--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันพุธที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

3G ปมปัญหาและระเบิดเวลา มุมมองของนักกฎหมาย มหาชน "วรเจตน์ ภาคีรัตน์"


เปิดมุมมองรศ.ดร.วรเจตน์ ภาคีรัตน์ อาจารย์นิติศาสตร์ ธรรมศาสตร์ ต่อกรณีเปิดใบอนุญาต3จี ทั้งประเด็นร้อน"อำนาจกทช."ยังมีอยู่หรือไม่หลังกรรมการกทช.ลาออกไป1ท่าน เรื่องความมั่นคง ข้อกังขาเรื่องต่างด้าวที่จะเข้ามาแข่งขัน ผลประโยชน์ของทีโอที-กสท. การฟ้องร้องทางคดีในอนาคต มุมมองของนักกฎหมายมหาชน(ส่วนน้อย)คนนี้น่าสนใจทุกครั้งที่ออกมาให้ความเห็น

บนโต๊ะกลมของการเสวนา "โอกาสและอุปสรรค 3G ในประเทศไทย" จัดโดยเดอะเนชั่น บรรดาโอเปอเรเตอร์ทั้งเอไอเอส ดีแทค และทรูมูฟต่างฝ่ายต่างย้ำในจุดยืนของตนเองวนไปมา ทั้งเรื่องความมั่นคง ผลประโยชน์ของผู้บริโภค ผลกระทบกับทีโอทีและ กสทฯที่จะเกิดหลังคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) เปิดประมูลใบอนุญาตความถี่ 2100 MHz เพื่อให้บริการมือถือ 3G
ขณะที่ รศ.ดร.วรเจตน์ ภาคีรัตน์ อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้หยิบยกหลายประเด็นทางกฎหมายที่มักมีการอ้างถึงมาเปิดมุมมองอีกด้านจากการตีความในฐานะนักกฎหมายมหาชน

เริ่มที่ประเด็นร้อนว่าด้วยอำนาจของ "กทช." มีอยู่หรือไม่ เมื่อรัฐธรรมนูญระบุให้มีองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่เพียงองค์กรเดียวตามรัฐธรรมนูญใหม่ แต่ผลักดันให้เกิดขึ้นไม่ทัน 180 วัน ตามบทเฉพาะกาลกำหนด

"ผมมองว่าระยะเวลา 180 วัน ในบทเฉพาะกาล คือ ระยะเวลาเร่งรัด ไม่ใช่ระยะเวลาบังคับ เพราะถ้าเป็นระยะเวลาบังคับจะระบุไว้ว่า ถ้าทำไม่เสร็จแล้วจะให้ยุบไป หรือตั้งต้นกระบวนการใหม่ เหมือนที่ในรัฐธรรมนูญ 2540 เขียนไว้ แต่เมื่อในรัฐธรรมนูญ 2550 ไม่ได้กำหนดไว้จึงเป็นแค่ระยะเวลาเร่งรัด คือ ถ้าทำช้ารัฐบาลก็จะถูกตำหนิทางการเมือง ไม่มีผลทางกฎหมาย ฉะนั้นองค์กรเดิมก็ยังมีอำนาจอยู่"

แม้ กทช.จะลาออกไป 1 คน ไม่ครบ 7 คน ตามกฎหมายเดิม คือ พ.ร.บ.องค์กรจัดสรรฯซึ่งยังใช้อยู่ เพราะยังไม่มีใครบอกให้ยกเลิกในกรณีนี้ ตามกฎหมายเดิมกำหนดให้องค์ประกอบลดเหลือ 6 คน และให้ผู้ทำหน้าที่รักษาการแทนผู้จับฉลากออกทำหน้าที่ต่อไปได้ ฉะนั้นกรณีนี้ กทช.มีอำนาจเต็มที่ที่จะทำได้ แต่ต้องดูว่าแล้วมีความเหมาะสมแค่ไหน

"ถ้าเอาประเด็นเรื่องอำนาจของตัวองค์กร กทช.มีอำนาจให้ใบอนุญาต 3G ได้ แต่ควรรอคนที่วุฒิสภาจะเลือกมาแทนเพื่ออยู่ไปจนกว่า กสทช.จะเกิดขึ้นหรือไม่ ต้องมาคิดกัน เพราะถ้าจะตีความเรื่องนี้ต่อไปก็จะมองได้ว่าเป็นแค่ชุดชั่วคราวระหว่างรอองค์กรใหม่อีก คือ ถ้าเอาเรื่อง 3G ไปผูกกับตัวองค์กรมากไปก็จะทำอะไรไม่ได้เลยอย่างน้อย 1 ปี ก่อนมี กสทช. ฉะนั้นการตีความกฎหมายต้องให้ทุกอย่างไหลลื่นต่อไปได้"

ขณะเดียวกันถ้าเป็นเรื่องของอำนาจขององค์กร ทางปกครองก็มี พ.ร.บ.วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง มาตรา 19 กำหนดไว้ว่า ถ้าปรากฏในภายหลังว่าเป็นการกระทำโดยเจ้าพนักงานที่ไม่มีอำนาจก็ไม่กระทบถึงสิ่งที่ได้ทำไป ฉะนั้นถ้าทำไปแล้วยังคงอยู่ ยกเว้นแต่จะมีเรื่องที่บกพร่องรุนแรงขนาดทำให้เสียเปล่าหรือเป็นโฆฆะไป ซึ่งเกิดขึ้นไม่ง่าย หรือมีปัญหาว่า กทช.ไปฮั้วกับคนประมูลก็เป็นอีกเรื่อง
ดังนั้นการกระทำใด ๆ ของ "กทช." ตอนนี้จะผูกพันต่อเนื่อง เมื่อเอกชนได้ใบอนุญาตเพราะเกิดขึ้นบนฐานของคำสั่ง กทช. ฉะนั้นแม้จะมีองค์กรจัดสรรคลื่นฯใหม่ ทุกอย่างก็ยังคงอยู่ เว้นแต่กฎหมายใหม่จะไปเขียนอะไรที่เปลี่ยนไป ซึ่งก็อาจมีปัญหาว่าขัดกับรัฐธรรมนูญหรือไม่ เพราะได้สิทธิตามใบอนุญาต แต่ถ้า กทช.ส่งเรื่องอำนาจขององค์กรไปให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความก็ต้องดูประเด็นที่ส่งถามว่า มีอำนาจหรือเปล่า

ถ้าตั้งคำถามในเชิงขอคำปรึกษา ศาลอาจไม่ตอบ เพราะไม่ได้มีหน้าที่ให้คำปรึกษา มีหน้าที่ตัดสินเรื่องที่เกิดขึ้น ไม่ใช่ไปบอกว่า คุณทำได้ ทำไม่ได้ก่อน คุณต้องดูกฎหมายของคุณเองแล้วตัดสินใจไป หากมีคนไม่เห็นด้วยเขาก็จะมาฟ้องศาล

สำหรับประเด็นความมั่นคง "ดร.วรเจตน์" มองว่าอาจตกไปตั้งแต่ให้มีการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ แล้วยอมให้สัญญาร่วมการงานต่าง ๆ คงอยู่ แถมรัฐธรรมนูญยังระบุให้มีการเปิดเสรีโทรคมนาคม แต่ทุกอย่างสามารถควบคุมได้ด้วยการกำกับดูแลของ กทช.ที่มีอำนาจในการพักใช้ การเพิกถอนใบอนุญาต ฉะนั้นประเด็นเรื่องความมั่นคงสามารถแก้ไขได้ด้วยการกำกับกิจการที่ดี

ขณะที่ข้อกังขาเรื่องรัฐต่างด้าวที่จะเข้ามาแข่งขันว่าขัดกับรัฐธรรมนูญหรือไม่ ขอยืนยันว่า ในรัฐธรรมนูญไทยคำว่า "รัฐ" ย่อมหมายถึงรัฐไทย หากจะหมายถึงรัฐต่างด้าวจะถูกเขียนไว้ในกฎหมายระหว่างประเทศ กรณีนี้หากรัฐต่างด้าวเข้ามาทำธุรกิจในไทยย่อมเข้ามาในฐานะเอกชน ไม่มีสิทธิพิเศษใด ๆ และย่อมถูกควบคุมด้วยกฎหมายเอกชนของไทย ฉะนั้นการให้ต่างชาติเข้ามาลงทุนในประเทศต้องมีความแน่นอนในกฎหมาย คือ พ.ร.บ. ประกอบกิจการคนต่างด้าว รัฐบาลจะเอาอย่างไร เปิดให้แค่ไหน ถ้าอยากจะปรับก็ไปปรับเงื่อนไขในตัว พ.ร.บ.ต่างด้าว

"การให้ต่างชาติทำธุรกิจโทรคมนาคมได้มากน้อยแค่ไหน เป็นเรื่องนโยบายของรัฐที่ต้องกำหนดขึ้น โดยส่วนตัวไม่ได้กลัวทุนต่างชาติในธุรกิจนี้ เพราะโครงข่ายตั้งอยู่ในประเทศเรา คลื่นความถี่อยู่กับเรา ไม่ได้ไปไหน เรื่องการควบคุมสามารถทำได้เพราะเราเป็นคนออกคำสั่งให้ใบอนุญาต ถ้าเขาไม่ทำตามก็พักใบอนุญาต หุ้นก็ตกระเนระนาด เขาไม่กล้าหรอก เรื่องความมั่นคงผมว่าอยู่หลัง ๆ เลยนะ ไม่ใช่ว่าผมมองไม่เห็นแต่มองว่าประเด็นมันอ่อน เพราะมันเป็นคลื่นพาณิชย์ไม่ใช่คลื่นทหาร"

ดร.วรเจตน์ย้ำว่า เราต้องยอมรับว่า เราไม่มีเงิน และเทคโนโลยีพวกนี้เราไม่ได้สร้างขึ้นได้เอง ฉะนั้นต้องมาดูว่าแล้วรัฐบาลจะเอาอย่างไร ถ้าเห็นว่าเทคโนโลยีพวกนี้ไม่จำเป็น เราไม่มีเงินก็ไม่ใช้ ก็จบ ไปเขียนระบุห้ามต่างชาติไว้ใน พ.ร.บ.ธุรกิจคนต่างด้าว
"ตอนนี้เราปฏิเสธไม่ได้ว่าเราต้องการ แต่เราต้องเข้าใจด้วยว่าเมื่อเขาเข้ามาทำธุรกิจในประเทศเรา เขาต้องอยู่ภายใต้บังคับของกฎหมายเรา เราไม่ได้สูญเสียอำนาจในการบังคับใช้กฎหมายไป เขาเข้ามาในฐานะเอกชน นโยบายจะเอาอย่างไรก็เขียนไป"

เรื่อง 3G เป็นเรื่องที่มีผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้องมากมาย เชื่อว่าต้องมีการใช้กระบวนการทางกฎหมายมาเบรกให้กระบวนการให้คลื่น 3G หยุดลง ทีโอทีกับ กสทฯเองก็มีการพูดออกมาแล้วว่า หากมีการให้ใบอนุญาต 3G จะเสียผลประโยชน์ ฉะนั้นการฟ้องคดีจะเกิดขึ้นอยู่แล้ว เป็นเหมือนระเบิดเวลาที่รออยู่ข้างหน้าที่รัฐบาลต้องเตรียมรับมือ ตอนนี้ผมบอกได้แต่มุมมองของผม ตอนที่คดีไปถึงศาลก็ต้องรอดูว่าศาลจะตัดสินอย่างไร

ที่อยากจะบอก คือ เงินจากส่วนแบ่งรายได้ตามสัมปทานที่เข้าทีโอทีกับ กสทฯไม่ใช่เข้ารัฐโดยตรง เพราะถ้าเข้ารัฐโดยตรงต้องส่งเข้าคลัง แล้วรัฐบาลส่งเงินมาอุดหนุนทั้ง 2 องค์กร แต่เงินก้อนนี้เป็นการส่งให้ "ทีโอทีกับ กสทฯ" ใช้ก่อน พอเหลือค่อยส่งเข้ารัฐซึ่งไม่ถูกต้อง แต่ถ้าพูดแบบนี้ทั้ง 2 องค์กรก็ไม่พอใจ แต่หลักเป็นแบบนั้นจริง ๆ

ฉะนั้นหลักการที่ถูกต้อง คือ ต้องหาวิธีการทำอย่างไรให้ทีโอทีกับ กสทฯแข็งแรงที่จะสู้กับเอกชนในตลาด ทั้ง 2 องค์กรต้องปรับตัว อย่าไปหวังเรื่องรายได้สัมปทานอีก เพราะต่อให้เอาผู้รับสัมปทานทั้ง 3 รายออกไปไม่ให้เข้าประมูล แล้วให้บริษัทอื่นเข้ามาให้บริการเลย ลูกค้าก็ต้องย้ายออกอยู่ดี ถ้าเขาเห็นว่าระบบใหม่ดีกว่า เป็นเรื่องธรรมดาของการแข่งขัน การเปลี่ยนถ่ายจะเกิดขึ้นโดยธรรมชาติของเทคโนโลยีอยู่แล้ว การที่ผู้ให้บริการจะเป็นใคร ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องทั้ง 100%

จากที่ประเมินดูมีความเป็นไปได้ว่า แม้จะมีใบอนุญาต 3G แต่ไม่ใช่ทุกรายจะอยู่รอดในตลาด อาจมีรายหนึ่งที่อยู่ไม่ได้แล้วออกจากตลาดไป เพราะแม้ต้องจ่ายค่าใบอนุญาตแพงแต่ต้องแย่งลูกค้ากัน

"เราต้องมองในหลายมิติว่า ประชาชนจะได้ประโยชน์อะไรบ้าง ต้องมองว่าจะเกิดการแข่งขันไหม เพราะเมื่อก่อนมือถือแพงมาก เมื่อเกิดการแข่งขัน ราคาถูกลงมาจนถึงหลักสตางค์ นี่คือข้อดีที่ตกกับประชาชน ฉะนั้นจะคิดถึงเฉพาะเม็ดเงินที่รัฐจะได้จากสัมปทานหรือการประมูลใบอนุญาตอย่างเดียว คิดจากตัวเงินอย่างเดียวไม่ครอบคลุม"

ประเด็นใหญ่ของ "3G" คือ การเปลี่ยนระบบจากสัมปทานเป็นระบบใบอนุญาต แล้วให้ทุกรายแข่งกัน ปัญหาของโทรคมนาคมไทย คือ ตั้งแต่ตอนแปรรูปรัฐวิสาหกิจทั้ง 2 เป็นบริษัทกลับคงสัญญาสัมปทานไว้จึงเกิดเป็นปัญหา แถมยังเพิ่มปัญหาจากการสร้างรัฐธรรมนูญ ปี 2550 ให้ไปทำลายระบบที่วางเอาไว้แล้ว เป็นการเขียนกฎหมายเพื่อล้มองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ที่มีอยู่เดิม ไม่ได้เขียนเพื่อปรับปรุงกฎหมาย

"ถ้าเขียนเพื่อปรับปรุงทุกอย่างยังสืบเนื่องต่อไปได้ แต่เมื่อเขียนเพื่อล้มไปแล้วก็ต้องเกิดองค์กรใหม่ขึ้นมา มีโครงสร้างใหม่ที่มีองค์กรย่อยขึ้นมาข้างใน 2 หน่วย ขณะเดียวกันหากรัฐบาลจะให้มีการแปรสัมปทานในตอนนี้ก็จะมีปัญหาอีก เพราะรัฐธรรมนูญดันไปเขียนเอาไว้ว่า จะต้องไม่มีอะไรไปกระทบสัญญาสัมปทานที่ให้มาอยู่แต่เดิม จนกว่าสัญญาสัมปทานจะสิ้นผล"

ปัญหา คือ สัมปทานจะสิ้นผลอย่างไร สิ้นผลด้วยเงื่อนเวลา คือรอจนกว่าสัญญาจะหมดอายุ ถ้าตีความอย่างนั้นเท่ากับว่าจะไปทำอะไรกับสัญญาสัมปทานไม่ได้เลย

ดังนั้นแม้การแปรสัญญาสัมปทานจะช่วยให้ทุกอย่างชัดเจนขึ้น แต่เชื่อว่าไม่ว่าไปทางไหนจะต้องมีการฟ้องคดี ไม่ว่าจะเป็นสหภาพแรงงานของทั้ง 2 องค์กรที่จะฟ้องว่า ระบบใหม่ทำให้เขาขาดรายได้ แม้รัฐบาลมีนโยบายในฐานะผู้ถือหุ้นรายใหญ่จะทำได้แต่ก็จะโดนประท้วงจากอีกฝ่าย รับรองว่ายุ่งเหยิงแน่นอน เหตุเพราะไม่ทำให้เสร็จไปตั้งแต่แปรรูปทั้ง 2 องค์กร แล้วรัฐธรรมนูญก็เขียนแบบให้สร้างปัญหาผูกพันกันมาแทนที่จะแก้ปัญหา

ส่วนที่แผนแม่บทไอซีทีกำหนดไว้ให้มีการแปรรูปสัญญาสัมปทานภายในปี 2553 เป็นแผนที่รัฐบาลกำหนดขึ้น จะทำได้แค่ไหนไม่รู้ ถ้าทำไม่ได้ก็ถูกฝ่ายค้านด่า ถ้าทำก็จะมีคนยกรัฐธรรมนูญมาอ้างว่า รัฐธรรมนูญคุ้มครองอยู่

"พอรัฐธรรมนูญเขียนไว้แบบนี้จะตีความแบบสี่เหลี่ยมได้ว่า คุณต้องให้สัมปทานอยู่เหมือนเดิมจนหมดอายุสัญญา ไม่สนใจว่าโลกจะเปลี่ยนไปอย่างไรก็ต้องให้มันคงอยู่แบบนี้ ผมเห็นว่าการเขียนรัฐธรรมนูญแบบนี้เป็นไปไม่ได้ในความจริง ยิ่งสัญญาสัมปทานที่มีอายุยาว ๆ ไม่มีทางรู้ได้ว่าสภาพเศรษฐกิจ สภาพของโลกจะเป็นอย่างไร ธรรมชาติเปลี่ยนก็จะกลับมามีผลกระทบต่อสัญญาตัวนี้อยู่ดี"
แม้ ครม.จะรับรองให้แผนนี้เป็นกรอบพัฒนาไอซีทีของประเทศแต่ยังอยู่ใต้รัฐธรรมนูญ ฉะนั้นถ้ารัฐบาลจะเดินหน้าแปรสัญญาตามแผนก็ต้องมีการพิจารณาต่อไปว่าจะจัดการอย่างไรกับรัฐธรรมนูญที่มีปัญหากับการตีความ

ปัญหาเหล่านี้การแก้รัฐธรรมนูญสามารถเคลียร์ได้แต่เป็นเรื่องใหญ่มาก ถ้ามีปัญหาเรื่องบทเฉพาะเกี่ยวกับองค์กรจัดสรรฯก็แก้ให้ชัด เรื่องจะแปรสัญญาสัมปทานจะเอาอย่างไรก็กำหนดให้ชัด แต่เป็นเรื่องใหญ่มาก ทำไม่ได้หรอก ใครผลักดันขึ้นมารับรองตายแน่นอน
เช่นเดียวกับผลการตีความของคณะกรรมการกฤษฎีกาเกี่ยวกับสัญญาสัมปทานมือถือของทั้ง 3 รายที่มีออกมาก่อนหน้านี้เชื่อว่าจะไม่มีอะไรเกิดขึ้น

"ผมเองไม่เห็นด้วยกับการตีความ เพราะสัญญาสัมปทานทำขึ้นก่อนมี พ.ร.บ.ร่วมทุนฯ พอปี 2535 พ.ร.บ.บังคับใช้ก็มีการแก้ไขสัญญาเกิดขึ้น พอมีการรัฐประหารก็มีประเด็นเรื่องทำไม่ถูกต้องตาม พ.ร.บ. จนส่งเรื่องให้กฤษฎีกาตีความ ผลก็คือก็ยังใช้ได้จนกว่าจะถูกเพิกถอน แต่ปัญหา คือ แล้วจะทำอย่างไร ถ้าไปเพิกถอนสัญญาเขา เอกชนฟ้องเละเลยนะ เอกชนจะไปรู้หรือว่าต้องทำตาม พ.ร.บ. ฝ่ายรัฐต้องรู้ จะปล่อยไว้แบบนี้ แบบลืม ๆ กันบ้าง รื้อ ๆ กันบ้าง ประเทศนี้เป็นแบบนี้

บ้านจุ่มเมืองเย็น เมื่อแดงกับเหลืองพูดคุยกัน


ชำนาญ จันทร์เรือง

นับแต่หลังการยึดสนามบินและสงกรานต์เลือดเป็นต้นมา สถานการณ์การเมืองในปัจจุบันนับว่าอยู่ในภาวะวิกฤติและร้อนแรงเป็นที่สุด ไม่ว่าการออกมาประกาศตัวชัดเจนของพลเอกชวลิต ยงใจยุทธว่าต่อนี้ไปไม่เป็นแล้วโซ่ข้อกลางขอเลือกข้างเพื่อไทยดีกว่า พร้อมๆกับการให้สัมภาษณ์ของพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ที่ได้ส่งคนไปเตือนพลเอกชวลิตว่า

“คือวันนั้นก่อนที่จิ๋วจะไปสมัครเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทย ผมก็ให้คนไปบอกเขาว่า จะทำอะไรขอให้คิดให้รอบคอบ ไตร่ตรองให้รอบคอบ ซึ่งผมใช้คำว่า”ไตร่ตรองให้รอบคอบ”ไม่อย่างนั้นมันจะกลายเป็นการกระทำที่เป็นการทรยศต่อชาติ” จนกลายเป็นประเด็นทางการเมืองที่เสื้อแดงนำคดีไปฟ้องร้องเพื่อเอาเรื่องเอาราว และ พลเอกชวลิตก็ออกเดินสายพบปะกับผู้นำประเทศเพื่อนบ้านจนเป็นประเด็นตอบโต้ทางการเมืองระหว่างประเทศบดบังประเด็นสำคัญของการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนที่หัวหินไปเสีย

หลังจากนั้นก็มีประเด็นของการถอดยศและเรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ของ พ.ต.ท.ทักษิณที่คณะกรรมการกฤษฎีกาวินิจฉัยว่าสามารถทำได้ จนทำให้สื่อของเสื้อแดงทุกแขนงโหมประโคมว่าเป็นการเลือกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรมโดยยกกรณี พล.ต.ท.ชลอ เกิดเทศ และ พ.ต.เฉลิมชัย มัจฉากล่ำ นักโทษประหารว่าก็ยังมิได้มีการดำเนินการถอดยศแต่อย่างใด

ในท่ามกลางสถานการณ์เช่นนี้ ทำให้ผู้คนในบ้านเมืองพากันวิตกกังวลว่าเห็นทีจะเลี่ยงความรุนแรงไปไม่ได้เสียแล้วกระมัง แต่อย่างไรก็ตามในความร้อนแรงเช่นนี้ ก็มีความชุ่มเย็นในจิตใจของผู้คนที่ทราบถึงความพยายามของกลุ่มคนกลุ่มที่ถูกจัดอยู่ฝ่ายสายพิราบของทั้งฝ่ายเสื้อแดงและเสื้อเหลือง ที่ได้มีการปรึกษาหารือกันถึงความเป็นไปได้ที่จะหันมาร่วมมือพูดคุยกัน ก่อนที่บ้านเมืองจะพลัดตกหุบเหวของความหายนะจนไม่สามารถกอบกู้ได้

ข่าวคราวของการพูดคุยกันของเสื้อแดงกับเสื้อเหลืองที่มีทั้งการขึ้นเวทีเดียวกันในครั้งแรกที่เพชรบุรี ตามมาด้วยที่พะเยาและมีการดำเนินการอย่างเงียบๆ อย่างต่อเนื่องในจังหวัดเชียงใหม่ที่เรียกว่าเป็นเมืองหลวงของคนเสื้อแดง โดยต่างแสวงหาจุดร่วมที่ตรงกันนั่นก็คือความเป็นธรรมในสังคม เพราะทั้งฝ่ายมีสาเหตุที่สำคัญที่ทำให้ต้องออกมาเคลื่อนไหวก็ด้วยเหตุเพราะ "ความอยุติธรรม" ในสังคมที่อำนาจทางการเมืองถูกผูกขาดโดยคนไม่กี่ตระกูล ไม่กี่อาชีพ คนรวยยิ่งรวยขึ้น คนจนยิ่งจนลง อำนาจทางธุรกิจ ถูกผูกขาดโดยคนไม่กี่กลุ่มที่แอบอิงอำนาจรัฐ ฯลฯ ซึ่งการเคลื่อนไหวของเสื้อแดงนั้นเน้นไปที่การปกครองในระบอบประชาธิปไตยที่มาจากการมีส่วนร่วมของประชาชนและการยอมรับในเสียงส่วนใหญ่ที่ประชาชนตัดสินใจ

ส่วนฝ่ายเสื้อเหลืองนั้นเน้นไปที่การเมืองที่มีคุณธรรม ความรักชาติและประชาธิปไตยที่ไม่ให้ความสำคัญเพียงเฉพาะการเลือกตั้งเท่านั้น ซึ่งจะเห็นได้ว่าเป็นจุดร่วมที่สามารถพูดคุยกันได้ และทั้งสองฝ่ายตกลงกันว่าจะงดเว้นการขุดคุ้ยหรือนำประเด็นความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในรอบ 2 ปีที่ผ่านมา อาทิ การปะทะกันด้วยกำลังจนเกิดการบาดเจ็บล้มตาย หรือ ประเด็นของการเอาหรือไม่เอาทักษิณ โดยถือว่าเป็นความชอบหรือไม่ชอบของแต่ละบุคคล ฯลฯ มาเป็นข้อต่อรองในการเจรจา เพราะเห็นว่าหากนำประเด็นดังกล่าวมาพูดคุยกันแล้วย่อมยากที่พูดคุยกันได้

โดยทั้งสองฝ่ายจะเปิดโอกาสให้แต่ละฝ่ายได้ใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญมาตรา 63 ที่บัญญัติว่า “บุคคลมีเสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธ” เพื่อแสดงความคิดเห็นหรือเปิดเวทีปราศรัย โดยแต่ละฝ่ายไม่ไปคุกคามซึ่งกันและกัน

แน่นอนว่าการพูดคุยเจรจากันดังกล่าวย่อมมีทั้งที่ผู้ที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย ผู้ที่เห็นด้วยก็ย่อมที่จะโมทนาสาธุว่าบ้านเมืองจะได้เห็นแสงสว่างปลายอุโมงค์เสียที ส่วนฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยก็ย่อมออกมาคัดค้านตั้งแต่เบาถึงหนัก ผู้ที่คัดค้านที่เราเรียกว่าเป็นสายเหยี่ยวหรือที่เรียกด้วยภาษาสมัยใหม่ก็คือ พวก “ฮาร์ดคอร์” ก็ย่อมออกมาต่อต้านอย่างหนัก มีการประณามผู้ที่ไปเจรจาหรือพูดคุยกันว่าเป็นผู้ทรยศ เป็นผู้ที่หักหลังเพื่อน ฯลฯ และพวกฮาร์ดคอร์เหล่านี้เชื่อว่าพวกสายพิราบหรือผู้ที่ไปเจรจานั้นตกเป็นเหยื่อของ อีกฝ่ายหนึ่งที่จะถูกอีกฝ่ายกำจัดให้สิ้นซากในภายหลังอย่างแน่นอน

การต่อต้านนอกจากจะมีการประณามหยามเหยียดกันแล้ว ยังมีการที่พยายามสืบเสาะหาความเคลื่อนไหวว่าหากมีการเจรจาหรือจะมีการเปิดตัวกัน ณ ที่ใด ก็จะมีการระดมพลไปคัดค้าน ทำให้ผู้ประสานงานซึ่งก็คือนักวิชาการที่ใฝ่สันติและภาคเอกชนที่ทนเห็นความล่มจมของธุรกิจของตนเองที่เกิดจากความขัดแย้งของทั้งสองสีนี้ไม่ไหว ต้องแสวงหาลู่ทางในการดำเนินงานซึ่งแน่นอนว่าก็คงไม่พ้นองค์กรหรือสถานที่ ที่เป็นที่ยอมรับของทั้งสองฝ่าย อาทิ ศาลากลางจังหวัด เป็นต้น

ความเคลื่อนไหวที่เริ่มต้นจากเพชรบุรี พะเยา และเชียงใหม่ เป็นผลให้หลายๆพื้นที่เริ่มมีการพูดคุยกันในเรื่องนี้ขึ้นบ้างแล้ว แต่ยังอยู่ในระหว่างการสงวนท่าที ซึ่งผมเชื่อว่าหากมีการดำเนินการสำเร็จในจังหวัดเชียงใหม่แล้ว ผลที่ตามมาก็คงเป็นที่หวังได้ว่าไม่ยากเกินกว่าที่จะประสพความสำเร็จ เพราะถึงเวลาแล้วที่เบี้ยทั้งสองฝ่ายจะได้ฉุกคิดว่าจากเหตุการณ์ที่ผ่านๆ มาภายใต้การนำของแกนนำทั้งสองฝ่ายที่ปลุกระดมเข้าห้ำหั่นกันนั้น ผู้ที่บาดเจ็บ ล้มตายก็มีแต่พวกเบี้ยทั้งหลาย ส่วนผู้ชี้นำนั่งอยู่บนภูดูเสือกัดกันอยู่อย่างสบายใจเฉิบ หาได้มีส่วนบาดเจ็บล้มตายไปด้วยไม่ มิหนำซ้ำยังเจริญก้าวหน้ามีลาภยศศฤงคารตำแหน่งหน้าที่ใหญ่โตไปตามๆกัน

ผมเชื่อว่าความพยายามที่กำลังเกิดขึ้นนี้จะประสบความสำเร็จ อาจจะต้องใช้เวลาบ้าง แต่ก็ยังดีกว่าไม่ได้ทำอะไรเลย แม้ว่าผู้ที่มีส่วนร่วมในการดำเนินการในลักษณะของการปิดทองหลังพระครั้งนี้จะต้องใช้ความอดทนและ อดกลั้นต่อการประณามหยามเหยียดว่าเป็นผู้ทรยศหรือเหยื่อผู้ถูกหลอกก็ตาม

ทั้งนี้ ก็เพื่อความสงบสุขสันติของบ้านเมืองดังคำโบราณล้านนาที่ว่า “บ้านชุ่ม เมืองเย็น” นั่นเอง
-------------------------
หมายเหตุ . เผยแพร่ครั้งแรกในกรุงเทพธุรกิจออนไลน์ วันพุธที่ 4 พฤศจิกายน 2552

ทุบหุ้นหลังจากที่หุ้นร่วงกระจายไปแล้ว..นี่แหละประเทศไทย

กลายเป็นจอมซัดแฮ็ททริคไปซะแล้ว สำหรับนายกฯเด็กดื้อ จอมสร้างภาพตัวพ่อ เมื่อลงสนามไปทำท่ามือหงิก ตะบันสตั๊ดใส่ลูกฟุตบอล ที่ลิ่วล้อใส่พานป้อนให้จนรับไม่หวาดไม่ไหว ในการแข่งขันฟุตบอลผู้อาวุโส ครม. vs ส.ว. ที่ธันเดอร์โดม เมื่อวันวานที่ผ่านมา

เป็นวันเดียวกัน กับที่รัฐบาลเผด็จการพลเรือน ซัดแฮ็ททริคเข้าใส่หัวใจประชาชน ด้วยการจับแพะชนแกะ มั่วนิ่มรวบตัวชายหนึ่งหญิงหนึ่ง เอามาขึ้นแท่นบูชายัญ

ด้วยข้อหานำเข้าข้อมูลอันเป็นเท็จสู่ระบบคอมพิวเตอร์ แต่ตีปี๊บซะใหญ่โตว่าเป็นตัวการทุบหุ้น หวังกู้หน้าที่โดนต่างชาติปล่อยข่าวใส่แมลงเม่า จนหุ้นร่วงระเนระนาด แล้วจับมือใครดมไม่ได้

จากผู้หญิงตัวเล็กๆคนหนึ่ง ที่รู้จักกันดีในเว็บบอร์ดการเมืองภายใต้นามแฝง bbb ว่าแสนจะสุภาพเรียบร้อย ไม่ค่อยมีปากมีเสียง มีแต่คอยแปลข่าวภาษาอังกฤษให้เพื่อนๆได้อ่านกัน ไม่เคยสร้างปัญหาใดๆให้แก่ใครๆ แม้แต่น้อย

ไม่นึกว่า วันดีคืนร้ายภายใต้รัฐบาลเผด็จการจำแลง เธอจะกลายเป็นอาชญากรสำคัญ ตัวการปล่อยข่าวทุบหุ้น จนเจ๊งกันไปถ้วนหน้า

ถามหน่อยเถอะว่า มันบ้าหรือโง่กันแน่ ถึงคิดกันไม่เป็นว่า ตัวการปล่อยข่าวที่ไหน จะมาโพสต์ข้อความในเว็บบอร์ดอย่างโจ๋งครึ่ม ให้ตำรวจตามแกะรอยจนรวบตัวได้โดยละม่อม

แล้วบ้านมัน เดี๋ยวนี้เขาปล่อยข่าวทุบหุ้นกันในเว็บบอร์ดการเมืองกันแล้วหรือไง อะไรไม่ว่า ยังโง่ถึงขนาดมาปล่อยข่าวเอา หลังจากที่หุ้นร่วงกระจายไปแล้ว ตั้งหลายชั่วโมง

เอาเป็นว่า ถ้าอยากจะหาเรื่องก็แมนๆหน่อย เล่นกันซึ่งๆหน้าอย่ามาทำเหนียมอาย ไหนๆก็ด้านมามากแล้ว จะหน้าด้านอีกซักหน่อยจะเป็นไรไป

รัฐบาลเด็กเวร เมื่อใกล้ตาจน ก็ยิ่งบ้าเลือดขึ้นเรื่อยๆ ประชาชนอย่างเราๆท่านๆ ที่แม้จะทนมามากแล้ว แต่ยังสามารถทนได้อีก ก็ไม่รู้จะทำยังไง ในเมื่อแบ็คมันแข็งเหลือกำลังลาก

คงได้แต่ส่งกำลังใจไปถึงเหยื่อทางการเมืองทั้ง 2 ราย ในฐานะเพื่อนร่วมอุดมการณ์ ที่เป็นตายยังไงก็ไม่อาจทอดทิ้งกัน

ขอให้เข้มแข็งเข้าไว้ สู้มันต่อไป จนกว่าจะได้ประชาธิปไตยของเราคืนมา

เชื่อเถอะว่า ถึงที่สุดแล้วก็เอาผิดไม่ได้ แต่พวกมันก็ต้องทำเพื่อเป้าหมายทางการเมือง โดยไม่สนใจว่าใครจะเดือดร้อน วุ่นวายซักแค่ไหน

เพราะเป้าหมายที่แท้จริงนั้น คงกะว่างานนี้ยิงกระสุนนัดเดียว ได้นกเป็นฝูง นอกจากได้แก้หน้าเรื่องถูกทุบหุ้นแล้ว ยังได้ดิสเครดิตเสื้อแดง และที่สำคัญคือป้ายขี้ให้เว็บบอร์ดการเมือง ที่ทรงอิทธิพลในหมู่คนประชาธิปไตย อย่างประชาไท และฟ้าเดียวกัน

เผื่อว่าจะหาช่องปิดเว็บซะ เป็นการจำกัดการสื่อสารของฝ่ายต่อต้านอำมาตย์ไปในตัว

คำว่านิติรัฐชักจะเป็นจริงขึ้นทุกที เมื่อฝ่ายกุมอำนาจรัฐในบ้านนี้เมืองนี้ หายใจเข้าหายใจออกเป็นกฎเหล็กของเผด็จการ แต่แฝงตัวทำเนียนมาในรูปของกฎหมายประชาธิปไตย ที่ริดรอนสิทธิเสรีภาพยิ่งกว่าสมัยคมช.ซะอีก

ทำให้วิถีชีวิตของชาวบ้าน ที่เลือดตาแทบกระเด็นอยู่แล้ว ต้องยุ่งยากหนักเข้าไปอีก ไหนจะต้องรู้กฎหมายระดับเทพแล้ว ยังต้องคอยระวังว่า ใครเป็นคนใช้กฎหมาย และกฎหมายเหล่านั้นมีไว้เพื่อใช้กับใคร หาไม่แล้ว เผลอเมื่อไหร่เป็นถูกรวบเข้าคุกไปโดยไม่รู้ตัว

สมดังสโลแกนที่ว่า เราทำให้ทุกคนรวยเท่ากันไม่ได้ แต่สามารถทำให้ทุกคนมีโอกาสเจอแจ๊คพ็อตเท่ากันหมด

โชคดีของพวกอำมาตย์ ที่เลือกเกิดมาเกาะกินในประเทศนี้ ประเทศที่ปกครองได้ง่ายกว่าปอกกล้วยเข้าปากเป็นไหนๆ เพราะว่า ประชาชนถ้าไม่โง่เป็นทุย ก็อึดเป็นแรด ขนาดทนจนทะลุขีดจำกัดแล้ว ก็ยังทนได้อีก แต่ไม่มีใครรับรองได้ว่า...

ตอนระเบิดออกมา อานุภาพมันจะรุนแรงซักแค่ไหน

วโรทาห์:

วันอังคารที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

โฆษก รบ.ปูดแกนนำโจรใต้เคยต่อรอง รบ.'สุรยุทธ์' ตั้งผู้สำเร็จราชการเป็น "นครรัฐ" เหมือน สุลต่านแปลงกาย

"ปณิธาน" ระบุแกนนำก่อความไม่สงบชายแดนใต้เคยเสนอให้รวมนครแล้วจัดให้มีการเลือกตั้งผู้ว่าการมณฑลหรือผู้ว่านครรัฐสมัย "สุรยุทธ์"ให้แต่งตั้งผู้สำเร็จราชการในพื้นที่ถือเป็นสุลต่านแปลงกาย

นายปณิธาน วัฒนายากร รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ในฐานะปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่พล.อ. ชวลิต ยงใจยุทธ ประธานพรรคเพื่อไทย (พท.) ออกมาเสนอให้รวมจังหวัดชายแดนภาคใต้เข้าด้วยกันแล้วสถาปนาเป็น “นครปัตตานี” ว่า เรื่องนี้เป็นแนวคิดที่มีมาตั้งแต่สมัยพล.อ. ชวลิตเป็นรัฐบาลแล้ว ต้องถามว่าทำไมตอนเป็นรัฐบาลถึงผลักดันไม่สำเร็จ นอกจากนี้การปรับเปลี่ยนโครงสร้างการบริหารงานในพื้นที่มักนำมาสู่การสร้างปัญหาที่ซับซ้อนกว่าเดิม ซึ่งเคยมีบทเรียนมาแล้วจากการยุบศูนย์อำนวยการบริหารราชจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) ดังนั้นหากจะมีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างก็ต้องมาจากการยอมรับอย่างกว้างขวางของประชาชนในพื้นที่ ไม่ใช่ผู้นำกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง หรือกองกำลังใดกำลังหนึ่ง อีกทั้งต้องไม่ขัดรัฐธรรมนูญ แต่แนวคิดการตั้งนครปัตตานีที่จะให้คนในพื้นที่เก็บภาษีได้เอง เลี้ยงตัวเองได้ และเลือกผู้นำเองได้ เชื่อว่าประชาชนในพื้นที่ส่วนใหญ่ไม่เอาด้วย เพราะเป็นเพียงความต้องการของคนกลุ่มหนึ่ง


"ในอดีตกลุ่มแบ่งแยกดินแดนเคยพยายามผลักดันแนวคิดนี้ บางยุคมีอดีตส.ส. บางคนถึงขั้นเสนอให้นำระบบสุลต่านกลับมาใช้ จนถูกฝ่ายความมั่นคงเพ่งเล็งเป็นพิเศษมาแล้ว" นายปณิธานกล่าว


ผู้สื่อข่าวถามว่า ตราบใดที่รัฐบาลชุดนี้ยังอยู่ จะไม่มีนครปัตตานีเกิดขึ้นใช่หรือไม่ นายปณิธานกล่าวว่า แนวทางของพล.อ. ชวลิตเป็นการนำแนวคิดของคนกลุ่มหนึ่งขึ้นมาทดลองทำ ทดลองยุบ ทดลองสร้าง ถ้าทำได้ก็ไปได้ไกล อย่างอีสานเขียวก็บอกว่าไปได้ แต่เรื่องชีวิตคนและเรื่องประเทศไม่สามารถไปทดลองผิดทดลองถูกได้ โดยไม่ฟังเสียงสะท้อนอย่างรอบคอบได้


เมื่อถามว่า เป็นไปได้หรือไม่ว่าข้อเสนอเรื่องการตั้งนครปัตตานีจะเป็นผลจากการที่พล.อ. ชวลิตไปเจรจากับแกนนำกลุ่มก่อความไม่สงบ นายปณิธานกล่าวว่า หลายฝ่ายเชื่อว่าพล.อ. ชวลิตมีข้อมูลจากแกนนำในพื้นที่ ส่วนจะเป็นกลุ่มไหนต้องไปถามเจ้าตัวเอง แต่ถ้าได้ดูข้อมูลจะพบความสอดคล้องกันในเรื่องความพยายามแยกตัวเป็นอิสระจากรัฐไทยในทางหนึ่งทางใด เพราะเชื่อว่าจะแก้ปัญหาได้ดีขึ้น ทั้งที่ความจริงประชาชนในพื้นที่ต้องการได้รับโอกาสจากรัฐมากขึ้น


เมื่อถามว่า ประเมินว่าพล.อ. ชวลิตไปเจรจากับแกนนำผิดตัว หรือผิดกลุ่มหรือไม่ จึงไม่เป็นไปตามที่พล.อ. ชวลิตระบุไว้ว่าจะไม่มีเสียงปืนแตกในช่วง 3 วันที่เดินทางลงพื้นที่ภาคใต้ นายปณิธานกล่าวว่า ก็เป็นไปได้ เพราะยากที่จะเจรจากับทุกกลุ่ม อีกทั้งในแต่ละกลุ่มก็มีปัญหาเรื่องการไม่ยอมคุยกัน ซึ่งแต่ละกลุ่มจะแบ่งเป็น 2 ระดับคือ 1.ระดับอุดมการณ์ ส่วนใหญ่เป็นผู้อาวุโสอยู่ในต่างประเทศบ้าง อยู่ในกรุงเพทฯ บ้าง มีคีย์แมน-คีย์วูแมนหลายคน ระยะหลังก็พยายามดึงเอาคนหัวก้าวหน้าที่เรียนจบแพทย์และพยาบาลจากต่างประเทศเข้ามา เพื่อสร้างคนรุ่นใหม่ คนกลุ่มนี้จะเป็นนักเจรจาและนักต่อรอง 2. ระดับปฏิบัติการที่กระจายกำลังกันอยู่ในพื้นที่ เป็นกลุ่มหัวรุนแรงที่ไม่สนใจการเจรจา เพราะคิดว่าการใช้กำลังเท่านั้นที่จะทำให้ตนเป็นฝ่ายชนะ


"ปัญหาที่เกิดขึ้นคือเมื่อระดับปฏิบัติการไปก่อเหตุ ก็มักถูกระดับอุดมการณ์เคลม (กล่าวอ้าง) ว่าเป็นผลงานของตน ทำให้ 2 กลุ่มนี้ไม่คุยกัน ที่ผ่านมามีคนพยายามจับสองกลุ่มนี้มาคุยกัน แต่ไม่สำเร็จ โดยเฉพาะกลุ่มเอ็นจีโอที่พยายามเข้าไปเป็นตัวกลางในเรื่องนี้ เราเห็นประสบการณ์ในอดีตแล้ว จึงไม่เชื่อว่าจะเจรจากันได้" นายปณิธานกล่าว


เมื่อถามว่า แสดงว่าพล.อ. ชวลิตไปได้ข้อมูลจากระดับอุดมการณ์ใช่หรือไม่ นายปณิธานกล่าวว่า เป็นไปได้ ที่ผ่านมามีข้อเสนอจากฝ่ายกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบหลายอย่าง โดยแบ่งออกเป็น 3 ยุคคือ ยุคแรกมีการเสนอให้กลับไปปกครองโดยสุลต่านรัฐ ซึ่งถือว่าเป็นโมเดลที่เก่าที่สุด แต่เมื่อไม่ได้รับการตอบสนอง ก็เปลี่ยนมาเสนอให้รวมนครแล้วจัดให้มีการเลือกตั้งผู้ว่าการมณฑล หรือผู้ว่านครรัฐ ซึ่งก็ถือเป็นสุลต่านแปลงกายดีๆ นี่เอง และล่าสุดในยุคพล.อ. สุรยุทธ์ จุลานนท์ อดีตนายกฯ มีการเสนอถึงขั้นให้แต่งตั้งผู้สำเร็จราชการในพื้นที่ โดยตั้งจากคนในพื้นที่ขึ้นมา ซึ่งไม่ต่างอะไรจากสุลต่านแปลงกายเหมือนกัน แต่ข้อเสนอเหล่านี้ไม่มีทางเป็นไปได้เลย


"ฝ่ายผู้ก่อการยังพยายามยื่นข้อเสนอผ่านตัวกลางตลอด ซึ่งเราไม่รู้เป็นเรื่องจริงหรือไม่ แต่ถือเป็นความเคลื่อนไหวทางการเมืองที่ต้องการต่อรองและกดดันรัฐบาล ไม่ได้มุ่งแก้ปัญหาในพื้นที่อย่างแท้จริง ดังนั้นขอยืนยันว่ารัฐบาลชุดนี้จะไม่มีการเจรจา ตราบใดที่ฝ่ายอุดมการณ์กับฝ่ายปฏิบัติการยังไม่สามารถคุยกันได้ แล้วจะให้เราไปคุยกับใครที่ไหน เพราะคุยอย่างไรมันก็ไม่จบ" นายปณิธานกล่าว

โผรอง ผบ.ตร.ผบช.เด็กนักการเมืองเพียบ ทั้ง 'สุเทพ-พินิจ-ชวน' ขึ้นพรวด ส่งเพื่อน 'พัชรวาท'เข้ากรุ


ก.ตร.ถกตั้ง "รอง ผบ.ตร.-ผบช." นายกฯให้นโยบาย ทำงานได้ เข้าใจสถานการณ์ ลั่นไม่มีเด็กฝากนักการเมือง คาด "สัณฐาน" คนใกล้ชิด "สุเทพ" ข้ามห้วยนั่ง "ผบช.น." ดันพี่ชาย "พินิจ" คุมภาค 8 พร้อมคู่เขย เสธ.ทบ.ผงาด "ผบช.ภ.1ž " เด้งเพื่อน"พัชรวาท" เก็บกรุ ส่ง "พงษ์สันต์" อดีตตำรวจตาม "ชวน" เสียบแทน


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในวันที่ 2 พฤศจิกายน นายสุเทพนัดประชุม ก.ตร.เพื่อพิจารณาแต่งตั้งโยกย้ายระดับรองผบ.ตร.-ผบช. มีตำแหน่งรอง ผบ.ตร.ว่าง 3 ตำแหน่ง ผู้ช่วย ผบ.ตร.ว่าง 5 ตำแหน่ง และ ผบช.ว่าง 16 ตำแหน่ง


ทั้งนี้ ก่อนการประชุม ก.ตร. เวลา 09.00 น. จะมีการประชุมคณะกรรมการคัดเลือกข้าราชการตำรวจ หรือ บอร์ดกลั่นกรอง ที่มี นายสมศักดิ์ บุญทอง ก.ตร.ผู้ทรงคุณวุฒิ เป็นประธาน พร้อมด้วย ก.ตร.ผู้ทรงคุณวุฒิอีก 5คน ร่วมกับ รรท.ผบ.ตร.และรองผบ.ตร. เพื่อพิจารณารายชื่อตำรวจที่คาดว่าจะได้รับการแต่งตั้งในตำแหน่งที่ว่าง


โดยพล.ต.อ.นพดล สมบูรณ์ทรัพย์ ก.ตร.ผู้ทรงคุณวุฒิ และหนึ่งในบอร์ดกลั่นกรอง กล่าวว่า การคัดเลือกข้าราชการตำรวจขึ้นดำรงตำแหน่งต่างๆยังยึดหลักเกณฑ์เดิม คือหลักอาวุโส ความรู้ ความสามารถและประวัติการทำงาน นอกจากอาวุโสแล้ว ต้องพิจารณาร่วมกับความรู้ ความสามารถ ประวัติการทำงานจริง ๆ ไม่ใช่มีผลงานทางโทรทัศน์ หนังสือพิมพ์อย่างเดียว ตรงนั้นจะเป็นความรู้ความสามารถแบบผักชีโรยหน้า


รายข่าวแจ้งว่าสำหรับ รองผบ.ตร.ที่ว่างลง 2 ตำแหน่ง คาด พล.ต.อ.ปานศิริ ประภาวัต ที่ปรึกษา(สบ 10) เข้าดำรงตำแหน่ง รองผบ.ตร. ซึ่งเป็นตำแหน่งหลัก ส่วนอีก 1 เก้าอี้ คาดว่าบอร์ดกลั่นกรองจะตั้ง พล.ต.ท.วุฒิ พัวเวส ผู้ช่วยผบ.ตร.อาวุโสอันดับ 1 ขึ้นนั่งรองผบ.ตร. อย่างไรก็ตามในที่ประชุมก.ตร.อาจเสนอชื่อ พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ที่ปรึกษา(สบ 10) แทน พล.ต.ท.วุฒิ หากที่ประชุมก.ตร.มีมติให้ตำแหน่งที่ปรึกษา (สบ 10) ของพล.ต.อ.วิเชียร และพล.ต.อ.ชลอ ชูวงษ์ เป็นตำแหน่งถาวร ตามที่สำนักงานคณะกรรมการนโยบายตำรวจแห่งชาติ(สง.ก.ต.ช.)มีความเห็นเสนอสำนักงานกำพลมาก่อนหน้านี้


นอกจากนี้คาดว่า พล.ต.ท.อดุลย์ แสงสิงแก้ว และพล.ต.ท.ภาณุพงศ์ สิงหรา ณ อยุธยา ผู้ช่วยผบ.ตร. จะได้ขึ้นเป็นที่ปรึกษา(สบ 10) ส่วนระดับผู้ช่วยผบ.ตร.จะเลื่อน พล.ต.ท.ฉัตรชัย โปตระนันทน์ ผบช.ประจำ สง.ผบ.ตร. พล.ต.ท.วรพงษ์ ชิวปรีชา ผบช.น. พล.ต.ท.จิโรจน์ ไชยชิต ผบช.ศ. พล.ต.ท.บรรจง ตันศยานนท์ จเรตำรวจ (สบ8) และพล.ต.ท.ประชิน วารี จเรตำรวจ (สบ 8) ขึ้นผู้ช่วยผบ.ตร.ขณะที่ พล.ต.ท.ธีระเดช รอดโพธิ์ทอง ผู้บัญชาการตำรวจสันติบาล(ผบช.ส.) เป็นรองจเรตำรวจแห่งชาติ (สบ9)


ตำแหน่งระดับผบช. สำคัญ คาดว่าจะมีการแต่งตั้ง พล.ต.ท.สัณฐาน ชยนนท์ ผบช.ภ.8 คนสนิทนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี เพื่อนร่วมรุ่นเตรียมทหาร กับ พล.อ.ประยุทธ จันทร์โอชา เสนาธิการทหารบก ขึ้นเป็น ผบช.น. พล.ต.ต.วิบูลย์ บางท่าไม้ รองผบช.น. คู่เขย พล.อ.ประยุทธ เป็น ผบช.ภ. 1 พล.ต.ต.พิทักษ์ จารุสมบัติ รองผบช.สตม. พี่ชายนายพินิจ จารุสมบัติ อดีตกรรมการพรรคไทยรักไทย ขึ้นเป็น ผบช.ภ.8 พล.ต.ต.พงษ์สันต์ เจียมอ่อน รองผบช.น. อดีตนายตำรวจติดตามนายชวน หลีกภัย ประธานที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ เป็น ผบช.ภ.7 แล้ว พล.ต.ท.ถวิล สุรเชษฐพงษ์ ผบช.ภ.7 เพื่อนร่วมรุ่นพล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ อดีตผบ.ตร. เก็บกรุเป็นจเรตำรวจ (สบ8)


พล.ต.ต.เฉลิมชัย จงศิริ รองผบช.ภ.4 เพื่อนร่วมรุ่น พล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ รักษาราชการแทน ผบ.ตร. ขยับ เป็น ผบก.สกพ. พล.ต.ต.เดชาวัต รามสมภพ รองผบช.ภ.3 ขยับเป็น ผบช.ภ.4 พล.ต.ต.ภัทรชัย หิรัญญะเวช รองผบช.กมค. อดีตนายเวร พล.ต.อ.สนอง วัฒนวรางกูร อดีตรองอ.ตร.พ่อตา นายอนุทิน ชาญวีรกูล ขึ้นนั่ง ผบช.สตม. ขณะที่ พล.ต.ต.ชัยยะ ศิริอำพันธ์กุล รองผบช.ส. คนสนิทนายสนธิ ลิ้มทองกุล หัวหน้าพรรคการเมืองใหม่ แกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย คาดหมายว่าจะเป็นผบช.ส. อาจถูกคัดค้านในบอร์ดกลั่นกรอง เนื่องจากอาวุโสน้อย


รายงานข่าวแจ้งว่า นายสุเทพ นัด ก.ตร.ผู้ทรงคุณวุฒิ รับประทานอาหารกลางวันที่โรงแรมแห่งหนึ่ง แต่มีก.ตร.ผู้ทรงคุณวุฒิ บางคนไม่ได้เดินทางมา ซึ่งคาดว่าจะหารือเกี่ยวกับการแต่งตั้งโยกย้ายตำรวจระดับ รองผบ.ตร.-ผบช.


ก่อนหน้านี้ ที่สถานีโทรทัศน์แห่งประเทศไทยช่อง 11 (สทท. 11) เมื่อเวลา 09.30 น. วันที่ 1 พฤศจิกายน นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการแต่งตั้งโยกย้ายนายตำรวจระดับรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รองผบ.ตร.) ลงมา ว่า นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี รายงานว่าจะเรียกประชุมคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) ในวันที่ 2 พฤศจิกายนนี้ ซึ่งคิดว่าน่าจะได้ข้อสรุปในวันดังกล่าว สำหรับคุณสมบัติของบุคคลที่จะได้รับการเลื่อนขั้นเลื่อนตำแหน่งคือต้องทำงานได้ เราก็รู้ว่าสถานการณ์ในขณะนี้ต้องเข้มแข็งในการทำงาน นี่คือนโยบายหลักที่ให้ไป ส่วนผู้ที่มีเรื่องร้องเรียน หรือถูกตั้งคณะกรรมการสอบสวนนั้น ขึ้นอยู่กับว่าอยู่ในขั้นตอนไหนอย่างไร



ผู้สื่อข่าวถามว่า รายชื่อที่ปรากฏตามหน้าสื่อส่วนใหญ่เป็นเด็กนักการเมือง นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ตนเห็นว่าพอชื่อไหนโผล่ขึ้นมาก็บอกว่าเป็นเด็กคนนั้นเด็กคนนี้ จึงบอกไปว่าหลักสำคัญที่สุดคือต้องทำงานได้ และต้องรู้ว่าสถานการณ์ขณะนี้ต้องทำงานหนักด้วย โดยเฉพาะในตำแหน่งสำคัญๆ



เมื่อถามว่า การที่ฝ่ายการเมืองเข้าไปฝากคนและได้ตามที่ฝาก จะทำให้ข้าราชการตำรวจเสียขวัญและกำลังใจหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า ไม่มีหรอกครับ บอกไปแล้วว่าให้ดูเรื่องความสามารถในการทำงาน ไม่ได้ให้ดูว่าใครเป็นคนฝาก เมื่อถามว่า ดูเหมือนวันนี้ตำรวจต้องเป็นคนของใครเท่านั้นถึงจะมีโอกาสได้เลื่อนตำแหน่ง นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ไม่ใช่ บอกแล้วว่าให้ดูเรื่องการทำงาน ได้ย้ำเรื่องนี้ไปหลายครั้งเลย



ผู้สื่อข่าวถามว่า ตัวผบ.ตร. คนใหม่จะได้เมื่อไร นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ก็ต้องรอการประชุมคณะกรรมการนโยบายตำรวจแห่งชาติ (ก.ต.ช.) คงจะมีการประชุมกรรมก.ต.ช. โดยตำแหน่งในเร็วๆ นี้ เพื่อพิจารณาเลือกกรรมการก.ต.ช. ผู้ทรงคุณวุฒิ เนื่องจากตำแหน่งว่างลงระยะหนึ่งแล้ว ส่วนก.ต.ช. จะประชุมได้เมื่อไหร่ เป็นอีกเรื่องหนึ่ง



เมื่อถามว่า แสดงว่าจะรอให้มีการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งก.ต.ช. ผู้ทรงคุณวุฒิก่อนถึงจะเรียกประชุมก.ต.ช. เพื่อเลือกผบ.ตร. คนใหม่ใช่หรือไม่ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ไม่จำเป็น จะดูว่าก.ต.ช. เหมาะสมเมื่อไรก็จะเรียก



"พร้อมพงศ์"เจ้าประจำร้องนายกฯแสดงภาวะผู้นำตั้งผบ.ตร.

นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวเมื่อวันที่ 1 พ.ย. ถึงกรณีที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง จะเรียกประชุมคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ(ก.ตร.) ในวันพรุ่งนี้ (2 พ.ย.) เพื่อพิจารณาเรื่องการแต่งตั้งนายตำรวจระดับรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติลงมาว่า ขอตั้งข้อสังเกตถึงความพยายามแต่งตั้งดังกล่าว เพราะเป็นเรื่องแปลกที่รัฐบาลแต่งตั้งนายตำรวจระดับนายพล ขณะที่ผู้ร่วมพิจารณายังเป็นแค่รักษาการผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) พรรคจึงขอเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีอย่าซื้อเวลา แต่ควรแสดงภาวะผู้นำในการแต่งตั้ง ผบ.ตร.ให้ได้ก่อนที่จะมีการแต่งตั้งรอง ผบ.ตร.และระดับผู้บัญชาการ เพื่อรักษากติกาและธรรมเนียมปฏิบัติของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) และยังเป็นการป้องกันการฟ้องร้องต่อศาลว่า การประชุม ก.ตร.เพื่อเสนอบัญชีรายชื่อผู้บริหาร สตช.ครั้งนี้ ไม่ชอบด้วยกฎหมาย



ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับ พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2547 ที่นายพร้อมพงศ์ระบุว่า มาตรา 18 ให้อำนาจ นายอภิสิทธิ์ในฐานะประธาน ก.ต.ช.จะต้องแต่งตั้ง ผบ.ตร.คนใหม่ก่อนที่ ผบ.ตร.จะเกษียณอายุราชการ เมื่อวันที่ 30 กันยายนที่ผ่านมานั้น แต่ในมาตรา 18 ซึ่งอยู่ในลักษณะ 3 ว่าด้วย คณะกรรมการนโยบายตำรวจแห่งชาติ (3) ระบุว่ าพิจารณาดำเนินการคัดเลือกข้าราชการตำรวจเพื่อดำเนินการแต่งตั้งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอ

วันจันทร์ที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ยุบสภา,ยึดอำนาจรัฐบาลพระยามโนปกรณ์


ยุบสภา-คณะรัฐมนตรี
การที่มีผู้ไม่เห็นด้วยและไม่พอใจการทำงานของคณะรัฐบาลพระยามโนปกรณ์ฯ นี้ทำให้สถานการณ์บ้านเมืองในขณะนั้นเข้าสู่ภาวะคับขันมากยิ่งขึ้น ในส่วนของหลวงประดิษฐ์ฯ เองก็ไม่พอใจการทำงานของคณะรัฐบาลชุดนี้ จึงได้ก่อให้เกิดการขัดแย้งกันอย่างรุนแรงกับพระยามโนปกรณ์ฯ ดังนั้นรัฐบาลของพระยามโนปกรณ์ฯ จึงตัดสินใจดำเนินการกับสมาชิกสภาหัวรุนแรงเหน่านี้ ทั้งนี้เพื่อยับยั้งความวุ่นวายที่เกิดขึ้นทั้งปวง และเพื่อป้องกันมิให้ประเทศชาติต้องตกอยู่ภายใต้การจลาจล จึงได้มีการตรา “พระราชกฤษฎีกาให้ปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎรและตั้งคณะรัฐมนตรีชุด ใหม่” ออกมาใช้บังคับเมื่อวันที่ ๑ เมษายน พ.ศ. ๒๔๗๖ ซึ่งมีใจความสำคัญว่า

“…ให้ ปิดประชุมสภานี้เสีย จนกว่าจะได้มีสภาใหม่ ซึ่งได้รับการเลือกตั้งจากราษฎรอย่างแท้จริงตามรัฐธรรมนูญแล้ว ให้ยุบคณะรัฐมนตรีชุดนี้เสีย แล้วให้ตั้งขึ้นใหม่ โดยให้นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีเจ้ากระทรวงทุกคน คงอยู่ในตำแหน่งต่อไปตามเดิม ในระหว่างที่ยังมิได้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาและยังมิได้เรียกประชุมสภาใหม่ นั้น ให้พระมหากษัตริย์ทรงใช้อำนาจนิติบัญญัติตามคำแนะนำและยินยอมของคณะ รัฐมนตรี…”

ต่อจากนั้นก้ได้มีประกาศตั้งคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ขึ้น ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนเดิมทั้งสิ้น ยกเว้นหลวงประดิษฐ์ฯ และพรรคพวกเพียง ๒-๓ คนเท่านั้น และยังได้ประกาศใช้ “พระราชบัญญํติคอมมิวนิสต์” เพื่อป้องกันและลงโทษผู้ประพฤติเป็นคอมมิวนิสต์ตามออกมาในวันเดียวกันนั้น ด้วย


ในการนี้รัฐบาลของพระยามโนปกรณ์ฯ ได้ออกแถลงการณ์ชี้แจงให้ประชาชนทราบ มีความสำคัญบางตอนดังนี้

“ใน คณะรัฐมนตรี ณ บัดนี้เกิดแตกแยกกันเป็น ๒ พวก มีความเห็นแตกต่างกันและไม่สามารถที่จะคล้อยตามกันได้ ความเห็นข้างน้อยนั้น ปรารถนาที่จะวางนโยบายเศรษฐกิจไปในทางอันมีลักษณะเป็นคอมมิวนิสต์ ความเห็นข้างมากนั้นเห็นว่านโยบายเช่นนั้น เป็นการตรงกันข้ามแก่ขนบธรรมเนียมประเพณีของชาวสยามและเป็นที่เห็นได้โดยแน่ นอนทีเดียวว่านโยบายเช่นนี้ จะนำมาซึ่งความหายนะแก่ประชาราษฎร”

“…ความ เป็นไปของคณะรัฐมนตรีในเวลานี้ เป็นภาวะอันสุดแสนที่จะทนทานได้ ไม่ว่าจะเป็นอยู่ ฤาจะเกิดขึ้นแก่บ้านเมืองใด และไม่ว่าจะมีรูปรัฐบาลเป็นอย่างไร”

“สมาชิก แห่งสภาผู้แทนในเวลานี้เล่า ก็ประกอบขึ้นด้วยสมาชิกที่แต่งตั้งตามรัฐธรรมนูญ สภานี้มีหน้าที่ในทางนิติบัญญัติจนกว่าจะได้มีสภาใหม่โดยราษฎรเลือกตั้ง ขึ้นมา สภาซึ่งประกอบด้วยสมาชิกที่แต่งตั้งขึ้นชั่วคราวเช่นนี้ หาควรไม่ที่จะเพียรวางนโยบายทางเศรษฐกิจใหม่ เป็นการเปลี่ยนแปลงของเก่า อันมีอยู่ใช้อยู่ ประดุจเป็นการพลิกแผ่นดิน…”

“ความแตกต่างกันในสภา ซึ่งมีหน้าที่ในทางนิติบัญญัติกับคณะรัฐมนตรีซึ่งมีหน้าที่ในทางบริหารนี้ เป็นที่น่าอันตรายอย่างยิ่งต่อความมั่นคงของประเทศ โดยกระทำให้ราชการชักช้า เกิดความแตกแยกกันในรัฐบาล ก่อให้เกิดความหวาดเสียวและความไม่แน่นอนใจแก่ประชาชนทั่วไป”

“ฐานะ แห่งความเป็นอยู่เช่นนี้ จะปล่อยให้คงเป็นต่อไปอีกไม่ได้แล้ว ความปลอดภัยของประชาชนเป็นกฎหมายอันสูงสุดไม่ว่าในบ้านเมืองใด และโดยคติเช่นนี้เท่านั้น ที่บังคับให้รัฐบาลต้องปิดสภา และตั้งคณะรัฐมนตรีใหม่”

พอถึงวันที่ ๑๒ เมษายน ๒๔๗๖ นั้น หลวงประดิษฐ์มนูธรรมก็ ต้องเดินทางออกไปนอกประเทศ โดยไปพำนักอยู่ที่ประเทศฝรั่งเศส ทั้งนี้โดยคำแนะนำของพระยามโนปกรณ์ฯ และคณะรัฐมนตรีคนสำคัญในเวลานั้น ทั้งนี้เพื่อความปลอดภัยของตัวหลวงประดิษฐ์ฯ เอง และเพื่อตัดต้นตอแห่งความยุ่งยากทั้งปวงด้วย

ต่อมาวันที่ ๑๐ เมษายน พ.ศ. ๒๔๗๖ “สี่ทหารเสือ” คือพระยาพหลพลพยุหเสนา พระยาทรงสุรเดช พระยาฤทธิ์อัคเนย์ และพระประศาสน์ฯ ก็ได้พร้อมใจกันยื่นใบลาออกจากหน้าที่ ทั้งในด้านทหารและด้านการเมืองทุกตำแหน่ง ทั้งนี้ตั้งแต่วันที่ ๒๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๖ เป็นต้นไป ซึ่งได้สร้างความตื่นเต้นอย่างขนานใหญ่ให้แก่มหาชนอีกครั้ง และพอถึงวันที่ ๑๖ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๖ ก็ได้มีการเดินขบวนของกรรมกรเป็นครั้งแรกในประเทศไทย เพื่อแสดงความอาลัยต่อการลาออกของ “สี่ทหารเสือ” ขึ้นมาอีกด้วย

ยึดอำนาจประยามโนปกรณ์เนื่องจากพระยามโนปกรณ์นิติธาดาปิดสภาฯ และงดใช้รัฐธรรมนูญบางมาตรา ทั้งยังได้ส่งตัวหลวงประดิษฐ์ฯ ออกไปอยู่นอกประเทศ ทำให้คณะผู้ก่อการบางกลุ่มไม่พอใจเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งบรรดาเพื่อนสนิทมิตรสหายของหลวงประดิษฐ์ฯ เอง

ดังนั้นการยึดอำนาจจึงได้อุบัติขึ้นอีกครั้งเป็นคำรบสอง เมื่อเช้าตรู่ของวันที่ ๒๐ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๖ โดยมีพันเอกพระยาพหลพลพยุหเสนาเป็นประธาน พันโทหลวงพิบูลสงคราม (ยศในขณะนั้น) เป็นหัวหน้าฝ่ายทหารบก นาวาโทหลวงศุภชลาศัย ร.น. (ยศในขณะนั้น) เป็นหัวหน้าฝ่ายทหารเรือ และหลวงนฤเบศร์มานิต (สงวน จูฑะเตมีย์) เป็นหัวหน้าฝ่ายพลเรือน และกองบังคับการการยึดอำนาจครั้งนี้อยู่ที่วังปารุสกวัน

การรัฐประหารครั้งนี้ได้สำเร็จลงด้วยความราบรื่นเรียบร้อยตามเคย รัฐบาลของพระยามโนปกรณ์ฯ ได้ยินยอมกราบถวายบังคมลาออกแต่โดยดี ไม่มีการต่อสู้ขัดขืนแต่อย่างใดทั้งสิ้น ครั้นวันรุ่งขึ้น คือวันที่ ๒๑ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๖ พระยาพหลฯ ก็ได้รับแต่งตั้งให้เป็นนายกรัฐมนตรี และสภาผู้แทนราษฎรที่ถูกปิดมาเป็นเวลากว่า ๘๑ วันนั้น ก็ได้เริ่มเปิดประชุมขึ้นใหม่ในวันที่ ๒๒ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๖ พอถึงวันที่ ๒๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๖ คณะรัฐบาลชุดใหม่ ก็ได้ตั้งขึ้นสำเร็จโดยเรียบร้อย

ต่อมาไม่ช้า หลวงประดิษฐ์ฯ ก็ได้ถูกเรียกตัวกลับเมืองไทยโดยการด่วน และได้เดินทางมาถึงเมื่อวันที่ ๒๙ กันยายน พ.ศ. ๒๔๗๖ ครั้นอีกสองวันต่อมาก็ได้รัฐการแต่งตั้งให้เป็นรัฐมนตรีร่วมคณะของพระยาพหลฯ

เพื่อไทยยุ 'มาร์ค' โชว์ภาวะผู้นำ เชือดกลุ่ม 16 "พ่อมดราเกซ" นอนคุกอยากหม่ำบะหมี่สำเร็จรูป บ่นร้อน!!!

เพื่อไทยตั้งทีมสาวข้อมูลนักการเมืองเอี่ยวคดี "ราเกซ" พร้อมแฉให้สังคมทราบ ยุนายกฯพิสูจน์ภาวะผู้นำเชือดกลุ่ม 16 นอนคุกคืนแรก "พ่อมด" ขอกินบะหมี่กึ่งสำเร็จ บ่นอากาศร้อน รักษาการ ผบ.เรือนจำเผยหน้าตาเริ่มสดใส กำชับผู้คุมยึดระเบียบเคร่งครัด รับสินบนเจอฟันวินัย "มาร์ค" เปิดทางลูกพรรคที่มีข้อมูลร่วมมือตร.สางคดีอย่างมีประสิทธิภาพ


นายราเกซ สักเสนา อดีตที่ปรึกษากรรมการผู้จัดการ (กก.ผจก.) ธนาคารกรุงเทพฯ พาณิชย์การหรือบีบีซี วัย 57 ปี ผู้ต้องหาคดียักยอกทรัพย์ ซึ่งถูกส่งตัวเข้าเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร ตั้งแต่วันที่ 31 ตุลาคม โดยถูกควบคุมตัวอยู่บริเวณสถานพยาบาล ชั้น 2 ภายในเรือนจํานั้น ล่าสุดเมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน นายโสภณ ธิติธรรมพฤกษ์ รักษาการผู้บัญชาการเรือนจําพิเศษกรุงเทพฯ ให้สัมภาษณ์ถึงการควบคุมตัวนายราเกซว่า ตลอดทั้งคืนการดูแลนายราเกซ เป็นไปด้วยความเรียบร้อย ไม่มีเหตุการณ์ใดๆ เกิดขึ้น มีเจ้าหน้าที่ผู้คุมคอยดูแลอย่างใกล้ชิดเพราะเกรงจะเกิดอันตราย ทั้งนี้ในห้องพยาบาลสั่งให้เจ้าหน้าที่นําเตียงพยาบาลที่ปรับระดับได้ไปให้นายราเกซใช้ เนื่องจากนายราเกซเดินไม่ได้ หากใช้เตียงดังกล่าวจะทําให้ผู้ดูแลทํางานสะดวกขึ้นช่วยพยุงนายราเกซให้ลุกขึ้นนั่งหรือลงจากเตียงไปเข้าห้องน้ำได้ ส่วนอาการอิดโรยของนายราเกซ จนถึงเช้าวันนี้ (1พ.ย.) พบว่าหน้าตาเริ่มสดใสขึ้นเล็กน้อย คาดว่าคงพักผ่อนน้อยเพราะเดินทางมาไกล ประมาณ 2-3 วันน่าจะดีขึ้น เริ่มรับประทานอาหารได้บ้าง ประเภทข้าวต้มและผลไม้ คืนที่ผ่านมานายราเกซ ขอรับประทานบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปซึ่งเรือนจําจัดให้ พร้อมทั้งบอกว่าอากาศภายในเรือนจําร้อน ไม่เหมือนเรือนจําแคนาดา อากาศแค่ 5 องศา จึงจัดพัดลมให้ 1 ตัวเป็นที่ชอบใจของนายราเกซ


"ได้กำชับเจ้าหน้าที่ผู้คุมทุกคนที่เข้าเวรยามดูแลนายราเกซตามระเบียบเรือนจําอย่างเคร่งครัด เช่นเดียวกับนักโทษรายอื่นๆ ห้ามรับสินบนใดๆ ทั้งสิ้นหากพบจะดําเนินการทางวินัยทันที อย่างไรก็ตาม ส่วนการจัดระเบียบการเข้าเยี่ยมนายราเกซ ในวันที่ 2 พฤศจิกายน เป็นไปตามกฎของทางเรือนจํา อนุญาตให้เยี่ยมวันละ 2 รอบ รอบเช้าเวลา 08.30 น. และรอบบ่ายเวลา 14.30 น." นายโสภณกล่าว


ด้านนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงบทเรียนที่เกิดขึ้นจากกรณีนายราเกซ ว่า ถ้าพูดในเชิงระบบตั้งแต่เกิดเรื่องตอนปี 2537 ต้องถือว่าระบบการกำกับตรวจสอบของธนาคารกลางได้เปลี่ยนแปลงไปมาก อย่างในช่วงที่เกิดวิกฤตการเงินรอบใหม่ในโลก ระบบสถาบันการเงินของไทยก็ค่อนข้างเข้มแข็ง แต่ในแง่ความรับผิดชอบต้องเริ่มต้นจากกระบวนการยุติธรรม บังเอิญเราต้องใช้เวลานานมากกว่าจะได้ตัวกลับมา เมื่อได้ตัวนายราเกซกลับมาแล้วต้องเดินหน้าที่ตรงนี้ อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่าเวลาที่ผ่านไป อาจทำให้การขยายผลยากขึ้น


ผู้สื่อข่าวถามว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นส่วนหนึ่งเป็นเพราะมีนักการเมืองเข้าไปเกี่ยวข้อง ควรขยายผลเรื่องนี้หรือไม่ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า นี่คือเหตุผลที่ต้องดำเนินคดี และต้องดูต่อไปว่าไปเกี่ยวข้องอะไรกับใคร ถ้าเจ้าหน้าที่อยากได้ข้อมูลจากพรรคประชาธิปัตย์ที่เคยใช้อภิปราย ยินดีให้ข้อมูลอย่างเต็มที่เพื่อให้การดำเนินการมีประสิทธิภาพ เมื่อถามว่า ยินดีให้ข้อมูลแม้จะส่งผลกระทบต่อแกนนำพรรคร่วมรัฐบาลหรือ นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า "ต้องให้ครับ ต้องยึดถือผลประโยชน์ของประเทศ"


เมื่อถามว่า พอจะบอกได้หรือไม่ว่ามีนักการเมืองในซีกรัฐบาลชุดปัจจุบันเข้าเกี่ยวข้องกับคดีนี้มากน้อยแค่ไหน นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ยังไม่ได้ดูว่าการเริ่มต้นตั้งคดีเป็นอย่างไร แต่ยินดีที่จะบอก ส.ส.ทุกคนที่เคยตรวจสอบในเรื่องนี้ว่าต้องให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ ส่วนที่หลายฝ่ายแสดงความเป็นห่วงเรื่องความปลอดภัยของนายราเกซนั้น นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ต้องดูแลให้ดี เมื่อถามถึงกระแสข่าวนายกรัฐมนตรี จะไปพบนายราเกซ นายอภิสิทธิ์ปฏิเสธว่าไม่ได้พูดเลย


ที่พรรคเพื่อไทย นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย แถลงว่า ตามที่นายอภิสิทธิ์ แถลงต่อสื่อมวลชนว่าคดีของนายราเกซ ที่ยักยอกเงินบีบีซี เกี่ยวโยงกับบุคคลใด ไม่ว่าจะอยู่ในพรรคร่วมรัฐบาลหรือไม่ก็จะดำเนินคดีโดยไม่ละเว้นนั้น ขอให้นายอภิสิทธิ์รักษาคำพูดและดำเนินการอย่างจริงจังตามที่ได้พูดไว้ เพราะข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏเป็นข่าวได้ระบุว่าน่าจะมีบุคคลที่เป็นนักการเมืองในอดีตสังกัดกลุ่ม 16 บางคน ซึ่งดำรงตำแหน่งในรัฐบาลขณะนั้นได้เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดด้วย ซึ่งหลักฐานต่างๆ เป็นเรื่องที่ตรวจสอบและพิสูจน์ได้ไม่ยาก


"นายอภิสิทธิ์ในฐานะนายกรัฐมนตรีสามารถใช้อำนาจตามกฎหมายสั่งการให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องตรวจสอบเรื่องดังกล่าวได้ทันทีโดยไม่จำเป็นต้องออกมาพูดในลักษณะของการสร้างภาพ จึงเรียกร้องว่าจะกล้าทำตามที่พูดหรือไม่ เพราะบุคคลที่น่าจะเกี่ยวข้องมีส่วนสำคัญที่ทำให้นายอภิสิทธิ์ได้เป็นนายกรัฐมนตรี และอยู่มาจนถึงทุกวันนี้ ซึ่งจะเป็นข้อพิสูจน์ภาวะความเป็นผู้นำของนายอภิสิทธิ์ว่าจะเอาผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนหรือผลประโยชน์ระหว่างพรรคร่วมรัฐบาล ถ้าทำไม่ได้อย่างที่พูดจะหมดความน่าเชื่อถือในสายตาประชาชนทันที ส่วนอดีตสมาชิกกลุ่ม 16 ที่อยู่ในซีกพรรคเพื่อไทย ผมมั่นใจว่าไม่มีใครเกี่ยวข้องด้วยแน่นอน เพราะได้ตรวจสอบมาแล้ว ตัวละครหลักๆ ที่เกี่ยวข้องก็คือนักการเมืองใหญ่อักษรย่อ "น" และ "ส" " นายพร้อมพงศ์กล่าว


นายพร้อมพงศ์กล่าวว่า นายราเกซจะเป็นกุญแจดอกสำคัญที่จะเปิดเผยข้อมูลของผู้ร่วมขบวนการที่เป็นต้นเหตุของวิกฤตสถาบันการเงินในปี 2540 จึงขอฝากให้นายอภิสิทธิ์ให้ความคุ้มครองกับราเกซให้ดี หากนายราเกซเป็นอะไรไปในระหว่างนี้ จะทำให้นานาชาติขาดความเชื่อมั่นต่อรัฐบาลและกระบวนการยุติธรรมของประเทศไทย ซึ่งจะส่งผลให้รัฐบาลนายอภิสิทธิ์อยู่ต่อไปไม่ได้


ด้าน นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) กล่าวถึงกรณีนายราเกซ อาจให้การถึงนักการเมืองที่เกี่ยวข้องกับการยักยอกทรัพย์จนธนาคารถูกปิดกิจการ ว่า ในทางกฎหมายคำให้การซัดทอดของจำเลยในชั้นศาล ถือว่ามีน้ำหนักน้อย เว้นแต่มีพยานแวดล้อมอื่นมาสนับสนุนจนมีน้ำหนักน่าเชื่อถือ อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ยังไม่มีใครรู้ว่านายราเกซจะให้การอย่างไร สำหรับคดียักยอกทรัพย์บีบีซีนั้น แม้เป็นคดีความผิดตาม พ.ร.บ.แนบท้ายการสอบสวนคดีพิเศษ แต่เป็นคดีที่เกิดขึ้นก่อนดีเอสไอจะก่อตั้งขึ้น คดีที่สอบสวนไว้ทั้งหมดแล้วกว่า 20 สำนวน จึงเป็นอำนาจสอบสวนของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เว้นแต่คดีมีข้อเท็จจริงใหม่ปรากฏขึ้นดีเอสไอก็จะนำมาพิจารณาว่าจะรับเป็นคดีพิเศษหรือไม่



นายประชา ประสพดี ส.ส.สมุทรปราการ พรรคเพื่อไทย ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การกฎหมาย การยุติธรรม และสิทธิมนุษยชนสภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงการดำเนินคดีกับนายราเกซว่า ในการประชุม กมธ.วันที่ 4 พฤศจิกายน จะนำกรณีของนายราเกซเข้าหารือเป็นการด่วน เนื่องจากเป็นที่สนใจของประชาชนและเป็นต้นตอของการทำลายระบบโครงสร้างเศรษฐกิจไทยอย่างร้ายแรง ตนจะขอเอกสารคำอภิปรายของฝ่ายค้านในขณะนั้น ได้แก่ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี นายชวน หลีกภัย ประธานที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ และนายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ รองนายกรัฐมนตรี ที่อภิปรายไม่ไว้วางใจในสมัยที่นายบรรหาร ศิลปอาชา เป็นนายกรัฐมนตรีมาศึกษาข้อมูล รวมถึง กมธ.จะออกหนังสือเชิญให้นายกอร์ปศักดิ์ ในฐานะบุคคลที่เคยเดินทางไปหานายราเกซเพื่อขอข้อมูลในเชิงลึก มาชี้แจงข้อมูลที่ได้รับกับ กมธ.ว่ามีใครอยู่เบื้องหลังหรือร่วมเครือข่ายกับนายราเกซด้วย


รายงานข่าวจากพรรคเพื่อไทยแจ้งว่า พรรคเพื่อไทยได้ตั้งทีมเฉพาะกิจขึ้นมารวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับคดีนายราเกซ โดยจะหาข้อมูลจากอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง อดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย รวมทั้งนายสุชาติ ธาดาธำรงเวช อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายโอฬาร ไชยประวัติ อดีตรองนายกรัฐมนตรี โดยมี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี ร่วมให้ข้อมูลด้วย เมื่อพรรคเพื่อไทยได้ข้อมูลตัวบุคคลที่เชื่อมโยงกับนายราเกซแล้ว จะเปิดเผยให้สาธารณชนรับทราบ

วันอาทิตย์ที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

พท.ปูด 'ต้นกล้าอาชีพ' 24 จังหวัดใช้บัญชีผีเบิก 252 ล้าน

ระบุใน 24 จังหวัด 239 หลักสูตรงบกว่า 252 ล้านใช้บัญชีผีเบิกค่าอบรมเกือบทุกจังหวัด ชี้ไทยเข้มแข็งมีคนใกล้ชิดนักการเมืองจัดงบพิเศษซื้อครุภัณฑ์

ที่พรรคเพื่อไทย นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย แถลงถึงการติดตามตรวจสอบทุจริตโครงการต้นกล้าอาชีพว่า คณะทำงานได้ติดตามโครงการต้นกล้าอาชีพที่รัฐบาลเปิดโอกาสให้ผู้ตกงาน หรือว่างงานได้สมัครเข้าโครงการเพื่อพัฒนาศักยภาพ กลับไปประกอบอาชีพยังภูมิลำเนาตัวเอง ซึ่งจากที่มีการช่วยเหลือเงินสนับสนุนให้ผู้อบรม 3 เดือนหลังจากการอบรมและรายงานตัวต่อเจ้าพนักงานปกครองตามภูมิลำเนาใน 24 จังหวัด

พบว่า ผู้เข้าร่วมโครงการ เช่น จ.ปราจีนบุรี ,อุทัยธานี , นครราชสีมา , อำนาจเจริญ , นครพนม , แพร่ , ขอนแก่น , ศรีสะเกษ , สุโขทัย , ตรัง , บุรีรัมย์ , เชียงราย , เชียงใหม่ ,ชลบุรี ทั้งหมด 239 หลักสูตรรวมเป็นเงิน 252,384,000 บาท น่าจะมีการทุจริต โดยการใช้บัญชีผี เบิกค่าอบรมเกือบทุกจังหวัด ขณะที่หลักสูตรอบรวม พบว่ามีการยัดเยียดหลักสูตร ให้ รีบ เร่ง รัด ขาดความพร้อม มีรายชื่อผีเข้าร่วมหลักสูตรเพื่อรับเงิน และยังพบว่าหลายคนไม่เข้าเรียนแต่ได้รับเงินของรัฐบาล และมีเจ้าหน้าที่บางคนมีชื่อเข้าอบรมด้วยซึ่งในการอบรม เจ้าหน้าที่ก็ไม่ได้ปฏิบัติงานตามหน้าที่ของตัวเอง แต่กลับมาหาลำไพ่พิเศษ โดยที่ไม่มีใครเข้ามาตรวจสอบโครงการเลย

"รัฐบาลไม่มีนโยบายในการติดตาม ตรวจสอบ ประเมินผลโครงการที่เกิดขึ้นอย่างจริงจัง ทำให้เกิดปัญหา ซึ่งผู้บริหารที่ดูแลโครงการน่าจะขาดความรับผิดชอบ ขาดความรู้ที่จะทำนโยบายให้มีผลในทางปฏิบัติ จึงเป็นนโยบายสร้างภาพแบบไฟไหม้ฟาง จับต้องความสำเร็จไม่ได้ และเป็นอีกโครงการหนึ่งที่ตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ เป็นความล้มเหลวของรัฐบาลอภิสิทธิ์ ซึ่งพรรคเพื่อไทยจะรวบรวมหลักฐานพร้อมราบยละเอียดอภิปรายรัฐบาลต้นปี 2553 แน่นอน"

โฆษกเพื่อไทย ยังกล่าวถึงความไม่โปร่งใสของโครงการไทยเข้มแข็งและโครงการต้นกล้าอาชีพอีกว่า จากการตรวจสอบพบโครงการไทยเข้มแข็งการจัดสรรครุภัณฑ์กระทรวงศึกษาธิการ ซื้อสินค้าแพงเกินจริง และมีการล็อคสเปคสินค้าเป็นล็อตใหญ่เรียบร้อยแล้ว มูลค่าความเสียหายกว่า 229,628,000 บาท เช่น รถบรรทุก ขนาด 1 ตัน 4 ล้อ จำนวน 201 คัน งบประมาณ 113,444,000 บาท รถบรรทุก ขนาด 1 ตัน 2 ล้อ 42 คัน งบ 30,156,000 บาท และรถโดยสาร ขนาด 11 ที่นั่ง 60 คัน งบประมาณ 77,400,000 บาท เป็นต้น

ขณะที่การล็อกสเปคทำให้เกิดปัญหามีการจัดสรรครุภัณฑ์เท่ากันหมดทุกพื้นที่ และมีการจัดสรรงบพิเศษจากคนใกล้ชิดนักการเมือง ข้าราชการ และพ่อค้าที่ล็อคสเปคสินค้า ซึ่งจากหนังสืออนุมัติโครงการ และงบประมาณของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ที่ ศธ 04006/2211ลงวันที่ 4 ก.ย.52 พร้อมสำเนาหนังสือสำนักงบประมาณด่วนที่สุด ที่ นร.0712/23871 ลงวันที่ 23 ก.ย.52 จะเห็นได้ว่ามีการประมูลงาน อนุมัติงบประมาณและลงนามสัญญาเรียบร้อยแล้ว ขณะที่ราคาสูงเกินจริง และโรงเรียนบางแห่งได้จ่ายเงินมัดจำส่วนหนึ่งไปแล้ว

นอกจากนี้ครุภัณฑ์บางรายการก็พบว่าไม่ได้กระตุ้นเศรษฐกิจในพื้นที่ ไม่สอดคล้อง SP2 ซึ่งคนที่ได้ประโยชน์มีเพียงไม่กี่กลุ่ม โดยขณะนี้มีความเสียหายรวมทั้งสิ้น 51 จังหวัด เช่น จ.ชุมพร , เชียงราย , เชียงใหม่ , ตราด , อำนาจเจริญ นครปฐม , เพชรบูรณ์ , ชัยภูมิ , สุพรรณบุรี และสุทัย เป็นต้น

"นายอภิสิทธิ์จะแก้ปัญหาโดยกฎเหล็ก 9 ข้อ หรือจะปล่อยให้มีกินหันเหมือนโครงการเศรษฐกิจพอเพียงที่ผ่านมา ที่หาคนผิดไม่ได้ แต่ประชาชนเสียหายแล้ว โดยเพื่อไทยจะรวบรวมข้อมูลทั้งหมดเพื่อนำไปอภิปรายไม่ไว้วางใจต้นปีหน้า และจะไม่ยื่นเรื่องป.ป.ช. จนกว่ามีการอภิปราย เพราะกลัวว่าการร้องต่อองค์กรอิสระจะเป็นการฟอกโครงการเสียเปล่าๆ "

โฆษกเพื่อไทยกล่าวอีกว่า รัฐบาลมีวิธีการติดตามตรวจสอบ สินค้าที่ราคาแพงเกินจริง และสินค้าล็อคสเปคอย่างไร ซึ่งทำให้มีการทุจริตทั้งเรื่องงบประมาณ ล็อคสเปคสินค้า ฮั้วประมูล อีกทั้งสินค้าไม่กระตุ้นเศรษฐกิจ สุดท้ายคนที่เข้มแข็งน่าจะเป็นนักการเมือง ข้าราชการ และพ่อค้านายหน้า ส่วนประชาชนที่ต้องรับภาระภาษีคงจะอ่อนแอ

โฆษกพรรคเพื่อไทยย้ำว่า ในวันพุธที่ 4 พ.ย.เวลา 10.00 น. พรรคจะลงพื้นที่ตรวจสอบการทุจริตทั้งโครงการไทยเข้มแข็ง โครงการต้นกล้าอาชีพ ทั้งในพื้นที่ กทม. และปริมณฑล

วันเสาร์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2552

ระวังตัวแทนสิทธิแห่งอาเซียน

ที่มา – UPI Asia.com
แปลและเรียบเรียง – แชพเตอร์ ๑๑

ฮ่องกง ประเทศจีน – เมื่อวันศุกร์ที่แล้วผู้แทนประชาสังคม ๑๐ คนได้เรียนรู้ว่า การเริ่มดำเนินการด้านสิทธิมนุษยชนในภูมิภาคเอเชีย เป็นเรื่องที่ลำบากยากเย็นเพียงไร ผู้แทนทั้งสิบคนคาดหมายว่า จะพบปะพูดคุยกับผู้นำต่างๆของสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรืออาเซียน ซึ่งผู้นำแต่ละคนเป็นตัวแทนของประเทศต่างๆ ก่อนที่จะเริ่มกระบวนการคัดสรรตำแหน่งคณะกรรมาธิการระหว่างรัฐบาล ว่าด้วยสิทธิมนุษยชน

แต่คืนก่อนหน้านั้น เจ้าหน้าที่จากกระทรวงการต่างประเทศของประเทศไทย ซึ่งใช้เป็นสถานที่จัดการประชุมดังกล่าว ได้มีคำสั่งว่า อนุญาตให้ผู้แทนประชาคมเพียงห้าคนเท่านั้นที่จะผ่านประตูเข้าไปได้ เมื่อผู้แทนทั้งห้าคนมาถึงสถานที่ประชุม เจ้าหน้าที่ได้สั่งอีกว่า ห้ามไม่ให้ทุกคนเปิดปากพูด

ยินดีต้อนรับสู่การสนทนาเรื่องสิทธิมนุษยชน แบบอาเซียน

ในแถลงการณ์ของนักเคลื่อนไหวที่ได้รับการปฏิเสธได้กล่าวว่า การกระทำเช่นนี้เป็น “การปฏิเสธทั้งประชาสังคมและระบอบประชาธิปไตย” ย่อม “ทำลายความน่าเชื่อถือ” ของคณะกรรมาธิการชุดใหม่ การรายงานของสื่อได้โทษกลุ่มที่ถูกห้ามว่า “ปากเสีย” และ “เยาะเย้ย” กรรมาธิการ

ทั้งหมดนี้ดูเหมือนจะเป็นการตื่นเต้นจนเกินเหตุ

เป็นที่แน่ชัดตั้งแต่แรกแล้วว่า วัตถุประสงค์ในการสรรหาคณะกรรมาธิการแห่งอาเซียนชุดใหม่ ไม่ใช่เพื่อปกป้องสิทธิมนุษยชน แต่มีวัตถุประสงค์ตรงกันข้าม

อาเซียนได้จัดตั้งคณะกรรมาธิการระหว่างรัฐบาลเพื่อให้รัฐบาลที่ร่วมเป็นสมาชิก และสถาบันสิทธิต่างๆที่ไร้ศักยภาพสามารถผลักไสการร้องเรียนเรื่องการละเมิดสิทธิให้ออกไปจากประเทศของตัวเอง พวกเขาจะได้ทำการล้างปัญหาอย่างมืออาชีพ แล้วดำเนินการโดยใช้ “ช่องทาง” และ “ยุทธวิธี” ต่างๆ จนกระทั่งจุดประสงค์เริ่มแรกถูกลืมไป และเจ้าทุกข์เกิดความท้อแท้และยอมแพ้ไปในที่สุด

แม้ว่าการมีคณะกรรมาธิการที่ไม่ได้ตั้งขี้นเพื่อเพื่อสนับสนุนสิทธิต่างๆ แต่มีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนการณรงค์ของบรรดาสมาชิก เพื่อให้ได้มาซึ่งตำแหน่งอันทรงเกียรติในระดับสากล เช่นเดียวกับคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ

ประเทศไทยได้ประกาศแล้วว่าจะส่งคนเข้าแข่งขันสำหรับตำแหน่งสูงสุดของคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติในปีหน้า เอกอัครราชทูตประจำสำนักงานสหประชาชาติคนปัจจุบันเคยดำรงตำแหน่งโฆษกรัฐบาลสมัยอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร ซึ่งสามารถสังหารผู้ถูกกล่าวหาว่าค้ายาเสพติดจำนวนนับพันในปี ๒๕๔๙

บทบาทใหม่ที่ได้รับการเลื่อนฐานะขึ้นมาให้ดำรงตำแหน่งผู้พิทักษ์สิทธิมนุษยชนของอาเซียน เอกอัครราชทูตคนนี้ได้ทำงานร่วมกับกรรมาธิการระหว่างรัฐบาล และอาจจะตั้งความหวังเพื่อตำแหน่งใหญ่โตในกรุงเจนีวา

รัฐบาลเหล่านี้ทำงานหนักในการดำเนินวิธีทางการทูตเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชน ไม่มีเหตุผลอะไรมากไปกว่าสิทธิมนุษยชนนั้นไม่ใช่เรื่องที่จะมาคาดหวัง เป็นเรื่องที่น่าสงสารที่กลุ่มผู้แทนประชาสังคมถูกหลอกให้เข้าร่วมประชุมทางการทูตนี้

ไม่เพียงแต่จะพิสูจน์ได้ว่า เสียทั้งเวลา เสียทั้งเงิน แต่ยังสร้างความเสียหายให้กับการปกป้องสิทธิมนุษยชนในเอเซียด้วย

การดำเนินวิธีการทางการทูตเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชน เป็นสาเหตุแห่งความล้มเหลวในการสัมผัสกับความเป็นจริงของการรณรงค์เพื่อสิทธิมนุษยชนอย่างแท้จริง วิธีทางการทูตเป็นการต่อรองและยืดหยุ่น เป็นการแอบจับมือตกลงกันหลังฉาก ในทางกลับกัน การรณรงค์นั้นคือการยืนหยัดในจุดยืนอย่างมั่นคง และจำเป็นที่จะต้องกระทำอย่างเปิดเผยต่อสายตาสาธารณะชน

นักการทูตด้านสิทธิต่างมีความกลัวที่จะอ้าปากพูด เนื่องจากพวกเขาอาจจะเหยียบตาปลาเจ้าหน้าที่ เสี่ยงต่อสถานะภาพของตัวเองกับนักการทูตคนอื่น พวกเขายอมทิ้งความสามารถในการเจรจาต่อรองประเด็นสำคัญๆในที่แจ้ง เพียงเพื่อจะรักษาเก้าอี้และได้รับการเชิดหน้าชูตาเท่านั้น

นี่คือเหตุผลว่าทำไม ตัวอย่างเช่น บางกลุ่มจึงได้ล้มเหลวในการประณามการใช้กฎหมายหมิ่นฯ ซึ่งนำมาใช้ปิดปากและจำคุกประชาชนในประเทศไทย เมื่อมาถึงจุดยืนแล้ว ไม่มีอะไรที่พวกเขาจะต้องลังเลเลย

นักการทูตด้านสิทธิอาจจะหลงตัวเองโดยคิดว่า จะปฏิบัติการให้สำเร็จโดยวิธีต่อรองอย่างเงียบๆ ราวกับว่าพวกเขาจะมาเจรจาการค้าหรือติดต่อซื้อขายอาวุธ ซึ่งการใช้วิธีการเยี่ยงนี้ถือว่า เป็นอันตรายต่อการปกป้องสิทธิมนุษยชนที่แท้จริง

จุดประสงค์ประการเดียวที่สำคัญที่สุดของการรณรงค์เพื่อสิทธิมนุษยชนคือ การเปิดปากพูด และท้าทายข้อต้องห้ามทั้งหลายที่ปล่อยให้มีการละเมิดสิทธิกันอย่างไม่หยุดหย่อน การทำงานเพื่อสิทธิมนุษยชนเป็นการยืนกรานให้มีการยุติการเซ็นเซอร์ในการถกเถียงถึงปัญหาต่างๆ อันเป็นต้นเหตุแห่งการละเมิดสิทธินั้น

การเซ็นเซอร์จะยุติลงได้ถ้ามีการรณรงค์ต่อต้าน ในทางกลับกัน วิธีทางการทูตเพื่อสิทธิมนุษยชนไม่เพียงแต่สนับสนุนการเซ็นเซอร์เท่านั้น แต่ยังได้บังคับให้ผู้ที่มีส่วนร่วมต้องทำการเซ็นเซอร์ตัวเองด้วย

ใครก็ตามที่เซ็นเซอร์ตัวเองโดยการพูดจาหลอกลวงไม่ควรได้รับความเห็นใจใดๆ หากนานไปพวกเขาพบว่า ต้องตกเป็นเหยื่อจากความพยายามในการต่อรองของตัวเอง แล้วมาร้องแรกแหกกระเชอเมื่อได้รับการปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม

ได้แต่หวังว่าพวกเขาจะได้เรียนรู้บทเรียนที่สำคัญ ว่าวิธีทางการทูตในเรื่องสิทธิมนุษยชน กับการรณรงค์เพื่อสิทธิมนุษยชนนั้นมันเอามาเปรียบเทียบกันไม่ได้ ใครก็ตามที่เลือกจะใช้วิธีทางการทูตย่อมต้องเลิกใช้วิธีการรณรงค์เพื่อสิทธิ และท้ายที่สุดการหยุดการรณรงค์หมายถึง การยอมแพ้ในเรื่องสิทธิมนุษยชน

ทลายขบวนการ "กลุ่ม16" ผลาญเงิน บีบีซี 8 หมื่นล้าน


ย้อนกลับไปเมื่อ 10 ปีก่อน แทบไม่มีใครเชื่อว่า แค่ความสัมพันธ์ระหว่างหญิงสาวชาวพม่าที่ชื่อ “มะไข่” กับ “สุชาติ ตันเจริญ” อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย และอดีตแกนนำนักการเมืองกลุ่ม 16 ยุค “บรรหาร ศิลปอาชา” เป็นนายกรัฐมนตรี เมื่อปี 2539 ที่สุดแล้วจะนำมาสู่การเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวงต่อระบบสถาบันการเงินในประเทศไทยอย่างใหญ่หลวง และทำให้นักการเมืองกลุ่ม 16 มีชนักติดหลังมากระทั่งทุกวันนี้

กว่าจะเป็นเช่นนั้น มีเสียงค่อนขอดว่า ข่าวทลายขบวนการนักธุรกิจ-นักการเมืองกลุ่ม 16 ผลาญเงินบีบีซี 80,000 ล้านบาท โดยกองบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ “มติชน” เป็นเพียงข่าวเก่าไม่ได้มี hint ใหม่แต่อย่างใด

ทว่า “มติชน” ลบเสียงครหาด้วยกระบวนการเจาะข่าว โดยนำเสนอชนิด “กัดไม่ปล่อย” อย่างหลากหลายมิติในเวลาต่อมา

มติชน ค่อยๆ เริ่มต้นแกะรอยถึงความสัมพันธ์ของอดีตแกนนำกลุ่ม 16 และหญิงสาว “มะไข่” จากบทความของ “ประสงค์ สุ่นศิริ” คอลัมนิสต์ชื่อดังของหนังสือพิมพ์แนวหน้าในยุคนั้น ที่ระบุว่า มีรัฐมนตรีคนหนึ่ง ครอบครัวค้าไม้ชายแดน เวลานำไม้เข้ามาก็จะมีผู้หญิงติดไม้มาด้วยชื่อมะไข่ โดยที่ “มะไข่” มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับรัฐมนตรีผู้นั้น

หลังจากนั้นตัวละครสำคัญ ค่อยๆ ถูกเปิดประตูขึ้น เมื่อ “มติชน” ตรวจสอบประวัติของมะไข่เบื้องต้น พบว่าเธอเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัท เอิร์ท อินดัสเตรียล จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯกว่า 16 ล้านหุ้น ร่วมกับ “เอกชัย อธิคมนันทะ” ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ธนาคารกรุงเทพฯพาณิชย์การ จำกัด (มหาชน) หรือ บีบีซี และเป็นที่ปรึกษา “เนวิน ชิดชอบ” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และแกนนำกลุ่ม 16 ในขณะนั้น ถือหุ้น 11.05 ล้านหุ้น และ “ชวลิต อธิคมนันทะ” พี่ชายของเอกชัย ที่ถือหุ้นอีก 10.14 ล้านหุ้น

ถัดมาด้วยความบังเอิญ ผู้สื่อข่าวมติชนได้รับเอกสารจากเพื่อนนักข่าวต่างสำนักฉบับหนึ่งซึ่งเป็นข้อมูลสำคัญของมะไข่

ปมหนึ่งที่มติชนพบจากเอกสารก็คือ การเทกโอเวอร์เอิร์ท อินดัสเตรียล ของมะไข่และเอกชัยในปี 2538 ขณะเดียวกันปมน่าสงสัยอีกประการคือ การใช้เทคนิคในการทำให้ราคาหุ้นสูง แล้วเทขายได้กำไร ทั้งๆ ที่เพิ่งซื้อบริษัทดังกล่าวมาไม่ถึงปี

เงินไปไหน ? หายอย่างไร ? มะไข่ซอเป็นใคร ? เป็นมะไข่คนเดียวที่ประสงค์ สุ่นศิริ เขียนถึงในแนวหน้าหรือไม่ ? ทุกสมมติฐานถูกตั้งคำถามอย่างรอบด้าน

“ประสงค์ เลิศรัตนวิสุทธิ์” มือข่าวเจาะชั้นครูของมติชน เล่าว่า เขานำเอกสารดังกล่าวมาวิเคราะห์ว่า ทำไมซื้อมาแค่ 11 เดือน จากราคา 11 บาท ขายได้ 16 บาท กำไรถึง 3-4 ร้อยล้าน เขาตั้งคำถามง่ายๆ ว่า เงินไปไหนอย่างไร ซึ่งเป็นคำถามเชิงธุรกิจที่ประสงค์ยอมรับว่า เขามีความรู้แค่งูๆ ปลาๆ
อย่างไรก็ตาม คำถามของประสงค์ถูกต่อยอดด้วยทีมข่าวเศรษฐกิจของมติชนในขณะนั้นว่า กรณีเช่นนี้ บีบีซีทำมาระยะหนึ่งแล้ว คือให้บริษัทหนึ่งกู้ แล้วให้อีกบริษัทหนึ่งมาซื้อไป จนทำให้มีกำไร
ส่งผลให้เวลาต่อมา คลังข้อมูลข่าวเจาะส่วนหนึ่งไหลมาจากโต๊ะข่าวเศรษฐกิจของมติชน อย่างไม่ขาดสาย

ขั้นตอนการแกะรอยปมปริศนาเป็นไปอย่างละเอียดทุกขั้นตอน มติชนค่อยๆ ตรวจสอบเอกสารจากตลาดหลักทรัพย์ฯว่า เกิดความผิดปกติเช่นนี้เหมือนกรณีมะไข่หรือไม่ กระทั่งเงื่อนปมค่อยๆ ถูกคลี่ออก

เมื่อมติชนพบว่าบีบีซียังได้ปล่อยสินเชื่อให้กับกลุ่มนักธุรกิจต่างประเทศ เช่น “อัดนัน คาช็อกกี้” นักค้าอาวุธชาวซาอุดีอาระเบีย นักธุรกิจ-การเมืองกลุ่ม 16 “ฉัฐวัสส มุตตามระ” เลขาธิการพรรคเอกภาพในยุคนั้น แม้กระทั่ง “ไพโรจน์ เปี่ยมพงษ์สานต์” ประธานกลุ่มบ้านฉาง รวมเป็นเงินนับหมื่นล้านบาท เพื่อเทกโอเวอร์บริษัทในตลาดหลักทรัพย์กว่า 10 บริษัท

นอกจากนี้ มติชนยังรวบรวมข้อมูลจากนิตยสารดอกเบี้ยรายเดือน พบว่ามีบริษัท 5-6 บริษัท ที่เข้าเทกโอเวอร์เพียงครึ่งปีหรือหนึ่งปีก็ขายทิ้งเหมือนจับตะกร้าล้างน้ำ ซื้อมาขายไปได้กำไรหลายร้อยหลายพันล้านบาท เช่น บริษัท ชลประทานซีเมนต์ จำกัด(มหาชน) ของกลุ่มสุชาติได้กำไรกว่า 1,000 ล้านบาท

ข้อมูลของมติชนน่าเชื่อถือและสร้างความตื่นตะลึงให้กับสังคมมากขึ้นเรื่อยๆ

แหล่งข่าวเปิดเผยมติชนว่า มีการปล่อยสินเชื่อให้กับนักธุรกิจ-นักการเมืองกลุ่ม 16 ในการเทกโอเวอร์บริษัทต่างๆ ในตลาดหลักทรัพย์ถึง 15 บริษัท รวมทั้งสิ้น 21 ครั้ง ในช่วงเวลาแค่ปีเศษ เป็นวงเงินสูงถึง 36,000 ล้านบาท โดยกลุ่มที่เข้าเทกโอเวอร์มีเพียงไม่กี่กลุ่มเท่านั้น

จากปมสวาทกลายเป็นประเด็นใหญ่ที่อาจส่งผลอันตรายต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศ มติชนจึงนำข้อมูลเบื้องต้นรวบรวมเสนออย่างเป็นระบบ เพื่อไขปริศนาเทกโอเวอร์หุ้นเน่าดังกล่าว
ข่าว สกู๊ป รายงาน บทวิเคราะห์ บทความ ถูกนำเสนออย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ “สุรเกียรติ์ เสถียรไทย” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในขณะนั้น ได้สั่งให้ธนาคารแห่งประเทศไทยและเลขาธิการคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ตรวจสอบและรายงานให้ทราบโดยด่วน

นอกจากนักธุรกิจ-นักการเมืองกลุ่ม 16 แล้ว ตัวละครสำคัญของข่าวเจาะชิ้นนี้ อย่าง “ราเกซ สักเสนา” นักธุรกิจชาวอินเดีย ที่ปรึกษาของ “เกริกเกียรติ ชาลีจันทร์” กรรมการผู้จัดการใหญ่แห่งบีบีซี คืออีกหนึ่งความยากในการแกะรอย เพราะกว่าที่มติชนจะหาข้อมูลมาปะติดปะต่อว่า นายราเกซผู้นี้เป็นใคร ทำเอานักข่าวใช้เวลาแรมเดือนในการเก็บข้อมูล

ความยากประการหนึ่งในการแกะรอยนักธุรกิจใหญ่ชาวอินเดียผู้นี้ ประสงค์บอกว่า การรวบรวมชื่อและข้อมูลที่เราคิดว่าเกี่ยวข้องกับราเกซให้มากที่สุด หรือค้นจากการที่มีคนบอกเล่าเกี่ยวกับนายคนนี้ ซึ่งอาจจะใช่หรือไม่ใช่ก็ได้ เพราะยุคนั้นระบบสืบค้นโดยอินเทอร์เน็ตยังไม่มี เมื่อได้ข้อมูลมาแล้ว ต้องไปค้นเพิ่มเติมที่กรมทะเบียนการค้า ( กรมพัฒนาธุรกิจ) กระทรวงพาณิชย์

ประสงค์ ล่าว่า แหล่งข่าวระดับสูงคนหนึ่งบอกว่า ราเกซนี่แหละเป็นคนสำคัญ แล้วเขาก็ให้ชื่อบริษัท ให้ชื่อกลุ่มคนกับเรา เราก็พยายามจดรวบรวมให้ได้ทั้งหมด แล้วไปค้นที่กรมทะเบียนการค้า กระทรวงพาณิชย์

สิ่งที่มติชนพบคือ ข้อมูลกลุ่มบุคคลกลุ่มหนึ่งที่โยงใยเกี่ยวกับราเกซ ที่สำคัญกลุ่มคนเหล่านี้มีบทบาทอย่างสูงในการเข้าเทกโอเวอร์และบริหารบริษัทที่ถูกเทกโอเวอร์หลายบริษัท

มติชนนำข้อมูลที่ได้ทั้งหมดจัดทำข้อมูลข่าวอย่างเป็นระบบ ถึงพฤติกรรมและเส้นทางการเงิน การซื้อหุ้นของกลุ่มก๊วนเศรษฐีอินเดียผู้นี้

กระทั่งเกริกเกียรติยอมรับกับมติชนในเวลาต่อมาว่า บีบีซีได้ปล่อยเงินกู้จำนวนหนึ่งให้กับราเกซ ทว่ากรรมการผู้จัดการใหญ่แห่งบีบีซียังคงปิดปากเงียบถึงจำนวนเงินกู้ดังกล่าว

กระนั้นก็ตาม จำนวนเงินกู้เกินหลักพันล้านบาทถูกเปิดเผยจากแหล่งข่าวระดับสูงในบีบีซีในเวลาต่อมา ท่ามกลางข่าวลือว่า กระทรวงการคลังเตรียมแผนปลดเกริกเกียรติออกจากตำแหน่งในทางการเมือง ประตูสวรรค์เริ่มเปิดออก ปมที่มติชนแกะรอยมานานแรมปี ถูกนำไปขยายผลโดยพรรคประชาธิปัตย์ ที่กลับมาทวงแค้นจากนักการเมืองกลุ่ม 16 ด้วยการเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจเมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2539

ประเด็นที่พรรคสะตอหยิบมาถล่มเวลานั้นก็คือ กรณีบริษัทในครอบครัว “ตันเจริญ” คือ บริษัท ซีล่าร์ อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์วิส และบริษัทวินิเวส ไปซื้อที่ดินยังจังหวัดหนองคาย แล้วนำไปค้ำประกันการขอกู้เงินจากบีบีซี เพื่อนำเงินไปซื้อหุ้นทำกำไรในระยะสั้น ทว่าที่ดินเหล่านั้นกลับเป็นที่ดินที่ออก น.ส. 3 ก.โดยมิชอบ ส่งผลให้เกิดเอ็นพีแอลอย่างมหาศาลในบีบีซี

รวมถึงกรณีนักการเมืองกลุ่ม 16 จำนวนหนึ่งไปกู้ยืมเงินจากบีบีซี เพื่อนำไปซื้อหุ้นบริษัทต่างๆ ในตลาดหลักทรัพย์ ส่งผลให้สุชาติ ตันเจริญ แถลงลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทยทั้งน้ำตา

ประสงค์ ล่าถึงควันหลงหลังการอภิปรายว่า หลังจากสุเทพ เทือกสุบรรณ เอาข้อมูลมาแฉกลางสภา ทุกคนก็ตกตะลึงว่า เขาเอาข้อมูลมาจากไหน เพราะมันเยอะมาก ซึ่งภายหลังสุเทพเล่าให้ฟังว่า ส่วนหนึ่งเขาเอาฐานมาจากมติชน แล้วก็เอาไปแกะเพิ่มเติม

ประชาธิปัตย์นำข้อมูลหลักฐานการปล่อยสินเชื่อของบีบีซีไปถล่มนักการเมืองกลุ่ม 16 ในสภา ว่าทำให้เกิดความเสียหายต่อบีบีซีสูงถึง 70 กว่าล้านบาท

ประชาชนแห่ไปถอนเงินวันละ 2,000 ล้านบาท

การเปิดโปงความจริงส่งผลกระทบต่อฐานะความมั่นคงของบีบีซีอย่างรุนแรง จนธนาคารแห่งประเทศไทยต้องสั่งให้กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินเพิ่มทุนทันที 5,400 ล้านบาท เพื่อเข้าควบคุมการบริหารงานได้อย่างเต็มที่

ขณะที่กระทรวงการคลังต้องประกาศเข้าควบคุมบีบีซีอย่างเบ็ดเสร็จ

แรงกดดันจากการนำเสนอข่าวอย่างต่อเนื่อง ได้นำไปสู่การดำเนินคดีกับนายเกริกเกียรติ ชาลีจันทร์ และราเกซ สักเสนา ในข้อหายักยอกทรัพย์บีบีซี 1,657 ล้านบาท

วันศุกร์ที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2552

พ่อแม่รังแกฉัน

Posted by ภีรเดช โกตมวรีสุรนารถ

ตอนเรายังเด็กๆ หลายท่านคงจะจำบรรยากาศในการเรียนได้ ข้าพเจ้านั้นเรียนโรงเรียนบ้านนอกเพราะเป็นเด็กบ้านนอก เกิดมาความเป็นบ้านนอกก็ครอบคลุมตัวมาตั้งแต่เกิด จำได้ว่าเมื่อก่อนนั้นถนนหนทางเป็นดินโคลนและเวลาฝนตกลงมาก็เป็นเรื่องสนุกสนานตามประสาเด็ก เปรอะเปื้อนเลอะเทอะตามนโยบายเด็ก และที่สำคัญข้าพเจ้าคิดว่าหลายท่านคงจะอยากกลับไปเป็นเด็กอีกครั้งหนึ่ง

พอโตขึ้นมาหน่อยก็ขยับวิทยะฐานะไปเรียนในเมือง มีเพื่อนฝูงเยอะแยะเช่นกัน แต่ถึงจะเป็นในตัวเมืองก็เป็นตัวเมืองบ้านนอกไม่ได้มีสิ่งเจริญอันใดเป็นที่เชิดหน้าชูตาแต่และสถานที่เรียนที่ใหม่ที่ว่านี่เองที่ทำให้ข้าพเจ้าได้พบกับเรื่องที่ข้าพเจ้าจะนำมาเล่าให้ฟัง นั่นคือการเรียนวิชาภาษาไทย

ข้าพเจ้าจำได้ว่าวิชาภาษาไทยตอนเด็กๆ นี่ไม่มีใครชอบเท่าใดนัก จากที่มองบรรยากาศในตอนนั้นของเพื่อนๆ ที่เรียนด้วยกันแล้วบอกได้เลยว่าแสนน่าเบื่อ สิ่งหนึ่งที่ข้าพเจ้าจำได้ในวิชาภาษาไทยคือนอกจากการเรียนที่น่าเบื่อที่มาจากคนสอนที่น่าเบื่อแล้ว เนื้อเรื่องที่นำมาเรียนก็แสนจะไม่เข้าท่า แต่มีเนื้อเรื่องเรื่องหนึ่งที่ข้าพเจ้าจำได้จนถึงวันนี้และข้าพเจ้าคิดว่าหลายท่านก็จำได้และผ่านตามาแล้วเช่นเดียวกันนั่นคือบทประพันธ์ของพระยาอุปกิติศิลปสารที่มีชื่อว่า “พ่อแม่รังแกฉัน”
บทประพันธ์เรื่องนี้นอกจากชื่อที่สะดุดหูแล้ว เนื้อหาก็เข้าใจแสนง่ายขนาดข้าพเจ้าเป็นเด็กถึงแม้จะไม่ใช่เด็กมากแต่ก็ไม่อยู่ในวิสัยที่จะแยกแยะความไพเราะหรือแก่นสารของเนื้อหาได้ง่ายๆ เช่นกัน บทประพันธ์เรื่องนี้เป็นกลอนมีสัมผัสนอก สัมผัสในไพเราะข้าพเจ้าสามารถท่องจำได้เลยก็ว่าได้ในตอนนั้น ที่จำขึ้นใจเลยคือเริ่มว่า

มีซินแสแก่เฒ่าได้เล่าขาน ……….

แต่ข้อหนึ่งแต่แกเล่าเขาประสงค์ มุ่งจำนงในข้างเป็นทางสอน

ชี้ทางธรรม์มรรยาทแก่ราษฎร เหมือนละครสุภาษิตไม่ผิดกัน

จำได้กันหรือเปล่าครับ? เนื้อเรื่องของบทประพันธ์นี้ได้กล่าวถึงเรื่องของเศรษฐีผู้หนึ่งที่มีบุตรชายหัวแก้วหัวแหวนสุดรักสุดเสน่หา เศรษฐีผู้นี้ตามใจบุตรชายคนนี้มากถึงขนาด ตอนเป็นเด็กบุตรชายถึงอายุเกณฑ์ที่จะต้องศึกษาเล่าเรียนแต่ว่าระยะทางไปโรงเรียนนั้นไกลจากบ้านของเศรษบีมากนัก ไม่อยากให้บุตรชายต้องลำบากในการเดินทาง เพราะฉะนั้นจึงได้ว่าจ้างครูผู้หนึ่งมาสอนบุตรชายที่บ้านของตน ฝ่ายบุตรชายนั้นเล่าตามสันดานของเด็กที่เป็นกันทุกคนคือเีกียจคร้าน หาแต่ความสุขสนุกสนานใส่ตัว ไม่สนอกสนใจในการศึกษาเล่าเรียนที่ผู้เป็นครูอาจารย์พร่ำสอน ฝ่ายครูนั้นก็แสนประเสริฐอยากให้ลูกศิษย์ของตนได้ดีมีวิชาความรู้ติดตัวจึงได้เฆี่ยนตีเพื่อให้หราบจำ แต่บุตรชายของเศรษฐีนั้นเป็นเด็กที่เอาแต่ใจตัว ไม่เคยถูกกระทั่งเฆี่ยนตีมาก่อน จึงนำความไปฟ้องบิดา ครั้นฝ่ายบิดาก็เห็นว่าบุตรชายนั้นได้รับความทรมานอย่างเหลือแสนจึงได้บอกเลิกสัญญาว่าจ้าง แล้วจึงไปหาครูอาจารย์คนอื่นมาสอนบุตรชายเสียใหม่แทนครูผู้เดิม

แต่เปลี่ยนครูอยู่ฉะนี้ไม่มีเหมาะ มักทะเลาะเลิกเรียนต้องเปลี่ยนใหม่

พวกครูๆ เข็ดกลัวกันทั่วไป ถึงจะให้เงินมากไม่อยากเอา

บิดาผู้รักบุตรสุดจะกลุ้ม ลูกเป็นหนุ่มใหญ่โตยังโง่เง่า

เที่ยวจ้างครูอยู่ห่างต่างลำเนา ค่าจ้างเท่าไหร่นั้นไม่พรั่นกลัว

แต่ก็ไม่ยืดไปเท่าไรนัก ประเดี๋ยวชักเหหันต้องสั่นหัว

เผอิญมาปะครูที่รู้ตัว แกหวังชั่วค่าสอนสู้ผ่อนตาม

พอบุตรชายของเศรษฐีนั้นเติบใหญ่ก็ยังไม่มีวิชาความรู้ติดตัว เที่ยวเล่นไม่สนใจการเรียนการอ่าน ครูอาจารย์ที่เอามาสอนก็กินเงินเดือนอย่างเดียวไม่สนใจลูกศิษย์ว่าจะร่ำเรียนหรือไม่ ไม่นานผู้เป็นบิดาก็เสียชีวิตตามอายุขัย เด็กหนุ่มจะรู้สึกเศร้าโศกก็หาไม่ ยังคงเที่ยวสัมมะเลเทเมาทุกค่ำเช้าอยู่เรื่อยไป พาเพื่อนฝูงเข้าออกผลาญสมบัติผู้เป็นบิดาจนหมดสิ้น จนตนเองไม่มีที่อยู่ที่กิน

คิดถึงครูผู้สอนถึงก่อนเก่า บางคนเฝ้าฝึกฝนพ้นวิสัย

บางคนเฝ้าจู้จี้พิรี้พิไร ไม่ถูกใจฟ้องพ่อก็อออือ

จนเหลวไหลได้เข็ญถึงเช่นนี้ พ่อแม่ที่รักลูกทำถูกหรือ

สิ่งใดพาเสียคนพาปรนปรือ ร้องไห้ฮือบ่นว่าเหมือนบ้าบอ

วันหนึ่งเด็กหนุ่มเดินทางไปขอทานยังต่างเมืองเพราะไม่มีอะไรจะกินแล้ว และได้ไปเจอซินแสท่านหนึ่งที่หน้าบ้านท่าน ร้องขอข้าวปลาอาหารเพื่อมาประทังชีวิต ฝ่ายซินแสนั้นพินิจพิเคราะห์ลักษณะแล้วเห็นว่าเด็กหนุ่มผู้นี้น่าจะเกิดมาเป็นลูกผู้ดีมีอันจะกิน จึงคิดไปว่าเจ้าเด็กหนุ่มนั้นมาหลอกลวงตนเองจึงได้พยายามขับไล่ไปเสียให้พ้นๆ ฝ่ายเด็กหนุ่มผู้ขอทานได้ฟังซินแสกล่าวอ้างก็ร้องห่มร้องไห้เล่าพรรณนาให้ฟังถึงอดีตที่ผ่านมา ว่าเป็นเพราะพ่อแม่ตนที่ไม่อบรมเอาแต่เที่ยวตามใจทำให้ต้องมีสภาพเช่นขอทานเหมือนปัจจุบัน ซินแสได้ฟังก็สอนว่าอย่าไปตำหนิพ่อแม่เลยถึงอย่างไรพ่อแม่รักลูกผิดไปเช่นไรพวกเขาก็ได้ตายจากไปแล้ว

เวลานั้นตัวเจ้ายังเยาว์อยู่ จึงไม่รู้ยั้งตนจนฉิบหาย

เดี๋ยวนี้เจ้ารู้สึกสำนึกกาย จงขวนขวายฝึกหัดดัดสันดาน

ข้าจักเป็นพ่อแม่ช่วยแก้ไข ต้องตามใจแต่ข้าจะว่าขาน

ถ้ายอมตามข้าว่าไม่ช้านาน จักไม่ต้องขอทานเขาต่อไป

ที่ข้าพเจ้านำมาเล่าอ้างให้ท่านฟังนี้ไม่ได้เป็นการย้อนอดีตในวันวานแต่อย่างเดียว แต่อยากจะสะท้อนว่าการที่ “พ่อแม่รังแกฉัน” นั้นในปัจจุบันนี้การที่ว่านี้ก็ยังมีและดำรงอยู่ตลอดจนส่งผลกระทบเป็นวงกว้างต่อสังคมไทยในปัจจุบัน ที่เห็นได้ชัดเจนในการนี้และสมควรจะนำมากล่าวอ้างเพื่อความศิวิไลซ์ของบ้านเมืองนั่นคือ “พ่อแม่รังแกนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ผู้เป็นนายกรัฐมนตรีอยู่ในขณะนี้ ถึงแม้พ่อแม่นายอภิสิทธิ์จะส่งเสียให้นายอภิสิทธิ์ได้เล่าเรียนถึงเมืองนอกเมืองนาไปไกลถึงกรุงอังกฤษตั้งแต่เด็กๆ และสามารถร่ำเรียนได้อยู่ในอันดับที่ดีเด่นจนเป็นที่เชิดหน้าชูตา ซึ่งไม่เหมือนกับบทประพันธ์ข้างต้นแต่อย่างใด แต่ผลที่ได้นั้นกลับเหมือนกันอย่างน่าใจหาย

คือฝ่ายแรกนั้นไม่เรียนจึงไม่รู้ ทำให้ไม่สามารถทำมาหากินหรือประกอบสัมมาชีพได้จนทำให้ตนตกที่ลำบากเดือดร้อน แต่ฝ่ายหลังนั้นศึกษาร่ำเรียนมาถึงขนาดแต่มาประกอบสัมมาชีพแล้วสร้างความเดือดร้อนให้แก่ผู้อื่นโดยที่ตนอาจจะไม่รู้ว่าได้กระทำตนเช่นนั้น และคิดว่าตนนั้นได้ทำสัมมาชีพที่เป็นประโยชน์ต่อชาติบ้านเมืองและก็ไม่มีใครผู้ใดอื่นที่จะมาคอยตักเตือนเหมือนเช่นซินแสในบทประพันธ์ข้างต้น

เพราะฉะนั้นหากนายอภิสิทธิ์ ที่ข้าพเจ้าคิดว่าไปเรียนเมืองนอกเมืองนามาตั้งแต่เด็กแต่เล็กอาจจะไม่เคยได้อ่านบทประพันธ์นี้ของพระยาอุปกิตศิลปสาร ต้องสมควรหาเวลามาอ่านและมาคิดทบทวนว่าเรื่องที่พระยาอุปกิตฯ ได้ประพันธ์ขึ้นนั้น สมควรจะนำมาประกอบเป็นแง่คิดในการดำรงชีวิตของตนและการบริหารชาติบ้านเมืองนี้หรือไม่ เพราะหากนายอภิสิทธิ์ได้อ่านบทประพันธ์นี้และทำความเข้าใจอย่างดีแล้ว บ้านเมืองนี้คงจะเดินไปในทิศทางที่น่าจะดีกว่าในปัจจุบันนี้อย่างแน่นอน เพราะในตอนท้ายของบทประพันธ์หากนายอภิิสิทธิ์อ่านจนจบได้ก็จะทราบว่าเรื่องนี้จบอย่างแฮปปี้เอนดิ้งและที่ข้าพเจ้าอยากจะแนะนำให้คุณอภิสิทธิ์ได้ไปอ่านดูนี้ก็เพื่อประเทศชาติบ้านเมืองของเรา เพราะนายอภิสิทธิ์ไม่ได้ทำหน้าที่เฉพาะค้าขายเป็นกิจการของตนแต่การที่กำลังปฏิบัติอยู่นี้มีชาติบ้านเมืองเป็นที่ตั้งและหวังเป็นอย่างสูงว่า “พ่อแม่รังแกฉันเวอร์ชั่นที่ ๒๗” ของนายอภสิทธิ์ จะจบอย่างแฮปปี้เอนอิ้งด้วยเช่นกัน

ลงท้ายลูกเศรษฐียินดีรับ ไปอยู่กับซินแสแก้นิสัย

ไม่ว่ามีกิจการสถานใด แกใช้ให้ทำสิ้นจนชินการ

แกปรานีจี้ไชด้วยใจรัก จนรู้จักค้าขายหลายสถาน

อยู่กับหมอต่อมาไม่ช้านาน ก็พ้นการทุรพลเป็นคนแคลน….

จ่อเชือด 5 พนักงาน รฟท.หยุดเดินรถ-สาวิทย์ แกนนำพันธมิตร รุ่น 2 โดนด้วย

เดลินิวส์ : เผย’สาวิทย์’ ติดโผด้วย พร้อมเรียกค่าเสียหาย 70ล. หลังพบหลักฐานชัดเจนละทิ้งหน้าที่-ขัดขวางเดินรถ

วันนี้(30 ต.ค.) รายงานข่าวแจ้งว่า นายยุทธนา ทัพเจริญ ผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ทางผู้บริหารการรถไฟเตรียมฟ้องเลิกจ้าง 5 พนักงานการรถไฟ และเรียกค่าเสียหาย 70 ล้านบาท เนื่องจากมีหลักฐานความผิดชัดเจนในการละทิ้งหน้าที่ รวมทั้งมีพฤติกรรมขัดขวางการเดินรถไฟไม่ให้เป็นไปตามปกติ ส่วนที่เหลือจะรวบรวมพยาน หลักฐาน ดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป

ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า 1 ใน 5 ของพนักงานที่จะถูกฟ้องเลิกจ้างนั้น มีชื่อของ นายสาวิทย์ แก้วหวาน ประธานกลุ่มสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจการรถไฟแห่งประเทศไทย รวมอยู่ด้วย