--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันอังคารที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

** ศาลาโกหก **

พรรคการเมืองใหม่ พรรคการเมืองของพันธมิตรเสื้อเหลืองมีชื่อย่อว่า ก.ม.ม. เป็นพรรคที่ผู้เขียนมีโอกาสเขียนถึงน้อยมาก
ทั้งที่หัวหน้าพรรคของเขาก็ออกจะใหญ่โต

บังเอิญระยะเวลาที่สังคมกำลังพูดถึงเรื่องการยึดทรัพย์หรือไม่ยึดทรัพย์ของ พ.ต.ท.ทักษิณอยู่นี้ พรรคการเมืองใหม่มีการเคลื่อนไหว
แสดงความคิดเห็นเหมือนกัน

นายสำราญ รอดเพชร โฆษกพรรคการเมืองใหม่ ได้ออกมาแถลงเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า สิ่งที่น่าห่วงสำหรับกรณีของการยึดหรือไม่ยึดทรัพย์
ก็คือเกมใต้ดินที่มีแนวโน้มจะมากยิ่งขึ้น เพื่อต้องการให้เกิดความรุนแรงจนเป็นชนวนให้เกิดการเปลี่ยนแปลง

ทั้งนี้ ขณะนี้มีเสียงร่ำลือว่ามีความพยายามจะติดสินบนขององค์คณะผู้พิพากษาคดียึดทรัพย์รายละ 1,000 ล้านบาท
เพื่อตัดสินไปตามแนวทางที่ พ.ต.ท.ทักษิณจะได้รับประโยชน์

แต่นั่นแหละครับ นายสำราญ รอดเพชร พูดไปแล้วก็หาทางถอยให้แก่ตัวเองว่า ข้อสังเกตที่ว่ามานี้ไม่มีหลักฐานอะไรยืนยัน
เป็นแต่เพียงกระแสข่าวพูดกันเท่านั้น

ผู้เขียนฟังคำแถลงของโฆษกพรรคการเมืองใหม่แล้วก็ร้องได้คำเดียวว่าไม่มีอะไรใหม่ มันเป็นเพียงการเมืองเก่า และเป็นการเมืองน้ำเน่า
ชนิดที่เน่าเสียตั้งแต่ยังไม่ส่งคนลงสมัคร ส.ส. สักหนเดียว

ว่าตามจริงขณะนี้มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์กันมากจริงเรื่องการยึดหรือไม่ยึดทรัพย์ เพราะมันเป็นประเด็นการเมืองที่สำคัญ
เป็นทอล์ค ออฟ เดอะ ทาวน์ เรื่องหนึ่ง

แต่ที่ได้ยินเขาพูดกันนั้นส่วนใหญ่เป็นเรื่องเกี่ยวกับข้อเท็จจริงในตัวทรัพย์ 7.6 หมื่นล้าน ซึ่งเป็นราคาหุ้นที่ขายได้มา กับมีการพูดถึง
เหตุผลว่าจะยึดได้หรือไม่ได้ ซึ่งเป็นประเด็นข้อกฎหมาย

ฝ่ายที่มีใจเทไปข้าง พ.ต.ท.ทักษิณก็บอกว่า จะยึดทรัพย์เขาต้องพิสูจน์ให้ชัดเสียก่อนว่าทุจริตเรื่องอะไร เป็นเงินเท่าใด

ถ้าพิสูจน์ไม่ได้ หรือได้ก็ไม่ชัด จะไปยึดของเขายังไง

อีกพวกหนึ่งบอกว่าเงิน 7.6 หมื่นล้านเป็นค่าขายหุ้นชินคอร์ป รู้ๆกันอยู่ทั้งบ้านทั้งเมือง เงินก้อนนี้ไม่เคยไปคลุกเคล้าปะปนกับเงินก้อนอื่นๆ
แล้วบอกว่าเขาโกงมันฟังไม่ขึ้น

เรื่องเหล่านี้เถียงกันบนโต๊ะกาแฟเป็นที่สนุกสนาน ผู้เขียนเองร่วมวงกับเขาเหมือนกัน แต่มักจะขีดวงตัวเองให้พูดแต่ประเด็นที่ว่า
คตส. ไม่ใช่องค์กรในกระบวนการยุติธรรม-ธรรมดา จึงไม่มีอำนาจเสนอยึดทรัพย์

อีกประเด็นหนึ่งขณะนี้ คมช. ซึ่งเป็นเผด็จการได้สลายตัวไปแล้ว บ้านเมืองเป็นประชาธิปไตยแล้ว ศาลยังเดินตามเผด็จการเห็นจะเป็นไปไม่ได้

ที่ว่ามานี้แตกต่างกับความเห็นของโฆษกพรรคการเมืองใหม่ที่ออกมาเสนอข่าวลือเป็นทำนองตีปลาหน้าไซ หวังให้องค์คณะผู้พิพากษา
หวั่นไหว จะให้ตัดสินยึดทรัพย์ตามความประสงค์ของพวกพันธมิตรฯ

ปัญหามีอยู่ว่าพรรคการเมืองที่อวดว่าเป็นการเมืองใหม่ เป็นการเมืองสะอาด การเมืองคุณธรรม ไม่มีสติปัญญาจะพูดกับเขาด้วยเรื่อง
ข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายดอกหรือ จึงหยิบเอาคำเล่าลือมาเสนอเพื่อสรุปเอาประโยชน์

หรือเห็นว่าแนวทางนี้เป็นหนทางแห่งความสำเร็จ

เช่นเดียวกับที่นายเทพไท เสนพงศ์ กับคณะประชาธิปัตย์เคยเสนอเรื่องเงินนอกไหลเข้ามือคนเสื้อแดงเมื่อเร็วๆนี้ เพื่อนำมาป่วนเมือง
ก่อนจะจบลงด้วยความหน้าแตกเป็นริ้วๆ

นายสำราญกับนายเทพไทเป็นคนจังหวัดนครศรีธรรมราชด้วยกัน ชอบเล่นการเมืองด้วยวาทะอย่างเดียวกัน และชอบปั้นน้ำเป็นตัวด้วยกัน
ปลายทางก็คงจะบรรลุความสำเร็จด้วยเหมือนกัน

เป็นดาวเด่นแห่งศาลาโกหกหน้าเมืองนครด้วยกัน


โดย.อัคนี คคนัมพร
**********************************************************************

หัวและหาง..

ที่ประชุม “ดีเอสไอ” ที่มี “แม่นมอมทุกข์” เป็นประธาน รับลูกทันทีหลัง “กระบอกเสียงเหลือง” ออกมาพูดชี้นำว่ามีเสียงร่ำลือว่า
มีความพยายามจะติดสินบนองค์คณะผู้พิพากษาคดียึดทรัพย์ “โดเรแม้ว” คนละ 1,000 ล้านบาท เพื่อให้ตัดสินไปในแนวทาง
ได้ประโยชน์กับ “โดเรแม้ว”

แทนที่ “แม่นมอมทุกข์” จะสั่งให้ดำเนินการกับ “ผู้ออกมาให้ข่าว” ที่เหมือนดูหมิ่นศักดิ์ศรีองค์คณะตุลาการ เหมือนเป็นการบิดเบือน
และโฆษณาชวนเชื่อให้เกิดความวุ่นวายปั่นป่วน

ขณะที่ “โฆษกศาลยุติธรรม” ออกมาปฏิเสธและตอบโต้กลับว่าไม่มีมูลความจริง ซึ่งที่ผ่านมาการพิจารณาพิพากษาคดีของศาลฎีกา
แผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองทุกคดีไม่มีเคยมีเรื่องการเสนอสินบนใดๆ

การระบุเรื่องสินบนจึงเหมือนการปล่อยข่าวเพื่อหวังผลให้เกิดความระแวงสงสัยในการพิพากษาคดี แต่ศาลจะไม่แสดงว่าร้อนตัว
จนต้องสั่งห้ามการออกมาแสดงความคิดเห็นต่างๆ แต่หากเป็นการหมิ่นเหม่กระทบต่อการพิพากษาคดีหรือองค์คณะต้องดำเนินการ
ตามกฎหมายต่อไป

“ดีเอสไอ” จึงต้องดำเนินการกับผู้ออกมาให้ข่าวโดยเร็ว เพราะคดีของ “โดเรแม้ว” ไม่ใช่แค่ “เด็กไม่มีเส้น” และ “ก๊วนเพื่อนแม้ว”
จะมองว่าเป็นการต่อสู้ระหว่าง “เผด็จการ” กับ “ประชาธิปไตย”

ไม่ใช่เรื่องของการพิพากษาคดีซึ่งเป็น “ปลายเหตุ” ของปัญหา!

เหมือนที่นานาชาติวิพากษ์วิจารณ์ “หล่อหลักลอย” ว่าดำเนินการสีเหลืองกับสีแดง 2 มาตรฐานอย่างชัดเจน

โดยเฉพาะพวกที่ตะแบงว่าใช้มาตรฐานเดียวกัน เพียงแต่ “ช้า” หรือ “เร็ว” น่าจะถามตัวเองเหมือนกันว่า “กินข้าว” หรือ “กินหญ้า”?

เหมือนที่ “สะตอแคระ” ประกาศเพิ่มความเข้มข้นสื่อ “หอยสีม่วง” และเครือข่ายทั่วประเทศที่อ้างว่าหากไม่ชี้แจงกระบวนการยุติธรรม
ของประเทศอาจจะเกิดปัญหานั้นเป็นการชี้นำและกดดันกระบวนการตุลาการหรือไม่

ทั้งที่ “เทพอุนจิ” กับ “ดร.ตุ๊ด” หน้าแตกเพราะถูกจับได้ว่าโกหกตอแหล แต่ “หล่อหลักลอย” ยังปล่อยให้ออกมาตะแบงรายวัน

บ้านเมืองจะกลียุค หรือกระบวนการยุติธรรมจะถูกทำลายหรือไม่จึงไม่ใช่ “ตุลาการ” แต่เป็นพวกที่ออกมาตะแบงหรือบิดเบือน
เพื่อชี้นำให้เป็นไปตามที่ “กูและพวกกู” ต้องการ ซึ่งไม่ต่างกับ “ไม้ล้างป่าช้า” ที่ “คนมีสี” ตะแบงว่ายังเป็น “ไม้วิเศษ” เอาไปชี้เป็นชี้ตาย
ชีวิตประชาชน

บ้านเมืองป่นปี้ทุกวันนี้เพราะ “หัว” ก็กระดิก “หาง” ก็ส่ายพร้อมกันโดยไม่ต้องนัดหมาย


โดย.นายหัวดี

**********************************************************************

เพิ่งตื่นสอบ258ล. รับทำมาผิดทาง โวมี.ค.เสร็จ-รู้ผล ซัดDSIโยนขี้มาให้!


"ปธ.กกต." แย้มมี.ค.รู้ผลคดี 258 ล้าน ยุบปชป.ยุติหรือไม่
ข้องใจ "ดีเอสไอ" สำนวนเสร็จเป็นปียังไม่ถึงศาล โยนขี้มาให้กกต.รับทำต่อ


วันที่ 22 ก.พ.2553 ที่โรงแรมรามาการ์เดนส์ ถนนวิภาวดีรังสิต กรุงเทพฯ

นายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธานกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมือง
กล่าวถึง ความคืบหน้ากรณีสำนวนเงิน 258 ล้านบาท และเงินกองทุนเพื่อการพัฒนาพรรคการเมืองจำนวน 29 ล้านบาท
ที่พรรคประชาธิปัตย์ถูกกล่าวว่าหาว่า มีการใช้จ่ายเงินผิดวัตถุประสงค์และอาจเข้าข่ายขัดพ.ร.บ.พรรคการเมือง ว่า

ขณะนี้คณะทำงานก็ทำหน้าที่กันอย่างหนัก ซึ่งประชุมกันหลายครั้ง ส่วนตนก็ได้อ่านสำนวนทั้ง 7,000 หน้าแล้ว
ทั้งนี้ตนตั้งใจจะทำให้เสร็จภายในเดือนมี.ค.นี้

“การพิจารณาของเราไม่ได้อยู่นิ่ง คณะทำงานก็ประชุมกันอาทิตย์ละ 2 ครั้ง ผมรู้สึกพอใจการทำงานของคณะทำงานมาก
เพราะรู้ว่าเขาทำงานกันอย่างเต็มที่ ส่วนการวินิจฉัยของ กกต.ก็ไม่ได้ดูกระแสการเมือง แต่ทำในสิ่งที่ถูกต้องและดีที่สุด
เพราะเรื่องนี้ผมตั้งใจไว้ว่า เมื่อออกมาสู่สายตาประชาชน จะต้องออกมาเหมือนคำพิพากษาของศาล ถูกต้องด้วยเหตุผล
และความจริง ให้คนได้เห็นชัดไปเลย ” นายอภิชาต กล่าว

นายอภิชาต กล่าวว่า อย่างไรก็ตาม การที่คณะทำงานที่นายทะเบียนจัดตั้งขึ้นเชิญฝ่ายกฎหมายของพรรคประชาธิปัตย์มาชี้แจงนั้น
ตนเห็นว่าก็เป็นการให้โอกาสเขามาข้อเท็จจริง ยืนยันว่าการพิจารณาไม่ได้ล่าช้า เพราะต้องยอมรับว่าการดำเนินการที่ผ่านมา
ผิดทางไปหน่อย หากมาที่นายทะเบียนพรรคการเมืองแต่แรก เรื่องก็คงไม่ล่าช้าขนาดนี้ แต่สำนวนที่ฝ่ายสืบสวนได้สอบสวน
ทำมาก็ถือว่าได้ประโยชน์


ผู้สื่อข่าวถามว่า หากนายทะเบียนยกคำร้องจะต้องขอความเห็นชอบจากที่ประชุม กกต.อีกหรือไม่

นายอภิชาต กล่าวว่า ถ้านายทะเบียนยกคำร้องก็ถือว่ายุติเรื่อง เพราะก่อนหน้าก็มีเสียงจาก กกต.ท่านอื่นที่ตีความทางกฎหมายต่างกัน
แต่ขณะนี้เป็นในทางเดียวกันแล้ว ดังนั้น หากนายทะเบียนมีความเห็นให้ยุบพรรคก็จะต้องผ่านความเห็นชอบจากที่ประชุม กกต.หากจะยุบพรรค


เมื่อถามว่า ส่วนคณะทำงานจะให้น้ำหนักประเด็นเงิน 258 ล้าน กับเงินกองทุนจำนวน 29 ล้านบาทต่างกันหรือไม่

นายอภิชาต กล่าวว่า ไม่ได้เจาะจงให้น้ำหนักชุดไหน แต่สั่งให้ทำเต็มที่ เพราะเรื่องเงินกองทุนเป็นเรื่องเก่า เกิดก่อนที่พวกตน
มารับตำแหน่งเป็น กกต. โดยเรื่องนี้ก็ผ่านกระบวนการตรวจสอบทางบัญชีถูกต้อง พร้อมทั้งมีการใช้เงินอย่างถูกต้องทุกอย่าง
ซึ่ง กกต.ชุดนี้ได้รับรองไปแล้ว ทั้งนี้ หากมีการโต้แย้งว่าเงินจำนวนดังกล่าวใช้โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ตนก็จะให้คณะทำงาน
ตรวจสอบไปให้ลึกกว่าเดิม


ผู้สื่อข่าวถามว่า การตรวจสอบเรื่องเป็นเพราะดีเอสไอต้องการโยนภาระมาให้ กกต. เนื่องจากเป็นประเด็นทางการเมือง
จึงไม่อยากเข้าไปเกี่ยวข้องหรือไม่

นายอภิชาต กล่าวว่า คุณก็ดูแล้วกันว่า เรื่องนี้ทำไมทำเสร็จแล้วเป็นปี แต่เรื่องยังไม่ส่งศาล เพราะฉะนั้นเราต้องค้นหาข้อมูลให้ชัดเจน
ว่าเรื่องดังกล่าวเป็นการยักยอกทรัพย์ของบริษัทหรือไม่ ถ้าเป็นกรณียักยอกทรัพย์ คนที่นำเงินที่ได้รับจากคนที่ยักยอกทรัพย์
ก็ถือว่าเข้าข่ายรับของโจร ซึ่งเรื่องนี้ต้องมีข้อเท็จจริงที่ชัดเจนถึงจะส่งศาลได้เรื่องก็จะจบ ซึ่ง กกต.เป็นส่วนปลายทางแล้ว
จริงๆเรื่องต้องยุติก่อนที่จะมาถึงเรา แต่ไปๆมาๆดูเหมือนว่าปลายเหตุจะยุติก่อนต้นเหตุด้วยซ้ำ

“หากให้เราทำก็ต้องให้เวลาเราพอสมควร เพราะที่หน่วยงานอื่นโยนมาให้เราเป็นกองใหญ่ก็ต้องมานั่งหาข้อเท็จจริงให้ชัดเจนก่อน
ที่ยังมีความขัดกันระหว่างดีเอสไอกับกกต. เรื่องสำนวนที่แม้ดีเอสไอจะบอกว่าสำนวนสมบูรณ์ครบถ้วน แต่ กกต.ห็นว่ายังไม่เรียบร้อย
เมื่อเราดูแล้วยังเห็นว่าตรงไหนไม่ครบถ้วนก็จะชี้แจงให้สังคมรับทราบ” นายอภิชาต กล่าว


ผู้สื่อข่าวถามว่า มีความกดดันหรือไม่ที่กลุ่มการเมืองออกมากดดันประธานกกต.ในช่วงนี้

นายอภิชาต กล่าวว่า "นั่นเป็นความต้องการของหลายฝ่าย แต่ตนก็ต้องออกในแบบที่ตนต้องการด้วย คือให้ถูกต้องเป็นธรรมที่สุด
เพราะมีส่วนได้เสียกันสองฝ่าย ผมไม่ได้คำนึงถึงความถูกใจของใคร แต่ผมก็ทำหน้าที่เหมือนผู้พิพากษาที่จะต้องชี้ให้ชัดเจนให้ได้
ข้อเท็จจริงที่ชัดเจนถึงจะชี้ได้ และจะมัวแต่นั่งกลัวทำไม่ถูกใจใครนั้น ผมก็ไม่คิดว่าจะเป็นอย่างนั้นผมจะทำให้ดีที่สุด"



ที่มา:konthaiuk
******************************************************************************

“ความสูญเสียอย่างมหาศาล”


เหลืออีก 3 วันจะถึง “วันแห่งความระทึก” ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองจะอ่านคำตัดสิน คดียึดทรัพย์
7.6 หมื่นล้าน ของ ครอบครัว พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร คนไทยทั้งประเทศจะได้ประจักษ์เสียทีว่า...ประเทศนี้เป็นของใคร
ความยุติธรรมมีหรือไม่ …

- แม้ ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล จะมองว่า...เป็นแค่วันธรรมดาวันหนึ่ง แม้ ทักษิณ ชินวัตร จะมองว่าเป็นวันธรรมดาเช่นกัน...แต่แปลก
จู่ๆ คนที่หายหน้าหายตาไปนานจากหน้าข่าวอย่าง “เสธ.อ้าย” พล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ กลับจินตนาการอย่างไร้สาระ...หาเหตุผล
รองรับไม่ได้ว่า เป้าหมายคนเสื้อแดงอยู่สูงกว่า พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ เลิกเสียทีเถอะ การอ้างสถาบันมาทำลายกันทางการเมือง
บ้านเมืองวันนี้พินาศยังไม่พออีกหรือเสธ. …

-ใครๆ ก็รู้กันทั้งโลกว่า มีประเทศไทยประเทศเดียวที่ “คนไม่ชนะเลือกตั้ง” อย่าง อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้เป็นนายกรัฐมนตรี...
นั่นเป็นเพราะการอุ้มของหลายฝ่ายที่ต้องแลกกับ “ความสูญเสียอย่างมหาศาล” ของประเทศ สูญเสีย รัฐธรรมนูญฉบับประชาชน
สูญเสียประชาธิปไตย สูญเสียรัฐบาลที่ประชาชนส่วนใหญ่เลือกมากับมือ หลายรัฐบาล สูญเสีย นักการเมืองดีๆ หลายคน
สูญเสียเศรษฐกิจ จากการปิดสนามบินหลายแห่ง ที่สำคัญคนในประเทศจำนวนมาก สูญเสียความเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรม…

-แล้วมันชอบธรรมมั๊ยครับ “เสธ.อ้าย” ที่ ทักษิณ ชินวัตร และ คนเสื้อแดง ต้องต่อสู้เพื่อให้ได้ ความยุติธรรม และ ประชาธิปไตย
กลับคืนมา…

-เป็นธรรมดาที่ “รัฐบาลซ่อนรูป” รัฐบาลนี้ต้องดิ้นรนต่อสู้ทุกวิถีทางเพื่อ “คงอำนาจ” ไว้ให้นานที่สุด...และแน่นอนกลยุทธ์เก่าๆ
ช่วงเมษาเลือดจะถูกนำกลับมาใช้อีก อย่างแนบเนียน ด้วยการกล่าวหาว่า...กลุ่มเสื้อแดง ก่อความรุนแรงแล้วลงมือปราบปรามประชาชน
อย่างเลือดเย็น ไม่อย่างนั้นคงไม่มีการเตรียมความพร้อม “ฝึกซ้อมตำรวจทหาร” ไว้รับมือ แต่อย่างเพิ่งลำพอง ตำรวจทหารที่ท่าน
ฝึกซ้อมอยู่ พวกเขาทำตามหน้าที่ แต่จิตใจเขาอยู่กับใคร ท่านน่าจะรู้!…

-เชื่อเถอะ หาข่าวตามประสาเพชรฉกรรจ์ 26 กุมภาฯ จะไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่หลังจากนั้นไม่แน่...ประวัติศาสตร์ชาติจะต้องบันทึก
การประท้วงบนถนนของ ผู้คนเรือนล้าน ในเมืองหลวงของประเทศนี้ ก็ในเมื่อผู้คนนับล้านแสดงออกอย่างสงบสันติ
รัฐบาลนี้ยังจะหน้าด้านอยู่ก็ให้มันรู้ไปว่า “ไม่มียาง”…

-แต่ถ้าคนที่มีการศึกษาดีอย่าง อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ตรองสักนิดว่า...ตัวเองยังจะพอมี อนาคตทางการเมือง สามารถเอาชนะ
การเลือกตั้งได้โดยไม่ต้องมีอำนาจนอกระบบอุ้ม ลาออก หรือ ยุบสภาเถอะ ให้ประชาชนเขาตัดสินกันใหม่ ไม่ต้องให้ใครมาอุ้ม
ไล่ทหารกลับเข้ากรมกองซะ …

-แต่ถ้ายังดื้อ คิดยื้ออำนาจต่อไป...นอกจากอนาคตตัวเองจะลำบากแล้ว คิดถึงพ่อแม่ลูกเมียบ้างก็ดี จะอยู่ในสังคมนี้อย่างไร
ไม่มีใครชนะประชาชนได้หรอก เชื่อเถอะ! อย่าเชื่อคนถือหางเลยว่ากองทัพของท่านจะเอาชนะประชาชนได้ ยิ่งถ้าประเทศนี้
แหลกคามือท่านด้วยแล้ว ผมนึกไม่ออกจริงๆ ว่า ท่านและครอบครัวจะอยู่อย่างไร เตือนเพราะหวังดีจริงๆ …



โดย.เพชรฉกรรจ์
**************************************************************************

** ก่อนและหลัง 26 กุมภา **

ภาพของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ก่อนปฏิวัติ 19 กันยายน 2549 คือ ภาพของผู้ร้ายที่ทำลายเสถียรภาพ
ทางการเมืองของระบอบประชาธิปไตยที่ใช้อำนาจนายกรัฐมนตรีเข้าไปแทรกแซง องค์กรอิสระ

ในขณะที่ภาพของ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ คือ ภาพขององคมนตรี ภาพของคนดีที่ยังไม่มีตำหนิ รอยแผลแห่งความด่างพร้อย

ภาพของ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน คือ ภาพของผู้ชายในระบอบประชาธิปไตย ที่ปล้นเอาประชาธิปไตยจากประเทศไทยและคนไทย
แต่ในทางตรงกันข้ามกัน ภาพของ พล.อ.สนธิ บุณยรัตกลิน คือ ภาพแห่งความชื่นชมของกองทัพที่ออกมาจัดการปัญหา

ความแตกแยกของคนไทยที่คาดเดาว่า จะเกิดความรุนแรงหลังจากนั้นทั้งหมด คือ ภาพก่อน 19 กันยายน 2549
ก่อนมีการปฏิวัติครั้งสุดท้ายในประเทศไทย และเป็นการปฏิวัติที่ไม่อยากให้เกิดขึ้นอีก ของคนไทย หรือแม้กระทั่งกองทัพ
แต่ก็หมิ่นเหม่ต่อการจะเกิด ยั่วยุให้เกิด จะด้วยเหตุใด จากความคิดของใครก็ตาม

วันนี้ภาพของ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ กลายเป็นภาพต่างกับก่อนปฏิวัติกลายเป็น องคมนตรีบุกรุกป่าสงวน จนต้องยอมรื้อบ้านที่
เขายายเที่ยง ภาพของคนคนเดียวกันจึงเปลี่ยนไป

ในขณะที่ภาพของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร วันนี้ กลายเป็นภาพของผู้เรียกร้อง ประชาธิปไตย เป็นภาพของการเรียกร้อง สมบัติคืน
จากการถูกยึดทรัพย์ อ้างว่า การดำเนินการเป็นสองมาตรฐาน

แต่ 26 กุมภาพันธ์นี้ ศาลอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองจะพิพากษาคดี 7.6 หมื่นล้านบาท ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร

วันนั้นจะสร้างความเป็นมาตรฐานเดียวกันได้ ด้วยความจริง ของข้อกฎหมายไม่ใช่ความรู้สึกของคนที่อยู่คนละข้าง

ความท้าทายอยู่ที่ คำตัดสินและอยู่ที่เหตุผลของข้อกฎหมาย

สำคัญที่สุด คือความเชื่อของคนทั้งหลายว่า บริสุทธิ์และยุติธรรมศาลต้องพิสูจน์ตัวเอง



โดย.มด คันไฟ
***************************************************************************

** ลิเกการเมือง **

หลายคนก็ยังงง-งง..ใช้ระยะเวลามาเป็นปีแล้วที่ “คนเสื้อแดง” เล็งเป้าหมาย รื้อเครือข่าย “อำมาตย์” ให้สิ้นซาก
แบบถอนรากถอนโคน

คำถามของคนรุ่นใหม่ก็คือ “อำมาตย์” คืออะไร?- เป็นใคร?-ผู้ใด?-มาจากไหน? อยากจะเข้าร่วมกิจกรรมขับไล่ด้วย..แต่ยังไม่เข้าใจ
ความหมายของคำว่า “อำมาตย์”!!

เผอิญติดลิเกงอมแงมซะด้วย..จึงยังพอที่จะอธิบายได้ เสนา -อำมาตย์-ปุโรหิต!! ตอบอย่างไม่อายก็ได้ความรู้มาจากการ “ดูลิเก” นี่แหละ!!

ทำไม..บ้านเมืองที่ยุ่งเหยิงอยู่ในขณะนี้..จะต้องมาไล่กันเฉพาะ “อำมาตย์”..เท่านั้น ส่วน เสนา กับ ปุโรหิต ปล่อยไปกระนั้นหรือ?

“เสนา” เป็นบุคคลกลุ่มหนึ่งที่ไม่มีพิษมีภัยคอยตามรับใช้อย่างซื่อสัตย์. ไม่ใช่ชนชั้นนำ มีหน้าที่แค่ “ยกกระโถน” ไม่เกี่ยวกับ
“เสนาหอย” กับ “เสนาโค้ก” นะครับ

ส่วน “ปุโรหิต” คือ พวก พราหมณ์-นักบวช หรือ หมอดู..กลุ่มนี้เป็นผู้ที่จะคอยติดตามดู “ชะตาดวงเมือง” และ ช่วยชี้แนะให้กับ
ผู้ครองบ้านครองเมือง

หาก..“ปุโรหิต” ถ้าจิตคิดไม่ซื่อ.ทำการชี้แนะเพื่อ “ผลประโยชน์” ซ่อนลึกและมีผู้คนเชื่อกันอย่างหัวปักหัวปำ!!
บ้านเมืองก็ย่อยยับได้เช่นเดียวกัน

เพราะกว่าจะขึ้นมาเป็น “ปุโรหิต” ได้..ก็ต้องเกิดจาก ความศรัทธา และ บารมี ที่สั่งสมไว้ไม่น้อย เห็นลิเก-ลิเกนี่นะ ฤทธิ์เดชเหลือร้ายทั้งนั้น!!

ที่นี้ก็มาถึง “อำมาตย์” ถ้าเป็นลิเกสมัยก่อน ก็มีแค่ “อำมาตย์” กลุ่มเดียว!!

แต่ “อำมาตย์” สมัยใหม่ มีหลายกลุ่ม ทั้งทหาร ตำรวจ ข้าราชการ ทุกสถาบัน ที่ไม่ใช่เอกชน กินเงินเดือนหลวง คือ “อำมาตยา” ทั้งนั้น!!

ส่วนใหญ่ก็จะเป็นพวก มี ยศถาบรรดาศักดิ์..เมื่อถึงเวลาจะไป ก็ไม่ยอมไป เฝ้าแต่ “หวงแหนอำนาจ” ที่เคยหวานชื่นในอดีต..
เปรียบคนที่ตายแล้วแต่ไม่ยอมให้เผา.. หรือ “ผี” ที่ไม่ยอมไปเกิด..นั่นแล!!


โดย.หนุ่ม ชิงชัย
***************************************************************************

วันจันทร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

สิ่งที่อำมาตย์เชื่อมั่นสิ่งจะเข้าข้างมันตลอดเวลาจากนี้ไป เหลือแค่ปืน อาวุธสงคราม และทหารเลวๆ

รัฐบาลก็เชื่อมั่นในอำมาตย์จะอุ้มชูพวกตน เพราะพฤติกรรมทั้งหัวหน้า ลูกน้อง ไม่ได้บ่งบอกว่ามันคือนักการเมืองที่มีประชาชน
สนับสนุน มอบอำนาจให้มาบริหารประเทศ ตามระบอบประชาธิปไตย

ถ้ารัฐบาลจากการเลือกตั้งโดยตรง คงไม่มีความก้าวร้าว โกหก ตะลบตะแลง ชนิดไม่ต้องคิดว่า ประชาชนหน้าไหนจะคิดอย่างไร
เพราะประชาชนไม่ใช่คนเลือกให้พวกมันมามีอำนาจ พรรคนี้จึงไม่มีพฤติกรรมใด แสดงว่าประชาชนเป็นใหญ่

กล่าวหาอะไร แล้วถูกสังคมจับได้รู้ทันว่า ตอแห-ล ม้นก็ด้านพอที่จะเฉยๆ เงียบไป ไม่มีคำว่า ขอโทษ หรืออะไรทั้งสิ้น
และพวกมันพร้อมจะ โกหก ทำลายคนอื่นอีก ในวันรุ่นขึ้น ด้านไหมละ เลวไหมละ

อำมาตย์ เชื่อมั่นอำนาจปืนและทหาร
รัฐบาลโจร เชื่อมั่นในอำมาตย์คุ้มหัว

ประชาชนไทย ละ เกิดมาทำไมไม่ทราบ

...............................................

ดูวิธีการคิด ของอำมาตย์ คิดว่ายึดอำนาจ สร้างกฏหมายใหม่ สร้างทีมงานล่า ค้นหา สืบหา จัดฉาก และใช้กฏหมายใด
เพื่อตัดสินใคร ด้วยแนวทางใด ไร้ความยุติธรรมหรือช่างมีความยุติธรรมแท้ๆ ถ้าไม่ยุติธรรม ประชาชนหรือคนกลุ่มใด จะมีเสียงดังพอจะทำให้อะไรเปลี่ยนไปได้ละ

ล่าสุด พรรคการเมืองใหม่ แค่โฆษกพรรค ยังทำให้ ศาล ทำอะไรไม่เป็น กล่าวหาศาลมันจะจะไม่ปิดบังไม่ได้ หลุดปาก หรือเผลอสัมภาษณ์ แต่นี้ พวก ตั้งโต๊ะแถลงในพรรค นี้แหละ ทบทวน ไตร่ตรอง เจตนาพร้อมมูลครบ ศาลต้องวิ่งออกมาแถลงแก้ด่วน
ว่าไม่มีเรื่องแบบนั้น ตรวจสอบได้ จบ!!!! เออ กล่าวหาศาลโดยเล่นๆมันง่ายๆนี้แหละ ใครจะทำไม กรูเด็กไง ลิ้ม น่ะโว้ย

ยุบพรรคด้วยการจัดฉาก ใส่ร้ายวันเวย์ จบ คนถูกใส้ร้าย ยังงง และหายหัวไปจนวันนี้ ชื่อ พลเอก ธรรมรักษ์ ถูกเก็บ ไม่ได้ทำแต่ ก็กลายเป็นคนทำ ไปในที่สุด (เชอรี่แอน 2ทางการเมือง)

ชัดที่สุดคือ คือกระบวนการยุติธรรม ตั้งแต่ถูกเรียกว่า ตุลาการภิวัฒน์ ประเทศชาติ ก็เละเทะเพี้ยน แตกแยกมาจนวันนี้ นี้คือผลจากคำว่า ตุลาการภิวัฒน์ใช่หรือไม่ ภิวัฒน์แบบไหนมิทราบ ไม่ปรากฏ กระบวนการใดทำให้คนไทยเชื่อว่าจะมีกระบวนการเอาผิดพันธมิตรหรือฝ่ายสนับสนุนอำมาตย์ ยึดบ้านยึดเมืองทำประเทศชาติเสียหายได้เลยจริงๆ พันธมิตรจะกร่างหมิ่นพระบรมเดชานุภาพเพียงใด ก็ไร้วิธี ซึ่งองค์กรทางกฏหมายบ้านเมืองใด กล้าคิดเอาผิดได้ จนบัดนี้

อำมาตย์ หรือองค์กรทางกฏหมาย ก็วางตัวภายใต้ปัญหา อึดอัดแบบนี้ตอไปต่อสังคม คงต้องรอให้ อำมาตย์ฮิบหายไปก่อน

รัฐบาลไร้ความสามารถไร้น้ำยา ไร้ฝีมือ บริหารไม่เป็นมีแต่สร้างปัญหา สร้างหนี้ให้แผ่นดิน โกงชาติ คอรับชั่นจับได้คาหนังคาเขาเป็นแถว ก็ไม่มีใครแยแส สนใจ ว่ารัฐบาลต้องรับผิดชอบอะไร แค่เปลียนหน้าที่ต่อจบ นี้คือ การเชื่อมันในอำมาตย์

ทหารเลว ถูกจับได้ ว่าโง่ ซื้อของเล่นราคาไม่ถึง 1000 ในราคา 1.4 ล้าน ถูกสังคมตัดสินไปหมดแล้ว ทางวิทยาศาสตร์ก็รับประกันไปแล้ว ประเทศที่ขายเองก็เตือนว่าใช้ไม่ได้แล้ว เสือกกล้าออกมาการันตี ว่าใช้ได้ และจะใช้ต่อไป อย่างไม่แยแสอะไร ทั้งสิ้น นี้คืออาการเพี้ยน บ้าของ พวกเผด็จการ บนความพิการของคนในแผนดิน

ทั้งหมดที่กล่าวมา เกิดขึ้นบนยุคถิ่นกาขาว มันให้ผลเช่นนี้นั้นเอง คือผิดไม่ผิด ด้านได้อายออก เป็นคนก็ออกไป เป็นควายก็ทนสู้ ไม่รับผิด ไม่ฟัง ไม่ทำตาม ใครจะทำไม เห็นไหม พวกกู มีแต่ทหาร เห็นภาพตอนนี้ นึกถึงเผด็จการทหารพม่า หรือทหารเกาหลีเหนือ ได้ดีที่สุด

..........................

มาว่าด้วย การปิดเมืองปล้นเงิน 76,000ล้านบาท โดยไม่ต้องแยแส ไม่ต้องให้การสนใจกฏหมายใดๆ ในโลกนี้
ไม่ต้องคำนึงถึง ความถูกต้องใดๆในโลกใบนี้ ไม่ต้องฟังคำท้วงติใดๆ จากคนข้างนอก เพราะ309 จากกฏหมาย
โจร ให้ท้ายไว้แล้วว่า ทำอะไรไม่ผิด แล้วมันยังคิด ทำอะไรไม่ผิดแล้ว ยังทำอะไรต้องถูกต้องหมดด้วย

บอกว่า โกง ก็ต้องโกง ว่าชั่ว ก็ต้องชั่ว ว่าขายชาติกฏหมายก็ต้องบอกว่า ชายชาติ
ว่ายึดกฏหมายก็ต้องบอกว่ายึด ทฤษฏีควายกินหญ้า กฏหมายก็ต้องทำตามทฤษฏีควายกินหญ้า พวกมันเชื่อมั่นกันขนาดนี้

มีคนบอกว่า 76,000 ล้านบาท ถูกรัฐบาล คมช. และอำมาตย์ ได้ใช้อำนาตย์ ถอนแบ่งกันไปใช้ในกิจกรรมอื่นไปหลายหมื่นล้านแล้ว ค่าตามล่าทักษิณ ก็คือเงินทักษิณเอง ว่างั้น ดังนั้น ถ้าแผนผิด กฏหมายทฤษฏีควายกินหญ้าเป็นกฏของเด็กอนุบาลหมีน้อยคิดเล่นไป ใครจะมีปัญญาหาเงินคืนทักษิณ ดอกเบี้ยที่ควรจะได้ จาก หลายธนาคาร ธนาคารอำมาตย์ซะด้วย
แค่คิด ก็อาจทำให้ ธนาคารอาจล้มได้ อายัดเงิน 76,000ล้านบาท ดอกเบี้ยต่อวันต่อเดือน ในเวลา3-4 ปี จะเป็นเท่าไหร่

กฏหมายก็ของอำมาตย์ บุคคลในกระบวนการสืบส่วน กล่าวหา สั่งฟ้อง ก็คือคนพวกขับไล่ทักษิณ นั้นแหละ ใครจะทำไม มีปัญหาไหม ใช้คำว่า อดีตผู้พิพากษาทั้งน๊าน ก็จบ ทำเลว ก็ดีหมด เพราะนี้คืออดีตผู้พิพากษา

ต่อมา ทางการเมือง กกต. ก็ไม่ได้อับอาย แยแสต่อสังคมใด ๆ ใครจะทำไม อายทำไม ทำอะไรค้านสายตาปัญญาชนคนไม่บ้า ได้อย่างบ้าๆ ใครจะทำไม จะลงโทษใคร จะรักษาใคร ก็เล่นมันตรงๆ ไปเลย จะไม่กลัวทำไม อยากยุบใคร อยากตัดสินใคร ก็ตัดสินไป พวกเราก็ไม่ต้องทำอะไร หาวิธีหนีน้ำขุนๆ ใครจะทำไม

นี้คือสิ่งที่เกิดขึ้น ตั้งแต่ ทหารเลวยึดอำนาจ และกระบวนการตุลาการภิวัฒน์
พวกมันเชื่อในเซลสมองพวกตนว่า แค่นี้ ทุกอย่างก็จบ ปืนปราบ กฏหมายกด

นั้นอาจเป็นระยะสั้น แต่วันนี้ ประชาชนคนเสื้อแดง ได้ดื้อยา ไม่กลัวขึ้นมาแล้ว
แบบนี้ จะเรียกว่า สาเหตุมาจากอะไร

บนความคิดเลวๆของทหารเลวๆเก่าๆ ที่มีเชลสมองอยู่ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2
สันดานจิตใต้สำนึกถูกแกนโลกหมุนล้ำหน้าไปก่อน หรือพวกมันล้าหลังโลกกว่า 50 -70 ปี
หลายคนบอกน่าจะ 1 ล้านปีขึ้นไป ยังคิดได้แค่ ความรุนแรง และปืน คือคำตอบ

---------------------------------------

คิดไปได้ ว่า ประชาชนเสื้อแดง คือคนทักษิณ นี้ถ้าทำได้ คงห้ามคนรักใครได้กะมัง
คิดไปได้ว่า ประชาชนเสื้อแดง คือคนรับจ้างทักษิณ บนพื้นฐานของพันธมิตรเสื้อเหลือง
เคยทำเช่นนี้ หรือไม่ เพราะหมดเงิน เสื้อเหลืองก็หมด โดยปริยาย ใช่หรือไม่

เสื้อแดงทำไมยิ่งจะเต็มประเทศ ถ้ารับจ้างทักษิณ 3-5 ปีมานี้ ทักษิณจะจ้างทางไหนว่ะ
ก็พวกมิงตามล่าตามยึดเงิน หมดแล้ว จะบอกว่าขนเงินมาจ้าง เสื้อแดง ก็กลายมาหมาเห่า
โชว์พ่อแม่ไป สรุปคือ ถ้าทักษิณจะส่งเงินมาให้เสื้อแดง ก็ช่วยหาเส้นทางไหน เชื่อว่า
แค่บาทเดียว จากทักษิณ ถ้าจะผ่านแผ่นดินไทย ตอนนี้ ก็คงไม่รอดสายตาอำมาตย์ ดังนั้น
เป็นไปไม่ได้ ว่า คนเสื้อแดงจะรับจ้างทักษิณ แต่เชื่ออย่างหนึ่งว่า คนเสื้อแดงที่เยอะมากขึ้นเรื่อยๆ
เพราะ การถูกอำมาตย์ รัฐบาลดูถูก นี้แหละ แม้ กรูต้องรู้ตัวเองซิ ว่ารับเงินหรือไม่ได้รับเงินใคร
กูก็รู้ตัวว่า กูเสียเงินค่ารถ ค่าน้ำ ค่าข้าว ค่าเสื้อแดงเอง แล้วกูรับเงินทักษิณอย่างไรว่ะ นี้แบบนี
และที่ทำให้คนเสื้อแดงเยอะมากขึ้นเรื่อยๆ เพื่อรู้ว่า การถูกใส่ร้าย และกล่าวหาเป็นอย่างไร

ยึดเงินแล้ว ปราบ ฆ่า ยิง จับ ขัง ใช้ปืน ใช้กฏหมาย จัดการคนเสื้อแดงอีก ครั้ง
แล้วจะทำให้ ประเทศสงบเรียบร้อย ต่างชาติ เข้ามาลุงทุน ทุกอย่างกลับมาเป็นปกติ
สถานบันต่างๆ ออกทำภารกิจติดต่อนานาชาติ ต่อไปสง่างามเหมือนเดิม

คิดแบบนี้จริงหรือ

อำมาตย์

ที่มา.ประชาไท

มนุษย์การเมือง "แก้วสรร" ยึดทรัพย์ 7.6 หมื่นล้าน ด้วยทฤษฎี "วัวกินหญ้า"


วาทกรรมเรื่อง "ยึดทรัพย์" ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มีไม่น้อยกว่า 2 ข้อความหลัก

อาทิ ยึดทั้งหมด 7.6 หมื่นล้านบาท

หรือยึดส่วนหนึ่ง เฉพาะที่ได้ประโยชน์จากนโยบายผลประโยชน์ทับซ้อน

ทั้ง 2 วาทกรรม ล้วนมีเหตุผลหักล้าง นำเสนอ

1 ใน 2 วาทกรรม เป็นของ "อ.แก้วสรร อติโพธิ" ที่ว่าด้วย"ยึดทั้งหมด"

ด้วยดีกรีอดีตอาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.)

และอดีตผู้ดำเนินรายการโทรทัศน์ "แกะรอยคอร์รัปชั่น"

"อ.แก้วสรร" ยกเหตุผล-ทฤษฎี "วัวกินหญ้า" ประกอบวาทกรรม "ยึดทั้งหมด"

ทฤษฎีที่ว่าด้วย "วัวกินหญ้า" กลายเป็นวาทะหลักในการถกแถลง-วิพากษ์ ในวงการนักกฎหมาย-นักการเมือง

"อ.แก้วสรร" บอกว่า.....

"เรื่องหุ้นของคุณทักษิณต้องยึดทั้งหุ้นกับดอกผล เมื่อขายไปแล้วก็ต้องยึดเงินที่ขาย เหมือนคุณเลี้ยงวัวนมหนึ่งฝูง เมื่อขึ้นเป็นนายก อบต. คุณก็ทำนโยบายเพาะหญ้าขนในทุ่งหญ้าสาธารณะ ซึ่งไม่มี อบต.ไหนเขาทำ จากนั้นก็ปล่อยวัวคุณไปกิน วัวมันก็อ้วนสุด ๆ เลย ทีนี้จะทำยังไง จะยึดอะไรล่ะทีนี้ ก็ต้องยึดทั้งตัว"

"...จะบอกว่าวัวผมมีมาก่อน ผมก็ไม่ได้เถียง เพราะไม่ได้กล่าวหาว่ายึดวัวหลวง แต่คุณเอาอำนาจรัฐไปขุนวัวของคุณจนอ้วน จะมาขอวัวของคุณคืน แล้วทำยังไง จะแบ่งกันยังไงล่ะทีนี้ ดังนั้นคุณทำ 5 ครั้ง บอกว่าต้องยึดทีละครั้ง ครั้งแรกเอาขา ครั้งหลังเอาหู อย่างนั้นหรือ...มันไม่ใช่"

"ผมไม่เถียงว่าหุ้นนั้นของทักษิณ แต่มันมีราคาขึ้น เพราะใช้อำนาจเข้าไป ราคาหุ้นจริง ๆ ขณะนี้อาจจะตกลงไปก็ได้ เพราะตลาดหุ้นมันแปรปรวน แต่ที่แน่ ๆ คุณทักษิณทำให้ธุรกิจนี้ได้เปรียบกว่าคู่แข่ง"

"หุ้นของคุณทักษิณ วัวของคุณผมไม่เถียง แต่มันอ้วนจากอำนาจรัฐ ต้องเข้าใจว่านี่คือการลงโทษ หากให้ทุนคืนก็ไม่ต่างกัน เฮ้ย ! ช่วยกันทำเว้ย พอจับได้แล้วได้ทุนคืน แล้วจะยึดทรัพย์ทำไม"

เมื่อคดี "ยึดทรัพย์" เข้าสู่โค้ง 10 วันอันตราย ทฤษฎี "วัวกินหญ้า" ถูกหยิบยกเป็นประเด็นขึ้น "ร้องศาล"

โดยนายพานทองแท้ และนางสาวพินทองทา ชินวัตร ร้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ให้ผู้เกี่ยวข้อง ยุติบทบาทการขยายความทฤษฎี "วัว-ควาย"

"พานทองแท้" ร้องว่า "ขอให้มีคำสั่งห้ามมิให้ อดีตคณะกรรมการ คตส.ให้ข้อมูลเกี่ยวกับคดียึดทรัพย์ ซึ่งอาจจะเป็นการทำให้สาธารณชนเข้าใจผิด"

"โดยเฉพาะนายแก้วสรรที่ออกมาพูดเกี่ยวกับทฤษฎีวัว ควาย เป็นการใช้ความรู้ทางกฎหมายที่ทำให้ประชาชนสับสน ทำนองว่า ถ้าวัวไปกินหญ้าของคนอื่นแล้ว วัวอ้วนขึ้นมาต้องยึดวัวทั้งตัว จะยึดเฉพาะขาไม่ได้"

"ถ้ามองมุมกลับกัน ตนเป็นเจ้าของหญ้าแล้ววัวมากิน แล้วตนยึดวัวทั้งตัวไว้ ตนจะโดนข้อหาลักทรัพย์ แต่ถ้าร่วมกันกระทำการมากกว่า 1 คนขึ้นไป ภาษากฎหมายเรียกว่าปล้นทรัพย์ ทำให้ตนรู้สึกว่าเหมือนถูกปล้นทรัพย์อยู่ อยากให้ลองมองมุมกลับกันบ้าง"

พานทองแท้-ใช้วาทกรรม "กฎหมาย" ย้อนศรว่า "ฝากถึงพี่น้องเกษตรกร ระหว่างรอประเทศไทยเป็นประชาธิปไตยเต็มใบ ให้เลิกปลูกข้าว มาปลูกหญ้าแล้วเอารั้วออก แล้วทุกคนจะมีวัวขายกัน ขอบอกว่าทุกคนจะไม่ผิดเพราะเขาเอากฎหมายมาบิดเบือนกัน"

แต่ "คำร้อง" ของทายาท "ชินวัตร" ไม่เป็นมรรค-เป็นผล

แม้จะพยายามหยิบยกเหตุ-ผล "เพื่อให้คำพิพากษาเป็นไปโดยถูกต้องเป็นธรรม ไม่สมควรที่จะมีบุคคลใดให้ข่าวต่อสื่อมวลชนในลักษณะบิดเบือนข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายให้บุคคลทั่วไปเข้าใจผิด"

ที่สุด "ศาลยกคำร้อง" แต่ทฤษฎี "วัวกินหญ้า" ยังคงเป็นประเด็นหลักในการสนทนา-หารือ ตั้งแต่ร้านกาแฟรากหญ้า ถึงยอดตึกระฟ้า

"อ.แก้วสรร" ผู้บัญญัติ "ทฤษฎีวัวกินหญ้า" ในวัย 59 (เกิด 24 สิงหาคม พ.ศ. 2494) พื้นเพเป็นชาว จ.ลำพูน บิดา "ศิริ อติโพธิ" เป็นอดีตปลัดกระทรวงยุติธรรม และอดีตประธานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริต (ป.ป.ป.)

เคยลงสมัครเป็นกรรมการการเลือกตั้งชุดที่ 3 แต่ไม่ได้รับเลือก

หลังเหตุการณ์รัฐประหาร 19 กันยายน พ.ศ. 2549 ได้รับการทาบทามจากคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค.) ให้ดำรงตำแหน่งกรรมการ ป.ป.ช. แต่ไม่ได้รับการแต่งตั้ง

เพราะนายมีชัย ฤชุพันธุ์ ที่ปรึกษาฝ่ายกฎหมาย คปค. ให้เหตุผลว่า "คุณสมบัติของนายแก้วสรร ไม่ได้เป็นศาสตราจารย์ ซึ่งอาจเป็นข้อโต้แย้งถึงคุณสมบัติในการดำรงตำแหน่ง ป.ป.ช. ในภายหลังได้"

หลังผ่านภารกิจ "ยึดทรัพย์" อดีตคณะกรรมการ คตส. กลับเข้าสู่วงการ "การเมือง" อีกครั้ง

ด้วยการลงสมัครรับเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ในนามกลุ่มกรุงเทพฯใหม่ แต่ต้องพ่ายแพ้กระแสประชาธิปัตย์ ที่เทคะแนนให้ "ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร"

ชื่อ "แก้วสรร อติโพธิ" ยังคงวนเวียนอยู่ในวัฏจักร "ทักษิณ"

อย่างน้อยก็จนกว่า "คดียึดทรัพย์" จะถึงที่สุด

ที่มา:ประชาชาติธุรกิจ
โดย...อิศรินทร์ หนูเมือง

เถา "ทักษิณ" ใช้ต้มเถา "เสื้อแดง" จากมุ้งการเมือง-ถึงทฤษฎี "ขนมชั้น" ทุกยอดล้วนแตกจากราก "ทักษิณ"

เถาถั่ว ใช้ต้มต้นถั่ว ฉันใด กลุ่มคน "เสื้อแดง" ที่เกิดจาก "ทักษิณ" ที่ใช้เป็นเครื่องมือ-เคลื่อนไหวเพื่อ "ทักษิณ" ก็ฉันนั้น

เถาถั่วแห้ง เป็นเชื้อเพลิงชั้นดี สำหรับ "ต้มถั่ว"

กลุ่มคนเสื้อแดง เป็นพลังงานชั้นดี สำหรับ "ทักษิณ"

เถาถั่ว-เพียงเถาเดียว "ต้มถั่ว" สุกได้

กลุ่มคนเสื้อแดง แยกกอ-ต่อกิ่ง- แตกก้าน เป็นหลายก๊ก หลายเหล่า หลายอุดมการณ์

แดง-อดีตไทยรักไทย 111 คน แตกกอเป็น มูลนิธิ 111 เคลื่อนไหวการเมือง-ทำกิจกรรมสาธารณกุศล อาทิ ภูมิธรรม เวชยชัย-คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์-นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา-พงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล ฯลฯ

แดง-อดีตพลังประชาชน 37 คน กลายเป็น ที่ปรึกษาคณะกรรมการยุทธศาสตร์- ที่ปรึกษาด้านกฎหมาย และเป็น "พี่เลี้ยง" นอกเวทีให้พรรคเพื่อไทย อาทิ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์-นายยงยุทธ ติยะไพรัช-นพดล ปัทมะ-สงคราม กิจเลิศไพโรจน์ และนิสิต สินธุไพร

แดง-หัวหอกเวที นปช. ต่อยอด- เชื่อมร้อยกับพรรคเพื่อไทย ทั้งกิจกรรมใน-นอกสภาผู้แทนราษฎร ที่นำโดย วีระ มุสิกพงศ์-ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ-จตุพร พรหมพันธุ์

ผนึกกับ "แดง" ฮาร์ดคอร์ สไตล์ อริสมันต์ พงษ์เรืองรอง-ธีระชัย แสนแก้ว ที่ "รับงาน" ตั้งแต่ระดับดาวกระจาย- ถวายฎีกา ไปจนถึงวาระการชุมนุมใหญ่ และวาระพิเศษ-ล้มอำมาตย์ เปิดเผย-โจมตีคณะองคมนตรี

ยังมีแดง-ทหารนอกกองทัพ ที่มี "บิ๊กจิ๋ว" ในฐานะประธานที่ปรึกษาพรรคเพื่อไทย เป็น "แม่ทัพ" ร่วมกับนายทหารปลดประจำการ ไม่น้อยกว่า 30 นาย

กลุ่มแดง-ทหารในกองทัพทั้งที่เปิดหน้า-ปิดหน้า มี "พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล" เป็นแนวหน้า ร่วมด้วย "พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี"

แดง-สยาม ที่แตกตัวมาจาก "แดง นปช." มี "จักรภพ เพ็ญแข-สุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์" รวบรวม "แดง" สายอุดมการณ์-วิชาการ มาก่อตั้งแนวร่วมรบ ทั้งใน-นอกประเทศ

แดง-ในพรรคเพื่อไทย ที่แม้ว่าจะมี ยงยุทธ วิชัยดิษฐ เป็นหัวหน้าพรรค แต่ก็ยังมี "วิทยา บุรณศิริ" เป็นประธานวิปฝ่ายค้าน แม้จะมี "สุนีย์ เหลืองวิจิตร" เป็นเลขาธิการพรรค แต่ก็ยังมี "เฉลิม อยู่บำรุง" และ "มิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์-ปลอดประสพ สุรัสวดี" เข้ามาชิงซีนชิงเค้กอำนาจ ก้อนใหญ่

ทุกแดง-ทุกเถา เป็นเถาถั่วชั้นดีที่จะต้มถั่ว

ทุกแดง-ทุกเครือข่ายมีข้อขัด-ข้อแย้ง แตกแยกทั้งจากภายใน-และปัจจัยจากภายนอก

ทุกแดง-พร้อมรับฟังเฉพาะ "คำสั่ง" จาก "ทักษิณ"

ทุกแดง-ขับเคลื่อนเพื่อเป้าหมาย "ทักษิณ"

ทุกความแตกแยก-ขัดแย้ง จึงล้วนมีเงื่อนไข-ปัจจัย มาจาก "ทักษิณ"

ดังนั้นทุกทิศทาง-วาระ-จังหวะ ในการเคลื่อนไหวทางการเมือง จึงล้วนแตกต่าง-แปลกแยก-หลากหลาย

เถือก-เถา ของ "เสื้อแดง" ที่แตกจาก "ราก-ทักษิณ" จึงกำลังกลายเป็น "เชื้อเพลิง" ชั้นดีที่ใช้ ที่ช่วยโหมแรงไฟ ให้เกิดการลุกไหม้ "พวกเดียวกัน"

ทั้งแรงปะทะระหว่างสงครามตัวจริง-ตัวแทน "เฉลิม-คุณหญิงสุดารัตน์" เพื่อ ชิงธงอภิปรายไม่ไว้วางใจ และชิงการนำในสภาผู้แทนราษฎร และในพรรคเพื่อไทย

ทั้งความขัดแย้งระหว่าง "แดง นปช.-เสธ.แดง-พล.อ.พัลลภ" ที่ยังคงบานปลาย แตกต่าง-สุดขั้ว ระหว่างแนวเคลื่อนไหวใต้ดิน-กับรูปแบบรุกรบบนดิน

ทั้งการขัดกันในเชิงอุดมการณ์ระหว่าง "แดงสยาม" กับ "แดงฮาร์ดคอร์"

ทุกราก-ทุกเถา มีรอยปริ-แตกร้าว- ทั่วด้าน

"ทักษิณ" เคยใช้วิธีการบริหารความ ขัดแย้ง ในพรรคไทยรักไทย ด้วยทฤษฎี "ขนมชั้น"

ด้วยวิธีการรวบรวมนักการเมือง ระดับเขี้ยวยาว-แก่พรรษา มาจากพรรคความหวังใหม่-เสรีธรรม-ชาติพัฒนา-กิจสังคม เข้าสังกัดพรรคไทยรักไทย

"ทักษิณ" บอกวิธีการหลอม-ล้อมคอกนักการเมืองว่า เหมือนกับการทำขนมชั้น "การเทแป้งแต่ละชั้นต้องทำอย่างดี ไม่ให้ส่วนผสมปนเปกัน เพื่อให้ขนมออกมาเป็นชั้น สวยงาม ได้สัดส่วนแยกแต่ละชั้นได้ เมื่อรวมกันเป็นขนมชั้น ก็เป็นขนมชั้นหนึ่งชิ้นที่มีรูปลักษณ์เป็นแท่ง น่ารับประทาน"

ทักษิณเล่าย้อน-ความสำเร็จว่า "นั่นคือตอนเริ่มต้น ตั้งพรรคแนวใหม่ เหมือนกับผมได้เตรียมกระทะทองเหลือง สะอาดและขัดล้างอย่างดีแล้ว...ถ้าเราไม่วางกรอบวัฒนธรรมขององค์กรที่เราจะสร้างให้เรียบร้อย จะทำให้องค์กรสะเปะสะปะ ไร้ทิศทาง"

ที่สำคัญ "ทักษิณ" ให้ความสำคัญกับ "คนเดียว" คือ การสร้างวัฒนธรรมองค์กรของพรรค "ต้องมาจากผู้นำ หรือหัวหน้าพรรค"

วิธีการ "จัดการ" การเมืองของ "ทักษิณ" กับ "คนเสื้อแดง" ไม่ต่างจากที่เคยจัดการพรรคไทยรักไทย

"แต่ละครั้งจะผลัดกันเป็นหัวหน้าและ ลูกน้อง ไม่ให้คนใดเป็นหัวหน้าหรือลูกน้องตลอด เพราะว่าสังคมการเมืองไทย ทุกคนจะหน้าใหญ่ ไม่มีใครยอมใคร คุณต้องรู้จักเล็กเป็น-ใหญ่เป็น"

ความเข้าใจ-มนุษย์พันธุ์พิเศษ ที่เรียกว่า "เซียนการเมือง" ของ "ทักษิณ"

คือต้องให้ "พวกไม่เหมือนกัน" ไปอยู่ร่วมกันสักระยะ เพื่อให้คนเหล่านี้กลายเป็น "คนเก่า" ที่มีระบบคิดเป็นเบ้าหลอมของพรรค และคนกลุ่มนี้จะมีบารมีในการพูดกับสมาชิกที่เข้ามาใหม่ได้

ความรู้เรื่องธุรกิจการเมือง ทำให้ "ทักษิณ" จัดการก๊ก-ก๊วน-มุ้ง นักการเมืองใหม่ "ผมรู้ดีว่าคนเป็นนักการเมืองจะมี บางอย่างที่เหมือนกัน เช่น มีความเชื่อมั่นในตัวเองสูง ไม่ค่อยกลัวอะไร และต้องเข้าใจในความต่างด้วยว่า มีทั้งดีบ้าง เลวบ้าง เก่งบ้าง"

"ทักษิณ" ใช้ทุกก๊ก-ทุกก๊วน-ทุกมุ้ง แข่งกันทำ "ผลงาน" ไม่จำกัดรูปแบบเพื่อทำลาย "ระบบมุ้ง" ไม่ให้มีพลังในการ "ต่อรอง" โดยคาดการณ์ไว้แล้วว่า ต้องมีรูปแบบ "กระทบกระทั่ง-ปะทะ-ทะเลาะ" ระหว่างมุ้ง อย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง

แต่ทุกมุ้งต้องเดินตามเป้าหมาย "ทักษิณ" คือชนะเลือกตั้ง โดยใช้การ "ทำประชาสัมพันธ์" แบบเข้าถึง "รากหญ้า" เป็นเครื่องมือสำคัญ

หลังจากครอบครองชัยชนะพรรคเดียว-หลายมุ้ง ด้วยทฤษฎี "ขนมชั้น" ได้ 1 สมัย "ทักษิณ" ก็ร่วงหล่นจาก "ชัยชนะ" ปิดตำนานรัฐบาลพรรคเดียว

ประสบการณ์ บทเรียน การบริหารความขัดแย้ง ด้วยทฤษฎีขนมชั้น ทำให้ "ทักษิณ" เหมือนจะแพ้-แต่ยังไม่แพ้ และต้องออกไปหาหนทางต่อสู้จากนอกประเทศ

นักการเมือง "ขนมชั้น" ส่วนใหญ่ กระจาย-แตกตัว-คืนรูป ไปตั้งพรรคใหม่ บางส่วนไปสังกัดพรรคเดิม กลับไปอยู่ในเบ้าหลอมการเมืองแบบเก่า

แต่การต่อสู้ของ "ทักษิณ" ยังไม่จบสิ้น รูปแบบการต่อสู้-คู่ขัดแย้ง เปลี่ยนแปลง-พลิกด้าน จากในสู่นอก-เหนือ สภาผู้แทนฯและทำเนียบรัฐบาล

แต่ "ทักษิณ" ก็ยังใช้วิธีการบริหาร แบบเดิม

ใช้ทุกแดง-ทุกเครือข่าย-ทุกพรรค เป็นปลายหอก-ปลายดาบ ในการต่อสู้ รุก-รบทั้งใต้ดิน-บนดิน

ใช้การสื่อสารทุกรูปแบบ ทั้งเว็บไซต์ วิทยุ โทรทัศน์ผ่านดาวเทียม ระบบข้อความในโทรศัพท์มือถือ ทุกราก-ทุกเถา ไม่พลาดการสื่อสารกับ "ทักษิณ"

ทุกแดง-ทุกชั้น-ทุกเถา ร่วมเคลื่อนไหวหวัง "เป้าหมาย" เดียว คือ คืนเงิน 7.6 หมื่นล้าน สู่ครอบครัว "ชินวัตร"

ทุกเป้าหมายมีความเป็นเอกภาพ แต่วิธีการไปสู่เป้าหมายไร้เสถียรภาพ

เถาถั่ว...กำลังเป็นเชื้อเพลิงชั้นดีในการต้มถั่ว ในหม้อน้ำเดือด

ที่มา:ประชาชาติธุรกิจ

** เผด็จการหลงยุค **

เรื่องของการพิจารณาคดียึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของนักการเมืองเป็นเรื่องที่เราจะมองเมินมิได้

มันไม่ใช่เรื่องส่วนตัวระหว่างศาลกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ใช่เรื่องส่วนตัวระหว่างพนักงานอัยการกับ พ.ต.ท.ทักษิณ และไม่ใช่เรื่องส่วนตัว
ของใครคนใดคนหนึ่ง เช่น นายแก้วสรร อติโพธิ หรือ นายอุดม เฟื่องฟุ้ง

ตรงกันข้ามเป็นเรื่องเผด็จการกับประชาธิปไตย เป็นเรื่องของความยุติธรรมหรืออยุติธรรม เป็นเรื่องของหลักนิติธรรม และเป็นเรื่องระหว่าง
คมช. กับประชาชนคนไทยนั่นเอง

เมื่อแรกเริ่มการยึดอำนาจ 19 กันยายน 2549 และมีการอายัดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ นั้น ผู้คนกำลังช็อกและงุนงงกันอยู่
จึงไม่มีใครออกมาตั้งแผงคัดค้าน

แต่เมื่อเวลาผ่านไปทีละน้อยๆ และมาตรการบันได 4 ขั้นของ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ถูกประกาศออกมาคนก็ได้เห็นกันอย่างชัดเจนว่า
มาตรการทางกฎหมายทั้งหลายที่ คมช. นำมาใช้ต่อจากนั้นล้วนเป็นเรื่องเหลวไหลไร้สาระทั้งสิ้น

คตส. นั้นห่วยแตกที่สุด

ไม่ควรมีใครยอมรับให้เป็นหนึ่งในกระบวนการยุติธรรม

ส่วนมาตรการอายัดทรัพย์เพื่อการตรวจสอบอื่นๆต่อจากนั้นก็เป็นเรื่องเหลวไหลติดตามมา

ดังนั้น เมื่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาฯจะมีคำพิพากษาในวันที่ 26 ก.พ. จึงเป็นวันสำคัญที่ประชาชนต้องให้ความสนใจและติดตามอย่างใกล้ชิด

ก่อนหน้านี้ผู้เขียนเคยได้ยินนายแก้วสรร อติโพธิ หนึ่งในคณะกรรมการ คตส. ออกมาให้สัมภาษณ์อย่างมั่นอกมั่นใจว่าควรจะมี
การยึดทรัพย์ 7.6 หมื่นล้านของ พ.ต.ท.ทักษิณเสียทั้งหมด โดยเสนอทฤษฎีวัวกินหญ้า

นายแก้วสรรอธิบายว่า พ.ต.ท.ทักษิณเปรียบเหมือนคนไทยธรรมดาคนหนึ่งซึ่งเลี้ยงวัว ต่อมา พ.ต.ท.ทักษิณได้รับเลือกตั้งเป็นนายก อบต.
เลยมีโอกาสใช้งบประมาณของ อบต. และ พ.ต.ท.ทักษิณได้ใช้งบประมาณนั้นปลูกหญ้าในที่สาธารณประโยชน์ของตำบลนั้น

วัวของ พ.ต.ท.ทักษิณกินหญ้านั้นจนอ้วนพี มีน้ำหนักเพิ่มมากขึ้น และราคาก็สูงขึ้น

ดังนั้น เมื่อพิจารณาการประกอบข้อกฎหมายเห็นว่า พ.ต.ท.ทักษิณทุจริต เพราะเอาเงินหลวงมาปลูกหญ้าให้วัวของตัวเองกิน ถึงเวลา
ยึดทรัพย์ก็ต้องยึดวัวไปทั้งตัว

ทฤษฎีวัวกินหญ้าของนายแก้วสรรนี้ถูกคนโห่กันมาก เพราะเป็นทฤษฎีที่ไม่มีหลักนิติธรรมรองรับ ถ้าจะว่าไปแล้วเป็นทฤษฎีของ
การล้างแค้นกันมากกว่า

แต่สำหรับผู้เขียนแล้ว ผู้เขียนมองลึกไปกว่านั้น คือมองเข้าไปจนเห็นว่านี่คือจิตสำนึกของนักกฎหมายเผด็จการหรือนักกฎหมายอำมาตย์
ไม่ใช่นักกฎหมายมหาชนหรือนักกฎหมายจากสำนักนิติศาสตร์ใดๆ

นายแก้วสรรเป็นลูกน้องและเป็นเครื่องมือของ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน หัวหน้าคณะรัฐประหารกิ๊กก๊อกที่ไม่มีหลักใดๆในการปกครอง
ประเทศเลย นอกจากหลักความพึงพอใจของตัวเอง แล้วยังแถมเป็นหัวหน้าคณะรัฐประหารที่ไร้ความรับผิดชอบอย่างยิ่งอีกด้วย

บันได 4 ขั้นของคณะรัฐประหารคือความอัปลักษณ์

กระบวนการยุติธรรมที่ดีไม่ควรนำมาเป็นสาระเพิ่มความอัปยศอดสูเป็นอันขาด

ยิ่งตอนนี้บ้านเมืองของเราย่างเท้าเข้ามาในดินแดนประชาธิปไตยแล้วส่วนหนึ่ง ย่ำเข้ามาในแดนศิวิไลซ์ร่วมกับนานาอารยประเทศแล้ว
ก็ไม่ควรใช้เครื่องมือใดๆของเผด็จการอีก

เฉพาะอย่างยิ่งเพื่อพิจารณารายละเอียดของคดียึดทรัพย์ ปรากฏว่าทรัพย์สินมูลค่า 7.6 หมื่นล้านคือหุ้นชินคอร์ปที่ลูกๆของ
พ.ต.ท.ทักษิณ และพี่ชายร่วมกันครอบครองและขายให้บริษัทเทมาเส็กของประเทศสิงคโปร์ ยิ่งจะไปกันใหญ่

หุ้นจำนวนนี้เคยมีปัญหาตอนที่ พ.ต.ท.ทักษิณเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเมื่อปี 2544 แต่แล้วศาลรัฐธรรมนูญในขณะนั้นได้ชี้ขาดว่า
เป็นการโอนให้กันโดยชอบ ไม่ใช่การซุกหุ้น

เรื่องหุ้นก็จบลงไป

แล้วเหตุไฉนจึงกลับมาเป็นปัญหาให้ต้องยึดทรัพย์กันอีกในปี 2553 ซึ่งแน่เหลือเกินว่าหากมีการยึดทรัพย์กันในคราวนี้ย่อมไม่ใช่
การยึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ ผู้เป็นจำเลยของ คมช.

แต่เป็นการยึดทรัพย์ของลูกๆและพี่ชาย ซึ่งต่างก็บรรลุนิติภาวะแล้ว

แล้วนี่มันคือหลักอะไร ไม่ใช่หลักวัวกินหญ้า และไม่ใช่หลักนิติศาสตร์หรือนิติธรรมอย่างแน่นอน

เป็นได้ก็แต่เพียงหลักกู หลักเผด็จการ หรือหลักของคณะโจรปล้นประชาธิปไตยเท่านั้นเอง

เท่านั้นจริงๆ ไม่มีอะไรอื่น

ที่มา:konthaiuk
โดย.อัคนี คคนัมพร

**********************************************************************

** “นายกฯเด็กเส้น” **

นับจากวันนี้ไปเหลืออีกแค่ไม่กี่วัน ก็จะถึงวันสำคัญของประเทศนี้แล้ว คือวันตัดสินคดียึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี

ที่บอกว่าเป็นวันสำคัญก็เพราะว่าทุกคน ทุกฝ่ายต่างใจจดใจจ่อรอดูว่าผลการตัดสินคดีความจะออกมาอย่างไร และหลังการตัดสินแล้ว
ประเทศจะเดินไปทิศทางไหน

คณะปฏิวัติที่ขับรถถังเข้ายึดอำนาจเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 และเครือข่ายทั้งที่อยู่เบื้องหน้าและเบื้องหลังต่างเฝ้ารอวันนี้
วันที่จะวัดว่าการยึดอำนาจนั้นสำเร็จลุล่วงครบถ้วนตามแผนการหรือไม่

ถ้าผลออกมาว่ายึดหมดก็มั่นใจได้เปราะหนึ่งว่าน้ำเลี้ยงของคนเสื้อแดงจะเหือดแห้ง และในที่สุดก็ต้องเฉาตายกันไปเอง ทีนี้ก็ยึดประเทศ
ได้เบ็ดเสร็จ ทุกคนต้องโค้งหัวก้มให้กับผู้กุมอำนาจตัวจริงเสียงจริงในประเทศนี้หากยังอยากมีอนาคตต่อไป

แต่หากไม่ยอมก้มหัวจะเป็นอย่างไรก็ดูที่คนชื่อ “ทักษิณ” ว่าได้รับผลอย่างไรบ้าง

ความจริงหากจะดูอนาคตของบ้านเมืองเราดูได้ไม่ยาก เพราะพวกที่คิดว่าอยู่เหนือกว่ามักเก็บอาการไว้ไม่อยู่ การประกาศอย่างเชื่อมั่น
หลายครั้งของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เรื่อง 3 ไม่คือ ไม่ยุบสภา ไม่ลาออก และไม่มีปฏิวัติ แสดงว่าเขาต้องได้รับ
สัญญาณบางอย่างถึงได้เชื่อมั่นถึงเพียงนี้

ว่ากันว่าสัญญาณพิเศษที่นายอภิสิทธิ์ได้รับนั้นได้รับการถ่ายทอดไปสู่แกนนำพรรคร่วมรัฐบาลทั้งหมดแล้วบนโต๊ะกินข้าวในงานเลี้ยง
วันคล้ายวันเกิดของนายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ คนโตพรรครวมใจไทยชาติพัฒนา

สัญญาณพิเศษที่ว่าจะจริงเท็จอย่างไรไม่ทราบ แต่ทำให้พรรคร่วมรัฐบาลลดพยศลงไปมาก โดยยอมเลื่อนญัตติการแก้ไขรัฐธรรมนูญ
ที่เร่งเสนอเข้าสภาไปแบบไม่มีกำหนด และสัญญาณพิเศษที่ว่านี้ก็ถูกถ่ายทอดอีกครั้งบนโต๊ะกินข้าวของแกนนำพรรคร่วมรัฐบาลไม่กี่วัน
หลังจากนั้น

หลังกินข้าวจบแม้นายอภิสิทธิ์จะไม่ไปร่วมวงด้วย แต่แกนนำพรรคร่วมรัฐบาลทุกพรรคก็ก้มหน้ายอมรับและทำตัวเป็นเด็กดีอยู่ในโอวาท
พร้อมประกาศจะอุ้มชูรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ต่อไป ไม่ว่าจะถูกเตะตัดขา ถูกหลอกใช้ ถูกกดขี่อย่างไรก็พร้อมที่จะอยู่ค้ำบัลลังก์

เขียนมาถึงตรงนี้ต้องบอกว่านายอภิสิทธิ์นั้นเป็น “นายกฯเด็กเส้น” ตัวจริงเสียงจริง และดูเหมือนว่าจะมั่นอกมั่นใจในเส้นของตัวเองซะด้วย
ถึงกล้าเดินหน้าทำทุกอย่างตามสัญญาณพิเศษที่ได้รับมา

เรื่องจีที 200 กลายเป็นเรื่องเตะหมูเข้าปากหมา โอเคว่าประสิทธิภาพมันห่วยแตก แต่ที่มาโหมเล่นกันตอนนี้เป้าก็อยู่ที่
พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ที่เก้าอี้ ผบ.ทบ. ดูจะไม่มั่นคงเท่าไร

ข่าวคราวการทุจริตมากมายที่เกิดขึ้นในกระทรวงมหาดไทยก็เป็นการเตะตัดขาเครือข่ายสีน้ำเงินที่แน่นแฟ้นกับกลุ่มสีเขียวที่กำลังถูก
โยกเก้าอี้อยู่ในตอนนี้

หากนำจิ๊กซอว์มาต่อกันก็จะเห็นภาพชัดเจนว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นกับเครื่องข่ายสีน้ำเงินปนเขียว

เรื่องเสื้อแดงและอดีตนายกฯทักษิณถูกมองข้ามช็อตไปแล้ว เพราะเขาเชื่อว่าถึงอย่างไรเสียหลังวันที่ 26 ก.พ. นี้ทุกอย่างจะจบ
อาจมีอาฟเตอร์ช็อกตามมาบ้างก็แค่ประปราย ไม่มาก เดี๋ยวก็นิ่ง

ใครที่คิดจะสร้างอาณาจักรแข่งหรือทำท่าว่าจะคุมไม่ได้เอาไม่อยู่ก็ต้องกดหัวตัดตอนเสียก่อนที่จะโต

ตอนนี้จึงหันดาบมาเล่นคนกันเอง


โดย:นายหัวดื้อ
**********************************************************************

“ทักษิณ”ร้องปชช.ก่อตั้งระบอบประชาธิปไตย พธม.รวมตัวขับไล่ 'ณัฐวุฒิ'

วันนี้( 22 ก.พ.) ข่าวรายงานว่า หลังจากการเปิดโรงเรียน นปช.ที่เขาพลายดำ ต.ทุ่งใส อ.สิชล จ.นครศรีธรรมราช
โดยมีกิจกรรมการให้ความรู้กับนักเรียนตลอดทั้งวัน เมื่อวันที่ 21 ก.พ. จนกระทั้งในช่วงกลางคืนมีการเปิดเวที "ความจริงวันนี้"

โดยมีแกนนำคนสำคัญ อาทิ นาย วีระ มุสิกพงศ์ นาย จตุพร พรหมพันธ์ นาย อดิศร เพียงเกษ นพ.เหวง โตจิราการ และ
นาย ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ได้ผลัดเปลี่ยนกันขึ้นเวที โดยนายวีระ มุสิกพงศ์ ได้กล่าวว่าการเดินทางมาในครั้งนี้ ก็เพื่อเชิญชวนให้
คนเสื้อแดงในภาคใต้ ร่วมแสดงพลังเพื่อล้มล้างระบอบอำมาตยาธิปไตย ซึ่งคาดว่าจะมีการรวมพลครั้งใหญ่ในช่วงเดือนมีนาคมที่จะถึงนี้

ภายหลังจากนั้นเวลา 20.30 น. พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้โฟนอินพบปะกลุ่มคนเสื้อแดง โดยเรียกร้อง
ให้ประชาชนและกลุ่มคนเสื้อแดง ร่วมก่อตั้งระบอบประชาธิปไตยเพื่อประชาชน พร้อมกับย้ำว่ารัฐธรรมนูญฉบับปี 50 เป็นฉบับล้าสมัย
ทำให้ประเทศล้าหลัง ขณะที่รัฐธรรมนูญฉบับปี 40 มีเนื้อหาล้ำหน้าไปสู่ทศวรรตที่ 20

ในขณะที่นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ได้ออกมายืนยันว่า ไม่รู้สึกวิตกกังวลหากรัฐบาลจะประกาศใช้มาตรการทางกฎหมายในช่วงของ
การชุมนุมประท้วงของกลุ่มเสื้อแดง ในช่วงการพิจารณาคดียึดทรัพย์ 76,000 ล้าน ของ พันตำรวจโททักษิณ ชินวัตร
โดยแกนนำกลุ่มเสื้อแดง จะร่วมกันหารือ เพื่อกำหนดท่าทีในการชุมนุมและกำหนดเวลาการชุมนุมประท้วงที่ชัดเจน
ในวันที่ 24 กุมภาพันธ์นี้

ข่าวรายงานว่า กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจังหวัดนครศรีธรรมราช ได้นำรถโฆษณาในตัวเมืองนครศรีธรรมราช
และเมืองใหญ่ ๆ ในจังหวัดนครศรีธรรมราช ทั้งกลางวันและช่วงกลางคืน เพื่อเชิญชวน พธม.มารวมตัวกันที่ศาลาประดู่หก
สนามหน้าเมือง ริมถนนราชดำเนิน อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช ก่อนจะเคลื่อนขบวนไปยังท่าอากาศยานนครศรีธรรมราช
ต.ปากพูน อ.เมืองนครศรีธรรมราช ในเวลา 07.00 น.วันนี้( 22 ก.พ.) เพื่อขับไล่คณะของนายณัฐวุฒิ ที่จะเดินทางมาโดยสาร
เครื่องบินกลับกรุงเทพ

โดย กลุ่มพธม.ระบุว่า ในฐานะที่เป็นคนนครศรีธรรมราช แต่กลับเป็นแกนนำ นปช. ออกมาเคลื่อนไหวปกป้อง พ.ต.ท.ทักษิณ
พธม.เมืองนคร จึงไม่อยากให้นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ กลับมาเหยียบผืนแผ่นดินนครศรีธรรมราช

ในขณะที่ พล.ต.ท.พิทักษ์ จารุสมบัติ ผบช.ภ.8 ได้ปักหลักอยู่ในจังหวัดนครศรีธรรมราช ได้มีคำสั่งให้ตำรวจมารวมตัวกัน
ในเวลา 06.00 น. เพื่อเดินทางไปรักษาความสงบเรียบร้อยที่สนามบินต่อไป

ในขณะที่ในเวลา 15.00 น.วันนี้( 22 ก.พ.) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีจะเดินทางไปเป็นประธานการฌาปนกิจ
ศพคุณแม่ของนายชำนิ ศักดิ์เศรษฐ์ ที่วัดสำนักขัน อ.จุฬาภรณ์ จ.นครศรีธรรมราช โดยตำรวจได้ระดมกำลังในการอารักขา
จำนวนมากเช่นกัน.

ที่มา:konthaiuk
***************************************************************************