียวหรือ เมื่อได้อ่านบทความคุณนฤตย์ เสกธีระใน มติชนรายวัน (26 กรกฎาคม 2548) ซึ่งกล่าวไว้อย่างสมเหตุผล ก็ยิ่งทำให้รู้สึกเดือดร้อนมากขึ้น
ผมพยายามรื้อฟื้นความจำว่าอะไรเกิดขึ้นในขณะนั้น เรื่องทำงานลวกๆ ให้ผ่านไปโดยไม่อ่านร่างนั้นคงไม่มี แต่การขาดความรอบคอบนั้นมี ความปรารถนาอยากเห็นรัฐบาลที่มีประสิทธิภาพทำงานเร็วนั้นมี ความหวาดระแวงนักการเมืองชั่วครองเมืองนั้นมี แต่คิดไม่ถึงว่าจะมีขนาดที่เห็นอยู่ปัจจุบันนี้ การฉวยโอกาสใช้กฎหมายเพื่อผลประโยชน์และอำนาจของพรรคพวก เป็นเรื่องที่ผมและ ส.ส.ร. จำนวนมากคาดไม่ถึงจริง ๆ
ในที่สุด ผมได้คำตอบว่า เรามีปัญหาอยู่ที่การตีความ ผมกับรองนายกฯ วิษณุ ตีความรัฐธรรมนูญมาตรา 229 ไม่เหมือนกัน สำหรับผมนั้น ตอนร่างรัฐธรรมนูญปี 2540 และปัจจุบันยังเชื่อว่ารัฐธรรมนูญมาตรา 229 มิได้กำหนดให้รัฐบาลมีอำนาจออก พ.ร.ฎ.ให้บำเหน็จบำนาญ ส.ส. และ ส.ว. ได้ ทั้งนี้ จะต้องดูรัฐธรรมนูญมาตรานี้ กฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง และปรัชญาในการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยประกอบกัน
การปกครองในระบอบประชาธิปไตยนั้น การใช้เงินภาษีอากรของราษฎรทุกบาททุกสตางค์ จะต้องได้รับอนุมัติจากรัฐสภา ซึ่งเป็นตัวแทนของประชาชน ด้วยเหตุนี้เราจึงต้องมี พ.ร.บ.งบประมาณประจำปี ในกรณีบำเหน็จบำนาญ เรายังต้องมี พ.ร.บ.บำเหน็จบำนาญข้าราชการ พ.ศ.2494 เป็นกฎหมายหลักรองรับ (ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมมาแล้ว 22 ครั้ง) เราไม่มี (และไม่ควรมี) พ.ร.บ.บำเหน็จบำนาญข้าราชการการเมือง การที่ข้าราชการการเมืองในระดับ นรม. และ รมต. ได้รับบำเหน็จบำนาญนั้นผมไม่เห็นด้วย แต่พวกเขาก็ได้สิทธินั้นโดยการแก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ. บำเหน็จบำนาญข้าราชการ พ.ศ. 2494 ไม่ใช่ในรูป พ.ร.ฎ. ดังที่กำลังจะทำกัน
ถ้าอ่านรัฐธรรมนูญมาตรา 229 วรรคสองให้ดีแล้ว จะเห็นว่าข้อความนำในประโยคแรกใช้คำว่า "หรือ" ไม่ใช่ "และ" ถ้าใช้คำว่า "และ" เราไม่มีทางเลือก จะต้องตีความตามตัวบทกฎหมายดังที่รองนายกฯ วิษณุแนะนำไว้ คือรัฐธรรมนูญฉบับนี้บังคับให้นักการเมืองออก พ.ร.ฎ. เพิ่มประโยชน์ให้ตัวเองและพรรคพวก โดยไม่ต้องทำเป็น พ.ร.บ.
คำว่า "หรือ" มีความหมายสำคัญ ผมตีความตามตัวบทกฎหมายและเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญว่าในบรรดาองคมนตรีและนักการเมืองที่กล่าวไว้ในวรรคนั้น (มี 10 ตำแหน่ง รวมทั้งองคมนตรี) ตำแหน่งใดที่มี พ.ร.บ. รองรับที่จะให้ผลประโยชน์ในรูปบำเหน็จบำนาญก็ตราเป็น พ.ร.ฎ. ได้ ถ้าไม่มีกฎหมายให้อำนาจก็อาจให้ผลประโยชน์ในรูปแบบอื่น (ซึ่งมักจะเป็นรายจ่ายเล็กน้อย) ไม่จำเป็นต้องให้บำเหน็จบำนาญครบทั้ง 10 ตำแหน่ง รัฐธรรมนูญ คณาธิปไตย เท่านั้น ไม่ใช่ ประชาธิปไตย ที่จะให้อำนาจนักการเมืองกำหนดบำเหน็จบำนาญให้ตัวเองโดยทำเป็น พ.ร.ฎ.ในขณะที่ข้าราชการอื่นๆ ทุกหมู่เหล่าต้องทำเป็น พ.ร.บ. กล่าวโดยสรุป
(1) การออก พ.ร.ฎ. กำหนดบำเหน็จบำนาญองคมนตรีนั้นย่อมทำได้ (ใช้ในกรณีที่องคมนตรีพ้นจากตำแหน่งโดยการลาออก หรือมีพระบรมราชโองการให้พ้นจากตำแหน่ง ตามรัฐธรรมนูญ ม. 16)
(2) การออก พ.ร.ฎ. กำหนดบำเหน็จบำนาญ (ฉบับใหม่หรือแก้ไขเพิ่มเติมของเก่า) ให้แก่ นรม. และรมต.ที่ปฏิบัติกันมาแล้ว (โดยอาศัย พ.ร.บ. บำเหน็จบำนาญข้าราชการ พ.ศ. 2494) นั้นย่อมทำได้
(3) สำหรับการออก พ.ร.ฎ กำหนดบำเหน็จบำนาญให้ ส.ส.- ส.ว. และตำแหน่งอื่นๆ อีก 5 ตำแหน่งนั้นทำไม่ได้ แต่ให้ประโยชน์ตอบแทนอื่นๆ หลังจากพ้นตำแหน่งแล้วย่อมได้ ฉะนั้น ถ้าแจกจ่ายคอมพิวเตอร์ให้ไปใช้ในระหว่างมีตำแหน่ง จะยกให้เป็นทรัพย์สินส่วนตัวก็ดี ต่อไปถ้ามีบ้านพักให้ ส.ส. และ ส.ว. เช่าในราคาถูก จะให้สิทธิอยู่ต่อได้สัก 2 ปีหลังจากพ้นจากตำแหน่งก็ดี หรือจะให้นักการเมืองตำแหน่งดังกล่าวได้สิทธิประกันสุขภาพ หลังพ้นจากตำแหน่งไปจนตายก็ดี ย่อมออกเป็น พ.ร.ฎ. ได้
ต้องยอมรับว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้ มีข้อบัญญัติที่สร้างปัญหาให้ต้องตีความมาก และเปิดช่องให้ผู้มีอำนาจฉวยโอกาสนำไปใช้เพื่อประโยชน์ตนและพรรคพวกได้ง่าย
ผมไม่เห็นด้วยกับการให้บำเหน็จบำนาญแก่ข้าราชการการเมือง เหตุผลสำคัญอยู่ที่หลักการมากกว่าจำนวนเงิน (ภายใน 15-20 ปีข้างหน้า ถ้าฐานเงินเดือนหรือเงินประจำตำแหน่งคงที่ งบประมาณเพื่อการนี้คงอยู่ในราว 200 ล้านบาทต่อปี)
ประการแรก นักการเมืองในระบอบประชาธิปไตยนั้น มีต้นกำเนิดมาจากชาวกรีกตั้งแต่ 2000 ปีเศษที่ผ่านมาแล้ว สมัยนั้นนักการเมืองเป็นอาสาสมัคร ได้รับยกย่องจากชุมชนอย่างสูง อริสโตเติลก็มองนักการเมืองในแง่ดี เพราะพวกเขาทำงานที่ต้องใช้ศาสตร์หลากหลายสาขา เป็นศาสตร์สูงสุดของมนุษย์เพื่อส่งเสริมให้คนในชุมชนมีชีวิตดีขึ้น งานนี้เหมาะเฉพาะคนที่มีคุณธรรม (virtue) ซึ่งพอใจในการได้รับเกียรติ (honors) ไม่เหมาะสำหรับพ่อค้าที่มุ่งแต่จะแสวงหากำไร ถ้าเอาคนบูชาเงิน แสวงหาสายสะพาย หรือค่าตอบแทนมากๆ การเมืองก็จะเสื่อม ผลก็คือคนไม่ศรัทธานักการเมือง ชีวิตของคนในชุมชนก็จะไม่ดีขึ้น แต่จะใกล้เคียงกับสัตว์ป่ามากกว่า
ประการที่สอง คุณนฤตย์ เสกธีระ กล่าวไว้ในมติชนรายวัน (19 กรกฎาคม 2548, น.6) อย่างน่าฟังว่า ความคิดจะให้บำเหน็จบำนาญ ส.ส. - ส.ว. เหมือนข้าราชการนั้นไม่ถูก เพราะข้าราชการนั้นทำราชการเป็นอาชีพ ประเทศชาติต้องการได้ข้าราชการดีๆ มีความสามารถอยู่ในระบบนานๆ จึงใช้บำเหน็จบำนาญเป็นเครื่องล่อใจ แต่ ส.ส. - ส.ว.นั้น "อาสาเข้ามาทำงาน" โดยมีกำหนดวาระครั้งละ 4 ปี (ส.ส.) หรือครั้งเดียว 6 ปี (ส.ว. ต้องห้ามมิให้เป็น 2 วาระต่อเนื่องกัน) ส.ส.-ส.ว. มีอาชีพอื่นเป็นหลักอยู่แล้ว ไม่ต้องให้บำเหน็จบำนาญเป็นเครื่องล่อใจก็แย่งกันอย่างเอาเป็นเอาตายเพื่อตำแหน่งอันทรงเกียรตินั้น
ผมขอขยายความเล็กน้อย ข้าราชการนั้นเริ่มทำงานด้วยเงินเดือนต่ำมากๆ คนที่มีวุฒิการศึกษาเท่ากับ ส.ส.- ส.ว.- ร.ม.ต. และนักการเมืองอื่นๆ ได้รับเงินเดือนเริ่มต้นประมาณเศษหนึ่งส่วนสิบของนักการเมือง แล้วค่อยๆ เลื่อนเงินเดือนขึ้นปีละเล็กน้อย คนดีมีความสามารถเมื่อรับราชการผ่านพ้นไป 30-40 ปี อาจไต่เต้าขึ้นไปถึงตำแหน่งอธิบดีหรือปลัดกระทรวงหรือเทียบเท่า ถ้าเป็นทหารก็มียศเป็น"นายพล" ประมาณ 1 ใน 40,000 คน ของคนในระบบราชการเท่านั้นที่มีโอกาสเช่นนั้น เงินเดือนที่ได้รับก็เพียง 50,000 - 60,000 บาท หรือประมาณครึ่งหนึ่งของ ส.ส. - ส.ว. ซึ่งเริ่มเข้าไปฝึกงานหรือทำงานในปีแรก ขอให้เราเทียบปริมาณและความรับผิดชอบของข้าราชการระดับอธิบดี-ปลัดกระทรวง-นายพล กับส.ส.-ส.ว. ดูด้วยความเป็นธรรม
ส่วนข้าราชการอีก 99.99% ต้องเกษียณอายุราชการ หรือออกไปด้วยสาเหตุต่างๆ บ้างก็ไม่ได้บำเหน็จบำนาญเลย (ถ้ารับราชการไม่ครบ 10 ปี) บ้างก็ได้แต่บำเหน็จ (ถ้ารับราชการไม่ครบ 25 ปี) คนที่รับราชการครบ 25 ปีเท่านั้นที่มีสิทธิ์ได้รับบำเหน็จหรือบำนาญ (มีข้อยกเว้นในกรณีพิเศษอยู่บ้างเล็กน้อย) ในกรณีที่รับบำนาญนั้น โดยมากฐานเงินเดือนที่ใช้ในการคำนวณบำนาญนั้นต่ำมาก เป็นบำเหน็จเล็กน้อยที่ประชาชนผู้เสียภาษีมอบให้เพื่อให้มีชีวิตรอดอยู่จนวันตาย ระบบการให้บำเหน็จบำนาญนี่เองที่มีส่วนส่งเสริมให้ข้าราชการที่ดีมีความรู้ความสามารถอยู่ในระบบราชการนานๆ มิเช่นนั้นคนดีมีความสามารถจะถูก “ซื้อตัว” ไปหมด
เหตุผลดังกล่าวเอามาใช้ไม่ได้กับนักการเมือง จริงหรือไม่
ประการที่สาม นักการเมืองของไทยในปัจจุบันเกือบ 100% มีฐานะร่ำรวย ถ้าไม่รวยมาก่อนเล่นการเมือง ก็รวยขึ้นในระหว่างดำรงตำแหน่งทางการเมือง บางคนรวยขึ้นรวดเร็วจนกระทั่งต้องซุกๆซ่อนๆ นักการเมืองที่มีคุณธรรม (ซึ่งมีน้อย) อาจจะไม่รวยขึ้น แต่พวกเขาก็คงพอใจและภูมิใจในฐานะและผลประโยชน์ที่ตนได้รับ ปัจจุบันข้าราชการการเมืองได้รับอภิสิทธิ์และผลประโยชน์ตอบแทนมากมายอยู่แล้วในขณะดำรงตำแหน่ง (นอกจากเงินเดือน เงินประจำตำแหน่ง เงินเพิ่ม เบี้ยประชุมแล้ว ยังมีสิทธิขึ้นเครื่องบิน และนั่งรถไฟได้ฟรี ได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ง่ายมาก ฯลฯ) จึงไม่สมควรที่จะได้รับบำเหน็จบำนาญหลังจากพ้นจากตำแหน่งแล้ว
ควรศึกษาดูก่อนว่า มีประเทศประชาธิปไตยที่ไหนในโลก ที่ข้าราชการการเมืองมีอภิสิทธิ์และค่าตอบแทนเท่ากับของไทย เมื่อเปรียบเทียบกับข้าราชการฝ่ายอื่นๆ และรายได้ของคนส่วนใหญ่ในประเทศ มีประเทศใดบ้างที่ข้าราชการการเมืองมีสิทธิได้รับบำเหน็จบำนาญ และมีประเทศใดบ้างที่เป็นประชาธิปไตย ให้อำนาจนักการเมืองฝ่ายรัฐบาลกำหนดผลประโยชน์ให้แก่พวกตัวเองโดยไม่ต้องผ่านรัฐสภา
ประการที่สี่ อย่าคิดว่าเมื่อประชาชนเลือกพรรคการเมืองใดให้จัดตั้งรัฐบาลแล้ว เท่ากับมอบอำนาจให้รัฐบาลทำอะไรก็ได้ เมื่อตอนเลือกตั้งเรื่องบำเหน็จบำนาญ ส.ส. - ส.ว. ไม่เป็นประเด็นนะครับ ถ้าท่านอยากได้สิทธิอันนี้ ลองไปขอให้ประชาชนลงประชามติดู ผมเชื่อว่าประชาชนส่วนมากไม่อนุมัติแน่นอน ทุกวันนี้ประชาชนเสื่อมศรัทธาต่อนักการเมืองมากๆ เคยถามตัวเองกันบ้างหรือเปล่าว่าในโลกนี้ยังมีสมาชิกรัฐสภาที่ไหนอีกที่ “โดดร่ม” ในเวลาประชุมเท่ากับของไทย มีประเทศไหนอีกที่รัฐบาลเปลี่ยนรัฐมนตรีบ่อยๆ (เหมือนเปลี่ยนกางเกงใน) เท่ากับของไทย
ประการที่ห้า เมื่อนักการเมืองให้บำเหน็จบำนาญแก่พวกตัวทั้ง 9 ตำแหน่งแล้ว ผมเชื่อว่า อีกไม่นานก็คงจะมี พ.ร.ฎ.ให้บำเหน็จบำนาญแก่ข้าราชการการเมืองตำแหน่งอื่น (อีกประมาณ 20 ตำแหน่ง) ตามมา ในจำนวนนั้นจะมีนายหน้าวิ่งเต้นหาเงินเข้าพรรคโดยมิชอบด้วยกฎหมายแฝงอยู่ในตำแหน่งการเมืองอัน “ทรงเกียรติ” นั้นด้วย นักการเมืองและคนไทยที่มีมโนธรรมคงจะไม่อยากเห็นประชาธิปไตยไทยที่ตกต่ำลึกลงไปถึงก้นเหวขนาดนั้น
ประการสุดท้าย ในขณะที่ข้าราชการประจำที่มีคุณวุฒิ ความรู้ความสามารถและมีส่วนอุทิศให้แก่สังคมสูงสุด ต้องใช้เวลา 30-40 ปี กว่าจะมีสิทธิได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์สูงสุดชั้น ม.ป.ช. ในขณะที่ นรม. รองนรม. รมว. และ รมช. มีสิทธิได้ในเวลา 2-4 ปี เลขาธิการ นรม. ใช้เวลา 3 ปี ประธานรัฐสภา ประธานวุฒิสภา รองประธานสภาผู้แทนราษฎร รองประธานวุฒิสภา ผู้นำฝ่ายค้านฯ อาจได้ในเวลา 2 ปีเหมือน นรม. ส.ส.- ส.ว. เริ่มได้ ท.ม. และเมื่อครบ 9 ปีจะได้ ม.ป.ช. สิทธิที่จะได้รับเครื่องราชฯ ยังขยายไปถึงภรรยาของ นรม. รองนรม. รมว. รมช. ประธานรัฐสภา ประธานวุฒิสภา รองประธานฯ ส.ส. และ ส.ว. ด้วย ในระดับลดหลั่นลงมา รวมทั้งตำแหน่งการเมืองอื่นๆ ที่แต่งตั้งโดย “ผู้มีอิทธิพล” ในพรรคการเมืองที่อยู่ในอำนาจ (ที่ปรึกษา เลขานุการ ผู้ช่วย กรรมการและอื่นๆ อีกมากมาย) แจกกันได้ทั้งครอบครัว และพวกพ้องของนักการเมืองที่อยู่ในอำนาจ
ถ้าคณะรัฐมนตรีจะออก พ.ร.ฎ. ใหม่ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 229 ย่อมทำได้ ถ้าทำเพื่อประโยชน์ของประชาชนก็ควรแก้จุดอ่อนต่างๆเสีย เช่นให้มีคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิที่เป็นอิสระประเมินผลงานของข้าราชการการเมือง โดยพิจารณาถึงคุณธรรมและผลงาน (ที่ผ่านมาใครอยู่ในตำแหน่งครบเวลากำหนดก็ได้รับพระราชทานเครื่องราชฯ โดยอัตโนมัติ แม้จะมีความประพฤติเป็นข่าวอื้อฉาวก็ตาม)
โดยสรุป ข้าราชการการเมืองได้รับประโยชน์ตอบแทนในขณะดำรงตำแหน่งมากพอแล้ว (สำหรับคนดีมีความสามารถประมาณ 20%) หรือมากเกินไปแล้ว (สำหรับผู้ที่เข้าสู่ตำแหน่งและดำรงตำแหน่งอย่างไม่บริสุทธิ์ยุติธรรม ซึ่งมีประมาณ 80%) กรุณาเลิกเสียเถอะที่จะให้พวกท่านเองรับบำเหน็จบำนาญเหมือนกับข้าราชการ ถ้าท่านยังดึงดันเข็นร่าง พ.ร.ฎ. อัปยศนี้ออกมา เราภาคเอกชนผู้เสียภาษีก็คงไม่มีอำนาจอะไรมาขัดขวาง แต่อย่าเอารัฐธรรมนูญมาใช้อย่างบิดเบือน ถ้าอยากได้สิทธินี้จริงๆ ก็ไปขอประชามติในการเลือกตั้งครั้งต่อไปดีกว่า พรรคการเมืองพรรคใดมีจุดยืนอย่างไรในเรื่องนี้ก็ขอให้ประกาศให้ประชาชนทราบด้วย
ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ โดย : เขียน ธีระวิทย์
-------------------------------------------------------------
เหตุผลที่ผมไม่เห็นด้วยกับการขึ้นเงินเดือนข้าราชการการเมืองและข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ คือ 1.นักการเมืองส่วนมากไม่ทำหน้าที่ของตัว และส่วนหนึ่งเป็นผู้ก่อการร้ายทำความเสียหายให้แก่บ้านเมืองมากที่สุด ในรอบ 7 ปีที่ผ่านมา ควรหาทางลดหรือตัดเงินเดือนของผู้ก่อการร้ายที่แฝงตัวอยู่ในคราบนักการเมืองดีกว่า
2.นักการเมืองที่ดีมีไม่ถึง 20% ของทั้งหมด ผมเชื่อว่าพวกนี้ไม่สนใจดอกว่ามีเงินดือนมากหรือน้อย ผลตอบแทนที่พวกนี้ได้รับคือความรัก-เคารพจากประชาชน ชื่อเสียง-คุณความดีคงอยู่ในประวัติศาสตร์ถึงชั้นลูกหลาน มีคุณค่ามากกว่าเงินทอง กินใช้ไม่หมดตลอดกาล
3.ข้าราชการ พนักงานอื่น ๆ ที่มีเงินเดือนต่ำควรเพิ่มมาก ๆ คิดเป็นเปอร์เซ็นต์ลดน้อยลงตามลำดับตามขั้นเงินเดือนที่สูงขึ้น ระงับการขึ้นเงินเดือนสำหรับคนมีเงินเดือนสูงตั้งแต่ 40,000 บาทขึ้นไป
4.ผมเคยคัดค้านร่าง พ.ร.ฎ.อัปยศขึ้นเงินเดือนข้าราชการการเมืองสมัยรัฐบาลทักษิณมาแล้ว
5.ผมไม่อยากเห็น อภิสิทธิ์ หรือพรรคประชาธิปัตย์ ทำอัปยศอย่างทักษิณกับพรรคพวก
ต่อไปนี้ เป็นบทความของอาจารย์เขียน ธีระวิทย์ ที่เคยแสดงเหตุผลหนักแน่นต่อต้านการขึ้นเงินเดือนค่าตอบแทนข้าราชการการเมือง น่าจะสกิดใจพวกอย่างหนาบ้าง
O ผมตกใจจริง ๆ เมื่อได้อ่านคำสัมภาษณ์ของรองนายกฯ ดร.วิษณุ เครืองาม ที่ลงในมติชนรายวัน(14 กรกฎาคม 2548, น.11) เกี่ยวกับการออก พ.ร.ฎ.การให้บำเหน็จบำนาญข้าราชการการเมือง ท่านว่า “การให้บำนาญ ส.ส. เพิ่งเกิดขึ้นตามความคิดในรัฐธรรมนูญปี 2540...”
เข้าใจว่าเหตุผลข้อนี้คงจะถูกนำไปอ้างใน พ.ร.ฎ.ที่จะออกตามมาด้วย ผมตกใจเพราะเกรงว่ารัฐธรรมนูญกำลังถูกนำไปใช้อย่างบิดเบือนอย่างจงใจหรือไม่จงใจก็ไม่ทราบ ผมรีบไปเปิดรัฐธรรมนูญดู มีมาตราเดียวที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ คือ มาตรา 229 ซึ่งบัญญัติว่า
"เงินประจำตำแหน่งและผลประโยชน์ตอบแทนอย่างอื่นขององคมนตรี ประธานและรองประธานสภาผู้แทนราษฎร ประธานและรองประธานวุฒิสภา ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และสมาชิกวุฒิสภาให้กำหนดโดยพระราชกฤษฎีกา
บำเหน็จบำนาญหรือผลประโยชน์ตอบแทนอย่างอื่นขององคมนตรี ประธานและรองประธานสภาผู้แทนราษฎร ประธานและรองประธานวุฒิสภา นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และสมาชิกวุฒิสภา ซึ่งพ้นจากตำแหน่ง ให้กำหนดโดยพระราชกฤษฎีกา"
ผมสลดใจอย่างสุดซึ้ง เมื่ออ่านทบทวนหลายจบ ที่เศร้าใจก็เพราะตัวเองเป็นหนึ่งใน 99 สมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ(ส.ส.ร.) และเป็นหนึ่งในคณะกรรมาธิการยกร่างและกรรมาธิการวิชาการของสภาร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ด้วย ทำไมปล่อยให้มาตรานี้หลุดออกมาได้ ผมขาดความรับผิดชอบปานนี้เชียวหรือ เมื่อได้อ่านบทความคุณนฤตย์ เสกธีระใน มติชนรายวัน (26 กรกฎาคม 2548) ซึ่งกล่าวไว้อย่างสมเหตุผล ก็ยิ่งทำให้รู้สึกเดือดร้อนมากขึ้น
ผมพยายามรื้อฟื้นความจำว่าอะไรเกิดขึ้นในขณะนั้น เรื่องทำงานลวกๆ ให้ผ่านไปโดยไม่อ่านร่างนั้นคงไม่มี แต่การขาดความรอบคอบนั้นมี ความปรารถนาอยากเห็นรัฐบาลที่มีประสิทธิภาพทำงานเร็วนั้นมี ความหวาดระแวงนักการเมืองชั่วครองเมืองนั้นมี แต่คิดไม่ถึงว่าจะมีขนาดที่เห็นอยู่ปัจจุบันนี้ การฉวยโอกาสใช้กฎหมายเพื่อผลประโยชน์และอำนาจของพรรคพวก เป็นเรื่องที่ผมและ ส.ส.ร. จำนวนมากคาดไม่ถึงจริง ๆ
ในที่สุด ผมได้คำตอบว่า เรามีปัญหาอยู่ที่การตีความ ผมกับรองนายกฯ วิษณุ ตีความรัฐธรรมนูญมาตรา 229 ไม่เหมือนกัน สำหรับผมนั้น ตอนร่างรัฐธรรมนูญปี 2540 และปัจจุบันยังเชื่อว่ารัฐธรรมนูญมาตรา 229 มิได้กำหนดให้รัฐบาลมีอำนาจออก พ.ร.ฎ.ให้บำเหน็จบำนาญ ส.ส. และ ส.ว. ได้ ทั้งนี้ จะต้องดูรัฐธรรมนูญมาตรานี้ กฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง และปรัชญาในการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยประกอบกัน
การปกครองในระบอบประชาธิปไตยนั้น การใช้เงินภาษีอากรของราษฎรทุกบาททุกสตางค์ จะต้องได้รับอนุมัติจากรัฐสภา ซึ่งเป็นตัวแทนของประชาชน ด้วยเหตุนี้เราจึงต้องมี พ.ร.บ.งบประมาณประจำปี ในกรณีบำเหน็จบำนาญ เรายังต้องมี พ.ร.บ.บำเหน็จบำนาญข้าราชการ พ.ศ.2494 เป็นกฎหมายหลักรองรับ (ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมมาแล้ว 22 ครั้ง) เราไม่มี (และไม่ควรมี) พ.ร.บ.บำเหน็จบำนาญข้าราชการการเมือง การที่ข้าราชการการเมืองในระดับ นรม. และ รมต. ได้รับบำเหน็จบำนาญนั้นผมไม่เห็นด้วย แต่พวกเขาก็ได้สิทธินั้นโดยการแก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ. บำเหน็จบำนาญข้าราชการ พ.ศ. 2494 ไม่ใช่ในรูป พ.ร.ฎ. ดังที่กำลังจะทำกัน
ถ้าอ่านรัฐธรรมนูญมาตรา 229 วรรคสองให้ดีแล้ว จะเห็นว่าข้อความนำในประโยคแรกใช้คำว่า "หรือ" ไม่ใช่ "และ" ถ้าใช้คำว่า "และ" เราไม่มีทางเลือก จะต้องตีความตามตัวบทกฎหมายดังที่รองนายกฯ วิษณุแนะนำไว้ คือรัฐธรรมนูญฉบับนี้บังคับให้นักการเมืองออก พ.ร.ฎ. เพิ่มประโยชน์ให้ตัวเองและพรรคพวก โดยไม่ต้องทำเป็น พ.ร.บ.
คำว่า "หรือ" มีความหมายสำคัญ ผมตีความตามตัวบทกฎหมายและเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญว่าในบรรดาองคมนตรีและนักการเมืองที่กล่าวไว้ในวรรคนั้น (มี 10 ตำแหน่ง รวมทั้งองคมนตรี) ตำแหน่งใดที่มี พ.ร.บ. รองรับที่จะให้ผลประโยชน์ในรูปบำเหน็จบำนาญก็ตราเป็น พ.ร.ฎ. ได้ ถ้าไม่มีกฎหมายให้อำนาจก็อาจให้ผลประโยชน์ในรูปแบบอื่น (ซึ่งมักจะเป็นรายจ่ายเล็กน้อย) ไม่จำเป็นต้องให้บำเหน็จบำนาญครบทั้ง 10 ตำแหน่ง รัฐธรรมนูญ คณาธิปไตย เท่านั้น ไม่ใช่ ประชาธิปไตย ที่จะให้อำนาจนักการเมืองกำหนดบำเหน็จบำนาญให้ตัวเองโดยทำเป็น พ.ร.ฎ.ในขณะที่ข้าราชการอื่นๆ ทุกหมู่เหล่าต้องทำเป็น พ.ร.บ. กล่าวโดยสรุป
(1) การออก พ.ร.ฎ. กำหนดบำเหน็จบำนาญองคมนตรีนั้นย่อมทำได้ (ใช้ในกรณีที่องคมนตรีพ้นจากตำแหน่งโดยการลาออก หรือมีพระบรมราชโองการให้พ้นจากตำแหน่ง ตามรัฐธรรมนูญ ม. 16)
(2) การออก พ.ร.ฎ. กำหนดบำเหน็จบำนาญ (ฉบับใหม่หรือแก้ไขเพิ่มเติมของเก่า) ให้แก่ นรม. และรมต.ที่ปฏิบัติกันมาแล้ว (โดยอาศัย พ.ร.บ. บำเหน็จบำนาญข้าราชการ พ.ศ. 2494) นั้นย่อมทำได้
(3) สำหรับการออก พ.ร.ฎ กำหนดบำเหน็จบำนาญให้ ส.ส.- ส.ว. และตำแหน่งอื่นๆ อีก 5 ตำแหน่งนั้นทำไม่ได้ แต่ให้ประโยชน์ตอบแทนอื่นๆ หลังจากพ้นตำแหน่งแล้วย่อมได้ ฉะนั้น ถ้าแจกจ่ายคอมพิวเตอร์ให้ไปใช้ในระหว่างมีตำแหน่ง จะยกให้เป็นทรัพย์สินส่วนตัวก็ดี ต่อไปถ้ามีบ้านพักให้ ส.ส. และ ส.ว. เช่าในราคาถูก จะให้สิทธิอยู่ต่อได้สัก 2 ปีหลังจากพ้นจากตำแหน่งก็ดี หรือจะให้นักการเมืองตำแหน่งดังกล่าวได้สิทธิประกันสุขภาพ หลังพ้นจากตำแหน่งไปจนตายก็ดี ย่อมออกเป็น พ.ร.ฎ. ได้
ต้องยอมรับว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้ มีข้อบัญญัติที่สร้างปัญหาให้ต้องตีความมาก และเปิดช่องให้ผู้มีอำนาจฉวยโอกาสนำไปใช้เพื่อประโยชน์ตนและพรรคพวกได้ง่าย
ผมไม่เห็นด้วยกับการให้บำเหน็จบำนาญแก่ข้าราชการการเมือง เหตุผลสำคัญอยู่ที่หลักการมากกว่าจำนวนเงิน (ภายใน 15-20 ปีข้างหน้า ถ้าฐานเงินเดือนหรือเงินประจำตำแหน่งคงที่ งบประมาณเพื่อการนี้คงอยู่ในราว 200 ล้านบาทต่อปี)
ประการแรก นักการเมืองในระบอบประชาธิปไตยนั้น มีต้นกำเนิดมาจากชาวกรีกตั้งแต่ 2000 ปีเศษที่ผ่านมาแล้ว สมัยนั้นนักการเมืองเป็นอาสาสมัคร ได้รับยกย่องจากชุมชนอย่างสูง อริสโตเติลก็มองนักการเมืองในแง่ดี เพราะพวกเขาทำงานที่ต้องใช้ศาสตร์หลากหลายสาขา เป็นศาสตร์สูงสุดของมนุษย์เพื่อส่งเสริมให้คนในชุมชนมีชีวิตดีขึ้น งานนี้เหมาะเฉพาะคนที่มีคุณธรรม (virtue) ซึ่งพอใจในการได้รับเกียรติ (honors) ไม่เหมาะสำหรับพ่อค้าที่มุ่งแต่จะแสวงหากำไร ถ้าเอาคนบูชาเงิน แสวงหาสายสะพาย หรือค่าตอบแทนมากๆ การเมืองก็จะเสื่อม ผลก็คือคนไม่ศรัทธานักการเมือง ชีวิตของคนในชุมชนก็จะไม่ดีขึ้น แต่จะใกล้เคียงกับสัตว์ป่ามากกว่า
ประการที่สอง คุณนฤตย์ เสกธีระ กล่าวไว้ในมติชนรายวัน (19 กรกฎาคม 2548, น.6) อย่างน่าฟังว่า ความคิดจะให้บำเหน็จบำนาญ ส.ส. - ส.ว. เหมือนข้าราชการนั้นไม่ถูก เพราะข้าราชการนั้นทำราชการเป็นอาชีพ ประเทศชาติต้องการได้ข้าราชการดีๆ มีความสามารถอยู่ในระบบนานๆ จึงใช้บำเหน็จบำนาญเป็นเครื่องล่อใจ แต่ ส.ส. - ส.ว.นั้น "อาสาเข้ามาทำงาน" โดยมีกำหนดวาระครั้งละ 4 ปี (ส.ส.) หรือครั้งเดียว 6 ปี (ส.ว. ต้องห้ามมิให้เป็น 2 วาระต่อเนื่องกัน) ส.ส.-ส.ว. มีอาชีพอื่นเป็นหลักอยู่แล้ว ไม่ต้องให้บำเหน็จบำนาญเป็นเครื่องล่อใจก็แย่งกันอย่างเอาเป็นเอาตายเพื่อตำแหน่งอันทรงเกียรตินั้น
ผมขอขยายความเล็กน้อย ข้าราชการนั้นเริ่มทำงานด้วยเงินเดือนต่ำมากๆ คนที่มีวุฒิการศึกษาเท่ากับ ส.ส.- ส.ว.- ร.ม.ต. และนักการเมืองอื่นๆ ได้รับเงินเดือนเริ่มต้นประมาณเศษหนึ่งส่วนสิบของนักการเมือง แล้วค่อยๆ เลื่อนเงินเดือนขึ้นปีละเล็กน้อย คนดีมีความสามารถเมื่อรับราชการผ่านพ้นไป 30-40 ปี อาจไต่เต้าขึ้นไปถึงตำแหน่งอธิบดีหรือปลัดกระทรวงหรือเทียบเท่า ถ้าเป็นทหารก็มียศเป็น"นายพล" ประมาณ 1 ใน 40,000 คน ของคนในระบบราชการเท่านั้นที่มีโอกาสเช่นนั้น เงินเดือนที่ได้รับก็เพียง 50,000 - 60,000 บาท หรือประมาณครึ่งหนึ่งของ ส.ส. - ส.ว. ซึ่งเริ่มเข้าไปฝึกงานหรือทำงานในปีแรก ขอให้เราเทียบปริมาณและความรับผิดชอบของข้าราชการระดับอธิบดี-ปลัดกระทรวง-นายพล กับส.ส.-ส.ว. ดูด้วยความเป็นธรรม
ส่วนข้าราชการอีก 99.99% ต้องเกษียณอายุราชการ หรือออกไปด้วยสาเหตุต่างๆ บ้างก็ไม่ได้บำเหน็จบำนาญเลย (ถ้ารับราชการไม่ครบ 10 ปี) บ้างก็ได้แต่บำเหน็จ (ถ้ารับราชการไม่ครบ 25 ปี) คนที่รับราชการครบ 25 ปีเท่านั้นที่มีสิทธิ์ได้รับบำเหน็จหรือบำนาญ (มีข้อยกเว้นในกรณีพิเศษอยู่บ้างเล็กน้อย) ในกรณีที่รับบำนาญนั้น โดยมากฐานเงินเดือนที่ใช้ในการคำนวณบำนาญนั้นต่ำมาก เป็นบำเหน็จเล็กน้อยที่ประชาชนผู้เสียภาษีมอบให้เพื่อให้มีชีวิตรอดอยู่จนวันตาย ระบบการให้บำเหน็จบำนาญนี่เองที่มีส่วนส่งเสริมให้ข้าราชการที่ดีมีความรู้ความสามารถอยู่ในระบบราชการนานๆ มิเช่นนั้นคนดีมีความสามารถจะถูก “ซื้อตัว” ไปหมด
เหตุผลดังกล่าวเอามาใช้ไม่ได้กับนักการเมือง จริงหรือไม่
ประการที่สาม นักการเมืองของไทยในปัจจุบันเกือบ 100% มีฐานะร่ำรวย ถ้าไม่รวยมาก่อนเล่นการเมือง ก็รวยขึ้นในระหว่างดำรงตำแหน่งทางการเมือง บางคนรวยขึ้นรวดเร็วจนกระทั่งต้องซุกๆซ่อนๆ นักการเมืองที่มีคุณธรรม (ซึ่งมีน้อย) อาจจะไม่รวยขึ้น แต่พวกเขาก็คงพอใจและภูมิใจในฐานะและผลประโยชน์ที่ตนได้รับ ปัจจุบันข้าราชการการเมืองได้รับอภิสิทธิ์และผลประโยชน์ตอบแทนมากมายอยู่แล้วในขณะดำรงตำแหน่ง (นอกจากเงินเดือน เงินประจำตำแหน่ง เงินเพิ่ม เบี้ยประชุมแล้ว ยังมีสิทธิขึ้นเครื่องบิน และนั่งรถไฟได้ฟรี ได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ง่ายมาก ฯลฯ) จึงไม่สมควรที่จะได้รับบำเหน็จบำนาญหลังจากพ้นจากตำแหน่งแล้ว
ควรศึกษาดูก่อนว่า มีประเทศประชาธิปไตยที่ไหนในโลก ที่ข้าราชการการเมืองมีอภิสิทธิ์และค่าตอบแทนเท่ากับของไทย เมื่อเปรียบเทียบกับข้าราชการฝ่ายอื่นๆ และรายได้ของคนส่วนใหญ่ในประเทศ มีประเทศใดบ้างที่ข้าราชการการเมืองมีสิทธิได้รับบำเหน็จบำนาญ และมีประเทศใดบ้างที่เป็นประชาธิปไตย ให้อำนาจนักการเมืองฝ่ายรัฐบาลกำหนดผลประโยชน์ให้แก่พวกตัวเองโดยไม่ต้องผ่านรัฐสภา
ประการที่สี่ อย่าคิดว่าเมื่อประชาชนเลือกพรรคการเมืองใดให้จัดตั้งรัฐบาลแล้ว เท่ากับมอบอำนาจให้รัฐบาลทำอะไรก็ได้ เมื่อตอนเลือกตั้งเรื่องบำเหน็จบำนาญ ส.ส. - ส.ว. ไม่เป็นประเด็นนะครับ ถ้าท่านอยากได้สิทธิอันนี้ ลองไปขอให้ประชาชนลงประชามติดู ผมเชื่อว่าประชาชนส่วนมากไม่อนุมัติแน่นอน ทุกวันนี้ประชาชนเสื่อมศรัทธาต่อนักการเมืองมากๆ เคยถามตัวเองกันบ้างหรือเปล่าว่าในโลกนี้ยังมีสมาชิกรัฐสภาที่ไหนอีกที่ “โดดร่ม” ในเวลาประชุมเท่ากับของไทย มีประเทศไหนอีกที่รัฐบาลเปลี่ยนรัฐมนตรีบ่อยๆ (เหมือนเปลี่ยนกางเกงใน) เท่ากับของไทย
ประการที่ห้า เมื่อนักการเมืองให้บำเหน็จบำนาญแก่พวกตัวทั้ง 9 ตำแหน่งแล้ว ผมเชื่อว่า อีกไม่นานก็คงจะมี พ.ร.ฎ.ให้บำเหน็จบำนาญแก่ข้าราชการการเมืองตำแหน่งอื่น (อีกประมาณ 20 ตำแหน่ง) ตามมา ในจำนวนนั้นจะมีนายหน้าวิ่งเต้นหาเงินเข้าพรรคโดยมิชอบด้วยกฎหมายแฝงอยู่ในตำแหน่งการเมืองอัน “ทรงเกียรติ” นั้นด้วย นักการเมืองและคนไทยที่มีมโนธรรมคงจะไม่อยากเห็นประชาธิปไตยไทยที่ตกต่ำลึกลงไปถึงก้นเหวขนาดนั้น
ประการสุดท้าย ในขณะที่ข้าราชการประจำที่มีคุณวุฒิ ความรู้ความสามารถและมีส่วนอุทิศให้แก่สังคมสูงสุด ต้องใช้เวลา 30-40 ปี กว่าจะมีสิทธิได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์สูงสุดชั้น ม.ป.ช. ในขณะที่ นรม. รองนรม. รมว. และ รมช. มีสิทธิได้ในเวลา 2-4 ปี เลขาธิการ นรม. ใช้เวลา 3 ปี ประธานรัฐสภา ประธานวุฒิสภา รองประธานสภาผู้แทนราษฎร รองประธานวุฒิสภา ผู้นำฝ่ายค้านฯ อาจได้ในเวลา 2 ปีเหมือน นรม. ส.ส.- ส.ว. เริ่มได้ ท.ม. และเมื่อครบ 9 ปีจะได้ ม.ป.ช. สิทธิที่จะได้รับเครื่องราชฯ ยังขยายไปถึงภรรยาของ นรม. รองนรม. รมว. รมช. ประธานรัฐสภา ประธานวุฒิสภา รองประธานฯ ส.ส. และ ส.ว. ด้วย ในระดับลดหลั่นลงมา รวมทั้งตำแหน่งการเมืองอื่นๆ ที่แต่งตั้งโดย “ผู้มีอิทธิพล” ในพรรคการเมืองที่อยู่ในอำนาจ (ที่ปรึกษา เลขานุการ ผู้ช่วย กรรมการและอื่นๆ อีกมากมาย) แจกกันได้ทั้งครอบครัว และพวกพ้องของนักการเมืองที่อยู่ในอำนาจ
ถ้าคณะรัฐมนตรีจะออก พ.ร.ฎ. ใหม่ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 229 ย่อมทำได้ ถ้าทำเพื่อประโยชน์ของประชาชนก็ควรแก้จุดอ่อนต่างๆเสีย เช่นให้มีคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิที่เป็นอิสระประเมินผลงานของข้าราชการการเมือง โดยพิจารณาถึงคุณธรรมและผลงาน (ที่ผ่านมาใครอยู่ในตำแหน่งครบเวลากำหนดก็ได้รับพระราชทานเครื่องราชฯ โดยอัตโนมัติ แม้จะมีความประพฤติเป็นข่าวอื้อฉาวก็ตาม)
โดยสรุป ข้าราชการการเมืองได้รับประโยชน์ตอบแทนในขณะดำรงตำแหน่งมากพอแล้ว (สำหรับคนดีมีความสามารถประมาณ 20%) หรือมากเกินไปแล้ว (สำหรับผู้ที่เข้าสู่ตำแหน่งและดำรงตำแหน่งอย่างไม่บริสุทธิ์ยุติธรรม ซึ่งมีประมาณ 80%) กรุณาเลิกเสียเถอะที่จะให้พวกท่านเองรับบำเหน็จบำนาญเหมือนกับข้าราชการ ถ้าท่านยังดึงดันเข็นร่าง พ.ร.ฎ. อัปยศนี้ออกมา เราภาคเอกชนผู้เสียภาษีก็คงไม่มีอำนาจอะไรมาขัดขวาง แต่อย่าเอารัฐธรรมนูญมาใช้อย่างบิดเบือน ถ้าอยากได้สิทธินี้จริงๆ ก็ไปขอประชามติในการเลือกตั้งครั้งต่อไปดีกว่า พรรคการเมืองพรรคใดมีจุดยืนอย่างไรในเรื่องนี้ก็ขอให้ประกาศให้ประชาชนทราบด้วย
ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ โดย : เขียน ธีระวิทย์
-------------------------------------------------------------
วันอังคารที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2553
คนเสื้อแดงสิ้นหวังลากตัวผู้กระทำให้ประชาชนเจ็บ-ตายขึ้นศาลโลก
ศปช.-นักวิชาการชี้โอกาสที่ศาลอาญาระหว่างประเทศจะรับฟ้องคดีสลายการชุมนุมคนเสื้อแดงมีน้อยเพราะสถานการณ์ยังไม่เข้าหลักเกณฑ์หลายข้อ ระบุการที่หวังพึ่งองค์กรระหว่างประเทศเพราะประชาชนหมดหวังต่อกระบวนการยุติธรรมในประเทศ แนะรัฐเร่งฟื้นฟูความน่าเชื่อถือของกระบวนการยุติธรรมด้วยการทำทุกเรื่องให้ปรากฏตามข้อเท็จจริง รักษาการประธาน นปช. ยันได้เห็นสำนวนสอบทหารลั่นไกยิง 6 ศพในวัดปทุมฯและช่างภาพญี่ปุ่น จี้รัฐบาลและกองทัพแสดงความรับผิดชอบ เตรียมนำกรรมการ นปช.ชุดใหม่เข้าพบ “คณิต” เพื่อให้กำลังใจและเรียกร้องให้ คอป. เร่งทำงานเพื่อให้ความจริงปรากฏต่อสายตาประชาชน พร้อมขอให้ช่วยกดดันให้คนเสื้อแดงและแกนนำได้รับสิทธิประกันตัว ซึ่งเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานตามกฎหมาย
นางธิดา ถาวรเศรษฐ์ ภรรยาของ นพ.เหวง โตจิราการ รักษาการประธานกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) แดงทั้งแผ่นดิน กล่าวถึงกรณีที่สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานผลสอบการชันสูตรพลิกศพผู้เสียชีวิต 6 ราย ในวัดปทุมวนารามราชวรวิหาร และกรณีการเสียชีวิตของช่างภาพชาวญี่ปุ่น โดยอ้างอิงผลสอบของกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ที่ระบุเป็นการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐว่า ได้เห็นหลักฐานที่นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย และแกนนำ นปช. เอามาให้ดูแล้ว และนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอ ก็ยอมรับว่ารายงานที่นายจตุพรนำออกมาเผยแพร่เป็นความจริง แม้จะบอกว่าเป็นเพียงบางส่วนก็ตาม และการที่สำนักข่าวรอยเตอร์นำรายงานดังกล่าวออกมาเผยแพร่ไม่ใช่ว่าเขาจะอยู่ข้างคนเสื้อแดง แต่รอยเตอร์มีจุดยืนที่ไม่เข้าข้างฝ่ายใด
ลุ้นรอยเตอร์ช่วยแฉความจริง
“เท่าที่ประเมินการออกมาเคลื่อนไหวของสำนักข่าวรอยเตอร์พบว่า เขาต้องรับผิดชอบการตายของช่างภาพของเขาและรับผิดชอบต่อความจริงที่เกิดขึ้น ทำให้สำนักข่าวรอยเตอร์มีความกระหายและต้องการที่จะให้ความจริงปรากฏ เพื่อให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี รับผิดชอบต่อเรื่องที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะถ้าอำนาจรัฐทำให้เกิดการตายหรือบาดเจ็บต่อคนที่ทำงานในฐานะสื่อจากต่างประเทศถือเป็นเรื่องใหญ่มาก เพราะเป็นภารกิจในการปฏิบัติตามหน้าที่” นางธิดากล่าว
เป็นภาระหน้าที่ในทางสากล
รักษาการประธาน นปช. กล่าวว่า หากไม่ทำเรื่องนี้ให้กระจ่างเท่ากับว่าสำนักข่าวรอยเตอร์ไม่รับผิดชอบต่อคนของเขา ยังถือว่าไม่รับผิดชอบต่อภาระหน้าที่ของนักข่าว และจะทำให้อำนาจรัฐอื่นๆกระทำต่อนักข่าวที่ปฏิบัติตามหน้าที่ได้อีก ขอย้ำว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่มาก ไม่ใช่เพราะว่าคนของเขามีค่ากว่าชีวิตคนไทย แต่หมายถึงภาระหน้าที่ของนักข่าวในทางสากลด้วยที่จะต้องต่อสู้กับอำนาจรัฐที่กระทำการคุกคามถึงชีวิต เพราะฉะนั้นสำนักข่าวรอยเตอร์จึงต้องทำให้การตายของนักข่าวของเขาไม่ไร้ค่า
ชี้เป็นบทเรียนของผู้กุมอำนาจรัฐ
“เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นบทเรียนของผู้ที่กุมอำนาจรัฐ ในทุกประเทศจะกระทำแบบนี้กับนักข่าวอีกไม่ได้ ไม่เช่นนั้นต่อไปจะไม่มีหลักประกันอะไรสำหรับนักข่าวในการปฏิบัติหน้าที่ แม้แต่ช่างภาพจากเนชั่นที่ต้องทุพลภาพก็พูดชัดว่าทหารยิง” นางธิดากล่าวและว่า รัฐบาลและกองทัพจะปฏิเสธความรับผิดชอบเรื่องนี้ไม่ได้ แต่ถึงไม่รับผิดชอบก็เชื่อว่าชาวโลกจะไม่ยอม เพราะกรณีนี้เป็นการคุกคามยิ่งกว่าสิทธิมนุษยชนทั่วไป เป็นการใช้กำลังทหารพร้อมอาวุธสงครามที่ใช้กระสุนจริงเข้าสลายการชุมนุม เรื่องนี้ถือเป็นความผิดพลาดของรัฐบาล ซึ่งไม่มีที่ไหนยอมรับ
กรรมการ นปช.ชุดใหม่เข้าพบ “คณิต”
นางธิดากล่าวว่า คณะกรรมการบริหาร นปช.ชุดใหม่จะเดินทางเข้าพบ ดร.คณิต ณ นคร ประธานคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) เพื่อขอบคุณและให้กำลังใจที่ คอป. พยายามทำงานอย่างตรงไปตรงมาเพื่อให้ความจริงปรากฏต่อสาธารณชน รวมทั้งจะเรียกร้องให้ คอป. ช่วยเร่งดำเนินการเพื่อให้คนเสื้อแดงและแกนนำได้รับการประกันตัว ซึ่งเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานตามกฎหมาย
“เราจะพยายามผลักดันให้กระบวนการยุติธรรมที่แท้จริงเกิดขึ้นให้ได้ ไม่เช่นนั้นในอนาคตสังคมไทยจะไม่สามารถทำนายได้ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นถ้าหากถูกปิดบังความเป็นจริงและขาดความยุติธรรมในสังคมไทย” รักษาการประธาน นปช. กล่าว
ชี้ปัญหาในไทยไม่เข้าเกณฑ์ศาลโลก
น.ส.ขวัญระวี วังอุดม เจ้าหน้าที่ศูนย์ข้อมูลประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์สลายการชุมนุมกรณี เม.ย.-พ.ค. 2553 (ศปช.) และนักสิทธิมนุษยชน กล่าวถึงกรณีที่ นปช. ยื่นฟ้องคดีต่อศาลอาญาระหว่างประเทศว่า ศาลดังกล่าวสามารถนำบุคคลที่ก่อให้เกิดการละเมิดสิทธิในประเทศที่เป็นภาคีกับอนุสัญญากรุงโรมของศาลอาญาระหว่างประเทศขึ้นศาลได้ แต่ขึ้นอยู่คำนิยามเหมือนกันว่าความรุนแรงถึงขั้นฆ่าล้างเผ่าพันธุ์หรือไม่ และเป็นสงครามต่อมวลมนุษยชาติหรือไม่ สิ่งหนึ่งที่จะพิสูจน์ได้คือการกระทำที่เป็นระบบและเป็นรูปแบบอย่างต่อเนื่อง ส่วนตัวเห็นว่าการที่จะให้ประเด็นของประเทศไทยขึ้นศาลอาญาระหว่างประเทศยังมีความเป็นไปได้น้อย เพราะการเอาเรื่องเข้าศาลอาญาระหว่างประเทศจะต้องเป็นความรุนแรงที่เกิดขึ้นในประเทศที่เป็นภาคี ตรงนี้ต้องใช้หลักดินแดนเพื่อดูขอบเขตอำนาจของศาล และผู้ที่กระทำละเมิดมีสัญชาติที่เป็นภาคีของประเทศที่เป็นภาคีของอนุสัญญาหรือไม่ ถ้าดูประเด็นนี้ของเรายังไม่ใช่
สิ้นหวังกระบวนการยุติธรรมภายใน
ดร.ยุกติ มุกดาวิจิตร อาจารย์ประจำคณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า การที่ นปช. หรือญาติผู้เสียบางส่วนต้องการให้องค์กรระหว่างประเทศต่างๆเข้ามาช่วยเหลือ สะท้อนให้เห็นว่าคนเหล่านี้หมดความหวังจากกระบวนการยุติธรรมภายในประเทศแล้ว และถ้าประชาชนหมดความหวังต่อกระบวนการยุติธรรมในประเทศ สิ่งหนึ่งที่รัฐจะต้องรีบทำคือการฟื้นฟูกระบวนการยุติธรรม รวมทั้งฟื้นฟูความเชื่อมั่นต่อระบบความยุติธรรมภายในประเทศขึ้นมา
ยังห่างไกลให้องค์กรต่างชาติแทรกแซง
“องค์กรระหว่างประเทศสามารถเข้ามาช่วยได้แค่ไหน โดยหลักการถ้าเปรียบเทียบกับหลายๆประเทศจะพบว่าปัญหาของไทยเป็นความขัดแย้งอย่างชัดเจนระหว่างประชาชนกลุ่มหนึ่งกับรัฐ กรณีอย่างนี้องค์กรระหว่างประเทศจะเข้ามาช่วยเหลือค่อนข้างลำบาก” ดร.ยุกติกล่าวและว่า ในกรณีที่องค์กรระหว่างประเทศเข้ามายุ่ง เช่น กรณีของกัมพูชา เพราะสังคมไม่สามารถจัดการได้เองและไม่รับรู้ว่ารัฐเป็นใคร ประเทศนั้นไม่มีสถาบันหลักใดที่จะดำเนินการต่อไปได้ และจะต้องมีกระบวนการที่จะมาสืบสวนสอบสวนในทางระหว่างประเทศว่าเป็นอย่างนั้นจริงหรือไม่ แต่สำหรับประเทศไทยยังไม่ถึงขั้นนั้น เพียงแต่ว่าการยอมรับต่อกระบวนการยุติธรรมเสื่อมและถดถอยลงมาก ดังนั้น รัฐจะต้องเร่งฟื้นฟูความน่าเชื่อถือในกระบวนการยุติธรรมขึ้นมาด้วยการแสดงความยุติธรรมให้ปรากฏอย่างแท้จริง และช่องทางที่เราหวังอยู่คือการดำเนินคดีภายในประเทศจะต้องเกิดขึ้นให้ได้
ที่มา.จากหนังสือพิมพ์ โลกวันนี้
**********************************************************************
นางธิดา ถาวรเศรษฐ์ ภรรยาของ นพ.เหวง โตจิราการ รักษาการประธานกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) แดงทั้งแผ่นดิน กล่าวถึงกรณีที่สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานผลสอบการชันสูตรพลิกศพผู้เสียชีวิต 6 ราย ในวัดปทุมวนารามราชวรวิหาร และกรณีการเสียชีวิตของช่างภาพชาวญี่ปุ่น โดยอ้างอิงผลสอบของกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ที่ระบุเป็นการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐว่า ได้เห็นหลักฐานที่นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย และแกนนำ นปช. เอามาให้ดูแล้ว และนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอ ก็ยอมรับว่ารายงานที่นายจตุพรนำออกมาเผยแพร่เป็นความจริง แม้จะบอกว่าเป็นเพียงบางส่วนก็ตาม และการที่สำนักข่าวรอยเตอร์นำรายงานดังกล่าวออกมาเผยแพร่ไม่ใช่ว่าเขาจะอยู่ข้างคนเสื้อแดง แต่รอยเตอร์มีจุดยืนที่ไม่เข้าข้างฝ่ายใด
ลุ้นรอยเตอร์ช่วยแฉความจริง
“เท่าที่ประเมินการออกมาเคลื่อนไหวของสำนักข่าวรอยเตอร์พบว่า เขาต้องรับผิดชอบการตายของช่างภาพของเขาและรับผิดชอบต่อความจริงที่เกิดขึ้น ทำให้สำนักข่าวรอยเตอร์มีความกระหายและต้องการที่จะให้ความจริงปรากฏ เพื่อให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี รับผิดชอบต่อเรื่องที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะถ้าอำนาจรัฐทำให้เกิดการตายหรือบาดเจ็บต่อคนที่ทำงานในฐานะสื่อจากต่างประเทศถือเป็นเรื่องใหญ่มาก เพราะเป็นภารกิจในการปฏิบัติตามหน้าที่” นางธิดากล่าว
เป็นภาระหน้าที่ในทางสากล
รักษาการประธาน นปช. กล่าวว่า หากไม่ทำเรื่องนี้ให้กระจ่างเท่ากับว่าสำนักข่าวรอยเตอร์ไม่รับผิดชอบต่อคนของเขา ยังถือว่าไม่รับผิดชอบต่อภาระหน้าที่ของนักข่าว และจะทำให้อำนาจรัฐอื่นๆกระทำต่อนักข่าวที่ปฏิบัติตามหน้าที่ได้อีก ขอย้ำว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่มาก ไม่ใช่เพราะว่าคนของเขามีค่ากว่าชีวิตคนไทย แต่หมายถึงภาระหน้าที่ของนักข่าวในทางสากลด้วยที่จะต้องต่อสู้กับอำนาจรัฐที่กระทำการคุกคามถึงชีวิต เพราะฉะนั้นสำนักข่าวรอยเตอร์จึงต้องทำให้การตายของนักข่าวของเขาไม่ไร้ค่า
ชี้เป็นบทเรียนของผู้กุมอำนาจรัฐ
“เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นบทเรียนของผู้ที่กุมอำนาจรัฐ ในทุกประเทศจะกระทำแบบนี้กับนักข่าวอีกไม่ได้ ไม่เช่นนั้นต่อไปจะไม่มีหลักประกันอะไรสำหรับนักข่าวในการปฏิบัติหน้าที่ แม้แต่ช่างภาพจากเนชั่นที่ต้องทุพลภาพก็พูดชัดว่าทหารยิง” นางธิดากล่าวและว่า รัฐบาลและกองทัพจะปฏิเสธความรับผิดชอบเรื่องนี้ไม่ได้ แต่ถึงไม่รับผิดชอบก็เชื่อว่าชาวโลกจะไม่ยอม เพราะกรณีนี้เป็นการคุกคามยิ่งกว่าสิทธิมนุษยชนทั่วไป เป็นการใช้กำลังทหารพร้อมอาวุธสงครามที่ใช้กระสุนจริงเข้าสลายการชุมนุม เรื่องนี้ถือเป็นความผิดพลาดของรัฐบาล ซึ่งไม่มีที่ไหนยอมรับ
กรรมการ นปช.ชุดใหม่เข้าพบ “คณิต”
นางธิดากล่าวว่า คณะกรรมการบริหาร นปช.ชุดใหม่จะเดินทางเข้าพบ ดร.คณิต ณ นคร ประธานคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) เพื่อขอบคุณและให้กำลังใจที่ คอป. พยายามทำงานอย่างตรงไปตรงมาเพื่อให้ความจริงปรากฏต่อสาธารณชน รวมทั้งจะเรียกร้องให้ คอป. ช่วยเร่งดำเนินการเพื่อให้คนเสื้อแดงและแกนนำได้รับการประกันตัว ซึ่งเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานตามกฎหมาย
“เราจะพยายามผลักดันให้กระบวนการยุติธรรมที่แท้จริงเกิดขึ้นให้ได้ ไม่เช่นนั้นในอนาคตสังคมไทยจะไม่สามารถทำนายได้ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นถ้าหากถูกปิดบังความเป็นจริงและขาดความยุติธรรมในสังคมไทย” รักษาการประธาน นปช. กล่าว
ชี้ปัญหาในไทยไม่เข้าเกณฑ์ศาลโลก
น.ส.ขวัญระวี วังอุดม เจ้าหน้าที่ศูนย์ข้อมูลประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์สลายการชุมนุมกรณี เม.ย.-พ.ค. 2553 (ศปช.) และนักสิทธิมนุษยชน กล่าวถึงกรณีที่ นปช. ยื่นฟ้องคดีต่อศาลอาญาระหว่างประเทศว่า ศาลดังกล่าวสามารถนำบุคคลที่ก่อให้เกิดการละเมิดสิทธิในประเทศที่เป็นภาคีกับอนุสัญญากรุงโรมของศาลอาญาระหว่างประเทศขึ้นศาลได้ แต่ขึ้นอยู่คำนิยามเหมือนกันว่าความรุนแรงถึงขั้นฆ่าล้างเผ่าพันธุ์หรือไม่ และเป็นสงครามต่อมวลมนุษยชาติหรือไม่ สิ่งหนึ่งที่จะพิสูจน์ได้คือการกระทำที่เป็นระบบและเป็นรูปแบบอย่างต่อเนื่อง ส่วนตัวเห็นว่าการที่จะให้ประเด็นของประเทศไทยขึ้นศาลอาญาระหว่างประเทศยังมีความเป็นไปได้น้อย เพราะการเอาเรื่องเข้าศาลอาญาระหว่างประเทศจะต้องเป็นความรุนแรงที่เกิดขึ้นในประเทศที่เป็นภาคี ตรงนี้ต้องใช้หลักดินแดนเพื่อดูขอบเขตอำนาจของศาล และผู้ที่กระทำละเมิดมีสัญชาติที่เป็นภาคีของประเทศที่เป็นภาคีของอนุสัญญาหรือไม่ ถ้าดูประเด็นนี้ของเรายังไม่ใช่
สิ้นหวังกระบวนการยุติธรรมภายใน
ดร.ยุกติ มุกดาวิจิตร อาจารย์ประจำคณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า การที่ นปช. หรือญาติผู้เสียบางส่วนต้องการให้องค์กรระหว่างประเทศต่างๆเข้ามาช่วยเหลือ สะท้อนให้เห็นว่าคนเหล่านี้หมดความหวังจากกระบวนการยุติธรรมภายในประเทศแล้ว และถ้าประชาชนหมดความหวังต่อกระบวนการยุติธรรมในประเทศ สิ่งหนึ่งที่รัฐจะต้องรีบทำคือการฟื้นฟูกระบวนการยุติธรรม รวมทั้งฟื้นฟูความเชื่อมั่นต่อระบบความยุติธรรมภายในประเทศขึ้นมา
ยังห่างไกลให้องค์กรต่างชาติแทรกแซง
“องค์กรระหว่างประเทศสามารถเข้ามาช่วยได้แค่ไหน โดยหลักการถ้าเปรียบเทียบกับหลายๆประเทศจะพบว่าปัญหาของไทยเป็นความขัดแย้งอย่างชัดเจนระหว่างประชาชนกลุ่มหนึ่งกับรัฐ กรณีอย่างนี้องค์กรระหว่างประเทศจะเข้ามาช่วยเหลือค่อนข้างลำบาก” ดร.ยุกติกล่าวและว่า ในกรณีที่องค์กรระหว่างประเทศเข้ามายุ่ง เช่น กรณีของกัมพูชา เพราะสังคมไม่สามารถจัดการได้เองและไม่รับรู้ว่ารัฐเป็นใคร ประเทศนั้นไม่มีสถาบันหลักใดที่จะดำเนินการต่อไปได้ และจะต้องมีกระบวนการที่จะมาสืบสวนสอบสวนในทางระหว่างประเทศว่าเป็นอย่างนั้นจริงหรือไม่ แต่สำหรับประเทศไทยยังไม่ถึงขั้นนั้น เพียงแต่ว่าการยอมรับต่อกระบวนการยุติธรรมเสื่อมและถดถอยลงมาก ดังนั้น รัฐจะต้องเร่งฟื้นฟูความน่าเชื่อถือในกระบวนการยุติธรรมขึ้นมาด้วยการแสดงความยุติธรรมให้ปรากฏอย่างแท้จริง และช่องทางที่เราหวังอยู่คือการดำเนินคดีภายในประเทศจะต้องเกิดขึ้นให้ได้
ที่มา.จากหนังสือพิมพ์ โลกวันนี้
**********************************************************************
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)