--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันศุกร์ที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2553

สตง.เดือดพล่าน "พิศิษฐ์"ดับเครื่องชน"คุณหญิงเป็ด" ปิดห้องระดม 7 บิ๊กหนุน "จารุวรรณ" ปักหลักสู้ยิบตา

มติชนออนไลน์
"พิศิษฐ์"วัดพลัง"จารุวรรณ"

นายพิศิษฐ์ ลีลาวชิโรภาส รองผู้ว่าการสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ในฐานะรักษาราชการแทนผู้ว่าการ สตง. เรียกประชุมผู้บริหารระดับสูงของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ที่ห้องประชุมชั้น 3 อาคาร สตง. เมื่อเวลา 09.30 น. วันที่ 19 สิงหาคม ภายหลังจากคุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา อาศัยอำนาจผู้ปฏิบัติหน้าที่ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน ลงนามในคำสั่ง สตง. ที่ 184/2553 ยกเลิกคำสั่งแต่งตั้งนายพิศิษฐ์ให้รักษาราชการแทนผู้ว่าการ สตง. เมื่อวันที่ 18 สิงหาคม โดยบรรยากาศการประชุมเป็นอย่างเคร่งเครียด เนื่องจากคุณหญิงจารุวรรณที่เดินทางมายัง สตง. ได้ประกาศเรียกประชุมข้าราชการและเจ้าหน้าที่ สตง. ผ่านระบบเสียงภายในให้มาประชุมเวลา 09.30 น.เช่นเดียวกัน ที่ห้องโถงอีกฟากหนึ่งของอาคาร สตง.

ทั้งนี้ นายพิศิษฐ์ได้หารือกับผู้บริหารระดับสูงของ สตง. ต่อเนื่องจนถึง 18.00 น. จากนั้นนายพิศิษฐ์เปิดเผยว่า ได้ประชุมร่วมข้าราชการระดับ 10 จำนวน 7 ราย ถึงความชัดเจนในการบริหารงานของ สตง. หลังจากคุณหญิงจารุวรรณได้ลงนามในคำสั่งยกเลิกการแต่งตั้งตนให้รักษาการตำแหน่งผู้ว่าการ สตง. ซึ่งเป็นการหารือต่อเนื่องจากก่อนหน้านี้ที่ผู้บริหารระดับสูงของ สตง. เคยประชุมมาก่อนและมีมติเอกฉันท์ว่าคุณหญิงจารุวรรณพ้นจากตำแหน่งผู้ว่าการ สตง.ไปแล้ว แต่ขณะนั้นยังไม่ได้ดำเนินการอะไร เนื่องจากเสียงส่วนใหญ่เห็นว่าให้รอคำวินิจฉัยของคณะกรรมการกฤษฎีกา เรื่องการดำรงตำแหน่งผู้ว่าการ สตง. ของคุณหญิงจารุวรรณตามที่ สตง.ทำเรื่องขอให้ตีความไป โดยขณะนี้คณะกรรมการกฤษฎีกาได้วินิจฉัยและส่งเรื่องมายัง สตง.แล้ว ที่ประชุมจึงนำเรื่องมาหารือกันอีกครั้ง

บิ๊กขรก.หนุน"พิศิษฐ์"รักษาการ

นายพิศิษฐ์กล่าวว่า หลังจากที่ประชุมได้พิจารณารายละเอียดข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องทั้งหมด โดยเฉพาะคำวินิจฉัยของกฤษฎีกา ที่ระบุชัดเจนว่าคุณหญิงจารุวรรณ พ้นสภาพการดำรงตำแหน่งผู้ว่าการ สตง.ไปแล้ว จึงมีมติชัดเจนว่า คำสั่งต่างๆ ที่คุณหญิงจารุวรรณทำออกมา ไม่มีสภาพและอำนาจใดๆ ที่ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ สตง.จะต้องปฏิบัติตาม และเห็นสมควรให้ตนรักษาการผู้ว่าการ สตง.ต่อไปดังเดิม

"เพื่อไม่ให้การบริหารงานของ สตง.เกิดความสับสน ข้าราชการระดับสูงทั้ง 7 คน จึงเห็นสมควรให้มีการทำบันทึกชี้แจงข้อเท็จจริงเรื่องนี้ ให้ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ สตง.ได้รับทราบโดยทั่วกัน โดยบันทึกข้อความฉบับนี้ ข้าราชการระดับสูงทั้ง 7 คน จะร่วมกันลงชื่อกำกับไว้ด้วย"

ออกหนังสือสกัด"จารุวรรณ"

นายพิศิษฐ์กล่าวว่า หลังจากบันทึกข้อความฉบับนี้ถูกเผยแพร่ออกไป น่าจะทำให้ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ สตง.มีความเข้าใจข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการดำรงตำแหน่งของคุณหญิงจารุวรรณมากขึ้น ส่วนจะดำเนินการกับคุณหญิงจารุวรรณอย่างไรต่อไปนั้น ยังไม่มีข้อสรุป เนื่องจากเวลาไม่พอ จึงนัดประชุมอีกครั้งวันที่ 20 สิงหาคม เพื่อป้องกันคุณหญิงจารุวรรณกระทำการใดๆ ที่ก่อให้เกิดความสับสนภายใน สตง.อีก แต่คงไม่ใช่วิธีขับไล่ เพราะยังมีความเคารพคุณหญิงจารุวรรณอยู่ในฐานะผู้บังคับบัญชามาก่อน

"ที่ผ่านมา เราก็ไม่เคยว่าอะไรที่คุณหญิงยังเข้ามาใช้ห้องทำงาน รวมถึงการใช้รถประจำตำแหน่งที่ยังไม่ได้คืนให้ แต่ท่าทีที่ออกมาคงจะมีความชัดเจนในระดับหนึ่ง เพื่อไม่ให้ สตง.มีปัญหาความวุ่นวายในการบริหารงานเกิดขึ้นมาอีก เพราะขณะนี้เรื่องนี้ส่งผลกระทบต่อการบริหารงานภายใน สตง.มามากแล้ว"

งัดกฎหมายละเว้นหน้าที่ขู่

รายงานข่าวแจ้งว่า หนังสือเวียนข้างต้น ระบุด้วยว่า ให้ข้าราชการและลูกจ้างของ สตง. ถือปฏิบัติตามคำสั่งที่ 75/2552 ลงวันที่ 9 เมษายน 2552 ซึ่งให้รองผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินรักษาราชการแทนผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินโดยเคร่งครัด และหากข้าราชการผู้ใดถือปฏิบัติตามคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย อาจมีความผิดฐานเป็นตัวการหรือผู้สนับสนุนความผิดตามประมวลกฎหมายอาญาในความผิดฐานปฏิบัติหน้าที่หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ

แหล่งข่าวระดับสูงจาก สตง.เปิดเผยว่า ที่ประชุมนอกจากพิจารณารายละเอียดคำวินิจฉัยของคณะกรรมการกฤษฎีกาแล้ว ยังมีการนำคำให้สัมภาษณ์ทั้งของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้นำฝ่ายบริหาร และนายชัย ชิดชอบ ประธานสภาผู้แทนราษฎร ในฐานะผู้นำฝ่ายนิติบัญญัติ ที่มีความเห็นชัดเจนว่า คุณหญิงจารุวรรณได้พ้นจากตำแหน่งผู้ว่าการ สตง.ไปแล้วมาใช้ประกอบการพิจารณาเพิ่มเติมด้วย

"หญิงเป็ด"ปักหลักสู้ไม่ถอย

แหล่งข่าวกล่าวว่า สตง.มีข้าราชการระดับ 10 จำนวน 11 คน และเข้าร่วมประชุมกับนายพิศิษฐ์ 7 คน ส่วนอีก 4 คน มีความเห็นสองส่วน คือ 1.สนับสนุนให้คุณหญิงจารุวรรณกลับเข้ามาดำรงตำแหน่ง และ 2.ไม่ต้องการที่จะเข้ามายุ่ง แต่ไม่เข้าร่วมประชุมด้วย

แหล่งข่าวกล่าวว่า ด้านคุณหญิงจารุวรรณยืนยันเสียงหนักแน่นกับข้าราชการบางส่วนที่มาร่วมประชุมว่า ยังมีอำนาจและจะมาปฏิบัติหน้าที่ผู้ว่าการ สตง.ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป พร้อมชี้แจงถึงความคืบหน้าการก่อสร้างอาคารสำนักงาน สตง.แห่งใหม่ ระหว่างนั้นคุณหญิงจารุวรรณได้เข้าสวมกอดข้าราชการบางคนที่เคยมีปัญหากันในอดีต พร้อมขอโทษต่อสิ่งที่เคยทำไว้ด้วย

แหล่งข่าวกล่าวว่า การที่คุณหญิงจารุวรรณเรียกประชุมครั้งนี้ ถูกตั้งข้อสังเกตว่า คุณหญิงจารุวรรณต้องการเช็คเสียงสนับสนุนจากข้าราชการและเจ้าหน้าที่ สตง. เพื่อวัดพลังกับข้าราชการระดับ 10 ทั้ง 7 รายที่คัดค้าน

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ดร.วรเจตน์ ชำแหละปมปัญหาสตง. ใครกันแน่ตัวจริง "คุณหญิงจารุวรรณ-พิศิษฐ์ " ตลกเศร้าแห่งองค์กร !

ประชาชาติธุรกิจออนไลน์

หากเอ่ยชื่อ ดร. วรเจตน์ ภาคีรัตน์ อาจารย์คณะนิติศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ ทั้งคุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา และนายพิศิษฐ์ ลีลาวชิโรภาส ย่อมต้องรู้จักนักกฎหมายมหาชนผู้นี้ เป็นอย่างดี เพราะครั้งหนึ่งเมื่อ สตง. ปกปิดข้อมูล โดยอ้างความเป็นองค์กรอิสระ อาจารย์หนุ่มผู้นี้ในฐานะกรรมการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารฯ ได้ดำเนินการแจ้งความดำเนินดคีบิ๊ก สตง. มาแล้ว

มาวันนี้ ดร. วรเจตน์ เฝ้าดูสงครามภายในสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) มานาน ก่อนเปิดฉากสนทนา แบบม้วนเดียวจบ พร้อมชี้ทางออกจากวิกฤตอย่างตรงไปตรงมา โดยไม่ดูหน้าว่า จะเข้าทาง คุณหญิงเป็ด หรือ นายพิศิษฐ์ หรือไม่ อย่างไร ?

อ่านบทสัมภาษณ์ต่อไปนี้ แล้วคุณจะพบว่า หลักกฎหมายคืออะไร หลักกูคืออะไร ?

@ กรณีผู้ว่าการสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ในทางกฏหมาย จะหาทางออกได้อย่างไร

ผมคิดว่าเรื่องนี้ต้องดูจากเหตุรากเหง้า(ครับ) เพราะตอนนี้เราไปดูที่ตัวตำแหน่งผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน จริงๆเรื่องในสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ก็เป็นปัญหามายาวนาน เมื่อหลายปีก่อน มีประเด็นที่เป็นปัญหาเรื่องกระบวนการสรรหาเข้าสู่ตำแหน่งของคุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญและกฎหมาย กระทั่งมีการยื่นเรื่องไปที่ศาลรัฐธรรมนูญ

ครั้งนั้น มีคนถามผมว่า คุณหญิงจารุวรรณพ้นจากตำแหน่งหรือไม่ ผมบอกว่าเมื่อดูจากคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ ศาลรัฐธรรมนูญเพียงแต่วินิจฉัยว่ากระบวนการสรรหาไม่ชอบด้วยกฎหมาย แต่ไม่ได้มีการเพิกถอนการแต่งตั้งคุณหญิงจารุวรรณ ดังนั้นจึงยังถือไม่ได้ว่าคุณหญิงจารุวรรณพ้นจากตำแหน่ง นอกจากนี้ยังปรากฏว่ากระบวนการเสนอเรื่องเข้าสู่การวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในเวลานั้น ไม่ต้องด้วยบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญด้วย ผมจึงได้ให้ความเห็นไปเช่นนั้น ซึ่งตอนนั้นก็มีหลายคนว่าผมว่าไปเข้าข้างคุณหญิงจารุวรรณ แต่ผมบอกว่า ผมไม่ได้สนใจตัวคนว่าเป็นใคร แต่ผมพูดไปจากหลักวิชาที่ผมได้ศึกษามา พูดจากหลักกฎหมายที่ว่าด้วยการสิ้นผลของคำสั่งทางปกครอง ซึ่งคำตอบมันจะตรงใจคนหรือไม่ ใครจะชอบ ใครจะชัง ผมไม่สนใจอยู่แล้ว

มาถึงปัญหาวันนี้ ต้องเข้าใจว่า ในสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินมีความขัดแย้งกันตั้งแต่คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน (คตง.) ชุดเดิม กับคุณหญิงจารุวรรณ ความขัดแย้งก็ดำรงอยู่เรื่อยมา จนในที่สุดก็จบลงแบบไม่ถูกต้องตามหลักการ เมื่อมีการทำรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 โดย คปค.(คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข) ยึดอำนาจและจะเห็นได้ว่าในช่วงเวลานั้นคุณหญิงจารุวรรณเข้าไปพบกับ คปค.ด้วย

ต่อมา คปค.ก็ออกประกาศฉบับหนึ่ง ให้คตง. พ้นจากตำแหน่งทั้งคณะ แล้วให้ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินคือคุณหญิงจารุวรรณ สามารถใช้อำนาจในฐานะเป็น คตง. ได้ด้วย คือ คนๆเดียว ใช้อำนาจทั้งในตำแหน่งผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน และคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดินพร้อมกัน ใครสนใจเรื่องนี้ไปดู ประกาศคปค.ฉบับที่ 12 และ 29 ได้

เบื้องต้นที่เห็นประกาศนี้ ผมก็รู้สึกว่า คนเขียนประกาศคิดอะไร เขียนอย่างนี้ได้ยังไง ไม่รู้ใครเป็นคนเขียน คือ คุณให้คนๆเดียวใช้อำนาจเป็นคณะกรรมการ กลายเป็นว่า คนๆ เดียวมีอำนาจล้นฟ้า เพราะโดยโครงสร้างเขาแบ่งคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดินกับผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินแยกกัน มีอำนาจแตกต่างกัน แล้วคณะกรรมการประกอบไปด้วยคนหลายๆ คน แต่บัดนี้ พอคุณยึดอำนาจ คุณยุบคณะกรรมการนั้น แล้วให้คนๆ เดียวคือ คุณหญิงจารุวรรณเป็นทั้งคตง.และผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน กุมอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดในงานการตรวจเงินแผ่นดินของประเทศ นี่มันผิดหลักการที่ปรากฏในพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการตรวจเงินแผ่นดิน

ผมเคยให้สัมภาษณ์ไปแล้วว่า มันผิด ทำอย่างนี้ไม่ได้ ในเชิงโครงสร้างกฎหมายก็ผิด คือต้องหาวิธีการในการที่จะให้กระบวนการมันเป็นไปลักษณะอื่น จะใช้วิธีคิดแบบนี้ไม่ได้ แต่นี่สะท้อนวิธีคิดอำนาจนิยม คือ แปลว่า ยึดอำนาจแล้วจะทำอะไร ทำได้หมด ออกอะไรมาให้เป็นกฎหมาย มันก็เป็นทั้งนั้น ผิดเพี้ยนในทางหลักการยังไง มันก็เป็นแบบนี้ แล้วก็สร้างปัญหาต่อเนื่องมา เพราะพอคนๆ เดียวมีอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ก็กลายเป็นว่าใช้อำนาจในทั้งฐานะที่เป็นคณะกรรมการด้วย และในฐานะผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินด้วย โดยที่ไม่มีระบบของการถ่วงดุลอำนาจ แล้วพอทำรัฐธรรมนูญใหม่ คนๆเดียวนี้ก็ยังเข้าไปใช้อำนาจเป็นกรรมการสรรหาวุฒิสมาชิกอีก นี่คือปัญหาตั้งแต่แรก

ฉะนั้น เบื้องต้น รากเหง้าของปัญหานี้ ต้องย้อนกลับไปที่รัฐประหาร 19 กันยา และตัวประกาศคปค. ที่ไปทำให้อำนาจมันรวมศูนย์อยู่ที่คนๆ เดียว นี่คือจุดที่ผิดอย่างมาก แต่ตอนนั้นกระแสคนดีหรือคนที่ออกสื่อและสังคมเห็นภาพจากสื่อและคิดว่าเป็นคนดีมาแรง ไม่รู้ว่ากระแสแบบนี้จะแรงไปเรื่อยๆหรือไม่ แต่ผมจะบอกว่าสังคมจะต้องเรียนรู้ แต่บางที่การเรียนรู้มันก็มีราคาที่ต้องจ่าย

กลับมาว่า แล้ววันนี้คุณหญิงจารุวรรณพ้นหรือไม่พ้นจากตำแหน่ง คือ ตัวประกาศ คปค.ฉบับที่ 29 เขาให้พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการตรวจเงินแผ่นดิน มีผลบังคับต่อไป เว้นแต่บทบัญญัติในส่วนที่ 1 หมวด 1 คือ ส่วนที่ว่าด้วยการแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดินและอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน แต่บทบัญญัติอื่นๆยังคงใช้บังคับต่อไป

ฉะนั้น บทบัญญัติว่าด้วยคุณสมบัติของการเป็นผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน ไม่ได้ถูกยกเว้นด้วยตามประกาศคปค. นั่นแปลว่า ใครก็ตามที่เป็นผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน ซึ่งอาจจะไม่ใช่คุณหญิงจารุวรรณก็ได้ อาจจะเป็น นาย ก. นาย ข. ก็ได้ จะได้คิดแบบภาวะวิสัย ไม่ต้องดูหน้าคน ใครก็ได้เป็นผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน แล้วดำรงตำแหน่งอยู่ตามประกาศคปค. ย่อมจะต้องมีคุณสมบัติครบถ้วนตามที่กฎหมายกำหนด ขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามในการดำรงตำแหน่งเมื่อใด ก็ต้องพ้นจากตำแหน่งเมื่อนั้น

ลองคิดตามธรรมดาว่า ถ้าคนๆ นั้นเขาเกิดตายลง ถามว่าเขาจะพ้นจากตำแหน่งหรือไม่ คือ โดยสภาพก็ต้องพ้นจากตำแหน่ง จะตีความยังไงก็ตาม ก็ต้องตีความว่าพ้น เพราะคนได้ตายไปแล้ว เว้นแต่จะคิดว่าประกาศ คปค.ให้เอาวิญญาณทำงานต่อ นั่นก็คงไม่ใช่การตีความกฎหมายที่บุคคลซึ่งมีสติสัมปชัญญะบริบูรณ์จะเข้าใจได้ หลักการอันเดียวกันนี้ก็ใช้กับกรณีที่ผู้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินไม่มีสัญชาติไทยอีกต่อไป หรือไปดำรงตำแหน่งที่เห็นได้ชัดว่าขัดกับหลักการห้ามขัดกันของตำแหน่งหน้าที่ เช่น ไปเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ไปเป็นวุฒิสมาชิก ไปเป็นผู้พิพากษา ตุลาการ หรือไปเป็นภิกษุ สามเณร นักพรต นักบวช เหล่านี้ล้วนแล้วแต่ถือว่าขาดคุณสมบัติและทำให้ต้องพ้นจากตำแหน่งทั้งสิ้น นี่รวมทั้งกรณีที่ผู้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินเกิดวิกลจริตหรือจิตฟั่นเฟือนไม่สมประกอบด้วย

ดังนั้นกรณีที่อายุครบหกสิบห้าปีบริบูรณ์ซึ่งเป็นกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องพ้นจากตำแหน่งจึงเป็นกรณีที่ชัดเจนจนแทบจะไม่ต้องตีความอะไรอีก ประเด็นนี้จึงไม่ใช่เรื่องยาก ผมว่านักกฎหมายส่วนใหญ่เห็นประเด็นนี้ตรงกันหมด แม้จะมีใครอ้างประกาศ คปค.อย่างไรก็ตาม ประกาศ คปค.เองก็ยอมให้พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการตรวจเงินแผ่นดินฯ ใช้บังคับต่อไป ซึ่งรวมถึงบทบัญญัติเรื่องคุณสมบัติที่ได้กล่าวมาแล้ว แล้วถ้าใครเกิดอ้างรัฐธรรมนูญ มาตรา 301 ที่บัญญัติว่าในระหว่างที่ยังไม่มีคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน ให้ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินเป็นผู้ใช้อำนาจหน้าที่แทนประธานกรรมการตรวจเงินแผ่นดินและคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน คนอ้างก็ต้องเข้าใจด้วยว่าผู้ที่จะใช้อำนาจดังกล่าวได้จะต้องเป็นผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินที่ไม่ขาดคุณสมบัติ เพราะถ้าขาดคุณสมบัติเสียแล้ว ก็ไม่ใช่ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน ในกรณีเช่นนี้ผมเห็นว่าผู้ที่รักษาราชการในตำแหน่งผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินย่อมเป็นผู้ที่ทรงอำนาจตามกฎหมายที่จะใช้อำนาจในฐานะเป็นผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินได้

จริงๆ คำตอบของกรรมาธิการที่ปรึกษากฎหมายของประธานวุฒิสภาที่ตอบไปคราวแรกว่าคุณหญิงจารุวรรณต้องพ้นจากตำแหน่งผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน ก็ตอบถูกแล้ว และมีการแจ้งกลับไปยัง สตง.อย่างเป็นทางการด้วย แต่คราวหลังกลับมาเปลี่ยนโดยตอบใหม่ว่าไม่พ้น ผมก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมกลับไปกลับมาแบบนี้

จริงๆแล้ว เรื่องอายุเป็นคุณสมบัติเฉพาะตำแหน่ง เมื่อขาดคุณสมบัติก็ต้องพ้นจากตำแหน่ง เพราะไม่อย่างนั้นมันคือการฝืนกฎหมาย อันนี้ชัดเจนจนไม่รู้จะชัดยังไง เมื่อพ้นจากตำแหน่งแล้วก็ไม่สามารถใช้อำนาจเป็นผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินได้ ไม่สามารถใช้อำนาจเป็นคตง.ได้

@เหตุผลที่สนับสนุนความชอบธรรมของคุณหญิงจารุวรรณ บอกว่า สุญญากาศก่อให้เกิดความเสียหาย มากกว่า

การอ้างว่าถ้าคุณหญิงจารุวรรณพ้นจากตำแหน่งไปจะไม่มีใครใช้อำนาจเป็น คตง.ได้ เพราะคนที่รักษาการในตำแหน่งผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน คณะกรรมการกฤษฎีกาก็ตีความว่าจะใช้อำนาจได้ก็แต่เฉพาะเรื่องที่เกี่ยวกับการบริหารทั่วไปในฐานะหัวหน้าส่วนราชการของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินและในเรื่องที่เป็นอำนาจหน้าที่ของสำนักงานตรวจเงินแผ่นดินเท่านั้น จะใช้อำนาจหน้าที่ของผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินตามรัฐธรรมนูญหรือตามกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการตรวจเงินแผ่นดินซึ่งเป็นอำนาจเฉพาะตัวของผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินที่กฎหมายกำหนดไว้ไม่ได้

เพราะฉะนั้นก็เลยพูดกันว่าคุณหญิงจารุวรรณต้องอยู่ในตำแหน่งเพื่อทำงานต่อไป เพราะงานดังกล่าว คนอื่นทำแทนไม่ได้ อันที่จริงการตีความของคณะกรรมการกฤษฎีกาในส่วนนี้ยังอาจมีเงื่อนแง่ในทางกฎหมายในถกเถียงกันได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีจำเป็นที่จะต้องมีผู้ใช้อำนาจเพื่อให้ภารกิจของรัฐบรรลุผลหรือเพื่อแก้ไขปัญหาอันมีมาเป็นฉุกเฉิน แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม แม้จะถือตามแนวทางที่คณะกรรมการกฤษฎีกาตีความ หากคนที่ดำรงตำแหน่งอยู่ขาดคุณสมบัติต้องพ้นจากตำแหน่ง คนๆนั้นก็จะเอาเหตุที่อ้างว่าถ้าไม่มีตนแล้ว งานจะหยุดชะงักมาเป็นข้ออ้างเพื่ออยู่ในตำแหน่งต่อไปย่อมไม่ได้

อุปมาเหมือนพระ วัดๆ หนึ่งมีพระอยู่รูปเดียว ชาวบ้านแถวนั้นก็ต้องนิมนต์พระรูปนี้ไปทำพิธี หรือทำบุญตักบาตร แต่ต่อมาปรากฏประจักษ์ชัดว่าพระรูปนี้ต้องอาบัติปาราชิก ต้องขาดจากความเป็นพระ แต่พระบอกว่าถึงจะยังไงก็ตามถ้าไม่มีพระรับกิจนิมนต์ เดี๋ยวญาติโยมจะเสียหาย เพราะฉะนั้น อาตมาก็ขอรับกิจนิมนต์ต่อไปจนกว่าจะมีพระรูปใหม่มาประจำที่วัดนี้ ถามว่ามันจะได้หรือไม่ กรณีก็คล้ายกัน แม้ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นจะไม่ใช้เรื่องที่คุณหญิงจารุวรรณไปกระทำการอันต้องห้ามทำให้พ้นจากตำแหน่ง แต่เรื่องอายุครบหกสิบห้าปีบริบูรณ์ผลในทางทางกฎหมายก็ไม่ได้ต่างกัน ก็คือต้องพ้นจากตำแหน่ง ดังนั้นจะอ้างเหตุอื่นใด หรืออ้างความปรารถนาดีใดๆมาเพื่อครองตำแหน่งต่อไปไม่ได้

คือเรื่องนี้สภาพมันไม่ได้ต่างกัน ในทางกฎหมายผมไม่ได้ดูว่าเป็นคุณหญิงจารุวรรณหรือเป็นใคร ผมสนใจว่าเรื่องนี้ทางกฎหมายเป็นยังไง แต่บังเอิญเมื่อพูดเวลานี้ก็ต้องกระทบคุณหญิงจารุวรรณ ก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ครับ เพราะไม่อย่างงั้นก็แปลว่า วันนี้ประเทศไทยไม่มีคุณหญิงจารุวรรณ คือ ไม่ได้เลยใช่มั๊ย หมายความว่า คุณหญิงจารุวรรณจะต้องดำรงอยู่ตลอดเพื่อจะทำให้มี คตง.ใช้อำนาจ มันต้องถึงขนาดนั้นเชียวหรือ ไม่ใช่หรอกครับ เพราะฉะนั้น เมื่อถึงจุดที่จะต้องพ้น ก็คือ ต้องพ้น มันไปเหนี่ยวรั้งอะไรไม่ได้ ทุกอย่างมันเป็นหัวโขน ต้องไปตามเวลาของมัน (ครับ)

@ ทราบว่า อาจารย์มองเห็นทางออกจากวิกฤต เสือ 2 ตัวในถ้ำเดียวกัน

ผมมีข้อสังเกตในข้อกฎหมาย เป็นประเด็นที่คนในสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินอาจจะต้องไปคิดดู คือ คุณหญิงจารุวรรณเป็นคนตั้งรักษาการผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินเอาไว้ก็คือ คุณพิศิษฐ์ ลีลาวชิโรภาส การแต่งตั้งคุณพิศิษฐ์จะมีปัญหาความชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เป็นปัญหาหนึ่ง หากยังไม่มีการยกเลิกหรือเพิกถอนคำสั่งดังกล่าว ในทางกฎหมายก็ต้องถือว่าคุณพิศิษฐ์ ทรงอำนาจในฐานะที่เป็นผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน เพราะเป็นรักษาการผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน คือ ตำแหน่งที่เป็นองค์กรเดี่ยวแบบนี้จะมีคนใช้อำนาจ 2 คนไม่ได้ ต้องมีคนเดียว เพราะไม่อย่างนั้น ถามว่าในสตง. จะบังคับบัญชากันยังไง เจ้าหน้าที่ต้องเชื่อฟังคำสั่งใคร

เมื่อถามผม ก็ต้องบอกว่า เจ้าหน้าที่ก็ต้องปฏิบัติตามการสั่งการที่ชอบด้วยกฎหมายของคุณพิศิษฐ์ เพราะว่าคุณพิศิษฐ์ได้รับการแต่งตั้งตามการแต่งตั้งให้เป็นรักษาราชการผู้ว่าตรวจเงินแผ่นดิน แล้วคำสั่งอันนี้ยังไม่ได้ถูกยกเลิกหรือเพิกถอนไป

หากดูในหนังสือเวียนการกลับมาทำหน้าที่ของคุณหญิงจารุวรรณถามว่ากลับมายังไง เพราะว่าคำสั่งตั้งรักษาการยังอยู่ อำนาจยังอยู่ที่คุณพิศิษฐ์ แล้วยังไม่มีการเพิกถอนการตั้งรักษาการนั้น การกลับมาเป็นการกลับมาลอยๆ ไม่มีฐานอำนาจใดในทางกฎหมายรองรับ แต่ถ้าหากสมมติว่าคุณหญิงจารุวรรณเกิดออกคำสั่งยกเลิกหรือเพิกถอนคำสั่งตั้งผู้รักษาราชการแทนผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน กรณีก็จะมีปัญหาอีกว่าคำสั่งดังกล่าวไม่สามารถใช้ได้ในทางกฎหมาย เพราะสั่งโดยผู้ที่ไม่มีอำนาจ เพราะบัดนี้คุณหญิงจารุวรรณอายุครบหกสิบห้าปีบริบูรณ์แล้ว และพ้นจากตำแหน่งไปแล้วนั่นเอง

หากคุณหญิงจารุวรรณเกิดสั่งการอะไรไป คนที่รับคำสั่งหรือรับผลกระทบจากการสั่งการนั้นย่อมสามารถนำคดีไปฟ้องศาลปกครองได้ ซึ่งประเด็นสำคัญที่ศาลปกครองจะต้องพิจารณาก็คือตกลงคุณหญิงจารุวรรณเป็นเจ้าหน้าที่ผู้ทรงอำนาจตามกฎหมายที่จะออกคำสั่งได้หรือไม่

@ แล้วคนในองค์กร จะฟังใครดี (ล่ะ)

แน่นอนอาจจะมีคนถามว่าแล้วถ้าเกิดมีการยกเลิกหรือเพิกถอนคำสั่งตั้งผู้รักษาการในตำแหน่งผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินจริง เจ้าหน้าที่ในสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินจะต้องปฏิบัติตามคำสั่งใครระหว่างคุณพิศิษฐ์กับคุณหญิงจารุวรรณ คำตอบอันหนึ่งที่คนในสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินต้องคิดก็คือ หน่วยงานของรัฐหน่วยงานอื่นที่มีปฏิสัมพันธ์กับสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินถือว่าใครเป็นผู้ทรงอำนาจในตำแหน่งผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน

อย่าลืมว่าคณะกรรมการกฤษฎีกาได้มีความเห็นในเรื่องนี้มาแล้ว แม้ความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาอาจจะไม่ผูกพันสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน แต่ก็มีผลสำหรับแนวทางการปฏิบัติราชการของหน่วยงานในบังคับบัญชาและกำกับดูแลของคณะรัฐมนตรี เมื่อพิจารณาจากทางปฏิบัติในเรื่องนี้แล้ว ย่อมจะเห็นได้ว่าหน่วยงานที่ให้คำปรึกษากฎหมายกับรัฐบาลเห็นว่าผู้ที่มีอำนาจกระทำการแทนสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน คือ คุณพิศิษฐ์ ไม่ใช่คุณหญิงจารุวรรณ

ดังจะเห็นได้จากการที่คณะกรรมการกฤษฎีกาไม่ได้พิจารณาหนังสือถอนเรื่องที่ขอหารือไป ที่ส่งไปภายหลังโดยคุณหญิงจารุวรรณ ถ้าหน่วยงานในบังคับบัญชาและกำกับดูแลของคณะรัฐมนตรีถือปฏิบัติตามความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกา ก็จะทำให้การอ้างอำนาจในตำแหน่งผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินของคุณหญิงจารุวรรณไม่มีผลใดๆ นี่ยังไม่ต้องพูดถึงความเห็นของนักวิชาการอีกหลายคน ไม่ใช่ผมคนเดียวที่ออกมาพูดก่อนหน้านี้ว่าคุณหญิงจารุวรรณพ้นจากตำแหน่งแล้ว

อีกประเด็นหนึ่งที่มักจะมีการอ้างกัน ก็คือ มักจะอ้างกันว่าการกระทำของคุณหญิงจารุวรรณย่อมมีผลใช้ได้ในทางกฎหมาย โดยการอ้างมาตรา 19 แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครองฯ ที่ว่า ถ้าปรากฏภายหลังว่าเจ้าหน้าที่หรือกรรมการในคณะกรรมการที่มีอำนาจพิจารณาทางปกครองใดขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามหรือการแต่งตั้งไม่ชอบด้วยกฎหมายอันเป็นเหตุให้ผู้นั้นต้องพ้นจากตำแหน่ง การพ้นจากตำแหน่งเช่นว่านี้ไม่กระทบกระเทือนถึงการใดที่ผู้นั้นได้ปฏิบัติไปตามอำนาจหน้าที่ การอ้างมาตรานี้อาจจะใช้ได้ในช่วงที่คุณหญิงจารุวรรณอายุยังไม่ครบหกสิบห้าปีบริบูรณ์และยังไม่ได้ตั้งผู้รักษาราชการในตำแหน่งผุ้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน แต่วันนี้การอ้างมาตรานี้เพื่อรองรับการกระทำของคุณหญิงจารุวรรณย่อมใช้ไม่ได้แล้ว เพราะผู้ที่จะใช้อำนาจในตำแหน่งผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินได้นั้นจะต้องมีคนเดียว

ผมจึงมีความเห็นว่าการกระทำใดๆของคุณหญิงจารุวรรณในฐานะผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินหรือผู้ปฏิบัติหน้าที่ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินหลังจากที่ตั้งผู้รักษาราชการในตำแหน่งผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินแล้วเป็นการกระทำที่ไม่ก่อให้เกิดความเคลื่อนไหวใดๆในสิทธิหน้าที่ตามกฎหมาย คือ ไม่มีผลในทางกฎหมาย และการกระทำใดๆหลังจากวันที่คุณหญิงจารุวรรณมีอายุครบหกสิบห้าปีบริบูรณ์แล้ว และปรากฏว่ามีการตั้งผู้รักษาราชการแทนผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินไว้แล้ว ที่คุณหญิงจารุวรรณกระทำในฐานะผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินหรือผู้ปฏิบัติหน้าที่ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินก็ไม่มีผลในทางกฎหมายเช่นกัน

@ ถ้ามีความเสียหายเกิดขึ้นในช่วงนี้ คุณหญิงจารุวรรณก็ต้องรับผิดชอบ ใช่หรือไม่ครับ

อันนี้ก็ตอบยากครับ ขึ้นอยู่กับว่าความเสียหายในเรื่องนั้นเกิดจากใคร อันนี้ต้องดูเป็นเรื่องๆไป แล้วจริงๆวันนี้ก็มีปัญหาเพราะว่า ทางสตง.เองก็ยอมให้คุณหญิงจารุวรรณ เข้ามาทำงาน แล้วผมก็เห็นข่าวมีการช่วงชิงซีนกันในการเปิดงานต่างๆอีก ก็เลยประหลาดว่าตกลงใครเป็นผู้แทนขององค์กร

@ รัฐบาลจะเข้าไปจัดการอะไรได้บ้างหรือไม่

ก็จะยุ่งยากอยู่ คือ ผมคิดว่าในที่สุด อาจจะต้องมีการตั้งประเด็นไปแล้วก็ฟ้องศาล ประเด็นที่จะไปฟ้องศาลก็คือว่า ถ้าคุณหญิงจารุวรรณเกิดสั่งการมา กระทบกับสิทธิหน้าที่ของบุคคล แล้วเกิดมีการบังคับตามคำสั่งนั้น คนที่รับการสั่งการของคุณหญิงจารุวรรณ ต้องเอาเรื่องนั้นไปฟ้องศาลว่า คำสั่งที่สั่งการนั้น มันใช้ไม่ได้ ขอให้ศาลเพิกถอน หรือที่ถูกต้องยิ่งกว่าคือขอให้ศาลประกาศความเสียเปล่า หรือการใช้บังคับไม่ได้ของคำสั่ง เพราะผู้สั่งการไม่ได้เป็นเจ้าหน้าที่ ไม่มีอำนาจในตำแหน่ง คำสั่งนั้นไม่ใช่คำสั่งที่ออกโดยองค์กรเจ้าหน้าที่ของของรัฐ ถ้าว่ากันตามทฤษฎี อาจจะต้องถึงขนาดชี้ว่าไม่เกิดมีคำสั่งนั้นขึ้นเลยด้วยซ้ำไป

เรื่องที่ไปศาลอาจเป็นไปอีกกรณีหนึ่ง คือ เจ้าหน้าที่ของสตง.ไม่รับฟังคำสั่งของคุณพิศิษฐ์ แต่ไปฟังคำสั่งของคุณหญิงจารุวรรณ กรณีนี้คุณพิศิษฐ์ก็อาจสั่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนความผิดทางวินัย ซึ่งในที่สุดก็อาจมีเรื่องไปศาลเหมือนกัน ที่เป็นตลกเศร้าๆสำหรับคนในองค์กรนี้ก็คือจะได้คอยลุ้นกันว่าใครจะฟ้องใครยังไง และใครอยู่ในฐานะผู้ทรงอำนาจในตำแหน่งผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน

อีกประเด็นหนึ่งที่รัฐบาลอาจจะช่วยได้ก็คือ ถ้าเดินตามแนวทางของคณะกรรมการกฤษฎีกา ก็อาจจะเริ่มกระบวนการสรรหาผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินคนใหม่เลย เพียงแต่แนวทางนี้ก็อาจจะมีปัญหาอยู่บ้าง เพราะบางส่วนเห็นควรจะรอกฎหมายว่าด้วยการตรวจเงินแผ่นดินฉบับใหม่ก่อน บางส่วนก็เห็นว่าสรรหาไม่ได้จะต้องสรรหาตามกฎหมายใหม่ ซึ่งกฎหมายฉบับนี้ก็มีปัญหาอยู่ในขณะนี้ ก็พัวพันกันมานั่นแหละ ผมเห็นว่าสามารถดำเนินการสรรหาผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินคนใหม่ตามกฎหมายที่ใช้บังคับในปัจจุบันได้ อันนี้อาจจะเทียบเคียงกับกรณีรอยต่อระหว่างกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่กับกฎหมายที่กำลังจะได้รับการตราขึ้นในกรณีของการสรรหาคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) ที่เพิ่งจะกระทำไปเมื่อไม่นานมานี้ได้

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ปัดฝุ่นโรดแม็ป

ข่าวสดรายวัน
คอลัมน์ เหล็กใน

จากบรรยากาศวันแรกก็พอเดาได้ว่าการอภิปรายร่างกฎหมายงบประมาณฯ 2554 มูลค่ากว่า 2 ล้านล้าน

คงจะจบลงแบบแฮปปี้เอ็นดิ้งในหมู่พรรคร่วมรัฐบาล

ส่วนที่พรรคเพื่อไทยเคยคุยไว้ว่าการอภิปรายครั้งนี้ความดุเดือดจะระดับน้องๆ อภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลนั้น

ถึงเวลาจริงก็ไม่เป็นไปตามราคาคุยเท่าไหร่ ออกจะกร่อยกว่าปีที่ผ่านๆ มาด้วยซ้ำ

ที่เป็นอย่างนี้อาจเป็นเพราะตั้งแต่แรกสิ่งที่หลายคนสนใจไม่ได้อยู่ที่เนื้อหาการจัดทำงบประมาณ

แต่อยู่ที่ประเด็นการเมืองว่าผลจากการถูกเบรกโครงการเช่ารถเมล์ 4 พันคัน จะเป็นเหตุให้พรรคภูมิใจไทยโนโหวตร่างกฎหมายงบประมาณหรือไม่

แต่พอแกนนำพรรคภูมิใจไทยเรียงหน้าให้สัม ภาษณ์ยืนยันไม่เอาเรื่องรถเมล์มาปะปนกับเรื่องงบประมาณ นอกจากพรรคประชาธิปัตย์จะเบาใจ

ยังทำให้ฝ่ายค้านพลอยถอดใจไปด้วยเพราะอภิปรายไปก็ทำอะไรรัฐบาลไม่ได้

บรรยากาศอะไรต่างๆ เลยออกไปในแนวจืดชืดอย่างที่เห็น

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่กองเชียร์รัฐบาลเป็นห่วงก็คือหลังสภาผ่านงบประมาณแล้ว

อาจมีรายการเช็กบิลย้อนหลังกันเองตามมาถึงขั้นวงแตก

เรื่องรถเมล์ 4 พันคันยังจะเป็นเรื่องใหญ่เพราะถึงอย่างไรพรรคภูมิใจไทยจะต้องผลักดันให้สำเร็จ ไม่เช่นนั้นมีหวังรัฐบาลได้พังกันทั้งยวง

ส่วนพรรคชาติไทยพัฒนาของนายบรรหาร ศิลปอาชา ที่ดูผิวเผินเหมือนไม่มีอะไร

แต่ลึกๆ แล้วมีเรื่องแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นปมค้างคาใจกับพรรคประชาธิปัตย์มาตลอด และน่าจะออกมาเดินเครื่องอีกครั้งในระยะหลังจากนี้

ที่ต้องจับตามากที่สุดคือการย้ายพรรคของบรรดาส.ส. ที่เริ่มมีข่าวเคลื่อนไหวเข้าพรรคนั้นออกพรรคนี้กันคึกคัก พร้อมกับตัวเลขค่าตัว 30-50 ล้าน สูงสุดเป็นประวัติการณ์

ในจังหวะที่พรรคภูมิใจไทยเนื้อหอมกว่าใครเพื่อน

เมื่อนำประเด็นต่างๆ เหล่านี้รวมกับการวิเคราะห์ของพล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ประธานพรรคเพื่อไทยที่เชื่อว่าการเมืองจะมีการเปลี่ยนแปลงเร็วๆ นี้

หลายคนเลยชักจะเห็นคล้อยตาม

โรดแม็ปปรองดองที่ครั้งหนึ่งนายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เคยหยิบยกขึ้นมาล่อใจม็อบเสื้อแดง ว่าพร้อมยุบสภาเลือกตั้งใหม่วันที่ 14 พ.ย.

เริ่มมีคนเอากลับมาพูดให้ได้ยินกันอีกแล้ว

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันพฤหัสบดีที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2553

มันช่างพอเหมาะพอเจาะกันดีเสียจริงๆ??

มันช่างพอเหมาะพอเจาะกันดีเสียจริงๆ??

เลือดรักชาติรักแผ่นดินของ วีระ สมความคิด และเครือข่ายประชาชนหัวใจรักชาติช่วงนี้ดูจะกระฉูดแรงเป็นพิเศษ

โดยเฉพาะกับประเด็นปราสาทเขาพระวิหารและพื้นที่ทับซ้อน

ดูช่างเป็นช่วงจังหวะเวลาที่พอเหมาะพอเจาะกับช่วงการจะเลือกตั้ง ส.ก.-ส.ข.กรุงเทพมหานครได้อย่างพอดิบพอดีเสียจริงๆ

หลายพรรคการเมืองต่างต้องการที่จะวางฐานเสียงในกรุงเทพฯเพื่อรองรับการเลือกตั้ง ส.ส.ที่จะมีขึ้นในอีกไม่นานนี้ผ่านการเลือกตั้งท้องถิ่นทั้ง ส.ก. และ ส.ข.

สามพรรคการเมืองหลักที่ส่งผู้สมัครรับเลือกตั้ง ส.ก.-ส.ข.ลงเกือบทุกเขตใน กทม.ก็พรรคประชาธิปัตย์ พรรคเพื่อไทย และพรรคการเมืองใหม่

และก็นับเป็นครั้งแรกที่พรรคการเมืองใหม่ส่งผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ก.-ส.ข.ลงในนามพรรคเป็นครั้งแรก

ก็ขอให้การเคลื่อนไหวของ วีระ สมความคิด และพลพรรค...เป็นการเพื่อชาติ ไม่ใช่เพื่อเสียงก็แล้วกัน...สาธุ???
...........................................................................................................
ไม่น่าไปไหนรอด??

โหวตร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่าย ปี 2554 ที่หลายฝ่ายวิตกกังวลว่าอาจมีปัญหาในการลงมติจากพรรคภูมิใจไทย...เหตุเพราะรถเมล์เอ็น จี วี สี่พันคันของกระทรวงคมนาคม ที่มี โสภณ ซารัมย์ เป็นเจ้ากระทรวงถูก อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีเบรกซะหัวทิ่มหัวตำไปไม่กี่วันก่อน

ทั้ง “ปู่จิ้น” ชวรัตน์ ชาญวีรกูล มท.1 หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย และ โสภณ ซารัมย์ เจ้ากระทรวงหูกวางก็ออกมายืนยันมั่นเหมาะแล้วว่าไม่มีวันที่จะหักหลังพรรคประชาธิปัตย์อย่างเด็ดขาด

คงไม่ใช่เพราะไม่อยากถอยหลังเพราะกลัวเป็นหมา....หรือต้องการเดินหน้าเพื่อชาติ ตามสโลแกนของ บุญจง วงศ์ไตรรัตน์ มท. 2 เป็นหลักแน่

กูรูข้างสภาเขาว่า....ช่วงนี้ยังไม่บรรลุความมุ่งหมาย

ต่อให้เอาม้ามายุด เอาช้างมาฉุด....ภูมิใจไทยก็ไม่มีวันทิ้งประชาธิปัตย์ไปไหนได้

มิน่า...อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ถึงได้กล้าหักด้ามพร้าด้วยเข่าเอาดื้อๆๆ???
........................................................................................................................................
เรื่องของชมรมคนอกหัก??

ตั้งใจจะขอเป็นรัฐมนตรีเป็นวาระสุดท้ายก่อนวางมือทางการเมือง

เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานยังไม่ครบวาระก็ถูกปรับขยับออกนอก ครม.เอาดื้อๆ

ข่าวว่าช่วงกำลังซดน้ำใบบัวบกแก้ช้ำในอยู่ยามนี้ มีมือดีดอดไปเกี้ยวจะให้ ไพฑูรย์ แก้วทอง เซย์กู๊ดบายประชาธิปัตย์ ไปรวมพลคนอกหักตั้งพรรคใหม่ที่มีฐานเสียงหลักอยู่ทางภาคเหนือตอนล่าง......

เท็จจริงอย่างไร...กระซิบถามมิสเตอร์เอกซ์ดูก็ได้

ข่าวว่าจะขอเป็นพรรคขนาดเล็ก...เพื่อให้เจ๊กลากไป ไทยลากมาจะได้สะดวก???
.......................................................................................................................................................
เรื่องนี้เขมรไม่เกี่ยว

ก็ต้องขอแสดงความเสียใจต่อการเสียชีวิตโดยอุบัติเหตุเฮลิคอปเตอร์ตกที่อำเภอนาหมื่น จังหวัดน่านของ หนุ่มมหาสารคาม ดร.ศักดิ์ศิทธิ์ ตรีเดช ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม

จากอาจารย์มหาวิทยาลัยมหิดล โยกมาเป็นรองปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์ ก่อนขึ้นเป็นปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์แล้วโยกมาเป็นปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในที่สุด

ไปร่วมประชุมกรรมการมรดกโลกกับ สุวิทย์ คุณกิตติ รัฐมนตรีกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่ประเทศบราซิลมาหลัดๆ จนทำให้กรรมการมรดกโลกเลื่อนการพิจารณาการบริหารจัดการพื้นที่เขาพระวิหารออกไปอีกหนึ่งปี

เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเขมร และเขมรไม่เกี่ยวนะ

มันเกี่ยวกับอุบัติเหตุล้วนๆ อย่าพาโลเกไปกันใหญ่ล่ะ!!
...........................................................................................................................................................
ข้าราชการบำนาญเขาขอร้อง

เตรียมปรับเงินเดือนข้าราชการใหม่อีกรอบในเดือนเมษายนปีหน้า

มันก็สมควรอยู่หรอก...ก็เงินมันเฟ้อ แถมค่าครองชีพก็สูงขึ้น เงินเดือนหรือก็ไม่ได้ปรับมานานนม...นี่ถ้า “แม้วพลัดถิ่น” พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีไม่ถูกรถถังไล่บี้จนต้องหนีไปอยู่ต่างแดน ป่านนี้เงินเดือนข้าราชการก็ปรับขึ้นไปหลายรอบแล้ว

ว่าแต่ว่า.....อย่าลืมหันมามองที่ข้าราชการบำนาญด้วยก็แล้วกัน

อุตส่าห์ตรากตรำทำงานเพื่อชาติหนีพ่อค้ามาให้พระยาเลี้ยงกว่าจะพ้นพงหนามจนได้รับบำนาญก็ใช่สุขสบายกับเงินเดือนของราชการมากมายเท่าไรนัก

ปรับเงินเดือนให้ข้าราชการแล้ว ขุนคลังใหญ่ กรณ์ จาติกวณิช อย่าลืมปรับบำนาญให้คนแก่บ้างก็แล้วกัน

ปรับเงินเดือนให้ข้าราชการขึ้นห้าเปอร์เซ็นต์ ปรับบำนาญขึ้นห้าเปอร์เซ็นต์มันก็น่าจะแฟร์ดีเหมือนกันนะ

ประชานิยมก็ทำสุดลิ่มทิ่มตำมาหมดแล้ว...จะทำกับข้าราชแก่ๆตาดำๆ อีกบ้างก็ไม่เห็นจะเสียหายที่ตรงไหน??
.............................................................................................
คอลัมน์.ตอดนิดตอดหน่อยใต้ฟ้า
ที่มา.บางกอกทูเดย์

ชัยชนะที่พ่ายแพ้

โดย หนังสือพิมพ์โลกวันนี้รายวัน

ช่วง 2 วันที่ผ่านมา นายอดัม คาเฮน นักสร้างกระบวนการแก้ปัญหาความขัดแย้งระดับโลกด้วยสันติวิธี ได้เป็นวิทยากรรับเชิญที่สถาบันวิชาการป้องกันประเทศ วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร และสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ในเวทีเสวนาหัวข้อ “เราจะส่งมอบประเทศไทยแบบไหนให้ลูกหลาน” โดยได้ถอดบทเรียนความขัดแย้งระดับโลกและเสนอยุทธศาสตร์ “ห้องปฏิบัติการเพื่อการเปลี่ยนแปลง” เพื่อแก้ปัญหาให้กับสังคมไทย แม้นายคาเฮนจะออกตัวว่าไม่รู้ลึกซึ้งในสถานการณ์ความขัดแย้งของไทย แต่จากประสบการณ์ 20 ปีที่เกิดขึ้นในประเทศต่างๆ สุดท้ายก็ต้องกลับมาสู่การเจรจา หรือ “การสานเสวนา” เพื่อถอดชนวนการแตกหัก โดยทุกฝ่ายต้องพูดด้วยความเข้าใจและฟังด้วยความลึกซึ้งด้วย “อำนาจและความรัก”

ไม่ใช่ใช้อำนาจหรือการปราบปราม แต่ต้องใช้ความรักและวิธีการที่สร้างสรรค์ เพื่อให้เกิดความสมานฉันท์และสร้างพลังให้คนไทยทุกคนมีส่วนร่วมตัดสินใจอย่างเป็นเอกภาพ อย่างปัญหาในแอฟริกาใต้ที่พูดกันเล่นๆว่ามี 2 ทางเลือกคือ 1.เชิงปฏิบัติ คือให้ทุกคนคุกเข่าอ้อนวอนให้เทวทูตมาช่วยแก้ปัญหา และ 2.เชิงปาฏิหาริย์ คือต้องหาทางเดินไปร่วมกัน ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วคือการทำงานเชิงปาฏิหาริย์ ที่อาจมีถึง 100 วิธี ซึ่งต้องทำคู่ขนานกันไป ไม่ใช่พึ่งทางใดทางหนึ่ง เหมือนการมองช้างตัวเดียวกัน ถ้าร่วมกันมองทุกด้านก็จะเห็นช้างทั้งตัว

ส่วนความขัดแย้งในไทยที่มีความซับซ้อนในหลายๆด้าน นายคาเฮนยืนยันว่า การแก้ปัญหาต้องทำให้ทุกกลุ่มทุกสีมีส่วนร่วมจากความรักและอำนาจ เพราะเป็นความขัดแย้งท่ามกลางความโกรธ แบ่งข้าง และแย่งอำนาจกันอย่างชัดเจน จนไม่สามารถแก้ปัญหาได้

แม้มุมมองและประสบการณ์ของนายคาเฮนจะไม่มีสูตรสำเร็จ แต่นายคาเฮนยืนยันว่า แม้ปัญหาจะมีสลับซับซ้อนหรือลึกซึ้งอย่างไร ในที่สุดก็ต้องกลับมาที่การสานเสวนา ซึ่งถือเป็นจุดประสานระหว่างความรักและพลังที่จะขับเคลื่อนอย่างเป็นระบบจากทุกฝ่าย แม้แต่ละฝ่ายจะมีผลประโยชน์ส่วนตัวหรือพวกพ้องก็ตาม

ที่สำคัญการแก้ปัญหาต้องใช้เวลา เพราะไม่มีสิ่งวิเศษใดที่จะพัฒนาอะไรได้ในทันที กระบวนการต้องเกิดจากคนไทยด้วยกันเอง อาจใช้เวลาหลายเดือนหรือเป็นปี เพราะอนาคตประเทศไทยต้องสร้างด้วยคนไทย ไม่ใช่ฝรั่งคนสองคนหรือคณะกรรมการไม่กี่คณะ ขณะที่รัฐบาลเองก็ยังใช้ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินกวาดล้างประชาชนและนักการเมืองที่มีความเห็นแตกต่าง เหมือนคนบ้าอำนาจ แทนที่จะรู้สึกผิดชอบชั่วดีกับการทำร้ายและเข่นฆ่าประชาชน

ดังนั้น ความสงบสันติยากจะเกิดขึ้นในประเทศไทย ตราบใดที่ผู้มีอำนาจยังเต็มไปด้วยอคติและความอำมหิต แม้จะปราบปรามประชาชนได้ แต่ก็เป็นชัยชนะที่จะพ่ายแพ้ตัวเองในที่สุด เพราะการใช้อำนาจและความรุนแรงไม่มีวันจะทำให้เกิดความปรองดองและความรักจากประชาชนได้

**********************************************************************

พระวิหาร-ชายแดน-ปืนและบังเกอร์ สงคราม-ชีวิตจริงจากปากคนศรีสะเกษ

ประชาชาติธุรกิจ

บทสัมภาษณ์

ทุกหย่อมหญ้ามีการหารือ-ถกถาม กระแส "เขาพระวิหาร"

ทุกฝ่าย ทุกขบวน ได้เสนอทางออก ทางแยก ระหว่างไทย-กัมพูชา

ทั้งคนที่กรุงเทพฯ-ทั้งคนในฝรั่งเศส ถึงกรรมการมรดกโลก ต่างชี้ทางออก

ทุกฝ่ายมีเอกสาร หลักฐาน ประวัติศาสตร์ ประกอบการพิจารณา

ฟังจากปากคนในพื้นที่ริมขอบปราสาทพระวิหาร ย่านชายแดน จ.ศรีสะเกษ ในฐานะ ส.ส. เพื่อไทยและกรรมาธิการต่างประเทศ "ธเนศ เครือรัตน์" เสนอทางออก

- กรณีปราสาทพระวิหารคนในพื้นที่มีกระแสชาตินิยมหรือไม่

คนศรีสะเกษก็รักแผ่นดินกันทุกคน แต่เรื่องปราสาทพระวิหารมีการตัดสินมาตั้ง 40 กว่าปีมาแล้ว ศาลก็ตัดสินไปแล้ว ในเมื่อศาลตัดสินไปแล้ว ก็ผ่านมาแล้ว แต่ทำยังไงจะให้เราใช้ประโยชน์ร่วมกัน ทำยังไงจะมีการค้าชายแดนเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นยุทธศาสตร์จังหวัด

- ความทรงจำในท้องถิ่นมีความขัดแย้ง อยากเอาคืนปราสาทหรือไม่

ไม่มีความคิดอย่างนั้น เพราะเมื่อก่อนประชาชนที่จะไปเที่ยวปราสาทเขาพระวิหารก็มาขึ้นที่ฝั่งไทย แล้วมีการเก็บเงิน ค่าผ่านทางขึ้นไป โดยในสมัยรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณก็มีการเก็บค่าผ่านทางขึ้นไปแล้วเอาเงินมาแบ่งกับฝ่ายกัมพูชา

ผมคิดว่าคนศรีสะเกษต้องการเห็นภาพแบบนั้นมากกว่าการถือปืนเอาบังเกอร์มาตั้ง ผมบอกตรง ๆ ประชาชนบริเวณชายแดนไม่ว่าไทยหรือกัมพูชาเขาก็ไปมาหาสู่เป็นพี่น้องกัน มีญาติอยู่ฝ่ายกัมพูชา เราไม่มีความรู้สึกว่าเป็นศัตรูกัน

สิ่งที่อยากจะบอกไป ไม่ว่าจะเป็นการเคลื่อนไหวของกลุ่มไหน ก็ไม่อยากให้ไปเคลื่อนไหวบริเวณชายแดน เพราะอาจจะมีการปะทะตามมา นำมาสู่การเสียชีวิตอย่างมโหฬารของคนในพื้นที่

กลายเป็นว่าคนที่อื่นมาทำให้คนท้องถิ่นเดือดร้อน เวลามีการปะทะกันก็เป็นชาวบ้านที่เจ็บ ไม่ใช่การปะทะระหว่างคนเสื้อแดงกับเสื้อเหลือง และประชาชนแถวนั้นก็มีคนพิการเยอะอยู่แล้วเพราะเหยียบกับระเบิด ระหว่างทำไร่ทำนาก็เจอระเบิดบ้าง บางคนก็พิการกันอยู่ ไม่ต้องการสงครามอีก เกลียดสงครามไปเลย เขาก็เข็ดหลาบกับสงคราม

- ในฐานะเป็น ส.ส.ศรีสะเกษและเป็นกรรมาธิการการต่างประเทศได้เสนออะไรไปกรณีปราสาทพระวิหาร

ได้มีมติของคณะกรรมาธิการไปแล้วว่า จะให้ตั้งเป็นคณะกรรมาธิการวิสามัญขึ้นมาศึกษาและแก้ปัญหากรณีปราสาทพระวิหารและกรณีพื้นที่ทับซ้อน หรืออาจจะตั้งกรรมการขึ้นมา โดยให้มีอายุยาวไปจนถึง ปีหน้า ไม่ว่าสภาจะหมดวาระลงเมื่อไหร่ เพราะว่าปีหน้าเป็นปีที่จะต้องมีรัฐบาลใหม่เข้ามารับช่วงต่อ ซึ่งอาจจะเป็นรัฐบาลไหน ก็ยังตอบไม่ได้

ถ้าเป็นกรรมการชุดที่ทางรัฐบาลหรือ นายกรัฐมนตรีตั้งขึ้นมาคิดว่าจะสูญเสียความเป็นกลาง จึงอยากได้คณะกรรมการที่เป็นกลางประกอบจากหลายส่วน เช่น ส.ส. ส.ว. กรรมการสิทธิมนุษยชน นักวิชาการ หรือผู้ที่อยู่ในคณะกรรมการเจบีซี หรือผู้เชี่ยวชาญกรมแผนที่ทหาร

คนศรีสะเกษอยากให้เปิดจะได้มีคน ต่างชาติมา หรือนักท่องเที่ยวมาเที่ยวชมปราสาทพระวิหาร

- ขณะที่ในกรุงเทพฯมีความคิดแบบชาตินิยมแต่ในพื้นที่ศรีสะเกษบรรยากาศเป็นอีกแบบ

ผมไม่อยากให้รัฐบาลมาโหนกระแสชาตินิยมตอนนี้ ผมเข้าใจว่าขณะนี้กำลังโหนกระแสชาตินิยมอยู่ คือผมอยากให้คิดถึงหลักของความเป็นจริงแล้วมาหา วิถีทางออกว่าจะทำอย่างไรให้เกิดประโยชน์สูงสุดเหมือนที่เคยเป็นมา

คนในพื้นที่ไม่ใช่ว่าเขาไม่รักประเทศไทย แต่เขาเห็นว่าศาลได้ตัดสินไปแล้ว ทำอย่างไรที่จะมาใช้ประโยชน์ร่วมกัน แต่ในส่วนพื้นที่ทับซ้อน การปักหลักเขตแดนก็ต้องว่ากันไป เป็นเรื่องเทคนิค อันนี้เราไม่ยอมอยู่แล้ว แต่ผมคิดว่าทางที่ดีที่สุดตอนนี้คือต้องเจรจา แต่สำคัญว่าเขาจะยอมเจรจากับเราหรือเปล่า เราต้องคุยกัน แต่ถ้าเราใช้ลัทธิคลั่งชาติบอกว่า ถ้ารุกล้ำอธิปไตยแล้วจะใช้กำลังทหาร ผมคิดว่าวิธีการแบบนี้รังแต่จะเกิดสงคราม

- มิติความสัมพันธ์ทางการค้าชายแดน เป็นอย่างไรบ้าง

ในช่วงเหตุการณ์ปกติ ก็มีการค้า โดยเฉพาะที่ช่องสะงำ จ.ศรีสะเกษ เป็นจุดผ่านแดนถาวร มีการค้าบริเวณชายแดน ปีหนึ่งนับพันล้าน ก็เกรงว่าจะกระทบ และส่วนตัวได้ยินข่าวว่า จ.สระแก้ว เริ่มมีผลกระทบการค้าและความสัมพันธ์แล้ว

ในปี 2551-2552 เฉพาะช่องสะงำ จ.ศรีสะเกษ ช่องเดียวปีหนึ่งมีการค้าร่วมพันล้าน แตˆ็คงต้องลดลง เพราะการเข้าออกลำบากขึ้น เพราะอยู่ถัดไปจากปราสาทพระวิหารไป 1 อำเภอ - จากข้อขัดแย้งบริเวณปราสาทพระวิหารจุดเดียว

ตอนนี้กลายเป็นปัญหาระหว่างประเทศไปแล้ว ไม่ใช่จุดเล็ก ๆ จุดนั้นไปแล้ว ทางกัมพูชาเองก็สร้างกระแสชาตินิยมในส่วนกัมพูชาเอง ของเราก็มาโหนกระแสชาตินิยม ผมก็คิดว่าไม่ใช่ทางแก้ปัญหา และทางกัมพูชาก็เอาเจ้าหน้าที่ยูเนสโกเข้ามาดูใน พื้นที่หลายครั้งแล้ว ส่วนยูเอ็นก็เข้ามาแล้ว

- มีการสร้างถนนของทางกัมพูชาในบริเวณนั้น

ในเอ็มโอยูปี 2543 ข้อ 5 ห้ามเปลี่ยนแปลงภูมิประเทศในบริเวณนั้น ผมเคยถามกระทรวงการต่างประเทศกรณีการสร้างถนนของฝ่ายกัมพูชา ได้รับคำตอบว่า กระทรวงการต่างประเทศจะประท้วงไปเรื่อย ๆ พอประท้วงกัมพูชาก็หยุดสร้าง แป๊บหนึ่ง แล้วเขาก็สร้างต่อ จนไป ๆ มา ๆ ถนนเสร็จไป 2 สาย ขึ้นมาถึงปราสาทพระวิหารได้

กระทรวงการต่างประเทศหรือฝ่ายความมั่นคงมีวิธีการอย่างอื่นไหม เพราะตอนนี้มีวัด มีถนน จะไปทำสงครามก็ลำบากแล้ว ทำสงครามได้ ถ้ารัฐบาลยอมรับความสูญเสียที่จะตามมา

- ทางออกที่เป็นไปได้ในสายตาคนพื้นที่คืออะไร

มีทางออกเดียวคือเจรจา สร้างความสัมพันธ์ที่ดี ส่งนักการทูต ส่งเอกอัครราชทูตเรากลับไปก่อน สร้างความสัมพันธ์ ให้เป็นระดับปกติก่อน แล้วอย่างอื่นค่อยว่าทีหลัง โดยส่วนตัวไม่คิดว่าการสร้างสงครามจะแก้ปัญหา

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

"อดัม คาเฮน" ถอดชนวนการแตกหัก ผนึก "อำนาจ -ความรัก" กฎสำคัญ 7 ประการ

ประชาชาติธุรกิจออนไลน์

วันจันทร์ ที่ผ่านมา ณ วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักรมีการจัดงานเสวนาในหัวข้อ "เราจะส่งมอบประเทศไทยแบบไหนให้ลูกหลาน"โดยสถาบันเศรษฐกิจพอเพียง มูลนิธิดอกไม้และนกกระดาษเพื่อสันติภาพสถาบันรับรองมาตรฐานไอเอสโอ (สรอ.) กระทรวงอุตสาหกรรมสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทยสมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย สถานีโทรทัศน์ทีวีไทยสมาคมวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร บริษัทไทยประกันชีวิต คณะบริหารธุรกิจมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ซึ่งมีผู้เข้าร่วมกว่า 200 คน

นายอดัม คาเฮน กล่าวว่า ตลอดการทำงาน 20 ปีเพื่อถอดบทเรียนความขัดแย้งจากสถานการณ์ต่างๆ นั้น ได้พยายามหาคำตอบง่ายๆจากคำถามหนึ่ง คือเราจะแก้ไขปัญหาที่ซับซ้อนและมีความขัดแย้งที่สุดด้วยวิธีที่สันติได้อย่างไรซึ่งจากประสบการณ์ที่ผ่านมามีการลองผิดถูกมาเป็นจำนวนมากและได้พบกระบวนการเรียนรู้ต่างๆ โดยสิ่งสำคัญที่ได้เรียนรู้คือการทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้นจากประสบการณ์แล้วคะเนสถานการณ์อนาคตต่อไปว่าหลังจากนี้อาจจะเกิดอะไรขึ้นได้อีกบ้างด้วยวิธีที่เรียกว่าห้องปฏิบัติการเพื่อการเปลี่ยนแปลง

"ผมได้เริ่มทำงานในบริษัทเชลล์ซึ่งเป็นบริษัทผลิตน้ำมันรายใหญ่โดยขณะที่ร่วมทำงานนั้นเกิดปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจครั้งใหญ่ซึ่งกระทบต่อตลาดน้ำมันโดยตรงทางบริษัทจึงกลับมาคิดว่าควรทำอะไรบางอย่างเพื่อตีความสถานการณ์และแก้ปัญหาอย่างสมเหตุสมผลทั้งนี้ท้ายที่สุดแล้วได้ค้นพบว่าเราต้องตอบคำถามที่เจาะจงในเรื่องราวต่างๆที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต โดยมีเกณฑ์และความเกี่ยวโยงอย่างท้าทายและแจ่มชัด"

จากนั้นได้เข้ามาแก้ปัญหาในแอฟริกาใต้โดยประยุกต์จากแผนงานของเชลล์ ซึ่งสถานการณ์ในขณะนั้นมีความวุ่นวายเกิดการจราจล กระทั่งคนในแอฟริกาใต้ตระหนักและกังวลทั้งนี้การแก้ปัญหาในขณะนั้นมีการตั้งคณะทำงานขึ้นมาประกอบด้วยทุกภาคส่วนในสังคม อาทิ นักวิชาการ ภาคประชาชน ภาคธุรกิจนักการเมืองทั้งฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาลซึ่งทุกฝ่ายไม่ว่าจะเป็นผิวขาวหรือผิวดำก็มาร่วมกันแก้ปัญหาผ่านกระบวนการจำลองสถานการณ์ในอนาคต หรือที่เรียกว่า Scenarios

ขณะนั้นมีการตั้งคำถามกันว่าอะไรอาจจะเกิดขึ้นมาได้บ้างและจะจบประเด็นพิพาทตรงนี้ได้หรือไม่อย่างไร โดยในตอนนั้นมีการสรุปผลว่าหากเป็นรัฐบาลผิวขาวก็จะเป็นสถานการณ์นกกระจอกเทศคือรัฐบาบาลจะมุดหัวลงไปในทราย ไม่ยอมฟังอะไรแต่สุดท้ายแล้วก็จะต้องโงหัวขึ้นมาและพบกับปัญหาในที่สุด แต่หากเป็นรัฐบาลผิวดำ ก็จะกระทบต่อคนผิวขาวกระทบต่ออำนาจและเศรษฐกิจซึ่งหากพิจารณาโดยสภาพการณ์แล้วก็จะกลายเป็นเป็ดป่วย เป็ดที่ไม่พร้อมขาหักปีกหัก ซึ่งจะเหมือนอิคะเริส เทพปกรณัมของกรีกที่เอาปีกมาจากนกนางนวล แล้วติดปีกด้วยขี้ผึ้งเมื่อโดนแสงอาทิตย์ก็หลุดลงมา ไม่ประสบผลสำเร็จในที่สุด

"หากกระบวนการเปลี่ยนผ่านเร็วเกินไปก็จะไม่ได้ผลถามว่าถ้ามีรัฐบาลแล้วจะยั่งยืนหรือไม่เพราะตอนนี้รัฐบาลไม่สามารถจัดการสถานการณ์ได้และถ้าเอาเงินของคนรวยไปให้คนจน เอาเงินผิวขาวไปให้ผิวดำก็แก้ปัญหาไม่ยั่งยืนสุดท้ายทุกอย่างก็จะพังทะลายพินาศยับเยิน"

การแก้ปัญหาของเมลสันแมนดาร่ามีทั้งคนคาดการณ์ว่าสำเร็จและผิดพลาดแต่สุดท้ายแล้วจะเห็นว่าความสำเร็จที่เกิดขึ้น เริ่มมาจากการบินช้าๆอย่างมีกระบวนการ เป็นการบรรลุผลช้าๆ อย่างต่อเนื่องซึ่งแม้ว่าคณะทำงานต่างๆ จะมีความขัดแย้งไม่ลงรอยกันแต่ก็สามารถร่วมทำงานในเชิงสร้างสรรค์กันได้

"มีการพูดเล่นๆ ในตอนนั้นว่าแอฟริกามีทางเลือกสำหรับแก้ปัญหา 2 ทาง 1.เชิงปฏิบัติคือให้ทุกคนคุกเข่าอ้อนวอนให้เทวทูตมาช่วยแก้ปัญหา 2.เชิงปาฏิหาริย์คือต้องหาทางเดินไปร่วมกันซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วคือการทำงานในเชิงปาฏิหาริย์"

หลักการแก้ปัญหานั้นเมื่อพูดถึงปัญหาที่ซับซ้อน จำเป็นต้องแก้ไขเชิงพลวัตคือแม้ว่าเหตุผลจะกระจัดกระจายแต่สุดท้ายก็ยังเชื่อมโยงกันอยู่ดังนั้นต้องค่อยๆ แก้ทีละอย่าง มองการแก้ปัญหาเป็นรายประเด็นแต่ใช้วิธีการแก้เป็นองค์รวมส่วนความซับซ้อนเชิงสังคมที่เกิดความแตกต่างระหว่างบุคคลและสถานการณ์ต้องเข้าใจว่าไม่สามารถใช้กำลังมาแก้ไขได้ต้องนำผู้ที่มีส่วนได้เสียเข้ามาด้วยการใช้กระบวนการการมีส่วนร่วม

สถานการณ์ที่ไม่ซับซ้อนมากสามารถใช้ประสบการณ์จากอดีตมาศึกษาได้แต่หากมีความซับซ้อนมาก จำเป็นต้องเรียนรู้ไปเรื่อยๆต้องสร้างกระบวนการเรียนรู้ใหม่ๆ ตลอดเวลารวมทั้งต้องร่วมมือกันอย่างเป็นระบบเพราะไม่มีใครสามารถแก้ไขปัญหาด้วยตัวคนเดียวได้

" ผมมีโอกาสได้เข้าไปร่วมแก้ปัญหาในประเทศกัวเตมาราซึ่งมีสถานการณ์ความขัดแย้ง สงครามกลางเมืองซึ่งหลังจากสถานการณ์สิ้นสุดลงหลายฝ่ายมีการพูดคุยกันว่าจะบูรณประเทศอย่างไรซึ่งขณะนั้นมีการดึงทุกภาคส่วน ทั้ง ฝ่ายนักการเมือง ประชาชน นักวิชาการทหาร เข้ามาร่วมห้องปฏิบัติการเชิงสังคมมีการแบ่งกลุ่มย่อยเพื่อดำเนินกิจกรมและแลกเปลี่ยนความรู้กัน"

สิ่งจำเป็นในการแก้ปัญหาคือต้องหยั่งรู้ หรือรับรู้เชิงลึกซึ้งโดยเฉพาะกระบวนการฟังและการพูดทั้งนี้หากเปลี่ยนวิธีการฟังก็จะสามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตและผลการทำงานได้ทั้งนี้การพูดอาจจะแบ่งออกเป็น 2 ระดับคือการพูดลักษณะดึงข้อมูลออกมาพูดซ้ำๆ ซึ่งก็จะไม่มีอะไรใหม่และการอภิปราย ที่พัฒนาขึ้นแต่ก็เป็นการพูดในสิ่งที่ตัวเองอยากพูดเท่านั้นและก็จะไม่ได้สร้างสรรค์สิ่งใหม่เช่นกัน

"สองวิธีนี้เป็นเพียงการผลิตซ้ำในสิ่งที่รู้อยู่แล้วและจะได้สัจพจน์เดิมๆ ดังนั้นต้องปรับขึ้นไปอีกขั้นหนึ่งคือการสานเสวนาซึ่งไม่ใช่แค่บอกว่าตัวเองคิดอะไรอยู่แต่ต้องพยายามอธิบายให้คนฟังเข้าใจว่า ทำไมถึงคิดแบบนี้ความคิดเหล่านี้มาจากไหน ส่วนการฟังก็ต้องใส่ใจที่จะฟังในทุกรายละเอียดไม่ใช่ฟังเพื่อตัดสินว่าเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยแต่ต้องพยายามสร้างความเข้าใจว่าทำไมถึงคิดแบบนั้น"

สิ่งสำคัญคือจำเป็นต้องสร้างผัสสะร่วมให้เกิดขึ้นเพราะเมื่อทุกฝ่ายเข้าใจร่วมกันก็จะรับรู้การเปลี่ยนแปลง เข้าใจโลกเป็นส่วนหนึ่งของโลกซึ่งทำให้เปิดจิตเปิดใจเปิดโอกาสในการทำงานร่วมกันได้

แม้การสานเสวนาจะมีการพัฒนาขึ้นแต่ก็ไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ทั้งหมดตัวอย่างเช่นในกัวเตมารายังมีเอ็นจีโอที่ประกาศว่าจะไม่เข้าร่วมสานเสวนาอีกแล้วเนื่องจากรัฐบาลพยายามกดดันให้ยุติการชุมนุมประท้วงนั่นเป็นเหตุให้จำเป็นต้องกลับมาคิดว่ายังมีอะไรผิดพลาดหรือนอกเหนือการสานเสวนาเพื่อยุติปัญหา

สิ่งที่พบคือปัจจัยมูลฐานสำหรับแก้ปัญหาต้องมี 2 ประการคือ 1.ด้านจิตใจหรือ Love ซึ่งเป็นสิ่งช่วยเชื่อมประสานรอยร้าวได้ดีที่สุด2.พลังขับเคลื่อน หรือ Powerที่เป็นพลังขับเคลื่อนสรรพชีวิตให้บรรลุผลสูงสุดได้โดยทั้งสองส่วนต้องผลึกเข้ากัน ขาดส่วนใดส่วนหนึ่งไม่ได้

"ความสันติและการรับมือกับประเด็นความซับซ้อนในสังคมจะเกิดขึ้นได้จากการบวนการแก้ไขอย่างเป็นระบบ การมีส่วนร่วมจากทุกฝ่ายการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง การสานเสวนา การสร้างผัสะร่วมและการผนึกความรักและอำนาจเข้าร่วมกัน"

สำหรับปัญหาความขัดแย้งในประเทศไทยนั้น ผมเพิ่งมาถึงประเทศไทยเพียงสี่วันและคิดว่าไม่ใช่เวลาเพียงพอจะเข้าใจสถานการณ์ในเมืองไทยอย่างชัดแจ้งคงไม่เหมาะที่จะวิเคราะห์หรือให้คำแนะนำทั้งหมดแต่จากประสบการณ์จากที่อื่นๆได้ตั้งข้อสังเกตและคาดว่าสถานการณ์ของประเทศไทยมีความซับซ้อนในหลายๆด้าน และเพิ่มพูนขึ้นมา จนถึงตอนนี้ไม่ใช่แค่เรื่องเหลืองหรือแดงแต่เป็นเรื่องความหลากหลาย เราต้องเข้าใจเรื่องตัวปัญหาซึ่งความขัดแย้งระดับนี้ ไม่ใช่เรื่องที่ผู้คุมกำลังผู้มีอำนาจหรือนักวิชาการมาแก้ปัญหาได้ง่ายๆแต่ต้องให้ทุกภาคส่วนเข้ามาร่วมกันแก้ปัญหา

"วิธีแก้ไม่ใช่ใช้อำนาจหรือปราบปรามใครคนใดคนหนึ่งแต่ต้องพยายามสร้างสรรค์กระบวรการผ่านรัฐ โดยใช้ความรักแต่ความรักก็ไม่ใช่แค่ยื่นดอกกุหลาบ แต่ต้องมีความรักเชิงสมานฉันท์สร้างความเชื่อมโยง และบรรเทาประเด็นต่างๆ ได้ไม่น้อยนอกจากนี้ยังตองสร้างเอกภาพ ยอมรับการสูญเสียที่เกิดขึ้น"

อดัมสรุปผลการสัมมนาไว้ 7 ประการ ดังนี้

1.ทราบว่าพื้นฐานที่คิดว่าจะรู้สึกในช่วงการสนทนาเบื้องต้นคุณค่าหรือค่านิยมในการพิจารณาประเด็นต่างๆ เป็นเรื่องที่ดีทราบถึงจุดเชื่อมโยงต่างๆ ได้คุยกับคนที่ไม่เคยได้คุยเลยถือเป็นประสบการณ์ที่ดีมากในการสานเสวนาซึ่งถือเป็นจุดประสานระหว่างความรักและพลังการขับเคลื่อน

2.สิ่งต่างๆ ไม่มีสูตรสำเร็จในการแก้ปัญหาจึงจำเป็นต้องศึกษาให้ละเอียดว่าการแก้ปัญหาใดสำเร็จหรือล้มเหลวและต้องสร้างการมีส่วนร่วม

3.การขยับพัฒนาการจนถึงขั้นสานเสวนา เป็นสิ่งที่เรียบง่าย แต่ไม่ง่ายปริภูมิหรือทิศต่างๆ เป็นสิ่งสำคัญในการแก้ปัญหาด้วยจะสร้างปริภูมิอย่างไร หรือสร้างสมรรถนะอย่างไร

4.ถ้ามีคนไม่อยากคุยจะทำอย่างไรจำเป็นต้องหาวิธีการกระตุ้นให้คนพูดคุยมากกันขึ้น อย่างประเทศโคลัมเบียซึ่งมีกองโจรผิดกฎหมายมาก แต่ต้องให้เขาได้รับรู้ จึงได้มีการถ่ายทอดสดและมีการเปิดสายให้พูดคุยมีกองโจรโทรศัพท์เข้ามาถามว่าต้องหยุดยิงปืนด้วยหรือไม่หากมีการร่วมสานเสวนา เราตอบไปว่า ไม่มีข้อตกลงเบื้องต้นใดๆเพียงแต่ต้องการเข้ามาพูดคุยกัน ไม่ต้องหยุดยิงก็ได้

5.การแก้ปัญหาความซับซ้อนอย่างเป็นระบบ หากบอกว่าสิ่งนี้ถูกนอกเหนือจากนี้ผิด นั้นเป็นประเด็นที่สำคัญ ต้องดึงและมองหลากหลายส่วนทั้งมุมรากหญ้าด้วย ต้องมองให้เห็นช้างทั้งตัวพร้อมๆ กันไม่ใช่มองส่วนใดส่วนหนึ่งเท่านั้น นอกจากนี้สื่อมวลชนยังช่วยผลักดันด้วย

6.ไม่เห็นด้วยเต็มที่กับประเด็นว่าต้องเสียสละผลประโยชน์ส่วนตัวเพราะประโยชน์ส่วนบุคคลไม่ใช่เรื่องที่ผิดแต่เราต้องทำงานด้วยอำนาจและความรักดังนั้นเอกภาพที่ไม่เคารพเรื่องผลประโยชน์ส่วนบุคคลก็ไม่สมบูรณ์นัก

7.ต้องใช้เวลา เพราะไม่มีสิ่งวิเศษใดที่จะพัฒนาได้ทันทีนั่นถือเป็นกระบวนการที่ใช้เวลาอย่างน้อยๆ หลายเดือนอนาคตของประเทศไทยไม่ได้สร้างด้วยฝรั่ง 2 คนแต่มาจากที่ทุกคนที่จะคงเห็นคำตอบจากตัวของท่านเอง

************************************************************************

พระเจ้าตากไม่ถูกประหาร

ข่าวสดรายวัน
เก็บเรื่องมาเล่า
ชนา ชลาศัย

พระราชพงศาวดารแทบทุกฉบับระบุตรงกันว่า วันเสาร์ แรม 9 ค่ำ เดือน 5 หรือวันที่ 6 เม.ย.2325 เป็นวันสวรรคตของพระเจ้าตากสินมหาราช

ยกเว้นจดหมายของบาทหลวงฝรั่งเศสบันทึกว่าเป็นวันที่ 7 เม.ย. และจดหมายเหตุโหรซึ่งยอมรับกันว่ามีความแม่นยำสูง กลับบันทึกว่าเป็นวันพุธ แรม 13 ค่ำ เดือน 5 หรือวันที่ 10 เม.ย.2325

นั้นเป็นตัวอย่างหนึ่งของความคลาดเคลื่อนในการบันทึกประวัติศาสตร์

แต่ก็คงจะสำคัญน้อยกว่าความคลุมเครือที่ว่าพระเจ้าตากสินไม่ได้ถูกประหารชีวิต ทว่าทรงหนีไปผนวชที่จ.นครศรีธรรมราช และสิ้นพระชนม์ที่นั่น

"ศิลปวัฒนธรรม" ฉบับเดือนส.ค.นำเรื่องพระเจ้าตากสินขึ้นปกอีกครั้ง เพื่อแกะรอยตำนานปริศนา "พระเจ้าตากฯ ไม่ถูกประหาร แต่หนีไปเมืองนครฯ" โดย ปรามินทร์ เครือทอง

ตำนานพระเจ้าตากสินไม่ถูกประหารร่ำลือมานานนมนับร้อยๆ ปี ในเชิงข่าวลือ เรื่องซุบซิบ เล่าต่อๆ กันมา กระทั่งแปรรูปตำนานเป็นนวนิยาย

ผู้เปิดประเด็นพระเจ้าตากไม่ได้ถูกประหาร (แต่มี "ตัวตายตัวแทน") เป็นคนแรก คือ พลตรีหลวงวิจิตรวาทการ ในหนังสือรวมเรื่องสั้น "ใครฆ่าพระเจ้ากรุงธน" ตีพิมพ์โดยสำนักพิมพ์เพลินจิตต์ เมื่อปี 2494 ซึ่งในปีเดียวกันนั้น ศ.ศิลป์ พีระศรี กำลังปั้นแบบจำลองอนุสาวรีย์พระเจ้าตากอยู่พอดี

ในประเด็นปริศนานี้ แม้หลวงวิจิตรวาทการจะนำเสนอในรูปแบบเรื่องแต่ง ในแนวสยองขวัญด้วยซ้ำ แต่ก็สร้างความฮือฮาในหมู่นักอ่านเป็นอย่างมาก และกลายเป็น "ความเชื่อ" อีกกระแสจนถึงปัจจุบัน

ยังมีหนังสืออีก 2 เล่มสำคัญที่ตอกย้ำตำนานพระเจ้าตากสินไม่ถูกประหารชีวิต ทั้งในเชิงนวนิยายและเรื่องเล่า

ติดตามอ่านได้ใน "ศิลปวัฒนธรรม" เล่มล่าสุด และเนื้อหาเข้มข้นอีกตอนในเล่มหน้า

***********************************************************************

จากโรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัมถึงนายอภิสิทธิ์/รัฐบาลไทย

Robert Amsterdam

เมื่อวันที่ 17 และ 18 สิงหาคม สมาชิกในรัฐบาลไทยหลายคน รวมถึงนายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายปณิธาน วัฒนายากร รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และนายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต เลขานุการรมว.ต่างประเทศได้ตอบจดหมายที่ผมได้ส่งไปในวันที่ 10 สิงหาคม โดยจดหมายฉบับนี้ผมได้ส่งไปในนามของเหยื่อซึ่งถูกสังหารจากการสลายการชุมนุมของรัฐบาลในเดือนเมษายนและพฤษภาคมที่ผ่านมา

ผมได้ส่งจดหมายฉบับนี้เพื่อทวงถามคำตอบจากคำถามหลายข้อในจดหมายที่เราได้ส่งไปเมื่อวันที่ 29 มิถุนายน โดยเนื้อความในจดหมายฉบับก่อนมีรายละเอียดที่ย้ำเตือนถึงหน้าที่ของรัฐบาลที่ต้องจัดให้มีการสอบสวนเหตุการณ์การสังหารประชาชน อันเป็นพันธกรณีของรัฐบาลไทยภายใต้สนธิสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยเรื่องสิทธิพลเรือนและสิทธิทางการเมือง (ICCPR) ขององค์สหประชาชาติที่ประเทศไทยได้ลงนามไว้ นอกจากนี้เรายังได้กล่าวถึงสิทธิของผู้ถูกกล่าวหาในการเข้าถึงและตรวจสอบหลักฐานทางคดีอย่างเป็นอิสระ

เนื่องจากมีสมาชิกของแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) หลายคนถูกจับกุมและกล่าวหาในข้อหาหาการร้าย ดังนั้นรัฐบาลไทยมีพันธกรณีภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศซึ่งบัญญัติว่าทนายและผู้ปรึกษาด้านกฎหมายของผู้ถูกกล่าวหามีสิทธิในการเข้าถึง“เอกสารรัฐบาลหรือกองทัพที่เกี่ยวข้องและครอบคลุมถึงยุทธศาสตร์ การสั่งการ คำสั่งโดยวาจาหรือที่เป็นลายลักษณ์อักษร ข่าวกรอง การละเอียดการสอบสวน หรือรายงานของผู้เชียวชาญที่เจ้าหน้ารัฐไทยใช้เตรียมการ แถลงการณ์ ในการสลายการชุมนุมของคนเสื้อแดง” นอกจากนี้เรายังได้ร้องขอเอกสารที่ระบุถึงสายบัญชาการในกองทัพซึ่งได้รับมอบหมายให้ทำการควบคุมและสลายการชุมนุมเหล่านี้ด้วย

ในช่วง 2-3 วันที่ผ่านมา รัฐบาลจงใจเพิกเฉยที่จะตอบสนองข้อเรียกร้องดังกล่าว นายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์กล่าวว่ายังไม่ได้อ่านจดหมายฉบับดังกล่าว แม้วเราได้ส่งสำเนาจดหมายฉบับดังกล่าวหลายสำเนาไปยังสำนักงานของนายกรัฐมนตรีแล้วก็ตาม แทนที่จะตอบสนองข้อเรียกร้องดังกล่าว นายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์กลับสบประมาทเรื่องส่วนบุคคลและยกเหตุผลที่หลักลอยขึ้นมาอ้างเพื่อที่จะหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบของรัฐบาลซึ่งมีหน้าที่ที่จะต้องปฏิบัติตามสนธิสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยเรื่องของสิทธิพลเรือนและสิทธิทางการเมือง ทั้งนายปณิธานและนายชวนนท์อ้างว่าสิทธิของผู้ชุมนุมเสื้อแดงไม่ได้ถูกละเมิดแต่อย่างใด แต่แทนที่จะกล่าวว่าจะปฏิบัติตามบทบัญญัติในสนธิสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยเรื่องของสิทธิพลเรือนและสิทธิทางการเมือง กับยกเอาเรื่องสถานภาพทางกฎหมายของผมซึ่งเป็นชาวต่างชาติขึ้นมาอ้าง

ผมรู้สึกผิดหวังที่รัฐบาลไทยละเลยโอกาสในการเริ่มต้นที่จะแสดงความรับผิดชอบต่อเหยื่อจากการสลายการชุมนุม และยังถอยห่างจากแนวทางการปรองดองสมานฉันท์ด้วยการเลื่อนตำแหน่งให้กับนายทหารและตำรวจที่เชื่อว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการสังหารประชาชน นายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์และคณะได้ปฎิเสธอย่างชัดเจนว่าจะปฏิบัติตามกฎหมายระหว่างประเทศที่ต้องเคารพในหน้าที่ที่จะต้องสอบสวนและดำเนินคดีกับผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเสียชีวิตของประชาชนกว่า 80 ราย

การกระทำของรัฐบาลแสดงให้เห็นถึงความพยายามในการสร้างความสับสนยุ่งยากและความไม่เต็มใจที่จะแสดงข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับคดีอันสำคัญเร่งด่วนนี้ และความพยายามที่จะหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบเป็นให้หลายคนสรุปว่าพยานหลักฐานเหล่านั้นอาจจะส่งผลให้เกิดความยุ่งยากทางการเมืองอันกระทบต่อการรักษาไว้ซึ่งอำนาจส่วนตัวของเหล่าอำมาตย์

ประชาคมโลกจะไม่เพิกเฉย หากรัฐบาลไทยละเมิดพันธกรณีของตนเองภายใต้สนธิสัญญาระหว่างประเทศอย่างสนธิสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยเรื่องของสิทธิพลเรือนและสิทธิทางการเมือง การที่รัฐบาลสหรัฐได้ประกาศสนับสนุนการดำเนินคดีอาชญากรรมสงครามในพม่าเมื่อไม่นานมานี้ ย้ำให้เห็นถึงการกระทำที่เป็นภัยของเหล่าอำมาตย์ในประเทศไทย

นี่ไม่ใช่การอภิปรายว่ารัฐบาลไทยมีหน้าที่ที่จะต้องปฏิบัติต่อพลเรือนของตนเองอย่างไร หน้าที่การสอบสวนและดำเนินคดีต่อผู้กระทำผิดนั้นได้รับการเคารพมายาวนานภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศ การไม่ดำเนินคดีแก่เหล่านายทหารและกลุ่มอำมาตย์ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ความรุนแรงนี้แสดงให้เห็นถึงความขัดแย้งกับภาพลักษณ์ที่ประเทศไทยพยายามจะรักษาเอาไว้

แผนการของรัฐบาลนี้ตั้งอยู่บนพื้นฐานของการปฎิเสธ หลีกเลียง และสร้างสถานการณ์ความตึงเครียดเพื่อเป็นข้ออ้างในการใช้อำนาจเผด็จการ ซึ่งทำให้หลายฝ่ายแสดงการคัดค้านและความกังวลในการกระทำของรัฐบาล รัฐบาลอ้างอย่างผิดๆว่าการเรียกร้องนี้เป็นการทำลายชื่อเสียงประเทศไทย ดังนั้นหากรัฐบาลอภิสิทธิ์ต้องการที่จะอ้างว่าตนเป็นตัวแทนของประชาชนไทย มีหนทางเดียวที่จะสามารถอ้างเช่นนั้นได้ คือ นายอภิสิทธิ์และคณะต้องชนะการเลือกตั้งที่อิสระและเป็นธรรม

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันพุธที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2553

โภคิน พลกุล เปิดใจครั้งแรก “ถ้าเราคิดเอาชนะคนอื่น ไม่มีวันได้ชัยชนะ และยิ่งแพ้ตัวเองไปทุกวัน"

ประชาชาติธุรกิจออนไลน์

หลังถูกเว้นวรรคทางการเมือง “ดร.โภคิน พลกุล” อดีตรองนายกรัฐมนตรี อดีตประธานรัฐสภา และอดีตรองประธานศาลปกครองสูงสุด เลือกที่จะใช้ชีวิตเงียบๆ ที่บ้านกรุงเทพและบ้านพักที่แปดริ้ว

กล่าวกันว่า ถ้า ดอกเตอร์จากฝรั่งเศส ผู้นี้ไม่หลงกลิ่นการเมือง วันนี้ เขาอาจได้นั่งเป็น ประธานศาลปกครองสูงสุด ก็เป็นได้

ล่าสุด ดร.โภคิน ปรากฏตัวบนเวทีสาธารณะในรอบหลายปี เมื่อเดินทางมาร่วมฟังและแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ในวันที่ “อดัม คาเฮน” บรรยายเรื่อง การขับเคลื่อนการส่งมอบประเทศไทยให้ลูกหลาน ที่สมาคมนักข่าว ฯ

ดร.โภคิน เขาพูดเรื่อง ทิศทางอนาคตสังคมไทย รวมทั้งชีวิต ความคิด และตัวตน ท่ามกลางกาลเวลาที่เปลี่ยนแปลงไปของนักกฎหมายมหาชน

@ ฟังข้อเสนอของ อดัม ฮาเคน แล้วเห็นทางออกจากวิกฤตความขัดแย้งบ้างไหม

ผมได้ฟังและได้อ่านหนังสือของเขา ถ้าจะเปรียบเทียบกับพวกเราเอง เราก็คงจะมีทางออกจากวิกฤตในแบบของเรา รัฐบาลเองก็ตั้งคณะกรรมการชุดต่างๆ ขึ้นมา ฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยอาจจะมองว่าสิ่งเหล่านี้ ไม่น่าจะใช่ เขาก็เสนอของเขาอีกอย่าง แต่การที่เรามีคนนอก (อดัม ฮาเคน) อย่าไปมองว่าเขาเป็นฝรั่งหรือเป็นใครมาจากไหน เขาก็เป็นคนๆ หนึ่ง ซึ่งอาจจะไม่รู้ปัญหาเรามากนัก แต่เขาก็พยายามเขามารับรู้รับทราบปัญหา ด้วยการไปคุยกับคนมากมาย รวมทั้งนายกรัฐมนตรีด้วย เพื่อฟังว่าทุกคนมองปัญหาของตัวเองอย่างไร

เขาก็พยายามหาและสร้างโมเดลในการแก้ปัญหา สร้างกระบวนการขั้นตอนในการแก้ปัญหา ซึ่งผมคิดว่าเป็นสิ่งที่น่ารับฟัง และที่ผมประทับใจเขาในแง่ปรัชญาหรือมิติในการแก้ปัญหา ก็คือ 1. เราต้องใช้สันติวิธี ไม่ใช้กำลัง อันนี้ตรงกัน 2. การแก้ด้วยสันติวิธีต้องแก้ด้วยการพูดและการฟัง เราบอกว่าก็พูดก็ฟังกันอยู่ทุกวัน แต่มันไม่ใช่แบบนั้น คือ ไม่ใช่พูดในสิ่งที่เราอยากจะพูด แต่ต้องพยายามอธิบายให้ได้ว่า ที่เราคิดอย่างนี้มันมีเหตุมีผลเพราะอะไร อย่างไร มีคำอธิบายว่า ทำไมเราถึงพูดอย่างนี้

ส่วนการฟัง ส่วนใหญ่เราก็อยากจะฟังในสิ่งที่เราอยากฟัง อะไรฟังแล้วขัดใจก็ไม่อยากฟัง แต่ผมคิดว่า เราต้องฟังในสิ่งที่เราไม่อยากฟัง เพราะในปัญหาหนึ่ง คนที่สัมผัสปัญหาและมุมมองต่อปัญหานั้น มีหลากหลายมาก เขาอาจจะสะท้อนไม่ตรงกับสิ่งที่เราคิดเลย ซึ่งคนส่วนใหญ่ก็จะปฏิเสธ บางคนมองว่าคนนี้ใช้ไม่ได้ บางคนมองว่า พวกคุณไม่มีความรู้หรือเปล่า พวกคุณชาวบ้านไปหรือเปล่า หรือชาวบ้านมองว่า พวกคุณเนี่ยอยู่ข้างบน เอะอะก็เอาอะไรก็มายัดเยียดให้ฉันตลอดเวลา คือคิดแทนกันหมด ทำไมไม่รับฟังเขาก่อน

ผมคิดว่า เป็นสิ่งไม่เสียหายสำหรับบ้านเราที่จะเรียนรู้ประสบการณ์จากเพื่อนบ้าน สิ่งไหนเห็นว่าดีเป็นประโยชน์ก็นำมาปรับใช้ แม้ขณะนี้จะมีกรรมการของรัฐบาลก็ดี หรือเป็นคณะอะไรจากไหนก็แล้วแต่ แต่วันนี้เมื่อปัญหาเป็นอย่างนี้ ยิ่งมีหลากหลายเท่าไหร่ ยิ่งทำให้เกิดการพูดจามากขึ้น

คนเรา ถ้าพูดจากันมากขึ้น ความตึงเครียดที่จะมีต่อกันก็น้อยลง ยิ่งถ้าได้พูดจากับคู่กรณี ได้มาอยู่ในเวทีเดียวกัน หลายคนบอกว่า คู่ขัดแย้งบางคนเป็นเพื่อนกันมาทั้งนั้น แต่วันนี้กลับโกรธกันเอาเป็นเอาตาย ไม่เผาผีกัน

ผมคิดว่า ถ้ามาดูเหตุการณ์แตกแยกทั้งหมดที่เกิดขึ้นในบ้านเมือง ผมยังนึกไม่ออกว่ามันเกิดจากอะไร ศาสนา เชื้อชาติ เผ่าพันธุ์ ก็ไม่มี หรือการกดขี่ข่มเหงกันอย่างในอดีตจนจำฝังใจ อย่างปัญหาภาคใต้เคยมีปัญหานี้ คนที่นับถือศาสนาอิสลามเขารู้สึกว่ารัฐไทยรังแกเขามาตลอด ตรงนี้เราก็ต้องยอมรับว่ามันมีอย่างนั้นจริงๆ แต่ก็ต้องมาดูวิธีการแก้ปัญหาของเรา ทำให้เขารู้สึกว่า เขาก็คือเพื่อนร่วมแผ่นดินอย่างเรา อยู่ร่วมกันได้ ก็ต้องพยายามทำตรงนั้น แต่วันนี้ปัญหาของเราไม่มี แต่เรากลับสร้างให้หนักกว่าปัญหาเรื่องเชื้อชาติ ศาสนา ภาษา เข้าไปอีก ซึ่งจริงๆ ไม่น่าจะมีอะไรเลย

ฉะนั้น ตรงนี้ จะว่ายากก็ยาก เพราะเหมือนมันไม่มีปัญหา แล้วมันมาได้ยังไง จะว่าง่ายก็ง่าย ถ้าคลิ๊ก พูดจากัน ฟังซึ่งกันและกัน ผมเสนอว่า ความจริงเราก็เป็นคนพุทธ อยากให้ลดอัตตาลง คือ อย่าคิดว่าเราถูก แล้วคนอื่นผิดหมด เหมือนที่ อดัมพูดว่า ทุกคนมีส่วนถูกและผิดพอๆ กัน คือ เราเป็นส่วนหนึ่งของปัญหาด้วยกัน แต่วันนี้บางคนอาจจะคิดว่า ฉันไม่ใช่ปัญหา เธอนั่นแหละปัญหา ส่วนอีกฝ่ายก็มองกลับกัน มันก็ไม่จบ

ทั้งหมดก็เพราะ พยายามจะป้องกันตัวเองมากกว่าจะเปิดเผยตัวเองออกไป ทำไมเราไม่เปิดเผยตัวเองออกไป แล้วดูคนอื่นเขาเปิดเผยตัวเองด้วย แล้วมาหาทางออกร่วมกัน ผมคิดว่าทั้งหมดไม่ใช่เรื่องกระบวนการวิธี แต่เป็นเรื่องของท่าที อันนี้สำคัญมาก ถึงมีกระบวนการที่เลอเลิศ แต่ถ้าท่าทีไม่เป็นมิตร ไม่มองอย่างอภัยและเมตตากัน อย่างอื่นทำยากหมด

@ มองปรากฎการณ์ 2 มาตรฐานในสังคมไทย อย่างไร

เมื่อก่อน เราพูดกันเรื่องความไม่เป็นธรรมในสังคม เช่น ความเหลื่อมล้ำด้านรายได้ระหว่างคนรวยกับคนจน เป็นหลัก แต่วันนี้เราพูดกันถึงเรื่องความไม่เป็นธรรมในทางบรรทัดฐานทางกฎหมาย ซึ่งเราต้องถามตัวเองก่อนว่า มันเป็นอย่างนั้นมั๊ย มันใช่อย่างนั้นมั๊ย บางอัน ผมคิดว่าไม่ต้องไปหาคำตอบ มันใช่เลย ดังนั้น ถ้าเราแก้ปัญหาเรื่องความไม่เป็นธรรมทางกฎหมายไม่ได้ มันก็จะนำไปสู่การแตกร้าวของสังคมมากขึ้นเรื่อยๆ

เพราะแต่ก่อน คนที่เขารู้สึกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมมักจะเป็นชนชั้นล่าง แต่วันนี้คนทุกระดับอาจจะโดนได้หมด เป็นเพราะว่า ความรู้สึกที่เป็นปฏิปักษ์ต่อกัน ซึ่งเราสร้างมันขึ้นมา ผมเชื่อว่า ถ้าเราเห็นภาพว่าจะทำอย่างไรให้เกิดความเป็นธรรมทางกฎหมาย มันอาจจะเป็น 100 % ไม่ได้

บางคนถามผมว่า แล้วความเป็นธรรมทางกฎหมายจะวัดจากอะไร ผมบอกว่า จริงๆ แล้วมันง่ายมาก ถ้อยคำก็มีในรัฐธรรมนูญ หรือ พระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวหลายครั้ง ก็คือ คนที่เกี่ยวพันกับกฎหมายโดยเฉพาะศาล ก็ดี หรือหน่วยงานสำคัญๆ ด้านกฎหมาย ต้องทำหน้าที่โดยปราศจากอคติ เราต้องถามตัวเอง ผมก็เคยเป็นผู้พิพากษามาก่อน

คือ ทุกคนมีอคติ โดยเราไม่รู้ตัว จะรัก ชอบ เกลียด หรืออะไรก็แล้วแต่ แต่เมื่อเรามีเรื่องใดเรื่องหนึ่งที่ต้องตัดสินใจ ที่เราต้องเสนอทางออก ทำอย่างไรเราถึงจะละ สิ่งที่เป็นอคติออกไปให้มากที่สุด ถ้าตัวเราสามารถทำได้อย่างนั้น คนที่ได้รับผลจากคำสั่งหรือคำวินิจฉัยจากเรา เขาก็จะมีความรู้สึกว่า น่าจะแฟร์ ถามว่าทำไมแฟร์ ก็เพราะดูแล้วปราศจากอคติ ซึ่งผมว่าปัญหาใหญ่อยู่ตรงนี้

ฉะนั้น ถามว่าความยุติธรรม คืออะไร ก็คือ เอาอคติออกจากตัวเองให้มากที่สุด มันก็จะมีการมองปัญหาที่รอบด้าน เที่ยงธรรมที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ถ้าเราไปบอกว่า ความยุติธรรมคือทำตามกฎหมาย คือบางทีฟังแล้วงง ผมไม่ได้มีอำนาจไปตัดสินใครทั้งสิ้น แต่เวลาเราคิดอะไรกับใคร พอเราคิดว่า เช่น เห็นนาย ก. เป็นอย่างใดอย่างหนึ่ง เราต้องมาถามตัวเองว่า ที่เราคิดว่าเขาเป็นอย่างนั้น เราเอาอคติอะไรใส่ไปหรือเปล่า หรือเราหมั่นไส้เขาหรือเปล่า ไม่ชอบเขาเรื่องนี้หรือเปล่า แล้วอย่าโกหกตัวเอง(นะ)

ถ้าเราไม่โกหกตัวเอง เรายังคิดตรงนี้อีกนิดหนึ่ง ถ้าเราเอาตรงนี้ออก เราจะมองเขายังไง เปลี่ยนไปจากเดิมไหม ซึ่งที่สุดแล้ว อย่างที่ผมบอก คือ อยู่ที่ท่าที ที่เราจะมีต่อบุคคลอื่น ถ้าเราเอาอคติทั้งหลายออกจากตัวเราให้มากที่สุด ไม่ว่าจะอยู่ในฐานะอะไร ถ้าทุกคนช่วยกันตรงนี้ หลักพุทธธรรมดาเลย(ครับ) ผมว่าน่าจะดีขึ้น

แต่วันนี้ เหมือนกับทุกคนเอาอคติเป็นมาตรฐาน เอาความชอบ ความกลัว ความเกลียด เป็นมาตรฐาน ไปตัดสินคนอื่น ตรงนี้มีสิ่งเหล่านี้อยู่ค่อนข้างมาก ถ้าเราละวาง ได้มากเท่าไหร่ เราก็จะเห็นว่ามันอาจจะไม่ได้เป็นอย่างที่เราคิดก็ได้

@ จะแก้ปัญหาเรื่อง 2 มาตรฐานในสังคมไทยได้อย่างไร

ก็ตอบยาก(นะ) มันอยู่ที่วิธีมองปัญหาของเรา แต่ที่ผ่านมาเราก็มองว่าปัญหาประเทศไทย ต้องแก้ด้วยการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เขียนรัฐธรรมนูญใหม่ ก็เห็นเขียนมากี่รอบแล้ว มันก็ไม่ได้แก้ปัญหา

ผมถึงย้ำว่า ปัญหาที่แท้จริงคือ ท่าทีของเรา แก้ที่ตัวเรา คิดซะว่าตัวเราเป็นส่วนหนึ่งของปัญหา ทำอย่างไรที่จะเอาเราออกจากปัญหา อย่าไปเอาคนคนอื่นเขาออกก่อน เมื่อเราเอาตัวเองออกจากปัญหาก่อน คนอื่นเขาก็มองเรา และอาจจะเอาตัวเขาออกบ้าง

ถามว่า เราต้องสู้กับใคร ถ้าเราบอกว่าเราต้องสู้กับตัวเอง ในแง่ไหน ในแง่ความไม่ดีสารพัด บางคนติดบุหรี่ ติดเหล้า บางคนเต็มไปด้วยอคติ ความเกลียด ความแค้น ความรัก ความหลงทั้งหลายแหล่ ซึ่งเราต้องเอาตัวเองออกจากตรงนั้นให้มากที่สุด แต่ถ้าเราบอกว่า เราจะเป็นของเราอย่างนี้ ใครจะทำไม มันไม่จบ(ครับ)

เคยอ่านหนังสือของสุภาพสตรีท่านหนึ่ง เมื่อก่อนเธอบอกว่า ใช้ชีวิตปาร์ตี้สุดเหวี่ยงมาก แต่เมื่อถึงอายุหนึ่ง เขาก็บอกตัวเองว่ามันไม่ถูกแล้ว ต้องเลิกสูบบุหรี่ เลิกกินเหล้า ซึ่งที่สุด เขาทำได้ภายในวันเดียว เขาบอกว่าความเย้ายวนมันยังมีมาก แต่ความตั้งใจที่จะไม่ทำมันแรงกว่าสิ่งเย้ายวน ผมว่านี่เป็นคำตอบที่มันง่าย สามัญมาก แต่มันแฝงด้วยความลึกซึ้ง

สรุปก็คือ เอาชนะตัวเอง อย่าเอาชนะคนอื่น ถ้าเราคิดเอาชนะคนอื่น ไม่มีวันได้ชัยชนะ และยิ่งแพ้ตัวเองไปทุกวัน เราก็ยิ่งเป็นตัวปัญหาที่หนักขึ้นไปทุกวัน เดี๋ยวนี้ผมคิดอย่างนี้นะ และอยากให้ทุกคนช่วยกัน หรือแม้แต่คนอื่นเขาไม่คิดเหมือนเรา ด่าว่าเรา ก็พยายามหลีกเลี่ยง อย่าไปโกรธเขา พยายามหาคำตอบว่าทำไมเขายังคิดแบบนั้นอยู่

วันนี้สังคมไทยชอบบอกว่า ฉันดี เธอไม่ดี คนที่ถูกว่า ก็บอกว่า เธอนั่นแหละยิ่งกว่าฉัน สุดท้ายก็ไม่ได้แก้ปัญหา

@ ชีวิตช่วงเว้นวรรคการเมือง ดูเหมือน จะปลงกับชะตากรรมของตนเอง

จริงๆ ส่วนใหญ่ผมก็ตระเวนสอนหนังสือ เท่าที่จะสอนได้ (ครับ) บางทีก็เป็นประธานสอบวิทยานิพนธ์บ้าง เกี่ยวกับด้านกฎหมาย หรือไปบรรยายบ้าง แต่ไม่อยากรับบรรยายอะไรที่เป็นประจำ ที่สำคัญคือ ได้ทำหลายอย่างในชีวิตที่อยากทำแล้วไม่ได้ทำ เพราะที่ผ่านมางานรัฐมนตรี หรืองานอะไรต่างๆ มันแทบจะ 24 ชั่วโมง

แต่วันนี้ ผมได้ไปเที่ยวสวนสัตว์ ใช้เวลาว่างอ่านหนังสือ โดยเฉพาะหนังสือที่ทำยังไง เราจะช่วยกันปกป้องโลกจากอันตรายทั้งหลาย ได้หันมาสนใจสิ่งแวดล้อม หรือจะทำยังไงที่จะแก้ปัญหาเรื่องพลังงาน แล้วก็เลี้ยงสัตว์(ครับ) ผมได้เลี้ยงนก ได้เลี้ยงสุนัข เลี้ยงจิปาถะไปหมด พยายามศึกษาเขา ดูเขา

แต่ที่สนุกมากคือ พยายามอ่านหนังสือทุกประเภท แต่ที่ชอบมากที่สุด คือ หนังสือสารคดีเกี่ยวกับโลก ธรรมชาติ หรือมนุษยชาติให้อยู่กันอย่างสันติสุขได้อย่างไร เดี๋ยวนี้ไม่รู้สิ ชอบอะไรแบบนี้

แล้วผมก็ดูแลเรื่องสุขภาพ คือ ทำยังไงเมื่อเราอายุมากขึ้น 1. ก็ทานน้อยลง 2. เลือกทานที่เหมาะกับสุขภาพของเรา เช่น เลี่ยงอาหาร หวาน มัน เค็ม ถ้าอยากให้มีรสชาติหน่อย ขอทานเปรี้ยว ทานเผ็ด ดีกว่า

ผมเคยหนักถึง 81 กิโลกรัม วันนี้ลดลงเหลือ 70 กิโล ใช้เวลา 2-3 ปี คือ ผมก็ทานไปตามปกติ(นะ) แต่เนื้อเนี่ย นานๆ ครั้ง แต่ที่ทานมากที่สุก็คือ ผัก และ ผลไม้ เพราะร่างกายเราถูกออกแบบมาให้ทานของธรรมชาติ คือ สิ่งที่ผ่านการปรุงแต่งมาก ก็หลีกเลี่ยง

คือ คนเราจะติด ติดเหล้า ติดบุหรี่ ติดน้ำอัดลม ทำยังไงเราถึงจะไม่ติดในสิ่งที่เป็นพิษต่อร่างกาย แล้วติดสิ่งที่เป็นประโยชน์ เช่น ติดน้ำเปล่า ติดผัก ติดผลไม้ที่ไม่หลานจัดเกินไป หรือ ทานข้าวซ้อมมือให้มากกว่าข้าวขาว ซึ่งผลที่ออกมาทำให้สุขภาพผมแข็งแรงขึ้นมากเลย เชื่อมั๊ยครับ ผมไม่เป็นหวัดเลยแม้แต่วันเดียว เข้าปีนี้ปีที่ 3 แล้ว เพราะถ้าเราดูแลสุขภาพ และไม่เป็นภาระคนอื่น

@ มีหลายคนถามว่า อาจารย์จะกลับสู่ถนนการเมืองในนามพรรคเพื่อไทยหรือไม่

คงยังตอบไม่ได้(ครับ) แต่วันนี้ที่ตั้งใจไว้ก็คือ ผมอยากทำอะไรก็ได้ ที่ทำให้สังคมเกิดความเป็นธรรมอย่างที่ผมพูด เกิดเมตตาธรรมต่อกัน เกิดการพูดคุยกันอย่างเหมือนพี่เหมือนน้อง เถียงกันได้ วิพากษ์วิจารณ์กันได้ แต่จบ แล้วช่วยกันเดินหน้าต่อไป ส่วนผมอยู่ตรงไหนก็ได้ หรืออาจจะร่วมงานกับภาคประชาชนก็เป็นได้

คือ ผมฝันอยากเห็นสิ่งนี้ เพราะผมเชื่อว่า ถ้าเราสร้างพื้นฐานได้อย่างนี้ การเมืองที่เราด่าว่ากัน มันก็อาจจะดีขึ้น โดยการสร้างทัศนคติเอาความไม่ดีออกจากตัวเราให้ได้มากที่สุด ถ้าคิดกันได้อย่างนี้หมด ก็จะมองคนอื่นแบบเมตตา

ถามว่า คนนี้ทำไมค้ายาเสพติด เราก็ต้องทำความเข้าใจว่า มีบริบทอะไรที่ทำให้เขาเป็นอย่างนั้น แล้วเขาจะออกจากบริบทนี้อย่างไร มากกว่าจะไปนั่งประณาม นั่งด่าว่า หวังจะลงโทษเขาให้เต็มกำลัง แต่โอเคว่า กระบวนการทางกฎหมายที่จะต้องมีการจัดการ ก็ต้องมี ฉะนั้น ทำยังไงที่จะสร้างความเข้าใจว่าทำไม คนๆ หนึ่งเป็นอย่างนั้น ทำไมอีกคนไม่เป็น ทำไมอีกคนติดบุหรี่ แต่อีกคนไม่ติด หรือทำยังไงให้เขาไม่ติด นั่นคือการมีท่าที มีทัศนะที่ดีต่อกัน

อย่างสมัยผมเป็นรัฐมนตรี หลายคนบอกว่า ปัญหาภาคใต้ 3 เดือนจบ 6 เดือนจบ แต่ผมบอกว่า เจเนอเรชั่นเราไม่รู้จะจบหรือเปล่า ถามว่าเพราะอะไร เพราะความรู้สึกตัวตนเขาแปลกแยกกับเรา แปลกแยกเรื่องอะไรบ้าง เชื้อชาติ ศาสนา ภาษา ความรู้สึกที่ไม่มีความยุติธรรมให้เขา คือ ถ้าเราเอาใจเขามาใส่ใจเรา ปฏิบัติกับทุกคนเหมือนพี่เหมือนน้อง ถ้าอย่างนี้ก็ง่าย(ครับ)

@ ฟังดูราวกับว่าอาจารย์มีความสุขและเข้าใจชีวิตมากขึ้น

ถือว่า ได้ใช้ชีวิตอย่างที่อยากจะเป็น ได้อ่านหนังสือ ดูสารคดี สอนหนังสือเท่าที่สอนได้ มันมีเวลาดูและทบทวนตัวเองมากขึ้น แต่ก่อนชีวิตเหมือนหมุนไปตามกงจักร เป็นรัฐมนตรี มีนัดตั้งแต่เช้าจรดเย็น พอว่างก็มีคนมาแทรก จะไม่ทำก็ไม่ได้ จริงๆ ไม่ทำก็ได้นะ แต่เหมือนไม่กล้าทะลุออกไป

วันนี้ก็มานั่งทบทวน อย่างงานแต่งไม่ต้องไปทุกงานก็ได้ งานศพไม่ต้องไปทุกงานก็ได้ ถ้าไปหมดก็ไม่ต้องทำอะไรแล้ว วันนี้ก็มาเลือกว่า อันไหนเหมาะสมเราก็ไป ให้คนเข้าใจว่าเราอยากมีชีวิต มีวิถีตัวตัว ที่เราทบทวนตัวเองอย่างนี้ บางคนบอกว่าผมหายไปเลย ผมบอกว่าไม่ใช่หรอก ก็เหมือนเดิม ถึงมีตำแหน่งหรือไม่มีตำแหน่ง

ฉะนั้น ก็พยายามทำให้เขาเข้าใจว่า วันนี้เราอยากขออย่างนี้บ้าง หรือแต่ก่อนเวลาไปงาน มีจัดฉากเยอะ พอเราไม่มีตำแหน่ง พอไปเยอะ อ๋อ ... แต่ก่อนตรงนี้เขาจัดฉากให้เรา (หัวเราะ)

ผมคิดว่า เป็นสิ่งที่ดีที่ได้ทบทวนชีวิต อย่างน้อยก็ 2 มิติ คือ ไม่ใช่ดำอย่างเดียว แต่มีขาวด้วย หรือในที่ขาวก็มีดำ ถ้าเราเป็นอย่างนี้ได้ มันก็คือธรรมชาติ

**********************************************************************************

เกมสนองตัณหาการเมือง

สยามธุรกิจ
แปลกใจกันบ้างไหมเจ้าคะ ว่าวัฒนธรรมการประชุมสภาฯ บ้านเรานี่ดูจะแปลกอยู่นะเจ้าคะ ไม่ทราบว่าอย่างไร เวลาประชุมสภากัน ผู้เข้าร่วม ประชุมจะออกอาการสมองเสื่อม ไปจน ถึงออกอาการโรคจิตประสาทอย่าง “พารานอยด์ (paranoid)” หวาดระแวง ประเภทสงสัยเกินกว่าเหตุ เลยเถิดกลายเป็นความระแวงแบบฝังแน่น อย่างสุดลิ่มทิ่มประตู ไม่ว่าใครจะนำหลักฐานอะไรมาก็ไม่เชื่อ เชื่อตัวเองอย่าง เดียว ซึ่งอาจเป็นความผิดปกติหรือมีอาการ ทางจิต

บางพวกก็ประสาทเสื่อมจำไม่ได้ว่าจริงๆ แล้ววันนี้ที่เข้าประชุมมันประเด็นอะไรกันแน่ กลับไปขุดเอาเรื่องสมัยพระเจ้า สามหน่อขึ้นมาคุยเสียแบบนั้นเอง ไอ้เราประชาชนตาดำๆ นั่งดูโทรทัศน์อยู่ที่บ้านก็งงสิเจ้าคะ...

งงตั้งแต่ว่าเรานั่งบ้านั่งดูอะไรอยู่กัน แน่ ไปจนถึงเราเลือกคนบ้าเขาไปเป็นตัวแทน หรือเปล่าเนี่ย???..สารพันปัญหาจะงง.... ประชาชนตาดำๆ ดูแล้วก็พูดได้คำเดียวว่า ปวดกะโหลก!!!

**************************************************************************

ดร.นันทวัฒน์ วิพากษ์“2 มาตรฐาน” นี่คือเครื่องมือทำลายล้างทางการเมือง แต่ผมมีวิธีแก้ปัญหา!!!

ประชาชาติธุรกิจออนไลน์

ศ. ดร.นันทวัฒน์ บรมานันท์ เมธีวิจัยอาวุโส สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) เขียนบทบรรณาธิการ เรื่อง "สองมาตรฐาน" มีประเด็นน่าสนใจ ดังนี้

หากจะว่ากันไปแล้ว คำว่า “สองมาตรฐาน” ไม่ใช่คำที่เกิดขึ้นใหม่แต่เป็นคำที่ถูกหยิบยกเอามาใช้กันมากในช่วงเวลา 2-3 ปีที่ผ่านมา เนื่องจากคำดังกล่าวเป็นคำที่ต้องการ “ข้อพิสูจน์” ที่เป็นรูปธรรม ผมจึงไม่ได้ให้ความสนใจมากเท่าไรนัก เพราะการพิสูจน์เรื่องแต่ละเรื่องที่มีการอ้างว่า “สองมาตรฐาน” ก็จะมีการอ้างข้อมูลที่แตกต่างกันไปและไม่สามารถกำหนดได้ว่าอะไรคือ “มาตรฐาน” ที่ว่านี้ ผมก็เลยไม่ได้นำเรื่อง “สองมาตรฐาน” มาพูดหรือมาเขียน

แต่อย่างไรก็ดี เมื่อวันอาทิตย์ที่ 8 สิงหาคมที่ผ่านมา ผมได้มีโอกาสได้อ่านการ์ตูนของนักเขียนการ์ตูนชื่อดังคนหนึ่งในหนังสือพิมพ์ยักษ์ใหญ่ฉบับหนึ่งที่ออกมาเล่นเรื่อง “สองมาตรฐาน” ที่ดูๆ แล้วขนาดการ์ตูนก็ยัง “สองมาตรฐาน” ผมจึงคิดว่าคงต้องเขียนเรื่องนี้บ้างเพื่อไม่ให้ตกขบวนครับ

ที่มาของคำว่า “สองมาตรฐาน”

คำว่า “สองมาตรฐาน” หรือ “double standard” เป็นคำที่ถูกนำมาใช้เรียกบรรดาการกระทำ การดำเนินการหรือการบริหารจัดการในเรื่องเดียวกัน แต่ต่างกลุ่มเป้าหมายกันและผลที่เกิดขึ้นตามมาก็แตกต่างกัน โดยผู้กระทำ ผู้ดำเนินการ หรือผู้บริหารจัดการเรื่องดังกล่าวอาจมีเจตนาหรือไม่ก็ได้ อาจทำโดยไม่รู้ก็ได้ อาจทำโดยหย่อนความสามารถก็ได้ หรืออาจทำโดยตั้งใจก็ได้ครับ

คำดังกล่าวเป็นคำยอดนิยมในปัจจุบันและถูกนำมาใช้ในเรื่อง “การเมือง” กันมาก โดยนำมาใช้ในลักษณะที่เป็นคุณเป็นโทษกับคน โดยปกติทั่วไปแล้ว ผู้ได้รับประโยชน์จากการกระทำ “สองมาตรฐาน” ก็มักจะไม่รู้สึกอะไรกับเรื่องดังกล่าวเพราะคิดว่านี่คือ “สิทธิพิเศษ” ที่เกิดขึ้นกับตน ทำให้ตนได้รับการปฏิบัติด้วยมาตรฐานที่ดีกว่า จึงไม่เรียกร้องอะไรเพราะตนเป็นผู้ได้รับประโยชน์

แต่ในทางกลับกัน ฝ่ายที่ได้รับการปฏิบัติที่ด้อยกว่าอีกฝ่ายหนึ่งก็มักจะเรียกร้องหา “มาตรฐาน” เพราะสิ่งที่ตนได้รับนั้นก่อให้เกิดผลกระทบต่อตนเองมากกว่าอีกฝ่ายหนึ่ง เพราะฉะนั้น หากเมื่อใดก็ตามที่เกิดอาการหรือเกิดการกล่าวอ้างว่า “สองมาตรฐาน” ก็หมายความว่า จะมีผู้หนึ่งหรือฝ่ายหนึ่ง “ได้ประโยชน์” ส่วนอีกผู้หนึ่งหรืออีกฝ่ายหนึ่งก็จะเป็นผู้ “เสียประโยชน์”

“สองมาตรฐาน” ไม่ได้เป็นศัพท์ด้านนิติศาสตร์ แต่ถ้าหากจะหาศัพท์ด้านนิติศาสตร์มาใช้ก็คงหนีไม่พ้นคำว่า “เลือกปฏิบัติ” ส่วนถ้าจะใช้ศัพท์ชาวบ้านทั่วๆ ไปก็คงเรียกการกระทำสองมาตรฐานว่าเป็นการ “ลำเอียง” ก็ได้นะครับ

“สองมาตรฐาน” ไม่ได้เป็นประเด็นด้านนิติศาสตร์ที่เกิดขึ้นจากข้อบกพร่องหรือข้อผิดพลาดของตัวบทกฎหมาย แต่เกิดจากการที่ “ผู้มีอำนาจ” ไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานของรัฐหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐเลือกที่จะใช้อำนาจหรือดำเนินการอย่างหนึ่งอย่างใดกับบุคคลหนึ่งบุคคลใดหรือฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดที่แตกต่างกันภายใต้กฎหมายหรือกฎเกณฑ์เดียวกัน

ในชีวิตประจำวัน เรื่อง “สองมาตรฐาน” ไม่ใช่เป็นเรื่องแปลกเพราะโดยธรรมชาติของมนุษย์ที่มีการรวมกลุ่ม มีความเชื่อ มีสังคม มี “รุ่น” ต่างๆ ร่วมกัน ก็ย่อมมีความผูกพันเป็นธรรมดา และเมื่อเราอยากให้คนที่เราผูกพันได้รับความสะดวกสบาย หรือได้รับสิ่งที่ “ดีๆ” อาการสองมาตรฐานก็จะเกิดขึ้นตามมาครับ

จากวัฒนธรรมสู่ความชาชิน

นอกจากนี้แล้ว สภาพสังคมและวัฒนธรรมก็ยังเป็นส่วนสำคัญอีกส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิด “สองมาตรฐาน” ไม่ต้องดูอื่นไกลนะครับ เด็กกับผู้ใหญ่ทำสิ่งเดียวกัน คนรวยกับคนจนทำสิ่งเดียวกัน เจ้านายกับลูกน้องทำสิ่งเดียวกัน ผลที่เกิดขึ้นไม่เหมือนกันอย่างแน่นอนครับ โดยเฉพาะเด็กกับผู้ใหญ่นี่เป็น “วัฒนธรรม” ที่ทำให้เกิด “สองมาตรฐาน” จนกลายเป็น “ความชาชิน” ของสังคมในปัจจุบัน

ลองนึกตัวอย่างดูเอาเองก็ได้ครับเพราะผมเชื่อว่า แต่ละคนก็เคยประสบกับ “สองมาตรฐาน” มาแล้วทั้งนั้น ไม่ว่าจะประสบในครั้งที่ยังเป็น “เด็ก” ผู้ถูกกระทำหรือเมื่อเป็นผู้กระทำที่เป็น “ผู้ใหญ่” แล้วครับ เด็กทำอะไรก็ผิดไปหมดในขณะที่ผู้ใหญ่ทำอย่างเดียวกันแต่กลับไม่ผิด !!

ความเคยชินเหล่านี้ในบางครั้งผู้ถูกกระทำก็ต้องยอมรับเพราะวัฒนธรรมและสภาพสังคมต่างก็มีส่วนทำให้ผู้ถูกกระทำ “ต้องยอมรับ” และ “ไม่มีปากไม่มีเสียง” ครับ แต่ในใจของทุกคน ผู้ถูกกระทำทุกคนรู้สึกถึงความไม่เท่าเทียมกัน รู้สึกถึงการได้รับการปฏิบัติที่แตกต่างกันครับ !!!

ในทางกฎหมาย ดังที่ได้กล่าวไปแล้วว่า แม้จะไม่มีคำว่า “สองมาตรฐาน” แต่เราก็สามารถนำคำว่า “เลือกปฏิบัติ” มาใช้แทนได้ การเลือกปฏิบัตินี้ก็เป็นสิ่งที่ทั้งรัฐธรรมนูญฉบับปี พ.ศ. 2540 และฉบับปี พ.ศ. 2550 ได้กล่าวเอาไว้ โดยในมาตรา 30 วรรคสาม แห่งรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันได้กล่าวไว้ว่า

"การเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมต่อบุคคลเพราะเหตุแห่งความแตกต่างในเรื่องถิ่นกำเนิด เชื้อชาติ ภาษา เพศ อายุ ความพิการ สภาพทางกายหรือสุขภาพ สถานะของบุคคล ฐานะทางด้านเศรษฐกิจหรือสังคม ความเชื่อทางศาสนา การศึกษาอบรม หรือความคิดเห็นทางการเมืองอันไม่ขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ จะกระทำมิได้"

และนอกจากนี้แล้ว ในมาตรา 9 (1) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 ก็ยังกำหนดให้การเลือกปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรมของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐที่กระทำโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายไม่ว่าจะเป็นการออกกฎ คำสั่ง หรือการกระทำอื่นใดเป็นเรื่องที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง

คดีบรรทัดฐาน ทนายพิการสอบอัยการ

ที่ผ่านมา ในช่วงเวลาของการบังคับใช้รัฐธรรมนูญฉบับปี พ.ศ. 2540 มีกรณีของการเลือกปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรมที่น่าสนใจหลายเรื่องด้วยกัน แต่ที่น่าสนใจที่สุดก็คือกรณีของนาย ศิริมิตร บุญมูล ทนายความพิการด้วยโรคโปลิโอที่ไปสมัครสอบเป็นข้าราชการอัยการในตำแหน่งอัยการผู้ช่วยแต่ทางหน่วยงานไม่รับสมัคร

เนื่องจากเห็นว่ามีร่างกายพิการ ต่อมา นายศิริมิตร บุญมูล ก็ได้นำเรื่องดังกล่าวไปฟ้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ ศาลปกครองกลาง และศาลปกครองสูงสุด ซึ่งศาลปกครองสูงสุดก็ได้พิพากษาเพิกถอนมติของคณะกรรมการอัยการที่มีมติไม่รับสมัคร นายศิริมิตร บุญมูล ในการสอบคัดเลือกเพื่อบรรจุเป็นข้าราชการอัยการในตำแหน่งอัยการผู้ช่วย โดยเรื่องดังกล่าว รองศาสตราจารย์ ดร.บรรเจิด สิงคะเนติ ได้เขียนบทความลงใน www.pub-law.net ไปแล้วตั้งแต่ปี พ.ศ. 2548 ก็ต้องลองไปอ่านดูนะครับ

ในทางการเมือง ปัญหาใหญ่ของประเทศไทยในวันนี้คือ การแตกแยกในทางความคิดอันนำไปสู่ความขัดแย้งระดับชาติ มีการแบ่งขั้ว แบ่งฝักแบ่งฝ่ายกันในทุกที่ ทุกกลุ่ม อย่างชัดเจน มีการแบ่งเป็นพวกใครพวกมันในทุกระดับชั้นของสังคม ฝ่ายหนึ่งไปอีกฝ่ายหนึ่งมา คำว่า “สองมาตรฐาน” จึงถูกนำมาใช้สำหรับการดำเนินการที่ไม่เท่าเทียมกันที่ “อีกฝ่ายหนึ่ง” เป็นผู้ทำครับ

ผมคงไม่ต้องยกตัวอย่างอะไรมากมายนักเกี่ยวกับสิ่งที่ผู้คนพยายามออกมาบอกว่า “สองมาตรฐาน” ถ้าเรามองอย่างใจเป็นธรรม เราก็คงรู้เอง เพราะอย่างที่ผมกล่าวไปแล้วข้างต้นว่า สองมาตรฐานไม่สามารถวัดได้ด้วยกฎหมายหรือกฎเกณฑ์ใดๆ ทั้งนั้น เพราะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจากการดำเนินการมากกว่าเกิดขึ้นจากข้อบกพร่องหรือข้อผิดพลาดของตัวบทกฎหมาย สังคมเราในวันนี้เกิดการบังคับใช้กฎหมายและการใช้อำนาจทางการเมืองแบบที่แตกต่างกัน ไม่ต้องดูอื่นไกลนะครับ

สองมาตรฐาน ...ภายใต้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน

ล่าสุดที่เกิดขึ้น ภายใต้พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 เด็กนักเรียนเขียนป้ายที่มีข้อความกระทบกับการเมืองก็ถูกจับเข้าสถานพินิจเด็กและเยาวชน ประชาชนผูกผ้าแดงที่ป้ายสี่แยกก็ถือว่าทำผิดกฎหมาย ในขณะที่คนเป็นร้อยชุมนุมหน้าทำเนียบรัฐบาล ต่อมาย้ายไปชุมนุมบริเวณถนนราชดำเนินนอก มีการตั้งเวทีปราศรัย ซึ่งเป็นการชุมนุมที่ผิดพระราชกำหนดดังกล่าวอย่างชัดแจ้ง กลับไม่มีการดำเนินการทางกฎหมายใดๆ ทั้งสิ้น

นี่เป็นตัวอย่าง “เล็กๆ” ที่เกิดขึ้นล่าสุดเมื่อไม่กี่วันนี้เองครับ ส่วนตัวอย่าง “ใหญ่ๆ” อีกเรื่องหนึ่งที่ยังคงเป็นคำถามที่รอคำตอบอยู่ก็คือ ผู้ชุมนุมยึดสนามบิน ยึดทำเนียบ ปิดล้อมรัฐสภา ตำรวจใช้กำลังสลาย ถูกสอบสวนโดนไล่ออก ส่วนกรณีผู้ชุมนุมยึดสี่แยกราชประสงค์ ทหารใช้กำลังเข้าสลาย คนตายร่วมร้อย บาดเจ็บหลายพันกลับไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยครับ

ยังมีตัวอย่างอีกมากมายที่ผมคงไม่ต้องหยิบยกมาพูดให้สะเทือนความรู้สึก และสร้างความ “น้อยใจ” ให้กับผู้ได้รับผลกระทบจาก “สองมาตรฐาน” เพราะจริงๆ แล้ว คนไทยทุกคนในฐานะผู้เสียภาษี ไม่ว่าจะทางตรงหรือทางอ้อมก็ตาม ต่างก็มีสิทธิที่จะได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียมกันจากหน่วยงานของรัฐและเจ้าหน้าที่ของรัฐ

เพราะเงินภาษีเหล่านี้ก็คือ “ค่าจ้าง” ที่ประชาชน “จ้าง” พวกคุณมาบริหารประเทศ มาเป็นตำรวจ มาเป็นทหาร เพื่อดูแลทุกข์สุขให้กับประชาชนทุกคนอย่างเสมอภาคเท่าเทียมกัน ไม่ใช่เพื่อ “ดูแล” หรือ “รับใช้” คนหนึ่งหรือกลุ่มหนึ่งกลุ่มใดเป็นการเฉพาะนะครับ !!!

เราจะแก้ปัญหา “สองมาตรฐาน” ได้ไหม ? เป็นคำถามที่หลายๆ คนอยากรู้กันมาก

นี่คือวิธีการแก้ปัญหาสองมาตรฐาน

ผมเคยเสนอผ่าน “ผู้มีอำนาจ” ไปแล้วหลายครั้งว่า อะไรที่ใครบอกว่าสองมาตรฐานก็ต้องให้ผู้ที่รับผิดชอบออกมาชี้แจงว่าทำไมถึงเข้าใจกันไปว่าสองมาตรฐาน ลองยกตัวอย่างดูก็ได้ว่า หากมีฝ่ายหนึ่งบอกว่า เรื่องของอีกฝ่ายหนึ่งค้างอยู่ที่ศาลปกครอง ศาลรัฐธรรมนูญ ศาลยุติธรรม ป.ป.ช. กกต. ฯลฯ มาเป็นเวลานานแล้ว ส่วนเรื่องของฝ่ายตนเองบรรดาองค์กรเหล่านั้นก็รีบดำเนินการ ไม่ยากหรอกครับ ทำแบบ ศอฉ. แถลงข่าวก็ได้ เอาผู้ที่เกี่ยวข้องและสามารถให้ข้อมูลได้ออกมานั่งกันให้เต็มจอทีวี อธิบายว่าเรื่องดังกล่าวอยู่ในขั้นตอนใด ช้าเพราะเหตุใด และคาดว่าจะเสร็จเมื่อไร ชี้แจงให้เป็นระบบและชัดเจน

ผมว่าคนคงหายสงสัยไปได้มากนะครับ นี่คือวิธีการแก้ปัญหาของสิ่งที่เกิดขึ้นไปแล้วด้วยการให้ข้อมูลที่ชัดเจน ถูกต้องแก่ประชาชน และให้ประชาชนรับทราบด้วยว่า “น่าจะ” ใช้เวลาในการดำเนินการอีกนานเท่าไรสำหรับแต่ละเรื่อง ส่วนในวันข้างหน้า เพื่อไม่ให้เกิดการดำเนินการที่มีลักษณะสองมาตรฐานอีก หน่วยงานของรัฐและเจ้าหน้าที่ของรัฐควรจะต้องพยายามมีความเป็นกลางทางการเมืองให้มากขึ้น หยุดที่จะฟังและทำตามนักการเมืองโดยละเลยกับหลักนิติรัฐ

ใช้มาตรา 157 เป็นเครื่องมือแก้ปัญหา

หลักของความเป็นข้าราชการที่ดี คงต้อง “สำนึก” ให้มากขึ้นว่า มีงานทำและมีเงินใช้ได้ทุกวันนี้ก็เพราะภาษีจากประชาชนทั้งประเทศ ในการทำงานควรทำด้วยความโปร่งใส รวดเร็ว ชัดเจน มีคำตอบ เปิดโอกาสให้ทุกฝ่ายได้เสนอข้อเท็จจริง ข้อเสนอ “เชยๆ” ที่กล่าวไปแล้วนี้ไม่ล้าสมัยหรอกครับ เพราะยังเป็นสิ่งที่เราไม่ให้ความสนใจที่จะทำอย่างเสมอต้นเสมอปลายต่อเนื่องกันมาเป็นเวลานานจนทำให้ความแตกแยกในสังคมขยายออกไปกว้างมากขึ้นทุกวัน

ฝ่ายประชาชน ผู้ที่มั่นใจว่าตนเองได้รับการปฏิบัติที่มีลักษณะ “สองมาตรฐาน” ก็น่าจะลองใช้สิทธิทางศาลยุติธรรมด้วยการฟ้องร้องเจ้าหน้าที่ผู้ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 ต่อไป หรือไม่ก็ใช้สิทธิฟ้องศาลปกครองเพื่อขอให้ศาลสั่งให้หัวหน้าหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามมาตรา 72 (3) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 คือปฏิบัติตามหน้าที่ภายในเวลาที่ศาลปกครองกำหนดในกรณีที่มีการฟ้องว่าหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐละเว้นต่อหน้าที่หรือปฏิบัติหน้าที่ล่าช้าเกินสมควร

หลายๆ คนอาจ “ส่ายหน้า” ว่าการใช้สิทธิทางศาลกว่าจะรู้ผลก็ต้องใช้เวลานาน แต่ผมก็ยังเห็นว่าเป็นวิธีที่ดีที่สุดและถูกต้องที่สุดเพราะเป็นการ “ต่อสู้” ตามกฎหมายครับ ฟ้องกันมากๆ ให้มีข่าวออกมามากๆ ผู้มีอำนาจที่จะใช้วิธี “สองมาตรฐาน” ก็จะต้องระวังตัวมากขึ้นที่จะใช้อำนาจในลักษณะดังกล่าว ไม่ช้าไม่นานสถานการณ์ก็คงจะดีขึ้นไปเองครับ เพียงแต่ต้องอาศัย “ความกล้า” และ “เวลา” เท่านั้นเองครับ !!

เครื่องมือในการทำลายล้างทางการเมือง

สำหรับฝ่ายการเมือง ผมว่าหยุดได้แล้วที่จะใช้ “สองมาตรฐาน” เป็นเครื่องมือในการทำลายล้างทางการเมือง แค่นี้ก็ไม่รู้แล้วว่าจะหาทางออกให้กับประเทศได้อย่างไรครับ ควรหยุดแทรกแซงและสั่งการฝ่ายข้าราชการประจำและในขณะเดียวกันก็ควรหาทางให้มีการใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัดเพื่อก่อให้เกิดความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย และต้องพยายามหาทางทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างกลับมาสู่มาตรฐานเดียวให้ได้ รัฐบาลสองมาตรฐานคงไม่สามารถนำความสงบสุขและความปรองดองกลับมาสู่ประเทศได้อย่างแน่นอนครับ !!!

ขนาดการ์ตูนก็ยังสองมาตรฐาน ?

ข้อเขียนนี้คงไม่สมบูรณ์ หากจะไม่กล่าวถึง “สื่อ” ที่ในวันนี้ก็สองมาตรฐานกันเสียเหลือเกิน ขนาดการ์ตูนก็ยังสองมาตรฐานเลยครับ !!! คงจะต้องหันกลับมาปฏิบัติตามสิ่งที่ได้ร่ำเรียนกันมาใหม่นะครับ พยายามทำตัวให้เป็นกลาง อย่าเลือกข้าง นำเสนอสิ่งที่ถูกต้องและเกิดประโยชน์ต่อประเทศชาติและประชาชนให้มากที่สุดและดีที่สุด ต้องไม่ลืมว่าสื่ออยู่เหนือการเมืองนะครับ ไม่ใช่อยู่กับการเมือง อยู่ในการเมืองหรืออยู่ใต้การเมืองครับ

หากยังปล่อยให้บ้านเมืองของเราอยู่ในสภาวะ “สองมาตรฐาน” ต่อไป ความแตกแยกก็ต้องมีมากขึ้น จนในที่สุดระบบต่างๆ ที่เป็นตัวขับเคลื่อนสังคมและประเทศก็จะต้อง “ล่มสลาย” เมื่อถึงวันนั้น ผู้คนจะไม่มีความเชื่อถือในรัฐบาล ไม่มีความเชื่อถือในเจ้าหน้าที่ของรัฐและหน่วยงานของรัฐ ไม่มีความเชื่อถือในทหาร ไม่มีความเชื่อถือในตำรวจ และไม่มีความเชื่อถือในฝ่ายตุลาการ แล้วประเทศเราจะอยู่ต่อไปได้อย่างไรครับ บ้านเมืองที่ไร้กฎเกณฑ์ ไร้กติกาคงไม่ใช่สิ่งที่พวกเราอยากเห็นหรืออยากให้เกิดขึ้นครับ !!!

***********************************************************************************