--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันเสาร์ที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2553

วิถีคนกล้า?

หมิ่นเหม่เสียเหลือเกินกับขบวนการดึงสถาบันตุลาการเข้ามาคลุกฝุ่นบนถนนสายการเมือง...ทำเป็นเล่นไป!!! หากท่านผู้พิพากษา บางท่านกระทำตัวเลือกข้างจนตราชั่งเอียง.. ที่ว่า “ศาลสูง” นั้น.. วันหนึ่งย่อมกลายเป็น “ศาลเตี้ย” ไปโดยไม่รู้ตัว..

ประเทศใดหากไร้ซึ่งหลัก “นิติรัฐ..” และหลัก “นิติธรรม..” ก็ยากที่จะหาความสงบสุขร่มเย็นให้เกิด ขึ้นภายในบ้านเมือง.. อย่างคดีความทางการเมืองหลายกรณี..มีเสียงบริภาษอย่างกว้างขวาง ว่ามีจอม บงการล็อกพิกัดปักหมุดให้เดินไปตามทางที่วางไว้.. ใช่หรือไม่???

ถนนสายการเมืองไทยหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ.2475.. กว่า 78 ปี ที่มี ส.ส.ผู้ทรงเกียรติในสภาผลัดใบเข้ามากอบโกยผลประโยชน์แห่งเค้กก้อนโต เปลี่ยนหน้าแปรพักตร์มาแล้วไม่รู้กี่รุ่นต่อกี่รุ่น

กระนั้นก็ตาม ไม่ว่าจะหัวหงอกหรือหัวดำ.. คงไม่ต้องอรรถาธิบายให้มากความ ก็พอจะทราบกันดีว่า หาทำยาได้น้อยเหลือซะเกิน!!! ครั้นในยามบ้านเมืองวิกฤติ ประเทศคับขัน นักคิด นักเขียน นักวิชาการหัวก้าวหน้า ขันอาสาเข้ามาช่วยผ่าตัดใหญ่ฝ่ายการเมือง.. ก็มักจะมีนักการเมือง “ศรีธนญชัย” บางกลุ่ม กระโดดมาร่วมวงโหนกระแส “ปาหี่ปฏิรูปการเมือง” ในทุกครั้งไป..

หากให้นักการเมืองมาแฝงตัวอยู่เบื้องหลังการ ปฏิรูปการเมือง.. บทสรุปร้อยทั้งร้อยคือทุกสิ่งทุกอย่าง จะยังคงเดิมและไม่มีการเปลี่ยนแปลง.. เพราะจะให้นักการเมืองมาปฏิรูปบ้านเมืองด้วยการเปลือยเปล่าตัวเองให้ชาวบ้านเห็นในสภาพที่ล่อนจ้อน..มันย่อมเป็น ไปไม่ได้!!!

ในโลกแห่งความเป็นจริง..มีที่ไหนที่ “ผู้มีอำนาจ”.. จะออกกฎระเบียบมาลดทอนอำนาจตัวเอง.. คงจะต้อง รอให้น้ำท่วมหลังเป็ดเสียก่อนกระมัง!!!จะว่าไปแล้ว ดัชนีความอยู่รอดปลอดภัยของประเทศไทยชั่วโมงนี้.. ถูกฝากความหวังไว้ที่ “สถาบันตุลาการ” เพียงหนึ่งเดียว.. เพราะฝ่ายการเมือง..มาแล้วก็ไป.. ส่วนข้าราชการประจำ โดยเฉพาะหน่วยงาน ต้นน้ำของกระบวนการยุติธรรม..ก็ล้วนทำงานถวายหัว สนองนักการเมืองแบบไม่ลืมหูลืมตา..

ที่สำคัญประเทศจะเดินหน้าไปได้อย่างมั่นคง.. ต้องมีการ “ปฏิรูปการเมือง” อย่างเป็นจริงเป็นจัง.. และผู้ที่จะเป็นตัวหลักในการปฏิรูปเปลี่ยนแปลงประเทศก็คือ “สถาบันตุลาการ”..

เพียงแค่ท่านผู้พิพากษาทั้งหลายยึดมั่นในคำสัตย์ปฏิญาณที่ให้ไว้.. ผิดถูกว่ากันไปตามความเป็นจริง..ไม่เลือกที่รักมักที่ชัง.. เป็นสถาบันที่มีมาตรฐานเดียว.. สถาบันอันเป็นทางออกประเทศแห่งนี้ ก็จะมีส่วนร่วมในการย่อยสลาย “ขยะสังคม” ฝ่ายการ เมืองลงไปได้อย่างมากมาย..

แต่หากตราชั่งอันศักดิ์สิทธิ์ มีธงอยู่ในใจล่วงหน้า.. หรือมีคำตอบคำพิพากษาไปวางไว้ที่ตราชั่งด้านใดด้าน หนึ่ง หรือแม้กระทั่งการเลือกที่จะหลับตาข้างเดียว เมินกระแสความไม่ชอบมาพากลในสถาบันอันเป็นเสาหลักแห่งกระบวนการยุติธรรม..

อย่างภาพเบลอเจือพิษการเมืองวาง ยาในวิกฤติศรัทธา “ศาลรัฐธรรมนูญ”.. ระวังเถิด!!! ปรากฏการณ์ครั้งนี้มันจะกลาย เป็นสะเก็ดไฟไหม้ลามทุ่ง ที่จะมิใช่ทำให้เสาหลักแห่งตุลาการเสื่อมทรุดลงแต่เพียงสถาบันเดียว.. เพราะนั่นมันจะนำ พาทุกองคาพยพในสังคม ต้องย่อยยับ ลงไปตามทิฐิความอยากอยู่อย่างอยากของตัวท่านด้วย

นักการเมืองเกาหลีผู้ต่อสู้กับ การทุจริตคอร์รัปชั่นมาตลอดชีวิต แสดงความรับผิดชอบด้วยการกระโดดหน้าผาตายเพื่อรักษาเกียรติ หลังภรรยาตกหลุมพราง ฝ่ายตรงข้ามในการเข้าไปมีส่วน กับการทุจริตคอร์รัปชั่น แต่สำหรับบ้านเมืองนี้คงไม่ถึงขั้นนั้น ซึ่งนั่นก็คงไม่ต้องบอกเช่นกันว่า การยุติปัญหาเพื่อนำพากงล้อยุติธรรมถอยห่างจากหลุมพรางการเมืองควรจะดำเนินไปด้วยวิธีการใด

ด้วยจุดเปลี่ยน จุดหักเหเพียงแค่เท่านี้ มันล้วนมีอานิสงส์ในการนำพา กระบวนการตุลาการภิวัตน์ สลัดหลุดจาก “แผนชั่ว” ของคนบางพวก..นักการเมืองกลุ่ม ที่ต้องการช่วงชิงความได้เปรียบ หรือแม้กระทั่งคิดการใหญ่..“เด็ดดอกไม้ เพื่อให้สะเทือนถึงดวงดาว” ?!?!บนเส้นทางแห่งวิถีคนกล้า.. “ท่านเปาบุ้นจิ้น” ไม่เคยเผาศาลขอรับ!!!

ที่มา:สยามธุรกิจ

***************************************************

ศอฉ. ศาลอาญาโลก และความรับผิด



ในช่วงระยะเวลาอันสั้น คณะกรรมการโอเวลเลี่ยน (กลุ่มเผด็จการอำนาจนิยม) ของศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ได้ชี้แจงการกระทำของตนเองด้วยเหตุผลที่แปลกประหลาด นอกจากจะคุมขังนักกิจกรรม นักข่าว และนักวิชาการแล้ว ศอฉ. ยังประกาศว่าแม่ค้าขายรองเท้าแตะที่มีลายพิมพ์หน้าคล้ายนายกรัฐมนตรีเป็นภัยต่อความมั่นคงภายในประเทศ

ดังนั้น จึงไม่มีมีใครคาดหวังว่าจะได้ยินอธิบายอย่างมีความรับผิดชอบและน่าเชื่อถือจากศอฉ. ในกรณีของการยื่นรายงานเบื้องต้นเพื่อแจ้งต่ออัยการศาลอาญาระหว่างประเทศ (ICC) ถึงเหตุการณ์การสลายการชุมนุมและการปฏิบัติต่อผู้ชุมนุม ซึ่งอาจเป็นการกระทำที่เข้าข่ายอาชญากรรมต่อมนุษยชาติ อย่างไรก็ตาม คำอธิบายของศอฉ.อาจจะทำให้กลุ่มคนที่ชอบวิพากษ์วิจารณ์รู้สึกประหลาดใจมากขึ้น

ในวันที่ 27 ตุลาคม พันเอกสรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกศอฉ. ได้แถลงต่อสื่อมวลชนว่า  “ที่ประชุมยังไม่มีการรายงานเรื่องนี้เข้ามา ขณะเดียวกันผมก็ไม่ชัดเจนในข้อกฎหมายว่าทำได้หรือไม่ เพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศไทยเป็นที่รับรู้กันว่าอะไรเกิดขึ้น ไม่ใช่ทหารเราไปไล่ฆ่าประชาชน แต่เกิดจากการชุมนุมที่เกินขอบเขตกฎหมาย

นอกจากนี้พันเอกสรรเสริญยังกล่าวว่า “ศาลในประเทศไทยก็วินิจฉัยรัฐบาลเป็นผู้ดูแลความมั่นคงมีอำนาจระงับยับยั้งเหตุการณ์ เพราะได้มีความพยายามต่อรองและได้ดำเนินการอย่างถึงที่สุดด้วยความรอบคอบ (สำหรับการดำเนินการสลายการชุมนุม) การดำเนินการของเจ้าหน้าที่จึงต้องทำด้วยหลักสากล มีการชี้แจงผ่านวิทยุ โทรทัศน์ และผ่านสื่อ รวมทั้งไม่ปิดกั้นเสรีภาพของสื่อมวลชน”

ตามมาด้วยคำชี้แจงของสมาชิกรัฐบาลอย่างนายเทพไท เสนพงศ์ “เหตุการณ์ดังกล่าวต่างจากการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ของกัมพูชา ซึ่งอยู่ในการตัดสินของศาลโลก แต่เหตุการณ์ความวุ่นวายในประเทศไทย เป็นความวุ่นวายที่เกิดขึ้นในประเทศ และรัฐบาลไม่ได้มีเจตนาไปเข่นฆ่าประชาชน เป็นเพียงการบังคับใช้กฎหมายที่มีบทบัญญัติกฎหมายรับรอง จึงคิดว่าไม่สามารถนำไปฟ้องดำเนินคดีต่อศาลโลกได้”
หากพิจารณาคำอธิบายของศอฉ.และชี้แจงเหล่านี้ จะพบว่ามีความโดดเด่นอย่างมาก เพราะแนวความคิดของศอฉ. (ซึ่งเราสามารถตีความได้โดยทั่วไปว่าเป็นความคิดของกลุ่มอำมาตย์) แสดงให้เห็นว่ายังคงมี

ความพยายามที่จะปฏิเสธว่าทหารและตำรวจไม่ได้สังหารผู้ชุมนุม จุดยืนของศอฉ. แสดงให้เห็นถึงพยายามชี้นำสังคมในทางที่ผิดเท่าที่จะสามารถจินตนาการได้ ซึ่งขัดต่อหลักฐานที่ถูกเผยแพร่อย่างแพร่หลายในที่สาธารณะ และความพยายามนี้ช่วยอธิบายว่าเหตุใด รัฐบาลจึงปฏิเสธโอกาสในการเข้าถึงหลักฐานทางนิติเวชและพยายามที่จะปกปิดข้อเท็จจริงและข้อมูลอื่นที่เกี่ยวกับเหตุการณ์ดังกล่าว และนี่คือตัวอย่างหนึ่งของการกระทำของรัฐบาลทีเราเลือกออกมาจากยุทธศาสตร์สร้างความยุ่งยากในการตรวจสอบเหตุการณ์ของรัฐบาลไทย ซึ่งแสดงในเห็นถึงความพยายามปฏิเสธการพิจารณาคดีอย่างเป็นธรรม นั้นคือการที่ศาลปฏิเสธคำร้องผู้ถูกกล่าวหาทั้ง 19 คน ในวันที่ 27 สิงหาคม โดยเป็นคำร้องที่ขอดำเนินการชันสูตรศพทั้ง 9ศพที่ถูกสังหารหมู่ ด้วยผู้เชี่ยวชาญของผู้ถูกกล่าวหา

แม้รัฐบาลจะทำการชันสูตรศพดังกล่าว แต่จนถึงปัจจุบันรัฐบาลไม่เคยเปิดเผยผลการชันสูตรแก่ผู้ถูกกล่าวหา นอกจากนี้ ครอบครัวของผู้เสียชีวิตไม่ได้ดำเนินพิธีการเผาศพ เพื่อต้องการเก็บรักษาหลักฐาน ด้วยความหวังที่ว่า ความยุติธรรมจะเกิดขึ้นในที่สุด การปฏิเสธคำร้องดังกล่าวของศาลละเมิดต่อสนธิสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเรือนและสิทธิทางการเมือง (ICCPR) ซึ่งประเทศไทยได้ลงนามไว้ ICCPR บัญญัติว่า ผู้ถูกกล่าวหาทางอาญามีสิทธิเข้าถึงหลักฐานเช่นเดียวกับกับรัฐบาล เหตุผลเดียวที่ศาลใช้ปฏิเสธคือ อัยการเป็นผู้เดียวที่มีอำนาจในการร้องขอชันสูตร

เหตุใดจึงพยายามปกปิดผลการชันสูตร? วัตถุประสงค์หนึ่งในการชันสูตรคือ การตรวจสอบทิศทางกระสุน ชนิดกระสุน และระยะทาง เพื่อพิสูจน์ว่าผู้เสียชีวิตเหล่านี้ถูกมือปืนซุ่มยิงทหาร หรือถูกยิงจากระดับพื้นดินโดยบุคคลอื่นตามที่รัฐบาลอ้าง และนี่คือประเด็นที่เจ้าหน้ารัฐล้มเหลวในการชันสูตรพลิกศพ การที่รัฐบาลปฏิเสธคำร้องของผู้ถูกกล่าวหา แสดงให้เห็นว่ารัฐบาลพยายามทำลายหลักฐานสำคัญที่จะระบุว่ามือปืนซุ่มยิงทหารได้สังหารประชาชน เพราะเมื่อการชันสูตรเสร็จสิ้นลง ศพเหล่านั้นจะถูกนำไปประกอบพิธีวางเพลิงศพ

และยังเป็นที่น่าสังเกตว่า รัฐบาลได้จับกุมแกนนำเสื้อแดงในข้อหาก่อการร้าย ก่อนที่จะมีการสอบสวนข้อเท็จจริง หากมีข้อเท็จจริงที่จะพิสูจน์ข้อกล่าวหาของรัฐบาลที่ว่า มีกลุ่มหัวรุนแรงในการเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดง รัฐบาลควรจะสอบสวนและระบุตัวบุคคลดังกล่าวให้แน่ชัด ก่อนที่จะจับกุมแกนนำเสื้อแดงในข้อหาก่อการร้าย เพราะบุคคลเหล่านั้นเพียงแค่ใช้สิทธิตามกฎหมาย และยังเป็นสิทธิที่รับรองใน ICCPR ในการแสดงความคิดเห็นทางการเมืองเท่านั้น

ข้อสังเกตอีกประการหนึ่งคือ แกนนำเสื้อแดงถูกปฏิเสธสิทธิในการเข้ารับฟังการพิจารณาคดีของตนเอง ในวันที่ 27 สิงหาคม แกนนำเสื้อแดงไม่ได้รับอนุญาตให้เข้ารับฟังการแจ้งข้อหาอย่างเป็นทางการ พร้อมทั้งชี้แจ้งและแก้ต่างข้อหาเหล่านั้น นอกจากนี้ ศาลยังได้กล่าวว่า ผู้ถูกกล่าวหาเหล่านี้จะไม่ได้รับอนุญาตในเข้าฟังการพิจารณาคดีครั้งต่อไป ซึ่งการกระทำดังกล่าวเป็นการละเมิดบทบัญญัติใน ICCPR ที่ประกันความยุติธรรมในการพิจารณาคดี เพราะการกีดกันไม่ให้ผู้ถูกกล่าวหามีโอกาสที่จะสื่อสารกับทนายของคนเองในประเด็นที่เกี่ยวกับ ข้อหา/ข้อเท็จจริง/ข้อกล่าวหา และยังส่งผลต่อความสามารถในการตระเตรียมข้อแก้ต่างให้กับตนเองอีกด้วย เหตุผลที่พวกเขาถูกปฏิเสธไม่ให้เข้าฟังการพิจารณาคดีคือ ห้องพิจารณามีขนาดคับแคบเกินไป อันแสดงให้เห็นถึงความไร้สาระของรัฐบาลนี้ในการจัดการกับคดีดังกล่าว (มีที่นั่ง 3 ที่นั่ง สำหรับทนายทั้ง 19 คน ในการพิจารณาคดีวันที่ 27 สิงหาคม) ครอบครัวของผู้ถูกกล่าวหายังถูกปฏิเสธไม่ให้เข้าร่วมรับฟังการพิจารณาคดีเช่นกัน ในขณะที่คำร้องขอให้พิจารณาคดีในห้องพิจารณาคดีที่มีขนาดใหญ่ขึ้นถูกปฏิเสธ

หากยังมีคำถามอยู่อีกว่า เหตุใดรัฐบาลจึงต้องลงทุนและพยายามอย่างมากที่จะกีดกันไม่ให้การดำเนินคดีที่แท้จริงเกิดขึ้น อันเป็นการทำลายกระบวนการปรองดองสมานฉันท์ ทั้งนี้เพราะรัฐบาลกลัวคำตอบจากผลการการชันสูตรศพของเหยื่อหลายรายจากผู้เชี่ยวชาญอิสระ ดูเหมือนว่ากลุ่มอำมาตย์ทหารที่ควบคุมประเทศอยู่ในเวลานี้จะฝากความหวังไว้กับการพยายามปฏิเสธครั้งแล้วครั้งเล่าว่าการสังหารเหล่านี้ไม่เคยเกิดขึ้น

เมื่อพิจารณาจุดยืนของรัฐบาลอภิสิทธิ์ในคดีนี้จะพบว่า แทนที่จะแสดงข้อมูลที่สนับสนุนข้อกล่าวอ้างของตน รัฐบาลกลับพยายามอย่างมากที่จะปัดความรับผิดชอบต่อประชาคมโลก ข้อเท็จจริงคือ มีฝ่ายหนึ่งที่สนใจให้มีการนำเสนอข้อมูล หลักฐาน การสอบสวนและดำเนินคดีอย่างเปิดเผย และอีกฝ่ายที่กล่าวตนเองเท่านั้นที่มีสิทธิขาดในการพิจารณาตรวจสอบคดี โดยสรุป เรายินดีที่จะพิสูจน์หลักฐานที่ระบุว่ารัฐบาลกระทำความผิดจริงอย่างเปิดเผยในศาลยุติธรรม

จนถึงทุกวันนี้ พันเอกสรรเสริญ นายเทพไท และนายอภิสิทธิ์ รวมถึงบุคคลอื่นๆ ไม่ได้แสดงความมั่นใจต่อจุดยืนของตนเอง แต่กลับพยายามแสดงพฤติกรรมหลีกเลี่ยงความผิดของตนเอง

ที่มา:ประเทศไทย Robert Amsterdam

******************************************************************

วันศุกร์ที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2553

"ไชยยันต์ ไชยพร"เฮ! ศาลพระโขนงตัดสินยกฟ้องคดีฉีกบัตรเลือกตั้ง 2 เมษายน

ในการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อวันที่ 2 เมษายน 2549    ณ  หน่วยเลือกตั้ง 62 เขตเลือกตั้งที่ 21 โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ แขวง-เขตสวนหลวง กทม. เมื่อเวลา 09.30 น. นายไชยยันต์ ไชยพร อายุ 47 ปี หัวหน้าภาควิชาการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย บัญชีหมายเลข 96 ได้เดินเข้าคูหาลงคะแนน และกาช่องไม่เลือกใคร ก่อนเดินถือบัตรลงคะแนนออกมาให้สื่อมวลชนดู
    
"ผมขอทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง" จากนั้นจึงฉีกบัตรเลือกตั้ง และยอมให้เจ้าหน้าที่ตำรวจประจำหน่วยเลือกตั้ง สน.ประเวศ 2 นาย เดินมาควบคุมตัวแต่โดยดี ทั้งสองฝ่ายต่างยิ้มให้กันอย่างเป็นกันเอง ในขณะที่ประชาชนจำนวนมากที่มาใช้สิทธิปรบมือโห่ร้องให้กำลังใจ รวมถึงนายยืนยง โอภากุล หัวหน้าวงคาราบาว ซึ่งมาร่วมสังเกตการณ์ด้วย

จากนั้น นายไชยยันต์ขออ่านแถลงการณ์ที่เตรียมมาจำนวน 4 แผ่น ให้ผู้สื่อข่าวฟัง โดยตำรวจทั้งสองคนก็ยินยอมแต่โดยดี มีใจความโดยสรุปว่า "ระบอบทักษิณ" ได้ยักยอก และยึดครองประชาธิปไตยโดยสิ้นเชิงแล้ว การเลือกตั้งครั้งนี้เป็นการลงมติรับรองผู้นำเผด็จการเท่านั้น การยุบสภาที่เกิดขึ้นทำไปเพื่อประโยชน์ของคนคนเดียวที่ไม่ยอมรับการตรวจสอบปัญหาคอร์รัปชั่นและผลประโยชน์ที่ทับซ้อนที่ได้กระทำไป ในสถานการณ์เผด็จการจำแลงเช่นนี้ รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันได้เล็งเห็น และให้สิทธิพื้นฐานแก่ชนชาวไทยไว้แล้ว ในมาตรา 65 จึงขอปฏิเสธหน้าที่พลเมืองที่กำหนดไว้ในกฎหมายเลือกตั้ง เพื่อรักษาสิทธิเสรีภาพโดยฉีกบัตรเลือกตั้ง


"คดีนี้ผมจะเรียนต่อเจ้าพนักงานว่า ผมขอสู้คดีในชั้นศาล โดยจะไม่ยอมรับการเปรียบเทียบปรับใดๆ โดยจะขอต่อสู้คดีนำสืบให้ศาลเห็นถึงการใช้อำนาจยุบสภาโดยบิดเบือนจากวิถีทางในรัฐธรรมนูญเป็นลำดับไป และขอยืนยันว่า ผมไม่ได้ป่วยทางจิต" นายไชยยันต์ระบุ


ผ่านมา 4 ปี  คดีนายไชยยันต์ ไชยพรฉีกบัตรเลือกตั้ง ศาลจังหวัดพระโขนง ได้นัดฟังคำพิพากษา  ในวันที่29 ตุลาคม เวลาบ่าย   โดยก่อนหน้านี้ นายไชยยันต์ ได้ร้องขอความเป็นธรรม ต่ออัยการสูงสุด  แต่ที่สุด อัยการ ได้ยื่นฟ้องต่อศาลจังหวัดพระโขนง เมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม 2553  

ล่าสุด ศาลจังหวัดพระโขนง ได้ตัดสินยกฟ้องนายไชยยันต์ ไชยพร ในคดีฉีกบัตรเลือกตั้ง เมื่อวันที่ 2 เมษายน 2549 ซึ่งสร้างความยินดีให้แก่นายไชยยันต์

ก่อนหน้านี้  นายแก้วสรร อติโพธิ อดีตสมาชิกวุฒิสภาและอดีตอาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เปิดเผยว่า ผมไม่ได้เป็นพยานในคดีดังกล่าว แต่ได้ให้คำปรึกษานายไชยยันต์ ในการสู้คดี สำหรับแนวทางการต่อสู้คดีมี 2 ประเด็น ประกอบด้วย 1) สู้ตามกฎหมายเลือกตั้งว่าไม่มีความผิด เพราะมีแนวฎีกาว่า บัตรเลือกตั้งที่ห้ามทำให้เสียหาย หมายถึงบัตรที่กาลงคะแนนและอยู่ในหีบบัตรเลือกตั้งแล้ว แต่หากยังไม่ลงคะแนน ก็เป็นบัตรของเรา ซึ่งในประเด็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ มีแนวฎีกาเคยมีคำวินิจฉัยเอาไว้ 2) สู้ว่าเป็นสิทธิที่ทำได้ ตามรัฐธรรมนูญ เพราะการยุบสภาไม่ถูกต้อง การเลือกตั้งครั้งนั้นไม่ถูกต้อง จึงอยู่ในการต่อสู้แบบอารยขัดขืน ไม่ได้ทำให้ใครเสียหาย "

 แหล่งข่าวในวงการนักกฎหมายมหาชน เปิดเผยว่า  คดีนี้ถูกจับตามองเป็นพิเศษ โดยเฉพาะในประเด็นกระบวนการยุติธรรมจะเป็น 2 มาตรฐานหรือไม่  เพราะคดีฉีกบัตรเลือกตั้งมีแนวคำพิพากษาที่แตกต่างกันมาก


*******************************************************************************
ที่มา: มติชนออนไลน์

กฎหมายโอเวอร์โหลด

อย่างที่ทราบกันไปแล้วในฉบับก่อนๆ ว่ากฎหมายไทย แม้จะมีหลาย มาตรา แต่บางเรื่องไม่สามารถนำมาใช้ จริง ในขณะเดียวกัน บางเรื่องนำมาใช้ได้จริงเป็นอย่างดี แต่กลับไม่มีการบังคับใช้อย่างจริงจัง ซึ่งเป็นจุดด้อยที่สุดของบ้านเรา

เหตุที่เป็นเช่นนี้เพราะบ้านเราให้ สิทธิ์ผู้ที่ปฏิวัติรัฐประหารสำเร็จมีอำนาจ ฉีกรัฐธรรมนูญเป็นว่าเล่น นอกจากนั้น ต้องยอมรับด้วยว่า คนมีอำนาจในบ้าน เมืองเรายังดัดจริต ไม่ยอมรับว่าในขณะนั้นๆ เรามีปัญหาอะไร ไม่ยอมรับความ จริง ทั้งที่บางครั้งรู้แก่ใจ และไม่มองว่าอะไรได้เกิดขึ้นกับคนในชาติแล้ว... ถ้าจะบอกจุดบอดให้หมดคงสาธยายไม่พอในคอลัมน์นี้

ยกตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ “เรื่องของการพนัน” ที่รู้ทั้งรู้ว่าคนบ้านเรา เล่นหวยกันเต็มบ้านเต็มเมือง แต่เมื่อ มีหวยบนดิน เอาเงินนอกระบบมาเข้า รัฐ กลับถูกยกเลิกเมื่อมีการปฏิวัติ รวมถึงหวยออนไลน์ที่จะออกมาก็ไม่ผ่าน ในขณะที่ “สนามม้า” “สนามมวย” ก็ยังมีการเล่นกันให้เกลื่อน และเป็นที่รับรู้ของสังคมไทย

นี่ยังไม่รวม “โต๊ะบอล” “ตู้ม้า” ที่มีให้เห็นกันทั่วไปตามสถานบันเทิงเกือบทั่วประเทศ ขณะที่คนบางกลุ่มหรือบางหน่วยงานก็ออกมาร้องแรกแหกกระเฌอว่า “การพนันผิดศีล ไม่เหมาะกับสังคมพุทธอย่างประเทศไทย” แต่ถามหน่อยว่า “เคยมีใครคิดบ้างไหมว่าการพนันไม่มีระบุอยู่ในศีลห้า” ในขณะที่สิ่งที่ผิดศีลสำหรับชาวพุทธจริง คือศีลข้อ 5 “สุรา” แต่รัฐกลับเปิดขายเสียเอง

แต่ก็พอเข้าใจว่า บ้านเราเป็นเมือง ท่องเที่ยว หากเรามีกฎหมายห้ามในเรื่องนี้ออกมา ต่างชาติคงไม่มาท่องเที่ยว บ้านเรา ต่อให้มีแหล่งท่องเที่ยวสวยปานสวรรค์วิมานปานใด ก็ออกจะเป็น การบังคับกันเกินไป เพราะฉะนั้น สิ่งหนึ่ง ที่ผู้หลักผู้ใหญ่หรือคนมีอำนาจบ้านเรา ต้องพึงสำเหนียกก็คือ “การออกกฎหมายหรือข้อบังคับใดๆ ต้องไม่ตึงหรือ หย่อนเกินไป”

การที่จะออกกฎหมายใดต้องคำนึงถึงความเป็นจริง และการนำมาใช้ได้จริง โดยที่ไม่ส่งผลกระทบต่อคน ส่วนใหญ่ ในขณะเดียวกัน ต้องให้ประชาชนมีส่วนร่วม และต้องไม่กระเทือนต่อรายได้หลักของประเทศ ซึ่งต้องพึ่งพาการส่งออกและการท่องเที่ยว เป็นหลัก

อย่างกฎหมายเกี่ยวกับ “บุหรี่” ที่ยกเลิกโซนสูบบุหรี่ในสวนจตุจักร รวมถึงการไม่พบเห็นห้องสูบบุหรี่ในสนามบินเมืองไทย ทั้งที่ทั่วโลกเขายัง มีอยู่ เรื่องนี้จะทำให้นักท่องเที่ยวลดลงไปหรือเปล่า คงต้องรออีกระยะหนึ่ง

ล่าสุดทราบว่า “ร่างกฎหมาย ควบคุมแอลกอฮอล์” กำลังเข้าสู่ ครม. หลังผ่านความเห็นชอบจากกระทรวง สาธารณสุข ซึ่งถ้าผ่านความเห็นชอบ จากสภา บ้านเราจะปลอดการจำหน่าย สุราในรัศมี 500 เมตรรอบสถานศึกษา บ้านเราจะไม่มีเหล้าปั่นขาย แถมเรายังจะได้เห็นรูปภาพและข้อความเตือน บนขวดหรือภาชนะเหมือนกับบุหรี่

แต่ถามว่า คนต้นคิดออกกฎหมาย ซึ่งเป็นท่านผู้ดีทั้งหลายที่ถือศีล ครบ 5 ข้อ เคยมองภาพความเป็นจริง บ้างหรือไม่ เคยมองถึงผลกระทบที่จะ เป็นคลื่นใต้น้ำ อันจะกระทบต่อเศรษฐกิจ การท่องเที่ยว และอื่นๆ หรือไม่

ยกตัวอย่าง “กรณีปลอดเหล้า 500 เมตร รอบสถานศึกษา จะเป็น ไปได้หรือไม่” เพราะสถานศึกษาบ้าน เรามีกระจายทั่วทุกพื้นที่ อย่างในพื้นที่ เศรษฐกิจทำเลทองของนักท่องเที่ยว อาทิ ถนนข้าวสาร พัทยา เชียงใหม่ เป็นต้น

และที่สำคัญที่สุดคือ ผลกระทบ ต่อการท่องเที่ยว ที่ผมว่าเกิดขึ้นแน่ๆ หากมีการติดภาพและคำเตือนเหมือน กับบุหรี่ ซึ่งเท่าที่ทราบต้องกินพื้นที่ไม่ น้อยกว่า 30% ของขวดหรือภาชนะ ลองนึกภาพการต้อนรับทูตต่างชาติที่ต้องรินแชมเปญที่มีรูปอุบัติเหตุเมาแล้วขับพร้อมด้วยคำเตือนตัวโตๆ งานเลี้ยงวันเกิดแล้วเจอรูปคนตายจากการ ทะเลาะวิวาท นักท่องเที่ยวจะสั่งเบียร์ เหล้า แล้วต้องมาเจอกับภาพต่างๆ ที่มีขนาดใหญ่กว่าฉลากบอกยี่ห้อ

ผมไม่รู้ว่าประเทศไหนทำแบบนี้ แล้วบ้าง แต่บอกตามตรง นักท่องเที่ยว เขาจะหนีไปเที่ยวประเทศที่ไม่มีกฎหยุมหยิม ดื่มแล้วสบายใจ สบายอารมณ์ มีที่สูบบุหรี่เป็นสัดส่วนในสถานที่ต่างๆ และที่สำคัญผลที่ตามมา คือ การลักลอบนำเข้าเหล้าจากต่างประเทศ และเหล้าปลอมก็จะตามมา

สรุปคือ “ผมว่าน่าจะมีการบังคับ ใช้กฎหมายที่มีอยู่ให้จริงจังมากกว่าจะ ออกกฎหมายใหม่ให้พร่ำเพรื่อ โดยเฉพาะกรณีเมาแล้วขับ ต้องบังคับใช้ ให้จริงจังเหมือนต่างประเทศ ขอถาม คำสุดท้าย บ้านเราถ้า ส.ส.เมาแล้วขับ ตำรวจที่ไหนจะกล้าจับ?”

ที่มา.สยามธุรกิจ
********************************************

นักการเมืองเหนือน้ำ 'ทักษิณ' ร่วมทุนสร้างฉาก เพื่อไทยลุยน้ำท่วมในภาวะแพแตก

กลุ่มก๊วนต่าง ๆ ในพรรคเพื่อไทย ต่างแยกกันเดิน ร่วมกันตี แม้แต่การลงพื้นที่น้ำท่วม ยังต้องรอคำสั่งจาก "ทักษิณ" เหมือนกับการเคลื่อนไหวเรื่องอื่น ๆ

ทันทีที่คำสั่งมาถึงพรรค ต่างคน ต่างก๊ก ต่างแยก "สังกัด" ปฏิบัติหน้าที่

อย่างน้อยก็มีทีมของ "คุณหญิง

สุดารัตน์ เกยุราพันธุ์" ที่แยกไปทำกิจกรรมสร้างแบรนด์ "มูลนิธิไทยพึ่งไทย" ตอกย้ำยี่ห้อข้างถุงยังชีพ ว่าเป็นคนละส่วนกับเพื่อไทย

ส่วนทีมงานน้องเขย-อดีตนายกรัฐมนตรี "สมชาย วงศ์สวัสดิ์" ก็แยกทีมไปลงพื้นที่กับคณะผู้บริหารพรรคเพื่อไทย ในนามของ "พรรคเพื่อไทย" สร้างแบรนด์ด้วยคำข้างถุงยังชีพ "ด้วยน้ำใจ จากพรรคเพื่อไทย"

อดีตนายกรัฐมนตรี คนที่ 26 "อ้างถึง" อดีตนายกรัฐมนตรี คนที่ 23 ของประเทศไทย ในวาระช่วยชาวบ้านว่า

"ท่านทักษิณบอกให้มาเยี่ยมชาวบ้านเยอะ ๆ และท่านเองก็สนับสนุนอยู่ เบื้องหลัง น้ำท่วมขนาดนี้ พวกเราได้รับความลำบากกันมาก ผมเข้าใจดีบ้านผมเคยน้ำท่วม..."

ในพายุการเมืองของศูนย์กลางอำนาจ ทั้งคลิปตุลาการ และเสถียรภาพพรรคแกนนำรัฐบาลอย่างประชาธิปัตย์ ณ

เวลาเดียวกันก็รายล้อมไปด้วยภัยพิบัติธรรมชาติ จากน้ำท่วม ทำให้ "ข่าวคลิป" เงียบเสียงไปได้ชั่วขณะ

ระหว่างที่รัฐบาลเร่งให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยตามอำนาจฝ่ายบริหาร ในส่วนฝ่ายค้านเองก็ไม่ยอมตกขบวนเช่นกัน

วาระใหญ่งานช้างที่ประชาชนเดือดร้อนกันหลายจังหวัด นายสมชาย ลงไปเป็น "ตัวแทน" ของครอบครัวและพรรค โดยมี "ตัวจริง" คือนายสาโรจน์ หงษ์ชูเวช รอง ผอ.พรรค

เพื่อไทยฝ่ายการเมือง กำกับบทในพื้นที่ จ.นครราชสีมา ลพบุรี ชัยภูมิ และขอนแก่น

ในพื้นที่น้ำท่วม ถูกจัดให้สมบทบาทอดีตนายกรัฐมนตรี อาทิ ฉากกิจกรรมแอ็กชั่น บริจาคสิ่งของทั้งในที่ลุ่มและที่ดอนท่ามกลางน้ำเชี่ยว

"สมชาย" ยืนเด่นให้สัมภาษณ์กลางสายน้ำท่ามกลางขอนไม้และข้าวของบริจาค

รวมทั้ง ขึ้นเรือเล็กลงพื้นที่ห่างไกลถนนสายหลัก ต้องฝ่าสายน้ำด้วย เพื่อเข้าถึงพื้นที่ "ดอน" สะดวกแก่การจัดเป็นเวทีไฮด์ปาร์ก เพื่อจัดวงปราศรัยย่อย ก่อนพิธีกรรมแจกของ

ร่วมกับนพดล ปัทมะ อดีตรัฐมนตรี

เลือดเนื้อเชื้อไขคนโคราช พร้อมทั้ง

โฆษกเสด็จพี่ "พร้อมพงศ์ นพฤทธิ์"

เรียกเสียงกรี๊ดจากแม่ยก

อดีตนายกฯ "สมชาย" บอกกับ

ผู้ประสบภัยว่า "ผมและคณะมาแสดงความเห็นใจพ่อแม่พี่น้องผู้ประสบภัยจากน้ำท่วม ถ้าไม่ได้มาสบตากัน ก็ไม่รู้ว่าลำบากขนาดไหน ต้องมาเห็นใจกัน

ไม่งั้นไม่ใช่พรรคเพื่อไทย แม้ผมไม่ได้อยู่พรรคเพื่อไทยแล้ว แต่ผมก็ยังรักพรรค

เพื่อไทยอยู่"

ท่ามกลางซากน้ำท่วม ความทุกข์ของชาวบ้าน เสียงโห่ร้องดังขึ้นเมื่อคำปราศรัยประกาศเพื่อไทยขอกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรี

"ผมและคณะมีข้าวของติดไม้ติดมือเท่าที่หามาได้ เราใช้เงินส่วนตัวตามมีตามเกิด เราไม่ใช่รัฐบาลที่จะมีงบฯสนับสนุน ผมขอเตือนรัฐบาลว่าท่านทำงานช้าเกินไป ถ้ารัฐบาลทำงานไม่ได้ ผมเสนอให้ท่าน ออกไปครึ่งเดือน ผมจะแก้ปัญหาให้ แล้วท่านค่อยกลับมาใหม่"

แม้ว่าจะมีการออกตัวว่า "ความจริงเราไม่ได้ทำงานเพื่ออำนาจ ไม่ได้ออกมาเพื่อเป็นข่าว แต่มาช่วยเหลือพี่น้อง แม้จะไม่ได้มีงบประมาณเหมือนรัฐบาล"

ชื่อ "ทักษิณ" ยังขลัง แม้น้ำท่วมขัง "สมชาย" จึงต้องอ้างถึง วรรคต่อวรรค คำต่อคำ

"ก่อนเดินทางมาได้พูดคุยกับท่านทักษิณ ท่านบอกให้รีบไปช่วยพี่น้องประชาชน ท่านฝากความห่วงใย หัวใจ อยู่กับเราทุกคน ท่านได้บริจาคเงินผ่านสภากาชาดไทย 5 ล้านบาท เพื่อเป็นศูนย์รวมในการดูแล ท่านมาไม่ได้จึงฝากให้ผมและคณะมาดูแล"

ภัยพิบัติ-โศกนาฏกรรม "สึนามิ"

ถูกนำมาอ้างเป็นโปรไฟล์ส่วนตัวของ "ทักษิณ"

"ขอให้รัฐบาลเร่งมือให้เร็วกว่านี้หน่อย บริหารจัดการให้กระชับกว่านี้หน่อย ขอให้ดูตัวอย่างตอนรัฐบาลทักษิณจัดการกับเหตุการณ์สึนามิ"

แม้คนมาเยี่ยมชื่อ "สมชาย"

แต่ผู้ปราศรัยขอให้ปรบมือถึง "ทักษิณ" และถ้าอยากให้ "ทักษิณ" กลับบ้าน

ต้องเลือก "สมชาย" เป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง

ขณะที่สายตรงตระกูลชินวัตรฯเดินสายลงพื้นที่ ขึ้นรถ ลงเรือ ลุยน้ำ ก็ปรากฏภาพเจ้าแม่ กทม. คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์

ยกขบวนแยก ส.ส. กทม. พรรคเพื่อไทย ไปขึ้นบกที่นครราชสีมา

ทีมงานเจ้าแม่ กทม.เปิดศูนย์ช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมเป็นเอกเทศ แยกต่างหากจากพรรคเพื่อไทย

สำหรับนักการเมืองแล้ว ทุกย่างก้าว

มีจังหวะ ทุกจังหวะมีต้นทุนที่ต้องจ่าย

กำไรทางการเมืองจะออกดอกออกผลใน

วันเลือกตั้ง

สำหรับ "ทักษิณ" ห้วงนี้มีแต่ต้อง "ลงทุน" ให้กับเพื่อไทย แม้อยู่ในสภาพคล้าย "แพแตก"

ที่มา:ประชาชาติธุรกิจ
******************************************

ได้ดีมาเพราะปาก??

ปากหอยปากปูเขาว่ามา

ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่หลายต่อหลายคนที่เจริญเติบโตมาทุกวันนี้ฝีไม้ลายมือในการทำงานเพื่อชาติบ้านเมืองนั้นแทบมองไม่เห็น

แต่ฝีปากและความกล้าที่จะทำทุกวิถีทางเพื่อรับใช้การเมือง และเพื่อให้ฝ่ายการเมืองพึงพอใจไม่ว่าจะถูกหรือผิดนั้นเกินร้อย

โดยเฉพาะเรื่องปากกระดากเป็นไม่มี

ช่วงนี้หลายปากชักเริ่มจ๋อยเพราะถูกเบรค

ได้ดีเพราะปาก พูดมากๆ ระวังปากพาจนไม่รู้ด้วยนะ???
........................................................................

บางกอกอาย??

ข่าวกรุงเทพมหานครของคุณชายสุขุมพันธุ์ บริพัตร ไอเดียกระฉูดจะสร้างกระเช้าลอยฟ้าหรือชิงช้าสวรรค์เพื่อให้เป็นที่ชมวิวเป็นบางกอกอายแห่งใหม่ของกรุงเทพฯ

สนนราคาก็ประมาณสามร้อยล้านบาท

น้ำท่วมซ้ำซากอยู่ทุกปี

ทางที่ดีเอาเงินสามร้อยล้านบาทมาสร้างเขื่อนกั้นน้ำที่ยังสร้างไม่ครบทุกจุดน่าจะดีกว่าไหม???

หรือว่าปล่อยมันอย่างนี้แหละ เพราะน้ำท่วมทีไรก็เกิดคนรวยใหม่ขึ้นมาทุกครั้งไป??
........................................................................

ประชาชนไม่ใช่ไอ้เณรนะ??

ตั้งแต่นั่งเก้าอี้ทรงอิทธิพลลูกน้องล้อมหน้าล้อมหลังพรึ่บพรั่บ

พลเอกประยุทธ จันทรโอชา ผู้บัญชาการทหารบกมาดเข้มขึ้นทุกวัน

เรื่องของประชาชนที่เขาทำกิจกรรมในระบอบประชาธิปไตยปล่อยได้ก็ควรปล่อยไป

เพราะแม้รัฐธรรมนูญยังรับรองการกระทำเหล่านั้นว่าทำได้เลย

ไอ้ห้าวๆ สั่งเปรี้ยงปร้างนอกจากจะไม่ได้ผล ยิ่งจะเหมือนราดน้ำมันใส่กองไฟ

นอกจากไฟไม่ดับกลับจะลุกโพรนขึ้นมากกว่าเดิมอีกต่างหาก

ถ้าประชาชนเหล่านั้นเป็นทหารหรือเป็นไอ้เณรก็ว่าไปอย่าง ..จะสั่งการจะบัญชาอย่างไรก็เชิญว่าไปตามถนัด !!
.........................................................................

โรคซ้ำกรรมซัด ??

ช่วงนี้คนไทยเป็นโรคซึมเศร้ากันมาก

ก็โดนห่ากระสุนจากการกระชับพื้นที่และขอคืนพื้นที่ตายเป็นร้อยเจ็บเป็นพัน

แถมถูกกระหน่ำด้วยลมปากที่ไม่รู้อะไรเจาะมาทำให้ดัชนีมวลรวมของความสุขลดลงเป็นกระบุงโกย

ไม่ทันไรก็เจอกับกระแสน้ำที่ท่วมท้นเกือบครึ่งค่อนประเทศซ้ำเติมเข้าไปอีก

แล้วอย่างนี้ใครจะสดใสเริงร่าอยู่ได้ล่ะ

ว่าแต่ว่า “พวกขี่ช้างกางร่มเป็นพระยา อย่าลืมชาวบ้านชาวนาที่ขี่ความคอนกล้า” ก็แล้วกัน

ฝากพวกเห็นคนไม่เป็นคนเอาไว้ด้วย???
.........................................................................

วันพิพากษา??

วันเสาร์ที่ 30 ตุลาคมนี้ วันเลือกตั้งซ่อม ส.ส.จังหวัดสุราษฎร์ธานีเขต 1

ถ้าเล่นผีก็แบเบอร์ เล่นเฮโลก็เปิดถ้วยแทงว่างั้นเถอะ

“เทพเทือก” สุเทพ เทือกสุบรรณ แห่งประชาธิปัตย์ ดีกรีอดีตรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงชนะแหงแก๋

ที่สำคัญ วรวุฒิ วิชัยดิษฐ์ คู่แข่งจากพรรคเพื่อไทยจะได้คะแนนกี่มากน้อยเท่านั้นเอง

ถ้า วรวุฒิ วิชัยดิษฐ์ ได้คะแนนซักครึ่งหรือเกือบครึ่งของ “เทพเทือก” แล้วล่ะก็

ถึงแม้จะได้เป็น ส.ส. แต่ “เทพเทือก” ก็เสียรังวัดไม่ใช่น้อย

อะไรไม่ว่าที่จะเสียดแทงใจก็พวกเดียวกันนั่นแหละพี่น้อง ??
............................................................................
ที่มา:บางกอกทูเดย์
คอลัมน์:ตอดนิดตอดหน่อยใต้ฟ้า
*******************************************************

มือดีดึงกระสอบทรายออกน้ำทะลักเข้าหมู่บ้านเมืองเอก

นายสมพงษ์ ศรีอนันต์ นายกเทศมนตรีเทศบาลตำบลหลักหก ได้รับแจ้งเกิดแนวกระสอบทรายกั้นน้ำที่ทางเทศบาลตำบลหลักหก อ.เมือง จ.ปทุมธานี สร้างคันกั้นน้ำเอาไว้ด้วยความสูง 1 เมตร ตลอดทางความยาว 4 กิโลเมตร ริมคลองรังสิตประยูรศักดิ์ ซึ่งเป็นคลองที่เชื่อมต่อกับแม่น้ำเจ้าพระยา ถูกมือดีดึงกระสอบทรายออกได้รับความเสียหายทำให้ปริมาณน้ำไหลเข้าหมู่บ้านเมืองเอก หมู่ที่ 5 ต.หลักหก อ.เมือง จำนวนมากจึงเดินทางไปตรวจสอบบริเวณสะพานข้ามคลองรังสิตประยูรศักดิ์ หมู่ที่ 5 ต.หลักหก ได้มีกำลังเจ้าหน้าที่เทศบาลตำบลหลักหก นักศึกษาของมหาวิทยาลัยรังสิตทั้งชายและหญิง กว่า 200 คน และ เจ้าหน้าที่สนามกอล์ฟเมืองเอก และสนามกอล์ฟวินต้า กว่า 100 คน พร้อมเครื่องจักรกลหนัก และรถแบคโฮกำลังช่วยกันสร้างคันดินและเสริมแนวกระสอบทราย หลังมือดีดึงกระสอบทรายที่ทางเทศบาลตำบลหลักหกสร้างเอาไว้เพื่อไม่ให้น้ำไหลเข้าท่วมหมู่บ้านเมืองเอกชั้นใน ออกได้รับความเสียหายเป็นทางยาวประมาณ 10 เมตร ทำให้น้ำจากคลองรังสิตประยูรศักดิ์ไหลเข้าสู่พื้นที่ชั้นในของหมู่บ้านเมืองเอก

นายสมพงษ์ กล่าวว่า จุดที่ได้รับความเสียหายนั้นเป็นที่มืดริมคลองไม่มีไฟส่องสว่างจึงไม่มีใครเห็นลักษณะการแต่งกายของผู้ก่อเหตุ และหากปริมาณน้ำไหลเข้าท่วมภายในหมู่บ้านเมืองเอกได้นั้นค่าความเสียหายจะมหาศาลมาก เพราะภายในหมู่บ้านเมืองเอกประกอบไปด้วยมหาวิทยาลัยรังสิต หอพักนักศึกษา สนามกอล์ฟเมืองเอก และหมู่บ้านเมืองเอกที่บ้านแต่ละหลังราคากว่า 10 ล้านบาท อาจจมบาดาลได้ เพราะน้ำในคลองรังสิตกับพื้นถนนภายในหมู่บ้านนั้นความสูงต่างกัน 1.60 เมตร และในขณะที่ทางมหาวิทยาลัยรังสิตได้ทราบข่าวจัดส่งนักศึกษาของสถาบันมาช่วยกลอกทรายบรรจุกระสอบ พร้อมแก้ไขแนวกระสอบทรายที่ได้รับความเสียหายจากผู้ไม่ประสงค์ดีที่ดึงเอากระสอบทรายออก และทางเทศบาลได้ตั้งเครื่องสูบน้ำเพิ่มเติมเพื่อดูดน้ำด้านในออกคาดว่าไม่เกิน 2 ชั่วโมงน่าจะเข้าสู่สภาวะปกติพี่น้องประชาชนไม่ต้องวิตกกังวลแต่อย่างใด

นายสมพงษ์ กล่าวต่อว่า ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่เทศกิจ ออกตรวจสอบแนวกระสอบทรายกั้นน้ำตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ที่ไม่ประสงค์ดีดึงกระสอบทรายออก และหากผู้ใดพบเห็นและจับกุมได้ให้นำตัวมาส่งมอบให้ตนจะมีรางวัลเป็นสินน้ำใจมอบให้ส่วนสาเหตุนั้นน่าจะมาจากความเครียดของชาวบ้านริมคลองที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาน้ำท่วมไม่มีที่ขับถ่ายน้ำก็เกิดเน่าเหม็นส่งกลิ่นรบกวนผู้พักอาศัยจึงเป็นเหตุกระสอบทรายถูกดึงครั้งนี้ ส่วนคลองส่งน้ำดิบของการประปานครหลวงที่ทางเทศบาลได้นำกระสอบทรายมาปิดกั้นให้ทางการประปา และที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่บริหารระดับสูงได้นำทรายมาเทให้ทางเทศบาลเพื่อสร้างแนวคันป้องกันน้ำไหลเข้าคลองส่งน้ำดิบของการประปานั้นทางชาวบ้านต่างบ่นว่านำทรายมาให้กรอกกระสอบทรายไปตั้งคันแนวให้แต่ไม่ยอมส่งข้าวปลาอาหารที่จะต้องหากินกันสามมื้อนั้นกับไม่มีให้มาเลย แต่วันนี้ทางการประปาได้ส่งน้ำดื่มมาให้เท่านั้นจึงเป็นเหตุให้ชาวบ้านโกธรจึงมีการมาดึงกระสอบทรายดังกล่าว


ที่มา.เนชั่น

วันพฤหัสบดีที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2553

อดีตผู้นำยอดแย่?



โดย โรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม ใน Foreign Policy
เมื่อไม่นานมานี้ นิตยสาร Foreign Policy ได้นำเสนอเรื่องราวในทางลบเกี่ยวดับอดีตนายกรัฐมนตรีแห่งประเทศไทย ทักษิณ ชินวัตร (อดีตผู้นำยอดแย่: 1 ตุลาคม 2553) ในฐานะที่ปรึกษาทางกฎหมายของอดีตนายกรัฐมนตรี ผมขอให้ผู้อ่านพิจารณาอย่างรอบคอบว่า เหตุใดทักษิณยังคงได้รับความนิยมจากผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งในประเทศไทยอยู่

ผมรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้เป็นตัวแทนของอดีตผู้นำเพียงบุคคลเดียวในประวัติศาสตร์ไทย ตั้งแต่มีการเปลี่ยนการปกครองในปี 2475 ที่ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีจนครบวาระ 4ปี (2544-2548) นายกรัฐมนตรีทักษิณและพรรคไทยรักไทยชนะการเลือกตั้ง โดยเป็นพรรคเดียวที่ได้รับเสียงส่วนมากในสภา จากคะแนนเสียงของประชาชนที่ทักษิณรับใช้อย่างท่วมท้น พรรคไทยรักไทยครองที่นั่งในสภาถึง 75เปอร์เซ็นต์ และในเดือนกันยายน ปี 2549

รัฐบาลของทักษิณถูกยึดอำนาจโดยการทำรัฐประหารที่ผิดกฎหมาย นำโดยเหล่านายพลและสมาชิกเงาของกลุ่มอำมาตย์ ปัจจุบัน 4 ปีหลังจากการทำรัฐประหาร เรายังต้องพยายามแก้ต่างให้กับทักษิณซึ่งถูกป้ายสีจากสื่อที่ไม่มีความเป็นกลาง ตรายางศาล และมติของรัฐสภาอยู่ทุกวัน สิ่งเหล่านี้เป็นเหมือนเครื่องจักรกลไกแห่งการโฆษณาประชาสัมพันธ์

หลักจากที่ถูกใส่ร้่ายป้ายสีมาเป็นเวลานาน ทักษิณยังคงเป็นที่นิยม ทั้งนี้เพราะความสำเร็จอย่างท่วมท้นของรัฐบาลภายใต้การนำของทักษิณ ในการใช้นโยบายบริหารประเทศทางสังคมและเศรษฐกิจ ซึ่งส่งผลให้ประเทศรอดพ้นจากวิกฤติทางเศรษฐกิจ การนำของทักษิณยังคงทำให้ประชาชนในภาคอีสานรอดพ้นจากยุคมืดศักดินา อันนำไปสู่การได้รับสิทธิพื้นฐานทางพลเรือนมากขึ้น ซึ่งทำให้บรรดากลุ่มอำมาตย์ที่เชื่อว่าคนไทยบางกลุ่มเท่านั้นที่มีสิทธิ์ควรจะได้รับโอกาสมากกว่าคนกลุ่มอื่นในประเทศต่อต้านแนวทางนี้อย่างขมขื่น

นาย Joel Schectman ได้เขียนบทความใน Newsweek เดือนพฤษภาคม ปี 2553 ว่า แม้ทักษิณจะมีข้อตำหนิแต่ “ทักษิณแสดงให้เห็นถึง “จุดสูงสุด” ของระบอบประชาธิปไตยและรัฐบาลที่มีความรับผิดชอบในประเทศไทย และความสำเร็จที่สำคัญในการบริหารงานคือ การพัฒนาชนบทและสวัสดิการรักษาพยาบาล ผู้เขียนยังกล่าวว่า ตั้งแต่ปี 2544 ไปจนถึงปี 2549 ทักษิณได้เปิดโอกาสให้คนส่วนใหญ่เข้ามามีส่วนร่วม ซึ่งทำให้ระบอบประชาธิปไตยในประเทศมีประสิทธิภาพ”

เหมือนกับผู้นำทั่วไป ทักษิณมีผู้ที่ไม่เห็นด้วยและมีคนวิพากษ์วิจารณ์ แต่ต่างจากฝ่ายตรงข้ามในประเทศทั่วไป ตรงที่ฝ่ายตรงข้ามทักษิณพยายามที่จะหยิบคดีที่ไม่มีมูลมาฟ้องร้องกล่าวหาทักษิณ ข้อกล่าวหาเดียวที่มีคือ ภรรยาของทักษิณเข้าร่วมประมูลที่ดินสาธารณะ แม้ว่าการซื้อขายที่ดินนั้นจะเป็นราคาที่เหมาะสม แต่ทักษิณถูกตัดสินว่ามีความผิดในกรณีของ “ผลประโยชน์ทับซ้อน” เนื่องจากภรรยาของทักษิณไม่ควรที่จะได้รับอนุญาตให้เข้าร่วมประมูลที่ดินในขณะที่สามีดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี การตัดสินคดีดังกล่าว ไม่ได้ถูกตัดสินโดยศาลที่มีความเป็นอิสระ แต่ถูกตัดสินโดยกลุ่มคนที่ถูกแต่งตั้งโดยคณะรัฐประหาร

การกล่าวหาอย่างผิดๆ ถือเป็นกลยุทธ์ของรัฐบาลชุดนี้ เพราะทักษิณไม่ใช่บุคคลเดียวที่ตกเป็นเป้าหมาย แต่ยังมีคนเสื้อแดงอีกนับร้อยที่ถูกคุมขังด้วยข้อกล่าวหาที่น่าสงสัย นอกจากนี้เวปไซต์อีกกว่า 100,000 เวปไซต์ที่ต่อต้านรัฐบาลยังถูกสั่งปิด ในขณะที่พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำผิดทางคอมพิวเตอร์ พระราชบัญญัติความมั่นคงภายใน รวมถึงพระราชกำหนดบริหารราชการแผ่นดินในกรณีฉุกเฉินที่ยืดเยื้อยังได้ทำให้ประเทศไทยกลายเป็นรัฐโอเวลเลี่ยน (รัฐที่ประชาชนถูกควบคุมอย่างมาก)อีกด้วย  เมื่อไม่นานมานี้ ฝ่ายตรงข้ามทักษิณได้สังหารหมู่ผู้ชุมนุมโดยสงบอีกกว่า 80ราย และประชาชนที่มุงดูเหตุการณ์

รวมถึงนักข่าว โดยการใช้มือปืนซุ่มอยู่บนดาดฟ้ายิงประชาชนอย่างไม่เลือกและเกินกว่าเหตุ ตั้งแต่การทำรัฐประหาร เสรีภาพทางการพูด สิทธิพลเรือน และสิทธิมนุษยชน ในประเทศไทยได้เสื่อมโทรมลงอย่างมาก อาทิเช่น จากการจัดลำดับของการคอร์รัปชั่นในประเทศไทยขององค์กร Transparency International ระหว่างปี 2549 ถึง 2552  ปรากฏว่าประเทศไทยตกลงไปอยู่ในอันดับที่ 59 จาก 84 และเมื่อวานนี้ กลุ่มนักข่าวไร้พรมแดนได้จัดอันดับให้ประเทศไทยอยู่ในลำดับที่ 153 จากการจัดลำดับ “เสรีภาพของสื่อในโลก” โดยก่อนหน้ารัฐประหาร ประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 66 แม้จะทราบข้อเท็จจริงที่ว่าประเทศไทยมีรากฐานของอำนาจนิยม แต่สื่อต่างชาติบางสำนักยังคงเชื่อว่า ในสมัยทักษิณเป็นนายกรัฐมนตรีและประเทศไทยมีความเป็นประชาธิปไตยนั้นแย่กว่าในสมัยปัจจุบันมาก

เมื่อพิจารณาถึงวิกฤตการณ์การเมืองไทยและบทบาทของทักษิณแล้ว ผู้อ่านของ Foreign Policy ควรจะต้องจะต้องมองไปไกลกว่าภาพโปสเตอร์แหล่งท่องเที่ยวของประเทศไทย และจะต้องคำถามว่า เหตุใดรัฐบาลไทยยังคงกลัวเสรีภาพแห่งการพูด และคัดค้านการเลือกตั้งที่แท้จริง

นักวิชาการห่วงคลิปฉาวยุบปชป.ดึงทหารปฏิวัติ

นักวิชาการเผยคนในแวดวงถกเรื่องคลิปอื้อฉาวเกี่ยวกับคดียุบพรรคประชาธิปัตย์อย่างกว้างขวาง ส่วนมากเป็นห่วงทำการเมืองถึงทางตัน ส่งผลให้ทหารออกมาทำรัฐประหาร ระบุหากทำจริงตายหมู่ทั้งประเทศเพราะซัดกันเละแน่ “สมบัติ” ระบุน่าละอายที่ไม่มีตุลาการคนใดแสดงความรับผิดชอบ แถมทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น “เฉลิม” อัดเบี่ยงเบนประเด็นเป็นเรื่องแอบถ่ายกับคนเผยแพร่ผิดกฎหมายโดยไม่คิดชี้แจงข้อเท็จจริง

นายสมบัติ บุญงามอนงค์ หรือ บก.ลายจุด แกนนำกลุ่มวันอาทิตย์สีแดง ระบุว่า ปัญหาคลิปฉาวคดียุบพรรคประชาธิปัตย์และเรื่องต่างๆของศาลรัฐธรรมนูญที่ถูกแฉออกมาอย่างต่อเนื่องทำให้ประชาชนขาดความเชื่อมั่นต่อศาลรัฐธรรมนูญ และรุกลามไปถึงกระบวนการยุติธรรมไทยทั้งระบบ

“ปัญหาการขาดความเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรมกำลังลามไปยังศาลอื่น ความรู้สึกของประชาชนตอนนี้ไม่ได้คิดว่าศาลเชื่อถือได้หรือเป็นองค์กรศักดิ์สิทธิ์อีกต่อไป” นายสมบัติกล่าวและว่า การที่ไม่มีตุลาการคนใดออกมาแสดงความรับผิดชอบต่อเรื่องคลิปฉาวที่มีออกมาเป็นเรื่องน่าอายมาก เพราะท่านถูกแก้ผ้าออกมากลางถนนแล้ว ส่วนตัวคิดว่าที่บรรดาตุลาการไม่แสดงสปิริตเป็นเพราะว่าการได้มาซึ่งอำนาจไม่ได้ยึดโยงกับประชาชน และยังอยู่ในสถานะพิเศษที่ได้รับการปกป้อง ตรงนี้เป็นปัญหาที่ต้องแก้ไขกฎหมายรัฐธรรมนูญ ปรับเปลี่ยนเรื่องที่มาของตุลาการเพื่อให้หลุดพ้นจากการเมือง

นายสมบัติเชื่อว่าหากยังเป็นอย่างนี้ในอนาคตศาลรัฐธรรมนูญจะอยู่ไม่ได้ หากวันใดมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญจะต้องถูกยุบแน่นอน เพราะมีหลายเรื่องที่ประชาชนรับไม่ได้ เช่น กรณีนายจรัญ ภักดีธนากุล ตุลาการ ไปสอนหนังสือมีค่าตอบแทน ซึ่งเป็นกรณีเดียวกับนายสมัคร สุนทรเวช อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ไปสอนทำกับข้าวออกโทรทัศน์จนต้องพ้นจากตำแหน่ง เพราะศาลรัฐธรรมนูญบอกว่าเป็นลูกจ้างขัดต่อรัฐธรรมนูญ แต่กรณีของนายจรัญกลับทำเงียบ ทั้งที่ควรหยิบมาพิจารณาในมาตรฐานเดียวกันว่ากระทำขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่ ยังมีคุณสมบัติเป็นตุลาการอยู่อีกหรือไม่

ผศ.ดร.ธวัชชัย สุวรรณพานิช อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช เปิดเผยว่า ในวงนักวิชาการมีการพูดถึงเรื่องคลิปอื้อฉาวคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ค่อนข้างมาก

“เรื่องนี้ถือเป็นปฏิบัติการดับดวงตะวัน หากจะจุดประกายขึ้นมาใหม่มีทางเดียวคือการรัฐประหาร เพราะปัญหาของการเมืองตอนนี้ได้เดินมาถึงทางตันแล้ว แก้ไขอะไรไม่ได้ ถ้าทหารทำรัฐประหารอีกครั้งเชื่อว่าจะทำให้ประชาชนตาสว่างกว่าเก่า เพราะจะมีคนมาแก้ผ้าให้เราดูกลางตลาด แต่ผมคิดว่าทหารคงไม่กล้าทำ เพราะถ้าทำต้องกอดคอกันตายทั้งประเทศ” ผศ.ดร.ธวัชชัยกล่าวและว่า มีนายทหารคนหนึ่งพูดให้ฟังว่า ถ้ามีการปฏิวัติขึ้นจริงไม่รู้ว่าจะเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น โดยเฉพาะในกองทัพที่ไม่มีความเป็นเอกภาพ

ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย แถลงว่า ประเด็นสำคัญเรื่องคลิปไม่ได้อยู่ที่ใครเป็นคนถ่าย ใครเป็นคนเผยแพร่ แต่อยู่ที่เนื้อหาที่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญและพรรคประชาธิปัตย์ต้องชี้แจงว่ามีการพูดคุยกันจริงหรือไม่ เรื่องอะไร ทำไมแนวทางการต่อสู้คดีของพรรคประชาธิปัตย์จึงสอดคล้องกับเนื้อหาที่ปรากฏในคลิป

“สมัยพรรคพลังประชาชนถูกยุบมีคลิปที่กระทรวงกลาโหม พรรคประชาธิปัตย์หัวเราะชอบใจบอกว่าใครแอบถ่ายไม่สำคัญแต่อยู่ที่เนื้อหาสาระ มาวันนี้กลับเฉไฉและกลบข้อเท็จจริง” ร.ต.อ.เฉลิมกล่าว

ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.เอก อังสนานนท์ ที่ปรึกษา (สบ 10) หัวหน้าคณะพนักงานสอบสวนคดีคลิปยุบพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวหลังการประชุมร่วมกับทีมสอบสวนเป็นครั้งแรกว่า ได้กำหนดแนวทางการทำงานและมอบหมายงานให้แต่ละคนไปรับผิดชอบในประเด็นต่างๆ เพื่อรวบรวมพยานหลักฐาน โดยนัดประชุมเพื่อติดตามความคืบหน้าทุกวันจันทร์

“จุดเริ่มคงต้องไปดูจากคลิปก่อน โดยจะตรวจสอบจากข้อเท็จจริงที่ปรากฏว่ามีใครเกี่ยวข้อง วัน เวลา และสถานที่ที่ปรากฏในคลิป ก่อนที่จะไปดูเรื่องการนำมาเผยแพร่” พล.ต.อ.เอกกล่าวและว่า จะเรียกคนที่ปรากฏในคลิปมาสอบสวนหรือไม่อยู่ที่ดุลยพินิจของพนักงานสอบสวนว่าจะเป็นประโยชน์ต่อรูปคดีหรือไม่

“คดีนี้เป็นคดีอาญา ประเด็นหลักคือหากมีการตัดต่อต้องสืบหาว่าใครเป็นคนตัดต่อ ใครเป็นคนนำมาเผยแพร่ เรื่องนี้ไม่หนักใจเพราะทำตามหน้าที่” พล.ต.อ.เอกกล่าว


จาก:หนังสือพิมพ์ โลกวันนี้**********************************************************************

รัฐสวัสดิการเฉลี่ยความเป็นธรรม

ลดเหลื่อมล้ำ

“หน้ากระดานเรียงหนึ่ง กดปุ่มอภิวัฒน์ประเทศ” ฉบับส่งท้ายเดือนตุลาคม ขอนำเสนอมุมมอง “บุญส่ง ชเลธร” ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านรัฐสวัสดิการ และอดีตผู้นำนักศึกษายุค 14 ตุลาฯ หรือ “13 ขบถรัฐธรรมนูญ” ที่ถูกจับในข้อหาคอมมิวนิสต์ และปลุกปั่นต่อต้านรัฐบาลในขณะนั้น เป็นเหตุให้ต้อง เดินทางไปพำนักพักพิงในประเทศสวีเดนถึง 30 กว่าปี ก่อนจะเดินทางกลับสู่ประเทศไทย

โดยอดีตผู้นำนักศึกษายุค 14 ตุลาฯ ได้อรรถาธิบาย ถึงมิติ ทางการเมืองอันเกี่ยวเนื่อง กับพัฒนาการ และการเคลื่อนไหวภาคประชาชนจากอดีตสู่ปัจจุบัน รวมไปถึงแนวทางรัฐสวัสดิการหรือสวัสดิการ สังคม ที่กำลังเป็นเงื่อนไขใหม่ที่รัฐบาลประกาศใช้เป็นกุญแจ สำคัญในการลดความเหลื่อมล้ำ ในสังคม

>> พัฒนาการในการเคลื่อนไหวภาคประชาชนจากอดีตสู่ปัจจุบัน

“การชุมนุมการเคลื่อนไหวของภาคประชาชนในอดีต อย่างเช่นเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 16 หรือ 6 ตุลาคม 19 ผู้เข้าร่วมชุมนุมทั้งนิสิตนักศึกษาและ ประชาชนจะไม่สลับซับซ้อน ประชาชนจะเคลื่อนอย่างเป็นเอกภาพในการต่อสู้กับเผด็จการรัฐบาลทหาร และที่สำคัญ จะเป็นไปโดยสันติวิธี แต่ในปัจจุบัน การเคลื่อนไหวค่อนข้างมีความสลับซับซ้อนสูง ส่งผลให้ประชาชนไร้เอกภาพ มีตัวแปรเข้ามาเกี่ยวข้องมาก อันเกี่ยวข้องไปถึงนักการเมือง ที่ต้องการครองอำนาจ รวมไป ถึงองค์กรอิสระ หรือแม้กระทั่ง บทบาทข้าราชการ ปัจจัยเหล่า นี้ ทำให้การชุมนุมเป็นไปโดยปราศจากสันติวิธี และมีแนวโน้มเป็นได้สูงว่า อาจจะถูก ล้อมปราบ ตอนนี้โลกมันเปลี่ยน ไปเยอะ สมัยก่อนเราต่อสู้กับเผด็จการทหาร ต่างกับปัจจุบัน ที่นักการเมืองมีอำนาจมาก ข้าราชการก็หันไปรับใช้นัก การเมืองมากกว่าที่จะทำหน้าที่ ของตัวเอง ความซับซ้อนในการต่อสู้จึงมีสูงมาก”

>> แนวทางแก้ไขเพื่อพัฒนาจิตสำนึกการชุมนุม

“ตรงนี้ขอยกตัวอย่างใน ประเทศสวีเดน กรอบกฎหมาย เกี่ยวกับเรื่องการชุมนุมของเขาแข็งแกร่งมาก เขาจะมีการ กำหนดที่ชัดเจนลงไปถึงแผน การชุมนุม ต้องแจ้งกับเจ้าหน้าที่รัฐให้ชัดเจนไปเลยว่า จะชุมนุม ที่ไหน ใช้ระยะเวลาเท่าไหร่ สถานที่แบบไหนไม่ควรก้าวข้าม รั้วเข้าไป จะมีการต่อรองกันได้ ระหว่างภาครัฐและเอกชน มีความเป็นระเบียบมากกว่าบ้าน เรามากนักเพราะประชาชนเขาเห็นแก่ส่วนรวมเป็นหลัก การประท้วงจึงไม่ทำให้สังคมเดือดร้อน คือประชาชนของเขามีสำนึกต่อสังคมสูง จึงไม่มี ปัญหาที่นำไปสู่ความรุนแรง ในส่วนประเทศไทยตอนนี้ ผมเห็น ว่าควรต้องมีการแก้ไขกฎหมายให้ชัดเจนถึงขอบข่ายการชุมนุม และบังคับใช้อย่างเป็นธรรม”

>> แนวทางปรองดองเพื่อลดความขัดแย้งที่กำลังดำเนิน ณ ปัจจุบัน

“การปรองดองที่พูด กันอยู่ในปัจจุบันนี้ มีลักษณะ ที่ไม่มีความเป็นรูปธรรม เพราะหากคิดจะปรองดองกันจริงๆ จะต้องทำกันอย่าง มีแบบแผน มีหลักการ ไม่ใช่แค่การเดินสายไปพูดคุย กันในวงแคบๆ เพราะหากถือธงปรองดองไปคุยกับคน นั้นคนนี้ เขาก็ยินดีปรองดอง กันทุกคนอยู่แล้ว แต่ก็ไม่มีสักคนเลยที่จะมานั่งพูดคุยถึงเรื่องแบบแผนและหลักการที่จะเดินแผนปรองดองไปข้างหน้า”

>> ข้อบริภาษเรื่อง 2 มาตรฐานจะมีผลต่อแผน ปรองดองหรือไม่

“อันที่จริง หากจะมอง ถึงมาตรฐานในสังคมไทยที่มักจะถูกกล่าวอ้างว่ามี 2 มาตรฐาน ผมเห็นว่าเรื่องแบบนี้มีมานานแล้วในสังคม บ้านเรา แต่หากจะพูดกันให้ถูกต้องจริงๆ คือ มันไม่เคยมีมาตรฐานใดเลย เพราะการตัดสินใจว่าอะไรคือ มาตรฐานอยู่ที่ผู้มีอำนาจ เด็ดขาดเท่านั้น ผู้รักษากฎหมายเองก็ไม่ได้ทำงานตาม หน้าที่ เพราะยังมีการแบ่งฝักแบ่งฝ่ายปล่อยให้เกียร์ว่าง ซึ่งเรื่องแบบนี้ควรแก้ที่นักการเมืองมากกว่า”

>> แนวคิดรัฐบาลเกี่ยวกับรัฐสวัสดิการที่จะใช้ลดความเหลื่อมล้ำ

“ก่อนอื่นต้องระบุก่อนว่า คุณอภิสิทธิ์ (เวชชาชีวะ) จะใช้แนวทางสวัสดิการสังคม แต่ผมมองว่า สวัสดิการสังคมหรือรัฐสวัสดิการ ตามเงื่อนไขและความหมายนั้น มันเหมือนกัน คราวนี้เราต้องรู้จักกับคำว่า รัฐสวัสดิการก่อน ว่าอะไรคือรัฐสวัสดิการ ที่ทำได้ และอะไรที่ต้องทำ สังคมไทยเป็นสังคมที่มีความเหลื่อมล้ำกันมากการมีรัฐสวัสดิการก็เพื่อเป็นการเฉลี่ยความเป็นธรรม ในสังคมเพื่อแก้ปัญหาในสังคมที่เกิดขึ้น ณ ขณะนี้”

“สำหรับการดำเนินงานในเรื่องนี้ ของรัฐบาลปัจจุบัน ต้องยอมรับว่าทำไปได้ หลายเรื่องแล้วแต่ยังขาดความเป็นเอกภาพในการทำงาน เพราะแต่ละกระทรวง ต่างคนต่างทำ ไม่มีการประสานงานที่เหมาะสม ที่สำคัญในเรื่องของความจริงใจ รัฐบาลเองก็ไม่ได้มีชัดเจนว่า เป็นแค่การหาเสียงหรือต้องการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนที่แท้จริง”

“ในส่วนที่ผมเป็นห่วงคือการที่ รัฐบาลทำให้รัฐสวัสดิการเป็นของฟรี จะทำ ให้สังคมเข้าใจผิดว่าเป็นเรื่องสามานย์ อย่างเช่น น้ำ ไฟฟรี หรือรถเมล์ฟรีเป็นเรื่องที่อันตรายมาก เพราะจะเกิดความเข้าใจผิด ในเรื่องของรัฐสวัสดิการ และจะเสียนิสัยใน ที่สุดเพราะอะไรๆ ก็ฟรีไปหมด เพราะฉะนั้น ควรจะมีการแบ่งเจ้าภาพให้ชัดเจนว่างานนี้รัฐเป็นผู้จัดสรรให้ได้ เรื่องแบบนี้ผู้รับบริการต้องดูแลเองหรือแม้แต่นายจ้างก็ต้องมีส่วนร่วม ซึ่งการจะทำรัฐสวัสดิการต้องทำให้มีแบบแผน มีระบบไม่ทำงานแบบทับซ้อนรัฐบาลต้องกำหนดนโยบายให้ ชัดเจน”

>> มุมมองเกี่ยวกับสวัสดิการด้านการศึกษาที่เป็นปัจจัยหลักในการพัฒนา องค์ความรู้ประชาชน

“สำหรับเรื่องการศึกษาเรื่องนี้เป็นสิ่งที่ควรส่งเสริมเป็นอย่างมาก ในสหภาพ ยุโรปหลายต่อหลายประเทศสนับสนุนเรื่อง นี้มากในบางประเทศถึงกับเปิดโอกาสให้เรียนฟรีจนจบดอกเตอร์ แต่สำหรับบ้าน เราเปิดโอกาสให้เรียนฟรี 15 ปี แม้จะถือ ว่าไม่น้อย แต่ก็น่าจะมีการยกระดับให้สูงขึ้น เพื่อเปิดโอกาสทางการศึกษาให้มีความหลากหลายและกว้างขวางขึ้นไปกว่านี้”

“อย่างไรก็ดี สิ่งสำคัญที่สุด ที่รัฐบาล ควรให้ความสนใจ คือเรื่องของคุณภาพการศึกษา รัฐบาลต้องมีการพัฒนาให้มีมาตรฐาน เท่ากันทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัด เพื่อลดการหลั่งไหลของนักเรียนที่เดินทางเข้า มาแออัดในเมืองหลวง หรือแม้แต่ในกรุงเทพฯ เอง ก็ยังมีค่านิยมการแย่งกันเข้าเรียนในโรงเรียนดีๆ ไม่กี่แห่ง ซึ่งปัญหาก็มาจากมาตรฐานการศึกษาที่เหลื่อมล้ำกัน นั่นเอง”

>> ข้อห่วงใยเรื่องงบประมาณสนับสนุนการทำรัฐสวัสดิการ

“ในด้านของงบประมาณในการดำเนินงานรัฐสวัสดิการแน่นอนว่าจำเป็นต้องมาจากเงินภาษีอากร ซึ่งในเบื้องต้นอาจยังไม่จำเป็นนัก แต่ในอนาคตก็เป็นเรื่องที่จำเป็นแน่นอน ปัญหาอยู่ที่ว่าทำอย่างไรให้ประชาชนเต็มใจที่จะยอมจ่ายภาษี ในต่างประเทศโดยเฉพาะประเทศที่มีความเป็นรัฐสวัสดิการอย่างเต็มรูปแบบ เขามีการเก็บภาษีกันสูงมากถึง 50% หรืออาจถึง 80% แต่ที่เขาจ่ายเพราะเชื่อมั่น ว่าเงินที่จ่ายไปจะต้องได้รับการคืนกลับมา ในรูปของสวัสดิการสังคม”

“ต่างจากบ้านเราที่ยังขาดความน่า เชื่อถือในเรื่องนี้มาก ปัญหาการคอร์รัปชั่น เป็นอุปสรรคสำคัญที่ทำให้คนไม่อยากที่จะ ยอมเสียภาษี เพราะไม่เชื่อในเรื่องกลไก รัฐว่า เงินที่จ่ายไปจะกลับคืนมาสู่สังคม แต่หากเรามีการจัดระบบการเก็บภาษีที่รัดกุม ป้องกันการรั่วไหลของรายได้รัฐ และ ปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชั่นโดยเฉพาะ กับนักการเมืองได้อย่างเด็ดขาด ก็จะสามารถ เรียกศรัทธาจากประชาชนได้ และเขาจะยอมเสียภาษีในที่สุด เพราะเชื่อแน่ว่าเงินเหล่านั้นไม่ได้ตกหายไปไหน แต่จะกลับมา ในรูปแบบของรัฐสวัสดิการ อีกส่วนหนึ่งที่ต้องให้ความสำคัญ คือต้องมีการพัฒนา คนในชุมชนให้มีความเข้มแข็ง เพราะเงื่อนไขตรงนี้ จะเป็นรากฐานสำคัญของ รัฐสวัสดิการ อย่างไรก็ดี หากนักการเมือง ไม่เลิกโกงกินไม่รู้จักหน้าที่ชาติก็ล่ม รัฐสวัสดิการก็ไม่เกิด”

นั่นคือมุมมองอันแหลมคมของ “บุญส่ง ชเลธร” อดีตผู้นำนักศึกษายุค 14 ตุลาฯ อันเกี่ยวเนื่องกับการเคลื่อนไหวของภาคประชาชน ซึ่งทับซ้อนไปถึงข้อพิพาทเรื่องเลื่อมล้ำ 2 มาตรฐาน และทอดยอดไปถึงแนวทางรัฐสวัสดิการ ที่ ณ ปัจจุบันนี้ ได้กลายเป็นคนละเรื่องเดียวกัน ที่รัฐบาลภายใต้การนำของ “นายกฯ อภิสิทธิ์ เวชาชีวะ” ต้องขบให้ แตก เพื่อประโยชน์สุขและความสมานฉันท์ ในสังคมไทย

ที่มา.สยามธุรกิจ
************************************************************

ตร.ล่าตัวจอมบงการคลิปยุบปชป. รู้"พสิษฐ์"พบใครที่ฮ่องกง มติตุลาการรธน.ฟ้องคนให้ข่าว ฟันมือแพร่ในยูทูบ

ตุลาการรธน.มีมติสั่งฟ้องคนให้ข่าว ฟันอาญามือแพร่ 5คลิปใน"ยูทูบ" ตั้งกฎไม่ตอบโต้ ตร.เล็งออกหมายจับคดีคลิปยุบปชป.สัปดาห์หน้า รู้"พสิษฐ์"พบใครที่ฮ่องกง วงจรปิด"สุวรรณภูมิ"จับภาพคนรับ-ส่ง ศาลรธน.แจ้ง"บัวแก้ว"ถอนพาสปอร์ตประเภทราชการ พท.จี้สอบเนื้อหา-ตุลาการในคลิป ชี้ตั้งลูกหลานเป็นเลขาฯส่อผิดกฎหมายป.ป.ช.มาตรา 100
 
"ตุลาการรธน."ให้สำนักงานเตรียมฟ้องหมิ่นผู้ให้ข่าวศาลรับใบสั่ง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 18.30 น.วันที่ 27 ตุลาคม สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ ได้ออกเอกสารข่าวสำนักงาน เรื่องการประชุมคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญในวันเดียวกันนี้ โดยที่ประชุมคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเห็นว่า ตั้งแต่วันที่ 28 กันยายนจนถึงปัจจุบัน มีผู้ให้ข่าวทางหนังสือพิมพ์ดูหมิ่น หมิ่นประมาท และข่มขู่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ รวมถึงการเปิดเผยคลิปวีดีโอที่เกี่ยวข้องกับการประชุมพิจารณาคดีของศาลรัฐธรรมนูญมาเป็นลำดับ ดังนี้

1.เมื่อวันที่ 28 กันยายน ได้มีบุคคลข่มขู่ศาลรัฐธรรมนูญว่า มีคลิปที่เกี่ยวข้องกับศาลรัฐธรรมนูญ และได้ให้ข่าวกับ
หนังสือพิมพ์ข่าวสดว่า “ทราบว่า เวลานี้รังสีอำมหิตได้ส่งไปช่วยไม่ให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์” 
หนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวัน “พี่น้องประชาชนจะได้เห็นคลิปที่แสดงให้เห็นถึงความหายนะของกระบวนการศาลรัฐธรรมนูญและคนไทยจะต้องตกตะลึงกับคลิปดังกล่าว ก็คือมีบุคคลคนหนึ่งไปรับงานเพื่อไม่ให้มีการยุบพรรคประชาธิปัตย์ แต่กลับมีการบันทึกภาพเอาไว้ได้”
“ค่อยดูกันความลับไม่มีในโลก เราเชื่อว่า หากไม่มีใบสั่งใด ๆ พรรคประชาธิปัตย์ถูกยุบไปนานแล้ว"

ต่อมาได้มีการเผยแพร่คลิปภาพนิ่ง ของประธานองค์มนตรี นั่งอยู่กับประธานศาลรัฐธรรมนูญในลักษณะที่ทำให้สาธารณชนหลงเข้าใจผิดไปว่าได้มีใบสั่งไม่ให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งการกระทำดังกล่าวเป็นการดูหมิ่น หมิ่นประมาท และข่มขู่ศาลในการพิจารณาหรือพิพากษาคดีอันเป็นการกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 139 และมาตรา 198 

พ่วงฟ้องอาญาคนนำคลิป5 ตอนแพร่ยูทูบ

2. เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม ได้มีบุคคลไม่ทราบชื่อ นำคลิปวีดีโอจำนวน 5 คลิป โพสต์ไว้บนเว็บไซต์ยูทูบซึ่งในคลิปที่เปิดมีอยู่ 3 คลิปเป็นความลับการประชุมพิจารณาคดีของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ เมื่อมีผู้นำคลิปไปเผยแพร่ในเว็บไซด์จึงเป็นการนำความลับในราชการไปเปิดเผยให้ผู้อื่นล่วงรู้ความลับ ซึ่งสอดคล้องกับที่มีบุคคลได้กล่าวข่มขู่ศาลไว้ดังกล่าวข้างต้น อันถือได้ว่า เป็นการร่วมกันกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 164 การกระทำของบุคคลที่ถ่ายคลิปในห้องประชุมของตุลาการดังกล่าวเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 มาตรา 164 และมาตรา 323 

นอกจากนั้น ยังมีบุคคลอื่นร่วมกระทำความผิด โดยดูหมิ่นและหมิ่นประมาทศาล โดยการให้ข่าวกับหนังสือพิมพ์อีกหลายครั้งด้วยกัน

ถอนพาสปอร์ตข้าราชการ "พสิษฐ์"

ที่ประชุมคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญได้มีมติ มอบหมายให้สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญดำเนินการแจ้งความดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิดดังกล่าวข้างต้น  และที่ประชุมได้มีมติมอบหมายให้สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญแจ้งให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการเพิกถอนหนังสือเดินประเภทราชการ (Official Passport) ของนายพสิษฐ์  ศักดาณรงค์ เนื่องจากปัจจุบัน นายพสิษฐ์ได้พ้นจากตำแหน่งเลขานุการประธานศาลรัฐธรรมนูญแล้ว

ย้ำห่วงบ้านเมืองไม่หวังตอบโต้คู่กรณีฝ่ายใดหากจำเป็นทำตามกฎหมาย

ในการประชุมคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญครั้งนี้ ยังได้แสดงความเป็นห่วงต่อความสงบเรียบร้อยของบ้านเมืองและการดำรงรักษาไว้ซึ่งสถาบันศาลรัฐธรรมนูญ ที่เป็นกลไกสำคัญของประเทศในฝ่ายอำนาจของตุลาการจึงได้กำหนดเป็นหลักการเกี่ยวกับหลักปฏิบัติในกรณีที่เกี่ยวกับเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นในขณะนี้ โดยให้ยึดมั่นในหลักการของการรักษาความสงบเรียบร้อยของบ้านเมืองและความมั่นคง หนักแน่น ในการดำรงรักษาความยุติธรรม ตามภาระหน้าที่ทางตุลาการของสถาบันศาลรัฐธรรมนูญเป็นสำคัญ ไม่มีความประสงค์ที่จะดำเนินการใดๆ อันเป็นการมุ่งตอบโต้หรือเป็นคู่กรณีกับฝ่ายใด หากจำเป็นต้องดำเนินการในเรื่องใดก็จะคำนึงถึงกระบวนการขั้นตอนตามหลักกฎหมาย เป็นที่ตั้ง

ดังนั้น เพื่อดำเนินการให้เป็นไปตามหลักการดังกล่าว และเพื่อให้สาธารณชนได้รับข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างถูกต้อง เป็นไปในทิศทางเดียวกัน หากมีความจำเป็นต้องแจ้งข่าวสารใดให้ทราบ จะได้ทำการประชุมปรึกษาหารือร่วมกัน  เมื่อมีมติเป็นอย่างใดก็จะแถลงหรือมอบหมายให้สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญแจ้งให้ทราบเป็นครั้ง ๆ ตามลำดับต่อไป

ปธ.กก.สอบคลิปเผยขีดเส้นสอบคลิปใน 15 วัน เร่งลงลึกในรายละเอียด

ก่อนหน้านี้ เวลา 17.30 น. วันเดียวกัน นายสนิท จรอนันต์ ที่ปรึกษาสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ ในฐานะประธานคณะกรรมการสอบคลิป กล่าวถึงผลการประชุมคณะกรรมการที่ใช้เวลาการประชุมกว่า 4 ชั่วโมงว่า จากนี้ไปคณะกรรมการจะมีการประชุมให้ถี่ขึ้น เพื่อที่จะลงลึกในรายละเอียดตามกรอบอำนาจที่วางไว้ แต่คงไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดให้สื่อทราบได้ว่ามีผู้เกี่ยวข้องบุคคลใด เข้าให้ถ้อยคำต่อคณะกรรมการ เพราะเกรงว่าจะเสียรูปคดีได้

ทั้งนี้คณะกรรมการได้ยืนยันว่าจะสรุปการสอบสวนให้แล้วเสร็จภายใน 15 วันนับแต่วันที่ 20 ตุลาคมตามที่กรอบที่กำหนดไว้ และไม่ควรที่จะขยายเวลาการตรวจสบอออกไปอีก และเมื่อสรุปข้อเท็จจริงเสร็จแล้วจะรายงานผลให้เลขาธิการสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญรับทราบก่อนเสนอให้คณะตุลาการต่อไป ทั้งนี้คณะกรรมการจะเร่งสอบข้อเท็จจริงให้เสร็จโดยเร็วและในวันพรุ่งนี้ (28 ตุลาคม) ก็จะมีการประชุมอีกครั้ง โดยหลังจะติดตามว่ากรรมการแต่ละคนมีความพร้อมที่จะประชุมอีกเมื่อใดซึ่งจะสามารถเรียกประชุมได้ในทันที 

ปัดสอบวิ่งเต้นโยนหน่วยงานอื่นจัดการ ยันกก.โปร่งใส

ส่วนที่นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย ยื่นหนังสือขอให้คณะกรรมการสอบเรื่องเนื้อหาคลิปว่ามีการล็อบบี้วิ่งเต้นนั้น นายสนิท กล่าวว่า คงไม่สามารถตรวจสอบถึงเจตนาและเนื้อหาของคลิปดังกล่าวได้เพราะเป็นเรื่องที่หน่วยงานอื่นทำอยู่แล้วที่จะดำเนินการเอาผิดได้ แต่คณะกรรมการจะดูเพียงข้อเท็จจริงของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในการประชุมคณะตุลาการว่ามีวิธีการอย่างไรที่ทำให้การประชุมตุลาการถูกเล็ดลอดออกไปภายนอกได้

เมื่อถามถึงพรรคเพื่อไทยการกล่าวหาว่าในคณะกรรมการตรวจสอบมี 4 คนที่พัวพันการทุจริตจัดซื้อรถประจำตำแหน่งตุลาการนั้น นายสนิทยืนยันว่าไม่กระทบต่อการทำหน้าที่ของคณะกรรมการ เพราะเรื่องการจัดซื้อจัดจ้างนั้นไม่มีที่ไหนที่ถ้าคนทำสุจริตแล้วมาบอกว่าไม่สุจริต ยืนยันเรียกได้เลยว่าคณะกรรมการชุดนี้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องต่อข้อกล่าวหาดังกล่าว


เล็งออกหมายจับคดีคลิปฉาว

คณะกรรมาธิการ (กมธ.) การตำรวจ สภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายสาธิต ปิตุเตชะ ส.ส.ระยอง พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) เป็นประธาน ได้เชิญตัวแทนคณะกรรมการสืบสวนสอบสวนกรณีคลิปลับคดียุบ ปชป. ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) ประกอบด้วย พล.ต.ต.ปัญญา มาเม่น รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (รอง ผบช.ก.) พล.ต.ต.สุรพล หอมชื่นชม ผู้บังคับการปราบปรามการกระทําความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ผบก.ปอท.) พ.ต.อ.ศิริพงษ์ ติมุลา รอง ผบก.ปอท. พ.ต.อ.สุพิศาล ภักดีนฤนาถ รักษาราชการแทนผู้บังคับการกองปราบปราม (รรท.ผบก.ป.) และนายสนิท จรอนันต์ ที่ปรึกษาสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ ในฐานะประธานคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีคลิปวิดีโอการประชุมของคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ที่สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญแต่งตั้ง เข้าชี้แจง เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 27 ตุลาคม

พล.ต.ต.ปัญญาชี้แจงว่า เบื้องต้นหลังจากรวบรวมหลักฐาน และพิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 198 ว่าด้วยการดูหมิ่นศาล หรือขัดขวางการพิพากษาของศาล การนำข้อมูลเข้าระบบคอมพิวเตอร์ตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ การแอบถ่ายตาม พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสาร เชื่อมั่นว่า การสืบสวนน่าจะกระจ่างแน่นอน เนื่องจากผู้กระทำผิดทิ้งร่องรอยไว้เยอะ และน่าจะออกหมายจับคนร้ายได้ภายในสัปดาห์หน้า

พบหลักฐานสาวถึงคนทำผิด

พ.ต.อ.ศิริพงษ์ชี้แจงว่า ขณะนี้ยังไม่สามารถหาผู้กระทำผิดที่นำคลิปออกมาเผยแพร่ทางเว็บไซต์ยูทูบได้ แต่ขึ้นอยู่กับพยานและหลักฐาน จะใช้การสืบสวนโดยอาศัยบริบทแวดล้อม รวมถึงกระบวนการที่ทำให้เกิดคลิปวิดีโอ ทั้งวันที่ถ่าย วันที่อัพโหลด โดยได้ติดต่อไปยังเว็บไซต์ยูทูบ ซึ่งเป็นของบริษัทกูเกิล แต่ยังไม่ได้รับคำตอบกลับมา เพราะต้องปฏิบัติตามขั้นตอน และรักษาข้อมูลของลูกค้า

ด้าน พ.ต.อ.สุพิศาลชี้แจงว่า คนร้ายทิ้งร่องรอยไว้เยอะ ตำรวจพบไอซีซี-ไอดี (หมายเลขที่กำหนดให้ใช้เฉพาะแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ในโทรศัพท์มือถือ) จำนวน 20 ตัว ที่สามารถพิสูจน์คนทำผิด ซึ่งซุกอยู่ในระบบ visual computer ของคอมพิวเตอร์ทั้งหมด โดยจะตามร่องรอยจากจุดนี้เพื่อสาวไปถึงตัวผู้กระทำผิดให้ได้ ทั้งนี้ เรื่องหลักฐานจากเว็บไซต์ยูทูบ จะใช้ "เอ็มแลบ" คือการร่วมมือทางอาญา ซึ่งจะใช้ช่องทางในการสืบสวนหรือได้พยานหลักฐานโดยชอบด้วยกฎหมายโดยผ่านช่องทางกองการต่างประเทศ ร้องขอไปยังหน่วยงานสืบสวนกลางหรือเอฟบีไอ เพื่อให้ช่วยขอหมายศาลจากศาลสูง เพื่อขอข้อมูลจากบริษัทกูเกิล

รู้"พสิษฐ์"ไปพบใครที่ฮ่องกง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กมธ.หลายคนได้สอบถามถึงการเอาผิดกับผู้ที่มีเจตนาเอาคลิปมาเผยแพร่ได้หรือไม่ รวมถึงจะเชิญนายพสิษฐ์ ศักดาณรงค์ อดีตเลขานุการประธานศาลรัฐธรรมนูญ ที่อยู่ในฮ่องกง มาสอบสวนได้หรือไม่ ซึ่ง พ.ต.อ.สุพิศาลชี้แจงว่า กรณีความผิดที่มีคนเอาเรื่องคลิปมาพูดก่อน ทางกองปราบปรามจะเก็บบรรยากาศของการสร้างเจตนาของบุคลที่เกี่ยวข้อง แต่สิ่งสำคัญต้องสอบพยานที่ได้มีการคุยเรื่องคลิปก่อนที่จะมีการเผยแพร่ รวมทั้งสอบถามว่า คลิปได้มาอย่างไร โดยจะนำให้ศาลพิจารณา หากเข้าข่ายก็จะให้ศาลออกหมายจับ

"กรณีนายพสิษฐ์ที่เดินทางไปฮ่องกง เจ้าหน้าที่รู้ตั้งแต่วันที่เดินทางออกไป โดยชุดสืบสวนได้เก็บภาพที่สนามบินสุวรรณภูมิไว้แล้ว ว่าใครไปส่ง ใครไปรับ หรือมีใครมาพบบ้าง โดยฝ่ายสืบสวนได้เก็บรายละเอียดไว้หมดแล้ว ส่วนที่เดินทางไปฮ่องกง ก็ได้เก็บข้อมูลไว้แล้วว่า ไปพบใคร หากออกหมายจับแล้ว จะขอความร่วมมือไปยังต่างประเทศเพื่อดำเนินการจับกุม" พ.ต.อ.สุพิศาลกล่าว

พท.จี้สอบตุลาการรธน.ในคลิป

ด้านนายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย (พท.) พร้อมนายเกียรติ์อุดม เมนะสวัสดิ์ ส.ส.อุดรธานี พท. ในฐานะผู้ร้องร่วมกับนายทะเบียนพรรคการเมืองในคดียุบ ปชป. จากการใช้จ่ายเงินกองทุนเพื่อการพัฒนาพรรคการเมือง 29 ล้านบาท เข้ายื่นหนังสือถึงนายเชาวนะ ไตรมาศ เลขาธิการสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ ผ่านสำนักอำนวยกิจการศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อให้ตรวจสอบว่า ตุลาการรัฐธรรมนูญคนใดเป็นผู้พูดหรืออภิปรายในเนื้อหาของคลิป

นายพร้อมพงศ์กล่าวว่า เนื้อหาที่ปรากฏเป็นคำพูดในคลิปของตุลาการ ถือเป็นสาระสำคัญที่ควรต้องตรวจสอบว่าตุลาการรัฐธรรมนูญผู้ใดเป็นผู้พูดหรืออภิปราย จะสอบเพียงแต่ที่มาของคลิป ไม่น่าจะเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณา จึงขอให้เลขาธิการสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญแจ้งเรื่องนี้ให้คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงที่สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญแต่งตั้ง ได้สอบเนื้อหาและตุลาการผู้ที่ได้ปรึกษาหารือเรื่องดังกล่าวในคลิป เพื่อให้เกิดความกระจ่างกับสังคมที่สนใจติดตามเรื่องนี้ทราบต่อไป

ชี้ตั้ง"ลูกหลาน"ส่อผิดม.100

นายพร้อมพงศ์ยังกล่าวถึงกรณีตุลาการศาลรัฐธรรมนูญบางคนได้แต่งตั้งบุตรและหลานเข้ามาเป็นเลขานุการและผู้ช่วยเลขานุการว่า พท.ได้รับหนังสือร้องเรียนเมื่อวันที่ 18 มกราคมที่ผ่านมา พบว่ามีตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ 4 คน ได้แต่งตั้งบุตรและหลานเข้ามาทำหน้าที่เป็นเลขานุการและผู้ช่วยเลขานุการ ก่อนที่ตนจะเปิดเผยก็มีตุลาการบางคนตอบโต้ว่า สามารถตั้งใครก็ได้มาเป็นเลขานุการ จึงอยากตั้งคำถามกลับไปว่า ถ้ามีบุตรหลานหรือเครือญาติของตุลาการไม่มาทำงาน แต่รับเงินเดือนทุกเดือน จะถือเป็นความผิดตามกฎระเบียบของทางราชการหรือไม่ และจะมีบทลงโทษอย่างไร หากบุตรหลานทำให้งานราชการเสียหาย จะมีใครกล้าออกคำสั่งลงโทษหรือไม่ และในกรณีที่บุตรหลานอาจมีการทุจริตด้วยการไปรับงานหรืออามิสสินจ้างในการวิ่งเต้นคดี ตุลาการรัฐธรรมนูญจะกล้าลงโทษบุตรหลานด้วยการกล่าวโทษดำเนินคดีทางอาญาหรือไม่

นายพร้อมพงศ์กล่าวว่า ตำแหน่งเลขานุการตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ เป็นบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการใช้อำนาจรัฐร่วมกับตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 279 วรรคท้าย ได้บัญญัติให้การพิจารณา สรรหา กลั่นกรอง หรือแต่งตั้งบุคคลใด จะต้องเป็นไปตามระบบคุณธรรมและคำนึงถึงพฤติกรรมของบุคคลดังกล่าวด้วย ดังนั้น การแต่งตั้งบุตรหลาน หรือคนรู้ใจมาเป็นเลขานุการหรือผู้ช่วยเลขานุการ จึงเป็นการปฏิบัติที่ไม่เป็นไปตามระบบคุณธรรมและจริยธรรม ประกอบกับเลขาธิการสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญจะต้องทำสัญญาจ้างบุคคลที่จะมาทำหน้าที่ดังกล่าว ทำให้สัญญาดังกล่าวส่อเป็นสัญญาในลักษณะผลประโยชน์ทับซ้อน ที่ห้ามเจ้าหน้าที่รัฐกระทำผิด ตามมาตรา 100 พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)

"ชมรมกฎหมายภาคประชาชนจะไปยื่นเรื่องดังกล่าวให้ผู้ตรวจการแผ่นดิน และ ป.ป.ช. ตรวจสอบข้อเท็จจริงต่อไป เมื่อถึงเวลานั้นจะมีการเปิดเผยชื่อของตุลาการรัฐธรรมนูญที่แต่งตั้งบุตรและหลานมาเป็นเลขานุการอีกครั้ง" นายพร้อมพงศ์กล่าว

ไล่บี้จัดซื้อรถประจำตำแหน่ง

นายพร้อมพงศ์กล่าวว่า การจัดซื้อรถยนต์ยี่ห้อเล็กซัส จำนวน 10 คัน ของสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ ที่นายวสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ระบุว่า เป็นการจัดซื้อของตุลาการรัฐธรรมนูญชุดก่อน ถือเป็นการพูดความจริงแค่ครึ่งเดียว เนื่องจากที่ผ่านมาได้เคยมีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบเรื่องนี้และมีการชี้มูลว่า น่าจะไม่ถูกต้องและส่อไปในทางทุจริต โดยมีเจ้าหน้าที่ของศาลรัฐธรรมนูญ 5 คน น่าจะมีส่วนเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย ประกอบกับสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ได้เคยเข้ามาตรวจสอบและทำหนังสือมาถึงสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญว่า เมื่อมีมูลความผิดก็ควรตั้งคณะกรรมการขึ้นมาสอบสวนทางวินัย ซึ่งขณะนี้เวลาก็ผ่านมาประมาณ 3-4 เดือน แต่ยังไม่มีดำเนินการอะไร จึงขอตั้งข้อสังเกตว่า ได้มีการต่อรองในเรื่องนี้กันหรือไม่ และอยากเรียกร้องไปยังนายพิศิษฐ์ ลีลาวชิโรภาส รักษาการผู้ว่าการ สตง. ควรทำความจริงในเรื่องนี้ให้ปรากฏอีกครั้ง และควรทำหนังสือทวงถามทางสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญว่า เรื่องนี้มีความคืบหน้าอย่างไร

"เจ้าหน้าที่ศาลรัฐธรรมนูญ 5 คน ที่น่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับการจัดซื้อรถ ทราบมาว่า มีถึง 4 คน ที่ได้มาทำหน้าที่เป็นคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับคลิปที่มีการแอบถ่ายในห้องประชุมตุลาการ ที่มีคณะกรรมการทั้งหมด 7 คนด้วย ซึ่งการที่ตั้งคนที่ยังมีปัญหามาตรวจสอบเรื่องสำคัญเช่นนี้ แล้วจะสามารถหาความจริงโดยปราศจากความกดดันได้อย่างไร ถึงแม้ที่ผ่านมาจะมีการพูดว่า พวกผมมีต้นทุนต่ำในสังคม แต่ในวันนี้เรากำลังนำความจริงมาพูดให้สังคมได้รับรู้"นายพร้อมพงศ์กล่าว

สตง.ตรวจสอบข้อมูลย้อนหลัง

ต่อมาเวลา 10.30 น. นายพร้อมพงศ์ พร้อมคณะเข้ายื่นหนังสือพร้อมคลิปวิดีโอที่อ้างว่าเกี่ยวข้องกับคดียุบ ปชป. ถึงนายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมือง โดยระบุว่า นายอภิชาตจะต้องตรวจสอบข้อเท็จจริงต่อเรื่องที่เกิดขึ้นเพราะเป็นผู้เสียหาย ควรดำเนินการเอาผิดผู้ดำเนินการเรื่องดังกล่าวด้วย อีกทั้งในคลิป นายอภิชาตเป็นผู้ที่ถูกตุลาการศาลรัฐธรรมนูญกล่าวพาดพิงถึง นายอภิชาตจึงเป็นผู้มีส่วนได้เสียและเกี่ยวข้องโดยตรงในเรื่องดังกล่าว ดังนั้น นายอภิชาตจะต้องตรวจสอบข้อเท็จจริงเพื่อเอาผิดต่อผู้ที่เกี่ยวข้อง

ขณะที่นายพิศิษฐ์ ลีลาวชิโรภาส กล่าวถึงปัญหาการจัดซื้อรถประจำตำแหน่งของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ยี่ห้อเล็กซัส ว่าได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ไปตรวจสอบข้อมูลเรื่องนี้ย้อนหลัง หลังได้รับรายงานเบื้องต้นว่า สตง.เคยมีการเข้าไปตรวจสอบเรื่องนี้มาแล้วครั้งหนึ่ง เพื่อดูว่ามีความคืบหน้าอย่างใดบ้าง และมีผลการสอบสวนออกมาอย่างเป็นทางการหรือยัง เท่าที่ทราบเกี่ยวกับกระบวนการจัดซื้อรถยนต์ดังกล่าว ยืนยันได้ว่า ขั้นตอนการดำเนินการไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับคณะตุลาการรัฐธรรมนูญชุดปัจจุบันแต่อย่างใด เป็นการดำเนินการของคณะตุลาการรัฐธรรมนูญชุดเก่าที่พ้นวาระไปแล้ว


ปชป.สรุปคำแถลงปิดคดียุบ

นายวิรัตน์ กัลยาศิริ ส.ส.สงขลา หนึ่งในคณะทำงานฝ่ายกฎหมายเพื่อต่อสู้คดียุบ ปชป. เปิดเผยภายหลังการประชุมทีมกฎหมายที่มีนายชวน หลีกภัย ประธานสภาที่ปรึกษา ปชป. เป็นหัวหน้าทีม ว่าที่ประชุมได้สรุปคำแถลงปิดคดีในคดีกล่าวหา ปชป.ช้เงินสนับสนุนพรรคการเมือง 29 ล้านบาท ผิดวัตถุประสงค์แล้ว โดยได้เพิ่มเอกสารที่จะยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญจากเดิม 108 หน้า เป็น 115-119 หน้า ซึ่งเป็นการเพิ่มรายละเอียดข้อมูล เพื่อให้มีน้ำหนักในสำนวนมากขึ้น และจะยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญได้ภายในเช้าวันที่ 28 ตุลาคมนี้

"นายชวนและนายบัณฑิต ศิริพันธุ์ ทนายความ ต่างแสดงความพอใจต่อการทำงานของคณะทำงานฝ่ายกฎหมาย ซึ่งนายชวนมีสีหน้ายิ้มแย้งแจ่มใส และได้กำชับให้ทีมกฎหมายลงพื้นที่ช่วยเหลือประชาชนที่ประสบอุทกภัย"นายวิรัตน์กล่าว

นายวิรัตน์กล่าวว่า ที่ประชุมไม่ได้หารือกันถึงกรณี พท.ยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญตรวจสอบเนื้อหาในคลิป แต่เรื่องนี้ ถือเป็นกระบวนการหนึ่งที่เกิดขึ้นในประเทศไทย ซึ่งจะมีคนกลุ่มหนึ่งที่ซื้อได้ ก็ซื้อ ถ้าซื้อไม่ได้ก็ทำลาย กระบวนการรอบนี้จึงมุ่งทำลาย ซึ่งคลิปที่เกิดขึ้นสร้างความเสียหายต่อสถาบันองคมตรี และตุลาการ เป็นการกระทำอย่างน่าละอาย แต่ยืนยันว่าการเผยแพร่คลิปดังกล่าว จะไม่มีผลต่อรูปคดียุบ ปชป.
ที่มา:มติชนออนไลน์
****************************************************************

วันพุธที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2553

คนเรานี่ก็แปลก...

ตอนเป็น“คนธรรมดาๆ” ไม่มี “ตำแหน่งอะไร” หรือมี “หัวโขนใดๆ” จะทำตัวดีน่าคบหาไปหมด...เจอใครที่รู้จักก็ทักทายกันตามประสาว่า “รู้จักกันดี” มาก-น้อย...เพียงใด

แม้แต่โทรศัพท์...ยังถือเอง...รับสายเอง โดยไม่เห็นต้องมี “เลขาฯ หน้าม้า” มาคอย “เสนอหน้า” แทน แต่พอ “มีอำนาจ” เมื่อไหร่...ผมเห็นมาหลายคนหลายวงการแล้วว่า... เปลี่ยนไปจริงๆ

เพราะจากการสัมผัสด้วยตัวเอง...จากบรรดา ก๊วนเพื่อนฝูงที่นั่งเฮฮา...หารือกันสารพัดเรื่องราว... ที่แต่ก่อน “ใครอาวุโสน้อยกว่า” ก็จะอ่อนน้อมถ่อม ตน...ทักทาย “คนที่มีอาวุโสมากกว่า”...อันถือเป็น เรื่องปกติธรรมดาในสังคมไทย ที่เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่... อาทรกันและกัน

แต่ระยะหลัง...ที่ไปตามงานสังคมตามงานสังสรรค์ต่างๆ กลับได้เห็นถึง “วิวัฒนาการ” ในการเปลี่ยนแปลงของ “หลายคน” ที่เปลี่ยนจาก “หน้ามือ” เป็น “หลังมือ” จนทำให้อดนึกไม่ได้ว่า... “อำนาจ” มันทำให้คน...เหลวไหลได้ถึงเพียงนี้... เชียวหรือ???

เพราะเจอหน้ากัน...แทนที่จะทักทายกันปกติ เหมือนก่อน...“แต่พอมีอำนาจบาตรใหญ่” กลับไม่เห็นหัว “เพื่อนฝูง” เหมือนแต่ก่อน...โทรศัพท์ก็ถือเองไม่เป็น...นัดหมายอะไรแต่ละที...ก็ยุ่งยาก เสียจริงๆ ยิ่งได้ยินได้ฟัง...พรรคพวกมาเล่าสู่กันฟัง... ถึงปูมหลังแต่ละคนที่ “ใหญ่โต” ในเวลานี้...ก็ยิ่งทำให้รู้สึกหดหู่

ที่พูดนี้...เหมารวมทั้งแวดวงธุรกิจ-การเมือง-การทหาร...ที่ “แต่ละคน” ทั้งที่ผมรู้จักดี-เคยรู้จัก...และแสดงออกมาให้ได้เห็น...ทั้งผ่านเพื่อนฝูง-ญาติมิตร...และแม้กระทั่งได้เห็น “ด้วยตัวเอง”... แบบไม่ต้องให้ใครมา “บอก” หรือมา “ฟ้อง”

ที่เห็นได้ชัดเจนมากที่สุดคงหนีไม่พ้น “นักการเมืองไทย” นี่เอง...หลายคนไม่ว่าจะอยู่ฟากไหน-ซีกไหน-พรรคไหน-กลุ่มไหน...พอยัง “ไร้อำนาจ” ก็ทำตัวน่ารัก-น่าคบหา-น่าทะนุถนอม แต่พอมีอำนาจมีตำแหน่งใหญ่โตแล้ว...ก็หยิ่งผยอง... นัดหมายอะไร ก็ยุ่งยาก แถมยัง “จองหอง” โชว์ให้ “คนรู้จัก” กันได้เห็นธาตุแท้อีกด้วย

แต่ที่ตลกก็คือ “คนเหล่านี้” พอไร้อำนาจไร้วาสนาทางการเมืองแล้ว...ก็หันกลับมาเป็น “คนเดิมๆ” ที่เคยได้เห็น...โดยที่ไม่มีอาการเคอะ เขิน...ว่าตัวเองเคยทำตัว “คางคกขึ้นวอ” มาก่อน!!!

หรือว่านี่คือ “สันดานของนักการเมืองพันธุ์แท้” ที่หากอยากจะเป็น “คนการเมือง ตัวจริง” ก็ต้องทำตัวเยี่ยงนี้...และต้องทำตัวให้ดูเหมาะสมกลมกลืน...ตามสถานการณ์ที่ตัวเอง “มีอำนาจ” หรือ “ไม่มีอำนาจ” โดยไม่สนใจ คนอื่นๆ ที่ต้องมาคอยรับรู้รับอารมณ์...ของเขา เลย...ว่าเห็นแล้ว “มันสุดแสนจะสมเพช” และ “เวทนา” ขนาดไหน...

ทุเรศจริงๆ...ขอบอก!!!

ที่มา.สยามธุรกิจ
*************************************************