จากหนังสือพิมพ์ โลกวันนี้
(รายงานพิเศษ) กรณีโหวต ‘มาร์ค V11’ ถึง..‘ก่อแก้ว พิกุลทอง’ สะท้อนพลังเงียบ+คนเสื้อแดงเลือกตั้งซ่อมกทม.เขต6
“มรึงออกได้ละ ไอ้...อภิสิทธิ์”
“อภิสิทธิ์ออกก็จบ เสื้อแดงจะเผาไหม ถามหน่อยครับบบบบ!!”
“แม่(ง)พูดมาได้ เห็นประชาประท้วงมาขนาดนี้ เป็นผมผมออกไปนานแล้ว แล้วทีตัวเองไม่ออก...!”
“กลัวตาย กลัวออกประเทศไม่มีเงินใช้หรือไง(วะ)!”
เป็นข้อความส่วนหนึ่งของ “มาร์ค V11” นายวิทวัส ท้าวคำลือ ที่โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊คเมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2553 เด็กหนุ่มวัย 17 ปี ที่เข้าแข่งขันรอบสุดท้ายรายการเรียลิตี้ล่าฝันยอดนิยม “ทรู อะคาเดมี แฟนเทเชีย ซีซั่น 7” (เอเอฟ 7) จนทำให้วันแรกของการขึ้นเวทีของเขาต้องถูกระงับไปกะทันหัน โดยพ่อแม่ของ “มาร์ค V11” แถลงสั้นๆ ขอใช้สิทธิความเป็นพ่อแม่เพื่อความสมานฉันท์ และไม่ต้องการให้เรื่องลุกลามบานปลาย ขณะที่ทรูฯก็อ้างเรื่องความปลอดภัย เพราะไม่รู้ว่าจะมีปฏิกิริยาจากแฟนคลับต่อต้านอย่างไร
V11 คะแนนพุ่งกระฉูด
อย่างไรก็ตาม หลังมีข่าวข้อความของ “มาร์ค V11” ออกไป พร้อมๆกับขบวนการล่าแม่มดออนไลน์ “Social Sanction” หรือ “ยุทธการลงทัณฑ์ทางสังคม” ที่ใช้โจมตีใส่ร้ายบุคคลต่างๆทางโลกออนไลน์ ซึ่งแพร่หลายอย่างมากขณะนี้ โดยเฉพาะกรณีกลุ่ม “เสื้อหลากสี” ที่ออกมาสนับสนุนนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และโจมตีคนเสื้อแดงนั้น ปรากฏว่าคะแนนของ “มาร์ค V11” กลับทะยานแบบพุ่งกระฉูด เพราะตอนที่ไม่มีข่าวนี้คะแนนของ “มาร์ค V11” อยู่ในอันดับเกือบรั้งท้ายได้ 3.89% แต่เมื่อถูกโจมตีกลับพุ่งไปถึง 17.52%
คะแนนที่พุ่งพรวดจะเป็นเพราะคนเสื้อแดงที่รวมพลังโหวตให้หรือคะแนนสงสารจากประชาชนก็ตาม ก็ถือเป็นปรากฏการณ์ที่ชี้ให้เห็นถึงความรู้สึกของประชาชนที่มีต่อรัฐบาลและนายอภิสิทธิ์ได้เป็นอย่างดี เพราะก่อนหน้านี้นายอภิสิทธิ์ได้กล่าวถึง “มาร์ค V11” ว่าแม้เป็นการโพสต์ก่อนเข้าแข่งขันและไม่เกี่ยวกับบริษัท แต่ความรับผิดชอบส่วนตัวก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งยิ่งตอกย้ำถึงแผนปรองดองของนายอภิสิทธิ์ว่ามีความจริงใจหรือไม่ เพราะแม้แต่ความเห็นของเยาวชนคนหนึ่งที่แสดงออกอย่างบริสุทธิ์ใจและตามสิทธิเสรีภาพในระบอบประชาธิปไตย แทนที่นายอภิสิทธิ์จะใจกว้างแสดงความเป็นประชาธิปไตยและเมตตาธรรมในฐานะผู้นำ กลับแสดงความกังขาและทวงถามความรับผิดชอบ
ขบวนการบิดเบือน
ด้านนางวรรณา ท้าวคำลือ มารดาของ “มาร์ค V11” ได้ออกมาปกป้องลูกชายว่า เป็นการแสดงความคิดเห็นตามประสาวัยรุ่นที่ได้รับข้อมูลข่าวสารขณะบ้านเมืองไม่ปรกติ ซึ่งเขียนขึ้นขณะอยู่ต่างประเทศที่มีข่าวจากประเทศไทยรุนแรงมาก แต่ที่กลายเป็นเรื่องขึ้นมาเพราะมีคนเอารูป “มาร์ค V11” ขึ้นมาตัดแปะและโจมตีในออนไลน์ ซึ่งห้ามไม่ได้ แต่เข้าใจลูกชายดี และครอบครัวทุกคนก็เทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์
แต่นางวิสา เบ็ญจะมโน กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ กล่าวตำหนิกรณีขบวนการล่าแม่มดในเครือข่ายออนไลน์ที่ต่อต้านกลุ่มคนเสื้อแดง รวมถึง “มาร์ค V11” ว่าเป็นการแสดงความเกลียดที่รุนแรงเกินไป ทั้งที่การแสดงความคิดเห็นเป็นสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานของบุคคล หากไม่ใช้ความรุนแรง หรือละเมิดกฎหมาย ละเมิด พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ก็สามารถทําได้อย่างอิสระ
เช่นเดียวกับนายสุณัย ผาสุก ที่ปรึกษาองค์กรฮิวแมนไรท์วอทช์ประจำประเทศไทย ไม่แปลกใจที่ขบวนการล่าแม่มดเกิดขึ้นในสภาวการณ์ขณะนี้ ซึ่งแบ่งเป็น 2 ขั้วสุดโต่งอย่างชัดเจน โดยมีการตามล่า ตามเช็กประวัติการเคลื่อนไหวข้อมูลในอินเทอร์เน็ตที่ต่อต้านรัฐบาล หลังจากนั้นจะออกกดดัน ข่มขู่ หรือขู่ฆ่า ซึ่งสะท้อนถึงการขาดความอดกลั้นของสังคมต่อการยอมรับความคิดเห็นที่แตกต่าง
นับเป็นที่น่าวิตกอย่างยิ่งกับสังคมไทยที่กำลังสูญเสียพื้นที่ประชาธิปไตย สูญเสียช่องทางที่จะแสดงความคิดเห็นในทางการเมืองได้ ทั้งยังเข้าข่ายการละเมิดสิทธิมนุษยชนในการไม่ยอมรับความคิดเห็นของผู้อื่น รวมถึงการรวมกลุ่มเพื่อกดดันให้มีการลงโทษผู้อื่น ซึ่งเรื่องนี้จะมีอยู่ในรายงานประจำปีของฮิวแมนไรท์ วอทช์ที่ต่างประเทศจะนำไปใช้อ้างอิงสถานการณ์ในประเทศไทยได้
“มาร์ค V11” ถึง “ก่อแก้ว”
กรณีของ “มาร์ค V11” จึงสอดรับกับสถาน การณ์การเลือกตั้งซ่อม ส.ส.เขต 6 กรุงเทพฯ แทนนายทิวา เงินยวง อดีต ส.ส.ของพรรคประชาธิปัตย์ที่เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็ง โดยพรรคเพื่อไทยส่งนายก่อแก้ว พิกุลทอง ที่ถูกคุมขังในข้อหา “ผู้ก่อการร้าย” ลงสมัคร ซึ่งนายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ก็พยายามออกมาขัดขวางให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) วินิจฉัยคุณสมบัติของนายก่อแก้ว โดยเฉพาะการกล่าวหาว่า “นายก่อแก้วเบอร์ 4 เป็นผู้ก่อการร้าย” แต่ กกต. ยืนยันว่านายก่อแก้วมีคุณสมบัติถูกต้อง
แม้จะแค่ 1 ที่นั่งในสภาผู้แทนราษฎร แต่ก็มีความหมายอย่างยิ่งกับสถานการณ์บ้านเมืองขณะนี้ และการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในอนาคตอย่างมาก เพราะการต่อสู้ครั้งนี้ไม่ใช่แค่นัยทางการเมืองในผลแพ้หรือชนะเท่านั้น แต่ยังเหมือนสัญลักษณ์การต่อสู้ของคนเสื้อแดง เพื่อทวงความยุติธรรมในเหตุการณ์ “เมษา-พฤษภาอำมหิต” ทั้งถูกเปรียบเหมือนการต่อสู้ระหว่าง “ไพร่” กับ “อำมาตย์” ที่เป็นการต่อสู้ระหว่าง “ประชาธิปไตย” กับ “เผด็จการซ่อนรูป” ว่าประชาชนเชื่อฝ่ายใด?
หาเสียงบนคมดาบ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งนายก่อแก้วต้อง “ชกข้ามคุก” ไม่สามารถออกมาหาเสียงได้ ต้องให้เพื่อนพ้องน้องพี่ในพรรคเพื่อไทยและคนเสื้อแดงหาเสียงแทน แต่การพูดถึงเหตุการณ์นองเลือดก็ทำไม่ได้ง่าย เพราะเสี่ยงต่อการทำผิด พ.ร.ก.ฉุกเฉิน แล้วยังอาจต้อนตัวเองเข้ามุมอับให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ลงดาบเชือดอีกด้วย
ที่น่าสังเกตคือ ในการปราศรัยหาเสียงของพรรคเพื่อไทยทุกครั้งจะมีคนเสื้อแดงไปรับฟังและให้กำลังใจมากมาย แต่ก็มีคำถามว่าคนเสื้อแดงมากมายที่มาฟังคำปราศรัยนั้นเป็นคนในพื้นที่ที่มีสิทธิเลือกตั้งหรือไม่ และปฏิเสธไม่ได้ว่าคะแนนจัดตั้งหรือฐานคะแนนเสียงของแต่ละพรรคจะเป็นตัวชี้ผลแพ้ชนะในวันอาทิตย์ที่ 25 กรกฎาคม 2553 โดยเฉพาะเสียงของประชาชนที่เป็นพลังเงียบที่อาจไม่ชอบทั้งเสื้อแดง เสื้อเหลือง และพรรคประชาธิปัตย์
แต่เชื่อว่าการเลือกตั้งซ่อมครั้งนี้จะมีผู้ออกมาใช้สิทธิอย่างมากมาย ซึ่งจะทำให้คะแนนเสียงของผู้ไม่ฝักใฝ่พรรคการเมืองใดเป็นตัวแปรที่สำคัญกับผลการเลือกตั้ง เพราะคะแนนเสียงเหล่านี้จะไหลไปตามกระแสสังคมที่เกิดขึ้น ซึ่งจะบ่งบอกอารมณ์และความรู้สึกของสังคมต่อสถานการณ์การเมืองได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะเหตุการณ์ “เมษา-พฤษภาอำมหิต” ซึ่งจะเป็นดัชนีชี้วัดความชอบธรรมของนายอภิสิทธิ์และกองทัพได้เป็นอย่างดี
นายก่อแก้วจึงไม่ใช่แค่ตัวแทนของพรรคเพื่อไทยและคนเสื้อแดงเท่านั้น แต่จะเหมือนสัญลักษณ์ในการต่อสู้ระหว่างฝ่ายประชาธิปไตยกับอำนาจเผด็จการซ่อนรูปอีกด้วย
ความจริงไม่มีวันตาย
เช่นเดียวกับ “มาร์ค V11” ที่จะต้องต่อสู้กับขบวนการล่าแม่มดออนไลน์ และกลุ่มอํานาจรัฐที่พยายามบิดเบือนความจริงที่ดัดจริตใส่หน้ากากประชาธิปไตย แต่ธาตุแท้กลับไม่ต่างกับ “เผด็จการทรราชมือเปื้อนเลือด” ที่ไม่สะทกสะท้านแม้แต่การเข่นฆ่าและทำร้ายคนไทยด้วยกันเอง
เช่นเดียวกับนายก่อแก้วที่จะมีคนเสื้อแดงหลายสิบล้านคนเป็นกำลังใจ แม้จะไม่มีสิทธิลงคะแนนเลือกตั้งก็ตาม แต่อย่างน้อยก็เป็นการแสดงให้เห็นพลังของประชาชนที่รักประชาธิปไตยทั่วทั้งแผ่นดินที่ต้องการประชาธิปไตยและความยุติธรรมกลับคืน
การเลือกตั้งซ่อมเขต 6 กทม. จึงต้องจับตาอย่ากะพริบว่า “ก่อแก้ว ก่อการร้ายเบอร์ 4” จะล่าฝัน “ประชาธิปไตย” ได้หรือไม่?
วันศุกร์ที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2553
โฟกัสธุรกรรม "3บริษัทผี" ออกใบเสร็จรับเงินค่าจ้างทำของ นิติกรรมอำพราง "จุดสลบ"ในคำร้องยุบ ปชป.
" ... คณะกรรมการการเลือกตั้งพิเคราะห์แล้วเห็นว่า บริษัท เมซไซอะฯ ดำเนินกิจกรรมตามสัญญาจ้างเพียงบางรายการเป็นส่วนน้อย โดยส่วนใหญ่เป็นนิติกรรมอำพราง มีการประกอบการจริงประมาณ 42 ล้านบาท ... "
" ... คณะกรรมการการเลือกตั้งพิเคราะห์แล้วเห็นว่า บริษัท เมซไซอะฯ ดำเนินกิจกรรมตามสัญญาจ้างเพียงบางรายการเป็นส่วนน้อย โดยส่วนใหญ่เป็นนิติกรรมอำพราง มีการประกอบการจริงประมาณ 42 ล้านบาท ... "
---------------------------------
ที่มา : สรุปจากคำร้องของอัยการสูงสุดที่ยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญ เมื่อวันที่ 14 กรกฎาคมที่ผ่านมา ในประเด็นที่ 3 บริษัท เมซไซอะ บิซิเนส แอนด์ ครีเอชั่น จำกัด ดำเนินกิจกรรมตามสัญญาจ้างทั้ง 8 โครงการจริงหรือไม่ หรือเป็นเพียงนิติกรรมอำพรางตามข้อกล่าวหา ในส่วนนี้ ระบุพฤติการณ์ที่บริษัทเมซไซอะฯให้ "บริษัทผี" 3 รายออกใบเสร็จรับเงินค่าจ้างทำของ ให้เพื่อนำไปประกอบการเสียภาษี
---------------------------------
นายประจวบ สังขาว ให้ถ้อยคำในประเด็นเกี่ยวข้องกับบริษัท พีทีไอ โพลีน จำกัด (มหาชน) เนื่องจากเมื่อประมาณต้นปี 2547 ในช่วงนั้นได้รับงานทำป้ายหาเสียงเลือกตั้งนายก อบจ.สงขลาให้กับนายนวพล บุญญามณี น้องชายนายนิพนธ์ บุญญามณี ส.ส.สัดส่วน พรรคประชาธิปัตย์ และได้ติดตามเรียกเก็บเงินจากนายนิพนธ์ โดยนายนิพนธ์นัดที่โรงแรมเพรสซิเด้นท์ แยกราชประสงค์ เมื่อไปถึงได้พบนายนิพนธ์ นายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ นายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ ประธานกรรมการบริษัท ทีพีไอฯ ซึ่งไปร่วมประชุมเกี่ยวกับการหาเสียงเลือกตั้ง มีการแนะนำให้นายประจวบรู้จักนายประชัย หลังจากนั้นได้ติดต่อเข้า-ออกพรรคประชาธิปัตย์ จนได้รู้จักนายธงชัย คลศรีชัย (ลูกพี่ลูกน้องของนายประดิษฐ์) โดยเข้าใจว่านายธงชัยทำงานให้พรรคประชาธิปัตย์ในลักษณะแม่บ้านของพรรค หลังจากนั้นติดต่อกันเรื่อยมา
ต่อมานายธงชัยได้แจ้งให้ทราบว่าจะมีงานพิมพ์สื่อโฆษณาจากบริษัท ทีพีไอฯให้ทำ จนกระทั่งประมาณเดือนกรกฎาคม 2547 เลขานุการนายประชัยได้ติดต่อว่าจ้างบริษัท เมซไซอะฯทำป้ายโฆษณาสินค้า ในวงเงิน 10 ล้านบาท มีการทำสัญญาผลิตสื่อสิ่งพิมพ์ต่างๆหลายฉบับ จนกระทั่งประมาณปลายปี 2547 นายประจวบได้รับติดต่อจากนายธงชัยว่าบริษัท ทีพีไอฯจะทำสัญญาจ้างบริษัทเมซไซอะฯทำสื่อโฆษณาในวงเงินหลายสิบล้านบาท แต่วิธีการแตกต่างไปจากสัญญาจ้างที่ทำกับบริษัททีพีไอฯก่อนหน้านี้ โดยในสัญญานี้เป็นเพียงใช้ชื่อบริษัท เมซไซอะฯ เข้าทำสัญญาเพื่อรับเงินจากบริษัท ทีพีไอฯเท่านั้น ส่วนรายละเอียดของเนื้องานนั้น นายธงชัยจะรับไปดำเนินการและประสานกับบริษัท ทีพีไอฯเอง ให้นายประจวบมีหน้าที่เพียงนำเงินทั้งหมดส่งมอบให้กับนายธงชัย นายธงชัยได้แนะนำว่าให้สั่งจ่ายเงินตามเช็คแต่ละรายการไม่เกินรายละ 2 ล้านบาท เพื่อหลีกเลี่ยงการรายงานและตรวจสอบของธนาคารแห่งประเทศไทย และสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน
จากข้อมูลของกรมสรรพกร ภาษีซื้อที่บริษัท เมซไซอะฯยื่นชำระกับกรมสรรพากรในแต่ละเดือนตามแบบแสดงรายการภาษี ภ.พ.30 ที่บริษัท เมซไซอะฯแสดงข้อมูลไว้เพื่อสนับสนุนการประกอบธุรกิจ กรมสรรพากรยืนยันภาษีซื้อของบริษัท ชัยชวโรจน์ จำกัด บริษัท พีจีซี อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด และ หจก.สินวัฒนา เอเชีย เอนเตอร์ไพรส์ เป็นใบกำกับภาษีที่มิชอบและไม่มีการซื้อสินค้าหรือบริการระหว่างกันจริง
จากข้อมูลตารางทางการเงิน บริษัท ทีพีไอฯจ่ายเงินให้กับบริษัท เมซไซอะฯประมาณ 252 ล้านบาท จากหลักฐานทางระบบบัญชี บริษัท เมซไซอะฯได้รับเงินจากบริษัท ทีพีไอฯ และนำไปจ่ายให้กับบริษัท ชัยชวโรจน์ ,พีจีซี อินเตอร์เนชั่นแนล และ หจก.สินวัฒนา ประมาณ 90 ล้านบาท ซึ่งข้อมูลนี้ได้ปรากฏในแบบ ภ.ง.ด.53 ด้วยนั้น จากการตรวจสอบเส้นทางการเงินของบริษัท เมซไซอะฯ ไม่ปรากฏทั้งในรายงานฐานะทางการเงินและในระบบบัญชีของบริษัท เมซไซอะฯว่ามีการจ่ายเงินให้กับบริษัททั้ง 3 แต่อย่างใด จึงสอดคล้องกับคำให้การของเจ้าหน้าที่กรมสรรพากร ผู้ตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการประกอบการของทั้ง 3 บริษัท แล้วรายงานต่อกรมสรรพากรว่าบริษัททั้ง 3 ไม่มีการประกอบการจริง และกรมสรรพากรได้สั่งเพิกถอนการออกใบกำกับภาษี ทั้งนี้ หจก.สินวัฒนาถูกเพิกถอนการออกใบกำกับภาษี ตั้งแต่ ปี 2548
ส่วนข้อมูลด้านรายจ่ายของกิจการในปี พ.ศ. 2547 บริษัท เมซไซอะฯ ได้แสดงต้นทุนขายไว้ 146,820,335.09 บาท ตามรายการดังนี้
ค่าใช้จ่ายในการขายและให้บริการ 781,208.89 บาท โดยแสดงว่าเป็นการจ่ายค่าจ้างทำของให้กับ หจก.สินวัฒนาฯ ,บริษัท ชัยชวโรจน์ และบริษัทพีจีซีฯ จำนวนเงิน 82,278,419.95 บาท
ในปี 2548 เดือนมกราคม บริษัท เมซไซอะฯได้นำส่งภาษีหัก ณ ที่จ่าย (ภ.ง.ด.53) กรณีจ่ายค่าจ้างทำของให้บริษัทต่างๆ มูลค่ารวม 93,963,130 บาท รวม 9 บริษัท แต่จากข้อมูลผลการตรวจสอบการประกอบกิจการของผู้ประกอบการทั้ง 3 ราย ได้แก่ หจก.สินวัฒนาฯ (31,440,500 บาท) ,บริษัท ชัยชวโรจน์ (28,015,500 บาท) และบริษัทพีจีซีฯ (30,487,380บาท) ปรากฏข้อมูล ดังนี้
(1) หจก.สินวัฒนาฯถูกเพิกถอนทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มเมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2544 จากการตรวจสอบไม่พบการประกอบการ และเป็นผู้มีรายชื่อออกใบกำกับภาษีไม่ชอบด้วยกฎหมาย ประเด็นความผิดชัดเจน
(2) บริษัทพีจีซีฯถูกเพิกถอนทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม เมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2550 จากการตรวจสอบการประกอบการในปี 2547-2548 ไม่พบว่าได้ประกอบกิจการและปรากฏเป็นผู้มีรายชื่อผู้ออกใบกำกับภาษีไม่ชอบด้วยกฎหมาย ประเด็นความผิดชัดเจน
(3) บริษัท ชัยชวโรจน์ จำกัด ถูกเพิกถอนทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม เมื่อวันที่ 10 กันยายน 2551 จากการตรวจสอบการประกอบการในปี 2547-2548 ไม่พบการประกอบกิจการและปรากฏเป็นผู้มีรายชื่อผู้ออกใบกำกับภาษีไม่ชอบด้วยกฎหมาย ประเด็นความผิดชัดเจน
ข้อมูลการยื่นชำระภาษี
ปี 2543-2546 บริษัท เมซไซอะฯ ได้ยื่นบัญชีภาษีมูลค่าเพิ่มและภาษีเงินได้นิติบุคคลตามกำหนด
ปี 2547 บริษัท เมซไซอะฯ ได้นำส่งภาษีหัก ณ ที่จ่าย โดยนำชื่อบริษัทที่ไม่ได้ประกอบการมาเป็นชื่อผู้รับจ้างของบริษัท และได้ยื่นบัญชีภาษีมูลค่าเพิ่มและภาษีเงินได้นิติบุคคลแล้ว
ปี 2548 ในเดือนมกราคม บริษัท เมซไซอะฯ ได้ยื่นแบบ ภ.ง.ด. 53 เพื่อยื่นแบบนำส่งภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย จำนวน 2,810,793.90 บาท โดยใช้เช็คของบริษัทในการชำระภาษี แต่เช็คที่จ่ายชำระไม่สามารถขึ้นเงินได้ จึงยังเป็นภาษีอากรค้างชำระของบริษัท กรมสรรพากรได้เร่งรัดจัดเก็บตรวจพบว่าบริษัทได้ถูกธนาคารกสิกรไทยฟ้องล้มละลายต่อศาลล้มละลายกลาง ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดเมื่อวันที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2551 หลังจากนั้นบริษัทไม่ได้ยื่นภาษีมูลค่าเพิ่มแต่อย่างใด
จากข้อเท็จจริงในประเด็นที่ 3 บริษัท เมซไซอะฯดำเนินกิจกรรมตามสัญญาจ้างทั้ง 8 โครงการจริงหรือไม่ หรือเป็นเพียงการทำนิติกรรมอำพรางเพื่อโอนถ่ายหรือบริจาคเงินให้พรรคประชาธิปัตย์ตามข้อกล่าวหานั้น
เมื่อพิเคราะห์จากเส้นทางการเงินของบริษัท เมซไซอะฯ พบว่าตามที่บริษัท เมซไซอะฯ โอนเงินให้กับบุคคลในกลุ่มต่างๆ ซึ่งประกอบไปได้วย
(1) กลุ่มนายประจวบ สังขาว และเครือญาติ หรือกลุ่มบุคคลใกล้ชิดกับนายประจวบ สังขาว รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 155,617,800 บาท
(2) กลุ่มใกล้ชิดนายธงชัย คลศรีชัย หรือนายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 33,728,000 บาท
(3) กลุ่มบุคคลใกล้ชิดนายนิพนธ์ บุญญามณี รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 46,404,620 บาท
(4) กลุ่มบริษัทห้างร้านที่น่าเชื่อว่าทำธุรกรรมทางการค้าระหว่างกันจริง จำนวน 42,415,705 บาท
ซึ่งบุคคลต่างๆ ตามข้อ (1)-(3) ส่วนใหญ่ให้การสอดคล้องกันว่าเป็นการโอนเงินผ่านบัญชีไม่มีมูลหนี้ใดต่อกัน เมื่อเงินเข้าบัญชีแล้วจะถอนออกในวันรุ่งขึ้นหรือวันเดียวกัน แล้วนำเงินกลับมาให้นายธงชัย คลศรีชัย หรือนายประจวบ สังขาว แล้วแต่กรณี บางรายให้การว่าได้ค่าตอบแทนครั้งละ 500-600 บาท บางรายไม่ได้ค่าตอบแทน จากพยานหลักฐานเส้นทางการเงินดังกล่าวฟังได้ว่า บริษัท เมซไซอะฯประกอบการด้านการผลิตสื่อโฆษณาประชาสัมพันธ์จริงเพียงบางส่วน ประมาณ 42 ล้านบาท และจากเส้นทางการเงินประกอบจากคำให้การของผู้รับการโอนเงินหรือยินยอมให้ใช้บัญชีผ่านเงินจากนายประจวบ สังขาว ทั้งในส่วนของผู้ใกล้ชิดนายธงชัย คลศรีชัย
เมื่อรับเงินมาจากบริษัท ทีพีไอฯแล้ว นายประจวบไม่หักภาษีไว้ก่อนจ่ายเงินให้กับนายธงชัย คลศรีชัย เนื่องจากนายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ พูดกับนายธงชัย คลศรีชัย ต่อหน้านายประจวบ ว่ารับเงินมาแต่ละครั้งจำนวนเท่าใดให้นำเงินทั้งหมดมาก่อน แล้วจะหักเงินภาษีมาให้ในภายหลัง นายประจวบเชื่อใจเนื่องจากเป็นระดับเลขาธิการพรรคจึงตกลงปฏิบัติตามนั้น ที่นายประจวบรับงานกับบริษัท ทีพีไอฯจริงๆ ประมาณ 10 กว่าล้านบาท เป็นป้ายบิลบอร์ดในพื้นที่ภาคใต้ที่ จ.สุราษฎร์ธานี และหาดใหญ่ประมาณ
5 ล้านบาท ส่วนกรุงเทพ และปริมณฑล อีกประมาณ 5 ล้านบาท ส่วนเงินที่เหลือไม่ได้ทำงานจริง และได้นำไปให้ผู้บริหารพรรคประชาธิปัตย์ และใช้ผลิตป้ายฟิวเจอร์บอร์ดของผู้สมัครแต่ละเขต ซึ่งต้องผลิตให้ในจำนวน 250 ถึง 300 แผ่น ในราคาแผ่นละประมาณ 260 กว่าบาท เริ่มผลิตตั้งแต่ปลายเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2547 บริษัท เมซไซอะฯไม่ได้ทำสัญญากับพรรคประชาธิปัตย์ เนื่องจากเงินที่ใช้ทำป้ายใช้เงินจากยอดที่บริษัท ทีพีไอฯโอนเข้ามาในบัญชีบริษัท เมซไซอะฯ และเมื่อต้องใช้จ่ายอย่างไร จำนวนเท่าไร เพียงแค่บอกกับนายธงชัย ต่อมาเกิดปัญหาเนื่องจากยอดเงินที่ได้รับมาจากบริษัท พีทีไอฯไม่มีหลักฐานการใช้จ่ายเงิน (ใบเสร็จ) โดยเฉพาะภาษีมูลค่าเพิ่มซึ่งต้องชำระทุกเดือน จึงได้ปรึกษากับนายธงชัย ซึ่งได้รับคำแนะนำ และร่วมกันจัดหาใบกำกับภาษีของบริษัท ชัยชวโรจน์ จำกัด, บริษัท พีจีซีฯ และ หจก.สินวัฒนาฯ มาเป็นหลักฐานแสดงต่อกรมสรรพากร โดยคิดค่าใช้จ่ายในอัตรา 4.5% และหักภาษี ณ ที่จ่ายอีก 3%
จากกรณีข้างต้น ประกอบกับข้อมูลทางภาษีของบริษัททั้ง 3 ซึ่งเป็นบริษัทที่กรมสรรพากร และเจ้าหน้าที่กรมสรรพากร6 รายให้การยืนยันว่า ทั้ง 3 บริษัทไม่ประกอบการจริง สอดคล้องกับคำให้การของนายธงชัยที่ให้การว่ารับจ้างงานช่วงจากนายประจวบ ในโครงการจ้างที่ปรึกษาประชาสัมพันธ์งานของบริษัท ทีพีไอฯ โครงการที่ 8 วงเงินตามสัญญาโครงการนี้ 66,875,000 บาท โดยนายธงชัยให้การว่าในการรับจ้างงานช่วงจากนายประจวบไม่มีการทำสัญญาไว้ต่อกัน รับเงินล่วงหน้ามา 20,000,000 บาท ต่อมาทำงานบางส่วนแต่ยังไม่แล้วเสร็จ ทะเลาะกับนายประจวบ สังขาว จึงไม่ได้ส่งมอบงานต่อและไม่ได้คืนเงินให้กับนายประจวบแต่อย่างใด แสดงให้เห็นว่าในโครงการนี้ไม่มีการทำงานจริง ทำให้คำให้การของนายประจวบมีน้ำหนักเพิ่มมากขึ้น
จากคำให้การของนายประจวบ และพยานที่เกี่ยวข้อง ประกอบกับจากเส้นทางการเงินการชำระภาษี และระบบบัญชีของบริษัท เมซไซอะฯ ซึ่งคณะกรรมการการเลือกตั้งพิเคราะห์แล้วเห็นว่า บริษัท เมซไซอะฯ ดำเนินกิจกรรมตามสัญญาจ้างเพียงบางรายการเป็นส่วนน้อย โดยส่วนใหญ่เป็นนิติกรรมอำพราง มีการประกอบการจริงประมาณ 42 ล้านบาท ซึ่งในการประกอบการจริงนี้แบ่งเป็น 2 ส่วนดังนี้
1.จัดทำสื่อโฆษณาประชาสัมพันธ์ให้บริษัท ทีพีไอฯประมาณ 10 กว่าล้านบาท ดำเนินการประมาณเดือนกรกฎาคม 2547
2.ส่วนที่เหลือน่าเชื่อได้ว่าเป็นการจัดทำป้ายหาเสียงให้กับพรรคประชาธิปัตย์
ที่มา.มติชนออนไลน์
------------------------
" ... คณะกรรมการการเลือกตั้งพิเคราะห์แล้วเห็นว่า บริษัท เมซไซอะฯ ดำเนินกิจกรรมตามสัญญาจ้างเพียงบางรายการเป็นส่วนน้อย โดยส่วนใหญ่เป็นนิติกรรมอำพราง มีการประกอบการจริงประมาณ 42 ล้านบาท ... "
---------------------------------
ที่มา : สรุปจากคำร้องของอัยการสูงสุดที่ยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญ เมื่อวันที่ 14 กรกฎาคมที่ผ่านมา ในประเด็นที่ 3 บริษัท เมซไซอะ บิซิเนส แอนด์ ครีเอชั่น จำกัด ดำเนินกิจกรรมตามสัญญาจ้างทั้ง 8 โครงการจริงหรือไม่ หรือเป็นเพียงนิติกรรมอำพรางตามข้อกล่าวหา ในส่วนนี้ ระบุพฤติการณ์ที่บริษัทเมซไซอะฯให้ "บริษัทผี" 3 รายออกใบเสร็จรับเงินค่าจ้างทำของ ให้เพื่อนำไปประกอบการเสียภาษี
---------------------------------
นายประจวบ สังขาว ให้ถ้อยคำในประเด็นเกี่ยวข้องกับบริษัท พีทีไอ โพลีน จำกัด (มหาชน) เนื่องจากเมื่อประมาณต้นปี 2547 ในช่วงนั้นได้รับงานทำป้ายหาเสียงเลือกตั้งนายก อบจ.สงขลาให้กับนายนวพล บุญญามณี น้องชายนายนิพนธ์ บุญญามณี ส.ส.สัดส่วน พรรคประชาธิปัตย์ และได้ติดตามเรียกเก็บเงินจากนายนิพนธ์ โดยนายนิพนธ์นัดที่โรงแรมเพรสซิเด้นท์ แยกราชประสงค์ เมื่อไปถึงได้พบนายนิพนธ์ นายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ นายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ ประธานกรรมการบริษัท ทีพีไอฯ ซึ่งไปร่วมประชุมเกี่ยวกับการหาเสียงเลือกตั้ง มีการแนะนำให้นายประจวบรู้จักนายประชัย หลังจากนั้นได้ติดต่อเข้า-ออกพรรคประชาธิปัตย์ จนได้รู้จักนายธงชัย คลศรีชัย (ลูกพี่ลูกน้องของนายประดิษฐ์) โดยเข้าใจว่านายธงชัยทำงานให้พรรคประชาธิปัตย์ในลักษณะแม่บ้านของพรรค หลังจากนั้นติดต่อกันเรื่อยมา
ต่อมานายธงชัยได้แจ้งให้ทราบว่าจะมีงานพิมพ์สื่อโฆษณาจากบริษัท ทีพีไอฯให้ทำ จนกระทั่งประมาณเดือนกรกฎาคม 2547 เลขานุการนายประชัยได้ติดต่อว่าจ้างบริษัท เมซไซอะฯทำป้ายโฆษณาสินค้า ในวงเงิน 10 ล้านบาท มีการทำสัญญาผลิตสื่อสิ่งพิมพ์ต่างๆหลายฉบับ จนกระทั่งประมาณปลายปี 2547 นายประจวบได้รับติดต่อจากนายธงชัยว่าบริษัท ทีพีไอฯจะทำสัญญาจ้างบริษัทเมซไซอะฯทำสื่อโฆษณาในวงเงินหลายสิบล้านบาท แต่วิธีการแตกต่างไปจากสัญญาจ้างที่ทำกับบริษัททีพีไอฯก่อนหน้านี้ โดยในสัญญานี้เป็นเพียงใช้ชื่อบริษัท เมซไซอะฯ เข้าทำสัญญาเพื่อรับเงินจากบริษัท ทีพีไอฯเท่านั้น ส่วนรายละเอียดของเนื้องานนั้น นายธงชัยจะรับไปดำเนินการและประสานกับบริษัท ทีพีไอฯเอง ให้นายประจวบมีหน้าที่เพียงนำเงินทั้งหมดส่งมอบให้กับนายธงชัย นายธงชัยได้แนะนำว่าให้สั่งจ่ายเงินตามเช็คแต่ละรายการไม่เกินรายละ 2 ล้านบาท เพื่อหลีกเลี่ยงการรายงานและตรวจสอบของธนาคารแห่งประเทศไทย และสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน
จากข้อมูลของกรมสรรพกร ภาษีซื้อที่บริษัท เมซไซอะฯยื่นชำระกับกรมสรรพากรในแต่ละเดือนตามแบบแสดงรายการภาษี ภ.พ.30 ที่บริษัท เมซไซอะฯแสดงข้อมูลไว้เพื่อสนับสนุนการประกอบธุรกิจ กรมสรรพากรยืนยันภาษีซื้อของบริษัท ชัยชวโรจน์ จำกัด บริษัท พีจีซี อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด และ หจก.สินวัฒนา เอเชีย เอนเตอร์ไพรส์ เป็นใบกำกับภาษีที่มิชอบและไม่มีการซื้อสินค้าหรือบริการระหว่างกันจริง
จากข้อมูลตารางทางการเงิน บริษัท ทีพีไอฯจ่ายเงินให้กับบริษัท เมซไซอะฯประมาณ 252 ล้านบาท จากหลักฐานทางระบบบัญชี บริษัท เมซไซอะฯได้รับเงินจากบริษัท ทีพีไอฯ และนำไปจ่ายให้กับบริษัท ชัยชวโรจน์ ,พีจีซี อินเตอร์เนชั่นแนล และ หจก.สินวัฒนา ประมาณ 90 ล้านบาท ซึ่งข้อมูลนี้ได้ปรากฏในแบบ ภ.ง.ด.53 ด้วยนั้น จากการตรวจสอบเส้นทางการเงินของบริษัท เมซไซอะฯ ไม่ปรากฏทั้งในรายงานฐานะทางการเงินและในระบบบัญชีของบริษัท เมซไซอะฯว่ามีการจ่ายเงินให้กับบริษัททั้ง 3 แต่อย่างใด จึงสอดคล้องกับคำให้การของเจ้าหน้าที่กรมสรรพากร ผู้ตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการประกอบการของทั้ง 3 บริษัท แล้วรายงานต่อกรมสรรพากรว่าบริษัททั้ง 3 ไม่มีการประกอบการจริง และกรมสรรพากรได้สั่งเพิกถอนการออกใบกำกับภาษี ทั้งนี้ หจก.สินวัฒนาถูกเพิกถอนการออกใบกำกับภาษี ตั้งแต่ ปี 2548
ส่วนข้อมูลด้านรายจ่ายของกิจการในปี พ.ศ. 2547 บริษัท เมซไซอะฯ ได้แสดงต้นทุนขายไว้ 146,820,335.09 บาท ตามรายการดังนี้
ค่าใช้จ่ายในการขายและให้บริการ 781,208.89 บาท โดยแสดงว่าเป็นการจ่ายค่าจ้างทำของให้กับ หจก.สินวัฒนาฯ ,บริษัท ชัยชวโรจน์ และบริษัทพีจีซีฯ จำนวนเงิน 82,278,419.95 บาท
ในปี 2548 เดือนมกราคม บริษัท เมซไซอะฯได้นำส่งภาษีหัก ณ ที่จ่าย (ภ.ง.ด.53) กรณีจ่ายค่าจ้างทำของให้บริษัทต่างๆ มูลค่ารวม 93,963,130 บาท รวม 9 บริษัท แต่จากข้อมูลผลการตรวจสอบการประกอบกิจการของผู้ประกอบการทั้ง 3 ราย ได้แก่ หจก.สินวัฒนาฯ (31,440,500 บาท) ,บริษัท ชัยชวโรจน์ (28,015,500 บาท) และบริษัทพีจีซีฯ (30,487,380บาท) ปรากฏข้อมูล ดังนี้
(1) หจก.สินวัฒนาฯถูกเพิกถอนทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มเมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2544 จากการตรวจสอบไม่พบการประกอบการ และเป็นผู้มีรายชื่อออกใบกำกับภาษีไม่ชอบด้วยกฎหมาย ประเด็นความผิดชัดเจน
(2) บริษัทพีจีซีฯถูกเพิกถอนทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม เมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2550 จากการตรวจสอบการประกอบการในปี 2547-2548 ไม่พบว่าได้ประกอบกิจการและปรากฏเป็นผู้มีรายชื่อผู้ออกใบกำกับภาษีไม่ชอบด้วยกฎหมาย ประเด็นความผิดชัดเจน
(3) บริษัท ชัยชวโรจน์ จำกัด ถูกเพิกถอนทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม เมื่อวันที่ 10 กันยายน 2551 จากการตรวจสอบการประกอบการในปี 2547-2548 ไม่พบการประกอบกิจการและปรากฏเป็นผู้มีรายชื่อผู้ออกใบกำกับภาษีไม่ชอบด้วยกฎหมาย ประเด็นความผิดชัดเจน
ข้อมูลการยื่นชำระภาษี
ปี 2543-2546 บริษัท เมซไซอะฯ ได้ยื่นบัญชีภาษีมูลค่าเพิ่มและภาษีเงินได้นิติบุคคลตามกำหนด
ปี 2547 บริษัท เมซไซอะฯ ได้นำส่งภาษีหัก ณ ที่จ่าย โดยนำชื่อบริษัทที่ไม่ได้ประกอบการมาเป็นชื่อผู้รับจ้างของบริษัท และได้ยื่นบัญชีภาษีมูลค่าเพิ่มและภาษีเงินได้นิติบุคคลแล้ว
ปี 2548 ในเดือนมกราคม บริษัท เมซไซอะฯ ได้ยื่นแบบ ภ.ง.ด. 53 เพื่อยื่นแบบนำส่งภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย จำนวน 2,810,793.90 บาท โดยใช้เช็คของบริษัทในการชำระภาษี แต่เช็คที่จ่ายชำระไม่สามารถขึ้นเงินได้ จึงยังเป็นภาษีอากรค้างชำระของบริษัท กรมสรรพากรได้เร่งรัดจัดเก็บตรวจพบว่าบริษัทได้ถูกธนาคารกสิกรไทยฟ้องล้มละลายต่อศาลล้มละลายกลาง ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดเมื่อวันที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2551 หลังจากนั้นบริษัทไม่ได้ยื่นภาษีมูลค่าเพิ่มแต่อย่างใด
จากข้อเท็จจริงในประเด็นที่ 3 บริษัท เมซไซอะฯดำเนินกิจกรรมตามสัญญาจ้างทั้ง 8 โครงการจริงหรือไม่ หรือเป็นเพียงการทำนิติกรรมอำพรางเพื่อโอนถ่ายหรือบริจาคเงินให้พรรคประชาธิปัตย์ตามข้อกล่าวหานั้น
เมื่อพิเคราะห์จากเส้นทางการเงินของบริษัท เมซไซอะฯ พบว่าตามที่บริษัท เมซไซอะฯ โอนเงินให้กับบุคคลในกลุ่มต่างๆ ซึ่งประกอบไปได้วย
(1) กลุ่มนายประจวบ สังขาว และเครือญาติ หรือกลุ่มบุคคลใกล้ชิดกับนายประจวบ สังขาว รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 155,617,800 บาท
(2) กลุ่มใกล้ชิดนายธงชัย คลศรีชัย หรือนายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 33,728,000 บาท
(3) กลุ่มบุคคลใกล้ชิดนายนิพนธ์ บุญญามณี รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 46,404,620 บาท
(4) กลุ่มบริษัทห้างร้านที่น่าเชื่อว่าทำธุรกรรมทางการค้าระหว่างกันจริง จำนวน 42,415,705 บาท
ซึ่งบุคคลต่างๆ ตามข้อ (1)-(3) ส่วนใหญ่ให้การสอดคล้องกันว่าเป็นการโอนเงินผ่านบัญชีไม่มีมูลหนี้ใดต่อกัน เมื่อเงินเข้าบัญชีแล้วจะถอนออกในวันรุ่งขึ้นหรือวันเดียวกัน แล้วนำเงินกลับมาให้นายธงชัย คลศรีชัย หรือนายประจวบ สังขาว แล้วแต่กรณี บางรายให้การว่าได้ค่าตอบแทนครั้งละ 500-600 บาท บางรายไม่ได้ค่าตอบแทน จากพยานหลักฐานเส้นทางการเงินดังกล่าวฟังได้ว่า บริษัท เมซไซอะฯประกอบการด้านการผลิตสื่อโฆษณาประชาสัมพันธ์จริงเพียงบางส่วน ประมาณ 42 ล้านบาท และจากเส้นทางการเงินประกอบจากคำให้การของผู้รับการโอนเงินหรือยินยอมให้ใช้บัญชีผ่านเงินจากนายประจวบ สังขาว ทั้งในส่วนของผู้ใกล้ชิดนายธงชัย คลศรีชัย
เมื่อรับเงินมาจากบริษัท ทีพีไอฯแล้ว นายประจวบไม่หักภาษีไว้ก่อนจ่ายเงินให้กับนายธงชัย คลศรีชัย เนื่องจากนายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ พูดกับนายธงชัย คลศรีชัย ต่อหน้านายประจวบ ว่ารับเงินมาแต่ละครั้งจำนวนเท่าใดให้นำเงินทั้งหมดมาก่อน แล้วจะหักเงินภาษีมาให้ในภายหลัง นายประจวบเชื่อใจเนื่องจากเป็นระดับเลขาธิการพรรคจึงตกลงปฏิบัติตามนั้น ที่นายประจวบรับงานกับบริษัท ทีพีไอฯจริงๆ ประมาณ 10 กว่าล้านบาท เป็นป้ายบิลบอร์ดในพื้นที่ภาคใต้ที่ จ.สุราษฎร์ธานี และหาดใหญ่ประมาณ
5 ล้านบาท ส่วนกรุงเทพ และปริมณฑล อีกประมาณ 5 ล้านบาท ส่วนเงินที่เหลือไม่ได้ทำงานจริง และได้นำไปให้ผู้บริหารพรรคประชาธิปัตย์ และใช้ผลิตป้ายฟิวเจอร์บอร์ดของผู้สมัครแต่ละเขต ซึ่งต้องผลิตให้ในจำนวน 250 ถึง 300 แผ่น ในราคาแผ่นละประมาณ 260 กว่าบาท เริ่มผลิตตั้งแต่ปลายเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2547 บริษัท เมซไซอะฯไม่ได้ทำสัญญากับพรรคประชาธิปัตย์ เนื่องจากเงินที่ใช้ทำป้ายใช้เงินจากยอดที่บริษัท ทีพีไอฯโอนเข้ามาในบัญชีบริษัท เมซไซอะฯ และเมื่อต้องใช้จ่ายอย่างไร จำนวนเท่าไร เพียงแค่บอกกับนายธงชัย ต่อมาเกิดปัญหาเนื่องจากยอดเงินที่ได้รับมาจากบริษัท พีทีไอฯไม่มีหลักฐานการใช้จ่ายเงิน (ใบเสร็จ) โดยเฉพาะภาษีมูลค่าเพิ่มซึ่งต้องชำระทุกเดือน จึงได้ปรึกษากับนายธงชัย ซึ่งได้รับคำแนะนำ และร่วมกันจัดหาใบกำกับภาษีของบริษัท ชัยชวโรจน์ จำกัด, บริษัท พีจีซีฯ และ หจก.สินวัฒนาฯ มาเป็นหลักฐานแสดงต่อกรมสรรพากร โดยคิดค่าใช้จ่ายในอัตรา 4.5% และหักภาษี ณ ที่จ่ายอีก 3%
จากกรณีข้างต้น ประกอบกับข้อมูลทางภาษีของบริษัททั้ง 3 ซึ่งเป็นบริษัทที่กรมสรรพากร และเจ้าหน้าที่กรมสรรพากร6 รายให้การยืนยันว่า ทั้ง 3 บริษัทไม่ประกอบการจริง สอดคล้องกับคำให้การของนายธงชัยที่ให้การว่ารับจ้างงานช่วงจากนายประจวบ ในโครงการจ้างที่ปรึกษาประชาสัมพันธ์งานของบริษัท ทีพีไอฯ โครงการที่ 8 วงเงินตามสัญญาโครงการนี้ 66,875,000 บาท โดยนายธงชัยให้การว่าในการรับจ้างงานช่วงจากนายประจวบไม่มีการทำสัญญาไว้ต่อกัน รับเงินล่วงหน้ามา 20,000,000 บาท ต่อมาทำงานบางส่วนแต่ยังไม่แล้วเสร็จ ทะเลาะกับนายประจวบ สังขาว จึงไม่ได้ส่งมอบงานต่อและไม่ได้คืนเงินให้กับนายประจวบแต่อย่างใด แสดงให้เห็นว่าในโครงการนี้ไม่มีการทำงานจริง ทำให้คำให้การของนายประจวบมีน้ำหนักเพิ่มมากขึ้น
จากคำให้การของนายประจวบ และพยานที่เกี่ยวข้อง ประกอบกับจากเส้นทางการเงินการชำระภาษี และระบบบัญชีของบริษัท เมซไซอะฯ ซึ่งคณะกรรมการการเลือกตั้งพิเคราะห์แล้วเห็นว่า บริษัท เมซไซอะฯ ดำเนินกิจกรรมตามสัญญาจ้างเพียงบางรายการเป็นส่วนน้อย โดยส่วนใหญ่เป็นนิติกรรมอำพราง มีการประกอบการจริงประมาณ 42 ล้านบาท ซึ่งในการประกอบการจริงนี้แบ่งเป็น 2 ส่วนดังนี้
1.จัดทำสื่อโฆษณาประชาสัมพันธ์ให้บริษัท ทีพีไอฯประมาณ 10 กว่าล้านบาท ดำเนินการประมาณเดือนกรกฎาคม 2547
2.ส่วนที่เหลือน่าเชื่อได้ว่าเป็นการจัดทำป้ายหาเสียงให้กับพรรคประชาธิปัตย์
ที่มา.มติชนออนไลน์
------------------------
วันพฤหัสบดีที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2553
คาร์ฟูร์เจ๋งกว่าเสื้อแดง
นานกว่า 3 ปีที่กลุ่มคนเสื้อแดงออกมาประท้วงขอความเป็นธรรมจากรัฐบาล แต่สุดท้ายก็ต้องกลายเป็นผู้ก่อการร้ายไปโดยปริยาย รัฐบาลปฏิบัติต่อกลุ่มคนที่มีความเห็นขัดแย้งราวกับว่าไม่ใช่คนประเทศเดียวกัน
สรุปก็คือ แม้ว่าขบวนการเสื้อแดงจะมีแนวร่วมทั่วแผ่นดิน แต่ข้อเรียกร้องพื้นๆ ให้รัฐบาลยุบสภายังทำไม่ได้ เพราะฉะนั้นจะไปหวังข้อเรียกร้องอื่นใดให้ขื่นขมยิ่งขึ้นไปอีก ยังไงเสียรัฐบาลเขาก็ไม่ใจอ่อน
แต่พลันที่มีข่าวว่าห้างค้าปลีกยักษ์ใหญ่ “คาร์ฟูร์” จะย้ายฐานจากเมืองไทยไปเปิดบริการในเมืองจีนแทน นั่นต่างหากทำให้รัฐบาลเต้นเป็นเจ้าเข้า
แม้นายกรัฐมนตรีจะออกมาปฏิเสธว่าไม่กระทบกับอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ แต่ลึกๆ ก็ต้องหวั่นไหวไม่มากก็น้อย
ความชัดเจนของคาร์ฟูร์จะย้ายหรือไม่เป็นเรื่องที่ยังต้องติดตาม ถ้าย้าย..ย้ายเพราะอะไร เพราะการเมืองแน่หรือ?
หรือเพราะร่างพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจค้าปลีก-ค้าส่ง พ.ศ........ที่อืดเป็นเรือเกลือ ดองเค็มมานานหลายปี และหลายฝ่ายตั้งความหวังว่ารัฐบาลชุดนี้จะสามารถนำเข้าสภาประกาศใช้ได้เสียที
ซึ่งสาระสำคัญของกฎหมายก็ไม่มีอะไรมาก เป็นการควบคุมการขยายสาขาของโมเดิร์นเทรดไม่ให้ส่งผลกระทบต่อธุรกิจโชว์ห่วยเท่านั้นเอง
คือถ้าเข้าข่ายว่าเป็นโมเดิร์นเทรดก็ให้ออกไปตั้งนอกเมือง หรือห่างจากชุมชนอย่างน้อย 15 กิโลเมตร โมเดิร์นเทรดทั้งหลายก็เลยโวย ไปตั้งไกลขนาดนั้น ใครจะไปเดิน ขอลดลงเหลือห่างสัก 3 กิโลเมตรจะได้ไหม?
ร่างพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจค้าปลีก-ค้าส่ง พ.ศ........ที่เคยมีร่างเดียวของกระทรวงพาณิชย์ก็เลยมีร่างที่ 2 ของผู้แทนการค้าออกมาเป็นตัวเลือก ทำให้ล่าช้าคาราคาซังออกไปอีก
เพราะฉะนั้นถ้าข่าวการย้ายฐานของคาร์ฟูร์ทำให้กฎหมายค้าปลีกต้องเลื่อนการพิจารณาออกไป หรือ รัฐบาลให้มีการเปลี่ยนแปลงแก้ไขในสาระบางประเด็นได้ก็ต้องบอกว่า
คาร์ฟูร์..นายแน่มาก!!!
ทีมา.บางกอกทูเดย์
สรุปก็คือ แม้ว่าขบวนการเสื้อแดงจะมีแนวร่วมทั่วแผ่นดิน แต่ข้อเรียกร้องพื้นๆ ให้รัฐบาลยุบสภายังทำไม่ได้ เพราะฉะนั้นจะไปหวังข้อเรียกร้องอื่นใดให้ขื่นขมยิ่งขึ้นไปอีก ยังไงเสียรัฐบาลเขาก็ไม่ใจอ่อน
แต่พลันที่มีข่าวว่าห้างค้าปลีกยักษ์ใหญ่ “คาร์ฟูร์” จะย้ายฐานจากเมืองไทยไปเปิดบริการในเมืองจีนแทน นั่นต่างหากทำให้รัฐบาลเต้นเป็นเจ้าเข้า
แม้นายกรัฐมนตรีจะออกมาปฏิเสธว่าไม่กระทบกับอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ แต่ลึกๆ ก็ต้องหวั่นไหวไม่มากก็น้อย
ความชัดเจนของคาร์ฟูร์จะย้ายหรือไม่เป็นเรื่องที่ยังต้องติดตาม ถ้าย้าย..ย้ายเพราะอะไร เพราะการเมืองแน่หรือ?
หรือเพราะร่างพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจค้าปลีก-ค้าส่ง พ.ศ........ที่อืดเป็นเรือเกลือ ดองเค็มมานานหลายปี และหลายฝ่ายตั้งความหวังว่ารัฐบาลชุดนี้จะสามารถนำเข้าสภาประกาศใช้ได้เสียที
ซึ่งสาระสำคัญของกฎหมายก็ไม่มีอะไรมาก เป็นการควบคุมการขยายสาขาของโมเดิร์นเทรดไม่ให้ส่งผลกระทบต่อธุรกิจโชว์ห่วยเท่านั้นเอง
คือถ้าเข้าข่ายว่าเป็นโมเดิร์นเทรดก็ให้ออกไปตั้งนอกเมือง หรือห่างจากชุมชนอย่างน้อย 15 กิโลเมตร โมเดิร์นเทรดทั้งหลายก็เลยโวย ไปตั้งไกลขนาดนั้น ใครจะไปเดิน ขอลดลงเหลือห่างสัก 3 กิโลเมตรจะได้ไหม?
ร่างพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจค้าปลีก-ค้าส่ง พ.ศ........ที่เคยมีร่างเดียวของกระทรวงพาณิชย์ก็เลยมีร่างที่ 2 ของผู้แทนการค้าออกมาเป็นตัวเลือก ทำให้ล่าช้าคาราคาซังออกไปอีก
เพราะฉะนั้นถ้าข่าวการย้ายฐานของคาร์ฟูร์ทำให้กฎหมายค้าปลีกต้องเลื่อนการพิจารณาออกไป หรือ รัฐบาลให้มีการเปลี่ยนแปลงแก้ไขในสาระบางประเด็นได้ก็ต้องบอกว่า
คาร์ฟูร์..นายแน่มาก!!!
ทีมา.บางกอกทูเดย์
'อีกา' คาบข่าว!!
อีกา....ชื่อนี้ฟังดูแล้วไม่น่าจะสนใจเท่าไหร่ แต่อย่าลืมว่าอีกาก็เคยมี “คุณประโยชน์” เหมือนกัน เริ่มตั้งแต่สมัยแผ่นดินรัชกาลที่ 1 ที่พระสงฆ์มารับบาตรตอน 7 โมงเช้า โดยทรงโปรดฯให้วันธรรมดานิมนต์พระสงฆ์ 100 รูป ส่วนวันพระนิมนต์ 150 รูป ซึ่งตอนนั้นเริ่มมีอีกามาบินรบกวนพระสงฆ์บ้างแล้ว
ครั้นสมัยแผ่นดินรัชกาลที่ 2 มีเหตุสำคัญจึงต้องเปลี่ยนเวลาเสด็จลงมาทรงบาตรจาก 7 โมงมาเป็น 9 โมงเช้า เนื่องด้วยอีกานี่แหละเป็นเหตุ เมื่อมีใครบางคนโยนก้อนกระดาษเข้ามา แต่อีกานึกว่าเป็นก้อนข้าวสุกจึงคาบไป แล้วไปทิ้งเอาไว้หน้าพระที่นั่ง
ความจึงแตกว่า...มีผู้คิดก่อการกบฏ ทรงรับสั่งให้ปราบเสียให้สิ้น...นี่จึงเป็นที่มาของสำนวน “กาบอกข่าว” หรือ “อีกาคาบข่าว” ด้วยเหตุนี้อีกเช่นกันทำให้ทรงโปรดฯหุงข้าวสุกเลี้ยงอีกาวันละสามกะทะทุกวัน
ในช่วงแผ่นดินรัชกาลที่ 3 ขุนนางพ่อค้า นิยมทูลเกล้าถวายลูกชายอายุไม่เกิน 15 ปี เข้ามารับใช้สนองงานวัง โปรดฯให้ไปทำหน้าที่ไล่กา จึงเป็นที่มาของชื่อ “มหาดเล็กไล่กา”
จะว่าไปแล้วอีกาก็ทำคุณประโยชน์แก่บ้านเมืองมิใช่น้อย โดยเฉพาะเรื่องการคาบข่าว แต่วันนี้จะหากาดีๆสักตัวก็ไม่ปรากฏ กาบางตัวอยู่ใกล้ผู้ที่มีอำนาจวาสนาฝ่ายบริหาร แต่ไม่มีนิสัยคาบข่าว กลับมีนิสัยเต้าข่าวเพื่อหวังผลตีกินพื้นที่ข่าวและมวลชน
มีการแอบฝึกกองกำลัง...ที่นั่นที่นี่...
สารพัดที่จะสร้างข่าว..สร้างกระแส เป็นอีกาเต้าข่าวอย่างนี้ ในแวดวงการเมืองเขาบอกว่า...ย่อมยืนระยะอยู่ได้ แต่ว่าอยู่ได้ไม่นาน...เพราะการปล่อยของปล่อยข่าวที่ไม่ดูระยะว่า “รุ่นใหญ่ขาเก๋า” กำลังเดินเกมอะไรกันอยู่...การออกมาพูดจาอย่างนี้นอกจากทำให้ตัวเองหมดซึ่งความศักดิ์สิทธิ์แล้ว ยังเป็นการล้ำหน้าล้ำตาของผู้ใหญ่ในพรรคอีกด้วย
วันนี้..โลกแห่งการสื่อสารมวลชนได้พัฒนาไปไกลมาก ทุกอย่างสื่อสารผ่านปลายนิ้วมือเท่านั้น แต่ไม่น่าเชื่อวิธีการเก่าๆของเดิมๆมุกเน่าๆ คนที่มีตำแหน่งเป็นดาวพุธประจำตัวผู้นำฝ่ายบริหารยังอหังกา ชักออกมาใช้อีก
เมื่อมีการตรวจสอบในหลายๆพื้นที่แล้วปรากฏว่า..ไม่มีอะไรในก่อไผ่ แล้วอย่างนี้ใครเสีย ต้องลองไปคิดและพิจารณากันให้จงหนัก หากเป็นไปได้ก็ขอฝากไปยัง รมต.ประจำสำนักนายกฯ “องอาจ คล้ามไพบูลย์” ว่า...ก่อนที่จะคิดปฏิรูปสื่ออะไรก็ตาม ช่วยปฏิรูปดาวพุธที่ขึ้นอยู่ข้างๆกาย นายกฯอภิสิทธิ์ สักครั้งเถอะ
เพราะดูเหมือนว่า...จะเล่นเพลินพูดเพลินเกินบทที่ผู้ใหญ่เขาจะอุ้มชู...หรือว่าจะคิดเทียบชั้นกับรองฯสุเทพ เพียงแค่ได้ออกหน้าจอจ้อฟรีๆอยู่ทุกวันนี้สื่อเขาก็เริ่มรู้สึกอะไรบางอย่างจนอยากจะเริ่มเมินหันหน้าหนีกันอยู่แล้ว
แต่อย่างว่า...นักการเมืองไทย “จุดเดือดต่ำ” ใครเอาขี้มาปาก็ไม่โกธร ขุดโคตรก็ไม่แคร์ และนิยมพูดในสิ่งที่ไม่ได้ทำ และทำในสิ่งที่ไม่ได้พูด ไม่มีมิตรแท้ไม่มีศัตรูถาวร
หากจะเอาคนที่เต้าข่าวไปเทียบกับอีกา คงเทียบกันได้ไม่ติด เพราะว่าอย่างน้อยอีกาก็ยังทำคุณประโยชน์ให้แก่แผ่นดินอย่างใหญ่หลวง
โลกนี้หากไม่มีอีกาคาบข่าวก็คงจะพิลึก ... แต่หากคาบเอาแต่ “การเต้าข่าว” มามันก็แค่นั้น!
ที่มา.บางกอกทูเดย์
ครั้นสมัยแผ่นดินรัชกาลที่ 2 มีเหตุสำคัญจึงต้องเปลี่ยนเวลาเสด็จลงมาทรงบาตรจาก 7 โมงมาเป็น 9 โมงเช้า เนื่องด้วยอีกานี่แหละเป็นเหตุ เมื่อมีใครบางคนโยนก้อนกระดาษเข้ามา แต่อีกานึกว่าเป็นก้อนข้าวสุกจึงคาบไป แล้วไปทิ้งเอาไว้หน้าพระที่นั่ง
ความจึงแตกว่า...มีผู้คิดก่อการกบฏ ทรงรับสั่งให้ปราบเสียให้สิ้น...นี่จึงเป็นที่มาของสำนวน “กาบอกข่าว” หรือ “อีกาคาบข่าว” ด้วยเหตุนี้อีกเช่นกันทำให้ทรงโปรดฯหุงข้าวสุกเลี้ยงอีกาวันละสามกะทะทุกวัน
ในช่วงแผ่นดินรัชกาลที่ 3 ขุนนางพ่อค้า นิยมทูลเกล้าถวายลูกชายอายุไม่เกิน 15 ปี เข้ามารับใช้สนองงานวัง โปรดฯให้ไปทำหน้าที่ไล่กา จึงเป็นที่มาของชื่อ “มหาดเล็กไล่กา”
จะว่าไปแล้วอีกาก็ทำคุณประโยชน์แก่บ้านเมืองมิใช่น้อย โดยเฉพาะเรื่องการคาบข่าว แต่วันนี้จะหากาดีๆสักตัวก็ไม่ปรากฏ กาบางตัวอยู่ใกล้ผู้ที่มีอำนาจวาสนาฝ่ายบริหาร แต่ไม่มีนิสัยคาบข่าว กลับมีนิสัยเต้าข่าวเพื่อหวังผลตีกินพื้นที่ข่าวและมวลชน
มีการแอบฝึกกองกำลัง...ที่นั่นที่นี่...
สารพัดที่จะสร้างข่าว..สร้างกระแส เป็นอีกาเต้าข่าวอย่างนี้ ในแวดวงการเมืองเขาบอกว่า...ย่อมยืนระยะอยู่ได้ แต่ว่าอยู่ได้ไม่นาน...เพราะการปล่อยของปล่อยข่าวที่ไม่ดูระยะว่า “รุ่นใหญ่ขาเก๋า” กำลังเดินเกมอะไรกันอยู่...การออกมาพูดจาอย่างนี้นอกจากทำให้ตัวเองหมดซึ่งความศักดิ์สิทธิ์แล้ว ยังเป็นการล้ำหน้าล้ำตาของผู้ใหญ่ในพรรคอีกด้วย
วันนี้..โลกแห่งการสื่อสารมวลชนได้พัฒนาไปไกลมาก ทุกอย่างสื่อสารผ่านปลายนิ้วมือเท่านั้น แต่ไม่น่าเชื่อวิธีการเก่าๆของเดิมๆมุกเน่าๆ คนที่มีตำแหน่งเป็นดาวพุธประจำตัวผู้นำฝ่ายบริหารยังอหังกา ชักออกมาใช้อีก
เมื่อมีการตรวจสอบในหลายๆพื้นที่แล้วปรากฏว่า..ไม่มีอะไรในก่อไผ่ แล้วอย่างนี้ใครเสีย ต้องลองไปคิดและพิจารณากันให้จงหนัก หากเป็นไปได้ก็ขอฝากไปยัง รมต.ประจำสำนักนายกฯ “องอาจ คล้ามไพบูลย์” ว่า...ก่อนที่จะคิดปฏิรูปสื่ออะไรก็ตาม ช่วยปฏิรูปดาวพุธที่ขึ้นอยู่ข้างๆกาย นายกฯอภิสิทธิ์ สักครั้งเถอะ
เพราะดูเหมือนว่า...จะเล่นเพลินพูดเพลินเกินบทที่ผู้ใหญ่เขาจะอุ้มชู...หรือว่าจะคิดเทียบชั้นกับรองฯสุเทพ เพียงแค่ได้ออกหน้าจอจ้อฟรีๆอยู่ทุกวันนี้สื่อเขาก็เริ่มรู้สึกอะไรบางอย่างจนอยากจะเริ่มเมินหันหน้าหนีกันอยู่แล้ว
แต่อย่างว่า...นักการเมืองไทย “จุดเดือดต่ำ” ใครเอาขี้มาปาก็ไม่โกธร ขุดโคตรก็ไม่แคร์ และนิยมพูดในสิ่งที่ไม่ได้ทำ และทำในสิ่งที่ไม่ได้พูด ไม่มีมิตรแท้ไม่มีศัตรูถาวร
หากจะเอาคนที่เต้าข่าวไปเทียบกับอีกา คงเทียบกันได้ไม่ติด เพราะว่าอย่างน้อยอีกาก็ยังทำคุณประโยชน์ให้แก่แผ่นดินอย่างใหญ่หลวง
โลกนี้หากไม่มีอีกาคาบข่าวก็คงจะพิลึก ... แต่หากคาบเอาแต่ “การเต้าข่าว” มามันก็แค่นั้น!
ที่มา.บางกอกทูเดย์
ทำไมมันถึงเรียกว่าสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐาน
โดย คุณกฤษณ์ วงศ์วิเศษธร น.บ. (ธรรมศาสตร์), ป.บัณฑิตทางกฎหมายมหาชน (ธรรมศาสตร์), นักศึกษาปริญญาโท สาชากฎหมายมหาชน คณะนิติศาสตร์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
บทนำ
บทความนี้มุ่งตั้งคำถามพื้นฐาน ที่สุดสำหรับนักกฎหมาย และอธิบายความให้ประชาชนทั่วไปเข้าใจ
ทำไม สิทธิเสรีภาพ ในรัฐธรรมนูญจึงมีทั้งสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐาน และสิทธิเสรีภาพอื่นๆ
บทความนี้มุ่งเผยแพร่ความรู้เท่า นั้น โปรดอ่านและตรองโดยปราศจากอคติ แต่อย่าอ่านโดยปราศจากสติปัญญา และเหตุผล กรุณาอย่าเอาไปโยงกับการเมืองเด็ดขาด หากแต่จะเนื่องอยู่บ้าง ก็แต่โดยที่ผู้เขียนและท่านผู้ อ่านทุกท่านเป็น "มนุษย์" ที่ทรงไว้ซึ่ง "สิทธิ" "เสรีภาพ" "สติปัญญา" และ "เหตุผล" เท่านั้น
การกำเนิดขึ้นของสิทธิเสรีภาพ
นับตั้งแต่ยุโรปยุคกลาง หรือที่เรียกว่า "ยุคมืด"(Dark age) อันเป็นยุคที่ศาสนจักรเรืองอำนาจ อย่างสูงสุดหากพิจารณาโดยแท้จริ งแล้ว ศาสนจักร ไม่ได้เรืองอำนาจมากมายขนาดนั้น ที่ถูกต้อง จะต้องเรียกว่า "ผู้คลั่งศาสนจักร" ได้เรืองอำนาจถึงจะถูก เพราะลำพังศาสนจักรเอง แม้มีอำนาจ แต่หากไม่มีผู้ศรัทธาหรือคลั่งศาสนจักรแล้ว เหตุการณ์เลวร้ายต่างๆจะเกิดขึ้น หรือไม่?
การทำลายล้างผู้ที่ไม่เห็นด้วย กับตนเอง ด้วยการตั้งตนเป็น "ผู้ล่าแม่มด" หรือ "ผู้กำจัดคนนอกรีต" แท้จริงแล้วก็คือการกำจัด "ผู้ที่เห็นไม่เหมือนตน" เท่านั้นเอง โดยเอาศาสนจักรเป็นที่ตั้งความชอบธรรมในการฆ่า ทารุณมนุษย์ด้วยกันเยี่ยงสัตว์ ป่ากระหายเลือด ไม่ว่าจะเผาทั้งเป็น หรือจับตรึงกางเขน ล้วนแล้วเป็นผลลัพธ์โดยตรงมาจาก "การเห็นต่าง" ไปจากพวกของตนเท่านั้น
หลังจากความเสื่อมอย่างถึงขีดสุด นักคิด นักปรัชญา ได้นำพาสติปัญญา และเหตุผล กลับเข้าสู่พิภพของยุโรปโดยการรื้อฟื้นการศึกษาปรัชญากรีก ที่ยึดถือว่า มนุษย์ มีคุณค่าในตัวเอง เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีเหตุผล และสติปัญญาเป็นแนวคิดที่เรียกว่า "ปัจเจกชนนิยม(Individualism)" ซึ่งเป็นข้อความคิดพื้นฐาน ในการจัดทำรัฐธรรมนูญของรัฐเสรี ประชาธิไตย ในกาลต่อๆมา ท่ามกลางความืดมิดของยุคสมัย แนวคิดปัจเจกชนนิยมจึงเหมือนแสงสว่างที่ขับไล่ความชั่วร้าย อันไร้เหตุผล และสติปัญญาของยุคกลาง เราจึงเรียกยุคนี้ว่า "ยุคความรุ่งเรืองทางสติปัญญา" หรือ Enlightenment(1)
จากแนวคิดปัจเจกชนนิยมสู่รัฐธรรมนูญเสรีประชาธิปไตย
การจัดทำรัฐธรรมนูญของรัฐเสรี ประชาธิปไตย ล้วนแล้วแต่มีอิทธิพลมาจากแนวคิด "ปัจเจกชนนิยม" ที่นับถือคุณค่าของมนุษย์ โดยยอมรับว่ามนุษย์ เกิดมาพร้อม "สิทธิ" และ "เสรีภาพ" โดยไม่จำเป็นต้องมีกฎหมายใดๆมารับรองอีก
อย่างไรก็ตาม “ฌอง ฌาค รุสโซ”( Jean Jaques Rousseau) นักปรัชญาและนักทฤษฎีการเมืองชาวสวิสต์ ได้กล่าวว่า "มนุษย์เกิดมาเสรี แต่ทุกแห่งหนเขาอยู่ในพันธนาการ" ที่เป็นเช่นนี้เพราะการที่มนุษย์ จะมาอยู่ร่วมกันอย่างสงบ สุขนั้น เราต่างจำต้องสละสิทธิ เสรีภาพบางประการ เพื่อสร้างภราดรภาพให้การรวมตัว ของเราดำเนินไปได้โดยดี เช่นนี้เองจึงเป็นที่มาของบทบัญญัติ รัฐธรรมนูญที่ว่า รัฐอาจกำจัดสิทธิเสรีภาพของประชาชนได้ เท่าที่พอสมควรกว่าเหตุ จำเป็น และไม่กระเทือนสาระสำคัญของสิทธิ เสรีภาพนั้นๆ
แนวคิดนี้ สอดคล้องกับนักปรัชญาชาวอังกฤษนามว่า "จอห์น ล็อค"(John Locke) โดยเขากล่าวว่า เรามารวมตัวกันเป็นรัฐ เพื่อมุ่งประโยชน์ในการรักษาความ ปลอดภัยทั้งภายในและภายนอก มุ่งประโยชน์ในทางการยุติระงับ ข้อพิพาท การจะทำเรื่องดังกล่าวนี้ ล้วนเรียกว่า "ภารกิจพื้นฐานของรัฐ" หากรัฐใดไม่อาจจะปฏิบัติภารกิจ เหล่านี้ได้ ย่อมไม่อาจควรดำรงอยู่เป็นรัฐอีกต่อไป โดยประชาชนจะต้องเสียสละสิทธิเสรีภาพบ้างเพื่อเข้าทำสัญญากับรัฐ เรียกว่า "สัญญาประชาคม"(The Social Contract)
สิทธิขั้นพื้นฐานกับความเป็นมนุษย์และการก่อกำเนิดนิติรัฐ
เมื่อเรายอมรับนับถือว่า มนุษย์มีคุณค่าในตัวเองตามธรรมชาติ การออกแบบรัฐธรรมนูญในเรื่องสิทธิเสรีภาพ ย่อมต้องคำนึงถึงความเป็นมนุษย์ ด้วย กล่าวคือ ลักษณะตามธรรมชาติของมนุษย์คืออะไรบ้าง? ซึ่งหากไม่มีสิ่งเหล่านี้แล้ว เราไม่อาจถือได้ว่าเขาเป็นมนุษย์ได้อีกต่อไป ตัวอย่างเช่น มนุษย์นั้นต้องคิด ต้องพูด ต้องเคลื่อนไหว ต้องมีชีวิต ร่างกาย สุขภาพอนามัย ฯลฯ สิ่งเหล่านี้จะกำจัด หรือพรากเอาไปจากมนุษย์มิได้เลย มิเช่นนั้นแล้ว มนุษย์นั้นก็จะกลายเป็น "สัตว์" หรือ "วัตถุ" และการปฏิบัติให้มนุษย์เป็นเช่นนั้น เราเรียกว่า "การละเมิดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์"
เมื่อเราไตร่ตรองและทราบว่า การจะเป็นมนุษย์โดยสมบูรณ์นั้น จำต้องมีสิ่งใดบ้าง เพื่อให้เขาพัฒนาศัยภาพตามที่ใจสมัคร และสามารถกำนหดชะตากรรมของตนเองได้ สิ่งเหล่านั้น คือ "สิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐาน"
รัฐไม่อาจจะจำกัดสิทธิเสรีภาพขั้น พื้นฐานได้อย่างเกินควร หรือขัดต่อหลักความได้สัดส่วน แดนแห่งสิทธิเสรีภาพเหล่านี้ เหมือนปราการอันแน่นหนาที่รัฐ จะไปรุกรานตามอำเถอใจไม่ได้ จะต้องมีกฎหมายให้อำนาจเพื่อการ นั้นๆ เหล่านี้เองจึงเป็นที่มาของ "หลักนิติรัฐ(État de droit)" อย่างไรก็ตาม มิได้หมายความว่า เมื่อมีกฎหมายแล้วรัฐจะทำอะไร ก็ได้ รัฐและผู้ใช้อำนาจรัฐพึงสังวรณ์ ไว้ด้วยว่า หลักนิติรัฐที่ให้รัฐเข้าไปกระทำการใดๆ กระทบกระเทือนสิทธิเสรีภาพได้นั้น ให้รัฐกระทำได้เท่าที่พอสมควรกว่าเหตุ และที่สำคัญ หลักนิติรัฐเกิดขึ้น "เพื่อจำกัดอำนาจรัฐ" ไม่ใช่ "ใบอนุญาต" ให้รัฐกระทำกับสิทธิเสรีภาพของ ประชาชนโดย "อ้างกฎหมาย" หรือ "การปฏิบัติการตามกฎหมาย" เพราะแท้จริงแล้ว ต้องไม่ลืมว่า หลักนิติรัฐ มีเนื้อหาเพื่อ "คุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชน" เป็นหลัก
บทสรุป
สิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานเป็นสิ่ง ที่ไม่อาจพรากเอาไปจากมนุษย์ ตราบเท่าที่มนุษย์ยังคงมีความเป็น มนุษย์ตามธรรมชาติ การกำเนิดขึ้นของหลักนิติธรรมก็ดี หลักนิติรัฐก็ดี ล้วนแล้วเกิดมาเพื่อคุ้มครองสิทธิ เสรีภาพของประชาชน จากการใช้อำนาจตามอำเภอใจของรัฐ หรือผู้ถืออำนาจรัฐ แต่ก็มิได้หมายความว่า สิทธิเสรีภาพจะเป็นดินแดนที่ไร้อาณาเขต การสละสิทธิเสรีภาพบางประการนั้น จะต้องกระทำภายใต้สัญญาประชาคมที่เรียกว่า "รัฐธรรมนูญ" และที่ประชาชนสละนั้น ด้วยเหตุเพื่อให้เกิดการอยู่ร่วมกันอย่างฉันท์มิตรที่เรียกว่า "ภราดรภาพ"( Fraternité)
การใช้อำนาจรัฐไม่ว่าทางใดก็ดี ต้องพิจารณาให้รอบคอบ ประชาชนเองก็ควรตระหนักถึงเรื่องดังกล่าวนี้ด้วย มิใช่เพียงเพื่อเอาอำนาจรัฐไป กำจัด ประหัตประหาร ผู้ที่มีความเห็นต่างจากตน และมิได้ให้การปฏิบัติเยี่ยงมนุษย์กับเขา สำหรับผู้ที่เห็นดีเห็นงานกับการกระทำอันร้ายกาจนี้ ก็คงอุปมาได้ดั่งบุคคลชื่มชมปรบมือกับพลุ สีเลือด หากแม้นพลุนั้นยังมิได้ตกต้องโดนบ้านเรือนของตนหรือญาติพี่น้องตน ก็ยังมิรู้สึกอะไร และสำคัญที่สุดคือ หากรัฐที่มิอาจทำภารกิจขั้นพื้นฐานในการรักษาความสงบและปกป้องชีวิตของราษฎรได้ ก็มิสมควรดำรงชีวิตอยู่เป็นรัฐอีกต่อไป
เชิงอรรถ
1. en light - เป็นรูปศัพท์ที่สอดคล้องกับคำ ว่าจุดไฟ หรือทำให้เกิดแสงสว่าง
บทนำ
บทความนี้มุ่งตั้งคำถามพื้นฐาน ที่สุดสำหรับนักกฎหมาย และอธิบายความให้ประชาชนทั่วไปเข้าใจ
ทำไม สิทธิเสรีภาพ ในรัฐธรรมนูญจึงมีทั้งสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐาน และสิทธิเสรีภาพอื่นๆ
บทความนี้มุ่งเผยแพร่ความรู้เท่า นั้น โปรดอ่านและตรองโดยปราศจากอคติ แต่อย่าอ่านโดยปราศจากสติปัญญา และเหตุผล กรุณาอย่าเอาไปโยงกับการเมืองเด็ดขาด หากแต่จะเนื่องอยู่บ้าง ก็แต่โดยที่ผู้เขียนและท่านผู้ อ่านทุกท่านเป็น "มนุษย์" ที่ทรงไว้ซึ่ง "สิทธิ" "เสรีภาพ" "สติปัญญา" และ "เหตุผล" เท่านั้น
การกำเนิดขึ้นของสิทธิเสรีภาพ
นับตั้งแต่ยุโรปยุคกลาง หรือที่เรียกว่า "ยุคมืด"(Dark age) อันเป็นยุคที่ศาสนจักรเรืองอำนาจ อย่างสูงสุดหากพิจารณาโดยแท้จริ งแล้ว ศาสนจักร ไม่ได้เรืองอำนาจมากมายขนาดนั้น ที่ถูกต้อง จะต้องเรียกว่า "ผู้คลั่งศาสนจักร" ได้เรืองอำนาจถึงจะถูก เพราะลำพังศาสนจักรเอง แม้มีอำนาจ แต่หากไม่มีผู้ศรัทธาหรือคลั่งศาสนจักรแล้ว เหตุการณ์เลวร้ายต่างๆจะเกิดขึ้น หรือไม่?
การทำลายล้างผู้ที่ไม่เห็นด้วย กับตนเอง ด้วยการตั้งตนเป็น "ผู้ล่าแม่มด" หรือ "ผู้กำจัดคนนอกรีต" แท้จริงแล้วก็คือการกำจัด "ผู้ที่เห็นไม่เหมือนตน" เท่านั้นเอง โดยเอาศาสนจักรเป็นที่ตั้งความชอบธรรมในการฆ่า ทารุณมนุษย์ด้วยกันเยี่ยงสัตว์ ป่ากระหายเลือด ไม่ว่าจะเผาทั้งเป็น หรือจับตรึงกางเขน ล้วนแล้วเป็นผลลัพธ์โดยตรงมาจาก "การเห็นต่าง" ไปจากพวกของตนเท่านั้น
หลังจากความเสื่อมอย่างถึงขีดสุด นักคิด นักปรัชญา ได้นำพาสติปัญญา และเหตุผล กลับเข้าสู่พิภพของยุโรปโดยการรื้อฟื้นการศึกษาปรัชญากรีก ที่ยึดถือว่า มนุษย์ มีคุณค่าในตัวเอง เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีเหตุผล และสติปัญญาเป็นแนวคิดที่เรียกว่า "ปัจเจกชนนิยม(Individualism)" ซึ่งเป็นข้อความคิดพื้นฐาน ในการจัดทำรัฐธรรมนูญของรัฐเสรี ประชาธิไตย ในกาลต่อๆมา ท่ามกลางความืดมิดของยุคสมัย แนวคิดปัจเจกชนนิยมจึงเหมือนแสงสว่างที่ขับไล่ความชั่วร้าย อันไร้เหตุผล และสติปัญญาของยุคกลาง เราจึงเรียกยุคนี้ว่า "ยุคความรุ่งเรืองทางสติปัญญา" หรือ Enlightenment(1)
จากแนวคิดปัจเจกชนนิยมสู่รัฐธรรมนูญเสรีประชาธิปไตย
การจัดทำรัฐธรรมนูญของรัฐเสรี ประชาธิปไตย ล้วนแล้วแต่มีอิทธิพลมาจากแนวคิด "ปัจเจกชนนิยม" ที่นับถือคุณค่าของมนุษย์ โดยยอมรับว่ามนุษย์ เกิดมาพร้อม "สิทธิ" และ "เสรีภาพ" โดยไม่จำเป็นต้องมีกฎหมายใดๆมารับรองอีก
อย่างไรก็ตาม “ฌอง ฌาค รุสโซ”( Jean Jaques Rousseau) นักปรัชญาและนักทฤษฎีการเมืองชาวสวิสต์ ได้กล่าวว่า "มนุษย์เกิดมาเสรี แต่ทุกแห่งหนเขาอยู่ในพันธนาการ" ที่เป็นเช่นนี้เพราะการที่มนุษย์ จะมาอยู่ร่วมกันอย่างสงบ สุขนั้น เราต่างจำต้องสละสิทธิ เสรีภาพบางประการ เพื่อสร้างภราดรภาพให้การรวมตัว ของเราดำเนินไปได้โดยดี เช่นนี้เองจึงเป็นที่มาของบทบัญญัติ รัฐธรรมนูญที่ว่า รัฐอาจกำจัดสิทธิเสรีภาพของประชาชนได้ เท่าที่พอสมควรกว่าเหตุ จำเป็น และไม่กระเทือนสาระสำคัญของสิทธิ เสรีภาพนั้นๆ
แนวคิดนี้ สอดคล้องกับนักปรัชญาชาวอังกฤษนามว่า "จอห์น ล็อค"(John Locke) โดยเขากล่าวว่า เรามารวมตัวกันเป็นรัฐ เพื่อมุ่งประโยชน์ในการรักษาความ ปลอดภัยทั้งภายในและภายนอก มุ่งประโยชน์ในทางการยุติระงับ ข้อพิพาท การจะทำเรื่องดังกล่าวนี้ ล้วนเรียกว่า "ภารกิจพื้นฐานของรัฐ" หากรัฐใดไม่อาจจะปฏิบัติภารกิจ เหล่านี้ได้ ย่อมไม่อาจควรดำรงอยู่เป็นรัฐอีกต่อไป โดยประชาชนจะต้องเสียสละสิทธิเสรีภาพบ้างเพื่อเข้าทำสัญญากับรัฐ เรียกว่า "สัญญาประชาคม"(The Social Contract)
สิทธิขั้นพื้นฐานกับความเป็นมนุษย์และการก่อกำเนิดนิติรัฐ
เมื่อเรายอมรับนับถือว่า มนุษย์มีคุณค่าในตัวเองตามธรรมชาติ การออกแบบรัฐธรรมนูญในเรื่องสิทธิเสรีภาพ ย่อมต้องคำนึงถึงความเป็นมนุษย์ ด้วย กล่าวคือ ลักษณะตามธรรมชาติของมนุษย์คืออะไรบ้าง? ซึ่งหากไม่มีสิ่งเหล่านี้แล้ว เราไม่อาจถือได้ว่าเขาเป็นมนุษย์ได้อีกต่อไป ตัวอย่างเช่น มนุษย์นั้นต้องคิด ต้องพูด ต้องเคลื่อนไหว ต้องมีชีวิต ร่างกาย สุขภาพอนามัย ฯลฯ สิ่งเหล่านี้จะกำจัด หรือพรากเอาไปจากมนุษย์มิได้เลย มิเช่นนั้นแล้ว มนุษย์นั้นก็จะกลายเป็น "สัตว์" หรือ "วัตถุ" และการปฏิบัติให้มนุษย์เป็นเช่นนั้น เราเรียกว่า "การละเมิดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์"
เมื่อเราไตร่ตรองและทราบว่า การจะเป็นมนุษย์โดยสมบูรณ์นั้น จำต้องมีสิ่งใดบ้าง เพื่อให้เขาพัฒนาศัยภาพตามที่ใจสมัคร และสามารถกำนหดชะตากรรมของตนเองได้ สิ่งเหล่านั้น คือ "สิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐาน"
รัฐไม่อาจจะจำกัดสิทธิเสรีภาพขั้น พื้นฐานได้อย่างเกินควร หรือขัดต่อหลักความได้สัดส่วน แดนแห่งสิทธิเสรีภาพเหล่านี้ เหมือนปราการอันแน่นหนาที่รัฐ จะไปรุกรานตามอำเถอใจไม่ได้ จะต้องมีกฎหมายให้อำนาจเพื่อการ นั้นๆ เหล่านี้เองจึงเป็นที่มาของ "หลักนิติรัฐ(État de droit)" อย่างไรก็ตาม มิได้หมายความว่า เมื่อมีกฎหมายแล้วรัฐจะทำอะไร ก็ได้ รัฐและผู้ใช้อำนาจรัฐพึงสังวรณ์ ไว้ด้วยว่า หลักนิติรัฐที่ให้รัฐเข้าไปกระทำการใดๆ กระทบกระเทือนสิทธิเสรีภาพได้นั้น ให้รัฐกระทำได้เท่าที่พอสมควรกว่าเหตุ และที่สำคัญ หลักนิติรัฐเกิดขึ้น "เพื่อจำกัดอำนาจรัฐ" ไม่ใช่ "ใบอนุญาต" ให้รัฐกระทำกับสิทธิเสรีภาพของ ประชาชนโดย "อ้างกฎหมาย" หรือ "การปฏิบัติการตามกฎหมาย" เพราะแท้จริงแล้ว ต้องไม่ลืมว่า หลักนิติรัฐ มีเนื้อหาเพื่อ "คุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชน" เป็นหลัก
บทสรุป
สิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานเป็นสิ่ง ที่ไม่อาจพรากเอาไปจากมนุษย์ ตราบเท่าที่มนุษย์ยังคงมีความเป็น มนุษย์ตามธรรมชาติ การกำเนิดขึ้นของหลักนิติธรรมก็ดี หลักนิติรัฐก็ดี ล้วนแล้วเกิดมาเพื่อคุ้มครองสิทธิ เสรีภาพของประชาชน จากการใช้อำนาจตามอำเภอใจของรัฐ หรือผู้ถืออำนาจรัฐ แต่ก็มิได้หมายความว่า สิทธิเสรีภาพจะเป็นดินแดนที่ไร้อาณาเขต การสละสิทธิเสรีภาพบางประการนั้น จะต้องกระทำภายใต้สัญญาประชาคมที่เรียกว่า "รัฐธรรมนูญ" และที่ประชาชนสละนั้น ด้วยเหตุเพื่อให้เกิดการอยู่ร่วมกันอย่างฉันท์มิตรที่เรียกว่า "ภราดรภาพ"( Fraternité)
การใช้อำนาจรัฐไม่ว่าทางใดก็ดี ต้องพิจารณาให้รอบคอบ ประชาชนเองก็ควรตระหนักถึงเรื่องดังกล่าวนี้ด้วย มิใช่เพียงเพื่อเอาอำนาจรัฐไป กำจัด ประหัตประหาร ผู้ที่มีความเห็นต่างจากตน และมิได้ให้การปฏิบัติเยี่ยงมนุษย์กับเขา สำหรับผู้ที่เห็นดีเห็นงานกับการกระทำอันร้ายกาจนี้ ก็คงอุปมาได้ดั่งบุคคลชื่มชมปรบมือกับพลุ สีเลือด หากแม้นพลุนั้นยังมิได้ตกต้องโดนบ้านเรือนของตนหรือญาติพี่น้องตน ก็ยังมิรู้สึกอะไร และสำคัญที่สุดคือ หากรัฐที่มิอาจทำภารกิจขั้นพื้นฐานในการรักษาความสงบและปกป้องชีวิตของราษฎรได้ ก็มิสมควรดำรงชีวิตอยู่เป็นรัฐอีกต่อไป
เชิงอรรถ
1. en light - เป็นรูปศัพท์ที่สอดคล้องกับคำ ว่าจุดไฟ หรือทำให้เกิดแสงสว่าง
เตือนไทยใกล้ถึงจุดจบปฏิวัติ-แยกปกครอง
จากหนังสือพิมพ์ โลกวันนี้
กิจจา ทวีกิจกุล หรือ “หมอนิด” ออกโรงทำนายอนาคตประเทศไทยใกล้ถึงกาลอวสานแล้ว โดยคดียุบพรรคประชาธิปัตย์จะเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ระบุหากใช้อำนาจพิเศษช่วยให้รอดพ้นถูกยุบจะเกิดกลียุค ประชาชนจะลุกฮือขึ้นมาต่อต้านความอยุติธรรมในสังคม หรือหากถูกยุบก็จะเกิดความวุ่นวายอีกแบบหนึ่งจนที่สุดทหารต้องเข้ามายึดอำนาจ ปิดประเทศแล้วใช้กระบอกปืนกวาดล้างฝ่ายตรงข้าม ทำให้ไม่มีพรรคการเมืองไปอีกหลายปี แต่หากทำไม่สำเร็จประเทศจะแตกเป็น 3 เสี่ยง แบ่งแยกการปกครอง ชี้ปมเหตุความพินาศดวงเป็นแค่องค์ประกอบส่วนหนึ่ง แต่ปัญหาหลักอยู่ที่ผู้มีอำนาจเลือกวิธีการผิดและเลือกใช้คนผิด เพราะ “อภิสิทธิ์” ไร้บารมี บริหารงานไม่เป็น
นายกิจจา ทวีกิจกุล หรือ “หมอนิด” นักโหราศาสตร์ชื่อดัง ทำนายดวงชะตาของพรรคประชาธิปัตย์ที่จะถูกศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยชี้ขาดในคดียุบพรรคว่า จากการตรวจสอบดวงชะตาของพรรคประชาธิปัตย์ขณะนี้พบว่าดวงของพรรคประชาธิปัตย์กำลังตกและถึงจุดเสื่อมอย่างเต็มที่ เปรียบเหมือนคนแก่ที่เป็นอัมพาตต้องให้คนคอยช่วยเหลืออยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะกินจะขี้ก็ต้องมีคนมาจัดการให้
“ผมฟันธงว่าพรรคประชาธิปัตย์จะต้องปิดปรับปรุงพรรคและจะไม่มีคนชื่อนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นหัวหน้าพรรคอีกต่อไป เนื่องจากดวงของนายอภิสิทธิ์กำลังมืดสนิท รวมทั้งลูกพรรคที่มีบทบาททางการเมืองหลายคนดวงไม่ดี” นายกิจจากล่าวและว่า หากมีปาฏิหาริย์ พรรคประชาธิปัตย์เกิดรอดจากการถูกยุบพรรค ตัวของนายอภิสิทธิ์ยิ่งต้องระวังชีวิตจะหาไม่ อีกทั้งจะเป็นแรงกระตุ้นให้เกิดการก่อกวนบ้านเมืองหนักยิ่งขึ้น เพราะแรงแค้นของอีกฝ่ายหนึ่งคือกลุ่มคนเสื้อแดงที่มองเห็นความอยุติธรรม บ้านเมืองจะวอดวายอีกครั้งและไม่จบง่ายๆ
“ผมขอให้แฟนคลับพรรคประชาธิปัตย์ทำใจเอาไว้ด้วย และขอให้เลือกเอาระหว่างจะเอาตัวบุคคลหรือจะเอาประเทศชาติและเศรษฐกิจ”
นายกิจจายังทำนายดวงเมืองว่า ยังมีปัญหาอยู่ ซึ่งจะส่งผลให้การเมืองไทยยังจะวุ่นต่อไปอีกหลายปี และอีกไม่นานประเทศไทยก็จะไม่มีพรรคการเมืองไประยะหนึ่ง เพราะทหารจะเข้ามาครองอำนาจนานหลายปี เหมือนกับการปิดประเทศไปชั่วคราวเพื่อจัดการกับฝ่ายที่จ้องล้มสถาบัน แต่หากทหารจัดการไม่ได้ประเทศไทยจะถูกแบ่งออกเป็น 2-3 เสี่ยง มีทั้งประเทศไทยเหนือ ไทยใต้ และภาคใต้อีก 3 จังหวัด
“ถ้าจะว่ากันตามความเป็นจริงคิดว่ามีโอกาสจะเกิดเหตุการณ์แบ่งแยกดินแดนการปกครองขึ้นได้มากทีเดียว เพราะสาเหตุเกิดมาจากนักการเมืองและข้าราชการทั้งทหาร ตำรวจ และพลเรือนส่วนใหญ่เห็นแก่อามิสสินจ้าง เอาแต่มุ่งหน้ากอบโกยและโกงกินทุกหัวระแหง และอีกไม่นานนี้ประเทศไทยจะเหลือเพียงซี่โครงหุ้มหนัง เพราะคนมีอำนาจ”
นายกิจจายังทำนายต่อไปว่า กรณีของพรรคประชาธิปัตย์คือจุดเริ่มต้นของจุดเปลี่ยนประเทศไทย ประกอบกับในรัฐบาลชุดนี้มีปัญหาเพราะผู้นำขาดภาวะของการเป็นผู้นำที่แท้จริง ยังต้องอาศัยคนมีบุญบารมีอุ้มชูอยู่ เป็นเรื่องที่น่าเสียดายที่คนมีบารมีวางตัวคนเป็นผู้นำผิดหลายประการ เรื่องดวงส่วนหนึ่ง แต่ที่สำคัญกว่าดวงคือไม่มีบารมีคุมอำนาจ ทั้งการบริหารบุคคลและการตัดสินใจ ซ้ำยังปล่อยให้รัฐมนตรีหลายคนไม่ซื่อสัตย์
“ผู้นำรัฐบาลคนปัจจุบันทำตัวเหมือนหัวหน้าคิว ผู้รักษาความปลอดภัยให้บรรดารัฐมนตรีคงจะเป็นเพราะลิขิตของสวรรค์และถึงคราวเสื่อมทั้งพรรคประชาธิปัตย์และประเทศไทย ผมขอให้จำคำทำนายของผมนี้เอาไว้เป็นสำคัญ เพราะจะต้องเกิดขึ้นในไม่ช้านี้อย่างแน่นอน” นักโหราศาสตร์ชื่อดังกล่าว
กิจจา ทวีกิจกุล หรือ “หมอนิด” ออกโรงทำนายอนาคตประเทศไทยใกล้ถึงกาลอวสานแล้ว โดยคดียุบพรรคประชาธิปัตย์จะเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ระบุหากใช้อำนาจพิเศษช่วยให้รอดพ้นถูกยุบจะเกิดกลียุค ประชาชนจะลุกฮือขึ้นมาต่อต้านความอยุติธรรมในสังคม หรือหากถูกยุบก็จะเกิดความวุ่นวายอีกแบบหนึ่งจนที่สุดทหารต้องเข้ามายึดอำนาจ ปิดประเทศแล้วใช้กระบอกปืนกวาดล้างฝ่ายตรงข้าม ทำให้ไม่มีพรรคการเมืองไปอีกหลายปี แต่หากทำไม่สำเร็จประเทศจะแตกเป็น 3 เสี่ยง แบ่งแยกการปกครอง ชี้ปมเหตุความพินาศดวงเป็นแค่องค์ประกอบส่วนหนึ่ง แต่ปัญหาหลักอยู่ที่ผู้มีอำนาจเลือกวิธีการผิดและเลือกใช้คนผิด เพราะ “อภิสิทธิ์” ไร้บารมี บริหารงานไม่เป็น
นายกิจจา ทวีกิจกุล หรือ “หมอนิด” นักโหราศาสตร์ชื่อดัง ทำนายดวงชะตาของพรรคประชาธิปัตย์ที่จะถูกศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยชี้ขาดในคดียุบพรรคว่า จากการตรวจสอบดวงชะตาของพรรคประชาธิปัตย์ขณะนี้พบว่าดวงของพรรคประชาธิปัตย์กำลังตกและถึงจุดเสื่อมอย่างเต็มที่ เปรียบเหมือนคนแก่ที่เป็นอัมพาตต้องให้คนคอยช่วยเหลืออยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะกินจะขี้ก็ต้องมีคนมาจัดการให้
“ผมฟันธงว่าพรรคประชาธิปัตย์จะต้องปิดปรับปรุงพรรคและจะไม่มีคนชื่อนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นหัวหน้าพรรคอีกต่อไป เนื่องจากดวงของนายอภิสิทธิ์กำลังมืดสนิท รวมทั้งลูกพรรคที่มีบทบาททางการเมืองหลายคนดวงไม่ดี” นายกิจจากล่าวและว่า หากมีปาฏิหาริย์ พรรคประชาธิปัตย์เกิดรอดจากการถูกยุบพรรค ตัวของนายอภิสิทธิ์ยิ่งต้องระวังชีวิตจะหาไม่ อีกทั้งจะเป็นแรงกระตุ้นให้เกิดการก่อกวนบ้านเมืองหนักยิ่งขึ้น เพราะแรงแค้นของอีกฝ่ายหนึ่งคือกลุ่มคนเสื้อแดงที่มองเห็นความอยุติธรรม บ้านเมืองจะวอดวายอีกครั้งและไม่จบง่ายๆ
“ผมขอให้แฟนคลับพรรคประชาธิปัตย์ทำใจเอาไว้ด้วย และขอให้เลือกเอาระหว่างจะเอาตัวบุคคลหรือจะเอาประเทศชาติและเศรษฐกิจ”
นายกิจจายังทำนายดวงเมืองว่า ยังมีปัญหาอยู่ ซึ่งจะส่งผลให้การเมืองไทยยังจะวุ่นต่อไปอีกหลายปี และอีกไม่นานประเทศไทยก็จะไม่มีพรรคการเมืองไประยะหนึ่ง เพราะทหารจะเข้ามาครองอำนาจนานหลายปี เหมือนกับการปิดประเทศไปชั่วคราวเพื่อจัดการกับฝ่ายที่จ้องล้มสถาบัน แต่หากทหารจัดการไม่ได้ประเทศไทยจะถูกแบ่งออกเป็น 2-3 เสี่ยง มีทั้งประเทศไทยเหนือ ไทยใต้ และภาคใต้อีก 3 จังหวัด
“ถ้าจะว่ากันตามความเป็นจริงคิดว่ามีโอกาสจะเกิดเหตุการณ์แบ่งแยกดินแดนการปกครองขึ้นได้มากทีเดียว เพราะสาเหตุเกิดมาจากนักการเมืองและข้าราชการทั้งทหาร ตำรวจ และพลเรือนส่วนใหญ่เห็นแก่อามิสสินจ้าง เอาแต่มุ่งหน้ากอบโกยและโกงกินทุกหัวระแหง และอีกไม่นานนี้ประเทศไทยจะเหลือเพียงซี่โครงหุ้มหนัง เพราะคนมีอำนาจ”
นายกิจจายังทำนายต่อไปว่า กรณีของพรรคประชาธิปัตย์คือจุดเริ่มต้นของจุดเปลี่ยนประเทศไทย ประกอบกับในรัฐบาลชุดนี้มีปัญหาเพราะผู้นำขาดภาวะของการเป็นผู้นำที่แท้จริง ยังต้องอาศัยคนมีบุญบารมีอุ้มชูอยู่ เป็นเรื่องที่น่าเสียดายที่คนมีบารมีวางตัวคนเป็นผู้นำผิดหลายประการ เรื่องดวงส่วนหนึ่ง แต่ที่สำคัญกว่าดวงคือไม่มีบารมีคุมอำนาจ ทั้งการบริหารบุคคลและการตัดสินใจ ซ้ำยังปล่อยให้รัฐมนตรีหลายคนไม่ซื่อสัตย์
“ผู้นำรัฐบาลคนปัจจุบันทำตัวเหมือนหัวหน้าคิว ผู้รักษาความปลอดภัยให้บรรดารัฐมนตรีคงจะเป็นเพราะลิขิตของสวรรค์และถึงคราวเสื่อมทั้งพรรคประชาธิปัตย์และประเทศไทย ผมขอให้จำคำทำนายของผมนี้เอาไว้เป็นสำคัญ เพราะจะต้องเกิดขึ้นในไม่ช้านี้อย่างแน่นอน” นักโหราศาสตร์ชื่อดังกล่าว
ปชป.ขับเคลื่อน-ปฏิรูป 3 ทาง ระบบ "อานันท์-อภิสิทธิ์-กรณ์" จากประชานิยมสู่-รัฐสวัสดิการ
ความพยายามทางการเมือง ของ "อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" นายกรัฐมนตรี และพรรคประชาธิปัตย์ คือการก้าวข้ามรัฐประชานิยมไปสู่รัฐสวัสดิการ
ก้าวข้ามต้นตำรับ "ทักษิโณมิกส์" สู่ระบบ "มาร์ค-กรณ์-อานันท์"
จากระบบขับเคลื่อน 2 ทาง เป็นขับเคลื่อน 3 ทาง
นโยบายถูกแปลงเป็นแผนงาน มาตรการ ที่ทั้งทีมที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี และคณะกรรมการปฏิรูปประเทศไทย และสมัชชาปฏิรูป ขับเคลื่อนพร้อมกัน 3 ทาง
ทางหนึ่งขับเคลื่อนโครงสร้างใหญ่ของประเทศ มี "นายอานันท์ ปันยารชุน" ประธานคณะกรรมการปฏิรูปขับเคลื่อน-ควบคู่จุดคานงัด-สามเหลี่ยมเขยื้อนภูเขา ของ "น.พ.ประเวศ วะสี"
ทางหนึ่งขับเคลื่อนผ่านทีมที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี โดย "คุณหญิงสุพัตรา มาศดิตถ์" และ "อภิรักษ์ โกษะโยธิน" ปฏิบัติการแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำด้าน รายได้ และโอกาสการเข้าถึงแหล่งทุน- ที่ทำกิน ทั้งรูปแบบปรับโครงสร้างภาษี ระบบภาษีที่ดิน และโฉนดชุมชน
ทางหนึ่งขับเคลื่อนโดย "กรณ์ จาติกวณิช" รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในการจัดทำมาตรการ "การคลังเพื่อสังคม"
ดังนั้นกว่าจะถึงการเลือกตั้งใหญ่สมัยหน้า รัฐบาลต้องเตรียมต้นทุนสำหรับการจ่ายงบประมาณเพื่อการเตรียมตัวเป็น "รัฐสวัสดิการ" อย่างเต็มรูปแบบ
โดยใช้โครงร่างของมาตรการ ประชานิยมเป็นตัวเชื่อมต่อ-พัฒนานโยบายเป็นรัฐสวัสดิการ
ย้อนไปเมื่อครั้งแรกที่รัฐบาลอภิสิทธิ์ ร่วมเสพสมกับนโยบายประชานิยม เมื่อ 1 กุมภาพันธ์ 2552-31 มีนาคม 2553 ใช้เงินอุดหนุนไปแล้ว 26,520.58 ล้านบาท อาทิ เพื่อลดค่าใช้จ่ายไฟฟ้าครัวเรือน 16,035.89 ล้านบาท
ลดค่าใช้จ่ายการเดินทางโดยรถโดยสารประจำทาง 2,875.38 ล้านบาท
ลดค่าใช้จ่ายการเดินทางโดยรถไฟชั้นสาม 1,161.93 ล้านบาท
ลดค่าใช้จ่ายน้ำประปาของครัวเรือน 6,447.38 ล้านบาท
ต่อเนื่องด้วยมติคณะรัฐมนตรี 29 มิถุนายน 2553 อุ้มประชานิยมไปต่อยอดสวัสดิการอีก 9,254.37 ล้านบาท
แบ่งเป็นอุดหนุนค่าไฟฟ้า 7,465.31 ล้านบาท
ค่าเดินทางรถ ขสมก. อีก 1,259.36 ล้านบาท
ค่าเดินทางรถไฟชั้นสามอีก 530 ล้านบาท
ไม่นับรวมมาตรการบรรเทาผลกระทบด้านพลังงานที่จะมีต่อเนื่องไปจากกันยายน 2553-กุมภาพันธ์ 2554 ใช้งบประมาณอีก 21,620 ล้านบาท
เพื่อตรึงราคาขายปลีก LPG ในระดับราคา 18.13 บาท/กิโลกรัม ใช้งบประมาณ 13,224 ล้านบาท
ตรึงราคาขายปลีก NGV โดยใช้เงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ชดเชย 2 บาท/กิโลกรัม รวม 2,400 ล้านบาท
มาตรการตรึงค่า Ft จนถึงสิ้นปี ใช้เงิน 5,996 ล้านบาท
ต้นทุนของรัฐบาลอภิสิทธิ์ในการ รับไม้ต่อจากรัฐบาล "สมัคร-สมชาย" ในการต่ออายุมาตรการผลกระทบด้านพลังงานในช่วงที่ผ่านมา 1 ปี (สิงหาคม 2552-สิงหาคม 2553) ใช้งบประมาณไปแล้ว 32,681 ล้านบาท
เพื่อเป็นการชดเชยนำเข้า LPG รวม 20,795 ล้านบาท ตรึงราคา NGV อีก 1,733 ล้านบาท และตรึงค่า Ft อีก 10,153 ล้านบาท
เฉพาะช่วงที่รัฐบาลอภิสิทธิ์รับช่วงมาตรการประชานิยมเพียงปีเศษ ๆ ทำให้รัฐบาลต้องจ่ายงบประมาณชดเชยไปแล้ว กว่า 900,071.95 ล้านบาท
ยังไม่นับรวมมาตรการดั้งเดิม สูตรต้นตำรับ "ทักษิโณมิกส์" ที่รัฐบาลอภิสิทธิ์รับมรดกมาดำเนินการอีกหลายแพ็กเกจ อาทิ การแก้ไขและบรรเทาผลกระทบเศรษฐกิจที่มีต่อประชาชน ทั้งเกษตรกร แรงงานนอกภาคเกษตร เด็ก ผู้มีรายได้น้อย ผู้สูงอายุ
ผ่านการจัดตั้งกองทุนเศรษฐกิจพอเพียง มีการเบิกจ่ายไปแล้ว 5,376.630 ล้านบาท เพื่อช่วยเหลือเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ เป็นเงิน 21,963 ล้านบาท โครงการส่งเสริมอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม. เชิงรุก) โดยรัฐบาลได้จ่ายค่าตอบแทนไปแล้ว 3,515.83 ล้านบาท
โครงการที่พรรคประชาธิปัตย์คิดค้น แตกกอต่อยอดขึ้นด้วยตัวเองคือ โครงการประกันรายได้เกษตรกร และการนำที่ดินราชพัสดุจำนวน 1 ล้านไร่ เพื่อให้เกษตรกรเช่าทำการเกษตร มีเป้าหมายดำเนินการต่อเนื่องจำนวน 50,000 ไร่ ส่วนบรรดาโครงการเรียนฟรี 15 ปี โครงการหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า หรือ 30 บาท รักษาทุกโรค ก็ถูกนำมาพัฒนา-ต่อยอดเพิ่มเป็นหลักประกันสุขภาพ จากเดิม 1,300 บาท เพิ่มเป็น 1,695 บาท/คน
นอกจากนี้ยังมีการแจก-ทางตรง ฮาร์ดคอร์ในโครงการเช็คช่วยชาติ เพื่อช่วยเหลือค่าครองชีพแก่ผู้ประกันตนในระบบประกันสังคม และเจ้าหน้าที่ของรัฐ ประเดิมไป 17,903 ล้านบาท
ด้วยภารกิจ-งบประมาณที่ท่วมท้น แต่ละปี ทำให้ทั้งนายกรัฐมนตรี-รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง คิดการใหญ่ ขับเคลื่อน 3 ทาง
ทางหนึ่ง เตรียมจัดทำนโยบาย-มาตรการ "การคลังเพื่อสังคม" หวังให้ชนชั้นล่างทั่วทั้งประเทศได้รับผลโดยตรงจากความเป็น "รัฐสวัสดิการ" แบบตรงไป-ตรงมา-โปร่งใสด้วยการรับบริการพื้นฐาน "ฟรีถ้วนหน้า" ตลอดไป ทั้งค่ารถเมล์-รถไฟชั้น 3 และค่าไฟฟรีแบบมีเพดานกำกับ
พร้อมด้วยมาตรการ "ลดราคาน้ำมัน" ลงอีก 2 บาทต่อลิตร อยู่ในระหว่าง "พิจารณา" ต่อยอดเมื่อจังหวะเวลาที่ เหมาะสม และเตรียมปรับโครงสร้างราคาก๊าซใหม่ทั้งระบบ
ทางหนึ่งเตรียมจัดหา "รายได้มหาศาล" เพื่อสนับสนุนต้นทุน-ค่าใช้จ่าย เพื่อความเป็นรัฐสวัสดิการ
รวมทั้งโครงการปรับเพิ่มภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) การจัดเก็บภาษีมรดกและภาษีที่ดิน รวมทั้งภาษีจากธุรกิจการเงินในห้องค้าหุ้น ก็ถูกจัดข้อมูลเพื่อจัดทำเป็นมาตรการ "การคลังเพื่อสังคม" ในอนาคต
นอกจากรายจ่ายต้นทางเพื่อสร้างเส้นทางไปสู่รัฐสวัสดิการแล้ว รัฐบาลยังมี ภาระรายจ่ายเฉพาะหน้าในแนวทาง ประชานิยมอีกไม่น้อยกว่า 30,000 ล้านบาท เพื่อ "ซื้อใจ" ข้าราชการ 1.2 ล้านคนทั่วประเทศ ในการปรับขึ้นเงินเดือนและ จ่ายโบนัสรายละไม่น้อยกว่า 5,000 บาท
ไม่เว้นแม้แต่ธนาคารของรัฐที่ต้องจัด งบประมาณเพื่ออุดหนุนเกษตรกรให้ "ล้างหนี้" อีกไม่น้อยกว่า 1 ล้านราย ผ่านธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ธนาคารกรุงไทย-ออมสิน ก็ต้องเข้าร่วมโครงการ "แก้หนี้นอกระบบ"
บรรดาผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) จะได้รับการสนับสนุนสินเชื่อจาก SME Bank เฉพาะหน้าที่จ่าย ไปแล้ว จำนวน 5,034,106 ราย วงเงิน 1,168,411 ล้านบาท
โครงการสินเชื่อ SME Power อีก 4,836.34 ล้านบาท และมาตรการสนับสนุนธุรกิจท่องเที่ยว วงเงิน 3,124.85 ล้านบาท ผู้ที่ถูกชะลอการเลิกจ้างแรงงานจะได้เงินชดเชย 13,448.62 ล้านบาท โครงการบริการรับประกันการส่งออกมีปริมาณการรับประกันเท่ากับ 60,375 ล้านบาท และการค้ำประกันสินเชื่อให้แก่ SMEs มียอด ค้ำประกันสินเชื่อ 21,390.07 ล้านบาท
ในนามของนโยบาย "รัฐสวัสดิการ" ต้องมีการลงทุนเพิ่ม ดังนั้น "อภิสิทธิ์" และคณะจึงมีโครงการวางรากฐานการพัฒนาในอนาคต โดยเร่งรัดโครงการลงทุนขนาดใหญ่ ภายใต้แผนปฏิบัติการไทย เข้มแข็ง 2555 กรอบวงเงินลงทุนภายในปีงบประมาณ พ.ศ. 2555 รวม 1.43 ล้านล้านบาท
โดยมีโครงการขนาดใหญ่ เช่น การจัดหาแหล่งน้ำและเพิ่มพื้นที่ชลประทาน วงเงินรวม 20,232.9 ล้านบาท การบริหารจัดการน้ำในพื้นที่ชลประทาน วงเงินรวม 17,224 ล้านบาท โครงการรถไฟฟ้าสาย สีม่วง ช่วงบางใหญ่-บางซื่อ วงเงินรวม 785 ล้านบาท
ทั้ง "มาร์ค" และ "กรณ์" ไม่ลืมว่ายังมีบัญชีเงินคงคลังของประเทศเฉพาะหน้า ล่าสุด ณ สิ้นเดือนพฤษภาคม 2553 มีอยู่ถึง 1.88 แสนล้านบาท ทั้งจากการเก็บรายได้ที่เกินเป้า และ "กำไร" จากการยึดทรัพย์ "ทักษิณ ชินวัตร" และครอบครัวอีก 4.9 หมื่นล้าน ยิ่งทำให้รัฐบาลสามารถ นำเงิน "ล่วงหน้า" มาใช้เป็น "ต้นทุน" หาเสียงล่วงหน้าได้อีกก้อน
ความพยายามของ "อภิสิทธิ์และคณะ" ที่ต้องการก้าวข้าม "ประชานิยม" สู่ "รัฐสวัสดิการ" กำลังถึงฝั่งฝัน ?
ตามนิยามของ "ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์" ต้นตำรับ "รัฐสวัสดิการก้าวหน้า" ที่เชื่อมั่นว่า "เป็นระบบที่กระตุ้นให้คนอยากทำงานมากขึ้น อยากมีการศึกษาที่ดีขึ้น ...ไม่ใช่สวัสดิการแบบที่จะทำให้คนนั่งกินนอนกินไม่ยอมทำงาน"
"ดร.เอนก" วิพากษ์แนวทาง "ประชานิยม-ทักษิณ" ว่า "มุ่งสร้างความสัมพันธ์เชิงดิ่งระหว่างผู้ที่อยู่เหนือกว่ากับผู้ที่อยู่ต่ำกว่าเป็นหลัก ประชาชนจึงไม่ได้คิดว่าตัวเองนั้นอยู่ในระดับเดียวกับรัฐบาล ในขณะที่ระบบรัฐสวัสดิการนั้นเกิดจากแนวความคิดที่มองว่าสวัสดิการที่ได้มานั้นเกิดจากการ ยื้อแย่งมาจากคนส่วนบน"
ต้องจับตาว่า มาตรการแผนงานของรัฐบาล "อภิสิทธิ์"
ข้อเสนอของคณะกรรมการปฏิรูปประเทศ "อานันท์"
และจุดคานงัดสังคมไทยของ "น.พ.ประเวศ"
ผนวกกับ "การคลัง-ภาษีเพื่อสังคม" ของ "กรณ์"
ท้าทายให้ฝ่ายเพื่อไทย-เสื้อแดงพิสูจน์ว่า ทั้งองคาพยพนี้จะนำประเทศก้าวข้ามจากรัฐประชานิยมสู่รัฐสวัสดิการได้หรือไม่ ผลการเลือกตั้งครั้งหน้าจะเป็นคำตอบ
ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
ก้าวข้ามต้นตำรับ "ทักษิโณมิกส์" สู่ระบบ "มาร์ค-กรณ์-อานันท์"
จากระบบขับเคลื่อน 2 ทาง เป็นขับเคลื่อน 3 ทาง
นโยบายถูกแปลงเป็นแผนงาน มาตรการ ที่ทั้งทีมที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี และคณะกรรมการปฏิรูปประเทศไทย และสมัชชาปฏิรูป ขับเคลื่อนพร้อมกัน 3 ทาง
ทางหนึ่งขับเคลื่อนโครงสร้างใหญ่ของประเทศ มี "นายอานันท์ ปันยารชุน" ประธานคณะกรรมการปฏิรูปขับเคลื่อน-ควบคู่จุดคานงัด-สามเหลี่ยมเขยื้อนภูเขา ของ "น.พ.ประเวศ วะสี"
ทางหนึ่งขับเคลื่อนผ่านทีมที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี โดย "คุณหญิงสุพัตรา มาศดิตถ์" และ "อภิรักษ์ โกษะโยธิน" ปฏิบัติการแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำด้าน รายได้ และโอกาสการเข้าถึงแหล่งทุน- ที่ทำกิน ทั้งรูปแบบปรับโครงสร้างภาษี ระบบภาษีที่ดิน และโฉนดชุมชน
ทางหนึ่งขับเคลื่อนโดย "กรณ์ จาติกวณิช" รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในการจัดทำมาตรการ "การคลังเพื่อสังคม"
ดังนั้นกว่าจะถึงการเลือกตั้งใหญ่สมัยหน้า รัฐบาลต้องเตรียมต้นทุนสำหรับการจ่ายงบประมาณเพื่อการเตรียมตัวเป็น "รัฐสวัสดิการ" อย่างเต็มรูปแบบ
โดยใช้โครงร่างของมาตรการ ประชานิยมเป็นตัวเชื่อมต่อ-พัฒนานโยบายเป็นรัฐสวัสดิการ
ย้อนไปเมื่อครั้งแรกที่รัฐบาลอภิสิทธิ์ ร่วมเสพสมกับนโยบายประชานิยม เมื่อ 1 กุมภาพันธ์ 2552-31 มีนาคม 2553 ใช้เงินอุดหนุนไปแล้ว 26,520.58 ล้านบาท อาทิ เพื่อลดค่าใช้จ่ายไฟฟ้าครัวเรือน 16,035.89 ล้านบาท
ลดค่าใช้จ่ายการเดินทางโดยรถโดยสารประจำทาง 2,875.38 ล้านบาท
ลดค่าใช้จ่ายการเดินทางโดยรถไฟชั้นสาม 1,161.93 ล้านบาท
ลดค่าใช้จ่ายน้ำประปาของครัวเรือน 6,447.38 ล้านบาท
ต่อเนื่องด้วยมติคณะรัฐมนตรี 29 มิถุนายน 2553 อุ้มประชานิยมไปต่อยอดสวัสดิการอีก 9,254.37 ล้านบาท
แบ่งเป็นอุดหนุนค่าไฟฟ้า 7,465.31 ล้านบาท
ค่าเดินทางรถ ขสมก. อีก 1,259.36 ล้านบาท
ค่าเดินทางรถไฟชั้นสามอีก 530 ล้านบาท
ไม่นับรวมมาตรการบรรเทาผลกระทบด้านพลังงานที่จะมีต่อเนื่องไปจากกันยายน 2553-กุมภาพันธ์ 2554 ใช้งบประมาณอีก 21,620 ล้านบาท
เพื่อตรึงราคาขายปลีก LPG ในระดับราคา 18.13 บาท/กิโลกรัม ใช้งบประมาณ 13,224 ล้านบาท
ตรึงราคาขายปลีก NGV โดยใช้เงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ชดเชย 2 บาท/กิโลกรัม รวม 2,400 ล้านบาท
มาตรการตรึงค่า Ft จนถึงสิ้นปี ใช้เงิน 5,996 ล้านบาท
ต้นทุนของรัฐบาลอภิสิทธิ์ในการ รับไม้ต่อจากรัฐบาล "สมัคร-สมชาย" ในการต่ออายุมาตรการผลกระทบด้านพลังงานในช่วงที่ผ่านมา 1 ปี (สิงหาคม 2552-สิงหาคม 2553) ใช้งบประมาณไปแล้ว 32,681 ล้านบาท
เพื่อเป็นการชดเชยนำเข้า LPG รวม 20,795 ล้านบาท ตรึงราคา NGV อีก 1,733 ล้านบาท และตรึงค่า Ft อีก 10,153 ล้านบาท
เฉพาะช่วงที่รัฐบาลอภิสิทธิ์รับช่วงมาตรการประชานิยมเพียงปีเศษ ๆ ทำให้รัฐบาลต้องจ่ายงบประมาณชดเชยไปแล้ว กว่า 900,071.95 ล้านบาท
ยังไม่นับรวมมาตรการดั้งเดิม สูตรต้นตำรับ "ทักษิโณมิกส์" ที่รัฐบาลอภิสิทธิ์รับมรดกมาดำเนินการอีกหลายแพ็กเกจ อาทิ การแก้ไขและบรรเทาผลกระทบเศรษฐกิจที่มีต่อประชาชน ทั้งเกษตรกร แรงงานนอกภาคเกษตร เด็ก ผู้มีรายได้น้อย ผู้สูงอายุ
ผ่านการจัดตั้งกองทุนเศรษฐกิจพอเพียง มีการเบิกจ่ายไปแล้ว 5,376.630 ล้านบาท เพื่อช่วยเหลือเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ เป็นเงิน 21,963 ล้านบาท โครงการส่งเสริมอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม. เชิงรุก) โดยรัฐบาลได้จ่ายค่าตอบแทนไปแล้ว 3,515.83 ล้านบาท
โครงการที่พรรคประชาธิปัตย์คิดค้น แตกกอต่อยอดขึ้นด้วยตัวเองคือ โครงการประกันรายได้เกษตรกร และการนำที่ดินราชพัสดุจำนวน 1 ล้านไร่ เพื่อให้เกษตรกรเช่าทำการเกษตร มีเป้าหมายดำเนินการต่อเนื่องจำนวน 50,000 ไร่ ส่วนบรรดาโครงการเรียนฟรี 15 ปี โครงการหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า หรือ 30 บาท รักษาทุกโรค ก็ถูกนำมาพัฒนา-ต่อยอดเพิ่มเป็นหลักประกันสุขภาพ จากเดิม 1,300 บาท เพิ่มเป็น 1,695 บาท/คน
นอกจากนี้ยังมีการแจก-ทางตรง ฮาร์ดคอร์ในโครงการเช็คช่วยชาติ เพื่อช่วยเหลือค่าครองชีพแก่ผู้ประกันตนในระบบประกันสังคม และเจ้าหน้าที่ของรัฐ ประเดิมไป 17,903 ล้านบาท
ด้วยภารกิจ-งบประมาณที่ท่วมท้น แต่ละปี ทำให้ทั้งนายกรัฐมนตรี-รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง คิดการใหญ่ ขับเคลื่อน 3 ทาง
ทางหนึ่ง เตรียมจัดทำนโยบาย-มาตรการ "การคลังเพื่อสังคม" หวังให้ชนชั้นล่างทั่วทั้งประเทศได้รับผลโดยตรงจากความเป็น "รัฐสวัสดิการ" แบบตรงไป-ตรงมา-โปร่งใสด้วยการรับบริการพื้นฐาน "ฟรีถ้วนหน้า" ตลอดไป ทั้งค่ารถเมล์-รถไฟชั้น 3 และค่าไฟฟรีแบบมีเพดานกำกับ
พร้อมด้วยมาตรการ "ลดราคาน้ำมัน" ลงอีก 2 บาทต่อลิตร อยู่ในระหว่าง "พิจารณา" ต่อยอดเมื่อจังหวะเวลาที่ เหมาะสม และเตรียมปรับโครงสร้างราคาก๊าซใหม่ทั้งระบบ
ทางหนึ่งเตรียมจัดหา "รายได้มหาศาล" เพื่อสนับสนุนต้นทุน-ค่าใช้จ่าย เพื่อความเป็นรัฐสวัสดิการ
รวมทั้งโครงการปรับเพิ่มภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) การจัดเก็บภาษีมรดกและภาษีที่ดิน รวมทั้งภาษีจากธุรกิจการเงินในห้องค้าหุ้น ก็ถูกจัดข้อมูลเพื่อจัดทำเป็นมาตรการ "การคลังเพื่อสังคม" ในอนาคต
นอกจากรายจ่ายต้นทางเพื่อสร้างเส้นทางไปสู่รัฐสวัสดิการแล้ว รัฐบาลยังมี ภาระรายจ่ายเฉพาะหน้าในแนวทาง ประชานิยมอีกไม่น้อยกว่า 30,000 ล้านบาท เพื่อ "ซื้อใจ" ข้าราชการ 1.2 ล้านคนทั่วประเทศ ในการปรับขึ้นเงินเดือนและ จ่ายโบนัสรายละไม่น้อยกว่า 5,000 บาท
ไม่เว้นแม้แต่ธนาคารของรัฐที่ต้องจัด งบประมาณเพื่ออุดหนุนเกษตรกรให้ "ล้างหนี้" อีกไม่น้อยกว่า 1 ล้านราย ผ่านธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ธนาคารกรุงไทย-ออมสิน ก็ต้องเข้าร่วมโครงการ "แก้หนี้นอกระบบ"
บรรดาผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) จะได้รับการสนับสนุนสินเชื่อจาก SME Bank เฉพาะหน้าที่จ่าย ไปแล้ว จำนวน 5,034,106 ราย วงเงิน 1,168,411 ล้านบาท
โครงการสินเชื่อ SME Power อีก 4,836.34 ล้านบาท และมาตรการสนับสนุนธุรกิจท่องเที่ยว วงเงิน 3,124.85 ล้านบาท ผู้ที่ถูกชะลอการเลิกจ้างแรงงานจะได้เงินชดเชย 13,448.62 ล้านบาท โครงการบริการรับประกันการส่งออกมีปริมาณการรับประกันเท่ากับ 60,375 ล้านบาท และการค้ำประกันสินเชื่อให้แก่ SMEs มียอด ค้ำประกันสินเชื่อ 21,390.07 ล้านบาท
ในนามของนโยบาย "รัฐสวัสดิการ" ต้องมีการลงทุนเพิ่ม ดังนั้น "อภิสิทธิ์" และคณะจึงมีโครงการวางรากฐานการพัฒนาในอนาคต โดยเร่งรัดโครงการลงทุนขนาดใหญ่ ภายใต้แผนปฏิบัติการไทย เข้มแข็ง 2555 กรอบวงเงินลงทุนภายในปีงบประมาณ พ.ศ. 2555 รวม 1.43 ล้านล้านบาท
โดยมีโครงการขนาดใหญ่ เช่น การจัดหาแหล่งน้ำและเพิ่มพื้นที่ชลประทาน วงเงินรวม 20,232.9 ล้านบาท การบริหารจัดการน้ำในพื้นที่ชลประทาน วงเงินรวม 17,224 ล้านบาท โครงการรถไฟฟ้าสาย สีม่วง ช่วงบางใหญ่-บางซื่อ วงเงินรวม 785 ล้านบาท
ทั้ง "มาร์ค" และ "กรณ์" ไม่ลืมว่ายังมีบัญชีเงินคงคลังของประเทศเฉพาะหน้า ล่าสุด ณ สิ้นเดือนพฤษภาคม 2553 มีอยู่ถึง 1.88 แสนล้านบาท ทั้งจากการเก็บรายได้ที่เกินเป้า และ "กำไร" จากการยึดทรัพย์ "ทักษิณ ชินวัตร" และครอบครัวอีก 4.9 หมื่นล้าน ยิ่งทำให้รัฐบาลสามารถ นำเงิน "ล่วงหน้า" มาใช้เป็น "ต้นทุน" หาเสียงล่วงหน้าได้อีกก้อน
ความพยายามของ "อภิสิทธิ์และคณะ" ที่ต้องการก้าวข้าม "ประชานิยม" สู่ "รัฐสวัสดิการ" กำลังถึงฝั่งฝัน ?
ตามนิยามของ "ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์" ต้นตำรับ "รัฐสวัสดิการก้าวหน้า" ที่เชื่อมั่นว่า "เป็นระบบที่กระตุ้นให้คนอยากทำงานมากขึ้น อยากมีการศึกษาที่ดีขึ้น ...ไม่ใช่สวัสดิการแบบที่จะทำให้คนนั่งกินนอนกินไม่ยอมทำงาน"
"ดร.เอนก" วิพากษ์แนวทาง "ประชานิยม-ทักษิณ" ว่า "มุ่งสร้างความสัมพันธ์เชิงดิ่งระหว่างผู้ที่อยู่เหนือกว่ากับผู้ที่อยู่ต่ำกว่าเป็นหลัก ประชาชนจึงไม่ได้คิดว่าตัวเองนั้นอยู่ในระดับเดียวกับรัฐบาล ในขณะที่ระบบรัฐสวัสดิการนั้นเกิดจากแนวความคิดที่มองว่าสวัสดิการที่ได้มานั้นเกิดจากการ ยื้อแย่งมาจากคนส่วนบน"
ต้องจับตาว่า มาตรการแผนงานของรัฐบาล "อภิสิทธิ์"
ข้อเสนอของคณะกรรมการปฏิรูปประเทศ "อานันท์"
และจุดคานงัดสังคมไทยของ "น.พ.ประเวศ"
ผนวกกับ "การคลัง-ภาษีเพื่อสังคม" ของ "กรณ์"
ท้าทายให้ฝ่ายเพื่อไทย-เสื้อแดงพิสูจน์ว่า ทั้งองคาพยพนี้จะนำประเทศก้าวข้ามจากรัฐประชานิยมสู่รัฐสวัสดิการได้หรือไม่ ผลการเลือกตั้งครั้งหน้าจะเป็นคำตอบ
ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
ไม่โต-ไม่แตก ครบรอบ 12 ปี "พรรคทักษิณ"
14 กรกฎาคม คือวันก่อตั้งพรรคไทยรักไทย 26 กรกฎาคม เป็นวันคล้ายวันเกิด "ทักษิณ ชินวัตร"
และในเชิงสัญลักษณ์ 14 กรกฎาคม คือวัน "ปฏิวัติฝรั่งเศส"
12 ปี กลายเป็นพรรคที่มีจุดแข็งเรื่องการรวมตัว-รวมพลัง จัดกิจกรรมเฉพาะกิจ
ทำให้จุดแข็งด้านนโยบายประชานิยมถูกเล่นแร่แปรธาตุ
จากพรรคไทยรักไทย สู่พรรคพลังประชาชน และเป็นมรสุมพรรคเพื่อไทย
คนในพรรค 3 ชื่อ 3 รุ่น กะเทาะเปลือก "พรรคทักษิณ"
----------------------------------------------
นายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย ฉายภาพ พัฒนาการ 12 ปี ของพรรค
"พรรคไทยรักไทยเป็นผลจากการใช้รัฐธรรมนูญฉบับปี 2540 ซึ่งต้องการให้พรรคการเมืองมีความเข้มแข็ง ประชาชนเลือกพรรคการเมืองมากขึ้น และเนื่องจากพรรคไทยรักไทยเกิดในช่วงวิกฤต จึงทำให้พรรคนี้ถูกบีบให้ต้องพัฒนาตัวเองในเรื่องนโยบาย ทำให้เกิดปรากฏการณ์ใหม่ ๆ ที่ประชาชนเลือกพรรคและนโยบาย"
ส่วนพรรคพลังประชาชนก็มีความพยายามนำเอาอุดมการณ์แนวคิดของพรรคไทยรักไทยมาทำต่อ แต่อ่อนแอเพราะขาดบุคลากร จาก "111" หลังจากนั้นพรรคพลังประชาชนก็ถูกทำลายต่อ
จนกระทั่งมีพรรคเพื่อไทย ซึ่งมีจุดอ่อน นอกจากจุดอ่อนเรื่องบุคลากรแล้ว บุคลากรจำนวนมากที่มีศักยภาพ ก็ไม่อยากดำรงตำแหน่งกรรมการบริหารพรรค เนื่องจากเกรงว่าพรรคจะถูกยุบแล้วตนเองจะถูกเพิกถอนสิทธิ์ ทำให้พรรคเพื่อไทยมีความอ่อนแอ
ช่วงนี้เป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อว่า พรรคเพื่อไทยจะสามารถทำภารกิจต่อเนื่องจากพรรคไทยรักไทยและพรรคพลังประชาชนได้หรือไม่ ในการทำให้ประเทศกลับมาเป็นประชาธิปไตย
การที่พรรคเพื่อไทย ไม่มีคนที่มีบทบาทประสบการณ์มาเป็นกรรมการบริหารมากเกินไป ทำให้การทำงานของพรรคไม่ใช่ "ระบบพรรคการเมือง" การตัดสินใจไม่มีความชัดเจนว่าตัดสินใจจากที่ไหน นักการเมืองมีส่วนร่วมน้อยลง ถ้าปล่อยเป็นอย่างนี้จะเหลือเหตุผลเดียวที่นักการเมืองยังอยู่ คือถ้าไม่อยู่ก็สอบตก
คำเตือน-จากรุ่นพี่บ้านเลขที่ 111 คือ
"พรรคเพื่อไทยต้องทำพรรคให้เป็นพรรคการเมือง ไม่ใช่เป็นการตัดสินใจของคนไม่กี่คนอย่างที่เป็นอยู่ พรรคเพื่อไทยต้องหันมาเน้นนโยบาย ลดการต่อล้อ ต่อเถียงรายวันให้เหลือน้อย และเน้นนโยบาย ซึ่งการทำแบบนี้ต้องจัดระบบพรรคการเมืองเสียก่อน"
"จาตุรนต์" พูดทุกครั้ง ทุกเวที เรื่อง "การก้าวข้ามทักษิณ"
"คนที่นิยมพรรคเพื่อไทยจำนวนไม่น้อย นิยมผูกพันกับ พ.ต.ท.ทักษิณ จะตัดขาดออกไปเสียเลยก็คงไม่ได้ แต่ขณะเดียวกันการเอาพรรคไปผูกกับ พ.ต.ท.ทักษิณ เกินไปอย่างที่เป็นอยู่ ก็ไม่ได้เป็นของดี"
"ต้องทำให้พรรคเป็นของประชามหาชน ทำให้บ้านเมืองเป็นประชาธิปไตย ถ้า พ.ต.ท.ทักษิณจะได้ประโยชน์ไปด้วย ก็เป็น เรื่องธรรมดา แต่ต้องไม่ใช่ทำให้คนรู้สึกว่าต้องทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณก่อน"
---------------------------------
นายคณวัฒน์ วศินสังวร รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย บอกว่า พรรคเพื่อไทยเป็นผลมาจากวิกฤตการณ์ทางการเมืองที่เกิดกับไทยรักไทยและพลังประชาชน
จากการทำโพลของพรรคเพื่อไทยพบว่า นโยบายที่คนคิดถึงมากที่สุดคือการปราบปรามยาเสพติด และนโยบายต่อมาคือ 30 บาทรักษาทุกโรค และนโยบายกองทุนหมู่บ้าน เป็นนโยบายหลัก ๆ
"นโยบายธงเหล่านี้ได้วางรกรากเป็นการถาวรแล้ว ต้องได้รับการต่อยอดและสานต่อไป เพื่อสังคมเศรษฐกิจรากหญ้าเราต้องดำเนินการต่อ โดยทำถ้วนหน้าทั้งรากหญ้าชนบทและในกรุงเทพฯ นโยบายของพรรคเพื่อไทย 70-80% ของนโยบาย มุ่งแก้ปัญหาความยากจนเป็นหลัก"
ช่วงรอยต่อที่พรรคประชาธิปัตย์เตรียมใช้มาตรการภาษี ต่อยอดประชานิยมเข้าสู่รัฐสวัสดิการ "คณวัฒน์" อ่านทางการเมืองว่า เป็นยุทธศาสตร์ในการหารายได้ของรัฐบาลทุกรัฐบาล
เช่นเดียวกับพรรคเพื่อไทยที่ได้ศึกษาเพื่อกำหนดยุทธศาสตร์ การปรับโครงสร้างภาษี เตรียมพร้อมระหว่างที่ยังไม่เป็นรัฐบาล และกำลังเฝ้าดูความตั้งใจของพรรคประชาธิปัตย์ที่บอกว่าจะดำเนินการเรื่องภาษีที่ดิน เพราะมีการพูดมานาน
"คงเป็นกุศโลบายของพรรคประชาธิปัตย์ในขณะนี้ที่ชูธงเรื่องรัฐสวัสดิการ เป็นแค่โวหารในการที่จะล่อใจเพื่อหาคะแนนนิยม เป็นกุศโลบายที่จะต่อสู้ทางการเมืองเพื่อต่อสู้กับนโยบายที่ทำสำเร็จแล้ว"
เมื่อเปรียบเทียบรัฐ "ประชานิยม" หรือ "รัฐสวัสดิการ"
เทียบประชาธิปัตย์กับเพื่อไทย "คณวัฒน์" อธิบายว่า
เมื่อประชาธิปัตย์มาเป็นรัฐบาล ได้ทำ สิ่งที่ไม่เป็นเหตุเป็นผลในการใช้จ่ายงบประมาณ จ่ายเช็คช่วยชาติ 2,000 บาท เรียกว่าประชานิยมในความหมายที่เลวร้าย
"ถ้าพรรคเพื่อไทยจะทำรัฐสวัสดิการ เราจะจัดลำดับความสำคัญของโครงการ และตามสถานะทางการคลังภาครัฐ ถ้าต้องปรับโครงสร้างภาษีก็ต้องไม่กระทบการ ฟื้นตัวเศรษฐกิจ ถ้าจะพูดถึงรัฐสวัสดิการ พรรคเพื่อไทยได้ทำมาตั้งแต่ปี 2544 ตั้งแต่สมัยเป็นพรรคไทยรักไทย"
แม้พรรคเพื่อไทยเป็นพรรคของ "คนจน" จัดลำดับความสำคัญการสร้างรายได้ให้ภาคเอกชนทั้งธุรกิจ อุตสาหกรรม และประชาชนโดยทั่วไปก่อน จากนั้นจะเป็นภาษีของรัฐ ซึ่งได้อานิสงส์จากเศรษฐกิจฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง สิ่งที่เราทำมาคือสวัสดิการของรากหญ้า
และแน่นอนที่สุดว่า ความเชื่อของ "คณวัฒน์" ชื่อ "ทักษิณ" คือ "แบรนด์" ที่ทำให้ "ไทยรักไทย-พลังประชาชน และเพื่อไทย" มีผลงาน
ตัวบุคคลยังเป็นแม่เหล็กมากกว่านโยบาย
"คุณทักษิณไม่ได้เป็นหัวหน้าพรรคแล้ว แต่อานิสงส์ที่พรรคพลังประชาชนกับพรรคเพื่อไทยรับมา เป็นอานิสงส์ของนโยบายที่คุณทักษิณผลักดันจนสำเร็จ"
"ฉะนั้นเป็นมรดกตกทอดที่พรรคเพื่อไทยรับมาจากพรรคพลังประชาชนและพรรคไทยรักไทย ประชาชนเขาฝังใจกับคนคนหนึ่ง กับสิ่งที่คุณทักษิณทำ"
------------------------------------
เช่นเดียวกับ นายสมาน เลิศวงศ์รัฐ อดีตกรรมการบริหารพรรคพลังประชาชน ที่ยังคงคลุกวงในพรรคเพื่อไทย
เขาบอกว่า นโยบายไทยรักไทยไม่ใช่ "ประชานิยม" เพราะคำนี้มาจากผู้ที่ต่อต้านคุณทักษิณ
"ในสายตานักวิชาการตะวันตก ประชานิยมเป็นคำเลวร้าย เป็นการเอาใจชาวบ้านโดยไร้เหตุผล พรรคไทยรักไทยไม่ได้คิดเรื่องประชานิยม เพราะประชานิยมคือการไม่สนใจวินัยการคลัง"
ข้อวิเคราะห์การลงคะแนนเลือกตั้งครั้งหน้า ของคนรุ่นที่ 2 ของไทยรักไทย คือ
"เหมือนดูหนัง อาจจะดูใครแสดงด้วย คละเคล้ากันแต่ละเขต ภาคเหนือกับอีสานอาจจะเห็นเรื่องบทบาทคุณทักษิณมากกว่านโยบาย เป็น 60 ต่อ 40 แต่ภาคกลาง อาจจะ 65 ต่อ 35 เชื่อว่ามีทั้ง 2 ส่วน ไม่มีใครแยกแยะได้"
สมานบอกว่า "จุดแข็งของคุณทักษิณ คือช่างคิด ช่างเลือก"
ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
และในเชิงสัญลักษณ์ 14 กรกฎาคม คือวัน "ปฏิวัติฝรั่งเศส"
12 ปี กลายเป็นพรรคที่มีจุดแข็งเรื่องการรวมตัว-รวมพลัง จัดกิจกรรมเฉพาะกิจ
ทำให้จุดแข็งด้านนโยบายประชานิยมถูกเล่นแร่แปรธาตุ
จากพรรคไทยรักไทย สู่พรรคพลังประชาชน และเป็นมรสุมพรรคเพื่อไทย
คนในพรรค 3 ชื่อ 3 รุ่น กะเทาะเปลือก "พรรคทักษิณ"
----------------------------------------------
นายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย ฉายภาพ พัฒนาการ 12 ปี ของพรรค
"พรรคไทยรักไทยเป็นผลจากการใช้รัฐธรรมนูญฉบับปี 2540 ซึ่งต้องการให้พรรคการเมืองมีความเข้มแข็ง ประชาชนเลือกพรรคการเมืองมากขึ้น และเนื่องจากพรรคไทยรักไทยเกิดในช่วงวิกฤต จึงทำให้พรรคนี้ถูกบีบให้ต้องพัฒนาตัวเองในเรื่องนโยบาย ทำให้เกิดปรากฏการณ์ใหม่ ๆ ที่ประชาชนเลือกพรรคและนโยบาย"
ส่วนพรรคพลังประชาชนก็มีความพยายามนำเอาอุดมการณ์แนวคิดของพรรคไทยรักไทยมาทำต่อ แต่อ่อนแอเพราะขาดบุคลากร จาก "111" หลังจากนั้นพรรคพลังประชาชนก็ถูกทำลายต่อ
จนกระทั่งมีพรรคเพื่อไทย ซึ่งมีจุดอ่อน นอกจากจุดอ่อนเรื่องบุคลากรแล้ว บุคลากรจำนวนมากที่มีศักยภาพ ก็ไม่อยากดำรงตำแหน่งกรรมการบริหารพรรค เนื่องจากเกรงว่าพรรคจะถูกยุบแล้วตนเองจะถูกเพิกถอนสิทธิ์ ทำให้พรรคเพื่อไทยมีความอ่อนแอ
ช่วงนี้เป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อว่า พรรคเพื่อไทยจะสามารถทำภารกิจต่อเนื่องจากพรรคไทยรักไทยและพรรคพลังประชาชนได้หรือไม่ ในการทำให้ประเทศกลับมาเป็นประชาธิปไตย
การที่พรรคเพื่อไทย ไม่มีคนที่มีบทบาทประสบการณ์มาเป็นกรรมการบริหารมากเกินไป ทำให้การทำงานของพรรคไม่ใช่ "ระบบพรรคการเมือง" การตัดสินใจไม่มีความชัดเจนว่าตัดสินใจจากที่ไหน นักการเมืองมีส่วนร่วมน้อยลง ถ้าปล่อยเป็นอย่างนี้จะเหลือเหตุผลเดียวที่นักการเมืองยังอยู่ คือถ้าไม่อยู่ก็สอบตก
คำเตือน-จากรุ่นพี่บ้านเลขที่ 111 คือ
"พรรคเพื่อไทยต้องทำพรรคให้เป็นพรรคการเมือง ไม่ใช่เป็นการตัดสินใจของคนไม่กี่คนอย่างที่เป็นอยู่ พรรคเพื่อไทยต้องหันมาเน้นนโยบาย ลดการต่อล้อ ต่อเถียงรายวันให้เหลือน้อย และเน้นนโยบาย ซึ่งการทำแบบนี้ต้องจัดระบบพรรคการเมืองเสียก่อน"
"จาตุรนต์" พูดทุกครั้ง ทุกเวที เรื่อง "การก้าวข้ามทักษิณ"
"คนที่นิยมพรรคเพื่อไทยจำนวนไม่น้อย นิยมผูกพันกับ พ.ต.ท.ทักษิณ จะตัดขาดออกไปเสียเลยก็คงไม่ได้ แต่ขณะเดียวกันการเอาพรรคไปผูกกับ พ.ต.ท.ทักษิณ เกินไปอย่างที่เป็นอยู่ ก็ไม่ได้เป็นของดี"
"ต้องทำให้พรรคเป็นของประชามหาชน ทำให้บ้านเมืองเป็นประชาธิปไตย ถ้า พ.ต.ท.ทักษิณจะได้ประโยชน์ไปด้วย ก็เป็น เรื่องธรรมดา แต่ต้องไม่ใช่ทำให้คนรู้สึกว่าต้องทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณก่อน"
---------------------------------
นายคณวัฒน์ วศินสังวร รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย บอกว่า พรรคเพื่อไทยเป็นผลมาจากวิกฤตการณ์ทางการเมืองที่เกิดกับไทยรักไทยและพลังประชาชน
จากการทำโพลของพรรคเพื่อไทยพบว่า นโยบายที่คนคิดถึงมากที่สุดคือการปราบปรามยาเสพติด และนโยบายต่อมาคือ 30 บาทรักษาทุกโรค และนโยบายกองทุนหมู่บ้าน เป็นนโยบายหลัก ๆ
"นโยบายธงเหล่านี้ได้วางรกรากเป็นการถาวรแล้ว ต้องได้รับการต่อยอดและสานต่อไป เพื่อสังคมเศรษฐกิจรากหญ้าเราต้องดำเนินการต่อ โดยทำถ้วนหน้าทั้งรากหญ้าชนบทและในกรุงเทพฯ นโยบายของพรรคเพื่อไทย 70-80% ของนโยบาย มุ่งแก้ปัญหาความยากจนเป็นหลัก"
ช่วงรอยต่อที่พรรคประชาธิปัตย์เตรียมใช้มาตรการภาษี ต่อยอดประชานิยมเข้าสู่รัฐสวัสดิการ "คณวัฒน์" อ่านทางการเมืองว่า เป็นยุทธศาสตร์ในการหารายได้ของรัฐบาลทุกรัฐบาล
เช่นเดียวกับพรรคเพื่อไทยที่ได้ศึกษาเพื่อกำหนดยุทธศาสตร์ การปรับโครงสร้างภาษี เตรียมพร้อมระหว่างที่ยังไม่เป็นรัฐบาล และกำลังเฝ้าดูความตั้งใจของพรรคประชาธิปัตย์ที่บอกว่าจะดำเนินการเรื่องภาษีที่ดิน เพราะมีการพูดมานาน
"คงเป็นกุศโลบายของพรรคประชาธิปัตย์ในขณะนี้ที่ชูธงเรื่องรัฐสวัสดิการ เป็นแค่โวหารในการที่จะล่อใจเพื่อหาคะแนนนิยม เป็นกุศโลบายที่จะต่อสู้ทางการเมืองเพื่อต่อสู้กับนโยบายที่ทำสำเร็จแล้ว"
เมื่อเปรียบเทียบรัฐ "ประชานิยม" หรือ "รัฐสวัสดิการ"
เทียบประชาธิปัตย์กับเพื่อไทย "คณวัฒน์" อธิบายว่า
เมื่อประชาธิปัตย์มาเป็นรัฐบาล ได้ทำ สิ่งที่ไม่เป็นเหตุเป็นผลในการใช้จ่ายงบประมาณ จ่ายเช็คช่วยชาติ 2,000 บาท เรียกว่าประชานิยมในความหมายที่เลวร้าย
"ถ้าพรรคเพื่อไทยจะทำรัฐสวัสดิการ เราจะจัดลำดับความสำคัญของโครงการ และตามสถานะทางการคลังภาครัฐ ถ้าต้องปรับโครงสร้างภาษีก็ต้องไม่กระทบการ ฟื้นตัวเศรษฐกิจ ถ้าจะพูดถึงรัฐสวัสดิการ พรรคเพื่อไทยได้ทำมาตั้งแต่ปี 2544 ตั้งแต่สมัยเป็นพรรคไทยรักไทย"
แม้พรรคเพื่อไทยเป็นพรรคของ "คนจน" จัดลำดับความสำคัญการสร้างรายได้ให้ภาคเอกชนทั้งธุรกิจ อุตสาหกรรม และประชาชนโดยทั่วไปก่อน จากนั้นจะเป็นภาษีของรัฐ ซึ่งได้อานิสงส์จากเศรษฐกิจฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง สิ่งที่เราทำมาคือสวัสดิการของรากหญ้า
และแน่นอนที่สุดว่า ความเชื่อของ "คณวัฒน์" ชื่อ "ทักษิณ" คือ "แบรนด์" ที่ทำให้ "ไทยรักไทย-พลังประชาชน และเพื่อไทย" มีผลงาน
ตัวบุคคลยังเป็นแม่เหล็กมากกว่านโยบาย
"คุณทักษิณไม่ได้เป็นหัวหน้าพรรคแล้ว แต่อานิสงส์ที่พรรคพลังประชาชนกับพรรคเพื่อไทยรับมา เป็นอานิสงส์ของนโยบายที่คุณทักษิณผลักดันจนสำเร็จ"
"ฉะนั้นเป็นมรดกตกทอดที่พรรคเพื่อไทยรับมาจากพรรคพลังประชาชนและพรรคไทยรักไทย ประชาชนเขาฝังใจกับคนคนหนึ่ง กับสิ่งที่คุณทักษิณทำ"
------------------------------------
เช่นเดียวกับ นายสมาน เลิศวงศ์รัฐ อดีตกรรมการบริหารพรรคพลังประชาชน ที่ยังคงคลุกวงในพรรคเพื่อไทย
เขาบอกว่า นโยบายไทยรักไทยไม่ใช่ "ประชานิยม" เพราะคำนี้มาจากผู้ที่ต่อต้านคุณทักษิณ
"ในสายตานักวิชาการตะวันตก ประชานิยมเป็นคำเลวร้าย เป็นการเอาใจชาวบ้านโดยไร้เหตุผล พรรคไทยรักไทยไม่ได้คิดเรื่องประชานิยม เพราะประชานิยมคือการไม่สนใจวินัยการคลัง"
ข้อวิเคราะห์การลงคะแนนเลือกตั้งครั้งหน้า ของคนรุ่นที่ 2 ของไทยรักไทย คือ
"เหมือนดูหนัง อาจจะดูใครแสดงด้วย คละเคล้ากันแต่ละเขต ภาคเหนือกับอีสานอาจจะเห็นเรื่องบทบาทคุณทักษิณมากกว่านโยบาย เป็น 60 ต่อ 40 แต่ภาคกลาง อาจจะ 65 ต่อ 35 เชื่อว่ามีทั้ง 2 ส่วน ไม่มีใครแยกแยะได้"
สมานบอกว่า "จุดแข็งของคุณทักษิณ คือช่างคิด ช่างเลือก"
ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
วันพุธที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2553
อำนาจใหม่ผลัดใบ
“สมบัติผลัดกันชม” นั่นคือธรรมชาติแห่งการ เมืองโลก ถ้าจดจ่อจนหูดับ ทำใจยอมรับไม่ได้ วิบากกรรม ที่กำลังเกิดกับ “พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกฯมันก็น่าบ่งบอกได้เป็นอย่างดี ว่าคำตอบสุดท้ายของการฝืนสัจธรรมประชาธิปไตยจะลงเอยในสภาพใด
แต่ดูเหมือนบทเรียนอำนาจในวันวาน มันไม่ได้ทำให้ตัวละครบนหน้าฉากอำนาจใหม่ยี่หระ ในทางตรงกันข้าม มันกลับทำให้ นักการเมือง ถลำลึกเสพติดอำนาจอย่างงอมแงม มิต่างไปจากมิจฉาทิฐิในจิตใจขั้วอำนาจเก่าแม้แต่น้อย
ความทะยานอยากในการลากยาวอำนาจ ยังคงมุ่งมั่นใส่เกียร์ห้า เดินหน้าแล้วฆ่ามันเพื่อให้ไปถึงหลักกิโลเมตรแรกแห่งฝั่งฝันในห้วงสิงหาฯ กลางปีหน้าให้จงได้!!!
ขบวนคาราวานคณะกรรมการชุดแล้วชุดเล่า ถูกปล่อยออกจากครรภ์รัฐบาล “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” อันมีหลักชัยเดียว กันและเงื่อนเวลาในการปฏิบัติภารกิจที่ผูกโยงกันอย่างเหมาะเจาะ ในการนำพาสยามประเทศไปสู่ความปรองดอง กระนั้นก็ตาม ข้ออ้างแห่งการปรองดอง ยังมีเควสชั่น “มาร์ค” ว่าความจริงแล้วมันคือเป้าหลักหรือเป้าหลอกทางการเมือง???
เพราะความจริงที่รัฐบาลยังพูดไม่ชัดและพูดไม่หมด นั่นคือ สิงหาฯ กลางปีหน้า ประเทศนี้จะมีการเลือกตั้งเกิดขึ้นจริงอย่าง ที่ประชาชนคาดหวังหรือเปล่า???
เนื่องด้วยงบประมาณรัฐสวัสดิการจำแลง 3 แสนล้านที่โปรยปรายดั่งพระพิรุณ ลงสู่กลางใจรากหญ้า มันยังไม่สามารถตอบ โจทย์ “เหลื่อมล้ำ” ของฝ่ายกุมอำนาจประเทศ ได้อย่างชัดเจน จนรากหญ้าผู้ภักดีต่อ “อดีตนายกฯ ทักษิณ” จะยอมถอด “เสื้อคลุมแดง” และเปลี่ยนมาสวมใส่ยูนิฟอร์ม “สีฟ้า” หรือ “สีน้ำเงิน” ตามที่ “อภิสิทธิ์แอนด์เดอะแก๊ง” หวังใจไว้
ประกอบกับทางแยก ทางเบี่ยงบนไฮเวย์ การเมืองอันยาวไกล รถบรรทุกนักเลือกตั้งพะยี่ห้อ “ประชาธิปัตย์” และ “เพื่อไทย” ก็พร้อมจะพลิกคว่ำพลิกหงายและพร้อมยุบได้ทุกเมื่อ ส่งผลให้รถ สำรองอย่าง “ภูมิใจไทย” และ “เพื่อแผ่นดิน” พร้อมจะตีรถเปล่า กลับมาช้อนรับสินค้าจากรถบรรทุกใหญ่ที่จอดตายอยู่กลางทาง
หากสมมติฐานดังกล่าวไม่ผิดพลาดหรือแม้ผิดแค่ครึ่ง มันก็ย่อมเอื้ออำนวยให้ พรรคไซส์เอ็มคู่นี้ ต่างอ้วนพีราศีจับขึ้นมาในพลัน เมื่อโมเมนตัมดุลอำนาจเปลี่ยน “รัฐนาวาเทพประทาน” ย่อมมีอานิสงส์โน้มเอียงไปตามลมฟ้าอากาศเช่นเดียวกัน แต่จะ ถึงขั้นล่มกลางอ่าวหรือไม่นั้น คงต้องยกหูถามกระตังค์ 4 แสนล้านในกระเป๋า “เสี่ยมอนเตรเนโกร” ว่ายังคงอิทธิฤทธิ์ ต่อ“ผู้ทรงเกียรติ” ได้ดังเดิมหรือไม่???
แต่ที่น่าสนใจคือ อาการไม่ยอมตก “รถด่วนขบวนรัฐบาล แห่งชาติ” ของ “พ่อใหญ่จิ๋ว-พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ” เพราะถ้าหากเงื่อนไขโน้มเอียงไปข้างไหนไม่ว่าจะเป็น “สวรรค์” หรือ “นรก” ตำหรับ “ยาสามัญประจำบ้านยี่ห้อจิ๋ว” ก็น่าจะเป็นยาวิเศษชุดพิเศษในการเยียวยาอำนาจไม่ให้ทะลักออกจากมือฝ่ายกุมอำนาจประเทศ
ด้วยกระบวนการอำนาจที่เคลื่อนอย่างมีนัย สุดท้ายปริศนาการเมือง ล้วนรวมศูนย์ย้อนกลับมาที่คำถามเดิมๆ นั่นคือ...สิงหาฯ กลางปีหน้าประเทศนี้จะมีการเลือกตั้ง เกิดขึ้นจริงหรือไม่???
โฟกัสแรกที่พอจะบอกใบ้ปริศนานี้ได้ มันก็น่าจะเป็น ท่าทีเอิ๊กอ๊ากเป็นพิเศษระหว่าง “เนวิน ชิดชอบ” กับ “บิ๊กตู่-พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” ว่าที่จ่าฝูงกองทัพบก รวมไปถึงข่าวลือเรื่องรางวัลปลอบใจใน เก้าอี้ รมช.กลาโหมของ “บิ๊กป๊อก-พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา”
หรือแม้กระทั่ง ราศีเจ้ากรมปทุมวันที่ฉายจับไป ที่ “พล.ต.ท.อัศวิน ขวัญเมือง” ทั้งๆ ที่ไม่ใช่ “เพื่อนเนวิน” มันก็พอจะพิสูจน์ทราบได้ถึงเค้าโครงแห่งวาระผลัดใบอำนาจพิเศษในอุ้งมือขั้วอำนาจใหม่
บนเกมลากยาวที่บรรทัดสุดท้ายต้องไม่มีชื่อ “ทักษิณ ชินวัตร”
ที่มา.สยามธุรกิจ
แต่ดูเหมือนบทเรียนอำนาจในวันวาน มันไม่ได้ทำให้ตัวละครบนหน้าฉากอำนาจใหม่ยี่หระ ในทางตรงกันข้าม มันกลับทำให้ นักการเมือง ถลำลึกเสพติดอำนาจอย่างงอมแงม มิต่างไปจากมิจฉาทิฐิในจิตใจขั้วอำนาจเก่าแม้แต่น้อย
ความทะยานอยากในการลากยาวอำนาจ ยังคงมุ่งมั่นใส่เกียร์ห้า เดินหน้าแล้วฆ่ามันเพื่อให้ไปถึงหลักกิโลเมตรแรกแห่งฝั่งฝันในห้วงสิงหาฯ กลางปีหน้าให้จงได้!!!
ขบวนคาราวานคณะกรรมการชุดแล้วชุดเล่า ถูกปล่อยออกจากครรภ์รัฐบาล “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” อันมีหลักชัยเดียว กันและเงื่อนเวลาในการปฏิบัติภารกิจที่ผูกโยงกันอย่างเหมาะเจาะ ในการนำพาสยามประเทศไปสู่ความปรองดอง กระนั้นก็ตาม ข้ออ้างแห่งการปรองดอง ยังมีเควสชั่น “มาร์ค” ว่าความจริงแล้วมันคือเป้าหลักหรือเป้าหลอกทางการเมือง???
เพราะความจริงที่รัฐบาลยังพูดไม่ชัดและพูดไม่หมด นั่นคือ สิงหาฯ กลางปีหน้า ประเทศนี้จะมีการเลือกตั้งเกิดขึ้นจริงอย่าง ที่ประชาชนคาดหวังหรือเปล่า???
เนื่องด้วยงบประมาณรัฐสวัสดิการจำแลง 3 แสนล้านที่โปรยปรายดั่งพระพิรุณ ลงสู่กลางใจรากหญ้า มันยังไม่สามารถตอบ โจทย์ “เหลื่อมล้ำ” ของฝ่ายกุมอำนาจประเทศ ได้อย่างชัดเจน จนรากหญ้าผู้ภักดีต่อ “อดีตนายกฯ ทักษิณ” จะยอมถอด “เสื้อคลุมแดง” และเปลี่ยนมาสวมใส่ยูนิฟอร์ม “สีฟ้า” หรือ “สีน้ำเงิน” ตามที่ “อภิสิทธิ์แอนด์เดอะแก๊ง” หวังใจไว้
ประกอบกับทางแยก ทางเบี่ยงบนไฮเวย์ การเมืองอันยาวไกล รถบรรทุกนักเลือกตั้งพะยี่ห้อ “ประชาธิปัตย์” และ “เพื่อไทย” ก็พร้อมจะพลิกคว่ำพลิกหงายและพร้อมยุบได้ทุกเมื่อ ส่งผลให้รถ สำรองอย่าง “ภูมิใจไทย” และ “เพื่อแผ่นดิน” พร้อมจะตีรถเปล่า กลับมาช้อนรับสินค้าจากรถบรรทุกใหญ่ที่จอดตายอยู่กลางทาง
หากสมมติฐานดังกล่าวไม่ผิดพลาดหรือแม้ผิดแค่ครึ่ง มันก็ย่อมเอื้ออำนวยให้ พรรคไซส์เอ็มคู่นี้ ต่างอ้วนพีราศีจับขึ้นมาในพลัน เมื่อโมเมนตัมดุลอำนาจเปลี่ยน “รัฐนาวาเทพประทาน” ย่อมมีอานิสงส์โน้มเอียงไปตามลมฟ้าอากาศเช่นเดียวกัน แต่จะ ถึงขั้นล่มกลางอ่าวหรือไม่นั้น คงต้องยกหูถามกระตังค์ 4 แสนล้านในกระเป๋า “เสี่ยมอนเตรเนโกร” ว่ายังคงอิทธิฤทธิ์ ต่อ“ผู้ทรงเกียรติ” ได้ดังเดิมหรือไม่???
แต่ที่น่าสนใจคือ อาการไม่ยอมตก “รถด่วนขบวนรัฐบาล แห่งชาติ” ของ “พ่อใหญ่จิ๋ว-พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ” เพราะถ้าหากเงื่อนไขโน้มเอียงไปข้างไหนไม่ว่าจะเป็น “สวรรค์” หรือ “นรก” ตำหรับ “ยาสามัญประจำบ้านยี่ห้อจิ๋ว” ก็น่าจะเป็นยาวิเศษชุดพิเศษในการเยียวยาอำนาจไม่ให้ทะลักออกจากมือฝ่ายกุมอำนาจประเทศ
ด้วยกระบวนการอำนาจที่เคลื่อนอย่างมีนัย สุดท้ายปริศนาการเมือง ล้วนรวมศูนย์ย้อนกลับมาที่คำถามเดิมๆ นั่นคือ...สิงหาฯ กลางปีหน้าประเทศนี้จะมีการเลือกตั้ง เกิดขึ้นจริงหรือไม่???
โฟกัสแรกที่พอจะบอกใบ้ปริศนานี้ได้ มันก็น่าจะเป็น ท่าทีเอิ๊กอ๊ากเป็นพิเศษระหว่าง “เนวิน ชิดชอบ” กับ “บิ๊กตู่-พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” ว่าที่จ่าฝูงกองทัพบก รวมไปถึงข่าวลือเรื่องรางวัลปลอบใจใน เก้าอี้ รมช.กลาโหมของ “บิ๊กป๊อก-พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา”
หรือแม้กระทั่ง ราศีเจ้ากรมปทุมวันที่ฉายจับไป ที่ “พล.ต.ท.อัศวิน ขวัญเมือง” ทั้งๆ ที่ไม่ใช่ “เพื่อนเนวิน” มันก็พอจะพิสูจน์ทราบได้ถึงเค้าโครงแห่งวาระผลัดใบอำนาจพิเศษในอุ้งมือขั้วอำนาจใหม่
บนเกมลากยาวที่บรรทัดสุดท้ายต้องไม่มีชื่อ “ทักษิณ ชินวัตร”
ที่มา.สยามธุรกิจ
งูเห่าตัวแรกในพงหญ้าประชาธิปไตย
ตอนที่แล้วทุกท่านคงทราบถึงสงครามสื่อ และการใส่ไคร้ข้อหาคอมมิวนิสต์ ครั้งแรกในประวัติศาสตร์ชาติไทยกันไปแล้ว ซึ่งหลังจาก “พระยามโนปกรณ์นิติธาดา” ได้ถือโอกาสสั่งปิดหนังสือของคณะราษฎรแล้ว ก็ได้สร้างวิกฤตการณ์ทาง การเมือง โดยรวบรวมกลุ่มอำนาจเก่าและผู้สนับสนุน หมายกำจัดคณะราษฎรให้สิ้นซาก
โดยพุ่งเป้าไปที่มันสมองอย่าง “ปรีดี พนมยงค์” โดยนายกฯ คนแรกก็ได้เริ่มเดินเกมให้ “ปรีดี” เป็นผู้ร่างโครงการเศรษฐกิจแห่งชาติ ซึ่งเมื่อร่างเสร็จแล้ว แม้จะผ่านความเห็นของมติเสียงส่วนใหญ่ แต่ในท้ายที่สุด โครงการเศรษฐกิจ ดังกล่าว กลับถูกโจมตีอย่างหนัก โดยเฉพาะทางสื่อหนังสือพิมพ์ว่าเป็นคอมมิวนิสต์
และนี่คือการใส่ร้ายข้อหาคอมมิวนิสต์อีกครั้งของประวัติศาสตร์ชาติไทยเมื่อ กว่า 60 ปีก่อน!!!
ต่อมาก็มีการตีพิมพ์พระราชวิจารณ์เค้าโครงเศรษฐกิจออกเผยแพร่ ทำให้รัฐบาลของ “พระยามโนปกรณ์” ออกกฎหมายต่อต้านการกระทำอันเป็นคอม มิวนิสต์ กฎหมายนี้ครอบคลุมถึงโครงการทั้งหลายที่มีจุดมุ่งหมายจะเปลี่ยนแปลงสังคม โดยเฉพาะโครงการที่ปฏิเสธหรือเลิกล้มกรรมสิทธิ์ทรัพย์สินส่วนบุคคล จากนั้นก็มี การตั้ง “คณะชาติ” ซึ่งเป็นฝ่ายขุนนางเก่าขึ้นมาทาบรัศมี “คณะราษฎร”
“พระยามโนปกรณ์” เริ่มเดินเกมเข้มข้นขึ้นอีกในพฤษภาคม 2476 เมื่อตั้งนายพล ซึ่งเป็นพระราชวงศ์ให้กลับมาดำรงตำแหน่งสำคัญในกระทรวงกลาโหม และออกคำสั่งให้ย้ายหน่วยทหารที่เกี่ยวข้องกับคณะราษฎรออกไปจากกรุงเทพฯ ต่อมาก็ใช้อำนาจทหารค้นอาวุธทุกคนที่เดินทางมาประชุมสภา ทำให้เกิดความไม่พอใจจากสมาชิกจนทำให้เกิดการอภิปรายอย่างรุนแรง จนเป็นที่มาของการปฏิวัติ ตัวเองของนายกฯ คนแรก เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2476 โดยอ้างว่า ครม.เสียงแตก ซึ่งนับเป็นการปฏิวัติครั้งแรกหลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง
เมื่อทำการปฏิวัติเป็นที่สำเร็จแล้ว ก็ตั้งรัฐบาลใหม่ โดยตัว “พระยามโนปกรณ์” รับตำแหน่งนายกฯ อีกครั้ง พร้อมกับแต่งตั้งขุนนางเก่าใน ครม.ทั้งสิ้น ในขณะที่ฝ่ายคณะราษฎรถูกก่อกวนอย่างหนัก ถูกบีบให้ลาออกจากราชการบ้าง ผู้เกี่ยวข้อง ถูกโยกย้ายตลอด รวมไปถึงปิดหนังสือพิมพ์หลายฉบับที่สนับสนุนคณะราษฎร จน ในที่สุด “ปรีดี” ก็ถูกเนรเทศไปฝรั่งเศส......
จนวันที่ 20 มิถุนายน 2476 ภายใต้การนำของ “พระยาพหลพลพยุหเสนา” และ “พลโทแปลก ขีตตะสังคะ” หรือ “หลวงพิบูลสงคราม” (จอมพล ป. พิบูลสงคราม) ซึ่งกำลังเป็นขวัญใจของบรรดาทหารในขณะนั้น ก็ได้กระทำการรัฐประหารเป็นครั้งที่สอง เพื่อป้องกันการต่อต้านการปฏิวัติและเพื่อให้คณะปฏิวัติ ยังคงอำนาจไว้ และขับ “พระยามโนปกรณ์” และพรรคพวกออกไป หลังจากนั้น คณะรัฐประหารพยายามสร้างความนิยมในบรรดาข้าราชการ โดยนำข้าราชการชั้นผู้ใหญ่เข้าดำรงตำแหน่งบริหารและให้ดูแลกระทรวงสำคัญ
และเมื่อมีการโปรดเกล้าฯ ให้เปิดสภา ในวันที่ 21 เมษายน 2476 “พระยาพหล” ก็ได้รับแต่งตั้งเป็นนายกฯ คนที่สองในระบอบประชาธิปไตย จากนั้นก็เชิญ “ปรีดี” กลับสู่บ้านเกิดเมืองนอน พร้อมกับตั้งกรรมการสอบสวนกรณีถูกกล่าวหาว่าเป็นคอมมิวนิสต์ ซึ่งต่อมาท่านก็พ้นข้อกล่าวหา พร้อมไปกับการจัดเลี้ยงแสดงความยินดีกับ “ปรีดี” โดยครั้งนั้นสมาชิกสภาทุกคนเฉลี่ยกันออกค่าใช้จ่ายทั้งสิ้น ไม่มีการใช้เงินหลวง ไม่รู้ว่าเดี๋ยวนี้เขายังมีอยู่หรือเปล่า กับการที่แชร์กันจัดงานเลี้ยง ใหญ่ๆ แบบนี้ หรือดีแต่ใช้เงินหลวง
...ลองนึกภาพเอาว่า ถ้าให้นายกฯ คนแรกของเราใส่เสื้อน้ำเงิน แล้วจะเหมือน ใคร? ก็แบบเนี้ย “งูเห่าดีๆ นี่เอง” แถมยังเป็นงูเห่าตัวแรกในพงหญ้าประชาธิปไตย ด้วย!!!
ที่มา.สยามธุรกิจ
โดยพุ่งเป้าไปที่มันสมองอย่าง “ปรีดี พนมยงค์” โดยนายกฯ คนแรกก็ได้เริ่มเดินเกมให้ “ปรีดี” เป็นผู้ร่างโครงการเศรษฐกิจแห่งชาติ ซึ่งเมื่อร่างเสร็จแล้ว แม้จะผ่านความเห็นของมติเสียงส่วนใหญ่ แต่ในท้ายที่สุด โครงการเศรษฐกิจ ดังกล่าว กลับถูกโจมตีอย่างหนัก โดยเฉพาะทางสื่อหนังสือพิมพ์ว่าเป็นคอมมิวนิสต์
และนี่คือการใส่ร้ายข้อหาคอมมิวนิสต์อีกครั้งของประวัติศาสตร์ชาติไทยเมื่อ กว่า 60 ปีก่อน!!!
ต่อมาก็มีการตีพิมพ์พระราชวิจารณ์เค้าโครงเศรษฐกิจออกเผยแพร่ ทำให้รัฐบาลของ “พระยามโนปกรณ์” ออกกฎหมายต่อต้านการกระทำอันเป็นคอม มิวนิสต์ กฎหมายนี้ครอบคลุมถึงโครงการทั้งหลายที่มีจุดมุ่งหมายจะเปลี่ยนแปลงสังคม โดยเฉพาะโครงการที่ปฏิเสธหรือเลิกล้มกรรมสิทธิ์ทรัพย์สินส่วนบุคคล จากนั้นก็มี การตั้ง “คณะชาติ” ซึ่งเป็นฝ่ายขุนนางเก่าขึ้นมาทาบรัศมี “คณะราษฎร”
“พระยามโนปกรณ์” เริ่มเดินเกมเข้มข้นขึ้นอีกในพฤษภาคม 2476 เมื่อตั้งนายพล ซึ่งเป็นพระราชวงศ์ให้กลับมาดำรงตำแหน่งสำคัญในกระทรวงกลาโหม และออกคำสั่งให้ย้ายหน่วยทหารที่เกี่ยวข้องกับคณะราษฎรออกไปจากกรุงเทพฯ ต่อมาก็ใช้อำนาจทหารค้นอาวุธทุกคนที่เดินทางมาประชุมสภา ทำให้เกิดความไม่พอใจจากสมาชิกจนทำให้เกิดการอภิปรายอย่างรุนแรง จนเป็นที่มาของการปฏิวัติ ตัวเองของนายกฯ คนแรก เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2476 โดยอ้างว่า ครม.เสียงแตก ซึ่งนับเป็นการปฏิวัติครั้งแรกหลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง
เมื่อทำการปฏิวัติเป็นที่สำเร็จแล้ว ก็ตั้งรัฐบาลใหม่ โดยตัว “พระยามโนปกรณ์” รับตำแหน่งนายกฯ อีกครั้ง พร้อมกับแต่งตั้งขุนนางเก่าใน ครม.ทั้งสิ้น ในขณะที่ฝ่ายคณะราษฎรถูกก่อกวนอย่างหนัก ถูกบีบให้ลาออกจากราชการบ้าง ผู้เกี่ยวข้อง ถูกโยกย้ายตลอด รวมไปถึงปิดหนังสือพิมพ์หลายฉบับที่สนับสนุนคณะราษฎร จน ในที่สุด “ปรีดี” ก็ถูกเนรเทศไปฝรั่งเศส......
จนวันที่ 20 มิถุนายน 2476 ภายใต้การนำของ “พระยาพหลพลพยุหเสนา” และ “พลโทแปลก ขีตตะสังคะ” หรือ “หลวงพิบูลสงคราม” (จอมพล ป. พิบูลสงคราม) ซึ่งกำลังเป็นขวัญใจของบรรดาทหารในขณะนั้น ก็ได้กระทำการรัฐประหารเป็นครั้งที่สอง เพื่อป้องกันการต่อต้านการปฏิวัติและเพื่อให้คณะปฏิวัติ ยังคงอำนาจไว้ และขับ “พระยามโนปกรณ์” และพรรคพวกออกไป หลังจากนั้น คณะรัฐประหารพยายามสร้างความนิยมในบรรดาข้าราชการ โดยนำข้าราชการชั้นผู้ใหญ่เข้าดำรงตำแหน่งบริหารและให้ดูแลกระทรวงสำคัญ
และเมื่อมีการโปรดเกล้าฯ ให้เปิดสภา ในวันที่ 21 เมษายน 2476 “พระยาพหล” ก็ได้รับแต่งตั้งเป็นนายกฯ คนที่สองในระบอบประชาธิปไตย จากนั้นก็เชิญ “ปรีดี” กลับสู่บ้านเกิดเมืองนอน พร้อมกับตั้งกรรมการสอบสวนกรณีถูกกล่าวหาว่าเป็นคอมมิวนิสต์ ซึ่งต่อมาท่านก็พ้นข้อกล่าวหา พร้อมไปกับการจัดเลี้ยงแสดงความยินดีกับ “ปรีดี” โดยครั้งนั้นสมาชิกสภาทุกคนเฉลี่ยกันออกค่าใช้จ่ายทั้งสิ้น ไม่มีการใช้เงินหลวง ไม่รู้ว่าเดี๋ยวนี้เขายังมีอยู่หรือเปล่า กับการที่แชร์กันจัดงานเลี้ยง ใหญ่ๆ แบบนี้ หรือดีแต่ใช้เงินหลวง
...ลองนึกภาพเอาว่า ถ้าให้นายกฯ คนแรกของเราใส่เสื้อน้ำเงิน แล้วจะเหมือน ใคร? ก็แบบเนี้ย “งูเห่าดีๆ นี่เอง” แถมยังเป็นงูเห่าตัวแรกในพงหญ้าประชาธิปไตย ด้วย!!!
ที่มา.สยามธุรกิจ
บันทึกของ วิสา คัญทัพ (ฉบับที่ 3) แนวทางการต่อสู้ของขบวนการประชาธิปไตยจะเดินต่อไปอย่างไร
เป็นคำถามจากผู้ต้องการประชาธิปไตยอันแท้จริง เจาะจงถามมาที่ผม สืบเนื่องจาก การได้อ่านบันทึกสองฉบับ ผมขอตอบในฐานะของคนธรรมดาที่เข้าร่วมต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยคนหนึ่ง ไม่ใช่ แกนนำ นปช. ดังนี้
หนึ่ง / ต้องจัดความสัมพันธ์ระหว่างองค์กรประชาธิปไตยเสื้อแดง (นปช.และหรือ ฯลฯ) กับพรรคการเมืองแนวทางประชาธิปไตย (พรรคเพื่อไทย และหรือ ฯลฯ) ให้ดี กล่าวคือ องค์กรประชาธิปไตยต้องสรุปบทเรียนการต่อสู้ที่ผ่านมาทั้งหมด ตั้งแต่รัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ว่ามีข้อดี ข้อเด่น ข้อด้อย ข้อถูกต้อง และผิดพลาดอย่างไร (อย่างเป็นระบบ) กล้าที่จะวิจารณ์และวิจารณ์ตนเอง โดยเฉพาะประเด็น “การนำ” นำไปบนพื้นฐานแห่งหลักการและเหตุผลที่สอดคล้องกับภววิสัยที่เป็นจริง หรือนำไปโดยอัตวิสัยแห่งอารมณ์ความรู้สึก หรือจากแหล่งข้อมูลที่ผิดพลาด
จักต้องยึดกุม “การนำรวมหมู่” ให้ได้อย่างแท้จริง ไม่ปล่อยให้ “การนำโดยบุคคล” อยู่ในฐานะที่ครอบงำ ปัญหายุทธศาสตร์ยุทธวิธีในการเคลื่อนไหว เมื่อตั้งไว้แล้วต้องยึดกุมให้ได้ ไม่ใช่วางขั้นตอนไว้ระดับหนึ่ง แล้วไปเปลี่ยนแปลงภายหลัง ไม่ว่าจะเป็นไปโดยธรรมชาติ หรือว่า “อำพราง” กันภายใน ปิดบังกันเอง สิ่งเหล่านี้จะก่อให้เกิดความแปลกแยกทางการนำในท้ายที่สุด
ในส่วนของพรรคการเมืองแนวทางประชาธิปไตย (พรรคเพื่อไทย และอาจมีพรรคอื่นๆฯลฯ) ต้องจัดความสัมพันธ์ในการเป็น ”แนวร่วม” ต่อสู้ให้เหมาะสม พรรคก็คือพรรค ต้องดำเนินสถานะและบทบาทที่แตกต่างจากองค์กรเคลื่อนไหว เพราะพื้นที่ในการทำงานของพรรคมีลักษณะพิเศษ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เป็นพรรคต่อสู้ในระบอบรัฐสภา จะเคลื่อนไหวนอกกรอบแบบองค์กรอิสระคงไม่เหมาะสม จึงควรมีการจัดการทั้งงานเปิดและงานปิดให้ดี อันที่จริง แนวยุทธศาสตร์ “สองขา” ของ นปช. ในทางทฤษฎีที่เรียนกันอยู่ในโรงเรียน นปช.นั้นถูกต้องแล้ว หากแต่มิได้นำมาปฏิบัติในท่ามกลางการต่อสู้ที่เป็นจริงอย่าง เอาจริงเอาจัง กล่าวคือ เกิดอาการ “สัมพันธ์ขวาง” “สัมพันธ์ซ้อน” “สัมพันธ์แทรกแซง” “เปลี่ยนแปลงการนำ” “ไม่ทำตามมติ” ฯลฯ อื่นๆ อีกมากมาย ปัญหานี้ต้องสรุปทบทวน
ภาระหน้าที่ของพรรคต้องมีทั้งส่วนที่เป็นงานลับและงานเปิดเผย การจัดบุคลากรในการทำงานมีความสำคัญยิ่ง ใครเหมาะสมกับหน้าที่อะไร อย่างไร จึงเป็นเรื่องที่ควรต้องมีการจัดตั้งขึ้นมาทำงานอย่างจริ งจัง กรณีพรรคเพื่อไทยกับ นปช.มีคนทำงานซ้อนสองฝั่ง สองขา สองหน้าที่อยู่ไม่น้อย ทำงานพรรคด้วยทำงาน นปช.ด้วย งาน “สองขา” ดังกล่าวจึงต้องจัดการให้เกิดประโยชน์ต่อภาพรวมของขบวนการต่อสู้
ที่ผ่านมา ขบวนการประชาธิปไตยมีความสันทัดจัดเจนในเรื่องทำนองนี้อยู่ไม่น้อย แต่นั่นก็เป็นความสันทัดของพรรคปฏิวัติ หรือขบวนปฏิวัติในอดีต ยุคก่อน นโยบาย 66/23 ซึ่งไม่มีการถ่ายทอดบทเรียนแลกเปลี่ยนกันอย่างเป็นระบบแต่อย่างใด จึงเป็นเพียงความเข้าใจของบางบุคคลที่เคยผ่านประสบการณ์การสู้รบในเขตป่าเขามาเท่านั้น มีข้อเท็จจริงมากมายที่สามารถยกขึ้นมาอภิปรายในองค์ประชุมกลุ่มย่อยได้
ในบางประเทศที่การต่อสู้ได้รับ ชัยชนะ อย่างประเทศเวียดนาม กัมพูชา และ ลาว งานจัดการด้าน “แนวร่วม” จะถือเป็นหัวใจสำคัญ กรณีลาว การเคลื่อนไหวของ “พรรคประชาชนปฏิวัติลาว” ดำเนินไปในระยะแรกภายใต้องค์กรแนวร่วมที่ชื่อว่า “แนวลาวฮักชาติ” สามารถสามัคคีเอาเจ้าชายองค์น้องของเจ้าสุวรรณภูมาที่ชื่อ “สุภานุวงษ์” เชื้อสายเจ้า ผู้มีหัวเอียงข้างประชาชนมาเป็นผู้นำการต่อสู้ ชูขึ้นโดดเด่น ทำให้สามัคคีคนได้กว้างขวางยิ่งขึ้น เป็นต้น
สอง / ต้องเข้าใจว่า ขบวนการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยในสังคมไทยวันนี้มีลักษณะพิเศษเฉพาะที่ไม่เหมือนใครในโลกนี้ เราคิดว่า เราจะได้ประชาธิปไตยก่อน 100 ปีหรือไม่ โดยนับจากการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 ซึ่งขณะนี้ก็ 78 ปีแล้ว
ลักษณะพิเศษประการแรกคือโครงสร้างของระบอบศักดินาอำมาตยาธิปไตยแข็งแกร่งมั่นคงยิ่ง ไม่ใช่เฉพาะโครงสร้างทางเศรษฐกิจ และอำนาจทางการเมือง ที่สำคัญเป็นเรื่องรูปการจิตสำนึก นั่นคือ โครงสร้างการครอบงำทางวัฒนธรรมที่ลงรากลึกอย่างเหลือเชื่อ ผ่านระบบการศึกษาด้วยคำพูดง่ายๆว่า “เรียนไปเป็นเจ้าคนนายคน” ปลูกฝังจิตสำนึกยกระดับจากคนชั้นล่างขึ้นไปเป็นชนชั้นกลาง แล้วเติมแต่งด้วยยศฐาบรรดาศักดิ์อย่าง “เจ้าขุนมูลนาย” ให้กลายเป็นชนชั้นข้าราชการและชนชั้นผู้ปกครอง
ที่สุดก็ลืมกำพืดตัวเอง ได้ใส่เครื่องแบบราชการหรือชุดทหารก็กล้ากระทั่งยิงพ่อแม่พี่น้องของตนเองได้แล้ว
ที่พูดถึงนี้กล่าวเฉพาะในภาคส่วนของระบบราชการ ทีนี้พูดถึงภาคการเมืองบ้าง ความจำเป็นที่ต้องเอาประชาธิปไตยมาให้ มิใช่ด้วยความเต็มใจแต่ประการใด หากแต่เป็นภววิสัยสากลตามพัฒนาการของโลกที่จักต้องเปลี่ยนไป รูปแบบเศรษฐกิจ และการเมืองที่ก้าวหน้าต้องเข้าแทนที่สิ่งที่ล้าหลัง ประชาธิปไตยในเมืองไทยจึงมีลักษณะพิเศษคือ เริ่มต้นจำเป็นต้องให้อำนาจกับคนชั้นขุนนาง ขุนศึก และพลเรือนผู้มีการศึกษาสูง เพราะพวกนี้เรียกร้องต้องการ กระทั่งขู่บังคับเอา
หากมองให้ดีจะพบว่าเป็นเรื่องการแย่งชิงอำนาจของ “ส่วนบน” มาตลอด จะมาแตะหรือมาสัมผัสเอา “ชาวไพร่” บ้าง ก็เมื่อลูกหลานชาวไพร่ได้มีโอกาศเรียนหนังสือสูงๆ แต่จะมีสักกี่คนเล่าที่หลุดพ้นจากวัฒนธรรมปลูกฝังแห่งระบบ การศึกษาไทย นานๆเราจึงได้คนอย่าง ปรีดี พนมยงค์, เตียง ศิริขันธ์, อัศนี พลจันทร์, กุหลาบ สายประดิษฐ์. จิตร ภูมิศักดิ์ และนักสู้เพื่อสังคมในยุค พ.ศ.2500 อีกหลายคน เกิดขึ้นมา แต่ก็เพือจะถูกปราบปราม จับคุมคุมข้ง กระทั่งเข่นฆ่าล่าสังหารตลอดมาในฐานะผู้รู้ความจริงก่อนชาวบ้าน หรือ “ผู้มาก่อนกาล” ตามคำศัพท์ของนักวิชาการในยุคต่อมา
กลุ่มนักการเมืองในยุคต้นๆ ยังเป็น “คนชั้นบน” อยู่เหมือนเดิม ได้แก่ ขุนนาง ขุนศึก พลเรือนผู้มีการศึกษาสูง จากนั้นจึงค่อยขยายมาสู่ ผู้มีการศึกษาที่มักใหญ่ใฝ่สูง และพวกพ่อค้า หลังยุคเปลี่ยนความเชื่อจากเดิมที่ว่า “สิบพ่อค้าไม่เท่าพญาเลี้ยง” ซึ่งนั่นคือยุคศักดินา
เพราะฉนั้นสำนึกเชิงวัฒนธรรมในทางการเมืองของนักการเมืองยุคแรกๆ ลึกๆแล้วจึงไม่มี “ความใฝ่ฝันจะสร้างประชาธิปไตยที่แท้จริง” หากแต่เป็นนักการเมืองเพื่อแสวงอำนาจและผลประโยชน์เพื่อตน เองและพวกพ้อง พรรคการเมือง รัฐสภา และรัฐบาล จึงเต็มไปด้วย พ่อค้า นักธุรกิจ ผู้รับเหมา ขุนศึกขุนทหาร และผู้มักใหญ่ใฝ่สูงที่ต้องการไต่เต้าขึ้นเป็นอำมาตย์
สรุป เมื่อทั้งระบบราชการที่คัดเลือกเอาเฉพาะไพร่ที่พร้อมเปลี่ยนรูปการจิตสำนึกเป็นอำมาตย์ และระบบการเมืองที่เปิดโอกาสให้เฉพาะพวกแสวงหาผลประโยชน์ พวกมักใหญ่ใฝ่สูง ผู้ต้องการไต่เต้าเป็นอำมาตย์ประชาธิปไตยที่แท้จริงจึงยากจะเกิดขึ้นในประเทศไทย เมื่อประกอบกับโครงสร้างอันแข็งแกร่งของระบบศักดินาอำมาตยาธิปไตย ทำให้การต่อสู้ของขบวนการประชาธิปไตยเป็นเรื่องยากและมีความสลับซับซ้อนเป็นอย่างยิ่ง ประการสำคัญที่สุดจึงต้องมองให้เห็นลักษณะพิเศษของสังคมไทยดังกล่าว กำหนดยุทธศาสตร์แต่ละระยะให้ชัดเจน มีสายตายาวไกล มองเห็นผู้นำ และสันทัดในการสร้างผู้นำ ไม่ปล่อยให้เป็นไปอย่างเสรี ไร้การจัดตั้งอย่างเป็นระบบ ไม่เช่นนั้นสู้ไปก็รังแต่จะพ่ายแพ้ซ้ำซาก
สาม / ผู้นำขบวนการประชาธิปไตยควรเป็นบุคคลแบบใด ต้องกำหนดภาพให้ชัดเจนแน่นอน ในส่วนของพรรคการเมืองก็ต้องสร้างและสนับสนุนผู้นำขึ้นมา ควรทำให้ต่อเนื่อง เห็นลำดับเป็นหนึ่ง.สอง.สาม.สี่ ยอมรับบทบาทการนำ และเชิดชูให้โดดเด่น ไม่ขัดแย้งแก่งแย่งและช่วงชิงการนำกันเอง วางไว้สำหรับอนาคตข้างหน้าอย่างน้อย 3-5 ปี หรือกว่านั้น ภาพผู้นำดังกล่าวต้องเป็นที่ยอมรับของมวลชน มีบทบาทต่อสู้เพื่อประชาธิปไต ยยาวนานต่อเนื่อง มีแนวคิดแหลมคม แจ่มชัด มีท่วงทำนองสุภาพสุขุม มีสัมพันธภาพกับสื่อมวลชน และบุคคลทั่วไปเป็นอย่างดี มีวิสัยทัศน์กว้างไกล มีความเพรียบพร้อมในภาพความซื่อสัตย์สุจริต และที่สำคัญ เป็นคนมีอุดมการประชาธิปไตยที่แท้จริง กล่าวอย่างเป็นรูปธรรม พรรคเพื่อไทยควรมีจินตนาการในเรื่องนี้
สมมุติว่า เรามอง จาตุรนต์ ฉายแสง เป็นบุคคลที่เข้าข่ายที่กล่าวมา พรรคต้องกล้าสนับสนุนให้เป็นผู้นำ ผู้นำมิได้หมายความถึงตำแหน่งทางการเมืองในพรรคปัจจุบันที่ต้องเป็นหัวหน้าพรรค หรือตำแหน่งสำคัญอื่นใด เราสามารถสร้างภาพผู้นำเชิงจินตนาการได้ สร้างภาพให้เป็นนายกรัฐมนตรีฝ่ายประชาธิปไตยในอนาคต เชิดชูขึ้นให้แข็งแกร่งและมีพลัง เพราะในความเป็นจริง หลังเหตุการณ์ 19 พฤษภาคม 53 เราอาจ
ต้องใช้เวลาพลิกฟื้นสถานการณ์ไม่ต่ำกว่า 2-3 ปีเป็นอย่างน้อย (เวลานั้น จาตุรนต์ พ้นภาวะบ้านเลขที่ 111 ไปแล้ว) ซึ่งนี้คือสิ่งที่พรรคการเมืองต้องมีจินตนาการ มองข้ามไปในอนาคต และสร้างรูปการสำหรับการต่อสู้ขึ้นมารองรับ แล้วพาไปในทิศทางนั้น เมื่อก่อนเวียดนามในยุคแรกๆมี โฮจิมินห์ เคลื่อนไหวเป็นผู้นำสูงสุด แต่ก็ยังมี ฝ่ามวันดง และคนอื่นๆเป็นผู้นำร่วมต่อสู้ เรื่องอย่างนี้ ทักษิณ ชินวัตร ควรเริ่มคิดอย่างจริงจัง
เช่นเดียวกับองค์กรต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยอย่าง นปช. และ/หรือองค์กรอื่นๆ ต้องคิดใหม่ทำใหม่ สรุปข้อผิดพลาดในอดีต เพื่อก้าวไปข้างหน้าอย่างมีประสิทธิภาพ ควรเปิดกว้างรับฟังความคิดเห็น ประชุมถกเถียงกันด้วยเหตุด้วยผลอย่างจริงจังในทุกภาคส่วน ผ่านการต่อสู้ที่เป็นจริง ทุกฝ่ายต่างได้รับบทเรียน เกิดกลุ่มก้อนกำลังพลที่หลากหลาย ซึ่งต้องคิดว่า จะสู้ต่อไปอย่างไรให้ได้ชัยชนะ จินตนาการถึงภาพอนาคต การนำ แกนนำ คณะนำ งานปิดลับ เปิดเผย ใต้ดิน บนดิน รูปแบบการต่อสู้อันพลิกแพลงแตกต่าง รูปแบบงานแนวร่วม คำชี้นำชี้แนะต่างๆ ควรเกิดขึ้นจากการวิคราะห์กลั่นกรองอย่างถี่ถ้วนรอบคอบโดยคณะนำ มิใช่จากบุคคลที่แสดงความเห็นโดยเสรี เคลื่อนไหวอย่างวีรชนเอกชน และอื่นๆอีกมากมาย
สี่ / เรื่อง “ทักษิณ ชินวัตร” ต้องบอกว่ารัฐบาลเผด็จการอำมาตย์ทุบทักษิณมา 4 ปี ทุบทำลายไม่สำเร็จ เข้าภาษิตโบราณ “จันทน์หอม ยิ่งทุบยิ่งหอม” ทักษิณไม่หายไปจากความทรงจำของประชาชน และที่สำคัญ รัฐบาลไม่อาจทำให้ประชาชนเชื่อว่า ทักษิณเป็นคนชั่วร้ายได้ เหมือนกับที่เมื่อก่อนทำให้คนเกลียดชังคอมมิวนิสต์ รัฐบาลพยายามทำให้ทักษิณเป็นเหมือนคอมมิวนิสต์ในอดีต ด้วยข้อหา “ผู้ก่อการร้าย” แต่ประชาชนกลับคิดว่า ทักษิณถูกกลั่นแกล้ง ทักษิณถูกกระทำแบบสองมาตรฐาน ที่สุด ทักษิณกลายเป็นสัญลักษณ์ของการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย เพราะฉนั้นไม่ว่าทักษิณจะอยู่ที่ไหน จะไม่อยู่ หรือชื่อนี้หายไปจากโลก แต่การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยก็ยังดำรงอยู่
เมื่อทักษิณกลายเป็นส่วนหนึ่งของขบวนการต่อสู้ ปัญหาจึงอยู่ที่ “บทบาท” ที่ผ่านมา บทบาทในฐาะผู้ร่วมต่อสู้นั้นชัดเจน แต่บทบาท “การนำ” ยังเป็นปัญหา ฝ่ายรัฐบาลปักใจเชื่อว่า ทักษิณนำการต่อสู้ แต่ขณะที่ทักษิณเองกลับปฏิเสธ ประเด็นนี้ ความจริงแห่งการเคลื่อนไหวต่อสู้เป็นเรื่องที่ท้าทายต่อการสำรวจทบทวนเป็นอย่างยิ่ง ต้องยอมรับว่าในส่วนของ นปช.มีอิสระเต็มที่ในการเคลื่อนไหว ตั้งแต่ช่วงแรกๆ จนถึง เหตุการณ์หน้าทำเนียบ เมษายน ปี 52 บทบาทการนำจะอยู่ที่ “สามเกลอ”เป็นตัวหลัก
หลังจากนั้นมีการขยายการนำ เพิ่มจำนวนแกนนำ มีการประชุมบ่อยครั้ง ในช่วงหนึ่งปีก่อนเคลื่อนไหวใหญ่ที่ผ่านฟ้า และราชประสงค์ การเพิ่มแกนนำก็ไม่ได้ผ่านการเลือกตั้งหรือแต่งตั้งโดยใคร ต่างมาโดยธรรมชาติของคนในขบวนการที่ทำงานต่อเนื่องกันมา มีบทบาทบนเวทีปราศรัย มีเวลาให้กับการทำงานเต็มที่ ร้อยรัดรวมตัวกันเข้ามาโดยสมัครใจ เมื่อไม่การแต่งตั้ง เลือกตั้ง ก็ไม่มีกฎระเบียบในการรับคนเข้าคนออก กรณีทำความผิดพลาดใดๆจึงไม่มีอำนาจไปถอดถอนใครออกจากแกนนำได้ บ่อยครั้งตกลงกันในที่ประชุมอย่างหนึ่ง แต่ออกไปปฏิบัติจริงกลับเป็นไปคนละทิศทางกับที่ประชุมมา
การประชุมทุกครั้ง ไม่มีคำชี้แนะชี้นำอะไรจากทักษิณ การโฟนอินหรือวิดีโอลิงค์เข้ามาแต่ละครั้งไม่มีการกำหนดหัวข้อหรือประเด็น ทักษิณพูดได้โดยอิสระเสรี การสื่อสารถึงทักษิณเท่าที่ทราบเป็นการสื่อสารหลายทาง ใครก็โทรศัพท์คุยกับทักษิณได้ ทั้งนักการเมืองในส่วนของพรรค และแกนนำ นปช.ทุกระดับ รวมไปถึงทหารแตงโมและตำรวจมะเขือเทศ ปัญหาที่ตามมาก็คือ แล้วทักษิณจะเชื่อใคร โดยเฉพาะช่วงปลายหรือช่วงวิกฤติของการต่อสู้ ความขัดแย้งระหว่างแนวทางฮาร์ดคอร์ กับสันติวิธีเริ่มไม่ลงรอยกันชัดเจนยิ่งขึ้น ส่งผลให้การต่อสู้เดินหน้าไปอย่างปั่นป่วน สับสน ไร้การควบคุม
ไม่ว่าจะอย่างไร ทักษิณ ชินวัตร ได้กลายเป็น “สัญญลักษณ์ประชาธิปไตย” ของสังคมเสื้อแดงไปแล้ว และในความเป็นจริงก็ได้พิสูจน์ให้ยอมรับโดยไม่ต้องคัดเลือก ท่ามกลางสถานการณ์ต่อสู้ ให้เป็นหนึ่งในคณะนำสูงสุดอย่างไม่ต้องสงสัย ในการต่อสู้ครั้งต่อไปจึงน่าพิจารณาว่า ทักษิณคือแนวร่วมซึ่งต้องมีที่อยู่ที่ยืนและมีบทบาทที่แจ่มชัด เมื่อพวกเราก้าวพ้น “ผู้ก่อการร้าย” ไปได้แล้ว ก็จะเหลือสถานะต่อไปเพียงประการเดียวคือ “ผู้กอบกู้ประเทศชาติพ้นวิกฤติสู่ศิวิไล” เท่านั้น
ห้า / ภาพทั้งหมดที่ลำดับมาในสี่ข้อสะท้อนให้เห็นอะไร และเรียกร้องให้เกิดอะไร คำตอบมีดังนี้
หนึ่งคือสะท้อนให้เห็นลักษณะไร้การจัดตั้ง ไม่มีระเบียบวินัย และไร้การนำที่มีรูปการอย่างแท้จริง สองสะท้อนให้เห็นความไม่พร้อมขององค์กรฯ ที่ยังไม่เข้มแข็งพอจะยกระดับการต่อสู้
สามคือเรียกร้องให้เกิดองค์กรประชาธิปไตย เกิดแนวร่วมประชาธิปไตยที่มีรูปการ
สี่เรียกร้องให้เกิดคณะผู้นำสูงสุดในการต่อสู้ที่ชัดเจน
ห้าถึงเวลาหรือยังที่จะจัดตั้ง “คณะกรรมการประสานงานกำลังรักชาติรักประชาธิปไตย” เคลื่อนไหวให้สอดคล้องกับลักษณะพิเศษของสังคมไทย ทั้งก่อนและหลังการยกเลิก พรก.ฉุกเฉิน
หกทักษิณต้องจัดวางตนเองไว้ในขบวนการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยให้เหมาะสม อย่างไรจึงเหมาะสมเป็นเรื่องต้องช่วยกันคิด
สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล วิพากษ์ตรงๆว่า การต่อสู้ที่ผ่านมา ไม่แสดงให้เห็นลักษณะ “การมีสุขภาพดี” (healthy) ของขบวนการแต่อย่างใด ดังนี้
”การพ่ายแพ้ครั้งหลังสุดนี้ เป็นการพ่ายแพ้ที่รุนแรง และเสียหายอย่างมาก (เฉพาะเรื่องชีวิตคนเรื่องเดียวก็ประเมินค่าไม่ได้) โดยไม่เพียงแต่ไม่ได้อะไรเพิ่มขึ้น (วันยุบสภาตามที่เรียกร้อง) แต่ยังเสียหายในแง่กลไกต่างๆ ดังที่กล่าวข้างต้น อีกมหาศาล (ทีวี วิทยุ สิ่งพิมพ์)
ถ้าพ่ายแพ้ และเสียหายถึงขั้นนี้ แล้วยังไม่สามารถ "ก่อให้เกิด" (generate) การอภิปราย แสวงหา สรุป ในแง่ความผิดพลาด ในแง่แนวทาง ทิศทาง ไปถึงในแง่บุคคลากรอีก (คือยังคง อับจนในเรื่องเหล่านี้อีก เช่นที่ผ่านๆมา)”
ต้องถือเป็นเรื่องผิดปกติ
คนเสื้อแดงควรต้องเปิดใจให้กว้าง น้อมรับฟังคำวิพากษ์วิจารณ์ จากมิตรและแนวร่วม เพื่อปรับขบวนการต่อสู้ให้เข้มแข็งขึ้น ทั้งต้องรู้ว่า เราสู้กับคู่ต่อสู้ที่ไม่ธรรมดา จะมุทะลุดุดัน หัวชนฝา ไร้เดียงสา ต่อไปอีกไม่ได้อย่างเด็ดขาด อีกสองทศวรรษ ราว 22 ปี ก็จะถึงหนึ่ง 100 ปีแห่งการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยแล้ว เราจะชนะได้อย่างไร ชนะก่อนร้อยปีไหม เป็นเรื่องที่ต้องร่วมกันคิดอ่านอย่างจริงจัง
ดูแลตัวเอง ดูแลกันและกันให้ดี ถนอมรักษาชีวิต ให้กำลังใจซึ่งกันและกัน อย่าทำลายทำร้ายกันเอง นี้คือการสรุปบทเรียนเพื่อก้าว เดินไปข้างหน้า เรายังคงต้อง “สู้ พ่ายแพ้ สู้ใหม่ พ่ายแพ้ สู้ใหม่ จนกว่าชัยจะได้มา” ขอให้ทุกท่านโชคดี เดินทางสร้างประชาธิปไตยที่แท้จริงต่อไป สวัสดี.
บันทึกนี้เขียนเสร็จวันที่ 6 กรกฎาคม 2553 (แก้ไขปรับปรุงเผยแพร่ 11 กรกฎาคม)
หนึ่ง / ต้องจัดความสัมพันธ์ระหว่างองค์กรประชาธิปไตยเสื้อแดง (นปช.และหรือ ฯลฯ) กับพรรคการเมืองแนวทางประชาธิปไตย (พรรคเพื่อไทย และหรือ ฯลฯ) ให้ดี กล่าวคือ องค์กรประชาธิปไตยต้องสรุปบทเรียนการต่อสู้ที่ผ่านมาทั้งหมด ตั้งแต่รัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ว่ามีข้อดี ข้อเด่น ข้อด้อย ข้อถูกต้อง และผิดพลาดอย่างไร (อย่างเป็นระบบ) กล้าที่จะวิจารณ์และวิจารณ์ตนเอง โดยเฉพาะประเด็น “การนำ” นำไปบนพื้นฐานแห่งหลักการและเหตุผลที่สอดคล้องกับภววิสัยที่เป็นจริง หรือนำไปโดยอัตวิสัยแห่งอารมณ์ความรู้สึก หรือจากแหล่งข้อมูลที่ผิดพลาด
จักต้องยึดกุม “การนำรวมหมู่” ให้ได้อย่างแท้จริง ไม่ปล่อยให้ “การนำโดยบุคคล” อยู่ในฐานะที่ครอบงำ ปัญหายุทธศาสตร์ยุทธวิธีในการเคลื่อนไหว เมื่อตั้งไว้แล้วต้องยึดกุมให้ได้ ไม่ใช่วางขั้นตอนไว้ระดับหนึ่ง แล้วไปเปลี่ยนแปลงภายหลัง ไม่ว่าจะเป็นไปโดยธรรมชาติ หรือว่า “อำพราง” กันภายใน ปิดบังกันเอง สิ่งเหล่านี้จะก่อให้เกิดความแปลกแยกทางการนำในท้ายที่สุด
ในส่วนของพรรคการเมืองแนวทางประชาธิปไตย (พรรคเพื่อไทย และอาจมีพรรคอื่นๆฯลฯ) ต้องจัดความสัมพันธ์ในการเป็น ”แนวร่วม” ต่อสู้ให้เหมาะสม พรรคก็คือพรรค ต้องดำเนินสถานะและบทบาทที่แตกต่างจากองค์กรเคลื่อนไหว เพราะพื้นที่ในการทำงานของพรรคมีลักษณะพิเศษ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เป็นพรรคต่อสู้ในระบอบรัฐสภา จะเคลื่อนไหวนอกกรอบแบบองค์กรอิสระคงไม่เหมาะสม จึงควรมีการจัดการทั้งงานเปิดและงานปิดให้ดี อันที่จริง แนวยุทธศาสตร์ “สองขา” ของ นปช. ในทางทฤษฎีที่เรียนกันอยู่ในโรงเรียน นปช.นั้นถูกต้องแล้ว หากแต่มิได้นำมาปฏิบัติในท่ามกลางการต่อสู้ที่เป็นจริงอย่าง เอาจริงเอาจัง กล่าวคือ เกิดอาการ “สัมพันธ์ขวาง” “สัมพันธ์ซ้อน” “สัมพันธ์แทรกแซง” “เปลี่ยนแปลงการนำ” “ไม่ทำตามมติ” ฯลฯ อื่นๆ อีกมากมาย ปัญหานี้ต้องสรุปทบทวน
ภาระหน้าที่ของพรรคต้องมีทั้งส่วนที่เป็นงานลับและงานเปิดเผย การจัดบุคลากรในการทำงานมีความสำคัญยิ่ง ใครเหมาะสมกับหน้าที่อะไร อย่างไร จึงเป็นเรื่องที่ควรต้องมีการจัดตั้งขึ้นมาทำงานอย่างจริ งจัง กรณีพรรคเพื่อไทยกับ นปช.มีคนทำงานซ้อนสองฝั่ง สองขา สองหน้าที่อยู่ไม่น้อย ทำงานพรรคด้วยทำงาน นปช.ด้วย งาน “สองขา” ดังกล่าวจึงต้องจัดการให้เกิดประโยชน์ต่อภาพรวมของขบวนการต่อสู้
ที่ผ่านมา ขบวนการประชาธิปไตยมีความสันทัดจัดเจนในเรื่องทำนองนี้อยู่ไม่น้อย แต่นั่นก็เป็นความสันทัดของพรรคปฏิวัติ หรือขบวนปฏิวัติในอดีต ยุคก่อน นโยบาย 66/23 ซึ่งไม่มีการถ่ายทอดบทเรียนแลกเปลี่ยนกันอย่างเป็นระบบแต่อย่างใด จึงเป็นเพียงความเข้าใจของบางบุคคลที่เคยผ่านประสบการณ์การสู้รบในเขตป่าเขามาเท่านั้น มีข้อเท็จจริงมากมายที่สามารถยกขึ้นมาอภิปรายในองค์ประชุมกลุ่มย่อยได้
ในบางประเทศที่การต่อสู้ได้รับ ชัยชนะ อย่างประเทศเวียดนาม กัมพูชา และ ลาว งานจัดการด้าน “แนวร่วม” จะถือเป็นหัวใจสำคัญ กรณีลาว การเคลื่อนไหวของ “พรรคประชาชนปฏิวัติลาว” ดำเนินไปในระยะแรกภายใต้องค์กรแนวร่วมที่ชื่อว่า “แนวลาวฮักชาติ” สามารถสามัคคีเอาเจ้าชายองค์น้องของเจ้าสุวรรณภูมาที่ชื่อ “สุภานุวงษ์” เชื้อสายเจ้า ผู้มีหัวเอียงข้างประชาชนมาเป็นผู้นำการต่อสู้ ชูขึ้นโดดเด่น ทำให้สามัคคีคนได้กว้างขวางยิ่งขึ้น เป็นต้น
สอง / ต้องเข้าใจว่า ขบวนการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยในสังคมไทยวันนี้มีลักษณะพิเศษเฉพาะที่ไม่เหมือนใครในโลกนี้ เราคิดว่า เราจะได้ประชาธิปไตยก่อน 100 ปีหรือไม่ โดยนับจากการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 ซึ่งขณะนี้ก็ 78 ปีแล้ว
ลักษณะพิเศษประการแรกคือโครงสร้างของระบอบศักดินาอำมาตยาธิปไตยแข็งแกร่งมั่นคงยิ่ง ไม่ใช่เฉพาะโครงสร้างทางเศรษฐกิจ และอำนาจทางการเมือง ที่สำคัญเป็นเรื่องรูปการจิตสำนึก นั่นคือ โครงสร้างการครอบงำทางวัฒนธรรมที่ลงรากลึกอย่างเหลือเชื่อ ผ่านระบบการศึกษาด้วยคำพูดง่ายๆว่า “เรียนไปเป็นเจ้าคนนายคน” ปลูกฝังจิตสำนึกยกระดับจากคนชั้นล่างขึ้นไปเป็นชนชั้นกลาง แล้วเติมแต่งด้วยยศฐาบรรดาศักดิ์อย่าง “เจ้าขุนมูลนาย” ให้กลายเป็นชนชั้นข้าราชการและชนชั้นผู้ปกครอง
ที่สุดก็ลืมกำพืดตัวเอง ได้ใส่เครื่องแบบราชการหรือชุดทหารก็กล้ากระทั่งยิงพ่อแม่พี่น้องของตนเองได้แล้ว
ที่พูดถึงนี้กล่าวเฉพาะในภาคส่วนของระบบราชการ ทีนี้พูดถึงภาคการเมืองบ้าง ความจำเป็นที่ต้องเอาประชาธิปไตยมาให้ มิใช่ด้วยความเต็มใจแต่ประการใด หากแต่เป็นภววิสัยสากลตามพัฒนาการของโลกที่จักต้องเปลี่ยนไป รูปแบบเศรษฐกิจ และการเมืองที่ก้าวหน้าต้องเข้าแทนที่สิ่งที่ล้าหลัง ประชาธิปไตยในเมืองไทยจึงมีลักษณะพิเศษคือ เริ่มต้นจำเป็นต้องให้อำนาจกับคนชั้นขุนนาง ขุนศึก และพลเรือนผู้มีการศึกษาสูง เพราะพวกนี้เรียกร้องต้องการ กระทั่งขู่บังคับเอา
หากมองให้ดีจะพบว่าเป็นเรื่องการแย่งชิงอำนาจของ “ส่วนบน” มาตลอด จะมาแตะหรือมาสัมผัสเอา “ชาวไพร่” บ้าง ก็เมื่อลูกหลานชาวไพร่ได้มีโอกาศเรียนหนังสือสูงๆ แต่จะมีสักกี่คนเล่าที่หลุดพ้นจากวัฒนธรรมปลูกฝังแห่งระบบ การศึกษาไทย นานๆเราจึงได้คนอย่าง ปรีดี พนมยงค์, เตียง ศิริขันธ์, อัศนี พลจันทร์, กุหลาบ สายประดิษฐ์. จิตร ภูมิศักดิ์ และนักสู้เพื่อสังคมในยุค พ.ศ.2500 อีกหลายคน เกิดขึ้นมา แต่ก็เพือจะถูกปราบปราม จับคุมคุมข้ง กระทั่งเข่นฆ่าล่าสังหารตลอดมาในฐานะผู้รู้ความจริงก่อนชาวบ้าน หรือ “ผู้มาก่อนกาล” ตามคำศัพท์ของนักวิชาการในยุคต่อมา
กลุ่มนักการเมืองในยุคต้นๆ ยังเป็น “คนชั้นบน” อยู่เหมือนเดิม ได้แก่ ขุนนาง ขุนศึก พลเรือนผู้มีการศึกษาสูง จากนั้นจึงค่อยขยายมาสู่ ผู้มีการศึกษาที่มักใหญ่ใฝ่สูง และพวกพ่อค้า หลังยุคเปลี่ยนความเชื่อจากเดิมที่ว่า “สิบพ่อค้าไม่เท่าพญาเลี้ยง” ซึ่งนั่นคือยุคศักดินา
เพราะฉนั้นสำนึกเชิงวัฒนธรรมในทางการเมืองของนักการเมืองยุคแรกๆ ลึกๆแล้วจึงไม่มี “ความใฝ่ฝันจะสร้างประชาธิปไตยที่แท้จริง” หากแต่เป็นนักการเมืองเพื่อแสวงอำนาจและผลประโยชน์เพื่อตน เองและพวกพ้อง พรรคการเมือง รัฐสภา และรัฐบาล จึงเต็มไปด้วย พ่อค้า นักธุรกิจ ผู้รับเหมา ขุนศึกขุนทหาร และผู้มักใหญ่ใฝ่สูงที่ต้องการไต่เต้าขึ้นเป็นอำมาตย์
สรุป เมื่อทั้งระบบราชการที่คัดเลือกเอาเฉพาะไพร่ที่พร้อมเปลี่ยนรูปการจิตสำนึกเป็นอำมาตย์ และระบบการเมืองที่เปิดโอกาสให้เฉพาะพวกแสวงหาผลประโยชน์ พวกมักใหญ่ใฝ่สูง ผู้ต้องการไต่เต้าเป็นอำมาตย์ประชาธิปไตยที่แท้จริงจึงยากจะเกิดขึ้นในประเทศไทย เมื่อประกอบกับโครงสร้างอันแข็งแกร่งของระบบศักดินาอำมาตยาธิปไตย ทำให้การต่อสู้ของขบวนการประชาธิปไตยเป็นเรื่องยากและมีความสลับซับซ้อนเป็นอย่างยิ่ง ประการสำคัญที่สุดจึงต้องมองให้เห็นลักษณะพิเศษของสังคมไทยดังกล่าว กำหนดยุทธศาสตร์แต่ละระยะให้ชัดเจน มีสายตายาวไกล มองเห็นผู้นำ และสันทัดในการสร้างผู้นำ ไม่ปล่อยให้เป็นไปอย่างเสรี ไร้การจัดตั้งอย่างเป็นระบบ ไม่เช่นนั้นสู้ไปก็รังแต่จะพ่ายแพ้ซ้ำซาก
สาม / ผู้นำขบวนการประชาธิปไตยควรเป็นบุคคลแบบใด ต้องกำหนดภาพให้ชัดเจนแน่นอน ในส่วนของพรรคการเมืองก็ต้องสร้างและสนับสนุนผู้นำขึ้นมา ควรทำให้ต่อเนื่อง เห็นลำดับเป็นหนึ่ง.สอง.สาม.สี่ ยอมรับบทบาทการนำ และเชิดชูให้โดดเด่น ไม่ขัดแย้งแก่งแย่งและช่วงชิงการนำกันเอง วางไว้สำหรับอนาคตข้างหน้าอย่างน้อย 3-5 ปี หรือกว่านั้น ภาพผู้นำดังกล่าวต้องเป็นที่ยอมรับของมวลชน มีบทบาทต่อสู้เพื่อประชาธิปไต ยยาวนานต่อเนื่อง มีแนวคิดแหลมคม แจ่มชัด มีท่วงทำนองสุภาพสุขุม มีสัมพันธภาพกับสื่อมวลชน และบุคคลทั่วไปเป็นอย่างดี มีวิสัยทัศน์กว้างไกล มีความเพรียบพร้อมในภาพความซื่อสัตย์สุจริต และที่สำคัญ เป็นคนมีอุดมการประชาธิปไตยที่แท้จริง กล่าวอย่างเป็นรูปธรรม พรรคเพื่อไทยควรมีจินตนาการในเรื่องนี้
สมมุติว่า เรามอง จาตุรนต์ ฉายแสง เป็นบุคคลที่เข้าข่ายที่กล่าวมา พรรคต้องกล้าสนับสนุนให้เป็นผู้นำ ผู้นำมิได้หมายความถึงตำแหน่งทางการเมืองในพรรคปัจจุบันที่ต้องเป็นหัวหน้าพรรค หรือตำแหน่งสำคัญอื่นใด เราสามารถสร้างภาพผู้นำเชิงจินตนาการได้ สร้างภาพให้เป็นนายกรัฐมนตรีฝ่ายประชาธิปไตยในอนาคต เชิดชูขึ้นให้แข็งแกร่งและมีพลัง เพราะในความเป็นจริง หลังเหตุการณ์ 19 พฤษภาคม 53 เราอาจ
ต้องใช้เวลาพลิกฟื้นสถานการณ์ไม่ต่ำกว่า 2-3 ปีเป็นอย่างน้อย (เวลานั้น จาตุรนต์ พ้นภาวะบ้านเลขที่ 111 ไปแล้ว) ซึ่งนี้คือสิ่งที่พรรคการเมืองต้องมีจินตนาการ มองข้ามไปในอนาคต และสร้างรูปการสำหรับการต่อสู้ขึ้นมารองรับ แล้วพาไปในทิศทางนั้น เมื่อก่อนเวียดนามในยุคแรกๆมี โฮจิมินห์ เคลื่อนไหวเป็นผู้นำสูงสุด แต่ก็ยังมี ฝ่ามวันดง และคนอื่นๆเป็นผู้นำร่วมต่อสู้ เรื่องอย่างนี้ ทักษิณ ชินวัตร ควรเริ่มคิดอย่างจริงจัง
เช่นเดียวกับองค์กรต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยอย่าง นปช. และ/หรือองค์กรอื่นๆ ต้องคิดใหม่ทำใหม่ สรุปข้อผิดพลาดในอดีต เพื่อก้าวไปข้างหน้าอย่างมีประสิทธิภาพ ควรเปิดกว้างรับฟังความคิดเห็น ประชุมถกเถียงกันด้วยเหตุด้วยผลอย่างจริงจังในทุกภาคส่วน ผ่านการต่อสู้ที่เป็นจริง ทุกฝ่ายต่างได้รับบทเรียน เกิดกลุ่มก้อนกำลังพลที่หลากหลาย ซึ่งต้องคิดว่า จะสู้ต่อไปอย่างไรให้ได้ชัยชนะ จินตนาการถึงภาพอนาคต การนำ แกนนำ คณะนำ งานปิดลับ เปิดเผย ใต้ดิน บนดิน รูปแบบการต่อสู้อันพลิกแพลงแตกต่าง รูปแบบงานแนวร่วม คำชี้นำชี้แนะต่างๆ ควรเกิดขึ้นจากการวิคราะห์กลั่นกรองอย่างถี่ถ้วนรอบคอบโดยคณะนำ มิใช่จากบุคคลที่แสดงความเห็นโดยเสรี เคลื่อนไหวอย่างวีรชนเอกชน และอื่นๆอีกมากมาย
สี่ / เรื่อง “ทักษิณ ชินวัตร” ต้องบอกว่ารัฐบาลเผด็จการอำมาตย์ทุบทักษิณมา 4 ปี ทุบทำลายไม่สำเร็จ เข้าภาษิตโบราณ “จันทน์หอม ยิ่งทุบยิ่งหอม” ทักษิณไม่หายไปจากความทรงจำของประชาชน และที่สำคัญ รัฐบาลไม่อาจทำให้ประชาชนเชื่อว่า ทักษิณเป็นคนชั่วร้ายได้ เหมือนกับที่เมื่อก่อนทำให้คนเกลียดชังคอมมิวนิสต์ รัฐบาลพยายามทำให้ทักษิณเป็นเหมือนคอมมิวนิสต์ในอดีต ด้วยข้อหา “ผู้ก่อการร้าย” แต่ประชาชนกลับคิดว่า ทักษิณถูกกลั่นแกล้ง ทักษิณถูกกระทำแบบสองมาตรฐาน ที่สุด ทักษิณกลายเป็นสัญลักษณ์ของการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย เพราะฉนั้นไม่ว่าทักษิณจะอยู่ที่ไหน จะไม่อยู่ หรือชื่อนี้หายไปจากโลก แต่การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยก็ยังดำรงอยู่
เมื่อทักษิณกลายเป็นส่วนหนึ่งของขบวนการต่อสู้ ปัญหาจึงอยู่ที่ “บทบาท” ที่ผ่านมา บทบาทในฐาะผู้ร่วมต่อสู้นั้นชัดเจน แต่บทบาท “การนำ” ยังเป็นปัญหา ฝ่ายรัฐบาลปักใจเชื่อว่า ทักษิณนำการต่อสู้ แต่ขณะที่ทักษิณเองกลับปฏิเสธ ประเด็นนี้ ความจริงแห่งการเคลื่อนไหวต่อสู้เป็นเรื่องที่ท้าทายต่อการสำรวจทบทวนเป็นอย่างยิ่ง ต้องยอมรับว่าในส่วนของ นปช.มีอิสระเต็มที่ในการเคลื่อนไหว ตั้งแต่ช่วงแรกๆ จนถึง เหตุการณ์หน้าทำเนียบ เมษายน ปี 52 บทบาทการนำจะอยู่ที่ “สามเกลอ”เป็นตัวหลัก
หลังจากนั้นมีการขยายการนำ เพิ่มจำนวนแกนนำ มีการประชุมบ่อยครั้ง ในช่วงหนึ่งปีก่อนเคลื่อนไหวใหญ่ที่ผ่านฟ้า และราชประสงค์ การเพิ่มแกนนำก็ไม่ได้ผ่านการเลือกตั้งหรือแต่งตั้งโดยใคร ต่างมาโดยธรรมชาติของคนในขบวนการที่ทำงานต่อเนื่องกันมา มีบทบาทบนเวทีปราศรัย มีเวลาให้กับการทำงานเต็มที่ ร้อยรัดรวมตัวกันเข้ามาโดยสมัครใจ เมื่อไม่การแต่งตั้ง เลือกตั้ง ก็ไม่มีกฎระเบียบในการรับคนเข้าคนออก กรณีทำความผิดพลาดใดๆจึงไม่มีอำนาจไปถอดถอนใครออกจากแกนนำได้ บ่อยครั้งตกลงกันในที่ประชุมอย่างหนึ่ง แต่ออกไปปฏิบัติจริงกลับเป็นไปคนละทิศทางกับที่ประชุมมา
การประชุมทุกครั้ง ไม่มีคำชี้แนะชี้นำอะไรจากทักษิณ การโฟนอินหรือวิดีโอลิงค์เข้ามาแต่ละครั้งไม่มีการกำหนดหัวข้อหรือประเด็น ทักษิณพูดได้โดยอิสระเสรี การสื่อสารถึงทักษิณเท่าที่ทราบเป็นการสื่อสารหลายทาง ใครก็โทรศัพท์คุยกับทักษิณได้ ทั้งนักการเมืองในส่วนของพรรค และแกนนำ นปช.ทุกระดับ รวมไปถึงทหารแตงโมและตำรวจมะเขือเทศ ปัญหาที่ตามมาก็คือ แล้วทักษิณจะเชื่อใคร โดยเฉพาะช่วงปลายหรือช่วงวิกฤติของการต่อสู้ ความขัดแย้งระหว่างแนวทางฮาร์ดคอร์ กับสันติวิธีเริ่มไม่ลงรอยกันชัดเจนยิ่งขึ้น ส่งผลให้การต่อสู้เดินหน้าไปอย่างปั่นป่วน สับสน ไร้การควบคุม
ไม่ว่าจะอย่างไร ทักษิณ ชินวัตร ได้กลายเป็น “สัญญลักษณ์ประชาธิปไตย” ของสังคมเสื้อแดงไปแล้ว และในความเป็นจริงก็ได้พิสูจน์ให้ยอมรับโดยไม่ต้องคัดเลือก ท่ามกลางสถานการณ์ต่อสู้ ให้เป็นหนึ่งในคณะนำสูงสุดอย่างไม่ต้องสงสัย ในการต่อสู้ครั้งต่อไปจึงน่าพิจารณาว่า ทักษิณคือแนวร่วมซึ่งต้องมีที่อยู่ที่ยืนและมีบทบาทที่แจ่มชัด เมื่อพวกเราก้าวพ้น “ผู้ก่อการร้าย” ไปได้แล้ว ก็จะเหลือสถานะต่อไปเพียงประการเดียวคือ “ผู้กอบกู้ประเทศชาติพ้นวิกฤติสู่ศิวิไล” เท่านั้น
ห้า / ภาพทั้งหมดที่ลำดับมาในสี่ข้อสะท้อนให้เห็นอะไร และเรียกร้องให้เกิดอะไร คำตอบมีดังนี้
หนึ่งคือสะท้อนให้เห็นลักษณะไร้การจัดตั้ง ไม่มีระเบียบวินัย และไร้การนำที่มีรูปการอย่างแท้จริง สองสะท้อนให้เห็นความไม่พร้อมขององค์กรฯ ที่ยังไม่เข้มแข็งพอจะยกระดับการต่อสู้
สามคือเรียกร้องให้เกิดองค์กรประชาธิปไตย เกิดแนวร่วมประชาธิปไตยที่มีรูปการ
สี่เรียกร้องให้เกิดคณะผู้นำสูงสุดในการต่อสู้ที่ชัดเจน
ห้าถึงเวลาหรือยังที่จะจัดตั้ง “คณะกรรมการประสานงานกำลังรักชาติรักประชาธิปไตย” เคลื่อนไหวให้สอดคล้องกับลักษณะพิเศษของสังคมไทย ทั้งก่อนและหลังการยกเลิก พรก.ฉุกเฉิน
หกทักษิณต้องจัดวางตนเองไว้ในขบวนการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยให้เหมาะสม อย่างไรจึงเหมาะสมเป็นเรื่องต้องช่วยกันคิด
สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล วิพากษ์ตรงๆว่า การต่อสู้ที่ผ่านมา ไม่แสดงให้เห็นลักษณะ “การมีสุขภาพดี” (healthy) ของขบวนการแต่อย่างใด ดังนี้
”การพ่ายแพ้ครั้งหลังสุดนี้ เป็นการพ่ายแพ้ที่รุนแรง และเสียหายอย่างมาก (เฉพาะเรื่องชีวิตคนเรื่องเดียวก็ประเมินค่าไม่ได้) โดยไม่เพียงแต่ไม่ได้อะไรเพิ่มขึ้น (วันยุบสภาตามที่เรียกร้อง) แต่ยังเสียหายในแง่กลไกต่างๆ ดังที่กล่าวข้างต้น อีกมหาศาล (ทีวี วิทยุ สิ่งพิมพ์)
ถ้าพ่ายแพ้ และเสียหายถึงขั้นนี้ แล้วยังไม่สามารถ "ก่อให้เกิด" (generate) การอภิปราย แสวงหา สรุป ในแง่ความผิดพลาด ในแง่แนวทาง ทิศทาง ไปถึงในแง่บุคคลากรอีก (คือยังคง อับจนในเรื่องเหล่านี้อีก เช่นที่ผ่านๆมา)”
ต้องถือเป็นเรื่องผิดปกติ
คนเสื้อแดงควรต้องเปิดใจให้กว้าง น้อมรับฟังคำวิพากษ์วิจารณ์ จากมิตรและแนวร่วม เพื่อปรับขบวนการต่อสู้ให้เข้มแข็งขึ้น ทั้งต้องรู้ว่า เราสู้กับคู่ต่อสู้ที่ไม่ธรรมดา จะมุทะลุดุดัน หัวชนฝา ไร้เดียงสา ต่อไปอีกไม่ได้อย่างเด็ดขาด อีกสองทศวรรษ ราว 22 ปี ก็จะถึงหนึ่ง 100 ปีแห่งการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยแล้ว เราจะชนะได้อย่างไร ชนะก่อนร้อยปีไหม เป็นเรื่องที่ต้องร่วมกันคิดอ่านอย่างจริงจัง
ดูแลตัวเอง ดูแลกันและกันให้ดี ถนอมรักษาชีวิต ให้กำลังใจซึ่งกันและกัน อย่าทำลายทำร้ายกันเอง นี้คือการสรุปบทเรียนเพื่อก้าว เดินไปข้างหน้า เรายังคงต้อง “สู้ พ่ายแพ้ สู้ใหม่ พ่ายแพ้ สู้ใหม่ จนกว่าชัยจะได้มา” ขอให้ทุกท่านโชคดี เดินทางสร้างประชาธิปไตยที่แท้จริงต่อไป สวัสดี.
บันทึกนี้เขียนเสร็จวันที่ 6 กรกฎาคม 2553 (แก้ไขปรับปรุงเผยแพร่ 11 กรกฎาคม)
สาวเสื้อแดงขอพื้นที่"เฟซบุค"สู้ต่อ
โดย ชฎา ไอยคุปต์
บนพื้นที่สาธารณะที่ไม่จำกัดในระบบอินเตอร์เน็ตที่แสดงความคิดความเห็นได้อย่างอิสระเสรี บางความคิด ความเห็นของบางคนถูกขยายความจนกลายเป็นประเด็นเรื่องราวใหญ่โตโดยเฉพาะช่วงเกิดเหตุความรุนแรงที่เกิดขึ้นในประเทศ มีหลายคนออกมาแสดงความคิดความเห็นรุนแรงไม่แพ้เหตุการณ์ ส่งข้อความผ่านทางเฟซบุคไปถึงเพื่อนในโลกไซเบอร์ทั้งที่รู้จักและไม่รู้จัก
จนบางครั้งกระทบความสัมพันธ์ระหว่าง เพื่อน พี่ น้อง หรือแม้แต่แฟน ประกาศตัดขาดความเป็นมิตร เพราะคิดเห็นไม่ตรงกัน เฟซบุคจึงกลายเป็นเวทีมวยที่มีคนออกมาสาดเสียเทเสียใส่กัน ในประเด็นสาธารณะดุเดือดยิงกว่าเรื่องส่วนตัว "ผัวเมียทะเลาะกัน" เสียอีก ดังนั้นการแสดงจุดยืนบนเฟซบุค จึงเป็นเรื่องที่ค่อนข้างลำบากที่จะแสดงตัวและแสดงความเห็นได้อย่างอิสระเพราะมันอาจจะ"ถูกใจ"และ"ไม่ถูกใจ" แต่ยังมีคนกลุ่มหนึ่งที่กล้าแสดงตัวและตอกย้ำความคิดความเห็นของตัวเองผ่านทางเฟซบุคท่ามกลางกระแสกดดันจากอีกกลุ่มหนึ่งที่มีความเห็นแตกต่าง
ขอยกตัวอย่างบรรดาสาวเสื้อแดงที่ประกาศตัวว่ามีเลือดแดงแบบเต็มขั้นบนหน้าจอเฟซบุคทั้งรูปและข้อความลองมาฟังความคิดความเห็นทางการเมืองของกลุ่มนี้ว่ามีความคิดความเห็นอย่างไรกันบ้าง
"Phanitta รักครอบครัว " บอกว่า รักในความเป็นประชาธิปไตย เกลียดสองมาตรฐาน พูดง่ายๆประเทศไทยไม่มีมาตรฐานเลยต่างหาก รักความยุติธรรม ความไม่เป็นธรรม ที่รัฐมีต่อประชาชนคนเสื้อแดง คนตายพูดไม่ได้ไม่ได้รับความเป็นธรรม ประชาชนคนเสื้อแดงเจ็บช้ำใจยิ่งนัก ไม่คิดว่าการเรียกร้องแค่ยุบสภา แล้วเลือกตั้งใหม่ (โดยถือว่าเป็นพื้นฐาน ของ ปชต) รัฐจะอำมหิตโหดเหี้ยมได้อย่างนี้ อยากจะถามว่ายังมีจิตใจเป็นคนกันอยู่ไหม คนเสื้อแดงไม่มีสิทธิอะไรเลยหรือย่างไร
"กล้าโพสต์ ไม่อายที่จะบอกใครว่าเราเป็นแดงรักแดงแค่ไหน ทำไมเราจะต้องกลัวว่าใครจะโกรธจะด่าเรายังไงใครไม่เห็นด้วยกะเรา เฟซบุคเป็น พื้นที่ของเรา บางท่านอาจจะยังไม่เคย รู้ผ่านหน้า wall ของเรา เพื่อนบางท่านให้ความสนใจและชอบเรื่องราวต่างๆที่เราโพสต์ ว่ามันเป็นความรู้ใหม่ๆ มุมมอง ใหม่ๆ และ เป็นเรื่องที่ทางสื่อไม่ค่อยนำเสนอแต่เราเอามาโพสต์เพื่อ ถ่ายทอดผ่านทางตัวหนังสือให้เพื่อนๆ ที่แดงไม่แดง และกลางๆได้อ่านกัน"
"แรงกดดันมีอย่ตลอด บนหน้า fb ตั้งแต่แรกเริ่ม ว่าแสดงตนว่าเป็นแดงแค่ไหน เพื่อน รุ่นน้อง พี่ ใน fb ที่มีความเห็นต่าง ลบเราทิ้งหมด รุ่นน้องบางคน เคยชอบเรามาก แอบปลื้มเรา ดันมาด่าเรามาหาว่าเราเป็นพวกแดงล้มเจ้า ทำเพื่อ คนๆเดียว เราก็อธิบายให้เค้าฟัง ทุกอย่าง จนสุดท้าย มาด่ากันแหลกที่หน้า fb เลิกคบกันถาวรเลย ส่วนเพื่อนๆๆเก่าๆ สมัยมัธยม ก็ไม่ค่อยมาเม้นท์คงเบื่อไม่ชอบการเมืองมั้ง เพราะเราโพสต์แต่การเมือง เรื่องเครียด ๆ ส่วนพวกที่แอดมาด่าก็เยอะ แต่เราจัดการได้ โดยการชวนเพื่อนๆแดง มารุมด่า เดี๋ยวก็หนีไปเอง ช่วงหลังพยายามคัดกรองเพื่อน หรือ ใครที่ยินดีจะแอดมาด่าก็ไม่ว่า เชิญ... การโพสต์ไม่หยุดแน่นอน"
"คนที่ด่าว่าไพร่ ถามหน่อยเหอะว่าเข้าใจความหมายของไพร่ไหม ว่าหมายความว่าไร ก็คือประชาชนทั่วไปนี่แหละ พวกผู้รากมากดี ก็ไพร่เหมือนกัน เอาอะไรมากมาย สังคมตอนนี้ไม่ใช่มีแต่พวกไพร่+ชาวนาเท่านั้นนะที่เป็นแดง ถ้าใครไม่ได้มาสัมผัสด้วยตัวเอง ไม่รู้หรอก"
นางสาวศศินันท์ เทศนา (แจม) อายุ 21 ปี กำลังศึกษามหาวิทยาลัยมหิดล คณะบัญชี ชั้นปีที่ 4 และมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช คณะนิติศาสตร์ ชั้นปีที่ 3 เล่าว่า ตั้งแต่เด็กจนถึงปัจจุบันมีอุดมการณ์ที่ค่อนข้างชัดเจนมาโดยตลอด คุณพ่อและเพื่อนๆที่สนิทกันจะรู้ดีค่ะ คือเป็นคนที่ไม่ชอบเห็นความอยุติธรรมต่างๆที่เกิดขึ้นในสังคม ชอบช่วยเหลือคนที่ไม่มีโอกาสเหมือนกับเรา จริงๆแล้วสนใจการเมืองมาตั้งแต่เด็ก เข้าร่วมชุมนุมกับพี่น้องเสื้อแดงมาเป็นระยะเวลา 3-4 ปีแล้ว ถ้าไม่ติดธุระสำคัญจริงๆ ก็จะไปร่วมทุกครั้ง ไปคนเดียวบ้าง ไปกับคุณพ่อบ้าง หรือบางทีก็เจอใครที่เป็นเสื้อแดงเหมือนกันก็ไปกับ
"ช็อคกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมาก รู้สึกอึดอัดที่ไม่สามารถช่วยเหลือหรือทำอะไรได้เลย ช่วงนั้นแจมเครียดมาก กินข้าวไม่ลงเลยอ่าค่ะ จนคุณพ่อต้องเตือนว่าไม่ให้ดูข่าวแล้ว เพราะยิ่งดูเราก็ยิ่งเครียดมากขึ้นๆ จำได้ว่าร้องไห้จนตาบวมทั้งๆที่พี่น้องเสื้อแดงทุกคนไม่ได้มีใครเป็นญาติแจมเลย แต่ด้วยความรู้สึกผูกพันกับการที่เรามีอุดมการณ์ทางการเมืองเดียวกัน ร่วมต่อสู้ด้วยกันมาตลอด เพราะความรักที่แจมได้รับจากพี่น้องเสื้อแดงทุกคน มันรู้สึกเสียใจมากที่พี่น้องเราต้องมาเจอกับสิ่งที่เลวร้ายที่สุดเท่าที่แจมเคยได้เห็น ภาพของพี่น้องเสื้อแดงที่เสียชีวิต บาดเจ็บ และถูกทำร้าย มันตอกย้ำให้เลือดอุดมการณ์ของแจมมันฉีดแรงขึ้น ได้แต่คิดในใจว่า แจมจะต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อช่วยเหลือพวกเค้า และเรื่องนี้ไม่จบง่ายๆแน่"
"แจมเป็นเด็กที่ชอบอ่านหนังสือเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ การเมืองการปกครอง จะชอบหนังสือประเภทนี้มาก ประกอบกับมีคุณพ่อเป็นนักกฎหมาย แจมเลยซึมซับมาตั้งแต่เด็กๆในเรื่องของความอยุติธรรมในสังคม แจมมีจุดยืนที่ค่อนข้างชัดเจนมานานแล้ว ใครที่รู้จักแจมทุกคนก็จะรู้ ไม่ค่อยหวั่นต่อกระแสความกดดันสักเท่าไหร่ ตั้งแต่ที่แจมเป็นเสื้อแดงมา ไม่เคยต้องทะเลาะอะไรกับคนที่มีความเห็นที่ต่างกันเลยสักครั้ง เพราะแจมค่อนข้างมีเหตุผลและจะไม่ดูถูกความคิดของใคร ประมาณว่าใครจะมาว่าก็ตามสบาย แต่คุณต้องมีเหตุผลมากพอ ใครที่อยู่ดีๆก็อารมณ์เสียใส่ จะไม่คุยด้วยเด็ดขาด เพราะคุยไปก็เท่านั้น"
"แรกๆเจอ เยอะมาก ตามด่าแจมทุกคอมเม้นท์เลย โดนแบบว่าไม่เคยเจอใครมาด่าแรงขนาดนี้มาก่อน ทั้งๆที่เราไม่เคยรู้จักกันเลย ตอนแรกร้องไห้เลย ไม่ได้ร้องไห้ที่เขามาด่าเรา แต่รู้สึกเสียใจที่ทำไมวันนี้คนไทยด้วยกันถึงมาทำร้ายกันด้วยคำพูดที่รุนแรง แบบนี้ แจมเองก็เป็นเด็กคนหนึ่งที่มีสัญชาติไทย อาศัยอยู่ในประเทศไทย เป็นคนไทยเหมือนกับพวกเค้าเหล่านั้น เราเป็นสายเลือดคนไทยด้วยกันแท้ๆ แต่ทำไมต้องมาทำร้ายจิตใจกันแบบนี้ เสียใจมากค่ะ"
"จึงเขียนบทความบรรยายความรู้สึกของเราลงไปในเฟซบุค ฟอเวิดเมล์ บางท่านอาจเคยได้รับบทความ "จากคนไทยคนหนึ่งซึ่งมีหัวใจสีแดง" และ "แค่คนคิดต่าง" หลังจากนั้นกระแสก็ค่อยๆหายไป คือแจมจะพูดอยู่ตลอดค่ะว่า "เราแค่คิดต่างกัน แต่เราเป็นคนไทยเหมือนกัน" คือแจมไม่ได้ต้องการให้พวกคุณมาคิดแบบแจม หรือให้แจมไปคิดแบบพวกคุณ แจมขอแค่เราไม่ดูถูกความคิดของกันและกันก็พอ คือในสังคมไทยปัจจุบันนี้ มันเป็นไปไม่ได้แล้วค่ะ ที่เราจะมีอุดมการณ์เหมือนกันทั้งประเทศ มันร้าวลึกจนเกินจะทำเช่นนั้นได้ ฉะนั้นแจมคิดว่า เราควรจะอยู่ด้วยกันด้วยความเข้าใจ ไม่ดูถูกความคิดของกันและกัน แค่นั้นก็พอค่ะ"
"คนเสื้อแดงไม่ได้มีแค่ไพร่เพียงแต่ว่าคนส่วนใหญ่ที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมในสังคมก็จะเป็นคนเหล่านี้ แล้วผิดตรงไหนที่เค้าจะออกมาเรียกร้องความเป็นธรรม"
นางสาว ณภัทร เมืองเฉลิม อายุ 22 ปี เรียนที่ ม.ราชภัฏจันทรเกษม ใช้ชื่อในเฟซบุคว่า "Crisiz" บอกว่า ขอเป็นประชาธิปไตยที่กินได้ คนจนเท่าเทียมกับคนมีเงิน แค่นี้แหละ ความยุติธรรมมีจริงจากนักการเมือง เคยเข้าร่วมการชุมนุมกับคนเสื้อแดงและยืนยันว่าไปบ่อยมาก แต่ในช่วงเหตุการณ์วันสลายที่ราชประสงค์ ไม่ได้อยู่ในพื้นที่แต่อยู่ที่พระราม4 บ่อนไก่
สำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อเดือนเมษายนถึงเดือนพฤษถาคม น.ส.ณภัทร บอกว่า "กรรมมีจริง คนที่คิดชั่วทำชั่ว ฆ่าประชาชนก็จะได้รับกรรมตามสนอง และรู้สึกเสียใจที่คนไทยฆ่ากันเอง ทั้งๆที่การชุมนุมไม่ได้ผิดกฎหมายตามหลักประชาธิปไตย"
เหตุผลของการเข้าร่วมกับคนเสื้อแดง?
"เพราะเห็นว่าปัจจุบัน ประเทศไทยไม่ได้เป็นประชาธิปไตยเลย แต่กลายเป็นเผด็จการซ่อนรูป เลยต้องการมาเข้าร่วมเรียกร้องประชาธิปไตย กับคนเสื้อแดง เพราะเราทุกคนมีสิทธิ์มีเสียงที่จะพูด และไม่กลัวใครว่าแม้จะไปโพสต์หน้าเฟซบุคว่าเป็นคนเสื้อแดงเพราะเราเลือกสิ่งที่ถูกต้องแล้ว"
"เพื่อนๆที่เฟสบุ๊คเข้าใจเพราะส่วนมากเป็นคนเสื้อแดง แต่ส่วนน้อยก็เคยเจอด่าในเฟซบุคว่า โง่ โดนหลอก โดนเป่าหู แต่เราก็บอกกลับไปว่า เราโตแล้วคิดเองได้ไม่ได้มีใครเป่าหู เราทุกคนมีสิทธิ์ที่จะคิดเห็นแตกต่างกันได้ ก็อธิบายให้เค้าฟัง เราก็เป็นนักศึกษาคนหนึ่ง อย่าคิด ว่า ไพร่ ชาวนาโง่นะคะ ถ้าเค้าโง่เค้าคงไม่มาเป็นคนเสื้อแดงหรอกคะ"
สาวเสื้อแดงคนต่อไปทีเพิ่งพ้นวัยเด็กสาวมาใช้นางสาว ใช้ชื่อว่า "ฮานิว ๐เเก๊งมังกรหยก๐" น.ส. นัยนา บุตรศรี ชื่อเล่น ฮานิว อายุ 15 ปี เรียนอยู่ที่โรงเรียนสายปัญญาในพระบรมราชินูปถัมป์ เสนอความเห็นอุดมการทางการเมือง ว่า "การเป็นประชาธิปไตย ต่อคนทุกภาคส่วน ฐานะอะไรต้องมีซึ่งความเป็นประชาธิปไตยคงอยู่ เเละประชาธิปไตยต้องได้มาด้วยความบริสุทธิ์หรือความดีนั่นเอง ไม่ได้มาจาการต้องเข่นฆ่าผู้คนเพื่อให้ได้ซึ่งสิ่งที่ต้องการ"
ฮานิว เล่าว่า เคยเข้าร่วมชุมนุมกับคนเสื้อแดงตั้งเต่ที่สะพานผ่านฟ้าลีลาศจนมาถึงแยกราชประสงค์ ตอนที่อยู่สะพานผ่านฟ้าเกือบตกอยู่ในเหตุการณ์ 10เมษายน ซึ่งเหตุการณ์ครั้งนั้นได้เสียคนรู้จักไป 1 คน เป็นเหตุการณ์ที่เลวร้ายครั้งหนึ่งในชีวิตที่เด็กอายุ 15 ปี ได้รับรู้เลยก็ว่าได้บางครั้งคิดว่าอยากผ่านเลยไปเหมือนเด็กคนอื่นๆ หรือเเบบเพื่อนๆ เเต่ทำไม่ได้
"แม้คนที่ตายไปไม่ใช่ญาติพี่น้องเรา เเต่ยอมไม่ได้ คือ ฮานิวรับไม่ได้กับการฆ่าคนที่สุดเเล้ว เล้วเราคนไทยมาฆ่ากันเอง มันไม่ใช่เลย รับไม่ได้ตรงนี้คะเลยทำให้ อยู่เฉยไม่ได้ๆ" ฮานิว ย้ำอีกครั้ง
น.ส.นัยนา บอกถึง เหตุผลของการเข้าร่วมชุมนุมกับคนเสื้อแดงเพราะว่า ได้รับน้ำใจที่คนในที่ชุมนุมมีให้แก่กัน รับไม่ได้ที่คนเสื้อเเดง หรือคนรากหญ้า ไม่ได้รับความเป็นธรรมเท่าที่ควร คนรากหญ้าก็คนไทย
"ทุกคนต้องได้หมดไม่ใช่ว่า เค้าคนจน เเล้วเราก็ทิ้งขว้าง การที่ฆ่ากันอันนี้ก็รับไม่ได้คะ ที่ทหารฆ่าเสื้อเเดง หาที่ไหนไม่ได้อีกแล้วเห็นคนเสื้อเเดง ตอนไปชุมนุมอยากอาบน้ำน้ำขอยืมผ้าถุงป้าๆเขาก็ให้ยืมเพราะเราไม่ได้เตรียมไป อาหารการกินก็เเค่เดินผ่านเต้นท์ที่เเจกข้าว เค้าก็เเจกให้ ทั้งๆที่เราก็อิ่มเเล้วเเต่ก็รับไว้ด้วยความมีน้ำใจ ส่วนตัวเคยเอาขนมไปเเจกๆพี่ๆการ์ด เสื้อเเดงด้วย"
ฮานิว อธิบายว่า ที่กล้าโพสต์หน้าและข้อความที่เป็นคนเสื้อแดงบนหน้าเฟซบุ๊คว่า "จะมีที่ไหนอีกไหมละคะ ที่จะให้เราออกความคิดเห็นได้ ออกไปทำข้างนอกโทงๆ เดี๋ยวได้เป็นผีไม่รู้ตัวพอดีคะ(หัวเราะ)"
"ต้องยอมรับว่าในเฟซบุ๊คก็เจอแรงกดดันเหมือนกันเพราะว่าบางครั้งมีคนที่ไม่ชอบคนเสื้อเเดงก็พิมพ์มาด่าเรากดดันเหมือนกัน ความคิดไม่เหมือนกัน เเต่ถ้ามีคนมาพูดประมาณว่า "คนเสื้อเเดง ตายไปได้ก็ดีหนักเเผ่นดิน" อันนี้ยอมไม่ได้จริงๆคงได้เห็นดีกันแน่ ความเห็นเตกต่างกัน เเต่เราคนไทยด้วยกันคะ เเต่ฮานิวรับไม่ได้กับการทีสนับสนุนให้ฆ่ากัน ทหารที่ยิงประชาชน มีจิตสำนึกที่จะไม่ยิงได้ คุณเป็นทหารคำสอน คือ อะไรให้รักชาติปกป้องคนในชาติเเล้วคุณมายิงคนในชาติ ไปขายปาท่องโก๋ทอดเถอะ"
"ไพร่ ก็คือ สามัญชนคนธรรมาคุณก็ใช่ ชาวนาก็สามัญชน ชาวนาปลูกข้าว ตอนเด็กๆไม่เคยพูดก่อนกินข้าวเหรอชาวนาหนื่อยยาก ลำบากหนักหนา ก็ชาวนานี่หละที่ทำให้คุณมีชีวิตได้ถึงทุกวันนี้ ไพร่กะชาวนา ไม่มีสิทธิ์ออกเสียง เพราะมันจน ต่ำต้อย ต้องให้อยู่ ใต้ตีนคุณอย่างเดียวหรือ?" ความคิดความเห็นของสาวแรกรุ่น
สำหรับสาววัยทำงานอย่าง "อุไรวรรณ รอดหลัก" อาชีพsale อายุ 32 ใช้ชื่อว่า "Uraiwan Rodlak" ให้ความเห็นว่า นักการเมืองต้องเห็น คนเท่าเทียมกัน ดูแลเท่าเทียม เลิกให้ความสำคัญเฉพาะกลุ่ม เคยเข้าร่วมชุมนุมและออกไปเรียกร้องตามจุดต่างๆร่วมกับคนเสื้อแดง
"ไม่ชอบรัฐบาลที่มองคนเป็นควาย หรืองสิ่งไม่มีชีวิต เอาตัวเองเป็นใหญ่ ไม่มีปัญญาแก้ปัญหา ใช้ความทะเยอทะยานที่มีในทางที่ผิด พูดสวยหรูดูดีแต่แฝงความร้ายไว้ สงสาร ประชาชนที่เสียชีวิตไม่เคยมีนายกคนไหนให้ประชาชนมาตีกันเองเหมือน นายกฯคนนี้ ที่ต้องเข้าร่วมกับคนเสื้อแดงเพราะรัฐบาลไม่เห็นคนเป็นคนกล้าทำการสลายสั่งฆ่าได้ กระชับพื้นที่หรือกระชับชีวิตคนกันแน่ ไม่เคยได้ยินคำว่าขอโทษแต่มีแค่เสียใจ ประโคมข่าว บิดเบือน แทรกแซงทุกสิ่งที่กระทบความความมั่นคงของตัวเอง ไม่เคยผิดรัฐบาลลูกเทวดา ไม่เคยกลัวที่จะเป็นเสื้อแดง เราห็นคนเป็นคน เท่าเทียมกันไม่ว่าคนกรุงเทพฯหรือต่างจังหวัด "
"เรากล้าแสดงจุดยืน ไม่ว่าโดดเดี่ยวแค่ไหนเพราะเราเห็นคนเป็นคนเท่ากัน และเชื่อว่ามีพวกมากมายบนfacebook ไม่กดดันใครด่ามาก็ด่าตอบแน่วแน่และมีความสุขที่เป็นเสื้อแดง ตึกรามบ้านช่องเสียไปสร้างใหม่ได้ แต่ชีวิตที่เสียไปสร้างใหม่ไม่ได้ รวมทั้งความผูกพันที่เกิดกับคนมันมากมายมากกว่า ตึกรามบ้านช่องเสียอีก"
นิ้งหน่อง อายุ 21 ปี ศึกษาที่ มรภ.บ้านสมเด็จเจ้าพระยา ปี 4 พยายามบอกทุกคนว่า "รักเสื้อแดงเข้าใจมั้ย" และรู้สึกเสียใจเป็นที่สุดกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น อยากให้รัฐบาลลาออกอยากให้ความจิงเปิดเผย เห็นว่ารัฐบาล 2 มาตรฐานและไม่กลัวเพราะมันเป็นอุดมการณ์ของเรา เคยเจอพวกสลิ่มเข้ามาก่อกวน ด่ากลับ ตอกกลับ และก็ลบออกไปค่ะ อยากจะบอกว่าคนเสื้อแดงไม่ใช่แค่ไพร่กะชาวนา คนมีการศึกษาก็มีอีกมากกกค่ะ อยากบอกว่าพวกที่คิดแบบนั้นน่ะ คิดผิด
"Nindë Vardamir รักอินทรีย์ทอง" นางสาว ภัชชารีญา ชัยได้สุข อายุ 18 ปี มหาวิทยาลัยราชมงคลล้านนาภาคพายัพ คณะ บริหารธุรกิจ สาขา International Business Management ประกาศตัวเป็น นปช.แดงทั้งแผ่นดิน ประชาธิปไตยที่กินได้ รู้สึกหดหู่ และ โกรธแค้นมาก ที่ทำกับคนเสื้อแดงทำไมต้องเป็นแบบนี้ เศร้า ความรู้สึกมันเลวร้ายกว่านั้น เห็นชัดๆ คือ ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาลชุดนี้
"ไม่กลัวที่จะโพสต์ Status เป็นเสื้อแดงน่าภูมิใจออก มีบ้างที่มีคนไม่พอใจเข้ามาโพสต์ด่า ว่าแรงๆ แต่เราไม่สนใจ รู้สึกเฉยๆ ลบข้อความไปหรือไม่ก็ลบออกจากเพื่อน (ถ้าไม่ได้ สนิทหรือเป็นแค่เพื่อนออน์ไลน์) คนที่มองว่าคนเสื้อแดงเป็นไพร่ ถามว่าเป็นไพร่กันทุกคนไม่ใช่เหรอ? ชาวนาเป็นอาชีพที่สุจริต เค้าจะว่าไงก็ช่าง แต่เราก็รู้อยู่แล้วว่าไม่ใช่แค่ชาวนาเท่านั้น"
"Brandon Boyd " น.ส. ภัทรพร ภูริดำรงกุล นักศึกษา มหาวิทยาลัยศิลปากร แสดงความต้องการว่า อยากได้ประชาธิปไตยที่มาจากประชาชน มีการถ่วงดุลอำนาจภาคประชาชน ทุกคนมีสิทธิในการแสดงออกความคิดเห็นในรูปแบบประชาธิปไตย เคยไปชุมนุมบ้างถ้ามีโอกาส รัฐบาลปิดกั้นสื่อและสร้างวาทกรรม ว่า คนเสื้อแดงเป็นผู้ก่อการร้าย เลือกปฎิบัติ รู้สึกแย่ที่ทางรัฐบาลออกมาแถลงการณ์บิดเบือนกับ ความเป็นจริง ไม่ต้องการให้อำนาจ รัฐธรรมนูญอยู่กับคณะหนึ่งคณะใด หรือชนชั้นปกครอง
"ต้องการโพสต์ข้อความ เพื่อกระจายข่าวส่งไปยังผู้มีอุดมการณ์ทางการเมืองในทิศทางเดียวกัน และนำเสนอมุมมองความคิดให้ผู้อื่นได้รับทราบ เจอส่งข้อความมาด่า เอารูปไปประจาน แต่รู้สึกเฉย ๆ รู้อยู่แล้วคนไทยบางกลุ่มชอบหยาบคายมากกว่าการใช้เหตุผล และชอบตัดสินคนคิดต่าง และคนที่เรียกคนอื่นว่าไพร่มันเป็นสิ่งที่คนชนชั้นกลางในเมืองสร้างวาทกรรม "เหมารวม" จริงๆ แล้วคนเสื้อแดงก็มีทุกระดับทางสังคม"
"Tangmoez Kim" อายุ 21 ปีเรียนอยู่ชั้นปีที่4 คณะวิทยาการสารสนเทศ สาขาสารสนเทศและการสื่อสาร มหาวิทยาลัยมหาสารคาม บอกว่า "เคยเข้าร่วมชุมนุม ทั้งอยู่ที่บ้านที่ศาลากลาง และสี่แยกราชประสงค์ เหตุการณ์เดือนเมษายน-พฤษภาคม คิดอยู่แล้วจะต้องเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น รู้สึกแย่ ที่นายกฯให้ความสำคัญกับตึก/อาคาร มากกว่าชีวิตของคนที่ตายไป ไม่ได้สนับสนุนการเผาเลย แต่มองว่ามีแค่ชีวิตเท่านั้นที่เสียไปแล้ว ไม่มีทางได้กลับคืนมา อยากจะถามหาความรับผิดชอบจากรัฐบาล รัฐบาลรับผิดชอบเรื่องตึกไหม้ได้ แล้วจะรับผิดชอบชีวิตคนที่ตายในการชุมนุมด้วยได้หรือไม่ อย่า โทษว่าเป็นการกระทำของผู้ก่อการร้าย เพราะยังไงเสีย เหตุการณ์ทั้งหมดนี้มันก็เกิดขึ้นขณะที่รัฐบาลชุดนี้กำลังปฏิบัติงานอยู่
การแสดงความคิดความเห็นบนเฟซบุคมันเป็นสิทธิเสรีภาพ ...สิทธิเสรีภาพจริงๆ ที่เราสามารถทำได้ พื้นที่บนอินเตอร์เน็ตเปิดกว้าง มีที่ให้สำหรับทุกคน ใครชอบอะไรก็ไปอยู่กับสิ่งนั้น ไม่จำเป็นต้องรักต้องชอบเหมือนกันหมดทั้งโลก แต่ส่วนใหญ่เดี๋ยวนี้ ชอบเสื้อแดงรักเสื้อแดงผิดหมด ต้องชอบเสื้อเหลือง เท่านั้นถึงจะเป็นเสรีภาพ อันนี้ก็ไม่สนค่ะ...ไม่แคร์"
"ก่อนหน้านี้เคยมีเพื่อนที่เข้าหน้าเฟซบุคของเรา เอาเรื่องที่เราเป็นเสื้อแดงไปบอกอีกคนและคนนั้นก็โพสต์ด่าเราใหญ่เลย ในเฟซบุคของเขาที่ เรามองไม่เห็น...มาบอกว่าเราดีแต่ปาก ไม่ยอมออกไปชุมนุม เราก็เลยโพสต์รูปที่เราไปชุมแปะไว้...ท้าตีท้าต่อย...ถ่อยตามกมลสันดานและที่สำคัญก็ คือ ดีแต่ปากสรุปก็ลบออกจากเพื่อนและบล็อค เขาชอบของเเขาได้ ทำไมเราจะชอบบ้างไม่ได้ ใครที่คิดไม่เหมือนกัน ลบออกให้หมด เราไม่ชอบเขาเขาก็ไม่ชอบเราจะเก็บไว้ทำไม ได้แต่ปล่อยเค้าไป ทำบุญตักบาตร กรวดน้ำคว่ำขัน ชาติหน้าอย่าได้พบเจอกันอีกเลย...สาธุ มีคนอีกตั้งเยอะที่คิดเหมือนเราและ เป็นเพื่อนกันได้"
"จะเรียกว่าพวกเราเป็นไพร่หรืออะไรก็ได้ต่คนเสื้อแดงส่วนใหญ่ทำมาหากิน มีธุรกิจเล็กๆ ไม่ได้ร่ำรวย ต้องพึ่งพาเศรษฐกิจถึงจะทำให้ทำมาหากินได้สะดวกพวกที่แบมือขอเงินพ่อแม่ กินบุญเก่าหรือทำนาบนหลังคน ไม่ค่อยรู้สึกอะไรหรอก" นักศึกษาปี 4 ม.สารคามกล่าวทิ้งท้าย
"wran bamboo" อายุ 30 การศึกษาจบปริญญาตรี แสดงความเห็นเรื่อง คำว่า ประชาธิไตย หมายถึงระบอบการปกครองประเทศระบอบหนึ่ง ซึ่งเป็นการปกครองของประชาชน โดยประชาชน และเพื่อประชาชน เคยเข้าร่วมชุนนุม ที่ผ่านฟ้าและราชประสงค์ วันที่ 10 เมษายน อยู่ที่บริษัทไทยคม ดูถ่ายทอดสดการสลายผู้ชุนนุมที่นั่น เศร้าใจกับการกระทำที่ป่าเถื่อนของรัฐบาล เสียใจที่ประชาชนผู้บริสุทธิ์ต้องมาเสียชีวิต
"เราคิดว่าพวกเราต้องชนะ เพราะมีคนตายเยอะ รัฐบาลคงจะอยู่ต่อไม่ได้ แต่ไม่เป็นไปตามที่คิดรัฐบาลลอยนวล วันที่ 19 พฤษภาคม ที่สั่งสลายการชุนนุม ช็อคไป สองสามวัน คิดว่าทำไมบ้านเมืองถึงถอยหลังเข้าคลองแบบนี้ ยิ่ง ศอฉ. ออกมาแก้ตัวมากเท่าไร รู้สึกว่าความยุติธรรมมันไม่มี รัฐบาลพยายามยัดเยียดให้เราเป็นผู้ก่อการร้าย ใช้สื่อโจมตีเราให้ข่าวบิดเบือน ปิดหูปิดตาประชาชน ทั้งๆ ที่ประชาชนที่มาชุนนุมเป็นเพียงชาวบ้านมือเปล่าที่มาเรียกร้องประชาธิปไตยเท่านั้นเอง"
"wran bamboo" บอกว่า การมาเรียกร้องให้ยุบสภาเป็นการเรียกร้องที่ไม่มากมายจนเกินไป เมื่อรัฐบาลทำงานไม่เป็นที่พอใจของประชาชน ควรยุบสภา เพื่อคืนอำนาจให้ประชาชน และกลุ่มคนเสื้อแดงส่วนใหญ่เป็นชาวบ้านที่ไม่ได้รับการดูแลจากรัฐบาล เขามาเรียกร้อง เพราะขาดแคลน เพราะหิวโหย เป็นกลุ่มคนที่น่าสงสาร เราเป็นชนชั้นกลาง ที่มีการศึกษา มีอินเตอร์เนต มีเครื่องไม้เครื่องมือในการต่อสู้มากกว่าพวกเขา เราจะไม่ออกมาช่วยพวกเขาได้อย่างไร ในเมื่อ สิ่งที่เขากับเราต้องการ คือ สิ่งเดียวกันนั่น คือ ประชาธิปไตย
"เฟซบุค เป็นพื้นที่ ส่วนตัว เรามีสิทธิ์ที่จะโพสต์หรือแสดงความคิดเห็นอย่างไรก็ได้ แต่ส่วนใหญ่ จะโพสต์ในกลุ่มของเราเอง คือ กลุ่มคนเสื้อแดง แต่ยอมรับว่าในเฟซบุคหรือโลกไซเบอร์ เราเป็นคนกลุ่มน้อย แต่อย่าใส่ใจ ทุกคนมีสิทธิ์ วิพากษ์วิจารณ์ ในพื้นที่แห่งนี้ ความเห็นต่างกันไม่ใช่เรื่องแปลก ฉะนั้น อย่าได้แคร์"
"พรชนก แสงวัชระกุล" (ตูน) ตอนนี้ไม่ได้ทำงานเพราะลาออกมาเรียนต่อทางด้านสื่อสารมวลชน เพราะต้องการที่จะมาทำงานด้านนี้โดยตรง อยากเป็นนักข่าว โดยมีแรงจูงใจก้อมาจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ถ้าจบจะทำงานด้านนี้จะตีแผ่ จะต่อสู้กับไอ้พวกสื่อลวงโลก แล้วจะขอเป็นสื่อมวลชนให้กับเสื้อแดงอีกคนหนึ่งในภายภาคหน้า
พรชนกมีอุดมการณ์ทางการเมืองจากเดิมที่ไม่เคยสนใจ แต่พอมีรายการความจริงวันนี้เกิดขึ้น ทำให้รู้สึกได้ว่าเราต้องร่วมต่อสู้เพื่อเอาความยุติธรรมกลับคืนมา ไม่เคยไปร่วมชุมนุมแต่พ่อไป ได้แต่ติดตามสถานการณ์ทางอินเตอร์เน็ต และร่วมต่อสู้ในโลกไซเบอร์ เสียใจกับเหตุการณ์ที่มีคนเสียชีวิต ทำให้รู้สึกว่าความยุติธรรมมันไม่มีเลยจิงๆในประเทศไทย
"เกลียดพวกที่ชอบดูถูกคนจนทั้งหลาย พวกหัวสูง แต่ใจต่ำ ฆ่าได้แม้กระทั่งชาวบ้านผู้บริสุทธิ์ ไม่กลัวที่จะนำเสนอความจริงผ่านทางเฟซบุค ถ้าเราไม่กล้า ประเทศนี้ก้อจะยิ่งกลายเป็นประเทศที่มีแต่คนตาบอด เคยเจอคนเข้ามาด่าใน msn ว่าเป็นควายมั่ง โง่มั่ง แต่ก้อไม่แคร์และก็ได้ตอบโต้ไปเรียบร้อย ยังมีพี่น้องอีกมากมายเค้ายังคิดสู้ แล้วทำไมเราจะต้องท้อถอย หัวใจคนเสื้อแดงมันยิ่งใหญ่ ไม่สามารถหาอะไรมาเทียบได้ ยิ่งผ่านเวลาอันโหดร้ายมาด้วยกัน ยิ่งทำให้เรารักกันมากขึ้น "
"May-mae Tata Momay " วนิดา พัชรานันทา ที่เป็นแม่บ้านเลี้ยงลูก แต่ขอใช้พื้นที่ทางอินเตอร์เน็ตแสดงความเห็นเพื่อบอกว่า "1ลมหายใจ=1เสียง " เคยร่วมการชุมนุมสมัยพฤษภาทมิฬ แต่เหตุการณ์ล่าสุดไม่ได้เข้าร่วมเพราะไม่ได้อยู่เมืองไทย (ซาอุดิอารเบีย) รู้สึกล้าหลัง หดหู่ น่าสมเพศ ประเทศไทย มีจุดยืนเดียวกับเสื้อแดง คือ เรียกร้องความยุติธรรม ไม่กลัวว่าใครจะรู้ว่าเป็นคนเสื้อแดงเจอคนด่าเสียๆหายๆ เพื่อนๆในชีวิตจริงไม่คุยด้วยแล้ว เลิกคบ คบเพื่อนใหม่ที่เป็นเสื้อแดง ถ้าไม่มีไพร่ศักดินาก็ไม่มีคนให้รีดไถ ชาวนาเป็นผู้มีบุญคุณ ไม่ได้รู้สึกอะไร ภูมิใจกับความเป็นไพร่"
น.ส.ชิดชนก ชื่อเล่น หนูกิ๊ก อายุ 17ปี กำลังศึกษาในระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย อธิบายว่า ในประเทศที่มีการปกครองระบอบประชาธิปไตยนายกรัฐมนตรีต้องมาจากความต้องการของประชาชนส่วนใหญ่ไม่ใช่มาจากการยึดสนามบินนานาชาติ เคยเข้าร่วมการชุมนุมแต่ไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์วันสลายการชุมนุมจึงยังไงเฝ้าติดตามอย่างใกล้
"รู้สึกคือความอบอุ่น ระหว่างพี่น้องเสื้อแดงทุกคน คอยเป็นกำลังใจให้กันและกันไม่ว่าเราจะผ่านแก๊สน้ำตา ผ่านระเบิด ผ่านสไนเปอร์ อย่างบ้าคลั่งจากผู้มีอำนาจ และเสียใจมากที่สุดในสามโลกที่มีประชาชนบางกลุ่มออกมาแสดงความยินดีที่ รัฐบาลใช้ความรุนแรงในการสลายการชุมนุม และสนับสนุนรัฐบาล(ของพวกเขา)ให้ฆ่าประชาชนอย่างบ้าเลือด พวกเค้าดีใจเป็นที่สุดที่เห็นผู้ที่คิดต่างจากพวกเค้าต้องตายเป็นสถิติ สูงที่สุดในการเสียชีวิตจากเหตุการณ์ทางการเมือง"
"รู้ซึ้งและเข้าใจถึงปัญหาคนรากหญ้าตลอดจนคนชั้นกลาง โดยเฉพาะในเขตชนบท เพราะเราก็เป็นเด็กบ้านนอกคนหนึ่ง เรารู้ถึงสภาพความเป็นอยู่และความต้อง การจริงๆของพวกเค้า อีกอย่างก็คือจุดยืนและอุดมการณ์เดียวกัน และคนเสื้อแดงพูดคุยกันได้ ถกเถียงกันได้และยินดีรับฟังความคิดของผู้อื่นเสมอนี่เป็นเรื่องที่ชอบมากที่สุด"
กล้าโพสต์หน้าและข้อความที่เป็นคนเสื้อแดงบนหน้าเฟซ เป็นคนที่นับถือตัวเองมาก และเคารพในความคิดของตัวเองอย่างสุดพลังไม่สนใจใครหน้าทั้งสิ้น เพราะ"ใคร"ที่ว่ามันหน้าตาไม่เหมือนบรรพุบุรุษของเรา มันไม่เคยให้เรากิน เราไม่แคร์สื่อ เรายินดีและเต็มใจที่จะเปิดเผยตัวตนอย่างแท้จริง ไม่ใช่หลบๆซ่อนๆแล้วอยู่อย่างหวาดระแวง เจอหนักเหมือนเจอมรสุมชีวิตเลย หลักๆก็พวกคำก่นด่าด้วยถ้อยคำที่แบบ...ประมาณว่าสัตว์สี่เท้าไม่เคยคลานออก จากแป้นพิมพ์เลย...แต่มันแย่งกันพุ่งมาดั่งขีปนาวุธ.. "
"ที่สำเหนียกได้ก็คือการศึกษาไม่ได้ช่วย..ยกระดับความคิดของพวกเขาเลย ลำบากหน่อยนะคะกว่าจะพิสูจน์ว่าการไร้มารยาทจะอยู่คู่สังคมไทยยาวนานขนาดนี้ เพราะนอกจากพวกเขาจะไม่เคารพตัวเองแล้วยังไม่เคารพผู้อื่นอีก อยากถามจริงๆว่าชาวนา คือ กระดูกสันหลังของประเทศไทยหรือเปล่า แล้วขอโทษนะคะ..พวกที่บอกว่าคนเสื้อแดงเป็นทาส คือ คุณจะแสดงความโง่เขลาให้คน อื่นรู้ไปถึงไหน"
ทั้งหมดนี่เป็นเพียงเสียงสะท้อนความคิดความเห็นส่วนหนึ่งของคนเสื้อแดงที่ยังมีอารมณ์คุกรุ่นไม่อาจจะดับไฟแห่งความโกรธและเคียดแค้นลงได้ ตราบใดที่ยังหาคนรับผิดชอบกับชีวิตของพี่น้องทั้งที่ร่วมอุดมการณ์แต่ไม่ได้ร่วมอุดมการณ์ต้องสังเวยถึง 90 ศพ ที่ต้องเสียชีวิตไปในเหตุการณ์ขอพื้นที่และกระชับพื้นที่ของรัฐบาลได้
โปรดติดตามฟังความคิดความเห็นของกลุ่มที่เห็นแตกต่างจากสาวกลุ่มนี้ว่ามีความคิดความเห็นอย่างไรในตอนต่อไป
ที่มา.มติชนออนไลน์
บนพื้นที่สาธารณะที่ไม่จำกัดในระบบอินเตอร์เน็ตที่แสดงความคิดความเห็นได้อย่างอิสระเสรี บางความคิด ความเห็นของบางคนถูกขยายความจนกลายเป็นประเด็นเรื่องราวใหญ่โตโดยเฉพาะช่วงเกิดเหตุความรุนแรงที่เกิดขึ้นในประเทศ มีหลายคนออกมาแสดงความคิดความเห็นรุนแรงไม่แพ้เหตุการณ์ ส่งข้อความผ่านทางเฟซบุคไปถึงเพื่อนในโลกไซเบอร์ทั้งที่รู้จักและไม่รู้จัก
จนบางครั้งกระทบความสัมพันธ์ระหว่าง เพื่อน พี่ น้อง หรือแม้แต่แฟน ประกาศตัดขาดความเป็นมิตร เพราะคิดเห็นไม่ตรงกัน เฟซบุคจึงกลายเป็นเวทีมวยที่มีคนออกมาสาดเสียเทเสียใส่กัน ในประเด็นสาธารณะดุเดือดยิงกว่าเรื่องส่วนตัว "ผัวเมียทะเลาะกัน" เสียอีก ดังนั้นการแสดงจุดยืนบนเฟซบุค จึงเป็นเรื่องที่ค่อนข้างลำบากที่จะแสดงตัวและแสดงความเห็นได้อย่างอิสระเพราะมันอาจจะ"ถูกใจ"และ"ไม่ถูกใจ" แต่ยังมีคนกลุ่มหนึ่งที่กล้าแสดงตัวและตอกย้ำความคิดความเห็นของตัวเองผ่านทางเฟซบุคท่ามกลางกระแสกดดันจากอีกกลุ่มหนึ่งที่มีความเห็นแตกต่าง
ขอยกตัวอย่างบรรดาสาวเสื้อแดงที่ประกาศตัวว่ามีเลือดแดงแบบเต็มขั้นบนหน้าจอเฟซบุคทั้งรูปและข้อความลองมาฟังความคิดความเห็นทางการเมืองของกลุ่มนี้ว่ามีความคิดความเห็นอย่างไรกันบ้าง
"Phanitta รักครอบครัว " บอกว่า รักในความเป็นประชาธิปไตย เกลียดสองมาตรฐาน พูดง่ายๆประเทศไทยไม่มีมาตรฐานเลยต่างหาก รักความยุติธรรม ความไม่เป็นธรรม ที่รัฐมีต่อประชาชนคนเสื้อแดง คนตายพูดไม่ได้ไม่ได้รับความเป็นธรรม ประชาชนคนเสื้อแดงเจ็บช้ำใจยิ่งนัก ไม่คิดว่าการเรียกร้องแค่ยุบสภา แล้วเลือกตั้งใหม่ (โดยถือว่าเป็นพื้นฐาน ของ ปชต) รัฐจะอำมหิตโหดเหี้ยมได้อย่างนี้ อยากจะถามว่ายังมีจิตใจเป็นคนกันอยู่ไหม คนเสื้อแดงไม่มีสิทธิอะไรเลยหรือย่างไร
"กล้าโพสต์ ไม่อายที่จะบอกใครว่าเราเป็นแดงรักแดงแค่ไหน ทำไมเราจะต้องกลัวว่าใครจะโกรธจะด่าเรายังไงใครไม่เห็นด้วยกะเรา เฟซบุคเป็น พื้นที่ของเรา บางท่านอาจจะยังไม่เคย รู้ผ่านหน้า wall ของเรา เพื่อนบางท่านให้ความสนใจและชอบเรื่องราวต่างๆที่เราโพสต์ ว่ามันเป็นความรู้ใหม่ๆ มุมมอง ใหม่ๆ และ เป็นเรื่องที่ทางสื่อไม่ค่อยนำเสนอแต่เราเอามาโพสต์เพื่อ ถ่ายทอดผ่านทางตัวหนังสือให้เพื่อนๆ ที่แดงไม่แดง และกลางๆได้อ่านกัน"
"แรงกดดันมีอย่ตลอด บนหน้า fb ตั้งแต่แรกเริ่ม ว่าแสดงตนว่าเป็นแดงแค่ไหน เพื่อน รุ่นน้อง พี่ ใน fb ที่มีความเห็นต่าง ลบเราทิ้งหมด รุ่นน้องบางคน เคยชอบเรามาก แอบปลื้มเรา ดันมาด่าเรามาหาว่าเราเป็นพวกแดงล้มเจ้า ทำเพื่อ คนๆเดียว เราก็อธิบายให้เค้าฟัง ทุกอย่าง จนสุดท้าย มาด่ากันแหลกที่หน้า fb เลิกคบกันถาวรเลย ส่วนเพื่อนๆๆเก่าๆ สมัยมัธยม ก็ไม่ค่อยมาเม้นท์คงเบื่อไม่ชอบการเมืองมั้ง เพราะเราโพสต์แต่การเมือง เรื่องเครียด ๆ ส่วนพวกที่แอดมาด่าก็เยอะ แต่เราจัดการได้ โดยการชวนเพื่อนๆแดง มารุมด่า เดี๋ยวก็หนีไปเอง ช่วงหลังพยายามคัดกรองเพื่อน หรือ ใครที่ยินดีจะแอดมาด่าก็ไม่ว่า เชิญ... การโพสต์ไม่หยุดแน่นอน"
"คนที่ด่าว่าไพร่ ถามหน่อยเหอะว่าเข้าใจความหมายของไพร่ไหม ว่าหมายความว่าไร ก็คือประชาชนทั่วไปนี่แหละ พวกผู้รากมากดี ก็ไพร่เหมือนกัน เอาอะไรมากมาย สังคมตอนนี้ไม่ใช่มีแต่พวกไพร่+ชาวนาเท่านั้นนะที่เป็นแดง ถ้าใครไม่ได้มาสัมผัสด้วยตัวเอง ไม่รู้หรอก"
นางสาวศศินันท์ เทศนา (แจม) อายุ 21 ปี กำลังศึกษามหาวิทยาลัยมหิดล คณะบัญชี ชั้นปีที่ 4 และมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช คณะนิติศาสตร์ ชั้นปีที่ 3 เล่าว่า ตั้งแต่เด็กจนถึงปัจจุบันมีอุดมการณ์ที่ค่อนข้างชัดเจนมาโดยตลอด คุณพ่อและเพื่อนๆที่สนิทกันจะรู้ดีค่ะ คือเป็นคนที่ไม่ชอบเห็นความอยุติธรรมต่างๆที่เกิดขึ้นในสังคม ชอบช่วยเหลือคนที่ไม่มีโอกาสเหมือนกับเรา จริงๆแล้วสนใจการเมืองมาตั้งแต่เด็ก เข้าร่วมชุมนุมกับพี่น้องเสื้อแดงมาเป็นระยะเวลา 3-4 ปีแล้ว ถ้าไม่ติดธุระสำคัญจริงๆ ก็จะไปร่วมทุกครั้ง ไปคนเดียวบ้าง ไปกับคุณพ่อบ้าง หรือบางทีก็เจอใครที่เป็นเสื้อแดงเหมือนกันก็ไปกับ
"ช็อคกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมาก รู้สึกอึดอัดที่ไม่สามารถช่วยเหลือหรือทำอะไรได้เลย ช่วงนั้นแจมเครียดมาก กินข้าวไม่ลงเลยอ่าค่ะ จนคุณพ่อต้องเตือนว่าไม่ให้ดูข่าวแล้ว เพราะยิ่งดูเราก็ยิ่งเครียดมากขึ้นๆ จำได้ว่าร้องไห้จนตาบวมทั้งๆที่พี่น้องเสื้อแดงทุกคนไม่ได้มีใครเป็นญาติแจมเลย แต่ด้วยความรู้สึกผูกพันกับการที่เรามีอุดมการณ์ทางการเมืองเดียวกัน ร่วมต่อสู้ด้วยกันมาตลอด เพราะความรักที่แจมได้รับจากพี่น้องเสื้อแดงทุกคน มันรู้สึกเสียใจมากที่พี่น้องเราต้องมาเจอกับสิ่งที่เลวร้ายที่สุดเท่าที่แจมเคยได้เห็น ภาพของพี่น้องเสื้อแดงที่เสียชีวิต บาดเจ็บ และถูกทำร้าย มันตอกย้ำให้เลือดอุดมการณ์ของแจมมันฉีดแรงขึ้น ได้แต่คิดในใจว่า แจมจะต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อช่วยเหลือพวกเค้า และเรื่องนี้ไม่จบง่ายๆแน่"
"แจมเป็นเด็กที่ชอบอ่านหนังสือเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ การเมืองการปกครอง จะชอบหนังสือประเภทนี้มาก ประกอบกับมีคุณพ่อเป็นนักกฎหมาย แจมเลยซึมซับมาตั้งแต่เด็กๆในเรื่องของความอยุติธรรมในสังคม แจมมีจุดยืนที่ค่อนข้างชัดเจนมานานแล้ว ใครที่รู้จักแจมทุกคนก็จะรู้ ไม่ค่อยหวั่นต่อกระแสความกดดันสักเท่าไหร่ ตั้งแต่ที่แจมเป็นเสื้อแดงมา ไม่เคยต้องทะเลาะอะไรกับคนที่มีความเห็นที่ต่างกันเลยสักครั้ง เพราะแจมค่อนข้างมีเหตุผลและจะไม่ดูถูกความคิดของใคร ประมาณว่าใครจะมาว่าก็ตามสบาย แต่คุณต้องมีเหตุผลมากพอ ใครที่อยู่ดีๆก็อารมณ์เสียใส่ จะไม่คุยด้วยเด็ดขาด เพราะคุยไปก็เท่านั้น"
"แรกๆเจอ เยอะมาก ตามด่าแจมทุกคอมเม้นท์เลย โดนแบบว่าไม่เคยเจอใครมาด่าแรงขนาดนี้มาก่อน ทั้งๆที่เราไม่เคยรู้จักกันเลย ตอนแรกร้องไห้เลย ไม่ได้ร้องไห้ที่เขามาด่าเรา แต่รู้สึกเสียใจที่ทำไมวันนี้คนไทยด้วยกันถึงมาทำร้ายกันด้วยคำพูดที่รุนแรง แบบนี้ แจมเองก็เป็นเด็กคนหนึ่งที่มีสัญชาติไทย อาศัยอยู่ในประเทศไทย เป็นคนไทยเหมือนกับพวกเค้าเหล่านั้น เราเป็นสายเลือดคนไทยด้วยกันแท้ๆ แต่ทำไมต้องมาทำร้ายจิตใจกันแบบนี้ เสียใจมากค่ะ"
"จึงเขียนบทความบรรยายความรู้สึกของเราลงไปในเฟซบุค ฟอเวิดเมล์ บางท่านอาจเคยได้รับบทความ "จากคนไทยคนหนึ่งซึ่งมีหัวใจสีแดง" และ "แค่คนคิดต่าง" หลังจากนั้นกระแสก็ค่อยๆหายไป คือแจมจะพูดอยู่ตลอดค่ะว่า "เราแค่คิดต่างกัน แต่เราเป็นคนไทยเหมือนกัน" คือแจมไม่ได้ต้องการให้พวกคุณมาคิดแบบแจม หรือให้แจมไปคิดแบบพวกคุณ แจมขอแค่เราไม่ดูถูกความคิดของกันและกันก็พอ คือในสังคมไทยปัจจุบันนี้ มันเป็นไปไม่ได้แล้วค่ะ ที่เราจะมีอุดมการณ์เหมือนกันทั้งประเทศ มันร้าวลึกจนเกินจะทำเช่นนั้นได้ ฉะนั้นแจมคิดว่า เราควรจะอยู่ด้วยกันด้วยความเข้าใจ ไม่ดูถูกความคิดของกันและกัน แค่นั้นก็พอค่ะ"
"คนเสื้อแดงไม่ได้มีแค่ไพร่เพียงแต่ว่าคนส่วนใหญ่ที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมในสังคมก็จะเป็นคนเหล่านี้ แล้วผิดตรงไหนที่เค้าจะออกมาเรียกร้องความเป็นธรรม"
นางสาว ณภัทร เมืองเฉลิม อายุ 22 ปี เรียนที่ ม.ราชภัฏจันทรเกษม ใช้ชื่อในเฟซบุคว่า "Crisiz" บอกว่า ขอเป็นประชาธิปไตยที่กินได้ คนจนเท่าเทียมกับคนมีเงิน แค่นี้แหละ ความยุติธรรมมีจริงจากนักการเมือง เคยเข้าร่วมการชุมนุมกับคนเสื้อแดงและยืนยันว่าไปบ่อยมาก แต่ในช่วงเหตุการณ์วันสลายที่ราชประสงค์ ไม่ได้อยู่ในพื้นที่แต่อยู่ที่พระราม4 บ่อนไก่
สำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อเดือนเมษายนถึงเดือนพฤษถาคม น.ส.ณภัทร บอกว่า "กรรมมีจริง คนที่คิดชั่วทำชั่ว ฆ่าประชาชนก็จะได้รับกรรมตามสนอง และรู้สึกเสียใจที่คนไทยฆ่ากันเอง ทั้งๆที่การชุมนุมไม่ได้ผิดกฎหมายตามหลักประชาธิปไตย"
เหตุผลของการเข้าร่วมกับคนเสื้อแดง?
"เพราะเห็นว่าปัจจุบัน ประเทศไทยไม่ได้เป็นประชาธิปไตยเลย แต่กลายเป็นเผด็จการซ่อนรูป เลยต้องการมาเข้าร่วมเรียกร้องประชาธิปไตย กับคนเสื้อแดง เพราะเราทุกคนมีสิทธิ์มีเสียงที่จะพูด และไม่กลัวใครว่าแม้จะไปโพสต์หน้าเฟซบุคว่าเป็นคนเสื้อแดงเพราะเราเลือกสิ่งที่ถูกต้องแล้ว"
"เพื่อนๆที่เฟสบุ๊คเข้าใจเพราะส่วนมากเป็นคนเสื้อแดง แต่ส่วนน้อยก็เคยเจอด่าในเฟซบุคว่า โง่ โดนหลอก โดนเป่าหู แต่เราก็บอกกลับไปว่า เราโตแล้วคิดเองได้ไม่ได้มีใครเป่าหู เราทุกคนมีสิทธิ์ที่จะคิดเห็นแตกต่างกันได้ ก็อธิบายให้เค้าฟัง เราก็เป็นนักศึกษาคนหนึ่ง อย่าคิด ว่า ไพร่ ชาวนาโง่นะคะ ถ้าเค้าโง่เค้าคงไม่มาเป็นคนเสื้อแดงหรอกคะ"
สาวเสื้อแดงคนต่อไปทีเพิ่งพ้นวัยเด็กสาวมาใช้นางสาว ใช้ชื่อว่า "ฮานิว ๐เเก๊งมังกรหยก๐" น.ส. นัยนา บุตรศรี ชื่อเล่น ฮานิว อายุ 15 ปี เรียนอยู่ที่โรงเรียนสายปัญญาในพระบรมราชินูปถัมป์ เสนอความเห็นอุดมการทางการเมือง ว่า "การเป็นประชาธิปไตย ต่อคนทุกภาคส่วน ฐานะอะไรต้องมีซึ่งความเป็นประชาธิปไตยคงอยู่ เเละประชาธิปไตยต้องได้มาด้วยความบริสุทธิ์หรือความดีนั่นเอง ไม่ได้มาจาการต้องเข่นฆ่าผู้คนเพื่อให้ได้ซึ่งสิ่งที่ต้องการ"
ฮานิว เล่าว่า เคยเข้าร่วมชุมนุมกับคนเสื้อแดงตั้งเต่ที่สะพานผ่านฟ้าลีลาศจนมาถึงแยกราชประสงค์ ตอนที่อยู่สะพานผ่านฟ้าเกือบตกอยู่ในเหตุการณ์ 10เมษายน ซึ่งเหตุการณ์ครั้งนั้นได้เสียคนรู้จักไป 1 คน เป็นเหตุการณ์ที่เลวร้ายครั้งหนึ่งในชีวิตที่เด็กอายุ 15 ปี ได้รับรู้เลยก็ว่าได้บางครั้งคิดว่าอยากผ่านเลยไปเหมือนเด็กคนอื่นๆ หรือเเบบเพื่อนๆ เเต่ทำไม่ได้
"แม้คนที่ตายไปไม่ใช่ญาติพี่น้องเรา เเต่ยอมไม่ได้ คือ ฮานิวรับไม่ได้กับการฆ่าคนที่สุดเเล้ว เล้วเราคนไทยมาฆ่ากันเอง มันไม่ใช่เลย รับไม่ได้ตรงนี้คะเลยทำให้ อยู่เฉยไม่ได้ๆ" ฮานิว ย้ำอีกครั้ง
น.ส.นัยนา บอกถึง เหตุผลของการเข้าร่วมชุมนุมกับคนเสื้อแดงเพราะว่า ได้รับน้ำใจที่คนในที่ชุมนุมมีให้แก่กัน รับไม่ได้ที่คนเสื้อเเดง หรือคนรากหญ้า ไม่ได้รับความเป็นธรรมเท่าที่ควร คนรากหญ้าก็คนไทย
"ทุกคนต้องได้หมดไม่ใช่ว่า เค้าคนจน เเล้วเราก็ทิ้งขว้าง การที่ฆ่ากันอันนี้ก็รับไม่ได้คะ ที่ทหารฆ่าเสื้อเเดง หาที่ไหนไม่ได้อีกแล้วเห็นคนเสื้อเเดง ตอนไปชุมนุมอยากอาบน้ำน้ำขอยืมผ้าถุงป้าๆเขาก็ให้ยืมเพราะเราไม่ได้เตรียมไป อาหารการกินก็เเค่เดินผ่านเต้นท์ที่เเจกข้าว เค้าก็เเจกให้ ทั้งๆที่เราก็อิ่มเเล้วเเต่ก็รับไว้ด้วยความมีน้ำใจ ส่วนตัวเคยเอาขนมไปเเจกๆพี่ๆการ์ด เสื้อเเดงด้วย"
ฮานิว อธิบายว่า ที่กล้าโพสต์หน้าและข้อความที่เป็นคนเสื้อแดงบนหน้าเฟซบุ๊คว่า "จะมีที่ไหนอีกไหมละคะ ที่จะให้เราออกความคิดเห็นได้ ออกไปทำข้างนอกโทงๆ เดี๋ยวได้เป็นผีไม่รู้ตัวพอดีคะ(หัวเราะ)"
"ต้องยอมรับว่าในเฟซบุ๊คก็เจอแรงกดดันเหมือนกันเพราะว่าบางครั้งมีคนที่ไม่ชอบคนเสื้อเเดงก็พิมพ์มาด่าเรากดดันเหมือนกัน ความคิดไม่เหมือนกัน เเต่ถ้ามีคนมาพูดประมาณว่า "คนเสื้อเเดง ตายไปได้ก็ดีหนักเเผ่นดิน" อันนี้ยอมไม่ได้จริงๆคงได้เห็นดีกันแน่ ความเห็นเตกต่างกัน เเต่เราคนไทยด้วยกันคะ เเต่ฮานิวรับไม่ได้กับการทีสนับสนุนให้ฆ่ากัน ทหารที่ยิงประชาชน มีจิตสำนึกที่จะไม่ยิงได้ คุณเป็นทหารคำสอน คือ อะไรให้รักชาติปกป้องคนในชาติเเล้วคุณมายิงคนในชาติ ไปขายปาท่องโก๋ทอดเถอะ"
"ไพร่ ก็คือ สามัญชนคนธรรมาคุณก็ใช่ ชาวนาก็สามัญชน ชาวนาปลูกข้าว ตอนเด็กๆไม่เคยพูดก่อนกินข้าวเหรอชาวนาหนื่อยยาก ลำบากหนักหนา ก็ชาวนานี่หละที่ทำให้คุณมีชีวิตได้ถึงทุกวันนี้ ไพร่กะชาวนา ไม่มีสิทธิ์ออกเสียง เพราะมันจน ต่ำต้อย ต้องให้อยู่ ใต้ตีนคุณอย่างเดียวหรือ?" ความคิดความเห็นของสาวแรกรุ่น
สำหรับสาววัยทำงานอย่าง "อุไรวรรณ รอดหลัก" อาชีพsale อายุ 32 ใช้ชื่อว่า "Uraiwan Rodlak" ให้ความเห็นว่า นักการเมืองต้องเห็น คนเท่าเทียมกัน ดูแลเท่าเทียม เลิกให้ความสำคัญเฉพาะกลุ่ม เคยเข้าร่วมชุมนุมและออกไปเรียกร้องตามจุดต่างๆร่วมกับคนเสื้อแดง
"ไม่ชอบรัฐบาลที่มองคนเป็นควาย หรืองสิ่งไม่มีชีวิต เอาตัวเองเป็นใหญ่ ไม่มีปัญญาแก้ปัญหา ใช้ความทะเยอทะยานที่มีในทางที่ผิด พูดสวยหรูดูดีแต่แฝงความร้ายไว้ สงสาร ประชาชนที่เสียชีวิตไม่เคยมีนายกคนไหนให้ประชาชนมาตีกันเองเหมือน นายกฯคนนี้ ที่ต้องเข้าร่วมกับคนเสื้อแดงเพราะรัฐบาลไม่เห็นคนเป็นคนกล้าทำการสลายสั่งฆ่าได้ กระชับพื้นที่หรือกระชับชีวิตคนกันแน่ ไม่เคยได้ยินคำว่าขอโทษแต่มีแค่เสียใจ ประโคมข่าว บิดเบือน แทรกแซงทุกสิ่งที่กระทบความความมั่นคงของตัวเอง ไม่เคยผิดรัฐบาลลูกเทวดา ไม่เคยกลัวที่จะเป็นเสื้อแดง เราห็นคนเป็นคน เท่าเทียมกันไม่ว่าคนกรุงเทพฯหรือต่างจังหวัด "
"เรากล้าแสดงจุดยืน ไม่ว่าโดดเดี่ยวแค่ไหนเพราะเราเห็นคนเป็นคนเท่ากัน และเชื่อว่ามีพวกมากมายบนfacebook ไม่กดดันใครด่ามาก็ด่าตอบแน่วแน่และมีความสุขที่เป็นเสื้อแดง ตึกรามบ้านช่องเสียไปสร้างใหม่ได้ แต่ชีวิตที่เสียไปสร้างใหม่ไม่ได้ รวมทั้งความผูกพันที่เกิดกับคนมันมากมายมากกว่า ตึกรามบ้านช่องเสียอีก"
นิ้งหน่อง อายุ 21 ปี ศึกษาที่ มรภ.บ้านสมเด็จเจ้าพระยา ปี 4 พยายามบอกทุกคนว่า "รักเสื้อแดงเข้าใจมั้ย" และรู้สึกเสียใจเป็นที่สุดกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น อยากให้รัฐบาลลาออกอยากให้ความจิงเปิดเผย เห็นว่ารัฐบาล 2 มาตรฐานและไม่กลัวเพราะมันเป็นอุดมการณ์ของเรา เคยเจอพวกสลิ่มเข้ามาก่อกวน ด่ากลับ ตอกกลับ และก็ลบออกไปค่ะ อยากจะบอกว่าคนเสื้อแดงไม่ใช่แค่ไพร่กะชาวนา คนมีการศึกษาก็มีอีกมากกกค่ะ อยากบอกว่าพวกที่คิดแบบนั้นน่ะ คิดผิด
"Nindë Vardamir รักอินทรีย์ทอง" นางสาว ภัชชารีญา ชัยได้สุข อายุ 18 ปี มหาวิทยาลัยราชมงคลล้านนาภาคพายัพ คณะ บริหารธุรกิจ สาขา International Business Management ประกาศตัวเป็น นปช.แดงทั้งแผ่นดิน ประชาธิปไตยที่กินได้ รู้สึกหดหู่ และ โกรธแค้นมาก ที่ทำกับคนเสื้อแดงทำไมต้องเป็นแบบนี้ เศร้า ความรู้สึกมันเลวร้ายกว่านั้น เห็นชัดๆ คือ ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาลชุดนี้
"ไม่กลัวที่จะโพสต์ Status เป็นเสื้อแดงน่าภูมิใจออก มีบ้างที่มีคนไม่พอใจเข้ามาโพสต์ด่า ว่าแรงๆ แต่เราไม่สนใจ รู้สึกเฉยๆ ลบข้อความไปหรือไม่ก็ลบออกจากเพื่อน (ถ้าไม่ได้ สนิทหรือเป็นแค่เพื่อนออน์ไลน์) คนที่มองว่าคนเสื้อแดงเป็นไพร่ ถามว่าเป็นไพร่กันทุกคนไม่ใช่เหรอ? ชาวนาเป็นอาชีพที่สุจริต เค้าจะว่าไงก็ช่าง แต่เราก็รู้อยู่แล้วว่าไม่ใช่แค่ชาวนาเท่านั้น"
"Brandon Boyd " น.ส. ภัทรพร ภูริดำรงกุล นักศึกษา มหาวิทยาลัยศิลปากร แสดงความต้องการว่า อยากได้ประชาธิปไตยที่มาจากประชาชน มีการถ่วงดุลอำนาจภาคประชาชน ทุกคนมีสิทธิในการแสดงออกความคิดเห็นในรูปแบบประชาธิปไตย เคยไปชุมนุมบ้างถ้ามีโอกาส รัฐบาลปิดกั้นสื่อและสร้างวาทกรรม ว่า คนเสื้อแดงเป็นผู้ก่อการร้าย เลือกปฎิบัติ รู้สึกแย่ที่ทางรัฐบาลออกมาแถลงการณ์บิดเบือนกับ ความเป็นจริง ไม่ต้องการให้อำนาจ รัฐธรรมนูญอยู่กับคณะหนึ่งคณะใด หรือชนชั้นปกครอง
"ต้องการโพสต์ข้อความ เพื่อกระจายข่าวส่งไปยังผู้มีอุดมการณ์ทางการเมืองในทิศทางเดียวกัน และนำเสนอมุมมองความคิดให้ผู้อื่นได้รับทราบ เจอส่งข้อความมาด่า เอารูปไปประจาน แต่รู้สึกเฉย ๆ รู้อยู่แล้วคนไทยบางกลุ่มชอบหยาบคายมากกว่าการใช้เหตุผล และชอบตัดสินคนคิดต่าง และคนที่เรียกคนอื่นว่าไพร่มันเป็นสิ่งที่คนชนชั้นกลางในเมืองสร้างวาทกรรม "เหมารวม" จริงๆ แล้วคนเสื้อแดงก็มีทุกระดับทางสังคม"
"Tangmoez Kim" อายุ 21 ปีเรียนอยู่ชั้นปีที่4 คณะวิทยาการสารสนเทศ สาขาสารสนเทศและการสื่อสาร มหาวิทยาลัยมหาสารคาม บอกว่า "เคยเข้าร่วมชุมนุม ทั้งอยู่ที่บ้านที่ศาลากลาง และสี่แยกราชประสงค์ เหตุการณ์เดือนเมษายน-พฤษภาคม คิดอยู่แล้วจะต้องเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น รู้สึกแย่ ที่นายกฯให้ความสำคัญกับตึก/อาคาร มากกว่าชีวิตของคนที่ตายไป ไม่ได้สนับสนุนการเผาเลย แต่มองว่ามีแค่ชีวิตเท่านั้นที่เสียไปแล้ว ไม่มีทางได้กลับคืนมา อยากจะถามหาความรับผิดชอบจากรัฐบาล รัฐบาลรับผิดชอบเรื่องตึกไหม้ได้ แล้วจะรับผิดชอบชีวิตคนที่ตายในการชุมนุมด้วยได้หรือไม่ อย่า โทษว่าเป็นการกระทำของผู้ก่อการร้าย เพราะยังไงเสีย เหตุการณ์ทั้งหมดนี้มันก็เกิดขึ้นขณะที่รัฐบาลชุดนี้กำลังปฏิบัติงานอยู่
การแสดงความคิดความเห็นบนเฟซบุคมันเป็นสิทธิเสรีภาพ ...สิทธิเสรีภาพจริงๆ ที่เราสามารถทำได้ พื้นที่บนอินเตอร์เน็ตเปิดกว้าง มีที่ให้สำหรับทุกคน ใครชอบอะไรก็ไปอยู่กับสิ่งนั้น ไม่จำเป็นต้องรักต้องชอบเหมือนกันหมดทั้งโลก แต่ส่วนใหญ่เดี๋ยวนี้ ชอบเสื้อแดงรักเสื้อแดงผิดหมด ต้องชอบเสื้อเหลือง เท่านั้นถึงจะเป็นเสรีภาพ อันนี้ก็ไม่สนค่ะ...ไม่แคร์"
"ก่อนหน้านี้เคยมีเพื่อนที่เข้าหน้าเฟซบุคของเรา เอาเรื่องที่เราเป็นเสื้อแดงไปบอกอีกคนและคนนั้นก็โพสต์ด่าเราใหญ่เลย ในเฟซบุคของเขาที่ เรามองไม่เห็น...มาบอกว่าเราดีแต่ปาก ไม่ยอมออกไปชุมนุม เราก็เลยโพสต์รูปที่เราไปชุมแปะไว้...ท้าตีท้าต่อย...ถ่อยตามกมลสันดานและที่สำคัญก็ คือ ดีแต่ปากสรุปก็ลบออกจากเพื่อนและบล็อค เขาชอบของเเขาได้ ทำไมเราจะชอบบ้างไม่ได้ ใครที่คิดไม่เหมือนกัน ลบออกให้หมด เราไม่ชอบเขาเขาก็ไม่ชอบเราจะเก็บไว้ทำไม ได้แต่ปล่อยเค้าไป ทำบุญตักบาตร กรวดน้ำคว่ำขัน ชาติหน้าอย่าได้พบเจอกันอีกเลย...สาธุ มีคนอีกตั้งเยอะที่คิดเหมือนเราและ เป็นเพื่อนกันได้"
"จะเรียกว่าพวกเราเป็นไพร่หรืออะไรก็ได้ต่คนเสื้อแดงส่วนใหญ่ทำมาหากิน มีธุรกิจเล็กๆ ไม่ได้ร่ำรวย ต้องพึ่งพาเศรษฐกิจถึงจะทำให้ทำมาหากินได้สะดวกพวกที่แบมือขอเงินพ่อแม่ กินบุญเก่าหรือทำนาบนหลังคน ไม่ค่อยรู้สึกอะไรหรอก" นักศึกษาปี 4 ม.สารคามกล่าวทิ้งท้าย
"wran bamboo" อายุ 30 การศึกษาจบปริญญาตรี แสดงความเห็นเรื่อง คำว่า ประชาธิไตย หมายถึงระบอบการปกครองประเทศระบอบหนึ่ง ซึ่งเป็นการปกครองของประชาชน โดยประชาชน และเพื่อประชาชน เคยเข้าร่วมชุนนุม ที่ผ่านฟ้าและราชประสงค์ วันที่ 10 เมษายน อยู่ที่บริษัทไทยคม ดูถ่ายทอดสดการสลายผู้ชุนนุมที่นั่น เศร้าใจกับการกระทำที่ป่าเถื่อนของรัฐบาล เสียใจที่ประชาชนผู้บริสุทธิ์ต้องมาเสียชีวิต
"เราคิดว่าพวกเราต้องชนะ เพราะมีคนตายเยอะ รัฐบาลคงจะอยู่ต่อไม่ได้ แต่ไม่เป็นไปตามที่คิดรัฐบาลลอยนวล วันที่ 19 พฤษภาคม ที่สั่งสลายการชุนนุม ช็อคไป สองสามวัน คิดว่าทำไมบ้านเมืองถึงถอยหลังเข้าคลองแบบนี้ ยิ่ง ศอฉ. ออกมาแก้ตัวมากเท่าไร รู้สึกว่าความยุติธรรมมันไม่มี รัฐบาลพยายามยัดเยียดให้เราเป็นผู้ก่อการร้าย ใช้สื่อโจมตีเราให้ข่าวบิดเบือน ปิดหูปิดตาประชาชน ทั้งๆ ที่ประชาชนที่มาชุนนุมเป็นเพียงชาวบ้านมือเปล่าที่มาเรียกร้องประชาธิปไตยเท่านั้นเอง"
"wran bamboo" บอกว่า การมาเรียกร้องให้ยุบสภาเป็นการเรียกร้องที่ไม่มากมายจนเกินไป เมื่อรัฐบาลทำงานไม่เป็นที่พอใจของประชาชน ควรยุบสภา เพื่อคืนอำนาจให้ประชาชน และกลุ่มคนเสื้อแดงส่วนใหญ่เป็นชาวบ้านที่ไม่ได้รับการดูแลจากรัฐบาล เขามาเรียกร้อง เพราะขาดแคลน เพราะหิวโหย เป็นกลุ่มคนที่น่าสงสาร เราเป็นชนชั้นกลาง ที่มีการศึกษา มีอินเตอร์เนต มีเครื่องไม้เครื่องมือในการต่อสู้มากกว่าพวกเขา เราจะไม่ออกมาช่วยพวกเขาได้อย่างไร ในเมื่อ สิ่งที่เขากับเราต้องการ คือ สิ่งเดียวกันนั่น คือ ประชาธิปไตย
"เฟซบุค เป็นพื้นที่ ส่วนตัว เรามีสิทธิ์ที่จะโพสต์หรือแสดงความคิดเห็นอย่างไรก็ได้ แต่ส่วนใหญ่ จะโพสต์ในกลุ่มของเราเอง คือ กลุ่มคนเสื้อแดง แต่ยอมรับว่าในเฟซบุคหรือโลกไซเบอร์ เราเป็นคนกลุ่มน้อย แต่อย่าใส่ใจ ทุกคนมีสิทธิ์ วิพากษ์วิจารณ์ ในพื้นที่แห่งนี้ ความเห็นต่างกันไม่ใช่เรื่องแปลก ฉะนั้น อย่าได้แคร์"
"พรชนก แสงวัชระกุล" (ตูน) ตอนนี้ไม่ได้ทำงานเพราะลาออกมาเรียนต่อทางด้านสื่อสารมวลชน เพราะต้องการที่จะมาทำงานด้านนี้โดยตรง อยากเป็นนักข่าว โดยมีแรงจูงใจก้อมาจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ถ้าจบจะทำงานด้านนี้จะตีแผ่ จะต่อสู้กับไอ้พวกสื่อลวงโลก แล้วจะขอเป็นสื่อมวลชนให้กับเสื้อแดงอีกคนหนึ่งในภายภาคหน้า
พรชนกมีอุดมการณ์ทางการเมืองจากเดิมที่ไม่เคยสนใจ แต่พอมีรายการความจริงวันนี้เกิดขึ้น ทำให้รู้สึกได้ว่าเราต้องร่วมต่อสู้เพื่อเอาความยุติธรรมกลับคืนมา ไม่เคยไปร่วมชุมนุมแต่พ่อไป ได้แต่ติดตามสถานการณ์ทางอินเตอร์เน็ต และร่วมต่อสู้ในโลกไซเบอร์ เสียใจกับเหตุการณ์ที่มีคนเสียชีวิต ทำให้รู้สึกว่าความยุติธรรมมันไม่มีเลยจิงๆในประเทศไทย
"เกลียดพวกที่ชอบดูถูกคนจนทั้งหลาย พวกหัวสูง แต่ใจต่ำ ฆ่าได้แม้กระทั่งชาวบ้านผู้บริสุทธิ์ ไม่กลัวที่จะนำเสนอความจริงผ่านทางเฟซบุค ถ้าเราไม่กล้า ประเทศนี้ก้อจะยิ่งกลายเป็นประเทศที่มีแต่คนตาบอด เคยเจอคนเข้ามาด่าใน msn ว่าเป็นควายมั่ง โง่มั่ง แต่ก้อไม่แคร์และก็ได้ตอบโต้ไปเรียบร้อย ยังมีพี่น้องอีกมากมายเค้ายังคิดสู้ แล้วทำไมเราจะต้องท้อถอย หัวใจคนเสื้อแดงมันยิ่งใหญ่ ไม่สามารถหาอะไรมาเทียบได้ ยิ่งผ่านเวลาอันโหดร้ายมาด้วยกัน ยิ่งทำให้เรารักกันมากขึ้น "
"May-mae Tata Momay " วนิดา พัชรานันทา ที่เป็นแม่บ้านเลี้ยงลูก แต่ขอใช้พื้นที่ทางอินเตอร์เน็ตแสดงความเห็นเพื่อบอกว่า "1ลมหายใจ=1เสียง " เคยร่วมการชุมนุมสมัยพฤษภาทมิฬ แต่เหตุการณ์ล่าสุดไม่ได้เข้าร่วมเพราะไม่ได้อยู่เมืองไทย (ซาอุดิอารเบีย) รู้สึกล้าหลัง หดหู่ น่าสมเพศ ประเทศไทย มีจุดยืนเดียวกับเสื้อแดง คือ เรียกร้องความยุติธรรม ไม่กลัวว่าใครจะรู้ว่าเป็นคนเสื้อแดงเจอคนด่าเสียๆหายๆ เพื่อนๆในชีวิตจริงไม่คุยด้วยแล้ว เลิกคบ คบเพื่อนใหม่ที่เป็นเสื้อแดง ถ้าไม่มีไพร่ศักดินาก็ไม่มีคนให้รีดไถ ชาวนาเป็นผู้มีบุญคุณ ไม่ได้รู้สึกอะไร ภูมิใจกับความเป็นไพร่"
น.ส.ชิดชนก ชื่อเล่น หนูกิ๊ก อายุ 17ปี กำลังศึกษาในระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย อธิบายว่า ในประเทศที่มีการปกครองระบอบประชาธิปไตยนายกรัฐมนตรีต้องมาจากความต้องการของประชาชนส่วนใหญ่ไม่ใช่มาจากการยึดสนามบินนานาชาติ เคยเข้าร่วมการชุมนุมแต่ไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์วันสลายการชุมนุมจึงยังไงเฝ้าติดตามอย่างใกล้
"รู้สึกคือความอบอุ่น ระหว่างพี่น้องเสื้อแดงทุกคน คอยเป็นกำลังใจให้กันและกันไม่ว่าเราจะผ่านแก๊สน้ำตา ผ่านระเบิด ผ่านสไนเปอร์ อย่างบ้าคลั่งจากผู้มีอำนาจ และเสียใจมากที่สุดในสามโลกที่มีประชาชนบางกลุ่มออกมาแสดงความยินดีที่ รัฐบาลใช้ความรุนแรงในการสลายการชุมนุม และสนับสนุนรัฐบาล(ของพวกเขา)ให้ฆ่าประชาชนอย่างบ้าเลือด พวกเค้าดีใจเป็นที่สุดที่เห็นผู้ที่คิดต่างจากพวกเค้าต้องตายเป็นสถิติ สูงที่สุดในการเสียชีวิตจากเหตุการณ์ทางการเมือง"
"รู้ซึ้งและเข้าใจถึงปัญหาคนรากหญ้าตลอดจนคนชั้นกลาง โดยเฉพาะในเขตชนบท เพราะเราก็เป็นเด็กบ้านนอกคนหนึ่ง เรารู้ถึงสภาพความเป็นอยู่และความต้อง การจริงๆของพวกเค้า อีกอย่างก็คือจุดยืนและอุดมการณ์เดียวกัน และคนเสื้อแดงพูดคุยกันได้ ถกเถียงกันได้และยินดีรับฟังความคิดของผู้อื่นเสมอนี่เป็นเรื่องที่ชอบมากที่สุด"
กล้าโพสต์หน้าและข้อความที่เป็นคนเสื้อแดงบนหน้าเฟซ เป็นคนที่นับถือตัวเองมาก และเคารพในความคิดของตัวเองอย่างสุดพลังไม่สนใจใครหน้าทั้งสิ้น เพราะ"ใคร"ที่ว่ามันหน้าตาไม่เหมือนบรรพุบุรุษของเรา มันไม่เคยให้เรากิน เราไม่แคร์สื่อ เรายินดีและเต็มใจที่จะเปิดเผยตัวตนอย่างแท้จริง ไม่ใช่หลบๆซ่อนๆแล้วอยู่อย่างหวาดระแวง เจอหนักเหมือนเจอมรสุมชีวิตเลย หลักๆก็พวกคำก่นด่าด้วยถ้อยคำที่แบบ...ประมาณว่าสัตว์สี่เท้าไม่เคยคลานออก จากแป้นพิมพ์เลย...แต่มันแย่งกันพุ่งมาดั่งขีปนาวุธ.. "
"ที่สำเหนียกได้ก็คือการศึกษาไม่ได้ช่วย..ยกระดับความคิดของพวกเขาเลย ลำบากหน่อยนะคะกว่าจะพิสูจน์ว่าการไร้มารยาทจะอยู่คู่สังคมไทยยาวนานขนาดนี้ เพราะนอกจากพวกเขาจะไม่เคารพตัวเองแล้วยังไม่เคารพผู้อื่นอีก อยากถามจริงๆว่าชาวนา คือ กระดูกสันหลังของประเทศไทยหรือเปล่า แล้วขอโทษนะคะ..พวกที่บอกว่าคนเสื้อแดงเป็นทาส คือ คุณจะแสดงความโง่เขลาให้คน อื่นรู้ไปถึงไหน"
ทั้งหมดนี่เป็นเพียงเสียงสะท้อนความคิดความเห็นส่วนหนึ่งของคนเสื้อแดงที่ยังมีอารมณ์คุกรุ่นไม่อาจจะดับไฟแห่งความโกรธและเคียดแค้นลงได้ ตราบใดที่ยังหาคนรับผิดชอบกับชีวิตของพี่น้องทั้งที่ร่วมอุดมการณ์แต่ไม่ได้ร่วมอุดมการณ์ต้องสังเวยถึง 90 ศพ ที่ต้องเสียชีวิตไปในเหตุการณ์ขอพื้นที่และกระชับพื้นที่ของรัฐบาลได้
โปรดติดตามฟังความคิดความเห็นของกลุ่มที่เห็นแตกต่างจากสาวกลุ่มนี้ว่ามีความคิดความเห็นอย่างไรในตอนต่อไป
ที่มา.มติชนออนไลน์
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)