--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันเสาร์ที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2553

ไขคำตอบเรื่องดอกเบี้ยที่ดินรัชดา

โดย ประสงค์ วิสุทธิ์

มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ในแวดวงวิชาการกฎหมายเป็นอย่างมาก เมื่อศาลแพ่งสั่งให้กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน คืนเงินจำนวน 772 ล้านบาทซึ่งเป็นค่าซื้อที่ดินจากกองทุนฯ ถนนรัชดาภิเษก ให้แก่คุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ อดีตภรรยา พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี (เป็นเงินประมาณ 50 ล้านบาท) หลังจากมีคำพิพากษาให้เพิกถอนการจดทะเบียน นิติกรรมการซื้อขายที่ดินแปลงดังกล่าว

เหตุของคดีนี้สืบเนื่องจาก กองทุนฯ เป็นโจทก์ยื่นฟ้องคุณหญิงพจมาน เรื่องโมฆะกรรมขอให้ศาลเพิกถอนรายการจดทะ เบียนขายโฉนดที่ดิน 4 แปลงจำนวน 33 ไร่เศษมูลค่า 772 ล้านบาท และให้ส่งมอบการครอบครองที่ดินคืน

ขณะที่คุณหญิงพจมาน ฟ้องแย้ง ขอให้ศาลมีคำสั่งให้กองทุนฯคืนเงินซื้อขายที่ดิน 772 ล้านบาท พร้อมค่าเสียหาย ค่าออกแบบอาคารที่จะก่อสร้างจำนวน 39 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี

ศาลแพ่งพิจารณาคดีนี้ไว้ 2 ประเด็น

หนึ่ง นิติกรรมการซื้อขายที่ดินพิพาท วินิจฉัยว่า การที่คุณหญิงพจมาน เป็นภรรยาโดยชอบของ พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรีในขณะที่มีการทำนิติกรรมซื้อขายที่ดินพิพาท ถือว่า พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ การดำเนินการดังกล่าวของคุณหญิงพจมาน ถือเป็นการดำเนินกิจการของเจ้าหน้าที่ของรัฐ ต้องห้ามมิให้กระทำตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องการและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 100 (1) คุณหญิงพจมาน จึงเป็นผู้มีคุณสมบัติต้องห้ามในการเป็นคู่สัญญาทำนิติกรรมกับกองทุนฯ(คำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง)

โดยผลของกฎหมาย นิติกรรมการซื้อขายที่ดินดังกล่าวจึงตกเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 150 (การใดมีวัตถุประสงค์เป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมาย ...การนั้นเป็นโมฆะ)

สอง เมื่อฟังว่านิติกรรมดังกล่าวเป็นโมฆะ กองทุนฯมีสิทธิ์เรียกที่ดินคืนจากคุณหญิงพจมาน หรือไม่ และกองทุนฯจะต้องคืนเงินราคาที่ดินให้แก่คุณหญิงพจมานหรือไม่

คำวินิจฉัยว่า นิติกรรมที่เป็นโมฆะ ถือว่า เสียเปล่าใช้ไม่ได้มาตั้งแต่ต้น ไม่ก่อให้เกิดความเคลื่อนไหวแห่งสิทธิ์และหน้าที่ของคู่กรณี การที่กองทุนฯโอนกรรมสิทธิ์และส่งมอบที่ดินให้คุณหญิงพจ มาน หรือการที่คุณหญิงพจมานชำระราคาที่ดินพิพาทให้แก่กองทุนฯเป็นกรณีที่ทั้งสองฝ่ายไม่ได้รับทรัพย์สินเพราะการที่อีกฝ่ายหนึ่งกระทำเพื่อชำระหนี้ โดยปราศจากมูลอันจะอ้างตามกฎหมายได้ ทั้งสองฝ่ายจึงมีหน้าที่คืนทรัพย์สินที่ได้รับไปจากอีกฝ่ายหนึ่ง

คุณหญิงพจมาน มีหน้าที่ต้องส่งมอบที่ดินคืนให้แก่กองทุนฯ ส่วนกองทุนฯมีหน้าที่คืนเงินค่าที่ดินที่รับไว้ทั้งหมด และต้องจ่ายดอกเบี้ยให้แก่คุณหญิงพจมาน ในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อ ปี นับตั้งแต่วันที่ คุณหญิงพจมานยื่นคำให้การ และฟ้องแย้งเป็นต้นไป(วันที่ 25 พฤศจิกายน 2552)

แน่นอนว่า การคิดฐานดอกเบี้ยของศาลมาจากประมวลกฎหมายแพ่งฯ มาตรา 7 ที่ระบุว่า ถ้าจะต้องเสียดอกเบี้ยแก่กันและมิได้กำหนดอัตราดอกเบี้ยไว้โดยนิติกรรมหรือโดยบทกฎหมายอันชัดแจ้งให้ใช้อัตราร้อยละ7.5 ต่อปี

แต่ประเด็นสำคัญคือ เมื่อนิติกรรมเป็นโมฆะ เสียเปล่ามาตั้งแต่ต้น ย่อมหมายถึงมิได้มีการทำนิติกรรมหรือสัญญาใดๆต่อกัน

นอกจากนั้นจากคำพิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองที่พิพากษาว่าคุณหญิงพจมานมิได้มีความผิดทางอาญา แม้จะเป็นสัญญาที่ต้องห้ามตามกฎหมายโดยแจ้งชัดก็ตาม ถือได้ว่า ทั้งสองฝ่ายทำสัญญากันโดยสุจริต

เมื่อเป็นเช่นนี้จึงต้องนำหลักกฎหมายเรื่อง"ลาภมิควรได้"มาใช้ในกรณีดังกล่าว

หมายถึง เมื่อได้ทรัพย์มาหรือมีการชำระหนี้โดยปราศจากมูลอันจะอ้างกฎหมายได้ รวมการไม่มีสัญญาต่อกัน(ประมวลแพ่ง มาตรา 406) ต้องมีการคืนทรัพย์

ปัญหาต่อมาคือ เมื่อทั้ง 2 ฝ่าย ต้องคืนทรัพย์ต่อกันจะคืนกันอย่างไร

เรื่องนี้กฎหมายระบุไว้ชัดว่า ต้องคืนเต็มจำนวน แต่ถ้าเป็นการรับมาโดยสุจริตก็ต้องคืนเพียงส่วนที่ยังมีอยู่ในขณะที่เรียกคืน(ประมวลแพ่งฯมาตรา 412,413)ซึ่งหมายความว่า ถ้าเงินหรือที่ดินที่ได้รับมาเหลืออยู่เท่าไหร่ก็คืนเท่านั้นซึ่งในกรณีนี้ยังมีอยู่เต็มจำนวนทั้งสองฝ่าย

ปัญหาต่อมา ดอกผลที่เกิดขึ้นจากทรัพย์ที่รับมานั้น ใครจะเป็นผู้ได้รับ

เรื่องนี้กฎหมายระบุไว้ชัดเช่นเดียวกันว่า บุคคลผู้ได้รับทรัพย์สินไว้โดยสุจริต ย่อมจะได้ดอกผลอันเกิดแต่ทรัพย์สินนั้นตลอดเวลาที่ยังคงสุจริตอยู่ (ประมวลแพ่งฯมาตรา 415วรรคแรก )ซึ่งหมายความว่า ดอกผลจากเงินที่กองทุนฯได้รับมา 772 ล้านบาทย่อมตกเป็นของกองทุนฯ เช่นเดียวกัน ถ้าคุณหญิงพจมานนำที่ดินไปให้ผู้อื่นเช่า รายได้จากค่าเช่าย่อมตกเป็นของคุณหญิง

ดอกผลที่ว่านี้ หมายถึงดอกผลที่เกิดขึ้นจริง เช่น กองทุนฯนำเงินไปฝากธนาคารได้อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 1 ไม่ใช่ร้อยละ 7.5

ประเด็นที่ต้องพิจารณาคือ มีการนำหลักกฎหมายเรื่อง"ลาภมิควรได้"มาใช้อย่างถูกต้องหรือไม่ และการนำ เรื่องอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 มาใช้นั้น ควรเป็นเรื่องที่มีสัญญาต่อกันและมีการทำผิดสัญญารวมถึงการทำละเมิดซึ่งคู่กรณีจะถูกลงโทษให้จ่ายอัตราดอกเบี้ยในอัตราสูง

ดังนั้น ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยแลคณะกรรมการกองทุนฯควรพิจารณาในการอุทธรณ์เรื่องนี้อย่างรอบคอบ

ที่มา.มติชน
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ความเห็นในห้องน้ำ

บทวิพากษ์จากห้องส้วม ว่าด้วยการแสดงความคิดเห็นในห้องน้ำตามปั๊ม โดยเสนอประเด็นถกเถียงสำคัญ 2 เรื่องคือ ทำไมความอัดอั้นตันใจทางความคิดเห็นจึงไปปรากฏอยู่ในส้วมและทำไมส้วมในปั๊มน้ำมันของเอกชนจึงกลายเป็นพื้นที่สาธารณะ

*คำเตือน : บทความนี้เหม็นมาก [i]

ส้วมมีชื่อเรียกอีกอย่างว่า...ห้องปลดทุกข์

ห้องน้ำสาธารณะเช่นในปั๊มน้ำมันเป็นส่วนผสมของสถานที่แบบ “ความเป็นส่วนตัวในที่สาธารณะ” เราสามารถประกอบกิจอันเป็นส่วนตัวได้ในชั่วขณะเวลาหนึ่ง แต่ทันใดที่เราสละกรรมสิทธิ์สถานะส่วนตัวจากไป ร่องรอยที่เหลือทิ้งไว้ก็จะเป็นของสาธารณะไปในทันใด ซึ่งอาจเป็นไปได้ทั้งในทางรังเกียจสยดสยองหรือขบขัน และจากข่าวล่าสุด[ii]...ของเหลือเหล่านี้อาจทำให้ท่านติดคุกได้!

ประเด็นแรกคือ ประเทศไทยอาจเป็นที่เดียวหรือไม่ ที่ส้วมสาธารณะไปสังกัดอยู่กับสถานที่ของเอกชนเช่นปั๊มน้ำมันเสียเป็นส่วนใหญ่ ผู้เขียนลองนึกว่าเมื่อเราปวดส้วมนอกสถานที่ในประเทศอื่น สถานที่ที่เรามองหามันได้คือ ร้านอาหาร fast food, ในพิพิธภัณฑ์, สวนสาธารณะ, ห้างสรรพสินค้า, สถานีรถไฟ-บัส....หรืออาคารสาธารณะ และส้วมสาธารณะที่รัฐจัดหาให้เมือง แต่ไม่ใช่ปั๊มน้ำมันทั่วไปแน่ๆ หากเราลองใช้สัญชาติญานแบบไทยๆนี้ก็จะต้องพบกับความผิดหวังอย่างรุนแรงเพราะไม่ทันการ (Rest Area บนถนน high wayของอเมริกันที่ให้บริการทั้งปั๊มน้ำมัน, Fast food, ร้านขายของที่ระลึกและจิปาถะเพื่อการเดินทางต่อไป อาจเป็นต้นแบบของมัน แต่มันก็ให้บริการเฉพาะกับพฤติกรรมเดินทางในแบบวัฒนธรรมรถยนต์ของอเมริกัน)

ส้วมน่าจะเป็นจุดขายของปั๊มน้ำมันมาก่อนร้านกาแฟสดจัดรสเคลือบลำคอ(คอกาแฟ) ที่ตามมาภายหลังเพื่อยื้อผู้ใช้บริการให้อยู่กับแหล่งบริการค้าขายให้นานที่สุดเพื่อการบริโภคที่มากันแบบดาบหน้า การไม่มีบริการสาธารณะจากรัฐในเรื่องนี้ให้พอเพียงหรือพอทำใจเข้าใช้บริการได้จึงกลับเป็นประโยชน์ส่งเสริมการขายแก่ปั๊มน้ำมันชาวไทย

ประเด็นที่สองคือ ความอัดอั้นคับข้องใจของชาวไทย ไฉนเลยจึงไปพรั่งพรูอยู่ในห้องน้ำ เหตุใดความอัดอั้นแบบฝรั่งที่ถูกพัฒนาต่อมาเป็นงานศิลปะข้างถนน หรือGraffiti Art จึงปรากฏตัวอย่างฉูดฉาดทะนงตนตามสองฝั่งถนนอย่างไม่เกรงสายตา และออกจะเป็นความประสงค์เสียด้วยซ้ำที่จะให้สะดุดแก่สายตาสาธารณะ แม้จะไม่ท้าทายขนาดไปเขียนบนผนังห้างดังย่านในเมือง (เว้นแต่ถ้าได้รับเชิญเมื่อถูกยกสถานะเป็นArtแล้ว) มันมักจะเลือกถิ่นสักหน่อย คือเป็นถนนท้องถิ่นย่านเสื่อมโทรมของเหล่าผู้เขียนนั่นเอง และผนังเหล่านั้นก็ดูจะไม่ได้รับการเหลียวแลมาก่อนหน้าการบรรเลงสีของเขาอยู่แล้ว... ผู้เขียนไม่ขอกล่าวถึงGraffiti แบบไทย เพราะมันถูกนำเข้าและบริโภคด้วยวัตถุประสงค์ที่ต่างกันอย่างสิ้นเชิง

ผู้เขียนขอกล่าวถึงคำว่า”ขี้” ไม่เลือกคำว่า“อึ”ที่สุภาพกว่าเล็กน้อย เพราะ”ขี้”ให้ความเชื่อมโยงกับประเด็นคำถามที่กล่าวข้างต้นนี้ได้มากกว่า ...คำว่า ขี้เกียจ ขี้เบื่อ ขี้เหงา ขี้เมา ขี้หึง นอกจากมันทำตัวเป็น “คำนำหน้า” (prefix )ของพฤติกรรมต่างๆที่ไม่ค่อยดีแล้ว คำว่า”ขี้” คือการเน้นความหมายว่าเป็นคนทำอะไร(ที่ไม่ดี)ซ้ำๆจนเป็นนิสัย เราอาจอุปโลมได้ว่าเนื่องมาจากการเข้าส้วมไปขี้ เป็นกิจกรรมที่มนุษย์มีความจำเป็นต้องทำอยู่ให้เป็นนิสัยแม้สิ่งที่ผลิตออกมาจะน่ารังเกียจก็ตาม การเป็นคนขี้...อะไรซักอย่างก็คือเป็นคนแบบนั้นจนเป็นนิสัย

การเลือกกิจกรรมขี้(และฉี่)มาเป็นจุดขายของปั๊มน้ำมันจึงนับเป็นความฉลาดไม่น้อย เพราะเป็นสิ่งที่มนุษย์ที่อยู่บนรถนานๆต้องการแน่ๆ และต้องทำซ้ำจนเกิดการซื้อขายในสถานที่นี้จนกลายเป็นนิสัยที่ดี(ต่อเจ้าของบริการ) กิจการก็ย่อมรุ่งเรือง

กิจกรรมประกอบระหว่างการขี้ก็กล่าวได้ว่า คงทำกันจนเป็นนิสัยเช่นกัน เมื่อมาบวกรวมกับบรรยากาศส่วนตัว มันจึงมักเป็นกิจกรรมในที่ลับ ถ้าเป็นส้วมที่บ้านก็อาจเป็นหนังสือโป๊ แต่พอเป็นส้วมสาธารณะ มันจึงกลายเป็นเรื่องลับที่ประสงค์จะเปิดเผยแต่ไม่อาจบอกกันตรงๆได้นั่นเอง... มันจึงเป็นความอัดอั้นคนละแบบกับGraffiti Art กิจกรรมประกอบเช่นความลับในที่แจ้งในส้วมสาธารณะที่ทำกันจนเป็นนิสัยเหล่านี้ เอาเข้าจริงไม่เคยมีใครถือสาหาความเอากับมัน ตลอดชีวิตของผู้เขียนได้รับรู้มามากมายจากผนังส้วมว่าใครเป็นพ่อของใครเต็มไปหมด มาจนถึงยุคสมัยที่ผู้คนอยากรู้เสียเหลือเกินว่าใครเป็นพ่อใครกันแน่จนต้องไปขุดคุ้ยให้เปลืองเวลาทางทีวี ทั้งๆที่เราชาวไทยก็รู้กันทางทีวีอยู่แล้วว่าใครเป็นพ่อของใคร

จะว่าไปแล้ววรรณกรรมในส้วมน่าจะเป็นหนึ่งในวรรณกรรมที่จริงใจที่สุด เพราะมันสดกว่ากลอนสด จะมีอะไรให้ผู้เขียนหมกมุ่นปรุงแต่งได้อีกเล่า ในเมื่อการเขียนยามปลดปล่อยนั้นสมาธิย่อมเพ่งไปที่แหล่งระบายทางกายภาพเป็นลำดับสำคัญ ผู้เขียนเชื่อว่าความคิด ความเห็นน่าจะก่อตัวในช่วงสะสมพลังเบ่ง ไปจนถึงช่วงคลายตัวเพื่อเฮือกถัดไป การได้ระบายทั้งทางความคิดและทางกายภาพนี่คือความหมายในการมีอยู่ของห้องปลดทุกข์ ที่ไม่น่าจะมีช่องว่างให้วัตถุประสงค์ทางการเมืองแฝงเข้ามาในตอนไหน...ถ้าเพิ่งจะมี...พลังทางการเมืองแบบใดกันที่ถึงกับต้องหนีมาแสดงออกกันในส้วม?...สังคมไม่เหลือพื้นที่ปกติที่ปลอดภัยกันแล้วหรือ? อะไรทำให้พื้นที่ในส้วมสาธารณะในปี 2553จึงดูเหมือนจะมี free speech มากกว่าพื้นที่แจ้ง?

เราคงไม่ควรถึงกับต้องมาเรียกร้องสิทธิ์ของผู้ปลดทุกข์ แต่หากเรามองหาความหมายทางสังคมจากเรื่องที่ดูเหลวไหลเป็นขี้เหล่านี้ แทนที่จะหมกมุ่นอยู่กับการจับคนผิดเข้าตะรางข้อหาหมิ่นให้ได้ เช่น เหตุใดวลีที่ล่อแหลมไปในทางหมิ่นสถาบันเหล่านี้ จึงได้เป็นเนื้อหาใหม่ที่กระจายตัวเข้ามาถึงปริมณฑลส้วมสาธารณะกันเล่า? ถ้ามันไม่เคยมีมาก่อน เกิดอะไรขึ้นกับสังคมไทยในเวลานี้ที่ผู้คนมาระบายทุกข์ในเรื่องที่ไม่เคยกล่าวถึงมาก่อน? แล้วต้องมากล่าวกันอย่างเป็นเรื่องลับที่ประสงค์จะเปิดเผย? หรือเคยมี? แต่สังคมในช่วงเวลานั้นไม่เคยถือสาหาความเอากับมัน ไม่ต่างกับการรับรู้ว่าช่างกลสถาบันไหนจะเป็นพ่อใคร คนระบายทุกข์ในที่ลับอาจจะป่วยใจ แต่คนที่จ้องจับคนป่วยใจเข้าคุกนั้นน่าจะมีอาการป่วยทางจิตมากกว่า

อาจกล่าวได้ว่ากฏหมายหมิ่นมีแนวโน้มจะถูกบังคับใช้โดยตำรวจพลเมืองอาสาเอากับส้วมในสถานบริการน้ำมันโดยเฉพาะ อันดูจะเป็นการเลือกปฏิบัติของกฏหมายที่เนื่องมาแต่พฤติกรรมขายส้วมสาธารณะและข้อจำกัดในการแสดงความเห็นแบบไทยๆนี้เอง ส้วมอาจไม่พึงเป็นจุดขายในการค้าของปั๊มน้ำมันอีกต่อไป หากการเข้าส้วมของผู้ใช้บริการ”ขี้หมิ่น”อาจทำให้ผู้ให้บริการเข้าคุกในลำดับถัดไป หรือผู้ใช้บริการเองก็อาจเกรงว่าวรรณกรรมในส้วมเช่น “กูxxx...พ่อของ yyy...” อาจไปเข้าข่ายหมิ่นสถาบันใดๆโดยรู้เท่าไม่ถึงการ ส้วมสาธารณะจึงไม่อาจตอบสนองหน้าที่”ห้องปลดทุกข์” ได้สมประโยชน์ต่อไป เนื่องด้วยต่างก็จะมีอาการ”ขี้หดตดหาย”ไปตามๆกัน

ที่มา.ประชาไท
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ข่าวสดรายวัน
คอลัมน์ เหล็กใน

เป็นคำถามที่ภาคเอกชนเกือบทั้งประเทศไทย พร้อมใจกันยิงไปถึงรัฐบาล

เกี่ยวกับโครงการ Ɖ จี' ที่อนุมัติให้ 'ทีโอที' เดินหน้าพัฒนาโครงข่ายเพื่อรองรับการใช้งานของคนไทย จะประสบผลสำเร็จขนาดไหน

เพราะถ้าเลือกได้คงอยากให้เอกชนรายใหญ่ในเมืองไทย หรือเมืองนอกเข้ามาพัฒนามากกว่า

แต่ถึงตอนนี้คนไทยมีทางเลือกเพียงหนึ่งเดียวคือใช้งานผ่าน 'ทีโอที'

เนื่องจากปัญหาด้านกฎหมายที่ทำให้กทช.หงายเก๋ง ไม่สามารถเปิดให้เอกชนเข้ามาประมูลได้ ตามที่ศาลปกครองมีคำสั่งออกมา

ครั้นจะรอ 'กสทช.' องค์กรตามรัฐธรรมนูญใหม่ปี཮ ดูตามเนื้อผ้าแล้วน่าจะใช้เวลาไม่น้อยกว่า 3-5 ปี

เอาเป็นว่าแค่สรรหากรรมการ กสทช. ก็น่าจะใช้เวลาเป็นปีๆ แล้ว เพราะไหนจะเรื่องคุณสมบัติ ความเหมาะสม และอาจจะถูกร้องเรียน เหมือนสมัยสรรหา กทช.

หากจะรอจริงๆ คงเหนียงยานกันทั้งประเทศ และเมื่อถึงเวลานั้นเทคโนโลยี Ɖ จี' คงล้าสมัยไปแล้ว

เนื่องจากเทคโนโลยีด้านการสื่อสารทุกวันนี้ ไปเร็วยิ่งกว่าติดจรวด ตอนนี้หลายประเทศเริ่มใช้ระบบ Ɗ จี' กันแล้ว

แม้แต่เวียดนามที่มี Ɖ จี' ก่อนเราตั้งนาน ก็เริ่มทดสอบระบบ Ɗ จี' เชื่อว่าภายใน 1-2 ปีนี้น่าจะพัฒนาเต็มระบบ

จริงๆ ปัญหา Ɖ จี' คงไม่เกิด หากรัฐบาลที่ผ่านๆ มาจริงจังและใส่ใจมากกว่าที่เป็นอยู่ โดยเฉพาะการสรรหากรรมการ กสทช. แต่ก็ปล่อยปละละเลยกระทั่งเกิดเหตุขึ้น

คงคล้ายๆ กับกรณี 'มาบตาพุด' นั่งยิ้มหวานกันมาหลายปี รอจนเกิดความเสียหายถึงขยับออกระเบียบ ออกมาตรการแก้ไข

แต่เศรษฐกิจบางส่วนเจ๊งไปเรียบร้อยแล้ว

ย้อนกลับมาที่ปัญหา Ɖ จี' ที่ฝากความหวังทั้งหมดไว้ที่ทีโอที แม้เอกชนจะหวั่นใจอยู่ลึกๆว่าจะทำได้ดีขนาดไหน เพราะภาพเก่าๆ สมัย 20 กว่าปีก่อนยังตามหลอน ที่เวลาขอโทรศัพท์บ้านต้องรอกันเป็นปีๆ จ่ายเงินบนโต๊ะ ใต้โต๊ะ กันยุ่บยั่บ

จริงๆ แล้วหากมองแบบนี้ออกจะไม่เป็นธรรมกับทีโอที สักเท่าไหร่ เพราะหากดูการบริหารงาน ณ ปัจจุบัน แม้จะไม่คล่องตัวเท่าเอกชน แต่ก็ถือว่าทำได้น่าพอใจ

ยิ่งตอนนี้ต้องถือว่าเป็นโอกาสอันดีที่ 'ทีโอที' จะสร้างความประทับใจให้ลูกค้า ซึ่งเมื่อถึงตอนที่เมืองไทยมี กสทช.เปิดประมูลโครงการ Ɖ จี' หรือ Ɗ จี' ให้เอกชนเข้ามาแข่ง

หากทีโอที ใช้เวลานี้ทำให้ลูกค้าติดใจในบริการ ถึงตอนนั้นก็ไม่ต้องกลัวว่าเอกชนจะมาแย่งฐานลูกค้าไปได้

ขออย่างเดียวอย่าติดนิสัยในอดีตสมัยที่ 'ทีโอที' ผูกขาดการให้บริการโทรศัพท์เพียงเจ้าเดียว ก็แล้วกัน

วันศุกร์ที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2553

ฮวน คาร์ลอส

ในโลกใบนี้...หากมองให้ไกลออกไปจากพรมแดนประเทศไทย...หาแผ่นดินใดแผ่นดินหนึ่ง ซึ่งมีความใกล้เคียงกับประเทศและประชาชนคนไทยแล้วและเป็นประเทศประชาธิปไตยแล้ว

นอกจากฟิลิปินส์...น่าจะไกลออกไปถึงตอนใต้ของทวีปยุโรป คือ แผ่นดินสเปน

อากาศสบายทะเลอุ่น...สเปนกับประเทศไทยจึงกลายเป็นเมืองท่องเที่ยวของชาวโลก...ความกลมกลืนกันของคนหลายเผ่าพันธุ์ในสเปนและไทย ทำให้ประชาชนในสองชาติ...มีชาติที่สนุกสนานอยู่กันไปวันๆ ไม่เคร่งครัดเคร่งเครียดอย่างคนเยอรมันคนญี่ปุ่น

ที่เหมือนกัน...สเปนเคยเป็นเผด็จการติดต่อกันยาวนาน...ในยุคของจอมพลทหาร...นายพลฟรังโก หะแรกท่านแม่ทัพใหญ่ก็ใช้เผด็จการทำประชานิยมเอาใจคนสเปน...แต่นานไปนานไป...คำว่า “ฟรังโก” ก็กลายเป็นคำว่า “โอเค” เพราะไม่ว่าเรื่องราวใดๆ ถ้ามีเครือข่ายหรือเครือญาติของท่านนายพลเข้าไปปะปน...ก็ต้องสำเร็จ

ธรรมชาตินั้น...ศักดิ์สิทธิ์...ไม่มีใครยิ่งใหญ่จนความตายเอื้อมมือไปไม่ถึง...ครอบครองแผ่นดินมานานกว่า 40 ปี...สังขารก็เริ่มบอกลา...ผู้ยิ่งใหญ่ฟรังโก้...ไม่ได้ปราบดาภิเษกตนเองขึ้นเป็นกษัตริย์...แต่เขาเลือกเชื้อพระวงศ์พระองค์หนึ่งขึ้นมาให้สานต่อการปกครองของเขา...

คนสเปนได้กษัตริย์...หลังจากว่างเว้นมานานวัน...แต่ท่านนายพลฟรังโก ไม่ได้เลือกคนผิด...

พระราชาธิบดี ฮวน คาร์ลอส...ได้อำนาจเผด็จการจาก...เผด็จการฟรังโก...แทนที่จะทรงใช้พระราชอำนาจนั้นสืบต่อ ลัทธิฟรังโก...พระองค์ทรงเปลี่ยนผ่านพระราชทานพระราชอำนาจนั้นคืนสู่คนสเปน

แน่นอน...ผู้สูญเสียอำนาจคือนายร้อยห้อยกระบี่ทั้งหลายย่อมไม่พึงพอใจ...จนกลายเป็นเหตุให้กระทำการยึดอำนาจการปกครองจากประเทศไปจากรัฐสภา...ประวัติศาสตร์โลกบันทึกไว้ว่า...ระหว่างการเป็นกษัตริย์ที่เป็นสัญลักษณ์...ตามรัฐธรรมนูญแห่งสเปน...กับการเป็นจอมทัพที่กระทำการปฏิวัติ...ฮวน คาร์ลอส...จะเสด็จไปในทิศทางไหน...

ประวัติศาสตร์บรรทัดต่อไป...บอกว่า...ทหารผู้ปฏิวัติ...กลายเป็นกบถถูกถอดยศและติดคุก 30 ปี...และ ฮวน คาร์ลอส...กลายเป็นศูนย์รวมใจ...ของมหาชนชาวสเปนและชาวโลก ตราบเท่าทุกวันนี้

คอลัมน์.พญาไม้ทูเดย์พญาไม้
ที่มา.บางกอกทูเดย์

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

อุบัติเหตุอำนาจ-สมมติฐาน "ยุบ ปชป."พท.-ภท-ชทพ. ระทึก "นายกฯสำรอง" เคลื่อนแผนใต้ดินปรองดอง-นิรโทษกรรม

ที่มา. ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
 
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ และคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ ยังคงเป็นแกนกลางของกระดานการเมือง
 
เป็นแกนที่หมุนให้เกิดกระแสการเมือง ไม่น้อยกว่า 2 ปรากฏการณ์
 
เป็นปรากฏการณ์ที่ทำให้ชื่ออดีตนายกรัฐมนตรีอย่างน้อย 3 คน กับอีก 2 รองนายกรัฐมนตรี และ 2 อดีตรองนายกรัฐมนตรี กับ 1 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังหน้าใหม่ วนเวียนอยู่ในโผ "ว่าที่นายกรัฐมนตรี" 
 
ทั้งชื่อ-ภาพ-เสียงของ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ-บรรหาร ศิลปอาชา-ชวน หลีกภัย ถูกชูขึ้นบนกระแส "นายกฯสำรอง"
เช่นเดียวกับชื่อ พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์-สุเทพ เทือกสุบรรณ และสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ก็ถูกเชิดขึ้นเป็นว่าที่ "นายกฯสำรอง"
 
แกนของปรากฏการณ์ "นายกฯสำรอง" ถูกหมุนไปพร้อม ๆ กับแผนปรองดอง และ พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ที่นายเนวิน ชิดชอบ เป็นแกนกลาง
 
ก่อนเกิดเหตุ "นายกฯสำรอง" สมมติฐานเรื่องการ "ยุบพรรคประชาธิปัตย์" ถูกตั้งธง เคลื่อนไหวอย่างเป็นระบบมาจากต้นตอสำคัญในพรรคเพื่อไทย
 
พร้อม ๆ กับการส่ง "มิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์" อดีตรองนายกรัฐมนตรี เข้าประกวดเป็น "ว่าที่นายกฯสำรอง" บนสมมติฐานของการยุบพรรคประชาธิปัตย์ และฝันถึงการล้างไพ่ในรัฐบาล
 
สอดรับกับการ "ปล่อยประเด็น" ของ พล.อ.ชวลิตที่อ้อมหมัดไปชกที่มุม "สมคิด" สกัดคู่แข่งกรณีเกิดการ "นิรโทษ"
 
ทั้ง ๆ ที่ชื่อ "สมคิด" นั้นถูก "เนวิน-อนุทิน" ปฏิเสธไม่เหลือเยื่อมาตั้งแต่ไม่ปฏิสนธิเป็น "ภูมิใจไทย"
 
แต่เครดิตการ "ปล่อย" ของ "บิ๊กจิ๋ว" ยังสามารถโน้มน้าวให้คนการเมืองเงี่ยหู-สดับรับฟัง เพราะบังเอิญข่าวความเคลื่อนไหวของกระบวนการปรองดอง และแผนนิรโทษมีความคลุมเครือ-คาบเกี่ยวกับคนจำนวน 111+109 คน
 
การเคลื่อนไหวของ "เสธ.หนั่น" และการเปิดเกมของ "เนวิน" จึงกลายเป็นเรื่องเดียวกัน
 
การเปิดประเด็น "นายกฯสำรอง" กับแผน "นิรโทษกรรม" จึงกลายเป็นแนวรบเดียวกัน
 
พร้อม ๆ กับการเคลื่อนไหวจากบางกลุ่มก๊ก-ก๊วนในพรรคประชาธิปัตย์ ที่เปิดชื่อ "นายกรณ์ จาติกวาณิช" ขึ้นมาร่วมปั่นราคา-สร้างกระแส "นายกฯสำรอง"
 
ในขณะที่นายกรัฐมนตรีตัวจริง "อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" นายกรัฐมนตรี หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ประเมินสถานการณ์และความเคลื่อนไหวเขย่าบัลลังก์ว่าเป็นเพียงปรากฏการณ์ "ปกติ" 
 
แต่นายกรัฐมนตรีคิดข้ามชอตไปถึงแคมเปญใหม่ เพื่อลงเลือกตั้งครั้งหน้า
 
"ผมไม่ได้ให้ความสำคัญกับตรงนี้ ผมให้ความสำคัญกับตัวงานที่ต้องทำมากกว่า เพราะมีงานหลายอย่างที่อยากจะเร่งออกมา ซึ่งในเดือนตุลาคมมีนโยบายใหม่ที่เราจะทำเพิ่มเติมขึ้น ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญในเชิงโครงสร้าง คิดว่าอยากจะทำตรงนั้นให้ดีที่สุด"
 
พร้อม ๆ กับการเปิดตัว "สุเทพ เทือกสุบรรณ" ลงรับสมัครเลือกตั้ง ส.ส.ที่ จ.สุราษฎ์ธานี ด้วยเหตุผลที่ไม่มีเบื้องหน้า-เบื้องหลัง นอกจากแก้ปัญหา "เฉพาะหน้า" ที่ไม่เน้นสรรพกำลัง-กระสุน-กระแส แต่ต้องการใช้บุญเก่าเข้าเส้นชัย 
 
สมมติฐานการเมืองที่อ้างอุบัติเหตุการเมืองยุบพรรคประชาธิปัตย์ แล้วเกิดการพลิกขั้วการเมืองแบบพลิกฟ้า-คว่ำแผ่นดิน โอนอำนาจกลับไปสู่ "เพื่อไทย-ภูมิใจไทย" จึงไม่มีข้อค้นพบที่มีนัยสำคัญ

ประกอบกับข้อโต้แย้งและความหนักแน่นของหลักฐานและการซักค้าน-สืบพยานในศาลของ "ทนายเทวดา-บัณฑิต ศิริพันธ์" ที่เข้มข้น-หนักแน่น และยังมีประเด็นที่ถูก "งำประกาย" เก็บไว้
 
ยิ่งทำให้สมมติฐานของเพื่อไทย ในคดียุบพรรคยิ่งอยู่บนความผันผวน เป็นไปได้ทั้ง "ยุบ" และ "ไม่ยุบ"
 
ระหว่างที่คดียุบพรรคประชาธิปัตย์ยังคาศาล
 
ระหว่างที่ พ.ร.บ.นิรโทษกรรมของ "เนวิน ชิดชอบ" ยังคาสภาผู้แทนราษฎร
 
ชีพจรการเมืองจึงยังคงเต้น ตั้งต้นจากคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ และแผนนิรโทษคนการเมือง   
ควบคู่ไปกับขบวนการใต้ดินที่ยังคงเคลื่อนไหวไปสู่การปรองดอง ระหว่างฝ่าย "ทักษิณ ชินวัตร" กับฝ่าย "กองทัพ" และฝ่ายรัฐบาล
 
การเดินสาย-เดินเกมของ พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ รองนายกรัฐมนตรี ทั้งที่เรือนจำกลาง-แกนนำ นปช.ทั้ง 7 คน โดยอ้าง "ณัฐวุฒิ ไสยเกื้อ" เป็น "เพื่อนสนิท" เพื่อกางเส้นทางสู่การประกันตัวออกมานั่งในวงเจรจา ยิ่งเพิ่มความเป็นไปได้
 
ทั้งมังกรเติ้ง-บรรหาร และ เสธ.หนั่น ผนึกกับเนวิน จึงต้องร่วมกันเดินทั้งแผนปรองดอง-แผนนิรโทษไปพร้อม ๆ กัน
 
ขณะที่ "เนวิน" เดินหน้าผลักดันแผนนิรโทษ
 
"เสธ.หนั่น" เดินหน้าเจรจาผลักดันแผนปรองดองระหว่าง 3 ขั้ว เสนอตัวตั้งวาระเจรจา-หารือกับ 3 พรรค ทั้งพรรคเพื่อไทย พรรคภูมิใจไทย และพรรคเพื่อแผ่นดิน และเตรียมบินตรงไปพบ "ทักษิณ"  
"นอกจากพรรคการเมืองต่าง ๆ แล้ว ในส่วนของทหารทั้งในราชการและนอกราชการก็ต้องไปหารือด้วยกัน เพราะถือเป็นฝ่ายหนึ่งในความขัดแย้งสำหรับทหารในราชการที่จะเข้าหารือก็คือ ผู้บัญชาการเหล่าทัพต่าง ๆ ขณะที่ทหารนอกราชการจะมี พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี, พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ" พล.ต.สนั่น-ระบุตัวคนในวงเจรจา
 
แต่การเจรจา 3 ฝ่าย 3 พรรค 2 สี ยังต้องรอ "ไฟเขียว" จาก "ฝ่ายนิรนาม" ที่เป็นหุ้นส่วนสำคัญในกระดานอำนาจ
 
สัญญาณการประกันตัว 7 แกนนำ นปช.เริ่มขึ้นได้เมื่อไร เมื่อนั้นเส้นทางปรองดอง จึงอาจถือว่าเริ่มนับหนึ่ง
 
ความหวัง-ความฝันของนักการเมืองที่ตั้งสมมติฐานว่า คดียุบพรรคประชาธิปัตย์ จะทำให้เกิดสุญญากาศทางอำนาจ
 
และสมมติฐานเรื่องอุบัติเหตุอำนาจ การเปลี่ยนกระดานการเมือง ถึงขั้นสรรหา "นายกฯสำรอง"
 
ยังคงผูกติด-คาบเกี่ยวกับเงื่อนไขการพิจารณาวาระ "นิรโทษ" และความคืบหน้า "แผนปรองดอง" 
 
 
บุคคลสำคัญทั้ง 3 อดีตนายกรัฐมนตรี-2 รองนายกรัฐมนตรี และ 2 อดีตรองนายกรัฐมนตรี กับผู้มีบารมีนอกพรรคทั้งเนวิน ชิดชอบ และทักษิณ ชินวัตร ยังอลเวง อยู่ในเกม "ปรองดอง-นิรโทษ"

....................................
 

เลื่อนยื่นสมัครวันเดียวกันพท.ส่ง‘บิ๊กจิ๋ว’ชน‘สุเทพ’

จาก:หนังสือพิมพ์ โลกวันนี้

พรรคเพื่อไทยส่ง “บิ๊กจิ๋ว” เป็นแม่ทัพใหญ่พา “วรวุฒิ” ยื่นใบสมัคร ส.ส.เขต 1 สุราษฎร์ธานี โดยเลื่อนกำหนดยื่นใบสมัครเป็นวันที่ 8 ต.ค. วันเดียวกับ “สุเทพ” เตรียมปูพรมตั้งเวทีปราศรัยใหญ่ทุกอำเภอควบคู่ปราศรัยย่อยทุกชุมชน ให้ประชาธิปัตย์รักษาคำพูดไม่จัดมวลชนต่อต้าน ด้าน “เทพไท” รับประกันไม่มีเหตุรุนแรง ยอมรับเกรง “สุเทพ” ไม่ปลอดภัยแม้จะเป็นพื้นที่ตัวเองแต่ต้องเช็กให้แน่ใจก่อนลงพบประชาชน อ้อนคนในพื้นที่ช่วยเป็นเกราะป้องกัน

นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย แถลงผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานภาค ใต้ที่มี พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ประธานพรรคเพื่อไทย เป็นประธานว่า ที่ประชุมเห็นชอบให้นายพิเชษฐ สถิรชวาล เป็นผู้อำนวยการเลือกตั้งซ่อม ส.ส.สุราษฎร์ธานี เขต 1 พร้อมเปลี่ยนกำหนดวันยื่นใบสมัครของนายวรวุฒิ วิชัยดิษฐ จากกำหนดเดิมวันที่ 4 ต.ค. ไปเป็นวันที่ 8 ต.ค. เวลา 09.00 น. ซึ่งเป็นวันเดียวกับที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีและเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ จะไปยื่นใบสมัคร เพื่อไม่ให้เกิดความได้เปรียบเสียเปรียบกันเรื่องระยะเวลาหาเสียง

“วันสมัครนายยงยุทธ วิชัยดิษฐ หัวหน้าพรรค นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พร้อมด้วย พล.อ.ชวลิต นายพิเชษฐ และว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.ภาคใต้ของพรรคทุกคนจะร่วมคณะเดินทางให้กำลังใจนายวรวุฒิด้วย หลังจากยื่นใบสมัครได้หมายเลขประจำตัวแล้วจะขึ้นรถรณรงค์ออกหาเสียงทันที” นายพร้อมพงศ์กล่าว

นายพร้อมพงศ์กล่าวอีกว่า การหาเสียงครั้งนี้พรรคจะตั้งเวทีปราศรัยใหญ่ในทุกอำเภอควบคู่ไปกับการปราศรัยย่อยในชุมชนและการเดินเคาะประตูบ้านของผู้สมัคร พรรคไม่หวั่นว่าจะเกิดเหตุซ้ำรอยเหมือนตอนที่ลงไปตรวจสอบที่ดินเขาแพงที่มีการเกณฑ์ประชาชนมารุมล้อมและขู่ทำร้าย พรรคเพื่อไทยเชื่อในเกียรติของพรรคประชาธิปัตย์ที่ประกาศออกมาแล้วว่าจะไม่มีการต่อต้านจากคนในพื้นที่ ดังนั้น หากเกิดการสร้างสถานการณ์รัฐบาลและพรรคประชาธิปัตย์ต้องรับผิดชอบ

“หากแข่งขันกันอย่างตรงไปตรงมา ไม่ใช้วิชามาร จะทำให้ไม่มีเรื่องร้องเรียนหลังการเลือกตั้ง ซึ่งพรรคเพื่อไทยเชื่อว่าคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)จะทำหน้าที่ด้วยความเป็นกลาง” นายพร้อมพงศ์กล่าว

ด้านนายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะผู้ช่วยเลขาธิการพรรค ยืนยันอีกครั้งว่าการลงสมัคร ส.ส. ของนายสุเทพไม่ได้ปูทางเพื่อรอขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี แม้นายสุเทพจะมีคุณสมบัติไม่ด้อยไปกว่าอดีตนายกฯของพรรคเพื่อไทยอย่าง พล.อ.ชวลิต นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ หรือแคนดิเดตนายกฯอย่าง ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ แต่นายสุเทพไม่ได้มีความปรารถนาในเรื่องนั้น ส่วนกรณีที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ไม่ยอมระบุให้ชัดเจนว่าจะให้นายสุเทพกลับมาเป็นรองนายกรัฐมนตรีหลังการเลือกตั้งหรือไม่นั้น เป็นเพราะนายกฯไม่ต้องการผูกมัด เพราะเมื่อพูดไปแล้วต้องรักษาคำพูด การเมืองในอนาคตเป็นเรื่องไม่แน่นอน ที่สำคัญตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีเป็นตำแหน่งที่ต้องได้รับการโปรดเกล้าฯแต่งตั้ง จึงไม่เหมาะหากจะไปพูดถึง

นายเทพไทยืนยันด้วยว่า นายสุเทพไม่จำเป็นต้องลงสมัคร ส.ส. เพื่อสร้างหลักประกันความอิสระหากถูกดำเนินคดีจากการสลายการชุมนุม เพราะคนอย่างนายสุเทพมีความเป็นนักเลงพอที่จะต่อ สู้ทุกคดีตามกระบวนการยุติธรรม ไม่เหมือนนายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำคนเสื้อแดง ที่ใช้เอกสิทธิความเป็น ส.ส. เอาตัวรอดอยู่นอกคุกเพียงคนเดียว อยากให้นายจตุพรเอาเวลาที่มาวิพากษ์ วิจารณ์รัฐบาลไปเคลียร์ปัญหาเรื่องเงินๆทองๆของกลุ่มเสื้อแดงจะดีกว่า

“ผมยืนยันได้ว่าการเลือกตั้งซ่อม ส.ส.เขต 1 สุราษฎร์ธานี จะไม่มีความรุนแรงใดๆเกิดขึ้นอย่างแน่นอน เพราะพื้นที่นี้เพิ่งผ่านการเลือกตั้งซ่อมไปเมื่อปีที่แล้ว ซึ่งไม่มีปัญหาอะไร หากทุกฝ่ายร่วม กันป้องกันไม่ให้คนเสื้อแดงไปก่อความวุ่นวายในพื้นที่ก็จะไม่มีปัญหาอะไรแน่นอน” นายเทพไทกล่าวพร้อมยอมรับว่า ในการหาเสียงนายสุเทพคงต้องระวังตัวมากขึ้นเพราะเป็นเป้าของการลอบทำร้าย แต่เชื่อว่าคนในพื้นที่จะช่วยเป็นเกราะป้องกันให้นายสุเทพได้ อย่างไรก็ตาม การลงพื้นที่ต้องเป็นพื้นที่ที่มั่นใจว่าปลอดภัย ไม่มีการเผชิญหน้า แม้พรรคเพื่อไทยเตรียมระดมพลคนเสื้อแดงในภาคใต้เข้ามาทำกิจกรรมในพื้นที่ก็ขอยืนยันว่าจะไม่มีการจัดม็อบไปชนม็อบแน่นอน

**********************************************************************

สังคมฮิสทีเรีย

โดย. หนังสือพิมพ์โลกวันนี้รายวัน

ไม่มีใครปฏิเสธว่าดาราสาว “แอนนี่ บรู๊ค” มีความสัมพันธ์กับ “ฟิล์ม-รัฐภูมิ โตคงทรัพย์” แต่ลูกน้อยวัย 3 เดือน “น้องฑีฆายุ” จะเป็นบุตรของทั้งสองหรือไม่นั้น ไม่มีใครรู้ความจริงเท่ากับคนทั้งสอง

แต่ที่น่าสลดหดหู่มากกว่าข่าวประณามกันไปประณามกันมาที่เกิดขึ้นระหว่าง 2 ฝ่าย และผู้เกี่ยวข้องที่ออกมาพูดเป็นรายวันแล้ว ก็คือสังคมไทยที่เสมือนสังคมฮิสทีเรียหรือฮิสทีเรียทางศีลธรรมไปแล้ว ซึ่งนักวิชาการด้านศิลปศาสตร์ได้ตั้งเป็นประเด็นต่อสังคมไทยที่กำลังฝังรากลึกความเสื่อมด้านศีลธรรมอย่างยิ่ง

กระแสสังคมที่เกิดขึ้นกว่า 1 สัปดาห์หลังจาก “แอนนี่” และ “ฟิล์ม” ออกมาพูดกับสาธารณชนนั้น ยิ่งกว่าละครน้ำเน่าที่โผล่อยู่หน้าจอโทรทัศน์ จะเป็นเพราะเรื่องของผลประโยชน์ของคนทั้งสอง หรือบริษัทอาร์เอส ที่มีธุรกิจนับร้อยนับพันล้านบาทเกี่ยวข้อง

โดยเฉพาะสื่อ ไม่ว่าจะเป็นสื่อกระแสหลักหรือสื่อกระแสรอง ถือว่ามีส่วนสำคัญอย่างยิ่งกับการจุดประเด็นนี้ให้กลายเป็นกระแสหลักของสังคมไทยไปแล้ว ทั้งที่เรื่องนี้ควรจะยุติกันอย่างเงียบๆ ด้วยการพูดคุยกันระหว่าง “ฟิล์ม-แอนนี่” เช่นเดียวกับการตรวจดีเอ็นเอ

หากไม่มีสื่อไปขุดคุ้ยเพื่อให้เป็นข่าว ซึ่งไม่ใช่แค่สัมภาษณ์ “ฟิล์ม-แอนนี่” แต่เรื่องยิ่งบานปลายเพราะมีการดึงผู้อื่นเข้ามาร่วม ไม่ว่าผู้นั้นจะเป็นผู้เกี่ยวข้องในฐานะธุรกิจอย่างบริษัทอาร์เอส หรือในฐานะเพื่อนใกล้ชิดก็ตาม ล้วนไม่รู้ความจริงเท่า “ฟิล์ม-แอนนี่” แต่กลับทำให้เรื่องนี้ลุกลามบานปลายอย่างดุเดือดเผ็ดมันบนพื้นที่สาธารณะ ซึ่งไม่ต่างอะไรกับการดึงเรื่องของ “ฟิล์ม-แอนนี่” มาเป็นเรียลิตี้ให้สังคมโหวตว่าใครเลว ใครดี ใครผิด ใครถูก ทั้งที่ไม่รู้ความจริง แต่ก็ลงโทษบุคคลทั้งสองไปเรียบร้อยแล้ว

กรณี “ฟิล์ม-แอนนี่” จึงไม่ต่างกับโศกนาฏกรรมบนความสะใจของสังคมไทยที่กำลังตกต่ำสุดขีด เป็นฮิสทีเรียทางศีลธรรมที่พร้อมจะเข่นฆ่าใครก็ได้หากมีความพอใจ โดยไม่คำนึงถึงเรื่องศีลธรรม ความถูกต้อง และความยุติธรรมใดๆ ซึ่งไม่แตกต่างกับวิกฤตบ้านเมืองขณะนี้ที่สังคมไทยและสื่อแสหลักเหมือนคนหูหนวกตาบอด เพิกเฉยกับเหตุการณ์ “เมษา-พฤษภาอำมหิต” ทั้งที่มีการฆ่าประชาชนอย่างโหดเหี้ยมอำมหิตถึง 91 ศพ และบาดเจ็บพิการเกือบ 2,000 คน เพิกเฉยที่จะขุดคุ้ยหาความจริง และเพิกเฉยที่จะนำตัว “ฆาตกร” มาลงโทษ

ไม่ใช่แค่สังคมไทย สื่อกระแสหลัก และองค์กรสื่อต่างๆจะไม่มีสำนึกทางศีลธรรมและความยุติ ธรรมเท่านั้น แต่ยังไม่มีสำนึกความเป็นคนหรือมนุษยธรรม ที่ถือเป็นภาวะความเสื่อมทางศีล ธรรมที่น่าวิตกอย่างยิ่ง หากยังปล่อยให้สังคมไทยตกอยู่ในภาวะฮิสทีเรียทางศีลธรรมต่อไป

**********************************************************************

บูรพาพยัคฆ์ กับงูเห่า!

ดูเหมือนจะรอมชอมกันผิดหูผิดตา สำหรับท่าทีการพบปะกันระหว่าง “นายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” และ “นายกฯ ฮุนเซน” แถมยังมีการแจงคิวจับเข่าคุยล่วงหน้าถึง 3 นัด ผ่านวาระบรัสเซลส์ ฮานอย และพนมเปญ ส่งซิกสมานฉันท์ไทย-กัมพูชา ชื่นมื่น

อานิสงส์ส่งให้การค้าขายช่วงรอยต่อช่องสะงำ จังหวัดศรีสะเกษ ได้อึกทึกครึกครื้นขึ้นมาอีกครั้ง นี่แหละที่เขาว่า “การเมืองนิ่ง เศรษฐกิจย่อมแล่นฉิว”

ภายใต้บรรยากาศอบอุ่นบนชายขอบ มันช่างแตกต่าง กันอย่างยิ่ง สำหรับสถานการณ์ภายในของ “นายกฯ อภิสิทธิ์” ที่เชื่อเหลือเกินว่าแม้แต่ “นายกฯ ฮุนเซน” ในฐานะคนหัวอกเดียวกัน ก็น่าจะเข้าใจสถานการณ์ฉุกเฉิน ทางการเมืองในลักษณะนี้ได้เป็นอย่างดี

ขวากหนามใหญ่ในคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ มันไม่ต่างจากภูเขาไฟลูกใหญ่ที่กำลังปะทุอยู่เบื้องล่างแห่ง เก้าอี้ท่านผู้นำของ “อภิสิทธิ์” ที่ตั้งตระหง่านอยู่บนตึกไทยคู่ฟ้า...

แม้แต่ “นายหัวชวน หลีกภัย” ผู้เรียบเฉย ยังไม่สามารถสะกดอาการประหวั่นพรั่นพรึงให้พ้นไปจาก สีหน้าและแววตาได้อย่างดั่งใจนึกคิด

ว่ากันว่า ปลายตุลาคมไปจนถึงต้นเดือนพฤศจิกายน ก่อนศาลมีคำพิพากษา หรือแม้กระทั่งภายหลังศาลมีคำพิพากษา สถานการณ์การเมืองไทยล้วนสามารถ สลับผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนออกได้ทุกหน้า

วาระจุดพลุนิรโทษกรรมรอบที่ร้อยแปดของ “ครูใหญ่เนวิน ชิดชอบ” ถือว่าไม่ธรรมดา

วาทกรรมพลิกขั้วสวมกอดเพื่อไทยหากประชาธิปัตย์โดนยุบพรรคของ “ปู่จิ้น-ชวรัตน์ ชาญ-วีรกูล” ย่อมทะลุกลางปล้องได้น่าสนใจยิ่ง

มหกรรมปล่อยคาราวานปลาไหลเดินสาย ปรองดองฉบับ “พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์” นั้นล้วนขับเคลื่อนไปอย่างมีนัย

ปฏิบัติการรับลูกโรดแมป “เสธ.หนั่น” เหมือนนัดกันไว้ล่วงหน้าของ “ทีมงาน 3 พี” มันย่อมบ่งบอกให้เห็นถึงสัญญาณอะไรบางอย่าง

หรือแม้กระทั่ง ลีลาการกอดเก้าอี้รองนายกฯ โดดลงสนามเลือกตั้งซ่อมเมืองสุราษฎร์ ของ “เทพเทือก-สุเทพ เทือกสุบรรณ” มันก็น่าจะอรรถาธิบายถึงทิศทางการเมืองว่าสุ่มเสี่ยงจะบังเกิดปรากฏการณ์ใดขึ้นในอนาคต

นักเลือกตั้งสลับหน้าเล่น ต่างคนต่างแสดงกันคนละบทบาท แต่ในแต่ละความเคลื่อนไหว ล้วนพุ่งไปสู่จุดหมายเดียวกัน ผ่านการวางหมากกลทางการเมืองใน “คัมภีร์อวิชชางูเห่า” ไว้อย่าง แยบคาย

ไม่ว่าเดิมพันล็อตโต้รอบนี้จะหมุนไปตกที่ฝั่งใด..ยุบสภา ยุบพรรค หรือ พลิกขั้วทางการเมือง???

“นักการเมืองสปีชี่ส์อนาคอนดา” ฝูงนี้ ก็จะยังสามารถ อยู่ยั้งยืนยงในนามฝ่ายกุมอำนาจประเทศอีกต่อไปได้อย่าง “วิน วิน”

จะเห็นได้ว่า ในรูปแบบการเมือง “สเปกรัฐบาลผสม” ท้ายที่สุดแล้ว..“ชาวนา” ไม่ว่าจะยุคไหนสมัยใด ก็มิอาจว่างเว้น จากการถูก “งูเห่าใจคด” แว้งฉกกัดอยู่ร่ำไป!!!

ถึงบรรทัดนี้คงได้แต่ภาวนาว่า “จ่าฝูงบูรภาพยัคฆ์คนใหม่” ผู้มีอำนาจพิเศษเหนืออสรพิษร้าย จะไม่เลือกกระทำการ ใดการหนึ่งอันไม่เป็นคุณต่อประชาธิปไตยไทย เพราะในห้วง 1 ปีกว่าแห่งเทอมการเมืองที่เหลือนั้น ยังปรากฏทางเลือกทาง ออกอีกมากมายหลายวิถีทาง

แต่หากอำนาจแห่ง “บูรพาพยัคฆ์” เลือกที่จะรั้นด้วยการเผาป่าล่า “งูเห่า” จุดจบแห่งนิทานการเมืองในเบื้องสุดท้าย ไม่ว่า “ชาวนา” กับ “งูเห่า” หรือ “งูเห่า” กับ “บูรพาพยัคฆ์” ท้ายที่สุดแล้ว คงไม่รอดพ้นเสียงสาปแช่ง เพราะพฤติกรรมซ้ำซากที่เคยดำเนินมาตั้งแต่อดีตกระทั่งปัจจุบัน

มันไม่มีแม้เพียงเศษเสี้ยววินาที ที่สร้างคุณูปการให้ชาติและประชาชน!!!

ที่มา.สยามธุรกิจ
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันพฤหัสบดีที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2553

นี่เขาถึงจะเรียกว่าคนของประชาชน??

ตำรวจเขาชื่นชม “เทพเทือก” สุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีในวันที่ไปเป็นประธานในพิธีมอบประกาศเกียรติคุณให้กับตำรวจตั้งแต่รอง ผบ.ตร.ถึงผู้กำกับการที่เกษียณอายุราชการประจำปี 2553 จำนวน 193 คนที่สโมสรตำรวจเมื่อวันศุกร์ที่แล้ว แทน “มาร์คไขสือ” อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีกันถ้วนหน้า

ก็ “เทพเทือก” นั้นเขานักการเมืองที่ปากกัดตีนถีบดั้นด้นมาจากกำนันลูกกำนันกว่าจะได้มาเป็นรัฐมนตรีและรองนายกรัฐมนตรีก็เหนื่อยหนักหนาสาหัส ไม่ใช่พวกเทพอุ้มสมบุญหล่นทับจนมองไม่เห็นหัวคนเหมือนบางคนซะที่ไหน

เจอหน้านายตำรวจที่จะมอบประกาศเกียรติคุณให้เป็นต้องยกมือไหว้ก่อน

ผิดกับบางคน ที่เห็นหัวข้าราชการเหมือนหัวหลักหัวตอ

ช่างใหญ่คับฟ้าจริงๆ นะพ่อเจ้าประคุณ!!

....................................................................................

จากรุกมาเป็นรับ??

จากปฏิบัติการเชิงรุกไม่ว่าจะเป็นการขอคืนพื้นที่หรือการกระชับพื้นที่

ช่วงนี้ ศอฉ.อันโด่งดังต้องกลับมาเป็นฝ่ายตั้งรับบ้าง

โดนรุกหนักจากคณะกรรมการตรวจสอบชุดต่างๆ จนวันๆ แทบไม่ต้องทำอะไรนอกจากมาคอยชี้แจง

ฝึกๆ ชี้แจงไว้บ้างก็ดี ชี้แจงยามบุญมามีบุญบังอะไรๆ ก็สะดวก

ยามหมดบุญ บุญไม่คอยมาบังชี้แจงไม่ดีมีหวังพังได้ง่ายๆ เหมือนกันนะ???

........................................................................

ไอ้ปรื๊ดทำเหตุ??

ไม่กี่วันก่อนผู้บัญชาการตำรวจสันติบาลก็ไปตรวจพบอาวุธมากมายใต้ฐานพระในวัดปทุมวนาราม

เหมาะเหม็งกับช่วงที่กลุ่มคนเสื้อแดงมาชุมนุมพอดิบพอดี

การชุมนุมก็เป็นไปด้วยความเรียบร้อยไม่มีเหตุ

ตามแผนประทุษกรรม..น่าจะเป็น “ไอ้ปรื๊ด” แน่ที่นำอาวุธมาซุกซ่อนไว้

ทำนองเดียวกับพวกเล่นไพ่รอตำรวจอย่างนั้นแหละ

นอกจากจะไม่ได้ใช้อาวุธทำอะไรแล้ว ยังมาเสียอาวุธให้ถูกยึดไปเปล่าๆ เสียอีก

ไอ้ปรื๊ดหนอไอ้ปรื๊ด!! เห็นทีความปรองดองของคนในชาติ...จะเป็นชาติหน้าเสียแล้วกระมัง!!

..............................................................................................................................................
ระวังเก้าอี้ ส.ร.1 หล่นทับ??

ในที่สุดพรรคประชาธิปัตย์ก็ตัดสินใจส่ง “เทพเทือก” สุเทพ เทือกสุบรรณ ลงสมัครรับเลือกตั้งซ่อม ส.ส.สุราษฎร์ธานี

แถมให้สละเก้าอี้รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงไม่ให้ติดก้นตอนไปหาเสียงให้คนเขาครหาว่าเอาเปรียบอีกต่างหาก

สละเก้าอี้หรือไม่สละเก้าอี้ยังไงๆ “เทพเทือก” ก็นอนมาแน่

เป็น ส.ส.งวดนี้ดีไม่ดีบุญอาจหล่นทับจนขาเท้าบวมก็ได้

ก็เป็น ส.ส.พอเหมาะพอเจาะกับช่วงจะมีการตัดสินยุบพรรคประชาธิปัตย์พอดิบพอดี

หากศาลรัฐธรรมนูญตัดสินยุบพรรคประชาธิปัตย์มีหวัง “มาร์คไขสือ” อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้เป็นเทวดาตกสวรรค์แน่

คนจะเป็นนายกรัฐมนตรีได้ต้องมาจาก ส.ส.

มากบารมีแถมคอนเน็กชั่นเยอะแบบ “เทพเทือก” ดีไม่ดีขาเท้าอาจบวมเอาดื้อๆ

ไม่มีอะไรมาก ก็แค่เก้าอี้ ส.ร. 1 มันหล่นทับเท่านั้นแหละ??

................................................................................

ปากกล้าขาสั่น??

แค่พญาชาละวันเมืองพิจิตร พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ รองนายกรัฐมนตรีมือประสานสิบทิศขยับหางแค่นั้นแหละ...เสียงเชียร์ให้เป็นนายกรัฐมนตรีคนกลางก็ดังกระหึ่ม

เพื่อไม่ให้เสียเหลี่ยมคครูทางการเมืองคนในพรรคประชาธิปัตย์บางคนพากันชู นายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง พ่วงด้วย นายหัวชวน หลีกภัย ให้ลอยเด่นเป็นอะไหล่ของ “มาร์คไขสือ” ขึ้นมาเป็นทางเลือก

แถมพรรคประชาธิปัตย์ยังมีมติส่ง “เทพเทือก” สุเทพ เทือกสุบรรณ คนมากบารมีลงสมัครรับเลือกตั้งซ่อมที่จังหวัดสุราษฎร์ธานีเพื่อให้ได้เป็น ส.ส.ซึ่งเป็นอีกคุณสมบัติหนึ่งของผู้ที่จะสามารถเป็นนายกรัฐมนตรีได้อีกต่างหาก

ที่บอกว่าพรรคประชาธิปัตย์จะไม่ถูกยุบนั้นก็คงเป็นเรื่องของคนปากกล้าขาสั่น

เห็นทีฝันจะเป็นนายกรัฐมนตรีสมัยที่สองของ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จะมืดมนเสียแล้วล่ะ??

คอลัมน์.ตอดนิดตอดหน่อยใต้ฟ้า
ที่มา.บางกอกทูเดย์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

หน้ากระดานเรียงหนึ่ง กดปุ่ม อภิวัฒน์ประเทศ

รู้ทัน ‘เอฟทีเอ’พลิกวิกฤติโกยหมื่นล้านบาท

“FTA” หรือ “FREE TRADE AREA” หรือที่ในภาษาไทยนิยามว่า “การเปิดการค้าเสรี” ซึ่งศัพท์คำนี้เป็นที่รู้จักในสังคมไทยมาอย่างเนิ่นนานมาก แล้ว แต่ที่ผ่านมามักจะบังเกิดมุมมองใน ทางลบกับเงื่อนไขในการเปิดเอฟทีเอ “หน้ากระดานเรียงหนึ่ง กดปุ่มอภิวัฒน์ ประเทศ” ฉบับนี้ จึงขออนุญาตนำเสนอ มุมมองในด้านสว่างของการเปิดเอฟทีเอ

อันเป็นมุมมองของนักวิชาการจากสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทยหรือทีดีอาร์ไอ ซึ่งได้ให้ความเห็นผ่านผลการศึกษาเรื่อง “การเก็บเกี่ยวประโยชน์จากความตกลงการค้าเสรีฉบับต่างๆ : โอกาสหมื่นล้านของผู้ประกอบการ” ในระหว่างการสัมมนาหัวข้อ “อุตสาหกรรมไทย ได้ประโยชน์จากความตกลงการค้าเสรีหรือไม่? เพียงไร?” โดยทางสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) และสถาบัน วิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทยร่วมกันจัด เมื่อไม่นานมานี้

สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ รองประธานสถาบันทีดีอาร์ไอ

“ในปี 2552 FTA ต่างๆ ที่มีผลบังคับ ใช้แล้วจำนวน 5 ฉบับ อันได้แก่ ความตกลงการค้าเสรีอาเซียน (AFTA) ความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-จีน (ACFTA) ความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจไทย-ญี่ปุ่น (JTEPA) ความตกลงการค้าเสรีไทย-ออสเตรเลีย (TAFTA) และโครงการเก็บเกี่ยว ล่วงหน้าภายใต้กรอบความตกลงการค้าเสรีไทย-อินเดีย (TIFTA) ทำให้ภาคส่งออก ไทยและภาคนำเข้าไทยประหยัดภาษีศุลกากร ได้ 7.2 หมื่นล้านบาท และ 3.3 หมื่นล้านบาท ตามลำดับ โดยความตกลง AFTA เป็นความตกลงที่ผู้ประกอบการใช้ประโยชน์ ได้มากที่สุด”

“เมื่อพิจารณาในรายสาขาทั้งในภาค ส่งออกและภาคนำเข้า ผู้ประกอบการในกลุ่มยานยนต์และกลุ่มอาหารเป็นผู้ประกอบการที่ได้ใช้ประโยชน์จากความตกลงสูงที่สุดเป็นอันดับที่หนึ่งและสองตามลำดับ อย่างไรก็ตาม พบว่า ยังมีผู้ประกอบการที่ไม่สามารถเก็บเกี่ยวประโยชน์จาก FTA ได้อย่างเต็มที่ เนื่องจากพบปัญหาและอุปสรรคต่างๆ อย่างน้อย 2 ด้าน”

“ด้านแรกคือปัญหาและอุปสรรคที่เกิดจากการเจรจา FTA เช่น สินค้าอยู่นอกรายการลดภาษีหรืออยู่ในรายการสินค้าที่มีความอ่อนไหว สินค้าได้รับแต้มต่อ ด้านภาษีศุลกากรไม่จูงใจพอเมื่อเทียบกับต้นทุนในการปฏิบัติตามข้อกำหนดต่างๆ ภายใต้ FTA สินค้าไม่ผ่านกฎว่าด้วยแหล่ง กำเนิดสินค้า และด้านที่สองคือปัญหาและ อุปสรรคที่เกิดจากการดำเนินการตาม FTA เช่น ผู้ประกอบการขาดความตระหนักถึงประโยชน์ที่ควรจะได้รับ ผู้ประกอบการไม่ สามารถเข้าถึงแหล่งข้อมูลที่สำคัญ ไม่ว่าจะเป็นอัตราภาษีภายใต้ FTA และกฎว่าด้วยแหล่งกำเนิดสินค้า ผู้ประกอบการขาด ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับขั้นตอนการขอ ใช้ประโยชน์ ผู้ประกอบการเข้าใจผิดหรือเกิดความสับสนเกี่ยวกับการเปิดเผยต้นทุน การผลิตสินค้า”

“หากปัญหาและอุปสรรคต่างๆ ได้รับการแก้ไข ผลประโยชน์ที่ภาคเอกชนไทยจะได้รับจาก FTA จะเพิ่มสูงขึ้นได้อีก มาก โดยหากทำให้อัตราการใช้สิทธิประโยชน์สูงขึ้นเต็มร้อยละ 100 โดยที่ยังไม่ได้ เจรจาเพื่อขยายความครอบคลุมและแต้ม ต่อ ประโยชน์ที่ภาคส่งออกไทยและภาคนำเข้าไทยจะได้รับจากการประหยัดภาษีศุลกากรจะเพิ่มขึ้นอีก 5.9 หมื่นล้านบาท และ 2 หมื่นล้านบาท ตามลำดับ”

สุนทร ตันมันทอง นักวิจัยสถาบันทีดีอาร์ไอ

“นอกเหนือจากการลดภาษีศุลกากร แล้ว FTA ที่ผ่านมาของไทยที่บรรจุโครงการความร่วมมือไว้ด้วยก็คือ JTEPA ทั้งนี้ก็เพื่อส่งเสริมการค้าและการลงทุนระหว่าง ไทยกับญี่ปุ่นให้ใกล้ชิดมากขึ้นอีกทางหนึ่ง หลังจาก JTEPA มีผลใช้บังคับมากว่าสามปี โครงการความร่วมมือหลายโครงการมีความคืบหน้าอย่างเป็นรูปธรรมทุกปี เช่น โครงการส่งเสริมการค้าและการลงทุนเพื่อ “ครัวไทยสู่ครัวโลก” โครงการความร่วมมืออุตสาหกรรมเหล็กไทย-ญี่ปุ่น โครงการความร่วมมือด้านอุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม เป็นต้น”

“จากการศึกษาพบว่า ผู้ประกอบการ สามารถใช้ประโยชน์จากโครงการเหล่านี้ได้อย่างเต็มที่ เช่น การส่งเสริมการตลาด ของสินค้าอาหาร สิ่งทอ และเครื่องนุ่งห่ม ไทยในญี่ปุ่น และการพัฒนาเทคโนโลยีอุตสาหกรรมและสิ่งแวดล้อม อย่างไรก็ตาม ยังมีบางโครงการที่ยังไม่คืบหน้าเท่าใดนัก เช่น โครงการสถาบันพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ของอุตสาหกรรมยานยนต์ (AHRDIP) ซึ่งหากสามารถดำเนินการได้จะทำให้ไทยมีระบบการฝึกอบรมบุคลากรด้านยานยนต์ ที่ได้มาตรฐานเพื่อเป็นรากฐานที่มั่นคง สำหรับเป้าหมายการเป็นดีทรอยต์แห่งเอเชีย”

เชษฐา อินทรวิทักษ์ นักวิชาการสถาบันทีดีอาร์ไอ

“จากผลการศึกษาที่ได้จากแบบจำลองทางเศรษฐมิติ FTA ทุกฉบับมีผลต่อการเพิ่มการส่งออกและการนำเข้าของ ไทยอย่างมีนัยสำคัญ ทั้งในภาพรวมและในรายอุตสาหกรรมส่วนใหญ่ เช่น การส่งออกชิ้นส่วนยานยนต์ รวมทั้งการนำเข้าอาหาร เคมีภัณฑ์ และชิ้นส่วนยานยนต์ เป็นต้น”

และนี่คือมุมมองในอีกมิติอันเกี่ยว เนื่องมาจากการเปิดการค้าเสรี ที่ถึง ณ บรรทัดนี้ ก็พอจะสรุปได้สั้นๆ คือ หากปรับตัวได้อย่างรู้เท่าทันเอฟทีเอ ข้อกังวล ต่างๆ นานา ที่มีการตั้งสมมติฐานอย่าง กว้างขวาง ก็พร้อมจะเปลี่ยนเป็นเม็ดเงิน เข้าสู่ประเทศและกระเป๋าผู้ประกอบการ

ที่มา.สยามธุรกิจ
**************************************************

งมเจอ RPG ที่สระบุรี13ลูก-พลเรือนมอบตัว 1

"อัศวิน"ร่วมสอบปากคำ"จ.ส.อ.ประวิท เชิงคีรี"สารภาพทิ้งRPG13ลูกที่สวนพฤษศาสตร์สระบุรี ตำรวจงมได้ครบ "ถาวร รักบุญ"เข้ามอบตัวสภ.บรรพตพิสัย

พล.ต.ท..อัศวิน ขวญเมือง ผช.ผบ.ตร. ได้ส่งทีมงานนำโดย พ.ต.อ.นันทชาติ ศุภงคล หัวทีมสอบสวนลงพื้นที่สอบสวน จ.ส.อ.ประวิท เชิงคีรี สังกัดศูนย์อำนวยการสร้างอาวุธจังหวัดลพบุรี ผู้ต้องหาร่วมกันขโมยอาวุธสงคราม ประกอบด้วย กระสุนเอ็ม 60 จำนวนมาก และจรวดอาร์พีจี 39 ลูก ออกจากแผนก 2 กองคลังแสง กรมสรรพวุธทหารบกจังหวัดลพบุรี

พ.ต.อ.นันทชาติ กล่าวว่าหลังจากวันนี้ จ.ส.อ.ประวิท เชิงคีรี เข้ามอบตัวกับ สภ.เมืองลพบุรี และทีมสอบสวนได้สอบสวนหลายชั่วโมง ผู้ต้องหารับสารภาพนำระเบิดอาร์พีจีจำนวน 13 ลูกทิ้งในน้ำสวนพฤษศาสตร์ ต.พุแค อ.หน้าพระลาน จ.สระบุรี ริมถนนสายลพบุรี-สระบุรี ช่วงหลักกิโลเมตรที่ 123 ทางตำรวจจึงลงไปค้นหากู้ระเบิดอาร์พีจีในน้ำใต้โพรงกอไผ่ขึ้นมาพร้อมตรวจสอบหมายเลขการผลิต ซึ่งปรากฏเป็นชุดเดียวกับที่ยึดได้ก่อนนี้ และเป็นลูกระเบิดอาร์พีจีชุดเดียวกับหายจากคลังแสงลพบุรี

"จากการสอบสวนและติดตามของกลางหายไปจากคลังแสงลพบุรี สามารถยึดคืนลูกระเบิดอาร์พีจีแล้ว 29 ลูกจากทั้งหมด 39 ลูก คาดว่าน่าจะติดตามของกลางทั้งหมดคืนมาได้ในเร็ว ๆ นี้" พ.ต.อ.นันทชาติ ระบุ

งมเจอลูกระเบิด RPG ทิ้งสระบุรี 13 ลูก
ด้าน พล.ต.ต.กิตติ รุ่งเรืองวงษ์ ผบก.ภ.จว.สระบุรี เปิดเผยจากการสอบปากคำ จ.ส.อ.ประวิท เชิงคีรี ทราบว่าได้นำลูกระเบิดยิง PG2 จำนวน 13 ลูก ซื้อจาก จ.ส.อ.เสมา คชเพต เมื่อวันที่ 5 กันยายน 2553 ทิ้งบริเวณร่องน้ำสวนพฤกษศาสตร์(ภาคกลาง) สวนสวรรค์พุแค หมู่ 1 ต.พุแค อ.เฉลิมพระเกียรติ จ.สระบุรี จึงให้คนงมหาจนพบ 13 นัดดังกล่าว ประกอบด้วย ลูกระเบิดยิง PG2 เลขงาน 38-74-22 จำนวน 11 ลูก ลูกระเบิดยิง PG2 เลขงาน 39-74-22 จำนวน 2 ลูก รวมเป็น 13 ลูกดังกล่าว จึงได้นำส่งพนักงานสอบสวน สภ.เมืองลพบุรี

"ถาวร รักบุญ"มอบตัว รับหาคีมตัดเหล็ก-ขนอาวุธ
รายงานระบุว่า ความคืบหน้าคดีขโมยอาวุธสงครามหลายรายการออกจากแผนกที่ 2 กองคลังแสง กรมสรรพวุธ กองทัพบก ตำบลเขาพระงาม อำเภอเมือง จังหวัดลพบุรี และสามารถจับกุมผู้ต้องหาไปแล้ว 4 คน อีก 1 คนยังหลบหนีคือ นายถาวร หรือโก้ รักบุญ อายุ 35 ปี อยู่ตำบลเขาพระงาม ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลจังหวัดลพบุรี

ล่าสุด พลตำรวจโทสุรสีห์ สุนทรสารฑูล ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 6 ได้แถลงข่าวว่านายถาวร ได้ติดต่อขอมอบตัวกับตำรวจ สภ.บรรพตพิสัย จ.นครสวรรค์ พร้อมกับรับสารภาพว่า ถูกชักชวนให้มาขโมยอาวุธในกองคลังแสง ครั้งแรกได้ค่าจ้าง 5 พันบาท ครั้งที่สองล่าสุดได้ค่าจ้าง 1,000 บาท โดยเป็นคนจัดหาคีมตัดเหล็กให้นายเอก(ไม่ทราบชื่อจริง) ผู้ต้องหาที่ถูกจับกุมไปก่อนหน้า โดยไปยืมคีมจากนายเป็ด(ไม่ทราบชื่อจริง)

นายถาวรมีหน้าที่ขนอาวุธออกมาขึ้นรถ ส่วนอาวุธนำออกมาแล้วไม่รู้ไปไว้ที่ไหน หลังจากรับเงินค่าจ้างก็กลับบ้านตามปกติ ต่อมาดูข่าวรู้ว่านายเอกกับพวกถูกจับกุมได้ จึงหนีออกมาจากจังหวัดลพบุรีและมาหลบซ่อนตัวที่หอพัก ยิ้มเจริญ อำเภอบรรพตพิสัย จังหวัดนครสวรรค์ ตั้งแต่วันที่ 26 ก.ย. และติดตามข่าวตลอดเวลาจนเกิดอาการเครียด กลัวจะถูกวิสามัญฆาตกรรม ประกอบกับเป็นห่วงครอบครัวลูกยังเล็กอยู่ จึงตัดสินใจเข้ามอบตัว จากนั้น สภ.เมืองลพบุรี มารับตัวไปดำเนินคดี

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
**************************************************************

“สรรเสริญ” โต้ ตาย 91 ศพ เป็นการบิดเบือน

ฟังคลิปเสียง วินาที ที่19-21.  และนาที ที่ 1.14-1.25 .


แจงมีผู้เสียชีวิตต่างกรรมต่างวาระ แต่มีความพยายามนำมาผูกเป็นประโยคให้สั้น เพื่อให้เกิดความสนใจ ปัดเรื่องมีสไนเปอร์ แจงพื้นที่พบศพทั้งหมดอยู่ใต้อิทธิพลของผู้ชุมนุม ฟังแค่บางกลุ่มจะสับสน ยัน ศอฉ. ยึดหลักกฎหมาย หลักสากล ปฏิบัติตามคำสั่งศาล มีความเหมาะสม หลีกเลี่ยงความรุนแรง คิดเสมอว่าเป็นคนไทยด้วยกัน เพียงแต่เห็นต่างทางการเมือง ด้าน “พล.ท.ดาวพงษ์” เข้าพบ “สมชาย หอมละออ” แจงข้อมูลสลายชุมนุม

“พล.ท.ดาวพงษ์” เข้าพบอนุกรรมการสอบฯ “สมชาย หอมละออ”
หนังสือพิมพ์ข่าวสดรายวัน ฉบับวันที่ 28 ก.ย. 53 รายงานว่า เมื่อวันที่ 27 ก.ย. ที่กองบัญชาการกองทัพบก นายสมชาย หอมละออ ประธานอนุกรรมการสิทธิมนุษยชน สภาทนายความ ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นช่วงเดือนเม.ย.-พ .ค.2553 พร้อมด้วย พล.ท. พีระพงษ์ มานะกิจ คณะอนุกรรมการ และผู้ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งเป็นคณะอนุกรรมการอยู่ในชุดของนายคณิต ณ นคร ประธานคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อความปรองดองแห่งชาติ (คอป.) เดินทางเข้าพบ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ.เพื่อรับทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการสลายผู้ชุมนุมเสื้อแดง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พล.อนุพงษ์ ติดภารกิจไปอำลาหน่วยในกองทัพภาคที่ 4 โดยลงไปตรวจเยี่ยมและอำลาตำแหน่งในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยมี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ว่าที่ผบ.ทบ. ร่วมคณะไปด้วย จึงมอบหมายให้ พล.ท.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ รองเสธ. ทบ. เป็นผู้ชี้แจงแทน ขณะเดียวกัน ยังมี พล.ต.ท.วรพงษ์ ชิวปรีชา ผู้ช่วยผบ.ตร. พล.ต.ต. อำนวย นิ่มมะโน รองผบช.น. และพ.ต.อ.ณรัชต์ เศวตนันทน์ รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ กระทรวงยุติธรรม เข้าร่วมชี้แจงด้วย

นายสมชาย เปิดเผยภายหลังเข้ารับฟังข้อมูลว่า ผลการประชุมน่าพอใจ แต่การหารือมีเวลาน้อย โดยศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) อธิบายภาพการทำงานของเจ้าหน้าที่ และหน่วยงาน ศอฉ.ว่าดำเนินการอย่างไร และข้อมูลที่ศอฉ.รับรู้มีอะไรบ้าง ในช่วงชุมนุมของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) โดยข้อมูลที่ ศอฉ.นำมาเปิดเผย เป็นข้อมูลที่เคยถูกสื่อนำเสนอมาแล้ว แต่เรียบเรียงให้เกิดความเข้าใจ และการหารือจะมีอีกครั้งในช่วงกลางเดือนต.ค. แต่ครั้งหน้าคณะกรรมการจะขอเวลาหารือมากขึ้น เพราะศอฉ.ยังไม่ได้ตอบคำถาม และยังมีข้อมูลจำนวนมากที่สลับซับซ้อน จึงยังไม่สามารถสรุปได้ในขณะนี้ ยังต้องหารือมากกว่า 1 ครั้ง รวมถึงการขอข้อมูลจากหน่วยงานความมั่นคงอื่นๆ เพื่อมาประกอบด้วย

ประธานคณะอนุกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงฯ กล่าวว่า พล.ท.ดาว์พงษ์ พูดถึงนโยบายชี้แจงการปฏิบัติกำลังพลเจ้าหน้าที่ช่วงกระชับพื้นที่ และอธิบายเหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นบริเวณสี่แยกคอกวัว และแยกราชประสงค์ อย่าง ไรก็ตาม คณะกรรมการส่งเจ้าหน้าที่ไปสัมภาษณ์เจ้าหน้าที่เกี่ยวข้องช่วงเหตุการณ์ เม.ย.-พ.ค. เพื่อเก็บข้อมูลอีกทางหนึ่ง และประมวลเป็นข้อมูล เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ เราไม่สามารถรับฟังความข้างเดียวได้ โดยวันที่ 30 ก.ย.นี้ คณะกรรมการเชิญแกนนำนปช.เข้าให้ข้อมูลที่ศูนย์ราชการ แจ้ง วัฒนะ ขณะเดียวกัน คณะกรรมการจะนำข้อมูลรายงานฉบับเฉพาะกาลให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี รับทราบความคืบหน้าในเดือนม.ค.ต่อไป คาดว่าไม่น่ามีปัญหารวบรวมข้อมูลแต่อย่างใด

ด้าน พล.ท.พีระพงษ์ หนึ่งในอนุกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงฯ กล่าวว่า เป็นการเข้ารับฟังข้อมูลครั้งแรกจากศอฉ. โดยพล.ท.ดาว์พงษ์ เป็นผู้ชี้แจงรายละเอียดในภาพรวม บรรยากาศเป็นไปด้วยดี เน้นรับฟังข้อมูลวิธีคิด การวิเคราะห์ และประเมินสถานการณ์แก้ไขเหตุการณ์ที่ผ่านมา รวมทั้งรับทราบสถานการณ์ที่เกิดขึ้น นอกจากนี้ ยังชี้แจงถึงนโยบายการปฏิบัติงาน การจัดกำลัง ตั้งแต่ช่วงไม่มีเหตุรุนแรง จนถึงการกระชับพื้นที่ โดยศอฉ.พร้อมตอบทุกคำถามและข้อสงสัย ไม่ได้ปิดบังข้อมูล ทำให้คณะอนุกรรมการทราบว่า การทำงานของศอฉ.ยึดหลักกฎหมาย และตั้งใจแก้ไขสถานการณ์ให้คลี่คลาย

หนึ่งในอนุกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงฯ กล่าวต่อว่า ศอฉ.มีข้อมูลเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่ผ่านมามาก จึงประ สานขอรับทราบข้อมูลเพิ่มเติมในส่วนอื่นๆ ด้วย ทั้งจากกรมสอบสวนคดีพิเศษ และตำรวจ เบื้องต้นจะนัดกันอีกครั้งวัน ที่ 14-15 ต.ค.นี้ การชี้แจงของศอฉ.ให้คณะอนุกรรมการทราบในวันนี้ ใช้เวลา 2 ชั่วโมง 30 นาที โดยคณะอนุกรรมการจะนำข้อมูลที่ได้ ไปตั้งคำถามในประเด็นอื่นๆ กับ ศอฉ.ในครั้งต่อไป รวมทั้งจะรับฟังข้อมูลจากหลายฝ่ายที่อยู่ในเหตุการณ์ ทั้งกลุ่มผู้ชุมนุม และสื่อมวลชนด้วย

สรรเสริญแุถลง คนตาย 91 ศพเป็นการบิดเบือน เพราะเสียชีวิตต่างกรรมต่างวาระ
ส่วน พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษก ศอฉ. กล่าวว่า ศอฉ.ได้ชี้แจงกับคณะอนุกรรมการได้ทราบข้อเท็จทั้งหมด สิ่งที่เราได้ตรวจสอบหน่วยกำลัง ฝ่ายอำนวยการ และฝ่ายต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ถึงการปฏิบัติเมื่อไหร่ อย่างไร และไล่ลำดับตั้งแต่ต้นจนจบ อย่างไรก็ตาม มีความพยายามของคนบางกลุ่มนำเสนอให้สังคมได้เห็นว่า จำนวนคนตายทั้ง 91 ศพ อยู่ในห้วงและเวลาที่มีการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ โดยเฉพาะเหตุการณ์กระชับวงล้อมในวันที่ 19 พ.ค. ที่มีคนเสียชีวิตมากที่สุด ทั้งที่ไม่เป็นความจริง ในวันกระชับวงล้อม 19 พ.ค.ที่ผ่านมา มีคนตายไม่เยอะ การไปบิดเบือนว่ามีคนตายถึง 91 ศพ เป็นสิ่งที่ไม่จริง เหตุการณ์ที่มีผู้เสียชีวิต ต่างกรรมต่างวาระกัน เพียงแต่เวลานี้มีความพยายามนำมาผูกเป็นประโยคให้สั้น เพื่อให้เกิดความสนใจ

โฆษกศอฉ. กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ ศอฉ.ยังชี้แจงกรณีที่มีคนบางกลุ่มบิดเบือนข้อมูล ว่ามีเจ้าหน้าที่ทหารแอบยิงประชาชนที่มาร่วมชุมนุม โดยเฉพาะการใช้อาวุธสงคราม และสไนเปอร์ แต่ ศอฉ.ชี้แจงให้เห็นรายละเอียดรวมถึงสถานที่พบศพว่าอยู่ตรงไหนบ้าง อีกทั้งพื้นที่ที่พบศพ เกือบทั้งหมดก็อยู่ภายใต้อิทธิพลของกลุ่มผู้ชุมนุม โดยเราพยายามให้ข้อมูลข้อเท็จจริง หากไปฟังแค่บางกลุ่มจะเกิดความสับสนได้ ยืนยันว่า ศอฉ. ปฏิบัติงานโดยยึดหลักตามกฎหมายและหลักสากล การปฏิบัติไปตามข้อกฎหมาย ปฏิบัติตามคำสั่งของศาล บนพื้นที่ความเหมาะสม หลีกเลี่ยงความรุนแรง คิดเสมอว่าประชาชนที่มาชุมนุมเป็นคนไทยด้วยกัน เพียงแค่คิดเห็นแตกต่างกันทางการเมืองเท่านั้น ไม่มีทหารคนไหนคิดทำลายประชาชน

(ใครกันแน่ที่บิดเบือนความจริง เพราะที่นี่มีคนตาย)

ที่มา Unrest in Bangkok
*************************************************************************