--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันศุกร์ที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2556

คณะกรรมการอิสระว่าด้วยการส่งเสริมหลักนิติธรรมแห่งชาติชงร่าง กม.นิรโทษฯให้ ส.ว.-ส.ส.นำเข้าสภา !!?



อุกฤษ. โยนร่างกฎหมายนิรโทษกรรม ถามความเห็นส.ว.-ส.ส. ด้าน"เจริญ" เผยไม่ได้ยื่นร่างกฎหมายให้สภาฯพิจารณาตอนนี้

นายอุกฤษ มงคลนาวิน ประธานกรรมการอิสระว่าด้วยการส่งเสริมหลักนิติธรรมแห่งชาติ (คอ.นธ.) ได้ส่งเอกสารข่าวถึงสื่อมวลชนประจำรัฐสภา ถึงประเด็นการเสนอร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) นิรโทษกรรมแก่ผู้ซึ่งกระทำความผิดเนื่องในการชุมนุมทางการเมืองของประชาชน ระหว่างวันที่ 19 กันยายน พ.ศ.2549 ถึงวันที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ.2554 พ.ศ.... เพื่อให้ ส.ส. และส.ว.พิจารณาร่วมสนับสนุนและเข้าชื่อนำเสนอร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมดังกล่าวเข้าสู่การพิจารณาของสภา โดยร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม คอ.นธ. ได้ให้เหตุผลว่า โดยสภาพสังคมไทยในปัจจุบันที่มีปัญหาเกี่ยวกับการแบ่งแยกทางความคิดและการแบ่งฝ่ายทางการเมือง จนนำมาสู่ปัญหาความขัดแย้งของสังคมและทางการเมืองที่รุนแรง อย่างไม่เคยปรากฎมาก่อน มีการชุมนุมประท้วงทางการเมืองและเกิดการกระทำผิดต่อกฎหมายบ้านเมืองอย่างกว้างขวาง จากสภาพปัญหาดังกล่าวได้ร้ายลึกลงไปสู่สังคมไทยทุกระดับ และนำไปสู่วิกฤตทางด้านความมั่นคง การเมือง เศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม

ทั้งนี้เมื่อคำนึงว่าบรรดาการกระทำใด ๆ ที่ประชาชนได้ทำเพื่อแสดงออกซึ่งความคิดเห็นทางการเมืองเป็นเสรีภาพขั้นพื้นฐานของประชาชน จึงสมควรให้มีการนิรโทษกรรมแก่ประชาชนในกรณีดังกล่าว เพือให้สังคมกลับมาสงบสุข มีความสามัคคี ร่วมพัฒนาประเทศให้มีความมั่นคงและเข้มแข็ง

สำหรับร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฯ ดังกล่าว ได้เขียนไว้ทั้งหมด 6 มาตรา โดยมีสาระสำคัญ ระบุไว้ในมาตรา 3 ระบุว่าให้บรรดาการกระทำใดๆ ของบุคคลที่เกี่ยวเนื่องกับการชุมนุทางการเมืองหรือการแสดงออกทางการเมือง ไม่ว่าจะเป็นการฝ่าฝืนกฎหมายที่ห้ามการชุมนุม การกล่าววาจาหรือโฆษณาด้วยวิธีการใดเพื่อเรียกร้องหรือให้มีการต่อต้านรัฐ การต่อสู้ขัดขืนการดำเนินการของเจ้าหน้าที่รัฐ หรือการประท้วงด้วยวิธีการใด ๆ อันเป็นการกระทบต่อร่างกายหรือทรัยพ์สินของบุคคลอื่นซึ่งเป็นเหตุการณ์ต่อเนื่องจากการชุมนุมทางการเมืองหรือการแสดงออกทางการเมือง ตั้งแต่วันที่ 19 กันยายน พ.ศ.2549 จนถึงวันที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ.2554 ไม่เป็นความผิดต่อไป และให้ผู้กระทำการนั้นพ้นจากการเป็นผู้กระทำความผิดและความรับผิดชอบโดยสิ้นเชิง

การกระทำในวรรคหนึ่งไม่รวมการกระทำใด ๆ ของบรรดาผู้ซึ่งมีอำนาจในการตัดสินใจหรือสั่งการให้มีการเคลื่อนไหวทางการเมืองในห้วงเวลาดังกล่าว และไม่รวมถึงเจ้าหน้าที่ของรัฐที่เกี่ยวข้องกับการใช้อำนาจตามกฎหมายในการรักษาความสงบหรือยุติเหตุการณ์นั้น

มาตรา 4 เมื่อ พระราชบัญญัตินี้มีผลบังคับใช้แล้ว ถ้าผู้กระทำการตามมาตรา 3 วรรคหนึ่งยังมิได้ถูกฟ้องต่อศาล ให้พนักงานสอบสวนหรือพนักงานอัยการระงับการสอบสวนหรือการฟ้องร้อง หากถูกฟ้องต่อศาลแล้วให้พนักงานอัยการถอนฟ้อง หรือ หากจำเลยร้องขอหรือศาลเห็นเองให้ศาลพิพากษายกฟ้องหรือสั่งจำหน่ายคดี

ในกรณีที่มีคำพิพากษาถึงที่สุดให้ลงโทษบุคคลใดก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้มีผลใช้บังคับ ให้ถือว่าบุคคลนั้นไม่เคยต้องคำพิพากษาว่าได้กระทำความผิด และถ้าผู้นั้นอยู่ระหว่างการรับโทษให้การลงโทษนั้นสิ้นสุดลงและปล่อยตัวผู้นั้น

มาตรา 5 การดำเนินการใดๆ ตามพระราชบัญญัตินี้ไม่เป็นการตัดสินใจของบุคคลซึ่งไม่ใช่องค์กรหรือหน่วยงานของรัฐในการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนจากการกระทำของบุคคลใดซึ่งพ้นจากความรับผิดชอบตามพระราชบัญญัตินี้และทำให้ตนต้องได้รับความเสียหาย

มาตรา 6 ให้นายกรัฐมนตรีรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าในเอกสารข่าวดังกล่าว ได้แนบ พ.ร.บ.นิรโทษกรรมแก่นักเรียน นิสิต นักศึกษาและประชาชนซึ่งกระทำความผิดเกี่ยวเนื่องกับการเดินขบวน เมื่อวันที่ 13 ต.ค. 2516 พ.ศ.2516 มาให้พิจารณาด้วย

ด้านนายเจริญ จรรย์โกมล รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 1 ฐานะผู้ที่พิจารณาการบรรจุร่างกฎหมายเข้าสู่ที่ประชุมของสภา เปิดเผยว่า ร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมดังกล่าว ยังไม่ได้ถูกนำเสนอให้ตนพิจารณาบรรจุเข้าสู่ระเบียบวาระ อย่างไรก็ตามหลักการ นายอุกฤษ ถือเป็นภาคประชาชน ดังนั้นหากจะมีการเสนอร่างกฎหมายต้องปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ คือให้ประชาชนร่วมเข้าชื่อเสนอกฎหมาย ส่วนตัวมองว่าการเสนอร่าง พ.ร.บ.เพื่อให้นิรโทษกรรม จะนำไปสู่การพิจารณาออกมาเป็นกฎหมายบังคับใช้ได้ต้องพิจารณาบนหลักการของเหตุผล เพราะขณะนี้ภาคส่วนของสังคมยังคงใช้ความรู้สึก และมีความกังวลว่าจะเป็นการออกกฎหมายนิรโทษกรรมเพื่อบุคคลใดหรือไม่

ขณะที่นายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย รองประธานวุฒิสภา คนที่ 1 กล่าวว่า การเสนอร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรมดังกล่าว มี 2 ประเด็นที่ต้องพิจารณาให้รอบคอบ คือ 1.การกำหนดช่วงเวลาในร่างกฎหมาย ต้องคำนึงถึงความเป็นธรรมทุกกลุ่มทุกสี เช่น เมื่อระบุว่า จะนิรโทษกรรมให้ ตั้งแต่วันที่ 19 กันยายน 2549 ถือว่านับวันที่รัฐประหารเป็นเกณฑ์ แต่ก่อนที่จะเกิดรัฐประหารนั้น มีการชุมนุมทางการเมืองมาก่อนหน้านั้น ดังนั้นต้องพิจารณาให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน และ 2. บุคคลที่จะได้รับสิทธิ์นิรโทษกรรม จะรวมถึงแกนนำผู้ชักชวน ยุยง ปลุกปั่นด้วยหรือไม่ ซึ่งประเด็นดังกล่าวต้องพิจารณาให้รอบคอบ ชัดเจนเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาหรือตีความภายหลัง สำหรับห้วงเวลาที่เหมาะแก่การพิจารณา ช่วงนี้ก็สามารถพูดคุยกันได้ หากไม่มีนัยยะแอบแฝง

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

สู้กันต่อไป : บทบันทึกจากวันพิพากษา !!?



โดย กำลังก้าว

กว่าศาลจะนั่งบัลลังก์ก็เป็นเวลาเลย 10.30 น.ไปแล้ว

ผู้สังเกตการณ์พิจารณาคดีมากกว่า 150 คน มารอในห้องพิจารณาคดีที่ 704 ของศาลอาญา กันตั้งแต่เวลานัดหมายคือ 9.00 น. ห้องพิจารณาเป็นห้องขนาดใหญ่ ส่วนใหญ่ใช้ในคดีใหญ่ๆ และมีผู้คนให้ความสนใจค่อนข้างมาก เช่น คดีก่อการร้ายของแกนนำนปช. ห้องมีม้านั่งไม้สำหรับนั่งฟังการพิจารณาจุคนได้กว่า 100 คน ยังต้องเสริมเก้าอี้เดี่ยวเข้าไปอีกหลายสิบตัว แต่หลายคนที่มาทีหลังก็ยังไม่มีที่นั่ง

ผู้เข้าร่วมสังเกตการณ์คดีนี้จำนวนมากเป็นชาวต่างชาติ ทั้งจากสถานทูตประเทศต่างๆ องค์กรด้านสิทธิมนุษยชน องค์กรด้านแรงงาน รวมทั้งสื่อต่างประเทศ ส่วนคนไทย มีทั้งนักวิชาการ นักกิจกรรม คนเสื้อแดงกลุ่มย่อย รวมทั้งเพื่อนนักศึกษาของไท ลูกชายของสมยศ แต่ดูเหมือนที่ขาดหายไปคือสื่อมวลชนไทยกระแสหลัก และคนในวงการสื่อสิ่งพิมพ์หรือการเขียนการอ่าน ซึ่งเกี่ยวข้องกับประเด็นแห่งคดีนี้พอสมควร

ก่อนขึ้นสู่ห้องพิจารณา หลายคนลงไปทักทายสมยศในเรือนจำใต้ถุนศาล ซึ่งมีกรงกั้นถึงสองชั้น และพูดคุยกันได้ในระยะไกล สมยศยังคงชูสองนิ้วสู้ แต่บอกถึงอาการนอนไม่หลับในคืนก่อนวันพิพากษา นักข่าวหลายสิบคนตั้งกล้องทั้งวีดีโอและกล้องถ่ายรูป รอถ่ายรูปขณะเขาถูกศาลเรียกตัวจากใต้ถุนขึ้นสู่ห้องพิจารณา



ราว 9.30 น. เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์เดินประกบสมยศในชุดนักโทษขณะเข้ามาในห้องพิจารณา เพื่อนที่นั่งข้างๆ บอกทักตั้งแต่เขายังไม่เข้าสู่ห้องว่า “เสียงโซ่ คุณสมยศมาแล้ว” อาจเพราะเสียงโซ่ตรวนดังกระทบพื้นขณะผู้ต้องหาเดินช่างเป็นเอกลักษณ์ สมยศเดินผ่ากลางม้านั่งไม้ตรงกลางเข้าไปนั่งบนม้านั่งด้านหน้าสุด ใบหน้ายังคงมีรอยยิ้ม หลายคนเข้าไปทักทายพูดคุย

สักพักหนึ่ง เจ้าหน้าที่หญิงของศาลเดินมาแจกเอกสารเขียนเป็นภาษาอังกฤษและภาษาจีนให้ผู้สังเกตการณ์ชาวต่างชาติ มีข้อความระบุถึงระเบียบของศาล เช่น ระเบียบการแต่งตัวสุภาพ การให้ปิดโทรศัพท์มือถือ ห้ามนั่งไขว่ห้าง ขณะที่เจ้าหน้าที่ชายในชุดคล้ายทหารสองสามคนเดินดูผู้สังเกตการณ์ในศาล และคอยห้ามการถ่ายรูปในศาล

เมื่อเวลารอคอยในศาลเริ่มนานขึ้น เสียงพูดคุยปรึกษาในศาลก็ยิ่งดังขึ้น หลายคนเริ่มกระสับกระส่าย บางคนการเดินไปเดินมา ทักทายผู้คน และพูดกันเล่นๆ ว่าศาลอาจกำลังเขียนคำพิพากษาอยู่ เมื่อใกล้เวลา เจ้าหน้าที่ชายตะโกนแจ้งให้คนอยู่ในความสงบ ศาลใกล้นั่งบังลังก์แล้ว และเอ่ยเตือนว่าเสียงโทรศัพท์ที่ดังถือเป็นการละเมิดอำนาจศาล

หลังจากนั้นความเงียบของการรอคอยเข้าปกคลุมห้องพิจารณาเกือบสิบนาที จนผู้พิพากษาสี่ท่านนั่งบัลลังก์ในเวลาราว 10.35 น. เป็นองค์คณะที่มีการเปลี่ยนแปลงจากช่วงที่มีการสืบพยานในปีที่แล้ว โดยเป็นชายสามท่าน และหญิงอีกหนึ่งท่าน

จากนั้นผู้พิพากษาชายหนุ่มท่านหนึ่งก็เริ่มต้นอ่านคำพิพากษาขนาดยาวใช้เวลามากกว่าครึ่งชั่วโมง โดยประโยคขึ้นต้นว่า “ในพระปรมาภิไธยพระมหากษัตริย์...” โดยทนายจำเลยสองท่านและสมยศ ลุกขึ้นยืนฟังตลอดการอ่านคำพิพากษา ขณะที่อัยการฝ่ายโจทก์ในคดีไม่ได้มาศาลด้วย ในระหว่างนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจ เริ่มไปยืนบริเวณประตูออกจากพิจารณาราว 6-7 คน เข้าใจว่าเพื่อป้องกันคนเข้าออกจากห้องขณะอ่านคำพิพากษา

ช่วงแรกศาลใช้เวลาค่อนข้างยาวอ่านคำฟ้อง โดยส่วนใหญ่เป็นเนื้อหาบทความสองบทความของนิตยสาร Voice of Taksin ที่เป็นเหตุแห่งการฟ้อง มีข้อสังเกตว่าศาลอ่านบทความทั้งสองอย่างติดๆ ขัดๆ และอ่านชื่อคนผิดบางส่วน เช่น ชื่อของ “ป๋วย อึ้งภากรณ์” หรือ “บุญสนอง บุณโยทยาน”

จากนั้นศาลอ่านถึงประเด็นที่ฝ่ายโจทก์และจำเลยนำสืบในศาล โดยปัดตกการนำสืบของจำเลยเรื่องบรรณาธิการไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบตามพระราชบัญญัติจดแจ้งการพิมพ์ พ.ศ.2550 ทิ้งไป ตามด้วยการวินิจฉัยว่าจำเลยทำผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 หรือไม่ โดยมีข้อสังเกตในช่วงนี้ว่าศาลอ่านถึงการตีความบทความตามฟ้องของฝ่ายพยานโจทก์แทบทุกคน เป็นจำนวนเกือบ 10 ปาก ซึ่งทุกคนชี้ว่าบทความนี้เข้าข่ายความผิดมาตรา 112 แต่เมื่ออ่านถึงการนำสืบและตีความของพยานฝ่ายจำเลย ศาลอ่านชื่อพยานจำเลยทั้งหมด แล้วระบุเพียงสั้นๆ ว่าทั้งหมดเบิกความไปในทำนองเดียวกันว่าอ่านแล้วไม่ได้นึกไปถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และรวบรัดว่าการตีความแบบนี้ฟังไม่ขึ้น สัดส่วนของกล่าวถึงการตีความของสองฝ่ายจึงเป็นไปอย่างไม่สมดุล จนสังเกตเห็นได้

นอกจากนั้น ศาลยังอ้างถึงประวัติศาสตร์ในแบบเรียน เป็นฐานของการพิจารณาบทความ และตีความไปถึงเหตุการณ์ตั้งราชวงศ์จักรีอีกด้วย

ในช่วงท้ายของการอ่านคำพิพากษา ซึ่งเป็นช่วงของการตีความโดยศาลเอง ได้เปลี่ยนให้ผู้พิพากษาหญิงเป็นผู้อ่าน เมื่อเริ่มคาดเดาทิศทางของคำพิพากษาได้ ในห้องพิจารณาเริ่มได้ยินเสียงถอนหายใจดังหลายเฮือกเป็นระยะ

คำพิพากษาปิดท้ายด้วยการอ้างถึงระดับการศึกษาของจำเลย อาชีพความเป็นสื่อมวลชน และวิจารญาณ ที่ควรมี “สูง” กว่าคนทั่วไป ศาลจึงเห็นไปถึงเจตนาทำผิดของจำเลยและพิพากษาความผิดจำคุกรวมแล้ว 11 ปี ในที่สุด

หลังอ่านคำพิพากษาเสร็จ ศาลแจ้งว่าสื่อมวลชนสามารถไปรับคำพิพากษาย่อได้ด้านหลัง ก่อนลงจากบัลลังก์ไป หลายคนเดินเข้าไปหาสมยศและครอบครัว พักเดียวเท่านั้น เจ้าหน้าที่เกือบ 10 นายซึ่งรออยู่ด้านทางออกประตูรีบเข้าไปนำตัวสมยศออกจากห้องพิจารณา โดยยืนล้อม เดินนำเขาออกไป และไม่ให้โอกาสพูดคุยกับใคร ก่อนนำตัวลงไปใต้ถุนศาลอย่างรวดเร็ว

บรรยากาศในห้องคดีพิจารณาหลังจากนั้นชวนอึดอัด เสียงวิพากษ์วิจารณ์อื้ออึง อารมณ์คละเคล้าด้วยความโกรธ หดหู่ และเศร้า จนบางคนน้ำตาไหล

จากนั้นทนายจำเลยและภรรยาของสมยศได้เดินทางลงไปให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าว นักกิจกรรมบางส่วนไปจุดเทียนดำไว้อาลัยเล็กๆ พร้อมชูป้ายปลดปล่อยสมยศและนักโทษการเมืองด้านหน้าป้ายศาลอาญา และเชิญชวนไปในการชุมนุมวันที่ 29 ม.ค.นี้ที่หมุดคณะราษฎร เพื่อยื่นเรื่องนิรโทษกรรมต่อรัฐบาล



ขณะทำกิจกรรม ก็มีรถยนต์คันหนึ่งบุกเข้ามาจอดนิ่งด้านหน้าของศาลไม่ยอมไปไหน พร้อมมีข้อความยั่วยุต่างๆ ติดอยู่ที่กระจกรถหลายแผ่น จนคนเสื้อแดงที่ร่วมกิจกรรมบางส่วนไม่พอใจ และต้องมีห้ามปรามกันไว้ให้ใจเย็น ก่อนตัดสินใจแยกย้ายกิจกรรมไปในที่สุด และให้เจ้าหน้าที่ตำรวจบริเวณนั้นเข้ามาดูแล

หลังจากผู้สังเกตการณ์ทยอยกลับ ภรรยาของสมยศ และสมาชิกจำนวนหนึ่งจากกลุ่ม 24 มิ.ย.ซึ่งเป็นกลุ่มเคลื่อนไหวที่สมยศก่อตั้งขึ้น ยังคงรอคอยจัดทำเอกสารยื่นเรื่องประกันตัว หากเมื่อลงไปบริเวณเรือนจำใต้ถุนศาลจึงได้ทราบจากเจ้าหน้าที่ว่าสมยศถูกนำตัวเดินทางกลับเรือนจำไปแล้ว ซึ่งโดยปกติแล้ว ทางราชทัณฑ์จะรอนักโทษทั้งหมดที่มาศาลเสร็จภารกิจพร้อมกัน และนำตัวกลับเรือนจำพร้อมกันในช่วงเย็น ทางภรรยาและคณะจึงจำเป็นต้องเดินทางตามไปให้เขาเซ็นเอกสารเพื่อใช้ในการยื่นประกันตัว

เมื่อได้พบจากการตีเยี่ยมที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ สมยศเล่าว่าหลังจากถูกนำตัวลงมาจากห้องพิจารณา ได้มีคำสั่งให้เจ้าหน้าที่ส่งตัวเขากลับเรือนจำทันที เขาจึงถูกนำตัวเพียงลำพังดันขึ้นรถที่จอดรออยู่แล้วไปอย่างเร่งรีบ โดยยังไม่มีโอกาสได้ใส่รองเท้าที่ติดตัวมาด้วยเลย รถพาขึ้นทางด่วนใช้เวลา 10 กว่านาทีก็เดินทางกลับถึงเรือนจำ จนภรรยาคุณสมยศถึงกับเปรยเมื่อฟังเสร็จว่า “ทำอย่างกับเราเป็นผู้ก่อการร้ายเลย”

เมื่อเจอหน้ากัน สุกัญญา ภรรยาของสมยศทักทายสามีด้วยอารมณ์ขันว่า ทีนี้ก็ต้องไปเอาข้าวของที่แจกให้นักโทษคนอื่นๆ ไปกลับคืนด้วย หลังจากได้ให้ข้าวของส่วนตัวบางส่วนไปแล้ว เนื่องจากคิดว่าจะได้ออกจากเรือนจำ สุกัญญาถามสามีเธอว่าเป็นอย่างไรบ้าง สมยศตอบสั้นๆ ว่า “ไม่มีอะไร ก็สู้กันต่อไป” ก่อนบ่นถึงคำพิพากษาว่าทำราวกับเข้าไปนั่งอยู่ในหัวเราเรียบร้อย และปรึกษากันเรื่องหนทางการสู้คดีต่อไป

รอยยิ้มแม้จะเจื่อนๆ ไปบ้าง ก็ยังคงอยู่บนใบหน้าของสมยศ ระหว่างนั้นเพื่อนนักโทษฝรั่งที่รู้จักกันซึ่งกำลังเยี่ยมญาติอยู่เช่นกัน และได้ทราบผลการพิจารณาคดีของสมยศ ก็เดินเข้ามาตบหัวสมยศเบาๆ เชิงให้กำลังใจ เขายิ้มตอบกลับไป ก่อนจากลา สมยศยังฝากเพื่อนกลุ่ม 24 มิ.ย.ซื้อรองเท้าแตะคู่ใหม่ ซึ่งเจ้าหน้าที่ไม่เปิดโอกาสให้เขาได้ใส่กลับมาจากศาล

ระหว่างเดินทางกลับไปศาลอาญา เพื่อยื่นเรื่องประกันตัวอันพอจะคาดเดาผลของมันได้อยู่ก่อนแล้ว ใครบางคนเอ่ยถามถึงการต่อสู้ในคดีต่อไปว่าอาจจะใช้เวลาอีกนาน เพื่อนกลุ่ม 24 มิ.ย.ที่ดูแลสมยศตลอดการถูกคุมขังของเขา ตอบสั้นๆ ต่อคำถามนั้นว่า “แกสู้ด้วยชีวิต”

เย็นนั้น หลังแยกย้ายกันกลับ ด้านหน้าศาล น้ำตาเทียนสีดำยังทิ้งรอยจางๆ ไว้อยู่บนพื้น สติ๊กเกอร์สีขาวที่ทำเป็นรูปกราฟฟิคใบหน้าของสมยศ พร้อมข้อความ “ปล่อยนักโทษการเมือง” ยังคงติดอยู่ข้างๆ ป้าย “ศาลอาญา”...






ที่มา.ประชาไท

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันพฤหัสบดีที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2556

ครม. ปู-4 !!?


ต้องขอไว้อาลัยกับการจากไปของนักการเมืองคนสำคัญ "ชุมพล ศิลปอาชา"รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และในฐานะหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา ที่ได้ถึงแก่อนิจกรรมลง  ด้วยภาวะหัวใจล้มเหลวที่โรงพยาบาลรามาธิบดี ซึ่งถือเป็นการสูญเสียบุคคลสำคัญของการเมือง
   
และดูเหมือนว่า ภายหลังจากการสูญเสียรัฐมนตรีคนสำคัญของพรรคชาติไทยพัฒนา ผู้ซึ่งเป็นน้องชายที่มีความใกล้ชิดของ "บรรหารศิลปอาชา" ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา ในครั้งนี้ได้กลายเป็น ไฟต์บังคับส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองตามมา !
   
เพราะทันทีที่ "เก้าอี้ว่าง" ในครม. ถึงสองตำแหน่งในโควตาของพรรคชาติไทยพัฒนา ได้กลายเป็น"ชนวน" นำมาซึ่งแรงกระเพื่อม ส่งไปยังพรรคเพื่อไทยทันทีว่าการปรับครม."ยิ่งลักษณ์ 4" กำลังจะมาถึงแล้ว หลังจากที่ก่อนหน้านี้ได้มีแกนนำจากพรรคเพื่อไทย บางส่วนได้พยายามเคลื่อนไหวให้มีการปรับเปลี่ยนบางตำแหน่งในครม. โดยอ้างเรื่องปัญหาสุขภาพของ ชุมพล
   
แต่สุดท้ายดูเหมือนความพยายามของคนกลุ่มดังกล่าวจะไม่เป็นผลเพราะนายกฯยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ไม่ยอมตอบสนอง ขณะที่ฟากบรรหารเจ้าของพรรคชาติไทยพัฒนาเองประกาศลั่นว่า ยังไม่ถึงเวลา !
   
ดังนั้นเมื่อวันนี้สถานการณ์แปรเปลี่ยนไปเก้าอี้ในครม.ว่างลงกะทันหันจึงทำให้"ใคร"ก็ตามที่เฝ้ารอคอยจังหวะและโอกาส ย่อมประเมินแล้วว่า นี่คือโอกาสเปิดเกม "เก้าอี้ดนตรี"รอบใหม่ โดยเฉพาะในส่วนของพรรคเพื่อไทยเอง
   
ทั้งนี้ได้เคยระบุเอาไว้แล้วว่า ท่ามกลางการเคลื่อนไหวทางการเมือง ในประเด็นต่างๆ ทั้งส.ส.เพื่อไทย และแกนนำคนเสื้อแดง ทั้งด้วยการผลักดันให้มีการแก้รัฐธรรมนูญ ไปจนถึงเรื่องพ.ร.ก.นิรโทษกรรมให้กับผู้ชุมนุมทางการเมืองทุกสีเสื้อแล้วยังมีส.ส.และแกนนำในพรรคบางส่วนที่หันไปโฟกัสในเรื่องของตำแหน่งรัฐมนตรีกันแทน
     
ว่าเก้าอี้ตัวใดกระทรวงใดถึงเวลาที่สมควรจะมีการปรับเปลี่ยนเวียนให้"แกนนำ"จากกลุ่มอื่นๆ ในพรรคได้เข้าไปทำหน้าที่กันบ้าง
     
และดูเหมือนว่า"ความหวัง" ดังกล่าวนี้มีที่มาจากการที่"เจ้าของพรรค" อย่างพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรอดีตนายกฯได้เคยรับปากเรื่องของการปูนบำเหน็จ ตบรางวัล เอาไว้ทั้งสิ้น !
     
เมื่อสัญญาณของ "ยิ่งลักษณ์ 4"กำลังแจ่มชัดขึ้น แม้อาจยังไม่ใช่ภายในวันสองวันนี้ก็ตาม แต่อย่างน้อยที่สุดหลายคนในพรรคเพื่อไทย ประเมิน ว่าเมื่อเสร็จศึกเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม. ไปแล้ว ความชัดเจนเรื่องการจัดสรรตำแหน่ง ในส่วนของพรรคเพื่อไทยก็น่าจะเป็นรูปธรรมขึ้น
     
อย่างไรก็ดี หากมองในส่วนความเคลื่อนไหวเฉพาะโควตาของพรรคเพื่อไทยนั้น มีความเป็นไปได้ว่าการปรับครม. เพื่อเปลี่ยนเก้าอี้บางตัว หากมีขึ้นหลังจบศึกเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม. ไปแล้วนั้น ย่อมกลายเป็นการเดินหมากอีกชั้นหนึ่งภายในพรรค
     
นั่นคือการบีบให้ทุกกลุ่ม ทุกก๊วนต้องร่วมมือร่วมใจ "สงบศึก" เพื่อจับมือผลักดันให้พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ ผู้สมัครของพรรค สามารถชนะการเลือกตั้งในครั้งนี้ให้ได้สำเร็จเสียก่อน
     
และในอีกด้านหนึ่งยังเป็นการ"ประเมินผลงาน"ของกลุ่มการเมืองในพรรคเองบางกลุ่มว่ามีราคาเพียงพอที่จะได้มีโอกาส"อยู่ต่อ"ในครม."ยิ่งลักษณ์ 4"หรือไม่ ?
     
ย้อนกลับมาดูความเคลื่อนไหวทางฟากของพรรคชาติไทยพัฒนา ต่อปมประเด็นเรื่องของการปรับครม.นั้นแม้ที่ผ่านมา บรรหาร จะเชื่อมั่นว่าตนเองสามารถบริหารจัดการงานที่มีอยู่ในมือได้เป็นอย่างดี เพราะที่ผ่านมาทั้ง"คน" และ"งาน" ในกระทรวงที่พรรคชาติไทยพัฒนา ดูแล ก็เป็นไปอย่างเบ็ดเสร็จ "บิ๊กเติ้ง" ทำงานประหนึ่ง"รัฐมนตรีตัวจริง"
     
ทว่าในสภาพความเป็นจริงแล้วปัญหาที่บรรหารและพรรค ต้องเผชิญหน้าและต้องหาทางฝ่าวงล้อมออกไปให้ได้โดยเร็วที่สุด คือการแก้สมการที่ว่าทำอย่างไร"การล้วงลูก"จากนายกฯ ยิ่งลักษณ์ และพรรคเพื่อไทยในเรื่องของการท่องเที่ยวและด้านกีฬาจะไม่เกิดขึ้น
     
ว่ากันว่าสภาพการณ์ดังกล่าวนั้นมีขึ้นมาโดยตลอด นับตั้งแต่ก่อนหน้าที่ชุมพลจะป่วยกะทันหัน และยิ่งนานวัน ยิ่งพบว่าปัญหาที่ว่านั้นได้ลุกลามบานปลายมากขึ้นตามลำดับ จนเป็นเงื่อนไขที่บีบให้บรรหารต้องเร่งตัดสินใจ
     
อาการนิ่งเฉย ไม่ต้องการตอบสนองเรื่องการปรับครม.ของนายกฯยิ่งลักษณ์ไปจนถึงคนที่อยู่ต่างประเทศอาจสะท้อนได้ในหลายด้าน
   
ด้านหนึ่ง เพราะยังไม่ต้องการเปิดศึก สร้างแรงกระเพื่อมขึ้นภายในพรรค รอจนกว่า "ศึกกทม." จะยุติลงไปเสียก่อน
   
และอีกด้านหนึ่ง ยังกลายเป็นว่ายิ่งยืดระยะเวลาในการปรับเปลี่ยนตำแหน่งผู้เล่นในครม.มากเท่าใด ยิ่งง่ายต่อการล้วงลูก "งาน" ในมือพรรคร่วมรัฐบาลมากเท่านั้น!


ที่มา.สยามรัฐ
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ข้าราชการ 2.72ล้านคน เฮ ครม.สั่งรื้อระบบเงินเดือนทั้งหมด !!?


 ครม. ตั้งกรรมการทบทวนเงินเดือนข้าราชการ เปิดทางรื้อใหญ่ทั้งระบบทุกกระทรวง รวมสภา ศาล องค์กรอิสระ และท้องถิ่น เพื่อทำให้โครงสร้างเงินเดือนข้าราชการ 2.72 ล้านคนเกิดความสมดุลและเท่าเทียม

ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 21 มกราคมที่ผ่านมา ที่ประชุมมีมติให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) เตรียมเรื่องเสนอแต่งตั้งคณะกรรมการระดับชาติเพื่อศึกษาทบทวนความเหมาะสมของค่าตอบแทนของผู้บริหารและบุคลากรในหน่วยงานภาครัฐในภาพรวมทั้งหมดให้ที่ประชุม ครม. พิจารณาในสัปดาห์หน้า

โดย ก.พ.ร. ได้เสนอเรื่องการปรับปรุงหลักเกณฑ์การกำหนดอัตราเงินเดือนและประโยชน์ตอบแทนอื่นของผู้อำนวยการองค์การมหาชนเพื่อเสนอต่อ ครม. เมื่อวันที่ 21 มกราคม และขอเสนอให้ ครม. พิจารณาแต่งตั้งคณะกรรมการระดับชาติเพื่อศึกษาทบทวนความเหมาะสมของค่าตอบแทนของผู้บริหารและบุคลากรในหน่วยงานรัฐทั้งหมด ซึ่ง ครม. พิจารณาแล้วเห็นว่าเพื่อทำให้โครงสร้างเงินเดือนข้าราชการ 2.72 ล้านคนเกิดความสมดุลและเท่าเทียม และแก้ไขปัญหาการลักลั่นอันเนื่องมาจากองค์กรอิสระขอปรับขึ้นเงินเดือนตัวเอง จึงเห็นควรตั้งคณะกรรมการดังกล่าวขึ้นมา โดยมอบให้รองนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีที่นายกรัฐมนตรีมอบหมายเป็นประธาน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเป็นรองประธาน กรรมการอื่นที่ประกอบด้วยผู้ทรงคุณวุฒิจากภาครัฐและภาคเอกชนที่มีความรู้ความสามารถ และประสบการณ์ด้านเงินเดือนและค่าตอบแทนจำนวน 6 คน รวมทั้งผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

นอกจากนี้ยังให้คณะกรรมการมีอำนาจหน้าที่ศึกษาและวิเคราะห์เปรียบเทียบเกี่ยวกับอัตราค่าตอบแทนของหน่วยงานภาครัฐในภาพรวม ทั้งส่วนราชการในราชการบริหารส่วนกลางและส่วนภูมิภาค องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รัฐวิสาหกิจ องค์การมหาชน มหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐ หน่วยงานอื่นของรัฐในสังกัดฝ่ายบริหาร สังกัดฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายตุลาการ และองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ

ทั้งนี้ เพื่อให้อัตราค่าตอบแทนมีความเสมอภาค เป็นธรรม และเหมาะสมเทียบเท่ามาตรฐานการครองชีพ และให้สอดคล้องกับระบบการบริหารงานสมัยใหม่ นอกจากนี้ยังให้จัดทำข้อเสนอการปรับปรุงอัตราค่าตอบแทนขั้นสูงและขั้นต่ำของผู้บริหารภาครัฐที่เป็นมาตรฐานกลางหรือบัญชีกลาง เพื่อ ครม. จะได้ใช้ประกอบการพิจารณากำหนดค่าตอบแทนของผู้บริหารต่อไป รวมทั้งเปรียบเทียบค่าตอบแทนกับภาคเอกชนด้วย

ที่มา.หนังสือพิมพ์โลกวันนี้
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

เมกา ฟาร์ม !!?


โดย วิรัตน์ แสงทองคำ


ผม มีข้อเสนออย่างตั้งใจในฐานะผู้จุดกระแสเกษตรกรรม และ AEC มากว่า 2 ปี ว่าแนวโน้มสำคัญ-ฟาร์มขนาดใหญ่กำลังเกิดขึ้นและขยายตัว จะมีบทบาททางเศรษฐกิจในภูมิภาค

มากขึ้น โดยนักธุรกิจไทยเป็นผู้เล่นสำคัญ

ผมเคยนำเสนอแนวคิดอย่างเป็นเรื่องเป็นราว ตั้งแต่กลางปี 2553 ด้วยการจับปรากฏการณ์ของกลุ่มธุรกิจรายใหญ่

เริ่มต้นจาก กลุ่มไทยเจริญ หรือทีซีซี ในความพยายามรุกคืบสู่ธุรกิจเกษตร

ด้วย การลงสู่ระบบการบริหารเกษตรกรรมรายใหญ่ ซึ่งเรียกว่า Plantation (อ้างจากบทความเรื่อง เกษตรกรใหญ่ มติชนสุดสัปดาห์ กรกฎาคม 2553 หรือจากหนังสือ ยุทธศาสตร์เอาตัวรอดของกูรูธุรกิจ สำนักพิมพ์มติชนปี 2554)

ขณะเดียวกัน เสนอความเคลื่อนไหวของผู้นำธุรกิจเกษตรอันโดดเด่นอย่าง

ซี พี ว่า ได้ซุ่มดำเนินธุรกิจการเกษตร ที่เรียกว่า "กลุ่มธุรกิจพืชครบวงจร" โดยริเริ่มโครงการข้าวครบวงจรตั้งแต่ปี 2537 (จากเรื่องธนินท์กับเจริญ มติชนสุดสัปดาห์ สิงหาคม 2553)

ความเคลื่อนไหวทั้งสองรายใหญ่

ครึกโครมประหนึ่งเป็นภาพที่โผล่พ้นน้ำ

แต่ขณะเดียวกัน เสนอความเคลื่อนไหวเงียบ ๆ ที่เกิดขึ้นในประเทศเพื่อนบ้านด้วย

เครือ ข่ายธุรกิจทีซีซีโดยกลุ่มพรรณธิอร ขยายธุรกิจสู่กัมพูชามาตั้งแต่ปี 2549 โครงการอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์มครบวงจร ในพื้นที่ประมาณ 150,000 ไร่ ในเกาะกง ขณะเดียวกัน กลุ่มธุรกิจน้ำตาลรายใหญ่อื่น ๆ มุ่งสู่ธุรกิจขั้นต้น-การปลูกอ้อยด้วยการลงทุนในประเทศกัมพูชาเช่นเดียวกัน

กลุ่ม น้ำตาลมิตรผล เริ่มต้นธุรกิจในประเทศลาว (ตั้งแต่ปี 2548) ตามแผนการปลูกอ้อยประมาณ 1 แสนไร่ และตั้งโรงงานผลิตน้ำตาลมากถึงล้านตัน/ปีในแขวง

สะหวันนะเขต

ขณะที่กลุ่มเคเอสแอลเปิดโรงงานผลิตน้ำตาล ถือได้ว่าเป็นโรงงานน้ำตาลแห่งแรกของประเทศกัมพูชา

(ต้น ปี 2553) ถือเป็นส่วนหนึ่งของแผนการในโครงการเพาะปลูกอ้อยและก่อสร้างโรงงานน้ำตาล ที่จังหวัดเกาะกง ประเทศกัมพูชา เนื้อที่รวมกันมากกว่า 1 แสนไร่

ในประเทศลาวมีความเคลื่อนไหว

จากธุรกิจไทยอย่างคึกคักเช่นกัน กลุ่ม

พร รณธิอรใช้พื้นที่ประมาณ 15,000 ไร่ ในโครงการครบวงจรจากการปลูกกาแฟในพื้นที่สูงกว่าระดับน้ำทะเล 1.300 เมตร บริเวณที่ราบสูงในแขวงจำปาสัก

บริษัทสยามน้ำมันละหุ่ง ส่งเสริมการ

ปลูก และรับซื้อเมล็ดละหุ่งในแขวงเวียงจันทน์และไซยะบุรี กลุ่มแอ๊ดวานซ์ อะโกร เจ้าของผลิตภัณฑ์กระดาษดั๊บเบิ้ล เอ ส่งเสริมและรับซื้อไม้ยูคาลิปตัสในแขวงสะหวันนะเขต คำม่วน และเวียงจันทน์ บริษัทไทยฮั้วยางพารา ผู้นำธุรกิจยางพาราร่วมทุนกับฝ่ายลาวนำกล้ายางไปทดลองปลูกและ

ส่งเสริมเกษตรกรในแขวงสะหวันนะเขต และบริษัทเจียเม้ง ธุรกิจค้าข้าวเก่าแก่ของไทย เข้าไปทดลองปลูกข้าวทั้งพันธุ์

พื้นเมือง และพันธ์ใหม่ ๆ ในเขตนครหลวงเวียงจันทน์

หากรวมการลงทุนของ ปตท.ในอินโดนีเซีย ในโครงการปลูกปาล์มน้ำมันมากกว่า 2 แสนไร่มาตั้งแต่ปี 2550 เข้าไปด้วย ภาพดูตื่นเต้นขึ้นอีก

ภาพ เหล่านั้นมีความเชื่อมโยงกับการหลอมรวมระบบเศรษฐกิจภูมิภาค (Asean economic community-AEC 2016) โดยตรง และมีความเคลื่อนไหวกระชับพื้นที่มากขึ้น โดยเฉพาะในพื้นที่ต่อเนื่อง

ที่ไม่ใช่เกาะ ไปทั้งฝั่งตะวันออก-พม่า และฝั่งตะวันตก-เวียดนาม และยังผนวกดินแดนบางส่วนของจีนแผ่นดินใหญ่ตอนใต้ไว้ด้วย

ความ เคลื่อนไหวอันคึกคักของธุรกิจไทย สะท้อนความเปลี่ยนแปลงฐานะของเกษตรกรรมไปจากเดิมอย่างมาก ธุรกิจไทยถือว่ามีประสบการณ์ทั้งโดยตรงและเชื่อมโยงกับเกษตรกรรม ถือว่าเป็นจุดแข็งที่สุดในภูมิภาคก็ว่าได้ ย่อมมองเห็นโอกาส

เกษตรกรรม เป็นฐานของอุตสาหกรรมต่อเนื่อง จากอุตสาหกรรมอาหาร พลังงาน สู่ยารักษาโรค เป็นวงจรกว้างและต่อเนื่องมากขึ้น ส่งผลให้ราคาสินค้าเกษตรกรรมสูงขึ้น การค้นคว้าว่าด้วยเทคโนโลยีชีวภาพ (biotechnology) มีมากขึ้น ธุรกิจเทคโนโลยีชีวภาพเติบโตขึ้นในระดับโลก

ปัญหาจากสภาพอากาศ เปลี่ยนแปลง ส่งผลให้เกษตรกรรมมีความไม่แน่นอนมากขึ้น แรงบีบคั้นและแรงบันดาลใจให้มีการค้นคว้าวิจัยอีกด้านหนึ่งอย่างเข้มข้น

มากขึ้น นั่นคือความพยายามบริหารจัดการเกษตรกรรมให้มีประสิทธิภาพ ประสิทธิผลมากขึ้น อุตสาหกรรมเครื่องจักรกล

การเกษตรเติบโต ระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการเกษตรกรรมแปลงใหญ่ก็พัฒนาขึ้นมาก

เมื่อเป็นเช่นนี้โอกาสของเกษตรกรรม

รายย่อย ซึ่งถือเป็นผู้ประกอบการพื้นฐานของสังคมไทยย่อมมีปัญหาความสามารถในการปรับตัวหรือพัฒนาตนเองก้าว

เข้าสู่ยุคใหม่

แต่อย่างไรก็ตาม เกษตรกรรมแบบแปลงใหญ่ (mega farm) ก็ไม่สามารถเกิดขึ้นอย่างเต็มรูปแบบในประเทศไทย

เกษตรกรรายย่อย ไม่สามารถเผชิญและรับความเสี่ยงจากสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงมากขึ้นจากเดิม

เกษตรกรรายย่อยไม่มีความสามารถ แสวงหาเงินทุนและเทคโนโลยีที่เหมาะสมมาจัดการกับเกษตรกรรมแปลงเล็กเพื่อ

การค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ความเปลี่ยนแปลงข้างต้นเป็นกระแสหลัก ดูเหมือนจะหลีกเลี่ยงยาก ผมเคยเสนอภาพทำนองนี้มาแล้ว

"ความ จริงแล้วโครงสร้างการเกษตรพื้นฐานของไทยเปลี่ยนไปจากเดิมมากแล้ว เกษตรกรรายย่อยค่อย ๆ เปลี่ยนตัวเองเป็นลูกจ้างในภาคเกษตร ขณะที่พวกเขาจำนวนมากไม่มีที่ทำกินหรือมีบ้างก็ให้เช่าในราคาถูก กับ "ผู้รับเหมา" รายค่อนข้างใหญ่ ซึ่งเป็นผู้มีอำนาจทางเศรษฐกิจในท้องถิ่น ดำเนินการบริหารแบบครึ่ง ๆ กลาง ๆ ในพื้นที่แปลงค่อนข้างใหญ่ ด้วยระบบว่าจ้าง รวมทั้งสินเชื่อนอกระบบจากพ่อค้าสินค้าที่เกี่ยวข้อง" (อ้างแล้วจากบทความเรื่อง เกษตรกรใหญ่ มติชนสุดสัปดาห์ กรกฎาคม 2553)

อย่าง ไรก็ตาม ผมยังเชื่อว่าเกษตรกรรมกระแสรองที่มุ่งสู่มูลค่าเพิ่มอย่างเฉพาะเจาะจง ยังคงดำรงอยู่ และอ้างอิงกับเกษตรกรรมแบบ Mega Farm ต่อไปได้

ขณะ เดียวกัน เนื่องจากที่ดินแปลงใหญ่ในประเทศขนาดนับหมื่นไร่ขึ้นไปมีน้อย เนื่องจากมีเจ้าของกระจัดกระจายจำนวนมาก อีกทั้งนักลงทุนรายใหญ่มีความกังวลใจการกว้านซื้อพื้นที่แปลงใหญ่ จากระบบกรรมสิทธิ์ที่ดินของสังคมไทยจากรากเหง้าสังคมศักดินา

เกษตรกรรม แปลงใหญ่ของไทยส่วนใหญ่จึงเป็นเพียงระดับพันไร่ ถือเป็นเรื่องท้าทายของเกษตรกรรายใหญ่ในการจัดการและพัฒนา ซึ่งเชื่อว่าพื้นที่เกษตรกรรมในประเทศคงมีบทบาทเป็นส่วนสำคัญของการวิจัยและ พัฒนาของธุรกิจเกษตรของไทย เพื่อการต่อยอดเกษตรกรรมในพื้นที่แปลงใหญ่นอกประเทศต่อไป

ความ เคลื่อนไหวอันครึกโครมระดับภูมิภาคที่เริ่มต้นจากกัมพูชาและลาว มาจากแรงขับดันในประเทศเป็นสำคัญ จึงดำเนินต่อไป ความพยายามแสวงหาพื้นที่แปลงใหญ่นอกประเทศมีมาก ในปัจจุบันที่ดินแปลงใหญ่ภูมิภาคระดับหมื่นไร่ขึ้นไปในประเทศเพื่อนบ้านก็ เหลือน้อยลงเช่นกัน

เป็นเรื่องไม่น่าเชื่อนักว่า ซีพีเดินแผนค่อนข้างอนุรักษนิยม ทั้งที่เริ่มต้นธุรกิจพืชครบวงจรตั้งแต่ปี 2537 แม้ปัจจุบันดูเหมือนเชื่อมั่นในแนวทาง Mega Farm มากขึ้น

"ในปี 2551-2553 บริษัทขยายธุรกิจปาล์มน้ำมัน โดยเริ่มโครงการที่นครศรีธรรมราช 2,200 ไร่ ชุมพร 600 ไร่ และกำแพงเพชร 122 ไร่ โดยแต่ละจุดจะเป็นศูนย์กลางในการส่งเสริมเกษตรกรในพื้นที่ใกล้เคียง โดยมีเป้าหมายจุดละ 10,000 ไร่ รวมพื้นที่โครงการในระยะแรก 60,000 ไร่ และเตรียมกำหนดพื้นที่เป้าหมายเพื่อตั้งโรงงานสกัดน้ำมันปาล์มในพื้นที่ดัง กล่าว" (ข้อมูลจากกลุ่มธุรกิจพืชครบวงจร (http://www.cpcrop.com) สู่การขยายตัวในประเทศเพื่อนบ้านก็มีเพียง "เราได้เข้าไปดำเนินการส่งเสริมการผลิตข้าวโพดในประเทศใกล้เคียง ได้แก่ เมียนมาร์ ลาว กัมพูชา ส่งเสริมให้เขาผลิตข้าวโพดแล้วเรารับซื้อผลผลิตกลับมาอีกที"

อย่างไรก็ตาม ไม่ควรประเมินซีพีต่ำเกินไป

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันพุธที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2556

ชัยสิทธิ สุขสมบรูณ์ ร้องผู้บริหาร ธ.กรุงเทพ พนง.เดือดร้อน !!?


คำต่อคำ:"ชัยสิทธิ"เรียกร้องถึงผู้บริหารชั้น26พนักงานธ.กรุงเทพเดือดร้อนเงิน"บำเหน็จเฉพาะกาล-เงินสมทบกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ-โบนัส-ขึ้นเงินดือน"

 สัมภาษณ์ นายชัยสิทธิ สุขสมบูรณ์ ที่ปรึกษาสหภาพธ.กรุงเทพ เรื่อง ม็อบพนักงาน "แบงก์กรุงเทพ" ขอโบนัสเพิ่มจาก2เดือน เพิ่มเป็น4เดือนและปรับขึ้นเงินเดือนอีก6% หลังจากธนาคารมีผลกำไรกว่า3หมื่นล้านบาท เพื่อส่งสัญญาณไปถึงคณะผู้บริหารชั้น 26 ของธนาคารกรุงเทพ

ถาม : สถานการณ์ล่าสุดเป็นอย่างไรบ้าง

ตอบ : สถานการณ์ล่าสุดก็ได้มีการเดินขบวนสะท้อนของเราเพื่อส่งสัญญาณไปถึงผู้บริหารชั้น 26 ให้ลงมารับฟังปัญหาด้วยตนเอง เพราะนั่งฟังแต่รายงานด้านเดียวก็คงจะมองไม่เห็นความเดือดร้อนของพนักงาน ตอนนี้ก็ยังไม่มีอะไรเคลื่อนไหวนอกจากว่า วันพฤหัสนี้เราจะต้องไปที่กระทรวงแรงงานเพื่อทำการไกล่เกลี่ย ก็จะรู้ว่าทางฝ่ายจัดการยังถือธงริคอยู่หรือเปล่าในกรณีที่จะยืนยันว่าที่ธนาคารประกาศเปลี่ยนแปลงสภาพการจ้างโดยพลการ ไม่ผ่านกระบวนการแรงงานสัมพันธ์คือการเจรจา และทำข้อตกลงกับทางสหภาพแรงงาน มันเป็นสิ่งที่มันไม่ชอบธรรม

ถาม : รายละเอียดข้อเรียกร้องมีอะไรบ้างที่ทางพนักงานขอร้อง

ตอบ : รายละเอียดข้อเรียกร้องของเรามีทั้งหมด 14 ข้อ แต่ข้อที่ตกลงกันไม่ได้มันเกี่ยวข้องกัน มันสัมพันธ์กันก็คือเรื่องการเงิน ที่เกี่ยวข้องกันเราเรียกว่า 3 ค. 1ก. 3ค.หมายถึง เราขอคืนของเดิมที่เคยได้รับ แต่ประกาศยกเลิกไปโดยพลการ ไม่ได้ผ่านกระบวนยอมรับ อันแรกก็คือเรื่องการขอคืนเงินบำเหน็จเฉพาะกาล ที่ธนาคารจ่ายให้คนละ 4 แสนบาท ที่คนหลังเกษียณแล้วได้ตัวนี้ ข้อที่ 2 ก็คือขอคืนระบบการจ่ายเงินสมทบเข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ซึ่งเดิมเคยจ่ายอัตราเดียว 5.5 และเราขอปรับเพิ่ม อันนี้ประกาศเปลี่ยนโดยพลการเป็นหลายอัตราแล้วส่งผลกระทบ มีพนักงานไม่ได้รับการปรับ คือคนที่เข้ามาไม่เกิน 5 ปีก็ไม่ได้รับ มีประมาณกว่า 6 พันคน นี่ประกาศโดยพลการ และก็ขอปรับปรุงในระบบอันนี้ โดยเช่าธนาคารจะใช้ระบบที่แบ่งเธียร์อย่างนี้ ที่แบ่งตามช่วงอายุงาน ก็ขอให้อิงของธ.ไทยพาณิชย์ซึ่งแบ่งออกไป คนที่อายุงาน 20 ปีขึ้นไปจะได้ 10% ของค่าจ้าง ซึ่งก็สอดคล้องกับอุตสาหกรรมเดียวกันอีกธนาคารหนึ่ง ก็คือ ธ.กรุงศรี จะต้องฝ่ายจัดการเราให้คนที่เข้า 20 ปีขึ้นไปได้แค่ 7% ทั้งๆ ที่กฎหมายกองทุนสำรองเลี้ยงชีพมีเพดานสูงสุด 15% และนี่ตั้งมาตั้งหลายสิบปีแล้ว ก็ผ่านกระบวนการเจรจากับเรามาตลอดเรื่องกองทุนสำรองฯ ก็ไปสัมพันธ์กับตัว 4.5 แสน ถ้าธนาคารจะยกเลิกตัว 4.5 แสน ก็ต้องเกลี่ยตรงนี้มาชดเชยเพื่อมันจะได้คัฟเวอร์กัน แต่ธนาคารก็ไม่ทำ ธนาคารก็ใช้วิธีการประกาศโดยพลการ ข้อที่ 3 คือเรื่องโบนัส โบนัสนี่ก็เป็นเรื่องที่ธนาคารเคยให้โบนัสเราในอดีต 5-6 เท่า แต่ช่วงวิกฤติธนาคารก็เอาโบนัสบางส่วนเข้าเป็นเงินเดือนไปแล้ว

ถาม : แต่ก่อนเคยให้โบนัสกี่เดือน

ตอบ : เบื้องต้นเราก็ตกลงกันว่า หลังวิกฤติแล้วตกลงกันว่าถ้าธนาคารขาดทุนไม่จ่าย แต่ถ้าธนาคารกำไร แต่ยังไม่จ่ายเงินปันผลให้ไป 2 เดือน และก็ได้ 2 เดือนมาตลอด แต่พอปี 51 มีการจ่ายเงินปันผล เราก็ขอให้ธนาคารจ่ายโบนัสเพิ่มให้กับพนักงาน ธนาคารก็บ่ายเบี่ยงไม่เรียกโบนัส แต่ไปเรียกเงินช่วยเหลือพิเศษ 1 เดือน ถ้ารวมกันแล้วเราก็ไม่มายด์ ก็เป็นเงินช่วยเหลือเหมือนกัน แต่เราต้องเรียกร้องทุกปี เงินช่วยเหลือพิเศษปีไหนไม่เรียกร้องธนาคารก็จะไม่ให้ ก็เลยบอกว่าทำไมไม่เป็นโบนัสเสียเลย ก็ขอให้จับตรงนี้เป็นโบนัส แล้วในขณะเดียวกันขณะนี้ธนาคารได้กำไรปี 51 เป็นต้นมาเพิ่มขึ้น ปี 52 ก็จ่ายเงินปันผลให้ผู้ถือหุ้น 4 พอปี 53 จ่าย 5 ปี 54 ก็จ่าย 6 จ่ายเพิ่มมาเป็น 6 โบนัสก็น่าจะเพิ่มให้เราได้ 2 เดือน หรือช่วยเหลือ 2 เดือน ธนาคารก็ยังยืนยันให้เราเท่าเดิม อันนี้เราเรียกว่าธนาคารแช่แข็ง เราขอคืนของเดิม ไม่ได้ขอใหม่เลย และก็เป็นสัญญาณสัจจะวาจาที่พูดไว้ตอนที่วิกฤติ เรามีข้อตกลงกันอยู่ในอดีต เรามีข้อตกลงที่ค่อนข้างพัฒนาไปแล้ว คือว่าในกรณีที่พนักงานได้ในสิ่งที่ควรได้ ในขณะเดียวกันธนาคารก็เจริญก้าวหน้าไปด้วย นี่คือข้อตกลงที่ไม่มีในกฎหมาย แล้วก็เรียกร้องอย่างนี้ ตอนนี้ธนาคารได้กำไรก้าวหน้า เจริญก้าวหน้าแต่พนักงานกลับไม่ได้สิ่งที่ควรจะได้

และข้อสุดท้ายก็เป็นเรื่องแก้ ตัว ก. คือแก้ตรงนี้ แต่ว่าธนาคารเปลี่ยนระบบงานใหม่ จะเห็นได้ที่สาขาจะมีตำแหน่งลดลง แต่ปรากฏว่าโครงสร้างเงินเดือนของเราเป็นโครงสร้างระบบเก่า ทีนี้พอเป็นระบบเก่ามันก็ไม่ได้มีการเลื่อนชั้น เงินเดือนพนักงานก็ไปชนเพดานขั้นสูงสุด เราก็บอกอย่างนี้ก็ทำงานไปก็ไม่ได้ขึ้นเงินเดือน พอไม่ได้ขึ้นเงินเดือนเราก็บอกต้องขยายเพดานตรงนี้ และควรจะปรับอัตราการขึ้นเงินเดือนประจำปีให้สอดคล้องกับตลาด ตลาดตอนนี้เขาปรับเงินเดือนขึ้นประจำปี 6-10% เราก็ขอให้ปรับตรงนี้ นี่คือข้อเรียกร้องของเรา ทางฝ่ายจัดการบอกว่าฟังดูก็มีเหตุผลก็จะปรับปรุง ที่จริงหน้าที่อันนี้เป็นหน้าที่ของเอชอาร์ แต่ก่อนเราไม่ต้องไปเรียกร้องหรอก เจ้าหน้าที่เอชอาร์ของธนาคารจะดูแลตรงนี้ แต่ปรากฏว่ายุคที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ดูแลเรื่องนี้เลย ทำให้สพภาพฯ ต้องเรียกร้อง อันนี้คือข้อเรียกร้องที่เป็นประเด็นที่ตกลงกันไม่ได้ และพอเป็นไปได้เราก็ต้องไปสะท้อนเพราะเวลาไปสื่อให้ข้างบน ไปสื่อมิติเดียว

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ไร้รอยต่อยิ่งชัด ประชาธิปัตย์ยิ่งเหนื่อย !!?


สมราคาพรรคการเมืองที่เต็มไปด้วยมือกฎหมายแน่นพรรค

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าค่ายแม่พระธรณีบีบมวยผม พรรคประชาธิปัตย์ ออกโรงกระตุกคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ให้ตรวจสอบการหาเสียงของคู่แข่งชิงเก้าอี้ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (ผู้ว่าฯ กทม.) หมายเลข 9 พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ จากพรรคเพื่อไทย

โทษฐานใช้นโยบายหาเสียงเกินอำนาจหน้าที่ที่ผู้ว่าฯ กทม. จะทำได้ ซึ่งถือว่าผิดกฎหมายเลือกตั้ง

ต้องรีบออกโรงกระตุกความรู้สึกคนกรุงไม่ให้เคลิ้มไปกับนโยบายที่จะเกิดจากการทำงานอย่างไร้รอยต่อกับรัฐบาลตามสโลแกนหาเสียงของฝ่ายตรงข้าม

ย้อนไปวันที่ 21 มกราคมที่ผ่านมา หลังจากจับฉลากได้หมายเลขประจำตัวแล้ว พรรคเพื่อไทยประเดิมตั้งเวทีใหญ่ปราศรัยในเย็นวันเดียวกันทันที

พล.ต.อ.พงศพัศ ผู้สมัครเบอร์ 9 ขึ้นเวทีปราศรัยเป็นครั้งแรกในฐานะนักการเมือง ประกาศนโยบายหลักกับประชาชน 12 ข้อ ที่จะทำหากได้รับความไว้วางใจให้เข้าไปบริหารงาน กทม.

ทั้ง 12 ข้อ ประกอบด้วย

1.รถเมล์ฟรีทุกคัน ทั้งปรับอากาศและไม่ปรับอากาศ โดยรัฐบาลและ กทม. ออกค่าใช้จ่ายคนละครึ่ง

2.สานต่อโครงการฝากบ้านไว้กับตำรวจ โดยจะขยายเวลาเฝ้าระวังความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินตลอด 365 วัน โดยร่วมกับกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ พัฒนาพื้นที่เสี่ยงต่อการเป็นแหล่งเสพและค้ายาเสพติดให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และกระทรวงแรงงานในการจัดหา สร้างงานแก่ผู้กลับตัวและผู้มีความเสี่ยง

3.จัดระเบียบการขายของบนทางเท้า โดยจะทำให้ดีที่สุดสำหรับทุกฝ่าย ทั้งผู้ขายและประชาชน

4.จัดสร้างรถราง 2 สายติดแอร์วิ่งรอบเกาะรัตนโกสินทร์โดยไม่คิดค่าโดยสาร

5.ติดตั้งกล้องวงจรปิดจริง ทุกชุมชนและตามจุดเสี่ยงไม่จำกัดจำนวน และเชื่อมโยงระบบระหว่าง กทม. กับตำรวจเป็นศูนย์เดียวกัน ทำงานตลอด 24 ชั่วโมง

6.จัดระบบให้รถเมล์วิ่งบริการทุก 5 นาที ถึงหน้าหมู่บ้าน

7.เช่าที่ราชพัสดุและกรมธนารักษ์เป็นจุดจอดสำหรับรถแท็กซี่เพื่อรอผู้โดยสาร พร้อมทั้งให้บริการจอดรถสำหรับประชาชนทั่วไป

8.ติดไฟส่องสว่างและสร้างห้องน้ำทุกป้ายรถเมล์

9.ยกระดับศูนย์สาธารณสุขชุมชน 68 แห่ง ให้เป็นโรงพยาบาลชุมชน และโรงพยาบาลสังกัด กทม. 8 แห่งจัดทีมแพทย์เคลื่อนที่รักษาพยาบาลถึงบ้าน พร้อมทำหน้าที่คอยดูแลคนแก่ที่อยู่กับบ้านเมื่อลูกหลานออกไปทำงาน

10.ทำทางเท้าให้เสมอกับบันไดรถเมล์เพื่ออำนวยความสะดวกแก่คนพิการ

11.ใช้บริการเรือข้ามฝากและเรือในคลองแสนแสบฟรี
12.สร้างสะพานทางเดินจากสะพานพระราม 8 ไปถึงสะพานสาทร เอื้อคนจนเดินทางเท้าให้สะดวกปลอดภัย

ตบท้ายการปราศรัยด้วยคำพูดซึ้งๆที่ว่า

“ที่ผมพูดมาทั้งหมดนี้ไม่ใช่นโยบายประชานิยม แต่เป็นนโยบายของผู้ว่าฯ คนใหม่ ที่ต้องการลดภาระค่าใช้จ่ายของประชาชน ทุกนโยบายไม่ใช่เรื่องโกหก ไม่ใช่เพ้อเจ้อ แต่เอาความจริงมาเล่า และตราบใดที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ยังเป็นนายกรัฐมนตรี และผู้ว่าฯ กทม. มาจากพรรคเดียวกับรัฐบาล ทำได้แน่นอน”

ตอกย้ำสโลแกน “การทำงานอย่างไร้รอยต่อ” ให้ประชาชนเห็นอย่างชัดเจนว่าถ้ามีผู้ว่าฯ เป็นคนพรรคเดียวกับรัฐบาลจะเกิดประโยชน์อย่างไร

เมื่อการฉายภาพ “การทำงานอย่างไร้รอยต่อ” เริ่มชัดขึ้นในสายตาประชาชน พรรคประชาธิปัตย์จึงจำเป็นต้องออกมาเสียบสกัดไม่ให้กระแสการทำงานอย่างไร้รอยต่อกับรัฐบาลแล่นฉิวติดลมบน

นายอภิสิทธิ์จึงออกมาร้องขอให้ กกต. ตรวจสอบอย่างที่เห็น

หากปล่อยให้กระแสนี้จุดติดง่ายๆ ผู้สมัครของพรรคอย่างคุณชายสุขุมพันธุ์ บริพัตร จะเหนื่อยหนักอีกเท่าตัว

เพราะถ้ากระแสการทำงานอย่างไร้รอยต่อกับรัฐบาลเด่นชัดจนประชาชนมองเห็นโอกาสในการพัฒนา กทม. อย่างก้าวกระโดด ไร้ขีดจำกัด ก็จะยิ่งไปตอกย้ำการทำงานแบบขัดแข้งขัดขา เน้น “ประสานงา” มากกว่า “ประสานงาน” ในการบริหาร กทม. ช่วงที่ผ่านมา

ยิ่งภาพของประโยชน์จาก “การทำงานอย่างไร้รอยต่อ” กับรัฐบาลถูกฉายเด่นชัด ประชาชนยิ่งตัดสินใจง่าย

พรรคประชาธิปัตย์จึงต้องยืมมือ กกต. ตรวจสอบกระตุกขาฝ่ายตรงข้ามเอาไว้ก่อน

ที่มา.หนังสือพิมพ์โลกวันนี้
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

พลิก ร.ฟ.ท. 6 เดือน เห็นผล !!!


ผู้ว่าการการรถไฟฯ คนใหม่ไฟ แรง ลุยปรับปรุงกิจการรถไฟขนานใหญ่ ลั่น ภายใน 6 เดือนได้เห็นโฉมใหม่ไฉไลกว่า เดิมแน่ ทั้งคุณภาพและบริการ เผยกำลงเร่งจัดหา “หัวรถจักร-โบกี้” ภายใน 2 ปี หวังเรียกความเชื่อมั่นคืนหลังคนเริ่มใช้บริการน้อยลง พร้อมคัดสรรพนักงานที่มีอุดมการณ์เดียวกันพัฒนารถไฟอย่างจริงจัง ย้ำคนรถไฟมีความสามารถแต่ต้องเดินหน้าอย่างมืออาชีพ เลิกเล่นการเมือง เชื่อรถไฟไทยกระเตื้องแน่

นายประภัสร์ จงสงวน ผู้ว่าการการรถไฟแห่งประเทศไทย หรือ ร.ฟ.ท. เปิดเผย ว่า ภายใน 6 เดือนนี้ ตนจะเร่งปรับปรุงคุณภาพการบริการของรถไฟ เพื่อเรียกความเชื่อมั่นคืนมา เนื่องจากปัจจุบันการเดินทางโดยรถไฟขาดความเชื่อมั่นในด้านตรงต่อเวลา ทำให้ผู้โดยสารลดลงเรื่อยๆ จากอดีตมีปริมาณผู้โดยสารโดยรวม 54 ล้านคนต่อปี ลดเหลือเพียง 45 ล้านคนต่อปี และมีแนวโน้มลดลงเรื่อยๆ ตนจึงอยากเรียกความเชื่อมั่นนั่นกลับมาเหมือนในอดีต ทั้งนี้สาเหตุที่การเดินทางด้วยระบบรถไฟไม่ตรงต่อเวลา เนื่องจากต้องรอสับหลีก และมีจุดตัดกับถนนเป็นจำนวนมาก รวมทั้งสภาพรถไฟเก่าและมีจำนวนไมเพียงพอต่อการให้บริการ

สำหรับการปรับปรุงการให้บริการ ขณะนี้การรถไฟฯ อยู่ระหว่างการทำแผนปรับปรุงการให้บริการ และความสะอาด โดยมีแผนที่จะล้างทำความสะอาดรถทุกขบวน ขบวนไหนดูเก่าก็จะมีการทาสีใหม่ให้สดใสสวยงามน่าโดยสาร เรียกว่าจะปรับโฉมทั้งภายในและภายนอกให้ดีขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งการรถไฟฯ สามารถทำได้ทันทีโดยไม่ต้องรองบประมาณจากภาครัฐ และผู้โดยสารเองก็ต้องการได้รับบริการที่ดีขึ้น สะอาด สะดวก โดยจะเร่งดำเนินการให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เชื่อว่าไม่เกิน 6 เดือนจะเห็นเป็นรูปธรรมมากขึ้น

ส่วนการปรับปรุงโครงสร้างรางให้มีความแข็งแรง การจัดหาหัวรถจักร ขบวนรถไฟ และแคร่สินค้า เพื่อที่จะนำมาให้บริการที่มีความตรงเวลา ปลอดภัยและเพียงพอต่อการบริการนั้น โดยจะเร่งจัดซื้อจัดจ้างให้แล้วเสร็จภายใน 2 ปี ซึ่งต้องขอให้กระทรวงการคลังสนับสนุนและประสานความร่วมมือในการจัดสรรงบประมาณ ตามกรอบวงเงินที่ครม.อนุมัติไว้แล้ว 176,000 ล้านบาท ตามแผนจึงจะสามารถดำเนินการได้ตามเป้าหมายเช่นกัน

นายประภัสร์ กล่าวว่า กรณี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม”ชัชชาติ สิทธิพันธุ์” ได้ให้นโยบายแก่ ร.ฟท.ให้เตรียมพนักงานเพื่อที่จะเดินหน้าไปพร้อมกับรัฐบาลนั้น เบื้องต้นจะต้องสรรหาคนในองค์กรที่มีอุดมการณ์เดียวกัน คือ เร่งพัฒนาการรถไฟอย่างจริงจัง และมีความจริงใจที่จะร่วมกันพัฒนาจริงๆ แต่ต้องอยู่ภายใต้ธรรมาภิบาล คือ ต้องโปร่งใส ซื่อสัตย์ ยุติธรรม และไม่ทุจริต ซึ่งเชื่อว่า คนรถไฟมีความสามารถเยอะ แต่ที่หมดไฟไปเนื่องจากไม่มีใครเคยเข้ามาดูแลอย่างจริงจัง

“อยากจะวางรากฐานการรถไฟฯให้มั่นคงอย่างยั่งยืนตลอดไป เพราะผมก็เหลือเวลาบริหารงานอีกไม่นาน ถ้าสามารถอยู่อย่างยั่งยืนได้ก็เป็นเรื่องที่ดีต่อประเทศไทย แต่ถ้าหมดยุคผมไปแล้วสถานการณ์กลับมาเหมือนเดิมประเทศก็จะเสียหายเหมือนเดิม ซึ่งอย่างลืมว่า รถไฟเป็นดังเส้นเลือดใหญ่ของระบบลอจิสติกส์ของประเทศ ซึ่งรัฐบาลก็ให้ความสำคัญกับระบบลอจิสติกส์มาก”

ส่วนความกังวลเรื่องสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจการรถไฟฯ จะไม่เห็นด้วยนั้น ตนไม่เป็นห่วงในเรื่องนี้ เพราะว่าพนักงานการรถไฟฯทุกคนก็อยากให้องค์กรกลับไปมีหน้ามีตาเหมือนในอดีตที่พ่อหลวง ร.5 เคยสร้างเอาไว้ จนเป็นที่ภาคภูมิใจของคนไทยทุกๆคน แต่ระยะหลังมีเรื่องการเมืองเข้ามาแทรก และถูกดึงเข้าไปร่วมกับสถานการณ์ต่างๆจนบ้างครั้งต้องตกไปเป็นจำเลยสังคม จนส่งผลด้านลบกลับมายังองค์กร

“พนักงานการรถไฟฯจะต้องไม่เข้าไปยุ่งเรื่องการเมืองเหมือนในอดีต แต่ก็สามารถชื่นชอบตามอุดมการณ์ของตนเองได้เหมือนเดิม แต่ทุกอย่างต้องไม่นำองค์กรเข้าไปยุ่งด้วย เพราะองค์กรของเราต้องสร้างความเป็นมืออาชีพ ซึ่งไม่ใช่อาชีพการเมือง และอย่าลืมว่า รถไฟไทย มีประชาชนฝากความหวังไว้กับเราเยอะมาก”

ที่มา.สยามธุรกิจออนไลน์
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันอังคารที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2556

ความสัมพันธ์ระหว่าง อาเซียนกับภายนอก (3)


หลังจากที่กล่าวถึง “อาเซียน+3” (อาเซียน จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้) และ “การประชุมสุดยอดเอเชียตะวันออก” (East Asia Summit: EAS) แล้ว วันนี้กระผมขออนุญาตกล่าวถึงความเป็นมาและรายละเอียด ของกรอบความร่วมมือสุดท้าย คือ “การประชุมอาเซียนว่าด้วยความร่วมมือด้านการเมืองและความมั่นคงในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก” (ASEAN Regional Forum: ARF) ดังนี้ครับ

     ความเป็นมาและรูปแบบของกระบวนการ ARF ARF เป็นผลสืบเนื่องมาจากมติของของที่ประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนครั้งที่ 26 ที่สิงคโปร์ เมื่อปี 2536 เพื่อแยกการหารือด้านความมั่นคงกับประเทศคู่เจรจาในกรอบ ASEAN Post Ministerial Conferences (PMC) ออกไปเป็นอีกเวทีหนึ่งสำหรับการหารือด้านการเมืองและความมั่นคงในภูมิภาคโดยเฉพาะ เพื่อให้สามารถหารือในรายละเอียดและได้ผลเป็นรูปธรรมยิ่งขึ้น โดยการประชุมระดับรัฐมนตรีครั้งแรกจัดขึ้นที่กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2537
     ปัจจุบัน ARF มีประเทศเข้าร่วม 26 ประเทศกับ 1 กลุ่มประเทศ ประกอบด้วย สมาชิกอาเซียน 10 ประเทศ ประเทศคู่เจรจาของอาเซียน 9 ประเทศกับอีก 1 กลุ่มประเทศ ได้แก่ สหรัฐอเมริกา แคนาดา ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ จีน ญี่ปุ่น สาธารณรัฐเกาหลี รัสเซีย อินเดีย สหภาพยุโรป ผู้สังเกตการณ์พิเศษของอาเซียน 1 ประเทศ ได้แก่ ปาปัวนิวกินี และประเทศอื่นในภูมิภาค 6 ประเทศ ได้แก่ มองโกเลีย สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลี ปากีสถาน ติมอร์-เลสเต บังคลาเทศ และศรีลังกา

     ภารกิจสำคัญของ ARF ARF เป็นเวทีและกลไกที่อาเซียนจัดตั้งขึ้นมาเพื่อเป็นช่องทางที่จะมีปฏิสัมพันธ์ กับประเทศสำคัญนอกภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มีผลประโยชน์ในพื้นที่ที่เป็น Geographical Footprint ของ ARF (เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เอเชียตะวันออกเฉียงเหนือ และ Oceania) เพื่อส่งเสริมเสถียรภาพและสันติภาพในพื้นที่ดังกล่าว ในการนี้ อาเซียนมอง ARF เป็นส่วนสำคัญของยุทธศาสตร์อาเซียน ที่จะคงไว้ซึ่งบทบาทนำของอาเซียนในการขับเคลื่อนกระบวนการความร่วมมือต่างๆ เพื่อให้เกิดสันติภาพและเสถียรภาพในภูมิภาค อีกทั้งเป็นเสาหลักอันหนึ่งใน Regional Security Architecture

     การดำเนินงานในกรอบ ARF เพื่อนำไปสู่เสถียรภาพในภูมิภาคมี 3 ขั้นตอน ได้แก่ 1) มาตรการเสริมสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจ หรือ Confidence Building Measures: CBMs-Stage 1 2) การทูตเชิงป้องกันหรือ Preventive Diplomacy : PD-Stage 2 3) แนวทางเรื่องปัญหาความขัดแย้งหรือ Approaches to Conflict-Stage 3

     ปัจจุบันถือได้ว่า ARF อยู่ในขั้นหรือ Stage 1.5 กล่าวคือ เริ่มมีการหารือเรื่องของการทูตในเชิงป้องกันหรือ Preventive Diplomacy แต่ยังไม่ถึงขั้นมีการดำเนินการเรื่อง Preventive Diplomacy ในชั้นนี้ประเทศที่เข้าร่วมใน ARF กำลังพิจารณาการจัดทำ ARF Preventive Diplomacy Work Plan เพื่อศึกษาความเป็นไปได้ของการหามาตรการ PD ในบางกรณี ซึ่งอาจเป็นในเรื่องของ Non-Traditional Security Issues เป็นต้น ประเทศส่วนใหญ่มีทีท่าว่าพร้อมที่จะให้มีการก้าวไปสู่ Stage 2 เรื่อง Preventive Diplomacy แม้กระทั่งจีนมีท่าทีไม่ขัดข้องในหลักการแต่ขอให้มีการศึกษาอย่างละเอียด และมีการดำเนินการเรื่องของ CBMs ควบคู่กันไป ส่วนประเทศที่มีท่าทียังไม่พร้อมที่จะรับ PD มากที่สุดคืออินเดีย อนึ่ง ไทยได้พยายามผลักดันให้ ARF ก้าวไปสู่ Stage 2 ของ ARF หรือ PD มาโดยตลอด ทั้งนี้ บนพื้นฐานว่าจะไม่มีการใช้ PD ในส่วนของปัญหาภายในประเทศ หรือปัญหาขัดแย้งทวิภาคี ยกเว้นแต่ได้รับความเห็นชอบจากประเทศที่เกี่ยวข้อง

      ในเวลาเดียวกัน ARF พยายามที่จะส่งเสริม Practical Cooperation ใน Areas บางอย่างที่มีผลประโยชน์ร่วมกัน ซึ่งปัจจุบันรวมกัน 4 areas หลักกล่าวคือ (1) Disaster Relief (2) Counter-Terrorism และ Transnational Crime (3) Maritime Security และ (4) Non-Proliferation and Disarmament เป็นหลัก โดยพยายามส่งเสริมให้มีการแลกเปลี่ยน best practices และประสบการณ์ในเรื่องดังกล่าว ทั้งนี้ เพื่อพยายามนำไปสู่การจัดทำกิจกรรมที่เป็นรูปธรรมเช่นการจัดทำ Standard Operating Procedures หรือ Guidelines เป็นต้น นอกจากนี้ การปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้เชี่ยวชาญในบริบทของการช่วยแก้ปัญหาร่วมกันจะเป็นการช่วยส่งเสริม Trust and Confidence ในอีกทางหนึ่ง

     กลไกสำคัญของ ARF รัฐมนตรีต่างประเทศและเจ้าหน้าที่อาวุโส ARF พบปะกันปีละ 1 ครั้ง โดยรัฐมนตรีต่างประเทศ (ARF Ministerial Meeting) จะพบกันในช่วงประมาณเดือนกรกฎาคมและเจ้าหน้าที่อาวุโส (ARF Senior Officials’ Meeting) ในเดือนพฤษภาคม เพื่อพิจารณาข้อเสนอของที่ประชุมระดับเจ้าหน้าที่และหารือถึงแนวทางการพัฒนาความร่วมมือใน ARF ทั้งนี้ ภายหลังการประชุม รัฐมนตรี ARF ประธานที่ประชุมจะออกแถลงการณ์ (Chairman’s Statement) เพื่อสะท้อนผลการหารือ อีกทั้งอาจมีแถลงการณ์แยกในเรื่องสำคัญอื่นๆ ด้วย

     ประเทศที่เข้าร่วมใน ARF ได้พยายามที่จะให้ฝ่ายทหารมีความเกี่ยวข้องมากขึ้นในกระบวนการ ARF ซึ่งปัจจุบันฝ่ายทหารมีส่วนร่วมใน ARF ใน 2 ระดับ โดยผ่านกลไกของ ARF Security Policy Conference (ASPC) และการประชุม ARF Defence Officials Dialogue (ARF DOD)

     (1) การประชุม ARF Security Policy Conference (ASPC) เป็นการประชุมระดับสูงของฝ่ายทหาร (รัฐมนตรีช่วยหรือระดับเทียบเท่าปลัดกระทรวงฯ) เพื่อเสริมสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างฝ่ายทหารของประเทศที่เข้าร่วม ARF เพื่อส่งเสริมความเข้าใจและไว้เนื้อเชื่อใจและความโปร่งใสระหว่างกองทัพของประเทศต่างๆ ซึ่งจะช่วยลดโอกาสของการใช้กำลังหรือมาตรการทางทหารระหว่างกัน โดยการประชุม ASPC ครั้งที่ 1 จัดขึ้นระหว่างวันที่ 4-6 พฤศจิกายน 2547 ณ กรุงปักกิ่ง โดยมีอินโดนีเซียเป็นประธาน

     (2) การประชุม ARF Defense Officials’ Dialogue (ARF DOD) เป็นการประชุมระดับเจ้าหน้าที่ฝ่ายทหาร เพื่อหารือรายละเอียดความร่วมมือของฝ่ายทหารในกรอบ ARF ทั้งนี้ การประชุม DOD ยังจัดขึ้นในช่วงการประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสและการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศ และก่อนการประชุม ASPC เพื่อช่วยในการเตรียมการประชุมดังกล่าว

     ARF แบ่งประเภทกิจกรรมออกเป็น 2 แนวทาง (Tracks) ได้แก่ (1) กิจกรรมที่เป็นทางการ (Track I) เรียกว่า กิจกรรมระหว่างปี (Inter-Sessional Activities) ซึ่งเป็นกิจกรรมระดับเจ้าหน้าที่ที่หารือเกี่ยวกับกิจกรรมเฉพาะเรื่อง ซึ่งแบ่งออกได้เป็น 2 กรอบกิจกรรม ได้แก่ (1) Inter-Sessional Support Group on Confidence Building Measures and Preventive Diplomacy (ISG on CBMs and PD) และ (2) Inter-Sessional Meetings ในสาขาความร่วมมือต่างๆ โดย ISG on CBMs จัดขึ้นเป็นครั้งแรกในปี 2539 ในลักษณะของการมีประธานร่วมจากสมาชิกอาเซียน 1 ประเทศและประเทศภายนอกอาเซียน 1 ประเทศ ซึ่งต่อมาได้มีการเพิ่มเรื่องของ PD ด้วย โดยภายใต้การประชุม ISG on CBMs จะมีการประชุม workshops/seminars ต่าง ๆ ที่ประเทศใน ARF เสนอให้ที่ประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศรับรองก่อนดำเนินการในปีถัดไป ส่วน ISMs จะเน้นการส่งเสริมความร่วมมือในเรื่องของ Disaster Relief, Counter-Terrorism and Transnational Crime, Maritime Security และ Non-Proliferation and Disarmament

     (2) กิจกรรมที่ไม่เป็นทางการ (Track II) จัดโดยสถาบันวิจัยหรือสถาบันวิชาการของประเทศผู้เข้าร่วม ARF ตามความเห็นชอบจากที่ประชุม ARF ระดับเจ้าหน้าที่อาวุโสและรัฐมนตรี โดยมีนักวิชาการและเจ้าหน้าที่ภาครัฐบาลเข้าร่วมประชุมในฐานะส่วนตัว เพื่อหารือเกี่ยวกับประเด็นด้านการเมืองและความมั่นคง ซึ่งที่ผ่านมา ARF ได้มีการจัดประชุม/สัมมนาวิชาการในหัวข้อต่างๆ อาทิ การไม่แพร่ขยายของอาวุธ การทูตเชิงป้องกัน การต่อต้านการก่อการร้าย และสถานการณ์ในคาบสมุทรเกาหลี เป็นต้น ปัจจุบัน CSCAP ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของ Track II ของ ARF เช่นเดียวกับกลุ่ม ARF Experts/Eminent Persons Group (EEPs)

     บทบาทไทยใน ARF ไทยสนับสนุนให้ ARF มีบทบาทสำคัญในการช่วยลดความตึงเครียดในภูมิภาค พร้อมทั้งส่งเสริมให้มีความร่วมมืออย่างเป็นรูปธรรม เพื่อสร้างเสถียรภาพและความมั่นคงในภูมิภาค ในการนี้ ไทยมองว่า ARF และกลไกใหม่ๆ เช่น การประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียนกับประเทศคู่เจรจา (ASEAN Defence Ministerial Meeting Plus-ADMM Plus) เกื้อกูลซึ่งกันและกัน โดย ARF พิจารณานโยบายความมั่นคงในภาพรวม ส่วน ADMM Plus พิจารณาโครงการความร่วมมือที่ฝ่ายกลาโหมสามารถมี Value-Added ได้สูง เช่น เรื่องการปฏิบัติการรักษาสันติภาพ และความมั่นคงทางทะเลเป็นต้น ในส่วนของความร่วมมือในสาขาต่างๆ นั้น ไทยมีบทบาทส่งเสริมความร่วมมือในสาขาต่างๆ อาทิ

     1. ไทยและเกาหลีใต้เป็นประธานร่วมการประชุมระดับผู้เชี่ยวชาญของ ARF ด้านการรักษาสันติภาพ ระหว่างวันที่ 10-11 มีนาคม 2553 ณ โรงแรม Pullman King Power กรุงเทพฯ โดยมีสาระสำคัญของการประชุม ดังนี้ 1) มุ่งสร้างทิศทางร่วมกันระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียนในเรื่องปฏิบัติการรักษาสันติภาพ 2) แสวงหาความร่วมมือกับสมาชิกอื่นๆ ของ ARF ในเรื่องดังกล่าว และ 3) สร้างเครือข่ายระหว่างบุคลากรและศูนย์รักษาสันติภาพในภูมิภาค

     2. ไทยและสหรัฐฯ เป็นประธานร่วมการประชุม ARF ด้านการบรรเทาภัยพิบัติ (ARF Inter-Sessional Meeting on Disaster Relief-ARF ISM on DR) ครั้งที่ 10 ระหว่างวันที่ 2-3 กันยายน 2553 ณ โรงแรม Royal Orchid Sheraton Hotels & Towers กรุงเทพฯ ซึ่งต่อมา ที่ประชุม ARF Inter-Sessional Support Group (ISG) on CBM and PD ที่เมืองบาหลี เมื่อเดือนธันวาคม 2553 ได้สนับสนุนข้อเสนอของไทยและสหรัฐฯ ที่เสนอต่อ ARF ISM on DR ที่ให้มี (1) การเชื่อมโยงระหว่างองค์กร/ศูนย์ฝึกอบรมเรื่องการบริหารจัดการภัยพิบัติในภูมิภาคโดยมี Asian Disaster Preparedness Centre (ADPC) ในประเทศไทยเป็นศูนย์กลางประสานงานเรื่องนี้ และ (2) ควรจ้างผู้เชี่ยวชาญด้านการบริหารจัดการภัยพิบัติเพื่อสนับสนุนการทำงานของ ARF Unit นอกจากนี้ ที่ประชุมรับทราบข้อเสนอของไทยที่จะให้พัฒนาสนามบินอู่ตะเภา เพื่อสนับสนุนเรื่อง Rapid Deployment ในกรณีมีภัยพิบัติในภูมิภาค โดยจะประสานงานกับศูนย์ ASEAN Humanitarian Assistance (AHA) ณ กรุงจาการ์ตา และ United Nation World Food Programme Humanitarian Depot ที่เมืองซูบัง มาเลเซีย

     3. ไทยและติมอร์-เลสเต เป็นประธานร่วมในการจัดการประชุม ARF Experts and Eminent Persons (EEPs) ครั้งที่ 5 ซึ่งได้มีขึ้นระหว่างวันที่ 27-29 มกราคม 2554 ณ กรุงดิลี ประเทศติมอร์-เลสเต เพื่อพิจารณาข้อเสนอแนะเกี่ยวกับนโยบายด้านการทูตเชิงป้องกันจากมุมมองของ Track 1.51 และข้อเสนอในการพัฒนาประสิทธิภาพการดำเนินงานของ ARF และต่อมา ไทยได้ร่วมกับสหรัฐฯ เป็นเจ้าภาพจัดการประชุม EEPs ครั้ง 6 ณ กรุงเทพ โดยที่ประชุมได่มีข้อเสนอแนะต่อแผนงานการทูตเชิงป้องกัน และพิจารณาการส่งคณะสังเกตการณ์ในการเลือกตั้งทั่วไปของติมอร์

     4. ไทยได้เข้าร่วมการประชุม ARF Inter-Sessional Meeting on Maritime Security (ARF ISM on MS) ครั้งที่ 3 ณ กรุงโตเกียว ระหว่างวันที่ 14-15 กุมภาพันธ์ 2554 โดยได้แจ้งในที่ประชุมว่าไทยจะจัดการประชุม ASEAN Maritime Forum (AMF) ครั้งที่ 2 ซึ่งจะเป็นการต่อยอดจากการประชุม AMF ครั้งที่ 1 ณ เมืองสุราบายา ประเทศอินโดนีเซีย โดยไทยได้จัดการประชุมดังกล่าวแล้ว ระหว่างวันที่ 17-19 สิงหาคม 2554 โดยได้ผลักดันประเด็นทางทะเลที่เป็นประโยชน์ต่อไทย ส่งเสริมบทบาทของไทยในภูมิภาคในเรื่องความร่วมมือทางทะเล ทั้งนี้ ที่ประชุมได้มีข้อเสนอแนะต่างๆ ในด้านความมั่นคงและความปลอดภัยของช่องทางการติดต่อทางทะเล การพัฒนาความร่วมมือในภูมิภาคเกี่ยวกับประเด็นทางทะเล และการเพิ่มความตระหนักรู้ในเรื่องทางทะเล

     5. ไทยเป็นเจ้าภาพร่วมกับสหรัฐฯ ในการจัดสัมมนาเชิงปฏิบัติการหัวข้อ Nonproliferation Nuclear Forensics ระหว่างวันที่ 7-9 ธันวาคม 2554 ณ กรุงเทพ เพื่อเสริมสร้างขีดความสามารถของผู้ปฏิบัติงานในด้านการสืบค้นทางนิวเคลียร์อันจะช่วยลดการลักลอบขนถ่ายวัสดุนิวเคลียร์ในภูมิภาค และอีกทั้งได้มีการสาธิตการรับมือกับการตรวจพบวัสดุนิวเคลียร์ นอกจากนี้ ไทยยังรับเป็นเจ้าภาพร่วมกับสหรัฐฯ ในการจัดการสัมมนาเรื่อง Implementation of UNSCR 1540 ในปี 2556 ตามแผนงาน ISM on NPD อีกด้วย

ที่มา.สยามรัฐ
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

เปิดแฟ้ม 185 คดี ผลงาน 6 ปีฝีมือสืบสวน ป.ป.ช.(ดิสเครดิตการเมือง)


ทุกฤดูกาลการเลือกตั้ง มักมีคดีความทางการเมืองของ 2 พรรคการเมืองใหญ่ ไม่เว้นแม้แต่การเลือกตั้งในสนามระดับกรุงเทพมหานคร ทั้งฝ่ายประชาธิปัตย์-เพื่อไทย ยื่นฟ้องกันไปมาผ่านองค์กรอิสระไม่เว้นแต่ละวัน

รวมเรื่องร้องเรียนกว่า 8,000 คดี ที่อยู่กำในมือคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มีคดีการเมือง คดีอาญา 2 พรรคใหญ่กว่า 185 เรื่อง แบ่งเป็นเรื่องที่ดำเนินการแล้วเสร็จ 105 เรื่อง และอยู่ระหว่างแสวงหาข้อเท็จจริง 80 เรื่องเป็นคดีฝั่งพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) 134 เรื่อง ดำเนินการแล้วเสร็จ 93 เรื่อง และยังต้องแสวงหาข้อเท็จจริง 41 เรื่อง ส่วนพรรคเพื่อไทยที่เพิ่งได้ครองอำนาจฝ่ายบริหาร มีเรื่องร้องเรียนรวม 51 เรื่อง ดำเนินการแล้วเสร็จ 12 เรื่อง และยังแสวงหาข้อเท็จจริง 39 เรื่อง

กว่า 105 เรื่องที่ดำเนินการเสร็จไปแล้ว "ปานเทพ กล้าณรงค์ราญ" ประธาน ป.ป.ช. ยอมรับว่า คดีที่เข้ามาและออกไปส่วนใหญ่มีมติไม่ไต่สวนต่อ หลังสืบพยาน-หลักฐานพบว่าไม่มีมูลความผิด หลายเรื่องเป็นเพียงพิธีกรรม "ดิสเครดิต" ทางการเมือง

แต่ใช่ว่า ป.ป.ช. จะไม่มีพิษสงเพราะกว่า 6 ปี (2549-ปัจจุบัน) "ปานเทพและคณะ" เดินหน้าสะสางคดี ลากนักการเมืองเข้าสู่สถานะ "คนผิด" ไปแล้ว 6 คน ดังต่อไปนี้

"วัฒนา อัศวเหม" อดีตประธานพรรคเพื่อแผ่นดิน และ รมช.มหาดไทย สมัยรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ใช้อำนาจข่มขู่หรือชักจูงใจให้ผู้อื่นร่วมออกโฉนดที่ดิน 1,900 ไร่ ทับที่คลองสาธารณประโยชน์ เพื่อนำไปขายให้กรมควบคุมมลพิษเพื่อก่อสร้างโครงการบ่อบำบัดน้ำเสีย ตำบลคลองด่าน อำเภอบางบ่อ จังหวัดสมุทรปราการ

สุดท้ายต้องโทษความผิดทางวินัยและทางอาญา โดยวันที่ 18 ส.ค. 51 ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิพากษาลงโทษจำคุก 10 ปี ริบของกลางเป็นพระเครื่องผงสุพรรณเลี่ยมทองคำ 1 องค์

"พล.อ.ธรรมรักษ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา" อดีตรองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม สมัยรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองเป็นเวลา 5 ปี พร้อมสมาชิกบ้านเลขที่ 111 หลังจากที่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่ามีความผิดฐานว่าจ้างพรรคเล็กลงเลือกตั้ง

จากกรณีดังกล่าว ป.ป.ช.ชี้มูลต่อเนื่อง กระทั่งศาลอาญามีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 30 พ.ค. 55 ให้จำคุกโดยไม่ต้องรอลงอาญาเป็นเวลา 3 ปี 4 เดือน และยึดเงินสด 30,000 บาท โดยขณะนี้คดียังอยู่ระหว่างอุทธรณ์

"ศุภชัย โพธิ์สุ" อดีต รมช.เกษตรและสหกรณ์ สมัยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ถูกชี้มูลความผิดข้อหาปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ หลังจากโน้มน้าวให้ประชาชนที่เข้าร่วมพิธีเปิดการฝึกอบรมของกรมพัฒนาที่ดินที่โรงแรมริมปาว จังหวัดกาฬสินธุ์ ลงคะแนนเลือกผู้สมัคร ส.ส.ของพรรคภูมิใจไทย

ป.ป.ช.ได้ทำสำนวนถึงอัยการสูงสุดไปเมื่อวันที่ 28 ก.ย. 54 เพื่อให้ดำเนินคดีอาญา ล่าสุดอยู่ระหว่างการดำเนินการของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง

"นพดล ปัทมะ" ทนายส่วนตัว พ.ต.ท.ทักษิณ ขณะที่ดำรงตำแหน่ง รมว.ต่างประเทศ ได้กระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ในการเห็นชอบและลงนามในแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา (Joint Communique) สนับสนุนให้ประเทศกัมพูชาขึ้นทะเบียนปราสาทเขาพระวิหารเป็นมรดกโลกโดยส่งเรื่องให้วุฒิสภาดำเนินการถอดถอน "นพดล" ตั้งแต่ ต.ค. 52 นอกจากนั้นยังมอบหมายให้สภาทนายความเป็นผู้ฟ้องคดีแทน ขณะนี้อยู่ระหว่างยื่นคำฟ้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง

"อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" อดีตนายกรัฐมนตรี และ "สุเทพ เทือกสุบรรณ" อดีตรองนายกรัฐมนตรีมีพฤติการณ์ส่อว่าจงใจใช้อำนาจขัดต่อบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ รู้เห็นเป็นใจส่ง ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ไปช่วยราชการในกระทรวงต่าง ๆ

ป.ป.ช.มีความเห็นว่า กรณีนายอภิสิทธิ์มีหลักฐานไม่เพียงพอ ข้อกล่าวหาตกไป ส่วนกรณีนายสุเทพได้ชี้มูลความผิดต่อวุฒิสภาให้ทำเรื่องถอดถอน ซึ่งมีมติไม่ถอดถอนในลำดับต่อมา

"พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร" ครั้งดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี ป.ป.ช.ได้ส่งสำนวนให้อัยการสูงสุดดำเนินการสั่งฟ้องคดีอาญาเมื่อวันที่ 29 ก.ย. 53 ข้อหาปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ กรณีให้กระทรวงการคลังเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับกระบวนการฟื้นฟูกิจการบริษัท อุตสาหกรรมปิโตรเคมีกัลไทย จำกัด (มหาชน) (TPI)

อย่างไรก็ตาม แรกเริ่มอัยการได้ทำเรื่องตีกลับเพราะพยานหลักฐานไม่สมบูรณ์ ป.ป.ช.จึงได้หารือกันจนมีมติฟ้องคดีเองเมื่อ 10 มี.ค. 54 โดยอยู่ในขั้นตอนที่สำนักกฎหมายกำลังดำเนินการ

สำหรับกรณี "พ.ต.ท.ทักษิณ" ยังมี คดีที่ ป.ป.ช. รับไม้ต่อมาจากคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) อีกหลายคดี ซึ่งยังอยู่ระหว่างแสวงหาข้อเท็จจริง ทั้งกรณีทุจริตบ้านเอื้ออาทร เงินซื้อสโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ ซิตี้ กรณีแก้ไขสัญญาค่าสัมปทานโทรศัพท์เคลื่อนที่แบบเติมเงินให้แก่บริษัทเอไอเอส

เมื่อพลิกประวัติศาสตร์นับตั้งแต่ มีนายโอภาส อรุณินท์ เป็นประธาน ก็เคยชี้มูลความผิดกรณี "พ.ต.ท.ทักษิณ" จงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สิน หนี้สิน อันเป็นเท็จ เหตุนี้จึงไม่แปลกที่ ป.ป.ช.มักจะถูกหมายหัวจากพรรค-พวกพ้อง พ.ต.ท.ทักษิณว่า องค์กรอิสระตั้งตนเป็นปรปักษ์ตั้งแต่ยังไม่เริ่มทำงาน

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันจันทร์ที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2556

สมาคมนายหน้า อสังหาริมทรัพย์ไทย เตือนนายหน้าอสังหาฯรับมือต่างชาติบุกไทยชี้ราคาบ้าน-ที่ดินยังถูก.


นายหน้าเปลี่ยนชื่อองค์กรใหม่ “สมาคมนายหน้าอสังหาริมทรัพย์ไทย” เผยเพื่อเป็นการระบุสัญชาติเมื่อต้องทำงานร่วมกับชาติอื่น ๆ หลังเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) เตือนนายหน้าเตรียมรับมือต่างชาติบุกตลาดอสังหาฯ ชี้ราคาบ้านและที่ดินในประเทศราคาถูกเมื่อเปรียบเทียบกับชาติอื่น ๆ ในอาเซียน

นายแพทย์สมศักดิ์ มุนีพีระกุล นายกสมาคมนายหน้าอสังหาริมทรัพย์ไทย เปิดเผยว่า เมื่อไม่นานมานี้ที่ประชุมใหญ่ของสมาคมฯ มีมติเห็นชอบให้มีการเปลี่ยนชื่อสมาคมฯ โดยใช้ชื่อว่า “สมาคมนายหน้าอสังหาริมทรัพย์ไทย” (Thai Real Estate Broker Association) ทั้งนี้ เพื่อเป็นการรองรับการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) และเป็นการอำนวยความสะดวกให้กับนายหน้าที่เป็นสมาชิกของสมาคมฯ ที่ต้องไปทำงานในประเทศต่าง ๆ ในอาเซียน ซึ่งจะสามารถชี้ชัดและระบุได้อย่างชัดเจนว่าเป็นนายหน้าจากประเทศไทย เห็นได้จากมาเลเซียก็ได้ระบุชื่อประเทศไว้ในชื่อของสมาคมด้วย การเติมคำว่า “ไทย” ลงท้ายชื่อเดิมของสมาคมฯ เพราะเชื่อว่าอนาคตนายหน้าอสังหาริมทรัพย์ของไทยจะต้องเดินทางไปทำงานร่วมกับชาติอื่น ๆ จะทำให้ลูกค้าหรือผู้บริโภคของประเทศต่าง ๆ ในอาเซียนทราบว่ากำลังใช้บริการกับนายหน้าสัญชาติใด เนื่องจากอีกไม่นานธุรกิจนายหน้าอสังหาริมทรัพย์จะเปิดกว้างสำหรับทุกคนในภูมิภาคนี้

“การเปลี่ยนชื่อเป็นสมาคมนายหน้าอสังหาริมทรัพย์ไทยไม่ได้มีส่วนช่วยนายหน้าอสังหาริมทรัพย์ทำงานง่ายขึ้นหลังจากเปิด AEC แต่นายหน้าทุกคนจะต้องปรับกลยุทธ์การทำงานและพัฒนาความรู้เพื่อรับมือกับการแข่งขันของตลาดอสังหาริมทรัพย์ในอนาคต เนื่องจากจะมีนายหน้าสัญชาติต่าง ๆ ในอาเซียนเข้ามาทำธุรกิจในประเทศไทยมากขึ้น ที่ผ่านมาสมาคมฯ ได้จัดอบรมหลักสูตรต่าง ๆ เช่น หลักสูตรวิชาการบริหารธุรกิจนายหน้าอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งกระทรวงศึกษาธิการให้การรับรอง เพื่อเพิ่มทักษะและศักยภาพของนายหน้าไทยให้สามารถทำงานท่ามกลางการแข่งขันของตลาดได้ ที่สำคัญจะต้องมีการเรียนภาษาต่างประเทศ ทั้งภาษาอังกฤษและภาษาท้องถิ่นของประเทศที่เราจะไปทำงาน เนื่องจากที่ผ่านมานายหน้าของเวียดนาม มาเลเซียและสิงคโปร์ได้ให้ความสำคัญกับการเรียนภาษาไทยมากขึ้น ดังนั้น นายหน้าไทยจะต้องเตรียมความพร้อมด้านภาษาสำหรับการสื่อสารด้วย” นายแพทย์สมศักดิ์กล่าว

สำหรับจุดอ่อนและข้อเสียเปรียบของนายหน้าไทยนั้นนายแพทย์สมศักดิ์ให้ความเห็นว่า ปัจจุบันนายหน้าอสังหาริมทรัพย์ไทยยังไม่มีพ.ร.บ.ออกมาบังคับใช้ ในขณะที่ชาติอื่น ๆ ในอาเซียนได้ประกาศใช้กฎหมายดังกล่าวมานานแล้ว ดังนั้น หากนายหน้าไทยจะเดินทางไปทำงานที่มาเลเซียหรือสิงคโปร์จะต้องไปสอบเพื่อขอไลเซ่นส์จากประเทศนั้น ๆ

ในขณะที่นายหน้าต่างชาติสามารถมาทำงานเมืองไทยได้เลยเนื่องจากมีไลเซ่นส์จากประเทศของเขาแล้ว ซึ่งจะทำให้นายหน้าไทยเสียเปรียบเพราะจะส่งผลถึงความน่าเชื่อถือ และความไว้วางใจจากผู้บริโภค ดังนั้น ภาครัฐบาลจะต้องเห็นความสำคัญของกฎหมายดังกล่าว เนื่องจากเกี่ยวข้องกับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่มีมูลค่ามหาศาล ซึ่งสามารถสร้างงานและสามารถกำหนดทิศทางเศรษฐกิจของประเทศ

“มั่นใจว่าหลังจากเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนจะมีนายหน้าชาติอื่น ๆ เดินทางเข้ามาทำงานในประเทศไทยมากขึ้น เนื่องจากไทยเป็นศูนย์กลางที่อยู่ในความสนใจจากประชาชนอาเซียน ที่สำคัญราคาอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยยังถูกกว่าชาติอื่น ๆ เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศในภูมิภาคเดียวกัน จึงเป็นปัจจัยสำคัญที่จะดึงดูดการลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ และนายหน้าอสังหาริมทรัพย์จากต่างชาติจะเข้ามาแข่งขันกับคนไทยมากขึ้น หากคนไทยไม่ปรับตัวก็จะไม่สามารถแข่งขันในตลาดได้” นายกสมาคมนายหน้าอสังหาริมทรัพย์ไทยกล่าว

ที่มา.สยามธุรกิจออนไลน์
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ชุมพล ศิลปอาชา เสียชีวิตแล้ว จากภาวะไตวาย..!!?


นายชุมพล ศิลปอาชา รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา ในฐานะหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา ได้เสียชีวิตแล้ว ด้วยวัย 72 ปี เนื่องจากภาวะไตวาย ที่โรงพยาบาลรามาธิบดี

ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2555 ที่ผ่านมา นายชุมพล ได้ถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลมิชชั่น หลังเกิดอาการแน่นหน้าอก น้ำลายฟูมปาก และหายใจไม่ออก ขณะปฏิบัติภารกิจที่ห้องทำงาน ชั้น 3 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล ด้วยภาวะเส้นเลือดหัวใจตีบ 2 เส้น จึงทำให้เลือดไปเลี้ยงสมองและหัวใจไม่ทัน ก่อนจะถูกนำส่งตัวไปที่ห้องปฏิบัติการหลอดเลือดและหัวใจ ศูนย์แพทย์สิริกิติ์ โรงพยาบาลรามาธิบดี และนำตัวไปยังห้องซีซียูชั้น 9 อาคารผู้ป่วยเก่า โดยมีนายบรรหาร ศิลปอาชา อดีตนายกรัฐมนตรี และประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา ซึ่งเป็นพี่ชายของนายชุมพล และนายวราวุธ ศิลปอาชา มาติดตามอาการอย่างใกล้ชิด รวมทั้งนางดวงมาลย์ ศิลปอาชา ภริยา น.ส.สลิลดา ศิลปอาชา นายรัฐพล ศิลปอาชา บุตรสาวและบุตรชายนายชุมพล รวมทั้งแกนนำพรรค และข้าราชการผู้ใหญ่ทยอยเยี่ยมอาการ

สำหรับนายชุมพล ศิลปอาชา ดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ในรัฐบาลของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา และเคยดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ในรัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ

นายชุมพล ศิลปอาชา เกิดเมื่อวันที่ 6 มิถุนายน พ.ศ.2483 ที่ตำบลท่าพี่เลี้ยง อำเภอเมืองสุพรรณบุรี จังหวัดสุพรรณบุรี เป็นบุตรของนายเซ่งกิม และนางสายเอ็ง แซ่เบ๊ เป็นน้องชายของนายบรรหาร ศิลปอาชา อดีตนายกรัฐมนตรี คนที่ 21 ของประเทศไทย

ในปี พ.ศ. 2540 ได้เข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ในรัฐบาลของนายชวน หลีกภัย และหลังจากนั้นจึงได้หันหลังให้งานการเมืองในสภาผู้แทนราษฎร ไปลงสมัครเป็นสมาชิกวุฒิสภา จนกระทั่งภายหลังการยุบพรรคชาติไทย และตัดสิทธิ์ทางการเมืองแกนนำพรรค ในปี พ.ศ. 2551 ส่งผลให้สมาชิกรวมตัวกันจัดตั้งพรรคการเมืองขึ้นใหม่ในชื่อว่า "พรรคชาติไทยพัฒนา" นายชุมพล ศิลปอาชา จึงได้หันกลับมาสู่งานการเมืองสภาล่างอีกครั้ง โดยการรับตำแหน่งเป็นหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา

ต่อมาได้นำสมาชิกพรรคให้การสนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์ ในการจัดตั้งรัฐบาล และเสนอชื่อนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี ทำให้นายชุมพล ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา ได้รับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา

ในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2554 ได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แบบบัญชีรายชื่อ สังกัดพรรคชาติไทยพัฒนา และได้รับแต่งตั้งเป็นรองนายกรัฐมนตรี (กำกับดูแลด้านการท่องเที่ยว และการเกษตร) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ในรัฐบาลของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร

ที่มา: มติชนออนไลน์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++