กิจกรรม “วันอาทิตย์สีแดง” ที่มี นายสมบัติ บุญงามอนงค์ เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงหลักถือเป็นวิธีการแสดงออกทางการเมืองตามแนวทาง “อหิงสา” อย่างแท้จริง เพราะไม่มีความตั้งใจที่จะดำเนินการด้วยความรุนแรง แต่ใช้การสร้าง “สัญลักษณ์” โดยการ “ผูกผ้าแดง” ที่ป้ายสี่แยกราชประสงค์ ประกอบการแสดงที่ทำให้เห็นว่า “ที่นี่มีคนตาย”
ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำได้ในระบอบประชาธิปไตย ที่ถึงแม้ว่ารัฐบาลเลือกที่จะบริหารราชการด้วยพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน แต่ในเมื่อประเทศไทยเรายังมีรัฐธรรมนูญที่ปกป้องสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นอยู่ การที่ นายสมบัติ และคณะพากันไปที่สี่แยกราชประสงค์ทุกเย็นวันอาทิตย์ จึงเป็นไปตามครรลองอันควร ที่หากรัฐบาล “ใจกว้าง” พอ ควรปล่อยให้เป็นไป
เพราะถ้ายอมแค่นี้ไม่ได้ ก็ไม่รู้จะท่องคาถา “ปรองดอง” กันไปทำไม!!
แต่อย่างว่า รัฐบาลมีทีท่า “แข็งกร้าว” แต่แรก ตั้งแต่การจับกุม นายสมบัติ เมื่อครั้งที่ไป “ผูกผ้าแดง” ที่ป้ายสี่แยกเป็นครั้งแรก เมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม และกักกันตัวไว้ร่วม 2 สัปดาห์ จนในที่สุดต้องยอมปล่อยตัวเพราะศาลไม่อนุญาตเนื่องจากไม่มีเหตุเพียงพอที่จะขังไว้ต่อ ท่ามกลางแรงกดดันจากสังคมและสื่อมวลชนบางสำนักที่ตั้งคำถามว่า “ผูกผ้าแดง” ผิดกฎหมายด้วยหรือ?
ครั้นเมื่อ นายสมบัติ ได้รับอิสรภาพ ยังคงเจตนารมณ์เดิม เดินหน้าทำกิจกรรมดังกล่าวต่อ ทั้งมีผู้คนที่ร่วมมากขึ้น บวกด้วยผู้สังเกตการณ์ที่ยังกลัวๆกล้าๆ สงสัยปนหมั่นไส้รัฐบาลมายืนดูใกล้บ้างไกลบ้างตามอัธยาศัยของแต่ละคน
แหม เย็นๆวันอาทิตย์ เศรษฐกิจอย่างนี้ เงินช็อปปิ้งก็ไม่ค่อยมี มายืนดูการท้าทายอำนาจรัฐสนุกๆ สบายใจดีออก!!
หลังการปล่อยตัวรัฐบาลทำ “ใจดีสู้เสือ” รองนายกรัฐมนตรี นายสุเทพ เทือกสุบรรณ แก้เกี้ยวว่าผูกผ้าแดงไม่ผิดกฎหมาย แต่คงหวั่นอยู่ในที เพราะกิจกรรมเชิงสัญลักษณ์ทำนองนี้เรียกคนที่ยัง “คับข้องหมองใจ” ให้ออกมาร่วมและรวมตัวกันได้ และถ้ามี “โมเมนตั้ม” เกิดเป็นกระแสต่อเนื่องขึ้นมา ขยายตัวเต็มสี่แยก รัฐบาลจะพลอยอยู่ไม่ได้ ดังนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงต้องปฏิบัติการ ทำให้เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ที่สี่แยกราชประสงค์จึงเป็นทั้ง “วันอาทิตย์สีแดง” และ “วันอาทิตย์สีกากี”!!
และเมื่อ นายนที สรวารี หนึ่งในสมาชิกเครือข่ายที่ได้แสดงความคิดเห็นต่อต้านการใช้อำนาจของรัฐบาลในทางที่ผิดมาอย่างต่อเนื่อง ยืนตะโกนปากเปล่าโต้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจที่มีเครื่องขยายเสียงว่า “ที่นี่มีคนตาย ผมเห็นที่นี่ถูกเผา ผมเห็นคนถูกยิงที่นี่ เอาชีวิตเพื่อนผมคืนมาแล้วเราจะปรองดองด้วย” ตำรวจ (นอกเครื่องแบบ) จึงรวบตัวไปด้วยข้อหา “ส่งเสียงดังเป็นที่เดือดร้อนรำคาญ” ถูกปรับ 100 บาทก่อนปล่อยตัว
นายนที คงเพิ่งรู้เหมือนกันว่าตนเสียงดังกึกก้องน่ารำคาญก็วันที่ถูกจับนั่นเอง แต่จะไปทำให้ใคร “รำคาญใจ” และเป็นใครใหญ่โตแค่ไหนไม่รู้ได้!!
ที่ตลกยิ่งกว่านั้น เป็นมุขที่แม้โชว์ตลกคาเฟ่ต้องอาย คือป้าย “สี่แยกราชประสงค์” ถูก “มือมืด” เอาสีขาวพ่นทับ ทำให้เจ้าหน้าที่เขตมีเหตุผลอ้างได้ในการ “ปลดป้าย” ไป “ซ่อม” ทำเอา “ขาเม้นท์ขาเมาท์” ในโลกไซเบอร์ถึงกับ “ฮา” ว่ารัฐบาลนี้ “อุ้ม” แม้กระทั่ง “ป้าย”
นี่ถ้าเปลี่ยน “สี่แยก” เป็น “วงเวียน” ได้คงทำไปแล้ว!!
ทั้งหลายทั้งปวงนี้ ไม่รู้ว่า นายกรัฐมนตรี นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ “รับรู้” และ “ได้รับรายงาน” หรือไม่ หรือเป็นเรื่องของดุลพินิจเจ้าหน้าที่ระดับใด แต่เมื่อปรากฏเป็นข่าวใหญ่โตแล้ว รัฐบาลยังนิ่งเฉย ก็ต้องสรุปว่า “รู้และเห็นชอบ” เพราะในทางการเมืองนั้น การต่อสู้เชิงสัญลักษณ์มีความหมายอันทรงพลังที่เมื่อ “โดนใจ” แล้ว ยากที่จะหยุดยั้งไว้ได้ รัฐบาลส่วนใหญ่จึงเลือกใช้วิธี “ตัดไฟแต่ต้นลม”
แต่รัฐบาลมักจะ “ลืม” ไปว่า หากการใช้อำนาจที่ผ่านมาไม่ได้มีความชอบธรรม ลมที่พัดย่อมมีแต่จะแรงขึ้น และไฟที่โหมกระหน่ำมีแต่จะลุกโชน ไม่มีอะไรมาทัดทานไว้ได้ ยิ่งมา “เก็บเล็กเก็บน้อย” ไม่มีทีท่าประนีประนอม ป้ายที่หายไปกลับเป็นสัญลักษณ์ของรัฐบาลที่ขาดความมั่นคงและความมั่นใจ
มีเพื่อนบางคนบอกผมว่ารัฐบาลนี้ “Paranoid” คือเห็นอะไรกลัวไปหมด บางคนบอกผมว่าเป็น “Hypocrite” ผมไม่แน่ใจเลยรีบเปิดพจนานุกรมดูได้ความหมายว่า “ผู้ที่ทำตัวเป็นคนดี แต่หัวใจเลวทราม” หรือ “คนชนิดที่มือถือสากปากถือศีล, คนมารยา”
ให้คนจำว่าเป็นรัฐบาลที่ “ใจกว้าง” ไม่ดีกว่าหรือ?!?
โดย สุรนันทน์ เวชชาชีวะ
ตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์สยามรัฐ ฉบับวันที่ 21 กรกฎาคม 2553
***********************************************
วันพุธที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2553
โยนกันมั่ว "ไอ้โม่ง"อมเพชร อธิบดีดีเอสไอ โป้ย เครื่องเพชรที่ยึดได้มาจากวัดปทุมวนารามฯ ส่งมอบให้ทหารแล้ว
ข่าว Nationsiam.com
นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ออกโรงยืนยันไม่มีเครื่องเพชรที่สูญหายในบัญชีคุมของกลางของดีเอสไอ หลังจากเจ้าของร้านเพชรแห่งหนึ่งย่านราชประสงค์เข้าร้องทุกข์ในโครงการ ยุติธรรมสัญจร สำนักงานเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมอ้างว่าถูกทุบตู้โจรกรรม เครื่องเพชรไปในช่วงเหตุการณ์ชุมนุมกลุ่มคนเสื้อแดงและเกิดความไม่สงบเมื่อ วันที่ 19 พฤษภาคมที่ผ่านมา และภายหลังเจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจยึดคืนเครื่องเพชรจากผู้ชุมนุมที่เข้าไปหลบ ในวัดปทุมวนารามฯ ก่อนจะมีการลงบันทึกหลักฐานส่งให้ทหารนำไปแถลงข่าวที่ศูนย์อำนวยการแก้ไข สถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) จากนั้นทหารทำบันทึกข้อมูลก่อนส่งมอบของกลางให้ดีเอสไอ จากนั้นเจ้าของไม่ได้เห็นเครื่องเพชรชุดดังกล่าวอีกเลย
นายธาริตให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม ว่า ได้เรียก พ.ต.ท.วรรณพงษ์ คชรักษ์ ผู้บัญชาการสำนักเทคโนโลยีและสารสนเทศ และ พ.ท.สิทธิพร เจริญพุฒ ผู้อำนวยการส่วนรักษาของกลาง มาชี้แจง และนำเอกสารการตรวจรับของกลางจาก ศอฉ.มาตรวจสอบ ขอชี้แจงว่าของกลางที่ส่งมายังดีเอสไอมี 2 ตู้คอนเทนเนอร์ เป็นการส่งมอบต่อกันเป็นทอดๆ
นายธาริตกล่าวว่า สำหรับเครื่องเพชรที่ยึดได้มาจากวัดปทุมวนารามฯ ตำรวจส่งมอบให้ทางทหาร และดีเอสไอเป็นเพียงหน่วยงานปลายทางที่รับมอบทอดสุดท้ายเท่านั้น การรับมอบของกลางดีเอสไอมีหลักฐานการเซ็นรับ โดยการส่งมอบมีการแจ้งจำนวนจิวเวลรีทั้งสิ้น 40 รายการจากของกลางใน 2 ตู้คอนเทนเนอร์ และเจ้าหน้าที่ได้ถ่ายภาพทำบันทึกไว้ทั้งหมด ดังนั้น จึงมีบัญชีคุมของกลางค่อนข้างรัดกุม และบันทึกของกลางของดีเอสไอไม่ปรากฏรายการเครื่องเพชรที่สูญหาย
" ดีเอสไอไม่ได้โยนความผิดให้ทหารหรือตำรวจ และเพื่อให้เกิดความเป็นธรรม ขณะนี้ทราบว่า พ.อ.เฟื่อง อนิรุธ์เทวา เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กำลังตรวจสอบ ซึ่งต้องให้ความเป็นธรรมกับดีเอสไอด้วย เพราะไม่มีของกลางที่หายไปจากดีเอสไอรับผิดชอบ ส่วนสิ่งของจะมีอยู่จริงหรือไม่และสูญหายจริงหรือไม่ พร้อมให้ความร่วมมือในการพิสูจน์ความจริง ขณะเดียวกันก็จะไม่เข้าไปแทรกแซงการตรวจสอบและการทำงานของกระทรวงยุติธรรม" นายธาริตกล่าว
วันเดียวกัน เวลา 09.00 น. ที่โรงเรียนกลาโหมอุทิศ พล.อ.อภิชาต เพ็ญกิตติ ปลัดกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงกรณีที่เจ้าของร้านเพชรแห่งหนึ่งเข้าร้องเรียนกับกระทรวงยุติธรรม เครื่องเพชรที่เจ้าหน้าที่ยึดมาได้จากกลุ่มคนเสื้อแดงและเก็บรักษาอยู่ที่ดี เอสไอได้สูญหาย ว่า เคยมีรายงานในที่ประชุม ศอฉ. หลังจากเหตุการณ์วันที่ 19 พฤษภาคม 2553 ว่า มีการขโมยเพชรของร้านที่ถูกไฟไหม้เท่านั้น แต่ไม่เคยนำเครื่องเพชรเหล่านั้นมาแสดงว่ามีอยู่จริงหรือไม่ และดีเอสไอคงชี้แจงได้ หลังเกิดเหตุแล้วไม่เคยมีรายงานต่อที่ประชุม ศอฉ.ว่าสามารถจับกุมหรือได้รับเครื่องเพชรกลับคืนมา
นายถวิล เปลี่ยนศรี เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) กล่าวว่า คงเป็นไปไม่ได้ เพราะไม่มีใครอมเพชรได้ โดยหลักการแล้วเจ้าหน้าที่คงนำหลักฐานไปชี้แจง
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า วันนี้ไม่มีการพูดถึงหรือสอบถามเรื่องนี้ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) แต่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีหน้าที่ต้องชี้แจง
นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ออกโรงยืนยันไม่มีเครื่องเพชรที่สูญหายในบัญชีคุมของกลางของดีเอสไอ หลังจากเจ้าของร้านเพชรแห่งหนึ่งย่านราชประสงค์เข้าร้องทุกข์ในโครงการ ยุติธรรมสัญจร สำนักงานเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมอ้างว่าถูกทุบตู้โจรกรรม เครื่องเพชรไปในช่วงเหตุการณ์ชุมนุมกลุ่มคนเสื้อแดงและเกิดความไม่สงบเมื่อ วันที่ 19 พฤษภาคมที่ผ่านมา และภายหลังเจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจยึดคืนเครื่องเพชรจากผู้ชุมนุมที่เข้าไปหลบ ในวัดปทุมวนารามฯ ก่อนจะมีการลงบันทึกหลักฐานส่งให้ทหารนำไปแถลงข่าวที่ศูนย์อำนวยการแก้ไข สถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) จากนั้นทหารทำบันทึกข้อมูลก่อนส่งมอบของกลางให้ดีเอสไอ จากนั้นเจ้าของไม่ได้เห็นเครื่องเพชรชุดดังกล่าวอีกเลย
นายธาริตให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม ว่า ได้เรียก พ.ต.ท.วรรณพงษ์ คชรักษ์ ผู้บัญชาการสำนักเทคโนโลยีและสารสนเทศ และ พ.ท.สิทธิพร เจริญพุฒ ผู้อำนวยการส่วนรักษาของกลาง มาชี้แจง และนำเอกสารการตรวจรับของกลางจาก ศอฉ.มาตรวจสอบ ขอชี้แจงว่าของกลางที่ส่งมายังดีเอสไอมี 2 ตู้คอนเทนเนอร์ เป็นการส่งมอบต่อกันเป็นทอดๆ
นายธาริตกล่าวว่า สำหรับเครื่องเพชรที่ยึดได้มาจากวัดปทุมวนารามฯ ตำรวจส่งมอบให้ทางทหาร และดีเอสไอเป็นเพียงหน่วยงานปลายทางที่รับมอบทอดสุดท้ายเท่านั้น การรับมอบของกลางดีเอสไอมีหลักฐานการเซ็นรับ โดยการส่งมอบมีการแจ้งจำนวนจิวเวลรีทั้งสิ้น 40 รายการจากของกลางใน 2 ตู้คอนเทนเนอร์ และเจ้าหน้าที่ได้ถ่ายภาพทำบันทึกไว้ทั้งหมด ดังนั้น จึงมีบัญชีคุมของกลางค่อนข้างรัดกุม และบันทึกของกลางของดีเอสไอไม่ปรากฏรายการเครื่องเพชรที่สูญหาย
" ดีเอสไอไม่ได้โยนความผิดให้ทหารหรือตำรวจ และเพื่อให้เกิดความเป็นธรรม ขณะนี้ทราบว่า พ.อ.เฟื่อง อนิรุธ์เทวา เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กำลังตรวจสอบ ซึ่งต้องให้ความเป็นธรรมกับดีเอสไอด้วย เพราะไม่มีของกลางที่หายไปจากดีเอสไอรับผิดชอบ ส่วนสิ่งของจะมีอยู่จริงหรือไม่และสูญหายจริงหรือไม่ พร้อมให้ความร่วมมือในการพิสูจน์ความจริง ขณะเดียวกันก็จะไม่เข้าไปแทรกแซงการตรวจสอบและการทำงานของกระทรวงยุติธรรม" นายธาริตกล่าว
วันเดียวกัน เวลา 09.00 น. ที่โรงเรียนกลาโหมอุทิศ พล.อ.อภิชาต เพ็ญกิตติ ปลัดกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงกรณีที่เจ้าของร้านเพชรแห่งหนึ่งเข้าร้องเรียนกับกระทรวงยุติธรรม เครื่องเพชรที่เจ้าหน้าที่ยึดมาได้จากกลุ่มคนเสื้อแดงและเก็บรักษาอยู่ที่ดี เอสไอได้สูญหาย ว่า เคยมีรายงานในที่ประชุม ศอฉ. หลังจากเหตุการณ์วันที่ 19 พฤษภาคม 2553 ว่า มีการขโมยเพชรของร้านที่ถูกไฟไหม้เท่านั้น แต่ไม่เคยนำเครื่องเพชรเหล่านั้นมาแสดงว่ามีอยู่จริงหรือไม่ และดีเอสไอคงชี้แจงได้ หลังเกิดเหตุแล้วไม่เคยมีรายงานต่อที่ประชุม ศอฉ.ว่าสามารถจับกุมหรือได้รับเครื่องเพชรกลับคืนมา
นายถวิล เปลี่ยนศรี เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) กล่าวว่า คงเป็นไปไม่ได้ เพราะไม่มีใครอมเพชรได้ โดยหลักการแล้วเจ้าหน้าที่คงนำหลักฐานไปชี้แจง
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า วันนี้ไม่มีการพูดถึงหรือสอบถามเรื่องนี้ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) แต่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีหน้าที่ต้องชี้แจง
พวกปัญญาชนผู้รอบรู้ เคยหัวเราะเยาะทักษิณแต่นโยบายเศรษฐกิจแบบ ประชานิยมของเขากำลังได้รับความนิยมแพร่หลายในเอเชีย
ในศัพท์ทางการเมือง คุณทักษิณ ชินวัตรไม่ได้เป็นอะไรไปมากกว่า “ผู้สูญเสียอำนาจ” เมื่อสองอาทิตย์ที่แล้ว
อดีตนายกรัฐมนตรีแอบดอดเดินทางไปต่างประเทศมุ่งสู่คฤหาสน์หลังงามในอังกฤษของเขาอย่างเงียบๆ
เป็นการจบความคาดหวังที่เคยคาดการณ์ไว้ว่าการกลับคืนสู่มาตุภูมิด้วยความภาคภูมิใจในชัยชนะของเขาเมื่อเดือนมกราคมอาจเป็นลางบ่งบอกถึงการหวลกลับคืนสู่เวทีการเมืองระดับชาติอีกครั้งจากที่ต้องลี้ภัยอยู่หลายเดือน
หลังถูกโค่นล้มอำนาจจากการทำรัฐประหารอย่างไม่เสียเลือดเนื้อเมื่อปี 2549
คุณทักษิณได้ออกแถลงการณ์ถึงสาเหตุที่ต้องบินไปยังอังกฤษครั้งนี้ว่า ข้อกล่าวหาเรื่องเส้นสายแห่งการคอร์
รัปชันและข้อกล่าวหาอื่นๆกำลังถูกนำเข้าสู่การพิจาราณาคดีในชั้นศาลไทย “ที่มีธงตั้งไว้แล้วล่วงหน้าเพื่อจัด
การกับผมและครอบครัว” การลี้ภัยแบบคาดไม่ถึงของมหาเศรษฐีพันล้าน(เหรียญสหรัฐ)ผู้สร้างฐานะด้วยตน
เองครั้งนี้ก่อให้เกิดการถกเถียงถึง ความถูกต้องของข้อกล่าวหาที่เขากำลังเผชิญอยู่ ทั้งเรื่องที่ทางกรุงเทพฯ
ควรดำเนินการเรื่องการส่งผู้ร้ายข้ามแดนหรือไม่และตัวจักรทางการเมืองของคุณทักษิณในอนาคต
แต่แทบไม่มีการกล่าวถึงผลงานที่อยู่ยืนยงสถาพรของคุณทักษิณเลย นั่นคือ: “การพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานราก
” ที่ได้รับความสนใจอย่างกว้างขวางในหมู่ประเทศกำลังพัฒนา ในการโปรโมทตัวเองนิดหน่อยอย่างไม่ต้องอาย
คุณทักษิณประทับตรายุทธศาสตร์การพัฒนานี้ว่า “ทักษิโณมิกส์” ยุทธศาสตร์นี้ถูกนำไปใช้ในการรณรงค์หาเสียง
ว่าเป็นนโยบายเพื่อยกระดับฐานะของผู้มีสิทธิเลือกตั้งในเขตที่เขาลงสมัคร (ชาวไทยชนบท) ให้พ้นจากความ
ยากจน นโยบายทักษิโณมิกส์ถูกนำไปใช้ปฏิบัติจริงหลังจากที่เขาชนะเลือกตั้งกลับเข้ามาเป็นรัฐบาลเมื่อปี
2544 ความคิดริเริ่มของคุณทักษิณได้พลิกฟื้นความเสียหายที่เกิดจากวิกฤติการเงินเอเชียช่วงปี 2540-41
และทำให้ การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศไทยเป็นไปอย่างรวดเร็วจนเป็นที่อิจฉาในภูมิเอเชียตะ
วันออกเฉียงใต้
ปัจจุบันนี้ นโยบายเศรษฐกิจที่หยิบยืมมาจาก“ทักษิโณมิกส์” กำลังถูกนำไปใช้เพิ่มมากขึ้นทั่วทั้งกลุ่มประเทศ
กำลังพัฒนาในภูมิภาคเอเชียเพื่อจัดการกับปัญหาเดียวกันที่เคยระบาดในประเทศไทยช่วงปลายทศวรรษ 1990
และในตอนนี้ได้คุกคามทั่วทั้งภูมิภาค ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง: การพึ่งพาตลาดส่งออกจากอีกประเทศหนึ่งมากเกิน
ไป การพัฒนาแบบไม่เท่าเทียมในประเทศและ ช่องว่างของรายได้ระหว่างคนรวยและคนจนที่เพิ่มถ่างมากขึ้น
นักวิพากษ์วิจารณ์ได้ประณามนโยบายการพัฒนาเศรษฐกิจของคุณทักษิณว่าเป็น “นโยบายประชานิยมที่ผลาญ
เงินงบประมาณอย่างมหาศาล” แต่ผู้ที่ไม่ยอมรับนโยบายของทักษิณเหล่านี้ต้องรีบเปลี่ยนความคิดอย่างรวดเร็ว
เมื่อนโยบายประชานิยมอย่าง การพักหนี้เกษตรกรและกองทุนหมู่บ้านได้กระตุ้นภาคอุตสาหกรรมการผลิตและบริการให้เกิดขึ้นในระดับรากหญ้าและการปรับปรุงสวัสดิการพื้นฐานที่อ่อนแอของประเทศไทยให้ดีขึ้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งการจัดให้มีโครงการประกันสุขภาพถ้วนหน้า 30 บาทรักษาทุกโรค(เกือบฟรี) ได้ช่วยปลดปล่อยครัวเรือน
ในชนบทให้เกิดการออมน้อยลงและออกไปจับจ่ายใช้สอยเพิ่มมากขึ้น(ยกระดับการบริโภคภายในประเทศ) คุณทักษิณเรียกยุทธศาสตร์นี้ว่า “การพัฒนาแบบคู่ขนาน” หรือ “การพัฒนาเศรษฐกิจทวิวิถี” ซึ่งกระตุ้นให้เกิดอุปสงค์จากตลาดภายในประเทศมากขึ้นควบคู่ไปกับภาคการส่งออกและมันทำงานได้ผลจริงๆ
แน่นอนว่า หนี้สาธารณะได้เพิ่มสูงขึ้นแต่ก็ชดเชยด้วยอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจและรายได้จากภาษีอากรที่เพิ่มขึ้น เศรษฐกิจของประเทศไทยขยายตัวเกือบ ร้อยละ 6 ต่อปีจากปี 2544-2549 โดยพึ่งพาการลงทุนจากต่างประเทศและการส่งออกที่ลดลงและจริงๆแล้วช่องว่างระหว่างรายได้ของประเทศไทยก็หดแคบลงในขณะที่ระยะ
ห่างระหว่างคนมั่งมีและคนยากจนกลับกว้างมากขึ้นทุกหนแห่งในภูมิภาคเอเชียอย่างเห็นได้ชัด
ระบบคิดในการดำเนินกลยุทธ์ทางเศรษฐกิจของทักษิณในตอนนี้ได้รับการยอมรับนับถือว่าเป็น “ความคิดที่ฉลาดหลักแหลม” นโยบายประชานิยมที่เน้นการเข้าถึงแหล่งทุน โอกาสในการจ้างงานและการบริการสังคมขั้นพื้นฐานสามารถเปลี่ยนโฉมจากภูมิภาคที่เสียเปรียบกลายเป็นเครื่องจักรขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลกได้
ประธานาธิบดีของอินโดนีเซีย ซูซิโล บัมมัง ยุดโดโยโนได้เดินตามรอย “ทักษิโณมิกส์” ในการช่วยเหลือครัวเรือน
ที่ยากจนที่ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากปัญหาราคาน้ำมันที่พุ่งสูงขึ้นโดยออกมาตราการใช้เงินอุดหนุนพยุง
ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงในประเทศเพื่อไม่ให้คนยากจนต้องใช้น้ำมันแพง หรือ นายมันโมฮัน ซิงห์ นายกรัฐมนตรี
ของอินเดียได้ริเริ่มโครงการสร้างงานในชนบทหลายล้านตำแหน่ง ความต้องการในการบรรลุเป้าหมายการเติบโตทางเศรษฐกิจของเขาสะท้อนให้เห็นถึงการเดินตามนโยบายประชานิยมของทักษิณเป็นอย่างมาก หรือ ประธานาธิบดีกลอเรีย มาคาปากัล อาร์โรโย แห่งฟิลิปปินส์ที่ครั้งหนึ่งเคยประกาศว่า “ฉันเป็นสานุศิษย์ของทักษิโณมิกส์อย่างไม่อาย” และนับตั้งแต่ปี 2549 เมื่อจีนเปิดตัวโครงการขนาดยักษ์ใหญ่เพื่อปรับเปลี่ยนทิศทาง
การลงทุนของรัฐที่ต้องการเนรมิตโครงการ “การพัฒนาชนบทตามแนวทางสังคมนิยมรูปแบบใหม่” ขึ้นในพื้นที่ชนบทห่างไกล ทางปักกิ่งได้ยกเลิกภาษีการเกษตรทั่วประเทศ จัดสรรเม็ดเงินหลายร้อยล้าน(เหรียญสหรัฐ)ให้
กับอุตสาหกรรมในชนบทและนอกจากนี้ยังหาหนทางเพื่อช่วยฟื้นฟูจังหวัดที่ยากจนทางตอนกลางของประเทศ
(ย้อนไปในปี 2003 จีนได้ส่งคณะผู้แทนชุดหนึ่งไปยังประเทศไทยเพื่อศึกษา “ทักษิโณมิกส์” ตามรายงานของ
ทางการจีน)
บรรดาผู้นำของจีนได้ยืนยันถึงความสำคัญของสิ่งที่ประธานาธิบดี หู จิ่นเทาเรียกว่า “การเติบโตที่ก้าวไปพร้อม
กัน” เมื่อครั้งที่สภาประชาชนแห่งชาติจัดการประชุมขึ้นช่วงเดือนมีนาที่ผ่านมาและไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา ราย
งานการวิเคราะห์ของจีนและต่างประเทศได้บอกเป็นนัยว่าในเร็วๆนี้ทางปักกิ่งจะเปิดเผยถึงมาตรการทางด้าน
การคลังใน การกระตุ้นเศรษฐกิจขนาดยักษ์ซึ่งพุ่งเป้าไปที่ภาคเศรษฐกิจที่มีข้อเสียเปรียบ
ในฐานะผู้นำชาติอาเซียนที่เป็นผู้บุกเบิกการพัฒนาเศรษฐกิจแบบคู่ขนาน หากไม่ผิดพลาดทางการเมืองแบบมโหฬารอย่างไม่น่าให้อภัยเสียก่อน ทักษิณอาจก้าวขึ้นสู่ “ทำเนียบปูชนียบุคคลแห่งแวดวงนักคิดทางเศรษฐ
กิจผู้ยิ่งใหญ่” ไปแล้ว โดยในช่วงปลายปี 2548 เขาได้ขายกลุ่มธุรกิจโทรคมนาคมขนาดใหญ่ของครอบครัว
ให้กับบริษัทเพื่อการลงทุนของรัฐบาลสิงคโปร์ที่สนนราคา 1.9 พันล้านเหรียญสหรัฐโดยไม่ต้องจ่ายภาษี
ดีลการซื้อขายครั้งนี้พิสูจน์แล้วว่าเป็น ”การวางแผนที่ผิดพลาด” แม้แต่ในประเทศที่มีวัฒนธรรมการเมือง
แบบระบบพวกพ้องที่อะลุ้มอะหล่วยต่อกันอย่างไทย
ในการเปิดเกมรุกโต้ตอบทักษิณครั้งนี้ ได้มีการประสานความร่วมมือกันระหว่างชนชั้นสูงที่เป็นกลุ่มทุนเก่า
พรรคร่วมฝ่ายค้านและผู้มีอำนาจในกองทัพโดยเรียกร้องให้เขาลาออกและจัดแสดงการชุมนุมประท้วงบน
ท้องถนนที่ทำให้กรุงเทพฯเป็นอัมพาตอยู่หลายเดือน
ต่อมา ในวันที่ 19 กันยายน 2549 กองทัพไทยได้ทำรัฐประหารเป็นครั้งที่ 13 นับตั้งแต่ปี 2488 เข้ายึดอำนาจ
การปกครองขณะที่ทักษิณยังอยู่ที่กรุงนิวยอร์คเพื่อกล่าวสุนทรพจน์ที่องค์การสหประชาชาติ
ในตอนแรก รัฐบาลทหารพยายามที่จะเก็บพับ “นโยบายทักษิโณมิกส์” โดยเชิดชูยกย่อง “เศรษฐกิจพอเพียง”
ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากวิถีชีวิตแบบพุทธขึ้นมาแทน อย่างไรก็ตามปฏิกิริยาสะท้อนกลับอย่างรุนแรงที่เป็น
ไปแบบทันควันทำให้บรรดานายทหารต้องรีบเปลี่ยนแนวนโยบายแทบไม่ทัน แม้กระทั่งโละทิ้งโครงการประกันสุขภาพถ้วนหน้า 30 รักษาทุกโรคของทักษิณเปลี่ยนมาเป็น “รักษาฟรีทุกโรค” แทน รัฐบาลชุดใหม่ของไทย
ได้เดินตามรอยนโยบายของทักษิณด้วยการออกมาตรการลดภาษีน้ำมัน ใช้ไฟฟ้า-ประปาฟรีสำหรับครัวเรือน
ขนาดเล็กและกระทั่งขึ้นรถเมล์-รถไฟฟรี!
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง สุรพงษ์ สืบวงศ์ลีกล่าวถึงมาตราการที่ออกมาเหล่านี้ว่านโยบาย (6 มาตรการ 6 เดือน)เหล่านี้จะช่วยเพิ่มอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจประจำปีสูงถึงร้อยละ 6 และสามารถลดการใช้จ่ายของ
ครัวเรือนได้ประมาณ 350 เหรียญสหรัฐต่อปีโดยเฉลี่ย
“ผู้ที่นำเสนอนโยบายเหล่านี้มาปฏิบัติจะได้คะแนนเสียงอย่างแน่นอน ส่วนผู้ที่ยกเลิกนโยบายเหล่านี้จะสูญเสียคะแนนเสียงแทน” นิธินัย สิริมัทการ นักเศรษฐศาสตร์อิสระกล่าว
แต่นั่นเป็นเพียงบางส่วนของการอธิบายถึงความนิยมของนโยบายประชานิยมเท่านั้น เมื่อผลงานในอดีตของ
ทักษิณแสดงได้อย่างยอดเยี่ยม บทสรุปอีกอันที่ตามมาก็คือ “นโยบายคู่ขนานที่เฉียบแหลม” จริงๆแล้วมัน
ทำงานได้ผลนั่นเอง
ความนิยมของนโยบายประชานิยมเท่านั้น เมื่อผลงานในอดีตของ
ทักษิณแสดงได้อย่างยอดเยี่ยม บทสรุปอีกอันที่ตามมาก็คือ “นโยบายคู่ขนานที่เฉียบแหลม” จริงๆแล้วมันทำงานได้ผลนั่น
โดย จอร์จ เวอห์ฟริซส์
นิตยสารนิวส์วีคระหว่างประเทศ
ฉบับวันที่ 23 สิงหาคม 2551
**********************************************************************
อดีตนายกรัฐมนตรีแอบดอดเดินทางไปต่างประเทศมุ่งสู่คฤหาสน์หลังงามในอังกฤษของเขาอย่างเงียบๆ
เป็นการจบความคาดหวังที่เคยคาดการณ์ไว้ว่าการกลับคืนสู่มาตุภูมิด้วยความภาคภูมิใจในชัยชนะของเขาเมื่อเดือนมกราคมอาจเป็นลางบ่งบอกถึงการหวลกลับคืนสู่เวทีการเมืองระดับชาติอีกครั้งจากที่ต้องลี้ภัยอยู่หลายเดือน
หลังถูกโค่นล้มอำนาจจากการทำรัฐประหารอย่างไม่เสียเลือดเนื้อเมื่อปี 2549
คุณทักษิณได้ออกแถลงการณ์ถึงสาเหตุที่ต้องบินไปยังอังกฤษครั้งนี้ว่า ข้อกล่าวหาเรื่องเส้นสายแห่งการคอร์
รัปชันและข้อกล่าวหาอื่นๆกำลังถูกนำเข้าสู่การพิจาราณาคดีในชั้นศาลไทย “ที่มีธงตั้งไว้แล้วล่วงหน้าเพื่อจัด
การกับผมและครอบครัว” การลี้ภัยแบบคาดไม่ถึงของมหาเศรษฐีพันล้าน(เหรียญสหรัฐ)ผู้สร้างฐานะด้วยตน
เองครั้งนี้ก่อให้เกิดการถกเถียงถึง ความถูกต้องของข้อกล่าวหาที่เขากำลังเผชิญอยู่ ทั้งเรื่องที่ทางกรุงเทพฯ
ควรดำเนินการเรื่องการส่งผู้ร้ายข้ามแดนหรือไม่และตัวจักรทางการเมืองของคุณทักษิณในอนาคต
แต่แทบไม่มีการกล่าวถึงผลงานที่อยู่ยืนยงสถาพรของคุณทักษิณเลย นั่นคือ: “การพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานราก
” ที่ได้รับความสนใจอย่างกว้างขวางในหมู่ประเทศกำลังพัฒนา ในการโปรโมทตัวเองนิดหน่อยอย่างไม่ต้องอาย
คุณทักษิณประทับตรายุทธศาสตร์การพัฒนานี้ว่า “ทักษิโณมิกส์” ยุทธศาสตร์นี้ถูกนำไปใช้ในการรณรงค์หาเสียง
ว่าเป็นนโยบายเพื่อยกระดับฐานะของผู้มีสิทธิเลือกตั้งในเขตที่เขาลงสมัคร (ชาวไทยชนบท) ให้พ้นจากความ
ยากจน นโยบายทักษิโณมิกส์ถูกนำไปใช้ปฏิบัติจริงหลังจากที่เขาชนะเลือกตั้งกลับเข้ามาเป็นรัฐบาลเมื่อปี
2544 ความคิดริเริ่มของคุณทักษิณได้พลิกฟื้นความเสียหายที่เกิดจากวิกฤติการเงินเอเชียช่วงปี 2540-41
และทำให้ การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศไทยเป็นไปอย่างรวดเร็วจนเป็นที่อิจฉาในภูมิเอเชียตะ
วันออกเฉียงใต้
ปัจจุบันนี้ นโยบายเศรษฐกิจที่หยิบยืมมาจาก“ทักษิโณมิกส์” กำลังถูกนำไปใช้เพิ่มมากขึ้นทั่วทั้งกลุ่มประเทศ
กำลังพัฒนาในภูมิภาคเอเชียเพื่อจัดการกับปัญหาเดียวกันที่เคยระบาดในประเทศไทยช่วงปลายทศวรรษ 1990
และในตอนนี้ได้คุกคามทั่วทั้งภูมิภาค ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง: การพึ่งพาตลาดส่งออกจากอีกประเทศหนึ่งมากเกิน
ไป การพัฒนาแบบไม่เท่าเทียมในประเทศและ ช่องว่างของรายได้ระหว่างคนรวยและคนจนที่เพิ่มถ่างมากขึ้น
นักวิพากษ์วิจารณ์ได้ประณามนโยบายการพัฒนาเศรษฐกิจของคุณทักษิณว่าเป็น “นโยบายประชานิยมที่ผลาญ
เงินงบประมาณอย่างมหาศาล” แต่ผู้ที่ไม่ยอมรับนโยบายของทักษิณเหล่านี้ต้องรีบเปลี่ยนความคิดอย่างรวดเร็ว
เมื่อนโยบายประชานิยมอย่าง การพักหนี้เกษตรกรและกองทุนหมู่บ้านได้กระตุ้นภาคอุตสาหกรรมการผลิตและบริการให้เกิดขึ้นในระดับรากหญ้าและการปรับปรุงสวัสดิการพื้นฐานที่อ่อนแอของประเทศไทยให้ดีขึ้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งการจัดให้มีโครงการประกันสุขภาพถ้วนหน้า 30 บาทรักษาทุกโรค(เกือบฟรี) ได้ช่วยปลดปล่อยครัวเรือน
ในชนบทให้เกิดการออมน้อยลงและออกไปจับจ่ายใช้สอยเพิ่มมากขึ้น(ยกระดับการบริโภคภายในประเทศ) คุณทักษิณเรียกยุทธศาสตร์นี้ว่า “การพัฒนาแบบคู่ขนาน” หรือ “การพัฒนาเศรษฐกิจทวิวิถี” ซึ่งกระตุ้นให้เกิดอุปสงค์จากตลาดภายในประเทศมากขึ้นควบคู่ไปกับภาคการส่งออกและมันทำงานได้ผลจริงๆ
แน่นอนว่า หนี้สาธารณะได้เพิ่มสูงขึ้นแต่ก็ชดเชยด้วยอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจและรายได้จากภาษีอากรที่เพิ่มขึ้น เศรษฐกิจของประเทศไทยขยายตัวเกือบ ร้อยละ 6 ต่อปีจากปี 2544-2549 โดยพึ่งพาการลงทุนจากต่างประเทศและการส่งออกที่ลดลงและจริงๆแล้วช่องว่างระหว่างรายได้ของประเทศไทยก็หดแคบลงในขณะที่ระยะ
ห่างระหว่างคนมั่งมีและคนยากจนกลับกว้างมากขึ้นทุกหนแห่งในภูมิภาคเอเชียอย่างเห็นได้ชัด
ระบบคิดในการดำเนินกลยุทธ์ทางเศรษฐกิจของทักษิณในตอนนี้ได้รับการยอมรับนับถือว่าเป็น “ความคิดที่ฉลาดหลักแหลม” นโยบายประชานิยมที่เน้นการเข้าถึงแหล่งทุน โอกาสในการจ้างงานและการบริการสังคมขั้นพื้นฐานสามารถเปลี่ยนโฉมจากภูมิภาคที่เสียเปรียบกลายเป็นเครื่องจักรขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลกได้
ประธานาธิบดีของอินโดนีเซีย ซูซิโล บัมมัง ยุดโดโยโนได้เดินตามรอย “ทักษิโณมิกส์” ในการช่วยเหลือครัวเรือน
ที่ยากจนที่ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากปัญหาราคาน้ำมันที่พุ่งสูงขึ้นโดยออกมาตราการใช้เงินอุดหนุนพยุง
ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงในประเทศเพื่อไม่ให้คนยากจนต้องใช้น้ำมันแพง หรือ นายมันโมฮัน ซิงห์ นายกรัฐมนตรี
ของอินเดียได้ริเริ่มโครงการสร้างงานในชนบทหลายล้านตำแหน่ง ความต้องการในการบรรลุเป้าหมายการเติบโตทางเศรษฐกิจของเขาสะท้อนให้เห็นถึงการเดินตามนโยบายประชานิยมของทักษิณเป็นอย่างมาก หรือ ประธานาธิบดีกลอเรีย มาคาปากัล อาร์โรโย แห่งฟิลิปปินส์ที่ครั้งหนึ่งเคยประกาศว่า “ฉันเป็นสานุศิษย์ของทักษิโณมิกส์อย่างไม่อาย” และนับตั้งแต่ปี 2549 เมื่อจีนเปิดตัวโครงการขนาดยักษ์ใหญ่เพื่อปรับเปลี่ยนทิศทาง
การลงทุนของรัฐที่ต้องการเนรมิตโครงการ “การพัฒนาชนบทตามแนวทางสังคมนิยมรูปแบบใหม่” ขึ้นในพื้นที่ชนบทห่างไกล ทางปักกิ่งได้ยกเลิกภาษีการเกษตรทั่วประเทศ จัดสรรเม็ดเงินหลายร้อยล้าน(เหรียญสหรัฐ)ให้
กับอุตสาหกรรมในชนบทและนอกจากนี้ยังหาหนทางเพื่อช่วยฟื้นฟูจังหวัดที่ยากจนทางตอนกลางของประเทศ
(ย้อนไปในปี 2003 จีนได้ส่งคณะผู้แทนชุดหนึ่งไปยังประเทศไทยเพื่อศึกษา “ทักษิโณมิกส์” ตามรายงานของ
ทางการจีน)
บรรดาผู้นำของจีนได้ยืนยันถึงความสำคัญของสิ่งที่ประธานาธิบดี หู จิ่นเทาเรียกว่า “การเติบโตที่ก้าวไปพร้อม
กัน” เมื่อครั้งที่สภาประชาชนแห่งชาติจัดการประชุมขึ้นช่วงเดือนมีนาที่ผ่านมาและไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา ราย
งานการวิเคราะห์ของจีนและต่างประเทศได้บอกเป็นนัยว่าในเร็วๆนี้ทางปักกิ่งจะเปิดเผยถึงมาตรการทางด้าน
การคลังใน การกระตุ้นเศรษฐกิจขนาดยักษ์ซึ่งพุ่งเป้าไปที่ภาคเศรษฐกิจที่มีข้อเสียเปรียบ
ในฐานะผู้นำชาติอาเซียนที่เป็นผู้บุกเบิกการพัฒนาเศรษฐกิจแบบคู่ขนาน หากไม่ผิดพลาดทางการเมืองแบบมโหฬารอย่างไม่น่าให้อภัยเสียก่อน ทักษิณอาจก้าวขึ้นสู่ “ทำเนียบปูชนียบุคคลแห่งแวดวงนักคิดทางเศรษฐ
กิจผู้ยิ่งใหญ่” ไปแล้ว โดยในช่วงปลายปี 2548 เขาได้ขายกลุ่มธุรกิจโทรคมนาคมขนาดใหญ่ของครอบครัว
ให้กับบริษัทเพื่อการลงทุนของรัฐบาลสิงคโปร์ที่สนนราคา 1.9 พันล้านเหรียญสหรัฐโดยไม่ต้องจ่ายภาษี
ดีลการซื้อขายครั้งนี้พิสูจน์แล้วว่าเป็น ”การวางแผนที่ผิดพลาด” แม้แต่ในประเทศที่มีวัฒนธรรมการเมือง
แบบระบบพวกพ้องที่อะลุ้มอะหล่วยต่อกันอย่างไทย
ในการเปิดเกมรุกโต้ตอบทักษิณครั้งนี้ ได้มีการประสานความร่วมมือกันระหว่างชนชั้นสูงที่เป็นกลุ่มทุนเก่า
พรรคร่วมฝ่ายค้านและผู้มีอำนาจในกองทัพโดยเรียกร้องให้เขาลาออกและจัดแสดงการชุมนุมประท้วงบน
ท้องถนนที่ทำให้กรุงเทพฯเป็นอัมพาตอยู่หลายเดือน
ต่อมา ในวันที่ 19 กันยายน 2549 กองทัพไทยได้ทำรัฐประหารเป็นครั้งที่ 13 นับตั้งแต่ปี 2488 เข้ายึดอำนาจ
การปกครองขณะที่ทักษิณยังอยู่ที่กรุงนิวยอร์คเพื่อกล่าวสุนทรพจน์ที่องค์การสหประชาชาติ
ในตอนแรก รัฐบาลทหารพยายามที่จะเก็บพับ “นโยบายทักษิโณมิกส์” โดยเชิดชูยกย่อง “เศรษฐกิจพอเพียง”
ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากวิถีชีวิตแบบพุทธขึ้นมาแทน อย่างไรก็ตามปฏิกิริยาสะท้อนกลับอย่างรุนแรงที่เป็น
ไปแบบทันควันทำให้บรรดานายทหารต้องรีบเปลี่ยนแนวนโยบายแทบไม่ทัน แม้กระทั่งโละทิ้งโครงการประกันสุขภาพถ้วนหน้า 30 รักษาทุกโรคของทักษิณเปลี่ยนมาเป็น “รักษาฟรีทุกโรค” แทน รัฐบาลชุดใหม่ของไทย
ได้เดินตามรอยนโยบายของทักษิณด้วยการออกมาตรการลดภาษีน้ำมัน ใช้ไฟฟ้า-ประปาฟรีสำหรับครัวเรือน
ขนาดเล็กและกระทั่งขึ้นรถเมล์-รถไฟฟรี!
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง สุรพงษ์ สืบวงศ์ลีกล่าวถึงมาตราการที่ออกมาเหล่านี้ว่านโยบาย (6 มาตรการ 6 เดือน)เหล่านี้จะช่วยเพิ่มอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจประจำปีสูงถึงร้อยละ 6 และสามารถลดการใช้จ่ายของ
ครัวเรือนได้ประมาณ 350 เหรียญสหรัฐต่อปีโดยเฉลี่ย
“ผู้ที่นำเสนอนโยบายเหล่านี้มาปฏิบัติจะได้คะแนนเสียงอย่างแน่นอน ส่วนผู้ที่ยกเลิกนโยบายเหล่านี้จะสูญเสียคะแนนเสียงแทน” นิธินัย สิริมัทการ นักเศรษฐศาสตร์อิสระกล่าว
แต่นั่นเป็นเพียงบางส่วนของการอธิบายถึงความนิยมของนโยบายประชานิยมเท่านั้น เมื่อผลงานในอดีตของ
ทักษิณแสดงได้อย่างยอดเยี่ยม บทสรุปอีกอันที่ตามมาก็คือ “นโยบายคู่ขนานที่เฉียบแหลม” จริงๆแล้วมัน
ทำงานได้ผลนั่นเอง
ความนิยมของนโยบายประชานิยมเท่านั้น เมื่อผลงานในอดีตของ
ทักษิณแสดงได้อย่างยอดเยี่ยม บทสรุปอีกอันที่ตามมาก็คือ “นโยบายคู่ขนานที่เฉียบแหลม” จริงๆแล้วมันทำงานได้ผลนั่น
โดย จอร์จ เวอห์ฟริซส์
นิตยสารนิวส์วีคระหว่างประเทศ
ฉบับวันที่ 23 สิงหาคม 2551
**********************************************************************
วันอังคารที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2553
อึ้งล่อซื้อแค่6หมื่นดีเอสไอได้อาวุธสงครามปืน-กระสุน-ระเบิดเพียบ
จากหนังสือพิมพ์ โลกวันนี้
ดีเอสไอโชว์ปืน-กระสุน-ระเบิดที่ได้จากการล่อซื้อมาจากมือขวา “เสธ.แดง” เผยใช้เงินแค่ 60,000 บาทแต่ได้อาวุธสงครามร้ายแรงมาเพียบ อ้างผู้ต้องหาไม่ได้ลงทุนและไม่ได้ค้าอาวุธเป็นอาชีพเลยคิดราคาถูก ยันตั้ง 8 ข้อหาไม่ได้ยกเมฆ ทุกอย่างเป็นไปตามพยานหลักฐาน ด้าน “แม่-เมีย” ของ “สุรชัย” โผล่ขอความเป็นธรรม จี้ดีเอสไอหยุดกล่าวหาหากหลักฐานยังไม่ชัดเจน ตั้งข้อสังเกตเป็นมือขวา เสธ. คนดังทำงานใหญ่แต่ทำไมไม่มีเงินใช้ ทำไมยังอยู่ห้องเช่าเดือนละ 1,500 บาท ชี้แจงข่าวไปฝึกอาวุธเมืองจีนที่แท้ไปเที่ยวกับบริษัททัวร์
วันที่ 19 ก.ค. 2553 นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) พร้อมด้วย พ.ต.อ.ณรัชต์ เศวตนันท์ รองอธิบดีดีเอสไอ ร่วมกันแถลงความคืบหน้าคดีจับกุมนายสุรชัย เทวรัตน์ หรือหรั่ง ลูกน้องคนสนิทของ พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือ เสธ.แดง
โชว์อาวุธล่อซื้อจาก “หรั่ง”
พ.ต.อ.ณรัชต์กล่าวว่า ก่อนการจับกุมเมื่อวันที่ 15 ก.ค. ที่ผ่านมา ดีเอสไอได้ล่อซื้ออาวุธจากลุ่มนายหรั่ง ประกอบด้วยปืนอาก้า 4 กระบอก 1 ใน 4 เป็นปืนใหม่ที่ผลิตจากประเทศจีน เครื่องยิงระเบิดเอ็ม 79 จำนวน 2 กระบอก ลูกระเบิดเอ็ม 79 หัวทองขนาด 40 มม. 4 ลูก และลูกระเบิดขนาด 40 มม. อีก 8 ลูก ซองกระสุนอาก้า 14 ซอง ซองกระสุนปืนเอ็ม 16 ขนาด 30 นัด 1 ซอง ซองกระสุนปืนเอ็ม 16 ขนาด 20 นัด 1 ซอง ลูกระเบิดขว้าง 57-89 ไอที 25 ลูก กระสุนเอ็ม 30 จำนวน 102 นัด กระสุนขนาด 5.56 มม. 614 นัด กระสุนเอเค 47 จำนวน 1,375 นัด ปลอกลูกกระสุน 40 มม. 1 ปลอก กระเป๋าใส่ซองกระสุน 4 ใบ กระเป๋าเป้ 4 ใบ และถุงปุ๋ย 2 ใบ
ใช้เงินล่อซื้อแค่ 6 หมื่นบาท
“จากการส่งสายลับเข้าไปหาข่าวพบว่านายหรั่งไปเคลื่อนไหวอยู่ในพื้นที่จังหวัดชลบุรีหลังคนเสื้อแดงยุติการชุมนุม และสามารถจัดหาอาวุธที่สายสืบต้องการในการล่อซื้อมาให้ได้ โดยใช้เงินในการล่อซื้อ 60,000 บาท ตอนแรกตั้งใจว่าจะล่อซื้อเพื่อขยายผลให้ได้มากกว่านี้ แต่นายหรั่งเริ่มรู้ตัวก่อนจึงต้องจับกุมมาดำเนินคดี”
รองอธิบดีดีเอสไอกล่าวอีกว่า หลังจากนี้จะนำอาวุธที่ได้จากการล่อซื้อไปตรวจพิสูจน์อย่างละเอียด โดยจะดูว่าเป็นอาวุธที่ผลิตจากที่ใด และนำเข้ามาได้อย่างไร ส่วนการขยายผลคดีจะมีการออกหมายจับเพิ่มอีก 4 คน
ตั้ง 8 ข้อหาหนักไม่เกินเลย
ด้านนายธาริตกล่าวว่า การตั้งข้อกล่าวหากับนายหรั่ง 8 ข้อหาไม่ใช่เรื่องเกินเลย ทุกคดีมีพยานหลักฐานชัดเจน หากเปรียบเทียบกับเหตุร้ายที่เกิดขึ้นเฉพาะแค่คดียิงเอ็ม 79 มีมากถึง 60 คดี ซึ่งทั้งหมดเป็นกลุ่มเดียวกัน
“หากบ้านเมืองอยู่ในช่วงปรกติคนคนเดียวอาจจะไม่สามารถก่อความไม่สงบได้มากถึง 8 คดี แต่กรณีนี้เป็นเรื่องที่เกิดในช่วงบ้านเมืองไม่เป็นปรกติ มีการเวียนกันทำงานในกลุ่มผู้ก่อเหตุ ซึ่งดีเอสไอมีทั้งภาพถ่ายและประวัติของผู้ก่อเหตุ ส่วนการนำอาวุธสงครามออกมาขายก็เป็นเพียงกิจกรรมหนึ่งที่ทำหลังยุติการชุมนุม ยังมีพฤติกรรมอื่นที่เกี่ยวข้องกับการก่อการร้ายอีก” นายธาริตกล่าว
ย้ำดีเอสไอมีหน้าที่ค้นหาความจริง
ผู้สื่อข่าวถามว่าฝ่ายความมั่นคงระบุว่านายหรั่งเป็นแค่ตัวประกอบไม่ใช่ตัวการหลัก อธิบดีดีเอสไอกล่าวย้อนถามว่า หน่วยไหน เรื่องนี้อาจมีข้อเท็จจริงที่แตกต่างกัน ดีเอสไอมีหน้าที่ค้นหาความจริง ซึ่งก็พบพยานหลักฐานต่างๆตามที่ได้ชี้แจงไป
“ถ้านายหรั่งไม่ใช่คนสำคัญคงจะไม่ไปมาหาสู่และอยู่เคียงข้าง เสธ.แดงตลอดเวลา ซึ่งการเดินทางไปต่างประเทศดีเอสไอก็มีหลักฐานทั้งไฟท์การเดินทาง หนังสือเดินทาง ภาพปรากฏที่สุวรรณภูมิชัดเจน ถ้าไม่มีความสำคัญก็คงจะไม่เกี่ยวข้องมากขนาดนั้น” นายธาริตกล่าว
“หรั่ง” ไม่ใช่นักค้าอาวุธเลยขายถูก
ผู้สื่อข่าวถามอีกว่าเงินล่อซื้อ 60,000 บาทดูเหมือนจะน้อยเกินกว่าอาวุธที่นำมาโชว์ อธิบดีดีเอสไอกล่าวว่า อาวุธที่ได้ล่อซื้อมานายหรั่งอาจไม่ได้ลงทุนก็ได้ ประกอบกับนายหรั่งเองก็ไม่ได้ทำเรื่องค้าอาวุธเป็นหลัก ซึ่งในตอนแรกเขาเสนอขายราคา 100,000 บาท เมื่อดูตามข้อเท็จจริงอาวุธมีราคามากกว่านั้น
ยันมีหลักฐานเชื่อมโยงแกนนำเสื้อแดง
ส่วนการเชื่อมโยงกับแกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) แดงทั้งแผ่นดินนั้น นายธาริตกล่าวว่า นายหรั่งกับแกนนำ นปช. มีความเชื่อมโยงกันอยู่แล้ว เป็นขบวนการที่ต่อถึงกันทั้งหมด การที่ดีเอสไอนำไปโยงเป็นข้อเท็จจริงจากการสืบสวนทั้งสิ้น
ที่พรรคเพื่อไทย นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรค พร้อมด้วยนางเกลี้ยง แสนแกล้ว มารดา และนางเดือน ตาไธสง ภรรยาของนายหรั่ง ร่วมกันแถลง โดยนางเดือนกล่าวด้วยน้ำตาว่า อยากขอความเป็นธรรมให้สามี เพราะเกรงว่าจะตกเป็นแพะและอยากให้ดีเอสไอนำพยานหลักฐานมาแสดงมากกว่านี้ เพราะเป็นข้อกล่าวหาในคดีร้ายแรง
เมียแฉชีวิตยากลำบากเหมือนเดิม
“ผิดว่ากันไปตามผิด ไม่มีปัญหา แต่อยากให้แสดงหลักฐานที่ชัดเจนก่อนกล่าวหา เพราะผู้ถูกกล่าวหาตกเป็นจำเลยของสังคม ถูกมองว่าทำผิดทั้งทีคดียังไม่จบ นางเดือนกล่าวและว่า ที่ผ่านมายังมีชีวิตความเป็นอยู่เหมือนเดิม ยังต้องอยู่ห้องเช่าเดือนละ 1,500 บาท ย่านจรัญสนิทวงศ์ และที่ผ่านมาสามีก็เอาเงินมาให้ใช้เพียง 10,000 บาท
งงทำงานใหญ่ทำไมไม่มีเงิน
นางเกลี้ยงกล่าวเสริมว่า ถ้าเขาเป็นมือขวา เสธ.แดงจริง เขาทำงานใหญ่ก็ต้องมีเงินมากกว่านี้ แต่เวลากลับบ้านทำไมไม่มีเงินติดตัว จะขึ้นรถกลับกรุงเทพฯยังต้องขอเงินแม่กลับ
นายพร้อมพงศ์ถามว่าที่มีข่าวว่าไปเมืองจีนไปกับทัวร์ใช่ไหม นางเดือนและนางเกลี้ยงกล่าวทำนองเดียวกันว่า ไปเที่ยว ไปกับทัวร์ คนที่ไปมีทั้งเด็กและผู้หญิง
ผู้สื่อข่าวถามว่าทำไมโดนจับที่จังหวัดลพบุรี นางเดือนกล่าวว่า ปรกติเขาก็ไปชุมนุมบ้างเป็นบางวัน ไปนอนที่ม็อบบ้าง แต่เขาเป็นแค่การ์ดธรรมดา ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมต้องไปนอนที่ลพบุรี
นายพร้อมพงศ์กล่าวว่า พรรคจะตรวจสอบตามคำร้องเรียนของมารดาและภรรยาเพื่อให้กระบวนการทำงานของดีเอสไอมีความโปร่งใส เพราะเกรงเหมือนกันว่านายหรั่งจะเป็นแพะหรือถูกทำให้เป็นคดีทางการเมือง
ดีเอสไอโชว์ปืน-กระสุน-ระเบิดที่ได้จากการล่อซื้อมาจากมือขวา “เสธ.แดง” เผยใช้เงินแค่ 60,000 บาทแต่ได้อาวุธสงครามร้ายแรงมาเพียบ อ้างผู้ต้องหาไม่ได้ลงทุนและไม่ได้ค้าอาวุธเป็นอาชีพเลยคิดราคาถูก ยันตั้ง 8 ข้อหาไม่ได้ยกเมฆ ทุกอย่างเป็นไปตามพยานหลักฐาน ด้าน “แม่-เมีย” ของ “สุรชัย” โผล่ขอความเป็นธรรม จี้ดีเอสไอหยุดกล่าวหาหากหลักฐานยังไม่ชัดเจน ตั้งข้อสังเกตเป็นมือขวา เสธ. คนดังทำงานใหญ่แต่ทำไมไม่มีเงินใช้ ทำไมยังอยู่ห้องเช่าเดือนละ 1,500 บาท ชี้แจงข่าวไปฝึกอาวุธเมืองจีนที่แท้ไปเที่ยวกับบริษัททัวร์
วันที่ 19 ก.ค. 2553 นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) พร้อมด้วย พ.ต.อ.ณรัชต์ เศวตนันท์ รองอธิบดีดีเอสไอ ร่วมกันแถลงความคืบหน้าคดีจับกุมนายสุรชัย เทวรัตน์ หรือหรั่ง ลูกน้องคนสนิทของ พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือ เสธ.แดง
โชว์อาวุธล่อซื้อจาก “หรั่ง”
พ.ต.อ.ณรัชต์กล่าวว่า ก่อนการจับกุมเมื่อวันที่ 15 ก.ค. ที่ผ่านมา ดีเอสไอได้ล่อซื้ออาวุธจากลุ่มนายหรั่ง ประกอบด้วยปืนอาก้า 4 กระบอก 1 ใน 4 เป็นปืนใหม่ที่ผลิตจากประเทศจีน เครื่องยิงระเบิดเอ็ม 79 จำนวน 2 กระบอก ลูกระเบิดเอ็ม 79 หัวทองขนาด 40 มม. 4 ลูก และลูกระเบิดขนาด 40 มม. อีก 8 ลูก ซองกระสุนอาก้า 14 ซอง ซองกระสุนปืนเอ็ม 16 ขนาด 30 นัด 1 ซอง ซองกระสุนปืนเอ็ม 16 ขนาด 20 นัด 1 ซอง ลูกระเบิดขว้าง 57-89 ไอที 25 ลูก กระสุนเอ็ม 30 จำนวน 102 นัด กระสุนขนาด 5.56 มม. 614 นัด กระสุนเอเค 47 จำนวน 1,375 นัด ปลอกลูกกระสุน 40 มม. 1 ปลอก กระเป๋าใส่ซองกระสุน 4 ใบ กระเป๋าเป้ 4 ใบ และถุงปุ๋ย 2 ใบ
ใช้เงินล่อซื้อแค่ 6 หมื่นบาท
“จากการส่งสายลับเข้าไปหาข่าวพบว่านายหรั่งไปเคลื่อนไหวอยู่ในพื้นที่จังหวัดชลบุรีหลังคนเสื้อแดงยุติการชุมนุม และสามารถจัดหาอาวุธที่สายสืบต้องการในการล่อซื้อมาให้ได้ โดยใช้เงินในการล่อซื้อ 60,000 บาท ตอนแรกตั้งใจว่าจะล่อซื้อเพื่อขยายผลให้ได้มากกว่านี้ แต่นายหรั่งเริ่มรู้ตัวก่อนจึงต้องจับกุมมาดำเนินคดี”
รองอธิบดีดีเอสไอกล่าวอีกว่า หลังจากนี้จะนำอาวุธที่ได้จากการล่อซื้อไปตรวจพิสูจน์อย่างละเอียด โดยจะดูว่าเป็นอาวุธที่ผลิตจากที่ใด และนำเข้ามาได้อย่างไร ส่วนการขยายผลคดีจะมีการออกหมายจับเพิ่มอีก 4 คน
ตั้ง 8 ข้อหาหนักไม่เกินเลย
ด้านนายธาริตกล่าวว่า การตั้งข้อกล่าวหากับนายหรั่ง 8 ข้อหาไม่ใช่เรื่องเกินเลย ทุกคดีมีพยานหลักฐานชัดเจน หากเปรียบเทียบกับเหตุร้ายที่เกิดขึ้นเฉพาะแค่คดียิงเอ็ม 79 มีมากถึง 60 คดี ซึ่งทั้งหมดเป็นกลุ่มเดียวกัน
“หากบ้านเมืองอยู่ในช่วงปรกติคนคนเดียวอาจจะไม่สามารถก่อความไม่สงบได้มากถึง 8 คดี แต่กรณีนี้เป็นเรื่องที่เกิดในช่วงบ้านเมืองไม่เป็นปรกติ มีการเวียนกันทำงานในกลุ่มผู้ก่อเหตุ ซึ่งดีเอสไอมีทั้งภาพถ่ายและประวัติของผู้ก่อเหตุ ส่วนการนำอาวุธสงครามออกมาขายก็เป็นเพียงกิจกรรมหนึ่งที่ทำหลังยุติการชุมนุม ยังมีพฤติกรรมอื่นที่เกี่ยวข้องกับการก่อการร้ายอีก” นายธาริตกล่าว
ย้ำดีเอสไอมีหน้าที่ค้นหาความจริง
ผู้สื่อข่าวถามว่าฝ่ายความมั่นคงระบุว่านายหรั่งเป็นแค่ตัวประกอบไม่ใช่ตัวการหลัก อธิบดีดีเอสไอกล่าวย้อนถามว่า หน่วยไหน เรื่องนี้อาจมีข้อเท็จจริงที่แตกต่างกัน ดีเอสไอมีหน้าที่ค้นหาความจริง ซึ่งก็พบพยานหลักฐานต่างๆตามที่ได้ชี้แจงไป
“ถ้านายหรั่งไม่ใช่คนสำคัญคงจะไม่ไปมาหาสู่และอยู่เคียงข้าง เสธ.แดงตลอดเวลา ซึ่งการเดินทางไปต่างประเทศดีเอสไอก็มีหลักฐานทั้งไฟท์การเดินทาง หนังสือเดินทาง ภาพปรากฏที่สุวรรณภูมิชัดเจน ถ้าไม่มีความสำคัญก็คงจะไม่เกี่ยวข้องมากขนาดนั้น” นายธาริตกล่าว
“หรั่ง” ไม่ใช่นักค้าอาวุธเลยขายถูก
ผู้สื่อข่าวถามอีกว่าเงินล่อซื้อ 60,000 บาทดูเหมือนจะน้อยเกินกว่าอาวุธที่นำมาโชว์ อธิบดีดีเอสไอกล่าวว่า อาวุธที่ได้ล่อซื้อมานายหรั่งอาจไม่ได้ลงทุนก็ได้ ประกอบกับนายหรั่งเองก็ไม่ได้ทำเรื่องค้าอาวุธเป็นหลัก ซึ่งในตอนแรกเขาเสนอขายราคา 100,000 บาท เมื่อดูตามข้อเท็จจริงอาวุธมีราคามากกว่านั้น
ยันมีหลักฐานเชื่อมโยงแกนนำเสื้อแดง
ส่วนการเชื่อมโยงกับแกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) แดงทั้งแผ่นดินนั้น นายธาริตกล่าวว่า นายหรั่งกับแกนนำ นปช. มีความเชื่อมโยงกันอยู่แล้ว เป็นขบวนการที่ต่อถึงกันทั้งหมด การที่ดีเอสไอนำไปโยงเป็นข้อเท็จจริงจากการสืบสวนทั้งสิ้น
ที่พรรคเพื่อไทย นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรค พร้อมด้วยนางเกลี้ยง แสนแกล้ว มารดา และนางเดือน ตาไธสง ภรรยาของนายหรั่ง ร่วมกันแถลง โดยนางเดือนกล่าวด้วยน้ำตาว่า อยากขอความเป็นธรรมให้สามี เพราะเกรงว่าจะตกเป็นแพะและอยากให้ดีเอสไอนำพยานหลักฐานมาแสดงมากกว่านี้ เพราะเป็นข้อกล่าวหาในคดีร้ายแรง
เมียแฉชีวิตยากลำบากเหมือนเดิม
“ผิดว่ากันไปตามผิด ไม่มีปัญหา แต่อยากให้แสดงหลักฐานที่ชัดเจนก่อนกล่าวหา เพราะผู้ถูกกล่าวหาตกเป็นจำเลยของสังคม ถูกมองว่าทำผิดทั้งทีคดียังไม่จบ นางเดือนกล่าวและว่า ที่ผ่านมายังมีชีวิตความเป็นอยู่เหมือนเดิม ยังต้องอยู่ห้องเช่าเดือนละ 1,500 บาท ย่านจรัญสนิทวงศ์ และที่ผ่านมาสามีก็เอาเงินมาให้ใช้เพียง 10,000 บาท
งงทำงานใหญ่ทำไมไม่มีเงิน
นางเกลี้ยงกล่าวเสริมว่า ถ้าเขาเป็นมือขวา เสธ.แดงจริง เขาทำงานใหญ่ก็ต้องมีเงินมากกว่านี้ แต่เวลากลับบ้านทำไมไม่มีเงินติดตัว จะขึ้นรถกลับกรุงเทพฯยังต้องขอเงินแม่กลับ
นายพร้อมพงศ์ถามว่าที่มีข่าวว่าไปเมืองจีนไปกับทัวร์ใช่ไหม นางเดือนและนางเกลี้ยงกล่าวทำนองเดียวกันว่า ไปเที่ยว ไปกับทัวร์ คนที่ไปมีทั้งเด็กและผู้หญิง
ผู้สื่อข่าวถามว่าทำไมโดนจับที่จังหวัดลพบุรี นางเดือนกล่าวว่า ปรกติเขาก็ไปชุมนุมบ้างเป็นบางวัน ไปนอนที่ม็อบบ้าง แต่เขาเป็นแค่การ์ดธรรมดา ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมต้องไปนอนที่ลพบุรี
นายพร้อมพงศ์กล่าวว่า พรรคจะตรวจสอบตามคำร้องเรียนของมารดาและภรรยาเพื่อให้กระบวนการทำงานของดีเอสไอมีความโปร่งใส เพราะเกรงเหมือนกันว่านายหรั่งจะเป็นแพะหรือถูกทำให้เป็นคดีทางการเมือง
อารมณ์ อาถรรพ์ อาฆาต
โปรดอย่าถาม..
ว่าทำไม สุเทพ เทือกสุบรรณ ถึงไม่ลงพื้นที่ เขต6 เพื่อช่วยสมาชิกพรรคเหมือน “ผู้บริหารประชาธิปัตย์”หลายคน..ที่ไปลุยช่วยเดินหาเสียงอยู่ในขณะนี้
เหตุผล อาจเป็นได้ว่าตนเองได้เสนอ นางสาว จิตภัสร์ ภิรมย์ภักดี แล้วไม่ได้สมปรารถนา จึงไม่อยากจะสนจู๋ด้วย
และเลิกฉงนกันได้แล้วว่า.. อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ในฐานะหัวหน้าพรรค และ เป็นนายกรัฐมนตรี ได้ถูกประดาแฟนๆเรียกร้องอยากเห็นหน้ากันใจจะขาด
ก็มาให้เห็นแล้วแบบลมพัดมาวูบๆ แล้วก็หอบหายไปเหมือนใต้ฝุ่น
ด้วยเหตุดังนี้ ทำให้ราคาผู้สมัคร ประชาธิปัตย์ พนิช วิกิตเศรษฐ์ ที่เป็นต่อ ก่อแก้ว พิกุลทอง ของ “เพื่อไทย”อย่างสุดกู่ ถ้าเป็นบอล ก็ประมาน “ลูกครึ่งควบสองลูก”
ลดลงมาเหลือแค่ ป.ปลา หรือ “เสมอควบครึ่ง”เท่านั้น!!
เหมือนเมื่อตอนที่ “สเปน” ชิงถ้วยกับ “ฮอลแลนด์”..ราคาต่อ-รองก็เล่นกันอย่างนี้แหละ ฮอลแลนด์ ไม่ต้องทำอะไร คอยสวนอย่างเดียว ติ๊ดชึ่งจนหมดเวลา90นาทีคนถือหาง “ดัตซ์” ก็รับทรัพย์ไปแบบนิ่มๆ
แล้วนี่กูจะมานั่งสาธยายให้อกมันกลัดหนองอีกทำไมวะเนี่ย..โธ่!.. ไอ้เวลคัมทูมายเวิลด์..
เอาเป็นว่า ทั้ง “เทพเทือก” และ “มาร์คกี้” ออกอาการกล้าๆ กลัวๆ ก็แล้วกัน เพราะมันเย็นยะเยือกเสียววาบๆ เหมือนคนเป็นริดสีดวงทวารยามยืนอยู่ในที่โล่ง
ยิ่งมีข่าว “ลอบสังหาร” ถี่..ทำให้ท้องไส้ปั่นป่วนจะขี้แต่ละทีกลีบบานไม่รู้โรย
ส่วน “แหล่งข่าว” ที่มาของการลอบสังหารจะ ลับ ลวง พราง แค่ไหนไม่สำคัญ..ความสำคัญมันอยู่ที่ว่า “งานล้างป่าช้า” ที่ราชประสงค์มีคนตายเยอะ..ถึงเยอะมาก!!
เพราะ “ชีวิตคน” ไม่ใช่ “ทรัพย์สิน-สิ่งของ” ที่หมดแล้วหามาเติมใหม่ได้
แต่.. คนตายแล้วเป็น “ผี”ทันที..เหลือไว้แต่ อารมณ์ อาถรรพ์ อาฆาต ของญาติผู้ตายที่ช้ำจุกแน่นอยู่ในหัวอกเท่านั้น!!
มันนัวเนีย นุงนัง ยุ่งเหยิง ยั้วเยี้ยไปหมด ซึ่งมีทั้ง พ่อ-แม่–พี่-น้อง-ลุง–น้า-ป้า-อา-เพื่อน-เขย-สะใภ้ ต่อแถวเรียงคิวยาวเหยียดด้วยแรงแค้นที่สะสม
เขาไม่รู้หรือจำไม่ได้หรอกว่าใครเป็น “ผู้ลั่นไก”สังหาร..แต่เขาจดจำคนที่ “ออกคำสั่งฆ่า” ได้อย่างไม่มีวันลืม..อันนี้น่ากลัวมากครับ!!
คอลัมน์.ก็โลกมันเบี้ยวหนุ่ม ชิงชัย
ที่มา.บางกอกทูเดย์
ว่าทำไม สุเทพ เทือกสุบรรณ ถึงไม่ลงพื้นที่ เขต6 เพื่อช่วยสมาชิกพรรคเหมือน “ผู้บริหารประชาธิปัตย์”หลายคน..ที่ไปลุยช่วยเดินหาเสียงอยู่ในขณะนี้
เหตุผล อาจเป็นได้ว่าตนเองได้เสนอ นางสาว จิตภัสร์ ภิรมย์ภักดี แล้วไม่ได้สมปรารถนา จึงไม่อยากจะสนจู๋ด้วย
และเลิกฉงนกันได้แล้วว่า.. อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ในฐานะหัวหน้าพรรค และ เป็นนายกรัฐมนตรี ได้ถูกประดาแฟนๆเรียกร้องอยากเห็นหน้ากันใจจะขาด
ก็มาให้เห็นแล้วแบบลมพัดมาวูบๆ แล้วก็หอบหายไปเหมือนใต้ฝุ่น
ด้วยเหตุดังนี้ ทำให้ราคาผู้สมัคร ประชาธิปัตย์ พนิช วิกิตเศรษฐ์ ที่เป็นต่อ ก่อแก้ว พิกุลทอง ของ “เพื่อไทย”อย่างสุดกู่ ถ้าเป็นบอล ก็ประมาน “ลูกครึ่งควบสองลูก”
ลดลงมาเหลือแค่ ป.ปลา หรือ “เสมอควบครึ่ง”เท่านั้น!!
เหมือนเมื่อตอนที่ “สเปน” ชิงถ้วยกับ “ฮอลแลนด์”..ราคาต่อ-รองก็เล่นกันอย่างนี้แหละ ฮอลแลนด์ ไม่ต้องทำอะไร คอยสวนอย่างเดียว ติ๊ดชึ่งจนหมดเวลา90นาทีคนถือหาง “ดัตซ์” ก็รับทรัพย์ไปแบบนิ่มๆ
แล้วนี่กูจะมานั่งสาธยายให้อกมันกลัดหนองอีกทำไมวะเนี่ย..โธ่!.. ไอ้เวลคัมทูมายเวิลด์..
เอาเป็นว่า ทั้ง “เทพเทือก” และ “มาร์คกี้” ออกอาการกล้าๆ กลัวๆ ก็แล้วกัน เพราะมันเย็นยะเยือกเสียววาบๆ เหมือนคนเป็นริดสีดวงทวารยามยืนอยู่ในที่โล่ง
ยิ่งมีข่าว “ลอบสังหาร” ถี่..ทำให้ท้องไส้ปั่นป่วนจะขี้แต่ละทีกลีบบานไม่รู้โรย
ส่วน “แหล่งข่าว” ที่มาของการลอบสังหารจะ ลับ ลวง พราง แค่ไหนไม่สำคัญ..ความสำคัญมันอยู่ที่ว่า “งานล้างป่าช้า” ที่ราชประสงค์มีคนตายเยอะ..ถึงเยอะมาก!!
เพราะ “ชีวิตคน” ไม่ใช่ “ทรัพย์สิน-สิ่งของ” ที่หมดแล้วหามาเติมใหม่ได้
แต่.. คนตายแล้วเป็น “ผี”ทันที..เหลือไว้แต่ อารมณ์ อาถรรพ์ อาฆาต ของญาติผู้ตายที่ช้ำจุกแน่นอยู่ในหัวอกเท่านั้น!!
มันนัวเนีย นุงนัง ยุ่งเหยิง ยั้วเยี้ยไปหมด ซึ่งมีทั้ง พ่อ-แม่–พี่-น้อง-ลุง–น้า-ป้า-อา-เพื่อน-เขย-สะใภ้ ต่อแถวเรียงคิวยาวเหยียดด้วยแรงแค้นที่สะสม
เขาไม่รู้หรือจำไม่ได้หรอกว่าใครเป็น “ผู้ลั่นไก”สังหาร..แต่เขาจดจำคนที่ “ออกคำสั่งฆ่า” ได้อย่างไม่มีวันลืม..อันนี้น่ากลัวมากครับ!!
คอลัมน์.ก็โลกมันเบี้ยวหนุ่ม ชิงชัย
ที่มา.บางกอกทูเดย์
'เสรีภาพ’ แบบปิดหูปิดตา!!
แบนตะแล็ดแตดแต๋ โฆษณา “ขอโทษประเทศไทย”.. จัดทำด้วยจิตสำนึกบริสุทธิ์ พร้อมมูล ด้วยความเป็นจริงทุกด้าน แต่ “นักฆ่าแห่งเมืองอีตัน” อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กลับไม่ “ผ่านเซ็นเซอร” เพื่อแพร่ภาพทางทีวีสีคุณน้า
เป็นความกล้า มือโฆษณาตัวพ่อ “ภาณุ อิงคะวัต” ที่เอาความจริงครบเซ็ท มาบอกให้รู้
มีภาพแดงชุมนุม เหลืองยึดสนามบิน...ภาพทหารใจหิน ปะทะประชาชนอย่างหดหู่
ไม่เป็นที่ถูกใจ “รัฐบาลอภิสิทธิ์ชน”....แต่ถ้าเป็นภาพ “แดง” สร้างความรุนแรง.. “ใคร”?เผาอาคารบ้านเรือนก็ไม่รู้ ท่านให้แพร่ภาพโจ๋งครึ่ม..ทีหยั่งงี้, ไม่ใช้กรรไกรตัดฉับๆ เลยนะพี่!!!
แพร่ภาพเสื้อแดงเป็นตัวร้าย..โฆษณากันบรรลัย?..ไม่เห็นใครโวยวาย เลยนะงานนี้??
..................................
'เสียสละ'ไม่เป็น ประเทศไทย ไม่สงบ!!
รู้อยู่เต็มคอนโดมิเนียมหัวใจทั้ง ๒ ห้อง...ว่าประเทศไทย มีแต่ความแตกแยกแผ่ซ่าน อย่างไม่รู้จบ??
“นักฆ่าแห่งเมืองอีตัน” อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี..ออกลีลา ตีฝีปากแบบคนรู้จริง...ว่าตัวเองเดินทางไปเหนือ-อีสาน ก็ได้ แต่ไม่อยากให้เกิดเหตุปะทะ ขั้นแตกหัก
นี่, “อภิสิทธิ์” รู้เต็มอก...เป็น “นายกฯ” ที่ทำให้ “ประชาชน” แตกแยกกันหนัก
ท่านเป็น “นักการเมือง” แต่เป็นที่หมายปอง ชิงชังของคนส่วนใหญ่เช่นนี้...จะยังดันทุรัง “ซื้อเวลา” อยู่ในตำแหน่ง “นายกรัฐมนตรี” ทำให้ประเทศแตกเป็นเสี่ยงๆ หนักข้อไปทำไม!!!
รีบชิง “ลาออก”ไปเหอะ...อยู่ก็สร้างมาตรฐานเลอะเทอะ?...เยอะไปหมด แล้วจะบอกให้?
................................
ตำแหน่งนี้ ไม่ใช่ “โชคช่วย”!!
ต้องมีฝีมือ เป็นที่ ประทับใจจ๊อด..เมื่อนั้น “มิ่งขวัญ แสงสุวรรณ” ถึงจะก้าวขึ้นเป็น “หัวหน้าพรรคเพื่อไทย” ได้อย่าง สุดสวย??
ตลอดเวลาที่ผ่านมา ท่านนิ่งเป็นตอไม้ ไม่ต่อสู้ล้างผลาญ เลือดบู๊ลิ้มเพื่อพรรค และ ส.ส.เท่าไหร่
พอน้ำขึ้นก็จะหยิบชิ้นปลามัน....คว้าเก้าอี้หัวหน้าพรรคไปเป็นสัมปทาน คนก็รับไม่ได้
อีกทั้ง พรรษาการเมือง เขี้ยวการเมืองท่านยังหร็อมแหร็ม..เอาไปต่อกรแหยมรองรังสู้กับ “ประชาธิปัตย์” ที่เขี้ยวโง้วสุดฤทธิ์ คงไม่ได้หรอกนะพี่!!!
ฉะนั้น,มิควรชิงสุกก่อนห่าม....ขืนขึ้นเป็นผู้นำ?...ท่านก็ถูกตีคว่ำ ไม่มีดี????
.................................
“ขั้วบูรพาพยัคฆ์” ยังผงาด!!
เต็มใจ ทั้ง “นายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ”, “รองนายกฯ สุเทพ เทือกสุบรรณ”, “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กลาโหม, “บิ๊กป๊อก” พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ.ที่มอบดาบอาญาสิทธิ์ ส่งไม้ให้ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” ขึ้นเป็น “ผบ.ทบ.” คุมทหารของชาติ
นับเป็นยุคต่อเนื่อง ที่ “ทหารบูรพาพยัคฆ์”คุมอำนาจมาราธอน ไว้เสร็จสรรพ
ขุนพลที่ไม่ใช่สาย “บูรพาพยัคฆ์”....อยู่อย่างไม่มีศักดิ์ศรี เตรียม “รีไทม์”ลาออกสิครับ
ว่ากันไปแล้ว จะแอนตี้ รวมตัว ไม่ยอมรับ ความเป็น “ประมุขกองทัพบก” ของ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็ไม่ถูก?...ดิวนี้คิวนี้ ท่านมีความพร้อมทั้ง “อาวุโส”และ “ตำแหน่ง” การขึ้นเป็น “แม่ทัพบก” จึงถูกต้อง ตามประเพณี!!!!
บอก “บิ๊กตู่”กันคร่าวๆ...ที่เขาว่า “ยิ่งสูงยิ่งหนาว”?..เพราะเค้าไม่เอาท่าน นั่นแหละพี่??
...............................
พูดได้..แต่ทำยากส์!!!
“ท่านคณิต ณ นคร” ประธานคณะกรรมการอิสระหาความเป็นจริง ปรองดองแห่งชาติ..อยากให้ “เสื้อแดง” ที่รู้ความเป็นจริง ในการชุมนุมที่ผ่านฟ้า และราชประสงค์ มาให้ปากคำทุกปาก
แต่จนแล้วจนรอด “เสื้อแดงพันธุ์แท้” ก็นิ่งกบดานไม่ให้ความร่วมมือ
ขืนสะแหลนก็ต้องเจอตอ...โดน “ศอฉ.” เช็คบิลอีกอื้อ
แม้นว่า “ท่านประธานคณิต” รับประกันซ่อมฟรี.. ถ้ามาให้ปากคำแล้ว ถูก “ศอฉ.” ตามเล่นงาน ก็จะฟ้องศาลจวก “ศอฉ.” ให้เต้นระรัว!!!
มาให้ปากคำแล้วได้อะไร...ขืนเปิดตัววันใด?..รับข้อหา “ผู้ก่อการร้าย”ไม่รู้ตัว??
คอลัมน์.ตอดนิดตอดหน่อยการบูร
ที่มา.บางกอกทูเดย์
___________________________________
เป็นความกล้า มือโฆษณาตัวพ่อ “ภาณุ อิงคะวัต” ที่เอาความจริงครบเซ็ท มาบอกให้รู้
มีภาพแดงชุมนุม เหลืองยึดสนามบิน...ภาพทหารใจหิน ปะทะประชาชนอย่างหดหู่
ไม่เป็นที่ถูกใจ “รัฐบาลอภิสิทธิ์ชน”....แต่ถ้าเป็นภาพ “แดง” สร้างความรุนแรง.. “ใคร”?เผาอาคารบ้านเรือนก็ไม่รู้ ท่านให้แพร่ภาพโจ๋งครึ่ม..ทีหยั่งงี้, ไม่ใช้กรรไกรตัดฉับๆ เลยนะพี่!!!
แพร่ภาพเสื้อแดงเป็นตัวร้าย..โฆษณากันบรรลัย?..ไม่เห็นใครโวยวาย เลยนะงานนี้??
..................................
'เสียสละ'ไม่เป็น ประเทศไทย ไม่สงบ!!
รู้อยู่เต็มคอนโดมิเนียมหัวใจทั้ง ๒ ห้อง...ว่าประเทศไทย มีแต่ความแตกแยกแผ่ซ่าน อย่างไม่รู้จบ??
“นักฆ่าแห่งเมืองอีตัน” อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี..ออกลีลา ตีฝีปากแบบคนรู้จริง...ว่าตัวเองเดินทางไปเหนือ-อีสาน ก็ได้ แต่ไม่อยากให้เกิดเหตุปะทะ ขั้นแตกหัก
นี่, “อภิสิทธิ์” รู้เต็มอก...เป็น “นายกฯ” ที่ทำให้ “ประชาชน” แตกแยกกันหนัก
ท่านเป็น “นักการเมือง” แต่เป็นที่หมายปอง ชิงชังของคนส่วนใหญ่เช่นนี้...จะยังดันทุรัง “ซื้อเวลา” อยู่ในตำแหน่ง “นายกรัฐมนตรี” ทำให้ประเทศแตกเป็นเสี่ยงๆ หนักข้อไปทำไม!!!
รีบชิง “ลาออก”ไปเหอะ...อยู่ก็สร้างมาตรฐานเลอะเทอะ?...เยอะไปหมด แล้วจะบอกให้?
................................
ตำแหน่งนี้ ไม่ใช่ “โชคช่วย”!!
ต้องมีฝีมือ เป็นที่ ประทับใจจ๊อด..เมื่อนั้น “มิ่งขวัญ แสงสุวรรณ” ถึงจะก้าวขึ้นเป็น “หัวหน้าพรรคเพื่อไทย” ได้อย่าง สุดสวย??
ตลอดเวลาที่ผ่านมา ท่านนิ่งเป็นตอไม้ ไม่ต่อสู้ล้างผลาญ เลือดบู๊ลิ้มเพื่อพรรค และ ส.ส.เท่าไหร่
พอน้ำขึ้นก็จะหยิบชิ้นปลามัน....คว้าเก้าอี้หัวหน้าพรรคไปเป็นสัมปทาน คนก็รับไม่ได้
อีกทั้ง พรรษาการเมือง เขี้ยวการเมืองท่านยังหร็อมแหร็ม..เอาไปต่อกรแหยมรองรังสู้กับ “ประชาธิปัตย์” ที่เขี้ยวโง้วสุดฤทธิ์ คงไม่ได้หรอกนะพี่!!!
ฉะนั้น,มิควรชิงสุกก่อนห่าม....ขืนขึ้นเป็นผู้นำ?...ท่านก็ถูกตีคว่ำ ไม่มีดี????
.................................
“ขั้วบูรพาพยัคฆ์” ยังผงาด!!
เต็มใจ ทั้ง “นายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ”, “รองนายกฯ สุเทพ เทือกสุบรรณ”, “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กลาโหม, “บิ๊กป๊อก” พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ.ที่มอบดาบอาญาสิทธิ์ ส่งไม้ให้ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” ขึ้นเป็น “ผบ.ทบ.” คุมทหารของชาติ
นับเป็นยุคต่อเนื่อง ที่ “ทหารบูรพาพยัคฆ์”คุมอำนาจมาราธอน ไว้เสร็จสรรพ
ขุนพลที่ไม่ใช่สาย “บูรพาพยัคฆ์”....อยู่อย่างไม่มีศักดิ์ศรี เตรียม “รีไทม์”ลาออกสิครับ
ว่ากันไปแล้ว จะแอนตี้ รวมตัว ไม่ยอมรับ ความเป็น “ประมุขกองทัพบก” ของ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็ไม่ถูก?...ดิวนี้คิวนี้ ท่านมีความพร้อมทั้ง “อาวุโส”และ “ตำแหน่ง” การขึ้นเป็น “แม่ทัพบก” จึงถูกต้อง ตามประเพณี!!!!
บอก “บิ๊กตู่”กันคร่าวๆ...ที่เขาว่า “ยิ่งสูงยิ่งหนาว”?..เพราะเค้าไม่เอาท่าน นั่นแหละพี่??
...............................
พูดได้..แต่ทำยากส์!!!
“ท่านคณิต ณ นคร” ประธานคณะกรรมการอิสระหาความเป็นจริง ปรองดองแห่งชาติ..อยากให้ “เสื้อแดง” ที่รู้ความเป็นจริง ในการชุมนุมที่ผ่านฟ้า และราชประสงค์ มาให้ปากคำทุกปาก
แต่จนแล้วจนรอด “เสื้อแดงพันธุ์แท้” ก็นิ่งกบดานไม่ให้ความร่วมมือ
ขืนสะแหลนก็ต้องเจอตอ...โดน “ศอฉ.” เช็คบิลอีกอื้อ
แม้นว่า “ท่านประธานคณิต” รับประกันซ่อมฟรี.. ถ้ามาให้ปากคำแล้ว ถูก “ศอฉ.” ตามเล่นงาน ก็จะฟ้องศาลจวก “ศอฉ.” ให้เต้นระรัว!!!
มาให้ปากคำแล้วได้อะไร...ขืนเปิดตัววันใด?..รับข้อหา “ผู้ก่อการร้าย”ไม่รู้ตัว??
คอลัมน์.ตอดนิดตอดหน่อยการบูร
ที่มา.บางกอกทูเดย์
___________________________________
เพื่อไทยวางเกมเลือกตั้ง ใส่ปุ๋ย-เปิดท่อ-ข่มขวัญ ทำบุญจัดอีเวนต์มัดใจ ส.ส.
ยามศึกนอก ก็ออกรบ
ยามสงบ ก็รบกันภายใน
พรรคเพื่อไทย อยู่ในยามที่ต้องเผชิญทั้งศึกใน-ศึกนอก
การขับเคลื่อนคนพลพรรคและกิจกรรมการเมือง จึงต้องดัดแปลง-ปรับเปลี่ยนให้สอดคล้องกับสถานการณ์
เฉพาะอย่างยิ่ง "ศึกใน" ที่คุกรุ่น-มีควัน พร้อมลุกเป็นไฟตลอดเวลา
ทั้งการแข่งบารมีขึ้นเป็น "หัวหน้า" หมายเลข 1 กรณีอุบัติเหตุการเมือง หวังพลิกเกมเปลี่ยนข้างเป็นรัฐบาล
ทั้งความพยายามที่จะปรับ-เปลี่ยน "หัว" ของแต่ละภาค ขึ้นคุมเกมก่อนการเลือกตั้ง
ทั้งความขัดแย้ง-ปีนเกลียวกันเอง ระหว่าง "ทีมการเมือง" และ "ทีมเศรษฐกิจ" และความไม่ลงรอยในคณะกรรมการบริหารพรรค
ทั้งความหวั่นไหว ระส่ำระสาย ที่จำนวน ส.ส.นับวันจืดจางห่างหายจากพรรค เพื่อไปวางฐานกับพรรคใหม่ อนาคตไกล อย่างพรรคภูมิใจไทย
ยิ่งทำให้ "นายใหญ่" และคณะนักการเมืองบ้านเลขที่ 111 และคณะพลังประชาชน 37 คน ต้องเร่งเข้าไปจัดแถว-วางแผน จัดอีเวนต์ มหกรรมแคมเปญการเมือง เป็นโปรแกรมระยะยาวต่อเนื่องตลอดครึ่งหลังของปี 2553
ทางหนึ่ง เพื่อสร้างขวัญ-กำลังใจให้นักการเมืองภายในพรรค
ทางหนึ่ง เพื่อข่มขวัญ-กดดันพรรคการเมืองคู่แข่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ภาคเหนือ-อีสาน
แต่ปัจจัย-เงื่อนไขสำคัญอยู่ที่การขับเคลื่อนภายใน ที่ต้องอาศัย "ปุ๋ย" และ "ท่อน้ำเลี้ยง" ดังนั้น ความพยายามที่จะหา "หัว-ตัวจ่าย" ที่ชัดเจน ทั้งในการจัด แคมเปญ และการจัดตั้งล่วงหน้า
การทำบุญ-บังหน้า-กลบเกลื่อนความขัดแย้งภายใน จึงถูกจัดให้มีขึ้น
อ้างถึงวาระก่อตั้งพรรคไทยรักไทย และ วาระคล้ายวันเกิดเจ้าของพรรค "ทักษิณ ชินวัตร" และวาระถวายเทียนพรรษา
หวังผลรูปธรรม-ย้ำแบรนด์ "ทักษิณกลับบ้าน" และชนะเลือกตั้ง
แต่ยามระส่ำ-ระสาย ท่อน้ำ-ปุ๋ยไม่สมบูรณ์ พรรคที่ ส.ส.เกือบครึ่งสภา ผู้แทนฯ 183 คน จึงปรากฏตัวเข้าร่วมงานบุญ ณ ที่ทำการพรรคเพียง 50 คน
มีตัวแทน นายพายัพ ชินวัตร ที่เป็น "หัว" ส.ส.สายอีสาน เป็นประธานในพิธี
และมีการสร้างขวัญ-เพิ่มกำลังใจ-เช็กเสียง ส.ส.ในวาระสัมมนา ส.ส.ภาคอีสาน ติดปลายนวม
แม้มีฐานะ-ศักดิ์ศรีผู้นำฝ่ายค้าน ที่มีจำนวน ส.ส.มากที่สุดในสภาผู้แทนราษฎร แต่สถานภาพจริงของ ส.ส.เพื่อไทยไม่คึกคัก แม้มีงานบุญใหญ่
ตอกย้ำการดำรงอยู่ของมรสุมภายนอกที่รุมเร้าและมรสุมภายในพรรค
โดยเฉพาะประเด็นที่ "ทอล์กออฟเดอะเพื่อไทย" ที่ว่าด้วย "ปุ๋ยน้ำเลี้ยง" ที่เหือดแห้ง-หดหายไปตั้งแต่หลังเหตุการณ์ "พฤษภาอำมหิต"
ทุกบัญชี ทุกช่องทาง ถูกปิดท่อ วางกับดัก จนกระทั่งไม่สามารถขยับขยาย
"พายัพ ชินวัตร" เข้าใจกระแส-วาระที่ ส.ส.กังวล-กดดันเป็นอย่างดี จึงมีวาระปลุก-ปลอบ
"ลองนึกดูในยุคสมัย พ.ต.ท.ทักษิณ เราใช้เงิน ใช้สติปัญญา ใช้กำลังความสามารถทำงาน แต่พอมาถึงยุคเรา หากลองสังเกต เช่น ต้นไม้ต้นหนึ่ง ถ้าเราจะทำสวน พรวนดินให้ปุ๋ย เตรียมพื้นที่หาพันธุ์ ช่วงนี้เราต้องใช้สติปัญญามากมาย สิ่งที่ท่านทักษิณปลูกไว้ในอีสาน ก็มีความเจริญมาถึงทุกวันนี้"
"มาวันนี้ เรากำลังเดือดร้อน ถูกกดดันสารพัด เหมือนต้นไม้ที่เราได้โตงอกงาม เวลาต้นไม้กำลังออกดอกออกผล สังเกตได้ว่า ต้นไม้ก็จะถูกความกดดันสารพัด ขาดน้ำ ปุ๋ย แสดงว่าต้นไม้ของท่านทักษิณที่กำลังปลูกไว้กำลังจะเจริญงอกงาม ออกดอกผลอันยิ่งใหญ่ ท่านไม่ต้องตกใจ ถ้าเราใช้น้ำ ปุ๋ย ตอนนี้ต้นไม้ของเราจะไม่ออกดอกออกผล"
"วันนี้เราต้องยอมรับความกดดันทุกด้าน สิ่งที่สำคัญในการต่อสู้กับความสำเร็จ ไม่ใช่เงินทอง อำนาจ แต่เป็นความจริงใจ ตั้งใจ สามัคคี ที่มีอุดมการณ์ร่วมกัน ผมมั่นใจ อะไรก็ตาม สู้ความจริงใจ ความสามัคคี ไม่ได้ ความสามัคคีที่มีทิศทาง เป้าหมาย อย่างชัดเจน นั่นคือความสำเร็จของเราในอนาคต" น้อง พ.ต.ท.ทักษิณกล่าว
วาระทำงานการเมือง ก่อนการเลือก ตั้งใหญ่ ถูกโฟกัสที่ภาคอีสาน-พื้นที่สีแดง
โดยในภาคอีสานจะแบ่งเป็น 4 โซน ประกอบด้วยอีสานตอนเหนือ อีสานตอนกลาง อีสานตอนล่าง และอีสานตะวันออก เพื่อความละเอียดในการทำงาน โดยมีรองประธานกรรมการภาคทำหน้าที่กำกับดูแล เพื่อให้นโยบายของภาคเป็นรูปธรรม
โดยมีวาระ-หาเสียง เรื่องน้ำ เพื่อ แก้ปัญหาภัยแล้ง และให้ความสำคัญกับการชี้แจง ขยี้-ขยายปัญหาของพรรครัฐบาล
การบรรยายเรื่อง "จุดแข็ง จุดอ่อน โอกาสและอุปสรรคของพรรคเพื่อไทยในภาคอีสาน" และแนวทางการบริหารงานของคณะกรรมการภาคอีสาน และการบรรยายพิเศษเรื่อง "ยุทธศาสตร์ของพรรคเพื่อไทย เพื่อก้าวสู่อนาคตอันสดใสของประเทศไทย" โดย นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ ส.ส.สัดส่วนพรรคเพื่อไทย และวาระ "M.P. Brain Storming" เรื่อง "ความต้องการด้านต่าง ๆ เพื่อสร้างสรรค์พรรคเพื่อไทยสู่การเป็นแกนนำในการบริหารประเทศ"
ล้วนเป็นความพยายามในการเปิดประเด็นให้เห็น "เงา-หัว" ของคนที่จะขึ้นเป็น "หัวจริง" หมายเลข 1
จึงมักมีคนในพรรคได้ยิน "ว่าที่หัวหน้าพรรค" นักการตลาด วาดฝันการได้เป็น "ว่าที่นายกรัฐมนตรี" ไม่เว้นแต่ละวัน
แผนการรณรงค์เลือกตั้งของพรรคจึงเข้ม-ข้น มีแนววิชาการตลาดเป็นจุดขาย
เน้นการลงพื้นที่จริง ตั้งแต่กลางปี 2553 ถึงต้นปี 2554
โดยในช่วงที่ 1 จะลงพื้นที่ปราศรัยในจังหวัดต่าง ๆ อาทิ ภาคเหนือ ภาคอีสาน ภาคกลาง เลาะเฉพาะพื้นที่อยู่นอกการประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน
ส่วนรูปแบบการปราศรัยจะแบ่งออกเป็น 3 รูปแบบ คือรูปแบบที่ 1 การลงพื้นที่แบบเคาะประตูบ้านทำความเข้าใจ และรับฟังปัญหาต่าง ๆ กับพี่น้องประชาชนในพื้นที่ หมู่บ้าน, ตำบล, อำเภอ
รูปแบบที่ 2 คือการเปิดเวทีปราศรัยใหญ่ โดยผู้บริหารพรรค ส.ส.ของพรรค อาทิ พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ ประธานพรรค ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ประธาน ส.ส. นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ หัวหน้าพรรค นายปลอดประสพ สุรัสวดี รองหัวหน้าพรรค และนายจตุพร พรหมพันธุ์, น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ, นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรค, นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ รองโฆษกพรรค
ส่วนรูปแบบที่ 3 จะเป็นการแสดงนิทรรศการขนาดใหญ่ ในหัวข้อ "7 วัน 7 ความเจ็บปวดของประชาชน" โดยจะเริ่มจัดนิทรรศการรูปแบบใหม่ โดยใช้แนวคิด "รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส"
นายคณวัฒน์ วศินสังวร รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า กิจกรรมของพรรคเพื่อไทยในฐานะฝ่ายค้านทำหน้าที่ตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล จะหยิบยกเอาประเด็นว่ารัฐบาลได้ทำอะไรไม่ถูกต้องบ้าง เช่น การยังคง พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และการใช้ความรุนแรงสลายการชุมนุม รวมทั้งการบริหารราชการที่ไม่มีประสิทธิภาพและ ส่อทุจริต
ส่วนเป้าหมายสำหรับการเลือกตั้งใหญ่นั้น "คณวัฒน์" ยอมรับว่า การรณรงค์ ต่าง ๆ ก็หวังผลคะแนนนิยมของพรรค โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เหลือเวลาอีกไม่นาน ก็จะเข้าสู่ช่วงเลือกตั้งใหญ่ จึงต้องรณรงค์ให้เห็นความล้มเหลวของรัฐบาล
ปัญหาการเมือง-กระดานใหญ่ ที่อาจหกสูงไปทางรัฐบาล และฝ่ายค้านหกต่ำ เพราะการ "ตกเขียว" ส.ส.ในสภาไว้ล่วงหน้า เป็นภาระใหญ่ที่กรรมการบริหารพรรคเพื่อไทยขว้างไม่พ้นคอ
"เป็นธรรมดาที่จะต้องหา ส.ส.และ ผู้สมัครรับเลือกตั้งเข้าพรรคตัวเอง"
มหกรรมแคมเปญเลือกตั้ง-สร้างภาพ ลบความขัดแย้ง จึงเป็นคำตอบสำหรับปัญหาเฉพาะหน้า
"เป็นหน้าที่ของกรรมการบริหารพรรคและผู้บริหารระดับสูงที่ต้องรักษาความนิยมของพรรคต่อไป เพราะถ้ายังมีความนิยม ก็เชื่อว่า ส.ส.จะไม่ย้ายออกไป เนื่องจาก หากย้ายออกไป ก็ไม่รู้จะเอาอะไรไปขายในช่วงหาเสียงเลือกตั้ง ไม่มีพรรคใดที่สามารถทำ ให้นโยบายเป็นรูปธรรมได้เหมือนพรรคเรา"
ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
ยามสงบ ก็รบกันภายใน
พรรคเพื่อไทย อยู่ในยามที่ต้องเผชิญทั้งศึกใน-ศึกนอก
การขับเคลื่อนคนพลพรรคและกิจกรรมการเมือง จึงต้องดัดแปลง-ปรับเปลี่ยนให้สอดคล้องกับสถานการณ์
เฉพาะอย่างยิ่ง "ศึกใน" ที่คุกรุ่น-มีควัน พร้อมลุกเป็นไฟตลอดเวลา
ทั้งการแข่งบารมีขึ้นเป็น "หัวหน้า" หมายเลข 1 กรณีอุบัติเหตุการเมือง หวังพลิกเกมเปลี่ยนข้างเป็นรัฐบาล
ทั้งความพยายามที่จะปรับ-เปลี่ยน "หัว" ของแต่ละภาค ขึ้นคุมเกมก่อนการเลือกตั้ง
ทั้งความขัดแย้ง-ปีนเกลียวกันเอง ระหว่าง "ทีมการเมือง" และ "ทีมเศรษฐกิจ" และความไม่ลงรอยในคณะกรรมการบริหารพรรค
ทั้งความหวั่นไหว ระส่ำระสาย ที่จำนวน ส.ส.นับวันจืดจางห่างหายจากพรรค เพื่อไปวางฐานกับพรรคใหม่ อนาคตไกล อย่างพรรคภูมิใจไทย
ยิ่งทำให้ "นายใหญ่" และคณะนักการเมืองบ้านเลขที่ 111 และคณะพลังประชาชน 37 คน ต้องเร่งเข้าไปจัดแถว-วางแผน จัดอีเวนต์ มหกรรมแคมเปญการเมือง เป็นโปรแกรมระยะยาวต่อเนื่องตลอดครึ่งหลังของปี 2553
ทางหนึ่ง เพื่อสร้างขวัญ-กำลังใจให้นักการเมืองภายในพรรค
ทางหนึ่ง เพื่อข่มขวัญ-กดดันพรรคการเมืองคู่แข่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ภาคเหนือ-อีสาน
แต่ปัจจัย-เงื่อนไขสำคัญอยู่ที่การขับเคลื่อนภายใน ที่ต้องอาศัย "ปุ๋ย" และ "ท่อน้ำเลี้ยง" ดังนั้น ความพยายามที่จะหา "หัว-ตัวจ่าย" ที่ชัดเจน ทั้งในการจัด แคมเปญ และการจัดตั้งล่วงหน้า
การทำบุญ-บังหน้า-กลบเกลื่อนความขัดแย้งภายใน จึงถูกจัดให้มีขึ้น
อ้างถึงวาระก่อตั้งพรรคไทยรักไทย และ วาระคล้ายวันเกิดเจ้าของพรรค "ทักษิณ ชินวัตร" และวาระถวายเทียนพรรษา
หวังผลรูปธรรม-ย้ำแบรนด์ "ทักษิณกลับบ้าน" และชนะเลือกตั้ง
แต่ยามระส่ำ-ระสาย ท่อน้ำ-ปุ๋ยไม่สมบูรณ์ พรรคที่ ส.ส.เกือบครึ่งสภา ผู้แทนฯ 183 คน จึงปรากฏตัวเข้าร่วมงานบุญ ณ ที่ทำการพรรคเพียง 50 คน
มีตัวแทน นายพายัพ ชินวัตร ที่เป็น "หัว" ส.ส.สายอีสาน เป็นประธานในพิธี
และมีการสร้างขวัญ-เพิ่มกำลังใจ-เช็กเสียง ส.ส.ในวาระสัมมนา ส.ส.ภาคอีสาน ติดปลายนวม
แม้มีฐานะ-ศักดิ์ศรีผู้นำฝ่ายค้าน ที่มีจำนวน ส.ส.มากที่สุดในสภาผู้แทนราษฎร แต่สถานภาพจริงของ ส.ส.เพื่อไทยไม่คึกคัก แม้มีงานบุญใหญ่
ตอกย้ำการดำรงอยู่ของมรสุมภายนอกที่รุมเร้าและมรสุมภายในพรรค
โดยเฉพาะประเด็นที่ "ทอล์กออฟเดอะเพื่อไทย" ที่ว่าด้วย "ปุ๋ยน้ำเลี้ยง" ที่เหือดแห้ง-หดหายไปตั้งแต่หลังเหตุการณ์ "พฤษภาอำมหิต"
ทุกบัญชี ทุกช่องทาง ถูกปิดท่อ วางกับดัก จนกระทั่งไม่สามารถขยับขยาย
"พายัพ ชินวัตร" เข้าใจกระแส-วาระที่ ส.ส.กังวล-กดดันเป็นอย่างดี จึงมีวาระปลุก-ปลอบ
"ลองนึกดูในยุคสมัย พ.ต.ท.ทักษิณ เราใช้เงิน ใช้สติปัญญา ใช้กำลังความสามารถทำงาน แต่พอมาถึงยุคเรา หากลองสังเกต เช่น ต้นไม้ต้นหนึ่ง ถ้าเราจะทำสวน พรวนดินให้ปุ๋ย เตรียมพื้นที่หาพันธุ์ ช่วงนี้เราต้องใช้สติปัญญามากมาย สิ่งที่ท่านทักษิณปลูกไว้ในอีสาน ก็มีความเจริญมาถึงทุกวันนี้"
"มาวันนี้ เรากำลังเดือดร้อน ถูกกดดันสารพัด เหมือนต้นไม้ที่เราได้โตงอกงาม เวลาต้นไม้กำลังออกดอกออกผล สังเกตได้ว่า ต้นไม้ก็จะถูกความกดดันสารพัด ขาดน้ำ ปุ๋ย แสดงว่าต้นไม้ของท่านทักษิณที่กำลังปลูกไว้กำลังจะเจริญงอกงาม ออกดอกผลอันยิ่งใหญ่ ท่านไม่ต้องตกใจ ถ้าเราใช้น้ำ ปุ๋ย ตอนนี้ต้นไม้ของเราจะไม่ออกดอกออกผล"
"วันนี้เราต้องยอมรับความกดดันทุกด้าน สิ่งที่สำคัญในการต่อสู้กับความสำเร็จ ไม่ใช่เงินทอง อำนาจ แต่เป็นความจริงใจ ตั้งใจ สามัคคี ที่มีอุดมการณ์ร่วมกัน ผมมั่นใจ อะไรก็ตาม สู้ความจริงใจ ความสามัคคี ไม่ได้ ความสามัคคีที่มีทิศทาง เป้าหมาย อย่างชัดเจน นั่นคือความสำเร็จของเราในอนาคต" น้อง พ.ต.ท.ทักษิณกล่าว
วาระทำงานการเมือง ก่อนการเลือก ตั้งใหญ่ ถูกโฟกัสที่ภาคอีสาน-พื้นที่สีแดง
โดยในภาคอีสานจะแบ่งเป็น 4 โซน ประกอบด้วยอีสานตอนเหนือ อีสานตอนกลาง อีสานตอนล่าง และอีสานตะวันออก เพื่อความละเอียดในการทำงาน โดยมีรองประธานกรรมการภาคทำหน้าที่กำกับดูแล เพื่อให้นโยบายของภาคเป็นรูปธรรม
โดยมีวาระ-หาเสียง เรื่องน้ำ เพื่อ แก้ปัญหาภัยแล้ง และให้ความสำคัญกับการชี้แจง ขยี้-ขยายปัญหาของพรรครัฐบาล
การบรรยายเรื่อง "จุดแข็ง จุดอ่อน โอกาสและอุปสรรคของพรรคเพื่อไทยในภาคอีสาน" และแนวทางการบริหารงานของคณะกรรมการภาคอีสาน และการบรรยายพิเศษเรื่อง "ยุทธศาสตร์ของพรรคเพื่อไทย เพื่อก้าวสู่อนาคตอันสดใสของประเทศไทย" โดย นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ ส.ส.สัดส่วนพรรคเพื่อไทย และวาระ "M.P. Brain Storming" เรื่อง "ความต้องการด้านต่าง ๆ เพื่อสร้างสรรค์พรรคเพื่อไทยสู่การเป็นแกนนำในการบริหารประเทศ"
ล้วนเป็นความพยายามในการเปิดประเด็นให้เห็น "เงา-หัว" ของคนที่จะขึ้นเป็น "หัวจริง" หมายเลข 1
จึงมักมีคนในพรรคได้ยิน "ว่าที่หัวหน้าพรรค" นักการตลาด วาดฝันการได้เป็น "ว่าที่นายกรัฐมนตรี" ไม่เว้นแต่ละวัน
แผนการรณรงค์เลือกตั้งของพรรคจึงเข้ม-ข้น มีแนววิชาการตลาดเป็นจุดขาย
เน้นการลงพื้นที่จริง ตั้งแต่กลางปี 2553 ถึงต้นปี 2554
โดยในช่วงที่ 1 จะลงพื้นที่ปราศรัยในจังหวัดต่าง ๆ อาทิ ภาคเหนือ ภาคอีสาน ภาคกลาง เลาะเฉพาะพื้นที่อยู่นอกการประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน
ส่วนรูปแบบการปราศรัยจะแบ่งออกเป็น 3 รูปแบบ คือรูปแบบที่ 1 การลงพื้นที่แบบเคาะประตูบ้านทำความเข้าใจ และรับฟังปัญหาต่าง ๆ กับพี่น้องประชาชนในพื้นที่ หมู่บ้าน, ตำบล, อำเภอ
รูปแบบที่ 2 คือการเปิดเวทีปราศรัยใหญ่ โดยผู้บริหารพรรค ส.ส.ของพรรค อาทิ พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ ประธานพรรค ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ประธาน ส.ส. นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ หัวหน้าพรรค นายปลอดประสพ สุรัสวดี รองหัวหน้าพรรค และนายจตุพร พรหมพันธุ์, น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ, นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรค, นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ รองโฆษกพรรค
ส่วนรูปแบบที่ 3 จะเป็นการแสดงนิทรรศการขนาดใหญ่ ในหัวข้อ "7 วัน 7 ความเจ็บปวดของประชาชน" โดยจะเริ่มจัดนิทรรศการรูปแบบใหม่ โดยใช้แนวคิด "รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส"
นายคณวัฒน์ วศินสังวร รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า กิจกรรมของพรรคเพื่อไทยในฐานะฝ่ายค้านทำหน้าที่ตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล จะหยิบยกเอาประเด็นว่ารัฐบาลได้ทำอะไรไม่ถูกต้องบ้าง เช่น การยังคง พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และการใช้ความรุนแรงสลายการชุมนุม รวมทั้งการบริหารราชการที่ไม่มีประสิทธิภาพและ ส่อทุจริต
ส่วนเป้าหมายสำหรับการเลือกตั้งใหญ่นั้น "คณวัฒน์" ยอมรับว่า การรณรงค์ ต่าง ๆ ก็หวังผลคะแนนนิยมของพรรค โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เหลือเวลาอีกไม่นาน ก็จะเข้าสู่ช่วงเลือกตั้งใหญ่ จึงต้องรณรงค์ให้เห็นความล้มเหลวของรัฐบาล
ปัญหาการเมือง-กระดานใหญ่ ที่อาจหกสูงไปทางรัฐบาล และฝ่ายค้านหกต่ำ เพราะการ "ตกเขียว" ส.ส.ในสภาไว้ล่วงหน้า เป็นภาระใหญ่ที่กรรมการบริหารพรรคเพื่อไทยขว้างไม่พ้นคอ
"เป็นธรรมดาที่จะต้องหา ส.ส.และ ผู้สมัครรับเลือกตั้งเข้าพรรคตัวเอง"
มหกรรมแคมเปญเลือกตั้ง-สร้างภาพ ลบความขัดแย้ง จึงเป็นคำตอบสำหรับปัญหาเฉพาะหน้า
"เป็นหน้าที่ของกรรมการบริหารพรรคและผู้บริหารระดับสูงที่ต้องรักษาความนิยมของพรรคต่อไป เพราะถ้ายังมีความนิยม ก็เชื่อว่า ส.ส.จะไม่ย้ายออกไป เนื่องจาก หากย้ายออกไป ก็ไม่รู้จะเอาอะไรไปขายในช่วงหาเสียงเลือกตั้ง ไม่มีพรรคใดที่สามารถทำ ให้นโยบายเป็นรูปธรรมได้เหมือนพรรคเรา"
ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
วันจันทร์ที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2553
นายพลแห่รีไทร์ เซ็งไม่ใช่เด็ก'บูรพาพยัคฆ์'ประวิตรถกโผล็อกปลัดกห.
กองทัพระส่ำ! "ประวิตร" เรียกบอร์ดประชุมจัด "โผทหาร" อังคารนี้ เก้าอี้ "ปลัดกลาโหม" วุ่น "ป้อม" ดันน้องรักหักเหลี่ยมเพื่อน ตท.8 "ประยุทธ์" นอนมาคว้า "ผบ.ทบ." แถมได้สิทธิ์ร่วมจัดทีม 5 เสือ ทบ. สะพัด "นายพล" หน่ายสายบูรพาพยัคฆ์ ยื่นใบสมัครเออร์ลีรีไทร์อื้อ
วันอาทิตย์ที่ผ่านมา มีรายงานความเคลื่อนไหวภายในกองทัพที่น่าสนใจ เมื่อ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในฐานะประธานคณะกรรมการปรับย้ายนายทหารระดับชั้นยศนายพล ตามพระราชบัญญัติจัดระเบียบกระทรวงกลาโหม ได้เรียกประชุมคณะกรรมการฯ ในวันที่ 20 ก.ค.นี้ เพื่อหารือในการจัดทำบัญชีรายชื่อโยกย้ายนายทหารประจำปี
ตามกฎหมายระบุว่า คณะกรรมการปรับย้ายนายทหารระดับชั้นยศนายพล มีจำนวน 7 คน ตามตำแหน่ง ซึ่งโครงสร้างของบอร์ดจะมี รมช.กลาโหมอยู่ด้วย แต่ในรัฐบาลชุดนี้ไม่มีตำแหน่ง รมช.กลาโหม ทำให้คณะกรรมการทั้งหมดมีองค์ประชุม 6 คน ประกอบด้วย พล.อ.ประวิตร, พล.อ.อภิชาต เพ็ญกิตติ ปลัดกระทรวงกลาโหม, พล.อ.ทรงกิตติ จักกาบาตร์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด, พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก, พล.ร.อ.กำธร พุ่มหิรัญ ผู้บัญชาการทหารเรือ และ พล.อ.อ.อิทธพร ศุภวงศ์ ผู้บัญชาการทหารอากาศ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในปีนี้จะมีการสรรหาบุคคลที่จะมาดำรงตำแหน่งที่สำคัญในกองทัพ โดยเฉพาะปลัดกระทรวงกลาโหม แทน พล.อ.อภิชาต และผู้บัญชาการทหารบก แทน พล.อ.อนุพงษ์ ที่จะเกษียณในปีนี้
ก่อนหน้านี้ พล.อ.ประวิตรได้ให้นโยบายในการปรับย้ายครั้งนี้ว่า ต้องพิจารณาให้เกิดความยุติธรรมสูงสุด อีกทั้งต้องเป็นไปตามหลักอาวุโสและความเหมาะสม ลดกระแสความแตกแยกในกองทัพ
อย่างไรก็ตาม นโยบายดังกล่าวถูกวิจารณ์ว่าอาจไม่สามารถปฏิบัติได้จริง เพราะมีแนวโน้มที่การปรับย้ายครั้งนี้อาจต้องวางฐานอำนาจของกลุ่มบูรพาพยัคฆ์ เพื่อให้เชื่อมั่นว่าการปฏิบัติงานต่างๆ จะไม่เกิดอุปสรรคขึ้นได้
มีรายงานว่า ขณะนี้เหล่าทัพได้จัดทำบัญชีโยกย้ายในดราฟต์แรกเสร็จสิ้นแล้ว แต่หลายตำแหน่งยังมีการซ้ำซ้อน ซึ่งต้องมีการเจรจากันอีก เพื่อให้หมุนคนลงตำแหน่งให้เกิดความเหมาะสม และไม่เกิดความขัดแย้งขึ้น โดยเฉพาะการสลับตำแหน่งข้ามหน่วยระดับกองบัญชาการและสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม
สำหรับตำแหน่งที่ยังเป็นปัญหาในขณะนี้คือ ผู้ที่จะมาดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงกลาโหม ที่มีแนวโน้มว่าอาจจะมีการเสนอ พล.อ.กิตติพงษ์ เกษโกวิท (ตท.8) รองผู้บัญชาการทหารสูงสุด น้องรักของ พล.อ.ประวิตร ให้ข้ามมาเป็นปลัดกระทรวงกลาโหม โดยให้เหตุผลว่าอาวุโสในการครองยศพลเอกมาก่อน พล.อ.พหล สง่าเนตร (ตท.8) รองปลัดกระทรวงกลาโหม ซึ่งเป็นคนในสำนักงานปลัดฯ ท่ามกลางกระแสข่าวที่ระบุว่ารัฐบาลไม่พอใจ พล.อ.พหล ที่วิจารณ์รัฐบาลในการแก้ไขปัญหาวิกฤติการเมืองที่ผ่านมากลางที่ประชุม ที่อาจมีปัญหาในการหาที่ลงให้ พล.อ.พหล ซึ่งอย่างน้อยต้องสลับมาเป็นรอง ผบ.สส.
"ทว่า พล.อ.ทรงกิตติ จักกาบาตร์ ผบ.สส.ก็ต้องการให้ พล.อ.พิรุณ แผ้วพลสง เพื่อน ตท.10 เหล่าทหารม้าด้วยกันได้ข้ามมาเป็นรอง ผบ.สส. ซึ่งข้อสรุปในเรื่องดังกล่าวคงต้องหารือกันในที่ประชุมอีกครั้ง" แหล่งข่าวระบุ
ในส่วนของกองทัพบก พล.อ.อนุพงษ์จะเสนอชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา รอง ผบ.ทบ.ขึ้นเป็น ผบ.ทบ.ตามคาด โดยมี พล.อ.วิชญ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา ผช.ผบ.ทบ. ขยับขึ้นเป็นรอง ผบ.ทบ. ส่วนตำแหน่ง ผช.ผบ.ทบ. คาดว่าอาจจะให้ พล.อ.ประยุทธ์ได้เลือกทีมงานของตนเองอีก 1 คน จากที่เลือก พล.ท.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ รองเสธ.ทบ. มาเป็น เสธ.ทบ. ซึ่งคาดว่าจะเสนอชื่อ พล.ท.ชลวิชญ์ เพิ่มทรัพย์ ปลัดบัญชีทหารบก ขึ้นเป็น ผช.ผบ.ทบ.
ส่วน ผช.ผบ.ทบ.อีกหนึ่งตำแหน่ง ยังต้องพิจารณาเลือกระหว่างแม่ทัพภาคที่จะขยับขึ้นมา ซึ่งมีแนวโน้มว่าจะเป็น พล.ท.คณิต สาพิทักษ์ แม่ทัพภาคที่ 1 ในขณะที่หลายฝ่ายมองว่าอาจจะเลือก พล.ท.พิเชษฐ์ วิสัยจร แม่ทัพภาคที่ 4 ขึ้นมากินอัตราพลเอกก่อนเกษียณ 1 ปี
มีรายงานว่าในปีนี้ถือว่าจะมีผู้ที่ขอเกษียณอายุราชการก่อนกำหนดจำนวนมากเป็นประวัติการณ์ และจะถือเป็นปีที่มีนายพลใหม่มากเป็นประวัติการณ์ด้วย เนื่องจากเกิดกระแสความเบื่อหน่ายในกองทัพ ที่ต้องเจอกับสภาพที่ไม่ก้าวหน้าในชีวิตรับราชการ เพราะตัวเองไม่ใช่สายบูรพาพยัคฆ์หรือทหารที่ใกล้ชิดกับขั้วอำนาจนี้.
ที่มา.ไทยโพสต์
วันอาทิตย์ที่ผ่านมา มีรายงานความเคลื่อนไหวภายในกองทัพที่น่าสนใจ เมื่อ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในฐานะประธานคณะกรรมการปรับย้ายนายทหารระดับชั้นยศนายพล ตามพระราชบัญญัติจัดระเบียบกระทรวงกลาโหม ได้เรียกประชุมคณะกรรมการฯ ในวันที่ 20 ก.ค.นี้ เพื่อหารือในการจัดทำบัญชีรายชื่อโยกย้ายนายทหารประจำปี
ตามกฎหมายระบุว่า คณะกรรมการปรับย้ายนายทหารระดับชั้นยศนายพล มีจำนวน 7 คน ตามตำแหน่ง ซึ่งโครงสร้างของบอร์ดจะมี รมช.กลาโหมอยู่ด้วย แต่ในรัฐบาลชุดนี้ไม่มีตำแหน่ง รมช.กลาโหม ทำให้คณะกรรมการทั้งหมดมีองค์ประชุม 6 คน ประกอบด้วย พล.อ.ประวิตร, พล.อ.อภิชาต เพ็ญกิตติ ปลัดกระทรวงกลาโหม, พล.อ.ทรงกิตติ จักกาบาตร์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด, พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก, พล.ร.อ.กำธร พุ่มหิรัญ ผู้บัญชาการทหารเรือ และ พล.อ.อ.อิทธพร ศุภวงศ์ ผู้บัญชาการทหารอากาศ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในปีนี้จะมีการสรรหาบุคคลที่จะมาดำรงตำแหน่งที่สำคัญในกองทัพ โดยเฉพาะปลัดกระทรวงกลาโหม แทน พล.อ.อภิชาต และผู้บัญชาการทหารบก แทน พล.อ.อนุพงษ์ ที่จะเกษียณในปีนี้
ก่อนหน้านี้ พล.อ.ประวิตรได้ให้นโยบายในการปรับย้ายครั้งนี้ว่า ต้องพิจารณาให้เกิดความยุติธรรมสูงสุด อีกทั้งต้องเป็นไปตามหลักอาวุโสและความเหมาะสม ลดกระแสความแตกแยกในกองทัพ
อย่างไรก็ตาม นโยบายดังกล่าวถูกวิจารณ์ว่าอาจไม่สามารถปฏิบัติได้จริง เพราะมีแนวโน้มที่การปรับย้ายครั้งนี้อาจต้องวางฐานอำนาจของกลุ่มบูรพาพยัคฆ์ เพื่อให้เชื่อมั่นว่าการปฏิบัติงานต่างๆ จะไม่เกิดอุปสรรคขึ้นได้
มีรายงานว่า ขณะนี้เหล่าทัพได้จัดทำบัญชีโยกย้ายในดราฟต์แรกเสร็จสิ้นแล้ว แต่หลายตำแหน่งยังมีการซ้ำซ้อน ซึ่งต้องมีการเจรจากันอีก เพื่อให้หมุนคนลงตำแหน่งให้เกิดความเหมาะสม และไม่เกิดความขัดแย้งขึ้น โดยเฉพาะการสลับตำแหน่งข้ามหน่วยระดับกองบัญชาการและสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม
สำหรับตำแหน่งที่ยังเป็นปัญหาในขณะนี้คือ ผู้ที่จะมาดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงกลาโหม ที่มีแนวโน้มว่าอาจจะมีการเสนอ พล.อ.กิตติพงษ์ เกษโกวิท (ตท.8) รองผู้บัญชาการทหารสูงสุด น้องรักของ พล.อ.ประวิตร ให้ข้ามมาเป็นปลัดกระทรวงกลาโหม โดยให้เหตุผลว่าอาวุโสในการครองยศพลเอกมาก่อน พล.อ.พหล สง่าเนตร (ตท.8) รองปลัดกระทรวงกลาโหม ซึ่งเป็นคนในสำนักงานปลัดฯ ท่ามกลางกระแสข่าวที่ระบุว่ารัฐบาลไม่พอใจ พล.อ.พหล ที่วิจารณ์รัฐบาลในการแก้ไขปัญหาวิกฤติการเมืองที่ผ่านมากลางที่ประชุม ที่อาจมีปัญหาในการหาที่ลงให้ พล.อ.พหล ซึ่งอย่างน้อยต้องสลับมาเป็นรอง ผบ.สส.
"ทว่า พล.อ.ทรงกิตติ จักกาบาตร์ ผบ.สส.ก็ต้องการให้ พล.อ.พิรุณ แผ้วพลสง เพื่อน ตท.10 เหล่าทหารม้าด้วยกันได้ข้ามมาเป็นรอง ผบ.สส. ซึ่งข้อสรุปในเรื่องดังกล่าวคงต้องหารือกันในที่ประชุมอีกครั้ง" แหล่งข่าวระบุ
ในส่วนของกองทัพบก พล.อ.อนุพงษ์จะเสนอชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา รอง ผบ.ทบ.ขึ้นเป็น ผบ.ทบ.ตามคาด โดยมี พล.อ.วิชญ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา ผช.ผบ.ทบ. ขยับขึ้นเป็นรอง ผบ.ทบ. ส่วนตำแหน่ง ผช.ผบ.ทบ. คาดว่าอาจจะให้ พล.อ.ประยุทธ์ได้เลือกทีมงานของตนเองอีก 1 คน จากที่เลือก พล.ท.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ รองเสธ.ทบ. มาเป็น เสธ.ทบ. ซึ่งคาดว่าจะเสนอชื่อ พล.ท.ชลวิชญ์ เพิ่มทรัพย์ ปลัดบัญชีทหารบก ขึ้นเป็น ผช.ผบ.ทบ.
ส่วน ผช.ผบ.ทบ.อีกหนึ่งตำแหน่ง ยังต้องพิจารณาเลือกระหว่างแม่ทัพภาคที่จะขยับขึ้นมา ซึ่งมีแนวโน้มว่าจะเป็น พล.ท.คณิต สาพิทักษ์ แม่ทัพภาคที่ 1 ในขณะที่หลายฝ่ายมองว่าอาจจะเลือก พล.ท.พิเชษฐ์ วิสัยจร แม่ทัพภาคที่ 4 ขึ้นมากินอัตราพลเอกก่อนเกษียณ 1 ปี
มีรายงานว่าในปีนี้ถือว่าจะมีผู้ที่ขอเกษียณอายุราชการก่อนกำหนดจำนวนมากเป็นประวัติการณ์ และจะถือเป็นปีที่มีนายพลใหม่มากเป็นประวัติการณ์ด้วย เนื่องจากเกิดกระแสความเบื่อหน่ายในกองทัพ ที่ต้องเจอกับสภาพที่ไม่ก้าวหน้าในชีวิตรับราชการ เพราะตัวเองไม่ใช่สายบูรพาพยัคฆ์หรือทหารที่ใกล้ชิดกับขั้วอำนาจนี้.
ที่มา.ไทยโพสต์
กกต.ชี้ยุบพรรขึ้นกับศาล ไม่เกี่ยวคดีทีพีไอ
กกต.ลั่นดีเอสไอไม่ฟ้องทีพีไอ โพลีน ไม่ส่งผลคดียุบพรรค ระบุยุบหรือไม่ เป็นเรื่องของศาล เตือนการเมืองอย่าชี้นำคดี
นางสดศรี สัตยธรรม กกต. ด้านกิจการพรรคการเมือง กล่าวถึงกรณีที่กรมสอบสวนคดีพิเศษหรือดีเอสไอมีความเห็นสั่งไม่ฟ้องบริษัท ทีพีไอ โพลีน จำกัด (มหาชน) ที่ว่าจ้างบริษัท แมชไซอะ บิซิเนสแอนครีเอชั่นจำกัด ทำสื่อโฆษณา ว่า เรื่องดังกล่าวนี้ไม่น่าจะมีผลต่อคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ เพราะถือว่าเป็นคนละส่วนกัน เนื่องจากกรณีดังกล่าวนี้เป็นเรื่องที่ดีเอสไอตรวจสอบแล้วเห็นว่าเกี่ยวข้องกับพ.ร.บ.พรรคการเมือง จึงส่งมาให้กกต.ตรวจสอบ เมื่อกกต.ตรวจสอบแล้วพบว่ามีการบริจาคเงิน 258 ล้านบาท ให้กับพรรคประชาธิปัตย์ แต่ไม่ได้มีการแจ้ง หรือรายงานเข้าให้กกต.ทราบตามที่กฎหมายระบุไว้ ซึ่งกรณีนี้ถือเป็นคนละส่วนกับที่ดีเอสไอ ตรวจสอบ ว่าน่าจะมีการไซฟอนเงินและเป็นการกระทำผิดตามพ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งเป็นเรื่องของดีเอสไอ ที่ต้องไปดำเนินการ หากไม่ดำเนินไม่ดำเนินการก็เป็นเรื่องของดีเอสไอ
เมื่อถามว่า ทางดีเอสไออ้างงว่าหลักฐานที่มีอยู่เป็นเพียงการกล่าวอ้างของบุคคล จึงยังไม่สามารถนำไปฟ้องได้ นางสดศรี กล่าวว่า หลักฐานที่มีหรือไม่ขึ้นอยู่ที่ศาล ซึ่งเราจะไม่ก้าวล่วงขึ้นอยู่ที่ศาล กกต.ไม่ชี้นำ ส่วนดีเอสไอจะชี้นำศาลก็เป็นเรื่องของดีเอสไอ ซึ่งศาลจะพิจารณาตามที่หลักฐานที่อัยการสูงสุดที่ส่งไป โดยคดีนี้จะหลุดหรือไม่หลุดอยู่ที่ศาล
“ขณะนี้เรื่องดังกล่าวอยู่ที่ศาลแล้ว ควรที่จะยุติ เราไม่ควรที่จะนำมาพูดแล้ว ซึ่งศาลจะเป็นผู้พิจารณาเรื่องนี้เอง ส่วนจะแพ้หรือชนะกกต.คงไม่ไปชี้นำ ส่วนที่หลายคนมองว่ามีกระบวนการที่กดดันศาลนั้น เห็นว่า ตอนนี้มีการนำการเมืองมาเล่นกับคดี แต่ศาลก็ต้องพิจารณาไป ซึ่งการชี้นำ เห็นว่าเป็นการกระทำที่ไม่ชอบทั้งที่ต่างฝ่ายต่างมีข้อต่อสู้ที่จะนำเข้าสู่กระบวนการ โดยศาลจะเป็นผู้ชี้ทางเองว่าถูกหรือผิดอย่างไร การจะยุบหรือไม่ยุบไม่ต้องเดือดร้อน เป็นเรื่องอนาคตข้างหน้าและเป็นการทำตามหน้าที่หน้าที่ใครหน้าที่มัน ซึ่งเรื่องนี้กกต.ไม่ได้ทำเองเป็นเรื่องที่ดีเอสไอ ส่งมาให้กกต.ดำเนินการ ถ้าจะมองว่าใครเป็นคนต้นเรื่องก็น่าจะเป็นดีเอสไอ เพราะกกต.ทำเองไม่ได้หากไม่มีคนร้อง ” นางสดศรี กล่าวว่า
เมื่อถามว่ากรณีดังกล่าวกรณีนี้มีความเป็นไปได้ว่าจะเป็นความผิดแค่ตัวบุคคลไม่ถึงยุบพรรค และกรรมการบริหารพรรค นางสดศรี กล่าวว่า เงินบริจาคต้องสอบสวนก่อนว่าจะถึงตัวบุคคลหรือไม่ เรื่องนี้ศาลจะต้องฟังพยานหลักฐาน รวมถึงข้อต่อสู้ต่อไปว่ากรรมการบริหารของพรรคประชาธิปัตย์จะมีส่วนเกี่ยวข้อง และรู้เห็นหรือไม่ก็เป็นไปตามพยานหลักฐานที่ส่งไป
เมื่อถามย้ำถึงนักวิชาการออกมาระบุว่าพรรคประชาธิปัตย์น่าจะมีทางรอดการยุบพรรค เพราะพ.ร.บ.พรรคการเมืองขัดกับรัฐธรรมนูญนั้น นางสดศรี กล่าวว่า ก่อนที่จะออกมาเป็นพ.ร.บ.พรรคการเมือง พ.ศ.2550 เรื่องนี้ได้มีการดำเนินในชั้นของสภาและต้องส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาภายใน 30 วัน ก่อนประกาศในราชกิจจานุเบกษา และมีผลบังคับใช้ เพราะฉะนั้นเมื่อผ่านกระทบวนการนี้มาแล้วก็ไม่น่าจะขัดกฎหมาย เพราะศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาแล้ว ดังนั้นจึงอยากให้นายปริญญา เทวานฤมิตรกุล รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กลับไปดูรัฐธรรมนูญมาตรา 141 ก่อนที่จะออกมาพูด
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
นางสดศรี สัตยธรรม กกต. ด้านกิจการพรรคการเมือง กล่าวถึงกรณีที่กรมสอบสวนคดีพิเศษหรือดีเอสไอมีความเห็นสั่งไม่ฟ้องบริษัท ทีพีไอ โพลีน จำกัด (มหาชน) ที่ว่าจ้างบริษัท แมชไซอะ บิซิเนสแอนครีเอชั่นจำกัด ทำสื่อโฆษณา ว่า เรื่องดังกล่าวนี้ไม่น่าจะมีผลต่อคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ เพราะถือว่าเป็นคนละส่วนกัน เนื่องจากกรณีดังกล่าวนี้เป็นเรื่องที่ดีเอสไอตรวจสอบแล้วเห็นว่าเกี่ยวข้องกับพ.ร.บ.พรรคการเมือง จึงส่งมาให้กกต.ตรวจสอบ เมื่อกกต.ตรวจสอบแล้วพบว่ามีการบริจาคเงิน 258 ล้านบาท ให้กับพรรคประชาธิปัตย์ แต่ไม่ได้มีการแจ้ง หรือรายงานเข้าให้กกต.ทราบตามที่กฎหมายระบุไว้ ซึ่งกรณีนี้ถือเป็นคนละส่วนกับที่ดีเอสไอ ตรวจสอบ ว่าน่าจะมีการไซฟอนเงินและเป็นการกระทำผิดตามพ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งเป็นเรื่องของดีเอสไอ ที่ต้องไปดำเนินการ หากไม่ดำเนินไม่ดำเนินการก็เป็นเรื่องของดีเอสไอ
เมื่อถามว่า ทางดีเอสไออ้างงว่าหลักฐานที่มีอยู่เป็นเพียงการกล่าวอ้างของบุคคล จึงยังไม่สามารถนำไปฟ้องได้ นางสดศรี กล่าวว่า หลักฐานที่มีหรือไม่ขึ้นอยู่ที่ศาล ซึ่งเราจะไม่ก้าวล่วงขึ้นอยู่ที่ศาล กกต.ไม่ชี้นำ ส่วนดีเอสไอจะชี้นำศาลก็เป็นเรื่องของดีเอสไอ ซึ่งศาลจะพิจารณาตามที่หลักฐานที่อัยการสูงสุดที่ส่งไป โดยคดีนี้จะหลุดหรือไม่หลุดอยู่ที่ศาล
“ขณะนี้เรื่องดังกล่าวอยู่ที่ศาลแล้ว ควรที่จะยุติ เราไม่ควรที่จะนำมาพูดแล้ว ซึ่งศาลจะเป็นผู้พิจารณาเรื่องนี้เอง ส่วนจะแพ้หรือชนะกกต.คงไม่ไปชี้นำ ส่วนที่หลายคนมองว่ามีกระบวนการที่กดดันศาลนั้น เห็นว่า ตอนนี้มีการนำการเมืองมาเล่นกับคดี แต่ศาลก็ต้องพิจารณาไป ซึ่งการชี้นำ เห็นว่าเป็นการกระทำที่ไม่ชอบทั้งที่ต่างฝ่ายต่างมีข้อต่อสู้ที่จะนำเข้าสู่กระบวนการ โดยศาลจะเป็นผู้ชี้ทางเองว่าถูกหรือผิดอย่างไร การจะยุบหรือไม่ยุบไม่ต้องเดือดร้อน เป็นเรื่องอนาคตข้างหน้าและเป็นการทำตามหน้าที่หน้าที่ใครหน้าที่มัน ซึ่งเรื่องนี้กกต.ไม่ได้ทำเองเป็นเรื่องที่ดีเอสไอ ส่งมาให้กกต.ดำเนินการ ถ้าจะมองว่าใครเป็นคนต้นเรื่องก็น่าจะเป็นดีเอสไอ เพราะกกต.ทำเองไม่ได้หากไม่มีคนร้อง ” นางสดศรี กล่าวว่า
เมื่อถามว่ากรณีดังกล่าวกรณีนี้มีความเป็นไปได้ว่าจะเป็นความผิดแค่ตัวบุคคลไม่ถึงยุบพรรค และกรรมการบริหารพรรค นางสดศรี กล่าวว่า เงินบริจาคต้องสอบสวนก่อนว่าจะถึงตัวบุคคลหรือไม่ เรื่องนี้ศาลจะต้องฟังพยานหลักฐาน รวมถึงข้อต่อสู้ต่อไปว่ากรรมการบริหารของพรรคประชาธิปัตย์จะมีส่วนเกี่ยวข้อง และรู้เห็นหรือไม่ก็เป็นไปตามพยานหลักฐานที่ส่งไป
เมื่อถามย้ำถึงนักวิชาการออกมาระบุว่าพรรคประชาธิปัตย์น่าจะมีทางรอดการยุบพรรค เพราะพ.ร.บ.พรรคการเมืองขัดกับรัฐธรรมนูญนั้น นางสดศรี กล่าวว่า ก่อนที่จะออกมาเป็นพ.ร.บ.พรรคการเมือง พ.ศ.2550 เรื่องนี้ได้มีการดำเนินในชั้นของสภาและต้องส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาภายใน 30 วัน ก่อนประกาศในราชกิจจานุเบกษา และมีผลบังคับใช้ เพราะฉะนั้นเมื่อผ่านกระทบวนการนี้มาแล้วก็ไม่น่าจะขัดกฎหมาย เพราะศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาแล้ว ดังนั้นจึงอยากให้นายปริญญา เทวานฤมิตรกุล รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กลับไปดูรัฐธรรมนูญมาตรา 141 ก่อนที่จะออกมาพูด
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
สิทธิมนุษยชนเหนือ ธนกิจการเมือง
“หน้ากระดานเรียงหนึ่ง กดปุ่ม อภิวัฒน์ประเทศ” วิพากษ์กระบวนการขับเคลื่อนประเทศ คู่ขนานมหากาพย์ปฏิรูปประเทศ แตกประเด็นให้เห็นเด่นชัดอย่างรอบด้าน ฉบับนี้ ปักหมุดตั้งเข็มทิศ สโคปไปที่วาระแห่งสิทธิมนุษยชน ผ่าน มุมมอง “น.พ.นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ” กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ที่ได้ให้ความเห็นไว้ได้อย่าง น่าสนใจยิ่ง
> แก่นของปัญหาสิทธิมนุษยชนในไทย
“เรื่องหลักๆ ในปัญหาเรื่องละเมิดสิทธิมนุษยชนในสังคมไทย 1.เป็นเรื่องของสิทธิในกระบวนการยุติธรรม ส่วนที่ 2 เป็นเรื่องสิทธิชุมชน ประกอบด้วยสิทธิในการเข้า ถึงการบริหารจัดการและการใช้ประโยชน์ทรัพยากรธรรมชาติ และอีกส่วนหนึ่งของ สิทธิชุมชน คือการที่ต้องยอมรับในวัฒนธรรม หรือวิถีชีวิต ซึ่งเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องที่สำคัญ ทำให้ เห็นว่า ระบอบประชาธิปไตยในบ้านเรา ยอมรับความหลากหลาย
“ส่วนที่ 3 คือ สิทธิเด็ก สตรี ผู้ด้อยโอกาส คนขอทาน หรือคนไร้บ้าน ซึ่งคนเหล่า นี้ด้อยโอกาสในทางสังคม ที่บางครั้งเรานึก ไม่ถึง นอกจากนี้ ยังมีการละเมิดสิทธิอื่นๆ เช่น สิทธิเรื่องสื่อ รวมไปถึงแรงงานข้ามชาติ เป็นต้น”
> แนวทางแก้ปัญหาในภาพกว้าง
“ต้องทำความเข้าใจว่า ระบบประชา ธิปไตยโดยประชาชน ต้องยึดหลักในการสิทธิมนุษย์ หมายถึงสิทธิเสรีภาพและเสมอภาค หลักที่เป็นประโยชน์ความถูกต้อง คือ ถ้านึกถึงสิทธิมนุษย์ ต้องนึกถึงประชาชนเป็นใหญ่ อย่างที่ท่านอาจารย์พุทธทาส พูดว่า ประชาธิปไตยไม่ใช่แค่การเลือกตั้ง แต่ประ ชาธิปไตยเราเลือกการปกครองระบบรัฐสภา แต่ต้องยึดเอาประชาชนเป็นใหญ่ ไม่ใช่เห็นว่า การเมืองเป็นของนักการเมืองเพียงอย่างเดียว ซึ่งพอเราเจอปัญหาการเมืองของนักการเมือง ที่ล้มเหลว แล้วไม่สามารถใช้อำนาจที่ตัวเองมีอยู่ในทางสร้างประโยชน์ของประชาชนได้ ตรงนี้ คือสิ่งที่การเมือง 70 กว่าปีล้มเหลว”
> ที่ผ่านมามีการแก้ปัญหาแบบท็อปดาวน์ อิงกับอิทธิพลทางธุรกิจเป็นหลัก
“ระบบธุรกิจเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องของระบอบประชาธิปไตยในสังคมไทยการ เมืองการปกครอง ที่มันชัดคือในช่วงตั้งแต่ปี 44 เป็นต้นมา ทำให้เห็นระบบทุนที่เข้ามาครอบงำ ระบบการเมือง เพราะการเมืองเป็นเรื่องของ การจัดสรรแบ่งปันผลประโยชน์ ซึ่งผลประ โยชน์ตรงนั้น อย่างที่ผมเรียนต้องเป็นประ โยชน์ของภาคประชาชน แต่เนื่องจากระบบธุรกิจที่เข้ามา ทุนกับการเมืองหลอมรวมกัน ที่เราเรียกระบบธุรกิจการเมือง Money Politic นั่นหมายความว่านักการเมืองกับนักธุรกิจเป็นคนคนเดียวกัน ทำให้เกิดมีเครือข่าย ของการสร้างฐานอำนาจ ที่เชื่อมโยงระหว่าง ผลประโยชน์ของธุรกิจกับการเมือง ที่เราเรียก ผลประโยชน์ทับซ้อน ทำให้เกิดการใช้อำนาจ ที่ไม่ชอบ ไม่ว่าอำนาจการทุจริต คอร์รัปชั่น หรืออำนาจในการละเมิดอำนาจสิทธิมนุษยชน”
“ในสมัยผมที่เป็น ส.ว. การแทรกแซงของรัฐสภาทำให้เราเกิดสิ่งที่เรียกว่าเผด็จการรัฐสภา และเมื่อไปควบรวมการผูกขาดเรื่องผลประโยชน์ ทำให้เรียกว่าทุนนิยม ผูกขาด หมายความว่า คนที่มีอำนาจและมีเงินด้วย สร้างฐานอำนาจ และผลประโยชน์จากความ ร่ำรวย ด้านดีก็คือ ทำให้ประชาชนรู้สึกได้รับการดูแลเชิงนโยบายมากขึ้น แต่นโยบายก็แค่ ฉาบฉวย เป็นนโยบายการสร้างภาพตอนหาเสียงในเชิงคุณภาพจะยังไม่เกิดขึ้น”
> หลายคนมองว่าช่วงการเมืองผลัดใบ ก็ยังเป็นไปในมิติเดิมๆ
“นี่คือสิ่งที่สังคมไทย ต้องพยายามสรุปบทเรียน เพื่อให้สังคมไทยเข้ามามีส่วนต่อสู้ของระบบทุนและก็เป็นทุนข้ามชาติ และเป็นทุนของกระแสโลกาภิวัตน์ อย่างที่อาจารย์ ณรงค์ เพ็ชรประเสริฐ บอกว่าเป็นทุนสามานย์ ที่ไม่มีเรื่องของคุณธรรมและศีลธรรม ถึงแม้ในสังคมไทยจะยอมรับในการเรื่องของธุรกิจการค้าเสรี แต่เน้นต้องเป็นธรรม ฉะนั้น สังคมไทยจะต้องรับรู้ ต้องเตรียมตัวรู้ว่า สิ่งที่อยู่เบื้องหลังการต่อสู้แย่งชิงอำนาจก็คือกลุ่มระบบทุนข้ามชาติ ทั้งส่วนกลางถึงภูมิภาค นอกจากนี้ เราต้องตระหนักในเรื่องความไม่เป็นธรรมในทางการเมือง เมื่ออำนาจทาง การเมืองมาผูกขาดและระบบทุนและทางธุรกิจ ต้องแก้ไขในเชิงโครงสร้าง และแนวคิดก็เข้า ไปสู่การปฏิรูป และแนวคิดการปฏิรูปการ เมืองในปี 2540 อย่างเดียวคงไม่เพียงพอ ปี 40 ปฏิรูปแล้วทำให้เกิดตาลปัตรเกิดระบบ ผูกขาดและเผด็จการทางรัฐสภา ในขณะนี้เรา ต้องมาสนใจในเรื่องการปฏิรูปทางเศรษฐกิจ สังคม การเมือง ครั้งที่ 2 เพื่อทำให้เกิดการ เปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง ที่สร้างความเป็นธรรมมากขึ้น นี้คือสิ่งที่สังคมไทยต้องตระหนัก และต้องเข้ามาต่อสู้รวมกัน”
> สิทธิการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนที่ถูกละเลยมานาน
“ภาคประชาชนหรือภาคสังคมได้ต่อสู้ในเรื่องการเมืองที่เป็นผลประโยชน์ของตัวเขาในเรื่องของสิทธิ และยกระดับขึ้นเป็นเชิง นโยบายโครงสร้างมาเกือบทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องปฏิรูปที่ดิน ป่าชุมชน การประมงพื้นบ้าน ที่ขณะนี้เสนอเป็นร่าง พ.ร.บ.ประมงพื้นบ้าน เรื่องแรกที่อยู่ทางเหนือ ก็เสนอร่าง พ.ร.บ.แรก หรือแม้กระทั่งเรื่องของสวัสดิการ ชุมชน หรือแม้กระทั่งเรื่องของธนาคารที่ดิน หรือกองทุนที่จะมาพัฒนาในเรื่องปฏิรูปที่ดินต่างๆ เหล่านี้ หรือแม้กระทั่งเรื่องสื่อ เรื่ององค์กรอิสระ สิ่งเหล่านี้ ภาคประชาชนได้ผลักดันในเชิงนโยบายแล้วทั้งสิ้น เพียงแต่ว่า ภาคการเมือง หรือหน่วยงานภาครัฐจะรับลูกในเรื่องของการที่ทำให้เกิดแนวทางปฏิบัติ ที่ไปแก้ไขปัญหาของเขาได้จริงๆ”
“แต่สิ่งที่มีปัญหาอยู่ในขณะนี้ ก็คือการที่รัฐบาลใช้อำนาจที่ได้รับมอบจากประ ชาชนในการที่จะแก้ไขปัญหาต่างๆ ในเชิงนโยบายโครงสร้าง ที่สอดคล้องในเรื่องของสิทธิ ในเชิงนโยบาย ได้จริงหรือ ขณะเดียวกัน จะป้องกันไม่ให้เกิดการทุจริตคอร์รัปชั่น ซึ่งมันกลายเป็นวัฒนธรรมของสังคมไทย ของนักการเมืองได้อย่างไร โครงการหรือแนวทาง ปฏิบัติในการปฏิรูปการเมือง เป็นแนวทางที่จะนำไปปฏิบัติอย่างแท้จริง และปลอดจาก การทุจริตคอร์รัปชั่น อย่างที่ในรัฐบาลชุดคุณอภิสิทธิ์ (เวชชาชีวะ) เอง ก็มีโครงการที่มีชื่อดีๆ เยอะ เช่น ไทยเข้มแข็ง หรือเศรษฐกิจพอเพียง แต่เราพบว่าโครงการเหล่านั้นก็มีปัญหาเรื่องทุจริตคอร์รัปชั่น นี่คือสิ่งที่ผมคิดว่าเป็นภาระของรัฐบาล ให้การทำงานทุก ภาคส่วนของกลไกรัฐ ทำงานควบคู่กับคณะกรรมการปฏิรูป”
> ข้อเสนอแนะต่อภาคประชาชน
“สำหรับภาคประชาชน ผมมีความมั่นใจในการพัฒนาและการเติบโตของภาคประชาชน กับภาคประชาสังคมอย่างมาก แต่ปัญหาก็คือว่า เราจะทำให้ภาคประชาชน ที่ขณะนี้ต้องยอมรับว่า ยังมีความแตกต่าง แตกแยกในเชิงความคิดในทางประชาธิปไตย ได้หันมาเห็นตรงกันว่า การเมืองของภาคพลเมืองที่จะเข้ามามีส่วนร่วมในการตัดสินใจ และผลักดันหรือกดดัน ไม่ว่าจะเป็นคณะกรรมการปฏิรูป หรือว่า คณะกรรมสมัชชา และรัฐบาลที่เป็นผู้ใช้อำนาจรัฐ ได้ใช้อำนาจรัฐที่ตัวเองได้รับมอบหมายในการแก้ไขปัญหา ได้หรือเปล่า เพื่อทำให้การปฏิรูปนั้นเป็นจริง ที่สำคัญ ผมอยากให้เกิดการต่อสู้ของภาคประชาชน ที่สามารถอยู่บนลำแข้งของตัวเอง ไม่ควรไปฝากความหวังไว้กับบรรดานักการเมือง หรืออำนาจรัฐ และตรงนี้ผมคิดว่าใช้การเมือง ของภาคประชาชน การมีส่วนร่วมของประ ชาชน ในการที่จะมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ และติดตามตรวจสอบ ผมว่าตรงนี้จะทำให้สังคมไทย มันมีความเข้มแข็งมากขึ้นอย่างแท้จริง แทนที่จะเป็นเครื่องมือของการต่อสู้แย่งชิงอำนาจ”
และนี่คือข้อเสนอในการปฏิรูปด้านสิทธิมนุษยชนที่ต้องอยู่เหนือธนกิจการเมือง ของ “น.พ.นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ” ที่รัฐบาล และทุกภาคส่วนต้องขบให้แตก
ที่มา.สยมธุรกิจ
> แก่นของปัญหาสิทธิมนุษยชนในไทย
“เรื่องหลักๆ ในปัญหาเรื่องละเมิดสิทธิมนุษยชนในสังคมไทย 1.เป็นเรื่องของสิทธิในกระบวนการยุติธรรม ส่วนที่ 2 เป็นเรื่องสิทธิชุมชน ประกอบด้วยสิทธิในการเข้า ถึงการบริหารจัดการและการใช้ประโยชน์ทรัพยากรธรรมชาติ และอีกส่วนหนึ่งของ สิทธิชุมชน คือการที่ต้องยอมรับในวัฒนธรรม หรือวิถีชีวิต ซึ่งเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องที่สำคัญ ทำให้ เห็นว่า ระบอบประชาธิปไตยในบ้านเรา ยอมรับความหลากหลาย
“ส่วนที่ 3 คือ สิทธิเด็ก สตรี ผู้ด้อยโอกาส คนขอทาน หรือคนไร้บ้าน ซึ่งคนเหล่า นี้ด้อยโอกาสในทางสังคม ที่บางครั้งเรานึก ไม่ถึง นอกจากนี้ ยังมีการละเมิดสิทธิอื่นๆ เช่น สิทธิเรื่องสื่อ รวมไปถึงแรงงานข้ามชาติ เป็นต้น”
> แนวทางแก้ปัญหาในภาพกว้าง
“ต้องทำความเข้าใจว่า ระบบประชา ธิปไตยโดยประชาชน ต้องยึดหลักในการสิทธิมนุษย์ หมายถึงสิทธิเสรีภาพและเสมอภาค หลักที่เป็นประโยชน์ความถูกต้อง คือ ถ้านึกถึงสิทธิมนุษย์ ต้องนึกถึงประชาชนเป็นใหญ่ อย่างที่ท่านอาจารย์พุทธทาส พูดว่า ประชาธิปไตยไม่ใช่แค่การเลือกตั้ง แต่ประ ชาธิปไตยเราเลือกการปกครองระบบรัฐสภา แต่ต้องยึดเอาประชาชนเป็นใหญ่ ไม่ใช่เห็นว่า การเมืองเป็นของนักการเมืองเพียงอย่างเดียว ซึ่งพอเราเจอปัญหาการเมืองของนักการเมือง ที่ล้มเหลว แล้วไม่สามารถใช้อำนาจที่ตัวเองมีอยู่ในทางสร้างประโยชน์ของประชาชนได้ ตรงนี้ คือสิ่งที่การเมือง 70 กว่าปีล้มเหลว”
> ที่ผ่านมามีการแก้ปัญหาแบบท็อปดาวน์ อิงกับอิทธิพลทางธุรกิจเป็นหลัก
“ระบบธุรกิจเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องของระบอบประชาธิปไตยในสังคมไทยการ เมืองการปกครอง ที่มันชัดคือในช่วงตั้งแต่ปี 44 เป็นต้นมา ทำให้เห็นระบบทุนที่เข้ามาครอบงำ ระบบการเมือง เพราะการเมืองเป็นเรื่องของ การจัดสรรแบ่งปันผลประโยชน์ ซึ่งผลประ โยชน์ตรงนั้น อย่างที่ผมเรียนต้องเป็นประ โยชน์ของภาคประชาชน แต่เนื่องจากระบบธุรกิจที่เข้ามา ทุนกับการเมืองหลอมรวมกัน ที่เราเรียกระบบธุรกิจการเมือง Money Politic นั่นหมายความว่านักการเมืองกับนักธุรกิจเป็นคนคนเดียวกัน ทำให้เกิดมีเครือข่าย ของการสร้างฐานอำนาจ ที่เชื่อมโยงระหว่าง ผลประโยชน์ของธุรกิจกับการเมือง ที่เราเรียก ผลประโยชน์ทับซ้อน ทำให้เกิดการใช้อำนาจ ที่ไม่ชอบ ไม่ว่าอำนาจการทุจริต คอร์รัปชั่น หรืออำนาจในการละเมิดอำนาจสิทธิมนุษยชน”
“ในสมัยผมที่เป็น ส.ว. การแทรกแซงของรัฐสภาทำให้เราเกิดสิ่งที่เรียกว่าเผด็จการรัฐสภา และเมื่อไปควบรวมการผูกขาดเรื่องผลประโยชน์ ทำให้เรียกว่าทุนนิยม ผูกขาด หมายความว่า คนที่มีอำนาจและมีเงินด้วย สร้างฐานอำนาจ และผลประโยชน์จากความ ร่ำรวย ด้านดีก็คือ ทำให้ประชาชนรู้สึกได้รับการดูแลเชิงนโยบายมากขึ้น แต่นโยบายก็แค่ ฉาบฉวย เป็นนโยบายการสร้างภาพตอนหาเสียงในเชิงคุณภาพจะยังไม่เกิดขึ้น”
> หลายคนมองว่าช่วงการเมืองผลัดใบ ก็ยังเป็นไปในมิติเดิมๆ
“นี่คือสิ่งที่สังคมไทย ต้องพยายามสรุปบทเรียน เพื่อให้สังคมไทยเข้ามามีส่วนต่อสู้ของระบบทุนและก็เป็นทุนข้ามชาติ และเป็นทุนของกระแสโลกาภิวัตน์ อย่างที่อาจารย์ ณรงค์ เพ็ชรประเสริฐ บอกว่าเป็นทุนสามานย์ ที่ไม่มีเรื่องของคุณธรรมและศีลธรรม ถึงแม้ในสังคมไทยจะยอมรับในการเรื่องของธุรกิจการค้าเสรี แต่เน้นต้องเป็นธรรม ฉะนั้น สังคมไทยจะต้องรับรู้ ต้องเตรียมตัวรู้ว่า สิ่งที่อยู่เบื้องหลังการต่อสู้แย่งชิงอำนาจก็คือกลุ่มระบบทุนข้ามชาติ ทั้งส่วนกลางถึงภูมิภาค นอกจากนี้ เราต้องตระหนักในเรื่องความไม่เป็นธรรมในทางการเมือง เมื่ออำนาจทาง การเมืองมาผูกขาดและระบบทุนและทางธุรกิจ ต้องแก้ไขในเชิงโครงสร้าง และแนวคิดก็เข้า ไปสู่การปฏิรูป และแนวคิดการปฏิรูปการ เมืองในปี 2540 อย่างเดียวคงไม่เพียงพอ ปี 40 ปฏิรูปแล้วทำให้เกิดตาลปัตรเกิดระบบ ผูกขาดและเผด็จการทางรัฐสภา ในขณะนี้เรา ต้องมาสนใจในเรื่องการปฏิรูปทางเศรษฐกิจ สังคม การเมือง ครั้งที่ 2 เพื่อทำให้เกิดการ เปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง ที่สร้างความเป็นธรรมมากขึ้น นี้คือสิ่งที่สังคมไทยต้องตระหนัก และต้องเข้ามาต่อสู้รวมกัน”
> สิทธิการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนที่ถูกละเลยมานาน
“ภาคประชาชนหรือภาคสังคมได้ต่อสู้ในเรื่องการเมืองที่เป็นผลประโยชน์ของตัวเขาในเรื่องของสิทธิ และยกระดับขึ้นเป็นเชิง นโยบายโครงสร้างมาเกือบทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องปฏิรูปที่ดิน ป่าชุมชน การประมงพื้นบ้าน ที่ขณะนี้เสนอเป็นร่าง พ.ร.บ.ประมงพื้นบ้าน เรื่องแรกที่อยู่ทางเหนือ ก็เสนอร่าง พ.ร.บ.แรก หรือแม้กระทั่งเรื่องของสวัสดิการ ชุมชน หรือแม้กระทั่งเรื่องของธนาคารที่ดิน หรือกองทุนที่จะมาพัฒนาในเรื่องปฏิรูปที่ดินต่างๆ เหล่านี้ หรือแม้กระทั่งเรื่องสื่อ เรื่ององค์กรอิสระ สิ่งเหล่านี้ ภาคประชาชนได้ผลักดันในเชิงนโยบายแล้วทั้งสิ้น เพียงแต่ว่า ภาคการเมือง หรือหน่วยงานภาครัฐจะรับลูกในเรื่องของการที่ทำให้เกิดแนวทางปฏิบัติ ที่ไปแก้ไขปัญหาของเขาได้จริงๆ”
“แต่สิ่งที่มีปัญหาอยู่ในขณะนี้ ก็คือการที่รัฐบาลใช้อำนาจที่ได้รับมอบจากประ ชาชนในการที่จะแก้ไขปัญหาต่างๆ ในเชิงนโยบายโครงสร้าง ที่สอดคล้องในเรื่องของสิทธิ ในเชิงนโยบาย ได้จริงหรือ ขณะเดียวกัน จะป้องกันไม่ให้เกิดการทุจริตคอร์รัปชั่น ซึ่งมันกลายเป็นวัฒนธรรมของสังคมไทย ของนักการเมืองได้อย่างไร โครงการหรือแนวทาง ปฏิบัติในการปฏิรูปการเมือง เป็นแนวทางที่จะนำไปปฏิบัติอย่างแท้จริง และปลอดจาก การทุจริตคอร์รัปชั่น อย่างที่ในรัฐบาลชุดคุณอภิสิทธิ์ (เวชชาชีวะ) เอง ก็มีโครงการที่มีชื่อดีๆ เยอะ เช่น ไทยเข้มแข็ง หรือเศรษฐกิจพอเพียง แต่เราพบว่าโครงการเหล่านั้นก็มีปัญหาเรื่องทุจริตคอร์รัปชั่น นี่คือสิ่งที่ผมคิดว่าเป็นภาระของรัฐบาล ให้การทำงานทุก ภาคส่วนของกลไกรัฐ ทำงานควบคู่กับคณะกรรมการปฏิรูป”
> ข้อเสนอแนะต่อภาคประชาชน
“สำหรับภาคประชาชน ผมมีความมั่นใจในการพัฒนาและการเติบโตของภาคประชาชน กับภาคประชาสังคมอย่างมาก แต่ปัญหาก็คือว่า เราจะทำให้ภาคประชาชน ที่ขณะนี้ต้องยอมรับว่า ยังมีความแตกต่าง แตกแยกในเชิงความคิดในทางประชาธิปไตย ได้หันมาเห็นตรงกันว่า การเมืองของภาคพลเมืองที่จะเข้ามามีส่วนร่วมในการตัดสินใจ และผลักดันหรือกดดัน ไม่ว่าจะเป็นคณะกรรมการปฏิรูป หรือว่า คณะกรรมสมัชชา และรัฐบาลที่เป็นผู้ใช้อำนาจรัฐ ได้ใช้อำนาจรัฐที่ตัวเองได้รับมอบหมายในการแก้ไขปัญหา ได้หรือเปล่า เพื่อทำให้การปฏิรูปนั้นเป็นจริง ที่สำคัญ ผมอยากให้เกิดการต่อสู้ของภาคประชาชน ที่สามารถอยู่บนลำแข้งของตัวเอง ไม่ควรไปฝากความหวังไว้กับบรรดานักการเมือง หรืออำนาจรัฐ และตรงนี้ผมคิดว่าใช้การเมือง ของภาคประชาชน การมีส่วนร่วมของประ ชาชน ในการที่จะมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ และติดตามตรวจสอบ ผมว่าตรงนี้จะทำให้สังคมไทย มันมีความเข้มแข็งมากขึ้นอย่างแท้จริง แทนที่จะเป็นเครื่องมือของการต่อสู้แย่งชิงอำนาจ”
และนี่คือข้อเสนอในการปฏิรูปด้านสิทธิมนุษยชนที่ต้องอยู่เหนือธนกิจการเมือง ของ “น.พ.นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ” ที่รัฐบาล และทุกภาคส่วนต้องขบให้แตก
ที่มา.สยมธุรกิจ
นโยบายการเงิน และส่วนต่างของดอกเบี้ย
โดย...วีรพงษ์ รามางกูร
เมื่อเร็ว ๆ นี้ ท่านว่าที่ผู้ว่าการได้ออกมาให้สัมภาษณ์ทันทีที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบกับชื่อผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยคนใหม่ ทั้ง ๆ ที่ท่านยังดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการธนาคารกสิกรไทยและนายกสมาคมธนาคารไทยอยู่
ไม่แน่ใจว่าท่านพูดในฐานะใด ถ้าจะ โดยฐานะทางภาคเอกชนที่ท่านยังดำรงตำแหน่งอยู่ก็ไม่น่าจะใช่ เพราะสื่อมวลชนถามท่านในฐานะผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยจะทำอะไรบ้าง ท่านก็เลย ตอบว่าคงจะต้องขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายไปให้ถึง 2 เปอร์เซ็นต์ภายในสิ้นปีนี้
ส่วนนโยบายอัตราแลกเปลี่ยนนั้นท่านจะดูแลให้อัตราแลกเปลี่ยนไม่สะท้อนเฉพาะปริมาณเงินตราต่างประเทศที่ไหลเข้าไหลออกเท่านั้น แต่จะดูแลอัตราแลกเปลี่ยนให้อยู่ในระดับที่ให้ประโยชน์สูงสุดกับเศรษฐกิจของประเทศ
ส่วนต่างของอัตราดอกเบี้ยเงินฝากและอัตราดอกเบี้ยเงินกู้นั้น ท่านจะไม่กล้าพูดอะไรมาก
ทันทีที่ท่านนายกสมาคมธนาคารไทย พูดถึงดอกเบี้ยจะต้องขึ้นทีละขั้น ขั้นละ 0.25 เปอร์เซ็นต์ไปถึง 3 ขั้น ตลาด ตราสารหนี้ซึ่งมีทั้งที่เป็นพันธบัตรรัฐบาลและหุ้นกู้ของบริษัทเอกชนก็หวั่นไหวราคาตกลงทันที
บรรดาบริษัทต่าง ๆ ที่กำลังดำเนินการออกตลาดขายตราสารหนี้ต่าง ๆ อยู่ก็หยุดชะงักต้องทบทวนอัตราดอกเบี้ย ระยะยาวเงื่อนไขต่าง ๆ เสียใหม่ ทำให้ตลาดชะงักงัน
ดังนั้นการพูดจาของท่านนายกสมาคมธนาคารไทย และท่านผู้จัดการธนาคารกสิกรไทยซึ่งเป็นคนเดียวกันกับท่านว่าที่ ผู้ว่าการ ธปท. จึงมีความหมายและมีผล ต่อตลาดทุนเป็นอันมาก
ในกรณีของประเทศไทยนั้นเรามีคณะกรรมการนโยบายการเงิน ซึ่งประธานไม่ใช่ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย แต่เป็นผู้ทรงคุณวุฒิท่านอื่น ไม่เหมือนกับกรณีของประธานธนาคารกลางของสหรัฐอเมริกา ท่านเป็นประธานของ คณะกรรมการของธนาคารกลางซึ่งเป็นผู้กำหนดอัตราดอกเบี้ย
ดังนั้นหากคณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารแห่งประเทศไทย ลงมติไม่เห็นด้วยที่จะให้ขึ้นอัตราดอกเบี้ย ความผันผวนในตลาดทุนอันได้แก่ตลาดตราสารหนี้และตลาดหุ้นก็จะเกิดขึ้นทันที เพราะคณะกรรมการนโยบายการเงินคงไม่ใช่ตรายางของผู้ว่าการ ธปท.
การที่โครงสร้างของขบวนการการตัดสินใจเรื่องการกำหนดอัตราดอกเบี้ยของเรากับของสหรัฐอเมริกานั้นไม่เหมือนกัน การประกาศล่วงหน้าเป็นเวลานาน ๆ โดยยังไม่ได้สวมหมวกผู้ว่าการธนาคาร แห่งประเทศไทย อีกทั้งที่มีหนักกว่านั้นคือยังสวมหมวกผู้บริหารระดับสูงของธนาคารพาณิชย์ และนายกสมาคมธนาคารไทยอยู่ จะเป็นการสมควรหรือไม่
กรรมการนโยบายการเงินโดยเฉพาะอย่างยิ่งประธานกรรมการคงลำบากใจ หากประกาศคงอัตราดอกเบี้ยไว้ ไม่ขึ้นอัตราดอกเบี้ย ทั้งผู้ว่าการและว่าที่ผู้ว่าการก็คงจะเสียเกียรติภูมิ ราคาตราสารก็คงจะเปลี่ยนแปลงกลับมาที่เดิมอีก
ครั้นถ้าคณะกรรมการจะมีมติตัดสินใจขึ้นอัตราดอกเบี้ย 3 ครั้งเป็น อย่างน้อย ในทุก 6 สัปดาห์ที่มาการประชุม ก็เท่ากับทำตามความเห็นของทางธนาคารพาณิชย์และนายกสมาคมธนาคารไทย เกียรติภูมิของคณะกรรมการนโยบายการเงินก็คงจะถูกกระทบกระเทือน
ที่จะดูไม่สวยอย่างยิ่งคือ ถ้าเกิดธนาคารกสิกรไทยซื้อขายตราสารหนี้ในตลาด ในช่วงเวลาก่อนหน้าหรือหลังจากการให้ข่าว ก็อาจจะถูกครหาหรือสงสัยได้ ทั้ง ๆ ที่ไม่เป็นเรื่องจริง
เสียทั้งขึ้นทั้งล่อง ทางที่ถูกควรให้ผู้ว่าการคนปัจจุบันท่านว่าของท่านไปก่อนจนกว่าท่านจะปลดเกษียณไปน่าจะดีกว่า เพราะท่านพูดในฐานะผู้ว่าการ ธปท. มีหมวกเพียงใบเดียว หรือทางที่ถูกคือให้ท่านประธานคณะกรรมการนโยบายการเงิน เป็นคนพูดเมื่อท่านเห็นว่าควรจะพูด อย่างสหรัฐอเมริกาน่าจะถูกต้องกว่า เพราะท่านพูดแทนคณะกรรมการนโยบายการเงินได้ดีกว่าท่านผู้ว่าการ และน่าจะเหมาะสมกว่า
เข้าใจว่าทุกท่านที่ออกมาพูดด้วยความมั่นใจว่า ดอกเบี้ยนโยบายควรจะขึ้นจาก 1.25 ไปเป็น 2.00 เปอร์เซ็นต์ โดยเฉลี่ยขั้นละ 0.25 เปอร์เซ็นต์ ก็เพราะอัตราเงินเฟ้อได้สูงขึ้นเกินประมาณ 3.5 เปอร์เซ็นต์ ดอกเบี้ยที่แท้จริงจึงติดลบ เช่นฝากเงินได้ดอกเบี้ย 2.5 เปอร์เซ็นต์ ผู้ฝากเงินจึงขาดทุน 2 ลบด้วย 3.5 เท่ากับ 1.5 เปอร์เซ็นต์ ดังนั้นการออมก็จะน้อยลง แต่การใช้จ่ายในการบริโภคก็จะมากขึ้น ตำราเศรษฐศาสตร์เขาว่าอย่างนั้น
แต่ความจริงในขณะนี้มันมิได้เป็นเช่นนั้น ขณะที่ดุลบัญชีเดินสะพัดของเรายังเกินดุลอยู่ทุกเดือน ก็เท่ากับว่าการออมของเรายังสูงกว่าการลงทุนอยู่โดยตลอด อาจจะเป็นได้ทั้งสองทางคือการออมมากเกินไป หรือไม่ก็การลงทุนน้อยเกินไป มีเหตุผลทั้งที่ เป็นเหตุผลทางเศรษฐกิจหรือเหตุผลทางการเมือง หรือเหตุผลจากต่างประเทศก็ว่ากันไป
สภาพคล่องในตลาดการเงินจึงยังล้นตลาดอยู่ ภาคเอกชนจึงเตรียมการระดมทุนจากตลาดทุนเพื่อจะได้เงินทุนระยะยาวขึ้นแทนที่จะใช้เงินกู้จากธนาคารพาณิชย์ ธนาคารพาณิชย์ก็เสียลูกค้าชั้นดีที่จะมาขอกู้มากขึ้น ซึ่งต่างก็แข่งขันกันเสนอดอกเบี้ยต่ำกว่าดอกเบี้ยเงินกู้ขั้นต่ำอยู่มาก
การขึ้นดอกเบี้ยในขณะนี้โดยดูแค่อัตราเงินเฟ้ออย่างเดียวก็จะยิ่งทำให้สภาพคล่องในตลาดสูงขึ้นไปอีก ในที่สุดนโยบายขึ้นดอกเบี้ยก็อาจจะไม่มีผล แต่ถ้ามีผล โอกาสการลงทุนภาคเอกชนจะฟื้นตัวก็ยากขึ้นไปอีก ท่านว่าที่ผู้ว่าการควรไปดูให้ดีให้รอบด้านก่อนแล้วค่อยพูดจะดีกว่าจะได้ไม่ผูกมัดตัวเอง และไม่น่าให้เกิดความชะงักงันในตลาดทุนโดยเฉพาะอย่างยิ่งตลาดตราสารหนี้ นโยบายดอกเบี้ยจะดูแต่อัตราเงินเฟ้ออย่างเดียวหรือให้น้ำหนักเกินไปก็คงไม่ถูก
สถานการณ์ที่ยุโรปก็ดี ที่อเมริกาก็ดี ขณะนี้ก็ค่อย ๆ ชัดเจนว่าเศรษฐกิจคงไม่ ฟื้นตัวอย่างถาวร โอกาสที่เศรษฐกิจการเงินของยุโรปรวมทั้งอังกฤษจะยังย่ำแย่ต่อไป และคงจะเป็นโรคติดต่อไปยังสหรัฐอเมริกาด้วย เพราะยังไม่เห็นเงื่อนไขที่จะทำให้เศรษฐกิจยุโรปและอเมริกาฟื้นตัวได้อย่างง่าย ๆ แม้ว่าจีนจะยอมขึ้นค่าเงินหยวน เมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐก็ตาม
เมื่อถึงเดือนสิงหาคม กันยายน ตุลาคม แล้วทางคณะกรรมการการเงินเห็นว่าสถานการณ์ของโลก สถานการณ์ในประเทศยังไม่ดีพอที่จะขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย จะทำอย่างไร
สำหรับนโยบายอัตราแลกเปลี่ยนถึงแม้ว่าจะเห็นว่ายังไม่ควรพูดก่อน แต่นโยบายใหญ่ของเราก็คงไม่เปลี่ยน กล่าวคือ ใช้อัตราแลกเปลี่ยนแบบลอยตัวอย่างมีการจัดการ ส่วนจะจัดการอย่างไรไม่มีใครทราบ ตลาดก็ไม่ทราบ เดาเอาว่าจะค่อย ๆ ขึ้น ค่อย ๆ ลงโดยใช้ดุลพินิจของ ธปท. แต่ทราบว่าเท่าที่ผ่านมาค่าเงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับเงินตราสกุลอื่น ๆ ในภูมิภาค โดยเฉพาะคู่ค้าที่สำคัญ เช่น จีน ญี่ปุ่น ฮ่องกงและอาเซียน โดยอ้างว่าอัตราแลกเปลี่ยนของเราเมื่อปรับด้วยอัตราเงินเฟ้อหรืออัตรา แลกเปลี่ยนที่แท้จริงแล้วไม่ได้แข็งกว่าประเทศ คู่ค้าในภูมิภาค การเปรียบเทียบคงไม่รวมจีนกับฮ่องกง ซึ่งเขาใช้ระบบอัตราแลกเปลี่ยนคงที่ แต่ประโยคที่ว่าจะดูแลให้ได้ประโยชน์สูงสุดกับประเทศก็คงหมายความว่าจะไม่ยอมให้ค่าเงินบาทแข็งเกินไป
แต่อัตราแลกเปลี่ยนระหว่างเงินบาทกับเงินดอลลาร์ที่เป็นอัตราตลาดที่ไม่ได้ปรับด้วยอัตราเงินเฟ้อนั้น สำคัญต่อตลาดการส่งออกและนำเข้ามากกว่าอัตราแลกเปลี่ยนที่แท้จริง
ทั้งนโยบายดอกเบี้ยและอัตราแลกเปลี่ยนเป็นเรื่องระยะสั้น แต่มีผลรุนแรง แก้ปัญหาได้ชะงัด แต่ผลข้างเคียงสูงไม่เหมือนนโยบายการคลังเป็นเรื่องระยะยาว ให้ผลช้า แต่มีผลข้างเคียงน้อยเมื่อทำผิดก็แก้ไขได้โดยไม่มีผลเสียหาย มากนัก มีเวลาพอให้แก้ไขได้
ส่วนเรื่องที่จะลดผลต่างระหว่างดอกเบี้ยเงินฝากกับดอกเบี้ยเงินกู้นั้น คงจะดูผิวเผินไม่ได้ เพราะโครงสร้างอัตราดอกเบี้ยนั้นยุ่งยากพอสมควร ดอกเบี้ยเงินกู้มีหลายอัตราและเปลี่ยนแปลงอ่อนไหวตามภาวะตลาดอยู่เสมอ รวมทั้งต้นทุนด้วย
ต้นทุนของสถาบันการเงินนั้นต่างรวมเอาต้นทุนมาตรการเพื่อความมั่นคงของสถาบันการเงินเข้าไปด้วย
ถ้าอยากจะลดผลต่างของดอกเบี้ยเงินกู้กับดอกเบี้ยเงินฝาก ก็ต้องเข้าไปสำรวจดูว่ามีมาตรการอะไร ที่ไม่ได้เป็นความจำเป็นหรือเป็นไปไม่ได้ในทางปฏิบัติ ที่เจ้าหน้าที่ฝ่ายตรวจสอบที่อ่อนอาวุโสและประสบการณ์เสนอให้ใช้เพื่อความสะดวกของฝ่ายตรวจสอบ แต่เป็นต้นทุนของสถาบันการเงิน ผู้ที่รู้ดีในเรื่องนี้ไม่ใช่ฝ่ายตรวจสอบของธนาคารแห่งประเทศไทย แต่เป็นเจ้าหน้าที่ของสถาบันการเงิน แต่เจ้าหน้าที่สถาบันการเงินนั้นเกรงกลัวเจ้าหน้าที่ของ ธปท.มากจนไม่กล้าโต้เถียงแต่อย่างใดลองถามเขาดูก็ได้
ที่อยากเห็นก็คือขอให้มีวิญญาณของนักพัฒนาด้วย ไม่ใช่สวมวิญญาณเฉพาะการเป็นผู้กำกับและควบคุมแต่เพียง อย่างเดียว
อย่างไรก็ดีขอแสดงความยินดีกับว่าที่ผู้ว่าการและขอให้โชคดี
ทีมา.ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
เมื่อเร็ว ๆ นี้ ท่านว่าที่ผู้ว่าการได้ออกมาให้สัมภาษณ์ทันทีที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบกับชื่อผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยคนใหม่ ทั้ง ๆ ที่ท่านยังดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการธนาคารกสิกรไทยและนายกสมาคมธนาคารไทยอยู่
ไม่แน่ใจว่าท่านพูดในฐานะใด ถ้าจะ โดยฐานะทางภาคเอกชนที่ท่านยังดำรงตำแหน่งอยู่ก็ไม่น่าจะใช่ เพราะสื่อมวลชนถามท่านในฐานะผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยจะทำอะไรบ้าง ท่านก็เลย ตอบว่าคงจะต้องขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายไปให้ถึง 2 เปอร์เซ็นต์ภายในสิ้นปีนี้
ส่วนนโยบายอัตราแลกเปลี่ยนนั้นท่านจะดูแลให้อัตราแลกเปลี่ยนไม่สะท้อนเฉพาะปริมาณเงินตราต่างประเทศที่ไหลเข้าไหลออกเท่านั้น แต่จะดูแลอัตราแลกเปลี่ยนให้อยู่ในระดับที่ให้ประโยชน์สูงสุดกับเศรษฐกิจของประเทศ
ส่วนต่างของอัตราดอกเบี้ยเงินฝากและอัตราดอกเบี้ยเงินกู้นั้น ท่านจะไม่กล้าพูดอะไรมาก
ทันทีที่ท่านนายกสมาคมธนาคารไทย พูดถึงดอกเบี้ยจะต้องขึ้นทีละขั้น ขั้นละ 0.25 เปอร์เซ็นต์ไปถึง 3 ขั้น ตลาด ตราสารหนี้ซึ่งมีทั้งที่เป็นพันธบัตรรัฐบาลและหุ้นกู้ของบริษัทเอกชนก็หวั่นไหวราคาตกลงทันที
บรรดาบริษัทต่าง ๆ ที่กำลังดำเนินการออกตลาดขายตราสารหนี้ต่าง ๆ อยู่ก็หยุดชะงักต้องทบทวนอัตราดอกเบี้ย ระยะยาวเงื่อนไขต่าง ๆ เสียใหม่ ทำให้ตลาดชะงักงัน
ดังนั้นการพูดจาของท่านนายกสมาคมธนาคารไทย และท่านผู้จัดการธนาคารกสิกรไทยซึ่งเป็นคนเดียวกันกับท่านว่าที่ ผู้ว่าการ ธปท. จึงมีความหมายและมีผล ต่อตลาดทุนเป็นอันมาก
ในกรณีของประเทศไทยนั้นเรามีคณะกรรมการนโยบายการเงิน ซึ่งประธานไม่ใช่ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย แต่เป็นผู้ทรงคุณวุฒิท่านอื่น ไม่เหมือนกับกรณีของประธานธนาคารกลางของสหรัฐอเมริกา ท่านเป็นประธานของ คณะกรรมการของธนาคารกลางซึ่งเป็นผู้กำหนดอัตราดอกเบี้ย
ดังนั้นหากคณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารแห่งประเทศไทย ลงมติไม่เห็นด้วยที่จะให้ขึ้นอัตราดอกเบี้ย ความผันผวนในตลาดทุนอันได้แก่ตลาดตราสารหนี้และตลาดหุ้นก็จะเกิดขึ้นทันที เพราะคณะกรรมการนโยบายการเงินคงไม่ใช่ตรายางของผู้ว่าการ ธปท.
การที่โครงสร้างของขบวนการการตัดสินใจเรื่องการกำหนดอัตราดอกเบี้ยของเรากับของสหรัฐอเมริกานั้นไม่เหมือนกัน การประกาศล่วงหน้าเป็นเวลานาน ๆ โดยยังไม่ได้สวมหมวกผู้ว่าการธนาคาร แห่งประเทศไทย อีกทั้งที่มีหนักกว่านั้นคือยังสวมหมวกผู้บริหารระดับสูงของธนาคารพาณิชย์ และนายกสมาคมธนาคารไทยอยู่ จะเป็นการสมควรหรือไม่
กรรมการนโยบายการเงินโดยเฉพาะอย่างยิ่งประธานกรรมการคงลำบากใจ หากประกาศคงอัตราดอกเบี้ยไว้ ไม่ขึ้นอัตราดอกเบี้ย ทั้งผู้ว่าการและว่าที่ผู้ว่าการก็คงจะเสียเกียรติภูมิ ราคาตราสารก็คงจะเปลี่ยนแปลงกลับมาที่เดิมอีก
ครั้นถ้าคณะกรรมการจะมีมติตัดสินใจขึ้นอัตราดอกเบี้ย 3 ครั้งเป็น อย่างน้อย ในทุก 6 สัปดาห์ที่มาการประชุม ก็เท่ากับทำตามความเห็นของทางธนาคารพาณิชย์และนายกสมาคมธนาคารไทย เกียรติภูมิของคณะกรรมการนโยบายการเงินก็คงจะถูกกระทบกระเทือน
ที่จะดูไม่สวยอย่างยิ่งคือ ถ้าเกิดธนาคารกสิกรไทยซื้อขายตราสารหนี้ในตลาด ในช่วงเวลาก่อนหน้าหรือหลังจากการให้ข่าว ก็อาจจะถูกครหาหรือสงสัยได้ ทั้ง ๆ ที่ไม่เป็นเรื่องจริง
เสียทั้งขึ้นทั้งล่อง ทางที่ถูกควรให้ผู้ว่าการคนปัจจุบันท่านว่าของท่านไปก่อนจนกว่าท่านจะปลดเกษียณไปน่าจะดีกว่า เพราะท่านพูดในฐานะผู้ว่าการ ธปท. มีหมวกเพียงใบเดียว หรือทางที่ถูกคือให้ท่านประธานคณะกรรมการนโยบายการเงิน เป็นคนพูดเมื่อท่านเห็นว่าควรจะพูด อย่างสหรัฐอเมริกาน่าจะถูกต้องกว่า เพราะท่านพูดแทนคณะกรรมการนโยบายการเงินได้ดีกว่าท่านผู้ว่าการ และน่าจะเหมาะสมกว่า
เข้าใจว่าทุกท่านที่ออกมาพูดด้วยความมั่นใจว่า ดอกเบี้ยนโยบายควรจะขึ้นจาก 1.25 ไปเป็น 2.00 เปอร์เซ็นต์ โดยเฉลี่ยขั้นละ 0.25 เปอร์เซ็นต์ ก็เพราะอัตราเงินเฟ้อได้สูงขึ้นเกินประมาณ 3.5 เปอร์เซ็นต์ ดอกเบี้ยที่แท้จริงจึงติดลบ เช่นฝากเงินได้ดอกเบี้ย 2.5 เปอร์เซ็นต์ ผู้ฝากเงินจึงขาดทุน 2 ลบด้วย 3.5 เท่ากับ 1.5 เปอร์เซ็นต์ ดังนั้นการออมก็จะน้อยลง แต่การใช้จ่ายในการบริโภคก็จะมากขึ้น ตำราเศรษฐศาสตร์เขาว่าอย่างนั้น
แต่ความจริงในขณะนี้มันมิได้เป็นเช่นนั้น ขณะที่ดุลบัญชีเดินสะพัดของเรายังเกินดุลอยู่ทุกเดือน ก็เท่ากับว่าการออมของเรายังสูงกว่าการลงทุนอยู่โดยตลอด อาจจะเป็นได้ทั้งสองทางคือการออมมากเกินไป หรือไม่ก็การลงทุนน้อยเกินไป มีเหตุผลทั้งที่ เป็นเหตุผลทางเศรษฐกิจหรือเหตุผลทางการเมือง หรือเหตุผลจากต่างประเทศก็ว่ากันไป
สภาพคล่องในตลาดการเงินจึงยังล้นตลาดอยู่ ภาคเอกชนจึงเตรียมการระดมทุนจากตลาดทุนเพื่อจะได้เงินทุนระยะยาวขึ้นแทนที่จะใช้เงินกู้จากธนาคารพาณิชย์ ธนาคารพาณิชย์ก็เสียลูกค้าชั้นดีที่จะมาขอกู้มากขึ้น ซึ่งต่างก็แข่งขันกันเสนอดอกเบี้ยต่ำกว่าดอกเบี้ยเงินกู้ขั้นต่ำอยู่มาก
การขึ้นดอกเบี้ยในขณะนี้โดยดูแค่อัตราเงินเฟ้ออย่างเดียวก็จะยิ่งทำให้สภาพคล่องในตลาดสูงขึ้นไปอีก ในที่สุดนโยบายขึ้นดอกเบี้ยก็อาจจะไม่มีผล แต่ถ้ามีผล โอกาสการลงทุนภาคเอกชนจะฟื้นตัวก็ยากขึ้นไปอีก ท่านว่าที่ผู้ว่าการควรไปดูให้ดีให้รอบด้านก่อนแล้วค่อยพูดจะดีกว่าจะได้ไม่ผูกมัดตัวเอง และไม่น่าให้เกิดความชะงักงันในตลาดทุนโดยเฉพาะอย่างยิ่งตลาดตราสารหนี้ นโยบายดอกเบี้ยจะดูแต่อัตราเงินเฟ้ออย่างเดียวหรือให้น้ำหนักเกินไปก็คงไม่ถูก
สถานการณ์ที่ยุโรปก็ดี ที่อเมริกาก็ดี ขณะนี้ก็ค่อย ๆ ชัดเจนว่าเศรษฐกิจคงไม่ ฟื้นตัวอย่างถาวร โอกาสที่เศรษฐกิจการเงินของยุโรปรวมทั้งอังกฤษจะยังย่ำแย่ต่อไป และคงจะเป็นโรคติดต่อไปยังสหรัฐอเมริกาด้วย เพราะยังไม่เห็นเงื่อนไขที่จะทำให้เศรษฐกิจยุโรปและอเมริกาฟื้นตัวได้อย่างง่าย ๆ แม้ว่าจีนจะยอมขึ้นค่าเงินหยวน เมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐก็ตาม
เมื่อถึงเดือนสิงหาคม กันยายน ตุลาคม แล้วทางคณะกรรมการการเงินเห็นว่าสถานการณ์ของโลก สถานการณ์ในประเทศยังไม่ดีพอที่จะขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย จะทำอย่างไร
สำหรับนโยบายอัตราแลกเปลี่ยนถึงแม้ว่าจะเห็นว่ายังไม่ควรพูดก่อน แต่นโยบายใหญ่ของเราก็คงไม่เปลี่ยน กล่าวคือ ใช้อัตราแลกเปลี่ยนแบบลอยตัวอย่างมีการจัดการ ส่วนจะจัดการอย่างไรไม่มีใครทราบ ตลาดก็ไม่ทราบ เดาเอาว่าจะค่อย ๆ ขึ้น ค่อย ๆ ลงโดยใช้ดุลพินิจของ ธปท. แต่ทราบว่าเท่าที่ผ่านมาค่าเงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับเงินตราสกุลอื่น ๆ ในภูมิภาค โดยเฉพาะคู่ค้าที่สำคัญ เช่น จีน ญี่ปุ่น ฮ่องกงและอาเซียน โดยอ้างว่าอัตราแลกเปลี่ยนของเราเมื่อปรับด้วยอัตราเงินเฟ้อหรืออัตรา แลกเปลี่ยนที่แท้จริงแล้วไม่ได้แข็งกว่าประเทศ คู่ค้าในภูมิภาค การเปรียบเทียบคงไม่รวมจีนกับฮ่องกง ซึ่งเขาใช้ระบบอัตราแลกเปลี่ยนคงที่ แต่ประโยคที่ว่าจะดูแลให้ได้ประโยชน์สูงสุดกับประเทศก็คงหมายความว่าจะไม่ยอมให้ค่าเงินบาทแข็งเกินไป
แต่อัตราแลกเปลี่ยนระหว่างเงินบาทกับเงินดอลลาร์ที่เป็นอัตราตลาดที่ไม่ได้ปรับด้วยอัตราเงินเฟ้อนั้น สำคัญต่อตลาดการส่งออกและนำเข้ามากกว่าอัตราแลกเปลี่ยนที่แท้จริง
ทั้งนโยบายดอกเบี้ยและอัตราแลกเปลี่ยนเป็นเรื่องระยะสั้น แต่มีผลรุนแรง แก้ปัญหาได้ชะงัด แต่ผลข้างเคียงสูงไม่เหมือนนโยบายการคลังเป็นเรื่องระยะยาว ให้ผลช้า แต่มีผลข้างเคียงน้อยเมื่อทำผิดก็แก้ไขได้โดยไม่มีผลเสียหาย มากนัก มีเวลาพอให้แก้ไขได้
ส่วนเรื่องที่จะลดผลต่างระหว่างดอกเบี้ยเงินฝากกับดอกเบี้ยเงินกู้นั้น คงจะดูผิวเผินไม่ได้ เพราะโครงสร้างอัตราดอกเบี้ยนั้นยุ่งยากพอสมควร ดอกเบี้ยเงินกู้มีหลายอัตราและเปลี่ยนแปลงอ่อนไหวตามภาวะตลาดอยู่เสมอ รวมทั้งต้นทุนด้วย
ต้นทุนของสถาบันการเงินนั้นต่างรวมเอาต้นทุนมาตรการเพื่อความมั่นคงของสถาบันการเงินเข้าไปด้วย
ถ้าอยากจะลดผลต่างของดอกเบี้ยเงินกู้กับดอกเบี้ยเงินฝาก ก็ต้องเข้าไปสำรวจดูว่ามีมาตรการอะไร ที่ไม่ได้เป็นความจำเป็นหรือเป็นไปไม่ได้ในทางปฏิบัติ ที่เจ้าหน้าที่ฝ่ายตรวจสอบที่อ่อนอาวุโสและประสบการณ์เสนอให้ใช้เพื่อความสะดวกของฝ่ายตรวจสอบ แต่เป็นต้นทุนของสถาบันการเงิน ผู้ที่รู้ดีในเรื่องนี้ไม่ใช่ฝ่ายตรวจสอบของธนาคารแห่งประเทศไทย แต่เป็นเจ้าหน้าที่ของสถาบันการเงิน แต่เจ้าหน้าที่สถาบันการเงินนั้นเกรงกลัวเจ้าหน้าที่ของ ธปท.มากจนไม่กล้าโต้เถียงแต่อย่างใดลองถามเขาดูก็ได้
ที่อยากเห็นก็คือขอให้มีวิญญาณของนักพัฒนาด้วย ไม่ใช่สวมวิญญาณเฉพาะการเป็นผู้กำกับและควบคุมแต่เพียง อย่างเดียว
อย่างไรก็ดีขอแสดงความยินดีกับว่าที่ผู้ว่าการและขอให้โชคดี
ทีมา.ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
เสวนาประกายไฟ-iLaw: ปรองดองไม่ได้ถ้ายังใช้ กม.กดขี่
งานเสวนา “กฎอัยการศึก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน พ.ร.บ.ความมั่นคง มีไว้เพื่อใคร” หนูหริ่งและนักศึกษาภาคใต้ สะท้อนประสบการณ์ตรงจากกฎหมายพิเศษด้านความมั่นคง ด้านนักกฎหมายสิทธิมนุษยชนยืนยันต้องยกเลิกกฎหมายให้อำนาจพิเศษ
กลุ่มประกายไฟ และโครงการอินเทอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน (iLaw) ร่วมกันจัดงานเสวนาเรื่อง “กฎอัยการศึก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน พ.ร.บ.ความมั่นคง มีไว้เพื่อใคร” ณ อนุสรณ์สถาน 14 ตุลา วิทยากรได้แก่ ศราวุฒิ ประทุมราช นักวิชาการด้านกฎหมายและสิทธิมนุษยชน สมบัติ บุญงามอนงค์ นักเคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตย ไลลา เจ๊ะซู เครือข่ายบัณฑิตอาสาพัฒนาสังคมสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ (InSouth)
ศราวุฒิ ประทุมราช กล่าวว่า กฎหมายหลักๆ ทั้งสามฉบับ ถ้าวัดระดับความรุนแรง รัฐบาลบอกว่า พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ อ่อนสุด แรงรองมาคือพ.ร.ก.ฉุกเฉิน ถัดมาคือกฎอัยการศึก
แต่สถานการณ์ปัจจุบัน กฎหมายตัวที่ใช้มากที่สุด คือพ.ร.ก.ฉุกเฉิน และถือว่าเป็นยาแรง เขาเปรียบเทียบการใช้กฎหมายเหล่านี้ว่า เหมือนสมัยนักเรียนที่ครูมักพูดว่า ใครทำผิดให้บอกมาไม่งั้นจะลงโทษทั้งห้อง เหมือนกับการเมืองไทยที่เวลามีการชุมนุม แล้วมีคนพูดเรื่องความรุนแรงก็ไปหาว่าการชุมนุมทั้งหมดไม่ชอบด้วยกฎหมาย เวลาพบว่าพรรคการเมืองซื้อเสียง ผลคือประกาศยุบพรรค
ศราวุฒิกล่าวว่า กฎอัยการศึกเป็นกฎหมายที่ประกาศใช้ได้ตลอด โดยทหารภาคต่างๆ เป็นผู้ประกาศ เหตุผลของการประกาศมีเรื่องเดียว คือ มีข้าศึกรุกรานจากต่างประเทศ แต่ปรากฏว่า กฎอัยการศึกถูกเบี่ยงเบนเจตนาในการใช้มาใช้ควบคุมคนในประเทศ โดยรัฐมักอ้างว่า ในการแก้ไขปัญหาต่างๆ นั้น กฎหมายอื่นที่มีอยู่ใช้ได้ไม่ทันการ นอกจากนี้ยังพบว่าการใช้กฎอัยการศึกจะถูกใช้ทุกครั้งที่จะมีรัฐประหาร
กรณีชายแดน นอกจากมีการรุกรานจากต่างชาติแล้ว ยังมีปัญหายาเสพติด ดังนั้นฝ่ายทหารก็ดูเหมือนจะมีอำนาจป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดทางอาญาด้วย ตรงนี้จึงเหมือนกับว่าทหารมีอำนาจเต็มที่เลยโดยไม่มีการกำกับดูแล เพราะตอนท้ายกฎหมายมีการนิรโทษกรรม ที่บอกว่าฟ้องร้องไม่ได้ ซึ่งเป็นสูตรสำเร็จของกฎหมายความมั่นคง
"ในภาวะปรกติ เราควรจะมีกฎหมายนี้อยู่หรือเปล่า กฎอัยการศึกให้อำนาจละเมิดสิทธิมนุษยชน ทหารจับได้เลยโดยไม่ต้องมีหมาย อำนาจอธิปไตยอยู่ในมือทหารฝ่ายเดียว"
สำหรับพ.ร.บ.ความมั่นคง ศราวุฒิเห็นว่าเป็นกฎหมายที่เขียนมาเพื่อกอ.รมน. ซึ่งเดิมเป็นองค์กรที่ไม่มีสถานะตามกฎหมาย ตั้งขึ้นในสมัยรัฐบาลถนอม เมื่อรัฐบาลเปลี่ยน ก็ใช้งบประมาณลำบาก จนมาในสมัยพลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี ก็เขียนกฎหมายฉบับนี้ขึ้นเพื่อให้อำนาจและให้งบประมาณ มีโครงสร้างคือ นายกรัฐมนตรีบวกกับกอ.รมน.
ศราวุฒิกล่าวต่อ เกี่ยวกับพ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ว่า ต้องยกเลิกทั้งฉบับ ไม่ใช่แค่ยกเลิกประกาศ เช่นเดียวกับ พ.ร.บ.ความมั่นคง ที่เนื้อหาอาจจะดูอ่อนๆ กว่า คล้ายว่าสถานการณ์ที่ไม่ร้ายแรงถึงขั้นประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน ก็ให้ประกาศพ.ร.บ.ความมั่นคง
"ในภาวะที่มีรัฐบาลมาจากการเลือกตั้ง เราไม่ควรมีกฎหมายเหล่านี้อยู่ เพียงแค่กฎหมายอาญาก็น่าจะเพียงพอ ขอให้ปฏิบัติตามนิติรัฐ ซึ่งหมายถึงปฏิบัติภายใต้กฎหมาย และถ้ากฎหมายนั้นไม่มีความเป็นธรรม แล้วรัฐบาลยังใช้กฎหมายนั้น ก็ถือว่ารัฐบาลไม่เป็นธรรม"
"ถ้าเราจะอยู่อย่างปรองดอง ท่านจะปรองดองกับใคร ในขณะที่กฎหมายเหล่านี้ยังมีอยู่ เพราะต้นตอของปัญหามาจากการไม่ยอมรับฟังความเห็นที่ต่าง ผมเชื่อว่าบ้านเมืองจะยุติความขัดแย้งลงได้ ถ้ายกเลิกกฎหมายเหล่านี้" ศราวุฒิกล่าว
สมบัติ บุญงามอนงค์ เล่าประสบการณ์ในฐานะที่เคยเผชิญหน้ากับกฎหมายสองฉบับ คือ กฎอัยการศึก และ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ว่า ประสบการณ์ครั้งแรกคือ กฎอัยการศึก สมัยหลังรัฐประหารใหม่ๆ เขาและเพื่อนๆ แต่งชุดดำออกมายืนที่หน้าสยามเซ็นเตอร์ มีตำรวจทหารมาเต็มแต่ไม่มีการจับ แต่ขณะที่เขาอยู่ที่ตึกของมูลนิธิกระจกเงา ก็มีทหารใส่ชุดเต็มรูปแบบพร้อมปืนเอ็ม 16ไปหาที่ตึก นำรูปภาพของเขาไปถามยามของตึกว่า รู้จักผมไหม คือทหารไม่ได้ตั้งใจจะไปคุยกับนายสมบัติ แต่ตั้งใจข่มขู่ สิ่งเหล่านี้ทำให้เห็นว่ากฎอัยการศึกเป็นเครื่องมือในการคุกคามประชาชน
เหตุการณ์ครั้งที่สอง เมื่อวันที่ 6 ก.ค. 50 เขาไปที่บขส.เชียงราย เวลานั้นรัฐบาลกำลังจะเริ่มกระบวนการประชามติรับหรือไม่รับรัฐธรรมนูญ ขณะที่สมบัติกำลังปราศรัยว่าไม่รับรัฐธรรมนูญ 2550 มีทหารเข้ามาแจ้งว่าขอใช้อำนาจกฎอัยการศึกมาควบคุมตัวไปที่ค่ายทหารบกเชียงรายอยู่ 24 ชม.
“มีนายทหารขู่ผมทุกรูปแบบ ตอนจับ มีทหารจากหน่วยข่าวกรองบอกว่า ผมจะถูกสอบในฐานะศัตรูของชาติ ไม่ว่าคุณไปทำความผิดอะไรมาตั้งแต่เกิดมา ผมจะรื้อให้หมด รวมถึงโคตรเหง้าของคุณด้วย”
“เขาสอบผม เขาบอกว่า คุณรู้ไหมว่าคุณละเมิดกฎอัยการศึก คุณรู้ไหมว่ากฎอัยการศึกมันโทษรุนแรงแค่ไหน ผมก็บอกว่าผมรู้ครับ กฎหมายนี้พัฒนามาตั้งแต่รัชกาลที่ ๕ และที่ผ่านมาเอาไว้ใช้เวลาที่มีปฏิวัติ” สมบัติเล่า
จนครั้งล่าสุด สมบัติถูกควบคุมตัวจากหมายจับที่ไปร่วมกิจกรรมที่ใต้ทางด่วนที่ลาดพร้าว 71 ในวันที่ 20 พ.ค. 53
“ผมได้ยินว่าตอนนั้นทุกด่านเขาเลิกหมดแล้ว แต่ยังมีคนเสื้อแดงอยู่แถวอิมพีเรียลลาดพร้าว ผมก็ไป ในวันที่ 20 มีคนอยู่ 20-30 คน เป็นพื้นที่สวนหย่อม มีม้านั่งหินอ่อน มีเสาตอม่อ และมีคนนั่งที่เก้าอี้ คนก็เอารูปถ่ายที่มาจากในเว็บ ปริ้นท์ออกมา มาดูมาคุยกัน เพื่อนเขาตาย แต่ทีวีไม่ให้ข่าวอะไร เขามากอดคอกันร้องไห้ มาปรับทุกข์กัน มาเล่าว่าเหตุการณ์มันเกิดอะไรขึ้น ตอนนั้นนั่งคุยกันอยู่ ยังคุยไม่จบ วงก็แตก ตำรวจแจ้งข้อกล่าวหาว่าผมเอายางรถยนต์มาเผา ตำรวจคนที่ทำสำนวน เขาก็อยู่ในเหตุการณ์ ผมก็ถามเขาว่า พี่ ผมพูดเหรอว่าให้คนเอายางรถยนต์มาเผา ตำรวจตอบกลับมาว่า พี่ ลูกผมยังเล็ก รัฐบาลเขาสั่งว่าให้เขียนข้อหานี้ มันตลกมาก วังทองหลางซึ่งเป็นพื้นที่ในเหตุการณ์ไม่ใช่คนกล่าวหาผม คนที่กล่าวหาผมมาจากพื้นที่อื่น ที่เดินไปบอกให้ตำรวจสน.วังทองหลางดำเนินคดีกับผม สุดท้ายคือมันมีใบสั่งมาให้ดำเนินคดีแบบนี้
นายสมบัติเล่าว่า ตลอดระยะเวลาที่ถูกควบคุมตัวสองสัปดาห์ จะมีทีมสอบสวนสองชุด ชุดหนึ่งเป็นชุดปกติที่สมบัติสามารถแจ้งสิทธิตัวเองได้ว่าจะขอไม่กล่าวอะไร ขอไปให้การในชั้นศาล และยังมีอีกทีมซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ศอฉ. ซึ่งมาทุกวัน ถามคำถามวกไปวนมา ลักษณะคำถาม มีบางส่วนที่ถามลึกไปถึงเรื่องสมัยเรียน ถามเบอร์โทรศัพท์บ้านคุณพ่อ
"มีคำถามหนึ่งคือ หลังจากที่ปล่อยแล้ว คุณจะไปทำกิจกรรมทางการเมืองต่อหรือไม่ ผมก็ตอบว่า แน่นอน" คือ มันมีทางสองทางเท่านั้น ระหว่าง ตอแหล กับตอบว่า โอยไม่หรอกครับ ผมกลัวแล้ว แบบนั้นผมก็พูดได้นะ แต่นั่นคือผมตอแหล คือยังไงผมก็ต้องทำกิจกรรมอีก มันเป็นพฤติกรรมของมนุษย์คนหนึ่งที่ยืนอยู่บนจุดยืนเรื่องสิทธิมนุษยชน เรามีความคิด เรามีจิตใจ เราเสียใจ เราแสดงออก ไม่รู้จะเรียกว่าท้าทายหรือไม่ แต่ผมจะทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ นั่นเป็นสิทธิพื้นฐานของมนุษย์คนหนึ่ง เช่น ใส่เสื้อสีแดง”
นายสมบัติกล่าวทิ้งท้ายว่า “ผมจะรณรงค์ใส่เสื้อสีแดงทุกวันอาทิตย์ ทำไปเรื่อยๆ ทำจนกว่าจะมีกฎหมาย การกระทำผิดอันเป็นเสื้อแดง”
ไลลา เจ๊ะซู จากสหพันธ์นิสิตนักศึกษาจากภาคใต้ กล่าวในฐานะคนที่มาจากพื้นที่รุ่นพี่ ที่มีการบังคับใช้กฎหมายพิเศษด้านความมั่นคงมาอย่างต่อเนื่อง ไลลาเห็นว่า กฎอัยการศึก มันก็เหมือนกฎของการรับน้อง กฎข้อแรกคือ ทหารทำอะไรก็ไม่ผิด กฎข้อที่สองคือให้ไปดูกฎข้อแรก
ไลลาเล่าถึงสถานการณ์ความรุนแรงในพื้นที่ นับแต่ปี 2547 โดยตั้งข้อสังเกตว่า ช่วงก่อนปี 2550 มีเหตุซ้อมทรมานเกิดขึ้นเยอะมาก ซึ่งเป็นเพราะประชาชนไม่รู้ถึงขอบเขตของกฎหมาย ไม่รู้ถึงสิทธิตามกฎหมาย
"คดีในสามจังหวัดภาคใต้ ส่วนใหญ่เป็นคดีความมั่นคง และส่วนใหญ่ถูกยกฟ้อง แต่ว่าก่อนที่จะมีการยกฟ้อง คนเหล่านั้นที่ถูกจับก็ถูกจองจำไม่ได้รับการประกันตัว" ไลลากล่าว
ตัวแทนจากสามจังหวัดภาคใต้เห็นว่า เราจำเป็นต้องมีการรวมตัวกัน จากเดิมที่เยาวชนไม่ได้รวมตัวกันเป็นกลุ่มก้อน อาจไม่เคยรู้สึกร่วมกับน้ำตาของชาวบ้านที่มันไหลออกมา แม้เราอาจจะร้องไห้ด้วย แต่ไม่ได้รู้สึกร่วม ในเวลานี้เห็นได้ชัดว่า การรวมตัวกันเพื่อติดตามปัญหาและข้อมูลเป็นเรื่องจำเป็น มีตัวอย่างกรณีของจ่าเพียร ซึ่งมันไม่ถูกต้องที่เจ้าหน้าที่ต้องพบเหตุเช่นนี้ แต่ก็มีข้อสังเกตด้วยว่า ทุกครั้งที่เจ้าหน้าที่รัฐสูญเสีย เยาวชนในพื้นที่ก็ต้องตกเป็นเป้าหมายเช่นกัน
"นโยบายสวยหรู เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา มันไม่มีทางแก้ปัญหาได้ วิธีที่จะแก้ปัญหาได้คือต้องทำความเข้าใจก่อน" ไลลาปิดท้าย
มีการแสดงความคิดเห็นจากผู้เข้าร่วมในงาน นครินทร์ วิศิษฎ์สิน นักศึกษา แสดงความเห็นว่า กฎหมายด้านความมั่นคงทั้งสามฉบับอนุญาตให้รัฐบาลขณะนั้นใช้อำนาจใดๆ ได้นอกเหนือจากกฎหมายสามัญในภาวะปกติทั่วไป ซึ่งโดยมากรัฐบาลไม่ได้เป็นผู้ใช้อำนาจโดยตรง แต่รัฐบาลมอบอำนาจอันไร้ขีดจำกัดให้หน่วยงานปราบปราม โดยเฉพาะหน่วยทหาร
“กระบวนการปราบปรามอย่างหน่วยทหารเป็นหน่วยงานที่ตรวจสอบไม่ได้ ทำให้การใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินควบคู่กับกระบวนการทหาร มันเลยทำให้ปัญหามันหนักหน่วงยิ่งขึ้น”
เขากล่าวว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นไม่ได้เกืดจากตัวกฎหมายอย่างเดียว แต่กฎหมายฉบับอื่นๆ ที่กำหนดว่าเงื่อนไขใดให้ใช้กฎหมายพวกนี้ได้ มันก็มีความคลุมเครือในตัวของมันเอง โดยเฉพาะในหมวดก่อการร้าย ที่ทางสากลบอกว่าหมายถึงการกระทำที่ทำให้เกิดความหวาดกลัวที่จะส่งผลให้เกิดการล้มล้างระเบียบเดิม และก่อให้เกิดระเบียบใหม่บนพื้นฐานของการสยบยอมต่อความหวาดกลัว ขณะที่การตีความในเมืองไทยช่วงที่ผ่านมา มองว่าการก่อการร้ายคือเรื่องการรวมกลุ่ม ก่อความวุ่นวาย ใช้กำลังประทุษร้ายต่อรัฐหรือพลเมือง
นครินทร์เสนอว่า นอกเหนือจากการยกเลิกพ.ร.กฉุกเฉินฯ จำเป็นต้องมีการปฏิรูปตัวบทกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการนิยามการการะทำทางสังคม ให้ชัดเจนว่าอะไรคือการก่อการร้าย และอะไรที่ไม่ใช่การก่อการร้าย โดยไม่ให้เกิดผลเสียต่อหลักสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตย เพราะหาก การนิยามเรื่องความมั่นคงเป็นเรื่องตีความได้อย่างคลุมเครือ กฎหมายเรื่องนี้ก็จะหยิบใช้อย่างเลือกปฏิบัติ แม้จะมีการยกเลิกกฎหมายด้านความมั่นคงทั้งสามฉบับก็อาจหนีไม่พ้น ให้มีเหตุเพื่อการผลิตกฎหมายด้านความมั่นคงขึ้นใหม่ใช้แทนได้
ในงานเสวนาครั้งนี้ โครงการอินเทอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน ได้นำแบบฟอร์ม ขก.1 เพื่อระดมรายชื่อให้ครบหมื่นชื่อ เพื่อเสนอร่างพระราชบัญญัติยกเลิกกฎหมายด้านความมั่นคงที่ขัดต่อสิทธิและเสรีภาพตามระบอบประชาธิปไตย พ.ศ.... มาแจกในงานด้วย
ที่มา.ประชาไท
กลุ่มประกายไฟ และโครงการอินเทอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน (iLaw) ร่วมกันจัดงานเสวนาเรื่อง “กฎอัยการศึก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน พ.ร.บ.ความมั่นคง มีไว้เพื่อใคร” ณ อนุสรณ์สถาน 14 ตุลา วิทยากรได้แก่ ศราวุฒิ ประทุมราช นักวิชาการด้านกฎหมายและสิทธิมนุษยชน สมบัติ บุญงามอนงค์ นักเคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตย ไลลา เจ๊ะซู เครือข่ายบัณฑิตอาสาพัฒนาสังคมสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ (InSouth)
ศราวุฒิ ประทุมราช กล่าวว่า กฎหมายหลักๆ ทั้งสามฉบับ ถ้าวัดระดับความรุนแรง รัฐบาลบอกว่า พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ อ่อนสุด แรงรองมาคือพ.ร.ก.ฉุกเฉิน ถัดมาคือกฎอัยการศึก
แต่สถานการณ์ปัจจุบัน กฎหมายตัวที่ใช้มากที่สุด คือพ.ร.ก.ฉุกเฉิน และถือว่าเป็นยาแรง เขาเปรียบเทียบการใช้กฎหมายเหล่านี้ว่า เหมือนสมัยนักเรียนที่ครูมักพูดว่า ใครทำผิดให้บอกมาไม่งั้นจะลงโทษทั้งห้อง เหมือนกับการเมืองไทยที่เวลามีการชุมนุม แล้วมีคนพูดเรื่องความรุนแรงก็ไปหาว่าการชุมนุมทั้งหมดไม่ชอบด้วยกฎหมาย เวลาพบว่าพรรคการเมืองซื้อเสียง ผลคือประกาศยุบพรรค
ศราวุฒิกล่าวว่า กฎอัยการศึกเป็นกฎหมายที่ประกาศใช้ได้ตลอด โดยทหารภาคต่างๆ เป็นผู้ประกาศ เหตุผลของการประกาศมีเรื่องเดียว คือ มีข้าศึกรุกรานจากต่างประเทศ แต่ปรากฏว่า กฎอัยการศึกถูกเบี่ยงเบนเจตนาในการใช้มาใช้ควบคุมคนในประเทศ โดยรัฐมักอ้างว่า ในการแก้ไขปัญหาต่างๆ นั้น กฎหมายอื่นที่มีอยู่ใช้ได้ไม่ทันการ นอกจากนี้ยังพบว่าการใช้กฎอัยการศึกจะถูกใช้ทุกครั้งที่จะมีรัฐประหาร
กรณีชายแดน นอกจากมีการรุกรานจากต่างชาติแล้ว ยังมีปัญหายาเสพติด ดังนั้นฝ่ายทหารก็ดูเหมือนจะมีอำนาจป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดทางอาญาด้วย ตรงนี้จึงเหมือนกับว่าทหารมีอำนาจเต็มที่เลยโดยไม่มีการกำกับดูแล เพราะตอนท้ายกฎหมายมีการนิรโทษกรรม ที่บอกว่าฟ้องร้องไม่ได้ ซึ่งเป็นสูตรสำเร็จของกฎหมายความมั่นคง
"ในภาวะปรกติ เราควรจะมีกฎหมายนี้อยู่หรือเปล่า กฎอัยการศึกให้อำนาจละเมิดสิทธิมนุษยชน ทหารจับได้เลยโดยไม่ต้องมีหมาย อำนาจอธิปไตยอยู่ในมือทหารฝ่ายเดียว"
สำหรับพ.ร.บ.ความมั่นคง ศราวุฒิเห็นว่าเป็นกฎหมายที่เขียนมาเพื่อกอ.รมน. ซึ่งเดิมเป็นองค์กรที่ไม่มีสถานะตามกฎหมาย ตั้งขึ้นในสมัยรัฐบาลถนอม เมื่อรัฐบาลเปลี่ยน ก็ใช้งบประมาณลำบาก จนมาในสมัยพลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี ก็เขียนกฎหมายฉบับนี้ขึ้นเพื่อให้อำนาจและให้งบประมาณ มีโครงสร้างคือ นายกรัฐมนตรีบวกกับกอ.รมน.
ศราวุฒิกล่าวต่อ เกี่ยวกับพ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ว่า ต้องยกเลิกทั้งฉบับ ไม่ใช่แค่ยกเลิกประกาศ เช่นเดียวกับ พ.ร.บ.ความมั่นคง ที่เนื้อหาอาจจะดูอ่อนๆ กว่า คล้ายว่าสถานการณ์ที่ไม่ร้ายแรงถึงขั้นประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน ก็ให้ประกาศพ.ร.บ.ความมั่นคง
"ในภาวะที่มีรัฐบาลมาจากการเลือกตั้ง เราไม่ควรมีกฎหมายเหล่านี้อยู่ เพียงแค่กฎหมายอาญาก็น่าจะเพียงพอ ขอให้ปฏิบัติตามนิติรัฐ ซึ่งหมายถึงปฏิบัติภายใต้กฎหมาย และถ้ากฎหมายนั้นไม่มีความเป็นธรรม แล้วรัฐบาลยังใช้กฎหมายนั้น ก็ถือว่ารัฐบาลไม่เป็นธรรม"
"ถ้าเราจะอยู่อย่างปรองดอง ท่านจะปรองดองกับใคร ในขณะที่กฎหมายเหล่านี้ยังมีอยู่ เพราะต้นตอของปัญหามาจากการไม่ยอมรับฟังความเห็นที่ต่าง ผมเชื่อว่าบ้านเมืองจะยุติความขัดแย้งลงได้ ถ้ายกเลิกกฎหมายเหล่านี้" ศราวุฒิกล่าว
สมบัติ บุญงามอนงค์ เล่าประสบการณ์ในฐานะที่เคยเผชิญหน้ากับกฎหมายสองฉบับ คือ กฎอัยการศึก และ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ว่า ประสบการณ์ครั้งแรกคือ กฎอัยการศึก สมัยหลังรัฐประหารใหม่ๆ เขาและเพื่อนๆ แต่งชุดดำออกมายืนที่หน้าสยามเซ็นเตอร์ มีตำรวจทหารมาเต็มแต่ไม่มีการจับ แต่ขณะที่เขาอยู่ที่ตึกของมูลนิธิกระจกเงา ก็มีทหารใส่ชุดเต็มรูปแบบพร้อมปืนเอ็ม 16ไปหาที่ตึก นำรูปภาพของเขาไปถามยามของตึกว่า รู้จักผมไหม คือทหารไม่ได้ตั้งใจจะไปคุยกับนายสมบัติ แต่ตั้งใจข่มขู่ สิ่งเหล่านี้ทำให้เห็นว่ากฎอัยการศึกเป็นเครื่องมือในการคุกคามประชาชน
เหตุการณ์ครั้งที่สอง เมื่อวันที่ 6 ก.ค. 50 เขาไปที่บขส.เชียงราย เวลานั้นรัฐบาลกำลังจะเริ่มกระบวนการประชามติรับหรือไม่รับรัฐธรรมนูญ ขณะที่สมบัติกำลังปราศรัยว่าไม่รับรัฐธรรมนูญ 2550 มีทหารเข้ามาแจ้งว่าขอใช้อำนาจกฎอัยการศึกมาควบคุมตัวไปที่ค่ายทหารบกเชียงรายอยู่ 24 ชม.
“มีนายทหารขู่ผมทุกรูปแบบ ตอนจับ มีทหารจากหน่วยข่าวกรองบอกว่า ผมจะถูกสอบในฐานะศัตรูของชาติ ไม่ว่าคุณไปทำความผิดอะไรมาตั้งแต่เกิดมา ผมจะรื้อให้หมด รวมถึงโคตรเหง้าของคุณด้วย”
“เขาสอบผม เขาบอกว่า คุณรู้ไหมว่าคุณละเมิดกฎอัยการศึก คุณรู้ไหมว่ากฎอัยการศึกมันโทษรุนแรงแค่ไหน ผมก็บอกว่าผมรู้ครับ กฎหมายนี้พัฒนามาตั้งแต่รัชกาลที่ ๕ และที่ผ่านมาเอาไว้ใช้เวลาที่มีปฏิวัติ” สมบัติเล่า
จนครั้งล่าสุด สมบัติถูกควบคุมตัวจากหมายจับที่ไปร่วมกิจกรรมที่ใต้ทางด่วนที่ลาดพร้าว 71 ในวันที่ 20 พ.ค. 53
“ผมได้ยินว่าตอนนั้นทุกด่านเขาเลิกหมดแล้ว แต่ยังมีคนเสื้อแดงอยู่แถวอิมพีเรียลลาดพร้าว ผมก็ไป ในวันที่ 20 มีคนอยู่ 20-30 คน เป็นพื้นที่สวนหย่อม มีม้านั่งหินอ่อน มีเสาตอม่อ และมีคนนั่งที่เก้าอี้ คนก็เอารูปถ่ายที่มาจากในเว็บ ปริ้นท์ออกมา มาดูมาคุยกัน เพื่อนเขาตาย แต่ทีวีไม่ให้ข่าวอะไร เขามากอดคอกันร้องไห้ มาปรับทุกข์กัน มาเล่าว่าเหตุการณ์มันเกิดอะไรขึ้น ตอนนั้นนั่งคุยกันอยู่ ยังคุยไม่จบ วงก็แตก ตำรวจแจ้งข้อกล่าวหาว่าผมเอายางรถยนต์มาเผา ตำรวจคนที่ทำสำนวน เขาก็อยู่ในเหตุการณ์ ผมก็ถามเขาว่า พี่ ผมพูดเหรอว่าให้คนเอายางรถยนต์มาเผา ตำรวจตอบกลับมาว่า พี่ ลูกผมยังเล็ก รัฐบาลเขาสั่งว่าให้เขียนข้อหานี้ มันตลกมาก วังทองหลางซึ่งเป็นพื้นที่ในเหตุการณ์ไม่ใช่คนกล่าวหาผม คนที่กล่าวหาผมมาจากพื้นที่อื่น ที่เดินไปบอกให้ตำรวจสน.วังทองหลางดำเนินคดีกับผม สุดท้ายคือมันมีใบสั่งมาให้ดำเนินคดีแบบนี้
นายสมบัติเล่าว่า ตลอดระยะเวลาที่ถูกควบคุมตัวสองสัปดาห์ จะมีทีมสอบสวนสองชุด ชุดหนึ่งเป็นชุดปกติที่สมบัติสามารถแจ้งสิทธิตัวเองได้ว่าจะขอไม่กล่าวอะไร ขอไปให้การในชั้นศาล และยังมีอีกทีมซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ศอฉ. ซึ่งมาทุกวัน ถามคำถามวกไปวนมา ลักษณะคำถาม มีบางส่วนที่ถามลึกไปถึงเรื่องสมัยเรียน ถามเบอร์โทรศัพท์บ้านคุณพ่อ
"มีคำถามหนึ่งคือ หลังจากที่ปล่อยแล้ว คุณจะไปทำกิจกรรมทางการเมืองต่อหรือไม่ ผมก็ตอบว่า แน่นอน" คือ มันมีทางสองทางเท่านั้น ระหว่าง ตอแหล กับตอบว่า โอยไม่หรอกครับ ผมกลัวแล้ว แบบนั้นผมก็พูดได้นะ แต่นั่นคือผมตอแหล คือยังไงผมก็ต้องทำกิจกรรมอีก มันเป็นพฤติกรรมของมนุษย์คนหนึ่งที่ยืนอยู่บนจุดยืนเรื่องสิทธิมนุษยชน เรามีความคิด เรามีจิตใจ เราเสียใจ เราแสดงออก ไม่รู้จะเรียกว่าท้าทายหรือไม่ แต่ผมจะทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ นั่นเป็นสิทธิพื้นฐานของมนุษย์คนหนึ่ง เช่น ใส่เสื้อสีแดง”
นายสมบัติกล่าวทิ้งท้ายว่า “ผมจะรณรงค์ใส่เสื้อสีแดงทุกวันอาทิตย์ ทำไปเรื่อยๆ ทำจนกว่าจะมีกฎหมาย การกระทำผิดอันเป็นเสื้อแดง”
ไลลา เจ๊ะซู จากสหพันธ์นิสิตนักศึกษาจากภาคใต้ กล่าวในฐานะคนที่มาจากพื้นที่รุ่นพี่ ที่มีการบังคับใช้กฎหมายพิเศษด้านความมั่นคงมาอย่างต่อเนื่อง ไลลาเห็นว่า กฎอัยการศึก มันก็เหมือนกฎของการรับน้อง กฎข้อแรกคือ ทหารทำอะไรก็ไม่ผิด กฎข้อที่สองคือให้ไปดูกฎข้อแรก
ไลลาเล่าถึงสถานการณ์ความรุนแรงในพื้นที่ นับแต่ปี 2547 โดยตั้งข้อสังเกตว่า ช่วงก่อนปี 2550 มีเหตุซ้อมทรมานเกิดขึ้นเยอะมาก ซึ่งเป็นเพราะประชาชนไม่รู้ถึงขอบเขตของกฎหมาย ไม่รู้ถึงสิทธิตามกฎหมาย
"คดีในสามจังหวัดภาคใต้ ส่วนใหญ่เป็นคดีความมั่นคง และส่วนใหญ่ถูกยกฟ้อง แต่ว่าก่อนที่จะมีการยกฟ้อง คนเหล่านั้นที่ถูกจับก็ถูกจองจำไม่ได้รับการประกันตัว" ไลลากล่าว
ตัวแทนจากสามจังหวัดภาคใต้เห็นว่า เราจำเป็นต้องมีการรวมตัวกัน จากเดิมที่เยาวชนไม่ได้รวมตัวกันเป็นกลุ่มก้อน อาจไม่เคยรู้สึกร่วมกับน้ำตาของชาวบ้านที่มันไหลออกมา แม้เราอาจจะร้องไห้ด้วย แต่ไม่ได้รู้สึกร่วม ในเวลานี้เห็นได้ชัดว่า การรวมตัวกันเพื่อติดตามปัญหาและข้อมูลเป็นเรื่องจำเป็น มีตัวอย่างกรณีของจ่าเพียร ซึ่งมันไม่ถูกต้องที่เจ้าหน้าที่ต้องพบเหตุเช่นนี้ แต่ก็มีข้อสังเกตด้วยว่า ทุกครั้งที่เจ้าหน้าที่รัฐสูญเสีย เยาวชนในพื้นที่ก็ต้องตกเป็นเป้าหมายเช่นกัน
"นโยบายสวยหรู เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา มันไม่มีทางแก้ปัญหาได้ วิธีที่จะแก้ปัญหาได้คือต้องทำความเข้าใจก่อน" ไลลาปิดท้าย
มีการแสดงความคิดเห็นจากผู้เข้าร่วมในงาน นครินทร์ วิศิษฎ์สิน นักศึกษา แสดงความเห็นว่า กฎหมายด้านความมั่นคงทั้งสามฉบับอนุญาตให้รัฐบาลขณะนั้นใช้อำนาจใดๆ ได้นอกเหนือจากกฎหมายสามัญในภาวะปกติทั่วไป ซึ่งโดยมากรัฐบาลไม่ได้เป็นผู้ใช้อำนาจโดยตรง แต่รัฐบาลมอบอำนาจอันไร้ขีดจำกัดให้หน่วยงานปราบปราม โดยเฉพาะหน่วยทหาร
“กระบวนการปราบปรามอย่างหน่วยทหารเป็นหน่วยงานที่ตรวจสอบไม่ได้ ทำให้การใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินควบคู่กับกระบวนการทหาร มันเลยทำให้ปัญหามันหนักหน่วงยิ่งขึ้น”
เขากล่าวว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นไม่ได้เกืดจากตัวกฎหมายอย่างเดียว แต่กฎหมายฉบับอื่นๆ ที่กำหนดว่าเงื่อนไขใดให้ใช้กฎหมายพวกนี้ได้ มันก็มีความคลุมเครือในตัวของมันเอง โดยเฉพาะในหมวดก่อการร้าย ที่ทางสากลบอกว่าหมายถึงการกระทำที่ทำให้เกิดความหวาดกลัวที่จะส่งผลให้เกิดการล้มล้างระเบียบเดิม และก่อให้เกิดระเบียบใหม่บนพื้นฐานของการสยบยอมต่อความหวาดกลัว ขณะที่การตีความในเมืองไทยช่วงที่ผ่านมา มองว่าการก่อการร้ายคือเรื่องการรวมกลุ่ม ก่อความวุ่นวาย ใช้กำลังประทุษร้ายต่อรัฐหรือพลเมือง
นครินทร์เสนอว่า นอกเหนือจากการยกเลิกพ.ร.กฉุกเฉินฯ จำเป็นต้องมีการปฏิรูปตัวบทกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการนิยามการการะทำทางสังคม ให้ชัดเจนว่าอะไรคือการก่อการร้าย และอะไรที่ไม่ใช่การก่อการร้าย โดยไม่ให้เกิดผลเสียต่อหลักสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตย เพราะหาก การนิยามเรื่องความมั่นคงเป็นเรื่องตีความได้อย่างคลุมเครือ กฎหมายเรื่องนี้ก็จะหยิบใช้อย่างเลือกปฏิบัติ แม้จะมีการยกเลิกกฎหมายด้านความมั่นคงทั้งสามฉบับก็อาจหนีไม่พ้น ให้มีเหตุเพื่อการผลิตกฎหมายด้านความมั่นคงขึ้นใหม่ใช้แทนได้
ในงานเสวนาครั้งนี้ โครงการอินเทอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน ได้นำแบบฟอร์ม ขก.1 เพื่อระดมรายชื่อให้ครบหมื่นชื่อ เพื่อเสนอร่างพระราชบัญญัติยกเลิกกฎหมายด้านความมั่นคงที่ขัดต่อสิทธิและเสรีภาพตามระบอบประชาธิปไตย พ.ศ.... มาแจกในงานด้วย
ที่มา.ประชาไท
สมัครสมาชิก:
ความคิดเห็น (Atom)





