--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันอาทิตย์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2553

เอแบคโพลชี้คนมีรายได้ต่ำกว่าหมื่นบาท/เดือนอ่วม! ชักหน้าไม่ถึงหลังมากขึ้น กว่า65%ไม่มีเงินออม

ประชาชาติธุรกิจออนไลน์

ดร.นพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการสำนักวิจัยเอแบคโพลล์ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ และนักศึกษาด้านการพัฒนาระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยคอร์เนลล์( Cornell University) เปิดเผยเมื่อวันที่ 5 กันยายนถึงผลสำรวจ เรื่อง “เปิดกระเป๋าเงินของคนทำงานผู้มีรายได้น้อย สะท้อนอารมณ์และความล้มเหลวของรัฐบาล :กรณีศึกษาตัวอย่างคนทำงานผู้มีรายได้ไม่เกิน 10,000 บาทต่อเดือน ใน 12 จังหวัดของประเทศ” ซึ่งเป็นการสำรวจจากครัวเรือนจาก 12 จังหวัดของประเทศ ได้แก่ กรุงเทพมหานคร ปทุมธานี ชลบุรี นครราชสีมา อุดรธานี กาฬสินธุ์ เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน นครสวรรค์ ประจวบคีรีขันธ์ ภูเก็ต และสงขลา จำนวนทั้งสิ้น 988 ครัวเรือน ในช่วงเดือนสิงหาคม 2553 ประเด็นสำคัญที่พบมีดังนี้

มีค่าใช้จ่ายในแต่เดือนพอๆ กับรายได้ โดยมากเป็นค่าใช้จ่ายในการซื้ออาหาร เฉลี่ย 4,626.77 บาท รองลงมาเป็นเสื้อผ้า เครื่องแต่งกาย เฉลี่ย 1,156.56 บาท และของใช้อุปโภค เช่น สบู่ ยาสระผม ยาสีฟัน เฉลี่ย 978.11 บาท

เมื่อสอบถามถึงรายได้ส่วนตัวเมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 2 โดยภาพรวมพบว่า ตัวอย่างเกินกว่าครึ่ง หรือร้อยละ 55.7 มีรายได้ลดลง ขณะที่ร้อยละ 38.7 เท่าเดิม และมีเพียงร้อยละ 5.6 ที่มีรายได้เพิ่มขึ้น

เมื่อจำแนกตามการมีรายได้ประจำ พบว่า ผู้ไม่มีเงินรายได้ประจำ มีรายได้ลดลงอย่างชัดเจนเมื่อเปรียบเทียบกับผู้ที่มีรายได้ประจำ (รายได้ลดลงร้อยละ 58.0 และ 38.1 ตามลำดับ)

ในทางกลับกันเมื่อสอบถามถึงรายจ่ายส่วนตัว โดยภาพรวมพบว่า ตัวอย่างส่วนใหญ่ หรือร้อยละ 60.2 มีรายจ่ายเพิ่มขึ้น ขณะที่ร้อยละ 25.0 เท่าเดิม และร้อยละ 14.8 มีรายจ่ายลดลง ซึ่งเป็นไปในลักษณะเดียวกันทั้งผู้ที่มีรายได้ประจำ และไม่มีรายได้ประจำ

อย่างไรก็ตาม เมื่อสอบถามต่อถึงการมีเงินออม โดยภาพรวมพบว่าตัวอย่างประมาณ 2 ใน 3 หรือร้อยละ 65.8 ไม่มีเงินออม โดยไม่แตกต่างกันมากนักไม่ว่า จะเป็นผู้มีรายได้ประจำหรือไม่มี

สำหรับตัวอย่างร้อยละ 34.2 ที่มีเงินออมนั้น โดยภาพรวมพบว่า มีเงินออมเฉลี่ย 1,369.37 บาทต่อเดือน (ร้อยละ 37.2 มีเงินออมในแต่ละเดือนไม่เกิน 500 บาท รองลงมาร้อยละ 26.5 มีเงินออม 501 – 1,000 บาท และร้อยละ 18.5 มีเงินออม 1,001 – 2,000 บาท ส่วนผู้ที่มีเงินออมมากกว่านี้มีสัดส่วนลดหลั่นลงไป) ซึ่งพบว่า ผู้ที่มีรายได้ประจำมีเงินออมมากกว่าผู้ไม่มีรายได้ประจำเล็กน้อย เฉลี่ย 1,535.22 บาท และ 1,342.02 บาท ตามลำดับ

นอกจากนี้เมื่อสอบถามถึงความเชื่อมั่นในเสถียรภาพของรัฐบาลชุดปัจจุบัน ผลสำรวจพบว่า แม้โดยภาพรวมตัวอย่างร้อยละ 47.3 ระบุเชื่อมั่นเท่าเดิม แต่พบว่า สัดส่วนของกลุ่มที่ระบุเชื่อมั่นลดลงนั้นมีมากกว่ากลุ่มที่ระบุเชื่อมั่นมากขึ้นอย่างชัดเจน คิดเป็นร้อยละ 39.3 และ 13.4 ตามลำดับ และเมื่อพิจารณาต่อไปยังเห็นได้ชัดว่า ผู้ที่ไม่มีรายได้ประจำมีความเชื่อมั่นลดลงมากกว่าผู้ที่มีรายได้ประจำ คิดเป็นร้อยละ 40.7 และ 28.8 ตามลำดับ

ผอ.เอแบคโพลล์ กล่าวว่า กลุ่มคนที่เป็นผู้มีรายได้น้อยเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ กำลังได้รับผลกระทบอย่างหนักจากแนวทางการพัฒนาประเทศของรัฐบาลเกือบทุกรัฐบาลที่ผ่านมา และเกือบทุกอย่างดูเหมือนจะ “วน” อยู่ที่เดิม แค่เปลี่ยนชื่อคนที่มาเป็นนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างๆ เท่านั้น แต่วิธีคิดและแนวทางแก้ไขปัญหาบ้านเมืองยังไม่ปรากฏให้เห็นว่ามี “การเปลี่ยนแปลง” หรือมี “อะไรใหม่” ให้นำไปสู่ชีวิตที่ดีขึ้นของประชาชนอย่างยั่งยืน เพราะผลวิจัยครั้งนี้สะท้อนปัญหาเดิมๆ ว่า คนไม่เชื่อมั่นต่อฐานะทางการเงินส่วนตัวของตนเอง และต่อความสามารถของรัฐบาล สาเหตุสำคัญส่วนหนึ่งอยู่ที่รัฐบาลและหน่วยงานความมั่นคงด้านเศรษฐกิจที่มุ่งเน้นไปแต่เรื่องอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจที่เดินตามรอยประเทศมหาอำนาจเกินไป

ทางออกตอนนี้อย่างน้อยสามประการคือ ประการแรก เร่งมุ่งเน้นไปที่ “ความเป็นธรรม” ที่ให้โอกาสทุกคนอย่างเท่าเทียมสู่ระดับท้องถิ่น เรื่องการเข้าถึงอาชีพ รายได้ที่เป็นธรรม การครอบครองทรัพยากรทางธรรมชาติ ที่ทำกิน การศึกษา ระบบสุขภาพถ้วนหน้า เป็นต้น โดยระยะสั้นน่าจะมีโครงการบรรเทาคนรายได้น้อยที่ครอบคลุมทั้งประเทศในปัจจัยพื้นฐานคือ อาหาร และสาธารณูปโภคต่างๆ

ประการที่สอง เสนอให้ “กลุ่มนายทุน” หรือคนรวยช่วยเหลือคนจนทั้งทางตรงและทางอ้อม ทั้งในลักษณะมูลนิธิหรือองค์กรไม่หวังผลกำไร และรัฐบาลหาแนวทางช่วยเหลือกลุ่มนายทุนเหล่านั้นอีกทีหนึ่ง

และที่สำคัญ ประการที่สาม คือ ต้องแก้ “ปัญหาคอรัปชั่น” ในส่วนกลางและท้องถิ่น ที่เป็นปัจจัยทำให้ “ระบบเศรษฐกิจ” ทั้งทุนนิยมแบบประชาธิปไตยและไม่เป็นประชาธิปไตยพังไปหลายประเทศ ก่อให้เกิดการจลาจลต่อต้านรัฐบาลและผู้มีอำนาจมาหลายสมัยแล้ว จึงเห็นเสนอให้ปรับแนวทางแก้ปัญหาพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน หนุนเสริมความเข้มแข็งของประชาชนโดยเน้นไปที่ “ความเป็นธรรม” และโอกาสที่ให้กับทุกคนอย่างเท่าเทียม ถ้าไม่งั้นปัญหาบ้านเมืองของประเทศจะ “วน” อยู่ที่เดิม สิ่งเลวร้ายเดิมๆ จะย้อนกลับมาซ้ำซาก และจะมีคนเพียงหยิบมือเดียวของประเทศที่จะอาศัยบ้านเมืองวุ่นวาย กอบโกยผลประโยชน์เข้าตัว
**************************************************************************

ต้องสรรเสริญสันติวิธีแบบ‘โคทม’

สำนัก(ข่าว)พระพยอม
โดย พระพยอม กัลยาโณ

เห็นท่าทีของ “คณะธรรมยาตรา” หรือชื่อใหม่ที่เรียกว่า “คณะเดินเพื่อสันติปัตตานี” ที่เดินเท้าจากกรุงเทพฯถึงจังหวัดปัตตานี ระยะทางกว่า 1,100 กม. นำโดยอาจารย์โคทม อารียา เพื่อต้องการแสดงออกทางสัญลักษณ์ อยากเห็นสันติภาพกลับมาสู่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็นเรื่องที่น่าอนุโมทนาให้กับการตั้งใจในครั้งนี้จริงๆ

อาตมาถือว่าอาจารย์โคทมเป็นผู้ที่เกิดมามีคุณค่าต่อประเทศเป็นอย่างมาก เพราะได้สร้างสรรค์สิ่งดีงามให้กับสังคมอย่างมากมาย ท่านพยายามคิดพยายามทำอะไรหลายอย่างให้กับคนในสังคมเดียวกัน ถึงแม้ว่าการกระทำบางอย่างจะไม่สามารถจะเห็นผลได้ทันที แต่ก็ทำให้สังคมได้เห็นปัญหาและลงมาช่วยกันทำ แม้การเดินเท้าจากกรุงเทพฯสู่ปัตตานีจะดูว่าไม่สามารถช่วยให้สถานการณ์เบาบางลงได้ แต่ก็ช่วยได้เยอะ เพราะมันเกิดประโยชน์ไม่ใช่น้อยเหมือนกัน สามารถกระตุ้นอารมณ์คนในสังคมได้ อย่างที่มีคำกล่าวคำหนึ่งว่า บางครั้งคนเราก็ต้องเขย่าธาตุรู้ เพราะถ้าไม่ได้เขย่า ไม่ได้ถูกกระตุ้น ปัญญาก็จะไม่เกิดหรือไม่งอกงาม และก็ยังทำให้คนในพื้นที่รู้สึกได้ว่าคนในส่วนกลางไม่ได้ทอดทิ้ง อยากเห็นสันติสุขร่วมกัน

อหิงสา สันติวิธี การลดการกระทำรุนแรงอะไรต่างๆ บางทีก็ต้องมีอะไรมากระตุ้น เพราะถ้าไม่มีการกระตุ้นก็อาจไม่เกิดขึ้น อหิงสาธาตุ ธาตุแห่งความรู้สึกไม่อยากเบียดเบียนใคร ไม่อยากเป็นต้นเหตุให้ใครเดือดร้อน ไม่อยากเป็นต้นเหตุให้ใครลำบาก จะเกิดขึ้นได้บางทีก็ต้องใช้แรงกระตุ้น

เพราะฉะนั้นใครที่เป็นต้นเหตุกระตุ้นให้เกิดสันติวิธีได้ก็ต้องเรียกว่าเป็นผู้ริเริ่มแห่งความดีงาม เป็นต้นคิด เป็นต้นแบบ ซึ่งจริงๆเรื่องของการกระตุ้นก็ทำกันมาหลายท่านแล้ว อาจารย์ไพศาล วิสาโล ก็ทำมาตลอดโดยไม่ย่อท้อ ไม่ใจเสาะเปราะบาง ถึงแม้ว่าใครจะไม่ทำท่านก็ทำ แม้ลำบากท่านก็จะทำ

ฉะนั้นคนลักษณะนี้เราถึงว่าท่านเป็นตัวช่วย ช่วยทำให้โลกเกิดความสันติ จึงอยากให้มีคนลักษณะนี้เกิดมาเยอะๆ และส่งพวกที่ชอบก่อเหตุ ชอบสร้างความปั่นป่วนเกิดมาน้อยๆ

อยากให้คนที่ชอบสร้างความปั่นป่วนหันมามองดูคนที่อยากเห็นสันติว่าเวลาไปไหนใครๆก็ต้อนรับ ยกตัวอย่างอาจารย์โคทม เวลาไปไหนมีแต่คนคอยให้กำลังใจ คอยต้อนรับ และตอบรับการกระทำของท่าน เมื่อมีคนตอบรับมากๆจะยิ่งมีคนคล้อยตาม ก็จะเกิดการยับยั้งความรุนแรง ลดความก้าวร้าว สามหาวที่ดุดันบ้าคลั่ง จะได้ไม่ต้องมีระเบิดที่นั่นที่นี่ จนต้องมีคนเจ็บคนตาย

ความบ้าคลั่งเกิดได้ทุกที่ อย่างกรณีวัยรุ่นชอบไล่ตี ไล่ยิงกันระหว่างสถาบัน จนทำให้เด็ก ป.3 โดนลูกหลงเสียชีวิต พอถูกจับค่อยสำนึกผิด ออกมาขอโทษครอบครัวคนตาย ซึ่งเป็นเพราะความคึกคะนอง ที่เจ้าหน้าที่บ้านเมืองยังแก้ปัญหานี้ไม่ได้เพราะเรามีกฎหมายที่ดีกับเด็กชั่วเหล่านี้มากเกินไป ทำให้เด็กย่ามใจ กล้าก่อความรุนแรง เบียดเบียนคนอื่น

อาตมาจึงอยากฝากไว้ว่าใครที่เป็นต้นเหตุก่อความลำบากให้คนอื่น จับมาเดินธรรมยาตราแบบอาจารย์โคทมบ้างจะได้รู้สึกว่าคนที่ต้องการสันติ ต้องการความสงบ เขาลำบากขนาดไหน แต่คงทำไม่ได้ มันคงหนีหมดระหว่างเดิน เพราะมันไม่อยากสนองตอบกิจกรรมลดความรุนแรง กิจกรรมอหิงสา กิจกรรมสันติวิธี

อาตมาขออาราธนาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ดลให้คณะธรรมยาตราทุกท่านมีร่างกายสมบูรณ์แข็งแรง มีสุขภาพดีตลอดไป เราคงจะได้เห็นกันว่าท่านที่ปฏิบัติภารกิจนี้ได้กระตุ้นอารมณ์ของคนให้ลดความรุนแรง ความบ้าคลั่ง แล้วกลับมาเป็นความเมตตาปรานี กลับมาโอนอ่อนผ่อนปรน บ้านเมืองจะได้กลับคืนมาสู่ความปรกติสุขกันเสียที

เจริญพร

**********************************************************************

วันเสาร์ที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2553

กรรมการแก้รัฐธรรมนูญเสนอยกเลิกยุบพรรค

ที่มา.Spring News

คณะกรรมการแก้ไขรัฐธรรมนูญเสนอประเด็นโกงเลือกตั้ง ไม่ต้องยุบพรรค แต่ให้หัวหน้าพรรคถูกตัดสิทธิ์ 15 ปี กรรมการบริหารโดน 10 ปี ส่วนระบบเลือกตั้งหยิบโมเดล เขตเดียว-เบอร์เดียว มาใช้

นายวุฒิสาร ตันไชย เลขานุการคณะกรรมการพิจารณาแนวทางแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่มี นายสมบัติ ธำรงธัญวงศ์ เป็นประธานแถลงหลังการประชุม กล่าวเมื่อวันที่ 3 กันยายน เกี่ยวกับข้อสรุปเบื้องต้นในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ 6 ประเด็น คือ

เสนอให้แก้ไขมาตรา 190 เรื่องการทำสัญญาระหว่างประเทศที่ต้องผ่านการพิจารณาของรัฐสภา เสนอให้แก้ไขใน 2 ประเด็น คือเพิ่มเติมคำว่า ตามที่กฎหมายบัญญัติ ในท้ายวรรคสาม เพื่อให้มีความชัดเจนว่ากฎหมายอย่างไรที่เข้าข่ายเป็นสัญญาที่มีผลกระทบต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจ หรือสังคมของประเทศอย่างกว้างขวาง หรือมีผลผูกพันด้านการค้า การลงทุน หรืองบประมาณของประเทศอย่างมีนัยสำคัญ และเพิ่มเติมคำว่า “ประเภทของหนังสือสัญญา” เพื่อให้ทราบว่าประเภทสัญญาใดบ้างที่ต้องเข้ารัฐสภา

เรื่องระบบการเลือกตั้ง ม.93-98 ที่ประชุมเสนอให้แบ่งส.ส. เป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรกมาจากการเลือกตั้งลดจาก 400 เหลือ 375 คน เป็นแบบเขตเดียวคนเดียว เพื่อส่งเสริมให้เกิดการแข่งขันและให้สิทธิของผู้ลงคะแนนในประเทศนี้มีสิทธิเท่ากัน ส่วน ส.ส.สัดส่วนจากเดิมกำหนด 8 กลุ่มจังหวัด 80 คน ให้เปลี่ยนเป็นใช้บัญชีเดียวทั่วประเทศจำนวน 125 คน เพื่อเพิ่ม ส.ส.สัดส่วน เนื่องจากเป็นคนมีชื่อเสียง มีประสบการณ์ ไม่ได้รับความนิยมในพื้นที่ แต่มีความนิยมทั่วประเทศ สำหรับวิธีการคิดคะแนนส.ส.สัดส่วนนั้นจะไม่มีการกำหนดเพดานขั้นต่ำ 5 เปอร์เซ็นต์เหมือนตอนปี 40 เพื่อให้ทุกคะแนนเสียงมีความหมาย

นายวุฒิสาร กล่าวว่า ม.265 ห้าม ส.ส.ดำรงตำแหน่งทางการเมืองอื่นนอกจากรัฐมนตรี เนื่องจาก ส.ส.ควรทำหน้าที่นิติบัญญัติ ตรวจสอบฝ่ายบริหารตามหลักแบ่งแยกอำนาจ จึงไม่ควรจะแก้ไข ส่วน ม.266 การห้าม ส.ส.และ ส.ว.แทรกแซงการทำงานของฝ่ายบริหาร ให้คงไว้เหมือนเดิม แต่เพิ่มข้อยกเว้นให้ ส.ส.สามารถแจ้งความเดือดร้อนของประชาชนให้หน่วยงานข้างต้นทราบเป็นลักษณ์อักษรได้

สำหรับ ส.ว.นั้นให้คงไว้เหมือนเดิม ทั้งจำนวน 150 คน โครงสร้าง ที่มา อำนาจหน้าที่ โดยมาจากการเลือกตั้งจำนวน 76 คน และเพิ่มขึ้นตามจำนวนจังหวัดใหม่ ส่วนที่เหลือมาจากการสรรหาทั้งหมด 150 คน ส่วนขอสงสัยที่ว่า ส.ว.ที่มาจากการสรรหาจะมีสิทธิถอดถอน ส.ส.ที่มาจากการเลือกตั้งได้อย่างไรนั้น ที่ประชุมได้ข้อสรุปว่าการลงมติที่จะถอดถอน ส.ส.นั้น ต้องใช้เสียงถึง 3 ใน 5 ของวุฒิสภา ซึ่งมากกว่าจำนวน ส.ว.สรรหาทั้งหมด ดังนั้น ส.ว.สรรหาจะถอดถอน ส.ส.ไม่ได้เลย ถ้าไม่ได้รับความร่วมมือจาก ส.ว.เลือกตั้ง แต่สิ่งที่จะแก้ไขคือคณะกรรมการสรรหาโดยจะเพิ่มเติมจาก 7 คน ให้มากขึ้น โดยมาจากตุลาการศาล รธน.1 คน ตัวแทนจากที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา 5 คน ตุลาการศาลปกครองสูงสุด 1 คน ตัวแทนจากองค์กรอิสระองค์กรละ 1 คน ได้แก่คณะกรรมการการเลือกตั้ง ผู้ตรวจการแผ่นดิน ตัวแทนจากคณะกรรมการองค์กรวิชาชีพตามกฎหมาย องค์กรละ 1 คน ศาสตราจารย์สายวิทยาศาสตร์ 5 คนสายสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ 5 คน ตามทำเนียบของสำนักงานคณะกรรมการอุดมศึกษา

สำหรับ ม.237 ว่าด้วยการยุบพรรคจากการทุจริตการเลือกตั้งนั้น ที่ประชุมมีมติเห็นพ้องกันว่า จะไม่ใช่บทลงโทษด้วยการยุบพรรค เนื่องจากการเมืองนั้นเป็นสถาบัน จากการศึกษาข้อมูลจากหลายประเทศ พบว่าการยุบพรรคเกิดขึ้นได้ยากมาก นอกจากจะทำผิดร้ายแรง ดังนั้น จึงเห็นว่า หากพรรคการเมืองทำผิดร้ายแรงที่มีผลต่อความมั่นคง หรือมีผลต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขตาม ม.68 ก็สมควรถูกยุบพรรค แต่การทุจริตการเลือกตั้งตาม ม.237 ไม่ควรถูกยุบ แต่ให้ลงโทษผู้กระทำความผิด ถ้าเป็นหัวหน้าพรรคให้ตัดสิทธิการเลือกตั้ง 15 ส่วนถ้าเป็นกรรมการบริหารพรรค 10 ปี ไม่ใช่ว่าทำผิดแล้วกรรมการบริหารพรรคถูกตัดสิทธิทุกราย

ส่วนที่ว่าหากเพิ่มบทลงโทษหัวหน้าพรรคและกรรมการบริหารพรรคต่อไป ก็จะมีแต่นอมินีมาเป็นกรรมการ นายวุฒิสาร กล่าวว่า ยอมรับว่า ป้องกันนอมินียาก ถ้าพรรคใดต้องการเป็นสถาบันทางการเมืองสมาชิกก็ต้องช่วยกันตรวจสอบไม่ให้เกิดการทุจริต แต่ถ้ายอมให้กรรมการเป็นนอมินี เท่ากับว่า พรรคนั้นก็ไม่มีสถานะเป็นสถาบันทางการเมือง

หลังจากมีข้อสรุปแล้วจะใช้เวลาอีก 1 เดือน ในการรับฟังความเห็นจากประชาชนในช่องทางต่างๆ โดยจะมีการทำแบบสอบถาม ส่วนข้อเสนอทั้งหมดซึ่งรวมถึงการปฏิรูปการเมืองและปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมจะเสนอได้ในเดือน ธ.ค.2553 นายวุฒิสาร กล่าวปิดท้าย

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

เบื้องหลังคดีสินบนผู้พิพากษาอุทธรณ์

มติชนออนไลน์

โดย ประสงค์ วิสุทธิ์

ติดตามข่าว"ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์"รายหนึ่งเรียกสิบบนในการพิจารณาพิพากษาคดีต่างๆหลายคดีใน"มติชนออนไลน์"ที่นำเสนอย่างต่อเนื่องมาเกือบ10 ตอนแล้ว เห็นว่า เรื่องนี้ไม่ใช่การกระทำผิดต่อหน้าที่ในการยุติธรรมของผู้พิพากษารายหนึ่งธรรมดาเท่านั้น

แต่มีเบื้องหน้าเบื้องหลัง และมีกลุ่มบุคคลที่เกี่ยวพันในขบวนการนี้มากพอสมควร

จากการร้องเรียนต่อคณะกรรมการตุลาการศาลยุติธรรม(ก.ต.)และแต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นมาสอบสวนข้อเท็จจริงจนกระทั่งนำไปสู่การแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์รายนี้พบว่า มีพฤติการณ์ฉันท์ชู้สาวกับหญิงที่มีสามีแล้ว และยังอาศัยหญิงรายนี้เป็นตัวกลางในการเรียกร้องสินบนใในคดีต่างๆหลายคดีเป็นเงินเกือบ 100 ล้านบาท อาทิ

1. มีการเรียกสินบนเป็นเงิน 70 ล้านบาทในการพิจารณาคดีบริษัทจดทะเบียนในตฃาดหฃักมรัพย์แห่งหนึ่งที่กลุ่มผู้บริหารบริษัท ถูกกล่าวหาว่า กระทำผิด พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ในการยักยอกทรัพย์หรือไซ่ฟ่อนเงินของบริษัทและเกี่ยวพันกับตระกูลอดีตรัฐมนตรี ซึ่งศาลชั้นต้นสั่งยกฟ้อง

ในคดีนี้ ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์รายดังกล่าวให้ใช้หญิงคนสนิทไปติดต่อเรียกรับเงินสิบบน 70 ล้านบาทจากคนในตระกูลอดีตรัฐมนตรีซึ่งเป็นผู้บริหารบริษัท เพื่อจะได้ตัดสินให้ยกฟ้องคดีนี้ ตามศาลชั้นต้น

ในเบื้องต้นมีการจ่ายเงินสด 20 ล้านบาท ที่เหลือโอนหุ้นบริษัทผลิตอาหารกระป๋องให้มีมูลค่าอีก 50 ล้านบาท

2.คดีการประกันตัว เจ้าของบริษัทที่เปิดขึ้นบังหน้าเป็นจำเลยในคดี"แชร์ข้าวสาร"ซึ่งเป็นความตาม พ.ร.บ. การกู้เงินอันเป็นการฉ้อโกงประชาชน มีการเรียกเงินสินบน 2 ล้านบาท หลังจากได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวแล้วจำเลยได้ซื้อรถยนต์ Benz รุ่น S 280 ปี 2002 ในราคา2.1 ล้านบาท ที่เหลืออีก 1.5 ล้านบาทบาท จัดไฟแนนซ์ให้อีกด้วย

3.เรียกสินบน 3.5 ล้านบาทในการสั่งอนุญาตการปล่อยชั่วคราวชาวต่างประเทศรายหนึ่ง โดย ทนายความหญิงของจำเลยได้ยื่นคำร้องประกอบการขอปล่อยชั่วคราวต่อศาลอาญาและศาลอุทธรณ์มาหลายครั้งแล้วแต่ไม่ได้รับการอนุญาต ทนายความจึงติดต่อผ่านหญิงคนสนิท ตกลงเรื่องเงินสินบน 3.5 ล้านบาท

มีการทำเป็นสัญญาว่าจ้างว่าจะดำเนินการให้มีการประกันตัวระหว่างญาติของหญิงคนสนิทกับทนายความของจำเลยชาวต่างประเทศ โดยทนายความหญิงกับญาติของหญิงคนสนิทของผู้พิพากษา นำเงินตามข้อตกลงดังกล่าวไปเปิดบัญชีเงินฝากธนาคาร ไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) สาขา เซ็นทรัล ลาดพร้าว ร่วมกัน หมายเลขบัญชี 157-217895-3 เมื่อวันที่ 14 กันยายน 2552 เป็นเงินจำนวน 3.5 ล้านบาท

ต่อมายังทำสัญญาว่าในการในการจัดหาทนายเป็นเงิน 9.2 ล้านบาท เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2552 และชำระเงินให้หญิงคนสนิท ไปแล้ว 4 ล้านบาท คงเหลืออีก 5.2 ล้านบาท

4. เรียกรับเงินวิ่งเต้นให้ประกันตัวผู้ต้องหาคดียาเสพติดจำนวน 7 ล้านบาท โดยใช้หลักฐานใบรับรองแพทย์ปลอมจากโรงพยาบาลราชฑัณฑ์ว่าผู้ต้องหามีอาการป่วยหนักจนถึงขั้นจะต้องได้รับการรักษาผ่าตัดดวงตา นำไปอ้างต่อชั้นศาลฎีกาจนได้รับการปล่อยตัวชั่วคราว

จากคำร้องเรียนยังมีอีกหลายคดีที่มีการวิ่งเต้นจนได้รับการประกันตัว รวมถึงมีการใช้อิทธิพลจนผู้พิพากษารายหนึ่งในศาลจังหวัดตลิ่งชันพลิกคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวชั่วข้ามคืน

จากข้อเท็จจริงดังกล่าว ก.ต.จึงไม่ควรแค่สอบวินัยผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์รายนี้เท่านั้น แต่ควรดำเนินคดีอาญาควบคู่กันไปด้วย(อาจส่งให้คณะกรรมการป้องกันและปรราบปรามการทุจริตแห่งชาติหรือตำรวจแล้วแต่กรณี)เพราะจากหลักฐานเบื้องต้นแล้ว บางคดีมีมูลเพียงพออยู่แล้ว เช่น คดีการให้ประกันตัวชาวต่างประเทศมีการทำสัญญาประหลาดๆและบัญชีธนาคารซึ่งเป็นหลักฐานอย่างดี รวมทั้งการปลอมแปลงใบรับรองแพทย์ของโรงพยาบาลกรมราชทัณฑ์ที่ยื่นต่อศาลฎีกาอันเป็นความผิดหลายกระทง

นอกจากนั้นแล้ว ทาาง ก.ต.ควรตรวจสอบย้อนหลังว่า มีคดีใดบ้างที่ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์รายนี้เป็นผู้ตัดสินหรือมีคำสั่ง เพื่อดูว่า การพิจารณาคดีเป็นไปโดยชอบหรือไม่ ตั้งแต่กระบวนการจ่ายคดีให้พิจารณา กระบวนการพิจารณา จนกระทั่งคำพิพากษาหรือคำสั่งเป็นไปตามตัวบทกฎหมายหรือดุลพินิจโดยชอบหรือไม่

การตรวจสอบคดีย้อนหลังมีวัตถุประสงค์2 ประการสำคัญคือ

หนึ่ง เพื่อดูว่า มีคนในกระบวนการยุติธรรมรายใด มีส่วนพัวพันในการกระทำผิดหรือไม่

สอง เพื่อเยียวยาผู้ที่อาจได้รับความเสียหายจากการตัดสินคดีที่ไม่เป็นไปโดยชอบและไม่เป็นธรรม

ที่สำคัญคือ หลังจากกระบวนการสอบสวนเป็นที่สิ้นสุดแล้ว ต้องเปิดเผยผลสอบสวนดังกล่าวเหมือนการเปิดเผยคำพิพากษาเพื่อให้สาธารณะเห็นว่า การสอบสวนเป็นไปอย่างตรงไปตรงมาซึ่งเป็นการดำรงไว้ซึ่งความน่าเชื่อถือของระบบศาลยุติธรรม

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันศุกร์ที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2553

การเมืองเรื่อง "ทูตลับ"

โดย.ประชา บูรพาวิถี

แทบไม่น่าเชื่อว่ากรณี"วิคเตอร์ บูท" จะทำให้เราได้ย้อนวันวาน"ยุคสงครามเย็น"และราชอาณาจักรไทยก็ตกอยู่ในหว่างเขาควาย"วอชิงตัน-เครมลิน"อีกครั้ง

บังเอิญว่า รัฐบาลนักเลือกตั้ง พ.ศ.นี้ ไม่ยอมเก็บรับบทเรียนอดีตมาใช้ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน แต่ดันปล่อย "วอลล์เปเปอร์" ทำตัวเป็น "สายลับสะเหล่อ" เข้าไปพูดคุยกับ "สายลับมืออาชีพ"

เรื่องมันจึงเอวัง..ด้วยฝีมือ "คอลัมนิสต์ผู้ลื่นไหล" และวอลล์เปเปอร์ ก็คือวอลล์เปเปอร์ (ฮา)

กล่าวสำหรับการเมืองเรื่องสงครามเย็น อยากแนะให้ชมรายการ 'ชีพจรโลก' ทางช่อง 9 สุทธิชัย หยุ่น ได้พูดคุยกับ อานันท์ ปันยารชุน อดีตนายกรัฐมนตรี ที่อยู่เบื้องหลังการเจรจาฟื้นความสัมพันธ์ไทยกับจีนเมื่อ 35 ปีก่อน

ตอนแรกออกอากาศไปแล้วเมื่ออังคารที่ 31 สิงหาคม และยังมีตอนที่สอง จะออกอากาศอังคารที่ 7 กันยายน 2553 สงครามเย็น หมายถึงสงครามระหว่าง "โลกเสรี" กับ "โลกคอมมิวนิสต์" แต่ในความเป็นจริง พ.ศ.ที่ "ทูตลับ" ชื่อ

"อานันท์" แหวกม่านไม้ไผ่สีแดงเข้าไปเจรจากับตัวแทนรัฐบาลจีน มันมี "มิติแห่งมหาอำนาจ" ซ้อนทับอยู่

คือโลกเสรี มีสหรัฐอเมริกา เป็นพี่ใหญ่เพียงผู้เดียว แต่ฝ่ายโลกคอมมิวนิสต์ ดันแบ่งออกเป็น 2 ขั้วอำนาจคือ "ปักกิ่ง" กับ "เครมลิน"

หรือ "พรรคคอมมิวนิสต์จีน" (พคจ.) กับ "พรรคคอมมิวนิสต์โซเวียต" (พคซ.)

3 มหาอำนาจ ต่างเล่นเกมการเมืองระหว่างประเทศ ชิงความเป็นใหญ่ในทุกภูมิภาคของโลก

สหรัฐนำ "ลัทธิประชาธิปไตยเสรีนิยม" ออกไปเร่ขาย ฝ่ายปักกิ่งสร้างแบรนด์ "ลัทธิเหมา" ต่อยอดลัทธิมาร์กซ์-เลนิน และฝ่ายเครมลินก็ขายทั้งมาร์กซ์ ทั้งเลนิน ยกเว้นสตาลิน

ในภูมิภาคแหลมทอง ชัดเจนว่า พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.) พรรคคอมมิวนิสต์กัมพูชา (เขมรแดง) พรรคคอมมิวนิสต์พม่า และพรรคคอมมิวนิสต์มาลายา ยึดแนวทางปฏิวัติลัทธิเหมา

ส่วนพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนาม และพรรคประชาชนลาว เดินตามแนวปฏิวัติลัทธิเลนิน!

เมื่อ "วอชิงตัน" เล่นเกมดึง "ปักกิ่ง" มาเป็นแนวร่วมเพื่อคานอำนาจ "เครมลิน" จึงเปิดโอกาสให้รัฐบาลไทย ได้มีส่วนร่วมในกระดานหมากรุกเกมใหม่

เมื่อประธานเหมา เจ๋อ ตุง เปิดทำเนียบประชาชน ต้อนรับ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช นายกรัฐมนตรี ปี 2518 และเริ่มต้นเปิดศักราชความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-จีนครั้งใหม่

ปีถัดมา "เครมลิน" อ่านเกมนี้ออก จึงให้พรรคคอมมิวนิสต์เวียดนาม (พคว.) เชื้อเชิญ มิตร สมานันท์ เลขาธิการ พคท.มาเยือนฮานอย

"เลอหย่วน" เลขาธิการ พคว. ได้ยื่นข้อเสนอจะช่วย "ปลดปล่อยภาคเหนือตอนบนและภาคอีสาน" ให้ พคท.ได้ก่อตั้ง "รัฐไทยใหม่" ขึ้นโดยเร็ววัน แต่เลขาธิการ พคท.ไม่ตอบ ขอเวลาตัดสินใจ

ขณะที่ พคท.ยังงึกๆ งักๆ ไม่ให้คำตอบเสียที พคว.ไม่รอช้า ยกกำลังทหารเข้า "ยึดพนมเปญ" ไล่เขมรแดงออกไปอยู่ป่า และสถาปนาอำนาจรัฐใหม่ "เขมรเฮงสำริน" ปลายปี 2521

ต้นปี 2522 พคท.จึงส่ง "ทูต" 2 คนคือ ประสิทธิ์ ตะเพียนทอง และ พ.ท.พโยม จุลานนท์ ไปให้คำตอบแก่ตัวแทน พคว.ที่กรุงเวียงจันทน์ ซึ่ง พคท.ปฏิเสธข้อเสนอจากฮานอย

ผลพวงแห่งการปฏิเสธ "ความหวังดี" ของฮานอย ทำให้ทั้งพรรคเวียดนาม และพรรคลาว ตัดสัมพันธ์พรรคไทย
อีกด้านหนึ่ง ความสัมพันธ์ทางทูตระหว่างจีนกับไทย ในยุคสมัยรัฐบาลเกรียงศักดิ์ ยิ่งแนบแน่นทั้ง "บนดิน" และ "ใต้ดิน"

เมื่อ "วอชิงตัน" จับมือ "ปักกิ่ง" ใช้แดนดินของ "ไทย" เป็นทางผ่านในการขนอาวุธยุทธปัจจัยช่วย "เขมร 3" (เขมรแดง-เขมรสีหนุ-เขมรซอนซาน) สู้รบกับ "เขมรเฮงสำริน" ที่เป็นตัวแทนของ "ฮานอย" และ "เครมลิน"

ท้ายที่สุด พคท.ผู้ยืนหยัดจะ "พึ่งตนเอง" ก็ไปไม่รอด เมื่อพรรคจีนตัดสัมพันธ์ โดยอ้างถึง "ยุทธศาสตร์ต่อต้านมหาอำนาจลัทธิแก้โซเวียต"

ป่าแตก! พรรคล่ม! แต่น่าเสียดายที่ "ผู้อาวุโส พคท." ยังไม่ยอมตักน้ำใส่กะโหลกชะโงกดูเงาตัวเอง!

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

แถลงการณ์ พท. ยื่นไมตรี รบ.จับเข่าคุยแนวทางปลดล็อคขัดแย้งคนในชาติ ล้างไพ่ใหม่ ไม่สนองตัวใครตัวมัน

ที่มา.มติชนออนไลน์

ที่พรรคเพื่อไทย นายปลอดประสพ สุรัสวดี รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย แถลงถึงแนวทางการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งระหว่างคนในชาติ ว่า จากการที่ตนได้รับการร้องขอจากหลายฝ่าย จึงได้ประชุมหารือร่วมกับผู้ใหญ่ในพรรคเพื่อไทย เพื่อหามาตรการในการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น จนออกมาเป็นแถลงการณ์ของพรรคเพื่อไทย ว่าจากโศกนาฎกรรมเมื่อวันที่ 10 เมษายน และ 19 พฤษภาคมซึ่งก่อให้เกิดความสูญเสียจำนวนมาก ซึ่งพรรคเพื่อไทยได้เฝ้าติดตามเหตุการณ์ต่างๆด้วยความหวังว่าเหตุการณ์จะปรับเข้าสู่สภาพเดิมได้ แต่ข้อเท็จจริงปรากฏว่าความร้าวฉานทางความคิดกลับปริแตกแยกยิ่งขึ้น จนกังวลว่าจะไม่สามารถกลับมาเป็นสภาพเดิมได้ อย่างไรก็ตามพรรคเพื่อไทยเริ่มมองเห็นประกายแห่งความหวัง เมื่อมีคณะบุคคล องค์กรระหว่างประเทศ คณะทูตานุทูต ได้เริ่มเข้ามาช่วยเหลือ และยังเชื่อว่าแม้แต่รัฐบาลก็เริ่มตระหนักถึงอันตรายที่จะเกิดขึ้น

นายปลอดประสพ กล่าวว่า จากปัญหาทั้งหมดพรรคเพื่อไทยขอเสนอจุดยืนและข้อเสนอแนะต่อรัฐบาล 5 ข้อ คือ 1. พรรคเพื่อไทยเห็นว่าถึงเวลาแล้วที่จะต้องมีการพูดจาหารือแลกเปลี่ยนความคิดและความเชื่อระหว่างกลุ่มที่มีความขัดแย้งกันอย่างสันติวิธี 2.พรรคเพื่อไทยเชื่อว่าความสงบ สามัคคี และความเป็นชาติจะกลับคืนมาได้ด้วยการที่ทุกฝ่ายให้อภัยซึ่งกันและกัน และตกลงว่าจะอยู่ร่วมกันอย่างสันติ เสมอภาคและมีความยุติธรรม โดยอาจจะพัฒนาจากคำพูดไปเป็นขั้นตอนทางกฎหมาย ซึ่งจากในอดีตที่ผ่านมาปัญหาความขัดแย้งของคนในชาติก็ต้องแก้ไขด้วยรูปแบบนี้ 3.พรรคเพื่อไทย ขอเชิญชวนให้ทุกหมู่เหล่าหลีกเลี่ยงและละเว้นจากการใช้ความรุนแรง ไม่ว่าจะจากวาจา การกระทำ หรือการใช้กฎหมายที่เกินความเหมาะสม

นายปลอดประสพ กล่าวว่า 4. พรรคเพื่อไทยขอน้อยถวายพระพรชัยมงคลต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชีนีนาถ และให้ปวงชนทุกหมู่เทิดทูนถวายพระเกียรติ 5.พรรคเพื่อไทยหวังและเชื่อว่าจุดยืนและสัจจะวาจาของเราครั้งนี้ จะช่วยให้รัฐบาลและผู้มีส่วนรับผิดชอบต่อความสงบได้คลายวิตก และเริ่มกระบวนการสมานฉันท์ได้ทันที โดยไม่ต้องรอการศึกษาใดๆให้เสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์อีก

“แถลงการณ์ฉบับนี้ถือว่าเป็นทั้งการทอดสันถวไมตรี และเป็นการยื่นคำขาดไปในตัวด้วย และที่เราเสนอแนะเช่นนี้ ไม่ได้เป็นเกมการเมืองใดๆ แต่ที่เสนอแนะทั้งหมดก็เพราะมีหลายฝ่ายขอร้อง แล้วเราก็เห็นถึงความขัดแย้งที่มีมากขึ้น แต่หากข้อเสนอนี้ไม่ได้รับการตอบรับจากคนในรัฐบาล ก็ต้องบอกว่า ตัวใครตัวมัน เพราะเรียมก็เหลือทนแล้วเหมือนกัน”นายปลอดประสพกล่าว

ผู้สื่อข่าวถามว่า การหารือระหว่างผู้ขัดแย้งควรจะเป็นการหารือระหว่างใคร เพราะมีการมองว่าคู่ขัดแย้งจริงๆคือพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ และพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี นายปลอดประสพ กล่าวว่า คงต้องคุยกันทุกระดับ ทั้งเสื้อเหลือง เสื้อแดง รัฐบาล พรรคเพื่อไทย พรรคประชาธิปัตย์ ทหาร ส่วนคู่ขัดแย้งอื่น ก็คงเป็นไปตามลำดับขั้น และมารยาททางการเมือง ทุกฝ่ายก็ควรเห็นประเทศชาติเป็นหลัก

เมื่อถามว่าการหลีกเลี่ยงการทำให้สถานการณ์เลวร้ายลงเพราะคำพูดจะส่งผลให้เกิดการปรับเปลี่ยนทีมโฆษกหรือไม่ นายปลอดประสพ กล่าวว่า คงไม่ถึงขนาดนั้น แต่ก็ต้องทำความเข้าใจกันในพรรค ให้ลดระดับการพูดจาที่รุนแรงอันส่งผลให้เกิดความแตกแยกมากขึ้นได้ หากจะพูดจาอะไรก็ต้องมีหลักฐานชัดเจนมากขึ้น ซึ่งก็ต้องพยายามปรับไปเรื่อยๆ และก็คาดหวังกับทุกฝ่ายด้วย

เมื่อถามว่าจะทำความเข้าใจกับคนเสื้อแดงหรือคนที่สูญเสียได้หรือไม่เพราะการให้อภัยซึ่งกันและกัน จนถึงขั้นกำหนดเป็นกฎหมาย เท่ากับการนิรโทษกรรมให้ทั้งหมด รวมถึงฝ่ายที่กระทำให้คนเสื้อแดงเสียชีวิต นายปลอดประสพ กล่าวว่า นั่นเป็นเรื่องในอนาคต แต่จากประวัติศาสตร์แนวทางการแก้ไขปัญหาก็ต้องออกมาในรูปแบบนี้ อย่างไรก็ตามการให้อภัยซึ่งกันและกัน ก็ต้องเริ่มไปพร้อมกับการเยียวยาที่เหมาะสมด้วย

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ชช

ทักษิณ-แมนเดลาตำนานต่อสู้อยุติธรรม

ที่มา.บางกอกทูเดย์

ปริศนาความกังวลรูปถ่าย
หลายคนเห็นอาการของคณะบุคคลในรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี แล้วอดที่จะเกิดความรู้สึกไม่ได้ว่า

แบบนี้จะปรองดอง สมานฉันท์ กันได้จริงๆ อย่างที่นายอภิสิทธิ์ พยามสร้างภาพในขณะนี้หรือไม่

เพราะเพียงแค่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้ให้นายนพดล ปัทมะ ที่ปรึกษากฎหมายตระกูลชินวัตร เผยแพร่รูปภาพเพียง แค่ 2 รูป โดยมีเจตนาเพียงแค่จะโต้ข่าวลือที่ปล่อยผ่านสื่อบางสื่อ ที่พยายามสร้างข่าวว่า พ.ต.ท.ทักษิณ กำลังป่วยหนัก หรือบางทีอาจจะเสียชีวิตแล้ว

เจตนาจริงๆ เพียงแค่จะบอกว่ายังสบายดีอยู่ ยังไปพบปะผู้คนต่างๆ ได้โดยที่ได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดี

รวมทั้งเจตนาให้รู้ว่า ยังคงมีการโกหกประชาชน ผ่านสื่อบางสื่อ หรือผ่านกลไกบางกลไกอยู่อย่างต่อเนื่อง

ก็แค่นั้นเอง
แต่กลับกลายเป็นว่า การจับโกหกสื่อบิดเบือน กลายเป็นเผือกร้อนสำหรับบางคนในรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ได้อย่างไม่น่าเชื่อ

รูปจริงหรือไม่? รูปตกแต่งหรือเปล่า? ... วิเคราะห์กันสารพัดไปโน่นเลย

แถมบางคนพยายามจับผิดรูปกันชนิดเอาเป็นเอาตาย หาระดับแสง ระดับเงา กันเสียยิ่งกว่าหน่วยงานพิสูจน์หลักฐานของสำนักงานตำรวจแห่งชาติเสียอีก

ทำเอาสังคมไทยงุนงงไม่น้อยว่า ลึกๆ ที่ทำให้พล่านกันหนักขนาดนี้ เป็นเพราะอะไรหรือ

มาถึงบางอ้อ ก็เพราะว่า บังเอิญช่วงที่ต้องการตอบโต้ข่าวป่วยนั้น บังเอิญเป็นช่วงเวลาที่ พ.ต.ท.ทักษิณ มีนัดหมายกับ นางวินนี่ แมนเดลา พอดี ซึ่งนางวินนี่ ได้บอกเป็นนัยๆ ว่า การนัดเจอกันครั้งนี้ จะมีเรื่องเซอร์ไพรส์ให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ด้วย

นั่นคือ นางวินนี่ ได้บุ๊คตารางเวลาของนายเนลสัน แมนเดลา ไว้ให้พบปะกับ พ.ต.ท.ทักษิณ แล้วก่อนหน้า ซึ่งเป็นสิ่งที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ได้รู้ล่วงหน้ามาก่อน

และนั่นจึงทำให้มีการถ่ายรูปคู่ระหว่างนายเนลสัน แมนเดลา กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ในห้องทำงานที่มูลนิธิของนายเนลสัน แมนเดลา

หลังจากนั้นจึงได้เดินทางไปพบกับนางวินนี่ แมนเดลา ที่บ้านพัก

สาเหตุที่นางวินนี่ แมนเดลา แยกกันพบเป็น 2 สถานที่ ก็เพราะปัจจุบัน นายเนลสัน กับนางวินนี่ ได้หย่าร้างกันอยู่ แต่นางวินนี่ต้องการให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้พบนายเนลสันด้วย จึงช่วยนัดหมายพิเศษให้

ซึ่งเมื่อเป็นรูปถ่ายคู่กับนายเนลสัน และนางวินนี่ ตรงนี้แหละที่ทำให้กลายเป็นประเด็นสะดุ้งเฮือกทางการเมืองของกลุ่มขั้วอำนาจปัจจุบัน ที่มีโยงใยหลายกลุ่มหนุนหลัง

เพราะทั้งนายเนลสัน และนางวินนี่ ล้วนเป็น “แมนเดลา” ที่ต่อสู้กับความอยุติธรรมทางการเมือง ต่อสู้เพื่อเรียกร้องประชาธิปไตยที่แท้จริงมายาวนาน จนกลายเป็นตำนานของประชาธิปไตยโลก ที่คนทั่วโลกรู้จัก

เพราะนายเนลสัน แมนเดลา พิสูจน์ให้เห็นว่า กำแพงคุก ข้อกล่าวที่ไม่ยุติธรรมต่างๆ หรือแม้กระทั่งอำนาจใดๆ สุดท้ายก็ต้องพ่ายแพ้อยู่ดี หากเจอกับบุคคลที่ยึดมั่นและต่อสู้ด้วยหลักการที่ถูกต้อง

สภาวะของนายเนลสัน แมนเดลา ณ วันนี้ เป็นข้อพิสูจน์ยืนยันที่ดีที่รับรู้กันทั่วโลก

ในขณะที่นางวินนี่ แมนเดลา ก็เป็นอีกตำนานในการต่อสู้เคียงคู่กับนายเนลสันมาตลอด นายเนลสันสู้ในคุก นางวินนี้สู้นอกคุก เพื่อให้โลกได้รับรู้ความจริงอย่างต่อเนื่องตลอดระยะเวลา 20-30 ปีที่ผ่านมา

ข้อมูล ความจริง และแนวคิดในการต่อสู้ทั้งหลาย ก็ได้นางวินนี่นี่แหละที่เชื่อมต่อให้สังคมภายนอกกำแพงคุก และคนทั่วโลกได้รับรู้ และทำให้ภาพของนายเนลสัน แมนเดลา สามารถเป็นตำนานการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยอย่างแท้จริง

ตรงนี้แหละที่ทำให้กลุ่มบุคคลที่ต้องการโจมตีและทำลายภาพลักษณ์ต่างๆ ของ พ.ต.ท.ทักษิณ อยู่ตลอดเวลา ไม่สามารถที่จะรับได้กับ 2 ภาพนี้ จนต้องออกอาการสงสัยว่า เป็นรูปแต่งหรือเปล่า

เพราะการที่นายเดลสัน แมนเดลา ซึ่งเป็นตำนานการต่อสู้ในระบอบประชาธิปไตย ให้การต้อนรับ จับมืออย่างอบอุ่นกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ก็ย่อมหมายความว่า นี่คือการพบกันระหว่างผู้ที่ต้องต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย เพื่อเรียกร้องความยุติธรรมด้วยกัน

ภาพอย่างนี้แน่นอนว่า ใครก็ตามที่มีคราบไคลของเผด็จการสิงสู่จิตใจอยู่ ย่อมไม่สบายใจแน่
เช่นกันกับรูปคู่กับนางวินนี่ ซึ่งหากเป็นคนที่ศึกษาและติดตามการต่อสู้เรียกร้องความเป็นธรรมของนายเนลสัน ย่อมรู้ดีว่า การวางแผนที่ลึกซึ้ง การเดินเกมต่างๆ ล้วนมาจากผู้หญิงแกร่งที่ชื่อนางวินนี่ แมนเดลา คนนี้แหละ

ดังนั้นแม้สุดท้ายทั้งคู่จะหย่าร้างกัน แต่นายเนลสัน ก็ยังให้เกียรตินางวินนี่ โดยยังคงยินยอมให้ใช้สกุล แมนเดลา ต่อไปได้เหมือนเดิม

ซึ่งการที่มันสมองในการต่อสู้กับอำนาจไม่เป็นธรรมทางการเมือง อย่างนางวินนี่ เมื่อได้พบกับ พ.ต.ท.ทักษิณ เช่นนี้ หารได้มีการชี้แนะ แนะนำกระบวนยุทธบางอย่างให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ

แน่นอนว่า จะให้กลุ่มขั้วอำนาจที่ไล่ล่าทำลายล้าง พ.ต.ท.ทักษิณอยู่ในเวลานี้ สบายใจได้อย่างไร

ดังนั้น เป็นไปได้หรือไม่ว่า 2 รูปที่เผยแพร่ออกมานั้น ไม่ได้แค่การยืนยันว่า ไม่ได้ป่วย และยังสบายดีอยู่ เพราะเพิ่งจะถ่ายเมื่อ วันที่ 27 สิงหาคม ที่ผ่านมานี่เอง

แต่ยังเกี่ยวโยง สะท้อนภาพการต่อสู้ทางประชาธิปไตยด้วยนั่นเอง

จึงทำให้ถึงกับออกอาการพล่านกันเช่นนี้

ซึ่งหากเป็นอย่างที่วิเคราะห์จริง แบบนี้ความปรองดอง สมานฉันท์ ที่แท้จริงจะเกิดขึ้นได้หรือ???
เป็นห้วงเวลาที่น่าสงสารประเทศไทย และน่าสงสารคนไทยชะมัด

เพราะล่าสุดบล็อกเกอร์ชื่อ Saksith Saiyasombut ซึ่งระบุว่าเป็นนักข่าวพาร์ทไทม์ และเขียนบล็อกเกี่ยวกับข่าวในประเทศไทยเป็นภาษาอังกฤษ ได้มีการยืนยันมาว่า ได้สอบถามไปยังสำนักงานของเนลสัน แมนเดลา ซึ่งระบุที่อยู่ไว้บนเว็บไซต์ของประเทศแอฟริกาใต้

ว่า พ.ต.ท. ทักษิณ ได้เข้าพบนายแมนเดลาจริงหรือไม่?

ซึ่งได้รับคำยืนยันมาว่าเป็นความจริง

แต่เป็นการพบปะแบบส่วนตัว จึงไม่ได้มีภาพถ่ายอย่างเป็นทางการจากทางสำนักงาน

โดยต้นฉบับอีเมลตอบจากสำนักงานของแมนเดลา

Dear Mr Saksith Saiyasombut,
There was no official meeting between Mr Thaksin and Mr Mandela. Mr Thaksin paid Mr Mandela a courtesy call when he was visiting the country.
We do not have photographs or documents as no business was discussed and the courtesy call was during Mr Mandela’s private time. The Foundation did not take any photographs.
Wes it was a private courtesy call.
Regards,Sello Hatang, Manager: Information Communications, Nelson Mandela Foundation
แบบนี้แล้ว สังคมไทยก็คงรู้ชัดเจนมากขึ้นไปอีก ว่า ใครคือคนที่พูดความจริง
และใครคือคนที่ชอบโกหกให้คนอื่นฟังเป็นรายวัน

แต่ถ้ายังเจอประเภทข้างๆคูๆ ตะแคงซ้ายตะแคงขวา ก็คิดแต่จะใส่ร้ายเค้าว่า จ่ายสตางค์เพื่อขอพบปะกับนายเนลสัน แมนเดลลา

ระวังจะถูกฟ้องร้องข้ามประเทศ ในฐานะที่ไปดูภูกผู้นำประเทศของเขา

อย่าลืมว่า "เนลสัน แมนเดลลา" ถือเป็น Icon ของนักต่อสู้สันติวิธีเพื่อประชาธิปไตยที่แท้จริงของโลก ซึ่งได้รับการยอมรับว่ามี Integrity สูงสุด คงไม่บ้ารับเงิน 2-3 ล้านเหรียญ แล้วเอาชื่อเสียงไปเสี่ยงแน่ๆ

เออ ถ้าเป็นนักการเมืองสวะๆแถวๆนี้ ที่เขมือบกันปากมัน ก็ว่าไปอย่าง!!!

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

10 คำถามเรื่อง "วอลเปเปอร์" ความไม่ "โสภา" ในคุกลับ-เวทีการเมืองโลก

ประชาชาติธุรกิจออนไลน์

"ศิริโชค โสภา" วอลเปเปอร์ ถูกด่าจมหู เมื่อเขาดอดไปพบ"วิคเตอร์ บูท"ถึงในคุก เขาอ้างว่าไปหาข้อมูลให้นายกฯ คนอื่นอาจหมั่นไส้เขา แต่อะไรทำให้ วอลเปเปอร์ กลายเป็นคนโปรดข้างตัวผู้นำประเทศ

นายศิริโชค โสภา ส.ส.สงขลา กลายเป็นบุคคลมีชื่อเสียงระดับโลก
เมื่อเขาบุกไปถึงตัววิคเตอร์ บูท ผู้ต้องหาค้าอาวุธชาวรัสเซีย ที่อยู่ในคุกตามหมายจับของมหาอำนาจสหรัฐอเมริกา

มิคสัญญีเกิดขึ้นเมื่อหัวขบวนเสื้อแดง ในร่าง ส.ส.พรรคเพื่อไทย "จตุพร พรหมพันธุ์" นำเรื่องลึก ๆ ลับ ๆ มาเปิด

โปงกลางสภาผู้แทนราษฎร ในวาระพิจารณางบประมาณรายจ่าย พ.ศ. 2554

จากเรื่องนักโทษชาวรัสเซียกับคนใกล้ชิดนายกรัฐมนตรี "อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ"

ความสัมพันธ์พิเศษของนักโทษกับอดีตนายกรัฐมนตรี "ทักษิณ ชินวัตร"

เชื่อมโยงไปถึงเรื่องคนชุดดำ-การค้าอาวุธสงครามในตาลีบัน-ตะวันออกกลาง จับประเด็น-ชนแกะไปถึงเรื่อง "ทักษิณ"

โดยมีคนต้นเรื่องเป็น "ศิริโชค- ส.ส.สงขลา" ผู้ใกล้ชิดนายกรัฐมนตรีทุกฝีก้าว

กลายเป็นสงครามข้ามพรรค ระหว่างเพื่อไทยกับประชาธิปัตย์

กลายเป็นประเด็นอ่อนไหวในเวทีการเมืองระหว่างประเทศ

กลายเป็นวาระ-ตรรกะ ที่ต้องเลือกเชื่อระหว่างเครดิตของ "จตุพร-เสื้อแดง" และ "ศิริโชค-วอลเปเปอร์"

ก่อนหน้าวาระระดับโลกของ "ศิริโชค" ในฐานะฝ่ายค้าน เขามีวีรกรรมระดับป่วนรัฐบาล "ทักษิณ" จนพลุ่งพล่าน ในคดีของกลุ่มชินคอร์ป

เมื่อเข้าทำเนียบรัฐบาล เขาสร้างวีรกรรมแนบนามบัตรในการแต่งตั้งโยกย้ายในวงการสีกากี จนโผจริง-โผลวง ไม่เป็นไปตามโผ

เมื่อคราวที่ "เสด็จพี่" พร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย แฉว่า บริษัทของ "ศิริโชค" พัวพันทุจริต กลับ โดนวอลเปเปอร์แฉกลับ-เอาคืนว่านายพร้อมพงศ์ไปเล่นหนังโป๊ หากเขาเป็นนักการเมืองที่ไม่มีคุณธรรม ก็คงเอาซีดีที่นายพร้อมพงศ์แสดงเป็นพระเอกออกมาแจกไปแล้ว

ว่ากันว่าเบื้องหลังแห่งเบื้องหลังการ พ้นจากตำแหน่งในทำเนียบฯของสาวน้อย จิตภัสร์ ภิรมย์ภักดี นั้น มีเบื้องลึกมาจากปฏิกิริยา และการ "จัดการ" ของวอลเปเปอร์มหากาฬ

ทันทีที่มีการปรับคณะรัฐมนตรี "อภิสิทธิ์ 5" ชื่อ จุติ ไกรฤกษ์ ได้รับการโปรดเกล้าฯเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวง ไอซีที แต่มีชื่อ "ศิริโชค" เป็นแหล่งข่าวเปิดเผยเรื่อง "ซื้อดาวเทียมไทยคม" กลับคืนจากเทมาเส็ก ร่วมกับ กรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เพื่อนสนิทนายกรัฐมนตรี

ท่ามกลางข้อครหาเสียงขรม ว่ามีขบวนการปั่นหุ้น "ไทยคม" จนปั่นป่วนรวนเรทั้งกระดานอยู่นานหลายวัน

ความวัวยังไม่ทันหาย ความควายก็เข้ามาแทรก เมื่อจู่ ๆ ในช่วงปลายเดือนเมษายน 2553 ปรากฏชื่อ "ศิริโชค" เข้าเยี่ยม "วิคเตอร์ บูท" ถึงห้องคุมขัง กลายเป็นประเด็นดังทั่วโลก

มีคำถามจากนักธุรกิจ-นักการเมือง-และนักวิชาการหลายคน-หลายหนว่า เหตุใด "ศิริโชค" ยังเคียงข้าง คู่ควรอยู่ ข้างกายนายกรัฐมนตรี ผู้มีภาพลักษณ์ดี มีคุณธรรม โปร่งใส ตรงไปตรงมา

คำตอบที่เล่าขานกันในตึกไทยคู่ฟ้า-ทำเนียบรัฐบาล ทั้งจากคนในพรรคประชาธิปัตย์ ผู้บริหารระดับสูงมีว่า...

1.ศิริโชค เป็นคนที่นายกรัฐมนตรี คุยด้วยแล้ว สนุก สบายใจ ทั้งเรื่องเพลง กีฬา ฟุตบอล ฯลฯ

2.ศิริโชค เป็นคนที่ค้นข้อมูลที่นายกรัฐมนตรีต้องการได้เร็วที่สุด ในบรรดาคนใกล้ตัว

3.ศิริโชค โดนเกลียดจากคนมีอำนาจเกือบทั้งพรรคประชาธิปัตย์ รวมทั้งผู้มีอำนาจในฝ่ายความมั่นคง แต่นายกรัฐมนตรีกลับยังไว้ใจให้อยู่ใกล้ ๆ แม้ในกองบัญชาการที่ราบ 11

4.ศิริโชค รู้ใจนายกรัฐมนตรี ว่าต้องจังหวะไหนควรให้นายกรัฐมนตรีได้สนทนาทางโทรศัพท์กับใคร (แน่นอน บางช่วงของวัน เขาเป็นคนถือโทรศัพท์ให้นายกรัฐมนตรี)

5.ศิริโชค เป็นนักการเมืองที่อาจจะกล่าวได้ว่า มีมารยาท ไม่ใกล้ความเป็นผู้ดี แต่นายกรัฐมนตรีคิดบวก มองว่าเขาเป็นคนไม่มีพิธีรีตอง และไม่มีพิษมีภัย

6.ศิริโชค ที่เห็นปรากฏตัวข้างหลัง-ซ้าย-ขวานายกรัฐมนตรีตลอดเวลา เมื่ออยู่หน้าจอโทรทัศน์ แต่นายกรัฐมนตรีบอกว่าไม่เคยเห็นว่าเขามาตอนไหน และกลับจากไปตอนไหนของวัน

7.ศิริโชค อาจมีข้อครหาเรื่องไม่ชอบมาพากลในการแต่งตั้งวงการสีกากี หรือมีเรื่องอื้อฉาวคาวการเมือง ถูกพาดพิงในวงการซื้อ-ขายตำแหน่ง แต่นายกรัฐมนตรีมองโลกในแง่ดีว่า บรรทัดสุดท้าย เขาทำเพื่อประโยชน์ส่วนรวม

8.ศิริโชค เป็นตัวแทน-สัญลักษณ์ของ "เนื้อเพลง" และจังหวะดนตรี ที่ "นายสุเทพ เทือกสุบรรณ" รองนายกรัฐมนตรี-เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ไม่ชอบไปถึงดีกรีเกลียด แต่เขาคุยเรื่องเพลงกับนายกรัฐมนตรีอย่างถูกคอ

9.ศิริโชค รู้ความเคลื่อนไหวในการ แต่งตั้งข้าราชการระดับสูง ปลัดกระทรวงล่วงหน้า แม่นยำ โดยอาศัยความเป็น "หน้าห้อง" ดังนั้น ข้าราชการ-คนการเมืองจึงทั้งรักทั้งเกลียดเขา และอาศัย "เช็กข่าวจากเขา" ในฤดูโยกย้าย

10.ศิริโชค รู้ว่านายกรัฐมนตรีไม่ชอบให้ฉากหลังและคนรอบข้างเป็นตำรวจ ทหาร เพราะภาพที่ออกไปมันจะไม่ดี เหมือนอยู่ในวงล้อมของหน่วยรักษาความปลอดภัย แต่ชอบให้มีพวก ส.ส.หรือรัฐมนตรีมายืนข้าง ๆ มากกว่า เขาจึงอาสาเป็น "วอลเปเปอร์" แบบเต็มเวลา 24 ชั่วโมงทำงาน

เหล่านี้คือ 10 คำถามและคำตอบที่เป็น "โชค" ของ "อภิสิทธิ์" ที่มี "ศิริโชค" อยู่ข้างตัว

นอกจากความ "โสภา" ในหน้าจอข้างกายนายกรัฐมนตรีแล้ว "ศิริโชค" นามอุโฆษ ยังมีสถานภาพอดีตนักธุรกิจหนุ่ม ที่มีภาระหนี้มูลค่าเกือบ 120 ล้านบาท

ตามในบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินตอนรับตำแหน่ง ส.ส.วันที่ 22 มกราคม 2551 ของ "ศิริโชค" ระบุว่า เขามีทรัพย์สิน 2 รายการ คือเงินฝากธนาคาร 1.1 ล้านบาทเศษ และที่ดินใน ต.ปากพลี จ.นครนายก 1 แปลง เนื้อที่ 1 ไร่เศษ มูลค่า 3 แสนบาท รวม 1.4 ล้านบาทเศษ ไม่มีทรัพย์สินอื่น

ในบัญชีด้านหนี้สินเขาระบุว่า มีหนี้สิน 119.2 ล้านบาท คือหนี้ธนาคารไทยธนาคาร 27.5 ล้านบาท บรรษัทบริหารสินทรัพย์สถาบันการเงิน 31.8 ล้านบาท กองทุนรวมไทยรีสตรัคเจอริ่ง 4 รายการ 59.8 ล้านบาท โดยสรุปเขามีหนี้สินมากกว่าทรัพย์สิน 117.8 ล้านบาท

และหนี้ทั้งหมดเป็นหนี้ตามคำพิพากษา ซึ่งศาลตัดสินตั้งแต่ปี 2543-2546 ซึ่ง "ศิริโชค" เป็นจำเลยร่วมกับบริษัทของพี่ชายและญาติในครอบครัว "โสภา"

สถานภาพที่ระบุในบัญชีทรัพย์สิน คือไม่มีหุ้นเหลือในครอบครองแล้ว และไม่มีรถยนต์สักคัน

ส่วนรถ Porsche หรือมินิคูเปอร์ ที่เขามักขับไปจอดที่พรรคประชาธิปัตย์นั้น ไม่มีใครเคยถาม ว่าเป็นทรัพย์สินในการถือครองของใคร ?

****************************************************************************

เปลี้ยลง !!!??

ข่าวสดรายวัน
คอลัมน์ เหล็กใน

ผลการเลือกตั้งส.ก.-ส.ข. บ่งชี้ว่าประชาธิปัตย์ ไม่ค่อยได้รับผลกระทบจากเสียงประณาม

ว่าด้วยการสลายม็อบเสื้อแดง จนมีตายเกือบร้อย บาดเจ็บเป็นพันๆ

อันเป็นเรื่องที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกของรัฐบาล

นี่เป็นพื้นที่เมืองกรุง ซึ่งว่าไปแล้ว ใช่ว่าเป็นฐานเสียงของประชาธิปัตย์อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด

หากแต่เป็นพื้นที่ที่ช่วงชิงกัน ผลัดกันยึด ผลัดกันแพ้ กันมาโดยตลอด ระหว่างประชาธิปัตย์กับเพื่อไทย (รวมไปถึงยุคไทยรักไทยกับพลังประชาชนด้วย)

ในยุคเฟื่องฟูของไทยรักไทยนั้น ประชาธิปัตย์แทบจะสูญพันธุ์มาแล้ว

นาทีนี้ คนรากหญ้าในเมือง ก็ถูกมองว่า"น่าจะ"ให้การสนับสนุนเพื่อไทยมากกว่า

ยิ่งเป็นช่วงที่ประชาธิปัตย์ มีชนักปักหลังเรื่องคนเจ็บคนตาย หลังการชุมนุม

แถมเป็นชนักที่ปักแน่น ประชาธิปัตย์ตอบสังคมได้ไม่เต็มปาก ได้แต่อู้ๆ อี้ๆ ซื้อเวลาไป

คนรากหญ้าทั้งหลายก็ยิ่งน่าจะแพ็กเสียงกันให้หนาแน่น เพื่อ"สั่งสอน"ประชาธิปัตย์ให้รู้สำนึก

น่าจะเป็นนาทีทองของเพื่อไทย ที่จะเกาะกระแส"มือเปื้อนเลือด"ของอีกฝ่าย เป็นกระดานหกดีดตัวแรงๆ

ไปๆ มาๆ กลับแป้ก ผลการลงคะแนนบ่งชี้ว่า นอกจากประชาธิปัตย์ไม่สะดุ้งสะเทือนแล้ว

ยังได้รับความนิยมจากคนกรุง ในจำนวนที่มากกว่าอีกต่างหาก

ถึงขนาดผู้รับผิดชอบการเลือกตั้งของประชาธิปัตย์ ประกาศอย่างฮึกเหิม

เลือกตั้งสนามใหญ่อย่างส.ส.งวดหน้า จะกวาดพื้นที่ในกทม.ให้เรียบ!

เพื่อไทยแสดงอาการเพลี่ยงพล้ำทางการเมือง ออกมาเป็นระยะ

ตั้งแต่เล่นการเมืองข้างถนน สลับกับในสภาให้วุ่นไปหมด

การบริหารภายในก็เริ่มมีปัญหาโวยวาย เรื่องเงินๆ ทองๆ

ส.ส.โดน"ดูด"ไปหาพรรคอื่นที่ล่ำซำกว่า

จะดุด่าประณามลูกพรรคทรยศของตัวเอง หรือคู่แข่งที่มาตีท้ายครัวอย่างไร ก็ทำไม่ถนัดปาก

เพราะตัวเองตอนเจิดจ้าราวกับดาวฤกษ์ ก็มีพฤติกรรม "ดูด" และสนับสนุนการย้ายพรรคแบบเดียวกันนี้มาก่อน

ฝ่ายนปช. ที่เป็นหมากของเพื่อไทย ก็กำลังโดน"อ้อมกอดอำมหิต"บีบรัด ราวกับงูเหลือมรัดเหยื่อ

นอกจากนายวีระ มุสิกพงศ์ ที่เป็น "สายพิราบ" และคุยกับรัฐบาลรู้เรื่องที่สุดตอนปิดราชประสงค์

คนอื่นแทบจะไร้วี่แววได้ประกันตัวออกจากคุก!

พวกที่เตลิดหนีไปต่างประเทศ ก็ใจไม่ด้านพอจะกลับมา

สอดรับกับบทบาทของ "นายใหญ่" ที่เงียบหายไปอย่างผิดปกติ แม้จะวนเวียนอยู่แถวๆ เมืองไทยก็ตาม (ตามที่นายกฯว่า)

พรรคก็ขาดหัว ม็อบก็ขาดหัว ท่อน้ำเลี้ยงก็ตีบตัน

กราฟกำลังปักหัวลงตามลำดับ!

***************************************************************************

วันพฤหัสบดีที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2553

แมลงสาบสังคม

ชัยพงษ์ สำเนียง

1
“...สิ่งที่มนุษย์เราหวงแหนที่สุดคือชีวิต และก็เป็นสิ่งที่ให้แก่เขาเพื่อดำรงอยู่ได้แต่เพียงครั้งเดียว เขาจักต้องดำรงชีวิตอยู่เพื่อที่ว่าจะไม่ต้องทรมานใจด้วยความโทมนัสว่า วันเดือนปีที่ผ่านไปนั้นปราศจากจุดหมาย จักต้องไม่มีความรู้สึกอับอายว่าตนมีอดีตอันต่ำต้อยด้อยคุณค่า ชีวิตเช่นนี้เมื่อตายลงก็สามารถพูดได้ว่า ชีวิตของฉันและพลังกายพลังใจทั้งหมดของฉันได้อุทิศให้แก่อุดมการณ์ที่ดีงามที่สุดแล้วในโลกนี้ นั้นคือการต่อสู้เพื่อกอบกู้อิสรภาพของมนุษย์...”

คำรำพัน ณ สุสานสหายผู้เสียสละในการต่อสู้ปฏิวัติ
จากนวนิยายโซเวียตยอดนิยมเรื่อง เบ้าหลอมวีรชน
นิโคไล ออสตร๊อฟสกี้ เขียน ค.ศ. 1933
เทิด ประชาธรรม(ทวีป วรดิลก) แปล พ.ศ. 2518 [1]

2
ความเปลี่ยนแปลงของสังคมไทยอย่างสำคัญที่ถือว่าเป็น จุดเปลี่ยนที่ไม่อาจหวนคืนได้อีกแล้ว และเป็นการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ ที่แลกมาด้วยชีวิต เลือดเนื้อ หยาดน้ำตา รวมถึงมูลค่าที่คิดเป็นตัวเลข(เงิน)ได้ และเป็นตัวเงินไม่ได้อย่างมหาศาล คือ การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญทางการเมืองของ “คนชายขอบ” ที่เรียกตัวเองว่า “ไพร่”(จะมีแดงหรือไม่ก็ตาม) และไม่อาจสยบยอมต่อ “อำนาจ” ที่มากดขี่ข่มแหง เบียดขับ ดูถูกเหยียดหยามได้อีกต่อไป อันนำมาสู่เหตุการณ์ในเดือนเมษายน พ.ศ.2552 และเดือนเมษายน-พฤษภาคม 2553 อาจกล่าวได้ว่า “ชีวิต เลือดเนื้อ และจิตวิญญาณที่เสรี” ได้ถูกทำลาย และด้อยค่า อย่างไม่มีอะไรเทียบเทียมได้ ดั่งอาจกล่าวว่า “ชีวิต หนึ่งที่เกิดมาช่างด้อยค่ายิ่งกว่าสัตว์(เดรัจฉาน)เสียอีก”

อาจกล่าวได้ว่า “มนุษย์” หนึ่งที่เกิดมาช่างด้อยค่าไร้ราคาอย่างไม่อาจเปรียบได้กับ “อะไร”? “การทำร้าย ทำลาย เข่นฆ่า ประณาม หยามเหยียด เบียดขับ” อย่างไม่เห็นค่าความเป็นมนุษย์ “แมลงสาบสังคม”ที่เข่นฆ่าได้อย่างอำเภอใจ ไม่อาจอธิบายอะไรในสังคมไทยได้
เราจะอธิบายคำพูดเหล่านี้ได้อย่างไร เช่น “ความทุกข์ยากที่เกิดขึ้นเพราะไปเชื่อคำพูดของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ยุแหย่ให้คนเสื้อแดงเผาบ้านเผาเมือง ถ้านางศิณีนาถแน่จริงลองเผาบ้านตัวเองดู เป็นพวกหนักแผ่นดินไม่รู้จักแยกแยะความถูกความผิด ลงชื่อผู้ส่งมาจาก อ.เมือง จ.ลำปาง แต่ประทับตราไปรษณีย์เขตอ้อมใหญ่...ถึงศิณีนาถโดนยิงบาดเจ็บ...คงดีใจที่ได้ค่าชดเชยจากภาครัฐ ไปร่วมชุมนุมเผาศาลากลางถึงจะไม่ได้เผาก็ไปร่วมชุมนุม ก็เท่ากับเผามันบาปนะ ตอนเจ็บตอนตายขึ้นมาก็จะขอค่าชดเชยมันน่าจะตายให้พ้นจากประเทศไทย พวกหนักแผ่นดิน ขายชาติเห็นแก่เงิน ..."[2]

กล่าวได้ว่าคนในสังคมไทยที่มีความคิดความเชื่อที่เห็นคนอื่นเป็น “สัตว์” ไม่มีราคาค่างวดอะไรเลย ได้ขยายกว้างออกอย่างน่าตกใจ ดังกรณี มาร์ค V 11 ที่ “หลังถูกกระแสกดดันจากการโพสต์ข้อความแสดงความเห็นทางการเมืองในเฟสบุ๊ก ด้วยการใช้ถ้อยคำรุนแรงตำหนิการทำหน้าที่นายกรัฐมนตรีของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จนทำให้ "มาร์ค วี 11" หรือนายวิทวัส ท้าวคำลือ หนุ่มวัย 17 ปี จากเชียงใหม่ ต้องหยุดปฏิบัติการล่าฝันถอนตัวออกจากการแข่งขัน ทรู อะคาเดมี แฟนเทเชีย ซีซั่น 7 ท่ามกลางความเสียดายของแฟนคลับที่เทคะแนนโหวตให้เป็นที่ 1 มาตลอด ซึ่งแม้เจ้าตัวจะแสดงความรับผิดชอบด้วยการสละสิทธิ์ถอนตัวไปแล้ว แต่เรื่องราวยังคงเป็นประเด็นให้พูดถึงทั้งด้านการเมือง และเส้นทางชีวิตหลังตกเป็นเหยื่อความขัดแย้งทางความคิดของคนในสังคมปัจจุบัน”[3] และ “ตำรวจ สภ.เมือง จ.เชียงราย ได้เรียกนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง (มฟล.) ไปให้ปากคำในคดีเดียวกันเพิ่มอีก 2 คน คือ นายเอกพันธ์ ทาบรรหาร และนายสาทิตย์ เสนสกุล อายุ 19 ปีเท่ากัน จึงทำให้คดีนี้มีผู้ต้องหาทั้งหมด 6 คน ขณะที่นายนิติ เมธพนฎ์ กล่าวว่าไม่ได้รู้สึกหวาดหวั่นที่ต้องถูกดำเนินคดี เพราะพวกเราไม่ได้ทำความผิดทางอาญา แต่เกี่ยวกับ พ.ร.ก. ซึ่งเรื่องนี้ต้องดูกันที่เจตนาว่าเราทำไปเพราะหวังจะให้เกิดความหวาดกลัวหรือไม่ เพราะในความเป็นจริงคือไม่ได้หวังเช่นนั้น อย่างไรก็ตาม

ยอมรับว่าหลังถูกดำเนินคดีแล้วก็มีคนในครอบครัว เช่น พ่อแม่ ญาติพี่น้อง ฯลฯ แสดงความเป็นห่วงกันถ้วนหน้า ส่วนใหญ่ห่วงในอนาคตหลังการเรียนของพวกตนว่าจะไม่สดใส เพราะเป็นคนต้องคดี ซึ่งตนอธิบายว่าสังคมน่าจะเข้าใจ เพราะเราไม่ได้ถูกดำเนินคดีอาญา แต่เป็นเรื่องเกี่ยวกับ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน...นายนิติ เมธพนฎ์ เปิดเผยด้วยว่า หลังถูกดำเนินคดีทุกคนไม่ได้ถูกข่มขู่คุกคาม ยังคงใช้ชีวิตไปตามปกติ ส่วนการอยู่ในสังคมทั้งการเรียนและทั่วไปไม่มีการเปลี่ยนแปลง มีแต่คนคอยห่วงใยและไต่ถามด้วยความเป็นห่วง แต่ยอมรับว่าก่อนจะถูกหมายเรียกดำเนินคดี พวกเรา 1 ใน 5 คน เคยถูกคนข่มขู่ด่าว่าและถูกตำรวจเข้าไปค้นบ้านรวมทั้งตรวจสอบเครื่องคอมพิวเตอร์โดยไม่มีหมายค้นใดๆ แต่ไม่กล้าออกมาเปิดเผยตัว เพราะเกรงกลัว กระทั่งถูกดำเนินคดีด้วยกันทั้งหมด”[4] เราท่านไม่อาจให้ความเห็นต่างดำรงอยู่ในสังคมได้ ต้องประหัตประหารทำลายล้าง ให้สิ้นซาก โดยถือว่า “คน” เหล่านั้น เป็นกาฝาก กากเดน สังคม อย่างไม่ให้อภัยอย่างนั้นหรือ

3
นำมาสู่คำถามว่าเกิดอะไรขึ้น ในสังคมไทย เราขาดความอนาทรร้อนใจ “นิ่งเฉย” “เฉยเมย”“ละเลย” ต่อความเป็นตายของเพื่อนมนุษย์ เราไม่ “ละอาย” ที่ออกมาร้องกู่ก้องให้ “ฆ่าๆๆๆๆๆๆๆๆและฆ่า” กระนั้นหรือ ผมพยายามหาคำอธิบายว่าเกิดอะไรขึ้นในสังคม และคำตอบที่ผมครุ่นคิด กับพบว่าเราไม่อาจหาคำอธิบายอะไรที่แน่น้อยชนได้ ที่พอตอบได้ ผมว่ามี 3-4 ประการ คือ

ประการที่หนึ่ง เราท่านมีความเข้าใจต่อ “ประชาธิปไตย”ที่ “สัมพัทธ์”(เป็นธรรมดาที่ประชาธิปไตยมีความหลากหลายในแง่ที่บริบทของการเกิดใช้ต่างบริบทกัน แต่สิ่งที่ไม่อาจลดทอนได้ หลักการสิทธิ เสรีภาพ ความเสมอภาค ที่เป็นหัวใจของการปกครองระบอบประชาธิปไตย) คือ เราท่านตีความประชาธิปไตย ในมุมมองของตนเองอย่างอคติ โดยไม่ให้ที่ว่าง ต่อความเห็นต่าง ถ้าใครมีความเห็นต่างจากเราท่านต้องออกมาประหัตประหาร ฆ่าผลาญชีวิต และจิตวิญญาณ รวมถึงความคิด “เขา” ที่ต่างจาก “เรา” เหมือนไม่ใช่ “คน” และเขาผู้นั้นไม่อาจร่วมโลกเราได้อีกแล้ว

เราท่าน “ไม่สงสัย” เลยว่าทำไม? “เขา” จึงแตกต่างจาก “เรา” หรือว่าประชาธิปไตยที่เราท่านยึดถือนี้ “ไม่ต้องสงสัย” “ไม่ต้องตั้งคำถาม” “ไม่ต้องงง” หรือในท้ายที่สุด “ไม่ต้องคิด” อะไรที่แตกต่าง ไม่ว่าเกิดอะไร ซึ่งเป็นที่น่าเสียดายว่า การไม่ตั้งคำถาม ต่ออำนาจ หรืออะไรก็ตาม เป็น “ประชาธิปไตย” ใช่หรือไม่ หรือแค่เห็นต่างไม่อาจร่วมโลก ฉะนั้น “ประชาธิปไตย” ที่เราท่านยึดถือก็คือ “การสยบยอม” “การยอมจำนน” “ผู้นำที่เป็นโอรสสวรรค์” มาช่วยนำพา แค่นั้นนะหรือ

ประการที่สอง จากข้อความใน (2) เราจะเห็นว่าประเทศไทยเราช่างมี “ผีใหญ่” ที่น่ากลัวเสียเหลือเกิน ทั้ง “ผีแดง” “ผีเหลือง” เราท่านต่างมีผีต้นสังกัดที่ไม่อาจให้ใครแตะต้องได้ “ผี” เหล่านี้ช่างมีฤทธานุภาพชักนำ ชี้นำให้ผู้คนไปตายแทนตนได้อย่างที่เราท่านไม่ต้องคิด ซึ่งก็น่าแปลกว่า “ผี” เหล่านั้นมีจริงหรือไม่

แต่ที่น่าแปลกแต่จริง คือ “ผีเหลือง” และเหล่าบริวาร กลับมีความศักดิ์สิทธิ์ อิทธิฤทธิ์ อิทธิเดช อย่างไพศาลเสียจนไม่อาจให้ผู้ใดอาจเอื้อมแตะต้องได้ ภายใต้ผ้าคลุมของ “คนดี” ที่ดีจริงหรือไม่ดีจริง หรือจริงแบบเทาดำก็ไม่อาจทราบได้ เพราะ “คนดี” ไม่ต้องตรวจสอบ ไม่อาจตั้งคำถามได้

ในทางตรงกันข้าม “ผีแดง” ช่าง “เลว” “ทราม” “ต่ำช้า” แม้อาจจะชื่นชม หรือกล่าวถึง “คนผู้นั้น” ก็อาจกลายเป็นสมัครพรรคพวกของ “ผีแดง” หรือ “เลวทรามต่ำช้า” ไม่ต่างจาก “ผีแดง” แม้ผู้นั้นจะติชมด้วยความบริสุทธิ์ใจก็ตามที ดังคำกล่าวที่ว่า

“... คนเหนือคือพี่น้องที่ไอ้ทักษิณพูด คนอีสานคือขี้ข้าไอ้ทักษิณพูด สงสารคนอีสานจังโง่ เห็นแก่เงินเป็นคำพูดของคนส่วนมาก แม่ไรอันทำไมไม่ให้ศิณีนาถและพวกเผาบ้านยายหอม บ้านไรอัน ไปเผาของคนอื่นทำไม เลว โง่ ชาติชั่ว ชาติหมาทั้งตระกูล...ขอให้คนชั่วตระกูลนางศิณีนาถจงตายโหงตายห่าขี้ข้าทักษิณ ทำไมไม่ไปขอมันมันหนีไปเสวยสุขเมืองนอก มันไม่ผิดมันจะหนีทำไม หลักฐานความชั่วมันเยอะแยะพวกโง่อีสาน ไม่ลืมหูลืมตาบ้าง สนับสนุนคนชั่วมันบาปทำให้บ้านเมืองเดือดร้อน เมื่อสมัยก่อนคนเหนือใจง่าย ปัจจุบันคนอีสานทั้งใจง่าย โง่ ขายตัวให้เขาหลอกเห็นแก่เงิน ขายชาติ ช่วยเหลือคนผิดสมองไม่มี พวกมึงจะส่งลูกหลานเรียนสูงก็แค่สมองหมา มักติดมาจากบรรพบุรุษไม่สั่งสอนแยกแยะถูกผิดเลวทั้งตระกูล ขี้ข้าทักษิณขอให้พวกมึงจงลงนรกกันไวๆ พวกหนักแผ่นดิน เลียตูดดูดไอ้ทักษิณ เหยียบแผ่นดินอยู่ได้ไง เสียดายเกิดมาครบ 32 ยกเว้นสมองไม่มี...”[5] (การเน้นคำเป็นความตั้งใจของผู้เขียนเอง)

ประการที่สาม เรา(คนชั้นกลางเมือง)มองว่าคนในชนบท ไม่ว่าเหนือ อีสาน กลาง หรือใต้ ช่าง “โง่” “จน” “เจ็บ” อย่างไม่น่าให้อภัย ถูกหลอกใช้ได้เหมือน(ควาย) ช่างน่าสงสาร โดยไม่เข้าใจว่าการที่เขาต้องร่อนเร่ พเนจร จากเหย้าจากเรือนมาแสวงหา “ความยุติธรรม ความเสมอภาค และเสรีภาพ” ที่มันยิ่งใหญ่กว่าชีวิตของเขาเหล่านั้น มาเพรียกหา “ความเท่าเทียม”ในสังคม ที่เขาเหล่านั้นถูกเบียดขับ กีดกัน มาอย่างยาวนาน ภายใต้ความลำเอียงของรัฐไทยที่สนใจ “เมือง” มากกว่าชนบท

และก็ไม่ใช่คนเมืองนั้นเองหรือที่ดูดซับส่วนเกินจากชนบทอย่างน่าละอาย เสวยสุขบนความทุกข์ยากของคนชนบท และวันใดที่คนชนบทออกมาเรียกร้องหาความ “เท่าเทียม” คุณ(คนในเมือง) ก็ตราหน้าเขาเหล่านั้นว่าถูกหลอกบ้าง โง่บ้าง รับข้อมูลข่าวสารด้านเดียวบ้าง ท้ายสุดเขาเหล่านั้นก็ไม่สมควรเป็น “คน” ถูกฆ่าได้ ทำร้ายได้ ขังคุกได้ โดยผู้ที่กระทำต่อเขาเป็น “อภิ(สิทธิ์)วีรบุรุษ” ท่ามกลางซากศพของ “คน” ที่ต่างจากตน

คนในเมือง(คนชั้นกลาง)เหล่านี้ไม่อาจให้อภัยได้หรอกครับ เพราะเขาเหล่านี้เป็นผู้ “ออกใบอนุญาตให้ฆ่า” แก่ผู้กุมอำนาจรัฐ มีคนตายมากมาย คนกลุ่มนี้กับยินดีปรีดา สุขใจท่ามกลางศพของพี่น้องร่วมชาติที่เขาไม่ถือว่าเป็นคน

เขาเหล่านั้นดูเบาคนชนบท ที่ “สำนึกทางการเมือง” ของเขาเหล่านั้นได้แปรเปลี่ยน ผันแปร คนชนบทไม่ได้ “โง่” “จน” “เจ็บ” จนนักการเมืองจากไหนมาหลอกใช้ได้อีกแล้ว เขาเหล่านั้นที่ออกมาต่อสู้ก็เพื่อลูกหลาน คนในรุ่นถัดไป หรือรุ่นเขาเองก็ตาม จะได้สลัดแอกความเป็น “ชายขอบ” ของการพัฒนาที่ลำเอียงของรัฐไทยเสียที

จะว่าตามจริงคนชนบทมีปะสาทางการเมืองมากกว่า “คนเมือง/คนชั้นกลาง” ด้วยซ้ำ เขาเหล่านั้นรู้จักเลือก และใช้นักการเมืองที่เป็นตัวแทนของเขาได้อย่างชาญฉลาดภายใต้เงื่อนไขของการลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง หรือต่อรองผ่านหัวคะแนนเองก็ตามที ต่างจากคนเมืองที่เลือกผู้แทน “ตามกระแส” ท้ายที่สุดก็ไม่สามารถใช้นักการเมืองได้ แล้วนี่คนในเมือง หรือคนชนบทโง่ก็น่าฉงนอยู่

ประการที่สี่ ความอัดอั้น กดดัน ต่อโครงสร้างอันไม่เป็นธรรมต่อสังคมไทย ดูได้จากการถือครองทรัพย์สินของคนในประเทศนี้ที่ทรัพย์สิน(เงินฝาก เงินลงทุน ที่ดิน)เป็นของคนไม่กี่หยิบมือเดียว แม้แต่ที่เรียกว่า “หัวขบวนไพร่”เองก็ตามมีเงินเป็นแสนล้าน การกระจายตัวของทรัพยากรกระจุกตัวอยู่ในเมือง อยู่ในมือของ “อภิสิทธิ์ชน” คนเล็กคนน้อย “จนทั้งเงิน จนทั้งอำนาจ” ดังมีคำกล่าวที่เป็นเสมือนตลกร้ายว่า “คุกมีไว้ขังคนจน” ก็จริงอย่างน่าสมเพดในบ้านนี้เมืองนี้

เราต้องยอมรับความจริงในบ้านนี้เมืองนี้ว่าเรามีปัญหาการแย่งชิง เบียดขับทรัพยากร(ดิน น้ำ ป่า ภาษี(เงินงบประมาณ) ความเป็นธรรม เสรีภาพ สิทธิฯลฯอะไรอีกมากมาย) อย่างไพศาล คนที่มีโอกาส(โดยมากก็คือชนชั้นนำ หรือแม้แต่ลูกตาสีตาสาที่กลืนกลายเข้าเป็นส่วนหนึ่งของชนชั้นนำก็ทรยศต่อชนชั้นตัวเองกลายเป็นผู้ขูดรีดอย่างน่าอัศจรรย์) ได้ฉกฉวย ช่องใช้ทรัพยากรอย่างมโหฬาร คนชั้นล่างถูกกดทับเบียดขับอย่างน่าอเนจอนาถ การ “ลุก”ขึ้นมาเรียกร้องความเป็นธรรมถูกมอง(ใส่ป้าย)ว่าป่าเถื่อน ไร้อารยะ ซึ่งก็น่าคิดว่าการปิดสนามบิน การยึดทำเนียบรัฐบาลของม็อบพันธมิตรมันอารยะตรงไหน ผมพยายามใช้เท้าก่ายหน้าผากคิดก็คิดไม่ออก

กรณีม็อบพันธมิตร กับม็อบ นปช. เป็นประจักษ์พยาน หรือใบเสร็จอย่างดีของความไม่เป็นธรรม ความไม่เท่าเทียมของสังคมไทยได้อย่างชัดแจ้ง ไม่ต้องอธิบาย ชี้แจงอะไรให้มากความ

รวมถึงคำเยาะเย้ย ถากถาง(ดู 2) ที่คนชั้นล่างได้รับจาก ผู้ที่ให้คำนิยามตนเองว่าเป็นผู้มีการศึกษา เป็นผู้มีความรู้ เป็นชนชั้นกลาง/นำ/อภิสิทธิ์ชน ถ้อยคำหยามหมิ่นนี้แหละที่เป็นพลัง/แรงขับ/แรงกดทับ/ของชนชั้นล่างในการต่อสู้กับความไม่เป็นธรรมในสังคม
การแย่งชิง การสร้างความหมาย ต่อปฏิบัติการทางการเมืองของคนกลุ่มต่างๆ สุดท้ายนำมาสู่การ “ออกใบอนุญาตให้ฆ่า” ฝ่ายตรงกันข้ามได้ไม่ว่าฝั่งพันธมิตร หรือ นปช.(ดูคำสัมภาษณ์ของจตุพร พรหมพันธุ์ ช่วงพันธมิตรชุมนุมในเหตุการณ์ 7 เมษายน 2550) ซึ่งก็น่าตั้งคำถามว่าเราท่านยอมให้เกิดเหตุการณ์นี้ได้อย่างไร

ประการสุดท้าย ชนบทไทยได้เปลี่ยนไปแล้วรวมถึงสังคมไทยเองด้วย เราไม่อาจหวนกลับไปสู่สังคมแห่งชนชั้นที่ไม่เท่าเทียมได้อีกแล้ว นโยบายของรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร หรือแม้แต่นโยบายรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะเอง ก็ได้เปลี่ยนชนบทไทย ให้เป็นชนบทที่ต่างจากเดิม เช่น นโยบายสามสิบบาทรักษาทุกโรค กองทุนหมู่บ้าน หรือ SME (ทักษิณ ชินวัตร) เรียนฟรี 15 ปี เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ เงินเดือน อ.ส.ม. (ท) น้ำไฟรถฟรี (อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ) ได้ทำให้เขาเหล่านั้นได้รับทรัพยากรจากรัฐอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย ทำให้เขาได้รับประโยชน์อย่างแท้จริง เขาเหล่านั้นได้สร้างสำนึกทางการเมืองใหม่(ที่ไม่ใช่พรรคการเมืองใหม่)ที่วางอยู่บนฐานของ “ความเท่าเทียม”ไม่อาจทนต่อความลำเอียงของรัฐไทย ไม่อาจยินยอมต่อ “คนชนบทตั้งรัฐบาล คนเมืองล้มรัฐบาล” ได้อีกต่อไป

แต่ในทางตรงกันข้ามคนในเมือง กับเคยชิน คุ้นเคยกับการเมือง และสำนึกทางการเมืองแบบเก่า ที่คนชนบทไม่มีสิทธิ์มีเสียง โดยใส่ป้ายให้ว่า “โง่” และไอ้โง่นี้แหละกลับมาเย้วๆๆใน “พื้นที่” กู ทำให้รถติด ห้างไม่เปิด ทำให้วิถีชีวิตกู(คน กทม.)เป็นอัมพาต มาเรียกร้องให้กูกับมึง(เรากับเขา) อยู่ในระนาบเดียวกัน ทั้งที่มึง หูนาตาเถื่อนเสียไม่มี จึงเป็นที่มาของการ “ออกใบอนุญาตให้ฆ่า” อย่างไม่อนาทรร้อนใจของคนในเมือง อย่างไม่ใช่ “คน” อย่างด้านชา เสียไม่มี
4
“คน” คนหนึ่งได้ทอดร่าง สิ้นใจตายท่ามกลางห่ากระสุนที่สาดใส่เขาเหล่านั้น “อย่างกับเป็นแมลงสาบสังคม” ที่ไร้ค่าไร้ราคา ท่ามกลางการอนุญาตให้ฆ่าได้ของคนบางกลุ่ม ชีวิตเหล่านั้นได้ทำให้สังคมไทยที่เปลี่ยนไปแล้ว ไม่อาจหวนคืนได้อีกแล้ว คนชนบท หรือคนชั้นกลางในชนบท (คำของ อ.นิธิ เอียวศรีวงศ์) ได้สร้างสำนึกทางการเมืองของตน เห็นค่าของ “เสรีภาพ เสมอภาค เท่าเทียม ยุติธรรมฯลฯ” อย่างที่คนชั้นกลาง/นำ/อภิสิทธิ์ชน ไม่คุ้นชินได้อีกแล้ว แม้จะ “ฆ่า” เขาเหล่านั้นสักกี่ศพก็ตาม จะมองเขาเป็นแมลงสาบสังคม หรืออะไรก็ดี เข็มนาฬิกามันได้หมุนไปข้างหน้าแล้วพี่น้อง

ท้ายสุดคนชั้นกลางเมืองต้องหันมาทำความเข้าใจความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้อย่างจริงจัง และเข้าใจ “เขา” เหล่านั้นอย่างเข้าใจ หรือจำใจก็ดี ไม่เพียงแต่โครงสร้างทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม เองก็ตามทีต้องมีการปรับตัว เปลี่ยนแปลงให้สอดรับ แม้จะใช้เวลานานเท่าไหร่ก็ตาม เราไม่อาจหยุดนิ่ง เพื่อรอความล่มสลายของสังคมไทยได้อีกต่อไป คนชั้นกลาง /นำ/อภิสิทธิ์ชนต้องยอมรับ ปรับตัว เปลี่ยนแปลงกับกระแสธารการปฏิวัติของ “คนชั้นล่าง” อย่างไม่อาจปฏิเสธได้ ต้องยอมลดทอนอภิสิทธิ์(ที่ไม่ได้หมายถึงเวชชาชีวะ) ที่เคยมีเคยได้ กระจายทรัพยากร หรือ “ความเป็นธรรม” ที่แก่คนกลุ่มอื่นอย่างเท่าเทียม ต้องปฏิวัติโครงสังคมที่ไม่เป็นธรรมของคนทุกกลุ่มในสังคมอย่างจริงจัง

แต่ในทางกลับกันคนชั้นล่างเองก็ต้องให้เวลา และทำความความเข้าใจ ทั้งสังคมวัฒนธรรม ทัศนคติ วิถีชีวิตของคนชั้นกลาง /นำ/อภิสิทธิ์ชน ด้วย รวมถึงดึงคนเหล่านั้นมาสร้างการปฏิวัติที่ “ไม่สังเวยชีวิตเลือดเนื้อ”(หรือภาษาฝ่ายซ้ายว่า สามัคคีชนชั้น : ผมพูดอย่างกระแดะทั้งที่ไม่รู้ทฤษฎี หรือแนวคิดฝ่ายซ้ายเลยแม้แต่กระพี้เดียว) ของใครก็ตาม เราไม่อาจยอมให้ใครทั้งล่าง กลาง สูง ตายได้อีกแล้ว ดังคำกล่าวของ อ.เกษียร เตชะพีระที่ว่า “ไม่มีหลักการนามธรรมอันใดในโลกมีค่าพอให้เราไปเอาชีวิตผู้อื่นมาสังเวย ไม่ว่าสังคมนิยม-คอมมิวนิสต์ หรือประชาธิปไตย”[6] ผมขอปิดท้ายด้วยโครงที่ชื่อว่า “โลก” โลกที่หลากหลายแตกต่าง และอยู่ร่วมพึงพาอาศัยกันได้ โลกที่ไม่ใช่ของคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ที่ถือสิทธิ์เป็นเจ้าของแต่เพียงฝ่ายเดียว โลกที่หลากหลายจึงเป็นโลกที่น่าอยู่ครับ
โลก[7]

โลกนี้มิอยู่ด้วย มณีเดียว
ทรายและสิ่งอื่นมี ส่วนสร้าง
ปวงธาตุต่ำกลางดี ดุลยภาพ
ภาคจักรพาลมิร้าง เพราะน้ำแรงไหนฯ

ภพนี้มิใช่หล้า หงส์ทอง เดียวเอย
กาก็เจ้าของครอง ชีพด้วย
เมาสมมุติจองหอง หินชาติ
น้ำมิตรแล้งโลกม้วย หมดสิ้นสุขศานต์ฯ

หมายเหตุจากผู้เขียน

บทความนี้ได้รับแรงบันดารใจจาก อ.ไชยันต์ รัชชกูล ที่ให้ความกรุณา แลกเปลี่ยน ซักถาม โต้แย้งอย่างเท่าเทียม กับศิษย์คนนี้เสมอมา อ.สรัสวดี อ๋องสกุล ครูผู้เมตตา และกรุณาอย่างไม่ขาดแคลน ขอบคุณ อ.มนตรา พงษ์นิล อ.ชัยณรงค์ ศรีมันตระ อ.ชาญ พนารัตน์ แห่ง ม.นเรศวรพะเยา ที่เอื้อเฟื้อในหลายโอกาส อ.ทรงศักดิ์ ปัญญา คุณสิทธิเทพ เอกสิทธิพงษ์ คุณชัยนุวัฒน์ ปูนคำปีน และคุณขันติชัย รวมสุข ที่คอยแลกเปลี่ยนให้ความคิดความเห็นอย่างสม่ำเสมอ รวมถึงคุณรุ่งเกียรติ กิติวรรณ ที่ช่วยเก็บข้อมูลเบื่องต้นในเขต อ.ป่าซาง จ.ลำพูนบางส่วนให้ แต่อย่างไรก็ตามความรับผิดชอบต่อความคิดความเห็นข้างต้นย่อมเป็นของผู้เขียนแต่เพียงผู้เดียว ถ้างานชิ้นเล็กๆ นี้จะมีค่าบ้างผู้เขียนขออุทิศให้แก่พี่น้องที่ได้ล้มตายท่ามกลางห่ากระสุน ของความไร้เสรีภาพ ความไม่เท่าเทียม ความ อยุติธรรม ของสังคมไทย ขอให้ดวงวิญญาณของเขาเหล่านั้นรับรู้ว่า “เราท่านทั้งหลาย” จะเป็นผู้รับไม้อุดมการณ์ของท่านต่อไปอย่างอดทน เพื่อให้ถึงสังคมที่เป็นธรรมให้จงได้ ด้วยจิตคารวะ

อ้างอิง

[1] อ้างใน, เกษียร เตชะพีระ. ทางแพร่งและพงหนามทางผ่านสู่ประชาธิปไตยไทย. กรุงเทพฯ : มติชน, 2551, หน้า 335.
[2] ข่าวสดรายวัน ประจำวันที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2553 ปีที่ 20 ฉบับที่ 7175
[3] ไทยรัฐออนไลน์ วันศุกร์ที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ.2553
[4] ข่าวสดรายวัน ประจำวันที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2553 ปีที่ 20 ฉบับที่ 7175
[5] ข่าวสดรายวัน ประจำวันที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2553 ปีที่ 20 ฉบับที่ 7175
[6] เกษียร เตชะพีระ. ทางแพร่งและพงหนามทางผ่านสู่ประชาธิปไตยไทย. กรุงเทพฯ : มติชน, 2551, หน้า 207.
[7] อังคาร กัลยาณพงศ์, “โลก” ใน กวีนิพนธ์ของอังคาร กัลยาณพงศ์,ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 7, กรุงเทพฯ: กินรินทร์,2548, หน้า 31 อ้างใน ชูศักดิ์ ภัทรกุลวณิชย์, ความหลากหลายทางวัฒนธรรมจากหลอมรวมเป็นหนึ่ง สู่ผสมผสานพันทาง, ฟ้าเดียวกัน ปีที่ 5 ฉบับที่ 1 มกราคม-มีนาคม 2550, หน้า 162.

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

หักเหลี่ยมโหด

นิ่งก็ตาย!..ดิ้นก็ตาย!

ก้อ.. “โครงการรถเมล์เอ็นจีวี 4 พันคัน”..ที่ถือเป็นการเดิมพันระหว่าง ประชาธิปัตย์ กับ ภูมิใจไทย ที่กำลังวัดดวงว่าใครจะเหนียวหนึบและทรงพลังกว่ากัน

ถึงตรงนี้มันเป็นเรื่องของ “ศักดิ์ศรี” ไปแล้ว

ถ้า โสภณ ซารัมย์ เจ้าของฉายา “ผีเห็นคร้าม” จะเปลี่ยนสเปค หรือลดตัวเลขลงบ้าง เพื่อ“ขอทางผ่าน”..ตามภาษานักเลงก็ต้องบอกว่า “เสียหมา”!!

ในขณะที่ ประชาธิปัตย์ โดย อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ยอมให้ผ่านด้วย สเปคเดิมๆทั้งหมด นายกฯ หล่อฮังก้วย ก็ต้อง “เสียคน”!!

ทั้งที่ในความเป็นจริง อภิมหาโปรเจ็กต์ ต่างๆ รวมทั้งการ ขับเคลื่อนองคาพยพในการโยกย้ายข้าราชการตามที่ต้องการนั้น “ภูมิใจไทย” สะเด็ดน้ำไปแล้ว

ถ้าจะทิ้งโครงการ “รถเช่าโคตรแพง” นี้ซะมันก็จบ!!

แต่ว่ามันจะจบแบบ “ศพไม่สวย”..จบแบบ “แพ้ทางมวย” เรื่องนี้จะถูกนำไปพูดต่อไป-พูดต่อไปอย่างไม่มีวันจบสิ้น!!

เพราะยังตอบไม่ได้ในอนาคตว่า ..จะคงความเป็นมิตรกันอยู่ หรือ เป็นศัตรูคู่ใหม่

ที่แน่ๆ บนเวทีปราศรัยในการ “หาเสียง” ของ ประชาธิปัตย์ คงเอ็นจอยปาก
ด้วยการนำเรื่องนี้มาประจานเพื่อตีกินในความซื่อสัตย์ของพรรคแบบเดิมๆ

ส่วน ภูมิใจไทย นั้นก็ “เจ๊กอั้ก” โดนหอกปักเป็น “ชนักติดหลัง” ไปจนตาย!!

ภาษิตจอมยุทธกล่าวว่า หมา เซวี่ย ปู้ เหนิง เจอ เยี่ยน จี เฟย.

แปลเป็นไทยว่า “นกกระจอกมิอาจบินไปกับนกนางแอ่น”

ป่านนี้ “โสภณ” คงคิดถึง “งาช้างคู่นั้น”และเริ่มรู้สึกเสียดายขึ้นมาตะหงิดๆ

แม้ “ผีเห็นคร้าม” จะเจ็บปวดแค่ไหน? ..ก็ยังไม่เท่าความเจ็บใจของ เนวิน ชิดชอบ ที่เป็น “คนชง” และอยู่เบื้องหลังในรายการรถเมล์เช่านี้

เพราะพลันที่ “อภิสิทธิ์” เข้ามาสวมกอดหมับ!..ความคิดเรื่อง“รถเมล์นรก” ก็จี๊ดวิ่งผ่านวูบเข้ามาในสมองทันที

แต่ขณะนี้สมองพุ่งจี๊ดเหมือนกันแต่จี๊ดเพราะอักเสบ..หากพลิกแก้เกมนี้ไม่ได้โอกาสที่ “ภูมิใจไทย” จะเติบใหญ่ต่อไปคงยากส์..ไม่ใช่เพราะต้องต่อสู้กับ “ทักษิณ”

แต่กำลังจะถูก “สตาร์ฟ” จาก “ประชาธิปัตย์” นี่เอง!!

คอลัมน์.ก็โลกมันเบี้ยวหนุ่ม ชิงชัย
ที่มา.บางกอกทูเดย์
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ขวางศอฉ.ปิดสื่อจี้แจ้งดำเนินคดีกฎหมายปรกติ

จากหนังสือพิมพ์ โลกวันนี้

“องอาจ-สมาคมนักข่าวฯ” ขวาง ศอฉ. ใช้อำนาจ พ.ร.ก.ฉุกเฉินไล่ปิดสื่อ ระบุทำไม่ได้เพราะขัดข้อกำหนดรัฐธรรมนูญ หากเห็นว่าผิดควรดำเนินคดีตามกฎหมายปรกติ เตือนหากยังให้ข่าวในลักษณะข่มขู่จะมีมาตรการตอบโต้แน่นอน “สุเทพ” ยืนยันไม่คิดปิดยักษ์ใหญ่ ทางไทยรัฐแค่ให้ชี้แจงการเสนอข่าวบางเรื่องที่อาจทำให้ประชาชนเข้าใจผิด แต่หนังสือพิมพ์เรดพาวเวอร์ของคนเสื้อแดงต้องถูกปิดแน่นอน อ้างเสนอข่าวบิดเบือนทำให้เกิดความแตกแยก

นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) จะสั่งปิดหนังสือพิมพ์เพิ่มเติม และเตือนหนังสือพิมพ์หัวสียักษ์ใหญ่ให้ระมัดระวังการเสนอข่าวที่อาจทำให้เกิดความเข้าใจผิดว่า สื่อที่เป็นมืออาชีพ เสนอข่าวตรงไปตรงมา เราไม่เข้าไปยุ่งแน่นอน จะจัดการเฉพาะพวกที่แอบแฝงมาเป็นสื่อ ทำตัวให้เหมือนสื่อแต่ให้ข้อมูลข่าวสารบิดเบือน ประสงค์ให้เกิดความแตกแยกวุ่นวายก็จะต้องดำเนินการตามกฎหมาย และจะกำชับให้ตำรวจจับกุมมาดำเนินคดีให้ได้

“มันไม่ใช่เรื่องคุกคามสื่อ ในที่ประชุม ศอฉ. พิจารณาเห็นว่ามีสื่อฉบับหนึ่งที่พยายามทำตัวเป็นสื่อ แต่สิ่งที่นำเสนอไม่ใช่ข่าวสารทั่วไป เป็นการยุยงให้คนเกลียดกันจึงต้องดำเนินการตามกฎหมาย หากจำไม่ผิดคิดว่าจะเป็นเรดพาวเวอร์” นายสุเทพกล่าวและว่า ส่วนสื่อหัวสีคือไทยรัฐแต่ไม่ได้สั่งให้ปิด เพียงแต่ให้ ศอฉ. ไปชี้แจงกรณีเสนอข่าวการตายของคนเสื้อแดงในเชียงใหม่ที่ระบุว่ามีคนมีสีตั้งหน่วยไล่ล่า ซึ่งคนมีสีในประเทศไทยก็มีแค่ 2 สีคือทหารกับตำรวจ การเสนอข่าวแบบนี้อาจทำให้สังคมเข้าใจผิด จึงให้ ศอฉ. ไปชี้แจงไม่ได้สั่งปิด

นายสุเทพยืนยันว่า ไม่ได้ทำอะไรตามอำเภอใจหรือลุแก่อำนาจ เพราะสื่อที่ตามสัมภาษณ์อยู่ทุกวันก็มีความเห็นแตกต่างกันเยอะ บางคำถามฟังแล้วเจ็บ บางครั้งก็ทำให้ได้สติ ซึ่งเป็นเรื่องที่ยอมรับได้ แต่สื่อที่เจตนาร้ายต่อบ้านเมืองนั้นยอมรับไม่ได้

นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ยืนยันว่ารัฐบาลไม่มีนโยบายปิดสื่อ หากทำไม่ถูกต้องก็ต้องตักเตือนและดำเนินการไปตามกฎหมายปรกติ ถ้าจะถึงขั้นต้องสั่งปิดไม่เห็นด้วย

นายเสด็จ บุนนาค อุปนายกฝ่ายสิทธิเสรีภาพและการปฏิรูปสื่อ สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า ศอฉ. ควรระบุออกมาให้ชัดเจนว่าสื่ออะไรมีพฤติกรรมอย่างไรที่ว่าเข้าข่ายกระทำความผิด หากเห็นว่ามีความผิดตามที่กล่าวอ้างจริงก็มีสิทธิดำเนินคดีได้ แต่ที่บอกว่าจะสั่งปิดนั้นไม่น่าจะทำได้ เพราะขัดรัฐธรรมนูญ มาตรา 45 วรรค 3 ที่ระบุว่าการสั่งปิดหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชนอื่นเพื่อลิดรอนเสรีภาพตามมาตรานี้จะกระทำมิได้ ทำได้เฉพาะการเซ็นเซอร์เนื้อหาในส่วนที่ขัดต่อกฎหมายเท่านั้น

“โฆษก ศอฉ. พูดคลุมเครือทำให้เกิดความรู้สึกว่า ศอฉ. มุ่งใช้อำนาจตาม พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินเพื่อจำกัดสิทธิเสรีภาพของสื่อ ทั้งที่กฎหมายที่เกี่ยวกับการจำกัดสิทธิเสรีภาพของสื่อได้ถูกยกเลิกไปหมดแล้ว” นายเสด็จกล่าวและว่า หาก ศอฉ. ยังแถลงในลักษณะการข่มขู่ว่าจะใช้อำนาจตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินสั่งปิดหนังสือพิมพ์ในลักษณะที่ทำให้เกิดความสับสน คณะกรรมการบริหารสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทยจะหารือมาตรการที่จะดำเนินการร่วมกับองค์กรวิชาชีพสื่อมวลชนอื่นๆต่อไป

**********************************************************************