--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันจันทร์ที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2553

‘ป๊อก’ภาคอวตาร?

นักเลือกตั้งเล่นบทอึมครึม เซียนเขี้ยวการเมืองสับขาหลอก เดินสายปรองดอง ด้วยลีลา “ตีปลาหน้าไซ” ถางขาหยั่ง “เหยียบเรือสองแคม” ประหนึ่ง หวังรักษาพื้นที่ผลประโยชน์ ลดความเสี่ยง สกัดไม่ให้ดุลอำนาจทะลักออกจากมือ

สถานการณ์ทางการเมืองรูปแบบแปร่ง บังเกิดขึ้นแบบรายวัน สารพัดความร้าวฉานผ่านข้อพิพาทต่างๆ นานา หลุดออกมาให้เห็นไม่เว้นแต่ละวัน จู่ๆ อาวุธยุทโธปกรณ์ล็อตใหญ่หายไปจากค่ายทหารเมืองลพบุรีอย่างไม่มีเงื่อนงำ วันต่อมาระเบิดดังโครมครามสนั่นย่านราชวัตร ประติดประต่อเหตุการณ์ ไปๆ มาๆ สุดท้ายไม่มีอะไรในก่อไผ่

“ท่าน ผบ.ทบ.ป๊อก อนุพงษ์ เผ่าจินดา” เทก แอ็กชั่นขีดเส้น 8 วัน ไล่ล่าแมวขโมย ท่ามกลางอาการคิดดังๆ ของ “นายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ผ่านวาทกรรม “เกลือเป็นหนอน”

ก่อนฉากการเมืองจะตัดสลับมาที่ศึกสายเลือด “น้ำเงิน-ฟ้า” ท่านผู้นำเตะตัดขาว่าที่ปลัดกระทรวงมหาดไทยจอมค้ำถ่อ “มงคล สุระสัจจะ” ด้วยการตั้งคณะกรรมการสอบกรณีคอมพ์ฉาวกระทรวงมหาดไทย ยื้อเวลาขึ้นแท่น “ท่านปลัดฯ” ออกไปอีกเดือน

เปิดช่องให้ “ทีมงานไวกว่าแสง” เหน็บแนมประชาธิปัตย์ กระทบชิ่งวาระเข็น “พล.ต.ท.สมคิด บุญถนอม” ขึ้นแท่น ผู้ช่วย ผบ.ตร. ทั้งๆ ที่ยังมีชนักปักหลัง สองมาตรฐานแม้กระทั่งในซีกรัฐบาล กลายเป็นข้อพิพาทที่ พูดกันอย่างกว้างขวางและสนุกปากในแวดวงสภากาแฟ

ละครสั้นตัดฉากว่องไวปานกามนิตหนุ่ม คล้อยหลัง พูดไม่ทันน้ำลายบูด “นายตำรวจใหญ่” ผู้ที่ “ซาอุดีอาระเบีย” ไม่ปลื้ม ยอมยกธงขาวประกาศไม่รับตำแหน่ง ที่เผอิญเกิดขึ้นในวันเดียวกันกับการประกาศเลื่อนวันลงมติเชือด “ปู่จิ้น-ชวรัตน์ ชาญวีรกูล” หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ในกรณีเมียและลูกถือหุ้นบริษัทที่มีเอี่ยวกับงานประมูลสัมปทานรัฐ

อีกหนึ่งความบังเอิญ คือ บังเอิญที่ “ครูใหญ่เนวิน ชิดชอบ” เดินหน้าล่าชื่อการออกกฎหมายนิรโทษกรรม โดยไม่แยแสเสียงค้านจากพรรคอันดับหนึ่งอย่างประชาธิปัตย์ แต่บังเอิญไปกว่านั้น คือการปล่อย “คาราวานปรองดองฉบับปลาไหล” ผ่าน “โรดแมปชาละวัน” ของ “พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์” ที่ดำเนินคู่ขนานไปกับการชูธงหนุน “ภารกิจนิรโทษกรรม” ของพรรคภูมิใจไทยอย่างมีนัยยิ่ง???

ประติดประต่อเหตุการณ์ภายในซีกรัฐบาล เปิดหน้าซัดกันนัวเนีย โดยไม่ต้องอาศัยปัจจัยภายนอกจาก พรรคเพื่อไทยเข้ามาร่วมต้มยำทำแกง แว่วเสียงเอ็ดตะโรที่ดังขึ้น ฟังไปแล้วคล้ายเป็นลางบอกเหตุว่างานเลี้ยง “เทพประทาน” ใกล้ถึงกาลเวลาเลิกรา แต่หากมองไปที่เค้กงบประมาณปี 54 ที่ซีกพรรคร่วมยังไม่ได้ร่วมหม่ำสักสตางค์แดงเดียว มันยิ่งทำให้เกิดอาการสับสนทางความคิดถึงหงุดหงิดทางจิตใจ

ว่าเหตุแห่งความบาดหมางของคนกันเอง มันเกิดจากวาระ “สะตอจอมเขี้ยว” หรือ “สตอเบอร์แหล???”ปริศนาจะไปจบลงตรงไหน จับชีพจรได้ไม่ยาก อ่านทางกันง่ายๆ เช็กได้จากโหงวเฮ้ง “ท่านผบ.ทบ.ป๊อก” ในห้วงลักคนาตุลาฯ อาถรรพ์ ทำนายทาย กันว่า หากวันสิ้นสุดชีวิตราชการทหาร เป็นวันอวตารเกิดใหม่ของ “บิ๊กป๊อก” ในร่าง รมช.กลาโหม หรือ รมว.มหาดไทย

สุดท้ายมันย่อมมีคำตอบอยู่ในตัวของมันเองว่า ฝ่ายกุมอำนาจประเทศ แม้จะทั้งรักทั้งเกลียดกันปานใด แต่ก็ไม่สามารถแยกออกจากกันได้ เพราะผลประโยชน์ที่เคลือบฉาบมันยิ่งใหญ่เกินกว่ามิจฉาทิฐิของฝ่ายกุมอำนาจประเทศ จะยอมตัดใจจากได้!!!

ส่งผลให้ในท้ายที่สุด กลุ่มผลประโยชน์เหล่านี้จึงต้องจำยอมกล้ำกลืนรวมเป็นเนื้อเดียว กัน ด้วยอาการปากมัน แล้วค่อยว่ากันใหม่ก่อน ถึงโค้งอันตรายยุบพรรค

ที่มา.สยามธุรกิจ
************************************************************************

ทำไมนักกฎหมายรับใช้เผด็จการ!?

บทความนี้เรียบเรียงจากบทความที่เขียนขึ้นเพื่อประกอบการอภิปรายของนายปิยบุตร แสงกนกกุล อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในหัวข้อ “4 ปีรัฐประหาร 4 เดือนพฤษภาอำมหิต อนาคตสังคมไทย” เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2553 ซึ่งกลุ่ม 5 อาจารย์นิติศาสตร์และเพื่อนอาจารย์เปิดเว็บไซต์ www.enlightened-jurists.com ซึ่งมีมุมมองในการรัฐประหาร 3 ประเด็นคือ 1.ความสำเร็จของรัฐประหาร รัฐประหารดำรงและสำเร็จได้อย่างไร 2.ลักษณะเฉพาะของรัฐประหาร 19 กันยายน และ 3.รัฐประหาร 19 กันยายน 2549 กับพฤษภาอำมหิต 2553

1.ความสำเร็จของรัฐประหาร

รัฐประหารโดยตัวของมันเองอาจไม่มีน้ำยาอะไร แต่รัฐประหารจะสำเร็จและดำรงอยู่ต่อไปได้จำเป็นต้องมีปัจจัยสนับสนุน การลงมือกระทำรัฐประหารมีกระบวนการสร้างความชอบธรรมให้กับรัฐประหาร ปัจจัยเหล่านั้น ได้แก่

หนึ่ง แรงสนับสนุนจากประชาชนจำนวนมาก อาจเกิดจากวัฒนธรรมการเมืองของประเทศนั้นๆที่ประชาชนอาจเชื่อว่ารัฐประหารเป็นวิธีสุดท้ายในการแก้ปัญหาทางการเมือง หรือเป็น The last word of politic แรงสนับสนุนอาจเกิดจากการโหมกระพือของปัญญาชนและสื่อสารมวลชนมาก่อนหน้านั้น เพื่อเร่งเร้าให้สถานการณ์สุกงอมพอจนทำให้คณะรัฐประหารมั่นใจว่ารัฐประหารแล้วจะไม่มีประชาชนต่อต้านมาก

สอง การใช้มาตรการรุนแรงของรัฐบาลเผด็จการทหารเพื่อปราบปรามการต่อต้านรัฐประหาร เช่น จับกุมคุมขัง นำทหารออกมาควบคุมสถานการณ์จำนวนมาก ปราบปราม ลอบฆ่า อุ้มหาย ปิดกั้นสื่อ ห้ามชุมนุม

สาม การใช้กระบวนการทางกฎหมาย เช่น ตรารัฐธรรมนูญรับรองความชอบธรรมของรัฐประหาร คำพิพากษาของศาลรับรองรัฐประหาร

สี่ ประเทศมหาอำนาจให้การสนับสนุนรัฐประหาร เช่น รัฐประหารในอเมริกากลางและอเมริกาใต้หลายประเทศที่สหรัฐอเมริกาให้การสนับสนุนอย่างลับๆ

ห้า บุคคลผู้มากบารมีและมีวาจาสิทธิ์รับรองรัฐประหาร เป็นต้น

แปลความในทางกลับกัน ถ้าปราศจากซึ่งสิ่งเหล่านี้รัฐประหารย่อมไม่สำเร็จเด็ดขาด หากรัฐประหารปราศจากคนไปมอบดอกไม้ ปราศจากสื่อสารมวลชนร่วมเชียร์ ปราศจากมาตรการรุนแรงของเผด็จการในการปราบปราม หรือหากมีผู้พิพากษาจำนวนหนึ่งตัดสินว่ารัฐประหารไม่ชอบด้วยกฎหมาย ลบล้างรัฐประหาร และผลพวงลูกหลานของรัฐประหาร หากบุคคลผู้มากบารมีและมีวาจาสิทธิ์แสดงต่อสาธารณะว่าตนไม่สนับสนุนรัฐประหาร รัฐประหารก็ไม่สำเร็จ และกลายเป็นความพยายามรัฐประหารหรือกบฏเท่านั้น

2.ลักษณะเฉพาะของรัฐประหาร 19 กันยายน

เอกลักษณ์ร่วมกันของรัฐประหารคือกระทำการโดยคณะบุคคล มีคนร่วมมือกันไม่กี่คน และยึดอำนาจโดยไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญและกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ ณ เวลานั้น ซึ่งรัฐประหารของแต่ละประเทศจะมีลักษณะเฉพาะแตกต่างกันไป แต่รัฐประหาร 19 กันยายน 2549 อาจสรุปได้ 3 ข้อ

1.รัฐประหารที่พรากความเป็นพลเมือง (ซึ่งมีอยู่น้อยนิดอยู่แล้ว) ให้หายไป

ตัวชี้วัดความเป็นพลเมืองประการหนึ่งคือ ความเสมอภาคทางการเมือง

ความเสมอภาคทางการเมืองแสดงออกให้เห็นได้จาก “หนึ่งคน หนึ่งเสียง” พลเมืองทุกคน ไม่ว่าชาติกำเนิดใด ศาสนาใด ความเชื่อใด ฐานะเศรษฐกิจอย่างใด เมื่อเดินไปหน้าคูหาก็มี 1 เสียงเท่ากัน

พูดเช่นนี้ไม่ได้หมายความว่าผู้แทนฯและรัฐบาลสามารถทำอะไรก็ได้โดยอ้างว่ามาจากการเลือกตั้ง แน่นอนนิติรัฐ-ประชาธิปไตยจำเป็นต้องเคารพกฎหมาย เคารพสิทธิและเสรีภาพของประชาชน เคารพเสียงข้างน้อย มีองค์กรตุลาการคอยตรวจสอบการใช้อำนาจ แต่ต้องไม่ลืมว่าการเลือกตั้งเป็นมาตรฐานขั้นต่ำของประชาธิปไตย

เมื่อฝังรากลึกแล้วกลไกประชาธิปไตยแบบผู้แทนฯก็มีปัญหาในตัวมันเอง เมื่อนั้นก็ค่อยๆพัฒนากลไกตรวจสอบต่างๆตามมา แต่อย่างไรเสียสิทธิการเลือกตั้งทั่วไป-เท่าเทียม และองค์กรผู้ใช้อำนาจสาธารณะทั้งหลายล้วนต้องมีจุดเกาะเกี่ยวกับประชาชน ก็เป็นหลักการพื้นฐานอันดับ 1 ตรงกันข้ามกับบ้านเราได้มาง่าย ง่ายเกินไปจริงๆ ปฏิวัติ 24 มิถุนายน 2475 ท่านผู้ประศาสน์การปรีดี พนมยงค์ ก็เขียนใส่ในรัฐธรรมนูญและกฎหมายเลือกตั้ง ซึ่งเป็นการดี แต่เมื่อได้มาง่ายก็ดูเหมือนไม่มีค่า ประกอบกับโดนขบวนการสถาปนาอุดมการณ์ “ราชา-ชาตินิยม” บดขยี้ด้วยการสร้างวาทกรรม “นักการเมืองเป็นคนชั่วร้าย” “ชาวบ้านโง่เขลาโดนซื้อ” สิทธิการเลือกตั้งแบบทั่วไป-เท่าเทียมจึงเป็นเหมือนของไร้ราคา มีก็ดี ไม่มีก็ได้ ใครมาพรากเอาไปรู้สึกเฉยๆ

ผมเห็นว่าความเสมอภาคทางการเมืองมาก่อนความเสมอภาคทางเศรษฐกิจ ผมเชื่อของผมเองว่า “ความเสมอภาคทางการเมือง” เป็นบ่อเกิดของสังคมเสรีประชาธิปไตย

หากปราศจากสิ่งนี้ เราไม่อาจอยู่ร่วมกันในสังคมได้ ประชาธิปไตยอาจไม่ใช่ระบบการเมือง ไม่ใช่รูปแบบของรัฐบาล แต่เป็นรูปแบบของการรักษา “สนาม” ที่เปิดให้ทุกคน ทุกฝ่าย ทุกรสนิยมได้ถกเถียงกัน และ “ความเสมอภาคทางการเมือง” ก็เป็นเครื่องมือในการรักษา “สนาม” นี้ให้เกิดการถกเถียงอย่าง “ฟรี” และ “แฟร์” เมื่อนั้นใครจะผลักดันรสนิยมทางการเมืองของตนย่อมได้ทั้งนั้น จะขวาหรือซ้าย จะอนุรักษ์นิยมหรือก้าวหน้า จะเสรีนิยมทางเศรษฐกิจหรือสังคมนิยม จะเอาเจ้าหรือไม่เอาเจ้า ย่อมสามารถถกเถียง-รณรงค์ได้อย่างเสรี

รัฐประหาร 19 กันยายน 2549 เป็นการเหยียบย่ำสิทธิการเลือกตั้งทั่วไป-เท่าเทียม ขบวนการต่อเนื่องจากรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 เป็นการประกาศซ้ำว่าที่แห่งนี้ไม่อนุญาตให้มี “ความเสมอภาคทางการเมือง”

รัฐประหาร 19 กันยายนได้พรากเอาความเป็นพลเมืองไป ลดสถานะพลเมืองให้กลายเป็นไพร่ กระบวนการต่อเนื่องจากรัฐประหารยังคงดำเนินการต่อไปเพื่อตอกย้ำความเป็นไพร่ให้กับคนส่วนใหญ่ของประเทศ

2.รัฐประหารเพื่อฟื้นฟูระบอบประชาธิปไตย “อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” ให้มั่นคงสถาพรตลอดกาล

ชื่อของคณะรัฐประหารบอกไว้ชัดเจนว่า “คณะกรรมการปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” บุคคลที่ครองอำนาจหรือดำรงตำแหน่งในองค์กรต่างๆล้วนแล้วแต่มีอุดมการณ์แบบประชาธิปไตย “อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” แนวทางของรัฐบาลต่อเนื่องจากรัฐประหาร 19 กันยายนก็เป็นไปในทางฟื้นฟู “พระราชอำนาจ” เทิดพระเกียรติและใช้กฎหมาย 112 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์จัดการคน ดังจะเห็นได้จากจำนวนคดีมีมากขึ้นเรื่อยๆ มีการปิดกั้นสื่อจำนวนมาก ทั้งใช้อำนาจรัฐและการเซ็นเซอร์ตนเองของสื่อ

3.รัฐประหารของนักกฎหมาย

“กฎหมาย” มีความสำคัญกับรัฐประหารในสามแง่มุม หนึ่ง-เป็นกลไกรับรองความชอบธรรมและสนับสนุนรัฐประหาร สอง-เป็นกลไกปราบปรามศัตรูของคณะรัฐประหารและพวก และปราบปรามอุดมการณ์ตรงข้ามกับรัฐประหาร สาม-เป็นกลไกรักษาและเผยแพร่อุดมการณ์ของรัฐประหาร ซึ่งอุดมการณ์ของรัฐประหาร 19 กันยายน คือประชาธิปไตย “อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข”

คณะรัฐประหารประกอบด้วยทหารไม่กี่นาย ไม่มีความรู้ทางกฎหมาย ไม่มีความสามารถเสกสรรปั้นแต่งกฎหมายเพื่อรับรองและรับใช้รัฐประหารได้ เช่นนี้แล้วนักกฎหมายจึงจำเป็นต่อรัฐประหาร 19 กันยายน

นักกฎหมายเข้าไปมีบทบาทกับรัฐประหาร 19 กันยายน ตั้งแต่การแนะนำเทคนิคทางกฎหมายให้แก่คณะรัฐประหารถึงการรับรองความชอบด้วยกฎหมายของรัฐประหาร การยกเลิกรัฐธรรมนูญ การยกเลิก พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญฉบับใดบ้าง เก็บฉบับใดไว้บ้าง การยกเลิกองค์กรตามรัฐธรรมนูญใดบ้าง เก็บองค์กรใดไว้บ้าง และควรสร้างองค์กรทางกฎหมายใหม่ใดขึ้นมาบ้างเพื่อป้องกันและปราบปรามศัตรู

จากนั้นนักกฎหมายต้องเข้าไปรับใช้คณะรัฐบาลชุดใหม่ที่คณะรัฐประหารแต่งตั้งขึ้น และเพื่อให้รัฐประหาร 19 กันยายนสำเร็จเด็ดขาดจำเป็นต้องสร้างกลไกขึ้นมาจัดการกับการตอบโต้รัฐประหารและศัตรูของคณะรัฐประหารและพวก กลไกที่ว่าต้องเป็นกลไกทางกฎหมาย เพราะสามารถเอาไปอ้างความชอบธรรมได้ว่ากระทำการตามกฎหมาย ตามหลักนิติรัฐ เราจึงเห็นนักกฎหมายไปช่วยออกแบบรัฐธรรมนูญชั่วคราว และรัฐธรรมนูญ 2550 เราจึงเห็นนักกฎหมายเข้าไปนั่งเป็นกรรมการองค์กรต่างๆเต็มไปหมด

พวกนักกฎหมายมีความสามารถเอกอุ สามารถเขียนกฎหมายรองรับรัฐประหาร ปิดรูโหว่ อุดรูนั้น ปิดรูนี้ ไหนจะวางกลไกทางกฎหมายไว้ล่วงหน้าเพื่อป้องกันและปราบปรามศัตรู เช่น เขียนรัฐธรรมนูญเรื่องยุบพรรคให้มีโทษตัดสิทธิทางการเมือง 5 ปี และให้มีผลย้อนหลังไปถึงคดีก่อนหน้า หรือเขียนรัฐธรรมนูญเรื่องยุบพรรค ลากเอาความผิดของกรรมการบริหารมาเป็นเหตุให้ยุบพรรค หรือเขียนรัฐธรรมนูญรับรองรัฐประหารและลูกหลานไปทั้งอดีต ปัจจุบัน และอนาคต ออกแบบรัฐธรรมนูญใหม่ให้ไม่เป็นคุณต่อพรรคการเมืองขั้วศัตรู

บุคคลที่ไม่เห็นด้วยกับรัฐประหาร หรือถูกกลไกของรัฐประหารเล่นงานอาจร้องขอความเป็นธรรมเอากับศาล ให้ศาลช่วยตรวจสอบรัฐประหาร ดังนั้น ศาล (คือผู้ปฏิบัติทางกฎหมาย แต่การกระทำของศาลมีอานุภาพมหาศาลกว่าการกระทำของผู้ปฏิบัติการทางกฎหมายอื่นๆ) จึงต้องเข้ามารับรองรัฐประหารผ่านคำพิพากษาอีกครั้งหนึ่ง เพื่อให้รัฐประหาร “สมบูรณ์” ในนามของนิติรัฐ ดังปรากฏให้เห็นจากคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 5/2551

รัฐประหารและกระบวนการต่อเนื่องยังอาศัยนักกฎหมายตามไล่บี้ ไล่ทุบ ปราบปรามศัตรู ดังปรากฏให้เห็นในปรากฏการณ์ที่เขาเรียกกันว่า “ตุลาการภิวัฒน์” ซึ่งได้อภิปรายและเขียนไว้ในหลายที่

3.รัฐประหาร 19 กันยายน 2549 กับพฤษภาอำมหิต 2553

รัฐประหาร 19 กันยายน บอกเราว่าชนชั้นนำจารีตประเพณีไม่อนุญาตให้ประเทศนี้มีรัฐบาลที่เข้มแข็ง มีเสถียรภาพ รัฐบาลไหนขึ้นมาทำตัวหน่อมแน้ม สุภาพเรียบร้อย บริหารไปวันๆเหมือนงานรูทีนก็ได้รับการอนุญาตให้อยู่ในตำแหน่งได้ รัฐบาลไหนที่ขึ้นมาดำเนินนโยบายมากมาย สร้างฐานมวลชน แย่งชิงฐานลูกค้าจากชนชั้นนำประเพณี ได้รับความนิยมเท่ากันหรือสูงกว่าชนชั้นนำประเพณี รัฐบาลนั้นต้องมีอันไป

กล่าวให้ถึงที่สุดต้นตอความขัดแย้งของสังคมไทยคือชนชั้นนำจารีตประเพณีนอกระบบการเลือกตั้งที่ได้รับความนิยมอย่างสูงเนื่องจากวัตรปฏิบัติ ประกอบกับการโฆษณาชวนเชื่อและการเผยแพร่อุดมการณ์หลักของรัฐไทยปะทะกับนักการเมืองในระบบการเลือกตั้งที่ได้รับความนิยมอย่างสูงแสดงออกผ่านการลงคะแนนเสียง และทำให้พลเมืองเกิดความรู้สึกว่าคะแนนเสียงมีค่า

ปะทะกันจนชนชั้นนำจารีตประเพณีรู้สึกว่าตนถูกคุกคามอย่างหนัก หากปล่อยไว้ต่อไปอาจเป็นอันตรายต่อเสถียรภาพของตน เพื่อรักษาสถานะเดิมของตนจึงต้องจัดการ วิธีการจัดการคือรัฐประหาร 19 กันยายน

เราไม่อาจแยกรัฐประหาร 19 กันยายนกับเหตุการณ์พฤษภาอำมหิตออกจากกันได้ ผมได้ยินความเห็นหลายคน รวมทั้งอาจารย์ในคณะบางคนพูดทำนองว่า “พูดกันแต่เรื่อง 19 กันยายน ไม่เบื่อกันหรือไร ผ่านมาตั้งนานแล้ว มองไปข้างหน้าดีกว่าว่าจะจัดการสังคมอย่างไร” หรือผู้นำความคิดรุ่นใหม่บางคนแอ๊บเนียนว่า “ตนเองไม่เห็นด้วยกับรัฐประหาร แต่ไม่ควรหมกมุ่นกับรัฐประหาร รัฐประหารเป็นเหตุการณ์เหตุการณ์หนึ่ง เกิดขึ้นแล้วในอดีต ถ้าอ้างว่าทุกอย่างสืบมาไม่ถูกต้อง เลยไม่สนใจจะดูว่าเกิดอะไรขึ้น แบบนี้ก็ไม่ถูก”

ผมเห็นว่าวันนี้เราไม่พูดถึง 19 กันยายนไม่ได้เลย เพราะ 19 กันยายนเป็นจุดกำเนิดของเหตุการณ์ปัจจุบัน ณ เวลานี้เรายังคงอยู่ในรัฐประหาร 19 กันยายน เป้าประสงค์ของรัฐประหารยังคงอยู่ครบถ้วน และจำเป็นต้องพูดต่อไป พูดทุกโอกาส เพราะถ้าไม่พูดเดี๋ยวก็ลืม โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกที่สนับสนุนรัฐประหาร ไปช่วยงานคณะรัฐประหารและพวกทั้งทางตรงและทางลับ แต่จนวันนี้มาทำเนียนว่าไม่เห็นด้วย ต้องช่วยกัน และไม่อยากพูดถึงแล้ว ผ่านไปแล้ว มองไปข้างหน้าดีกว่า

หากถามผมว่าเบื่อไหม ขอตอบว่าเบื่อมากที่ต้องพูดเรื่องนี้ แต่ต้องถามกลับไปยังพวกเขาเหล่านั้นว่า แล้วพวกคุณไม่เบื่อบ้างหรือที่ไปรับรองรัฐประหาร ไปสนับสนุนรัฐประหาร ไปช่วยงานรัฐประหาร หรือขลุกอยู่กับกระบวนการรัฐประหารและพวกแล้วมันอิ่มอำนาจ อิ่มท้อง อิ่มใจที่ศัตรูได้พ้นจากอำนาจ

เมื่อรัฐประหาร 19 กันยายน ไม่ต้องการให้ “คะแนนเสียง” ของพลเมืองมีความหมาย พวกเขาจึงจัดการไล่รัฐบาลที่พลเมืองเลือกมาออกไป และเมื่อรัฐบาลขั้วเดียวกันกลับมาได้อีก เพราะพลเมืองยังเลือกกลับเข้ามาอีก ลูกหลานของรัฐประหารก็ต้องหาหนทางกำจัดรัฐบาลนั้นออกไปอีก

สีแดงก็ไม่ได้เป็นสีแดงเหมือนกันทั้งหมด มันยังมีเฉดสี มีระดับ มีความแตกต่างหลากหลายภายในสีแดงนั้นเอง แต่อย่างน้อยจุดยืนร่วมกันที่เราพอสังเคราะห์ออกมาได้คือ “ความเสมอภาคทางการเมือง” เมื่อการมาของ “สีแดง” เป็นไปเพื่อสิ่งนี้ เมื่อจำนวนของ “สีแดง” มากขึ้นเรื่อยๆย่อมสะเทือนไปถึงบรรดาผู้ไม่ปรารถนาให้สังคมไทยมี “ความเสมอภาคทางการเมือง” เพราะหากทุกคนเสมอกันหมด หากไพร่เกิดจิตสำนึกทางการเมืองมาร้องขอเป็นพลเมืองกันทั้งแผ่นดินละก็ สถานะของบรรดาชนชั้นนำจารีตประเพณีย่อมสะเทือนเช่นนี้ ใบอนุญาตให้ฆ่าจึงเกิดขึ้น 10 เมษาก็แล้วยังเอาไม่อยู่ จึงต้องเกิด 19 พฤษภาอีกสักหน

เพื่อประกาศให้รู้ว่าพวกเอ็งคนเสื้อแดงมิได้เป็นพลเมือง ให้เป็นไพร่ดีๆก็ไม่เอา คิดกำเริบเสิบสาน เมื่อหือกับข้ามากนัก ไพร่ข้าก็ไม่ให้เป็น เอ็งเป็นแค่ Homo sacer ใครก็ฆ่าเอ็งได้ ฆ่าแล้วไม่มีความผิด

การตั้งคณะกรรมการปฏิรูปเป็นเรื่องไร้สาระ บุคคลที่เข้าร่วมเป็นกรรมการปฏิรูปแม้จะอ้างเหตุผลใดๆก็ตามล้วนแล้วแต่ไม่มี ethics ทางการเมือง หากเชื่อว่าโลกนี้มี “ดี” มี “เลว” จริง มีมาตรฐานที่พอจะวัดได้ว่าใคร “ดี” ใคร “เลว” ผมเห็นว่าบุคคลที่เข้าไปร่วมกับสารพัดกรรมการที่อภิสิทธิ์ตั้งขึ้นนั้น “เลว” คนตายต่อหน้าต่อหน้า ตายกันเกือบร้อย ตายกันกลางเมืองหลวง ตายด้วยการซุ่มส่องสไนเปอร์ กลับมองไม่เห็น หรือแกล้งมองไม่เห็น หรือมองเห็นแต่ไม่คิดคำนึง

ผมไม่เข้าใจว่าทำไมต้องตั้งคณะกรรมการสอบสวนห่าเหวอะไรอีก ทำไมต้องมี fact finding ตั้งกรรมการมาตรวจสอบข้อเท็จจริง ในเมื่อเห็นกันคาตา รูปก็มี คลิปวิดีโอก็มี รายงานข่าวก็มี พยานบุคคลก็มี เห็นกันเต็มสองตาว่ามีคนตาย มีคนตายจากการถูกทหารยิง

สิ่งที่ต้องทำ ต้องตรวจสอบ จึงเหลือเพียงประการเดียว ใครสั่ง ใครกดปุ่ม ใครออกใบอนุญาตให้ฆ่า

ผมขอปิดอภิปรายด้วยเรื่องสั้น Die Bäume หรือ “ต้นไม้” ของ Franz Kafka สำนวนแปลโดยอาจารย์ถนอมนวล โอเจริญ ว่า

“พวกเราเปรียบเสมือนขอนไม้บนหิมะ ดูเหมือนขอนไม้เหล่านี้วางเรียงกันเป็นธรรมดา ถ้าใช้แรงผลักเพียงนิดเดียวก็คงขยับเขยื้อนมันได้ แต่มิใช่เช่นนั้นดอก ไม่มีใครขยับเขยื้อนมันได้ เพราะขอนไม้เหล่านั้นติดแน่นอยู่กับพื้น แต่ดูสิ นี่เป็นเพียงดูเหมือนว่าเท่านั้น”

ใครเป็น “พวกเรา”

ใครเป็น “ขอนไม้”

และตกลงแล้วขอนไม้เขยื้อนได้หรือไม่

ทุกท่านมีเสรีภาพในการพินิจพิเคราะห์ด้วยปัญญาแห่งตน

ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

เอแบคโพลชี้ ถ้าเลือกตั้งวันนี้ ปชป.ชนะเพื่อไทยแบบไม่ขาดได้แค่50% ขรก.-พนง.รัฐวิสาหกิจลังเลหนุน

มติชนออนไลน์

 ดร.นพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการสำนักวิจัยเอแบคโพลล์ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ และนักศึกษาด้านการพัฒนาระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยคอร์เนลล์ (  เปิดเผยเมื่อวันที่ 26 กันยายนถึงผลวิจัยเชิงสำรวจ เรื่อง  เปิดใจสาธารณชน วิเคราะห์เชิงลึกกลุ่มผู้ที่ตั้งใจจะไปเลือกตั้ง ถ้าเลือกตั้งใหม่วันนี้ พรรคการเมืองใหญ่สองพรรค ใครจะได้เป็นรัฐบาล กรณีศึกษาตัวอย่างผู้มีสิทธิเลือกตั้งและตัดสินใจแล้วใน 28 จังหวัดทั่วประเทศ  จำนวน 4,312 ตัวอย่าง ระหว่างวันที่ 1 – 25 กันยายน  2553 ผลการสำรวจพบว่า  ถ้าวันนี้เป็นวันเลือกตั้ง ประชาชนที่ตัดสินใจแล้วประมาณครึ่งหนึ่งหรือร้อยละ 50.7  ตั้งใจจะเลือกพรรคประชาธิปัตย์ 

ขณะที่ประมาณเกือบ 1 ใน 3 หรือร้อยละ 33.0 จะเลือกพรรคเพื่อไทย และร้อยละ 16.3 จะเลือกพรรคอื่นๆ

เมื่อวิเคราะห์เชิงลึกข้อมูลทางสถิติจำแนกลักษณะของผู้ตัดสินใจจะเลือกตั้ง พบความแตกต่างระหว่างผู้มีสิทธิเลือกตั้งชาย และหญิง โดยผู้หญิงมีสัดส่วนของคนที่ตั้งใจจะเลือกพรรคประชาธิปัตย์มากกว่ากลุ่มผู้ชาย คือร้อยละ 54.8 ต่อร้อยละ 46.7

ขณะที่กลุ่มคนที่จะเลือกพรรคเพื่อไทยมีสัดส่วนของผู้ชาย มากกว่า ผู้หญิงคือร้อยละ 37.2 ต่อร้อยละ 28.8 อย่างไรก็ตาม ในกลุ่มคนที่จะเลือกพรรคอื่นๆ ไม่พบความแตกต่างกัน

ที่น่าสนใจคือ เมื่อวิเคราะห์กลุ่มคนตามช่วงอายุ พบว่า กลุ่มคนที่จะเลือกพรรคประชาธิปัตย์มีสัดส่วนสูงกว่ากลุ่มคนที่จะเลือกพรรคเพื่อไทยในทุกช่วงอายุ และ กลุ่มคนที่อายุตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไปจะเลือกพรรคประชาธิปัตย์มากที่สุด คือ   ร้อยละ 56.3

ขณะที่ กลุ่มคนที่อายุต่ำกว่า 20 ปีจะเลือกพรรคประชาธิปัตย์ มีอยู่ร้อยละ 42.4

แต่เมื่อจำแนกตามอาชีพประจำของคนที่จะเลือกตั้ง พบว่า พรรคประชาธิปัตย์จะได้ใจมากที่สุดอยู่ที่กลุ่มพนักงานบริษัทเอกชน คือร้อยละ 57.7 

แต่ที่น่าพิจารณาคือ กลุ่มอาชีพถูกแบ่งออกในสัดส่วนพอๆ กันที่จะเลือกพรรคประชาธิปัตย์กับพรรคเพื่อไทย กลับกลายเป็นกลุ่มอาชีพข้าราชการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ คือร้อยละ 47.8 ระบุจะเลือกพรรคประชาธิปัตย์ ร้อยละ 40.5 จะเลือกพรรคเพื่อไทย และร้อยละ 11.7 จะเลือกพรรคอื่นๆ

จากข้อมูลที่ค้นพบนี้จะเห็นได้ว่า พรรคประชาธิปัตย์ได้รับการสนับสนุนไม่ถึงครึ่งคือ ร้อยละ 47.8 กับร้อยละ 47.5 คือในกลุ่มข้าราชการ พนักงานรัฐวิสหกิจ และกลุ่มเกษตรกร กับผู้รับจ้างใช้แรงงานทั่วไป

เมื่อจำแนกตามระดับรายได้ พบว่า ถ้าคนที่มีรายได้สูงคือมากกว่า 15,000 บาทต่อเดือนขึ้นไปจะมีสัดส่วนผู้จะเลือกพรรคประชาธิปัตย์มากที่สุดคือร้อยละ 59.3

ในขณะที่ผู้มีรายได้น้อยคือต่ำกว่า 5,000 บาทต่อเดือน จะเลือกพรรคประชาธิปัตย์เพียงร้อยละ 45.5 เท่านั้น

เมื่อจำแนกตามระดับการศึกษา พบว่า ผู้ที่มีการศึกษาตั้งแต่ปริญญาตรีขึ้นไปส่วนใหญ่หรือร้อยละ 58.1 และร้อยละ 56.6 ที่สูงกว่าปริญญาตรีจะเลือกพรรคประชาธิปัตย์

แต่ถ้าต่ำกว่าปริญญาตรีมีเกือบครึ่งหรือร้อยละ 49.3

เมื่อจำแนกตามเขตที่พักอาศัย พบว่า คนที่พักอาศัยอยู่ในเขตเทศบาลตั้งใจจะเลือกพรรคประชาธิปัตย์มากกว่าคนที่พักอยู่นอกเขตเทศบาล คือร้อยละ 52.9 ต่อร้อยละ 49.6

ในขณะที่สัดส่วนของคนที่จะเลือกพรรคเพื่อไทยอยู่นอกเขตเทศบาลมากกว่าในเขตเทศบาล คือร้อยละ 35.7 ต่อร้อยละ 29.3

ที่น่าพิจารณาคือ ประชาชนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือยังคงตั้งใจจะเลือกพรรคเพื่อไทย มากกว่า คนในภาคอื่นๆ โดยพบว่า เกือบครึ่งหรือร้อยละ 49.0 จะเลือกพรรคเพื่อไทย

ในขณะที่ร้อยละ 32.1 จะเลือกพรรคประชาธิปัตย์ และเกือบ 1 ใน 5 หรือร้อยละ 18.9 จะเลือกพรรคอื่นๆ

 แต่เมื่อพิจารณาอีกด้านหนึ่งจะพบว่า พรรคประชาธิปัตย์ได้รับการสนับสนุนเกินครึ่งในสองภูมิภาค คือ ภาคกลาง ร้อยละ 50.7 และภาคใต้ ร้อยละ 92.0 

หากพิจารณาภูมิภาคที่จะต่อสู้กันสูสีมากที่สุดคือ ภาคเหนือ ที่พบว่า ร้อยละ 43.9 จะเลือกประชาธิปัตย์ และร้อยละ 41.7 จะเลือกพรรคเพื่อไทย

ขณะที่ พื้นที่กรุงเทพมหานคร คนกรุงเทพมหานครร้อยละ 45.9 จะเลือกประชาธิปัตย์ แต่ร้อยละ 36.7 ซึ่งถือว่า มีจำนวนมากพอสมควรจะเลือกพรรคเพื่อไทย และที่เหลือคือร้อยละ 17.4 จะเลือกพรรคอื่นๆ ตามลำดับ

ผู้อำนวยการเอแบคโพลล์ กล่าวว่า ข้อมูลที่ค้นพบครั้งนี้ชี้ให้เห็นว่า ถ้ากลไกและ “กติกา” การชนะการเลือกตั้งอาศัยคะแนนเสียงของสาธารณชนเป็นหลัก และฝ่ายการเมืองยึดถือธรรมเนียมประเพณีที่ปฏิบัติกันมา พรรคประชาธิปัตย์มีโอกาสสูงที่จะได้เป็นรัฐบาลใหม่อีกครั้งหนึ่ง แต่ ถ้าฝ่ายการเมืองยึดเอาจำนวนตัวเลขหรือ “โควต้า” ของ ส.ส. เป็นหลัก พรรคขนาดกลางน่าจะยังเป็นตัวแปรสำคัญว่าใครจะได้เป็นรัฐบาลในวัฏจักรเดิมๆ ที่เคยเห็นกันมา โดยอาจนำมาซึ่ง การต่อรองผลประโยชน์ส่วนตัวและพวกพ้อง ดังนั้น ในช่วงเวลานี้ ให้ระวังเทคนิคที่แยบยลปฏิบัติการ “ถอนทุนคืน” ของฝ่ายการเมืองเพื่อใช้เป็นทุนในการเลือกตั้งครั้งใหม่

“เพราะถ้าเลือกตั้งใหม่วันนี้ พรรคการเมืองใหญ่ทั้งสองพรรคยังไม่สามารถครอบครองใจสาธารณชนให้ตัดสินใจเลือกตั้งจนมีเสียงมากพอจะชนะขาดและจัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียวได้ ในฐานข้อมูลที่ค้นพบครั้งนี้ พรรคประชาธิปัตย์จะมีจุดอ่อนอยู่ในกลุ่มเกษตรกร รับจ้างใช้แรงงานทั่วไป และกลุ่มข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจที่ยังไม่พบความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่จะเลือกพรรคประชาธิปัตย์หรือพรรคเพื่อไทย แต่ถ้ามองการเมืองในเชิงสังคม มีความน่าเป็นห่วงคือ กลุ่มอาชีพข้าราชการและพนักงานรัฐวิสาหกิจกลับมีความแตกแยกออกเป็นสองกลุ่มที่มีฐานมากพอๆ กัน อย่างไรก็ตาม น่าเป็นห่วงมากที่สุดคือ “ประชาชน” ในภาคเหนือ ที่จะกลายเป็นพื้นที่ที่มีการแข่งขันกันดุเดือดสูสี จึงต้องให้ฝ่ายการเมืองช่วยกันพิจารณา อย่าให้การแข่งขันทางการเมืองทำลายความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันของพี่น้องประชาชน และวัฒนธรรมประเพณีอันดีงามในการช่วยเหลือเกื้อกูลมีน้ำใจต่อกันของคนในภาคเหนือ และภาคอื่นๆ ตามเอกลักษณ์ของคนไทย” ดร.นพดล กล่าว
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

อย่ากดดันแบงก์ชาติให้ต้อง 'ปะ ชุน แปะกอเอี๊ยะ'

ประชาชาติธุรกิจ

นายไพบูลย์ กิตติศรีกังวาน ผู้ช่วยผู้ว่าการสายนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ตอบคำถามประเด็นร้อนเรื่องค่าเงินบาทแบบตรงไปตรงมาในงานสัมมนาวิชาการประจำปี ธปท.เมื่อวันที่ 22 กันยายน 2553 ที่ผ่านมา โดยเป็นคำถามนอกรอบที่เขียนขึ้นไปถามบนเวที เป็นคำถามโดนใจหลายคน คือ นโยบายเกี่ยวกับการปรับอัตรา ดอกเบี้ย และอัตราแลกเปลี่ยน ธปท.จะมีมาตรการช่วยเหลืออย่างไรที่เป็นรูปธรรม และถ้าจะให้อัตราแลกเปลี่ยนยืดหยุ่นในอนาคต ต้องให้ธุรกิจทุกเซ็กเตอร์เข้มแข็งก่อนไหม และควรจะทำแบบจีนไหมที่ดูแลอัตราแลกเปลี่ยนให้เศรษฐกิจโตต่อเนื่อง

"เรื่องค่าเงินจริง ๆ จะบอกว่า เราไม่ช่วยก็ไม่ได้ มาตรการช่วยเหลือจริง ๆ จะบอกให้รอภาคธุรกิจเข้มแข็งทุกภาคแล้วให้ปล่อยค่าเงินเคลื่อนไหวเสรี จริง ๆ เราไม่ได้ปล่อยให้ค่าเงินเคลื่อนไหวเสรี หากดูงบดุลของ ธปท.ปีที่แล้วจะเห็นว่าทุนสำรองเพิ่มขึ้นถึง 2 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 7-8 แสนล้านบาท นั่นคือวิธีที่เราพยายามช่วยเหลือให้ภาคธุรกิจปรับตัวได้"

นายไพบูลย์ชี้ว่า ถ้าเราไปดูตัวเลขจริง ๆ ความผันผวนของค่าเงินบาทเมื่อเทียบกับค่าเงินสกุลหลักในภูมิภาค ค่าเงินบาทมีความผันผวนน้อยที่สุดอยู่ที่ 3% ต่อปี เราได้บอกกับประชาชน บอกกับตลาด บอกกับภาคธุรกิจตลอดว่า นโยบายของเราคือการดูแลความผันผวนไม่ให้มากจนเป็นอุปสรรคต่อการดำเนินธุรกิจ แต่ไม่ได้หมายความว่าเราอยากจะไปช่วยเซ็กเตอร์ใดเซ็กเตอร์หนึ่ง นั่นไม่ใช่วัตถุประสงค์ของเรา

"ภายใต้กรอบการดำเนินนโยบายเงินเฟ้อเป็นเป้าหมาย เราไม่สามารถมีเป้าหมายทั้งระดับราคาและอัตราแลกเปลี่ยนไปพร้อม ๆ กัน ขอโทษที่โลกแบน เพราะนั่นคือข้อเท็จจริง และ ก็คงจะต้องเป็นอย่างนั้นต่อไป"

นอกจากนี้ นายไพบูลย์ยังระบุว่าจะเป็นเรื่องที่น่าเสียดายถ้าเราถูกแรงกดดันจากความผันผวนของตลาดระยะสั้น ความเคลื่อนไหวทุนระยะสั้นมาจี้ให้เราต้องดำเนินมาตรการเพื่อรักษาปะ ชุน แปะกอเอี๊ยะ แล้วไม่ได้แก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างในระยะยาว ไม่ได้ทำให้เศรษฐกิจและธุรกิจมีการปรับตัว

"ถ้าทำมาตรการไม่ควรเป็นมาตรการที่ป้องกันไม่ให้มีการเปลี่ยนแปลง แต่การเปลี่ยนแปลงต้องเกิดขึ้น แต่เราพยายามทำให้การเปลี่ยนแปลงมีผลกระทบน้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ภายใต้กรอบการดำเนินนโยบายการเงิน" นายไพบูลย์กล่าว

ด้านนายบัณฑิต นิจถาวร รองผู้ว่าการด้านเสถียรภาพการเงิน ธปท. ระบุถึงแนวนโยบายการเงินของ ธปท.ว่า จะให้ความสำคัญ 3 เรื่อง คือ 1.นโยบายการเงินมีเป้าหมายดูแลอัตราเงินเฟ้อเป็นสำคัญ ช่วงต่อไปการดำเนินนโยบายการเงินของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะให้ความสำคัญกับเสถียรภาพราคาเป็นเป้าหมายหลัก 2.ดูแลให้การเปลี่ยนแปลงของค่าเงินบาทไม่ผันผวนมาก และไม่ให้เป็นอุปสรรคต่อการปรับตัวของภาคธุรกิจมากเกินไป และ 3.จะดูแลความสมดุลของเงินไหลเข้า-ออก

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

หลักฐานโผล่

ข่าวสดรายวัน
เหล็กใน

ตลอดเวลา 4-5 เดือนที่ผ่านมา ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าการคลี่คลายคดี 91 ศพเหยื่อปืนจากเหตุการณ์สลายม็อบแดง ไม่ได้รับการเหลียวแลจากรัฐบาลเลยแม้แต่น้อย

ตั้งแต่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯในฐานะผอ.ศอฉ. ไม่เคยให้ความสำคัญกับคดีความที่คนเสื้อแดงตกเป็นผู้เสียหาย

กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ซึ่งได้รับมอบหมายให้เป็นผู้คลี่คดี 91 ศพโดยตรงก็ทำงานแบบอืดอาด

นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอ ไม่ได้สร้างความมั่นใจให้ญาติพี่น้องของผู้เสียชีวิต

ทวงถามความคืบหน้าในการชันสูตรศพไปแล้วนับครั้งไม่ถ้วน ก็ไม่ได้รับคำตอบอะไรเลยจากปากนายธาริต

ไม่ว่าจะเป็นคดีสังหารหมู่ 6 ศพในวัดปทุมวนาราม

หรือคดีสังหารนักข่าวญี่ปุ่นและอิตาลี

นายธาริตกลับบอกว่ารู้แค่ว่าถูกยิงที่จุดไหน แต่ไม่รู้ว่าใครเป็นคนฆ่า !?

ผิดกลับคดีการไล่เช็กบิลบรรดาเสื้อแดง นายธาริตดูจะกระตือรือร้นเป็นพิเศษ

ให้ความสำคัญยิ่งกว่าการตาย 91 ศพ

แต่ล่าสุดดูเหมือนว่าญาติผู้เสียชีวิตจะมีความหวังขึ้น

เมื่อทีมสำนักคดีเทคโนโลยีและสารสนเทศ ดีเอสไอ นำเจ้าหน้าที่และผู้เชี่ยวชาญกว่า 20 คนขึ้นไปตรวจสอบบนรางรถไฟฟ้าบีทีเอส จากสถานีสยามสแควร์ไปถึงบริเวณหน้าวัดปทุมวนาราม

และจากการตรวจสอบอย่างละเอียดนาน 4 ชั่วโมง พบหลักฐานที่น่าสะพรึงกลัว

เจอปลอกกระสุนปืนเอชเคหลงเหลือตกอยู่ในซอกใต้รางรถไฟฟ้า

เป็นปลอกกระสุนที่เก็บไปไม่หมดหลังเกิดเหตุใหม่ๆ

หลักฐานเหล่านี้ทำให้คดี 91 ศพโดยเฉพาะฆ่าหมู่ 6 ศพวัดปทุมฯดูเป็นรูปเป็นร่างมากขึ้น

เพราะไปสอดคล้องกับภาพและคลิปของกลุ่มคนสวมชุดเขียว !!

นอกจากนี้ยังมีการใช้เลเซอร์ตรวจสอบวิถีกระสุนจากบนรางรถไฟฟ้าหน้าวัดปทุมฯ พบว่าตรงกับจุดที่ 'น้องเกด'กมนเกด อัคฮาด พยาบาลอาสากับเพื่อนๆ ถูกยิงตาย

ในชั้นนี้คงยืนยันได้แล้วว่า 6 ศพในวัดปทุมฯถูกกระหน่ำยิงจากบนรางบีทีเอสจริงๆ

ปลอกกระสุน ร่องรอยเขม่าปืน ขวดน้ำเปล่า ถือได้ว่าเป็นหลักฐานเด็ดจริงๆ

แต่ก็ยังไม่มั่นใจได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะต้องผ่านกระบวนการตรวจสอบของดีเอสไออีกหลายขั้นตอน

ยังไม่อาจฟันธงลงไปได้ชัดเจน !?

เพราะไม่รู้ว่าเมื่อถึงเวลานั้นจริงๆ

อาจเห็นใครออกมานั่งแถลง สรุปว่าปลอกกระสุนที่เจอเป็นของกลุ่มชายชุดดำทำหล่นไว้หรือเปล่า

เพราะอะไรก็เกิดขึ้นได้ในรัฐบาลยุคนี้

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันอาทิตย์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2553

คืนเงิน 'พจมาน' ผ่าทางตันการเมือง?


จับตา!! ที่ดินรัชดาโมฆะ!!
กรณี “ที่ดินรัชดา” เป็นหนึ่งในคดีที่ คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่สร้างความเสียหายต่อรัฐ หรือ คตส. อ้างว่าเป็นผลงานที่สามารถเอาผิด พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้อย่างชัดเจน

ว่าการที่คุณหญิงพจมาน ดามาพงษ์ สมัยที่ยังเป็นภรรยาของ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้เข้าไปร่วมประมูลซื้อที่ดินแปลงดังกล่าวจากกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินนั้น ถือเป็นการสร้างความเสียหายให้แก่รัฐ

ยกข้อกฎหมายว่า เพราะขณะนั้น พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นนายกรัฐมนตรี ถือว่าเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐจึงไม่สามารถทำสัญญากับหน่วยงานของรัฐได้ ดังนั้นเมื่อคุณหญิงพจมานซึ่งเป็นคู่สมรสตามกฎหมาย ถือเป็นบุคคลเดียวกัน เมื่อไปทำสัญญาซื้อที่ดินจากกองทุนฟื้นฟูฯ จึงเป็นเรื่องต้องห้ามตามกฎหมาย
ซึ่งสุดท้าย ทำให้กรณีนี้มีคำพิพากษาให้จำคุก พ.ต.ท.ทักษิณ 2 ปี

เป็นอีกหนึ่งปรากฏการณ์ทางการเมืองในช่วงที่ม็อบพันธมิตร และ คมช.มีพลังอย่างมาก แต่ก็ไม่สามารถที่จะสร้างการยอมรับให้เกิดขึ้นกับสังคมได้ เพราะส่วนใหญ่จะงุนงงกับผลงานชิ้นโบแดงของ คตส.ชิ้นนี้เป็นอย่างมาก
อย่างไรก็ตามในทางการเมืองยังมีความพยายามที่จะเล่นต่อเนื่องไม่เลิก จึงยังคงมีความพยายามที่จะริบเงินค่าซื้อที่ดิน พร้อมกับยึดคืนที่ดินรัชดาให้กลับมาเป็นของรัฐแบบฟรีๆอีกด้วย

จึงทำให้ต้องมีการต่อสู้กัน เพราะคุณหญิงพจมานเอง ก็ยอมรับไม่ได้กับการที่ถูกกระทำเช่นนี้ จึงต้องต่อสู้เพื่อขอความมเป็นธรรม และทำให้กลายเป็นคดีหนึ่งที่สังคมพากันจับตามองว่าเรื่องนี้จะจบลงอย่างไร

หน่วยงานรัฐจะสามารถริบเงินและยึดที่ดินรัชดามาได้จริงๆหรือไม่???
หลังจากคาราคาซังมานาน ปรากฏว่าในวันที่ 24 กันยายน ที่ห้องพิจารณาคดี 712 ศาลแพ่ง ถ.รัชดาภิเษก เวลา 10.00 น. ศาลอ่านคำพิพากษาในคดีหมายเลขดำ 5379/2552 ที่ นายพศิน ทิพยรักษ์ พนักงานอัยการฝ่ายคดีแพ่ง รับมอบอำนาจจากกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน เป็นโจทก์ยื่นฟ้องคุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ อดีตภริยา พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นจำเลยเรื่องโมฆะกรรมขอให้ศาลเพิกถอนรายการจดทะ เบียนขายโฉนดที่ดินรัชดาภิเษก 4 แปลงจำนวน 33 ไร่เศษมูลค่า 772 ล้านบาท และให้ส่งมอบการครอบครองที่ดินคืน

ขณะที่ทางคุณหญิงพจมาน ฟ้องแย้งในสำนวนเดียวกัน ขอให้ศาลมีคำสั่งให้กองทุนฟื้นฟูคืนเงินซื้อขายที่ดินจำนวน 772 ล้านบาท พร้อมค่าเสียหาย ค่าออกแบบอาคารที่จะก่อสร้างจำนวน 39 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับจากวันที่นัดชำระ

โดยคดีนี้อัยการโจทก์ฟ้องสรุปว่า เมื่อวันที่ 16 ธ.ค.2546 คุณหญิงพจมานจำเลย เข้าร่วมยื่นซองประกวดราคาซื้อที่ดินผืนนี้ ซึ่งต่อมา กองทุนฯประกาศให้เป็นผู้ชนะในการซื้อที่ดิน 4 แปลงในราคาสูงสุดเป็นเงิน 772 ล้านบาทโดยกองทุนฯและคุณหญิงพจมาน จำเลยตกลงทำสัญญาจะซื้อจะขายทรัพย์สินเมื่อวันที่ 17 ธ.ค.2546 และได้ดำเนินการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้คุณหญิงพจมาน จำเลยในวันที่ 30 ธ.ค.2546

สำหรับสัญญาซื้อขายที่ดินมีข้อความว่า กองทุนฯโจทก์ ผู้ขายตกลงยอมขายและคุณหญิงพจมานจำเลย ผู้ซื้อตกลงยอมซื้อ

แต่ต่อมาภายหลังจากทำสัญญาซื้อขาย คุณหญิงพจมาน จำเลย และ พ.ต.ท.ทักษิณ สามีถูกอัยการสูงสุดยื่นฟ้องคดีต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทาง การเมืองในความผิดต่อ พ.ร.บ.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ

ต่อมาวันที่ 17 ก.ย.2551 ศาลฎีกาฯมีคำพิพากษาว่า พ.ต.ท.ทักษิณมีความผิดให้จำคุก 2 ปี การที่คุณหญิงพจมานจำเลยเสนอตัวเข้ายื่นซองจนชนะการประกวดและเข้าทำนิติกรรมสัญญาจะซื้อจะขาย และสัญญาซื้อขายที่ดินกับกองทุนฯ ซึ่งเป็นหน่วยงานรัฐที่นายกฯเป็นผู้มีอำนาจกำกับดูแล โดยคุณหญิงพจมานจำเลยรู้และตระ หนักดีว่าตนเองเป็นคู่สมรสโดยชอบด้วยกฎหมายของ พ.ต.ท.ทักษิณ

ดังนั้นการเข้าทำนิติกรรมสัญญาย่อมเป็นการทำโดยมีวัตถุประสงค์ขัดกันระหว่าง ผลประโยชน์ส่วนรวมและส่วนตัวซึ่งต้องห้ามตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยป.ป.ช. มาตรา 100 เมื่อคุณหญิงพจมานจำเลย มีเจตนาจงใจเข้าทำนิติกรรมสัญญาทั้งที่ต้องห้ามตามกฎหมายดังกล่าวแล้ว สัญญาจะซื้อจะขายที่ดินทั้ง 4 แปลงจึงตกเป็นโมฆะทันที ตามประมวลกฎ หมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 150

ศาลแพ่ง พิเคราะห์แล้ว เห็นว่า คดีมีประเด็นต้องวินิจฉัย ข้อที่ 1 ว่านิติกรรมซื้อขายที่ดินพิพาทระหว่างกองทุนฯ กับคุณหญิงพจมาน เป็นโมฆะหรือไม่...
วินิจฉัยว่า การที่คุณหญิงพจมาน เป็นภรรยาโดยชอบของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรี ในขณะที่มีการทำนิติกรรมซื้อขายที่ดินพิพาท ถือว่า พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ การกระทำนิติกรรม ซื้อขายที่ข้อพิพาท ระหว่างกองทุนฯ และคุณหญิงพจมาน การดำเนินการดังกล่าวของคุณหญิงพจมาน ถือเป็นการดำเนินกิจการของเจ้าหน้าที่ของรัฐ ต้องห้ามมิให้กระทำตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการป้องการและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 100 (1) คุณหญิงพจมาน จึงเป็นผู้มีคุณสมบัติต้องห้าม ในการเป็นคู่สัญญาทำนิติกรรมกับกองทุนฯ โดยผลของกฎหมาย นิติกรรมการซื้อขายที่ดินพิพาททั้ง 4 แปลงดังกล่าวจึงตกเป็นโมฆะ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 150
ประเด็นข้อพิพาทที่ 2 เมื่อฟังว่านิติกรรมการซื้อขายที่ดินพิพาทเป็นโมฆะ กองทุนฯมีสิทธิ์เรียกที่ดินคืนจากคุณหญิงพจมาน หรือไม่ และกองทุนฯจะต้องคืนเงินราคาที่ดินให้แก่คุณหญิงพจมานหรือไม่

มีคำวินิจฉัยว่า นิติกรรมที่เป็นโมฆะ ถือว่าเสียเปล่าใช้ไม่ได้มาตั้งแต่ต้น ไม่ก่อให้เกิดความเคลื่อนไหวแห่งสิทธิ์และหน้าที่ของคู่กรณี การที่กองทุนโอนกรรมสิทธิ์และส่งมอบที่ดินพิพาททั้ง4 แปลงให้คุณหญิงพจ มาน หรือการที่คุณหญิงพจมาน ชำระราคาที่ดินพิพาทให้แก่กองทุนฯเป็นกรณีที่ทั้งสองฝ่ายไม่ได้รับทรัพย์สิน เพราะการที่อีกฝ่ายหนึ่งกระทำเพื่อชำระหนี้ โดยปราศจากมูลอันจะอ้างตามกฎหมายได้

ทั้งสองฝ่ายจึงมีหน้าที่คืนทรัพย์สินที่ได้รับไปจากอีกฝ่ายหนึ่ง
คุณหญิงพจมาน มีหน้าที่ต้องส่งมอบที่ดินพิพาททั้ง 4 แปลง คืนให้แก่กองทุนฯ

ส่วนกองทุนฯมีหน้าที่คืนเงินค่าที่ดิน ที่รับไว้จากคุณหญิงพจมาน ทั้งหมด และต้องจ่ายดอกเบี้ยให้แก่ คุณหญิงพจมาน ในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อ ปี นับตั้งแต่วันที่ คุณหญิงพจมาน ยื่นคำให้การ และฟ้องแย้งเป็นต้นไป
ศาลแพ่งจึงมีคำพิพากษาให้เพิกถอนการจดทะเบียน นิติกรรมการซื้อขายที่ดิน โฉนดที่ดินเลขที่ 2298,2299,2300 และ 2301 แขวงและเขตห้วยขวาง กทม.ระหว่างกองทุนฯและคุณหญิงพจมาน ให้คุณหญิงพจมาน ส่งมอบการครอบครองที่ดินทั้ง 4 แปลง คืนให้แก่กองทุนฯ และให้กองทุนฯ ชำระเงินจำนวน 772 ล้านบาท คืนให้แก่คุณหญิงพจมาน พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับจากวันที่ 25 พ.ย.52 ซึ่งเป็นวันฟ้องแย้งเป็นต้นไป

ภายหลังนายพลพีร์ ตุลยสุวรรณ ทนายความคุณหญิงพจมาน กล่าวว่า จะแจ้งผลคำพิพากษาให้คุณหญิงพจมาน ทราบต่อไป เข้าใจว่าคุณหญิงพจมาน จะพอใจกับผลคำพิพากษาที่ศาลให้กองทุนฯ คืนเงินค่าซื้อที่ดิน
ส่วนที่ศาลไม่ได้กำหนดให้กองทุนต้องชำระ ค่าออกแบบอาคารที่จะก่อสร้างในที่ดินที่คุณหญิงพจมาน ระบุไว้ในคำฟ้องแย้งจำนวน 39 ล้านบาทนั้น คิดว่าคุณหญิงพจมาน คงไม่ติดใจประเด็นนี้

ทั้งนี้หากกองทุนฯ ติดใจในผลคำพิพากษา สามารถยื่นอุทธรณ์ได้ตามกฎหมาย ซึ่งฝ่ายตนไม่หนักใจอะไร พร้อมต่อสู้คดี หากจะมีการอุทธรณ์คดีจริง กองทุนฯ จะต้องนำเงินซื้อขายที่ดิน 772 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ย ซึ่งจนถึงขณะนี้คิดเป็นเงินประมาณ 40 ล้านบาท นำมาวางเป็นเงินประกันต่อศาลไว้ด้วย

ขณะที่อัยการที่ได้รับมอบอำนาจให้ยื่นฟ้องคดีนี้ กล่าวเพียงว่า ต้องนำคำพิพากษาทั้งหมดไปมอบให้กองทุนฯ เพื่อพิจารณาต่อไปว่าจะประสงค์จะยื่นอุทธรณ์คดีอีกหรือไม่

ด้าน นางทองอุไร ลิ้มปิติ ผู้ช่วยผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) ในฐานะ ผู้จัดการกองทุนฟื้นฟูฯ กล่าวว่า หลังจากนี้ กองทุนฟื้นฟูฯจะทำหนังสือสอบถามไปยัง อสส. เพื่อหารือแนวทางในการดำเนินการต่อไปอย่างไร หลังจากนั้น จะนำเรื่องเข้าสู่ที่ประชุมคณะกรรมการกองทุนฟื้นฟูฯพิจารณาต่อไป

“เรื่องเงินไม่ใช่ปัญหา และยังมั่นใจว่า กระบวนการที่ทำ ก็ทำอย่างโปร่งใส กระบวนการผู้ซื้อก็ถูกต้องตามที่กองทุนประกาศไว้ทุกอย่าง” นางทองอุไร ระบุยืนยัน

การเป็นโมฆะกรรมของการซื้อขายที่ดินผืนรัชดาในครั้งนี้ ได้ก่อให้เกิดการจับตามองอย่างเขม็งของซีกการเมือง ว่าจะสามารถเชื่อมโยงไปถึงกรณีของ พ.ต.ท.ทักษิณได้อหรือไม่?

ในเมื่อทุกอย่างเป็นโมฆะกรรมทางกฎหมายมาตั้งแต่ต้นแล้วเช่นนี้
หากเป็นสิ่งที่สามารถนำมาใช้แก้ต่าง เชื่อมโยงถึงได้ โอกาสที่ปัญหาทางตันการเมืองที่เกิดขึ้นหลังจากการทำรัฐประหาร 19 กันยายน 49 เป็นต้นมานั้น ก็อาจจะสามารถคลี่คลายลงได้

เพราะไม่ว่าอย่างไรกก็ตามต้องยอมรับว่า 4 ปีที่ผ่านมาประเทศชาติบอบช้ำมากพอแล้ว และมีประชาชนบาดเจ็บล้มตายมากเกินไปแล้ว
หรือนี่จะเป็นโอกาสแห่งแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ แม้จะเป็นเพียงจุดเล็กๆก็ตาม

แต่มีความหวังแม้สักน้อยนิด ก็ยังดีเสียกว่าที่จะมืดมิดไปหมดเช่นที่ผ่านมา

ที่มา.บางกอกทูเดย์

"ม.ร.ว.อคิน รพีพัฒน์"สวมหมวกปฎิรูป คนมีอำนาจมาก มีเงินมาก ท้าทายสถาบัน เพราะเป็นอุปสรรคของเขา

ที่มา.  ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
1 ใน 20 อรหันต์ เข้าประจำการในบ้านพิษณุโลก เพื่อปฏิรูปประเทศไทย
 
หลายคนมีสีเสื้อติดตัว-ตีตรา กากบาท แสดงตัวตนว่ามาจากสังกัด "ขั้ว" การเมืองฝ่ายไหน
 
บางคนเป็นปัญญาชนฝ่ายซ้าย
 
บางรายเป็นข้าราชการฝ่ายขวา
 
บางคนก้าวหน้า นั่งเผชิญหน้าสภาวะฝ่ายอนุรักษนิยม
 
บางคนมาจากชนชั้นล่าง ชนชั้นกลาง และชนชั้นสูง
 
ภารกิจหัวรถจักร ขับเคลื่อนประเทศไทย ออกจากรถไฟขบวนแดง-เหลือง จึงเป็นส่วนหนึ่งของพันธะของชีวิตวัย 77 ของ "ม.ร.ว.อคิน รพีพัฒน์" ที่แทบทั้งชีวิต ผูกติดอยู่กับชุมชน-สลัมและคนจน
 
"ม.ร.ว.อคิน" ที่ปรากฏตัวท่ามกลางปัญญาชน-สามัญชน และทายาทอำมาตย์ แห่งบ้านพิษณุโลก   
@ เดิมทำงานกับภาคประชาสังคม นี่เป็นครั้งแรกหรือเปล่าที่ทำงาน ขับเคลื่อนสังคมในฝ่ายรัฐบาล
              
การเป็นกรรมการปฏิรูปประเทศไทย ความจริงอันนี้ก็ไม่ใช่รัฐบาลนะ ต้องแยกออกจากรัฐบาล ที่มาทำเพราะผมทำงานกับชาวบ้านมาเยอะแล้ว ตั้งแต่สมัยอาจารย์ป๋วย อึ๊งภากรณ์ แล้วก็ทำงานสลัมเรื่อยมา ผมถือว่าคราวนี้เป็นโอกาสที่จะได้ช่วยเหลือ หลังจากที่เรียนรู้เกี่ยวกับคนยากจน เมื่อก่อนก็ช่วยอะไรไม่ได้ ก็ได้แต่เขียนไปว่าไป ตอนนี้คิดว่าน่าจะมีช่องทางช่วยได้จริง ๆ ความจริงก็แก่แล้วน่าจะหยุดได้สักที
 
@ คณะปฏิรูปประเทศไทยมีความคาดหวังว่าจะได้นำไปสู่การปฏิบัติมากน้อยแค่ไหน
               
เราคงจะมีมาตรการอะไรออกมาในไม่ช้า ผมหวังว่าอย่างนั้น ในเมืองไทยมี 2 อย่าง นักวิชาการที่อยากจะปฏิรูปแบบรื้อโครงสร้างทำโครงสร้างใหม่ แต่ผมไม่คิดอย่างนั้นนะ แล้วผมพยายามผลักดันมาก ผมคิดว่าปัญหาเร่งด่วนที่ชาวบ้านมีความทุกข์ควรจะแก้เดี๋ยวนี้ ควรจะจัดการโดยเร็ว ทางคณะกรรมการเข้าใจ เราได้พูดถึงเรื่องมาตรการเร่งด่วน มาตรการปานกลาง และระยะยาว เป็น 3 ระยะ
 
@ ระหว่างนี้ไปถึง 3 ปี จะมีมาตรการอะไรออกมาต่อเนื่อง 
 ใช่ ผมคิดว่าอย่างนั้น บางมาตรการควรจะเริ่มภายในไม่กี่เดือนก่อนสิ้นปี เป็นมาตรการเร่งด่วนที่พอจะทำได้ มาตรการเร่งด่วนหมายความว่า เป็นมาตรการที่จะช่วยเหลือคนที่ตกทุกข์ได้ยากอยู่เวลานี้ ยกตัวอย่างเรื่องที่ดินมีเยอะมากไปประกาศเป็นอุทยาน ไปทับชุมชนที่เขาอยู่แล้วก็มีการจับกุม เอาไปติดคุกก็มี แล้วที่ยังไม่พิสูจน์ว่าเป็นที่ของชุมชนหรือเป็นที่ของประกาศอุทยานไปทับที่ของชุมชนเก่าหรือเปล่า ต้องช่วยคนที่ลำบาก ผมคิดว่ามันก็ไม่น่าจะยากอะไร
 
@ มาตรการเกี่ยวกับที่ดินของคนที่มีปัญหากับรัฐน่าจะทำได้ภายในสิ้นปีนี้
               
ช่วยคนที่ต้องติดคุก หรือคนที่ถูกจับ และมาตรการที่น่าจะทำได้ คือการหยุดยั้งการกระทำ เช่น ขอว่าอย่าไปจับเขาในกรณีเช่นนี้ จนกว่าจะพิสูจน์ได้ว่าที่ดินเป็นของใคร แล้วก็อาจจะหยุดยั้งการประกาศที่ดินเป็นเขตหวงห้าม ต้องให้เขาหยุดยั้งไว้ก่อน
 
@ เวลานี้คณะกรรมการมีข้อมูลทั่วประเทศแล้วหรือยัง               
  ทางเรามีข้อมูล เพราะมีประชุม ประเด็นพวกนี้เป็นของที่ชาวบ้านร้องขอมาเยอะมาก เพราะเขาประกาศอยู่เรื่อย ทั้ง ๆ ที่อุทยาน... มันไม่ใช่อุทยานอย่างเดียว กรมเจ้าท่าก็ประกาศที่ดินอันหนึ่ง รัฐก็ประกาศที่ดินอันหนึ่ง แล้วบางทีก็เอาไปจากชาวบ้าน ไปให้พวกนายทุน ทำรีสอร์ต เราก็ต้องให้ยับยั้งการประกาศพวกนี้
               
 ทางภาคใต้ มีที่ดินที่ชาวบ้านเขาอยู่มาก่อนแล้ว พอสึนามิ ชาวบ้านก็หลบไป พอกลับมาอีกที กลายเป็นที่มีโฉนดไป แล้วของนักการเมืองก็เยอะ
 
@ กรรมการปฏิรูปเข้าไปจัดการ ธนาคารที่ดิน โฉนดชุมชน แบบนี้ก็ขัดผลประโยชน์นักการเมือง              
  ก็ต้องคุยกัน เพราะผมยังไม่รู้มาตรการเราจะทำอย่างไร แต่ผมคิดว่าถ้าจะประกาศให้เขาหยุด ก็คงต้องคุยกับเขาด้วย 
               
คือตอนนี้ ผมก็ไม่รู้ว่ามันจะราบรื่นขนาดไหน จากเหตุการณ์บ้านเมืองที่เกิดขึ้น ก็ทำให้คนรู้สึกว่าอยากจะร่วมมือ ชักชวนให้ร่วมมือแก้ไขปัญหา ไม่ให้บ้านเมืองวิกฤตเรื่อยไป ที่ดินเป็นเรื่องใหญ่ เพราะที่ดินส่วนใหญ่เป็นของรัฐและของคนที่ร่ำรวยอยู่ไม่กี่คนหรอก ที่เหลือที่ชาวบ้านอยู่มันน้อยมาก จะต้องมีการกระจายที่ดินกันใหม่ แต่จะทำได้แบบไหน
 
 เรื่องโฉนดชุมชน ในที่ประชุมก็มีบางคนค้านเพราะไม่เห็นด้วยกับโฉนดชุมชน ในกลุ่มย่อย...ที่เขาพูดคล้าย ๆ กับว่าชาวบ้านจะตีกันเอง
 
  @ การจัดการที่ดินของรัฐถ้าไม่เร่งทำแล้ว ประเทศจะลุกเป็นไฟ
               
ใช่ คือปัญหาเรื่องที่ดิน ถ้าเราไม่ทำอะไรสักอย่าง ไม่หยุดยั้ง คนที่ไม่พอใจจะมีมาก ๆ
 
 
@ งานชุมชน-สลัมที่อาจารย์ศึกษา มา30-40 ปีจะมาผลักดันผ่านการปฏิรูปคราวเดียวหรือเปล่า
              
 
 ผมคิดว่าคณะกรรมการปฏิรูปมีของที่จะทำสำเร็จภายใน 3 ปี และมีของเยอะที่จะไม่ทำสำเร็จภายใน 3 ปี หน้าที่อย่างหนึ่งคือต้องสร้างองค์กรอะไรสักอย่างของประชาชนที่จะทำหน้าที่แทนเรา สภาประชาชนประกอบด้วยกลุ่มเครือข่ายชุมชน กลุ่มเอ็นจีโอ และตั้งแต่ระดับล่าง ทำคู่ขนานกับองค์กรของรัฐอย่าง อบต. และรัฐบาล 

@ คณะกรรมการปฏิรูปส่วนใหญ่มีความคิดคล้าย ๆ กันหรือเปล่า               
ในคณะกรรมการปฏิรูปมีคนที่มีความคิดแตกต่างกันเยอะแยะ คุณคิดดู อย่างอาจารย์ชัยอนันต์ สมุทวณิช กับอาจารย์นิธิ เอียวศรีวงศ์ ตรงกันข้ามกันนะ ผมคิดว่าไม่เลว ถ้าในใจผมประเมินดู ผมว่าประธานของเราเก่งมาก ท่านอานันท์เก่งมาก ท่านสามารถที่จะตะล่อมคนที่หลายความคิดเข้ามาสรุป
 
@ ข้อเสนอของคณะปฏิรูปต้องใช้ความกล้าหาญ คิดว่าจะผลักดันไหวไหม
               
ผมว่าเราผลักไม่ไหว แต่ถ้าเราร่วมกับประชาชนอาจจะไหว ต้องไปด้วยกัน ทางเราต้องพยายามให้อำนาจประชาชน เราเสนออะไรที่ประชาชนอยากได้ ก็หวังว่าประชาชนจะสนับสนุน 
 
@ ปัญหาความขัดแย้งเฉพาะหน้าจะได้รับการตอบสนองจากคณะกรรมการปฏิรูปแค่ไหน  
เรามีเวทีก็มีทั้งเหลืองทั้งแดง ต้องการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อน ไม่เป็นธรรม ความเหลื่อมล้ำ
 
 @ คณะกรรมการชุดนี้ไม่ได้ตอบสนองรัฐบาลฝ่ายเดียว
               
 ไม่ได้ตอบสนองรัฐบาลฝ่ายเดียว ความจริงเราตอบสนองประชาชนมากกว่า
 
 @ 3 ปีดูยาวนานเกินไปไหมสำหรับการแก้ปัญหา
               
 ไม่ เพราะเราทำอะไรด่วนก็ทำก่อน แต่มีอะไรที่เลย 3 ปีไปอีกกว่าจะทำได้ กว่ากฎหมายจะออก แล้วถ้าเผื่อบางอย่างนักการเมืองไม่ชอบ ยิ่งนานไปใหญ่ ยิ่งไปกันใหญ่
 
@ ข้อเสนอมีแนวโน้มจะถูกค้านจากฝ่ายการเมือง 
นักการเมืองยุ่งเกี่ยวกับเรื่องที่ดินเยอะ ครอบครองที่ดินเยอะ ผมก็ไม่รู้จะเป็นยังไง สุดแท้แต่ว่าเราจะสามารถทำให้เขาเห็นแก่บ้านเมืองได้ขนาดไหน

 
@ หัวรถจักรขับเคลื่อนประเทศไทยทั้งหมด 4 หัว ทั้งรัฐบาล มีคณะกรรมการปฏิรูป สมัชชาปฏิรูป คณะกรรมการแก้รัฐธรรมนูญ คณะกรรมการปรองดอง จะผนวกหัวที่ 5 ของคุณทักษิณและเพื่อไทยด้วยหรือเปล่า   
 
ทั้ง 4 หัวก็ต้องร่วมมือประสานกันมาก ๆ เพราะมีหลายเรื่อง ส่วนปัญหาความเดือดร้อนของชาวบ้านมันมีมานานแล้ว แต่พรรคการเมืองที่เข้ามาเอาความเดือดร้อนของชาวบ้าน ดึงความเดือดร้อนนั้นมาใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองของตัวเอง อันนี้ก็ลำบากว่าเราจะสามารถดึงคนมาทางเราได้มากแค่ไหน ปัญหาอยู่ที่นักการเมือง มันเป็นเรื่องการเมืองจริง ๆ ทำไงให้ประชาชนรู้ว่ามีอีกอย่าง ทุกวันนี้เขาก็รู้ว่านักการเมืองเป็นยังไง
 
@ 4 หัวขบวนของฝ่ายรัฐเปิดช่องให้นักการเมืองอีกฝ่ายด้วยหรือไม่
              
  ผมไม่รู้นักการเมืองฝ่ายไหนเป็นยังไง อย่างคณะกรรมการนี้ก็เป็นอิสระจากกรรมการมากพอสมควร อย่างข้อเสนอให้เลิก พ.ร.ก. อันนั้นก็ชัดว่าเราไม่ได้เป็นพวกเดียวกับรัฐบาล แล้วเราก็ไม่ใช่พวกเดียวกับคุณทักษิณ ทีนี้ใครที่พอจะเป็นกลาง ๆ ที่จะดึงทั้ง 2 ฝ่าย เรามีความตั้งใจจะสร้างให้ประชาชนมีพลัง หวังว่าคนกลาง ๆ ที่มีอยู่ทั้ง 2 ข้างจะเข้ามาหาเรา เห็นว่าเราพยายามทำให้เขา
                
@ ปัญหาที่ผ่านมามีการพูดเรื่องชนชั้นเป็นอุปสรรค อาจารย์มองอย่างไร
               
 (ถอนหายใจ) ก็เถียงกันอยู่ว่าประเทศไทยมีชนชั้นหรือเปล่า ถ้าสังคมไทยเป็นระบบอุปถัมภ์มาก ๆ เป็นความสัมพันธ์แนวดิ่ง ชนชั้นซึ่งเป็นความสัมพันธ์แนวราบก็จะไม่มี นี่เป็นหลักการที่ผมกับอาจารย์นิธิเถียงกันมานมเน อาจารย์นิธิบอกว่าเมืองไทยไม่มีระบบอุปถัมภ์ เพราะเปลี่ยนไปมากจนไม่มีแล้ว เพราะฉะนั้นคนกลุ่มหนึ่งคิดว่าเมืองไทยมีชนชั้น อีกกลุ่มคิดว่าไม่มี แต่เป็นระบบอุปถัมภ์

@ ผู้ชุมนุมที่เป็นฝ่ายตรงข้ามกับรัฐบาลได้หยิบยกเรื่องชนชั้นผู้เสียเปรียบกับได้เปรียบ
               
 ใช่ ก็มีคนเถียงเขาอยู่ว่ามีชนชั้นผู้เสียเปรียบและชนชั้นผู้ได้เปรียบ เขาใช้คำว่าอำมาตย์ใช่ไหม แต่อำมาตย์มันมีความหมายที่ลึกซึ้งกว่านั้น แสดงว่าเขามองเห็นว่าเมืองไทยมีลักษณะ ฟิวดัล (feudalism) แล้วเปลี่ยนมา แล้วชนชั้นอำมาตย์นี้คือชนชั้น ฟิวดัล อันนี้เขาไปแรงนะ อันนี้แรง เพราะจะไปเกี่ยวข้องกับสถาบัน ใช่ไหม คล้าย ๆ กับชนชั้นอำมาตย์ก็คือข้าราชการมาเชื่อมกับพวกนายทุน ใช่ไหม เป็นชนชั้นหนึ่งที่ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน
 
 @ เป็นการสร้างวาทกรรมอำมาตย์ และชนชั้นผู้ได้เปรียบ
               
สมัยนี้มันมีปัญหา ผมเป็นพวกหัวโบราณ คิดไม่เหมือนพวกสมัยใหม่ คือสมัยนี้เขาคิดว่า สื่อมีอำนาจมาก ก็มีความคิดอย่างฟูโก (มิเชล ฟูโก Michel Foucault) มาพูดเรื่องนี้แล้วมีอิทธิพลมาก คือคนเราสามารถใช้สื่อทำให้คนเชื่อ ตั้งมาเป็นวาทกรรม ทำให้คนเชื่อ
 
 
@ หัวใจที่ทำให้วาทกรรมคำว่าอำมาตย์ดำรงอยู่ได้ เพราะมีชุดความจริงสนับสนุนอยู่หรือเปล่า
          
  มี ก็มีอยู่เหมือนกัน ตั้งแต่ผมทำงานมาในชนบท พ.ศ. 2511-12 ไล่มาเรื่อย ผมมีความรู้สึกอย่างหนึ่งที่เคยพบเห็นในชนบท คือชาวบ้านเขาไม่ชอบข้าราชการ เขาไม่ชอบด้วยความรู้สึก 2 อย่าง บางทีเขาก็หัวเราะ บางทีเขาก็โกรธ คือเขาไม่ชอบ ว่ามาเอาเปรียบเขา อย่างการขุดคลองชลประทาน มาวัดมาบอกว่าจะให้เงินค่าที่ดินที่เอามาทำคลอง แต่ชาวบ้านก็ไม่ได้เงิน เมื่อนำมาพูดเปรียบเทียบ ทำให้ชาวบ้านก็รู้สึกว่ามันมีความจริงอยู่
  

@ ช่วงชีวิตของอาจารย์ มองเห็นพัฒนาการคำว่าอำมาตย์ และคนที่มีเชื้อเจ้า ในขณะนี้ถือว่าถูกท้าทายที่สุดหรือเปล่า
               
 ที่สุดหรือไม่ที่สุด ผมไม่รู้ รู้แต่ว่ามีการท้าทาย เป็นการสร้างวาทกรรม บางอย่างก็เอามารวมกัน แต่ไม่รู้มันจะเวิร์กขนาดไหน เพราะในอีกด้านหนึ่งคือคนไทยยังมีความจงรักภักดี และอีกอย่างคือการปฏิบัติองค์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
 
 @ ทำไมจู่ ๆ คนถึงลุกขึ้นมาท้าทาย
               
 ผมคิดว่ามันคุกรุ่นมานาน ความจริงมันเป็นเรื่องตลกที่การท้าทายสถาบัน แต่อาจจะไม่ได้ทำโดยชาวบ้าน แต่คนที่ท้าทายสถาบัน... ซึ่งความจริงสถาบันถูกท้าทายมาหลายหนแล้ว โดยมากจะเป็นผู้มีอำนาจมาก เช่น เมื่อก่อนทหารมีอำนาจมาก ก็มีการท้าทาย สมัยจอมพลแปลก ก็มีการท้าทายพอสมควร อันนั้นก็เป็นสาเหตุอันหนึ่ง ที่จอมพลสฤษดิ์ลุกขึ้นมา...อ้างอย่างงั้น จอมพลสฤษดิ์ก็อ้างอย่างนั้น
               
 ทุกครั้งที่มีคนที่มีอำนาจมากก็จะท้าทายสถาบัน เพราะการใช้อำนาจของเขาก็จะติดขัดอยู่ที่สถาบัน ใช่หรือเปล่า เขาใช้อำนาจไม่ได้เต็มที่เพราะติดขัดที่สถาบัน ทีนี้มาถึงสมัยนี้ คนที่มีอำนาจมากคือใคร ก็คือคนที่มีเงินมาก คนที่มีเงินมาก เขาก็ต้องการที่จะ....สถาบันก็กลายมาเป็นอุปสรรคของเขา
 

 ถ้าเขามีเงินมาก เขาก็คิดว่าสามารถที่จะใช้เงินเอามาพัฒนาการใช้อำนาจ เพราะสมัยนี้อำนาจอยู่ที่เงิน แต่เมื่อก่อนอำนาจอาจจะอยู่ที่อื่น ครั้งหนึ่งอาจจะอยู่ที่คุณทำความดีอะไรต่าง ๆ นานา แต่เดี๋ยวนี้อำนาจไม่ได้อยู่ที่คุณธรรมความดี แต่มาใส่ในเงินตรา ถ้าคุณมีเงินคุณก็มีอำนาจ อันนี้คือการเปลี่ยนแปลงสำคัญที่เกิดขึ้น
 
 @ อาจารย์มองว่าคนที่ท้าทายไม่ใช่ชาวบ้าน
               
 
แต่เขารวมชาวบ้านที่มีปัญหา ที่มีความทุกข์ยากมาเป็นพวกได้
 
 
@ อำนาจเงินกับชาวบ้านมาผนวกกันทำให้มีพลังต่อรองหรือไม่
               
ใช่ เขาใช้เงิน เอาชาวบ้านมาเป็นพวกได้ ก็แปลกนะ ความจริงเขาก็ใช้ระบบอุปถัมภ์ แต่ว่ามันเปลี่ยนจากฐานเก่า สมัยเก่าอยู่ที่สถาบันและสถาบันอยู่ที่คุณธรรม แต่เดี๋ยวนี้ฐานมันอยู่ที่เงิน
 
@ เรื่องคนชนบทกับคนในเมืองเป็นเกณฑ์การแบ่งแยกปัญหาได้หรือไม่ ในเมื่อในเมืองก็มีคนจนจำนวนมาก
               
คนจนในเมืองไม่ได้ขัดกับคนจนในชนบท ผลประโยชน์ใกล้เคียงกัน คนในเมือง ในสลัมก็อพยพมาจากชนบท มาจากอีสานจำนวนมาก คุณจะรู้ว่าคนในสลัมส่วนมากเป็นเสื้อแดงนะ ผมก็รู้จักเขาเยอะนะ อย่างบ่อนไก่ เคยคุ้นอยู่

@ คนในสังคมเอาปัญหาที่สะสมมาฝากความคาดหวังไว้ในคณะกรรมการปฏิรูป 
               
ใช่ ๆ ความจริงคนก็หวังเยอะนะ เขาคาดหวังกันมาก แต่ผมไม่รู้ว่าผลจะออกมาอย่างไร
                
@ ในช่วง 3 ปีอาจจะเปลี่ยนรัฐบาล 
               
คณะกรรมการอยู่ต่อ แต่จะเข้ารูปหรือจะแตกเยอะ ผมไม่ทราบ อนาคตมันทายยาก มันเปลี่ยนเยอะ โลกเปลี่ยนแปลงเร็วมากจนปรับตัวไม่ทัน มันลำบากมาก จากการทำนายของนักสังคมศาสตร์ สังคมวิทยา ทำนายอนาคตผิดทุกวัน (หัวเราะ)

ตำบล กระสุนตก

กลายเป็น..ตำบลกระสุนตก..เพราะไม่ว่า จะซ้อมยิงด้วยปืนชนิดไหน..ก็ต้องยิงไปที่ตำบล ที่เป้าตั้งอยู่..ภาษาทหาร..เขาเรียกพื้นที่ตรงนี้ว่า..ตำบลกระสุนตก

ใครเอาวัวเอาควายไปเลี้ยงในพื้นที่นั้น.. หรือเด็กๆ ไปเจอเจาะอะไร..เอามาขว้างมาทุบหรือ เจาะไช..ตายก็มากบาดเจ็บพิการก็เยอะวันนี้ ในการเมืองเรื่องบริหารราชการแผ่นดิน.. ตำบลกระสุนตก กลายเป็น..องค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ..ไม่ว่าจะมีคำสั่งมาแบบไหนอย่างไร..

กลายเป็นเรื่องในสภากาแฟ นำมาถกเถียง วิพากษ์วิจารณ์ ล่า ล่า ก็อย่างเรื่อง..ประมูล 3จี..ของ.. กรรมการบริหารความถี่..ที่ตั้งท้องมา 10 ปีกว่าจะ คลอด..แต่พอทำงานชิ้นแรกก็โดน..สั่งระงับ

กลายเป็นข่าวใหญ่..ให้สมาชิกสภากาแฟ ถกเถียง..ใครผิดใครถูกกันหว่า..ระหว่างฝ่ายเทคนิค กับฝ่ายกฎหมายเพราะมีผู้ร้องไป..เรื่องจะไปก็ต้องหยุด..

แต่คนเสียเส้นก็ประชาชนคนไทยทั้งหลายทั้งมวล..เพราะที่ถือในมือเวลานี้ 3จีถือว่าล้าสมัย.. ทั้ง บีบี ทั้ง ไอโฟน ไอแพด..มันรับรอง 4จี..แต่ประเทศนี้มันยังคลานเต่าอยู่ที่ 2 กว่าๆ

ถ้าเป็นหัวรถจักรรถไฟ ก็ประมาณว่า ยังใช้ไม้ฟืนต้มน้ำ

ถ้าเป็นเครื่องบินก็แค่กังหันไอพ่น

ถ้าเป็นรถยนต์ก็ยังอยู่ในยุคเกียร์กระปุก

มันก็เรื่องต่างคนต่างทำกันคนละหน้าที่..แต่ มันต้องไม่ต่างกันที่ความรับผิดชอบต่อประเทศต่อ ประชาชนประเทศช้าไปมากแล้ว..ประชาชนสูญเสียโอกาส ประชาชาติสูญเสียการแข่งขัน

ประเทศจีนจะไม่มีวันนี้..วันที่กำลังจะเป็นหมายเลข 1 ของโลกในทางเศรษฐกิจ..หากว่าจีนใช้รถบดไล่ทับผลิตผลไร้ลิขสิทธิ์..และปิดประตูโรงงานผลิตของเลียนแบบ..ญี่ปุ่นก็จะไม่มีวันนี้เช่นกัน..หากเมื่อ 30 ปีก่อนหน้า..เขาไม่ลอกแบบผลิตผลฝรั่ง

สงสารแต่ประเทศเลี้ยงควาย..มันยังยากจนอยู่ใต้เงาเรือปืนฝรั่ง

ที่มา.สยามธุรกิจ
***************************************************

ความงาม ท่ามกลางยุคสมัยที่ขัดแย้งวุ่นวาย

Creative City ได้กลายเป็นปัจจัยสำคัญของการพัฒนาเศรษฐกิจสร้างสรรค์ โดยเฉพาะการสร้างบรรยากาศที่มีเสน่ห์สีสันในการดึงดูด Creative Talent จากทุกซอกมุมโลกให้มาร่วมผลิตสินค้าที่เปล่งประกายเรืองรอง และนำไปสู่การสร้างความมั่งคั่งให้กับประเทศชาติในท้ายที่สุด


ท่ามกลางการแข่งขันที่ดุเดือดในการพัฒนา Creative City ของประเทศชั้นนำทั้งหลาย ก็ยังไม่มีข้อสรุปที่ลงตัวถึงปัจจัยในการสร้างสรรค์เมืองให้เปี่ยมล้นด้วยแรงบันดาลใจ อย่างไรก็ตาม ในประวัติศาสตร์นับพันปีของมวลมนุษยชาติ ได้ปรากฎต้นแบบแห่งเมืองสร้างสรรค์ซึ่งเป็นที่กล่าวขวัญถึงแม้เวลาจะเนิ่นนานมาหลายรอบปีแล้วก็ตาม กาลเวลาที่ยาวไกลได้ช่วยคัดกรองและพิสูจน์ให้เราสามารถสรุปบทเรียนในการเจริญรอยตามได้อย่างมั่นใจ

Athens (500-400 ปีก่อนคริสต์กาล) มหานครแรกที่โลกต้องจดจำในฐานะมารดาแห่งการสร้างสรรค์ เริ่มจากการพัฒนาวิชาปรัชญา ที่ช่วยให้มนุษย์รู้จักจัดระเบียบประสบการณ์แห่งการลองผิดลองถูกให้กลายเป็นหลักทฤษฎีทั่วไปที่สามารถทดลองซ้ำและนำไปประยุกต์ต่อยอดได้อย่างชาญฉลาด เมื่อมนุษย์

สามารถอธิบายโลกด้วยตรรกะเหตุผลของตนเอง ก็ย่อมมีความมั่นใจที่จะพัฒนาอารยธรรมยิ่งใหญ่ด้วยพลังแห่งการสร้างสรรค์ของมนุษย์ แทนที่จะปล่อยชีวิตให้ล่องลอยไปตามสายลมแห่งโชคชะตา
ศิลปะกรีกมีความโดดเด่นที่แตกต่างจากอารยธรรมเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะผลงานรูปปั้นที่เน้นสัดส่วนร่างกายที่สมบูรณ์แบบ มีความหนุ่มแน่นกระชุ่มกระชวยในทุกอณูสัมผัส ความงามแบบกรีกคือ ความเป็นมนุษย์ที่เจิดจ้าและมั่นใจ

ความยิ่งใหญ่ของเมืองเอเธนส์ ไม่ได้มาจากกรรมพันธุ์ที่พิเศษเหนือธรรมดา แต่เกิดจากบริบทแวดล้อมที่เหมาะสม นั่นคือ การเปลี่ยนผ่านจากยุคสมัยของสังคมเกษตรกรรมไปสู่สังคมการค้า ในท่ามกลางความขัดแย้งของผู้คนและแนวคิด ได้กลายเป็นวัตถุดิบชั้นดีให้กับศิลปินในการเนรมิตผลงาน

แน่นอนว่า ย่อมไม่ใช่ทุกเมืองที่มีความขัดแย้งจะสามารถแปรเปลี่ยนไปสู่การผลิตศิลปะสร้างสรรค์ได้เช่นเดียวกัน ความยิ่งใหญ่ของเอเธนส์ยังเกิดจากการเปิดกว้างต่อชาวต่างชาติที่เข้ามาพำนักพักพิงและร่วมทำงานสร้างสรรค์ เอเธนส์ได้อาศัยความแตกต่างหลากหลายทางวัฒนธรรมมาเป็นส่วนผสมที่เข้มข้นในการผลักดันตนเองไปสู่ความรุ่งเรืองของยุคสมัย “คลาสสิค(Classic)” ที่โลกต้องจารึกจดจำ

Paris (ค.ศ. 1870-1910) ในปัจจุบันอาจได้รับการยกย่องให้เป็น “เมืองหลวง” แห่งวัฒนธรรมโลก อย่างไรก็ตาม ยุคสมัยที่ยิ่งใหญ่ของปารีสที่นับเป็นการปฏิวัติวงการศิลปะคือ ช่วงเวลาแห่งปลายศตวรรษที่ 19 ซึ่งศิลปินระดับโลกได้มารวมตัวกันเป็นเครือข่ายสร้างสรรค์ (Creative Network) ที่แต่ละคนต่างทุ่มเทเวลาในการผลิต วิจารณ์ ขัดเกลา และต่อยอดความรู้ซึ่งกันและกัน โดยเฉพาะเหล่าศิลปินหนุ่มแห่งลัทธิอิมเพรสชั่นนิสม์ (Impressionism) ซึ่งแนวคิดที่กล้าหาญและปฏิวัติวงการศิลปะเช่นนี้ยังไม่ได้รับการยอมรับจากสังคมในยุคสมัยนั้น หากทว่าพวกเขายังคงมีกำลังใจอันเด็ดเดี่ยวในการเผชิญความยากลำบากก็เพราะมีเครือข่ายศิลปินที่คอยปลอบประโลมและให้กำลังใจซึ่งกันและกัน

บทเรียนจากปารีสในช่วงรอยต่อที่สร้างสรรค์แห่งปลายศตวรรษที่ 19 ก็คือ เครือข่ายสร้างสรรค์ของเหล่าศิลปิน (Creative Network) แน่นอนว่า การรวมตัวของศิลปินในเมืองที่ค่าครองชีพแสนแพงอย่างปารีสนั้น คงไม่ใช่เรื่องบังเอิญอย่างแน่นอน แต่เป็นเพราะรากฐานในเชิงศิลปะและวัฒนธรรมที่สะสมกันมาอย่างยาวนาน โดยเฉพาะสถาบันทางศิลปะที่เริ่มตั้งต้นในสมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 (ค.ศ. 1638-1715) ยังไม่นับพิพิธภัณฑ์ลูฟร์ซึ่งเป็นแหล่งสะสมผลงานศิลปะที่หลากหลายและรุ่มรวยที่สุดในโลก แต่ที่จะลืมไปไม่ได้ก็คือ ผู้อุปถัมภ์ศิลปะ (Patronage) ซึ่งจากการสะสมวัฒนธรรมทางศิลปะมาหลายร้อยปี ย่อมทำให้ปารีสมีระบบตลาดซื้อขายงานศิลปะที่แข็งแกร่ง ซึ่งดึงดูดทั้งผู้ชื่นชอบศิลปะเพราะใจรัก รวมทั้งนักลงทุนและนักเก็งกำไรที่เข้ามาหาประโยชน์จากตลาดงานศิลปะอันคึกคักรุ่มรวยนี้

Berlin (ค.ศ. 1918-1933) นี่คือ เยอรมันที่เจ็บปวดบอบช้ำจากสงครามโลกครั้งที่ 1 แต่ก็เช่นเดียวกับเมืองสร้างสรรค์ระดับตำนานอย่าง Athens ที่ความขัดแย้งและสงครามไม่ได้ฉุดรั้งมนุษย์ออกจากการสร้างสรรค์ ความวุ่นวายของกรุงเบอร์ลินได้เป็นวัตถุดิบชั้นดีให้กับนวนิยายเชิงการเมืองในโรงละคร(Theater) ที่กำลังเบ่งบานด้วยความหอมหวานแห่งเสรีภาพ ขณะที่หนังสือพิมพ์และนิตยสารวิจารณ์ศิลปะได้แข่งขันกันยกระดับรสนิยมของประชาชน จนกระทั่งศิลปะแนว Expressionism และอีกหลายหลายสกุลได้เบ่งบานเริงร่าในห้วงเวลาแห่งเสรีภาพที่สร้างสรรค์นี้

Berlin นับเป็นต้นแบบยิ่งใหญ่ให้กับเมืองสร้างสรรค์ในศตวรรษที่ 20 แต่ขณะเดียวกันแนวคิดสุดขั้ว (Extreme) ที่ไม่ยอมประนีประนอมระหว่างรูปแบบสังคมเก่ากับสังคมใหม่ที่เสรีชนทั้งหลายปรารถนา ก็ได้เป็นเชื้อไฟชั้นดีให้กับระบอบเผด็จการนาซีที่น่าสะพรึงกลัว ได้ฉวยโอกาสเข้ามาระงับความขัดแย้งวุ่นวายที่เกิดขึ้นจากความรุ่มรวยด้วยเสรีภาพของประชาชน

แน่นอนว่า ห้วงเวลา 15 ปีแห่งความสร้างสรรค์ของ Berlin ก็เป็นมรดกทางวัฒนธรรมและภูมิปัญญาที่ช่วยให้เยอรมันฟื้นตัวอย่างรวดเร็วในช่วงหลังการล่มสลายของนาซีที่พ่ายแพ้สงครามโลกครั้งที่ 2 แต่กระนั้น ต้นทุนของชีวิตและอารยธรรมที่สูญเสียไปในสมัยนาซีเรืองอำนาจก็เจ็บปวดและรุนแรงเกินไป
แน่นอนว่า ยังมีเมืองสร้างสรรค์ที่โดดเด่นและเป็นที่กล่าวขวัญถึงในประวัติศาสตร์อารยธรรมโลกอีกหลายแห่ง แต่กระนั้น กรณีศึกษาทั้ง 3 เมืองที่กล่าวถึงข้างต้นก็มีบทเรียนที่น่าสนใจซึ่งน่าจะนำมาเป็นต้นแบบให้กับการพัฒนา Creative City ในประเทศไทยได้ดังนี้

1. ความขัดแย้งที่สร้างสรรค์
ความวุ่นวายย่อมไม่เป็นที่พึงปรารถนาในทุกสังคม แต่ประวัติศาสตร์โลกที่ผ่านมา ก็ยังไม่เคยมีสังคมใดที่ปราศจากความขัดแย้ง และที่น่าแปลกใจก็คือ ยุคสมัยที่ยิ่งใหญ่ทั้งหลายนั้น มักจะเต็มไปด้วยความสับสนขัดแย้ง ดังนั้น เราจึงไม่ควรหวาดกลัวความขัดแย้งมากเกินไป จนลืมมองไปถึงพลังสร้างสรรค์ที่แฝงอยู่ในความขัดแย้งนั้น

บางทีการเรียนรู้ที่จะดำรงอยู่ร่วมกับความขัดแย้งอย่างมีความสุข กระทั่งแปรความขัดแย้งเป็นวัตถุดิบและแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์ ก็อาจช่วยทำให้ประเทศไทยพลิกฟื้นจากวิกฤตครั้งใหญ่นี้ได้

2. ศิลปะในการทำงานร่วมกับ “ผู้คนที่แตกต่างหลากหลาย”
Athens มีประวัติศาสตร์ยาวนานหลายร้อยปี แต่ช่วงเวลาที่สร้างสรรค์ที่สุดมีเพียง 100 ปีเท่านั้น โดยเฉพาะเมื่อสังคมในห้วงเวลานั้นได้เปิดกว้างต่อการอพยพของคนต่างชาติเข้ามาทำงานอย่างที่ไม่เคยปรากฎมาก่อน

แน่นอนว่า เมืองไทยนั้นเปิดกว้างต่อชาวต่างชาติ แต่โดยส่วนใหญ่จะเป็นนักท่องเที่ยว ดังนั้น หากต้องการที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจสร้างสรรค์ไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืนแล้ว ก็ควรที่จะวางยุทธศาสตร์ที่เฉียบแหลมในการดึงดูด Creative Talent จากทั่วทุกมุมโลกมาร่วมกันสร้างสรรค์ผลงานอย่างเข้มข้นจริงจัง
ยิ่งกว่านั้น ความแตกต่างทางวัฒนธรรมระหว่างเมืองและชนบทไทย ก็อาจเป็นวัตถุดิบแห่งการสร้างสรรค์ได้เช่นเดียวกัน โดยเฉพาะเมื่อเหตุการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองได้นำพาชาวชนบทให้มาพบกับชาวกรุงในจุดศูนย์กลางของประเทศ ซึ่งหากประยุกต์ใช้อย่างชาญฉลาดก็ย่อมนำพาไปสู่จุดเริ่มต้นแห่งการสร้างสรรค์ร่วมกันท่ามกลางความหลากหลายทางวัฒนธรรม

3. เครือข่ายสร้างสรรค์ (Creative Network)
Paris เป็นเมืองที่ดึงดูดศิลปินจากทั่วโลกได้ ก็เนื่องจากมีตลาดซื้อขายผลงานศิลปะที่แข็งแกร่ง อย่างไรก็ตาม การสร้างสรรค์ผลงานที่มีคุณภาพเพียงพอจะกระตุ้นความสนใจของตลาดศิลปะได้นั้น ก็ย่อมต้องใช้เวลานับสิบปี ดังนั้น แรงจูงใจในการสร้างสรรค์ของศิลปินจึงไม่ได้ขึ้นอยู่กับเงินทองและความมั่งคั่งเพียงอย่างเดียว หากแต่ยังหล่อเลี้ยงด้วยกำลังใจ การวิจารณ์ถกเถียง และการขัดเกลาผลงานระหว่างผู้คนในเครือข่ายสร้างสรรค์ (Creative Network)

ประเทศไทยอาจไม่มีตลาดศิลปะที่เข้มแข็งเท่าปารีส แต่กระนั้น รัฐบาลก็สามารถสนับสนุนเครือข่ายสร้างสรรค์ (Creative Network) เพื่อคอยเป็นพี่เลี้ยงและประคับประคองศิลปินรุ่นใหม่ให้มีกำลังใจและความช่วยเหลือเพียงพอที่จะออกเดินทางตามความฝันได้ยาวนานเพียงพอกระทั่งค้นพบความสำเร็จ

4. สมดุลแห่งความขัดแย้ง
เราไม่อาจปฏิเสธได้ว่า “ความขัดแย้ง” เป็นวัตถุดิบชั้นเลิศแห่งการสร้างสรรค์ แต่กระนั้น ความขัดแย้งที่ดีจะต้องอยู่บนรากฐานแห่งความเป็นจริงของสังคม ไม่ใช่ขัดแย้งเพื่อขัดแย้ง ขัดแย้งเพื่อให้ได้ชื่อว่ามีเสรีภาพ เพราะสุดท้ายแล้วความขัดแย้งที่มากเกินพอดีและไม่อยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริง ก็อาจนำไปสู่จุดจบแบบนครเบอร์ลินที่ได้พัฒนาความขัดแย้งที่สร้างสรรค์ไปถึงจุดที่กลายเป็นความขัดแย้งเพื่อขัดแย้ง และเปิดโอกาสให้เผด็จการนาซีได้เข้ามาครอบงำสังคม

ที่น่าสนใจก็คือ ยุคทองแห่งการสร้างสรรค์ที่ถูกกล่าวขวัญและชื่นชมมากที่สุดในประวัติศาสตร์อารยธรรมมนุษย์ นั่นคือ Athens และ Florence (ค.ศ. 1400-1500) ล้วนแต่เป็นยุคที่สามารถรักษาสมดุลระหว่างความขัดแย้งที่รุนแรงได้อย่างงดงาม อย่างน้อยก็ภายในช่วงยุคทองนั้น

ศิลปินแห่งปารีสอาจเป็นกลุ่มที่เข้าใจกลเม็ดในการแปรเปลี่ยนความขัดแย้งให้เป็นวัตถุดิบในการสร้างสรรค์ได้ดีที่สุด โดยเฉพาะเมื่อผลงานของศิลปิน Impressionism และ Cubism ได้ปฏิวัติความรับรู้และโลกทัศน์ของผู้คนในยุคนั้นอย่างรุนแรง แต่กลุ่มศิลปินที่ยิ่งใหญ่เหล่านี้ก็ตระหนักได้ดีถึงขอบเขตของศิลปะที่แม้จะหยิบยืมวัตถุดิบจากความขัดแย้งในสังคมและการเมือง แต่ก็ไม่ใช่หน้าที่ของศิลปินที่จะเข้าไปเกี่ยวข้องอย่างเต็มตัวในสาขาที่ตนเองไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญ

ความยิ่งใหญ่ของศิลปิน ก็คือ การปล่อยให้ผลงานอันยิ่งใหญ่ของเขา ได้ปฏิวัติความรับรู้ของยุคสมัย และเป็นแรงบันดาลใจให้กับผู้คนในหลากหลายความเชื่อได้ตีความผลงานไปตามความนึกฝันส่วนตัว นี่คือ มนต์เสน่ห์ของศิลปินและเมืองสร้างสรรค์ที่ได้เปิด “ที่ว่าง” เพื่อทุกคน
ที่มา creativethailand
…………………………..

พบปมใหม่‘สมคิด’กมธ.ชี้ไม่เข้าเกณฑ์พ.ร.บ.ล้างมลทิน

จาก.หนังสือพิมพ์ โลกวันนี้

คณะกรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรม และสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร เรียกตัวแทนสำนักงานตำรวจแห่งชาติและกฤษฎีกาเข้าชี้แจงหลักเกณฑ์ พ.ร.บ.ล้างมลทิน พบ “สมคิด” อาจไม่เข้าข่ายได้รับการยกเว้นโทษ เพราะกฎหมายกำหนดชัดผู้ที่ได้รับการยกเว้นโทษต้องถูกคำสั่งให้เป็นผู้มีความผิด หรือถูกสั่งลงโทษมาก่อน แต่ไม่พบหลักฐานยืนยัน “สมคิด” ถูกสั่งลงโทษแล้วหรือไม่ ชี้หากยังไม่เคยรับโทษต้องถูกตั้งกรรมการสอบเอาผิดทางวินัย เพราะถูกฟ้องร้องเป็นผู้ต้องหาในชั้นศาลแล้ว “สุเทพ” ชี้แจงเคยถูกตั้งกรรมการสอบแล้วแต่ไม่มีโทษ เพราะไม่มีหลักฐานเอาผิด ยันเข้าเกณฑ์ พ.ร.บ.ล้างมลทิน ประชุม ก.ตร. 24 ก.ย. นี้ เล็งหาตำแหน่งระดับผู้บัญชาการให้นั่ง ผบ.ตร. รับประกันไม่ส่งนั่งตบยุงในตำแหน่งจเรตำรวจหรือผู้บัญชาการประจำแน่นอน

นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะปฏิบัติหน้าที่ประธานคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) กล่าวว่า การประชุม ก.ตร. เพื่อหาตำแหน่งรองรับ พล.ต.ท.สมคิด บุญถนอม ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 (ผบช.ภ.5) ที่ประกาศไม่รับตำแหน่งผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผู้ช่วย ผบ.ตร.) จะพยายามหาข้อยุติให้ได้ในการประชุมวันที่ 24 ก.ย. นี้

หาตำแหน่งผู้บัญชาการให้ “สมคิด”

“หลักการคือตำแหน่งจะลดลงกว่าที่เป็นอยู่ไม่ได้ เพราะท่านเป็น พล.ต.ท. มีตำแหน่งเป็นผู้บัญชาการ ต้องหาตำแหน่งระดับผู้บัญชาการที่ใดที่หนึ่งให้ การพิจารณาของ ก.ตร. อาจรื้อโผใหม่หมด หรือเอาของเก่ามาปรับก็ได้” นายสุเทพกล่าว

ผู้สื่อข่าวถามว่าหากรื้อใหม่อาจมีปัญหาตามมาอีก นายสุเทพกล่าวว่า อาจเลือกวิธีที่ไม่กระทบกับโผเดิมมากนัก เช่น กรณีของ พล.ต.ท.เจตน์ มงคลหัตถี ผบช.สำนักงานกฎหมายและคดี ซึ่งมีอาวุโสในลำดับถัดไป หากขึ้นเป็นผู้ช่วย ผบ.ตร. ตำแหน่งเดิมจะว่างลง พล.ต.ท.สมคิดอาจได้รับการพิจารณาไปอยู่ตรงนั้น

ระดับเดียวกับของเดิมไม่ได้สูงขึ้น

เมื่อถามต่อว่าหากซาอุดีอาระเบียไม่พอใจเพราะเห็นว่าได้ตำแหน่งสูงขึ้นอีกจะทำอย่างไร นายสุเทพกล่าวว่า ไม่ได้สูงขึ้น กรณีนี้เหมือนกับการโยกย้ายผู้ว่าราชการจังหวัดที่ย้ายจากจังหวัดหนึ่งไปอยู่อีกจังหวัดหนึ่งแต่ตำแหน่งเท่าเดิม ส่วนกรณีที่มีข่าวว่าซาอุฯยื่นเงื่อนไขต้องไม่เลื่อนชั้นยศ พล.ต.ท.สมคิดนั้น ยืนยันว่าไม่มีเรื่องนี้

พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ผบ.ตร. กล่าวว่า เมื่อ พล.ต.ท.สมคิดเสียสละเพื่อยุติความขัดแย้งกับซาอุฯ การพิจารณาตำแหน่งใหม่จะไม่ได้ไปอยู่ในตำแหน่งจเรตำรวจหรือผู้บัญชาการประจำแน่นอน ส่วนจะได้อยู่ตำแหน่งไหนนั้นขึ้นอยู่กับการพิจารณาของ ก.ตร.

อุปทูตซาอุฯเข้าฟังหลักเกณฑ์ล้างมลทิน

ด้านนายนาบิล เอช อัชรี อุปทูตซาอุฯประจำประเทศไทย ได้เดินทางไปฟังการชี้แจงประเด็นข้อกฎหมายล้างมลทินกรณีของ พล.ต.ท.สมคิดที่ตัวแทนสำนักงานตำรวจแห่งชาติ คณะกรรมการกฤษฎีกา และกระทรวงการต่างประเทศเข้าชี้แจงต่อคณะกรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรม และสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร

นายอัชรียืนยันต่อที่ประชุมว่า ไม่ได้นำเรื่อง พล.ต.ท.สมคิดมาผูกโยงกับการออกวีซ่าให้คนไทยมุสลิมที่จะเดินทางไปประกอบพิธีฮัจญ์ โดยจะเร่งดำเนินการเรื่องนี้อย่างเต็มที่

“สมคิด” อาจไม่เข้าเกณฑ์ล้างมลทิน

นายประชา ประสพดี ส.ส.สมุทรปราการ พรรคเพื่อไทย ประธานคณะกรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรม และสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร แถลงหลังการประชุมว่า เท่าที่รับฟังคำชี้แจงของผู้เกี่ยวข้องพบว่า พ.ร.บ.ล้างมลทิน พ.ศ. 2545 มาตรา 5 และ 6 ระบุว่าผู้ที่จะเข้าข่ายกรณีนี้ต้องเป็นผู้ถูกกล่าวโทษว่าทำผิดทางวินัย ประเด็นนี้จึงมีปัญหาที่ต้องตั้งคำถามว่า พล.ต.ท.สมคิดมีความผิดทางวินัยหรือยัง มีการสอบเอาผิดทางวินัยหรือยัง หากมีการสอบสวน คณะกรรมการสอบสวนชี้โทษทางวินัยหรือยัง กรณีนี้ยังไม่มีความชัดเจน จึงได้มอบให้ตัวแทนของคณะกรรมการกฤษฎีกาไปช่วยพิจารณาว่าเข้าข่ายหรือไม่ และมอบให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับผลคดีอาญา ผลการสอบวินัย และประวัติการทำงานทั้งหมดของ พล.ต.ท.สมคิดเพื่อนำมาพิจารณาให้ชัดเจนอีกครั้ง

ไม่มีหลักฐานเคยถูกลงโทษมาก่อน

“ขณะนี้ยังไม่มีหลักฐานชี้ชัดว่า พล.ต.ท.สมคิดทำผิด ไม่ถูกไล่ออก ไม่ถูกพักราชการ ตัดเงินเดือนหรือลดขั้นเงินเดือน จึงคิดว่ายังไม่เข้าข่าย พ.ร.บ.ล้างมลทิน อีกทั้งล่าสุดกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) พบหลักฐานใหม่จนมีการส่งฟ้อง พล.ต.ท.สมคิด ถือว่าเป็นการนับหนึ่งใหม่ในคดีอาญาหรือไม่ และจะเข้าเกณฑ์ พ.ร.บ.ล้างมลทินหรือไม่” นายประชากล่าว

“สุเทพ” แจงสอบแล้วไม่พบความผิด

กรณีเดียวกันนี้ นายสุเทพได้ตอบกระทู้ถามของ ส.ส.ฝ่ายค้านในที่ประชุมสภาระบุว่า พล.ต.ท.สมคิดถูกกล่าวหาว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการหายตัวไปของนักธุรกิจชาวซาอุฯเมื่อ 20 กว่าปีที่แล้ว สมัยนั้น พล.ต.ท.สมคิดถูกตั้งข้อหา ซึ่งกรมตำรวจขณะนั้นได้ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาสอบสวน ในที่สุดการสอบสวนทางวินัยไม่สามารถรวบรวมพยานหลักฐานมาดำเนินคดีกับ พล.ต.ท.สมคิดในขณะนั้นได้ อัยการสูงสุดมีคำสั่งไม่ฟ้อง พล.ต.ท.สมคิด ส่วนอธิบดีกรมตำรวจมีคำสั่งยุติการดำเนินการทางวินัย เพราะไม่มีหลักฐานมาประกอบคดี

กฎหมายไม่ให้นำเรื่องเก่ามารื้อฟื้นอีก

ต่อมามี พ.ร.บ.ล้างมลทิน มาตรา 6 ระบุว่า ในบรรดาผู้ถูกดำเนินการทางวินัย หากผู้บังคับบัญชาสั่งยุติเรื่องแล้ว หรือได้รับโทษทางวินัยไปแล้ว ไม่ให้นำเรื่องนั้นมาดำเนินการทางวินัยอีก กรณีของ พล.ต.ท.สมคิดในขณะนี้แม้ว่าดีเอสไอจะสอบสวนสรุปสำนวนส่งอัยการและสั่งฟ้องคดีอยู่ในการพิจารณาของศาล แต่สำนักงานตำรวจแห่งชาติไม่สามารถดำเนินการกับ พล.ต.ท.สมคิดได้ เพราะกฎหมายระบุไว้ชัดเจน ซึ่งเรื่องทั้งหมดมีเอกสารหลักฐานแสดงให้เห็นชัดเจนว่า ก.ตร. และสำนักงานตำรวจแห่งชาติดำเนินการทุกอย่างตามขั้นตอนครบถ้วนแล้ว

**********************************************************************

วันเสาร์ที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2553

ทูตขั้นเทพ...ไม่รับประทาน!

ตลอดห้วงการบริหารประเทศของ “รัฐบาลเทพประทาน” ภายใต้การนำของ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ดูเหมือนว่า รัฐบาลชุดนี้จะกระหยิ่มยิ้มย่องกับผลงาน ชิ้นโบแดงของกระทรวงการ ต่างประเทศเป็นยิ่งนัก แต่ในความภาคภูมิใจนักภูมิใจหนาในผลงานกระทรวงบัวแก้ว

ความเป็นจริงนั้น มันได้สร้างปรากฏการณ์หัวกลับ ผูกโบดำทางการทูตของไทย อย่างไม่เคยปรากฏในรัฐบาลชุดใดมาก่อน นับตั้งแต่บ้านเมืองนี้ประทับตรารับรองตัวเองในฐานะชาติ ผู้เจริญแล้ว

ปฏิบัติการไล่ล่า “พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรี ภายใต้บัญชาของ “กษิต ภิรมย์” เจ้ากระทรวงบัวแก้ว แม้จะยังไม่สามารถจับให้มั่น คั้นให้ตาย แต่นักโทษหนีคดีอาญา ผู้นี้ก็แทบเข้าตาจนบนมิติโลกกว้างทางแคบที่กำลังเผชิญอยู่เท่าทุกวันนี้

ชูมือตบ ตีนตบ กราวใหญ่ให้กับผลงาน การไล่ล่า แต่พอเหลียวหลังกลับมา พับผ่า ผลผลิต คอร์รัปชั่น ถ่ายเอกสาร “ระบอบทักษิณ” เบ่งบาน เต็มบ้านเต็มเมือง

งานบ้าน งานเมือง ที่ควรจะทำกลับไม่ยอม ทำ วันๆ เอาแต่เล่นเอาล่อเอาเถิดเปิดสงครามน้ำลายกับเขมรเจ้าเล่ห์อย่าง “ฮุนเซน” ส่งผลให้ประชาชนเริ่มเอือมระอา แนวร่วมหัวกลับ แดง-เหลือง รุมสหบาทารัฐบาลโดยไม่ได้นัดหมาย

ส่วนที่ไปบ้าจี้แลกหมัดกับเขมร บวก ลบ คูณ หาร ในยามสงครามน้ำลายสงบ “นายกฯ อภิสิทธิ์” โดนชั้นเชิงทางการทูตของ “ฮุนเซน” ตีกินจนแทบไม่เหลือหล่อ คนที่ซวยก็เป็นประชาชนชาวไทย ชาวเขมร ที่ริมขอบ ต้องตกอยู่ในอาการประหวั่นพรั่นพรึงทุกครั้งใน ยามท่านผู้นำพ่นน้ำลาย

และแล้วสัมพันธ์ไทย-เขมร ก็เป็นไป อย่างทุลักทุเล!!!พักรบ “ฮุนเซน” ก็ถึงคิว “วิคเตอร์ บูท” งานนี้ “วอลล์เปเปอร์” สวมบทล็อบบี้ยิสต์เดินเข้าออกคุก โดยไม่ยำเกรงต่ออาชญากร โชว์สายล่อฟ้าล่อเป้าทีมงานเชลียร์ “นายใหญ่” เดินเข้าคุก จับเข่าคุยพ่อค้าความตาย จนเรื่องราวบานปลายถึงขั้นพญา อินทรีและพญาหมี เกิดอาการ โกรธกริ้ว

จับประเทศไทยตรึงไว้ตรงกลางระหว่างเขาควาย ขยับเขยื้อนอะไรไม่ได้ เหตุด้วย 2 มหาอำนาจตั้งท่าไล่ขย้ำ หาก 2 มาตรฐานทำให้ไม่ปลื้มมีหวังงอมพระรามเป็นแน่แท้ สุดท้ายเรื่องคาราคาซัง “วิคเตอร์ บูท” อยู่โยงกินข้าวแดงในคุกไทยต่อไป บนความหวาดระแวง ของ 2 ชาติมหาอำนาจที่มีให้ไทย

ประติมากรรมสีเทาชิ้นล่าสุดฉบับเทพประทาน นั่นคือการปูนบำเหน็จเลื่อนขั้น “พล.ต.ท.สมคิด บุญถนอม” นั่งแท่น ผู้ช่วย ผบ.ตร. บนความอิดแหนงแคลงใจของรัฐบาล ซาอุดีอาระเบีย เหตุของเหตุคือนายตำรวจใหญ่ท่านนี้ดันมีชื่อไปพัวพัน กับคดีอุ้มฆ่า “อัล รูไวรี่” นักธุรกิจชาวซาอุฯ

ส่งผลให้ “นาบิล อัล อัชลี่” อุปทูตซาอุดีอาระเบีย ออกแถลงการณ์แสดงความ ไม่พอใจถึง 3 ฉบับติดๆ ในเวลาใกล้เคียงกัน หากจำกันได้ก็คงทราบกันดีว่า ก็เป็น “รัฐบาลเทพประทาน” นี่แหละที่รื้อคดีนี้ขึ้นมา และหากรีรันกลับไปในอดีต จะพบว่า ทุกครั้งที่มี การโหมโรงเกี่ยวกับการรื้อฟื้นคดี ชื่อของ “พล.ต.ท.สมคิด บุญถนอม” จะถูกทางรัฐบาล ซาอุดีอาระเบียกล่าวขวัญถึงอย่างจดจ่อ

งานนี้ “เทพประทาน” เขี่ยลูกเล่นเอง แต่ทำไปทำมากลับเตะลูกบอลเข้าประตูตัวเอง ซะงั้น สรุปคือ “รัฐบาลเขียนด้วยมือ แต่กลับลบด้วยเท้า”

สุดท้ายเรื่องจะไปจบลงตรงที่ไหน คงต้องรอวันที่ “สุเทพ เทือกสุบรรณ” รองนายกฯ จะให้คำตอบกับอุปทูตซาอุดีอาระเบีย แต่ระหว่างรอมันก็ได้นำพามาซึ่งสารพัดแห่ง ความหวาดระแวง

แน่นอนหากผลสรุปสุดท้ายออกมาในทางที่ไม่เป็นคุณ ที่กระทบแน่ๆ 5 ข้อคงไม่พ้น 1.ธุรกิจอาหารฮาลาล 2.ธุรกิจการค้าระหว่าง ประเทศ 3.ธุรกิจทางด้านพลังงาน น้ำมัน 4. ธุรกิจทางด้านแรงงานในตะวันออกกลาง และ 5.มุสลิมไทยที่ประสงค์เดินทางไปประกอบพิธีฮัจญ์

แถมล่าสุด 8 องค์กรอิสลาม ก็รวมตัวกดดันรัฐบาลให้รีบสางปัญหานี้โดยด่วน ส่วนรัฐบาลซาอุฯ ก็ประกาศถอนวีซ่ามุสลิมไทยที่จะเดินทางไปประกอบพิธีฮัจญ์ล็อจแรกแล้ว 400 คน และมีแนวโน้มว่า หากไม่มีความคืบหน้าจะมีการถอนวีซ่าสูงถึง 15,000 คน

หากรัฐบาลยังคงเพิกเฉย อาจบังเกิดการชุมนุมในรูปแบบใหม่ท้าทาย พ.ร.ก. ฉุกเฉินฯ ก็อาจจะเป็นได้ นี่แหละหนาผลงานที่ภูมิใจกันหนักหนา ผ่านการดำเนินงานของกระทรวงการต่างประเทศยุคนี้

อนิจจา “เทพประทาน” โชว์โบดำการทูตขั้นเทพ แต่...ไม่รับประทาน!!!

ที่มา.สยามธุรกิจ
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ดร.โกร่งดับเครื่องชน "ธปท.-ปธ.แบงก์ชาติ-รมว.คลัง" แก้บาทแข็งเวอร์ชั่นคนเดินตรอก เตือนระวังพัง


ที่มา. ประชาชาติธุรกิจออนไลน์

"ดร.โกร่ง" คนเดินตรอกออกโรงฉะแบงก์ชาติผ่านคอลัมน์"คนเดินตรอก" จวกยับผู้บริหารแบงก์ชาติตั้งแต่ผู้ว่าการฯยันประธานธปท. รมว.คลัง กระทั่งรมว.พาณิชย์ พูดได้ไงบาทแข็งไม่กระทบส่งออก-เศรษฐกิจของประเทศ ทั้งๆที่ภาคเอกชนร้องกันเซ็งแซ่ ทั้งสภาอุตฯ สภาหอการค้าฯ อัดคนแบงก์ชาติไม่รู้ศก.ไทยทั้งที่มีคนจบดอกเตอร์ด้านเศรษฐศาสตร์นั่งตบยุงเต็มไปหมด แนะให้พูดน้อยๆหน่อย ย้ำถ้าไม่อยากให้บาทแข็งต้องลดดอกเบี้ยนโยบายลง เตือนรัฐบาลอาจจะพังเพราะปัญหาบาทแข็ง

ค่าเงินบาทแข็งเร็วเกินไปอีกแล้วคนเดินตรอก
โดย...วีรพงษ์ รามางกูร
 
ขณะนี้ในวงการธุรกิจต่างก็หวาดผวากับค่าเงินบาทที่จะ แข็งขึ้นเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐและเงินตราสกุลอื่น ๆ ในทวีปเอเชียเกือบทั้งหมด รวมทั้งประเทศจีน ซึ่งนับวันจะยิ่งเป็นคู่ค้าที่สำคัญของประเทศไทยเราเพิ่มขึ้น
 
ในขณะที่เอกชนไม่ว่าจะเป็นสภาหอการค้าก็ดี สภาอุตสาหกรรมก็ดี สื่อมวลชนก็ดี ออกมาส่งเสียงเซ็งแซ่กันไปทั่วว่า ค่าเงินบาทที่แข็งค่านี้จะเป็นการทำลายความสามารถในการแข่งขันของประเทศเรา แต่ผู้ว่าการ ธปท.ก็ดี ประธานคณะกรรมการ ธปท.ก็ดี ออกมาพูดได้อย่างไรก็ไม่ทราบว่า เงินบาทที่แข็งขึ้นไม่กระทบการส่งออก ไม่กระทบกับการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ทั้งรัฐมนตรีคลังและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ก็เป็นไปกับเขาด้วย ออกมาแก้ต่างให้ ธปท.ถ้า ธปท.ออกมาพูดฝ่ายเดียวก็พอเข้าใจ เพราะ ธปท.ไม่เคยเข้าใจและไม่สนใจความรุนแรงของการแข็งค่าของเงินต่อการ ส่งออก และการขยายตัวทางเศรษฐกิจ สื่อมวลชนของเราก็ไม่เคยเข้าใจ คอยแต่เอาอกเอาใจ ธปท. เพื่อจะได้ข่าวจากผู้ใหญ่ใน ธปท.
 
ค่าเงินบาทที่แข็งขึ้นย่อมมีผลกระทบ ต่อการส่งออก การส่งออกย่อมกระทบต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจและอัตราเงินเฟ้อ หลายคนเข้าใจว่าเมื่อค่าเงินบาทแข็งขึ้นก็ย่อมทำให้ต้นทุนของอุตสาหกรรมที่ต้องนำเข้าวัตถุดิบ ชิ้นส่วนต่าง ๆ ถูกลง แต่ไม่พูดว่าผู้ส่งออกที่ขายของเป็นเงินดอลลาร์ เมื่อนำเงินมาแลกเป็นเงินบาทก็ได้เงินบาทน้อยลงเป็นเปอร์เซ็นต์มากกว่าการลดลงของวัตถุดิบ ชิ้นส่วนต่าง ๆ เสมอไม่ว่าจะใช้วัตถุดิบ ชิ้นส่วนเป็นกี่เปอร์เซ็นต์ของต้นทุนทั้งหมดก็ตาม ยิ่งมีต้นทุนจากการนำเข้าน้อย เช่น สินค้าเกษตรและอาหาร ก็ยิ่งถูกกระทบมาก
 
ยกตัวอย่างบริษัทแห่งหนึ่งนำเข้าชิ้นส่วนวัตถุดิบเกือบทั้งหมด ณ อัตราแลกเปลี่ยน 33 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ มูลค่าของการนำเข้าที่เป็นวัตถุดิบชิ้นส่วน คิดเป็นเงินบาทได้ 950 บาท เสียค่าขนส่ง ค่าจ้างเงินเดือน ค่าเช่า ค่าไฟ ค่าน้ำ รวมเฉลี่ย   ต่อหน่วย 5 บาท ขายออกไปได้ 1,000 บาทต่อหน่วย กำไร 5 บาท หรือครึ่งเปอร์เซ็นต์
ต่อมาอัตราแลกเปลี่ยนเปลี่ยนจาก  33 บาท มาเป็น 30 บาท หรือประมาณ 9 เปอร์เซ็นต์ ต้นทุนที่นำเข้าก็จะลดลง 9 เปอร์เซ็นต์ด้วย คือประมาณ 81 บาท ส่วนรายรับเมื่อแตกเป็นเงินบาทจะลดลง 9 เปอร์เซ็นต์ด้วย กล่าวคือ ลดลง      ประมาณ 90 บาท ต้นทุนลดลง 81 บาท แต่รายได้หายไป 90 บาท จากที่เคยกำไร 5 บาท ต่อชิ้น กลายเป็นขาดทุน 4 บาท ต่อชิ้น รายได้ที่แตกเป็นเงินบาทใน  อัตราแลกเงินบาทที่แข็งขึ้นย่อมลดลงมากกว่าการลดลงของต้นทุนที่ลดลงเสมอ เพราะไม่มีใครทนขายของที่มีรายได้ต่ำกว่าต้นทุนได้นาน
 
เมื่อจะตั้งราคาขายลอตใหม่ก็ต้องตั้งราคาเพิ่มขึ้น 9 บาท จึงจะกลับมาอยู่ในฐานะเดิม ทำให้ต้องตั้งราคาเพิ่มขึ้น ซึ่งก็จะขายได้ยากขึ้น หรือไม่ก็ต้องลดปริมาณการส่งออกลงในกรณีที่ขึ้นราคาขายไม่ได้ เพราะตลาดมีการแข่งขันสูง ผู้ผลิตเพื่อการส่งออกอาจจะต้องเลิกการส่งออก ผลิตแค่ขายในประเทศก็พอ ทำให้การส่งออกน้อยลงกว่าที่ควรจะเป็น แม้ตัวเลขการส่งออกจะเพิ่มขึ้น แต่เพิ่มขึ้นน้อยกว่าที่ควรจะเป็น ถ้าเงินบาทไม่แข็งขึ้น
 
ถ้าสัดส่วนของการนำเข้าวัตถุดิบ ชิ้นส่วนยิ่งมีเปอร์เซ็นต์ต่ำกว่านี้ เช่น มีเพียง 50 เปอร์เซ็นต์ 15 เปอร์เซ็นต์ หรือน้อยมากในกรณีของสินค้าจากภาคเกษตรหรืออาหาร เช่น หมู ไก่ หรืออาหารสำเร็จรูป หรือที่ต่อเนื่องจากภาคเกษตร ประโยชน์จากการที่ค่าเงินบาทแข็งขึ้นต่อต้นทุนการนำเข้าก็จะยิ่งน้อยกว่ารายรับที่ลดลง เมื่อแลกเป็นเงินบาทมากขึ้นก็จะส่งผลให้ราคาสินค้าเกษตรลดลงเป็นเปอร์เซ็นต์ที่มากกว่าสินค้าที่มีสัดส่วนของการนำเข้าสูงมากขึ้น เช่น สินค้าที่มีสัดส่วนของต้นทุนที่นำเข้ามาจากต่างประเทศเพียง 10 เปอร์เซ็นต์ ต้นทุนจะลดลงเพียงเล็กน้อย แต่รายรับเมื่อแตกเป็นเงินบาทจะลดลงอย่างเต็มที่
 
อัตราแลกเปลี่ยนย่อมกระทบต่อธุรกิจการท่องเที่ยวด้วย เพราะมีการแข่งขันกันดึงนักท่องเที่ยวเข้าประเทศมาก เมื่อเงินบาทแข็งขึ้นบริษัทนำเที่ยวก็ต้องขึ้นราคามิฉะนั้นก็ขาดทุน ทำให้การเข้ามาเที่ยวเมืองไทยมีราคาแพง
 
การกล่าวว่า ไม่กระทบกระเทือนต่อการส่งออกและการขยายตัวของเศรษฐกิจ เพราะประเทศอื่นในภูมิภาคก็มีค่าเงินที่ แข็งขึ้น แต่ดูให้ดี ค่าเงินบาทของเราแข็งขึ้นมากกว่าประเทศอื่น ๆ มาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งจีนและสิงคโปร์
การกล่าวว่า เงินบาทที่แข็งขึ้นไม่กระทบการส่งออก ไม่กระทบต่อชาวไร่ชาวนา จึงเป็นการกล่าวอย่างไม่รับผิดชอบ หรือไม่ก็กล่าวโดยไม่รู้ หรือรู้แต่พูดแก้ตัว ถ้ารู้ก็เป็นการกล่าวเท็จ
 
หนักยิ่งกว่านั้น เคยฟังประธานกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทยและผู้ว่าการ ธปท.พูดว่า จะไม่กำหนดเป้าหมายของอัตราแลกเปลี่ยนแล้วแทรกแซงให้ได้ตามเป้าหมาย แถมย้ำว่า จำไม่ได้หรือปี 2540 เราถูกโจมตีค่าเงินบาทเจ็บแสบ แค่ไหน
 
ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นคำกล่าวของผู้หลักผู้ใหญ่ใน ธปท.เพราะประเทศที่ถูกโจมตีคือประเทศที่ตรึงค่าเงินไว้แข็งกว่าความเป็นจริง ทั้ง ๆ ที่ฐานะทุนสำรองก็ต่ำ ดุลการค้า ดุลบัญชีเดินสะพัดก็ขาดดุล จึงถูกโจมตีให้ค่าเงินอ่อนลง แต่ถ้าค่าเงินควรแข็งและตรึงไว้ให้อ่อน ยังไม่เคยเห็นเงินของประเทศไหนถูกโจมตีให้แข็งขึ้น เพราะถ้าโจมตีก็คือ ขนเงินดอลลาร์มาซื้อเงินบาทแบบหนัก ๆ ผู้หลักผู้ใหญ่ของ ธปท.ยังมีความคิดเหมือนกับเต่าล้านปีที่หงายท้อง  ไม่สามารถปรับตัวปรับความคิด ทั้ง ๆ ที่ฐานะทางการเงินของประเทศไทยเปลี่ยนจากหลังมือเป็นหน้ามือแล้ว ก็ยังไม่ตื่นจากฝันร้ายที่เกิดขึ้นเมื่อปี 2540
สาเหตุสำคัญที่เงินบาทแข็งเร็วมากผิดปกติ ส่วนหนึ่งและเป็นส่วนสำคัญก็เพราะ ธปท.ประกาศขึ้นดอกเบี้ย แถมยังประกาศล่วงหน้าว่าจะขึ้นไปเรื่อย ๆ จนถึงปลายปี ขณะเดียวกันเจ้าของเงินดอลลาร์คือสหรัฐอเมริกาประกาศตรึงดอกเบี้ยไว้  
 
 ไม่ขึ้นดอกเบี้ย จึงเป็นเหตุให้ผลต่างระหว่างดอกเบี้ยเงินบาทกับเงินดอลลาร์ถ่างมากขึ้น ผลตอบแทนต่อเงินบาทสูงขึ้นเมื่อเทียบกับผลตอบแทนต่อการถือเงินดอลลาร์ ฝรั่งจึงขนเงินดอลลาร์มาแตกเป็นเงินบาท แล้วนำมาลงทุนในตลาดพันธบัตร ตลาดหุ้นบ้าง ฝรั่งเลยได้กำไร 3 ต่อ คือ ฝากธนาคารไว้ก็ได้กำไรกว่าอยู่ที่อเมริกา เข้ามาซื้อหุ้น  พอหุ้นขึ้นก็ขายได้กำไร พร้อม ๆ กันค่าเงินบาทก็แข็งขึ้น ยิ่งเข้ามาเงินก็ยิ่งแข็ง ตกลงกำไร 3 เด้ง
 
ประเทศไทยเป็นประเทศเล็ก ตลาดเงินตราต่างประเทศก็เล็ก ตลาดพันธบัตรก็เล็ก ตลาดหุ้นก็เล็ก ฝรั่งนำเงินเข้ามาซื้อ ราคาหุ้นก็ขึ้น ค่าเงินบาทก็ขึ้น เวลาขึ้นเขาก็ขายได้กำไร ได้กำไรไปแล้วก็ไม่ต้องเอาออก ฝากธนาคารในเมืองไทยก็ได้ดอกเบี้ยมากกว่าเมืองนอก
 
วิธีแก้ไขของ ธปท.ก็น่ารัก คือ  ผ่อนผันให้คนไทยนำเงินออกไปลงทุนใน ต่างประเทศได้ แต่คนไทยไม่ได้กินแกลบกินหญ้า ก็รู้เท่า ๆ กับฝรั่ง คือ ฝรั่งขนเงินดอลลาร์เข้าเมืองไทย มาแตกเป็นเงินบาท คนไทยมีเงินบาท ซึ่งมีอนาคตกว่าดอลลาร์ในเรื่องค่าเงิน แล้วคนไทยจะเอาเงินบาท  ไปแตกเป็นดอลลาร์ไปลงทุนในต่างประเทศทำไม นอกจากเอาไปซื้อบ้านราคาถูกในสหรัฐ เราอยากเห็นอย่างนั้นหรือ ซึ่งคงจะเป็นเรื่องเล็กน้อยเมื่อเทียบกับปัญหาของ ผู้ผลิตในเมืองไทยกำลังเผชิญ
 
ขณะเดียวกันผู้คนก็ผวากลัวว่า ธปท.จะออกมาตรการแปลก ๆ อย่างที่เคยทำมาแล้ว เหมือนการออกมาตรการให้สำรองการนำเงินเข้า 30 เปอร์เซ็นต์ในปี 2550 วันเดียวดัชนีราคาหุ้นลดลงกว่า 100 จุด มูลค่าหุ้นในตลาดหลักทรัพย์หรือที่เรานิยมพูดทับศัพท์ว่า ′market cap′ ลดลงกว่าแสนล้านบาท ไม่มีอะไรที่ ธปท.ทำไม่ได้ เพราะความไม่รู้เศรษฐกิจไทย ทั้ง ๆ ที่ มีนักเรียนทุนจบปริญญาเอกทางเศรษฐศาสตร์นั่งตบยุงกันเต็มสำนักงาน เหลือเชื่อจริง ๆ
 
ถ้าไม่อยากให้เงินบาทแข็งเร็วอย่างที่ผ่านมาก็ควรลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายเลิกพูดว่าบัดนี้ดอกเบี้ยเป็นขาขึ้นแล้ว และควรลดอัตราดอกเบี้ยโดยเร็ว เพราะอัตราดอกเบี้ยกับอัตราแลกเปลี่ยนเปรียบเหมือนด้านหัวกับด้านก้อยของเหรียญอันเดียวกัน ขณะเดียวกันก็เอาเงินบาทซึ่ง ธปท. มีไม่จำกัดออกมาซื้อดอลลาร์เข้าใส่เป็นทุนสำรองระหว่างประเทศ ทุนสำรองมีมากขึ้น เงินบาทที่นำออกมาซื้อดอลลาร์ต้องมากพอจนเงินบาทอ่อนลงสู่ระดับที่เป็นเป้าหมายที่ตั้งไว้ในใจ ไม่ต้องบอกใครก็ได้ ค่อย ๆ เคลื่อนไหวก็ได้ แบบจีนเขาทำถ้าเห็นว่าสภาพคล่องในตลาดมากเกินไปก็ออกพันธบัตรของ ธปท.ออกมาดูดซับ กลับคืนไป อย่ากลัวเสียดอกเบี้ยมากทีขึ้นดอกเบี้ยในตลาดซื้อคืนยังไม่เห็นกลัว กลับไปกลัวเงินเฟ้อ ซึ่งเป็นเรื่องอีกนาน เพราะราคาพลังงานก็ไม่น่าจะขึ้นจากความต้องการใช้ เมืองไทยนั้นอัตราเงินเฟ้อขึ้นอยู่กับพลังงานกับอัตราแลกเปลี่ยนเอาเรื่องเฉพาะหน้าระยะสั้นก่อน เพราะนโยบายการเงินเป็นนโยบายระยะสั้นไม่ใช่ระยะยาวอย่างที่ท่านว่าที่ผู้ว่าการเข้าใจ ยิ่งตลาดเงินบาทบ้านเราเป็นตลาดเล็ก ไม่ใช่ตลาดใหญ่อย่างตลาดดอลลาร์ เราต้องเป็นเรือเข็ม ไม่ใช่เรือเอี้ยมจุ๊น  อย่างอเมริกา 
 
อีกอย่างอย่าไปเชื่อไอเอ็มเอฟ หรืออยากได้คำชมเชยจากไอเอ็มเอฟมากนัก  เพราะกรรมการไอเอ็มเอฟที่มีอิทธิพลมาก ที่นั่นเป็นคนที่ธนาคารกลางอเมริกาส่งมา  จุดมุ่งหมายเขาเพื่อประโยชน์ของอเมริกา ไม่ใช่จะมาดูแลผลประโยชน์ของประเทศเรา ผลประโยชน์ของไทยเราก็มีแต่คนไทยเท่านั้นที่จะช่วยกันดูแล
 
ถ้าผู้ใหญ่ใน ธปท.ไม่ค่อยรู้เรื่องเศรษฐกิจมหภาค โดยเฉพาะภาคผลิต  ภาคการส่งออก การขยายตัวทางเศรษฐกิจ พูดน้อย ๆ หน่อยก็จะดี ผู้คนจะได้ไม่รู้ว่า ธปท.ไม่ค่อยรู้เรื่องทางภาคเศรษฐกิจที่ แท้จริงมากนัก
ภาคธุรกิจทั้งส่งออกและผลิตชิ้นส่วน ส่งให้โรงงานผู้ส่งออกที่ทำงานมาทั้งปีเจอฝรั่งมาโยกตลาด 2-3 ที โดย ธปท.ช่วยพูดให้ท้ายด้วยความไร้เดียงสา ฝรั่งเอาไปกินหมด พวกเราทำงานฟรี    แถมขาดทุนด้วย แล้วยังถูก ธปท.พูดให้ช้ำใจอีก
เมื่อจะเปลี่ยนผู้ว่าการ ทีแรกก็ดีใจแต่พออ่านที่ว่าที่ผู้ว่าการให้สัมภาษณ์ก็ดี  ฟังดูวิสัยทัศน์ก็ดี ดูจะหนักกว่าเก่าในความไม่เข้าใจเศรษฐกิจของไทย วิกฤตการณ์ทางการเงินที่ผ่านมา ธปท.เป็นผู้ทำให้เกิดขึ้นทั้งสิ้น ไม่เคยเกิดขึ้นเพราะวินัยทางการคลังในความรับผิดชอบของกระทรวงการคลังเลย
 
ภาระการชำระหนี้ในประเทศที่เป็น ภาระแก่ผู้เสียภาษีและงบประมาณแผ่นดินก็เป็นหนี้ที่เกิดขึ้นจากกองทุนฟื้นฟู  และพัฒนาสถาบันการเงินในความดูแล ของ ธปท.เป็นส่วนใหญ่ กระทรวงการคลังต้องตั้งงบประมาณจ่ายดอกเบี้ยให้ถึงปีละ 50,000 ล้านบาท ธปท.ซึ่งสัญญาว่าจะจ่ายเงินต้นก็ไม่เคยผ่อนจ่ายหนี้กว่า 2.2 ล้านล้านบาทนี้เลย
 
สื่อมวลชนก็ลำเอียง ธปท.พูดอะไรเชื่อหมด ไม่มีความรู้พอที่จะวิเคราะห์ว่าอะไรถูก อะไรผิด แถมรัฐบาล พลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ ยังออกกฎหมายให้ ธปท.เป็นอิสระเต็มที่ ปราศจากการถ่วงดุลจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเลย ด้วยเหตุผลเดียว ไม่ไว้ใจนักการเมือง แต่ไว้ใจสถาบันที่เคยสร้างความพินาศให้กับประเทศไทยครั้งแล้ว ครั้งเล่า
การไม่รับผิดชอบ ไม่ทำอะไร ทั้ง ๆ ที่มีหน้าที่ต้องทำ บางทีเสียหายยิ่งกว่านักการเมืองที่ทุจริตเสียอีก นักการเมือง เขารู้ดีว่าจะเสียหายอย่างไร เพียงแต่เขาพูดเป็นระบบไม่ได้เท่านั้น
 
รัฐบาลอาจจะพังด้วยเรื่องนี้ก็ได้
***************************************************************************************