ที่มา.หนังสือพิมพ์ โลกวันนี้
“จตุพร” เย้ย “อภิสิทธิ์” ไม่มีโอกาสได้เป็นนายกรัฐมนตรีรอบ 2 แม้จะเส้นใหญ่ในประเทศแต่คดีการสังหารคนเสื้อแดงจะเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมโลกอย่างช้าเดือน ต.ค. นี้ สงสัยได้สัญญาณพรรคประชาธิปัตย์ไม่ถูกยุบจึงออกมาแสดงความมั่นใจ โฆษกพรรคภูมิใจไทยไม่สนนายกฯค้าน พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ชี้ประชาธิปัตย์มีแค่ 170 เสียงในสภา หากพรรคอื่นเห็นชอบร่วมกันออกกฎหมายได้แน่ เชิญชวนทุกพรรคที่สนับสนุนให้นัดหมายคุยนอกรอบ เผยร่างของพรรคเพื่อไทยพ่วงนิรโทษกรรมแกนนำเสื้อแดงที่ราชประสงค์เข้ามาด้วย
นายศุภชัย ใจสมุทร โฆษกพรรคภูมิใจไทย กล่าวถึงกรณีที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี คัดค้านข้อเสนอของนายเนวิน ชิดชอบ แกนนำพรรคภูมิใจไทย ที่ให้ออกกฎหมายนิรโทษกรรมเพื่อ “รีเฟรช” การเมืองให้กลับไปเริ่มต้นกันใหม่ว่า พรรคประชาธิปัตย์มี ส.ส. ในสภาแค่ 170 กว่าคน ที่เหลือเป็นของพรรคร่วมรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทย ซึ่งมากกว่าครึ่งหนึ่ง ดังนั้น ร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมที่พรรคเสนอน่าจะผ่านความเห็นชอบจากสภาได้
เพื่อไทยให้นิรโทษแกนนำเสื้อแดง
“กฎหมายนี้เสนอเข้ามาหลายร่าง ล่าสุดร่างใหม่ของพรรคเพื่อไทยมีการแก้ไขให้นิรโทษกรรมแกนนำการชุมนุมที่ราชประสงค์พ่วงมาด้วย เพราะฉะนั้นใครที่เห็นด้วยกับข้อเสนอของนายเนวินที่เห็นว่าขณะนี้ปัญหาหลังการชุมนุมยังไม่ยุติก็ควรจะเข้ามาร่วมกันใช้กฎหมายนี้เพื่อคลี่คลายสถานการณ์ โดยยกเรื่องผู้ถูกกล่าวหาที่มีคดีอาญาติดตัวอยู่มาเป็นตัวตั้ง บรรดาแกนนำก็จะได้พ้นโทษไป” โฆษกพรรคภูมิใจไทยกล่าว
ส่วนกรณีที่นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย และแกนนำคนเสื้อแดง ไม่เห็นด้วยนั้น นายศุภชัยกล่าวว่า อย่านำคำพูดของนายจตุพรมาเป็นตัวตั้ง เพราะเชื่อว่าวันนี้สิ่งที่นายจตุพรพูดไม่ใช่ความเห็นของคนเสื้อแดงทั้งหมด
ให้ทุกฝ่ายช่วยกันผลักดัน
“หากคิดจะแก้ปัญหาทุกฝ่ายต้องเริ่มต้นนับหนึ่ง ช่วยๆกันขยับ ในส่วนของรัฐบาลจะต้องมีการแสดงออกมากกว่านี้ สำหรับพรรคเพื่อไทยต้องมีความชัดเจนว่าต้องการปรองดองจริง โดยทั้ง 2 ฝ่ายต้องมีแผนที่เป็นรูปธรรมว่าการปรองดองนั้นจะต้องทำอะไรบ้าง ไม่ใช่แค่บอกว่าให้อภัย แต่วิธีการให้อภัยคืออะไรก็ไม่ชัดเจน ซึ่งพรรคเห็นว่าวิธีการให้อภัยโดยนิติรัฐคือการนิรโทษกรรมให้เลิกแล้วต่อกันไป” นายศุภชัยกล่าวและว่า พรรคการเมืองที่เห็นด้วยกับแนวทางนี้สามารถพูดคุยกันอย่างไม่เป็นทางการก่อนได้
นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีที่นายอภิสิทธิ์กล่าวหาว่าเป็นอุปสรรคของการปรองดองว่า คนที่เป็นอุปสรรคคือนักการเมืองที่ยอมเป็นทาสของผู้มีอำนาจที่ได้มาจากการปฏิวัติ จนทำให้ประเทศถอยหลังแล้วไปตั้งรัฐบาลใหม่กันในค่ายทหาร
นักการเมืองไม่ควรค้านต้านรัฐประหาร
“นักการเมืองประเภทนี้จะแสดงความวิตกกังวลอย่างมากเมื่อรู้ว่าประชาชนจะจัดกิจกรรมรำลึก 4 ปีรัฐประหาร ทั้งที่การต่อต้านรัฐประหารเป็นเรื่องที่ดี และคนเป็นนักการเมืองควรมาร่วมกับประชาชนต่อต้าน” นายจตุพรกล่าวและว่า นายอภิสิทธิ์มีทัศนคติของคนที่คิดแต่จะเอาเปรียบทางการเมือง ไม่ว่าทำอะไรจะต้องเหยียบย่ำคนอื่นเพื่อให้ตัวเองดูดี
นายจตุพรกล่าวว่า การที่นายกรัฐมนตรีคัดค้านการนิรโทษกรรมเพราะถือว่าตัวเองอยู่ในจุดที่ได้เปรียบ กฎหมายไม่สามารถเอาผิดได้ แต่นายอภิสิทธิ์ก็ต้องส่องกระจกดูตัวเองว่าการตาย 91 ศพ และบาดเจ็บอีกกว่า 2,000 คนนั้นเกิดจากอะไร และควรรับผิดชอบอย่างไร นี่คือหัวใจหลักของการปรองดอง
“ผมจะไม่เอาการตายและการบาดเจ็บของประชาชนมาเป็นหัวข้อแลกเปลี่ยนเพื่อสร้างความปรองดองและการเลือกตั้ง ทุกชีวิตต้องมีคนรับผิดชอบ” นายจตุพรกล่าวว่า นายอภิสิทธิ์ไม่ควรฝันหวานว่าจะได้เป็นนายกรัฐมนตรีอีกสมัยหลังการเลือกตั้ง ในอดีตที่ผ่านมาพวกมือเปื้อนเลือดไม่มีใครได้กลับมาเป็นนายกฯอีกแม้แต่คนเดียว
ปูดคดีฆ่าเสื้อแดงขึ้นศาลโลก ต.ค. นี้
“นายอภิสิทธิ์พูดเหมือนกับรู้ว่าพรรคประชาธิปัตย์จะรอดพ้นจากการถูกยุบ และตัวเองจะไม่ถูกตัดสิทธิทางการเมือง 5 ปี ถึงจะรอดเรื่องนี้ไปได้ผมก็จะขอบอกให้เอาบุญว่า อย่างช้าที่สุดภายในเดือน ต.ค. นี้คดีเข่นฆ่าคนเสื้อแดงจะถูกนำเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมโลก แม้กระบวนการยุติธรรมไทยจะไม่เอาผิดนายอภิสิทธิ์เพราะเป็นผู้มีบุญญาธิการมากแต่ศาลโลกเขาไม่สนใจเรื่องนี้ ผมยืนยันว่าในช่วง 4 เดือนจะมีความชัดเจนในกระบวนการยุติธรรมของศาลโลก จึงทำให้ผมเชื่อว่าชาตินี้นายอภิสิทธิ์ไม่มีทางได้เป็นนายกรัฐมนตรีครั้งที่ 2” นายจตุพรกล่าวพร้อมย้ำว่า คนอย่างนายอภิสิทธิ์เป็นนายกรัฐมนตรีสมัยเดียวก็เกินพอแล้วสำหรับประเทศไทย
“จตุพร” พร้อมแจง กมธ.ตำรวจ
นายจตุพรกล่าวอีกว่า จะเดินทางไปชี้แจงข้อมูลการระเบิดตามที่นายสาธิต ปิตุเตชะ ประธานกรรมาธิการการตำรวจ สภาผู้แทนราษฎร เชิญแน่นอน แต่อยากให้เชิญนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ไปด้วย เพราะนายสุเทพเป็นคนระบุเองว่าคนที่ยิงลานจอดรถสถานีโทรทัศน์ช่อง 11 เป็นกลุ่มเดียวกับที่ยิงทำเนียบรัฐบาล ก่อนหน้านี้ก็บอกว่าเป็นพวกของ พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล แต่เดี๋ยวนี้ พล.ต.ขัตติยะได้เสียชีวิตแล้ว และพรรคพวกก็อยู่ในคุกหมดแล้ว จึงมีคำถามว่าแล้วใครจะเป็นคนยิง
จี้เรียกทหารแจงเอ็ม 79
“ผมอยากให้เชิญทหารมาด้วย เพราะเอ็ม 79 เถื่อนที่จับได้ที่โรงงานในจังหวัดพระนครศรีอยุธยาและสมุทรปราการก่อนหน้านี้การข่าวยืนยันชัดเจนว่าทหารมีส่วนเกี่ยวข้อง จึงอยากรู้ว่าทำมากี่กระบอก เอาไปใช้ที่ไหน ปัจจุบันยังลักลอบทำกันอยู่หรือไม่” นายจตุพรกล่าวและว่า สังคมต้องมีสติและคิดว่าใครได้ประโยชน์จากระเบิดที่ดังตูมตามอยู่ในตอนนี้ เพราะมีจุดน่าสังเกตคือ ทุกครั้งที่เกิดเหตุระเบิดจะลงที่ลานจอดรถหรือไม่ก็กำแพงบ้าน ส่วนตัวพร้อมให้ข้อมูลกับตำรวจว่าใครได้ประโยชน์ แต่ตำรวจต้องไปเอาตัวคนนั้นมาสอบสวนด้วย
นายจตุพรกล่าวอีกว่า วันที่ 17 ก.ย. นี้จะร่วมกับคนเสื้อแดงไปวางดอกไม้ที่หน้าเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ เวลา 10.00 น. เพื่อให้กำลังใจกับพรรคพวกที่อยู่ในเรือนจำ วางเสร็จก็จะกลับ ไม่ต้องห่วงว่าจะมีการปราศรัยละเมิดอำนาจศาล ส่วนการปราศรัยจะไปพูดที่เชียงใหม่ในวันที่ 19 ก.ย.
**********************************************************************
วันอังคารที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2553
มทภ.1 เผยกองทัพเตรียมแผน 3ขั้นรับมือแดง 19ก.ย.
ที่มา.เนชั่น
พล.ท.คณิต สาพิทักษ์ แม่ทัพภาคที่ 1 กล่าวถึงการรักษาความสงบเรียบร้อยกรณีกลุ่มคนเสื้อแดงจะชุมนุมใหญ่ในวันที่ 19 กันยายนนี้ว่า เบื้องต้นเป็นความรับผิดชอบของตำรวจ ทหารจะเตรียมความพร้อมสนับสนุนกำลังทหารในกรณีที่ตำรวจร้องขอ ซึ่งประเมินว่าถ้าเป็นการแสดงออกทางความคิด ไม่ได้ก่อให้เกิดความวุ่นวายและเสียหายต่อชีวิต ทรัพย์สิน ก็ทำได้ เชื่อว่าสถานการณ์จะไม่บานปลาย เพราะที่ผ่านมามีบทเรียนมากมายที่ชาวไทยทุกคนเจ็บปวด
เกรงหรือไม่ว่ามีมือที่สามเข้ามาสร้างสถานการณ์ พล.ท.คณิต กล่าวว่า เป็นประเด็นที่ต้องระวัง ผู้มาชุมนุมทั้งผู้เกี่ยวข้องและไม่เกี่ยวข้อง รวมถึงประชาชนโดยรอบต้องช่วยดูแลสอดส่อง สำหรับเหตุระเบิดที่เชียงใหม่จะเชื่อมโยงกับการชุมนุมในวันดังกล่าวหรือไม่นั้น คงเป็นเรื่องประเมินทางการมือง ทางความมั่นคง และการทหาร คงจับตาดูและเตรียมกำลังให้พร้อม โดยมีตำรวจทั้งกองบัญชาการตำรวจนครบาล สันติบาล สอบสวนกลาง เป็นหลัก ทหารเป็นเพียงผู้สนับสนุน ซึ่งในพื้นที่ที่เราดูแลช่วงนี้ไม่มีความเคลื่อนไหวอะไร สถานการณ์ยังไม่รุนแรง เป็นการแสดงออกของความคิดของแต่ละกลุ่ม แต่ละบุคคล ขณะนี้เฝ้าระวังเต็มที่
ทั้งนี้กองทัพภาคที่ 1 เตรียมกองร้อยรักษาความสงบไว้เท่าใด พล.ท.คณิต กล่าวว่า คงไม่สามารถระบุได้ แต่จัดกำลังเป็นขั้นตอนตั้งแต่ 1-3 ขณะนี้ขั้นที่ 1 มีกำลังสารวัตรทหารและกำลังบางส่วนออกไปปฏิบัติหน้าที่แล้ว ขั้นที่ 2 มีกำลังส่วนหนึ่งเตรียมพร้อมเคลื่อนที่ทันทีเมื่อได้รับคำสั่ง ขั้นที่ 3 เป็นการเสริมกำลังกองหนุนต่างๆ ซึ่งทั้งหมดกองทัพบกสั่งการไว้หมดแล้ว สำหรับวันที่ 17-19 กันยายนนี้ คงไม่อันตราย หากพวกเราช่วยเหลือดูแลกัน
*********************************************************************
พล.ท.คณิต สาพิทักษ์ แม่ทัพภาคที่ 1 กล่าวถึงการรักษาความสงบเรียบร้อยกรณีกลุ่มคนเสื้อแดงจะชุมนุมใหญ่ในวันที่ 19 กันยายนนี้ว่า เบื้องต้นเป็นความรับผิดชอบของตำรวจ ทหารจะเตรียมความพร้อมสนับสนุนกำลังทหารในกรณีที่ตำรวจร้องขอ ซึ่งประเมินว่าถ้าเป็นการแสดงออกทางความคิด ไม่ได้ก่อให้เกิดความวุ่นวายและเสียหายต่อชีวิต ทรัพย์สิน ก็ทำได้ เชื่อว่าสถานการณ์จะไม่บานปลาย เพราะที่ผ่านมามีบทเรียนมากมายที่ชาวไทยทุกคนเจ็บปวด
เกรงหรือไม่ว่ามีมือที่สามเข้ามาสร้างสถานการณ์ พล.ท.คณิต กล่าวว่า เป็นประเด็นที่ต้องระวัง ผู้มาชุมนุมทั้งผู้เกี่ยวข้องและไม่เกี่ยวข้อง รวมถึงประชาชนโดยรอบต้องช่วยดูแลสอดส่อง สำหรับเหตุระเบิดที่เชียงใหม่จะเชื่อมโยงกับการชุมนุมในวันดังกล่าวหรือไม่นั้น คงเป็นเรื่องประเมินทางการมือง ทางความมั่นคง และการทหาร คงจับตาดูและเตรียมกำลังให้พร้อม โดยมีตำรวจทั้งกองบัญชาการตำรวจนครบาล สันติบาล สอบสวนกลาง เป็นหลัก ทหารเป็นเพียงผู้สนับสนุน ซึ่งในพื้นที่ที่เราดูแลช่วงนี้ไม่มีความเคลื่อนไหวอะไร สถานการณ์ยังไม่รุนแรง เป็นการแสดงออกของความคิดของแต่ละกลุ่ม แต่ละบุคคล ขณะนี้เฝ้าระวังเต็มที่
ทั้งนี้กองทัพภาคที่ 1 เตรียมกองร้อยรักษาความสงบไว้เท่าใด พล.ท.คณิต กล่าวว่า คงไม่สามารถระบุได้ แต่จัดกำลังเป็นขั้นตอนตั้งแต่ 1-3 ขณะนี้ขั้นที่ 1 มีกำลังสารวัตรทหารและกำลังบางส่วนออกไปปฏิบัติหน้าที่แล้ว ขั้นที่ 2 มีกำลังส่วนหนึ่งเตรียมพร้อมเคลื่อนที่ทันทีเมื่อได้รับคำสั่ง ขั้นที่ 3 เป็นการเสริมกำลังกองหนุนต่างๆ ซึ่งทั้งหมดกองทัพบกสั่งการไว้หมดแล้ว สำหรับวันที่ 17-19 กันยายนนี้ คงไม่อันตราย หากพวกเราช่วยเหลือดูแลกัน
*********************************************************************
"สุเทพ"ปัดคุยพิเชษฐหลังปูดซาอุ ขู่คว่ำบาตรไทย
ที่มา.เนชั่น
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง ให้สัมภาษณ์ก่อนเข้าประชุมครม.กรณีที่นายพิเชษฐ สถิรชวาล เลขาธิการคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทยระบุว่า ซาอุดิอาระเบียอาจตัดความสัมพันธ์ทางการทูตกับไทยเพราะไม่พอใจกรณีที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติแต่งตั้งพล.ต.ท.สมคิด บุญถนอม ผชภ.5ขึ้นเป็นผู้ช่วยผบ.ตร.ว่า ตนไม่ทราบ เพราะยังไม่ได้รับรายงานว่าจะมีกรณีนี้เกิดขึ้น ส่วนหนังสือชี้แจงกับซาอุฯนั้นตนส่งไปแล้วโดยกระทรวงการต่างประเทศรับไปดำเนินการและคิดว่าซาอุฯคงเข้าใจ เมื่อถามว่านายพิเชษฐยืนยันว่าได้รับข้อมูลนี้ผ่านมาจากกลุ่มประเทศมุสลิม นายสุเทพกล่าวว่าตนไม่ค่อยให้น้ำหนักกับข่าวนี้มากนักและต้องตรวจสอบให้ดี อย่าให้คนไปตกใจกับเรื่องนี้ เมื่อถามว่าจะสอบถามนายพิเชษฐหรือไม่ เพราะมีตัวตน นายสุเทพกล่าวว่า ขอให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการโดยตรงกับซาอุฯดีกว่า
เมื่อถามว่ามีกระแสข่าวอีกว่าอาจปิดสถานเอกอัครราชทูตซาอุฯประจำประเทศไทยและอาจขยายผลไปให้โอไอซีคว่ำบาตรประเทศไทย นายสุเทพกล่าวว่าตนยังไม่ได้ตรวจสอบแต่คิดว่าคงไม่ถึงขนาดนั้น
ส่วนที่ที่ผ่านมากระทรวงการต่างประเทศไม่มีบทบาทในเรื่องนี้ เพราะเรื่องนี้อาจส่งผลให้ซาอุฯไม่ออกวีซ่าให้คนไทยที่ต้องการเดินทางไปประกอบพิธีฮัจญ์ และเรื่องนี้อาจลุกลาม นายสุเทพกล่าวว่า กระทรวงการต่างประเทศพยายามชี้แจงข้อเท็จจริง หากเรื่องนี้จะลุกลามก็เป็นเฉพาะคำพูดของคน เพราะสถานการณ์จริงมันไม่ได้เป็นไปอย่างนั้น เมื่อถามว่า หากชั่งผลได้และผลเสียในเรื่องนี้กับการแต่งตั้งพล.ต.ท.สมคิดนั้น นายสุเทพกล่าวว่า เรื่องนี้ตนไม่สมมุติ
**************************************************************
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง ให้สัมภาษณ์ก่อนเข้าประชุมครม.กรณีที่นายพิเชษฐ สถิรชวาล เลขาธิการคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทยระบุว่า ซาอุดิอาระเบียอาจตัดความสัมพันธ์ทางการทูตกับไทยเพราะไม่พอใจกรณีที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติแต่งตั้งพล.ต.ท.สมคิด บุญถนอม ผชภ.5ขึ้นเป็นผู้ช่วยผบ.ตร.ว่า ตนไม่ทราบ เพราะยังไม่ได้รับรายงานว่าจะมีกรณีนี้เกิดขึ้น ส่วนหนังสือชี้แจงกับซาอุฯนั้นตนส่งไปแล้วโดยกระทรวงการต่างประเทศรับไปดำเนินการและคิดว่าซาอุฯคงเข้าใจ เมื่อถามว่านายพิเชษฐยืนยันว่าได้รับข้อมูลนี้ผ่านมาจากกลุ่มประเทศมุสลิม นายสุเทพกล่าวว่าตนไม่ค่อยให้น้ำหนักกับข่าวนี้มากนักและต้องตรวจสอบให้ดี อย่าให้คนไปตกใจกับเรื่องนี้ เมื่อถามว่าจะสอบถามนายพิเชษฐหรือไม่ เพราะมีตัวตน นายสุเทพกล่าวว่า ขอให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการโดยตรงกับซาอุฯดีกว่า
เมื่อถามว่ามีกระแสข่าวอีกว่าอาจปิดสถานเอกอัครราชทูตซาอุฯประจำประเทศไทยและอาจขยายผลไปให้โอไอซีคว่ำบาตรประเทศไทย นายสุเทพกล่าวว่าตนยังไม่ได้ตรวจสอบแต่คิดว่าคงไม่ถึงขนาดนั้น
ส่วนที่ที่ผ่านมากระทรวงการต่างประเทศไม่มีบทบาทในเรื่องนี้ เพราะเรื่องนี้อาจส่งผลให้ซาอุฯไม่ออกวีซ่าให้คนไทยที่ต้องการเดินทางไปประกอบพิธีฮัจญ์ และเรื่องนี้อาจลุกลาม นายสุเทพกล่าวว่า กระทรวงการต่างประเทศพยายามชี้แจงข้อเท็จจริง หากเรื่องนี้จะลุกลามก็เป็นเฉพาะคำพูดของคน เพราะสถานการณ์จริงมันไม่ได้เป็นไปอย่างนั้น เมื่อถามว่า หากชั่งผลได้และผลเสียในเรื่องนี้กับการแต่งตั้งพล.ต.ท.สมคิดนั้น นายสุเทพกล่าวว่า เรื่องนี้ตนไม่สมมุติ
**************************************************************
2 ผู้เฒ่า‘เพื่อไทย’ วันสถานการณ์ฉุกเฉิน
ที่มา.สยามธุรกิจ
หลังพ่ายเลือกตั้งซ้ำซากสนามกทม.
ถึงวันนี้นาทีนี้คงพูดได้คำเดียวว่าชัยชนะของพรรคประชาธิปัตย์ทั้ง 3 ครั้ง 3 ครา ไล่มาตั้งแต่เลือกตั้งสมาชิกสภาเขต (ส.ข.) 14 เขต ที่เลือกตั้งเมื่อช่วงต้นเดือนมิ.ย.ที่ผ่านมา กระทั่งถึงการเลือกตั้งซ่อม ส.ส. กทม.เขต 6 ที่ส่งผลให้ นายพนิช วิกิตเศรษฐ์ ได้เป็นส.ส.
ตัวจริงสมใจนึก และล่าสุดที่เพิ่งจบไปสดๆ ร้อนๆ เมื่อ 29 ส.ค. ที่ผ่านมาเห็นจะเป็นกรณีการเลือกตั้งสมาชิกสภากทม. ทั้ง 50 เขต และสมาชิกสภาเขต (ส.ข.) อีก 36 เขต ถือเป็นชัยชนะที่แฝงด้วยนัยทาง
การเมืองที่น่าจับตามองอย่างยิ่ง โดยเฉพาะบนเส้นทางแห่งความแตกแยกของผู้คนในสังคมเมืองกรุง บนการขับเคี่ยวระหว่างสองพรรคการเมืองใหญ่อย่างพรรคปชป.และพรรคเพื่อไทย
เช่นเดียวกับความพ่ายแพ้ที่ซ้ำซากสำหรับพรรคเพื่อไทย ในที่สุดพรรคก็เหลือมวลหมู่สมาชิกสภากทม. (ส.ก.) ในสังกัดแค่ 15 ที่นั่ง ถูกพรรคปชป.นำโด่งทิ้งห่างไปถึง 3 เท่าตัว (45 ที่นั่ง) กลายเป็นพรรคที่มีเสียงข้างมาก ในสภากทม. เรียกว่าการบริหารจัดการกทม.นับจากนี้ไปในส่วนของพรรคประชาธิปัตย์ถือว่ากุมอำนาจได้เบ็ดเสร็จ ทั้งฝ่ายบริหาร และฝ่ายนิติบัญญัติถูกกินรวบ
เมื่อเป็นเช่นนี้โจทย์การบ้านข้อใหญ่จึงไปลงเอยที่พรรคเพื่อไทยว่า บทบาท หรือทิศทางการเมืองจากนี้ไปจะทำอย่างไรบนข้อจำกัดที่ถูกกำหนดไว้ในสถานการณ์ฉุกเฉิน ทั้งเรื่องของความชัดเจนภายในพรรค ไม่ว่าจะเป็นกรณีโครงสร้างหัวหน้าพรรค หรือแม้แต่นโยบายที่ได้พิสูจน์มาอย่างต่อเนื่อง
แล้วว่าที่ผ่านมาขาดความชัดเจน มีเพียง “นายใหญ่” ที่อยู่ในต่างแดนเท่านั้นที่คอยสั่งการขับเคลื่อนผู้บังคับบัญชาที่กำกับดูแลภาคกทม.ที่ผ่านมาได้พิสูจน์แล้วว่าชื่อชั้นของ วิชาญ มีนชัยนันท์ ส.ส.กทม.ในฐานะประธานภาค หรือแม้แต่น.อ.
อนุดิษฐ์ นาครทรรพ ส.ส.กทม. ก็ไม่มีผลต่อการสร้างกระแสชิงพื้นที่ข่าว ขณะที่ตัวจริงเสียงจริงอย่าง “คุณหญิงหน่อย” สุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ได้แต่คอยแอบๆ กำกับอยู่เบื้องหลัง เพราะยังอยู่ในช่วงของการรักษาโรค 111 ที่ติดมาจากพรรค ไทยรักไทยกว่าจะรักษาหายขาดก็คงต้องอีกพักใหญ่ ช่วงเวลานี้สำหรับพรรคเพื่อไทยในสนามกทม.จึงดูเสมือนถูกลอยแพให้ลอยตามน้ำไหลไปเรื่อยๆ
ยิ่งเมื่อภาพลักษณ์จากกลุ่มคนเสื้อแดงถูกนำมาประกบแนบแน่นเคียงคู่ขนานไปกับพรรคเพื่อไทยด้วยแล้ว อัตลักษณ์ในความเป็นกลุ่มการเมืองที่เน้นความรุนแรงจึงแยกกันไม่ขาด ส่งผลทำให้ภาคกทม.ได้รับผลกระทบไปเต็มๆ แม้อยากจะสลัดคราบของความรุนแรงทิ้งไปจากพรรค แต่ดูเหมือนว่าทุกอย่างจะสายเกินแก้เสียแล้ว ประเภทเดินหน้าก็ไม่ได้ถอยหลังหลังก็ติดหนึบ อย่าได้แปลกใจในช่วงเลือกตั้งที่ผ่านมาจะเห็นภาพ รวมถึงข้อความบนป้ายหาเสียงของผู้สมัครหรือแม้แต่โลโก้พรรค ต้องหลีกเลี่ยงทุกอย่างที่สื่อความไปถึงคนเสื้อแดง เพราะไม่เช่นนั้นแล้วเชื่อเหลือเกินว่าโอกาสที่พรรคเพื่อไทยจะสูญพันธุ์ในการเลือกตั้งย่อมเป็นไปได้สูง
เมื่อเป็นเช่นนี้บทบาทการทำหน้า ที่ในสภากทม.จึงตกเป็นภาระที่หนักอยู่กับ 2 ผู้เฒ่าแห่งพรรคเพื่อไทย อย่างเช่น วิสูตร สำเร็จวาณิชย์ ส.ก. ลาดกระบัง และประเดิมชัย บุญช่วยเหลือ ส.ก. ห้วย ขวาง ที่คงจะปฏิเสธความรับผิดชอบไม่ได้เหมือนเช่นที่เคยรับผิดชอบเมื่อ 4 ปี
ที่แล้วจากการทำหน้าที่ตรวจสอบการทำงานของคณะผู้บริหารกทม.ในหลายๆ โครงการจนเป็นเหตุทำให้ต้องมีการพิจารณาทบทวนโครงการกันใหม่
การกลับมาเที่ยวนี้จึงเชื่อเหลือเกินว่าบทบาทการทำหน้าที่ในสภากทม. สำหรับพรรคเพื่อไทย ยังไงก็ต้องใช้ผู้เฒ่า 2 คนนี้ในการขับเคี่ยวสร้างผลงานออกสู่สายตาประชาชนเช่นเดิม เพราะลำพังจะไปคาดหวังสมาชิกสภากทม.รายอื่นๆ ให้ทำหน้าที่ในการตรวจสอบการทำงานของคณะผู้บริหารดูจะเป็นเรื่องที่ยากยิ่งกว่าการงมเข็มในมหาสมุทรเสียอีกเพราะที่ผ่านมาการจะเปิดให้มีการ
อภิปรายเรื่องใดเรื่องหนึ่งสักเรื่อง จะต้องมีการสืบค้นหาข้อมูลมาประกอบการอภิปราย ซึ่งในประเด็นสิ่งต่างๆ ทั้งหลาย เหล่านี้ที่ผ่านมายังไม่เคยได้เห็นสมาชิกสภากทม.จากพรรคเพื่อไทยได้ทำหน้าที่ในการอภิปรายได้อย่างเต็มที่สมความภาคภูมิในฐานะผู้แทนอันทรงเกียรติ ที่มาจากการเลือกตั้งโดยประชาชนอย่างแท้จริง
หนำซ้ำในบางครั้งมักจะได้ยินเสียงบ่นไล่หลังจากปากของนักการเมืองบางคน ที่ระบุว่าไม่อยากจะเปลืองตัวในการจะต้องไปเผชิญหน้ากับฝ่ายบริหาร เพราะมีแต่จะถูกเพื่อนพ้องต่างพรรคแต่พวกเดียวกันกล่าวตำหนิติเตียน การทำหน้า
ที่ในฐานะผู้ตรวจสอบการทำงานของพรรคเพื่อไทยที่ผ่านมาจึงถือว่าน้อยครั้งที่จะสามารถทำปฏิกิริยาให้ระคายผิวต่อ คณะผู้บริหารกทม. และภารกิจในครั้งนี้สำหรับ 2 ผู้เฒ่าแห่งพรรคเพื่อไทยจะเป็นครั้งสำคัญและดูจะเป็นอีกหนึ่งความหวังในสถานการณ์ฉุกเฉินสำหรับภาคกทม.ที่คงไม่อาจปฏิเสธ
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
หลังพ่ายเลือกตั้งซ้ำซากสนามกทม.
ถึงวันนี้นาทีนี้คงพูดได้คำเดียวว่าชัยชนะของพรรคประชาธิปัตย์ทั้ง 3 ครั้ง 3 ครา ไล่มาตั้งแต่เลือกตั้งสมาชิกสภาเขต (ส.ข.) 14 เขต ที่เลือกตั้งเมื่อช่วงต้นเดือนมิ.ย.ที่ผ่านมา กระทั่งถึงการเลือกตั้งซ่อม ส.ส. กทม.เขต 6 ที่ส่งผลให้ นายพนิช วิกิตเศรษฐ์ ได้เป็นส.ส.
ตัวจริงสมใจนึก และล่าสุดที่เพิ่งจบไปสดๆ ร้อนๆ เมื่อ 29 ส.ค. ที่ผ่านมาเห็นจะเป็นกรณีการเลือกตั้งสมาชิกสภากทม. ทั้ง 50 เขต และสมาชิกสภาเขต (ส.ข.) อีก 36 เขต ถือเป็นชัยชนะที่แฝงด้วยนัยทาง
การเมืองที่น่าจับตามองอย่างยิ่ง โดยเฉพาะบนเส้นทางแห่งความแตกแยกของผู้คนในสังคมเมืองกรุง บนการขับเคี่ยวระหว่างสองพรรคการเมืองใหญ่อย่างพรรคปชป.และพรรคเพื่อไทย
เช่นเดียวกับความพ่ายแพ้ที่ซ้ำซากสำหรับพรรคเพื่อไทย ในที่สุดพรรคก็เหลือมวลหมู่สมาชิกสภากทม. (ส.ก.) ในสังกัดแค่ 15 ที่นั่ง ถูกพรรคปชป.นำโด่งทิ้งห่างไปถึง 3 เท่าตัว (45 ที่นั่ง) กลายเป็นพรรคที่มีเสียงข้างมาก ในสภากทม. เรียกว่าการบริหารจัดการกทม.นับจากนี้ไปในส่วนของพรรคประชาธิปัตย์ถือว่ากุมอำนาจได้เบ็ดเสร็จ ทั้งฝ่ายบริหาร และฝ่ายนิติบัญญัติถูกกินรวบ
เมื่อเป็นเช่นนี้โจทย์การบ้านข้อใหญ่จึงไปลงเอยที่พรรคเพื่อไทยว่า บทบาท หรือทิศทางการเมืองจากนี้ไปจะทำอย่างไรบนข้อจำกัดที่ถูกกำหนดไว้ในสถานการณ์ฉุกเฉิน ทั้งเรื่องของความชัดเจนภายในพรรค ไม่ว่าจะเป็นกรณีโครงสร้างหัวหน้าพรรค หรือแม้แต่นโยบายที่ได้พิสูจน์มาอย่างต่อเนื่อง
แล้วว่าที่ผ่านมาขาดความชัดเจน มีเพียง “นายใหญ่” ที่อยู่ในต่างแดนเท่านั้นที่คอยสั่งการขับเคลื่อนผู้บังคับบัญชาที่กำกับดูแลภาคกทม.ที่ผ่านมาได้พิสูจน์แล้วว่าชื่อชั้นของ วิชาญ มีนชัยนันท์ ส.ส.กทม.ในฐานะประธานภาค หรือแม้แต่น.อ.
อนุดิษฐ์ นาครทรรพ ส.ส.กทม. ก็ไม่มีผลต่อการสร้างกระแสชิงพื้นที่ข่าว ขณะที่ตัวจริงเสียงจริงอย่าง “คุณหญิงหน่อย” สุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ได้แต่คอยแอบๆ กำกับอยู่เบื้องหลัง เพราะยังอยู่ในช่วงของการรักษาโรค 111 ที่ติดมาจากพรรค ไทยรักไทยกว่าจะรักษาหายขาดก็คงต้องอีกพักใหญ่ ช่วงเวลานี้สำหรับพรรคเพื่อไทยในสนามกทม.จึงดูเสมือนถูกลอยแพให้ลอยตามน้ำไหลไปเรื่อยๆ
ยิ่งเมื่อภาพลักษณ์จากกลุ่มคนเสื้อแดงถูกนำมาประกบแนบแน่นเคียงคู่ขนานไปกับพรรคเพื่อไทยด้วยแล้ว อัตลักษณ์ในความเป็นกลุ่มการเมืองที่เน้นความรุนแรงจึงแยกกันไม่ขาด ส่งผลทำให้ภาคกทม.ได้รับผลกระทบไปเต็มๆ แม้อยากจะสลัดคราบของความรุนแรงทิ้งไปจากพรรค แต่ดูเหมือนว่าทุกอย่างจะสายเกินแก้เสียแล้ว ประเภทเดินหน้าก็ไม่ได้ถอยหลังหลังก็ติดหนึบ อย่าได้แปลกใจในช่วงเลือกตั้งที่ผ่านมาจะเห็นภาพ รวมถึงข้อความบนป้ายหาเสียงของผู้สมัครหรือแม้แต่โลโก้พรรค ต้องหลีกเลี่ยงทุกอย่างที่สื่อความไปถึงคนเสื้อแดง เพราะไม่เช่นนั้นแล้วเชื่อเหลือเกินว่าโอกาสที่พรรคเพื่อไทยจะสูญพันธุ์ในการเลือกตั้งย่อมเป็นไปได้สูง
เมื่อเป็นเช่นนี้บทบาทการทำหน้า ที่ในสภากทม.จึงตกเป็นภาระที่หนักอยู่กับ 2 ผู้เฒ่าแห่งพรรคเพื่อไทย อย่างเช่น วิสูตร สำเร็จวาณิชย์ ส.ก. ลาดกระบัง และประเดิมชัย บุญช่วยเหลือ ส.ก. ห้วย ขวาง ที่คงจะปฏิเสธความรับผิดชอบไม่ได้เหมือนเช่นที่เคยรับผิดชอบเมื่อ 4 ปี
ที่แล้วจากการทำหน้าที่ตรวจสอบการทำงานของคณะผู้บริหารกทม.ในหลายๆ โครงการจนเป็นเหตุทำให้ต้องมีการพิจารณาทบทวนโครงการกันใหม่
การกลับมาเที่ยวนี้จึงเชื่อเหลือเกินว่าบทบาทการทำหน้าที่ในสภากทม. สำหรับพรรคเพื่อไทย ยังไงก็ต้องใช้ผู้เฒ่า 2 คนนี้ในการขับเคี่ยวสร้างผลงานออกสู่สายตาประชาชนเช่นเดิม เพราะลำพังจะไปคาดหวังสมาชิกสภากทม.รายอื่นๆ ให้ทำหน้าที่ในการตรวจสอบการทำงานของคณะผู้บริหารดูจะเป็นเรื่องที่ยากยิ่งกว่าการงมเข็มในมหาสมุทรเสียอีกเพราะที่ผ่านมาการจะเปิดให้มีการ
อภิปรายเรื่องใดเรื่องหนึ่งสักเรื่อง จะต้องมีการสืบค้นหาข้อมูลมาประกอบการอภิปราย ซึ่งในประเด็นสิ่งต่างๆ ทั้งหลาย เหล่านี้ที่ผ่านมายังไม่เคยได้เห็นสมาชิกสภากทม.จากพรรคเพื่อไทยได้ทำหน้าที่ในการอภิปรายได้อย่างเต็มที่สมความภาคภูมิในฐานะผู้แทนอันทรงเกียรติ ที่มาจากการเลือกตั้งโดยประชาชนอย่างแท้จริง
หนำซ้ำในบางครั้งมักจะได้ยินเสียงบ่นไล่หลังจากปากของนักการเมืองบางคน ที่ระบุว่าไม่อยากจะเปลืองตัวในการจะต้องไปเผชิญหน้ากับฝ่ายบริหาร เพราะมีแต่จะถูกเพื่อนพ้องต่างพรรคแต่พวกเดียวกันกล่าวตำหนิติเตียน การทำหน้า
ที่ในฐานะผู้ตรวจสอบการทำงานของพรรคเพื่อไทยที่ผ่านมาจึงถือว่าน้อยครั้งที่จะสามารถทำปฏิกิริยาให้ระคายผิวต่อ คณะผู้บริหารกทม. และภารกิจในครั้งนี้สำหรับ 2 ผู้เฒ่าแห่งพรรคเพื่อไทยจะเป็นครั้งสำคัญและดูจะเป็นอีกหนึ่งความหวังในสถานการณ์ฉุกเฉินสำหรับภาคกทม.ที่คงไม่อาจปฏิเสธ
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
มะ ยันทักษิณแนะทหารเลขาพท.เดินปรองดอง
ที่มา.ไอเอ็นเอ็น
มะ ยันทักษิณแนะทหารเลขาพท.เดินปรองดอง.
พล.ท.มะ โพธิ์งาม ส.ส.กาญจนบุรี พรรคเพื่อไทย เปิดเผยสำนักข่าว ไอ.เอ็น.เอ็น. ถึงการเดินทางไปพบ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่ประเทศรัสเซีย ว่าเป็นการเดินทางไปพบเพื่อเยี่ยมเยียนกันเท่านั้น และตนเองก็ไม่เคยไปเที่ยวประเทศรัสเซีย จึงถือโอกาสร่วมเดินทางไปด้วยเท่านั้น โดยยืนยันว่า ไม่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์ของพรรคเพื่อไทย ในการเลือกตัวหัวหน้าพรรคคนใหม่ แต่อย่างใด ขณะที่การเข้าพบครั้งนี้ ไม่มีเรื่องใดเป็นความลับ ซึ่งเรื่องที่คุยกันก็มีเรื่องคำแนะนำ หรือแนวทางการหาเสียงที่ใกล้เข้ามาทุกขณะ และเรื่องความปรองดอง โดยมีการพูดคุยกันในวงว่า หากต้องการให้แนวทางปรองดองเดินไปได้ด้วยดี เลขาธิการพรรคน่าจะเป็นทหาร ซึ่งก็มีการกล่าวถึงกัน 6 ชื่อ โดยยอมรับว่า ตนเองก็เป็นหนึ่งใน 6 นั้น ซึ่งในวันนี้ ก็จะลงสมัครในตำแหน่งเลขาธิการพรรคด้วยเช่นกัน โดยระบุว่า ตนเอง พร้อมที่จะเป็นเลขาธิการพรรค แต่ก็ต้องขึ้นอยู่กับการโหวตของสมาชิกพรรคในวันนี้ด้วย
ส่วน นางฐิติมา ฉายแสง ส.ส.ฉะเชิงเทรา เป็นแคนดิเดตด้วยนั้น ตนไม่ทราบว่าจะลงสมัครด้วยหรือไม่
ขณะที่ นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ อดีตหัวหน้าพรรค จะหวนกลับมานั่งหัวหน้าพรรคอีกครั้งหรือไม่นั้น ต้องรอให้เจ้า ตัวสมัครชิงตำแหน่งก่อน ถ้าไม่มีคนสมัครแข่ง ก็ได้รับเลือกให้เป็นหัวหน้าพรรคอีกครั้ง ทั้งนี้มองว่าไม่ใช่ เป็นการกลืนน้ำลายตัวเอง หลังได้ประกาศลาออกไปแล้ว แต่เป็นการปรับโครงสร้างพรรค
พร้อมยืนยัน ไม่ได้มีสัญญาณจากต่างประเทศ หลัง พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ อดีตรองนายกฯ และ รมว.มหาดไทย ตัดสินใจ
ไม่สมัครเป็นสมาชิกพรรคแล้ว ส่วนการประชุมพรรควันนี้ เพื่อคัดเลือกกรรมการบริหารพรรค ชุดใหม่ จะมีการเลื่อนออกไป เพื่อให้ทุกตำแหน่งสะเด็ดน้ำก่อนหรือไม่นั้น คงต้องมีการหารือกันก่อน
***********************************************
มะ ยันทักษิณแนะทหารเลขาพท.เดินปรองดอง.
พล.ท.มะ โพธิ์งาม ส.ส.กาญจนบุรี พรรคเพื่อไทย เปิดเผยสำนักข่าว ไอ.เอ็น.เอ็น. ถึงการเดินทางไปพบ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่ประเทศรัสเซีย ว่าเป็นการเดินทางไปพบเพื่อเยี่ยมเยียนกันเท่านั้น และตนเองก็ไม่เคยไปเที่ยวประเทศรัสเซีย จึงถือโอกาสร่วมเดินทางไปด้วยเท่านั้น โดยยืนยันว่า ไม่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์ของพรรคเพื่อไทย ในการเลือกตัวหัวหน้าพรรคคนใหม่ แต่อย่างใด ขณะที่การเข้าพบครั้งนี้ ไม่มีเรื่องใดเป็นความลับ ซึ่งเรื่องที่คุยกันก็มีเรื่องคำแนะนำ หรือแนวทางการหาเสียงที่ใกล้เข้ามาทุกขณะ และเรื่องความปรองดอง โดยมีการพูดคุยกันในวงว่า หากต้องการให้แนวทางปรองดองเดินไปได้ด้วยดี เลขาธิการพรรคน่าจะเป็นทหาร ซึ่งก็มีการกล่าวถึงกัน 6 ชื่อ โดยยอมรับว่า ตนเองก็เป็นหนึ่งใน 6 นั้น ซึ่งในวันนี้ ก็จะลงสมัครในตำแหน่งเลขาธิการพรรคด้วยเช่นกัน โดยระบุว่า ตนเอง พร้อมที่จะเป็นเลขาธิการพรรค แต่ก็ต้องขึ้นอยู่กับการโหวตของสมาชิกพรรคในวันนี้ด้วย
ส่วน นางฐิติมา ฉายแสง ส.ส.ฉะเชิงเทรา เป็นแคนดิเดตด้วยนั้น ตนไม่ทราบว่าจะลงสมัครด้วยหรือไม่
ขณะที่ นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ อดีตหัวหน้าพรรค จะหวนกลับมานั่งหัวหน้าพรรคอีกครั้งหรือไม่นั้น ต้องรอให้เจ้า ตัวสมัครชิงตำแหน่งก่อน ถ้าไม่มีคนสมัครแข่ง ก็ได้รับเลือกให้เป็นหัวหน้าพรรคอีกครั้ง ทั้งนี้มองว่าไม่ใช่ เป็นการกลืนน้ำลายตัวเอง หลังได้ประกาศลาออกไปแล้ว แต่เป็นการปรับโครงสร้างพรรค
พร้อมยืนยัน ไม่ได้มีสัญญาณจากต่างประเทศ หลัง พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ อดีตรองนายกฯ และ รมว.มหาดไทย ตัดสินใจ
ไม่สมัครเป็นสมาชิกพรรคแล้ว ส่วนการประชุมพรรควันนี้ เพื่อคัดเลือกกรรมการบริหารพรรค ชุดใหม่ จะมีการเลื่อนออกไป เพื่อให้ทุกตำแหน่งสะเด็ดน้ำก่อนหรือไม่นั้น คงต้องมีการหารือกันก่อน
***********************************************
นี่หรือประชาธิปไตย
ข่าวสดรายวัน
เหล็กใน
พรรคประชาธิปัตย์ โดย นายสาธิต ปิตุเตชะ กรรมการบริหารพรรค ออกมารับลูกศอฉ. และ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯทันที
กรณีการจัดกิจกรรมรำลึก 4 เดือนการตาย 91 ศพ และครบ 4 ปี การปฏิวัติวันที่ 19 ก.ย.
ซึ่งมาตรงกันพอดี
นายสาธิต กล่าวเตือนผู้ชุมนุมว่าไม่ควรใส่เสื้อสีแดง โดยอ้างว่าจะเป็นชนวนนำไปสู่ความรุนแรงได้
พร้อมกันนี้ ก็เรียกร้องให้เจ้าหน้าที่ตำรวจปฏิบัติหน้าที่ ควบคุมการชุมนุมอย่างเข้มงวด
ถ้าหากทำผิดกฎหมาย ก็ให้จับกุม ดำเนินคดีทันที
ถ้าหากปล่อยปละละเลย หย่อนยาน นายสาธิต ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการการตำรวจคนใหม่ ก็จะเรียกผู้บังคับบัญชามาชี้เแจง
สำหรับนายสุเทพนั้น ถึงขนาดยกประกาศของศอฉ. รวม 4 ข้อใหญ่มาปราม
อาทิ ห้ามชุมนุมกีดขวางการจราจร และการใช้ชีวิตของคนกรุงเทพฯ ห้ามชุมนุมกีดขวางทางเข้าออกอาคาร จนบุคคลทั่วไปใช้ชีวิตปกติไม่ได้ มีพฤติกรรมคุกคามความปลอดภัยหรือทำให้บุคคลทั่วไปไม่ปลอดภัย หรือมีเหตุการณ์รุนแรงต่อเจ้าหน้าที่และบุคคลอื่น
แต่พอถามถึงกรณีที่กลุ่มพันธมิตรฯที่ออกมาชุมนุม เย้ยพ.ร.ก.ก่อนหน้านี้
นายสุเทพก็อ้างว่าเป็นการชุมนุมที่ไม่สร้างความเดือดร้อน
ก่อนหน้านี้ พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกศอฉ. ในฐานะอดีตโฆษกคมช. ก็ออกมาประกาศกร้าวว่าไม่ควรมีการชุมนุมใดๆ เพราะบ้านเมืองกำลังไปด้วยดี
พร้อมทั้งอ้างว่าการนำดอกกุหลาบไปวางหน้าเรือนจำ ทั่วประเทศ ในวันที่ 17 ก.ย. เพื่อรำลึกถึงแกนนำที่ถูกจับกุมจากการสลายม็อบวันที่ 19 พ.ค.
ก็อาจเป็นความผิดฐานละเมิดอำนาจศาลได้
อย่างไรก็ตาม แม้รัฐบาลจะอ้างเรื่องความปรองดอง แต่ในทางปฏิบัติกลุ่มคนเสื้อแดงกลับยังรู้สึกว่าถูกไล่ล่า กดดัน ข่มขู่ จนชีวิตไม่ปกติสุข
การตายอย่างมีเงื่อนงำของการ์ดเสื้อแดงใน จ.นครราช สีมา และ จ.เชียงใหม่ ถูกตั้งข้อสงสัยว่าเป็นการตามเก็บ หรือไล่ล่าหรือไม่
เพราะจนถึงขณะนี้ คดียังไม่มีความคืบหน้า
แถมผู้บังคับการตำรวจบางนายยังออกมาพูดในทำนองข่มขู่อีกว่าถ้ามีหน่วยตามเก็บไล่ล่าจริง ก็คงมีตายมากกว่านี้
ล่าสุด กรณีผู้ว่าราชการจังหวัดนนทบุรี รับสนองจาก นายสุเทพและศอฉ. ด้วยการนำกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจบุก ตรวจค้น ยึดอุปกรณ์การพิมพ์ที่รับพิมพ์สื่อกลุ่มเสื้อแดง ตามพ.ร.ก.ฉุกเฉิน
แถม นายสมยศ พฤกษาเกษมสุข บ.ก.เรด เพาเวอร์ ระบุว่าถูกชายชุดซาฟารี สะกดรอยติดตามตัวและตามไปคุกคามถึงบ้าน
นี่หรือปรองดอง นี่หรือสมานฉันท์ นี่หรือประชา ธิปไตย
*****************************************************************
เหล็กใน
พรรคประชาธิปัตย์ โดย นายสาธิต ปิตุเตชะ กรรมการบริหารพรรค ออกมารับลูกศอฉ. และ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯทันที
กรณีการจัดกิจกรรมรำลึก 4 เดือนการตาย 91 ศพ และครบ 4 ปี การปฏิวัติวันที่ 19 ก.ย.
ซึ่งมาตรงกันพอดี
นายสาธิต กล่าวเตือนผู้ชุมนุมว่าไม่ควรใส่เสื้อสีแดง โดยอ้างว่าจะเป็นชนวนนำไปสู่ความรุนแรงได้
พร้อมกันนี้ ก็เรียกร้องให้เจ้าหน้าที่ตำรวจปฏิบัติหน้าที่ ควบคุมการชุมนุมอย่างเข้มงวด
ถ้าหากทำผิดกฎหมาย ก็ให้จับกุม ดำเนินคดีทันที
ถ้าหากปล่อยปละละเลย หย่อนยาน นายสาธิต ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการการตำรวจคนใหม่ ก็จะเรียกผู้บังคับบัญชามาชี้เแจง
สำหรับนายสุเทพนั้น ถึงขนาดยกประกาศของศอฉ. รวม 4 ข้อใหญ่มาปราม
อาทิ ห้ามชุมนุมกีดขวางการจราจร และการใช้ชีวิตของคนกรุงเทพฯ ห้ามชุมนุมกีดขวางทางเข้าออกอาคาร จนบุคคลทั่วไปใช้ชีวิตปกติไม่ได้ มีพฤติกรรมคุกคามความปลอดภัยหรือทำให้บุคคลทั่วไปไม่ปลอดภัย หรือมีเหตุการณ์รุนแรงต่อเจ้าหน้าที่และบุคคลอื่น
แต่พอถามถึงกรณีที่กลุ่มพันธมิตรฯที่ออกมาชุมนุม เย้ยพ.ร.ก.ก่อนหน้านี้
นายสุเทพก็อ้างว่าเป็นการชุมนุมที่ไม่สร้างความเดือดร้อน
ก่อนหน้านี้ พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกศอฉ. ในฐานะอดีตโฆษกคมช. ก็ออกมาประกาศกร้าวว่าไม่ควรมีการชุมนุมใดๆ เพราะบ้านเมืองกำลังไปด้วยดี
พร้อมทั้งอ้างว่าการนำดอกกุหลาบไปวางหน้าเรือนจำ ทั่วประเทศ ในวันที่ 17 ก.ย. เพื่อรำลึกถึงแกนนำที่ถูกจับกุมจากการสลายม็อบวันที่ 19 พ.ค.
ก็อาจเป็นความผิดฐานละเมิดอำนาจศาลได้
อย่างไรก็ตาม แม้รัฐบาลจะอ้างเรื่องความปรองดอง แต่ในทางปฏิบัติกลุ่มคนเสื้อแดงกลับยังรู้สึกว่าถูกไล่ล่า กดดัน ข่มขู่ จนชีวิตไม่ปกติสุข
การตายอย่างมีเงื่อนงำของการ์ดเสื้อแดงใน จ.นครราช สีมา และ จ.เชียงใหม่ ถูกตั้งข้อสงสัยว่าเป็นการตามเก็บ หรือไล่ล่าหรือไม่
เพราะจนถึงขณะนี้ คดียังไม่มีความคืบหน้า
แถมผู้บังคับการตำรวจบางนายยังออกมาพูดในทำนองข่มขู่อีกว่าถ้ามีหน่วยตามเก็บไล่ล่าจริง ก็คงมีตายมากกว่านี้
ล่าสุด กรณีผู้ว่าราชการจังหวัดนนทบุรี รับสนองจาก นายสุเทพและศอฉ. ด้วยการนำกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจบุก ตรวจค้น ยึดอุปกรณ์การพิมพ์ที่รับพิมพ์สื่อกลุ่มเสื้อแดง ตามพ.ร.ก.ฉุกเฉิน
แถม นายสมยศ พฤกษาเกษมสุข บ.ก.เรด เพาเวอร์ ระบุว่าถูกชายชุดซาฟารี สะกดรอยติดตามตัวและตามไปคุกคามถึงบ้าน
นี่หรือปรองดอง นี่หรือสมานฉันท์ นี่หรือประชา ธิปไตย
*****************************************************************
ฝ่ายประชาธิปไตย พรรคการเมือง และชนชั้นนำ: ข้อคิดเห็นบางประการ
ภาคิไนย์ ชมสินทรัพย์มั่น
นิสิตปริญญาโท คณะรัฐศาสตร์ ภาควิชาปกครอง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
อ่านความเคลื่อนไหวทางการเมืองช่วงนี้แล้วรู้สึกว่าผมต้องออกความคิดอะไรบางอย่าง ความคิดที่ว่านั่นก็คือฝ่ายประชาธิปไตยจะต้องทบทวนความสัมพันธ์ของตนเองกับพรรคการเมืองและชนชั้นนำเสียใหม่..
คำว่า “ฝ่ายประชาธิปไตย” ของผมในที่นี้หมายถึงคนที่ลุกขึ้นมาเพื่อต่อสู้เรียกร้องความเป็นธรรมในทางการเมือง สิทธิ เสรีภาพ รวมไปถึงการเรียกร้องให้เกิดประชาธิปไตยในประเทศทั้งระบบ ขจัดความไร้มาตรฐานในทางการเมือง บังคับใช้กฎหมายอย่างเท่าเทียมกัน ซึ่งในขณะนี้เป็นใครไม่ได้เลยนอกจากขบวน “แดง” ที่เรียกร้องสิ่งเหล่านี้อย่างจริงจัง (ซึ่งผมจะไม่กล่าวถึงข้อบกพร่องในขบวนให้เสียเวลาเพราะก็มองเห็นกันอยู่มากมาย) ..
หลังราชประสงค์แตกเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2553 เป็นต้นมา คนเสื้อแดงเคียดแค้นชิงชังรัฐบาลไปทั่ว รัฐบาลเองก็รู้ว่าตนเองทำอะไรลงไปเมื่อตอนสลายประชาชน ใครยิงใครผมคิดว่าพวกเราต่างรู้กันดีในระดับปรากฏการณ์และตามแต่ละทัศนคติของตนเอง ..
2-3 วันที่ผ่านมา พรรคประชาธิปัตย์อันถือว่าเป็นแกนนำพรรครัฐบาลได้ออกแผนปรองดองระหว่างพรรคการเมืองด้วยกัน ซึ่งมุ่งเป้าไปที่พรรคเพื่อไทย แผนปรองดองดังกล่าวมีหัวใจหลักสำคัญก็คือความต้องการจับมือกันระหว่างพรรคการเมืองเพื่อไปสู่ความปรองดองสมานฉันท์แห่งชาติ โดยเมื่อวันที่ 7 กันยายน 2553 ปลอดประสพ สุรัสวดี รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทยออกแถลงการณ์ว่ามีแนวทางปรองดองที่สอดรับกับรัฐบาลท่ามกลางเสียงคัดค้านระงมจาก สส. ภายในพรรคและสมาชิกพรรคเพื่อไทยว่าการออกแถลงการณ์ดังกล่าวจะทำให้เสียแนวร่วมจากมวลชนเสื้อแดงอันถือว่าเป็นฐานเสียงที่สำคัญที่สุดของพรรคแต่รองหัวหน้าพรรคกลับยืนยันว่าได้พูดคุยกับ “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” แล้ว แต่ในที่สุด พรรคเพื่อไทยก็มีท่าทีว่าขอปรองดองกับรัฐบาลโดยได้ออกแถลงการณ์ 5 ข้อสนับสนุนแผนการดังกล่าว .."
ใครที่ไม่ค่อยติดตามการเมืองก็ยังรู้เลยว่าความสัมพันธ์ระหว่างคนเสื้อแดงกับตระกูลชินวัตรที่มี ทักษิณ ชินวัตร เป็นผู้ที่มีบทบาทอย่างสูงต่อขบวนเสื้อแดงนั้นแนบแน่นเพียงใด ..
การเคลื่อนไหวของรองหัวหน้าพรรคเพื่อไทยเป็นการสะท้อนให้เห็นถึงความคิดและท่าทีของ ทักษิณ ชินวัตร ที่มีต่อสถานการณ์ทางการเมืองในขณะนี้ ผมเดาของผมเองว่าคุณทักษิณคงประเมินอะไรออกหลายประการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกมของชนชั้นนำของฝ่ายการเมืองที่ต้องการ “ปรองดอง” กันเองเพราะสถานการณ์เฉพาะหน้าเรื่องเลือกตั้งและการ “ต่อรอง” ..
หลายอย่างที่ผมพอรู้มาคร่าวๆ ก็คือ การต่อสู้โดยแนวทางมวลชนของเสื้อแดงประสบความพ่ายแพ้หลายต่อหลายครา ในระหว่างทางที่พ่ายแพ้ก็ย่อมต้องมีสิ่งต่างๆ เกิดขึ้นเพื่อเป็นข้อเสนอและข้อต่อรองระหว่างชนชั้นนำด้วยกัน มิพักต้องพูดถึงสถาบันที่อยู่สูงกว่านั้นมีความสลับซับซ้อนที่พวกเราไม่เคยรู้ เกมการเมืองครานี้จึงเปรียบเสมือนการเล่นซ่อนหาท่ามกลางแดนประหารของแต่ละฝ่ายที่ต้องการจัดการกับผู้ที่พ่ายแพ้ออกไปจากเกม ..
ชนชั้นนำของแต่ละฝ่ายจึงต้องการจับมือกันชั่วคราวเพื่อผลประโยชน์ข้างหน้า ในที่นี้ก็คือการเลือกตั้งใหญ่ทั่วไปที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีกปีกว่าๆ นี้ ..
ผมกลัวว่าสิ่งที่เขากำลังจะเฉดหัวทิ้งก็คือพี่น้องที่ออกมาต่อสู้ในทางการเมืองครับ ..
การบาดเจ็บล้มตายถูกคำนวณออกมาเป็นสมการการต่อรองทางการเมืองอันไร้น้ำหนักยิ่ง “แกนนำ” บางคนเชื่อว่าคนเสื้อแดงตายเพื่อประชาธิปไตยแล้วจะได้ “ราคา” ต่อรองกับ “เจ้ามือ” และ “ขาประจำวง” ..
แต่อนิจจา..เขาถูกเจ้ากินเรียบรอบวงในครั้งนี้ ส่วนขาประจำวงก็ได้บ้างเสียบ้างคละกันไป..
พี่น้องที่รักประชาธิปไตยออกมาต่อสู้เรียกร้องบนท้องถนนต้องถูกยกย่องเชิดชูจิตใจว่าพวกเขามีอุดมการณ์ที่เข้มแข็ง ไม่มีสิ่งอื่นใดที่เขาต้องการมากไปกว่าความยุติธรรมและประชาธิปไตย แต่แกนนำ ชนชั้นนำ และฝ่ายการเมืองทั้งหลายที่เป็นแนวร่วมของขบวนก็ย่อมต้องการผลประโยชน์จากการต่อสู้ของพี่น้องประชาชนทุกครั้ง (และทุกสี) ..
เมื่อใดที่ฝ่ายประชาธิปไตยต่อสู้ได้รับชัยชนะ คนที่เข้าไปเสวยสุขก็คือนักการเมืองและชนชั้นนำในทางการเมือง นี่เป็นสิ่งที่เป็นธรรมชาติที่สุดก็จริง แต่ผมต้องการชี้ให้เห็นว่าการต่อสู้ของพี่น้องประชาชนจะต้องไม่ถูกหักหลังจากบุคคลที่เขาอุ้มชู พวกเขาเชื่อมั่นในตัวตนของผู้คนเหล่านั้น พวกเขาสู้เพื่อประชาธิปไตยที่พวกเขาต้องการกำหนดชีวิตของตนเอง กำหนดตัวแทนของตนเองในสภาฯ กำหนดนโยบายของตนเองภายใต้พรรคการเมืองที่เขาเลือก รวมไปถึง “กำหนดอุดมการณ์ประชาธิปไตย” ที่มีประชาชนเป็นเจ้าของประเทศหรืออันเป็น “ระบอบประชาธิปไตยอันมีประชาชนเป็นเจ้าของประเทศ” ..
การกระทำของพรรคเพื่อไทยอันมีมวลชนแดงสนับสนุนเป็นจำนวนมากต้องคำนึงถึงจิตใจของผู้ที่ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย มิใช่พอเห็นว่าฝ่ายประชาธิปไตยทำท่าจะพ่ายแพ้ในแนวทางมวลชนแล้วตนเองจะปฏิเสธขบวนไปจับมือกับศักดินาเพื่อมุ่งผลประโยชน์เฉพาะหน้า ..
แบบนี้เป็นการกระทำที่ไร้ซึ่งความสำนึกต่อการต่อสู้ของประชาชนนะครับ ..
วันนี้ ฝ่ายประชาธิปไตยจะต้องทบทวนความสัมพันธ์ของตนเองกับพรรคการเมืองและชนชั้นนำทางการเมืองเสียใหม่ สิ่งที่เสื้อแดงทำได้ก็คือต้อง “สถาปนาสถาบันแดง” ขึ้นมาให้ได้ อันจะเป็นตัวจุดประกายให้แก่การต่อสู้และการบีบบังคับพรรคการเมืองที่มีฐานของคนเสื้อแดงทำตามที่ขบวนเรียกร้อง ชนชั้นนำจะไม่สามารถปฏิเสธความยินยอมพร้อมใจของมวลชนฐานรากที่พวกเขายืนอยู่ได้หากฐานรากในทางการเมืองเข้มแข็งด้วยตนเอง คิดอะไรได้ด้วยตนเอง กำหนดอุดการณ์ประชาธิปไตยของตนเองได้..
ที่ผมกล้าพูดเช่นนี้ก็เพราะว่ามวลชนแดงที่เราเห็นๆ กันนั้นมีความคิดความอ่านที่ไปไกลมากมายกว่าที่เราสัมผัสจากภายนอก คำว่าไปไกลไม่ใช่เรื่องของการล้มเจ้าล้มสถาบันพระมหากษัตริย์แต่เป็นเรื่องของการสถาปนารัฐไทยที่มีประชาชนเป็นเจ้าของประเทศ คนเสื้อแดงต้องการจัดวางความสัมพันธ์ระหว่างประชาชนและรัฐขึ้นมาใหม่ภายใต้อุดมการณ์ประชาธิปไตย ..
ประชาธิปไตยที่ทุกคนต้อง “เท่าเทียมกัน”
พรรคเพื่อไทยและคุณ ทักษิณ ชินวัตร ต้องเลิกคิดว่าประชาชนเป็นเครื่องมือได้แล้วครับ ..
ที่มา.ประชาไท
************************************************************************
นิสิตปริญญาโท คณะรัฐศาสตร์ ภาควิชาปกครอง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
อ่านความเคลื่อนไหวทางการเมืองช่วงนี้แล้วรู้สึกว่าผมต้องออกความคิดอะไรบางอย่าง ความคิดที่ว่านั่นก็คือฝ่ายประชาธิปไตยจะต้องทบทวนความสัมพันธ์ของตนเองกับพรรคการเมืองและชนชั้นนำเสียใหม่..
คำว่า “ฝ่ายประชาธิปไตย” ของผมในที่นี้หมายถึงคนที่ลุกขึ้นมาเพื่อต่อสู้เรียกร้องความเป็นธรรมในทางการเมือง สิทธิ เสรีภาพ รวมไปถึงการเรียกร้องให้เกิดประชาธิปไตยในประเทศทั้งระบบ ขจัดความไร้มาตรฐานในทางการเมือง บังคับใช้กฎหมายอย่างเท่าเทียมกัน ซึ่งในขณะนี้เป็นใครไม่ได้เลยนอกจากขบวน “แดง” ที่เรียกร้องสิ่งเหล่านี้อย่างจริงจัง (ซึ่งผมจะไม่กล่าวถึงข้อบกพร่องในขบวนให้เสียเวลาเพราะก็มองเห็นกันอยู่มากมาย) ..
หลังราชประสงค์แตกเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2553 เป็นต้นมา คนเสื้อแดงเคียดแค้นชิงชังรัฐบาลไปทั่ว รัฐบาลเองก็รู้ว่าตนเองทำอะไรลงไปเมื่อตอนสลายประชาชน ใครยิงใครผมคิดว่าพวกเราต่างรู้กันดีในระดับปรากฏการณ์และตามแต่ละทัศนคติของตนเอง ..
2-3 วันที่ผ่านมา พรรคประชาธิปัตย์อันถือว่าเป็นแกนนำพรรครัฐบาลได้ออกแผนปรองดองระหว่างพรรคการเมืองด้วยกัน ซึ่งมุ่งเป้าไปที่พรรคเพื่อไทย แผนปรองดองดังกล่าวมีหัวใจหลักสำคัญก็คือความต้องการจับมือกันระหว่างพรรคการเมืองเพื่อไปสู่ความปรองดองสมานฉันท์แห่งชาติ โดยเมื่อวันที่ 7 กันยายน 2553 ปลอดประสพ สุรัสวดี รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทยออกแถลงการณ์ว่ามีแนวทางปรองดองที่สอดรับกับรัฐบาลท่ามกลางเสียงคัดค้านระงมจาก สส. ภายในพรรคและสมาชิกพรรคเพื่อไทยว่าการออกแถลงการณ์ดังกล่าวจะทำให้เสียแนวร่วมจากมวลชนเสื้อแดงอันถือว่าเป็นฐานเสียงที่สำคัญที่สุดของพรรคแต่รองหัวหน้าพรรคกลับยืนยันว่าได้พูดคุยกับ “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” แล้ว แต่ในที่สุด พรรคเพื่อไทยก็มีท่าทีว่าขอปรองดองกับรัฐบาลโดยได้ออกแถลงการณ์ 5 ข้อสนับสนุนแผนการดังกล่าว .."
ใครที่ไม่ค่อยติดตามการเมืองก็ยังรู้เลยว่าความสัมพันธ์ระหว่างคนเสื้อแดงกับตระกูลชินวัตรที่มี ทักษิณ ชินวัตร เป็นผู้ที่มีบทบาทอย่างสูงต่อขบวนเสื้อแดงนั้นแนบแน่นเพียงใด ..
การเคลื่อนไหวของรองหัวหน้าพรรคเพื่อไทยเป็นการสะท้อนให้เห็นถึงความคิดและท่าทีของ ทักษิณ ชินวัตร ที่มีต่อสถานการณ์ทางการเมืองในขณะนี้ ผมเดาของผมเองว่าคุณทักษิณคงประเมินอะไรออกหลายประการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกมของชนชั้นนำของฝ่ายการเมืองที่ต้องการ “ปรองดอง” กันเองเพราะสถานการณ์เฉพาะหน้าเรื่องเลือกตั้งและการ “ต่อรอง” ..
หลายอย่างที่ผมพอรู้มาคร่าวๆ ก็คือ การต่อสู้โดยแนวทางมวลชนของเสื้อแดงประสบความพ่ายแพ้หลายต่อหลายครา ในระหว่างทางที่พ่ายแพ้ก็ย่อมต้องมีสิ่งต่างๆ เกิดขึ้นเพื่อเป็นข้อเสนอและข้อต่อรองระหว่างชนชั้นนำด้วยกัน มิพักต้องพูดถึงสถาบันที่อยู่สูงกว่านั้นมีความสลับซับซ้อนที่พวกเราไม่เคยรู้ เกมการเมืองครานี้จึงเปรียบเสมือนการเล่นซ่อนหาท่ามกลางแดนประหารของแต่ละฝ่ายที่ต้องการจัดการกับผู้ที่พ่ายแพ้ออกไปจากเกม ..
ชนชั้นนำของแต่ละฝ่ายจึงต้องการจับมือกันชั่วคราวเพื่อผลประโยชน์ข้างหน้า ในที่นี้ก็คือการเลือกตั้งใหญ่ทั่วไปที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีกปีกว่าๆ นี้ ..
ผมกลัวว่าสิ่งที่เขากำลังจะเฉดหัวทิ้งก็คือพี่น้องที่ออกมาต่อสู้ในทางการเมืองครับ ..
การบาดเจ็บล้มตายถูกคำนวณออกมาเป็นสมการการต่อรองทางการเมืองอันไร้น้ำหนักยิ่ง “แกนนำ” บางคนเชื่อว่าคนเสื้อแดงตายเพื่อประชาธิปไตยแล้วจะได้ “ราคา” ต่อรองกับ “เจ้ามือ” และ “ขาประจำวง” ..
แต่อนิจจา..เขาถูกเจ้ากินเรียบรอบวงในครั้งนี้ ส่วนขาประจำวงก็ได้บ้างเสียบ้างคละกันไป..
พี่น้องที่รักประชาธิปไตยออกมาต่อสู้เรียกร้องบนท้องถนนต้องถูกยกย่องเชิดชูจิตใจว่าพวกเขามีอุดมการณ์ที่เข้มแข็ง ไม่มีสิ่งอื่นใดที่เขาต้องการมากไปกว่าความยุติธรรมและประชาธิปไตย แต่แกนนำ ชนชั้นนำ และฝ่ายการเมืองทั้งหลายที่เป็นแนวร่วมของขบวนก็ย่อมต้องการผลประโยชน์จากการต่อสู้ของพี่น้องประชาชนทุกครั้ง (และทุกสี) ..
เมื่อใดที่ฝ่ายประชาธิปไตยต่อสู้ได้รับชัยชนะ คนที่เข้าไปเสวยสุขก็คือนักการเมืองและชนชั้นนำในทางการเมือง นี่เป็นสิ่งที่เป็นธรรมชาติที่สุดก็จริง แต่ผมต้องการชี้ให้เห็นว่าการต่อสู้ของพี่น้องประชาชนจะต้องไม่ถูกหักหลังจากบุคคลที่เขาอุ้มชู พวกเขาเชื่อมั่นในตัวตนของผู้คนเหล่านั้น พวกเขาสู้เพื่อประชาธิปไตยที่พวกเขาต้องการกำหนดชีวิตของตนเอง กำหนดตัวแทนของตนเองในสภาฯ กำหนดนโยบายของตนเองภายใต้พรรคการเมืองที่เขาเลือก รวมไปถึง “กำหนดอุดมการณ์ประชาธิปไตย” ที่มีประชาชนเป็นเจ้าของประเทศหรืออันเป็น “ระบอบประชาธิปไตยอันมีประชาชนเป็นเจ้าของประเทศ” ..
การกระทำของพรรคเพื่อไทยอันมีมวลชนแดงสนับสนุนเป็นจำนวนมากต้องคำนึงถึงจิตใจของผู้ที่ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย มิใช่พอเห็นว่าฝ่ายประชาธิปไตยทำท่าจะพ่ายแพ้ในแนวทางมวลชนแล้วตนเองจะปฏิเสธขบวนไปจับมือกับศักดินาเพื่อมุ่งผลประโยชน์เฉพาะหน้า ..
แบบนี้เป็นการกระทำที่ไร้ซึ่งความสำนึกต่อการต่อสู้ของประชาชนนะครับ ..
วันนี้ ฝ่ายประชาธิปไตยจะต้องทบทวนความสัมพันธ์ของตนเองกับพรรคการเมืองและชนชั้นนำทางการเมืองเสียใหม่ สิ่งที่เสื้อแดงทำได้ก็คือต้อง “สถาปนาสถาบันแดง” ขึ้นมาให้ได้ อันจะเป็นตัวจุดประกายให้แก่การต่อสู้และการบีบบังคับพรรคการเมืองที่มีฐานของคนเสื้อแดงทำตามที่ขบวนเรียกร้อง ชนชั้นนำจะไม่สามารถปฏิเสธความยินยอมพร้อมใจของมวลชนฐานรากที่พวกเขายืนอยู่ได้หากฐานรากในทางการเมืองเข้มแข็งด้วยตนเอง คิดอะไรได้ด้วยตนเอง กำหนดอุดการณ์ประชาธิปไตยของตนเองได้..
ที่ผมกล้าพูดเช่นนี้ก็เพราะว่ามวลชนแดงที่เราเห็นๆ กันนั้นมีความคิดความอ่านที่ไปไกลมากมายกว่าที่เราสัมผัสจากภายนอก คำว่าไปไกลไม่ใช่เรื่องของการล้มเจ้าล้มสถาบันพระมหากษัตริย์แต่เป็นเรื่องของการสถาปนารัฐไทยที่มีประชาชนเป็นเจ้าของประเทศ คนเสื้อแดงต้องการจัดวางความสัมพันธ์ระหว่างประชาชนและรัฐขึ้นมาใหม่ภายใต้อุดมการณ์ประชาธิปไตย ..
ประชาธิปไตยที่ทุกคนต้อง “เท่าเทียมกัน”
พรรคเพื่อไทยและคุณ ทักษิณ ชินวัตร ต้องเลิกคิดว่าประชาชนเป็นเครื่องมือได้แล้วครับ ..
ที่มา.ประชาไท
************************************************************************
วันจันทร์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2553
"ผู้การเชียงใหม่"เผย"กรมรบพิเศษ" เคยโดนบึ้ม2หน ลั่นจะใช้วิธี"ใต้ดิน"โต้กลับบ้าง รับมี"แกนนำชุดดำ"เคลื่อน
มติชนออนไลน์
ตร.เร่งแกะรอยข้อมูลรถถล่มเอ็ม79 บ้านพ่อตาเนวิน "ผู้การเชียงใหม่"ชี้ยังไม่ถึงขั้นใช้"ฉุกเฉิน" เผย"กรมรบพิเศษ"เจอถล่มจริง2ครั้ง หวังเป็นข่าว หนแรกปิดเงียบ ครั้งสองยิงเพิ่มเป็นข่าวสมใจ ยันมีข่าวแผนฆ่า"นายกฯ-รมต."ต้องคุมเข้ม
ตร.ได้เค้ารถยิงบ้านพ่อตาเนวิน
ตำรวจเชียงใหม่เร่งสืบสวนหาคนร้ายยิงลูกระบิดเอ็ม 79 ใส่บริษัทเชียงใหม่คอนสตรัคชั่น จำกัด เลขที่ 30 ถนนมหิดล ต.หายยา อ.เมือง จ.เชียงใหม่ ของนายคะแนน สุภา พ่อตานายเนวิน ชิดชอบ แกนนำกลุ่มเพื่อนเนวิน พรรคภูมิใจไทย(ภท.) เมื่อกลางดึกวันที่ 12 กันยายนทีผ่านมา ทั้งนี้พ.ต.อ.สุวัฒน์ แก้วดวงโต ผกก.สภ.ภูพิงคราชนิเวศน์ อ.เมืองเชียงใหม่ ผู้รับผิดชอบพื้นที่เกิดเหตุให้สัมภาษณ์ เมื่อวันที่ 13 กันยายนว่า เจ้าหน้าที่กำลังเร่งตรวจสอบภาพวงจรปิดบริเวณโดยรอบ ทั้งของเทศบาลนครเชียงใหม่และจุดต่างๆ เบื้องต้นได้ข้อมูลเกี่ยวกับรถของคนร้ายที่ลงมือก่อเหตุ แต่ภาพยังไม่ชัดกำลังพยายามแกะรอย แต่เท่าที่ดูลูกระเบิดถูกต้นไม้ น่าเชื่อว่าคนร้ายจะยิงมาจากด้านหน้าตรงๆ ตัวอาคาร เพียงแต่อยู่ฝั่งตรงข้ามถนนหน้าเต้นท์รถ ส่วนภาพวงจรปิดของบริษัทเชียงใหม่คอนสตรัคชั่นฯเร่งตรวจสอบอยู่ แต่ไม่ค่อยได้อะไรที่เป็นประโยชน์ต่อรูปคดีมาก เพราะเห็นแต่ภายในตัวบ้านไม่ใช่ภาพภายนอก
ขณะที่นายคะแนน สุภา พ่อตานายเนวิน กล่าวภายหลังมีกระแสข่าวลือว่าจะมีการยิงลูกระเบิดเอ็ม 79 ยิงใส่บริษัทฯซ้ำอีก 1 ลูกว่า ไม่มี แค่เพียงลูกเดียวก็พอแล้ว อย่าทำอีกเลย เพราะข่าวที่ออกไป จ.เชียงใหม่เสียหายหมด ส่วนการซ่อมแซมหลังคาที่เสียหายเป็นรูพรุนกำลังรอช่างดำเนินการส่วนคดีคงต้องรอตำรวจ
ผู้การเชียงใหม่ยังไม่ใช่ฉุกเฉิน
ด้าน พล.ต.ต.สมหมาย กองวิสัยสุข ผบก.ภ.จว.เชียงใหม่ กล่าวว่าคดียิงเอ็ม79ใส่บ้านพ่อตานายเนวินยังไม่ทราบจะโยงกับการเมืองหรือเป็นประเด็นอะไร เพราะความจริงนายคะแนนไม่เคยยุ่งเรื่องนี้เลย ที่ผ่านมาใครขออะไรก็ให้ ไม่เคยไปกดดันใคร มีแต่นายคะแนนถูกกดดัน หากใครเป็นนายคะแนนก็คงไม่สบายใจ โชคดีที่ตำรวจสามารถจับกุมสองสามีภรรยาซึ่งเคยขว้างระเบิดเพลิงและเผายางรถยนต์หน้าบริษัทนี้ในวันที่ 19 พฤษภาคมที่ผ่านมาได้แล้ว
"ในทางคดีคงต้องขอความชัดเจนก่อน เพราะนี่ไม่ใช่การขว้าง แต่เป็นการยิงจากระยะ 400 เมตรวิถีไกลได้ ซึ่งคนยิงไม่จำเป็นต้องมืออาชีพก็ได้ แค่มาฝึกก็ทำได้แล้ว แต่เท่าที่ดูสถานการณ์ในขณะนี้ยังไม่มีอะไร ไม่จำเป็นต้องขอใช้พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548(พ.ร.ก.ฉุกเฉิน) ยกเว้นจะมีอะไรรุนแรงไปมากกว่านี้ เพราะพฤติกรรมยังเหมือนเดิมแต่กล้ามากขึ้น เช่นเปลี่ยนจากกองบัญชาการตำรวจภาค 5 ไปเป็นกรมรบพิเศษที่ 5 แต่ก็ไปคิดแทนคนทำไม่ได้ว่าทำเพื่อหวังอะไร"ผบก.ภ.เชียงใหม่ระบุ
เผยกรมรบพิเศษเจอถล่ม2ครั้ง
พล.ต.ต.สมหมาย กล่าวว่ากรณีกรมรบพิเศษที่ 5 ยังตรวจสอบลำบาก เพราะรถก่อเหตุวิ่งออกนอกเมือง คนทำเลือกเวลาลงมือ ที่ผ่านมามีฝนตกทำให้มองไม่เห็นอะไรมากนักจากภาพวงจรปิด ที่สำคัญเป้าหมายเป็นสถานที่ไม่ใช่ตัวบุคคล ในทางคดีบางอย่างพูดไม่ได้ เพราะเป็นความมั่นคงของประเทศ แต่ไม่ใช่ตำรวจไม่ทำงาน เมื่อมาใต้ดินก็ต้องดำเนินการใต้ดินเช่นกัน เพราะเหตุที่กรมรบพิเศษมีมาแล้วรวม 2 ครั้ง แต่ครั้งแรกไม่เป็นข่าว พอครั้งที่สองเขาก็พยายามยิงเพิ่มให้มาก จุดประสงค์คือเพื่อบีบให้เป็นข่าวและก็เป็นข่าวสมใจ
"ปัญหาคือเราไม่รู้ว่าเรารบกับใคร มาตรการที่เราทำมีอยู่ตลอดไม่เคยปล่อย โดยเฉพาะการกวาดล้างอาวุธสงครามทำมาตลอด 2 ปีนี้ ตรวจยึดจับกุมได้มาก การนำออกมาใช้แสดงว่ามีการขยายให้รุนแรง เพราะเป็นอาวุธหนักไม่ธรรมดา ในแง่การข่าวเป็นไปได้ที่จะมีการลงมือปฏิบัติการอีก แต่ไม่รู้ว่าจุดตรงไหน ซึ่งเจ้าหน้าที่ก็ยกระดับความเข้มงวดมากจนประชาชนไม่รู้สึก เพียงแค่ไม่มีทหารออกมาตั้งด่านรวมหรือมีอุปกรณ์กีดขวางมวลชนมาวางป้องกันไว้ เพราะไม่อยากให้นักท่องเที่ยวรู้สึกว่าอยู่ในภาวะสงครามเท่านั้น ทำให้การยกระดับทำได้เพียงระดับกลาง และต้องเพิ่มประสิทธิภาพคนหาข่าวให้มากขึ้น"ผบก.ภ.เชียงใหม่ระบุ
ยอมรับมีกองกำลังชายชุดดำ
พล.ต.ต.สมหมาย กล่าวว่า ยอมรับว่าเชียงใหม่มีกองกำลังชายชุดดำอยู่ แต่ก็เป็นกลุ่มเดิมซึ่งไม่ใช่นักเลงหัวไม้ แต่เป็นคนมีความรู้จัดตั้งมาแล้ว แต่รับรองว่าเชียงใหม่จะไม่มีทางเหมือน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้แน่ เพราะทุกวันนี้สภาพเศรษฐกิจก็แย่พอแล้วคงไม่มีใครยอม เพียงไม่อยากให้ประชาชนตื่นตระหนก โดยเฉพาะการรวมพลังของคนเสื้อแดงในวันที่ 19 กันยายนนี้ เป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่รัฐที่จะดูแลประชาชน ตำรวจพร้อมรับสถานการณ์ มั่นใจว่าจะไม่มีเหตุการณ์รุนแรงเหมือนตอนถูกกระชับพื้นที่ เพียงแต่ขอร้องให้ประชาชนช่วยเป็นตาให้ หากพบอะไรน่าสงสัยให้รีบแจ้งเราไปตรวจสอบ
ยันมีข่าวแผนฆ่า"นายกฯ-รมต."
"มีมานานแล้วเรื่องข่าวแผนสังหารนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีในการร่วมประชุมใหญ่ๆ เพราะไม่อย่างนั้นคงไม่มีการคุมเข้มกันอย่างหนักแบบนี้ เวลานายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีเดินทางไปที่ไหนก็ตาม แต่ทั้งนี้ต้องไม่ตื่นหากแต่วางแผนป้องกันและรับมือให้เต็มที่"ผบก.ภ.เชียงใหม่ระบุ
ทั้งนี้มีรายงานข่าวว่า นายอมรพันธุ์ นิมานันท์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งอยู่ระหว่างลาราชการไปต่างประเทศ มีคำสั่งด่วนให้ กอ.รมน.(กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน)จ.เชียงใหม่ นัดประชุมหน่วยหลักและหน่วยข่าวทุกหน่วย เพื่อวิเคราะห์สถานการณ์อย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะการเคลื่อนไหวของกลุ่มคนเสื้อแดง(กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือ กลุ่มนปช.)ที่จะใช้พื้นที่ จ.เชียงใหม่ จัดกิจกรรมช่วงวันที่ 18-19 กันยายนนี้ และอาจมีเหตุไม่น่าไว้วางใจเกิดขึ้น จึงมีความห่วงใยอย่างมาก และให้นำข้อมูลเข้ารายงานในการประชุมหน่วยงานความมั่นคงในบ่ายวันที่ 14 กันยายนนี้ โดยเน้นให้หัวหน้าหน่วยที่สามารถตัดสินใจได้เข้าที่ประชุมพร้อมกัน
พบระเบิดลูกเกลี้ยงซุกหวังป่วน
ต่อมา เวลา 11.30 น.ศูนย์วิทยุลำพูน รับแจ้งจากชาวบ้านพบวัตถุต้องสงสัยถูกทิ้งไว้ข้างเสาไฟฟ้า บริเวณศาลาที่พักริมทาง หมู่ 3 บ้านสันกับตอง ต.อุโมงค์ อ.เมือง จ.ลำพูน จึงประสานชุดเก็บกู้ระเบิด สภ.เมืองลำพูน นำโดย ด.ต.ถนอม สุวรรณภา รุดไปตรวจสอบพบถุงพลาสติกสีขาว ข้างในมีถ้วยมาม่าคัพที่กินแล้ว ด้านในมีวัตถุต้องสงสัยพันด้วยผ้าขาวไว้ จึงแกะตรวจดู พบเป็นลูกระเบิด เอ็ม-69 ผิวเกลี้ยง อยู่ในสภาพพร้อมใช้งานได้ตลอดเวลา คาดเป็นฝีมือของกลุ่มผู้ที่ต้องการสร้างความปั่นป่วนในพื้นที่ จ.เชียงใหม่ หรือวัยรุ่นกวนเมือง แต่เนื่องจากว่ายังไม่ต้องการใช้ จึงนำมาทิ้งไว้บริเวณดังกล่าวซึ่งเป็นรอยต่อระหว่างจ.เชียงใหม่และลำพูน อยู่ห่างจาก จ.เชียงใหม่ ไม่ถึง 1 กิโลเมตร จึงเก็บระเบิดไว้ตรวจสอบอีกครั้ง
"มาร์ค"พร้อมดูจว.ขอใช้"ฉุกเฉิน"
วันเดียวกัน ที่โรงแรมอิมพีเรียล ควีนส์ปาร์ค เวลา 10.30 น. นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงความเป็นไปได้ประกาศใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉินในจังหวัดที่ยกเลิกไปแล้วอีกครั้งหลังเกิดเหตุลอบวางระเบิดอย่างต่อเนื่อง ว่า ถ้าผู้ปฏิบัติมีความจำเป็น หรือมีความต้องการอะไร สามารถเสนอมาได้ผ่านทางศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) และตนจะลองพิจารณาดู แต่ความพยายามของรัฐบาลคือพยายามให้บริหารจัดการให้ได้ภายใต้กฎหมายปกติ
ผู้สื่อข่าวถามว่าขณะนี้มีรายงานหรือไม่ว่าจังหวัดที่ยกเลิกพ.ร.ก.ฉุกเฉินไปแล้วเสนอให้กลับมาใช้กฎหมายดังกล่าวอีกครั้ง นายอภิสิทธิ์กล่าวว่ายังไม่มีจังหวัดไหนที่ชัดเจนขนาดนั้น อย่างเมื่อวันที่ 12 กันยายนที่ผ่านมาเดินทางไปจ.นครปฐม พูดคุยกับม.ล. ปนัดดา ดิศกุล ผู้ว่าฯนครปฐม ชี้แจงว่าเมื่อยกเลิกพ.ร.ก.ฉุกเฉินไปแล้วก็ไม่มีปัญหาอะไร
ชี้ยิงบ้านพ่อตาเนวินมุ่งสัญลักษณ์
เมื่อถามว่าเหตุการณ์ดูจะพุ่งเป้าไปที่ตัวนักการเมือง ล่าสุดยิงระเบิดใส่บ้านพักพ่อตาของนายเนวิน นายอภิสิทธิ์กล่าวว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก็มีปัญหามุ่งทำในเชิงสัญลักษณ์บ้าง ทำจริงบ้าง เรื่องเหล่านี้ทุกคนคงทราบดี รัฐบาลก็ต้องระมัดระวังและแก้ไขกันไป ส่วนกรณีวิทยุชุมชนจ.เชียงใหม่ที่เคยถูกปิดไปแล้วปัจจุบันกลับมาเปิดขึ้นมาใหม่นั้น นายอภิสิทธิ์กล่าวว่าถ้าเปิดใหม่แล้วมีปัญหาก็ดำเนินการตามกฎหมายได้อยู่แล้ว เพราะตอนนี้คณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) และตำรวจมีระบบดูแล ขอให้มีการแจ้งเบาะแสเข้าไป
เมื่อถามว่าหนังสือพิมพ์เรดนิวส์ที่ถูกศอฉ.สั่งปิดก็เตรียมไปเปิดตัวที่จ.เชียงใหม่ด้วย นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า อะไรที่ผิดกฎหมายก็ทำไม่ได้ อะไรที่ถูกกฎหมายก็สามารถทำได้ แต่ละกรณีไม่เหมือนกัน บางเรื่องต้องยอมรับว่าถ้าต้นทุนต่ำ และระบบต่างๆ ค่อนข้างเสรี ก็เป็นปัญหา
"ป๊อก"ย้ำไม่ใช้ฉุกเฉินเชียงใหม่
ที่กองการบิน กรมการขนส่งทหารบก(ขส.ทบ.) พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ให้สัมภาษณ์ก่อนลงพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้กรณียิงระเบิดเอ็ม 79 ที่ จ.เชียงใหม่ ว่า เป็นการสร้างสถานการณ์การยิงลูกระเบิดเอ็ม 79 ไปในสถานที่ต่างๆ การป้องกันของหน่วยทหารถือว่าเป็นเชิงรับ ตรวจดูแลได้เพียงสังเกตการณ์ เพราะจุดที่คนร้ายลอบยิงเอ็ม 79 มาจากรัศมีทำการ 400 กว่าหลา ถ้าจะให้ป้องกันได้ผล ต้องนำกำลังทหารไปวางไว้ในรัศมีที่สามารถยิงได้ ขณะนี้ยังไม่เหมาะสมในการไปวางกำลัง เพราะติดเรื่องกฎหมายรองรับ และพ.ร.ก.ฉุกเฉินก็ถูกยกเลิกไปแล้ว
"ตอนนี้ทำได้คืออยู่ในที่ตั้ง และเฝ้าตรวจตราระมัดระวัง และถึงแม้ว่าจะนำกำลังออกไปวางไว้ข้างนอก แต่การใช้อาวุธก็ยังมีขอบเขต เนื่องจากไม่มีกฎหมายรองรับ ซึ่งเมื่อใช้กฎหมายปกติไม่ว่าจุดใดในประเทศไทย เว้นแต่ในหน่วยทหาร คงต้องให้ตำรวจดูแล แต่การประกาศใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ใน จ.เชียงใหม่อีกครั้งคงไม่เหมาะสม เหมือนที่นายอภิสิทธิ์ ระบุ เพราะจะส่งผลกระทบต่อคนโดยร่วมใน จ.เชียงใหม่ เมื่อไม่มีการใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉิน แต่ทางตำรวจสามารถร้องขอให้ทหารเป็นผู้ช่วยเจ้าพนักงานได้ ซึ่งตามจุดต่างๆที่ตำรวจปฏิบัติงาน ทหารจะเป็นผู้ช่วยเจ้าพนักงานในจุดนั้น”ผบ.ทบ.ระบุ
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ตร.เร่งแกะรอยข้อมูลรถถล่มเอ็ม79 บ้านพ่อตาเนวิน "ผู้การเชียงใหม่"ชี้ยังไม่ถึงขั้นใช้"ฉุกเฉิน" เผย"กรมรบพิเศษ"เจอถล่มจริง2ครั้ง หวังเป็นข่าว หนแรกปิดเงียบ ครั้งสองยิงเพิ่มเป็นข่าวสมใจ ยันมีข่าวแผนฆ่า"นายกฯ-รมต."ต้องคุมเข้ม
ตร.ได้เค้ารถยิงบ้านพ่อตาเนวิน
ตำรวจเชียงใหม่เร่งสืบสวนหาคนร้ายยิงลูกระบิดเอ็ม 79 ใส่บริษัทเชียงใหม่คอนสตรัคชั่น จำกัด เลขที่ 30 ถนนมหิดล ต.หายยา อ.เมือง จ.เชียงใหม่ ของนายคะแนน สุภา พ่อตานายเนวิน ชิดชอบ แกนนำกลุ่มเพื่อนเนวิน พรรคภูมิใจไทย(ภท.) เมื่อกลางดึกวันที่ 12 กันยายนทีผ่านมา ทั้งนี้พ.ต.อ.สุวัฒน์ แก้วดวงโต ผกก.สภ.ภูพิงคราชนิเวศน์ อ.เมืองเชียงใหม่ ผู้รับผิดชอบพื้นที่เกิดเหตุให้สัมภาษณ์ เมื่อวันที่ 13 กันยายนว่า เจ้าหน้าที่กำลังเร่งตรวจสอบภาพวงจรปิดบริเวณโดยรอบ ทั้งของเทศบาลนครเชียงใหม่และจุดต่างๆ เบื้องต้นได้ข้อมูลเกี่ยวกับรถของคนร้ายที่ลงมือก่อเหตุ แต่ภาพยังไม่ชัดกำลังพยายามแกะรอย แต่เท่าที่ดูลูกระเบิดถูกต้นไม้ น่าเชื่อว่าคนร้ายจะยิงมาจากด้านหน้าตรงๆ ตัวอาคาร เพียงแต่อยู่ฝั่งตรงข้ามถนนหน้าเต้นท์รถ ส่วนภาพวงจรปิดของบริษัทเชียงใหม่คอนสตรัคชั่นฯเร่งตรวจสอบอยู่ แต่ไม่ค่อยได้อะไรที่เป็นประโยชน์ต่อรูปคดีมาก เพราะเห็นแต่ภายในตัวบ้านไม่ใช่ภาพภายนอก
ขณะที่นายคะแนน สุภา พ่อตานายเนวิน กล่าวภายหลังมีกระแสข่าวลือว่าจะมีการยิงลูกระเบิดเอ็ม 79 ยิงใส่บริษัทฯซ้ำอีก 1 ลูกว่า ไม่มี แค่เพียงลูกเดียวก็พอแล้ว อย่าทำอีกเลย เพราะข่าวที่ออกไป จ.เชียงใหม่เสียหายหมด ส่วนการซ่อมแซมหลังคาที่เสียหายเป็นรูพรุนกำลังรอช่างดำเนินการส่วนคดีคงต้องรอตำรวจ
ผู้การเชียงใหม่ยังไม่ใช่ฉุกเฉิน
ด้าน พล.ต.ต.สมหมาย กองวิสัยสุข ผบก.ภ.จว.เชียงใหม่ กล่าวว่าคดียิงเอ็ม79ใส่บ้านพ่อตานายเนวินยังไม่ทราบจะโยงกับการเมืองหรือเป็นประเด็นอะไร เพราะความจริงนายคะแนนไม่เคยยุ่งเรื่องนี้เลย ที่ผ่านมาใครขออะไรก็ให้ ไม่เคยไปกดดันใคร มีแต่นายคะแนนถูกกดดัน หากใครเป็นนายคะแนนก็คงไม่สบายใจ โชคดีที่ตำรวจสามารถจับกุมสองสามีภรรยาซึ่งเคยขว้างระเบิดเพลิงและเผายางรถยนต์หน้าบริษัทนี้ในวันที่ 19 พฤษภาคมที่ผ่านมาได้แล้ว
"ในทางคดีคงต้องขอความชัดเจนก่อน เพราะนี่ไม่ใช่การขว้าง แต่เป็นการยิงจากระยะ 400 เมตรวิถีไกลได้ ซึ่งคนยิงไม่จำเป็นต้องมืออาชีพก็ได้ แค่มาฝึกก็ทำได้แล้ว แต่เท่าที่ดูสถานการณ์ในขณะนี้ยังไม่มีอะไร ไม่จำเป็นต้องขอใช้พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548(พ.ร.ก.ฉุกเฉิน) ยกเว้นจะมีอะไรรุนแรงไปมากกว่านี้ เพราะพฤติกรรมยังเหมือนเดิมแต่กล้ามากขึ้น เช่นเปลี่ยนจากกองบัญชาการตำรวจภาค 5 ไปเป็นกรมรบพิเศษที่ 5 แต่ก็ไปคิดแทนคนทำไม่ได้ว่าทำเพื่อหวังอะไร"ผบก.ภ.เชียงใหม่ระบุ
เผยกรมรบพิเศษเจอถล่ม2ครั้ง
พล.ต.ต.สมหมาย กล่าวว่ากรณีกรมรบพิเศษที่ 5 ยังตรวจสอบลำบาก เพราะรถก่อเหตุวิ่งออกนอกเมือง คนทำเลือกเวลาลงมือ ที่ผ่านมามีฝนตกทำให้มองไม่เห็นอะไรมากนักจากภาพวงจรปิด ที่สำคัญเป้าหมายเป็นสถานที่ไม่ใช่ตัวบุคคล ในทางคดีบางอย่างพูดไม่ได้ เพราะเป็นความมั่นคงของประเทศ แต่ไม่ใช่ตำรวจไม่ทำงาน เมื่อมาใต้ดินก็ต้องดำเนินการใต้ดินเช่นกัน เพราะเหตุที่กรมรบพิเศษมีมาแล้วรวม 2 ครั้ง แต่ครั้งแรกไม่เป็นข่าว พอครั้งที่สองเขาก็พยายามยิงเพิ่มให้มาก จุดประสงค์คือเพื่อบีบให้เป็นข่าวและก็เป็นข่าวสมใจ
"ปัญหาคือเราไม่รู้ว่าเรารบกับใคร มาตรการที่เราทำมีอยู่ตลอดไม่เคยปล่อย โดยเฉพาะการกวาดล้างอาวุธสงครามทำมาตลอด 2 ปีนี้ ตรวจยึดจับกุมได้มาก การนำออกมาใช้แสดงว่ามีการขยายให้รุนแรง เพราะเป็นอาวุธหนักไม่ธรรมดา ในแง่การข่าวเป็นไปได้ที่จะมีการลงมือปฏิบัติการอีก แต่ไม่รู้ว่าจุดตรงไหน ซึ่งเจ้าหน้าที่ก็ยกระดับความเข้มงวดมากจนประชาชนไม่รู้สึก เพียงแค่ไม่มีทหารออกมาตั้งด่านรวมหรือมีอุปกรณ์กีดขวางมวลชนมาวางป้องกันไว้ เพราะไม่อยากให้นักท่องเที่ยวรู้สึกว่าอยู่ในภาวะสงครามเท่านั้น ทำให้การยกระดับทำได้เพียงระดับกลาง และต้องเพิ่มประสิทธิภาพคนหาข่าวให้มากขึ้น"ผบก.ภ.เชียงใหม่ระบุ
ยอมรับมีกองกำลังชายชุดดำ
พล.ต.ต.สมหมาย กล่าวว่า ยอมรับว่าเชียงใหม่มีกองกำลังชายชุดดำอยู่ แต่ก็เป็นกลุ่มเดิมซึ่งไม่ใช่นักเลงหัวไม้ แต่เป็นคนมีความรู้จัดตั้งมาแล้ว แต่รับรองว่าเชียงใหม่จะไม่มีทางเหมือน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้แน่ เพราะทุกวันนี้สภาพเศรษฐกิจก็แย่พอแล้วคงไม่มีใครยอม เพียงไม่อยากให้ประชาชนตื่นตระหนก โดยเฉพาะการรวมพลังของคนเสื้อแดงในวันที่ 19 กันยายนนี้ เป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่รัฐที่จะดูแลประชาชน ตำรวจพร้อมรับสถานการณ์ มั่นใจว่าจะไม่มีเหตุการณ์รุนแรงเหมือนตอนถูกกระชับพื้นที่ เพียงแต่ขอร้องให้ประชาชนช่วยเป็นตาให้ หากพบอะไรน่าสงสัยให้รีบแจ้งเราไปตรวจสอบ
ยันมีข่าวแผนฆ่า"นายกฯ-รมต."
"มีมานานแล้วเรื่องข่าวแผนสังหารนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีในการร่วมประชุมใหญ่ๆ เพราะไม่อย่างนั้นคงไม่มีการคุมเข้มกันอย่างหนักแบบนี้ เวลานายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีเดินทางไปที่ไหนก็ตาม แต่ทั้งนี้ต้องไม่ตื่นหากแต่วางแผนป้องกันและรับมือให้เต็มที่"ผบก.ภ.เชียงใหม่ระบุ
ทั้งนี้มีรายงานข่าวว่า นายอมรพันธุ์ นิมานันท์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งอยู่ระหว่างลาราชการไปต่างประเทศ มีคำสั่งด่วนให้ กอ.รมน.(กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน)จ.เชียงใหม่ นัดประชุมหน่วยหลักและหน่วยข่าวทุกหน่วย เพื่อวิเคราะห์สถานการณ์อย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะการเคลื่อนไหวของกลุ่มคนเสื้อแดง(กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือ กลุ่มนปช.)ที่จะใช้พื้นที่ จ.เชียงใหม่ จัดกิจกรรมช่วงวันที่ 18-19 กันยายนนี้ และอาจมีเหตุไม่น่าไว้วางใจเกิดขึ้น จึงมีความห่วงใยอย่างมาก และให้นำข้อมูลเข้ารายงานในการประชุมหน่วยงานความมั่นคงในบ่ายวันที่ 14 กันยายนนี้ โดยเน้นให้หัวหน้าหน่วยที่สามารถตัดสินใจได้เข้าที่ประชุมพร้อมกัน
พบระเบิดลูกเกลี้ยงซุกหวังป่วน
ต่อมา เวลา 11.30 น.ศูนย์วิทยุลำพูน รับแจ้งจากชาวบ้านพบวัตถุต้องสงสัยถูกทิ้งไว้ข้างเสาไฟฟ้า บริเวณศาลาที่พักริมทาง หมู่ 3 บ้านสันกับตอง ต.อุโมงค์ อ.เมือง จ.ลำพูน จึงประสานชุดเก็บกู้ระเบิด สภ.เมืองลำพูน นำโดย ด.ต.ถนอม สุวรรณภา รุดไปตรวจสอบพบถุงพลาสติกสีขาว ข้างในมีถ้วยมาม่าคัพที่กินแล้ว ด้านในมีวัตถุต้องสงสัยพันด้วยผ้าขาวไว้ จึงแกะตรวจดู พบเป็นลูกระเบิด เอ็ม-69 ผิวเกลี้ยง อยู่ในสภาพพร้อมใช้งานได้ตลอดเวลา คาดเป็นฝีมือของกลุ่มผู้ที่ต้องการสร้างความปั่นป่วนในพื้นที่ จ.เชียงใหม่ หรือวัยรุ่นกวนเมือง แต่เนื่องจากว่ายังไม่ต้องการใช้ จึงนำมาทิ้งไว้บริเวณดังกล่าวซึ่งเป็นรอยต่อระหว่างจ.เชียงใหม่และลำพูน อยู่ห่างจาก จ.เชียงใหม่ ไม่ถึง 1 กิโลเมตร จึงเก็บระเบิดไว้ตรวจสอบอีกครั้ง
"มาร์ค"พร้อมดูจว.ขอใช้"ฉุกเฉิน"
วันเดียวกัน ที่โรงแรมอิมพีเรียล ควีนส์ปาร์ค เวลา 10.30 น. นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงความเป็นไปได้ประกาศใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉินในจังหวัดที่ยกเลิกไปแล้วอีกครั้งหลังเกิดเหตุลอบวางระเบิดอย่างต่อเนื่อง ว่า ถ้าผู้ปฏิบัติมีความจำเป็น หรือมีความต้องการอะไร สามารถเสนอมาได้ผ่านทางศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) และตนจะลองพิจารณาดู แต่ความพยายามของรัฐบาลคือพยายามให้บริหารจัดการให้ได้ภายใต้กฎหมายปกติ
ผู้สื่อข่าวถามว่าขณะนี้มีรายงานหรือไม่ว่าจังหวัดที่ยกเลิกพ.ร.ก.ฉุกเฉินไปแล้วเสนอให้กลับมาใช้กฎหมายดังกล่าวอีกครั้ง นายอภิสิทธิ์กล่าวว่ายังไม่มีจังหวัดไหนที่ชัดเจนขนาดนั้น อย่างเมื่อวันที่ 12 กันยายนที่ผ่านมาเดินทางไปจ.นครปฐม พูดคุยกับม.ล. ปนัดดา ดิศกุล ผู้ว่าฯนครปฐม ชี้แจงว่าเมื่อยกเลิกพ.ร.ก.ฉุกเฉินไปแล้วก็ไม่มีปัญหาอะไร
ชี้ยิงบ้านพ่อตาเนวินมุ่งสัญลักษณ์
เมื่อถามว่าเหตุการณ์ดูจะพุ่งเป้าไปที่ตัวนักการเมือง ล่าสุดยิงระเบิดใส่บ้านพักพ่อตาของนายเนวิน นายอภิสิทธิ์กล่าวว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก็มีปัญหามุ่งทำในเชิงสัญลักษณ์บ้าง ทำจริงบ้าง เรื่องเหล่านี้ทุกคนคงทราบดี รัฐบาลก็ต้องระมัดระวังและแก้ไขกันไป ส่วนกรณีวิทยุชุมชนจ.เชียงใหม่ที่เคยถูกปิดไปแล้วปัจจุบันกลับมาเปิดขึ้นมาใหม่นั้น นายอภิสิทธิ์กล่าวว่าถ้าเปิดใหม่แล้วมีปัญหาก็ดำเนินการตามกฎหมายได้อยู่แล้ว เพราะตอนนี้คณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) และตำรวจมีระบบดูแล ขอให้มีการแจ้งเบาะแสเข้าไป
เมื่อถามว่าหนังสือพิมพ์เรดนิวส์ที่ถูกศอฉ.สั่งปิดก็เตรียมไปเปิดตัวที่จ.เชียงใหม่ด้วย นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า อะไรที่ผิดกฎหมายก็ทำไม่ได้ อะไรที่ถูกกฎหมายก็สามารถทำได้ แต่ละกรณีไม่เหมือนกัน บางเรื่องต้องยอมรับว่าถ้าต้นทุนต่ำ และระบบต่างๆ ค่อนข้างเสรี ก็เป็นปัญหา
"ป๊อก"ย้ำไม่ใช้ฉุกเฉินเชียงใหม่
ที่กองการบิน กรมการขนส่งทหารบก(ขส.ทบ.) พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ให้สัมภาษณ์ก่อนลงพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้กรณียิงระเบิดเอ็ม 79 ที่ จ.เชียงใหม่ ว่า เป็นการสร้างสถานการณ์การยิงลูกระเบิดเอ็ม 79 ไปในสถานที่ต่างๆ การป้องกันของหน่วยทหารถือว่าเป็นเชิงรับ ตรวจดูแลได้เพียงสังเกตการณ์ เพราะจุดที่คนร้ายลอบยิงเอ็ม 79 มาจากรัศมีทำการ 400 กว่าหลา ถ้าจะให้ป้องกันได้ผล ต้องนำกำลังทหารไปวางไว้ในรัศมีที่สามารถยิงได้ ขณะนี้ยังไม่เหมาะสมในการไปวางกำลัง เพราะติดเรื่องกฎหมายรองรับ และพ.ร.ก.ฉุกเฉินก็ถูกยกเลิกไปแล้ว
"ตอนนี้ทำได้คืออยู่ในที่ตั้ง และเฝ้าตรวจตราระมัดระวัง และถึงแม้ว่าจะนำกำลังออกไปวางไว้ข้างนอก แต่การใช้อาวุธก็ยังมีขอบเขต เนื่องจากไม่มีกฎหมายรองรับ ซึ่งเมื่อใช้กฎหมายปกติไม่ว่าจุดใดในประเทศไทย เว้นแต่ในหน่วยทหาร คงต้องให้ตำรวจดูแล แต่การประกาศใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ใน จ.เชียงใหม่อีกครั้งคงไม่เหมาะสม เหมือนที่นายอภิสิทธิ์ ระบุ เพราะจะส่งผลกระทบต่อคนโดยร่วมใน จ.เชียงใหม่ เมื่อไม่มีการใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉิน แต่ทางตำรวจสามารถร้องขอให้ทหารเป็นผู้ช่วยเจ้าพนักงานได้ ซึ่งตามจุดต่างๆที่ตำรวจปฏิบัติงาน ทหารจะเป็นผู้ช่วยเจ้าพนักงานในจุดนั้น”ผบ.ทบ.ระบุ
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ประชานิยม : รัฐสวัสดิการอยู่ที่ประชาชนได้ประโยชน์
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
หนังสือพิมพ์เดอะ เนชั่น จัดเสวนาหัวข้อ "รัฐสวัสดิการเหมือนหรือแตกต่างจากประชานิยมอย่างไร"
ผู้เข้าร่วมเสวนา ประกอบด้วย นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี, นายอำพน กิตติอำพน เลขาธิการสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.), นายพรศิลป์ พัชรินทร์ตนะกุล รองเลขาธิการหอการค้าไทย, นายกฤษฎา อุทยานิน ที่ปรึกษาสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) และนายสมพงษ์ ตันเจริญผล รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.)
นายกอร์ปศักดิ์ กล่าวว่า รัฐสวัสดิการไม่ได้มาจากพรรคประชาธิปัตย์ ส่วนคำว่า "ประชานิยม" นั้น คงมาจากช่วงที่รัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เข้ามาบริหารประเทศเศรษฐกิจเกิดวิกฤติ จำเป็นต้องเร่งแก้ปัญหาเศรษฐกิจที่มีปัญหากำลังซื้อหาย ตลาดต่างประเทศซบเซา ประกอบกับ พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2553 จัดทำไปเสร็จแล้ว มีงบประมาณเหลืออยู่เฉพาะงบกลางปีเพิ่มเติม 1 แสนล้านบาท ที่รัฐบาลสามารถนำมาใช้ฟื้นกำลังซื้อและแก้ปัญหาเศรษฐกิจ รัฐบาลจำเป็นต้องออกมาตรการเพื่อเพิ่มกำลังซื้อในระยะสั้น เช่น โครงการเช็คช่วยชาติ 2,000 บาท และลดรายจ่ายด้านการศึกษาเพื่อช่วยประชาชนกว่า 12 ล้านคน จึงเป็นตัวจุดประกายให้เกิดคำว่า "ประชานิยม"
"ตอนนั้นรัฐบาลไม่ได้มองว่าประชานิยมหรือไม่ประชานิยม คิดแต่เพียงว่าจะแก้ปัญหาเฉพาะ เพื่อฟื้นกำลังซื้อให้เร็วที่สุด วงจรเศรษฐกิจเดินหน้าต่อได้ และช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายของประชาชนมากที่สุด ทำให้มีการจ้างงาน ท้ายสุดคือ ลดความเหลื่อมล้ำคนจนกับคนรวย สถานการณ์ช่วงนั้นไม่เหมือนรัฐบาลชุดก่อน หากทำช้าจะมีปัญหาว่างานตามมาอีกมาก ซึ่งประเมินว่าอาจถึง 2 ล้านคนด้วยซ้ำ แต่มีนโยบายนี้มีผู้ว่างงานเพียง 1% หรือแสนกว่าคนเท่านั้น"
นายกอร์ปศักดิ์ มองว่าช่องว่างทางสังคมมีมานานแล้ว ถูกนำมาเป็นประเด็นไปเคลื่อนไหวทางการเมือง แต่ได้รับการแก้ไขน้อยมาก การแก้ไขที่ชะงัด คือต้องทำให้ประชาชนมีรายได้ที่มั่นคงและมากขึ้น โดยเฉพาะเกษตรกรต้องทำนาแล้วไม่ขาดทุน และการลดรายจ่ายของประชาชน จึงถูกมองว่าพยายามทำตัวเป็นรัฐสวัสดิการ จริงๆ แล้วเป็นสังคมสวัสดิการมากกว่า เช่น ให้ใช้ไฟฟ้าฟรี ไม่เกิน 90 หน่วย มีผู้ได้ประโยชน์ถึง 10 ล้านครอบครัว หรือ 30 ล้านคน หรือเรียนฟรี รัฐบาลต้องการให้คนส่วนใหญ่มีภาระค่าใช้จ่ายลดลง
"นโยบายเฟส 2 ต่อไปจะไม่ใช่การให้เงินโดยตรง แต่เป็นการให้เงินสมทบ เช่น การจัดตั้งกองทุนสวัสดิการต่างๆ เพราะอยากให้เป็นสังคมที่ช่วยตัวเองได้ในอีก 4-5 ปีข้างหน้า"
นายกอร์ปศักดิ์ กล่าวว่า แม้รัฐบาลจะเดินถูกทาง แต่ผลที่ออกมา คนจนที่เป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศก็ยังจนต่อไป คนรวยที่เป็นส่วนน้อยก็ยังรวยเหมือนเดิม แล้วจะช่วยเหลือคนส่วนใหญ่ของประเทศได้อย่างไร
ถ้าต้องการเห็นผลต่างออกไป ก็ต้องกล้าทำสิ่งที่คิดนอกกรอบ เช่น ให้กรมสรรพากรเก็บภาษี 20-25% ของจีดีพี คงทำไม่ได้ เพราะโครงสร้างภาษีเก็บจากมนุษย์เงินเดือน 5 ล้านคน แต่สังคมไทยยังมีคนรวยกลุ่มหนึ่งที่ไม่ได้กินเงินเดือน และไม่ต้องเสียภาษี ดังนั้นถ้าต้องการเม็ดเงินมาใช้ประโยชน์สูงสุด ก็ต้องเก็บภาษีคนรวย เป็นภาษีใช้จ่ายซื้อของฟุ่มเฟือย หรือการอุปโภคบริโภค
"คนเล่นหุ้น ทั้งรายเล็ก รายใหญ่ ได้รับยกเว้นภาษี บางคนขายหุ้นได้ 3-4 พันล้านไม่ต้องเสียภาษี โดยเฉพาะเจ้าของบริษัทที่นำหุ้นออกมาขายได้กำไรจำนวนมาก แต่เราไม่เคยมองจุดนี้ หรือให้เอกชนสัมปทานขุดเจาะน้ำมัน ตั้งแต่ราคา 2-3 ดอลลาร์ จนราคาน้ำมันขึ้นมาหลายสิบดอลล์ แต่รัฐไม่ได้ประโยชน์ จึงน่าจะถึงเวลาที่ต้องมองภาษีจากรายได้ส้มหล่น หรือ Wind Fall Tax หากไม่เริ่มคิดตอนนี้ ในอนาคตไม่ว่าใครมาเป็นรัฐบาล ฐานะการคลังก็อยู่ไม่ได้ การผลักดันภาษีที่ดินออกมาก่อนจึงถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี"
ขณะที่ นายอำพน มองว่ารัฐบาลชุดก่อนดำเนินนโยบายประชานิยม เพื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้า รัฐบาลชุดนี้เข้ามาบริหารช่วงที่เศรษฐกิจมีปัญหาหนักกว่าวิกฤติปี 2540 จึงมองไปที่ปัญหาระยะยาว เช่น แก้ปัญหาหนี้สิน สานต่อกองทุนหมู่บ้าน จ่ายเบี้ยยังชีพคนชรา ประชาชนได้ประโยชน์ไม่ว่าจะเรียกนโยบายอะไร รัฐบาลชุดนี้พยายามเดินสายกลางเพื่อให้เกิดความสมดุล เช่น เปลี่ยนการจำนำข้าวมาเป็นประกันรายได้ เพื่อนำไปสู่หลักพื้นฐานคือให้เกษตรกรพอมี พอกินและอยู่ได้
"การจ่ายเบี้ยคนชรา 500 บาทใน กทม.อาจจะมองว่าน้อย แต่ต่างจังหวัดมีความหมายมาก เห็นด้วยให้รัฐอุดหนุนไปตลอดชีพ เพราะเป็นหลักประกันขั้นพื้นฐาน ที่ประชาชนควรได้รับ เช่นเดียวกับการดูแลสุขภาพ รัฐยังใช้เงินมุ่งไปที่รักษามากกว่าป้องกัน ในอนาคตควรปรับเปลี่ยนให้เหมาะสม"
นายอำพน เห็นด้วยว่าการกระจายรายได้ ยังมีปัญหาอยู่มาก สวนทางกับการเติบโตเศรษฐกิจที่จีดีพีเพิ่มขึ้นจาก 4.9 ล้านล้านบาท เมื่อปี 2543 เป็นเกือบ 10 ล้านล้านบาทในปีนี้ แต่รายได้ต่อหัวของคนอีสานกลับลดลง ขณะที่คน กทม.มีรายได้เพิ่มขึ้น การลงทุนไม่สมดุลสะท้อนว่ารัฐบาลไม่ได้ดูไส้ในของการเติบโต
ทั้งนี้ความเหลื่อมล้ำทางโครงสร้างเศรษฐกิจเห็นได้จาก เราทำแค่เรื่องเติบโตอย่างมั่นคง แต่ลืมมองการสูญเสียมลภาวะเป็นพิษ สูญเสียทางสังคม เกิดปัญหาสังคมรุนแรง แต่ความจริงเราต้องให้เศรษฐกิจโตอย่างสมดุล (Balance Grow) ต้องปฏิรูปภาษี ปรับการใช้จ่ายและลงทุนภาครัฐ ต้องเติบโตอย่างมีคุณภาพ (Includsion Grow) แม้จะโตเพียง 3-4% แต่ช่วยชนชั้นกลางมีโอกาสสร้างรายได้เพิ่ม
"วันนี้หัวใจสำคัญ คือถ้าไม่สร้างความเป็นธรรม แรงเสียดทานในสังคมจะเกิดขึ้น สามารถปลุกระดมได้ง่าย เราต้องให้ความหวังว่ากำลังจะเดินไปตามแนวทางนี้"
เอกชนแนะเพิ่มประสิทธิภาพ ใช้งบบริหาร'รัฐสวัสดิการ'
นายพรศิลป์ พัชรินทร์ตนะกุล รองเลขาธิการหอการค้าไทย กล่าวว่า นโยบายให้ฟรี ใครก็ชอบ แต่สิ่งสำคัญรัฐบาลต้องมีเป้าหมายชัดว่า ต้องการให้ประเทศเดินไปทางไหน เพราะประชานิยมกับรัฐสวัสดิการไม่เหมือนกัน คำว่าประชานิยมเหมือนลัทธิ ในอดีตเคยมี แต่ทำไม่สำเร็จ เราจึงต้องจัดระเบียบสังคมให้อยู่ระหว่างทุนนิยมกับสังคมนิยมก่อน ตอนนี้จะเห็นว่ามีการใช้ปนกันจนสับสน หากเทียบกับประเทศนอร์เวย์หรือประเทศอื่นในยุโรป มีระบบรัฐสวัสดิการที่เข้มแข็ง แต่ประเทศไทยคงต้องดูว่าจะทำระดับใด เพราะเป็นเรื่องที่มีต้นทุน แต่นโยบายนี้มีข้อดีคือ คนจนได้ประโยชน์
"หลายนโยบายเป็นเรื่องที่ดี ต้องทำ แต่ต้องมีขั้นมีตอน ภาคเอกชนพร้อมสนับสนุน เพราะยังไงเราต้องจ่ายภาษีอยู่แล้ว อยากให้ประชาชนมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น แม้เอกชนจะมีต้นทุนสูงขึ้น ก็ไม่มีปัญหา เพียงแต่ขอให้การจัดการของภาครัฐมีประสิทธิภาพ ขณะนี้มองว่า ยังเป็นปัญหาที่น่าห่วง"
นายพรศิลป์มองว่า ระบบทุนนิยมทำให้เกิดช่องว่างของคนรวยและคนจน ไม่ใช่เรื่องแปลก แต่ปัญหาอยู่ที่การกระจายรายได้ ภาครัฐต้องคิดว่าจะทำยังไงให้มีประสิทธิภาพและเป็นธรรม ผ่านกลไกภาษี ที่ผ่านมาไทยมีปัญหาแม้จะมีเครื่องมือ แต่ติดขัดที่การปฏิบัติ ถ้าไม่แก้จะยิ่งมีปัญหา เอกชนต้องการเห็นการใช้เงินไม่รั่วไหล และเกิดประโยชน์สูงสุด เพื่อให้โครงสร้างสังคมเปลี่ยนทำให้ประเทศเก่งขึ้นและยั่งยืน
แม้บางครั้งจะมีประชานิยมปนบ้างก็ไม่แปลก เพราะทุกรัฐบาลก็ใช้ผสมกับรัฐสวัสดิการอยู่แล้ว ขึ้นอยู่ที่ต้นทุนดำเนินนโยบายมากกว่า ที่น่ากลัวคือ มองว่าคอร์รัปชันเป็นเรื่องธรรมดา จะเป็นบ่อเกิดคำว่า "ดับเบิลสแตนดาร์ด"
นายสมพงษ์ ตันเจริญผล รองประธาน ส.อ.ท. กล่าวว่า ไม่ว่าภาครัฐหรือเอกชน พร้อมสนับสนุนปรับปรุงคุณภาพชีวิตประชาชนให้ดีขึ้น ไม่ว่าจะประชานิยมหรือไม่ประชานิยม แต่ขอให้เป็นสิ่งที่ดีกับประชาชน ขณะที่ภาคเอกชนต้องแข่งขันกันเองและทั่วโลก ถ้าคุณภาพชีวิตคนในองค์กรสามารถรักษาคุณภาพการผลิตไว้ได้ รัฐบาลจะทำอะไรเอกชนก็ต้องไว้ใจ เพราะเลือกให้เข้ามาบริหารประเทศ แต่ขอให้ทำงานรัดกุม รอบคอบ ไม่รั่วไหลและใช้เงินอย่างมีประสิทธิภาพ เช่น การศึกษาถือว่าต้องพิจารณาลงไปถึงบุคลากร เพราะขณะนี้ถือว่าระดับอาชีวะ มีความรู้ต่ำกว่าเกณฑ์มาก หรือ จบปริญญาตรีบางครั้งก็ยังทำงานไม่เป็น
"รัฐสวัสดิการเป็นปัจจัยพื้นฐานที่รัฐบาลทุกประเทศต้องสนองความต้องการประชาชน แต่ละประเทศจะต่างกัน หากมีกระบวนการเปลี่ยนแปลงทางความคิด ก็มักถูกต่อต้าน รัฐบาลจึงต้องทนต่อแรงเสียดทานให้ได้ เช่น ภาษีที่ดินที่จะออกมา อยากเชียร์ให้เปลี่ยนแปลง"
นายกฤษฎา อุทยานิน ที่ปรึกษา สศค. กล่าวถึงคำนิยามของ "รัฐสวัสดิการ" ว่าหมายถึงการดูแลตั้งแต่ก่อนเกิดจนถึงเสียชีวิต เป็นหลักประกันสิทธิขั้นพื้นฐานและช่วยเหลือยามตกยาก แม้ปราชญ์ชุมชนจะมองต่างออกไป แต่หลักการไม่ต่างกัน ส่วน "ประชานิยม" อยู่ที่การมอง ถ้ามองในแง่ผู้ให้ เมื่อให้แล้วต้องได้คะแนนนิยมกลับมา ถ้ามองในแง่ผู้รับ ถ้าไม่รับก็ไม่ได้คะแนนนิยม
ส่วนหลักคิดของ สศค.มองว่าต้องดูแลทุกคนไม่ใช่ความผิดที่เกิดมาจน ต้องดูที่ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ แม้ว่าขณะนี้การเก็บภาษีเพิ่มจะทำได้ยาก ปัจจุบันเก็บภาษีได้เพียง 17% ของจีดีพี จึงต้องเน้นเพิ่มขีดความสามารถของชุมชน และภาคเอกชนมากกว่า
"ภาครัฐพยายามลดช่องว่างทางสังคมให้ได้ โดยมุ่งไปที่กลุ่มคนรากหญ้าหรือฐานราก ซึ่งเป็นกลุ่มคนจน แต่จริงๆ แล้วหมายรวมไปถึงคนที่อยู่ร่วมกันในสังคม ให้อยู่ด้วยความสงบสุขมากกว่า นำไปสู่การผลักดันกองทุนการออมแห่งชาติ เพื่อให้ประชาชน 20-30 ล้านคน มีเงินไว้ใช้หลังเกษียณ โดยรัฐจ่ายเงินสมทบปีละ 3-4 หมื่นล้านบาท คิดเป็นเพียง 2% ของงบประมาณถือว่าคุ้มค่า"
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
หนังสือพิมพ์เดอะ เนชั่น จัดเสวนาหัวข้อ "รัฐสวัสดิการเหมือนหรือแตกต่างจากประชานิยมอย่างไร"
ผู้เข้าร่วมเสวนา ประกอบด้วย นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี, นายอำพน กิตติอำพน เลขาธิการสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.), นายพรศิลป์ พัชรินทร์ตนะกุล รองเลขาธิการหอการค้าไทย, นายกฤษฎา อุทยานิน ที่ปรึกษาสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) และนายสมพงษ์ ตันเจริญผล รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.)
นายกอร์ปศักดิ์ กล่าวว่า รัฐสวัสดิการไม่ได้มาจากพรรคประชาธิปัตย์ ส่วนคำว่า "ประชานิยม" นั้น คงมาจากช่วงที่รัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เข้ามาบริหารประเทศเศรษฐกิจเกิดวิกฤติ จำเป็นต้องเร่งแก้ปัญหาเศรษฐกิจที่มีปัญหากำลังซื้อหาย ตลาดต่างประเทศซบเซา ประกอบกับ พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2553 จัดทำไปเสร็จแล้ว มีงบประมาณเหลืออยู่เฉพาะงบกลางปีเพิ่มเติม 1 แสนล้านบาท ที่รัฐบาลสามารถนำมาใช้ฟื้นกำลังซื้อและแก้ปัญหาเศรษฐกิจ รัฐบาลจำเป็นต้องออกมาตรการเพื่อเพิ่มกำลังซื้อในระยะสั้น เช่น โครงการเช็คช่วยชาติ 2,000 บาท และลดรายจ่ายด้านการศึกษาเพื่อช่วยประชาชนกว่า 12 ล้านคน จึงเป็นตัวจุดประกายให้เกิดคำว่า "ประชานิยม"
"ตอนนั้นรัฐบาลไม่ได้มองว่าประชานิยมหรือไม่ประชานิยม คิดแต่เพียงว่าจะแก้ปัญหาเฉพาะ เพื่อฟื้นกำลังซื้อให้เร็วที่สุด วงจรเศรษฐกิจเดินหน้าต่อได้ และช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายของประชาชนมากที่สุด ทำให้มีการจ้างงาน ท้ายสุดคือ ลดความเหลื่อมล้ำคนจนกับคนรวย สถานการณ์ช่วงนั้นไม่เหมือนรัฐบาลชุดก่อน หากทำช้าจะมีปัญหาว่างานตามมาอีกมาก ซึ่งประเมินว่าอาจถึง 2 ล้านคนด้วยซ้ำ แต่มีนโยบายนี้มีผู้ว่างงานเพียง 1% หรือแสนกว่าคนเท่านั้น"
นายกอร์ปศักดิ์ มองว่าช่องว่างทางสังคมมีมานานแล้ว ถูกนำมาเป็นประเด็นไปเคลื่อนไหวทางการเมือง แต่ได้รับการแก้ไขน้อยมาก การแก้ไขที่ชะงัด คือต้องทำให้ประชาชนมีรายได้ที่มั่นคงและมากขึ้น โดยเฉพาะเกษตรกรต้องทำนาแล้วไม่ขาดทุน และการลดรายจ่ายของประชาชน จึงถูกมองว่าพยายามทำตัวเป็นรัฐสวัสดิการ จริงๆ แล้วเป็นสังคมสวัสดิการมากกว่า เช่น ให้ใช้ไฟฟ้าฟรี ไม่เกิน 90 หน่วย มีผู้ได้ประโยชน์ถึง 10 ล้านครอบครัว หรือ 30 ล้านคน หรือเรียนฟรี รัฐบาลต้องการให้คนส่วนใหญ่มีภาระค่าใช้จ่ายลดลง
"นโยบายเฟส 2 ต่อไปจะไม่ใช่การให้เงินโดยตรง แต่เป็นการให้เงินสมทบ เช่น การจัดตั้งกองทุนสวัสดิการต่างๆ เพราะอยากให้เป็นสังคมที่ช่วยตัวเองได้ในอีก 4-5 ปีข้างหน้า"
นายกอร์ปศักดิ์ กล่าวว่า แม้รัฐบาลจะเดินถูกทาง แต่ผลที่ออกมา คนจนที่เป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศก็ยังจนต่อไป คนรวยที่เป็นส่วนน้อยก็ยังรวยเหมือนเดิม แล้วจะช่วยเหลือคนส่วนใหญ่ของประเทศได้อย่างไร
ถ้าต้องการเห็นผลต่างออกไป ก็ต้องกล้าทำสิ่งที่คิดนอกกรอบ เช่น ให้กรมสรรพากรเก็บภาษี 20-25% ของจีดีพี คงทำไม่ได้ เพราะโครงสร้างภาษีเก็บจากมนุษย์เงินเดือน 5 ล้านคน แต่สังคมไทยยังมีคนรวยกลุ่มหนึ่งที่ไม่ได้กินเงินเดือน และไม่ต้องเสียภาษี ดังนั้นถ้าต้องการเม็ดเงินมาใช้ประโยชน์สูงสุด ก็ต้องเก็บภาษีคนรวย เป็นภาษีใช้จ่ายซื้อของฟุ่มเฟือย หรือการอุปโภคบริโภค
"คนเล่นหุ้น ทั้งรายเล็ก รายใหญ่ ได้รับยกเว้นภาษี บางคนขายหุ้นได้ 3-4 พันล้านไม่ต้องเสียภาษี โดยเฉพาะเจ้าของบริษัทที่นำหุ้นออกมาขายได้กำไรจำนวนมาก แต่เราไม่เคยมองจุดนี้ หรือให้เอกชนสัมปทานขุดเจาะน้ำมัน ตั้งแต่ราคา 2-3 ดอลลาร์ จนราคาน้ำมันขึ้นมาหลายสิบดอลล์ แต่รัฐไม่ได้ประโยชน์ จึงน่าจะถึงเวลาที่ต้องมองภาษีจากรายได้ส้มหล่น หรือ Wind Fall Tax หากไม่เริ่มคิดตอนนี้ ในอนาคตไม่ว่าใครมาเป็นรัฐบาล ฐานะการคลังก็อยู่ไม่ได้ การผลักดันภาษีที่ดินออกมาก่อนจึงถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี"
ขณะที่ นายอำพน มองว่ารัฐบาลชุดก่อนดำเนินนโยบายประชานิยม เพื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้า รัฐบาลชุดนี้เข้ามาบริหารช่วงที่เศรษฐกิจมีปัญหาหนักกว่าวิกฤติปี 2540 จึงมองไปที่ปัญหาระยะยาว เช่น แก้ปัญหาหนี้สิน สานต่อกองทุนหมู่บ้าน จ่ายเบี้ยยังชีพคนชรา ประชาชนได้ประโยชน์ไม่ว่าจะเรียกนโยบายอะไร รัฐบาลชุดนี้พยายามเดินสายกลางเพื่อให้เกิดความสมดุล เช่น เปลี่ยนการจำนำข้าวมาเป็นประกันรายได้ เพื่อนำไปสู่หลักพื้นฐานคือให้เกษตรกรพอมี พอกินและอยู่ได้
"การจ่ายเบี้ยคนชรา 500 บาทใน กทม.อาจจะมองว่าน้อย แต่ต่างจังหวัดมีความหมายมาก เห็นด้วยให้รัฐอุดหนุนไปตลอดชีพ เพราะเป็นหลักประกันขั้นพื้นฐาน ที่ประชาชนควรได้รับ เช่นเดียวกับการดูแลสุขภาพ รัฐยังใช้เงินมุ่งไปที่รักษามากกว่าป้องกัน ในอนาคตควรปรับเปลี่ยนให้เหมาะสม"
นายอำพน เห็นด้วยว่าการกระจายรายได้ ยังมีปัญหาอยู่มาก สวนทางกับการเติบโตเศรษฐกิจที่จีดีพีเพิ่มขึ้นจาก 4.9 ล้านล้านบาท เมื่อปี 2543 เป็นเกือบ 10 ล้านล้านบาทในปีนี้ แต่รายได้ต่อหัวของคนอีสานกลับลดลง ขณะที่คน กทม.มีรายได้เพิ่มขึ้น การลงทุนไม่สมดุลสะท้อนว่ารัฐบาลไม่ได้ดูไส้ในของการเติบโต
ทั้งนี้ความเหลื่อมล้ำทางโครงสร้างเศรษฐกิจเห็นได้จาก เราทำแค่เรื่องเติบโตอย่างมั่นคง แต่ลืมมองการสูญเสียมลภาวะเป็นพิษ สูญเสียทางสังคม เกิดปัญหาสังคมรุนแรง แต่ความจริงเราต้องให้เศรษฐกิจโตอย่างสมดุล (Balance Grow) ต้องปฏิรูปภาษี ปรับการใช้จ่ายและลงทุนภาครัฐ ต้องเติบโตอย่างมีคุณภาพ (Includsion Grow) แม้จะโตเพียง 3-4% แต่ช่วยชนชั้นกลางมีโอกาสสร้างรายได้เพิ่ม
"วันนี้หัวใจสำคัญ คือถ้าไม่สร้างความเป็นธรรม แรงเสียดทานในสังคมจะเกิดขึ้น สามารถปลุกระดมได้ง่าย เราต้องให้ความหวังว่ากำลังจะเดินไปตามแนวทางนี้"
เอกชนแนะเพิ่มประสิทธิภาพ ใช้งบบริหาร'รัฐสวัสดิการ'
นายพรศิลป์ พัชรินทร์ตนะกุล รองเลขาธิการหอการค้าไทย กล่าวว่า นโยบายให้ฟรี ใครก็ชอบ แต่สิ่งสำคัญรัฐบาลต้องมีเป้าหมายชัดว่า ต้องการให้ประเทศเดินไปทางไหน เพราะประชานิยมกับรัฐสวัสดิการไม่เหมือนกัน คำว่าประชานิยมเหมือนลัทธิ ในอดีตเคยมี แต่ทำไม่สำเร็จ เราจึงต้องจัดระเบียบสังคมให้อยู่ระหว่างทุนนิยมกับสังคมนิยมก่อน ตอนนี้จะเห็นว่ามีการใช้ปนกันจนสับสน หากเทียบกับประเทศนอร์เวย์หรือประเทศอื่นในยุโรป มีระบบรัฐสวัสดิการที่เข้มแข็ง แต่ประเทศไทยคงต้องดูว่าจะทำระดับใด เพราะเป็นเรื่องที่มีต้นทุน แต่นโยบายนี้มีข้อดีคือ คนจนได้ประโยชน์
"หลายนโยบายเป็นเรื่องที่ดี ต้องทำ แต่ต้องมีขั้นมีตอน ภาคเอกชนพร้อมสนับสนุน เพราะยังไงเราต้องจ่ายภาษีอยู่แล้ว อยากให้ประชาชนมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น แม้เอกชนจะมีต้นทุนสูงขึ้น ก็ไม่มีปัญหา เพียงแต่ขอให้การจัดการของภาครัฐมีประสิทธิภาพ ขณะนี้มองว่า ยังเป็นปัญหาที่น่าห่วง"
นายพรศิลป์มองว่า ระบบทุนนิยมทำให้เกิดช่องว่างของคนรวยและคนจน ไม่ใช่เรื่องแปลก แต่ปัญหาอยู่ที่การกระจายรายได้ ภาครัฐต้องคิดว่าจะทำยังไงให้มีประสิทธิภาพและเป็นธรรม ผ่านกลไกภาษี ที่ผ่านมาไทยมีปัญหาแม้จะมีเครื่องมือ แต่ติดขัดที่การปฏิบัติ ถ้าไม่แก้จะยิ่งมีปัญหา เอกชนต้องการเห็นการใช้เงินไม่รั่วไหล และเกิดประโยชน์สูงสุด เพื่อให้โครงสร้างสังคมเปลี่ยนทำให้ประเทศเก่งขึ้นและยั่งยืน
แม้บางครั้งจะมีประชานิยมปนบ้างก็ไม่แปลก เพราะทุกรัฐบาลก็ใช้ผสมกับรัฐสวัสดิการอยู่แล้ว ขึ้นอยู่ที่ต้นทุนดำเนินนโยบายมากกว่า ที่น่ากลัวคือ มองว่าคอร์รัปชันเป็นเรื่องธรรมดา จะเป็นบ่อเกิดคำว่า "ดับเบิลสแตนดาร์ด"
นายสมพงษ์ ตันเจริญผล รองประธาน ส.อ.ท. กล่าวว่า ไม่ว่าภาครัฐหรือเอกชน พร้อมสนับสนุนปรับปรุงคุณภาพชีวิตประชาชนให้ดีขึ้น ไม่ว่าจะประชานิยมหรือไม่ประชานิยม แต่ขอให้เป็นสิ่งที่ดีกับประชาชน ขณะที่ภาคเอกชนต้องแข่งขันกันเองและทั่วโลก ถ้าคุณภาพชีวิตคนในองค์กรสามารถรักษาคุณภาพการผลิตไว้ได้ รัฐบาลจะทำอะไรเอกชนก็ต้องไว้ใจ เพราะเลือกให้เข้ามาบริหารประเทศ แต่ขอให้ทำงานรัดกุม รอบคอบ ไม่รั่วไหลและใช้เงินอย่างมีประสิทธิภาพ เช่น การศึกษาถือว่าต้องพิจารณาลงไปถึงบุคลากร เพราะขณะนี้ถือว่าระดับอาชีวะ มีความรู้ต่ำกว่าเกณฑ์มาก หรือ จบปริญญาตรีบางครั้งก็ยังทำงานไม่เป็น
"รัฐสวัสดิการเป็นปัจจัยพื้นฐานที่รัฐบาลทุกประเทศต้องสนองความต้องการประชาชน แต่ละประเทศจะต่างกัน หากมีกระบวนการเปลี่ยนแปลงทางความคิด ก็มักถูกต่อต้าน รัฐบาลจึงต้องทนต่อแรงเสียดทานให้ได้ เช่น ภาษีที่ดินที่จะออกมา อยากเชียร์ให้เปลี่ยนแปลง"
นายกฤษฎา อุทยานิน ที่ปรึกษา สศค. กล่าวถึงคำนิยามของ "รัฐสวัสดิการ" ว่าหมายถึงการดูแลตั้งแต่ก่อนเกิดจนถึงเสียชีวิต เป็นหลักประกันสิทธิขั้นพื้นฐานและช่วยเหลือยามตกยาก แม้ปราชญ์ชุมชนจะมองต่างออกไป แต่หลักการไม่ต่างกัน ส่วน "ประชานิยม" อยู่ที่การมอง ถ้ามองในแง่ผู้ให้ เมื่อให้แล้วต้องได้คะแนนนิยมกลับมา ถ้ามองในแง่ผู้รับ ถ้าไม่รับก็ไม่ได้คะแนนนิยม
ส่วนหลักคิดของ สศค.มองว่าต้องดูแลทุกคนไม่ใช่ความผิดที่เกิดมาจน ต้องดูที่ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ แม้ว่าขณะนี้การเก็บภาษีเพิ่มจะทำได้ยาก ปัจจุบันเก็บภาษีได้เพียง 17% ของจีดีพี จึงต้องเน้นเพิ่มขีดความสามารถของชุมชน และภาคเอกชนมากกว่า
"ภาครัฐพยายามลดช่องว่างทางสังคมให้ได้ โดยมุ่งไปที่กลุ่มคนรากหญ้าหรือฐานราก ซึ่งเป็นกลุ่มคนจน แต่จริงๆ แล้วหมายรวมไปถึงคนที่อยู่ร่วมกันในสังคม ให้อยู่ด้วยความสงบสุขมากกว่า นำไปสู่การผลักดันกองทุนการออมแห่งชาติ เพื่อให้ประชาชน 20-30 ล้านคน มีเงินไว้ใช้หลังเกษียณ โดยรัฐจ่ายเงินสมทบปีละ 3-4 หมื่นล้านบาท คิดเป็นเพียง 2% ของงบประมาณถือว่าคุ้มค่า"
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
เมื่อรัฐบาลไทยพยายามตีสนิทกับผู้นำเผด็จการ
บทความล่าสุดของผมที่ตีพิมพ์ในนิตยสาร Huffington Post ได้กล่่าวถึงเรื่องที่รัฐบาลไทยกำลังดำเนินนโยบายโดดเดี่ยวประเทศจากประชาคมโลก ซึ่งเป็นผลมาจากที่รัฐบาลนายอภิสิทธิ์เพิกเฉยที่จะปฏิบัติตามพันธกรณีตามกฎหมายระหว่างประเทศและสิทธิของประชาชนอย่างต่อเนื่อง
ในขณะนี้ดูเหมือนว่ารัฐบาลไทยกำลังร้อนตัว เป็นที่น่าเสียดายว่า การตอบโต้ในรูปแบบเดียวที่รัฐบาลไทยใช้คือการสร้างความคลุมเครือ และรัฐบาลอภิสิทธิ์และกลุ่มกองทัพที่สนับสนุนรัฐบาลสร้างใช้เวลาสี่ปีในการช่องโหว่เอื้อต่อการใช้อำนาจเผด็จการของกลุ่มตน และแทนที่จะตอบโต้นโยบายกดดันของประเทศคู่ค้าสำคัญ อย่างประเทศเยอรมัน และประเทศพันธมิตรอันยาวนาน อย่างประเทศสหรัฐ โดยการแสวงหาความชอบธรรมในโดยการเลือกตั้ง ดำเนินกระบวนการปรองดองสมานฉันท์อย่างจริงจัง หรือ/และ ปฏิบัติตามพันธกรณีที่มีต่อสนธิสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเรือนและสิทธิทางการเมือง (ICCPR) รัฐบาลไทยเลือกที่จะประจบสอพลอประเทศเพื่อนบ้านที่กำลังถูกตั้งคำถามเรื่องความเป็นประชาธิปไตย
โดยเมื่อไม่นานมานี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศได้กดดันให้สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศแห่งประเทศไทยยกเลิกกำหนดการในวันที่ 13 กันยายน ซึ่งจัดโดยสมาพันธ์สิทธิมนุษยชน (IFHR) ที่ตั้งอยู่ ณ.กรุงปารีส และคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งเวียดนาม (VCHR) โดยจะมีการสัมมนาเกี่ยวกับรายงานเรื่องสิทธิมนุษยชนขององค์กรภายใต้หัวข้อ “From ‘Vision’ to Facts: Human Rights in Vietnam under Its Chairmanship of ASEAN.”
เริ่มแรกรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของไทยได้พยายามระรานให้ทางสมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศแห่งประเทศไทยใช้วิธีสกปรก โดยการใช้ชื่อองค์กรประกาศ “ยกเลิกการประชุมดังกล่าว เพราะอาจจะมีการแถลงข้อมูลที่ก่อให้เกิดความเสียหารแก่ประเทศเพื่อนบ้าน” โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของไทยได้อธิบายถึงเหตุผลอันน่าทึ่งแก่สื่อมวลชน ดังนี้
“ผมอยากจะกว่าถึงการประชุมที่จัดขึ้นโดยสมาพันธ์สิทธิมนุษยชน (IFHR) และคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งเวียดนาม (VCHR) ในวันที่จันทร์ที่ 13กันยายน 2553 ณ.สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศแห่งประเทศไทย (FCCT) โดยการประชุมดังกล่าวจะมีการแถลงรายงานขององค์กรภายใต้หัวข้อ ‘From Rhetoric to Reality: HUMAN RIGHTS IN VIETNAM, Under its Chairmanship of ASEAN in 2010′ ว่า
“แม้รัฐบาลไทยจะให้ความสำคัญอย่างมากกับหลักเสรีภาพการแสดงความคิดเห็น และความหลากหลายทางความคิด แต่รัฐบาลไทยมีนโยบายอันยาวที่จะไม่อนุญาตให้กลุ่มองค์กรหรือบุคคลใดใช้ประเทศไทยเป็นสถานที่ดำเนินกิจกรรมอันจะก่อให้เกิดความเสียหายแก่ประเทศอื่น ดังนั้นผมจึงหวังว่าสมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศจะเคารพจุดยืนอันนี้ และไม่อนุญาตให้มีการใช้สถานที่ขององค์กรในการดำเนินกิจกรรมดังกล่าว
“ผมขอขอบคุณทุกท่านสำหรับความเข้าใจและความร่วมมือ”
และจากความน่าเชื่อถือขององค์กร ทางสมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศได้ขัดขืนรัฐบาลไทย โดยปฏิเสธที่จะไม่ปฏิบัติตนเสมือนหน่วยเสริมกำลังของรัฐแห่งการปกปิดข่าวสารอันไร้สาระนี้ แต่รัฐบาลอภิสิทธิ์ได้บังคับให้มีการยกเลิกการประชุมอย่างไม่สะทกสะท้าน โดยการปฏิเสธให้สององค์กรเดินทางเข้าประเทศ
หากพิจารณาดูตารางกิจกรรมของสมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศอย่างคร่าวๆแล้วจะพบว่าการจัดการประชุมครั้งนี้เป็นการดำเนินกิจกรรมปกติทั่วไปที่ของทางสมาคม โดยมาคมมักจะจัดกิจกรรมที่เกี่ยวกับสถานการณ์อันน่าอัปยศของสิทธิมนุษยชนที่เกิดขึ้นในกลุ่มประเทศอาเซียนอย่าง พม่า กัมพูชา เวียดนาม มาเลเซีย สิงคโปร์ และฟิลิปปินส์ เรื่อยมา ดังนั้นจึงน่าสงสัยว่า รัฐบาลอภิสิทธิ์กลัวว่าข้อมูลเหล่านั้นอาจจะทำลายภาพลักษณ์ในเรื่องที่ไม่สำคัญของประเทศไทย หรือต้องการที่จะปกป้องประเทศคอมมิวนิสต์อย่างเวียดนาม ซึ่งเป็นหนึ่งในปิศาจร้ายในจินตนาการของประเทศไทยมายาวนานกันแน่
หรืออาจจะเป็นไปได้ว่านายอภิสิทธิ์และเหล่าพวกพ้องอาจจะกำลังมองหาสถานที่ลี้ภัยในประเทศเวียดนามหลังจากรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ถูกขับไล่ลงจากอำนาจ มีบางสิ่งที่ไม่ชอบมาพากลเกี่ยวกับการตัดสินใจครั้งนี้ และแน่นอนว่าแนวทางในการปฏิบัติของรัฐบาลไทยในแง่ของสิทธิมนุษยชนนั้นมีความคล้ายคลึงกับผู้นำเผด็จการที่ดำรงตำแหน่งอย่างยาวนานในประเทศเพื่อนบ้าน อย่างประเทศเวียดนาม ลาว พม่าและสิงค์โปร์มากขึ้นทุกวัน การกระทำดังกล่าวเป็นแผนการที่จะเชิญชวนประเทศดังกล่าวให้ตกลงให้ความช่วยเหลือบางอย่าง เมื่อประเทศไทยกำลังเดินไปในทิศทางที่ตรงกันข้ามกับประเทศประชาธิปไตยในประเทศตะวันตกอย่างต่อเนื่อง รัฐบาลไทยจึงแสดงหากลุ่มพวกพ้องเผด็จการในประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แทน
เราคงต้องดูต่อไปว่าประเทศเวียดนามหรือประเทศอื่นในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะร่วมมือกันในการควบคุมองค์กรหรือบุคคลในภูมิภาคที่วิพากษ์วิจารณ์ถึงความเสื่อมถอยของสถานการณ์ทางการเมืองในประเทศไทยหรือไม่ การกระทำอันน่าตำหนิของรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศแสดงในเห็นถึงความปวดร้าวที่ประเทศไทยกำลังตกอยู่ภายใต้การนำของเหล่าผู้นำเผด็จการที่ไร้ความสามารถอย่างนายอภิสิทธิ์และกลุ่มอำมาตย์ผู้หนุนหลัง
ไม่เกิน 10ปีที่แล้ว ประเทศไทยเคยเป็นประเทศเดียวในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มีความเป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง แต่ในปัจจุบันประเทศไทยกลายเป็นหนึ่งในหลายประเทศเผด็จการในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ที่มา.ประเทศไทย Robert Amsterdam
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ในขณะนี้ดูเหมือนว่ารัฐบาลไทยกำลังร้อนตัว เป็นที่น่าเสียดายว่า การตอบโต้ในรูปแบบเดียวที่รัฐบาลไทยใช้คือการสร้างความคลุมเครือ และรัฐบาลอภิสิทธิ์และกลุ่มกองทัพที่สนับสนุนรัฐบาลสร้างใช้เวลาสี่ปีในการช่องโหว่เอื้อต่อการใช้อำนาจเผด็จการของกลุ่มตน และแทนที่จะตอบโต้นโยบายกดดันของประเทศคู่ค้าสำคัญ อย่างประเทศเยอรมัน และประเทศพันธมิตรอันยาวนาน อย่างประเทศสหรัฐ โดยการแสวงหาความชอบธรรมในโดยการเลือกตั้ง ดำเนินกระบวนการปรองดองสมานฉันท์อย่างจริงจัง หรือ/และ ปฏิบัติตามพันธกรณีที่มีต่อสนธิสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเรือนและสิทธิทางการเมือง (ICCPR) รัฐบาลไทยเลือกที่จะประจบสอพลอประเทศเพื่อนบ้านที่กำลังถูกตั้งคำถามเรื่องความเป็นประชาธิปไตย
โดยเมื่อไม่นานมานี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศได้กดดันให้สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศแห่งประเทศไทยยกเลิกกำหนดการในวันที่ 13 กันยายน ซึ่งจัดโดยสมาพันธ์สิทธิมนุษยชน (IFHR) ที่ตั้งอยู่ ณ.กรุงปารีส และคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งเวียดนาม (VCHR) โดยจะมีการสัมมนาเกี่ยวกับรายงานเรื่องสิทธิมนุษยชนขององค์กรภายใต้หัวข้อ “From ‘Vision’ to Facts: Human Rights in Vietnam under Its Chairmanship of ASEAN.”
เริ่มแรกรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของไทยได้พยายามระรานให้ทางสมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศแห่งประเทศไทยใช้วิธีสกปรก โดยการใช้ชื่อองค์กรประกาศ “ยกเลิกการประชุมดังกล่าว เพราะอาจจะมีการแถลงข้อมูลที่ก่อให้เกิดความเสียหารแก่ประเทศเพื่อนบ้าน” โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของไทยได้อธิบายถึงเหตุผลอันน่าทึ่งแก่สื่อมวลชน ดังนี้
“ผมอยากจะกว่าถึงการประชุมที่จัดขึ้นโดยสมาพันธ์สิทธิมนุษยชน (IFHR) และคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งเวียดนาม (VCHR) ในวันที่จันทร์ที่ 13กันยายน 2553 ณ.สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศแห่งประเทศไทย (FCCT) โดยการประชุมดังกล่าวจะมีการแถลงรายงานขององค์กรภายใต้หัวข้อ ‘From Rhetoric to Reality: HUMAN RIGHTS IN VIETNAM, Under its Chairmanship of ASEAN in 2010′ ว่า
“แม้รัฐบาลไทยจะให้ความสำคัญอย่างมากกับหลักเสรีภาพการแสดงความคิดเห็น และความหลากหลายทางความคิด แต่รัฐบาลไทยมีนโยบายอันยาวที่จะไม่อนุญาตให้กลุ่มองค์กรหรือบุคคลใดใช้ประเทศไทยเป็นสถานที่ดำเนินกิจกรรมอันจะก่อให้เกิดความเสียหายแก่ประเทศอื่น ดังนั้นผมจึงหวังว่าสมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศจะเคารพจุดยืนอันนี้ และไม่อนุญาตให้มีการใช้สถานที่ขององค์กรในการดำเนินกิจกรรมดังกล่าว
“ผมขอขอบคุณทุกท่านสำหรับความเข้าใจและความร่วมมือ”
และจากความน่าเชื่อถือขององค์กร ทางสมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศได้ขัดขืนรัฐบาลไทย โดยปฏิเสธที่จะไม่ปฏิบัติตนเสมือนหน่วยเสริมกำลังของรัฐแห่งการปกปิดข่าวสารอันไร้สาระนี้ แต่รัฐบาลอภิสิทธิ์ได้บังคับให้มีการยกเลิกการประชุมอย่างไม่สะทกสะท้าน โดยการปฏิเสธให้สององค์กรเดินทางเข้าประเทศ
หากพิจารณาดูตารางกิจกรรมของสมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศอย่างคร่าวๆแล้วจะพบว่าการจัดการประชุมครั้งนี้เป็นการดำเนินกิจกรรมปกติทั่วไปที่ของทางสมาคม โดยมาคมมักจะจัดกิจกรรมที่เกี่ยวกับสถานการณ์อันน่าอัปยศของสิทธิมนุษยชนที่เกิดขึ้นในกลุ่มประเทศอาเซียนอย่าง พม่า กัมพูชา เวียดนาม มาเลเซีย สิงคโปร์ และฟิลิปปินส์ เรื่อยมา ดังนั้นจึงน่าสงสัยว่า รัฐบาลอภิสิทธิ์กลัวว่าข้อมูลเหล่านั้นอาจจะทำลายภาพลักษณ์ในเรื่องที่ไม่สำคัญของประเทศไทย หรือต้องการที่จะปกป้องประเทศคอมมิวนิสต์อย่างเวียดนาม ซึ่งเป็นหนึ่งในปิศาจร้ายในจินตนาการของประเทศไทยมายาวนานกันแน่
หรืออาจจะเป็นไปได้ว่านายอภิสิทธิ์และเหล่าพวกพ้องอาจจะกำลังมองหาสถานที่ลี้ภัยในประเทศเวียดนามหลังจากรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ถูกขับไล่ลงจากอำนาจ มีบางสิ่งที่ไม่ชอบมาพากลเกี่ยวกับการตัดสินใจครั้งนี้ และแน่นอนว่าแนวทางในการปฏิบัติของรัฐบาลไทยในแง่ของสิทธิมนุษยชนนั้นมีความคล้ายคลึงกับผู้นำเผด็จการที่ดำรงตำแหน่งอย่างยาวนานในประเทศเพื่อนบ้าน อย่างประเทศเวียดนาม ลาว พม่าและสิงค์โปร์มากขึ้นทุกวัน การกระทำดังกล่าวเป็นแผนการที่จะเชิญชวนประเทศดังกล่าวให้ตกลงให้ความช่วยเหลือบางอย่าง เมื่อประเทศไทยกำลังเดินไปในทิศทางที่ตรงกันข้ามกับประเทศประชาธิปไตยในประเทศตะวันตกอย่างต่อเนื่อง รัฐบาลไทยจึงแสดงหากลุ่มพวกพ้องเผด็จการในประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แทน
เราคงต้องดูต่อไปว่าประเทศเวียดนามหรือประเทศอื่นในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะร่วมมือกันในการควบคุมองค์กรหรือบุคคลในภูมิภาคที่วิพากษ์วิจารณ์ถึงความเสื่อมถอยของสถานการณ์ทางการเมืองในประเทศไทยหรือไม่ การกระทำอันน่าตำหนิของรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศแสดงในเห็นถึงความปวดร้าวที่ประเทศไทยกำลังตกอยู่ภายใต้การนำของเหล่าผู้นำเผด็จการที่ไร้ความสามารถอย่างนายอภิสิทธิ์และกลุ่มอำมาตย์ผู้หนุนหลัง
ไม่เกิน 10ปีที่แล้ว ประเทศไทยเคยเป็นประเทศเดียวในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มีความเป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง แต่ในปัจจุบันประเทศไทยกลายเป็นหนึ่งในหลายประเทศเผด็จการในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ที่มา.ประเทศไทย Robert Amsterdam
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ไร้น้ำยาหยุดระเบิดป่วนเมือง
บทบรรณาธิการ ไทยโพสต์
ยังคงเกิดเหตุระเบิดป่วนเมืองไม่เลิกรา ท่ามกลางเสียงเตือนจากหลายฝ่ายว่าการวางระเบิดข่มขู่และสร้างสถานการณ์ในกรุงเทพมหานครและพื้นที่ใกล้เคียง เช่น นนทบุรี จะมีอย่างต่อเนื่องไปจนถึงวันที่ 19 กันยายน 2553 อันเป็นวันสัญลักษณ์สำคัญทางการเมืองคือวันครบรอบรัฐประหาร 19 กันยายน ของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ หลังจากล่าสุดมีคนร้ายวางระเบิดสามจุดในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน คือ เมื่อวันที่ 8 กันยายน 2553 ที่ผ่านมาคือ 1.หน้าโรงเรียนสันติราษฎร์วิทยาลัย เขตพญาไท ถนนศรีอยุธยา ท้องที่ สน.พญาไท 2.ลานจอดรถเดอะมอลล์งามวงศ์วาน ท้องที่ สภ.เมืองนนทบุรี และ 3.ลานจอดรถข้างสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข ท้องที่ สภ.เมืองนนทบุรี
ซึ่งก็เป็นเหมือนทุกครั้งที่เกิดเหตุ ทางฝ่ายรัฐบาลและเจ้าหน้าที่รัฐโดยเฉพาะตำรวจก็จะต้องแสดงท่าทีแข็งขันว่าจะต้องเร่งติดตามสอบสวนจับกุมผู้ต้องสงสัยมาดำเนินคดี แต่สุดท้ายหลายต่อหลายครั้งก็ไม่เคยมีอะไรคืบหน้า เอาแค่เหตุการณ์ที่ผ่านไปไม่นาน เช่น การยิงระเบิดเอ็ม 79 ใส่อาคารคิงเพาเวอร์ ซอยรางน้ำ และเหตุคนร้ายวางระเบิดไว้บริเวณหน้าอาคารคิงเพาเวอร์ หรือเหตุระเบิดหน้าเซ็นทรัล ราชดำริ ที่อยู่บริเวณสี่แยกราชประสงค์ หรือการยิงเอ็ม 79 ใส่บริเวณลานจอดรถ ที่ทำการของสถานีโทรทัศน์เอ็นบีทีของกรมประชาสัมพันธ์ ย่านวิภาวดีรังสิต
ปรากฏว่าจนถึงขณะนี้ก็ยังไม่มีความคืบหน้าใดๆ ในการสาวไปถึงตัวผู้วางแผนลงมือได้ ยิ่งเมื่อเหตุการณ์ผ่านไปสักอาทิตย์สองอาทิตย์พอสื่อมวลชนไปทำข่าวอย่างอื่น ตำรวจและทางศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินก็เลิกที่จะเกาะติด แต่พอเกิดเหตุระเบิดขึ้นก็จะทำเป็นทีท่าว่าจะเอาจริงเอาจัง จนสุดท้ายประชาชนผู้บริสุทธิ์ต้องมาบาดเจ็บล้มตายไปโดยที่เจ้าหน้าที่รัฐไม่สามารถให้หลักประกันความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินให้กับประชาชนได้เลย
เรื่องนี้มีหลายฝ่ายออกมาแสดงความคิดเห็นกันหลากหลาย บนท่าทีเหมือนกับแสดงความแข็งขัน แต่ก็เกิดคำถามเหมือนกันแล้วว่า เหตุใดจึงไม่ร่วมมือร่วมใจกันให้มากกว่านี้ในการหยุดระเบิดทำลายประเทศชาติ เช่น คำกล่าวของ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบกที่บอกเรื่องนี้ไว้ล่าสุดว่า กองทัพเคยนำทหารออกมาเต็มเมืองไปหมดและลดระดับลงมา ซึ่งหน้าที่หลักเป็นของตำรวจ และสถานีตำรวจในพื้นที่ กทม.ที่มี 88 สถานี ซึ่งหากไม่พอเราจะจัดเจ้าหน้าที่ทหารไปช่วยพร้อมกับเครือข่ายภาคประชาชน แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
ประชาชนจะต้องเข้าใจ เพราะถ้าพื้นที่ไหนเจ้าหน้าที่ดูแลเข้มงวดเขาก็ไม่ทำ แต่ถ้าพื้นที่ไหนไม่มีเจ้าหน้าที่เขาก็จะไปทำ ดังนั้น โดยตรรกะเราอาจจะต้องดูทุกจุด ถ้า 500 เมตรดูไม่เพียงพอก็จะต้องดูทุก 100 เมตร แต่ทำไม่ได้ การที่มีคนทำอยู่ถือเป็นการทำร้ายคนทั้งประเทศ ทำให้เกิดความเสียหาย ส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยวและสังคม รัฐบาลก็ไม่มีเสถียรภาพ ประชาชนก็อยู่ไม่ได้ เศรษฐกิจไปไม่ได้ ดังนั้น สิ่งที่เกิดขึ้นคนทำไม่น่าจะทำ เพราะเป็นการทำร้ายคนทั้งประเทศ ถ้ามีคนบาดเจ็บล้มตายจะยิ่งทำให้สถานการณ์บ้านเมืองย่ำแย่
ขณะที่ฝ่ายตำรวจ ทาง พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ผบ.ตร.ที่เพิ่งรับตำแหน่งอย่างเป็นทางการเมื่อ 7 กันยายน 2553 ที่ผ่านมา มีภารกิจสำคัญในการป้องกันและปราบปรามเรื่องนี้ อันเป็นสิ่งที่ ผบ.ตร.จะต้องแสดงฝีมือให้สังคมเห็นโดยเร็ว เพราะความเสียหายที่เกิดขึ้นมันเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องและยาวนานและมีท่าทีว่าจะเกิดขึ้นต่อไป อันทำให้ประชาชนต่างต้องใช้ชีวิตอย่างระมัดระวังมากขึ้น หลังมีคำขู่จากบางฝ่ายว่าอาจจะเกิดเหตุระเบิดรุนแรงตามย่านชุมชน เช่น สถานีรถไฟใต้ดิน ซึ่งตอนแรกดูเหมือนประชาชนจะไม่ค่อยเชื่อ แต่เมื่อเป็นเช่นนี้ทุกฝ่ายก็ต้องระมัดระวังตัวมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม หากยังเกิดเหตุแบบนี้ต่อไป โดยที่รัฐบาล ตำรวจ กองทัพ ศอฉ. ไม่สามารถแก้ไขสถานการณ์ได้ ก็ถึงเวลาแล้วที่ต้องพิจารณาทบทวนตัวเองได้แล้วว่าจะลอยตัวแบบนี้อยู่ได้อย่างไร.
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ยังคงเกิดเหตุระเบิดป่วนเมืองไม่เลิกรา ท่ามกลางเสียงเตือนจากหลายฝ่ายว่าการวางระเบิดข่มขู่และสร้างสถานการณ์ในกรุงเทพมหานครและพื้นที่ใกล้เคียง เช่น นนทบุรี จะมีอย่างต่อเนื่องไปจนถึงวันที่ 19 กันยายน 2553 อันเป็นวันสัญลักษณ์สำคัญทางการเมืองคือวันครบรอบรัฐประหาร 19 กันยายน ของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ หลังจากล่าสุดมีคนร้ายวางระเบิดสามจุดในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน คือ เมื่อวันที่ 8 กันยายน 2553 ที่ผ่านมาคือ 1.หน้าโรงเรียนสันติราษฎร์วิทยาลัย เขตพญาไท ถนนศรีอยุธยา ท้องที่ สน.พญาไท 2.ลานจอดรถเดอะมอลล์งามวงศ์วาน ท้องที่ สภ.เมืองนนทบุรี และ 3.ลานจอดรถข้างสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข ท้องที่ สภ.เมืองนนทบุรี
ซึ่งก็เป็นเหมือนทุกครั้งที่เกิดเหตุ ทางฝ่ายรัฐบาลและเจ้าหน้าที่รัฐโดยเฉพาะตำรวจก็จะต้องแสดงท่าทีแข็งขันว่าจะต้องเร่งติดตามสอบสวนจับกุมผู้ต้องสงสัยมาดำเนินคดี แต่สุดท้ายหลายต่อหลายครั้งก็ไม่เคยมีอะไรคืบหน้า เอาแค่เหตุการณ์ที่ผ่านไปไม่นาน เช่น การยิงระเบิดเอ็ม 79 ใส่อาคารคิงเพาเวอร์ ซอยรางน้ำ และเหตุคนร้ายวางระเบิดไว้บริเวณหน้าอาคารคิงเพาเวอร์ หรือเหตุระเบิดหน้าเซ็นทรัล ราชดำริ ที่อยู่บริเวณสี่แยกราชประสงค์ หรือการยิงเอ็ม 79 ใส่บริเวณลานจอดรถ ที่ทำการของสถานีโทรทัศน์เอ็นบีทีของกรมประชาสัมพันธ์ ย่านวิภาวดีรังสิต
ปรากฏว่าจนถึงขณะนี้ก็ยังไม่มีความคืบหน้าใดๆ ในการสาวไปถึงตัวผู้วางแผนลงมือได้ ยิ่งเมื่อเหตุการณ์ผ่านไปสักอาทิตย์สองอาทิตย์พอสื่อมวลชนไปทำข่าวอย่างอื่น ตำรวจและทางศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินก็เลิกที่จะเกาะติด แต่พอเกิดเหตุระเบิดขึ้นก็จะทำเป็นทีท่าว่าจะเอาจริงเอาจัง จนสุดท้ายประชาชนผู้บริสุทธิ์ต้องมาบาดเจ็บล้มตายไปโดยที่เจ้าหน้าที่รัฐไม่สามารถให้หลักประกันความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินให้กับประชาชนได้เลย
เรื่องนี้มีหลายฝ่ายออกมาแสดงความคิดเห็นกันหลากหลาย บนท่าทีเหมือนกับแสดงความแข็งขัน แต่ก็เกิดคำถามเหมือนกันแล้วว่า เหตุใดจึงไม่ร่วมมือร่วมใจกันให้มากกว่านี้ในการหยุดระเบิดทำลายประเทศชาติ เช่น คำกล่าวของ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบกที่บอกเรื่องนี้ไว้ล่าสุดว่า กองทัพเคยนำทหารออกมาเต็มเมืองไปหมดและลดระดับลงมา ซึ่งหน้าที่หลักเป็นของตำรวจ และสถานีตำรวจในพื้นที่ กทม.ที่มี 88 สถานี ซึ่งหากไม่พอเราจะจัดเจ้าหน้าที่ทหารไปช่วยพร้อมกับเครือข่ายภาคประชาชน แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
ประชาชนจะต้องเข้าใจ เพราะถ้าพื้นที่ไหนเจ้าหน้าที่ดูแลเข้มงวดเขาก็ไม่ทำ แต่ถ้าพื้นที่ไหนไม่มีเจ้าหน้าที่เขาก็จะไปทำ ดังนั้น โดยตรรกะเราอาจจะต้องดูทุกจุด ถ้า 500 เมตรดูไม่เพียงพอก็จะต้องดูทุก 100 เมตร แต่ทำไม่ได้ การที่มีคนทำอยู่ถือเป็นการทำร้ายคนทั้งประเทศ ทำให้เกิดความเสียหาย ส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยวและสังคม รัฐบาลก็ไม่มีเสถียรภาพ ประชาชนก็อยู่ไม่ได้ เศรษฐกิจไปไม่ได้ ดังนั้น สิ่งที่เกิดขึ้นคนทำไม่น่าจะทำ เพราะเป็นการทำร้ายคนทั้งประเทศ ถ้ามีคนบาดเจ็บล้มตายจะยิ่งทำให้สถานการณ์บ้านเมืองย่ำแย่
ขณะที่ฝ่ายตำรวจ ทาง พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ผบ.ตร.ที่เพิ่งรับตำแหน่งอย่างเป็นทางการเมื่อ 7 กันยายน 2553 ที่ผ่านมา มีภารกิจสำคัญในการป้องกันและปราบปรามเรื่องนี้ อันเป็นสิ่งที่ ผบ.ตร.จะต้องแสดงฝีมือให้สังคมเห็นโดยเร็ว เพราะความเสียหายที่เกิดขึ้นมันเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องและยาวนานและมีท่าทีว่าจะเกิดขึ้นต่อไป อันทำให้ประชาชนต่างต้องใช้ชีวิตอย่างระมัดระวังมากขึ้น หลังมีคำขู่จากบางฝ่ายว่าอาจจะเกิดเหตุระเบิดรุนแรงตามย่านชุมชน เช่น สถานีรถไฟใต้ดิน ซึ่งตอนแรกดูเหมือนประชาชนจะไม่ค่อยเชื่อ แต่เมื่อเป็นเช่นนี้ทุกฝ่ายก็ต้องระมัดระวังตัวมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม หากยังเกิดเหตุแบบนี้ต่อไป โดยที่รัฐบาล ตำรวจ กองทัพ ศอฉ. ไม่สามารถแก้ไขสถานการณ์ได้ ก็ถึงเวลาแล้วที่ต้องพิจารณาทบทวนตัวเองได้แล้วว่าจะลอยตัวแบบนี้อยู่ได้อย่างไร.
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
นิติรัฐ-พลเมือง?
ที่มา.สยามธุรกิจ
“DOUBLE STANDARD” จับประเด็นในฝันแห่งประชาธิปไตย สะท้อนผ่านมุมมอง 2 นักวิชาการ “ผศ.ดร.ปริญญา เทวานฤมิตรกุล” รองอธิการบดี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และ “เสรี สุวรรณภานนท์” อดีต ส.ว.กทม. ถ่ายทอดมิติแห่งนิติรัฐและพลเมือง อันเป็นหนึ่งในเงื่อนไข ที่จะนำประเทศนี้ออกจากความขัดแย้ง
‘ผศ.ดร.ปริญญา เทวานฤมิตรกุล’ รองอธิการบดี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
“ต้องตั้งคำถามแรกว่า การใช้ประชาธิปไตยในประเทศไทยประสบความสำเร็จหรือไม่ ในเมื่อเรามีเหตุการณ์ความรุนแรงต่างๆ ที่เกิดขึ้น ไล่ตั้งแต่ตุลาฯ 16 จนถึงล่าสุด พ.ค.53 รวมแล้วเกิดเหตุการณ์ความรุนแรงที่มีชนวนจากการเมืองมาแล้ว 4 ครั้ง ในรอบ 78 นับแต่เปลี่ยนแปลงการปกครองมาเป็นระบอบประชาธิปไตย ขณะเดียวกัน เราก็มีรัฐประหารถึง 11 ครั้ง ไม่นับกบฏอีก 11 ครั้ง เรามีรัฐธรรมนูญถึง 18 ฉบับ ฉะนั้น จึงบอกได้ว่า ในรอบ 68 ปีที่ผ่านมา เราไม่สามารถมีนิติรัฐได้”
“จากนั้นเราก็ต้องมาวิเคราะห์ว่า เหตุใดประชาธิปไตยจึงไม่ประสบความสำเร็จในประเทศไทย และจะแก้ไขอย่างไร และก็มามองว่า เรารู้จักประชาธิปไตยว่า เราคือผู้มีอำนาจสูงสุดในการปกครองเป็นของประชาชนแค่ไหน รู้หรือไม่ว่าเราเป็นเจ้าของประเทศ ไม่ใช่เป็นในลักษณะ ผู้อาศัยเหมือนประเทศที่ไม่ได้ปกครองโดยระบบประชาธิปไตย ซึ่งเขามีสิทธิเสรีภาพเท่าที่ประเทศเขาจะให้”
“นอกจากนี้ ก็ต้องมองด้วยว่า ทำไมประชาธิปไตยต้องมีกติกา ทำไมประชาธิปไตย ต้องมีนิติรัฐ ยกตัวอย่างฟุตบอล ที่ผลประโยชน์ ของคนสองกลุ่มแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง แต่มา แข่งขันกันภายใต้กติกา ผู้เล่นทุกคนต้องเคารพ กติกา เพราะฉะนั้น ประชาธิปไตยก็จำเป็นต้อง มีกติกา แต่ความแตกต่างและความขัดแย้งก็เป็นเรื่องปกติของสังคม ในเมื่อประชาชนเป็นเจ้าของประเทศ ประชาชนก็มีอำนาจใน ประเทศ และมีสิทธิเสรีภาพตราบใดที่ยังไม่มีกฎหมายมาห้าม ขณะที่ผู้บริหารประเทศหรือเจ้าหน้าที่รัฐจะทำอะไรได้ก็ต้องมี กฎหมาย ฉะนั้น อำนาจกับสิทธิเสรีภาพ เป็นสิ่งที่สวนทางกัน หากท่านต้องการ ให้มีสิทธิเสรีภาพ ต้องจำกัดอำนาจให้มีเท่าที่จำเป็นและอยู่ใต้กฎหมาย”
“กฎหมายที่ใช้ในระบอบประชาธิปไตย ต้องมาจากประชาชน โดยเป็นหน้าที่ของสภา ผู้แทนราษฎรไม่ใช่ที่เราสอนกันตามโรงเรียนกฎหมายหรือในคณะนิติศาสตร์ว่า กฎหมายคือคำสั่งของผู้มีอำนาจ ฉะนั้น กฎหมายตาม ระบอบประชาธิปไตยคือ การตกลงร่วมกันของประชาชนว่าจะใช้กติกาอะไรในการอยู่ร่วมกัน ซึ่งในเมื่อเราไม่สามารถไปตกลงกัน เองได้ ก็ต้องตกลงกันโดยผ่านผู้แทน ถ้าเรา เข้าใจเช่นนี้ ก็จะมีมุมมองในเรื่องนิติรัฐอีกมุม หนึ่ง การใช้กฎหมายก็จะไม่ใช่การทำที่ปลาย ทางเช่นที่ผ่านมา”
“สำหรับการแบ่งแยกอำนาจ ต้องมีการ แบ่งแยกฝ่ายนิติบัญญัติออกมาจากฝ่ายบริหาร หรือรัฐบาล เพราะถ้าฝ่ายบริหารหรือรัฐบาล มีอำนาจออกกฎหมายด้วย ถ้าต้องการอำนาจ ใดก็สามารถออกกฎหมายได้ตลอดเวลา เหมือนยิ่งรัฐบาลมีอำนาจมากเท่าไร ประชาชนก็มีสิทธิเสรีภาพน้อยลงเท่านั้น นั่นแปลว่าประชาชนยินยอมที่จะถูกจำกัดสิทธิเสรีภาพบางประการ ขณะที่ฝ่ายตุลาการ ก็มีหน้าที่แยกอำนาจตีความกฎหมายออกมาจากผู้ใช้ เพื่อทำหน้าที่ป้องกันไม่ให้รัฐบาลตีความอำนาจเข้าข้างตัวเอง ทุกฝ่ายต้องถ่วงดุลซึ่งกันและ กัน นี่คือการปกครองระบอบประชาธิปไตย”
“ปัญหาเรื่องนิติรัฐในประเทศไทย ประการแรกเราชอบอ้างหลักนิติศาสตร์มายกเว้น กติกา เรื่องนี้เป็นเรื่องที่คนเข้าใจกันน้อยมาก แม้แต่คนที่อยู่ในวงการกฎหมาย เราชอบเข้าใจว่ากฎหมายเป็นแค่หลักนิติศาสตร์ สามารถยกเว้นได้ ทั้งที่จริงประชาธิปไตยต้องใช้การปกครองโดยกฎหมาย ซึ่งเมื่อมีการนำหลักนิติศาสตร์มาใช้เขียนกฎหมายแล้ว ก็ต้องมีการบังคับใช้โดยเสมอกัน และต่อเนื่อง เพื่อให้คนเคารพกฎหมาย และนอกจากกติกาจะงดเว้นได้แล้ว เรายังยกเลิกกติกาได้ เห็นได้จากการยกเลิกรัฐธรรมนูญมาแล้ว 8 ครั้ง เนื่องจากระบบกฎมายและกระบวนการยุติธรรม ยอมรับให้ฉีกรัฐธรรมนูญได้ โดยให้อำนาจกับ หัวหน้าคณะปฏิวัติ ถ้ายึดอำนาจสำเร็จศาลจะนำมาใช้บังคับเป็นกฎหมายให้ ซึ่งขัดกับการ ปกครองระบอบประชาธิปไตยและหลักนิติรัฐ เราจึงต้องมานั่งคุยกันในเรื่องต่างๆ โดยเฉพาะเรื่องการให้อำนาจฝ่ายบริหารโดยจำกัด”
“เราชอบมองว่าอำนาจแก้ปัญหาได้ ยกตัวอย่าง พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ที่เราใช้มากว่า 40 ปี แล้วก็ยังคงใช้ตามแบบเดิม โดยมีคำจำกัดความว่า ใช้เท่าที่จำเป็น แต่ปัญหาคือ ใครเป็น คนตีความคำว่าเท่าที่จำเป็น การมีกฎหมายไม่ใช่แปลว่าเราเป็นนิติรัฐแล้ว กฎหมายในนิติรัฐนั้นแตกต่างจากกฎหมายในระบอบเผด็จการ คือ ถ้าเป็นกฎหมายในนิติรัฐ ต้องให้อำนาจเท่าที่จำเป็น เพราะอำนาจนั้นสวนทาง กับสิทธิเสรีภาพ แต่บ้านเราก็มีมาตรา 16 งดเว้นไว้ ทำให้ผู้มีอำนาจทำอะไรก็ได้ในขณะที่คง พ.ร.ก.ฉุกเฉิน”
“ปัญหาต่อมาคือ กฎหมายต้องบังคับใช้โดยเสมอกัน ซึ่งนี่คือเรื่องที่ออกจากความรู้สึกจริงๆ ของคนกลุ่มหนึ่ง ลองมองภาพนักบอล ทีมหนึ่งทำฟาวล์ยังไงกรรมการก็ไม่เป่า การแข่งขันก็ดำเนินต่อไม่ได้ เพราะฉะนั้น เป้าหมาย ของความปรองดองไม่ใช่ทำให้สองฝ่ายมารัก กัน แต่ถ้าได้ก็ดี เป้าคือจะอยู่ร่วมกันอย่างไร เพราะฉะนั้น จึงต้องบังคับใช้กฎหมายโดยเสมอกัน แล้วการบังคับใช้กฎหมายที่ดีที่สุดคือ การให้คนเคารพกฎหมาย ซึ่งที่ผ่านมา เรามีนิติรัฐแต่ไม่ได้สร้างให้คนเคารพกฎหมาย ประชาธิปไตยจึงล้มเหลว ในอนาคตเราจึงจำเป็นต้องสร้างพลเมืองให้มีอิสรภาพควบคู่กับความรับผิดชอบ ซึ่งเคารพผู้อื่นแล้วเคารพกติกา ลำพังมีกฎหมายที่ดี รัฐธรรมนูญที่ดี แต่ คนไม่เคารพกฎหมาย เราก็ไม่ประสบผลสำเร็จในการปกครองระบอบประชาธิปไตย”
‘เสรี สุวรรณภานนท์’ อดีต ส.ว.กทม.
“ที่ผ่านมาทางออกของประเทศไทยขึ้น อยู่กับกระแสและกระสุน เวลาเกิดเหตุการณ์ ในบ้านเมืองก็จะมีกระแสออกมา เหมือนกับคำ พิพากษาว่า ใครไม่ทำตามกระแสสังคมเหมือน จะกลายเป็นคนผิด กระแสสังคมที่ทำออกมา คนที่ทำตามกฎหมาย คนที่ทำถูกต้องกลับกลาย เป็นคนผิดไป เราอยู่ในสภาวะอย่างนี้มาตลอด ไม่อยู่บนหลักกฎหมาย เหตุผล และข้อเท็จจริง มิเช่นนั้น เราก็จะเกิดความเสียหายอย่างที่ปรากฏ”
“อีกเรื่องคือ เรื่องของกระสุน เลือกตั้ง ครั้งไหนหากไม่มีกระสุนก็แพ้ทุกครั้ง นี่คือทางออกอีกทาง การที่เราบอกอยากได้ผู้บริหาร บ้านเมืองที่ดี เราต้องเลือกคนดีเข้ามาบริหารประเทศ แต่สุดท้ายคนดีที่ช่วยเหลือสังคม ดูแลสังคม และเสียสละ เมื่อลงเลือกตั้งกลับแพ้ทุกครั้ง เพราะไม่มีกระสุน เราก็พยายามสร้าง กติกา สร้างองค์กร สร้างกลไก เพื่อแก้ไขปัญหาเรื่องการทุจริตโกงการเลือกตั้ง แต่มาจนบัดนี้ก็ยังไม่สามารถแก้ปัญหาให้ประเทศได้ เพราะฉะนั้น เราก็ไม่ได้คนที่ดีจริงเข้ามา แต่เราจะได้คนแสวงหาประโยชน์เข้ามาตลอด”
“ทางออกของประเทศไทยที่ดีที่สุดที่เรามองเห็นหรือเป็นสากลก็คือ กฎหมายและ กติกาของบ้านเมือง อย่างในเกมฟุตบอล คนที่ได้ใบเหลืองใบแดงจากกรรมการเขาก็รับได้ กับกติกา แต่บ้านเรากติกาเดียวกัน แข่งแล้ว กลับตีกัน นี่คือสังคมไทย ที่เราไม่ยอมรับกติกา ทำให้เป็นปัญหา นอกจากนั้น การบังคับใช้กฎหมายต้องเสมอภาคกัน ทางออกที่แท้จริง เราต้องมามองดูว่ากฎหมายที่บังคับใช้เป็นกฎหมายที่ให้ความเป็นธรรมกับประชาชนหรือยัง ไม่ให้ประชาชนเหมือนถูกบังคับใช้กฎหมาย เหมือนถูกรังแก ในขณะที่สังคมเรากลับชาชินกับกระบวนการที่เกิดขึ้นตามกฎหมาย”
“กฎหมายที่ออกมาบางฉบับมีเป้าหมาย วัตถุประสงค์ แต่บางฉบับออกโดยซ่อนปม ซ่อนเงื่อนเอาไว้ และสุดท้ายกฎหมายเหล่านี้ ก็เป็นเครื่องมือแสวงหาประโยชน์มาทำร้ายประชาชนเอง ซึ่งที่ผ่านมาเราไม่เคยหาทางออก หาทางแก้ เพราะเราชาชินกันไปแล้ว กลายเป็นว่ายอมเสียเงินเพื่อความสะดวก นี่แสดงให้เห็นว่า ที่ผ่านมากฎหมายไม่ได้เอื้อประโยชน์ เป็นธรรม และให้บริการกับประชาชนอย่างเต็มที่ เมื่อใดถ้าประชาชนพึงพอใจ กับการบังคับใช้กฎหมายของเจ้าหน้าที่บ้านเมือง นั่นก็คือ ความผาสุกและทางออกของประเทศ ขณะเดียวกัน เจ้าหน้าที่รัฐ ก็ต้องไม่เกี่ยงงานกันในหน้าที่ใกล้เคียงกัน”
“ที่สำคัญเราต้องหาคนออกกฎหมายที่มีคุณภาพ ในขณะเดียวกันกฎหมายที่บังคับ ใช้ต้องมีคุณภาพ และการบังคับใช้ต้องมีคุณภาพ ซึ่งบ้านเราขาดสิ่งเหล่านี้ ซึ่งเมื่ออำนาจอยู่มือ ข้าราชการหรือฝ่ายบริหาร ประชาชนก็ออกมาไล่ เมื่อออกมาไล่เรื่องก็บานปลายจนสร้าง ความเดือดร้อน จนในที่สุดก็เป็นวัฏจักรของปัญหา อย่างที่เราเห็นขณะนี้ “
ประตูทางออกประเทศไทยเปิดแง้มรอ ไว้ทุกเมื่อ สุดท้ายรอเพียงประชาชนคนไทย ก้าวย่างอย่างพร้อมเพรียงเพื่อไปให้ถึงหลักชัยแห่งนิติรัฐ!!!
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
“DOUBLE STANDARD” จับประเด็นในฝันแห่งประชาธิปไตย สะท้อนผ่านมุมมอง 2 นักวิชาการ “ผศ.ดร.ปริญญา เทวานฤมิตรกุล” รองอธิการบดี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และ “เสรี สุวรรณภานนท์” อดีต ส.ว.กทม. ถ่ายทอดมิติแห่งนิติรัฐและพลเมือง อันเป็นหนึ่งในเงื่อนไข ที่จะนำประเทศนี้ออกจากความขัดแย้ง
‘ผศ.ดร.ปริญญา เทวานฤมิตรกุล’ รองอธิการบดี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
“ต้องตั้งคำถามแรกว่า การใช้ประชาธิปไตยในประเทศไทยประสบความสำเร็จหรือไม่ ในเมื่อเรามีเหตุการณ์ความรุนแรงต่างๆ ที่เกิดขึ้น ไล่ตั้งแต่ตุลาฯ 16 จนถึงล่าสุด พ.ค.53 รวมแล้วเกิดเหตุการณ์ความรุนแรงที่มีชนวนจากการเมืองมาแล้ว 4 ครั้ง ในรอบ 78 นับแต่เปลี่ยนแปลงการปกครองมาเป็นระบอบประชาธิปไตย ขณะเดียวกัน เราก็มีรัฐประหารถึง 11 ครั้ง ไม่นับกบฏอีก 11 ครั้ง เรามีรัฐธรรมนูญถึง 18 ฉบับ ฉะนั้น จึงบอกได้ว่า ในรอบ 68 ปีที่ผ่านมา เราไม่สามารถมีนิติรัฐได้”
“จากนั้นเราก็ต้องมาวิเคราะห์ว่า เหตุใดประชาธิปไตยจึงไม่ประสบความสำเร็จในประเทศไทย และจะแก้ไขอย่างไร และก็มามองว่า เรารู้จักประชาธิปไตยว่า เราคือผู้มีอำนาจสูงสุดในการปกครองเป็นของประชาชนแค่ไหน รู้หรือไม่ว่าเราเป็นเจ้าของประเทศ ไม่ใช่เป็นในลักษณะ ผู้อาศัยเหมือนประเทศที่ไม่ได้ปกครองโดยระบบประชาธิปไตย ซึ่งเขามีสิทธิเสรีภาพเท่าที่ประเทศเขาจะให้”
“นอกจากนี้ ก็ต้องมองด้วยว่า ทำไมประชาธิปไตยต้องมีกติกา ทำไมประชาธิปไตย ต้องมีนิติรัฐ ยกตัวอย่างฟุตบอล ที่ผลประโยชน์ ของคนสองกลุ่มแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง แต่มา แข่งขันกันภายใต้กติกา ผู้เล่นทุกคนต้องเคารพ กติกา เพราะฉะนั้น ประชาธิปไตยก็จำเป็นต้อง มีกติกา แต่ความแตกต่างและความขัดแย้งก็เป็นเรื่องปกติของสังคม ในเมื่อประชาชนเป็นเจ้าของประเทศ ประชาชนก็มีอำนาจใน ประเทศ และมีสิทธิเสรีภาพตราบใดที่ยังไม่มีกฎหมายมาห้าม ขณะที่ผู้บริหารประเทศหรือเจ้าหน้าที่รัฐจะทำอะไรได้ก็ต้องมี กฎหมาย ฉะนั้น อำนาจกับสิทธิเสรีภาพ เป็นสิ่งที่สวนทางกัน หากท่านต้องการ ให้มีสิทธิเสรีภาพ ต้องจำกัดอำนาจให้มีเท่าที่จำเป็นและอยู่ใต้กฎหมาย”
“กฎหมายที่ใช้ในระบอบประชาธิปไตย ต้องมาจากประชาชน โดยเป็นหน้าที่ของสภา ผู้แทนราษฎรไม่ใช่ที่เราสอนกันตามโรงเรียนกฎหมายหรือในคณะนิติศาสตร์ว่า กฎหมายคือคำสั่งของผู้มีอำนาจ ฉะนั้น กฎหมายตาม ระบอบประชาธิปไตยคือ การตกลงร่วมกันของประชาชนว่าจะใช้กติกาอะไรในการอยู่ร่วมกัน ซึ่งในเมื่อเราไม่สามารถไปตกลงกัน เองได้ ก็ต้องตกลงกันโดยผ่านผู้แทน ถ้าเรา เข้าใจเช่นนี้ ก็จะมีมุมมองในเรื่องนิติรัฐอีกมุม หนึ่ง การใช้กฎหมายก็จะไม่ใช่การทำที่ปลาย ทางเช่นที่ผ่านมา”
“สำหรับการแบ่งแยกอำนาจ ต้องมีการ แบ่งแยกฝ่ายนิติบัญญัติออกมาจากฝ่ายบริหาร หรือรัฐบาล เพราะถ้าฝ่ายบริหารหรือรัฐบาล มีอำนาจออกกฎหมายด้วย ถ้าต้องการอำนาจ ใดก็สามารถออกกฎหมายได้ตลอดเวลา เหมือนยิ่งรัฐบาลมีอำนาจมากเท่าไร ประชาชนก็มีสิทธิเสรีภาพน้อยลงเท่านั้น นั่นแปลว่าประชาชนยินยอมที่จะถูกจำกัดสิทธิเสรีภาพบางประการ ขณะที่ฝ่ายตุลาการ ก็มีหน้าที่แยกอำนาจตีความกฎหมายออกมาจากผู้ใช้ เพื่อทำหน้าที่ป้องกันไม่ให้รัฐบาลตีความอำนาจเข้าข้างตัวเอง ทุกฝ่ายต้องถ่วงดุลซึ่งกันและ กัน นี่คือการปกครองระบอบประชาธิปไตย”
“ปัญหาเรื่องนิติรัฐในประเทศไทย ประการแรกเราชอบอ้างหลักนิติศาสตร์มายกเว้น กติกา เรื่องนี้เป็นเรื่องที่คนเข้าใจกันน้อยมาก แม้แต่คนที่อยู่ในวงการกฎหมาย เราชอบเข้าใจว่ากฎหมายเป็นแค่หลักนิติศาสตร์ สามารถยกเว้นได้ ทั้งที่จริงประชาธิปไตยต้องใช้การปกครองโดยกฎหมาย ซึ่งเมื่อมีการนำหลักนิติศาสตร์มาใช้เขียนกฎหมายแล้ว ก็ต้องมีการบังคับใช้โดยเสมอกัน และต่อเนื่อง เพื่อให้คนเคารพกฎหมาย และนอกจากกติกาจะงดเว้นได้แล้ว เรายังยกเลิกกติกาได้ เห็นได้จากการยกเลิกรัฐธรรมนูญมาแล้ว 8 ครั้ง เนื่องจากระบบกฎมายและกระบวนการยุติธรรม ยอมรับให้ฉีกรัฐธรรมนูญได้ โดยให้อำนาจกับ หัวหน้าคณะปฏิวัติ ถ้ายึดอำนาจสำเร็จศาลจะนำมาใช้บังคับเป็นกฎหมายให้ ซึ่งขัดกับการ ปกครองระบอบประชาธิปไตยและหลักนิติรัฐ เราจึงต้องมานั่งคุยกันในเรื่องต่างๆ โดยเฉพาะเรื่องการให้อำนาจฝ่ายบริหารโดยจำกัด”
“เราชอบมองว่าอำนาจแก้ปัญหาได้ ยกตัวอย่าง พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ที่เราใช้มากว่า 40 ปี แล้วก็ยังคงใช้ตามแบบเดิม โดยมีคำจำกัดความว่า ใช้เท่าที่จำเป็น แต่ปัญหาคือ ใครเป็น คนตีความคำว่าเท่าที่จำเป็น การมีกฎหมายไม่ใช่แปลว่าเราเป็นนิติรัฐแล้ว กฎหมายในนิติรัฐนั้นแตกต่างจากกฎหมายในระบอบเผด็จการ คือ ถ้าเป็นกฎหมายในนิติรัฐ ต้องให้อำนาจเท่าที่จำเป็น เพราะอำนาจนั้นสวนทาง กับสิทธิเสรีภาพ แต่บ้านเราก็มีมาตรา 16 งดเว้นไว้ ทำให้ผู้มีอำนาจทำอะไรก็ได้ในขณะที่คง พ.ร.ก.ฉุกเฉิน”
“ปัญหาต่อมาคือ กฎหมายต้องบังคับใช้โดยเสมอกัน ซึ่งนี่คือเรื่องที่ออกจากความรู้สึกจริงๆ ของคนกลุ่มหนึ่ง ลองมองภาพนักบอล ทีมหนึ่งทำฟาวล์ยังไงกรรมการก็ไม่เป่า การแข่งขันก็ดำเนินต่อไม่ได้ เพราะฉะนั้น เป้าหมาย ของความปรองดองไม่ใช่ทำให้สองฝ่ายมารัก กัน แต่ถ้าได้ก็ดี เป้าคือจะอยู่ร่วมกันอย่างไร เพราะฉะนั้น จึงต้องบังคับใช้กฎหมายโดยเสมอกัน แล้วการบังคับใช้กฎหมายที่ดีที่สุดคือ การให้คนเคารพกฎหมาย ซึ่งที่ผ่านมา เรามีนิติรัฐแต่ไม่ได้สร้างให้คนเคารพกฎหมาย ประชาธิปไตยจึงล้มเหลว ในอนาคตเราจึงจำเป็นต้องสร้างพลเมืองให้มีอิสรภาพควบคู่กับความรับผิดชอบ ซึ่งเคารพผู้อื่นแล้วเคารพกติกา ลำพังมีกฎหมายที่ดี รัฐธรรมนูญที่ดี แต่ คนไม่เคารพกฎหมาย เราก็ไม่ประสบผลสำเร็จในการปกครองระบอบประชาธิปไตย”
‘เสรี สุวรรณภานนท์’ อดีต ส.ว.กทม.
“ที่ผ่านมาทางออกของประเทศไทยขึ้น อยู่กับกระแสและกระสุน เวลาเกิดเหตุการณ์ ในบ้านเมืองก็จะมีกระแสออกมา เหมือนกับคำ พิพากษาว่า ใครไม่ทำตามกระแสสังคมเหมือน จะกลายเป็นคนผิด กระแสสังคมที่ทำออกมา คนที่ทำตามกฎหมาย คนที่ทำถูกต้องกลับกลาย เป็นคนผิดไป เราอยู่ในสภาวะอย่างนี้มาตลอด ไม่อยู่บนหลักกฎหมาย เหตุผล และข้อเท็จจริง มิเช่นนั้น เราก็จะเกิดความเสียหายอย่างที่ปรากฏ”
“อีกเรื่องคือ เรื่องของกระสุน เลือกตั้ง ครั้งไหนหากไม่มีกระสุนก็แพ้ทุกครั้ง นี่คือทางออกอีกทาง การที่เราบอกอยากได้ผู้บริหาร บ้านเมืองที่ดี เราต้องเลือกคนดีเข้ามาบริหารประเทศ แต่สุดท้ายคนดีที่ช่วยเหลือสังคม ดูแลสังคม และเสียสละ เมื่อลงเลือกตั้งกลับแพ้ทุกครั้ง เพราะไม่มีกระสุน เราก็พยายามสร้าง กติกา สร้างองค์กร สร้างกลไก เพื่อแก้ไขปัญหาเรื่องการทุจริตโกงการเลือกตั้ง แต่มาจนบัดนี้ก็ยังไม่สามารถแก้ปัญหาให้ประเทศได้ เพราะฉะนั้น เราก็ไม่ได้คนที่ดีจริงเข้ามา แต่เราจะได้คนแสวงหาประโยชน์เข้ามาตลอด”
“ทางออกของประเทศไทยที่ดีที่สุดที่เรามองเห็นหรือเป็นสากลก็คือ กฎหมายและ กติกาของบ้านเมือง อย่างในเกมฟุตบอล คนที่ได้ใบเหลืองใบแดงจากกรรมการเขาก็รับได้ กับกติกา แต่บ้านเรากติกาเดียวกัน แข่งแล้ว กลับตีกัน นี่คือสังคมไทย ที่เราไม่ยอมรับกติกา ทำให้เป็นปัญหา นอกจากนั้น การบังคับใช้กฎหมายต้องเสมอภาคกัน ทางออกที่แท้จริง เราต้องมามองดูว่ากฎหมายที่บังคับใช้เป็นกฎหมายที่ให้ความเป็นธรรมกับประชาชนหรือยัง ไม่ให้ประชาชนเหมือนถูกบังคับใช้กฎหมาย เหมือนถูกรังแก ในขณะที่สังคมเรากลับชาชินกับกระบวนการที่เกิดขึ้นตามกฎหมาย”
“กฎหมายที่ออกมาบางฉบับมีเป้าหมาย วัตถุประสงค์ แต่บางฉบับออกโดยซ่อนปม ซ่อนเงื่อนเอาไว้ และสุดท้ายกฎหมายเหล่านี้ ก็เป็นเครื่องมือแสวงหาประโยชน์มาทำร้ายประชาชนเอง ซึ่งที่ผ่านมาเราไม่เคยหาทางออก หาทางแก้ เพราะเราชาชินกันไปแล้ว กลายเป็นว่ายอมเสียเงินเพื่อความสะดวก นี่แสดงให้เห็นว่า ที่ผ่านมากฎหมายไม่ได้เอื้อประโยชน์ เป็นธรรม และให้บริการกับประชาชนอย่างเต็มที่ เมื่อใดถ้าประชาชนพึงพอใจ กับการบังคับใช้กฎหมายของเจ้าหน้าที่บ้านเมือง นั่นก็คือ ความผาสุกและทางออกของประเทศ ขณะเดียวกัน เจ้าหน้าที่รัฐ ก็ต้องไม่เกี่ยงงานกันในหน้าที่ใกล้เคียงกัน”
“ที่สำคัญเราต้องหาคนออกกฎหมายที่มีคุณภาพ ในขณะเดียวกันกฎหมายที่บังคับ ใช้ต้องมีคุณภาพ และการบังคับใช้ต้องมีคุณภาพ ซึ่งบ้านเราขาดสิ่งเหล่านี้ ซึ่งเมื่ออำนาจอยู่มือ ข้าราชการหรือฝ่ายบริหาร ประชาชนก็ออกมาไล่ เมื่อออกมาไล่เรื่องก็บานปลายจนสร้าง ความเดือดร้อน จนในที่สุดก็เป็นวัฏจักรของปัญหา อย่างที่เราเห็นขณะนี้ “
ประตูทางออกประเทศไทยเปิดแง้มรอ ไว้ทุกเมื่อ สุดท้ายรอเพียงประชาชนคนไทย ก้าวย่างอย่างพร้อมเพรียงเพื่อไปให้ถึงหลักชัยแห่งนิติรัฐ!!!
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)