ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายตำรวจแห่งชาติ (กตช.) ที่มีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เป็นประธานเมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 2553 ได้มีมติด้วยคะแนน 8 ต่อ 0 เสียง เลือก พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี รอง ผบ.ตร.ที่มีความอาวุโส ขึ้นดำรงตำแหน่ง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ คนใหม่แทนพล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ จเรตำรวจแห่งชาติ ในฐานะรักษาราชการแทนผบ.ตร. (รรท.ผบ.ตร.) ที่จะเกษียณอายุราชการลงในวันที่ 1 ตุลาคมนี้
แม้ว่าเส้นทางรับราชการตำรวจของ ผบ.ตร.ป้ายแดงผู้นี้อาจไม่โลดโผน ถ้าเทียบกับ ผบ.ตร.บางคนในอดีต แต่คอนเนกชั่นทางการเมืองและธุรกิจเป็นอย่างไร?
น่าสนใจ
"ทีมข่าวเจาะ"ตรวจสอบพบว่า พล.ต.อ.วิเชียร เป็นกรรมการบริษัท 3 แห่ง
1.บริษัท เอเชียน อินซูเลเตอร์ จำกัด (มหาชน)
2.บริษัท แปซิฟิกไพพ์ จำกัด (มหาชน)
3.บริษัท วนชัย กรุ๊ป จำกัด (มหาชน)
แต่ละแห่งอู้ฟู่ไม่ธรรมดา
บริษัท เอเชียน อินซูเลเตอร์ จำกัด (มหาชน) มีกลุ่มนายณรงค์ ธารีรัตนาวิบูลย์ เป็นเจ้าของ ประกอบธุรกิจค้าลูกถ้วยไฟฟ้า จดทะเบียนวันที่ 19 มีนาคม 2547 ทุนปัจจุบัน 500 ล้านบาท ที่ตั้งเลขที่ 254 ถนนเสรีไทย แขวงคันนายาว เขตคันนายาว กรุงเทพฯ นายณรงค์ ธารีรัตนาวิบูลย์ นายธนิตย์ ธารีรัตนาวิบูลย์ นายโกวิท ธารีรัตนาวิบูลย์ นายประยูร จินดาประดิษฐ์ พลต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี และนางพรอนงค์ บุษราตระกูล เป็นกรรมการ
ผลประกอบการปี 2552 รายได้ 671.5 ล้านบาท กำไรสุทธิ 129.8 ล้านบาท
บริษัท วนชัย กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กลุ่มนายสมภพ สหวัฒน์ ถือหุ้นใหญ่ ประกอบธุรกิจ ผลิตและจำหน่ายแผ่นไม้ MDF จดทะเบียนเมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2537 ทุน 1,425,839,127 บาท ที่ตั้งเลขที่ 2/1 ถนนพิบูลสงคราม แขวงบางซื่อ เขตบางซื่อ กรุงเทพฯ
มีกรรมการบริษัทนอกจากตระกูลสหวัฒน์ ได้แก่ นายสมภพ สหวัฒน์ นายภัทท สหวัฒน์ น.ส.ภัทรา สหวัฒน์ นายสมประสงค์ สหวัฒน์ นายวสันต์ เจริญนวรัตน์ นายวรรธนะ เจริญนวรัตน์ นายสืบตระกูล สุนทรธรรม นายสุเทพ ชัยพัฒนวณิช นายนิรันดร์ สันติภิรมย์กุล น.ส. ยุพาพร บุญเกตุ ยังมี นายนิพนธ์ วิสิษฐยุทธศาสตร์ ส.ส.สัดส่วน พรรคประชาธิปัตย์ (ใกล้ชิดชวน หลีกภัย) พล.ต.อ.สุนทร ซ้ายขวัญ สมาชิกวุฒิสภา พล.อ.วิชิต ยาทิพย์ (คนใกล้ชิดพล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ) นายไกรทิพย์ ไกรฤกษ์
ผลประกอบการปี 2552 รายได้ 2,739.6 ล้านบาท กำไรสุทธิ 135.4 ล้านบาท
บริษัท แปซิฟิกไพพ์ จำกัด (มหาชน) ประกอบกิจการค้าท่อเหล็ก จดทะเบียนวันที่ 17 มีนาคม 2547 ทุน 660 ล้านบาท ที่ตั้งเลขที่ 298 ซอยกลับเจริญ ถนนสุขสวัสดิ์ ตำบลปากคลองบางปลากด อำเภอพระสมุทรเจดีย์ จังหวัดสมุทรปราการ นายประยูร เลขะพจน์พานิช นายสมชัย เลขะพจน์พานิช และนายวิชัย เลขะพจน์พานิช ถือหุ้นใหญ่ มีนาย สมชัย เลขะพจน์พานิช น.ส.วิริยา อัมพรนภากุล นายสมเกียรติ จิตรวุฒิโชติ นายสุรินทร์ วรรณเพ็ญสกุล นายสมชาย หาญหิรัญ นายเกรียงไกร รักษ์กุลชน นายวิชัย เลขะพจน์พานิช น.ส.ปิยะนุส ชัยขจรวัฒน์ น.ส.สุนิสา ขวัญบุญบำเพ็ญ และนายนันทวัฒน์ สถิรไชยวิทย์ เป็นกรรมการ
ผลประกอบการปี 2552 รายได้ 3,253.5 ล้านบาท กำไรสุทธิ 115.1 ล้านบาท
จากการตรวจสอบพบว่า บริษัท เอเชียน อินซูเลเตอร์ จำกัด (มหาชน) ใกล้ชิดกับนักการเมืองพรรคประชาธิปัตย์ เคยเป็นผู้บริจาคเงินให้พรรคประชาธิปัตย์ ในช่วงปี 2543 จำนวน 1.3 ล้านบาท
นอกจากนี้ยังเป็นคู่ค้ากับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) และการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) ในช่วง 2 ปีหลังประมาณ 200 ล้านบาท
**************************************************************************
วันศุกร์ที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2553
วันพฤหัสบดีที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2553
ความอยุติธรรม
โดย หนังสือพิมพ์โลกวันนี้รายวัน
นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย และแกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) แดงทั้งแผ่นดิน มอบหมายให้ทนายความไปพบอัยการสูงสุดเพื่อร้องขอความเป็นธรรมกรณีนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ยื่นหนังสือให้อัยการเร่งรัดสั่งคดีกับแกนนำ นปช. ซึ่งจะครบอำนาจฝากขังตาม พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน 84 วัน ในวันที่ 7 กันยายนนั้น อาจจะฟ้องให้ดำเนินคดีการแทรกแซงอัยการสูงสุด
และในสัปดาห์หน้าจะตั้งกระทู้ถามนายพีระพันธุ์ในเรื่องนี้เช่นกัน รวมถึงกรณีจุดที่มีการยิง พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล ที่มีข่าวว่าอยู่บริเวณโรงแรมของแม่ยายนายพีระพันธุ์ ทั้งยังมีข่าวการใช้งบราชการลับผ่านกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ไปยังอัยการบางคนเพื่อให้เร่งดำเนินคดีกับแกนนำ นปช. ซึ่งที่ผ่านมาก็ไม่เคยมีรัฐมนตรีคนใดมีพฤติกรรมเช่นนี้
กรณีนายพีระพันธุ์มีหนังสือไปยังอัยการเพื่อเร่งรัดคดีแกนนำ นปช. ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม ก็ยากที่จะปฏิเสธได้ว่าเป็นการกระทำที่ไม่สมควรและน่าตำหนิอย่างยิ่ง ส่วนจะมีผลต่อการฟ้องแกนนำ นปช. หรือไม่นั้น ฝ่ายอัยการเองก็ต้องอึดอัดใจ เพราะอัยการเป็นหน่วยงานอิสระเช่นเดียวกับศาล
แม้แต่ดีเอสไอซึ่งมีฐานะเป็นพนักงานสอบสวน หากยังอยู่ภายใต้การกำกับของฝ่ายการเมืองก็ยากจะพ้นข้อครหาเป็นเครื่องมือทางการเมืองได้ เหมือนการทำงานของดีเอสไอขณะนี้ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากถึงความไม่เป็นธรรมและไม่โปร่งใส ขณะที่อธิบดีดีเอสไอยังก็เป็นกรรมการศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) มีบทบาทสำคัญในการกล่าวหาและจับกุมคนเสื้อแดง
เรื่องของกระบวนการยุติธรรมจึงเป็นประเด็นหรือปัญหาสำคัญของบ้านเมือง ซึ่งที่ผ่านมากรณีตุลาการภิวัฒน์ก็เป็นบทเรียนให้เห็นแล้วว่ามีผลต่อความเชื่อถือและศรัทธาอย่างไรกับองค์กรตุลาการ ซึ่งถือเป็นองค์กรสุดสุดท้ายองค์กรเดียวที่ประชาชนจะพึ่งพา
ขณะที่กระบวนการยุติธรรมเบื้องต้นไม่ว่าตำรวจและอัยการก็ถูกครหาเรื่องความยุติธรรมและเลือกปฏิบัติ เช่นเดียวกับองค์กรอิสระต่างๆที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นหนึ่งในวิกฤตของบ้านเมือง ไม่ว่าจะเป็นศาลปกครอง ศาลรัฐธรรมนูญ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) หรือคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ฯลฯ
เพราะวันนี้วิกฤตที่เกิดขึ้นก็ถือเป็นความหายนะของบ้านเมืองอย่างยิ่งแล้ว แต่หากประชาชนยังพึ่งไม่ได้แม้แต่สถาบันตุลาการก็ถือว่าวงการยุติธรรมไทยย่อยยับและอัปรีย์ถึงที่สุดแล้ว
**********************************************************************
นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย และแกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) แดงทั้งแผ่นดิน มอบหมายให้ทนายความไปพบอัยการสูงสุดเพื่อร้องขอความเป็นธรรมกรณีนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ยื่นหนังสือให้อัยการเร่งรัดสั่งคดีกับแกนนำ นปช. ซึ่งจะครบอำนาจฝากขังตาม พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน 84 วัน ในวันที่ 7 กันยายนนั้น อาจจะฟ้องให้ดำเนินคดีการแทรกแซงอัยการสูงสุด
และในสัปดาห์หน้าจะตั้งกระทู้ถามนายพีระพันธุ์ในเรื่องนี้เช่นกัน รวมถึงกรณีจุดที่มีการยิง พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล ที่มีข่าวว่าอยู่บริเวณโรงแรมของแม่ยายนายพีระพันธุ์ ทั้งยังมีข่าวการใช้งบราชการลับผ่านกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ไปยังอัยการบางคนเพื่อให้เร่งดำเนินคดีกับแกนนำ นปช. ซึ่งที่ผ่านมาก็ไม่เคยมีรัฐมนตรีคนใดมีพฤติกรรมเช่นนี้
กรณีนายพีระพันธุ์มีหนังสือไปยังอัยการเพื่อเร่งรัดคดีแกนนำ นปช. ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม ก็ยากที่จะปฏิเสธได้ว่าเป็นการกระทำที่ไม่สมควรและน่าตำหนิอย่างยิ่ง ส่วนจะมีผลต่อการฟ้องแกนนำ นปช. หรือไม่นั้น ฝ่ายอัยการเองก็ต้องอึดอัดใจ เพราะอัยการเป็นหน่วยงานอิสระเช่นเดียวกับศาล
แม้แต่ดีเอสไอซึ่งมีฐานะเป็นพนักงานสอบสวน หากยังอยู่ภายใต้การกำกับของฝ่ายการเมืองก็ยากจะพ้นข้อครหาเป็นเครื่องมือทางการเมืองได้ เหมือนการทำงานของดีเอสไอขณะนี้ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากถึงความไม่เป็นธรรมและไม่โปร่งใส ขณะที่อธิบดีดีเอสไอยังก็เป็นกรรมการศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) มีบทบาทสำคัญในการกล่าวหาและจับกุมคนเสื้อแดง
เรื่องของกระบวนการยุติธรรมจึงเป็นประเด็นหรือปัญหาสำคัญของบ้านเมือง ซึ่งที่ผ่านมากรณีตุลาการภิวัฒน์ก็เป็นบทเรียนให้เห็นแล้วว่ามีผลต่อความเชื่อถือและศรัทธาอย่างไรกับองค์กรตุลาการ ซึ่งถือเป็นองค์กรสุดสุดท้ายองค์กรเดียวที่ประชาชนจะพึ่งพา
ขณะที่กระบวนการยุติธรรมเบื้องต้นไม่ว่าตำรวจและอัยการก็ถูกครหาเรื่องความยุติธรรมและเลือกปฏิบัติ เช่นเดียวกับองค์กรอิสระต่างๆที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นหนึ่งในวิกฤตของบ้านเมือง ไม่ว่าจะเป็นศาลปกครอง ศาลรัฐธรรมนูญ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) หรือคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ฯลฯ
เพราะวันนี้วิกฤตที่เกิดขึ้นก็ถือเป็นความหายนะของบ้านเมืองอย่างยิ่งแล้ว แต่หากประชาชนยังพึ่งไม่ได้แม้แต่สถาบันตุลาการก็ถือว่าวงการยุติธรรมไทยย่อยยับและอัปรีย์ถึงที่สุดแล้ว
**********************************************************************
คีร์กิซสถาน vs ไทยแลนด์
คีร์กิซสถานไม่ใช่เพื่อนบ้านของไทย แต่พื้นที่ภาคใต้มีการจลาจลเหมือนกัน.. “ความเหมือนและความต่าง” ในหลากหลายกรณีมานำเสนอ เพราะมีหลายกรณีที่น่าศึกษาและนำมาประยุกต์เพื่อประโยชน์ต่อการพัฒนาความสงบสุขในพื้นที่ภาคใต้ของไทย..
คีร์กีซสถานเป็นประเทศยากจนที่สุดแห่งหนึ่ง ประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวคีร์กีซ และมีชาวอุซเบเป็นชนส่วนน้อย มักมีปัญหากันอยู่เสมอ แม้ว่าส่วนใหญ่จะเป็นมุสลิมด้วยกันก็ตาม
คีร์กิซสถานตั้งอยู่ในเอเชียกลาง มีพรมแดนติดต่อกับรัสเซีย จีน อุซเบกิสถาน คาซัคสถาน รัสเซียมีฐานทัพอยู่ในคีร์กิซสถาน ขณะเดียวกัน สหรัฐก็ขอมาตั้งฐานทัพในเพื่อเป็นฐานส่งกำลังบำรุงและฐานปฏิบัติการส่วนหน้าในอัฟกานิสถาน
รัฐบาลคีร์กิซสถานจึงเล่นไพ่ 2 มือ เพื่อแสวงหาประโยชน์จากทั้ง 2 ประเทศ
คีร์กิซสถานเป็นประเทศหนึ่งในเอเชียกลางซึ่งมีความก้าวหน้าด้านการพัฒนาประชาธิปไตย มีการ “ปฏิวัติทิวลิป” ปี 2548 โค่นล้มประธานาธิบดีคนแรกในข้อหาไม่สามารถแก้ไขปัญหาความยากจนและการคอรัปชั่นตามที่สัญญาไว้ให้กับประชาชนได้
กรณีน่าศึกษา คือ เหตุการณ์จลาจลและการสงครามกลางเมืองที่เกิดขึ้นตั้งแต่เดือนเมษายน – มิถุนายน 2553 ภายใต้การบริหารงานของประธานาธิบดีคนที่สอง คือ นายบาคิเยฟ คล้ายกับการจลาจลที่เกิดขึ้นในไทย
1. นายบาคิเยฟ ถูกประชาชนเดินขบวนต่อต้านครั้งใหญ่จนนำไปสู่การจลาจลในเมืองหลวง เพื่อขับเขาออกจากอำนาจ ในข้อหาคอรัปชั่น
2. มีการตั้งรัฐบาลชั่วคราวโดยมีผู้นำเป็นหญิงชื่อ นางโอตุนบาเยวา ขึ้นเพื่อร่างรัฐธรรมนูญซึ่งมีกำหนดออกเสียงประชามติในวันที่ 27 มิถุนายน 2553 และจัดการเลือกตั้งทั่วไปในเดือนตุลาคม 2553 แต่นายบาคิเยฟยังไม่ยอมแพ้โดยอ้างสิทธิอันชอบธรรมในการเป็นผู้นำ นายบาคิเยฟและบุตรชายซึ่งมีฐานเสียงอยู่ทางภาคใต้ของประเทศไปเคลื่อนไหวปลุกระดมชาวบ้านแถบนั้น ส่วนชนกลุ่มน้อยอุซเบในพื้นที่สนับสนุนรัฐบาลชั่วคราวของนางโอตุนบาเยวา จนนำไปสู่สงครามกลางเมือง
3. อดีตผู้นำที่สูญเสียอำนาจถูกรัฐบาลชั่วคราวประกาศจะเอาตัวมาลงโทษจากการกระทำผิดที่ได้เกิดขึ้น ในข้อหาปลุกปั่น ปลุกระดมให้คนที่สนับสนุนตนก่อความวุ่นวายกับชนกลุ่มน้อยที่สนับสนุนผู้นำคนใหม่จนเกิดสงครามกลาง
4. คีร์กิซสถานเพิ่งจะมีปัญหากันเมื่อมีการแบ่งพวกเป็นฝ่ายสนับสนุนรัฐบาลเก่าและรัฐบาลชั่วคราว กล่าวกันว่า แก๊งมาเฟียที่เกี่ยวข้องกับการค้ายาเสพติดและธุรกิจมืดต่าง ๆ ซึ่งสนับสนุนนายบาคิเยฟไปปลุกระดมให้ชาวคีร์กิซเข้าทำร้าย เข่นฆ่าชาวอุซเบ ทำให้เกิดสงครามกลางเมือง หรือสงครามชาติพันธ์
5. มีรายงานว่า ชาวคีร์กิซในภาคใต้ซึ่งสนับสนุนนายบาคิเยฟ ก่อการจลาจลเพื่อขัดขวางไม่ให้รัฐบาลชั่วคราวจัดการลงมติรับรองรัฐธรรมนูญและจัดให้มีการเลือกตั้งได้
6. ปัญหาความยากจน การคอรัปชั่นและปัญหาที่ดิน เป็นปัญหาหลักและเป็นจุดอ่อนของประเทศกำลังพัฒนาทั้งหลาย ซึ่งความยากจนคงไม่สามารถแก้ได้โดยเร็ว แต่ความยากจนถูกซ้ำเติมจากการคอรัปชั่นของรัฐบาลและเจ้าหน้าที่รัฐ
7. การจลาจลที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องของสงครามกลางเมืองระหว่างชาติพันธ์ ซึ่งเป็นเรื่องละเอียดอ่อนและมีความร้ายแรงมากกว่าความเห็นต่างทางการเมืองธรรมดา มีการอพยพย้ายถิ่นเป็นจำนวนมาก ส่งผลให้ใภ้สภากาชาดสากลต้องเข้ามาบริหารจัดการกับปัญหาดังกล่าว
แม้สิ่งที่เกิดขึ้นในคีร์กิซสถานจะไม่ส่งผลกระทบต่อประเทศไทย แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในคีร์กิซสถานอาจให้ข้อคิดบางอย่างแก่คนไทยรวมไปถึงประเทศที่กำลังพัฒนาในหลายๆประเทศ
หากศึกษาให้ถ่องแท้ ประเทศที่เกิดจลาจลไม่เฉพาะคีร์กิซสถานล้วนมีจุดแตกหักที่ไม่แตกต่างกัน
ที่มา.บางกอกทูเดย์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
คีร์กีซสถานเป็นประเทศยากจนที่สุดแห่งหนึ่ง ประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวคีร์กีซ และมีชาวอุซเบเป็นชนส่วนน้อย มักมีปัญหากันอยู่เสมอ แม้ว่าส่วนใหญ่จะเป็นมุสลิมด้วยกันก็ตาม
คีร์กิซสถานตั้งอยู่ในเอเชียกลาง มีพรมแดนติดต่อกับรัสเซีย จีน อุซเบกิสถาน คาซัคสถาน รัสเซียมีฐานทัพอยู่ในคีร์กิซสถาน ขณะเดียวกัน สหรัฐก็ขอมาตั้งฐานทัพในเพื่อเป็นฐานส่งกำลังบำรุงและฐานปฏิบัติการส่วนหน้าในอัฟกานิสถาน
รัฐบาลคีร์กิซสถานจึงเล่นไพ่ 2 มือ เพื่อแสวงหาประโยชน์จากทั้ง 2 ประเทศ
คีร์กิซสถานเป็นประเทศหนึ่งในเอเชียกลางซึ่งมีความก้าวหน้าด้านการพัฒนาประชาธิปไตย มีการ “ปฏิวัติทิวลิป” ปี 2548 โค่นล้มประธานาธิบดีคนแรกในข้อหาไม่สามารถแก้ไขปัญหาความยากจนและการคอรัปชั่นตามที่สัญญาไว้ให้กับประชาชนได้
กรณีน่าศึกษา คือ เหตุการณ์จลาจลและการสงครามกลางเมืองที่เกิดขึ้นตั้งแต่เดือนเมษายน – มิถุนายน 2553 ภายใต้การบริหารงานของประธานาธิบดีคนที่สอง คือ นายบาคิเยฟ คล้ายกับการจลาจลที่เกิดขึ้นในไทย
1. นายบาคิเยฟ ถูกประชาชนเดินขบวนต่อต้านครั้งใหญ่จนนำไปสู่การจลาจลในเมืองหลวง เพื่อขับเขาออกจากอำนาจ ในข้อหาคอรัปชั่น
2. มีการตั้งรัฐบาลชั่วคราวโดยมีผู้นำเป็นหญิงชื่อ นางโอตุนบาเยวา ขึ้นเพื่อร่างรัฐธรรมนูญซึ่งมีกำหนดออกเสียงประชามติในวันที่ 27 มิถุนายน 2553 และจัดการเลือกตั้งทั่วไปในเดือนตุลาคม 2553 แต่นายบาคิเยฟยังไม่ยอมแพ้โดยอ้างสิทธิอันชอบธรรมในการเป็นผู้นำ นายบาคิเยฟและบุตรชายซึ่งมีฐานเสียงอยู่ทางภาคใต้ของประเทศไปเคลื่อนไหวปลุกระดมชาวบ้านแถบนั้น ส่วนชนกลุ่มน้อยอุซเบในพื้นที่สนับสนุนรัฐบาลชั่วคราวของนางโอตุนบาเยวา จนนำไปสู่สงครามกลางเมือง
3. อดีตผู้นำที่สูญเสียอำนาจถูกรัฐบาลชั่วคราวประกาศจะเอาตัวมาลงโทษจากการกระทำผิดที่ได้เกิดขึ้น ในข้อหาปลุกปั่น ปลุกระดมให้คนที่สนับสนุนตนก่อความวุ่นวายกับชนกลุ่มน้อยที่สนับสนุนผู้นำคนใหม่จนเกิดสงครามกลาง
4. คีร์กิซสถานเพิ่งจะมีปัญหากันเมื่อมีการแบ่งพวกเป็นฝ่ายสนับสนุนรัฐบาลเก่าและรัฐบาลชั่วคราว กล่าวกันว่า แก๊งมาเฟียที่เกี่ยวข้องกับการค้ายาเสพติดและธุรกิจมืดต่าง ๆ ซึ่งสนับสนุนนายบาคิเยฟไปปลุกระดมให้ชาวคีร์กิซเข้าทำร้าย เข่นฆ่าชาวอุซเบ ทำให้เกิดสงครามกลางเมือง หรือสงครามชาติพันธ์
5. มีรายงานว่า ชาวคีร์กิซในภาคใต้ซึ่งสนับสนุนนายบาคิเยฟ ก่อการจลาจลเพื่อขัดขวางไม่ให้รัฐบาลชั่วคราวจัดการลงมติรับรองรัฐธรรมนูญและจัดให้มีการเลือกตั้งได้
6. ปัญหาความยากจน การคอรัปชั่นและปัญหาที่ดิน เป็นปัญหาหลักและเป็นจุดอ่อนของประเทศกำลังพัฒนาทั้งหลาย ซึ่งความยากจนคงไม่สามารถแก้ได้โดยเร็ว แต่ความยากจนถูกซ้ำเติมจากการคอรัปชั่นของรัฐบาลและเจ้าหน้าที่รัฐ
7. การจลาจลที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องของสงครามกลางเมืองระหว่างชาติพันธ์ ซึ่งเป็นเรื่องละเอียดอ่อนและมีความร้ายแรงมากกว่าความเห็นต่างทางการเมืองธรรมดา มีการอพยพย้ายถิ่นเป็นจำนวนมาก ส่งผลให้ใภ้สภากาชาดสากลต้องเข้ามาบริหารจัดการกับปัญหาดังกล่าว
แม้สิ่งที่เกิดขึ้นในคีร์กิซสถานจะไม่ส่งผลกระทบต่อประเทศไทย แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในคีร์กิซสถานอาจให้ข้อคิดบางอย่างแก่คนไทยรวมไปถึงประเทศที่กำลังพัฒนาในหลายๆประเทศ
หากศึกษาให้ถ่องแท้ ประเทศที่เกิดจลาจลไม่เฉพาะคีร์กิซสถานล้วนมีจุดแตกหักที่ไม่แตกต่างกัน
ที่มา.บางกอกทูเดย์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
"ทักษิณ"ลั่น ถูกกลั่นแกล้งทางการเมือง ดิ้นต่อหาทางสู้ในเวทีอื่น "นพดล"บอกที่ประชุมศาลไม่รับอุทธรณ์ตามคาด
มติชนออนไลน์
นายนพดล ปัทมะ ที่ปรึกษากฎหมายพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีให้สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ถึงกรณีที่ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาลงมติด้วยคะแนนเสียง 103 ต่อ 4 ไม่รับอุทธรณ์คดียึดทรัพย์พ.ต.ท.ทักษิณ ครอบครัว และพวก จำนวน 4.6หมื่นล้านบาท ว่า เรื่องดังกล่าวไม่ได้นอกเหนือความคาดหมาย ซึ่งพ.ต.ท.ทักษิณ ได้รับทราบมติของที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาแล้ว และรู้สึกว่าท่านและครอบครัวไม่ได้รับความยุติธรรม ถูกกลั่นแกล้งทางการเมือง เพราะคดีดังกล่าวเริ่มมาจากการยึดอำนาจ มีการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ(คตส.) ที่เป็นผู้เริ่มกระบวนการยึดทรัพย์ของอดีตนายกรัฐมนตรี
“เรารู้สึกผิดหวัง เพราะตั้งแต่มีการยึดอำนาจพ.ต.ท.ทักษิณ ก็ถูกกลั่นแกล้งทางการเมืองมาโดยตลอด ซึ่งพ.ต.ท.ทักษิณ และครอบครัวจะเดินหน้าแสวงหาความยุติธรรมต่อไป ส่วนจะเป็นวิธีไหนนั้นทีมกฎหมายกำลังอยู่ในระหว่างการศึกษาช่องทางที่จะดำเนินการต่อไป”นายนพดลกล่าว
นายนพดล กล่าวว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ยังอยากเห็นความปรองดองของคนในชาติ และการหันหน้ามาพูดคุยกัน ไม่อยากเห็นการกลั่นแกล้งทางการเมือง ซึ่งความปรองดองจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีความยุติธรรมให้กับทุกคน
เมื่อถามว่ามติของที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาถึงว่าเป็นที่สุดแล้วที่ไม่รับอุทธรณ์คดีดังกล่าว นายนพดล กล่าวว่า ตามกระบวนการพิจารณาศาลฎีกาของไทยก็คงเป็นไปตามนั้น แต่เชื่อว่ายังมีโอกาสในเวทีอื่น ส่วนกรณีที่มีผู้พิพากษาเพียง 4 เสียงลงมติให้รับอุทธรณ์ในคดีดังกล่าวนั้น เห็นว่าแม้จะเป็นจำนวนน้อย แต่เป็นเรื่องที่ได้รับการพิจารณาจากผู้พิพากษาเหล่านั้น
"ตู่"ลั่น"แดง"ไม่ขวัญเสียศาลฎีกาไม่อุทธรณ์ยึดทรัพย์แม้ว
ที่รัฐสภา นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย และแกนนำกลุ่มนปช. กล่าวถึงกรณีที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาไม่รับอุทธรณ์คดียึดทรัพย์ 4.6 หมื่นล้านบาท พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯว่า เรื่องนี้เมื่อศาลมีมติชัดเจนแล้วก็ถือเป็นข้อยุติที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ และคงไม่ได้ทำให้กลุ่มคนเสื้อแดงเกิดอาการขวัญเสีย และไม่มีผลต่อการดำรงอยู่ของคนเสื้อแดง เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมาไม่ได้มีการใช้เงินของอดีตนายกฯ การดำเนินการหรือเคลื่อนไหวใดๆ ก็เป็นการนำเงินมาจากการระดมทุนกันเองทั้งการจัดคอนเสิร์ต จัดกิจกรรม ขายของที่ระลึก ฉะนั้นกลุ่มคนเสื้อแดงก็ยังคงเดินหน้าต่อไปได้อย่างไม่มีปัญหา
"ยิ่งลักษณ์"ปัดวิจารณ์ศาลฎีกา ไม่รับอุทธรณ์คดียึดทรัพย์"แม้ว"
ที่มูลนิธิไทยคม น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร น้องสาวพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกามีมติไม่รับอุทธรณ์การต่อสู้คดียึดทรัพย์ 4.6 หมื่นล้านบาท ของพ.ต.ท.ทักษิณ และครอบครัวว่า ตนเพิ่งทราบข่าวว่าที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาไม่รับอุทธรณ์ ส่วนรายละเอียดข้อมูลนั้น ต้องรอฟังจากทางทีมทนายที่จะคัดคำพิพากษาอย่างเป็นทางการออกมาก่อนว่า เรายังสามารถจะดำเนินการอย่างไรต่อไปได้บ้าง ซึ่งเรื่องนี้ตนยังไม่ได้พูดคุยกับพ.ต.ท.ทักษิณ แต่อย่างใด
เมื่อถามว่า จำนวนเงิน 4.6 หมื่นล้านบาทที่หายไป จะส่งผลกระทบอะไรกับคนในตระกูลชินวัตรหรือไม่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า ส่วนตัวก็ยังดำรงชีวิตเหมือนเดิม ยังทำงานด้านธุรกิจ สังคมและมูลนิธืไทยคมต่อไป เมื่อถามว่าได้เตรียมแผนการรองรับหรือไม่หากศาลไม่รับอุทธรณ์ น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า เป็นเรื่องของทีมทนายที่จะดำเนินการต่อไป
เมื่อถามว่ารู้สึกอย่างไรกับมติที่ออกมา น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า ยังไม่ขอให้ความเห็น และจะทำหน้าที่ในฐานะประชาชนคนหนึ่งต่อไป
เมื่อถามต่อว่า มีการตั้งข้อสังเกตว่าถ้าตระกูลชินวัตรไม่สามารถนำเงินจำนวนดังกล่าวมาใช้ได้ จะเป็นการตัดท่อน้ำเลี้ยงของกลุ่มคนเสื้อแดงในการเคลื่อนไหวได้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า เรื่องของท่อน้ำเลี้ยงนั้น คงไม่มีจริง ส่วนที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ)ตรวจสอบธุรกรรมการใช้จ่ายทางการเงินของเครือข่ายที่เกี่ยวข้องกับพ.ต.ท.ทักษิณ ก็ได้จบไปแล้ว ถือเป็นคนละเรื่องกัน ยืนยันว่าเงินทุกบาททุกสตางค์ก็ใช้จ่ายอย่างสุจริต และขณะนี้ตนสามารถทำธุรกรรมทางการเงินได้ตามปกติแล้ว
เมื่อถามถึงกรณีที่ดีเอสไอปลดล็อกการตรวจสอบธุรกรรมทางการเงิน น.ส.ยิ่งลักษิณ กล่าวว่า ต้องเรียนว่าเราบริสุทธิ์ใจและสามารถชี้แจงรายละเอียดในการใช้จ่ายต่างๆได้
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
นายนพดล ปัทมะ ที่ปรึกษากฎหมายพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีให้สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ถึงกรณีที่ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาลงมติด้วยคะแนนเสียง 103 ต่อ 4 ไม่รับอุทธรณ์คดียึดทรัพย์พ.ต.ท.ทักษิณ ครอบครัว และพวก จำนวน 4.6หมื่นล้านบาท ว่า เรื่องดังกล่าวไม่ได้นอกเหนือความคาดหมาย ซึ่งพ.ต.ท.ทักษิณ ได้รับทราบมติของที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาแล้ว และรู้สึกว่าท่านและครอบครัวไม่ได้รับความยุติธรรม ถูกกลั่นแกล้งทางการเมือง เพราะคดีดังกล่าวเริ่มมาจากการยึดอำนาจ มีการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ(คตส.) ที่เป็นผู้เริ่มกระบวนการยึดทรัพย์ของอดีตนายกรัฐมนตรี
“เรารู้สึกผิดหวัง เพราะตั้งแต่มีการยึดอำนาจพ.ต.ท.ทักษิณ ก็ถูกกลั่นแกล้งทางการเมืองมาโดยตลอด ซึ่งพ.ต.ท.ทักษิณ และครอบครัวจะเดินหน้าแสวงหาความยุติธรรมต่อไป ส่วนจะเป็นวิธีไหนนั้นทีมกฎหมายกำลังอยู่ในระหว่างการศึกษาช่องทางที่จะดำเนินการต่อไป”นายนพดลกล่าว
นายนพดล กล่าวว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ยังอยากเห็นความปรองดองของคนในชาติ และการหันหน้ามาพูดคุยกัน ไม่อยากเห็นการกลั่นแกล้งทางการเมือง ซึ่งความปรองดองจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีความยุติธรรมให้กับทุกคน
เมื่อถามว่ามติของที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาถึงว่าเป็นที่สุดแล้วที่ไม่รับอุทธรณ์คดีดังกล่าว นายนพดล กล่าวว่า ตามกระบวนการพิจารณาศาลฎีกาของไทยก็คงเป็นไปตามนั้น แต่เชื่อว่ายังมีโอกาสในเวทีอื่น ส่วนกรณีที่มีผู้พิพากษาเพียง 4 เสียงลงมติให้รับอุทธรณ์ในคดีดังกล่าวนั้น เห็นว่าแม้จะเป็นจำนวนน้อย แต่เป็นเรื่องที่ได้รับการพิจารณาจากผู้พิพากษาเหล่านั้น
"ตู่"ลั่น"แดง"ไม่ขวัญเสียศาลฎีกาไม่อุทธรณ์ยึดทรัพย์แม้ว
ที่รัฐสภา นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย และแกนนำกลุ่มนปช. กล่าวถึงกรณีที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาไม่รับอุทธรณ์คดียึดทรัพย์ 4.6 หมื่นล้านบาท พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯว่า เรื่องนี้เมื่อศาลมีมติชัดเจนแล้วก็ถือเป็นข้อยุติที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ และคงไม่ได้ทำให้กลุ่มคนเสื้อแดงเกิดอาการขวัญเสีย และไม่มีผลต่อการดำรงอยู่ของคนเสื้อแดง เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมาไม่ได้มีการใช้เงินของอดีตนายกฯ การดำเนินการหรือเคลื่อนไหวใดๆ ก็เป็นการนำเงินมาจากการระดมทุนกันเองทั้งการจัดคอนเสิร์ต จัดกิจกรรม ขายของที่ระลึก ฉะนั้นกลุ่มคนเสื้อแดงก็ยังคงเดินหน้าต่อไปได้อย่างไม่มีปัญหา
"ยิ่งลักษณ์"ปัดวิจารณ์ศาลฎีกา ไม่รับอุทธรณ์คดียึดทรัพย์"แม้ว"
ที่มูลนิธิไทยคม น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร น้องสาวพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกามีมติไม่รับอุทธรณ์การต่อสู้คดียึดทรัพย์ 4.6 หมื่นล้านบาท ของพ.ต.ท.ทักษิณ และครอบครัวว่า ตนเพิ่งทราบข่าวว่าที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาไม่รับอุทธรณ์ ส่วนรายละเอียดข้อมูลนั้น ต้องรอฟังจากทางทีมทนายที่จะคัดคำพิพากษาอย่างเป็นทางการออกมาก่อนว่า เรายังสามารถจะดำเนินการอย่างไรต่อไปได้บ้าง ซึ่งเรื่องนี้ตนยังไม่ได้พูดคุยกับพ.ต.ท.ทักษิณ แต่อย่างใด
เมื่อถามว่า จำนวนเงิน 4.6 หมื่นล้านบาทที่หายไป จะส่งผลกระทบอะไรกับคนในตระกูลชินวัตรหรือไม่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า ส่วนตัวก็ยังดำรงชีวิตเหมือนเดิม ยังทำงานด้านธุรกิจ สังคมและมูลนิธืไทยคมต่อไป เมื่อถามว่าได้เตรียมแผนการรองรับหรือไม่หากศาลไม่รับอุทธรณ์ น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า เป็นเรื่องของทีมทนายที่จะดำเนินการต่อไป
เมื่อถามว่ารู้สึกอย่างไรกับมติที่ออกมา น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า ยังไม่ขอให้ความเห็น และจะทำหน้าที่ในฐานะประชาชนคนหนึ่งต่อไป
เมื่อถามต่อว่า มีการตั้งข้อสังเกตว่าถ้าตระกูลชินวัตรไม่สามารถนำเงินจำนวนดังกล่าวมาใช้ได้ จะเป็นการตัดท่อน้ำเลี้ยงของกลุ่มคนเสื้อแดงในการเคลื่อนไหวได้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า เรื่องของท่อน้ำเลี้ยงนั้น คงไม่มีจริง ส่วนที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ)ตรวจสอบธุรกรรมการใช้จ่ายทางการเงินของเครือข่ายที่เกี่ยวข้องกับพ.ต.ท.ทักษิณ ก็ได้จบไปแล้ว ถือเป็นคนละเรื่องกัน ยืนยันว่าเงินทุกบาททุกสตางค์ก็ใช้จ่ายอย่างสุจริต และขณะนี้ตนสามารถทำธุรกรรมทางการเงินได้ตามปกติแล้ว
เมื่อถามถึงกรณีที่ดีเอสไอปลดล็อกการตรวจสอบธุรกรรมทางการเงิน น.ส.ยิ่งลักษิณ กล่าวว่า ต้องเรียนว่าเราบริสุทธิ์ใจและสามารถชี้แจงรายละเอียดในการใช้จ่ายต่างๆได้
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
สมชัย" ไม่เหลือง-ไม่แดง กกต.-คนกลางในวิกฤตขัดแย้ง "ถูกต้อง...เป็นธรรม เป็นสิ่งที่ไม่ตาย"
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
สัมภาษณ์พิเศษ
อย่างเร็วไม่เกินต้นปี 2554 อาจมีการเลือกตั้งใหญ่
อย่างช้าไม่เกินกลางปี 2554 จะมีการเลือกตั้ง
การเลือกตั้งอาจบอกได้ว่าคะแนนใครแพ้-ใครชนะ
แต่กระบวนการเลือกตั้ง-การตัดสินว่าใครแพ้-ชนะ ไม่ใช่พรรคคู่ขัดแย้ง
แต่หน่วยงานที่ต้อง "ประกาศผล" เป็น "องค์กรอิสระ-คนกลาง" อรหันต์ทั้ง 5 คน ที่จะเป็นคนชี้ขาด
สมชัย จึงประเสริฐ กกต.ด้านสืบสวนสอบสวน อดีตเสียงข้างน้อย ผู้เป็นเป้าความขัดแย้งในยุคม็อบเสื้อเหลือง จนถึงม็อบเสื้อแดง
ในปีที่ผู้นำประเทศชื่อ สมัคร สุนทรเวช และฝ่ายบริหารมาจากพรรคของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ภายใต้บรรยากาศแจกใบเหลือง ใบแดง ใบขาว หลังการเลือกตั้งครั้งแรกนับแต่การรัฐประหาร ที่นักเลือกตั้งลุ้นกันตัวโก่ง เพราะเดิมพันไม่เพียงหลุดจากตำแหน่ง ส.ส. แต่บางคดีมีความหมายถึงการยุบพรรคตามมาด้วย
ชื่อของ สมชัย จึงประเสริฐ ตกเป็น เป้าโจมตีของการเคลื่อนไหวนอกสภาในเวลานั้น โดยฝ่ายเสื้อเหลือง-พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เพราะบรรดาคดีดังทั้งหลายแหล่ ถูก "กกต.สมชัย" โหวตคำวินิจฉัย ไม่ถูกใจม็อบที่ต้านรัฐบาลสีแดง
แม้ฝ่ายบริหารเปลี่ยนขั้ว... ม็อบบนถนนเปลี่ยนสีจากเหลืองเป็นแดงโดยแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ แต่การโหวตคำวินิจฉัยคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ รอบแรก ที่เสียงข้างมากโยนให้นายทะเบียนพรรคการเมืองไปทำการบ้านมาอีกรอบ "กกต.สมชัย" ยังไม่เปลี่ยนข้าง ยังคงเป็นฝ่ายที่อยู่ตรงข้ามม็อบแดง
เมื่อการทำหน้าที่ในองค์กรอิสระ บนบรรยากาศที่ไม่เอื้อต่อความเป็นอิสระ "กกต.สมชัย" ผู้คุ้นเคยกับความขัดแย้งและแรงต้านมาโดยตลอด เปิดใจ เรื่องความเตรียมพร้อมต่อการทำหน้าที่ระหว่างเขาควาย เตรียมเป็นกรรมการตัดสินการต่อสู้ระหว่าง "เสือ-สิงห์-กระทิง-แรด" อีกรอบ
- ท่ามกลางความไม่พอใจที่มีต่อองค์กรอิสระ เช่น การไม่เห็นด้วยกับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ศาลปกครอง จะเป็นปัญหาต่อการทำงานของ กกต. ซึ่งเป็นองค์กรอิสระด้วยหรือไม่
ผมคิดว่า กกต.คงไม่มีปัญหาในการทำงาน เพราะเรื่องนี้ ประชาชนสามารถแยกแยะได้ว่า องค์กรไหนได้ให้ความเป็นธรรม องค์กรไหนน่าเชื่อถือ ซึ่งเมื่อองค์กรของเราได้ปฏิบัติหน้าที่อย่างตรงไปตรงมา ถือหลักกฎหมายและประโยชน์ประเทศชาติ ประชาชน เป็นหลักแล้ว ทุกคนก็คงรู้อยู่แก่ใจว่า สิ่งที่ กกต.กระทำไปนั้นถูกต้องหรือไม่ ซึ่งหากองค์กรไหนไม่ได้ยึดหลักความเป็นธรรม องค์กรนั้นก็จะไม่ได้รับความ เชื่อถือจากประชาชนเอง ซึ่งองค์กรอิสระแต่ละองค์กรไม่เกี่ยวข้องกัน เชื่อว่าประชาชนจะสามารถแยกแยะได้
- ส่วนตัวเคยถูกโจมตีจากกลุ่มเสื้อเหลือง (พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย) ว่า วินิจฉัยเป็นประโยชน์ต่อพรรคพลังประชาชน และถูกโจมตีจากกลุ่มเสื้อแดง (แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ) กรณีเป็น 1 ใน กกต. ที่ไม่ลงมติยุบพรรคประชาธิปัตย์ และให้ส่งกลับนายทะเบียนพรรคการเมือง ในการลงมติรอบแรก
เราต้องยึดหลักกฎหมาย ยึดหลักความถูกต้องเป็นธรรม เพราะช่วงระยะเวลาหนึ่ง สิ่งที่เราทำไปนั้นอาจจะไม่ถูกใจ ไปขัดขวางผลประโยชน์หรือความต้องการของกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง กลุ่มนั้นอาจจะไม่พอใจ แต่ครั้นเวลาได้ผ่านพ้นไป สิ่งที่เป็นกระแสสังคมลดลง และประชาชนหรือบุคคล กลุ่มนั้นได้หันกลับมา มีเวลาได้พิจารณาพิเคราะห์ถึงหลักกฎหมาย ถึงความถูกต้องเป็นธรรม เขาก็จะยอมรับสิ่งนั้นเอง จึงเห็นว่าความถูกต้อง เป็นธรรม เป็นสิ่งที่ไม่ตาย แม้แรก ๆ อาจจะถูกเข้าใจผิด แต่ความ ถูกต้องย่อมสามารถยืนหยัดได้ด้วยตัวของมันเอง และกาลเวลาจะเป็นสิ่งพิสูจน์
- ช่วงที่ผ่านมา กกต.ก็ได้กลายเป็นคู่ขัดแย้ง
การเป็นคู่ขัดแย้งนั้น ถ้าหาก กกต. ทำตัวของตัวเองเป็นคู่ขัดแย้ง ก็เป็นเรื่องที่ไม่น่าให้อภัย เป็นเรื่องที่น่าสมเพช แต่ถ้าการเป็นคู่ขัดแย้ง เกิดจากการบิดเบือนการกระทำของฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด เพื่อประสงค์ต่อประโยชน์ในทางการเมือง หรือผลประโยชน์อื่นก็ตาม ก็เป็นเรื่องที่เราไม่ต้องไปหวั่นไหว เพราะท้ายที่สุดความจริงก็เป็นความจริงอยู่วันยังค่ำ ความจริงความถูกต้องอยู่นิรันดร ไม่ตาย
- หรือเป็นเพราะท่านมีความสัมพันธ์กับฝ่ายการเมือง เพราะเป็นเพื่อนรุ่นเดียวกันกับนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกฯจากพรรคพลังประชาชน และน้องเขยของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
อยากเรียนชี้แจงว่า ผมเป็นผู้ช่วย ผู้พิพากษารุ่นเดียวกับนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ จริง แต่นายสมชายเคยบอกว่า "เพื่อน... ไม่ต้องช่วยผม" เขาขออย่างเดียว อย่ากลั่นแกล้งเขาก็แล้วกัน เขาขอเท่านี้ ซึ่งถึงแม้เขาไม่ขอ ผมก็ไม่กลั่นแกล้งใครอยู่แล้ว เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องอำนาจหน้าที่ ที่ในฐานะเป็นผู้พิพากษาก็ย่อมรู้อยู่ว่าการที่จะให้เพื่อน หรือผู้พิพากษาคนหนึ่ง กระทำผิดต่อกฎหมาย กระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ ถ้าใครปฏิบัติแบบนั้นก็เป็นเรื่องทรยศต่อหน้าที่ ต่ออุดมการณ์
- เคยถูกมองว่าวินิจฉัยเข้าทางฝ่าย พ.ต.ท.ทักษิณ
เรื่องของคนอื่น เราไม่อาจจะบังคับได้ การที่คนอื่นจะมองผิด มองอะไร เราไปบังคับเขาไม่ได้ แต่เมื่อธุลีในตาเขาได้ถูกล้างออกแล้ว ตาสว่างขึ้น จิตใจสว่างขึ้น ก็จะได้เห็นความถูกต้อง เป็นธรรม ที่เราได้กระทำนั้นเอง ก็คิดว่าถึงตอนนี้ เมื่อกลับขั้วแล้ว เขาก็จะเห็นว่าสิ่งที่เราเคยทำ เราก็ยืนอยู่บนความถูกต้อง เป็นธรรม
ผมจำอย่างที่ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช เคยสอนเคยพูดไว้ว่า อย่าได้ไปพรั่นพรึง ถึงเรื่องที่แล้วมา และไม่ต้องไปหวั่นไหว กับเรื่องอนาคตที่มันยังมาไม่ถึง ต้องทำปัจจุบันให้มันดีที่สุด ผมไม่ใช่เป็นคนที่ไปอาฆาตมาดร้ายใคร สิ่งที่ใครเคยกล่าวหาผมนั้น ผมลืมไปหมดแล้ว และจะไม่ขอ พูดถึงอีก
- สถานการณ์ทางการเมืองที่มีความรุนแรงเข้มข้นขึ้น ทั้งเหตุปะทะในการชุมนุม และเหตุระเบิด ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต ท่านมีความลำบากใจต่อการทำหน้าที่ในอนาคตหรือไม่
เรามีหน้าที่จัดการเลือกตั้ง ก็ต้องทำตามหน้าที่ให้ตรงไปตรงมา ยึดถือความสุจริตเที่ยงธรรม เชื่อว่าประชาชนคนไทยไม่ว่าจะแสดงออกอย่างไร แต่ในใจเขาก็ยอมรับความเป็นธรรม เราคงไม่ต้องลำบากใจในเรื่องนี้ เพียงแต่ในฐานะที่เราเป็นคนไทยคนหนึ่ง ก็อยากให้ประเทศมีความก้าวหน้า บ้านเมืองสงบสุข ถึงเราไม่กลัวไม่หวั่นไหว แต่เราก็มีความเป็นห่วง ไม่อยากให้เกิดขึ้น
- เตรียมความพร้อมอย่างไร สำหรับการเลือกตั้งใหญ่ที่จะมาถึง
ตอนนี้ กกต.คนอื่นเขาก็เตรียมของเขา ผมไม่ได้ไปก้าวล่วงถึงเขา แต่สำหรับด้านสืบสวนสอบสวน เรากำลังให้ความรู้ ซักซ้อมความเข้าใจเกี่ยวกับระเบียบกฎหมาย และการจัดเตรียมคน กำลังจะแบ่งวางแผนกำลังคนต่าง ๆ เพื่อให้ไปควบคุม ทำงานปฏิบัติการด้านสืบสวนสอบสวนให้ถูกต้อง เป็นธรรมและรวดเร็ว
พยายามจะเรียนรู้ถึงพฤติกรรมนักเลือกตั้งที่ผ่านมา และเรื่องในอนาคตที่คิดว่าพฤติการณ์ของนักเลือกตั้งที่ทุจริตน่าจะเปลี่ยนแปลงไป ซึ่งเราจะพยายามติดตามให้ทัน ก็ได้เตรียมการนี้อยู่
- เปลี่ยนแปลงไปอย่างไร
เช่น เมื่อก่อนนี้เอาเงินสดไปซื้อเสียง แต่ทุกวันนี้หายากที่จะเอาเงินไปซื้ออย่างตรงไปตรงมา เพราะมีวิธีการอื่น เช่น จัดตั้งลงไปเลย โดยที่เงินยังไม่จ่าย แต่มาจ่าย ภายหลัง...
- มีเรื่องสัญญาว่าจะให้ แทนที่จะเอาเงินไปจ่ายในคืนหมาหอน
ใช่...มันเริ่มยาก ไม่ใช่มีแต่คืนหมาหอน
- มองพัฒนาการการเมืองและพรรคการเมืองไทยอย่างไร
การเลือกตั้งของประชาชนมีการพัฒนาขึ้น รู้สึกว่าพรรคการเมืองของประเทศเรามีตั้ง 50-60 พรรค เต็มไปหมด แต่ดูเหมือนจะมี 2 พรรคที่อยู่ในความสนใจและการตัดสินใจของประชาชน อันนี้จะมองว่าดีก็ดี เพราะเป็นการเลือกพรรค เลือกนโยบาย มากกว่าเลือกตัวบุคคล อย่างในสหรัฐ อเมริกาก็มี 2 พรรคการเมืองใหญ่ที่แข่งกัน
- การแข่งกันในการเลือกตั้งจะช่วยคลี่คลายความขัดแย้งอย่างไร
เมื่อมีความขัดแย้งกัน ก็ควรรอวัน เลือกตั้ง ไม่ใช่เอากำลังมาเปลี่ยน นี่คือวิถีประชาธิปไตย ซึ่งมันสามารถเปลี่ยนแปลงอำนาจการปกครองได้ โดยมีกำหนดเวลา โดยเอาความนิยม หรืออีกอย่างคือเสียงประชาชน ที่จะมาชี้ขาดว่าใครควรที่จะมา บริหารประเทศ
การชุมนุมเป็นเพียงการแสดงออกหรือบอกให้รู้เท่านั้นเอง แต่การชุมนุมไม่ใช่ ตัวชี้วัดว่า ตกลงแล้วประชาชนจะเอายังไง เพราะอย่างน้อย หากมีการชุมนุมเยอะๆ ที่จำนวนมากพอสมควร ก็ควรมีช่องทางที่ผลักดันให้ กกต.ทำประชามติ ว่าประชาชนส่วนใหญ่จะเอาแบบไหน จะเอาตามรัฐบาล หรือเอาตามที่มีการเรียกร้องเคลื่อนไหว อย่างนี้จึงจะเป็นวิถีประชาธิปไตย ตัดสินกันด้วยเสียงประชาชน
- ท่านคิดว่าปัญหาคือการปฏิบัติของรัฐ ต่อผู้ชุมนุม
การชุมนุมทำได้ แต่อำนาจรัฐก็ต้องปฏิบัติต่อผู้ชุมนุมทุกกลุ่มเหมือนกัน เรื่องนี้จะโทษใคร ความเป็นประชาธิปไตย ต้องปฏิบัติเหมือนกันไม่ว่าจะฝ่ายไหน ควรมีกฎหมายออกมาควบคุมการชุมนุม แต่ปัจจุบันเรามีแต่รัฐธรรมนูญและความเสรี จนกระทั่งตามอำเภอใจ ตามใจฉัน ซึ่งมันไม่ถูกต้อง เพราะการชุมนุมควรจะมาแสดงออกกันในระดับหนึ่งแล้วกลับไป
- การชุมนุมที่ผ่านมา ทุกสีเสื้อมุ่งโค่นอำนาจรัฐบาล
ทุกอย่างควรไปวัดกันที่การเลือกตั้ง ถ้าพรรคฝ่ายค้านรับข้อทุกข์ร้อนแล้วเอามาอภิปรายในสภา หากรัฐบาลแก้ปัญหาไม่ได้ผลก็จะทำให้คะแนนนิยมรัฐบาลตกต่ำลง เมื่อถึงคราวเลือกตั้งก็สามารถเปลี่ยนขั้วอำนาจได้
เป็นการเปลี่ยนผู้บริหารประเทศโดยสันติวิธี นี่คือวิถีประชาธิปไตย ที่เราบอกว่าดีกว่าการปกครองอื่น ๆ ก็ตรงนี้แหละ
สัมภาษณ์พิเศษ
อย่างเร็วไม่เกินต้นปี 2554 อาจมีการเลือกตั้งใหญ่
อย่างช้าไม่เกินกลางปี 2554 จะมีการเลือกตั้ง
การเลือกตั้งอาจบอกได้ว่าคะแนนใครแพ้-ใครชนะ
แต่กระบวนการเลือกตั้ง-การตัดสินว่าใครแพ้-ชนะ ไม่ใช่พรรคคู่ขัดแย้ง
แต่หน่วยงานที่ต้อง "ประกาศผล" เป็น "องค์กรอิสระ-คนกลาง" อรหันต์ทั้ง 5 คน ที่จะเป็นคนชี้ขาด
สมชัย จึงประเสริฐ กกต.ด้านสืบสวนสอบสวน อดีตเสียงข้างน้อย ผู้เป็นเป้าความขัดแย้งในยุคม็อบเสื้อเหลือง จนถึงม็อบเสื้อแดง
ในปีที่ผู้นำประเทศชื่อ สมัคร สุนทรเวช และฝ่ายบริหารมาจากพรรคของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ภายใต้บรรยากาศแจกใบเหลือง ใบแดง ใบขาว หลังการเลือกตั้งครั้งแรกนับแต่การรัฐประหาร ที่นักเลือกตั้งลุ้นกันตัวโก่ง เพราะเดิมพันไม่เพียงหลุดจากตำแหน่ง ส.ส. แต่บางคดีมีความหมายถึงการยุบพรรคตามมาด้วย
ชื่อของ สมชัย จึงประเสริฐ ตกเป็น เป้าโจมตีของการเคลื่อนไหวนอกสภาในเวลานั้น โดยฝ่ายเสื้อเหลือง-พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เพราะบรรดาคดีดังทั้งหลายแหล่ ถูก "กกต.สมชัย" โหวตคำวินิจฉัย ไม่ถูกใจม็อบที่ต้านรัฐบาลสีแดง
แม้ฝ่ายบริหารเปลี่ยนขั้ว... ม็อบบนถนนเปลี่ยนสีจากเหลืองเป็นแดงโดยแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ แต่การโหวตคำวินิจฉัยคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ รอบแรก ที่เสียงข้างมากโยนให้นายทะเบียนพรรคการเมืองไปทำการบ้านมาอีกรอบ "กกต.สมชัย" ยังไม่เปลี่ยนข้าง ยังคงเป็นฝ่ายที่อยู่ตรงข้ามม็อบแดง
เมื่อการทำหน้าที่ในองค์กรอิสระ บนบรรยากาศที่ไม่เอื้อต่อความเป็นอิสระ "กกต.สมชัย" ผู้คุ้นเคยกับความขัดแย้งและแรงต้านมาโดยตลอด เปิดใจ เรื่องความเตรียมพร้อมต่อการทำหน้าที่ระหว่างเขาควาย เตรียมเป็นกรรมการตัดสินการต่อสู้ระหว่าง "เสือ-สิงห์-กระทิง-แรด" อีกรอบ
- ท่ามกลางความไม่พอใจที่มีต่อองค์กรอิสระ เช่น การไม่เห็นด้วยกับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ศาลปกครอง จะเป็นปัญหาต่อการทำงานของ กกต. ซึ่งเป็นองค์กรอิสระด้วยหรือไม่
ผมคิดว่า กกต.คงไม่มีปัญหาในการทำงาน เพราะเรื่องนี้ ประชาชนสามารถแยกแยะได้ว่า องค์กรไหนได้ให้ความเป็นธรรม องค์กรไหนน่าเชื่อถือ ซึ่งเมื่อองค์กรของเราได้ปฏิบัติหน้าที่อย่างตรงไปตรงมา ถือหลักกฎหมายและประโยชน์ประเทศชาติ ประชาชน เป็นหลักแล้ว ทุกคนก็คงรู้อยู่แก่ใจว่า สิ่งที่ กกต.กระทำไปนั้นถูกต้องหรือไม่ ซึ่งหากองค์กรไหนไม่ได้ยึดหลักความเป็นธรรม องค์กรนั้นก็จะไม่ได้รับความ เชื่อถือจากประชาชนเอง ซึ่งองค์กรอิสระแต่ละองค์กรไม่เกี่ยวข้องกัน เชื่อว่าประชาชนจะสามารถแยกแยะได้
- ส่วนตัวเคยถูกโจมตีจากกลุ่มเสื้อเหลือง (พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย) ว่า วินิจฉัยเป็นประโยชน์ต่อพรรคพลังประชาชน และถูกโจมตีจากกลุ่มเสื้อแดง (แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ) กรณีเป็น 1 ใน กกต. ที่ไม่ลงมติยุบพรรคประชาธิปัตย์ และให้ส่งกลับนายทะเบียนพรรคการเมือง ในการลงมติรอบแรก
เราต้องยึดหลักกฎหมาย ยึดหลักความถูกต้องเป็นธรรม เพราะช่วงระยะเวลาหนึ่ง สิ่งที่เราทำไปนั้นอาจจะไม่ถูกใจ ไปขัดขวางผลประโยชน์หรือความต้องการของกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง กลุ่มนั้นอาจจะไม่พอใจ แต่ครั้นเวลาได้ผ่านพ้นไป สิ่งที่เป็นกระแสสังคมลดลง และประชาชนหรือบุคคล กลุ่มนั้นได้หันกลับมา มีเวลาได้พิจารณาพิเคราะห์ถึงหลักกฎหมาย ถึงความถูกต้องเป็นธรรม เขาก็จะยอมรับสิ่งนั้นเอง จึงเห็นว่าความถูกต้อง เป็นธรรม เป็นสิ่งที่ไม่ตาย แม้แรก ๆ อาจจะถูกเข้าใจผิด แต่ความ ถูกต้องย่อมสามารถยืนหยัดได้ด้วยตัวของมันเอง และกาลเวลาจะเป็นสิ่งพิสูจน์
- ช่วงที่ผ่านมา กกต.ก็ได้กลายเป็นคู่ขัดแย้ง
การเป็นคู่ขัดแย้งนั้น ถ้าหาก กกต. ทำตัวของตัวเองเป็นคู่ขัดแย้ง ก็เป็นเรื่องที่ไม่น่าให้อภัย เป็นเรื่องที่น่าสมเพช แต่ถ้าการเป็นคู่ขัดแย้ง เกิดจากการบิดเบือนการกระทำของฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด เพื่อประสงค์ต่อประโยชน์ในทางการเมือง หรือผลประโยชน์อื่นก็ตาม ก็เป็นเรื่องที่เราไม่ต้องไปหวั่นไหว เพราะท้ายที่สุดความจริงก็เป็นความจริงอยู่วันยังค่ำ ความจริงความถูกต้องอยู่นิรันดร ไม่ตาย
- หรือเป็นเพราะท่านมีความสัมพันธ์กับฝ่ายการเมือง เพราะเป็นเพื่อนรุ่นเดียวกันกับนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกฯจากพรรคพลังประชาชน และน้องเขยของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
อยากเรียนชี้แจงว่า ผมเป็นผู้ช่วย ผู้พิพากษารุ่นเดียวกับนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ จริง แต่นายสมชายเคยบอกว่า "เพื่อน... ไม่ต้องช่วยผม" เขาขออย่างเดียว อย่ากลั่นแกล้งเขาก็แล้วกัน เขาขอเท่านี้ ซึ่งถึงแม้เขาไม่ขอ ผมก็ไม่กลั่นแกล้งใครอยู่แล้ว เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องอำนาจหน้าที่ ที่ในฐานะเป็นผู้พิพากษาก็ย่อมรู้อยู่ว่าการที่จะให้เพื่อน หรือผู้พิพากษาคนหนึ่ง กระทำผิดต่อกฎหมาย กระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ ถ้าใครปฏิบัติแบบนั้นก็เป็นเรื่องทรยศต่อหน้าที่ ต่ออุดมการณ์
- เคยถูกมองว่าวินิจฉัยเข้าทางฝ่าย พ.ต.ท.ทักษิณ
เรื่องของคนอื่น เราไม่อาจจะบังคับได้ การที่คนอื่นจะมองผิด มองอะไร เราไปบังคับเขาไม่ได้ แต่เมื่อธุลีในตาเขาได้ถูกล้างออกแล้ว ตาสว่างขึ้น จิตใจสว่างขึ้น ก็จะได้เห็นความถูกต้อง เป็นธรรม ที่เราได้กระทำนั้นเอง ก็คิดว่าถึงตอนนี้ เมื่อกลับขั้วแล้ว เขาก็จะเห็นว่าสิ่งที่เราเคยทำ เราก็ยืนอยู่บนความถูกต้อง เป็นธรรม
ผมจำอย่างที่ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช เคยสอนเคยพูดไว้ว่า อย่าได้ไปพรั่นพรึง ถึงเรื่องที่แล้วมา และไม่ต้องไปหวั่นไหว กับเรื่องอนาคตที่มันยังมาไม่ถึง ต้องทำปัจจุบันให้มันดีที่สุด ผมไม่ใช่เป็นคนที่ไปอาฆาตมาดร้ายใคร สิ่งที่ใครเคยกล่าวหาผมนั้น ผมลืมไปหมดแล้ว และจะไม่ขอ พูดถึงอีก
- สถานการณ์ทางการเมืองที่มีความรุนแรงเข้มข้นขึ้น ทั้งเหตุปะทะในการชุมนุม และเหตุระเบิด ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต ท่านมีความลำบากใจต่อการทำหน้าที่ในอนาคตหรือไม่
เรามีหน้าที่จัดการเลือกตั้ง ก็ต้องทำตามหน้าที่ให้ตรงไปตรงมา ยึดถือความสุจริตเที่ยงธรรม เชื่อว่าประชาชนคนไทยไม่ว่าจะแสดงออกอย่างไร แต่ในใจเขาก็ยอมรับความเป็นธรรม เราคงไม่ต้องลำบากใจในเรื่องนี้ เพียงแต่ในฐานะที่เราเป็นคนไทยคนหนึ่ง ก็อยากให้ประเทศมีความก้าวหน้า บ้านเมืองสงบสุข ถึงเราไม่กลัวไม่หวั่นไหว แต่เราก็มีความเป็นห่วง ไม่อยากให้เกิดขึ้น
- เตรียมความพร้อมอย่างไร สำหรับการเลือกตั้งใหญ่ที่จะมาถึง
ตอนนี้ กกต.คนอื่นเขาก็เตรียมของเขา ผมไม่ได้ไปก้าวล่วงถึงเขา แต่สำหรับด้านสืบสวนสอบสวน เรากำลังให้ความรู้ ซักซ้อมความเข้าใจเกี่ยวกับระเบียบกฎหมาย และการจัดเตรียมคน กำลังจะแบ่งวางแผนกำลังคนต่าง ๆ เพื่อให้ไปควบคุม ทำงานปฏิบัติการด้านสืบสวนสอบสวนให้ถูกต้อง เป็นธรรมและรวดเร็ว
พยายามจะเรียนรู้ถึงพฤติกรรมนักเลือกตั้งที่ผ่านมา และเรื่องในอนาคตที่คิดว่าพฤติการณ์ของนักเลือกตั้งที่ทุจริตน่าจะเปลี่ยนแปลงไป ซึ่งเราจะพยายามติดตามให้ทัน ก็ได้เตรียมการนี้อยู่
- เปลี่ยนแปลงไปอย่างไร
เช่น เมื่อก่อนนี้เอาเงินสดไปซื้อเสียง แต่ทุกวันนี้หายากที่จะเอาเงินไปซื้ออย่างตรงไปตรงมา เพราะมีวิธีการอื่น เช่น จัดตั้งลงไปเลย โดยที่เงินยังไม่จ่าย แต่มาจ่าย ภายหลัง...
- มีเรื่องสัญญาว่าจะให้ แทนที่จะเอาเงินไปจ่ายในคืนหมาหอน
ใช่...มันเริ่มยาก ไม่ใช่มีแต่คืนหมาหอน
- มองพัฒนาการการเมืองและพรรคการเมืองไทยอย่างไร
การเลือกตั้งของประชาชนมีการพัฒนาขึ้น รู้สึกว่าพรรคการเมืองของประเทศเรามีตั้ง 50-60 พรรค เต็มไปหมด แต่ดูเหมือนจะมี 2 พรรคที่อยู่ในความสนใจและการตัดสินใจของประชาชน อันนี้จะมองว่าดีก็ดี เพราะเป็นการเลือกพรรค เลือกนโยบาย มากกว่าเลือกตัวบุคคล อย่างในสหรัฐ อเมริกาก็มี 2 พรรคการเมืองใหญ่ที่แข่งกัน
- การแข่งกันในการเลือกตั้งจะช่วยคลี่คลายความขัดแย้งอย่างไร
เมื่อมีความขัดแย้งกัน ก็ควรรอวัน เลือกตั้ง ไม่ใช่เอากำลังมาเปลี่ยน นี่คือวิถีประชาธิปไตย ซึ่งมันสามารถเปลี่ยนแปลงอำนาจการปกครองได้ โดยมีกำหนดเวลา โดยเอาความนิยม หรืออีกอย่างคือเสียงประชาชน ที่จะมาชี้ขาดว่าใครควรที่จะมา บริหารประเทศ
การชุมนุมเป็นเพียงการแสดงออกหรือบอกให้รู้เท่านั้นเอง แต่การชุมนุมไม่ใช่ ตัวชี้วัดว่า ตกลงแล้วประชาชนจะเอายังไง เพราะอย่างน้อย หากมีการชุมนุมเยอะๆ ที่จำนวนมากพอสมควร ก็ควรมีช่องทางที่ผลักดันให้ กกต.ทำประชามติ ว่าประชาชนส่วนใหญ่จะเอาแบบไหน จะเอาตามรัฐบาล หรือเอาตามที่มีการเรียกร้องเคลื่อนไหว อย่างนี้จึงจะเป็นวิถีประชาธิปไตย ตัดสินกันด้วยเสียงประชาชน
- ท่านคิดว่าปัญหาคือการปฏิบัติของรัฐ ต่อผู้ชุมนุม
การชุมนุมทำได้ แต่อำนาจรัฐก็ต้องปฏิบัติต่อผู้ชุมนุมทุกกลุ่มเหมือนกัน เรื่องนี้จะโทษใคร ความเป็นประชาธิปไตย ต้องปฏิบัติเหมือนกันไม่ว่าจะฝ่ายไหน ควรมีกฎหมายออกมาควบคุมการชุมนุม แต่ปัจจุบันเรามีแต่รัฐธรรมนูญและความเสรี จนกระทั่งตามอำเภอใจ ตามใจฉัน ซึ่งมันไม่ถูกต้อง เพราะการชุมนุมควรจะมาแสดงออกกันในระดับหนึ่งแล้วกลับไป
- การชุมนุมที่ผ่านมา ทุกสีเสื้อมุ่งโค่นอำนาจรัฐบาล
ทุกอย่างควรไปวัดกันที่การเลือกตั้ง ถ้าพรรคฝ่ายค้านรับข้อทุกข์ร้อนแล้วเอามาอภิปรายในสภา หากรัฐบาลแก้ปัญหาไม่ได้ผลก็จะทำให้คะแนนนิยมรัฐบาลตกต่ำลง เมื่อถึงคราวเลือกตั้งก็สามารถเปลี่ยนขั้วอำนาจได้
เป็นการเปลี่ยนผู้บริหารประเทศโดยสันติวิธี นี่คือวิถีประชาธิปไตย ที่เราบอกว่าดีกว่าการปกครองอื่น ๆ ก็ตรงนี้แหละ
หลงยศ หลงอำนาจ หลงบารมี ความอุบาทว์มักตามมา
คอลัมน์.บางกอกกอสซิบภูผาหิน
วันที่ประเทศไทยเดินหน้าหนึ่งก้าว แต่ถอยหลังสามก้าว คล้ายพวกขี้เหล้าเมายา เพราะผู้มีอำนาจบริหารประเทศอย่างไร้สติ.
ใครกันคือคนบ้า? หนึ่ง...คนไทย สอง...คนเขมร สาม...ข้าหลวงยูเนสโก กับประเด็นร้อนข้ามชาติ “เขาพระวิหาร” ที่โต้เถียงกันยาวนาน “ครึ่งศตวรรษ” สรุปแล้วใครผิดหรือใครถูก ทำไมไม่ไปเปิดดู “คำตัดสินศาลโลก 15 มิถุนายน 2505” เขาเขียนเพื่อให้คนอ่านหนังสือ (เป็น) ได้รับรู้...ปราสาทพระวิหารตั้งอยู่บนดินแดนภายใต้อธิปไตยของประเทศกัมพูชา และการตัดสินใช้แผนที่ฝรั่งเศสอย่างที่ใครหลายคนทราบ.
น่าแปลกมั้ย? ที่คนไทยส่วนใหญ่ยังรับข้อมูลใส่สมอง “ปราสาทนั้นเป็นของเขมร...แต่พื้นที่เป็นของไทย” หรือไทยกำลังหลอกไทยด้วยกันเอง...เพราะใครกันที่ไปละเมิดคำตัดสินของศาลโลก...เกมการเมืองแบบนี้มิใช่หรือ? ทำให้ไทยต้องเสียดินแดน...และถ้านักการเมืองยังไม่ปลุกจิตสำนึกรักชาติอย่างจริงใจ...เชื่อเถอะว่า อีกไม่นานเราจะไม่เหลือแผ่นดินใดให้เหยียบ...ไม่มีพื้นที่ใดให้เดิน!.
ยังไม่จบ! กับมหากาพย์เรื่องยาวภายใน สตช. หลังได้ ผบ.ตร. ที่ชื่อ “พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี” ...โดยเฉพาะนายตำรวจ “ยศนายพล” ที่ถูกวางไลน์ให้ขึ้นสืบทอดอำนาจ...ซึ่งต้องจับตาดูว่า “พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์” พี่ชาย “คุณหญิงอ้อ” จะมีการสับเปลี่ยนตำแหน่งในลำดับ “อาวุโส” อีกหรือไม่?...เพราะชื่อนี้นามสกุลนี้เป็น “ของแสลง” ผู้จัดโผ...ไม่เชื่อไปถามประธาน ก.ตร.ที่ชื่อ “เทพเทือก”.
มนุษย์นี้เปลี่ยนแปลงกันได้. “น้องเดียร์” ขัตติยา สวัสดิผล ลูกสาวสุดเลิฟของ เสธ.แดง ที่ประสานเจตนารมย์ “คุณพ่อ” ประกาศเป็น “เสื้อแดงเต็มตัว” พร้อมอยู่เคียงข้าง “พรรคเพื่อไทย” ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลหรือฝ่ายค้าน...คำพูดแบบนี้ไม่ต้องแปลไทยให้เป็นไทย...ไม่ว่าก่อนหน้านี้ “น้องเดียร์” จะใส่เสื้อสีอะไร...แต่ที่รู้ๆ คนเป็นพ่อยิ่งถูกกดดัน ยิ่งถูกกดขี่ ตอนนี้ในตู้เสื้อผ้าเลยมีแต่ “สีแดง”.
บางคนเห็นข่าวนี้แล้วอยาก “สละโสด” จัดงานเลี้ยงฉลองแต่งงาน...องอาจ คล้ามไพบูลย์ กับการถูกสอบบัญชีทรัพย์สิน...เพราะมีเงินเพิ่มขึ้นผิดปกติจากตอนเข้าเป็น ส.ส....องอาจ แจงเรื่องเงินที่เพิ่มขึ้นมา 10 ล้าน...เพราะเป็นเงินใส่ซองวันแต่งงาน...เรื่องนี้ คิดไปคิดมาน่าจะเป็นเรื่องจริง...เพราะนิสัยคนไทย “ฆ่าได้หยามไม่ได้” เป็นถึงระดับบิ๊กนักการเมือง บิ๊กนักธุรกิจ มีหรือไปร่วมงานแต่งงาน “คนดัง” จะใส่ซองแค่คนละ 1,000 ถึง 2,000...พูดง่ายๆ คือ “อายเขา” แถมยังตกเป็นขี้ปากชาวบ้าน.
งานนี้ข้อโต้งแย้งของ “องอาจ” ดูค่อนข้างสมเหตุสมผล...เพราะผู้มาร่วมงานมีมากถึง “ครึ่งหมื่น” นี่จึงเป็นวัฒนธรรมของ “ผู้มีอันจะกิน” เวลาแต่งชุดสูทหรือชุดราตรีสวยหรูไปร่วมงานแต่งงาน...ซึ่งว่ากันว่างานแต่งงานของ “องอาจ” กับ “ดร.หน่อย” ได้กำไรสุทธิ (พูดผิดขออภัย)...ได้เงินขวัญถุงจากการแกะซองไปร่วมๆ 12 ล้านบาท...คืนนั้นไม่เจ้าบ่าวหรือเจ้าสาวรวย...ก็คนใส่ซองนี่แหละที่ต้องถอดชุดสูท “กินแกลบ” ไปหลายเดือน.
***************************************************************************
วันที่ประเทศไทยเดินหน้าหนึ่งก้าว แต่ถอยหลังสามก้าว คล้ายพวกขี้เหล้าเมายา เพราะผู้มีอำนาจบริหารประเทศอย่างไร้สติ.
ใครกันคือคนบ้า? หนึ่ง...คนไทย สอง...คนเขมร สาม...ข้าหลวงยูเนสโก กับประเด็นร้อนข้ามชาติ “เขาพระวิหาร” ที่โต้เถียงกันยาวนาน “ครึ่งศตวรรษ” สรุปแล้วใครผิดหรือใครถูก ทำไมไม่ไปเปิดดู “คำตัดสินศาลโลก 15 มิถุนายน 2505” เขาเขียนเพื่อให้คนอ่านหนังสือ (เป็น) ได้รับรู้...ปราสาทพระวิหารตั้งอยู่บนดินแดนภายใต้อธิปไตยของประเทศกัมพูชา และการตัดสินใช้แผนที่ฝรั่งเศสอย่างที่ใครหลายคนทราบ.
น่าแปลกมั้ย? ที่คนไทยส่วนใหญ่ยังรับข้อมูลใส่สมอง “ปราสาทนั้นเป็นของเขมร...แต่พื้นที่เป็นของไทย” หรือไทยกำลังหลอกไทยด้วยกันเอง...เพราะใครกันที่ไปละเมิดคำตัดสินของศาลโลก...เกมการเมืองแบบนี้มิใช่หรือ? ทำให้ไทยต้องเสียดินแดน...และถ้านักการเมืองยังไม่ปลุกจิตสำนึกรักชาติอย่างจริงใจ...เชื่อเถอะว่า อีกไม่นานเราจะไม่เหลือแผ่นดินใดให้เหยียบ...ไม่มีพื้นที่ใดให้เดิน!.
ยังไม่จบ! กับมหากาพย์เรื่องยาวภายใน สตช. หลังได้ ผบ.ตร. ที่ชื่อ “พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี” ...โดยเฉพาะนายตำรวจ “ยศนายพล” ที่ถูกวางไลน์ให้ขึ้นสืบทอดอำนาจ...ซึ่งต้องจับตาดูว่า “พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์” พี่ชาย “คุณหญิงอ้อ” จะมีการสับเปลี่ยนตำแหน่งในลำดับ “อาวุโส” อีกหรือไม่?...เพราะชื่อนี้นามสกุลนี้เป็น “ของแสลง” ผู้จัดโผ...ไม่เชื่อไปถามประธาน ก.ตร.ที่ชื่อ “เทพเทือก”.
มนุษย์นี้เปลี่ยนแปลงกันได้. “น้องเดียร์” ขัตติยา สวัสดิผล ลูกสาวสุดเลิฟของ เสธ.แดง ที่ประสานเจตนารมย์ “คุณพ่อ” ประกาศเป็น “เสื้อแดงเต็มตัว” พร้อมอยู่เคียงข้าง “พรรคเพื่อไทย” ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลหรือฝ่ายค้าน...คำพูดแบบนี้ไม่ต้องแปลไทยให้เป็นไทย...ไม่ว่าก่อนหน้านี้ “น้องเดียร์” จะใส่เสื้อสีอะไร...แต่ที่รู้ๆ คนเป็นพ่อยิ่งถูกกดดัน ยิ่งถูกกดขี่ ตอนนี้ในตู้เสื้อผ้าเลยมีแต่ “สีแดง”.
บางคนเห็นข่าวนี้แล้วอยาก “สละโสด” จัดงานเลี้ยงฉลองแต่งงาน...องอาจ คล้ามไพบูลย์ กับการถูกสอบบัญชีทรัพย์สิน...เพราะมีเงินเพิ่มขึ้นผิดปกติจากตอนเข้าเป็น ส.ส....องอาจ แจงเรื่องเงินที่เพิ่มขึ้นมา 10 ล้าน...เพราะเป็นเงินใส่ซองวันแต่งงาน...เรื่องนี้ คิดไปคิดมาน่าจะเป็นเรื่องจริง...เพราะนิสัยคนไทย “ฆ่าได้หยามไม่ได้” เป็นถึงระดับบิ๊กนักการเมือง บิ๊กนักธุรกิจ มีหรือไปร่วมงานแต่งงาน “คนดัง” จะใส่ซองแค่คนละ 1,000 ถึง 2,000...พูดง่ายๆ คือ “อายเขา” แถมยังตกเป็นขี้ปากชาวบ้าน.
งานนี้ข้อโต้งแย้งของ “องอาจ” ดูค่อนข้างสมเหตุสมผล...เพราะผู้มาร่วมงานมีมากถึง “ครึ่งหมื่น” นี่จึงเป็นวัฒนธรรมของ “ผู้มีอันจะกิน” เวลาแต่งชุดสูทหรือชุดราตรีสวยหรูไปร่วมงานแต่งงาน...ซึ่งว่ากันว่างานแต่งงานของ “องอาจ” กับ “ดร.หน่อย” ได้กำไรสุทธิ (พูดผิดขออภัย)...ได้เงินขวัญถุงจากการแกะซองไปร่วมๆ 12 ล้านบาท...คืนนั้นไม่เจ้าบ่าวหรือเจ้าสาวรวย...ก็คนใส่ซองนี่แหละที่ต้องถอดชุดสูท “กินแกลบ” ไปหลายเดือน.
***************************************************************************
วันพุธที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2553
‘จารุวรรณ’ไม่สนกฤษฎีกายันไม่ทิ้งเก้าอี้ผู้ว่าการสตง.
จากหนังสือพิมพ์ โลกวันนี้
“จารุวรรณ” ไม่ขอปฏิบัติตามความเห็นของกฤษฎีกาที่ให้พ้นจากตำแหน่งผู้ว่าการ สตง. เพราะไม่แน่ใจถูกต้องหรือไม่ เนื่องจากไม่มีอำนาจตีความประเด็นที่เกี่ยวกับองค์กรอิสระ แถมตัวประธานคณะที่พิจารณายังไม่ชอบกันเป็นการส่วนตัว ยืนยันไม่ยึดติดกับตำแหน่ง แต่หากจะให้ออกต้องเอาพระบรมราชโองการให้พ้นจากตำแหน่งมาแสดง เลขาฯกฤษฎีกาแนะอย่าดื้อเพราะถ้ามีคนเอาเรื่องไปฟ้องศาลต้องรับผิดชอบ “มาร์ค” ระบุรัฐบาลจะเดินหน้าสรรหาผู้ว่าการคนใหม่ทันที
ตำแหน่งผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ของคุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา ที่มีปัญหามานานมีความชัดเจนขึ้นแล้ว เมื่อคณะกรรมการกฤษฎีกามีความเห็นว่าคุณหญิงจารุวรรณได้พ้นจากตำแหน่งผู้ว่าการ สตง. ไปแล้ว
คุณพรทิพย์ จาละ เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา ระบุว่า ตามประกาศคณะกรรมการปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค.) ฉบับที่ 29 ระบุว่าให้ผู้ว่าการ สตง. ดำรงตำแหน่งถึงวันที่ 30 ก.ย. 2550 จากนั้นให้มีการสรรหาใหม่ภายใน 90 วัน โดยในระหว่างการสรรหาผู้ว่าการ สตง. คนใหม่ให้อยู่ในตำแหน่งพลางต่อไปได้ ดังนั้น คุณหญิงจารุวรรณจึงอยู่ในตำแหน่งต่อไปได้อย่างมากแค่ 90 วัน
เตือนต้องรับผิดชอบเป็นคดีที่ศาล
อย่างไรก็ตาม สตง. เป็นองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ ผลการวินิจฉัยของกฤษฎีกามีผลผูกพันเฉพาะหน่วยงานราชการและรัฐวิสาหกิจ คุณหญิงจารุวรรณจะปฏิบัติตามคำวินิจฉัยหรือไม่ก็เป็นสิทธิ แต่อยากเตือนว่าหากยังอยู่ในตำแหน่งต่อไปแล้วมีคนเอาเรื่องไปฟ้องศาล ศาลเกิดเห็นด้วยกับแนวทางของกฤษฎีกาคุณหญิงจารุวรรณก็ต้องแสดงความรับผิดชอบ
ทุกหน่วยงานต้องรับฟังกฤษฎีกา
“ปรกติทุกหน่วยงานจะรับฟังความเห็นของกฤษฎีกา และกรณีนี้หากเป็นตนก็จะไม่อยู่ในตำแหน่งต่อไป อย่างไรก็ตาม หากคุณหญิงจารุวรรณยังอยู่ในตำแหน่งต่อไป นายพิศิษฐ์ ลีลาวชิโรภาส รักษาการผู้ว่าการ สตง. สามารถฟ้องร้องต่อศาลได้ เพราะถือเป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสียโดยตรงเนื่องจากเกิดปัญหาอำนาจทับซ้อน” คุณพรทิพย์กล่าวและว่า การปฏิบัติงานช่วงที่ผ่านมาของคุณหญิงจารุวรรณไม่ถือว่าเป็นโมฆะ เพราะกฎหมายระบุว่าหากมีปัญหาเรื่องคุณสมบัติสิ่งที่ลงนามปฏิบัติมาก็ถือว่ายังใช้ได้
ด้านคุณหญิงจารุวรรณให้สัมภาษณ์ยืนยันว่า ไม่ได้ยึดติดกับตำแหน่ง ที่ยังอยู่เพราะว่ามีปัญหาเรื่องข้อกฎหมายที่ไม่มีความชัดเจน
“จารุวรรณ” อยากให้ชัดเจนก่อน
“ตอนอายุครบ 65 ปีก็เก็บข้าวของเตรียมกลับบ้านแล้ว เตรียมงานเลี้ยงอำลาไว้แล้ว แต่มีผู้รู้ทางกฎหมายมาเตือนว่าให้คิดให้ดี เพราะเขาเห็นว่ายังไม่พ้นตำแหน่งก็ทำให้เราลังเล” คุณหญิงจารุวรรณกล่าวและว่า ในประกาศ คปค. ฉบับที่ 12 เขียนไว้ชัดเจนว่า ให้ผู้ที่ดำรงตำแหน่งผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินเมื่อวันที่ 8 ก.ย. 2549 หลังปฏิวัติให้ปฏิบัติหน้าที่ไปพลางก่อน แล้วเมื่อวันที่ 30 ก.ย. 2549 เปลี่ยนเป็นประกาศฉบับที่ 29 บอกว่าให้ผู้ที่ดำรงตำแหน่งผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินในขณะนั้นคือดิฉัน ให้ปฏิบัติหน้าที่กรรมการตรวจเงินแผ่นดินและผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน และให้มีการสรรหาภายใน 90 วัน และวรรคสุดท้ายของประกาศนี้ระบุว่า ในระหว่างที่ยังไม่มีให้ผู้ที่ดำรงตำแหน่งผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินในขณะนั้น ซึ่งก็คือตัวดิฉันเอง ปฏิบัติหน้าที่ไปพลางก่อน ก็เป็นอันที่วินิจฉัยชี้ขาดได้ โดยเฉพาะมาตรา 5 ของกฎหมาย สตง. ให้อำนาจผู้รักษาการกฎหมายคือประธานคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน (คตง.) เพราะฉะนั้นก็ต้องดูว่าที่ถูกนั้นเป็นอย่างไรเพราะไม่อยากเสี่ยงผิด บังเอิญเป็นช่วงเดียวกันกับที่ที่ปรึกษากฎหมายของประธานวุฒิสภาพิจารณาเรื่องนี้แล้วเขาสรุปว่าต้องอยู่ต่อก็เลยอยู่ต่อ และเมื่ออยู่ต่อก็ต้องทำงาน หากไม่ทำก็เป็นการละเว้นปฏิบัติหน้าที่
สงสัยกฤษฎีกาดันทุรังตีความ
คุณหญิงจารุวรรณกล่าวอีกว่า กฤษฎีกานี่มาแปลกมาก บอกให้พ้นตำแหน่งทั้งที่ไม่จำเป็นต้องวินิจฉัย ไม่รู้ว่าทำไมต้องชี้ขาดออกมาให้ได้
“ขอคัดค้านคณะกรรมการกฤษฎีกาชุดที่มีนายมีชัย ฤชุพันธุ์ อดีตประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เป็นประธาน ท่านเป็นผู้ใหญ่ที่เราเคารพนับถือ แต่เพราะอะไรไม่ทราบท่านไม่ค่อยชอบเราเท่าไร เราทำเรื่องขอถอนการหารือตั้งแต่วันที่ 30 ก.ค. ที่ผ่านมา แต่ไม่รู้ทำไมยังต้องเดินหน้าวินิจฉัยเรื่องนี้ ทั้งที่ตามระเบียบของกฤษฎีกาจะไม่รับข้อหารือขององค์กรอิสระ อย่างเมื่อปี 2548 ก็มีปัญหาใน คตง. ที่มีรักษาการท่านหนึ่งส่งเรื่องไปให้ตีความ กฤษฎีกาตอบกลับมาว่าไม่รับหารือ ผลที่ออกมาจึงไม่รู้ว่าถูกหรือไม่” คุณหญิงจารุวรรณกล่าวและว่า จะไม่เอาความเห็นของกฤษฎีกาและที่ปรึกษากฎหมายประธานวุฒิสภามาผูกพัน และไม่ทราบว่าคำตอบสุดท้ายของเรื่องนี้จะอยู่ที่ศาลปกครองหรือศาลรัฐธรรมนูญ ส่วนตัวก็อยากให้เกิดความชัดเจน
ต้องมีพระบรมราชโองการจึงจะออก
“ไม่ต้องการอะไรที่ไม่ถูกต้อง ถ้าจะให้ไปอย่างเดียวที่เทิดทูนอยู่เสมอคือไปเอาพระบรมราชโองการมา ไม่ยึดติด เก็บของแล้วด้วย แต่ขอไปอย่างถูกต้อง” คุณหญิงจารุวรรณกล่าว
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาลต้องยึดถือตามความคิดเห็นของกฤษฎีกาที่ต้องเร่งสรรหาคนใหม่ ระหว่างนี้เรื่องการบริหารจัดการสำนักงานให้รักษาการผู้ว่าการ สตง. ทำไปพลางก่อนได้ แต่ไม่มีอำนาจทำงานในส่วนของอำนาจหน้าที่ผู้ว่าการ สตง. ที่กำหนดเอาไว้ในรัฐธรรมนูญ
ส.ว. เฉ่งรัฐบาลแทรกแซง สตง.
นายไพบูลย์ นิติตะวัน ส.ว.สรรหา ในฐานะกรรมาธิการศึกษาตรวจสอบเรื่องการทุจริตและเสริมสร้างธรรมาภิบาล วุฒิสภา กล่าวว่า รัฐบาลไม่ควรยืมมือกฤษฎีกาแทรกแซงการทำงานของ สตง. เพื่อให้เกิดความปั่นป่วนจะได้ไม่สามารถตรวจสอบการทำงานของรัฐบาลได้
“ผมข้องใจว่ากฤษฎีกาคณะที่ 1 ที่มีนายมีชัยเป็นประธานเห็นว่าคุณหญิงจารุวรรณต้องพ้นจากตำแหน่ง เพราะประกาศ คปค. ให้สรรหาผู้ดำรงตำแหน่งใหม่ภายใน 90 วัน เลยอยากจะถามว่าตอนนั้นนายมีชัยเป็นประธาน สนช. อยู่ทำไมถึงไม่สรรหาผู้ว่าการ สตง. คนใหม่ตามประกาศของ คปค. ผลการตีความที่ออกมาก็มีประเด็นขัดแย้งกันเองในหลายเรื่อง ดังนั้น คณะกรรมาธิการจะตรวจสอบการทำหน้าที่ของกฤษฎีกาคณะของนายมีชัยว่าดำเนินการถูกต้องหรือไม่ เพราะทั้งในข้อกฎหมายและในระเบียบของกฤษฎีกาจะไม่รับวินิจฉัยประเด็นที่เกี่ยวข้องกับองค์กรอิสระ คณะกรรมาธิการจะเรียกเลขาธิการกฤษฎีกามาชี้แจงเรื่องนี้ และจะเชิญนายพิศิษฐ์มาชี้แจงกรณีออกหนังสือเวียนให้พนักงาน สตง. ยึดแนวทางปฏิบัติตามคำวินิจฉัยของกฤษฎีกาด้วย เพราะได้แอบอ้างลงลายมือชื่อในฐานะรักษาการผู้ว่าการ สตง. ถือว่าขัดกับหลักธรรมาภิบาล เนื่องจากผู้ว่าการ สตง. ตัวจริงยังไม่พ้นตำแหน่ง”
ผู้สื่อข่าวถามว่าที่ปกป้องเพราะต้องการตอบแทนบุญคุณที่ได้รับการเสนอชื่อจาก สตง. ให้เป็น ส.ว. หรือไม่ นายไพบูลย์กล่าวว่า การจะได้รับเลือกเป็น ส.ว. หรือไม่อยู่ที่ดุลยพินิจของกรรมการสรรหา 7 คน ไม่ได้อยู่ที่ว่าใครเป็นผู้เสนอรายชื่อมา ยืนยันว่าเรื่องนี้ทำงานตามหน้าที่
**********************************************************************
“จารุวรรณ” ไม่ขอปฏิบัติตามความเห็นของกฤษฎีกาที่ให้พ้นจากตำแหน่งผู้ว่าการ สตง. เพราะไม่แน่ใจถูกต้องหรือไม่ เนื่องจากไม่มีอำนาจตีความประเด็นที่เกี่ยวกับองค์กรอิสระ แถมตัวประธานคณะที่พิจารณายังไม่ชอบกันเป็นการส่วนตัว ยืนยันไม่ยึดติดกับตำแหน่ง แต่หากจะให้ออกต้องเอาพระบรมราชโองการให้พ้นจากตำแหน่งมาแสดง เลขาฯกฤษฎีกาแนะอย่าดื้อเพราะถ้ามีคนเอาเรื่องไปฟ้องศาลต้องรับผิดชอบ “มาร์ค” ระบุรัฐบาลจะเดินหน้าสรรหาผู้ว่าการคนใหม่ทันที
ตำแหน่งผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ของคุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา ที่มีปัญหามานานมีความชัดเจนขึ้นแล้ว เมื่อคณะกรรมการกฤษฎีกามีความเห็นว่าคุณหญิงจารุวรรณได้พ้นจากตำแหน่งผู้ว่าการ สตง. ไปแล้ว
คุณพรทิพย์ จาละ เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา ระบุว่า ตามประกาศคณะกรรมการปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค.) ฉบับที่ 29 ระบุว่าให้ผู้ว่าการ สตง. ดำรงตำแหน่งถึงวันที่ 30 ก.ย. 2550 จากนั้นให้มีการสรรหาใหม่ภายใน 90 วัน โดยในระหว่างการสรรหาผู้ว่าการ สตง. คนใหม่ให้อยู่ในตำแหน่งพลางต่อไปได้ ดังนั้น คุณหญิงจารุวรรณจึงอยู่ในตำแหน่งต่อไปได้อย่างมากแค่ 90 วัน
เตือนต้องรับผิดชอบเป็นคดีที่ศาล
อย่างไรก็ตาม สตง. เป็นองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ ผลการวินิจฉัยของกฤษฎีกามีผลผูกพันเฉพาะหน่วยงานราชการและรัฐวิสาหกิจ คุณหญิงจารุวรรณจะปฏิบัติตามคำวินิจฉัยหรือไม่ก็เป็นสิทธิ แต่อยากเตือนว่าหากยังอยู่ในตำแหน่งต่อไปแล้วมีคนเอาเรื่องไปฟ้องศาล ศาลเกิดเห็นด้วยกับแนวทางของกฤษฎีกาคุณหญิงจารุวรรณก็ต้องแสดงความรับผิดชอบ
ทุกหน่วยงานต้องรับฟังกฤษฎีกา
“ปรกติทุกหน่วยงานจะรับฟังความเห็นของกฤษฎีกา และกรณีนี้หากเป็นตนก็จะไม่อยู่ในตำแหน่งต่อไป อย่างไรก็ตาม หากคุณหญิงจารุวรรณยังอยู่ในตำแหน่งต่อไป นายพิศิษฐ์ ลีลาวชิโรภาส รักษาการผู้ว่าการ สตง. สามารถฟ้องร้องต่อศาลได้ เพราะถือเป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสียโดยตรงเนื่องจากเกิดปัญหาอำนาจทับซ้อน” คุณพรทิพย์กล่าวและว่า การปฏิบัติงานช่วงที่ผ่านมาของคุณหญิงจารุวรรณไม่ถือว่าเป็นโมฆะ เพราะกฎหมายระบุว่าหากมีปัญหาเรื่องคุณสมบัติสิ่งที่ลงนามปฏิบัติมาก็ถือว่ายังใช้ได้
ด้านคุณหญิงจารุวรรณให้สัมภาษณ์ยืนยันว่า ไม่ได้ยึดติดกับตำแหน่ง ที่ยังอยู่เพราะว่ามีปัญหาเรื่องข้อกฎหมายที่ไม่มีความชัดเจน
“จารุวรรณ” อยากให้ชัดเจนก่อน
“ตอนอายุครบ 65 ปีก็เก็บข้าวของเตรียมกลับบ้านแล้ว เตรียมงานเลี้ยงอำลาไว้แล้ว แต่มีผู้รู้ทางกฎหมายมาเตือนว่าให้คิดให้ดี เพราะเขาเห็นว่ายังไม่พ้นตำแหน่งก็ทำให้เราลังเล” คุณหญิงจารุวรรณกล่าวและว่า ในประกาศ คปค. ฉบับที่ 12 เขียนไว้ชัดเจนว่า ให้ผู้ที่ดำรงตำแหน่งผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินเมื่อวันที่ 8 ก.ย. 2549 หลังปฏิวัติให้ปฏิบัติหน้าที่ไปพลางก่อน แล้วเมื่อวันที่ 30 ก.ย. 2549 เปลี่ยนเป็นประกาศฉบับที่ 29 บอกว่าให้ผู้ที่ดำรงตำแหน่งผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินในขณะนั้นคือดิฉัน ให้ปฏิบัติหน้าที่กรรมการตรวจเงินแผ่นดินและผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน และให้มีการสรรหาภายใน 90 วัน และวรรคสุดท้ายของประกาศนี้ระบุว่า ในระหว่างที่ยังไม่มีให้ผู้ที่ดำรงตำแหน่งผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินในขณะนั้น ซึ่งก็คือตัวดิฉันเอง ปฏิบัติหน้าที่ไปพลางก่อน ก็เป็นอันที่วินิจฉัยชี้ขาดได้ โดยเฉพาะมาตรา 5 ของกฎหมาย สตง. ให้อำนาจผู้รักษาการกฎหมายคือประธานคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน (คตง.) เพราะฉะนั้นก็ต้องดูว่าที่ถูกนั้นเป็นอย่างไรเพราะไม่อยากเสี่ยงผิด บังเอิญเป็นช่วงเดียวกันกับที่ที่ปรึกษากฎหมายของประธานวุฒิสภาพิจารณาเรื่องนี้แล้วเขาสรุปว่าต้องอยู่ต่อก็เลยอยู่ต่อ และเมื่ออยู่ต่อก็ต้องทำงาน หากไม่ทำก็เป็นการละเว้นปฏิบัติหน้าที่
สงสัยกฤษฎีกาดันทุรังตีความ
คุณหญิงจารุวรรณกล่าวอีกว่า กฤษฎีกานี่มาแปลกมาก บอกให้พ้นตำแหน่งทั้งที่ไม่จำเป็นต้องวินิจฉัย ไม่รู้ว่าทำไมต้องชี้ขาดออกมาให้ได้
“ขอคัดค้านคณะกรรมการกฤษฎีกาชุดที่มีนายมีชัย ฤชุพันธุ์ อดีตประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เป็นประธาน ท่านเป็นผู้ใหญ่ที่เราเคารพนับถือ แต่เพราะอะไรไม่ทราบท่านไม่ค่อยชอบเราเท่าไร เราทำเรื่องขอถอนการหารือตั้งแต่วันที่ 30 ก.ค. ที่ผ่านมา แต่ไม่รู้ทำไมยังต้องเดินหน้าวินิจฉัยเรื่องนี้ ทั้งที่ตามระเบียบของกฤษฎีกาจะไม่รับข้อหารือขององค์กรอิสระ อย่างเมื่อปี 2548 ก็มีปัญหาใน คตง. ที่มีรักษาการท่านหนึ่งส่งเรื่องไปให้ตีความ กฤษฎีกาตอบกลับมาว่าไม่รับหารือ ผลที่ออกมาจึงไม่รู้ว่าถูกหรือไม่” คุณหญิงจารุวรรณกล่าวและว่า จะไม่เอาความเห็นของกฤษฎีกาและที่ปรึกษากฎหมายประธานวุฒิสภามาผูกพัน และไม่ทราบว่าคำตอบสุดท้ายของเรื่องนี้จะอยู่ที่ศาลปกครองหรือศาลรัฐธรรมนูญ ส่วนตัวก็อยากให้เกิดความชัดเจน
ต้องมีพระบรมราชโองการจึงจะออก
“ไม่ต้องการอะไรที่ไม่ถูกต้อง ถ้าจะให้ไปอย่างเดียวที่เทิดทูนอยู่เสมอคือไปเอาพระบรมราชโองการมา ไม่ยึดติด เก็บของแล้วด้วย แต่ขอไปอย่างถูกต้อง” คุณหญิงจารุวรรณกล่าว
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาลต้องยึดถือตามความคิดเห็นของกฤษฎีกาที่ต้องเร่งสรรหาคนใหม่ ระหว่างนี้เรื่องการบริหารจัดการสำนักงานให้รักษาการผู้ว่าการ สตง. ทำไปพลางก่อนได้ แต่ไม่มีอำนาจทำงานในส่วนของอำนาจหน้าที่ผู้ว่าการ สตง. ที่กำหนดเอาไว้ในรัฐธรรมนูญ
ส.ว. เฉ่งรัฐบาลแทรกแซง สตง.
นายไพบูลย์ นิติตะวัน ส.ว.สรรหา ในฐานะกรรมาธิการศึกษาตรวจสอบเรื่องการทุจริตและเสริมสร้างธรรมาภิบาล วุฒิสภา กล่าวว่า รัฐบาลไม่ควรยืมมือกฤษฎีกาแทรกแซงการทำงานของ สตง. เพื่อให้เกิดความปั่นป่วนจะได้ไม่สามารถตรวจสอบการทำงานของรัฐบาลได้
“ผมข้องใจว่ากฤษฎีกาคณะที่ 1 ที่มีนายมีชัยเป็นประธานเห็นว่าคุณหญิงจารุวรรณต้องพ้นจากตำแหน่ง เพราะประกาศ คปค. ให้สรรหาผู้ดำรงตำแหน่งใหม่ภายใน 90 วัน เลยอยากจะถามว่าตอนนั้นนายมีชัยเป็นประธาน สนช. อยู่ทำไมถึงไม่สรรหาผู้ว่าการ สตง. คนใหม่ตามประกาศของ คปค. ผลการตีความที่ออกมาก็มีประเด็นขัดแย้งกันเองในหลายเรื่อง ดังนั้น คณะกรรมาธิการจะตรวจสอบการทำหน้าที่ของกฤษฎีกาคณะของนายมีชัยว่าดำเนินการถูกต้องหรือไม่ เพราะทั้งในข้อกฎหมายและในระเบียบของกฤษฎีกาจะไม่รับวินิจฉัยประเด็นที่เกี่ยวข้องกับองค์กรอิสระ คณะกรรมาธิการจะเรียกเลขาธิการกฤษฎีกามาชี้แจงเรื่องนี้ และจะเชิญนายพิศิษฐ์มาชี้แจงกรณีออกหนังสือเวียนให้พนักงาน สตง. ยึดแนวทางปฏิบัติตามคำวินิจฉัยของกฤษฎีกาด้วย เพราะได้แอบอ้างลงลายมือชื่อในฐานะรักษาการผู้ว่าการ สตง. ถือว่าขัดกับหลักธรรมาภิบาล เนื่องจากผู้ว่าการ สตง. ตัวจริงยังไม่พ้นตำแหน่ง”
ผู้สื่อข่าวถามว่าที่ปกป้องเพราะต้องการตอบแทนบุญคุณที่ได้รับการเสนอชื่อจาก สตง. ให้เป็น ส.ว. หรือไม่ นายไพบูลย์กล่าวว่า การจะได้รับเลือกเป็น ส.ว. หรือไม่อยู่ที่ดุลยพินิจของกรรมการสรรหา 7 คน ไม่ได้อยู่ที่ว่าใครเป็นผู้เสนอรายชื่อมา ยืนยันว่าเรื่องนี้ทำงานตามหน้าที่
**********************************************************************
ฟังเสียงข้างน้อย “ดร. วรเจตน์”คดียึดทรัพย์ ศาลฎีกาเชื่อตรรกะดร.สมเกียรติ แต่ผมไม่เห็นด้วย!!!
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
ย้อนหลังไป 4 เดือนที่แล้ว ดร.วรเจตน์ ภาคีรัตน์ อาจารย์คณะนิติศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ ให้สัมภาษณ์ ว่า “ผมไม่คิดว่าศาลฎีกา จะรับครับ ยกทิ้งเลย แล้วก็ยึดทรัพย์กันไป” อะไรคือเบื้องหลังความเชื่อและหลักเหตุผลของนักกฎหมายหนุ่ม ลองพิจารณาดู ...
วันที่ 11 ส.ค. ที่ประชุมใหญ่ศาลฏีกา มีมติไม่รับอุทธรณ์คดียึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ครอบครัว และพวก จำนวน 46,373,687,454.70 บาท ด้วยคะแนนเสียง 103 ต่อ 4 เสียง
ทั้งนี้ 103 เสียงไม่รับอุทธรณ์ มีจำนวน 4 เสียงที่ให้รับอุทธรณ์ และมีผู้พิพากษา 12 คน งดออกเสียง
สาเหตุที่ 103 เสียงไม่รับอุทธรณ์ เนื่องจากเห็นว่า ประเด็นที่ ทนายพ.ต.ท.ทักษิณยื่นอุทธรณ์มาจำนวน 5 ประเด็นนั้นไม่มีหลักฐานใหม่แต่อย่างใด
ย้อนหลังไป 4 เดือนที่แล้ว ดร. วรเจตน์ ภาคีรัตน์ อาจารย์คณะนิติศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ ให้สัมภาษณ์ว่า “ผมไม่คิดว่าศาลฎีกา จะรับครับ ยกทิ้งเลย แล้วก็ยึดทรัพย์กันไป”
ถ้าเป็นหมอดู ดร. วรเจตน์ น่าจะทำนายอนาคต และชะตากรรมของ”ทักษิณและพวก” ล่วงหน้าได้อย่างถูกต้อง แต่ดร. วรเจตน์ ไม่ใช่หมอดู แต่เขาเป็นนักกฎหมายมหาชน เพียงไม่กี่คนในประเทศนี้ที่กล้าเขียนบทความทางวิชาการ ไม่เห็นด้วยกับคำพิพากษาศาลฎีกา ในคดียึดทรัพย์ คดีประวัติศาสตร์
เมื่ออ่านคำพิพากษาศาลฎีกาในคดียึดทรัพย์ จะพบว่า ในสำนวนของศาลรับฟังน้ำหนักพยานปาก ดร. สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ นักวิจัยจากสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย(ทีดีอาร์ไอ) อย่างเต็ม ๆ ดังปรากฏในคำพิพากษาหลายตอน ขณะที่ ดร. วรเจตน์ โต้เหตุผลของ ดร.สมเกียรติ ในทุกประเด็น ผ่าน บทสัมภาษณ์ในประชาชาติธุรกิจและผ่านจอทีวีมาแล้ว
ก่อนที่เหตุผลของเสียงข้างน้อยจะเลือนหายไปในอากาศ ก่อนที่คนจะลืมว่า ประเด็นในคดียึดทรัพย์ คดีประวัติศาสตร์ ถกเถียงกันเรื่องอะไร ขอนำเสนอบทสัมภาษณ์ฉบับที่ไม่เคยเผยแพร่มาก่อน มานำเสนอให้ท่านผู้อ่าน ดังนี้
ดู เหมือนว่า คนจะฟังเหตุผลของดร.สมเกียรติ มากกว่า ดร.วรเจตน์ ?
จริงๆ แล้ว อาจารย์สมเกียรติกับผม รู้จักกันครับ และผมคิดว่าดีนะ ที่ได้พูดกันในทางเนื้อหา อันนี้ผมชอบ ดีกว่ามาป้ายว่าผมเป็นพวกทักษิณ อย่างนั้นย่างนี้ อันนี้น่าเบื่อ แต่การเอาเนื้อหามาโต้ ทำให้เกิดการถกเถียงกันทางปัญญา ว่าตกตกลงเรื่องเป็นอย่างไร ใครถูกใครผิด ประชาชนก็ต้องคิดเอา ผมคิดว่าสักระยะหนึ่งคนจะตัดสินได้
ที่ผ่านมา มีคนว่าผมอยู่เรื่อยว่าต่อต้านการรัฐประหาร แต่ทำไมไม่ไปดูเนื้อหาว่าทักษิณผิดหรือไม่ผิด ผมก็เลยคิดว่าคราวนี้ก็มาดูเนื้อหากันจริงๆ เพราะเป็นเหตุที่ใช้อ้างในการทำรัฐประหารด้วย ว่ามีการทุจริตกัน ผมก็เลยเน้นไปที่เรื่องข้อกล่าวหา 5 ข้อ ของคตส. ว่าในทางเนื้อหาของเรื่อง เมื่อตรวจสอบจากเกณฑ์กฏหมายแล้วเป็นยังไง
เมื่อผมตรวจสอบแล้ว และเห็นว่าเขาไม่ผิด มันก็ไม่จำเป็นต้องพูดเรื่องอื่น แต่เรื่องซุกหุ้น ก็มีคนอยากรู้ว่าผมคิดยังไง อาจารย์วรเจตน์บอกสิว่าซุกหุ้นหรือไม่
ผมเรียนว่า ถ้าพูดจากในคดี จะได้ตัดปัญหา เพราะคนก็มองว่าช่วยทักษิณมั๊ย คืออ่านจากข้อเท็จจริงในคดี ผมคิดว่าถ้าฟังยุติตามที่ศาลชี้ ฟังได้ว่าคุณทักษิณ คงครองไว้ซึ่งหุ้น
แต่ถามว่าทำไมถึง จากข้อเท็จจริงในเชิงคดี เพราะประเด็นเรื่องซุกหุ้นต่างจากอีก 5 ประเด็น คือประเด็นเรื่องหุ้นเป็นประเด็นที่วางอยู่บนพื้นฐานข้อเท็จจริงเป็นหลัก ไม่มีประเด็นข้อกฏหมาย เป็นประเด็นที่สืบจากฐานข้อเท็จจริงเป็นสำคัญ แต่ปัญหาคือ ในเชิงเอกสาร ผมไม่เห็นทั้งหมด อ่านจากคำพิพากษาในคดีที่ศาลสรุป รวมทั้งความเห็นส่วนตน ทำให้เห็นได้ว่า ยังคงครองไว้ซึ่งหุ้น แต่ถ้าเห็นเอกสารทั้งหมด เห็นข้อต่อสู้ทั้งมวล อันนี้ผมไม่รู้ เพราะเป็นข้อเท็จจริง
แต่ใน 5 ประเด็นเป็นประเด็นข้อกฏหมาย คือข้อเท็จจริง อย่างผมกับอ.สมเกียรติ ไม่ได้เถียงกันในข้อเท็จจริงเลยนะ เพียงแต่การตีความข้อเท็จจริง และการตีความข้อกฏหมายไม่เหมือนกัน ฉะนั้น ประเด็นเรื่องซุกหุ้นจึงต่างกันตรงนี้ ผมถึงบอกว่า เรื่องซุกหุ้นถ้าเอาที่ศาลชี้ เนื่องจากมันอยู่บนฐานข้อเท็จจริงๆ ว่าความเป็นจริงหุ้นอยู่กับใครอย่างไรถ้าอ่านจากคำพากษา ก็คงมองได้เหมือนกันว่าคุณทักษิณยังคงครองไว้ซึ่งหุ้น คือ ไม่ได้มีการขายออกไปจริง
แต่ปัญหาเรื่องหุ้นมีมากไปกว่านั้น ไม่ใช่เฉพาะในทางคดีนี้ ในอนาคตข้างหน้า สมมุติว่าคุณเป็นรัฐมนตรี แล้วคุณโอนหุ้นให้ลูก ปัญหาก็คือว่า ถ้ามีคนมาบอกว่าหุ้นยังไม่โอนไป มันจะต้องสืบกันมากว่าข้อเท็จจริงเป็นยังไง ในทางคดีโอนไปแล้ว แต่ว่าลูกมาปรึกษาว่าจะขายไม่ขาย มีคนมาติดต่อคุณว่าจะขายยังไง คุณจะเป็นนายหน้าให้กับลูกหรือไม่ ได้หรือไม่ แล้วถ้าทำอย่างนั้น ยังถือหุ้นอยู่กับคุณมั๊ย
มันจะมีประเด็นอย่างนี้เถียงกันได้มากเลย แล้วมันมีปัญหาเรื่องความมั่นคงแน่นอนของนิติฐานะ เพราะว่าพ่อกับลูกมันใกล้กันมาก
ประเด็นอีกอันก็คือ สมมุติว่า ไม่มีการขายหุ้นคุณทักษิณให้ลูก แต่ยกให้ แล้วยังไง กรรมสิทธิ์ที่แท้จริงเป็นของใคร คือเกณฑ์ที่มันจะใช้ตรงนี้ คือปกติ เรื่องเกณฑ์กรรมสิทธิ์เราใช้เกณฑ์ ทางทะเบียนเป็นสำคัญ คือเกณฑ์ทางรูปแบบ แต่เรื่องนี้บังเอิญ มันอยู่ในรัฐธรรมนูญ ศาลมองในทางเนื้อหาด้วยว่าจริงๆ อำนาจ ในการตัดสินใจอยู่กับใคร ซึ่งผมบอกว่า เมื่อฟังจากศาลพอมองได้อยู่ว่า คุณทักษิณยังคงครองไว้ซึ่งหุ้น แต่ในทางรูปแบบไม่ใช่ เขาบอกว่าเขาขายไปแล้ว ในทางทะเบียนไม่ใช่ของเขา แต่เป็นของลูก
ฉะนั้น ถ้าผมจะบอกว่าประเด็นเรื่องนี้ มันจึงเป็นประเด็นซึ่ง จะต้องเห็นข้อเท็จจริงทั้งหมดจริงๆ มันไม่ใช่เรื่องข้อกฏหมายแล้ว แต่มันเป็นการตีว่าในทางความเป็นจริง หุ้นเป็นของใครกันแน่
แต่หลายคนมองว่า เรื่องนี้เราตีความหรือวินิจฉัยว่าคุณทักษิณครองไว้ซึ่งหุ้น ก็จะไปบอกเลยว่าเขาทุจริต หรือเป็นเรื่องที่มีการกระทำโดยเอื้อประโยชน์ ซึ่งมันไม่ใช่ มันไม่ออโตเมติก
ทีนี้หลายคนไม่เข้าใจว่า ประเด็นที่ถือครองไว้ซึ่งหุ้น ผลทางกฏหมายมันคือ พ้นจากตำแหน่งหรือเป็นการยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน ก็คือ จะถูกเพิกถอนสิทธิ์ทางการเมือง 5 ปี เพราะยื่นทรัพย์สินเป็นเท็จ แต่คำถามคือ เราอาจต้องวางเกณฑ์นิดนึงว่า ในอนาคตคนจะขายหุ้นให้ลูกเขาควรทำยังไง ระบบกฏหมายถึงจะเชื่อว่าเขาขายแล้ว
คือ ระบบจะต้องเรียกร้องจากคนขนาดไหน ถึงจะเชื่อว่าเขาขายแล้ว แล้วเราก็ต้องไม่ลืมว่าเป็นเรื่องทางการเมือง มันจะไปพันกับกระแสทางการเมืองอย่างมาก กระแสการเมืองที่ไปทางนั้นทางนี้ จะส่งผลต่อการวินิจฉัยด้วยของศาลด้วย เคสนี้ศาลบอกว่า ในทางข้อเท็จจริงศาลเห็นว่ามันไม่ควรเอามาใช้ เพราะมันจะทำให้กระทบความมั่นคงแน่นอน โดยทางรูปแบบมันขายไปแล้ว ศาลก็บอกว่าหุ้นขายไปแล้ว ในทางเนื้อหา ดูแล้วมีพิรุธเรื่องการโอน เรื่องการทำตั๋วสัญญาใช้เงิน มันเหมือนกับไม่ได้ออกตั๋วสัญญาใช้เงินจริงๆ
@ แต่มีการตั้งข้อสังเกตว่า กรณีที่คุณทักษิณเองถือหุ้นเองหรือถือโดยผ่านลูกก็ตาม โดย แต่วันที่คุณทักษิณนั่งเป็นนายกฯ อยู่หัวโต๊ะที่ประชุมครม. แล้วมีเรื่องใน 5 โครงการนี้เข้าครม. คุณทักษิณรู้ทั้งรู้ว่ามีหุ้นตรงนี้ มันก็ดูจะไม่ถูกต้องนัก เพราะโครงการที่ตัวเองมีส่วนได้เสียเข้าสู่ครม.
อันนี้ต้องแยกครับ มันมีปัญหาเรื่องความเหมาะสม ในตำแหน่งกับความไม่ชอบด้วยกฏหมาย 2 เรื่องนี้มันไม่ใช่อันเดียวกัน เราอาจจะวิจารณ์เรื่องความเหมาะสมในตำแหน่งได้ แต่เรื่องความชอบด้วยกฏหมายนั้น มันเป็นอีกอันหนึ่ง
แล้วจริงๆ ใน 5 กรณีนี้ ถ้าเราพูดกันจากรูปธรรม มันพูดลอยๆ ไม่ได้ ใน 5 กรณีนี้ถ้าพูดกันถึงที่สุด การตัดสินใจของคุณทักษิณมีส่วนแต่เป็นส่วนหนึ่งเท่านั้น มีเรื่องเดียวคือ ตอนออกพระราชกำหนดภาษีสรรพสามิต เท่านั้นครับ เรื่องเดียวเอง แต่คุณทักษิณเป็นหนึ่งในบรรดารัฐมนตรีหลาย ๆคน
ส่วนเรื่องอื่นๆ อีก 4 เรื่อง ประเด็นเรื่องของพรีเพด ประเด็นโรมมิ่ง ประเด็นเรื่องดาวเทียมไอพีสตาร์ ทั้ง 3 เรื่องนี้ไม่ใช่คุณทักษิณ แล้วไม่ใช่เรื่องครม.
เรื่องพรีเพดกับเรื่องโรมมิ่งเป็นเรื่อของทศท. เรื่องดาวเทียมไอพีสตาร์ ก็เป็นเรื่องรัฐมนตรีไอซีที เรื่องเงินกู้พม่าเป็นเรื่องที่ธนาคารเป็นคนให้กู้ เพียงแต่ว่าคุณทักษิณเป็นคนริเริ่ม หรือคณะรัฐมนตรีนั้นมีมติอนุมัติในเบื้องต้น แต่ไม่ได้เป็นการตัดสินใจในทางเด็ดขาด ไม่เหมือนกับเรื่องพระราชกำหนดสรรพสามิต ฉะนั้นต้องแยก 5 เรื่องนี้
และนี่จะเป็นปัญหาเรื่องคอล สเตชั่น เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างการกระทำและผลต่อไป ซึ่งหลายคนยังไม่ได้พูด และเหมารวมว่าเป็นการกระทำของคุณทักษิณหมด ซึ่งในทางความรู้สึก คุณอาจรู้สึกได้ว่าคุณทักษิณครอบงำคณะรัฐมนตรี แต่ในทางกฏหมาย นี่เป็นการยึดทรัพย์นะครับ ต้องชัด
กรณีที่มีคนตั้งคำถามกับผมเรื่องหุ้น ในด้านหนึ่ง ในที่สุดถ้าเราเห็นว่าการกระทำนั้น มันไม่เอื้อ เรื่องซุกหุ้นหรือไม่ซุกหุ้นก็ไม่มีความหมาย มันก็คือไม่ผิด ประเด็นคือ ยึดทรัพย์ไม่ได้ แต่ถ้าบอกว่าผิดแบบ ตัดสิทธิ์ทางการเมือง 5 ปี ก็เป็นเรื่องบัญชีเป็นเท็จ
@ ทราบว่า อาจารย์อ่านคำวินิจฉัยส่วนตนของตุลาการในคดียึดทรัพย์ 4.6 หมื่นล้าน มีข้อสังเกตอะไรบ้างครับ
มีอันหนึ่งที่เห็นก็คือ ตอนที่มันมีการลงมติ ประเด็นเรื่องว่าคุณทักษิณยังคงครองไว้ซึ่งหุ้น หรือไม่ มัน 9 ต่อ 0 พอมาถึงประเด็นว่ามีการเอื้อประโยชน์ทั้ง5 กรณี หรือไม่ มันคือ 8 ต่อ 1 แล้วพอยึดหรือไม่ยึดคือ 7 ต่อ 2 คือยึดหมดหรือยึดบางส่วน
กรณี 8 ต่อ 1 มันน่าสนใจว่า ผมไปอ่านคำพิพากษาส่วนตน คือตอนลงมติว่าเอื้อหรือไม่เอื้อ เป็นการลงมติพร้อมกัน มันเลยเป็น 8-1 ไม่ได้แยกทีละเรื่อง ปรากฏว่าภาษีสรรพสามิต มีคนที่เห็นว่าเรื่องภาษีสรรพสามิต ไม่ได้เป็นการเอื้อประโยชน์ สองคนครับ
ท่านหนึ่งก็คือม.ล.ฤทธิเทพ เทวกุล ส่วนอีกท่านคือท่าน พงศ์เทพ ศิริพงศ์ติกานนท์ ประเด็นนี้ท่านเห็นว่าไม่เอ แต่ประเด็นอื่นท่านเห็นว่าเอื้อหมด ท่านเลยจัดอยู่ในฝ่ายข้างมาก เพราะไม่ได้ลงแยก
@ อาจารย์เห็นแย้งอาจารย์สมเกียรติ ประเด็นไหนบ้างครับ
เรื่องแรกคือประเด็นภาษีสรรพสามิตมีเถียงกันว่า ตกลงกีดกันหรือไม่กีดกัน เรื่องนี้ เป็นประเด็นที่ผมสัมภาษณ์พาดพิงอาจารย์สมเกียรติ ซึ่งไปเป็นพยานในคดี แล้วเข้าใจว่าเป็นพยานปากสุดท้าย ผมมีข้อสังเกตว่า มันมีคนที่เห็นว่าไม่กีดกันเหมือนกัน แต่ว่าเวลาอ่านคำพิพากษา แม้แต่ความเห็นส่วนตนของผู้พิพากษา เสียงข้างมาก ปรากฏว่าไม่ได้มีการให้เหตุผลของฝ่ายที่เห็นว่าไม่กีดกันในคดี ว่าทำไมถึงเห็นว่าไม่กีดกัน
คือมีการเขียนนิดเดียวเอง แล้วบางท่าน ไม่ได้เขียนทุกท่านด้วย มีสืบพยาน ผมเข้าใจว่าอย่างดร. กมลชัย รัตนสกาววงศ์ ซึ่งเป็นที่ปรึกษาของกทช. เห็นว่าไม่กีดกัน แต่ประเด็นที่ว่าอาจารย์กมลชัยเห็นว่าไม่กีดกัน ไม่มีการสืบ
ผมไม่รู้ว่าฝ่ายทนายคุณทักษิณ ได้อ้างนักวิชาการที่เป็นนักวิชาการเศรษฐศาสตร์ท่านอื่นหรือเปล่า ที่เห็นว่าเรื่องนี้ไม่กีดกัน อันนี้ไม่ทราบได้ แต่เห็นว่าไม่มีพยานผู้เชี่ยวชาญ อื่นๆ มาคาน หรือชี้ว่าทำไมไม่กีดกัน
ประเด็นหนึ่งที่อาจารย์สมเกียรติพาดพิง บอกว่า คณาจารย์พูดถึงเรื่องจุดคุ้มทุน โดยที่ไม่รู้เรื่องเศรษฐศาสตร์ และไม่มีตัวเลขอะไรเลย ผมเรียนว่า เวลาที่เราวิเคราะห์คำพิพากษา เราวิเคราะห์จากข้อเท็จจริงในคดี ผมก็อ่านข้อเท็จจริงที่ปรากฏในคำพิพากษา แล้ววิเคราะห์ไปจากนี้ จริงๆ ที่วิเคราะห์บอกว่า การมีภาษีสรรพสามิตมันไม่ทำให้ไม่ได้เป็นอุปสรรคสำคัญของผู้ประกอบการรายใหม่ มีต้นทุนในการประกอบกิจการสูง กว่าจุดคุ้มทุนจนเข้าตลาดไม่ได้นั้น อันนี้หมายถึงว่าอ่านจากคำพิพากษานั่นเอง
หมายถึง คำพิพากษาไม่ได้มีอะไร ถ้าศาลจะบอกว่ามันกีดกัน ศาลคงต้องชี้ให้เห็นแล้วว่า มันมีต้นทุนยังไงของรายใหม่ที่มันสูง จนถึงเข้าตลาดไม่ได้ คือคณาจารย์ทั้ง 5 ไม่ได้เห็นครับ จึงบอกว่าเรื่องนี้มันจึง จากคำพิพากษาเองไม่ได้บอก เราถึงบอกว่า เมื่อเราดูจาก ตัวที่มีภาระภาษีเพิ่มขึ้น เฉยๆ มันยังไม่พอว่าเป็นการกีดกัน อันนี้คือประเด็นหลัก แล้วข้อเท็จจริงในคดีไม่มีด้วยว่าต้นทุนของผู้ประกอบการรายใหม่มันสูง จนถึงขนาดว่ามันเข้าตลาดไม่ได้ ในคดี
ฉะนั้นก็เป็นหน้าที่ ถ้าศาลบอกว่ากีดกันก็ต้องคำนวณ เหมือนที่อาจารย์สมเกียรติบอกว่าต้นทุนเป็นยังไงบ้าง แต่ประเด็นหลักของผมเวลาเราพูดเรื่องต้นทุนมันเถียงกันได้เยอะ แต่ประเด็นที่มันมีการพูดกันก็คือว่า ในคำพิพากษา ศาลแสดงให้เห็นแต่เพียงว่า ผู้ประกอบการรายใหม่ จะมีภาระภาษีเพิ่มขึ้น เท่านั้นเอง
สรุปง่ายๆ ก็คือว่า รายเดิมคือเอไอเอส จะต้องจ่ายส่วนแบ่งรายได้ 25% ถ้าจะมีรายใหม่เข้าสู่ตลาด เขาจะต้องจ่ายค่าธรรมเนียมให้กับรัฐ 6.5 % ทีนี้เมื่อมีภาษีสรรพสามิตอีก 10 % จึงกลายเป็น 16.5 %
คำถามก็คือ ถ้าเราไม่ดูต้นทุนตัวอื่น ดูแต่เฉพาะส่วนที่ต้องจ่ายให้กับรัฐที่เป็นภาษี ส่วนแบ่งรายได้เทียบกัน ถามว่า 16.5 มันมากกว่า 25 ตรงไหน
ผมยกตัวอย่างง่ายๆ สมมุติว่า คุณประกอบกิจการอย่างหนึ่งเป็นผู้ประกอบการรายเดิม จะต้องจ่ายค่าธรรมเนียมหรืออะไรกับรัฐ 25 % ผมจะเขาสู่ตลาด ยังไม่มีฐานลูกค้า รัฐบอกว่ากลัวผมแข่งไม่ได้ เก็บผมถูกๆ มองในมุมกลับ(นะ ) มันแฟร์กับคุณหรือเปล่า ถ้าคุณต้องจ่าย 25% ผมจ่าย 5% ทำไมไม่จ่าย 25 เหมือนกัน ผมถึงบอกว่า 16.5 ยังไงมันก็ยังน้อยกว่า
ก็มีการโต้แย้งกันว่า อาจารย์สมเกียรติบอกว่า รายเก่าเข้าตลาดมาก่อนมีฐานลูกค้ามาก แล้วยิ่งลูกค้าเยอะ การถึงจุดที่ได้กำไรมันเป็นเร็วขึ้น มากขึ้น เรื่องนี้ผมเรียนว่า การเข้าตลาดก่อนของรายเก่า มันหมายความว่าเขาแบกรับความเสี่ยงทางธุรกิจไปก่อน ไม่ได้หมายความว่าเขาจะประสบความสำเร็จทางธุรกิจ เขาเข้าตลาดก่อน แบกรับความเสี่ยงทางธุรกิจไปก่อน
อีกอย่างก็คือ รายเก่าที่เขาทำสัญญาสัมปทานกับรัฐ เขาทำสัญญาสัมปทานแบบ BTO (Build, Transfer, Operate) ซึ่งก็คือ เขาเป็นคนที่ลงทุนเรื่องโครงข่าย ก็คือเขาลงทุนด้วยเงินของเขาเอง โอนให้กับรัฐวิสาหกิจ แล้วก็ประกอบกิจการ เงินลงทุนนี้จำนวนมากนะครับ เพราะว่ารัฐไม่ต้องการลงทุนเอง
รายใหม่ในการเข้าสู่ตลาดไม่ต้องลงทุนส่วนนี้ แล้วถ้าเกิดรายใหม่จะลงทุนตามระบบอันใหม่ ที่เป็นระบบใบอนุญาติ ไม่ใช่ระบบสัญญาณ เขาได้กรรมสิทธิ์ในสิ่งที่เขาลงทุน ขณะที่รายเก่าต้องโอนกรรมสิทธิ์ให้กับรัฐ แล้วถามว่าตรงนี้ไม่คิดหรือ
ผมไม่แปลกใจเลยว่าบรรดาผู้พิพากษาที่ตัดสินเรื่องนี้ ข้างน้อยข้างหนึ่งคือม.ล. ฤทธิเทพ เป็นท่านท่านเดียวที่พูดถึงประเด็น BTO ซึ่งเป็นประเด็นสำคัญมาก เพราะมันจะทำให้เห็นว่า รายเก่าในการเขาเข้ายังไง มีต้นทุนการประกอบการยังไง ซึ่งตรงนี้ต้องคิด ซึ่งแน่นอนเข้าก่อนมันก็เป็นธรรมดา มันมีข้อดีข้อเสีย ต้องชั่งน้ำหนักกัน
ปัญหาก็คือว่า มีคนบอกว่าการที่รัฐบาล ออกอันนี้ 10% เพิ่มขึ้นเลย 10% คำถามก็คือ ภาระภาษีเพิ่มขึ้น แต่ถามว่าเพิ่มแล้วที่สุดมันทำให้แข่งไม่ได้หรือเปล่า หรือทำให้เขาไม่มีมูลเหตุจูงใจในการเข้าสู่ตลาดมั๊ย นี่คือประเด็น ซึ่งต้องพรูฟกันว่ามันเป็นการกีดกันยังไง
ท่านก็บอกว่า ตัวพิกัดภาษีมันเลื่อนไปได้ แต่มันยังไม่เกิด แต่ก็มีคนบอกว่ามีคนไม่กล้าลงทุน เพราะเขาก็ไม่รู้ว่ารัฐบาลขึ้นยังไง เราต้องเข้าใจว่า เวลารัฐบาลจะทำพวกนี้ มันจะต้องดูสภาพตลาดต่างๆ เขาก็บอกว่า วันดีคืนดีคุณทักษิณ ก็ขึ้นภาษีสรรพสามิต ไป 30 ,40% อันนี้คือการคาดเดาแล้ว
ซึ่งแน่นอน อาจจะมีคนบอกว่า คนประกอบธุรกิจเขาอาจจะคาดเดาได้ แต่มันคือการคาดเดา แล้วถ้าเกิดไปอ่านคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญรวมทั้งในทางความเป็นจริงด้วย เราจะเห็นได้ว่า ที่เขาทำภาษีสรรพสามิตขึ้นมา เขาต้องการแก้ปัญหาเรื่อง การแปรสัญญาณสัมปทาน ซึ่งมันทำไม่สำเร็จตั้งแต่ปี 2537 ทำมาหลายรัฐบาลแล้วมันทำไม่ได้ แล้วถึงเวลานั้นมีการแปรรูปไปแล้วจากองค์การโทรศัพท์ไปเป็นทีโอที แล้วก็การสื่อสารไปเป็นบริษัทกสท. แล้วต่อไปเอาเข้าตลาด
พอเอาเข้าตลาด มันไปขายหุ้น ในขณะที่ 2 หน่วยได้เงินสัมปทานจากเอไอเอส ดีแทค ทรูมูฟ กินเงินสัมปทานมา ต่อไปถ้าไปขายหุ้น เอกชนที่เป็นผู้ถือหุ้น ก็จะได้เงินส่วนแบ่งสัมปทาน ซึ่งไม่ถูกต้อง เขาจึงหาวิธีเอาเงินเข้าคลังโดยตรง ซึ่งเขาก็ตัด 10% เข้าคลังโดยตรง ซึ่งทำให้รัฐได้ประโยชน์โดยตรง
ทีนี้มีคนบอกว่า การออกพรก.สรรพสามิต ไม่ต้องการเก็บภาษีจริงๆ หรอก เพราะว่าออกมา บอกว่า เก็บ 10% แต่จริงๆ ไม่ได้เก็บ เอา 10% ออกไปหักจากค่าสัมปทาน คือ เอไอเอสต้องจ่าย 25% ให้กับทีโอที ก็บอกว่า 10 % ที่เป็นภาษีสรรพสามิต ให้เอาไปหักออกได้จากค่าสัมปทาน ก็คือจ่ายให้กับทีโอที 15 % แล้วจ่ายเข้าคลัง 10% ในความเป็นจริงคือรัฐไม่ได้ภาษี เพราะว่าจะเก็บ แต่เอาตรงนี้ไปหักออกจากส่วนที่เอกชนต้องจ่ายกับรัฐอยู่แล้ว ฟังดูเหมือนว่า แต่เราต้องอธิบายแบบนี้ว่ามาตรการทางภาษี มันเป็นมาตรการที่รัฐใช้แก้ปัญหาการแปรสัญญาณสัมปทาน เป็นมารตรการที่รัฐทำขึ้นเพื่อให้ได้ความมั่นคง ในแง่ของเงินที่จะเข้าคลังโดยตรง
ถ้าเกิดรัฐจะเก็บเงินจริง ๆ ก็เท่ากับว่า เอไอเอสจ่าย 25 % ที่เป็นค่าสัมปทานให้กับทีโอที แล้วยังต้องจ่ายภาษีสรรพสามิตอีก 10 % ถามว่าภาระไปอยู่กับใครครับ เขาผลักตรงนี้ไปให้ผู้บริโภคก็คือพวกเรา
การที่เอา 10% ไปหัก จึงไม่ทำให้เกิดภาระกับผู้บริโภค เขามีเหตุผลอธิบาย ผมถึงบอกว่า ผมดูทั้งหมดแล้วมันอธิบายทางกฏหมาย มันมีลอว์จิกของมันอธิบายได้ ว่าทำไมถึงเป็นแบบนี้
@ มุมมองอาจารย์วรเจตน์กับอาจารย์สมเกียรติเป็นมุมมองจากกรอบแว่นตาต่างสีหรือเปล่า
ผมไม่แน่ใจ(ครับ) ผมไม่รู้ว่านักเศรษฐศาสตร์เขาคิดยังไง เพราะบังเอิญมีอาจารย์สมเกียรติพูดอยู่ท่านเดียว อาจจะต้องไปถามนักเศรษฐศาสตร์คนอื่นว่าเขาจะคิดแบบผมบ้างมั๊ย ซึ่งผมเชื่อว่ามีแน่นอน แล้วผมพยายามสำรวจ ตรวจสอบตรรกะของผมดู ผมก็ยังไม่พบว่ามันบกพร่องนะ ในแง่นี้ เพราะมันมีเหตุผลอธิบาย
แล้วมองในทางกลับกัน ถ้าภาษีที่มันเพิ่มขึ้น อาจจะมีผลในการสร้างความเป็นธรรมในการแข่งขันก็ได้ เพราะมันทำให้เราต้องคำนวณดูว่า ถ้าสมมุติว่ารายเดิมมีภาระส่วนแบ่งรายได้สูงมาก รายใหม่น้อยมาก รายเดิมก็อาจจะเสียเปรียบได้ แม้ว่ารายเดิมจะมีฐานลูกค้าอยู่ แต่ถ้ารายใหม่เข้าตลาดมา มันมีส่งผลที่ต้องจ่ายตรงนี้น้อยมาก เพราะดั๊มราคาได้ เข้ามาแข่ง ซึ่งเขาบอกว่าโอเคให้รายใหม่แข่งได้ แต่ว่า ช่องว่างที่ห่างมากเกินไป บางทีมันอาจทำให้เกิดการได้เปรียบเสียเปรียบ กันก็ได้
อีกอันที่ต้องแย้งอาจารย์สมเกียรติก็คือ ผมบอกว่ามันไม่ได้มีการกีดกัน มีคนบอกว่าไม่มีรายใหม่เข้าสู่ตลาด แล้วผมบอกว่า ที่มันไม่มีรายใหม่เข้าสู่ตลาด เป็นเพราะว่ามันมีปัญหาเรื่องการออกใบอนุญาติของกทช. คือ อาจารย์สมเกียรติบอกว่า ผมไม่ได้พูดถึงความเห็นกฤษฎีกา ที่กทช.เคยถามว่า สามารถจัดสรรคลื่นได้มั๊ย แล้วกฤษฎีกาก็บอกว่า จัดสรรได้ อาจารย์ก็เลยบอกว่า ที่ผมบอกว่า กทช.มีปัญหาว่ามีอำนาจออกใบอนุญาติหรือเปล่า แล้วทำให้มีรายใหม่เข้าสู่ตลาด จริงๆ จริงๆ ไม่ใช่ครับ อาจารย์สมเกียรติเข้าใจตรงนี้คลาดเคลื่อน
คืออย่างนี้ การที่รายใหม่เข้าสู่ตลาด เอาเข้ามาแข่งกับเอไอเอส ดีแทค ทรูมูฟ หลังจากที่มีการแปรรูปรัฐวิสาหกิจไปแล้ว รายใหม่เวลาเข้าสู่ตลาด เขาเข้าสู่ตลาดในระบบใบอนุญาติ คือต้องออกใบอนุญาติจากกทช.
ทีนี้มันมี้ปัญหาว่า กทช. มันตั้งขึ้นมาได้ แต่กสช.ตั้งไม่ได้ พอตั้งกสช.ไม่ได้ มันก็ไม่มีคณะกรรมการร่วม มาจัดทำแผนแม่บทคลื่นความถี่ ก็เลยมีปัญหาเถียงกันว่าตกลง ในขณะที่ไม่มีกสช. กทช.จะมีอำนาจในการจัดสรรคลื่นหรือเปล่า
ความเห็นส่วนตัวผม ผมเห็นว่ากทช.มีอำนาจ แต่ว่าก่อนหน้านั้น มันมีปัญหาเถียงกันเรื่องอำนาจของกทช. ว่ามีหรือไม่มี แล้วจนกระทั่งถึงปี 2549 สังเกตปีนะครับ ที่อาจารย์สมเกียรติอ้างกฤษฎีกา ผมจะบอกว่า ปี 2549 กทช. ถามกฤษฎีกาว่าตัวเองมีอำนาจในการจัดสรรคลื่นความถี่หรือเปล่า
กฤษฎีกาตอบเมื่อเดือนสิงหาคม เดือนเดียวก่อนการรัฐประหารว่า กทช.สามารถจัดสรรคลื่นความถี่ได้ แต่มีเงื่อนไขว่ามันทำในลักษณะซึ่ง ทำไปที่จำเป็น แต่ทำได้ ถ้าเกิดว่ายังไม่มีกทช. ให้จัดสรรไปได้ ความเห็นนี้เกิดขึ้นปี 2549 ตอบคำถามในตัว อาจารย์สมเกียรติว่าแปลว่าอะไร เรื่องนี้ กฤษฎีกาตอบสิงหา 2549 แปลว่า แปลว่ามันมีความไม่แน่ใจในอำนาจกทช.มาเป็นเวลาหลายปี ซึ่งเรื่องนี้เถียงกันมาตั้งแต่ปี 2546 ยิ่งสนับสนุนความเห็นผม ที่อาจารย์สมเกียรติอ้าง เพราะว่าเขาไม่แน่ใจอำนาจ แล้วถามปี 2549 เรื่องเสร็จ ที่ 386/2549
อีกอันหนึ่งก็คือ ประเด็นเรื่องผู้ประกอบการเดิมตามกำหนดสัมปทานมีสิทธิ์ ดีกว่าผู้ประกอบการ ตามระบบใบอนุญาติ เพราะว่าของเก่าทำสัญญา ของใหม่เป็นใบอนุญาติ โอเค ถูกว่ารายเดิมมีสิทธิ์ผูกขาด แต่ว่าต้องโอนกรรมสิทธิ์ ทรัพย์สินให้กับรัฐนะ แล้วเวลาในการกระกอบกิจการ ใกล้จะหมด เหลือไม่กี่ปี จ่ายค่าสัมปทานแพง 15, 20, 25, 30 หรือ 20 แล้วแต่ แต่รายใหม่แม้ไม่มีสิทธิ์ผูกขาดเป็นผู้รับใบอนุญาติ แต่ว่าเป็นเจ้าของโครงข่ายได้ แล้วถ้าเกิดเข้าสู่ตลาด เป็นระยะเวลายาว อันนี้อาจจะต้องเปรียบเทียบกันนิดนึง
อีกอันที่อาจารย์สมเกียรติแย้งก็คือ ที่ผมบอกว่า ไม่มีรายใหม่เข้าสู่ตลาดเลย ที่จริงมีบริษัทหนึ่งคือไทยโมบาย อาจารย์สมเกียรติบอกว่าผมผิด 2 อัน ทั้งประเด็น ข้อเท็จจริงและตรรกะ ผมอธิบายได้ว่า ไทยโมบายไม่ใช่รายใหม่แท้จริงครับ คือ ไทยโมบายเป็นกิจการร่วมค้าที่เกิดขึ้นจากทีโอทีกับกสท. โทรคมนาคมตั้งขึ้นมาให้ทำ อยู่ช่วงเวลาหนึ่ง ตอนนี้เลิกไปแล้ว แล้วไทยโมบายก็ไม่ได้ใบอนุญาตินะครับเพราะว่าใช้สิทธ์ ของทีโอที กสท. นี่แหละทำ เขาจึงไม่ใช่รายใหม่
รายใหม่จริงๆ ไม่มี แล้วไทยโมบายเข้ามาในตลาด ได้เปรียบ คลื่นคุณก็ไม่ต้องจ่าย คือมันเป็นหน่วยที่ 2 องค์กรนี้ตั้งขึ้นมาเพื่อทำ ฉะนั้นไม่ใช่รายใหม่ แบรนด์อาจจะดูใหม่ แต่ไม่ใช่รายใหม่ในความหมายที่เราพูดกัน ว่าคุณเข้ามา แล้วไปอนุญาติเข้ามา เอาเงินลงทุนเข้ามาลงทุนรายใหม่ ไม่ใช่ แต่วันนี้ไทยโมบายเลิกไปแล้ว ก็เลยมีคนบอกว่านี่ไงเป็นเพราะภาษีสรรพสามิต 10 % ผมบอกว่าไม่ใช่ ไปสรุปแบบนั้นไม่ได้ ไปดูสิครับว่าทำไม ไทยโมบายถึงเลิก
ฉะนั้น อย่าไปสมมุติว่าอันนี้เป็นเพราะ 10 % แล้วอีกอย่างก็คือ อาจจะตลกมากเหมือนกัน ถ้าเกิดจะบอกว่า ไทยโมบาย เป็นกิจการร่วมค้าของทีโอทีกับกสท ซึ่งทีโอที กับ กสท. กระทรวงการคลังถือหุ้น 100 % แล้วมันจะกีดกันยังไง คือตัวรัฐกีดกันไทยโมบาย ซึ่งที่สุดจ่ายไป 10 % เข้าไปก็ไปเข้าตัวเอง ก็ส่งกลับมาได้ คงพูดยากมั้งง ฉะนั้น 10% ไม่น่าจะเป็นประเด็น เพราะกระทรวงการคลังกีดกันตัวเองไม่ได้
ส่วนที่บอกว่า ไม่เห็นว่ามีรายใหม่เข้ามา ไม่ได้แปลว่ารายใหม่ยื่นความประสงค์เข้าตลาด อันนี้ ผมคิดว่ามันเป็นความผิดพลาดทางตรรกะไม่ได้ เพราะว่าปกติในทางธุรกิจ ถ้ามันมีประเด็น มีคนมุ่งประสงค์ ต้องการธุรกิจอย่างนี้จริงๆ มันต้องแสดงตัวว่า เขามีความมุ่งมั่นที่จะเข้าสู่ตลาดนะ แล้วก็ตอนนี้ภาษี 10 % มันเป็นอุปสรรค ทำให้เขาเข้าสู่ตลาดไม่ได้ แต่ในช่วงที่ผ่านมามันไม่มี มันไม่เห็นความประสงค์ของคน ที่จะเข้าประกอบการ คือ บางทีอาจจะพูดได้ว่ามีคนอยากเข้าสู่ตลาด ผมถามว่าใครล่ะ
ประเด็นสำคัญอีกอันหนึ่งที่ถามว่า แล้วจะเข้าสู่ตลาดเข้าได้มั๊ย ผมจะบอกว่ามันมีปัญหาทางเทคนิคเรื่องหนึ่งก็คือเรื่องคลื่น ในคลื่น 2 จี ที่ใช้ย่านความถี่ เป็นคลื่น 2 จี มันถูกใช้ไปหมดแล้ว มันมีคลื่นที่เรียกว่าคลื่นฟันหลออยู่ อาจจะเป็นบางช่วง มันใช้การไม่ได้
โดยสภาพ ถ้าออกใบอนุญาติให้กับรายใหม่ มันต้องเรียกคลื่นกลับมาทั้งหมด แล้วมาจัดสรรใหม่ ซึ่งมันจะยุ่งยากมาก เพราะไปกระทบกับสัญญาสัมปทาน ฉะนั้น ประเด็นเรื่องคลื่นก็เป็นปัญหาทางเทคนิกอีกอันหนึ่ง ฉะนั้น การที่ไม่มีรายใหม่เข้าสู่ตลาด มันด้วยเหตุปัจจัยอย่างอื่น
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ย้อนหลังไป 4 เดือนที่แล้ว ดร.วรเจตน์ ภาคีรัตน์ อาจารย์คณะนิติศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ ให้สัมภาษณ์ ว่า “ผมไม่คิดว่าศาลฎีกา จะรับครับ ยกทิ้งเลย แล้วก็ยึดทรัพย์กันไป” อะไรคือเบื้องหลังความเชื่อและหลักเหตุผลของนักกฎหมายหนุ่ม ลองพิจารณาดู ...
วันที่ 11 ส.ค. ที่ประชุมใหญ่ศาลฏีกา มีมติไม่รับอุทธรณ์คดียึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ครอบครัว และพวก จำนวน 46,373,687,454.70 บาท ด้วยคะแนนเสียง 103 ต่อ 4 เสียง
ทั้งนี้ 103 เสียงไม่รับอุทธรณ์ มีจำนวน 4 เสียงที่ให้รับอุทธรณ์ และมีผู้พิพากษา 12 คน งดออกเสียง
สาเหตุที่ 103 เสียงไม่รับอุทธรณ์ เนื่องจากเห็นว่า ประเด็นที่ ทนายพ.ต.ท.ทักษิณยื่นอุทธรณ์มาจำนวน 5 ประเด็นนั้นไม่มีหลักฐานใหม่แต่อย่างใด
ย้อนหลังไป 4 เดือนที่แล้ว ดร. วรเจตน์ ภาคีรัตน์ อาจารย์คณะนิติศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ ให้สัมภาษณ์ว่า “ผมไม่คิดว่าศาลฎีกา จะรับครับ ยกทิ้งเลย แล้วก็ยึดทรัพย์กันไป”
ถ้าเป็นหมอดู ดร. วรเจตน์ น่าจะทำนายอนาคต และชะตากรรมของ”ทักษิณและพวก” ล่วงหน้าได้อย่างถูกต้อง แต่ดร. วรเจตน์ ไม่ใช่หมอดู แต่เขาเป็นนักกฎหมายมหาชน เพียงไม่กี่คนในประเทศนี้ที่กล้าเขียนบทความทางวิชาการ ไม่เห็นด้วยกับคำพิพากษาศาลฎีกา ในคดียึดทรัพย์ คดีประวัติศาสตร์
เมื่ออ่านคำพิพากษาศาลฎีกาในคดียึดทรัพย์ จะพบว่า ในสำนวนของศาลรับฟังน้ำหนักพยานปาก ดร. สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ นักวิจัยจากสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย(ทีดีอาร์ไอ) อย่างเต็ม ๆ ดังปรากฏในคำพิพากษาหลายตอน ขณะที่ ดร. วรเจตน์ โต้เหตุผลของ ดร.สมเกียรติ ในทุกประเด็น ผ่าน บทสัมภาษณ์ในประชาชาติธุรกิจและผ่านจอทีวีมาแล้ว
ก่อนที่เหตุผลของเสียงข้างน้อยจะเลือนหายไปในอากาศ ก่อนที่คนจะลืมว่า ประเด็นในคดียึดทรัพย์ คดีประวัติศาสตร์ ถกเถียงกันเรื่องอะไร ขอนำเสนอบทสัมภาษณ์ฉบับที่ไม่เคยเผยแพร่มาก่อน มานำเสนอให้ท่านผู้อ่าน ดังนี้
ดู เหมือนว่า คนจะฟังเหตุผลของดร.สมเกียรติ มากกว่า ดร.วรเจตน์ ?
จริงๆ แล้ว อาจารย์สมเกียรติกับผม รู้จักกันครับ และผมคิดว่าดีนะ ที่ได้พูดกันในทางเนื้อหา อันนี้ผมชอบ ดีกว่ามาป้ายว่าผมเป็นพวกทักษิณ อย่างนั้นย่างนี้ อันนี้น่าเบื่อ แต่การเอาเนื้อหามาโต้ ทำให้เกิดการถกเถียงกันทางปัญญา ว่าตกตกลงเรื่องเป็นอย่างไร ใครถูกใครผิด ประชาชนก็ต้องคิดเอา ผมคิดว่าสักระยะหนึ่งคนจะตัดสินได้
ที่ผ่านมา มีคนว่าผมอยู่เรื่อยว่าต่อต้านการรัฐประหาร แต่ทำไมไม่ไปดูเนื้อหาว่าทักษิณผิดหรือไม่ผิด ผมก็เลยคิดว่าคราวนี้ก็มาดูเนื้อหากันจริงๆ เพราะเป็นเหตุที่ใช้อ้างในการทำรัฐประหารด้วย ว่ามีการทุจริตกัน ผมก็เลยเน้นไปที่เรื่องข้อกล่าวหา 5 ข้อ ของคตส. ว่าในทางเนื้อหาของเรื่อง เมื่อตรวจสอบจากเกณฑ์กฏหมายแล้วเป็นยังไง
เมื่อผมตรวจสอบแล้ว และเห็นว่าเขาไม่ผิด มันก็ไม่จำเป็นต้องพูดเรื่องอื่น แต่เรื่องซุกหุ้น ก็มีคนอยากรู้ว่าผมคิดยังไง อาจารย์วรเจตน์บอกสิว่าซุกหุ้นหรือไม่
ผมเรียนว่า ถ้าพูดจากในคดี จะได้ตัดปัญหา เพราะคนก็มองว่าช่วยทักษิณมั๊ย คืออ่านจากข้อเท็จจริงในคดี ผมคิดว่าถ้าฟังยุติตามที่ศาลชี้ ฟังได้ว่าคุณทักษิณ คงครองไว้ซึ่งหุ้น
แต่ถามว่าทำไมถึง จากข้อเท็จจริงในเชิงคดี เพราะประเด็นเรื่องซุกหุ้นต่างจากอีก 5 ประเด็น คือประเด็นเรื่องหุ้นเป็นประเด็นที่วางอยู่บนพื้นฐานข้อเท็จจริงเป็นหลัก ไม่มีประเด็นข้อกฏหมาย เป็นประเด็นที่สืบจากฐานข้อเท็จจริงเป็นสำคัญ แต่ปัญหาคือ ในเชิงเอกสาร ผมไม่เห็นทั้งหมด อ่านจากคำพิพากษาในคดีที่ศาลสรุป รวมทั้งความเห็นส่วนตน ทำให้เห็นได้ว่า ยังคงครองไว้ซึ่งหุ้น แต่ถ้าเห็นเอกสารทั้งหมด เห็นข้อต่อสู้ทั้งมวล อันนี้ผมไม่รู้ เพราะเป็นข้อเท็จจริง
แต่ใน 5 ประเด็นเป็นประเด็นข้อกฏหมาย คือข้อเท็จจริง อย่างผมกับอ.สมเกียรติ ไม่ได้เถียงกันในข้อเท็จจริงเลยนะ เพียงแต่การตีความข้อเท็จจริง และการตีความข้อกฏหมายไม่เหมือนกัน ฉะนั้น ประเด็นเรื่องซุกหุ้นจึงต่างกันตรงนี้ ผมถึงบอกว่า เรื่องซุกหุ้นถ้าเอาที่ศาลชี้ เนื่องจากมันอยู่บนฐานข้อเท็จจริงๆ ว่าความเป็นจริงหุ้นอยู่กับใครอย่างไรถ้าอ่านจากคำพากษา ก็คงมองได้เหมือนกันว่าคุณทักษิณยังคงครองไว้ซึ่งหุ้น คือ ไม่ได้มีการขายออกไปจริง
แต่ปัญหาเรื่องหุ้นมีมากไปกว่านั้น ไม่ใช่เฉพาะในทางคดีนี้ ในอนาคตข้างหน้า สมมุติว่าคุณเป็นรัฐมนตรี แล้วคุณโอนหุ้นให้ลูก ปัญหาก็คือว่า ถ้ามีคนมาบอกว่าหุ้นยังไม่โอนไป มันจะต้องสืบกันมากว่าข้อเท็จจริงเป็นยังไง ในทางคดีโอนไปแล้ว แต่ว่าลูกมาปรึกษาว่าจะขายไม่ขาย มีคนมาติดต่อคุณว่าจะขายยังไง คุณจะเป็นนายหน้าให้กับลูกหรือไม่ ได้หรือไม่ แล้วถ้าทำอย่างนั้น ยังถือหุ้นอยู่กับคุณมั๊ย
มันจะมีประเด็นอย่างนี้เถียงกันได้มากเลย แล้วมันมีปัญหาเรื่องความมั่นคงแน่นอนของนิติฐานะ เพราะว่าพ่อกับลูกมันใกล้กันมาก
ประเด็นอีกอันก็คือ สมมุติว่า ไม่มีการขายหุ้นคุณทักษิณให้ลูก แต่ยกให้ แล้วยังไง กรรมสิทธิ์ที่แท้จริงเป็นของใคร คือเกณฑ์ที่มันจะใช้ตรงนี้ คือปกติ เรื่องเกณฑ์กรรมสิทธิ์เราใช้เกณฑ์ ทางทะเบียนเป็นสำคัญ คือเกณฑ์ทางรูปแบบ แต่เรื่องนี้บังเอิญ มันอยู่ในรัฐธรรมนูญ ศาลมองในทางเนื้อหาด้วยว่าจริงๆ อำนาจ ในการตัดสินใจอยู่กับใคร ซึ่งผมบอกว่า เมื่อฟังจากศาลพอมองได้อยู่ว่า คุณทักษิณยังคงครองไว้ซึ่งหุ้น แต่ในทางรูปแบบไม่ใช่ เขาบอกว่าเขาขายไปแล้ว ในทางทะเบียนไม่ใช่ของเขา แต่เป็นของลูก
ฉะนั้น ถ้าผมจะบอกว่าประเด็นเรื่องนี้ มันจึงเป็นประเด็นซึ่ง จะต้องเห็นข้อเท็จจริงทั้งหมดจริงๆ มันไม่ใช่เรื่องข้อกฏหมายแล้ว แต่มันเป็นการตีว่าในทางความเป็นจริง หุ้นเป็นของใครกันแน่
แต่หลายคนมองว่า เรื่องนี้เราตีความหรือวินิจฉัยว่าคุณทักษิณครองไว้ซึ่งหุ้น ก็จะไปบอกเลยว่าเขาทุจริต หรือเป็นเรื่องที่มีการกระทำโดยเอื้อประโยชน์ ซึ่งมันไม่ใช่ มันไม่ออโตเมติก
ทีนี้หลายคนไม่เข้าใจว่า ประเด็นที่ถือครองไว้ซึ่งหุ้น ผลทางกฏหมายมันคือ พ้นจากตำแหน่งหรือเป็นการยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน ก็คือ จะถูกเพิกถอนสิทธิ์ทางการเมือง 5 ปี เพราะยื่นทรัพย์สินเป็นเท็จ แต่คำถามคือ เราอาจต้องวางเกณฑ์นิดนึงว่า ในอนาคตคนจะขายหุ้นให้ลูกเขาควรทำยังไง ระบบกฏหมายถึงจะเชื่อว่าเขาขายแล้ว
คือ ระบบจะต้องเรียกร้องจากคนขนาดไหน ถึงจะเชื่อว่าเขาขายแล้ว แล้วเราก็ต้องไม่ลืมว่าเป็นเรื่องทางการเมือง มันจะไปพันกับกระแสทางการเมืองอย่างมาก กระแสการเมืองที่ไปทางนั้นทางนี้ จะส่งผลต่อการวินิจฉัยด้วยของศาลด้วย เคสนี้ศาลบอกว่า ในทางข้อเท็จจริงศาลเห็นว่ามันไม่ควรเอามาใช้ เพราะมันจะทำให้กระทบความมั่นคงแน่นอน โดยทางรูปแบบมันขายไปแล้ว ศาลก็บอกว่าหุ้นขายไปแล้ว ในทางเนื้อหา ดูแล้วมีพิรุธเรื่องการโอน เรื่องการทำตั๋วสัญญาใช้เงิน มันเหมือนกับไม่ได้ออกตั๋วสัญญาใช้เงินจริงๆ
@ แต่มีการตั้งข้อสังเกตว่า กรณีที่คุณทักษิณเองถือหุ้นเองหรือถือโดยผ่านลูกก็ตาม โดย แต่วันที่คุณทักษิณนั่งเป็นนายกฯ อยู่หัวโต๊ะที่ประชุมครม. แล้วมีเรื่องใน 5 โครงการนี้เข้าครม. คุณทักษิณรู้ทั้งรู้ว่ามีหุ้นตรงนี้ มันก็ดูจะไม่ถูกต้องนัก เพราะโครงการที่ตัวเองมีส่วนได้เสียเข้าสู่ครม.
อันนี้ต้องแยกครับ มันมีปัญหาเรื่องความเหมาะสม ในตำแหน่งกับความไม่ชอบด้วยกฏหมาย 2 เรื่องนี้มันไม่ใช่อันเดียวกัน เราอาจจะวิจารณ์เรื่องความเหมาะสมในตำแหน่งได้ แต่เรื่องความชอบด้วยกฏหมายนั้น มันเป็นอีกอันหนึ่ง
แล้วจริงๆ ใน 5 กรณีนี้ ถ้าเราพูดกันจากรูปธรรม มันพูดลอยๆ ไม่ได้ ใน 5 กรณีนี้ถ้าพูดกันถึงที่สุด การตัดสินใจของคุณทักษิณมีส่วนแต่เป็นส่วนหนึ่งเท่านั้น มีเรื่องเดียวคือ ตอนออกพระราชกำหนดภาษีสรรพสามิต เท่านั้นครับ เรื่องเดียวเอง แต่คุณทักษิณเป็นหนึ่งในบรรดารัฐมนตรีหลาย ๆคน
ส่วนเรื่องอื่นๆ อีก 4 เรื่อง ประเด็นเรื่องของพรีเพด ประเด็นโรมมิ่ง ประเด็นเรื่องดาวเทียมไอพีสตาร์ ทั้ง 3 เรื่องนี้ไม่ใช่คุณทักษิณ แล้วไม่ใช่เรื่องครม.
เรื่องพรีเพดกับเรื่องโรมมิ่งเป็นเรื่อของทศท. เรื่องดาวเทียมไอพีสตาร์ ก็เป็นเรื่องรัฐมนตรีไอซีที เรื่องเงินกู้พม่าเป็นเรื่องที่ธนาคารเป็นคนให้กู้ เพียงแต่ว่าคุณทักษิณเป็นคนริเริ่ม หรือคณะรัฐมนตรีนั้นมีมติอนุมัติในเบื้องต้น แต่ไม่ได้เป็นการตัดสินใจในทางเด็ดขาด ไม่เหมือนกับเรื่องพระราชกำหนดสรรพสามิต ฉะนั้นต้องแยก 5 เรื่องนี้
และนี่จะเป็นปัญหาเรื่องคอล สเตชั่น เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างการกระทำและผลต่อไป ซึ่งหลายคนยังไม่ได้พูด และเหมารวมว่าเป็นการกระทำของคุณทักษิณหมด ซึ่งในทางความรู้สึก คุณอาจรู้สึกได้ว่าคุณทักษิณครอบงำคณะรัฐมนตรี แต่ในทางกฏหมาย นี่เป็นการยึดทรัพย์นะครับ ต้องชัด
กรณีที่มีคนตั้งคำถามกับผมเรื่องหุ้น ในด้านหนึ่ง ในที่สุดถ้าเราเห็นว่าการกระทำนั้น มันไม่เอื้อ เรื่องซุกหุ้นหรือไม่ซุกหุ้นก็ไม่มีความหมาย มันก็คือไม่ผิด ประเด็นคือ ยึดทรัพย์ไม่ได้ แต่ถ้าบอกว่าผิดแบบ ตัดสิทธิ์ทางการเมือง 5 ปี ก็เป็นเรื่องบัญชีเป็นเท็จ
@ ทราบว่า อาจารย์อ่านคำวินิจฉัยส่วนตนของตุลาการในคดียึดทรัพย์ 4.6 หมื่นล้าน มีข้อสังเกตอะไรบ้างครับ
มีอันหนึ่งที่เห็นก็คือ ตอนที่มันมีการลงมติ ประเด็นเรื่องว่าคุณทักษิณยังคงครองไว้ซึ่งหุ้น หรือไม่ มัน 9 ต่อ 0 พอมาถึงประเด็นว่ามีการเอื้อประโยชน์ทั้ง5 กรณี หรือไม่ มันคือ 8 ต่อ 1 แล้วพอยึดหรือไม่ยึดคือ 7 ต่อ 2 คือยึดหมดหรือยึดบางส่วน
กรณี 8 ต่อ 1 มันน่าสนใจว่า ผมไปอ่านคำพิพากษาส่วนตน คือตอนลงมติว่าเอื้อหรือไม่เอื้อ เป็นการลงมติพร้อมกัน มันเลยเป็น 8-1 ไม่ได้แยกทีละเรื่อง ปรากฏว่าภาษีสรรพสามิต มีคนที่เห็นว่าเรื่องภาษีสรรพสามิต ไม่ได้เป็นการเอื้อประโยชน์ สองคนครับ
ท่านหนึ่งก็คือม.ล.ฤทธิเทพ เทวกุล ส่วนอีกท่านคือท่าน พงศ์เทพ ศิริพงศ์ติกานนท์ ประเด็นนี้ท่านเห็นว่าไม่เอ แต่ประเด็นอื่นท่านเห็นว่าเอื้อหมด ท่านเลยจัดอยู่ในฝ่ายข้างมาก เพราะไม่ได้ลงแยก
@ อาจารย์เห็นแย้งอาจารย์สมเกียรติ ประเด็นไหนบ้างครับ
เรื่องแรกคือประเด็นภาษีสรรพสามิตมีเถียงกันว่า ตกลงกีดกันหรือไม่กีดกัน เรื่องนี้ เป็นประเด็นที่ผมสัมภาษณ์พาดพิงอาจารย์สมเกียรติ ซึ่งไปเป็นพยานในคดี แล้วเข้าใจว่าเป็นพยานปากสุดท้าย ผมมีข้อสังเกตว่า มันมีคนที่เห็นว่าไม่กีดกันเหมือนกัน แต่ว่าเวลาอ่านคำพิพากษา แม้แต่ความเห็นส่วนตนของผู้พิพากษา เสียงข้างมาก ปรากฏว่าไม่ได้มีการให้เหตุผลของฝ่ายที่เห็นว่าไม่กีดกันในคดี ว่าทำไมถึงเห็นว่าไม่กีดกัน
คือมีการเขียนนิดเดียวเอง แล้วบางท่าน ไม่ได้เขียนทุกท่านด้วย มีสืบพยาน ผมเข้าใจว่าอย่างดร. กมลชัย รัตนสกาววงศ์ ซึ่งเป็นที่ปรึกษาของกทช. เห็นว่าไม่กีดกัน แต่ประเด็นที่ว่าอาจารย์กมลชัยเห็นว่าไม่กีดกัน ไม่มีการสืบ
ผมไม่รู้ว่าฝ่ายทนายคุณทักษิณ ได้อ้างนักวิชาการที่เป็นนักวิชาการเศรษฐศาสตร์ท่านอื่นหรือเปล่า ที่เห็นว่าเรื่องนี้ไม่กีดกัน อันนี้ไม่ทราบได้ แต่เห็นว่าไม่มีพยานผู้เชี่ยวชาญ อื่นๆ มาคาน หรือชี้ว่าทำไมไม่กีดกัน
ประเด็นหนึ่งที่อาจารย์สมเกียรติพาดพิง บอกว่า คณาจารย์พูดถึงเรื่องจุดคุ้มทุน โดยที่ไม่รู้เรื่องเศรษฐศาสตร์ และไม่มีตัวเลขอะไรเลย ผมเรียนว่า เวลาที่เราวิเคราะห์คำพิพากษา เราวิเคราะห์จากข้อเท็จจริงในคดี ผมก็อ่านข้อเท็จจริงที่ปรากฏในคำพิพากษา แล้ววิเคราะห์ไปจากนี้ จริงๆ ที่วิเคราะห์บอกว่า การมีภาษีสรรพสามิตมันไม่ทำให้ไม่ได้เป็นอุปสรรคสำคัญของผู้ประกอบการรายใหม่ มีต้นทุนในการประกอบกิจการสูง กว่าจุดคุ้มทุนจนเข้าตลาดไม่ได้นั้น อันนี้หมายถึงว่าอ่านจากคำพิพากษานั่นเอง
หมายถึง คำพิพากษาไม่ได้มีอะไร ถ้าศาลจะบอกว่ามันกีดกัน ศาลคงต้องชี้ให้เห็นแล้วว่า มันมีต้นทุนยังไงของรายใหม่ที่มันสูง จนถึงเข้าตลาดไม่ได้ คือคณาจารย์ทั้ง 5 ไม่ได้เห็นครับ จึงบอกว่าเรื่องนี้มันจึง จากคำพิพากษาเองไม่ได้บอก เราถึงบอกว่า เมื่อเราดูจาก ตัวที่มีภาระภาษีเพิ่มขึ้น เฉยๆ มันยังไม่พอว่าเป็นการกีดกัน อันนี้คือประเด็นหลัก แล้วข้อเท็จจริงในคดีไม่มีด้วยว่าต้นทุนของผู้ประกอบการรายใหม่มันสูง จนถึงขนาดว่ามันเข้าตลาดไม่ได้ ในคดี
ฉะนั้นก็เป็นหน้าที่ ถ้าศาลบอกว่ากีดกันก็ต้องคำนวณ เหมือนที่อาจารย์สมเกียรติบอกว่าต้นทุนเป็นยังไงบ้าง แต่ประเด็นหลักของผมเวลาเราพูดเรื่องต้นทุนมันเถียงกันได้เยอะ แต่ประเด็นที่มันมีการพูดกันก็คือว่า ในคำพิพากษา ศาลแสดงให้เห็นแต่เพียงว่า ผู้ประกอบการรายใหม่ จะมีภาระภาษีเพิ่มขึ้น เท่านั้นเอง
สรุปง่ายๆ ก็คือว่า รายเดิมคือเอไอเอส จะต้องจ่ายส่วนแบ่งรายได้ 25% ถ้าจะมีรายใหม่เข้าสู่ตลาด เขาจะต้องจ่ายค่าธรรมเนียมให้กับรัฐ 6.5 % ทีนี้เมื่อมีภาษีสรรพสามิตอีก 10 % จึงกลายเป็น 16.5 %
คำถามก็คือ ถ้าเราไม่ดูต้นทุนตัวอื่น ดูแต่เฉพาะส่วนที่ต้องจ่ายให้กับรัฐที่เป็นภาษี ส่วนแบ่งรายได้เทียบกัน ถามว่า 16.5 มันมากกว่า 25 ตรงไหน
ผมยกตัวอย่างง่ายๆ สมมุติว่า คุณประกอบกิจการอย่างหนึ่งเป็นผู้ประกอบการรายเดิม จะต้องจ่ายค่าธรรมเนียมหรืออะไรกับรัฐ 25 % ผมจะเขาสู่ตลาด ยังไม่มีฐานลูกค้า รัฐบอกว่ากลัวผมแข่งไม่ได้ เก็บผมถูกๆ มองในมุมกลับ(นะ ) มันแฟร์กับคุณหรือเปล่า ถ้าคุณต้องจ่าย 25% ผมจ่าย 5% ทำไมไม่จ่าย 25 เหมือนกัน ผมถึงบอกว่า 16.5 ยังไงมันก็ยังน้อยกว่า
ก็มีการโต้แย้งกันว่า อาจารย์สมเกียรติบอกว่า รายเก่าเข้าตลาดมาก่อนมีฐานลูกค้ามาก แล้วยิ่งลูกค้าเยอะ การถึงจุดที่ได้กำไรมันเป็นเร็วขึ้น มากขึ้น เรื่องนี้ผมเรียนว่า การเข้าตลาดก่อนของรายเก่า มันหมายความว่าเขาแบกรับความเสี่ยงทางธุรกิจไปก่อน ไม่ได้หมายความว่าเขาจะประสบความสำเร็จทางธุรกิจ เขาเข้าตลาดก่อน แบกรับความเสี่ยงทางธุรกิจไปก่อน
อีกอย่างก็คือ รายเก่าที่เขาทำสัญญาสัมปทานกับรัฐ เขาทำสัญญาสัมปทานแบบ BTO (Build, Transfer, Operate) ซึ่งก็คือ เขาเป็นคนที่ลงทุนเรื่องโครงข่าย ก็คือเขาลงทุนด้วยเงินของเขาเอง โอนให้กับรัฐวิสาหกิจ แล้วก็ประกอบกิจการ เงินลงทุนนี้จำนวนมากนะครับ เพราะว่ารัฐไม่ต้องการลงทุนเอง
รายใหม่ในการเข้าสู่ตลาดไม่ต้องลงทุนส่วนนี้ แล้วถ้าเกิดรายใหม่จะลงทุนตามระบบอันใหม่ ที่เป็นระบบใบอนุญาติ ไม่ใช่ระบบสัญญาณ เขาได้กรรมสิทธิ์ในสิ่งที่เขาลงทุน ขณะที่รายเก่าต้องโอนกรรมสิทธิ์ให้กับรัฐ แล้วถามว่าตรงนี้ไม่คิดหรือ
ผมไม่แปลกใจเลยว่าบรรดาผู้พิพากษาที่ตัดสินเรื่องนี้ ข้างน้อยข้างหนึ่งคือม.ล. ฤทธิเทพ เป็นท่านท่านเดียวที่พูดถึงประเด็น BTO ซึ่งเป็นประเด็นสำคัญมาก เพราะมันจะทำให้เห็นว่า รายเก่าในการเขาเข้ายังไง มีต้นทุนการประกอบการยังไง ซึ่งตรงนี้ต้องคิด ซึ่งแน่นอนเข้าก่อนมันก็เป็นธรรมดา มันมีข้อดีข้อเสีย ต้องชั่งน้ำหนักกัน
ปัญหาก็คือว่า มีคนบอกว่าการที่รัฐบาล ออกอันนี้ 10% เพิ่มขึ้นเลย 10% คำถามก็คือ ภาระภาษีเพิ่มขึ้น แต่ถามว่าเพิ่มแล้วที่สุดมันทำให้แข่งไม่ได้หรือเปล่า หรือทำให้เขาไม่มีมูลเหตุจูงใจในการเข้าสู่ตลาดมั๊ย นี่คือประเด็น ซึ่งต้องพรูฟกันว่ามันเป็นการกีดกันยังไง
ท่านก็บอกว่า ตัวพิกัดภาษีมันเลื่อนไปได้ แต่มันยังไม่เกิด แต่ก็มีคนบอกว่ามีคนไม่กล้าลงทุน เพราะเขาก็ไม่รู้ว่ารัฐบาลขึ้นยังไง เราต้องเข้าใจว่า เวลารัฐบาลจะทำพวกนี้ มันจะต้องดูสภาพตลาดต่างๆ เขาก็บอกว่า วันดีคืนดีคุณทักษิณ ก็ขึ้นภาษีสรรพสามิต ไป 30 ,40% อันนี้คือการคาดเดาแล้ว
ซึ่งแน่นอน อาจจะมีคนบอกว่า คนประกอบธุรกิจเขาอาจจะคาดเดาได้ แต่มันคือการคาดเดา แล้วถ้าเกิดไปอ่านคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญรวมทั้งในทางความเป็นจริงด้วย เราจะเห็นได้ว่า ที่เขาทำภาษีสรรพสามิตขึ้นมา เขาต้องการแก้ปัญหาเรื่อง การแปรสัญญาณสัมปทาน ซึ่งมันทำไม่สำเร็จตั้งแต่ปี 2537 ทำมาหลายรัฐบาลแล้วมันทำไม่ได้ แล้วถึงเวลานั้นมีการแปรรูปไปแล้วจากองค์การโทรศัพท์ไปเป็นทีโอที แล้วก็การสื่อสารไปเป็นบริษัทกสท. แล้วต่อไปเอาเข้าตลาด
พอเอาเข้าตลาด มันไปขายหุ้น ในขณะที่ 2 หน่วยได้เงินสัมปทานจากเอไอเอส ดีแทค ทรูมูฟ กินเงินสัมปทานมา ต่อไปถ้าไปขายหุ้น เอกชนที่เป็นผู้ถือหุ้น ก็จะได้เงินส่วนแบ่งสัมปทาน ซึ่งไม่ถูกต้อง เขาจึงหาวิธีเอาเงินเข้าคลังโดยตรง ซึ่งเขาก็ตัด 10% เข้าคลังโดยตรง ซึ่งทำให้รัฐได้ประโยชน์โดยตรง
ทีนี้มีคนบอกว่า การออกพรก.สรรพสามิต ไม่ต้องการเก็บภาษีจริงๆ หรอก เพราะว่าออกมา บอกว่า เก็บ 10% แต่จริงๆ ไม่ได้เก็บ เอา 10% ออกไปหักจากค่าสัมปทาน คือ เอไอเอสต้องจ่าย 25% ให้กับทีโอที ก็บอกว่า 10 % ที่เป็นภาษีสรรพสามิต ให้เอาไปหักออกได้จากค่าสัมปทาน ก็คือจ่ายให้กับทีโอที 15 % แล้วจ่ายเข้าคลัง 10% ในความเป็นจริงคือรัฐไม่ได้ภาษี เพราะว่าจะเก็บ แต่เอาตรงนี้ไปหักออกจากส่วนที่เอกชนต้องจ่ายกับรัฐอยู่แล้ว ฟังดูเหมือนว่า แต่เราต้องอธิบายแบบนี้ว่ามาตรการทางภาษี มันเป็นมาตรการที่รัฐใช้แก้ปัญหาการแปรสัญญาณสัมปทาน เป็นมารตรการที่รัฐทำขึ้นเพื่อให้ได้ความมั่นคง ในแง่ของเงินที่จะเข้าคลังโดยตรง
ถ้าเกิดรัฐจะเก็บเงินจริง ๆ ก็เท่ากับว่า เอไอเอสจ่าย 25 % ที่เป็นค่าสัมปทานให้กับทีโอที แล้วยังต้องจ่ายภาษีสรรพสามิตอีก 10 % ถามว่าภาระไปอยู่กับใครครับ เขาผลักตรงนี้ไปให้ผู้บริโภคก็คือพวกเรา
การที่เอา 10% ไปหัก จึงไม่ทำให้เกิดภาระกับผู้บริโภค เขามีเหตุผลอธิบาย ผมถึงบอกว่า ผมดูทั้งหมดแล้วมันอธิบายทางกฏหมาย มันมีลอว์จิกของมันอธิบายได้ ว่าทำไมถึงเป็นแบบนี้
@ มุมมองอาจารย์วรเจตน์กับอาจารย์สมเกียรติเป็นมุมมองจากกรอบแว่นตาต่างสีหรือเปล่า
ผมไม่แน่ใจ(ครับ) ผมไม่รู้ว่านักเศรษฐศาสตร์เขาคิดยังไง เพราะบังเอิญมีอาจารย์สมเกียรติพูดอยู่ท่านเดียว อาจจะต้องไปถามนักเศรษฐศาสตร์คนอื่นว่าเขาจะคิดแบบผมบ้างมั๊ย ซึ่งผมเชื่อว่ามีแน่นอน แล้วผมพยายามสำรวจ ตรวจสอบตรรกะของผมดู ผมก็ยังไม่พบว่ามันบกพร่องนะ ในแง่นี้ เพราะมันมีเหตุผลอธิบาย
แล้วมองในทางกลับกัน ถ้าภาษีที่มันเพิ่มขึ้น อาจจะมีผลในการสร้างความเป็นธรรมในการแข่งขันก็ได้ เพราะมันทำให้เราต้องคำนวณดูว่า ถ้าสมมุติว่ารายเดิมมีภาระส่วนแบ่งรายได้สูงมาก รายใหม่น้อยมาก รายเดิมก็อาจจะเสียเปรียบได้ แม้ว่ารายเดิมจะมีฐานลูกค้าอยู่ แต่ถ้ารายใหม่เข้าตลาดมา มันมีส่งผลที่ต้องจ่ายตรงนี้น้อยมาก เพราะดั๊มราคาได้ เข้ามาแข่ง ซึ่งเขาบอกว่าโอเคให้รายใหม่แข่งได้ แต่ว่า ช่องว่างที่ห่างมากเกินไป บางทีมันอาจทำให้เกิดการได้เปรียบเสียเปรียบ กันก็ได้
อีกอันที่ต้องแย้งอาจารย์สมเกียรติก็คือ ผมบอกว่ามันไม่ได้มีการกีดกัน มีคนบอกว่าไม่มีรายใหม่เข้าสู่ตลาด แล้วผมบอกว่า ที่มันไม่มีรายใหม่เข้าสู่ตลาด เป็นเพราะว่ามันมีปัญหาเรื่องการออกใบอนุญาติของกทช. คือ อาจารย์สมเกียรติบอกว่า ผมไม่ได้พูดถึงความเห็นกฤษฎีกา ที่กทช.เคยถามว่า สามารถจัดสรรคลื่นได้มั๊ย แล้วกฤษฎีกาก็บอกว่า จัดสรรได้ อาจารย์ก็เลยบอกว่า ที่ผมบอกว่า กทช.มีปัญหาว่ามีอำนาจออกใบอนุญาติหรือเปล่า แล้วทำให้มีรายใหม่เข้าสู่ตลาด จริงๆ จริงๆ ไม่ใช่ครับ อาจารย์สมเกียรติเข้าใจตรงนี้คลาดเคลื่อน
คืออย่างนี้ การที่รายใหม่เข้าสู่ตลาด เอาเข้ามาแข่งกับเอไอเอส ดีแทค ทรูมูฟ หลังจากที่มีการแปรรูปรัฐวิสาหกิจไปแล้ว รายใหม่เวลาเข้าสู่ตลาด เขาเข้าสู่ตลาดในระบบใบอนุญาติ คือต้องออกใบอนุญาติจากกทช.
ทีนี้มันมี้ปัญหาว่า กทช. มันตั้งขึ้นมาได้ แต่กสช.ตั้งไม่ได้ พอตั้งกสช.ไม่ได้ มันก็ไม่มีคณะกรรมการร่วม มาจัดทำแผนแม่บทคลื่นความถี่ ก็เลยมีปัญหาเถียงกันว่าตกลง ในขณะที่ไม่มีกสช. กทช.จะมีอำนาจในการจัดสรรคลื่นหรือเปล่า
ความเห็นส่วนตัวผม ผมเห็นว่ากทช.มีอำนาจ แต่ว่าก่อนหน้านั้น มันมีปัญหาเถียงกันเรื่องอำนาจของกทช. ว่ามีหรือไม่มี แล้วจนกระทั่งถึงปี 2549 สังเกตปีนะครับ ที่อาจารย์สมเกียรติอ้างกฤษฎีกา ผมจะบอกว่า ปี 2549 กทช. ถามกฤษฎีกาว่าตัวเองมีอำนาจในการจัดสรรคลื่นความถี่หรือเปล่า
กฤษฎีกาตอบเมื่อเดือนสิงหาคม เดือนเดียวก่อนการรัฐประหารว่า กทช.สามารถจัดสรรคลื่นความถี่ได้ แต่มีเงื่อนไขว่ามันทำในลักษณะซึ่ง ทำไปที่จำเป็น แต่ทำได้ ถ้าเกิดว่ายังไม่มีกทช. ให้จัดสรรไปได้ ความเห็นนี้เกิดขึ้นปี 2549 ตอบคำถามในตัว อาจารย์สมเกียรติว่าแปลว่าอะไร เรื่องนี้ กฤษฎีกาตอบสิงหา 2549 แปลว่า แปลว่ามันมีความไม่แน่ใจในอำนาจกทช.มาเป็นเวลาหลายปี ซึ่งเรื่องนี้เถียงกันมาตั้งแต่ปี 2546 ยิ่งสนับสนุนความเห็นผม ที่อาจารย์สมเกียรติอ้าง เพราะว่าเขาไม่แน่ใจอำนาจ แล้วถามปี 2549 เรื่องเสร็จ ที่ 386/2549
อีกอันหนึ่งก็คือ ประเด็นเรื่องผู้ประกอบการเดิมตามกำหนดสัมปทานมีสิทธิ์ ดีกว่าผู้ประกอบการ ตามระบบใบอนุญาติ เพราะว่าของเก่าทำสัญญา ของใหม่เป็นใบอนุญาติ โอเค ถูกว่ารายเดิมมีสิทธิ์ผูกขาด แต่ว่าต้องโอนกรรมสิทธิ์ ทรัพย์สินให้กับรัฐนะ แล้วเวลาในการกระกอบกิจการ ใกล้จะหมด เหลือไม่กี่ปี จ่ายค่าสัมปทานแพง 15, 20, 25, 30 หรือ 20 แล้วแต่ แต่รายใหม่แม้ไม่มีสิทธิ์ผูกขาดเป็นผู้รับใบอนุญาติ แต่ว่าเป็นเจ้าของโครงข่ายได้ แล้วถ้าเกิดเข้าสู่ตลาด เป็นระยะเวลายาว อันนี้อาจจะต้องเปรียบเทียบกันนิดนึง
อีกอันที่อาจารย์สมเกียรติแย้งก็คือ ที่ผมบอกว่า ไม่มีรายใหม่เข้าสู่ตลาดเลย ที่จริงมีบริษัทหนึ่งคือไทยโมบาย อาจารย์สมเกียรติบอกว่าผมผิด 2 อัน ทั้งประเด็น ข้อเท็จจริงและตรรกะ ผมอธิบายได้ว่า ไทยโมบายไม่ใช่รายใหม่แท้จริงครับ คือ ไทยโมบายเป็นกิจการร่วมค้าที่เกิดขึ้นจากทีโอทีกับกสท. โทรคมนาคมตั้งขึ้นมาให้ทำ อยู่ช่วงเวลาหนึ่ง ตอนนี้เลิกไปแล้ว แล้วไทยโมบายก็ไม่ได้ใบอนุญาตินะครับเพราะว่าใช้สิทธ์ ของทีโอที กสท. นี่แหละทำ เขาจึงไม่ใช่รายใหม่
รายใหม่จริงๆ ไม่มี แล้วไทยโมบายเข้ามาในตลาด ได้เปรียบ คลื่นคุณก็ไม่ต้องจ่าย คือมันเป็นหน่วยที่ 2 องค์กรนี้ตั้งขึ้นมาเพื่อทำ ฉะนั้นไม่ใช่รายใหม่ แบรนด์อาจจะดูใหม่ แต่ไม่ใช่รายใหม่ในความหมายที่เราพูดกัน ว่าคุณเข้ามา แล้วไปอนุญาติเข้ามา เอาเงินลงทุนเข้ามาลงทุนรายใหม่ ไม่ใช่ แต่วันนี้ไทยโมบายเลิกไปแล้ว ก็เลยมีคนบอกว่านี่ไงเป็นเพราะภาษีสรรพสามิต 10 % ผมบอกว่าไม่ใช่ ไปสรุปแบบนั้นไม่ได้ ไปดูสิครับว่าทำไม ไทยโมบายถึงเลิก
ฉะนั้น อย่าไปสมมุติว่าอันนี้เป็นเพราะ 10 % แล้วอีกอย่างก็คือ อาจจะตลกมากเหมือนกัน ถ้าเกิดจะบอกว่า ไทยโมบาย เป็นกิจการร่วมค้าของทีโอทีกับกสท ซึ่งทีโอที กับ กสท. กระทรวงการคลังถือหุ้น 100 % แล้วมันจะกีดกันยังไง คือตัวรัฐกีดกันไทยโมบาย ซึ่งที่สุดจ่ายไป 10 % เข้าไปก็ไปเข้าตัวเอง ก็ส่งกลับมาได้ คงพูดยากมั้งง ฉะนั้น 10% ไม่น่าจะเป็นประเด็น เพราะกระทรวงการคลังกีดกันตัวเองไม่ได้
ส่วนที่บอกว่า ไม่เห็นว่ามีรายใหม่เข้ามา ไม่ได้แปลว่ารายใหม่ยื่นความประสงค์เข้าตลาด อันนี้ ผมคิดว่ามันเป็นความผิดพลาดทางตรรกะไม่ได้ เพราะว่าปกติในทางธุรกิจ ถ้ามันมีประเด็น มีคนมุ่งประสงค์ ต้องการธุรกิจอย่างนี้จริงๆ มันต้องแสดงตัวว่า เขามีความมุ่งมั่นที่จะเข้าสู่ตลาดนะ แล้วก็ตอนนี้ภาษี 10 % มันเป็นอุปสรรค ทำให้เขาเข้าสู่ตลาดไม่ได้ แต่ในช่วงที่ผ่านมามันไม่มี มันไม่เห็นความประสงค์ของคน ที่จะเข้าประกอบการ คือ บางทีอาจจะพูดได้ว่ามีคนอยากเข้าสู่ตลาด ผมถามว่าใครล่ะ
ประเด็นสำคัญอีกอันหนึ่งที่ถามว่า แล้วจะเข้าสู่ตลาดเข้าได้มั๊ย ผมจะบอกว่ามันมีปัญหาทางเทคนิคเรื่องหนึ่งก็คือเรื่องคลื่น ในคลื่น 2 จี ที่ใช้ย่านความถี่ เป็นคลื่น 2 จี มันถูกใช้ไปหมดแล้ว มันมีคลื่นที่เรียกว่าคลื่นฟันหลออยู่ อาจจะเป็นบางช่วง มันใช้การไม่ได้
โดยสภาพ ถ้าออกใบอนุญาติให้กับรายใหม่ มันต้องเรียกคลื่นกลับมาทั้งหมด แล้วมาจัดสรรใหม่ ซึ่งมันจะยุ่งยากมาก เพราะไปกระทบกับสัญญาสัมปทาน ฉะนั้น ประเด็นเรื่องคลื่นก็เป็นปัญหาทางเทคนิกอีกอันหนึ่ง ฉะนั้น การที่ไม่มีรายใหม่เข้าสู่ตลาด มันด้วยเหตุปัจจัยอย่างอื่น
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
นักวิชาการชี้ “ตู้เอทีเอ็มบริการภาษาพม่า” เรื่องปกติทางการตลาด
จวกสื่อเล่นข่าวกับอคติ “พม่ายึดเมือง” ระบุในพื้นที่ที่มีแรงงานข้ามชาติจำนวนมาก การให้บริการตามความต้องการใช้เป็นเรื่องปกติ เผยโรงพยาบาลเอกชนจ้างล่ามแปลภาษา สร้างรายได้มหาศาลจากลูกค้าแรงงานข้ามชาติกลุ่มใหญ่
นายองค์ บรรจุน นักวิชาการอิสระที่ทำการศึกษาเกี่ยวกับชาวมอญจังหวัดสมุทรสาคร กล่าวให้สัมภาษณ์กรณีรายงานข่าวเรื่องตู้เอทีเอ็มให้บริการภาษาพม่าในพื้นที่มหาชัย จ.สมุทรสาครว่า การพาดหัวข่าวดังกล่าวเป็นการแสดงถึงอคติของสื่อที่เลือกเล่นประเด็นนี้ โดยเอาไปผูกพันกับประวัติศาสตร์ว่าเขาเคยเผาบ้านเผาเมือง วันนี้ก็จะมีการมา “ยึดเมืองมหาชัย” อีกแล้ว ทั้งที่ความจริงกรณีแรงงานพม่าในมหาชัยมีการนำเสนอข่าวกันมาค่อนข้างมากแล้ว และหากไปดูในย่านเยาวราช พัฒน์พงศ์ก็จะเห็นว่าจะมีภาษาจีน ภาษาเกาหลีอยู่ทั่วไป ซึ่งหากไม่มีอคติเราก็จะเห็นเป็นเรื่องธรรมดา
การปฏิรูปสื่อที่พูดกันในปัจจุบันควรพูดถึงเรื่องนี้มากๆ โดยเฉพาะการทำร้ายคนไม่มีอำนาจ ถือเป็นการเปิดใจกว้าง ดีกว่าปิดกั้นเขาโดยอคติ
นายองค์กล่าวด้วยว่า ความจริงการอยู่ในมหาชัยของแรงงานพม่าไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัว แต่อาจดูน่าหมั่นไส้สำหรับคนบางคนมากกว่า เพราะอาจมีคนเห็นว่าไม่ใช้บ้านเมืองคุณ แต่กลับมีการแต่ตัวแบบพม่า ใช้ภาษาพม่าในพื้นที่นี้ ทั้งนี้ที่ผ่านมาแรงงานพม่าที่อาศัยอยู่ที่นี่ก็มีความหวาดกลัวทั้งต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ เจ้าของกิจการผู้มีอิทธิพลที่มาข่มขู่และข่มเหงรังแก กรณีของการกดขี่แรงงาน ยึดบัตรเพื่อไม่ให้เปลี่ยนนายจ้าง ซึ่งในปัจจุบันแม้เรื่องเหล่านี้จะดีขึ้นแต่ก็ยังเป็นปัญหาอยู่
ส่วนเรื่องตู้เอทีเอ็มที่มีภาษาพม่านั้นเขาแสดงความเห็นว่าเป็นเรื่องอุปสงค์ (Demand) อุปทาน (Supply) ตลาดเป็นอย่างไรก็มีการตอบสนองอย่างนั้น เมื่อพื้นที่มีแรงงานพม่าจำนวนมาก ตรงนี้ถือเป็นเรื่องปกติ ซึ่งทั้งพ่อค้าและแรงงานต่างไม่มีใครผิด กลับกับเรื่องนี้เป็นการลดอุปสรรค์ด้านภาษา แก้บัญหาการป้อนข้อมูลผิดพลาดทำให้บัตรเอทีเอ็มถูกยึดซึ่งจะนำไปสู่ความยุ่งยากในกระบวนการของตำรวจและเจ้าหน้าที่ธนาคาร นอกเหนือจากการอำนวยความสะดวกให้กับแรงงาน เรื่องนี้ถือเป็นประโยชน์กับทกฝ่าย
“เป็นปกติของการทำธุรกิจ มีตลาดก็ต้องลงมาเก็บตลาด” นายองค์กล่าว
นอกจากนี้ ในส่วนการรักษาพยาบาลจากอดีตที่แรงงานข้ามชาติจะประสบปัญหาการเข้ารักษาในโรงพยาบาลรัฐเนื่องจากอุปสรรค์เรื่องการสื่อสาร ในขณะที่โรงพยาบาลเอกชนได้มีการจ้างล่ามทั้งภาษาพม่า มอญ ไทยใหญ่ และอังกฤษมาช่วยในการสื่อสารระหว่างแพทย์และคนไข้กลุ่มแรงงานเหล่านี้ซึ่งถือเป็นตลาดใหญ่ ทำให้สามารถสร้างรายได้มหาศาล ในปัจจุบันโรงพยาบาลรัฐก็มีการปรับตัวโดยมีการจ้างล่าม ติดตัวอักษรภาษาพม่าบนเคาน์เตอร์ มีคู่มือภาษาพม่า อีกทั้งมีการส่งเจ้าหน้าที่ลงชุมชนเพื่อให้ข้อมูลการรักษาพยาบาล ทำให้การรักษาดีขึ้นแม้จะไม่ใช่ทั้งหมด
นายองค์ยกตัวอย่างต่อมาถึงการให้บริการโหลดเพลงรอสายและริงโทนเพลงภาษาพม่าของผู้ให้บริการโครงข่ายโทรศัพท์ต่างๆ ซึ่งกลุ่มแรงงานข้ามชาติเหล่านี้ถือเป็นกลุ่มลูกค้าขนาดใหญ่ในตลาดใหม่ซึ่งผู่ให้บริการต่างต้องการเก็บส่วนแบ่งทางการตลาด ส่วนตัวคิดว่าเรื่องเหล่านี้ถือเป็นความสุขเล็กๆ น้อยๆของกลุ่มแรงงาน อีกทั้งการเพิ่มภาษาตรงนี้ช่วยให้พวกเขาสามารถทำงานได้เต็มที่มากขึ้นด้วย
ที่มา.ประชาไท
------------------------------------------------------------------------
นายองค์ บรรจุน นักวิชาการอิสระที่ทำการศึกษาเกี่ยวกับชาวมอญจังหวัดสมุทรสาคร กล่าวให้สัมภาษณ์กรณีรายงานข่าวเรื่องตู้เอทีเอ็มให้บริการภาษาพม่าในพื้นที่มหาชัย จ.สมุทรสาครว่า การพาดหัวข่าวดังกล่าวเป็นการแสดงถึงอคติของสื่อที่เลือกเล่นประเด็นนี้ โดยเอาไปผูกพันกับประวัติศาสตร์ว่าเขาเคยเผาบ้านเผาเมือง วันนี้ก็จะมีการมา “ยึดเมืองมหาชัย” อีกแล้ว ทั้งที่ความจริงกรณีแรงงานพม่าในมหาชัยมีการนำเสนอข่าวกันมาค่อนข้างมากแล้ว และหากไปดูในย่านเยาวราช พัฒน์พงศ์ก็จะเห็นว่าจะมีภาษาจีน ภาษาเกาหลีอยู่ทั่วไป ซึ่งหากไม่มีอคติเราก็จะเห็นเป็นเรื่องธรรมดา
การปฏิรูปสื่อที่พูดกันในปัจจุบันควรพูดถึงเรื่องนี้มากๆ โดยเฉพาะการทำร้ายคนไม่มีอำนาจ ถือเป็นการเปิดใจกว้าง ดีกว่าปิดกั้นเขาโดยอคติ
นายองค์กล่าวด้วยว่า ความจริงการอยู่ในมหาชัยของแรงงานพม่าไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัว แต่อาจดูน่าหมั่นไส้สำหรับคนบางคนมากกว่า เพราะอาจมีคนเห็นว่าไม่ใช้บ้านเมืองคุณ แต่กลับมีการแต่ตัวแบบพม่า ใช้ภาษาพม่าในพื้นที่นี้ ทั้งนี้ที่ผ่านมาแรงงานพม่าที่อาศัยอยู่ที่นี่ก็มีความหวาดกลัวทั้งต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ เจ้าของกิจการผู้มีอิทธิพลที่มาข่มขู่และข่มเหงรังแก กรณีของการกดขี่แรงงาน ยึดบัตรเพื่อไม่ให้เปลี่ยนนายจ้าง ซึ่งในปัจจุบันแม้เรื่องเหล่านี้จะดีขึ้นแต่ก็ยังเป็นปัญหาอยู่
ส่วนเรื่องตู้เอทีเอ็มที่มีภาษาพม่านั้นเขาแสดงความเห็นว่าเป็นเรื่องอุปสงค์ (Demand) อุปทาน (Supply) ตลาดเป็นอย่างไรก็มีการตอบสนองอย่างนั้น เมื่อพื้นที่มีแรงงานพม่าจำนวนมาก ตรงนี้ถือเป็นเรื่องปกติ ซึ่งทั้งพ่อค้าและแรงงานต่างไม่มีใครผิด กลับกับเรื่องนี้เป็นการลดอุปสรรค์ด้านภาษา แก้บัญหาการป้อนข้อมูลผิดพลาดทำให้บัตรเอทีเอ็มถูกยึดซึ่งจะนำไปสู่ความยุ่งยากในกระบวนการของตำรวจและเจ้าหน้าที่ธนาคาร นอกเหนือจากการอำนวยความสะดวกให้กับแรงงาน เรื่องนี้ถือเป็นประโยชน์กับทกฝ่าย
“เป็นปกติของการทำธุรกิจ มีตลาดก็ต้องลงมาเก็บตลาด” นายองค์กล่าว
นอกจากนี้ ในส่วนการรักษาพยาบาลจากอดีตที่แรงงานข้ามชาติจะประสบปัญหาการเข้ารักษาในโรงพยาบาลรัฐเนื่องจากอุปสรรค์เรื่องการสื่อสาร ในขณะที่โรงพยาบาลเอกชนได้มีการจ้างล่ามทั้งภาษาพม่า มอญ ไทยใหญ่ และอังกฤษมาช่วยในการสื่อสารระหว่างแพทย์และคนไข้กลุ่มแรงงานเหล่านี้ซึ่งถือเป็นตลาดใหญ่ ทำให้สามารถสร้างรายได้มหาศาล ในปัจจุบันโรงพยาบาลรัฐก็มีการปรับตัวโดยมีการจ้างล่าม ติดตัวอักษรภาษาพม่าบนเคาน์เตอร์ มีคู่มือภาษาพม่า อีกทั้งมีการส่งเจ้าหน้าที่ลงชุมชนเพื่อให้ข้อมูลการรักษาพยาบาล ทำให้การรักษาดีขึ้นแม้จะไม่ใช่ทั้งหมด
นายองค์ยกตัวอย่างต่อมาถึงการให้บริการโหลดเพลงรอสายและริงโทนเพลงภาษาพม่าของผู้ให้บริการโครงข่ายโทรศัพท์ต่างๆ ซึ่งกลุ่มแรงงานข้ามชาติเหล่านี้ถือเป็นกลุ่มลูกค้าขนาดใหญ่ในตลาดใหม่ซึ่งผู่ให้บริการต่างต้องการเก็บส่วนแบ่งทางการตลาด ส่วนตัวคิดว่าเรื่องเหล่านี้ถือเป็นความสุขเล็กๆ น้อยๆของกลุ่มแรงงาน อีกทั้งการเพิ่มภาษาตรงนี้ช่วยให้พวกเขาสามารถทำงานได้เต็มที่มากขึ้นด้วย
ที่มา.ประชาไท
------------------------------------------------------------------------
ชาตินิยมไทยยุคใหม่
โดย : ทศพร โชคชัยผล
การปลุกกระแสชาตินิยมในสังคมไทยยุคใหม่ เป็น"ชาตินิยมโลกาภิวัฒน์" ตั้งแต่ขบวนการต่อต้านพ.ต.ท.ทักษิณ จนถึงกรณีเขาพระวิหาร
นักวิชาการบางท่านเตือนว่าการปลุกกระแสชาตินิยม จากกรณีการขึ้นทะเบียนมรดกโลกเขาพระวิหาร จะนำไปสู่ความขัดแย้งกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างกัมพูชาอย่าง"ร้าวลึก" และหากความขัดแย้งยังดำรงต่อไป ก็ยิ่งยากมากขึ้นในการ"เยียวยา"ความรู้สึกแบบเพื่อนบ้านที่ดีต่อกัน
อันที่จริง นักชาตินิยมที่ปลุกกระแสประเด็นเขาพระวิหาร ก็ไม่ได้กังวลนักกับความสัมพันธ์กับประเทศกัมพูชา ที่เรียกติดปากว่า"เขมร" เพราะพวกเขาไม่ได้มองคนเขมรอยู่ในสายตาอยู่แล้ว อย่างน้อยพวกเขาก็เป็นส่วนหนึ่งของสำนึกประวัติศาสตร์แบบ"ไทยๆ"ที่มักมองเพื่อนบ้านตัวเองมีสถานะต่ำต้อยกว่า โดยเฉพาะกัมพูชาด้วยแล้ว พวกเขามักจะมองว่าเป็นประเทศที่ไว้ใจไม่ได้ มีประวัติศาสตร์ตามสำนึกของคนไทยว่าเป็น"จอมหักหลัง"
บางคนคลั่งชาติมากหน่อย ถึงขนาดต้องการให้กองทัพไทยบุกยึดเขาพระวิหารเสียเลยให้สิ้นเรื่องสิ้นราว
ไม่ว่าประเด็นเรื่องการขึ้นทะเบียนมรดกโลกเขาพระวิหารจะลงเอยอย่างไร แต่ประเด็นที่น่าสนใจคือ "กระแสชาตินิยมยุคใหม่"ของคนไทยที่เกิดขึ้นในช่วง 5-10 ที่ผ่านมา มีปัจจัยหลายประการที่มีความแตกต่างจากชาตินิยมยุคเก่า เช่น ยุคของจอมพล ป. พิบูลสงคราม ที่บรรดานักประวัติศาสตร์จะหยิบเป็นตัวอย่างอันน่ารังเกียจเสมอเมื่อกล่าวถึงอันตรายของชาตินิยม รวมถึงสิ่งที่เรียกว่า "มรดกจอมพล ป."
"ชาตินิยมยุคใหม่"ในที่นี้ หมายถึงปรากฏการณ์การเคลื่อนไหวของผู้คนที่หยิบเอาประเด็นความเป็น"ชาติ"ของคนไทย ขึ้นมาใช้ในยุคใหม่ และยุคใหม่ที่กล่าวในที่นี้ หมายถึงยุคที่สังคมไทยเผชิญกับ"โลกาภิวัตน์"ในยุคของทุนสื่อสารและการเงินในระดับโลก ซึ่งเป็นลักษณะ"โลกาภิวัฒน์"ในยุคหลัง ที่เกิดการเคลื่อนย้ายเงินทุนและข้อมูลข่าวสารอย่างรวดเร็ว อันเนื่องจากการปฏิวัติเทคโนโลยี"ข้อมูลข่าวสาร"ครั้งสำคัญ
กระแสชาตินิยมในยุคใหม่ที่กำลังเกิดขึ้นในขณะนี้ ขอตั้งเป็นข้อสังเกต ดังนี้
1. กระแสชาตินิยมในสังคมไทยขณะนี้ บางคนว่าเป็น"พวกเสื้อเหลือง" แต่เราก็พบเห็น"เสื้อแดง"เขาเอามาเคลื่อนไหวเช่นกัน แต่ความรู้สึกชาตินิยมที่เกิดขึ้นในกรณีเขาพระวิหาร ถือเป็น"ความต่อเนื่อง"ที่เกิดขึ้นตั้งแต่ขบวนการเสื้อเหลืองที่ต่อต้านรัฐบาลพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และประเด็นเขาพระวิหารก็ถกหยิบยกมาใช้เป็นประเด็นสำคัญที่ถูกหยิบยกมาโจมตีว่า"ขายชาติ"
2. "ชาตินิยม"ในขบวนการเสื้อเหลือง(ล่าสุดเป็นพรรคการเมืองใหม่)มีแง่มุมที่น่าสนใจ คือ ไม่ได้มีการรื้อฟื้น"วัฒนธรรมแห่งชาติ" หรือ การกลับมาไปหาอดีตของชาติ แต่เป็นเรื่อง"ประโยชน์"ที่จับต้องได้ ดังนั้นคนที่ถูกกล่าวหาว่า"ขายชาติ" "ไม่รักชาติ" มักจะเป็นคนที่ทำธุรกิจหรือมีความเกี่ยวพันเชิงธุรกิจกับบริษัทข้ามชาติ (แต่ไม่ใช่ทุกกรณี) ซึ่งกระแสชาตินิยมนับตั้งแต่ขบวนการเสื้อเหลืองเป็นต้นมา เป็นเรื่องของ"ผลประโยชน์ของชาติ"
เรามักจะได้ยินคำว่า"ผลประโยชน์ของชาติ"มากกว่าเรื่อง"ชนชาติ" "เชื้อชาติ"
3. ไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่ชาตินิยมในขบวนการเสื้อเหลืองที่เกี่ยวกับเรื่อง"ผลประโยชน์ของชาติ" เนื่องจากคนที่ถูกจัดกลุ่มว่าเป็นเสื้อเหลืองตามผลวิจัยต่างๆที่ออกมา ระบุว่าเป็นคนระดับล่างปานกลาง-สูง ในแง่ของรายได้ทางเศรษฐกิจ ซึ่งคนกลุ่มนี้มีความ"ไว"ต่อเหตุการณ์และข้อมูลข่าวสาร ดังนั้นกระแสพัฒนาของกระบวนการโลกาภิวัฒน์ที่เกิดขึ้นอย่าง"รวดเร็ว"ในช่วง 5-10 ปีที่ผ่านมา ได้ส่งผลกระทบโดยตรงกับคนกลุ่มนี้ (ซึ่งกระทบถึงคนระดับล่างด้วย)
มีคำหนึ่งในการชุมนุมของคนเสื้อเหลืองตั้งแต่เริ่มต้นและ"จับใจ"กลุ่มผู้ร่วมชุมนุมคือ "เราต่อสู้เพื่อลูกหลาน เพื่อให้มีที่ยืน" ซึ่งเป็นคำที่เปรียบเทียบกับคนที่กำลังต่อสู้ด้วยในขณะนี้ว่า"ขายชาติ" "ไม่รักชาติ" และขบวนการของคนกลุ่มนี้ทำให้เกิด"ชาตินิยมใหม่" ที่ชูประเด็น"ผลประโยชน์ของชาติ"
4. ขบวนการชาตินิยมที่เกิดขึ้นในหลายประเทศมีหลายระดับ และมีปัจจัยมากมายที่ทำให้เกิดความเคลื่อนไหวของผู้คนในสังคม ในครั้งหนึ่ง สังคมไทยเผชิญกับภัยคุกคามจากต่างชาติ และต้องการสร้าง"ชาติ"ให้ทัดเทียมอารยประเทศ อย่างเช่นสมัยจอมพล ป. แต่ในสมัยใหม่ มีการเคลื่อนไหวโดยใช้"อัตลักษณ์" หรือศาสนา
แต่กรณีของไทยสมัยใหม่ ปัจจัยที่ผลักดันมาจากกระบวนการโลกาภิวัฒน์ ที่เข้ามาตักตวงผลประโยชน์ในดินแดน จึงมีการหยิบเอา"ผลประโยชน์ของชาติ"ขึ้นมาต่อสู้ แม้แต่กรณีของเขาพระวิหาร ก็เป็นเรื่องผลประโยชน์ของชาติเป็นประเด็นหลัก ส่วนเรื่องเสียดินแดนเป็น"ประเด็นรอง"ที่มาสนับสนุนประเด็นแรก
เราจะเห็นว่าการโต้แย้งประเด็นเขาพระวิหาร ส่วนใหญ่เป็นเรื่อง"ผลประโยชน์ของชาติ" จึงมีข้อเสนอของนักชาตินิยมไทยว่า"ต้องพัฒนาพื้นที่ร่วมกัน" บางคนคิดไปไกลเป็นเรื่องเกี่ยวพันกับเรื่องแหล่งก๊าซ-น้ำมันในอ่าวไทย
ที่กล่าวมานี้ เป็นข้อสังเกตเกี่ยวกับขบวนการชาตินิยม"ใหม่"ที่กำลังก่อตัวขึ้นในสังคมไทย เป็นชาตินิยมแบบ"ทางโลก" ที่มุ่งไปที่"ผลประโยชน์"เป็นเรื่องหลัก เนื่องจากเป็นชาตินิยมที่เกิดขึ้นจากกระบวนการพัฒนาเศรษฐกิจและกระแสโลกาภิวัฒน์ ซึ่งการเคลื่อนไหวที่ผ่านมา ถือว่ามีรายละเอียดที่น่าสนใจอย่างมาก และไม่ใช่แค่"เกมการเมือง"ของกลุ่มการเมืองเท่านั้น แต่เป็นเรื่องของความคิดความรู้สึกของคนที่ร่วมขบวนการจริงๆด้วย
แน่นอนว่าผลประโยชน์ของชาติเป็นเรื่องสำคัญและต้องเกิดความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย แต่ที่กำลังเป็นห่วงก็คือกระแสชาติเหมือน"ดาบสองคม" ด้านหนึ่ง ทำให้เกิดการรวมกลุ่มของคนและสร้างพลังในการผลักดันร่วมกันได้อย่างไร้ขีดจำกัด แต่อีกด้านหนึ่งก็น่ากังวลไม่น้อย เพราะชาตินิยมทุกประเภท มักมี"อารมณ์ความรู้สึก" อยู่เหนือ"เหตุผล" ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่น่ากลัว
หวังว่า"ชาตินิยมใหม่"ของคนไทยที่กำลังเกิดขึ้น จะเป็นพลังด้านบวกและเป็นชาตินิยมอย่างมี"เหตุผล" เพื่อสร้างสังคมที่ดีร่วมกัน
การปลุกกระแสชาตินิยมในสังคมไทยยุคใหม่ เป็น"ชาตินิยมโลกาภิวัฒน์" ตั้งแต่ขบวนการต่อต้านพ.ต.ท.ทักษิณ จนถึงกรณีเขาพระวิหาร
นักวิชาการบางท่านเตือนว่าการปลุกกระแสชาตินิยม จากกรณีการขึ้นทะเบียนมรดกโลกเขาพระวิหาร จะนำไปสู่ความขัดแย้งกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างกัมพูชาอย่าง"ร้าวลึก" และหากความขัดแย้งยังดำรงต่อไป ก็ยิ่งยากมากขึ้นในการ"เยียวยา"ความรู้สึกแบบเพื่อนบ้านที่ดีต่อกัน
อันที่จริง นักชาตินิยมที่ปลุกกระแสประเด็นเขาพระวิหาร ก็ไม่ได้กังวลนักกับความสัมพันธ์กับประเทศกัมพูชา ที่เรียกติดปากว่า"เขมร" เพราะพวกเขาไม่ได้มองคนเขมรอยู่ในสายตาอยู่แล้ว อย่างน้อยพวกเขาก็เป็นส่วนหนึ่งของสำนึกประวัติศาสตร์แบบ"ไทยๆ"ที่มักมองเพื่อนบ้านตัวเองมีสถานะต่ำต้อยกว่า โดยเฉพาะกัมพูชาด้วยแล้ว พวกเขามักจะมองว่าเป็นประเทศที่ไว้ใจไม่ได้ มีประวัติศาสตร์ตามสำนึกของคนไทยว่าเป็น"จอมหักหลัง"
บางคนคลั่งชาติมากหน่อย ถึงขนาดต้องการให้กองทัพไทยบุกยึดเขาพระวิหารเสียเลยให้สิ้นเรื่องสิ้นราว
ไม่ว่าประเด็นเรื่องการขึ้นทะเบียนมรดกโลกเขาพระวิหารจะลงเอยอย่างไร แต่ประเด็นที่น่าสนใจคือ "กระแสชาตินิยมยุคใหม่"ของคนไทยที่เกิดขึ้นในช่วง 5-10 ที่ผ่านมา มีปัจจัยหลายประการที่มีความแตกต่างจากชาตินิยมยุคเก่า เช่น ยุคของจอมพล ป. พิบูลสงคราม ที่บรรดานักประวัติศาสตร์จะหยิบเป็นตัวอย่างอันน่ารังเกียจเสมอเมื่อกล่าวถึงอันตรายของชาตินิยม รวมถึงสิ่งที่เรียกว่า "มรดกจอมพล ป."
"ชาตินิยมยุคใหม่"ในที่นี้ หมายถึงปรากฏการณ์การเคลื่อนไหวของผู้คนที่หยิบเอาประเด็นความเป็น"ชาติ"ของคนไทย ขึ้นมาใช้ในยุคใหม่ และยุคใหม่ที่กล่าวในที่นี้ หมายถึงยุคที่สังคมไทยเผชิญกับ"โลกาภิวัตน์"ในยุคของทุนสื่อสารและการเงินในระดับโลก ซึ่งเป็นลักษณะ"โลกาภิวัฒน์"ในยุคหลัง ที่เกิดการเคลื่อนย้ายเงินทุนและข้อมูลข่าวสารอย่างรวดเร็ว อันเนื่องจากการปฏิวัติเทคโนโลยี"ข้อมูลข่าวสาร"ครั้งสำคัญ
กระแสชาตินิยมในยุคใหม่ที่กำลังเกิดขึ้นในขณะนี้ ขอตั้งเป็นข้อสังเกต ดังนี้
1. กระแสชาตินิยมในสังคมไทยขณะนี้ บางคนว่าเป็น"พวกเสื้อเหลือง" แต่เราก็พบเห็น"เสื้อแดง"เขาเอามาเคลื่อนไหวเช่นกัน แต่ความรู้สึกชาตินิยมที่เกิดขึ้นในกรณีเขาพระวิหาร ถือเป็น"ความต่อเนื่อง"ที่เกิดขึ้นตั้งแต่ขบวนการเสื้อเหลืองที่ต่อต้านรัฐบาลพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และประเด็นเขาพระวิหารก็ถกหยิบยกมาใช้เป็นประเด็นสำคัญที่ถูกหยิบยกมาโจมตีว่า"ขายชาติ"
2. "ชาตินิยม"ในขบวนการเสื้อเหลือง(ล่าสุดเป็นพรรคการเมืองใหม่)มีแง่มุมที่น่าสนใจ คือ ไม่ได้มีการรื้อฟื้น"วัฒนธรรมแห่งชาติ" หรือ การกลับมาไปหาอดีตของชาติ แต่เป็นเรื่อง"ประโยชน์"ที่จับต้องได้ ดังนั้นคนที่ถูกกล่าวหาว่า"ขายชาติ" "ไม่รักชาติ" มักจะเป็นคนที่ทำธุรกิจหรือมีความเกี่ยวพันเชิงธุรกิจกับบริษัทข้ามชาติ (แต่ไม่ใช่ทุกกรณี) ซึ่งกระแสชาตินิยมนับตั้งแต่ขบวนการเสื้อเหลืองเป็นต้นมา เป็นเรื่องของ"ผลประโยชน์ของชาติ"
เรามักจะได้ยินคำว่า"ผลประโยชน์ของชาติ"มากกว่าเรื่อง"ชนชาติ" "เชื้อชาติ"
3. ไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่ชาตินิยมในขบวนการเสื้อเหลืองที่เกี่ยวกับเรื่อง"ผลประโยชน์ของชาติ" เนื่องจากคนที่ถูกจัดกลุ่มว่าเป็นเสื้อเหลืองตามผลวิจัยต่างๆที่ออกมา ระบุว่าเป็นคนระดับล่างปานกลาง-สูง ในแง่ของรายได้ทางเศรษฐกิจ ซึ่งคนกลุ่มนี้มีความ"ไว"ต่อเหตุการณ์และข้อมูลข่าวสาร ดังนั้นกระแสพัฒนาของกระบวนการโลกาภิวัฒน์ที่เกิดขึ้นอย่าง"รวดเร็ว"ในช่วง 5-10 ปีที่ผ่านมา ได้ส่งผลกระทบโดยตรงกับคนกลุ่มนี้ (ซึ่งกระทบถึงคนระดับล่างด้วย)
มีคำหนึ่งในการชุมนุมของคนเสื้อเหลืองตั้งแต่เริ่มต้นและ"จับใจ"กลุ่มผู้ร่วมชุมนุมคือ "เราต่อสู้เพื่อลูกหลาน เพื่อให้มีที่ยืน" ซึ่งเป็นคำที่เปรียบเทียบกับคนที่กำลังต่อสู้ด้วยในขณะนี้ว่า"ขายชาติ" "ไม่รักชาติ" และขบวนการของคนกลุ่มนี้ทำให้เกิด"ชาตินิยมใหม่" ที่ชูประเด็น"ผลประโยชน์ของชาติ"
4. ขบวนการชาตินิยมที่เกิดขึ้นในหลายประเทศมีหลายระดับ และมีปัจจัยมากมายที่ทำให้เกิดความเคลื่อนไหวของผู้คนในสังคม ในครั้งหนึ่ง สังคมไทยเผชิญกับภัยคุกคามจากต่างชาติ และต้องการสร้าง"ชาติ"ให้ทัดเทียมอารยประเทศ อย่างเช่นสมัยจอมพล ป. แต่ในสมัยใหม่ มีการเคลื่อนไหวโดยใช้"อัตลักษณ์" หรือศาสนา
แต่กรณีของไทยสมัยใหม่ ปัจจัยที่ผลักดันมาจากกระบวนการโลกาภิวัฒน์ ที่เข้ามาตักตวงผลประโยชน์ในดินแดน จึงมีการหยิบเอา"ผลประโยชน์ของชาติ"ขึ้นมาต่อสู้ แม้แต่กรณีของเขาพระวิหาร ก็เป็นเรื่องผลประโยชน์ของชาติเป็นประเด็นหลัก ส่วนเรื่องเสียดินแดนเป็น"ประเด็นรอง"ที่มาสนับสนุนประเด็นแรก
เราจะเห็นว่าการโต้แย้งประเด็นเขาพระวิหาร ส่วนใหญ่เป็นเรื่อง"ผลประโยชน์ของชาติ" จึงมีข้อเสนอของนักชาตินิยมไทยว่า"ต้องพัฒนาพื้นที่ร่วมกัน" บางคนคิดไปไกลเป็นเรื่องเกี่ยวพันกับเรื่องแหล่งก๊าซ-น้ำมันในอ่าวไทย
ที่กล่าวมานี้ เป็นข้อสังเกตเกี่ยวกับขบวนการชาตินิยม"ใหม่"ที่กำลังก่อตัวขึ้นในสังคมไทย เป็นชาตินิยมแบบ"ทางโลก" ที่มุ่งไปที่"ผลประโยชน์"เป็นเรื่องหลัก เนื่องจากเป็นชาตินิยมที่เกิดขึ้นจากกระบวนการพัฒนาเศรษฐกิจและกระแสโลกาภิวัฒน์ ซึ่งการเคลื่อนไหวที่ผ่านมา ถือว่ามีรายละเอียดที่น่าสนใจอย่างมาก และไม่ใช่แค่"เกมการเมือง"ของกลุ่มการเมืองเท่านั้น แต่เป็นเรื่องของความคิดความรู้สึกของคนที่ร่วมขบวนการจริงๆด้วย
แน่นอนว่าผลประโยชน์ของชาติเป็นเรื่องสำคัญและต้องเกิดความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย แต่ที่กำลังเป็นห่วงก็คือกระแสชาติเหมือน"ดาบสองคม" ด้านหนึ่ง ทำให้เกิดการรวมกลุ่มของคนและสร้างพลังในการผลักดันร่วมกันได้อย่างไร้ขีดจำกัด แต่อีกด้านหนึ่งก็น่ากังวลไม่น้อย เพราะชาตินิยมทุกประเภท มักมี"อารมณ์ความรู้สึก" อยู่เหนือ"เหตุผล" ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่น่ากลัว
หวังว่า"ชาตินิยมใหม่"ของคนไทยที่กำลังเกิดขึ้น จะเป็นพลังด้านบวกและเป็นชาตินิยมอย่างมี"เหตุผล" เพื่อสร้างสังคมที่ดีร่วมกัน
“ฮุนเซน” ท้าไทยใช้ทหารขับไล่เขมรพ้นพื้นที่พิพาท
สื่อกัมพูชารายงานว่า สมเด็จ ฮุนเซน นายกรัฐมนตรีของกัมพูชา ปราศรัย ตอบโต้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีของไทย ที่ได้มีการหารือกับผู้ประท้วง ให้มีการยกเลิกเอ็มโอยู ปี 2543 หลังเกิดข้อพิพาททางชายแดน โดยท้าทายให้ฝ่ายไทย ใช้กำลังทหารเข้าขับไล่ชาวกัมพูชาในพื้นที่พิพาททางชายแดนแต่หากมีการใช้กำลังทหารจริง ทางการกัมพูชาก็จะต่อสู้เพื่อรักษาพื้นที่ และจะไม่ยอมให้ใครรุกรานอย่างแน่นอน โดยเปรียบเปรยว่า แม้กัมพูชาเป็นประเทศ เล็กเหมือนมดแดง แต่ก็จะทำให้ช้างอย่างไทยอยู่ไม่เป็นสุข
ทั้งนี้ ผู้นำกัมพูชา ยังเรียกร้องให้นานาชาติเขามาช่วยแก้ปัญหา เพราะการเจรจาของทั้ง 2 ฝ่าย ล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง โดยเฉพาะ กลุ่มอาเซียน คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ และ การประชุมของ 19 ประเทศ ภาคีสนธิสัญญาสันติภาพ กรุงปารีสว่าด้วยกัมพูชา ซึ่งไทยกับเวียดนามร่วมเป็นภาคีอยู่ด้วย
************************************************************************
ทั้งนี้ ผู้นำกัมพูชา ยังเรียกร้องให้นานาชาติเขามาช่วยแก้ปัญหา เพราะการเจรจาของทั้ง 2 ฝ่าย ล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง โดยเฉพาะ กลุ่มอาเซียน คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ และ การประชุมของ 19 ประเทศ ภาคีสนธิสัญญาสันติภาพ กรุงปารีสว่าด้วยกัมพูชา ซึ่งไทยกับเวียดนามร่วมเป็นภาคีอยู่ด้วย
************************************************************************
ดร. วีระชัย วีระเมธีกุล มองจีนแล้วเหลียวดูไทย
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
ดร. วีระชัย วีระเมธีกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เชี่ยวชาญเรื่องประเทศจีนเป็นอย่างดี และยังมีคอนเนกชั่นอย่างดีกับนักธุรกิจจีน รวมถึงคนในรัฐบาลจีน เป็นรัฐมนตรีที่เดินทางไปปักกิ่ง-เซี่ยงไฮ้ บ่อยครั้ง
ล่าสุด ดร. วีระชัย ได้รับเกียรติให้เดินทางมาบรรยายเรื่อง "Asian Century (จีน)" บนเวที โครงการอบรม "ผู้นำ-นำการเปลี่ยนแปลง"
นี่คือ เรื่องเล่าสนุก ๆ แต่แฝงไว้ด้วยสาระและความรู้ เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงผู้นำจีน จากรัฐมนตรีวิทยาศาสตร์ฯ ประเทศไทย
การเปลี่ยนแปลงผู้นำของจีนจากรุ่นสู่รุ่น ตั้งแต่จีนสร้างประเทศใหม่มีความน่าสนใจมาก ผู้นำรุ่นแรกของจีนซึ่งนำโดย "เหมา เจ๋อตุง" และ "โจวเอินไหล" เจเนอเรชั่นนี้ทั้งเจเนอเรชั่น มาจากนักปฏิวัติ งานที่เขาให้ความสำคัญคือเรื่อง "งานการเมือง และเรื่องการปฏิวัติ" หรือแปลจากภาษาจีนว่า "ปฏิวัติตลอดไป" คือ พูดเน้นในเรื่องการปฏิวัติตลอดเวลา
สิ่งที่น่าสนใจคือ ก่อนที่ "เหมา เจ๋อตุง" จะเสียชีวิต เขาได้วางอำนาจผู้นำในการสืบทอดของเขา แต่ก็ไม่ได้เป็นไปอย่างที่เขาคิด คนแรกสุดที่ได้รับการวางตัวไว้ที่จะเป็นผู้นำในการสืบทอดอำนาจของเขาก็คือท่าน "หลิวเซ่าฉี" คนนี้เป็นคนที่ผมชื่นชอบเป็นพิเศษ แต่คำพูดหนึ่งที่เขาพูดเอาไว้ก่อนตาย เป็นภาษาจีน ตีความหมายได้ว่า "ในประวัติศาสตร์ผมจะดีหรือไม่ดี" ในอนาคตให้พี่น้องประชาชนมาเขียน เพราะว่าสิ่งที่พวกคุณทำกับผมไม่ถูกต้องและไม่ยุติธรรมเลย แต่สุดท้ายท่านก็เสียชีวิตโดยที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม
คนที่สองคือ "หลินเปียว" เขาตายในการปฏิวัติวัฒนธรรม ส่วนคนสุดท้ายที่เหมา เจ๋อตุง เลือกขึ้นมา คือ "หัว กั๊วเฟิง" แต่สุดท้ายก็ไม่เป็นไปตามที่ เหมา เจ๋อตุง ได้วางแผนเอาไว้ เพราะหัว กั๊วเฟิง ก็ไม่เข้มแข็งพอ ที่จะนำประเทศจีนต่อไป
หลังจากนั้น "เติ้ง เสี่ยวผิง" ก็ขึ้นมาเป็นผู้นำรุ่นที่ 2 ท่าน เติ้ง เสี่ยวผิง ถึงแม้จะเป็นผู้นำที่มาจากการปฏิวัติ แต่เมื่อกาลเวลาเปลี่ยน ยุคสมัยเปลี่ยนแปลง สิ่งที่เขาทำไม่ได้เน้นแค่เรื่องการปฏิวัติหรือเรื่องการเมืองเพียงอย่างเดียว สิ่งที่คนจดจำ เติ้ง เสี่ยวผิง ได้มากที่สุด คือ นโยบายการเปิดประเทศจีนสู่โลกภายนอก
นอกจากนี้ สิ่งที่ เติ้ง เสี่ยวผิง ได้ทำไว้ในฐานะผู้นำก็คือ การวางฐานอำนาจ หาผู้นำในการสืบทอดอำนาจของเขาต่อไปในอนาคต เพราะเขาเห็นในช่วงชีวิตเขาว่า หลังจาก เหมา เจ๋อตุง เสียชีวิต ประเทศจีนมีการต่อสู้กันอย่างมากมาย จนก่อให้เกิดความสูญเสียอย่างที่ไม่ควรจะเกิดขึ้น
ฉะนั้น สิ่งที่ เติ้ง เสี่ยวผิง ทำมันยิ่งใหญ่มาก เขาวางฐานอำนาจเลยว่า เขาวางผู้นำรุ่นที่ 3 ซึ่งก็คือ "เจียง เจ๋อหมิน" และยังวางไปถึงผู้นำรุ่นที่ 4 ซึ่งก็คือ "หู จินเถา" ผู้นำจีนคนปัจจุบัน
เติ้ง เสี่ยวผิง วางรูปแบบในการสืบทอดผู้นำเป็นระบบการนำของพรรค โดยมีจุดศูนย์กลางอยู่ที่ เจียง เจ๋อหมิน "หลี่ เผิง" และ "จูหลงจี" แล้วสิ่งที่เติ้ง เสี่ยวผิง ทำอีกอันหนึ่งแล้วมีคุโณปการมาก ก็คือ เขาตัดสินใจเลือกกลุ่มคนพวกนี้ขึ้นมาเป็นผู้นำ กลุ่มที่อาจจะมีปัญหา เติ้ง เสี่ยวผิง จะต้องให้เกษียณ ไม่ใช่ว่าเขาทำอะไรผิดนะ มีบทบาทสร้างการเปลี่ยนแปลงในประเทศจีน แต่วันนี้ เติ้ง เสี่ยวผิง ตัดสินใจแล้วว่าให้กลุ่มนี้ขึ้นมานำ ส่วนกลุ่มที่ไม่ได้อยู่ในกลุ่มนี้ ต้องถอย ถ้ายังมีรุ่นผู้นำในการปฏิวัตินั่งอยู่ ในคณะกรรมการกรมการเมือง ผู้นำรุ่นที่ 3 อย่าง เจียง เจ๋อหมิน ก็คงจะทำงานลำบาก ฉะนั้น ผู้นำในการปฏิวัติ จึงเปิดทางให้ เจียง เจ๋อหมิน หลี่ เผิง และ จูหลงจี ขึ้นมาบริหารประเทศ
สิ่งที่ผู้นำรุ่นที่ 3 ทำส่วนใหญ่ ที่เราจดจำกันได้ก็คือการสร้างอุตสาหกรรมหลักของประเทศ และการสร้างเมืองใหญ่ ซึ่งเปลี่ยนแปลงไปจากสมัย เติ้ง เสี่ยวผิง แล้วสิ่งที่
เติ้ง เสี่ยวผิง ทำอีกก็คือ วางผู้นำรุ่นที่ 4 ไว้เลย ให้คนเห็นเลยว่า พวกนี้ รุ่นนี้ จะเป็นแกนนำ รุ่นที่ 4 ซึ่งก็คือรุ่นปัจจุบัน นำโดยท่าน "หู จินเทา" และ "เวิน เจียเป่า" สิ่งที่ผู้นำจีนทำตอนนี้ก็คือ เขากำลังพยายามลดเรื่องช่องว่างของความร่ำรวย ความเจริญ ระหว่างเมืองที่ค่อนข้างเจริญแล้ว กับเมืองที่ยังยากจน
สำหรับแกนนำพรรครุ่นที่ 5 ซึ่งจะเป็นรุ่นต่อไป ที่จะเกิดขึ้นภายใน 2-3 ปีข้างหน้า ก็มีการวางตัวไว้เรียบร้อย คาดว่าจะนำโดยท่าน "สี จิ้นผิง" และท่าน "หลี่ เค่อเฉียง"
ผมเชื่อว่า สิ่งที่จีนจะเน้นต่อไปของผู้นำรุ่นนี้ก็คือ เรื่องเทคโนโลยี และตอนนี้เริ่มมีการมองกันแล้วว่า ผู้นำรุ่นที่ 6 น่าจะมีใครขึ้นมา
ฉะนั้น สิ่งที่ผมอยากจะบอกก็คือ ผู้นำจีนแต่ละยุคแต่ละสมัย มันต้องมีการเปลี่ยนแปลง การวางตัวผู้นำมีความสำคัญอย่างมาก จึงขอฝากไว้ว่า ท่านที่จะเป็นผู้นำแห่งการเปลี่ยนแปลงในวันนี้และต่อไปในวันข้างหน้า ผมคิดว่ามีความสำคัญ ต้องวางแผนไว้ในระยะยาว
เมื่อกลับมามองไทย เราคงมองจีนได้ แต่จะทำแบบเขาทั้งหมดคงไม่ได้ แต่ถามว่าประเทศไทย ควรจะ engage ประเทศจีนต่อไปอย่างไรในอนาคต เพราะปัจจุบัน จีนเป็นประเทศที่มีการส่งออกมากที่สุดในโลก เป็นประเทศที่มีเงินทุนสำรองระหว่างประเทศมากที่สุดในโลก และเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก
ฉะนั้น วันนี้ต้องถือว่า จีนเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจแล้ว แต่เราชอบพูดกันเสมอว่า ไทยจีนพี่น้องกัน เป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ 50: 50 แต่วันนี้ต้องกลับมาดูว่า มันเป็นอย่างที่เราพูดกันจริงหรือเปล่า
ไทยจีนพี่น้องกัน แน่นอนว่าเป็นอยู่ มีความสัมพันธ์อันดี เพียงแต่เวลาจะมาร่วมมือกัน เราต้องยอมรับก่อนว่าปัจจุบันจีน มีฐานะไม่เหมือนเมื่อ 30 ปีก่อนแล้ว ผมไม่ได้บอกว่าเขาใหญ่กว่าหรือเล็กกว่า หรือเราใหญ่กว่าหรือเล็กกว่า แต่เราจะ engage จีนยังไง นั่นต่างหากที่สำคัญ
ผมจะไม่ตอบว่า เราจะต้องทำตัวเราให้เป็นจุดเด่นของอาเซียน ให้ประเทศจีนใช้ไทยเป็นประตูสู่อาเซียน ผมจะไม่ตอบในลักษณะที่บอกว่า เราจะทำตัวให้เป็นสะพานกลางที่จะเชื่อมโยงระหว่างเอเชียตะวันออก ได้แก่ จีน ญี่ปุ่น เกาหลี แล้วเชื่อมไปถึง เอเชียใต้ เช่น อินเดีย ปากีสถาน บังคลาเทศ หรือ ศรีลังกา ถ้าตอบอย่างนี้ ผมว่าไปหาอ่านได้ในหนังสือ
แต่ผมจะตอบสั้นๆ ว่า ปัจจุบัน ในบทบาทที่เขาเปลี่ยนแปลงไปของจีน จนกลายเป็นมหาอำนาจ บางทีมันมีบางเรื่องที่เขาทำไม่ได้ หรือบางเรื่องเขาอยากทำ แต่ถามเราว่า คุณลองไปถามคนอื่นดูก่อนว่าเขาเอาด้วยหรือเปล่า ทำกันหรือเปล่า
ฉะนั้น ผมมองว่า เราจะทำอย่างไร ที่จะเล่นบทเป็นผู้รู้ใจจีน อันนี้สำคัญ มีแต่บวกกับบวก ถ้าจะถามว่า engage ยังไง เรื่องมันเยอะมาก แต่ส่วนใหญ่คนจะพูดในประเด็นที่ผมเล่าให้ฟังไปแล้วว่าเราต้องทำตัวเป็นจุดเด่นของอาเซียน แต่ผมถามกลับนิดเดียวว่า แล้วจีนจะคบกับสิงคโปร์โดยตรงไม่ได้เหรอ จีนจะคบกับอินโดนีเซียโดยตรงไม่ได้เหรอ
กระนั้นก็ตาม ผมเชื่อว่า จีนจะยังยิ่งใหญ่ต่อไปในอนาคต
****************************************************************************
ดร. วีระชัย วีระเมธีกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เชี่ยวชาญเรื่องประเทศจีนเป็นอย่างดี และยังมีคอนเนกชั่นอย่างดีกับนักธุรกิจจีน รวมถึงคนในรัฐบาลจีน เป็นรัฐมนตรีที่เดินทางไปปักกิ่ง-เซี่ยงไฮ้ บ่อยครั้ง
ล่าสุด ดร. วีระชัย ได้รับเกียรติให้เดินทางมาบรรยายเรื่อง "Asian Century (จีน)" บนเวที โครงการอบรม "ผู้นำ-นำการเปลี่ยนแปลง"
นี่คือ เรื่องเล่าสนุก ๆ แต่แฝงไว้ด้วยสาระและความรู้ เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงผู้นำจีน จากรัฐมนตรีวิทยาศาสตร์ฯ ประเทศไทย
การเปลี่ยนแปลงผู้นำของจีนจากรุ่นสู่รุ่น ตั้งแต่จีนสร้างประเทศใหม่มีความน่าสนใจมาก ผู้นำรุ่นแรกของจีนซึ่งนำโดย "เหมา เจ๋อตุง" และ "โจวเอินไหล" เจเนอเรชั่นนี้ทั้งเจเนอเรชั่น มาจากนักปฏิวัติ งานที่เขาให้ความสำคัญคือเรื่อง "งานการเมือง และเรื่องการปฏิวัติ" หรือแปลจากภาษาจีนว่า "ปฏิวัติตลอดไป" คือ พูดเน้นในเรื่องการปฏิวัติตลอดเวลา
สิ่งที่น่าสนใจคือ ก่อนที่ "เหมา เจ๋อตุง" จะเสียชีวิต เขาได้วางอำนาจผู้นำในการสืบทอดของเขา แต่ก็ไม่ได้เป็นไปอย่างที่เขาคิด คนแรกสุดที่ได้รับการวางตัวไว้ที่จะเป็นผู้นำในการสืบทอดอำนาจของเขาก็คือท่าน "หลิวเซ่าฉี" คนนี้เป็นคนที่ผมชื่นชอบเป็นพิเศษ แต่คำพูดหนึ่งที่เขาพูดเอาไว้ก่อนตาย เป็นภาษาจีน ตีความหมายได้ว่า "ในประวัติศาสตร์ผมจะดีหรือไม่ดี" ในอนาคตให้พี่น้องประชาชนมาเขียน เพราะว่าสิ่งที่พวกคุณทำกับผมไม่ถูกต้องและไม่ยุติธรรมเลย แต่สุดท้ายท่านก็เสียชีวิตโดยที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม
คนที่สองคือ "หลินเปียว" เขาตายในการปฏิวัติวัฒนธรรม ส่วนคนสุดท้ายที่เหมา เจ๋อตุง เลือกขึ้นมา คือ "หัว กั๊วเฟิง" แต่สุดท้ายก็ไม่เป็นไปตามที่ เหมา เจ๋อตุง ได้วางแผนเอาไว้ เพราะหัว กั๊วเฟิง ก็ไม่เข้มแข็งพอ ที่จะนำประเทศจีนต่อไป
หลังจากนั้น "เติ้ง เสี่ยวผิง" ก็ขึ้นมาเป็นผู้นำรุ่นที่ 2 ท่าน เติ้ง เสี่ยวผิง ถึงแม้จะเป็นผู้นำที่มาจากการปฏิวัติ แต่เมื่อกาลเวลาเปลี่ยน ยุคสมัยเปลี่ยนแปลง สิ่งที่เขาทำไม่ได้เน้นแค่เรื่องการปฏิวัติหรือเรื่องการเมืองเพียงอย่างเดียว สิ่งที่คนจดจำ เติ้ง เสี่ยวผิง ได้มากที่สุด คือ นโยบายการเปิดประเทศจีนสู่โลกภายนอก
นอกจากนี้ สิ่งที่ เติ้ง เสี่ยวผิง ได้ทำไว้ในฐานะผู้นำก็คือ การวางฐานอำนาจ หาผู้นำในการสืบทอดอำนาจของเขาต่อไปในอนาคต เพราะเขาเห็นในช่วงชีวิตเขาว่า หลังจาก เหมา เจ๋อตุง เสียชีวิต ประเทศจีนมีการต่อสู้กันอย่างมากมาย จนก่อให้เกิดความสูญเสียอย่างที่ไม่ควรจะเกิดขึ้น
ฉะนั้น สิ่งที่ เติ้ง เสี่ยวผิง ทำมันยิ่งใหญ่มาก เขาวางฐานอำนาจเลยว่า เขาวางผู้นำรุ่นที่ 3 ซึ่งก็คือ "เจียง เจ๋อหมิน" และยังวางไปถึงผู้นำรุ่นที่ 4 ซึ่งก็คือ "หู จินเถา" ผู้นำจีนคนปัจจุบัน
เติ้ง เสี่ยวผิง วางรูปแบบในการสืบทอดผู้นำเป็นระบบการนำของพรรค โดยมีจุดศูนย์กลางอยู่ที่ เจียง เจ๋อหมิน "หลี่ เผิง" และ "จูหลงจี" แล้วสิ่งที่เติ้ง เสี่ยวผิง ทำอีกอันหนึ่งแล้วมีคุโณปการมาก ก็คือ เขาตัดสินใจเลือกกลุ่มคนพวกนี้ขึ้นมาเป็นผู้นำ กลุ่มที่อาจจะมีปัญหา เติ้ง เสี่ยวผิง จะต้องให้เกษียณ ไม่ใช่ว่าเขาทำอะไรผิดนะ มีบทบาทสร้างการเปลี่ยนแปลงในประเทศจีน แต่วันนี้ เติ้ง เสี่ยวผิง ตัดสินใจแล้วว่าให้กลุ่มนี้ขึ้นมานำ ส่วนกลุ่มที่ไม่ได้อยู่ในกลุ่มนี้ ต้องถอย ถ้ายังมีรุ่นผู้นำในการปฏิวัตินั่งอยู่ ในคณะกรรมการกรมการเมือง ผู้นำรุ่นที่ 3 อย่าง เจียง เจ๋อหมิน ก็คงจะทำงานลำบาก ฉะนั้น ผู้นำในการปฏิวัติ จึงเปิดทางให้ เจียง เจ๋อหมิน หลี่ เผิง และ จูหลงจี ขึ้นมาบริหารประเทศ
สิ่งที่ผู้นำรุ่นที่ 3 ทำส่วนใหญ่ ที่เราจดจำกันได้ก็คือการสร้างอุตสาหกรรมหลักของประเทศ และการสร้างเมืองใหญ่ ซึ่งเปลี่ยนแปลงไปจากสมัย เติ้ง เสี่ยวผิง แล้วสิ่งที่
เติ้ง เสี่ยวผิง ทำอีกก็คือ วางผู้นำรุ่นที่ 4 ไว้เลย ให้คนเห็นเลยว่า พวกนี้ รุ่นนี้ จะเป็นแกนนำ รุ่นที่ 4 ซึ่งก็คือรุ่นปัจจุบัน นำโดยท่าน "หู จินเทา" และ "เวิน เจียเป่า" สิ่งที่ผู้นำจีนทำตอนนี้ก็คือ เขากำลังพยายามลดเรื่องช่องว่างของความร่ำรวย ความเจริญ ระหว่างเมืองที่ค่อนข้างเจริญแล้ว กับเมืองที่ยังยากจน
สำหรับแกนนำพรรครุ่นที่ 5 ซึ่งจะเป็นรุ่นต่อไป ที่จะเกิดขึ้นภายใน 2-3 ปีข้างหน้า ก็มีการวางตัวไว้เรียบร้อย คาดว่าจะนำโดยท่าน "สี จิ้นผิง" และท่าน "หลี่ เค่อเฉียง"
ผมเชื่อว่า สิ่งที่จีนจะเน้นต่อไปของผู้นำรุ่นนี้ก็คือ เรื่องเทคโนโลยี และตอนนี้เริ่มมีการมองกันแล้วว่า ผู้นำรุ่นที่ 6 น่าจะมีใครขึ้นมา
ฉะนั้น สิ่งที่ผมอยากจะบอกก็คือ ผู้นำจีนแต่ละยุคแต่ละสมัย มันต้องมีการเปลี่ยนแปลง การวางตัวผู้นำมีความสำคัญอย่างมาก จึงขอฝากไว้ว่า ท่านที่จะเป็นผู้นำแห่งการเปลี่ยนแปลงในวันนี้และต่อไปในวันข้างหน้า ผมคิดว่ามีความสำคัญ ต้องวางแผนไว้ในระยะยาว
เมื่อกลับมามองไทย เราคงมองจีนได้ แต่จะทำแบบเขาทั้งหมดคงไม่ได้ แต่ถามว่าประเทศไทย ควรจะ engage ประเทศจีนต่อไปอย่างไรในอนาคต เพราะปัจจุบัน จีนเป็นประเทศที่มีการส่งออกมากที่สุดในโลก เป็นประเทศที่มีเงินทุนสำรองระหว่างประเทศมากที่สุดในโลก และเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก
ฉะนั้น วันนี้ต้องถือว่า จีนเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจแล้ว แต่เราชอบพูดกันเสมอว่า ไทยจีนพี่น้องกัน เป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ 50: 50 แต่วันนี้ต้องกลับมาดูว่า มันเป็นอย่างที่เราพูดกันจริงหรือเปล่า
ไทยจีนพี่น้องกัน แน่นอนว่าเป็นอยู่ มีความสัมพันธ์อันดี เพียงแต่เวลาจะมาร่วมมือกัน เราต้องยอมรับก่อนว่าปัจจุบันจีน มีฐานะไม่เหมือนเมื่อ 30 ปีก่อนแล้ว ผมไม่ได้บอกว่าเขาใหญ่กว่าหรือเล็กกว่า หรือเราใหญ่กว่าหรือเล็กกว่า แต่เราจะ engage จีนยังไง นั่นต่างหากที่สำคัญ
ผมจะไม่ตอบว่า เราจะต้องทำตัวเราให้เป็นจุดเด่นของอาเซียน ให้ประเทศจีนใช้ไทยเป็นประตูสู่อาเซียน ผมจะไม่ตอบในลักษณะที่บอกว่า เราจะทำตัวให้เป็นสะพานกลางที่จะเชื่อมโยงระหว่างเอเชียตะวันออก ได้แก่ จีน ญี่ปุ่น เกาหลี แล้วเชื่อมไปถึง เอเชียใต้ เช่น อินเดีย ปากีสถาน บังคลาเทศ หรือ ศรีลังกา ถ้าตอบอย่างนี้ ผมว่าไปหาอ่านได้ในหนังสือ
แต่ผมจะตอบสั้นๆ ว่า ปัจจุบัน ในบทบาทที่เขาเปลี่ยนแปลงไปของจีน จนกลายเป็นมหาอำนาจ บางทีมันมีบางเรื่องที่เขาทำไม่ได้ หรือบางเรื่องเขาอยากทำ แต่ถามเราว่า คุณลองไปถามคนอื่นดูก่อนว่าเขาเอาด้วยหรือเปล่า ทำกันหรือเปล่า
ฉะนั้น ผมมองว่า เราจะทำอย่างไร ที่จะเล่นบทเป็นผู้รู้ใจจีน อันนี้สำคัญ มีแต่บวกกับบวก ถ้าจะถามว่า engage ยังไง เรื่องมันเยอะมาก แต่ส่วนใหญ่คนจะพูดในประเด็นที่ผมเล่าให้ฟังไปแล้วว่าเราต้องทำตัวเป็นจุดเด่นของอาเซียน แต่ผมถามกลับนิดเดียวว่า แล้วจีนจะคบกับสิงคโปร์โดยตรงไม่ได้เหรอ จีนจะคบกับอินโดนีเซียโดยตรงไม่ได้เหรอ
กระนั้นก็ตาม ผมเชื่อว่า จีนจะยังยิ่งใหญ่ต่อไปในอนาคต
****************************************************************************
สมัครสมาชิก:
ความคิดเห็น (Atom)




