--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันเสาร์ที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

จากนิติราษฎร์ถึงนิรโทษกรรม


ความเห็นต่อร่างพรบ.นิรโทษกรรมของคณะกรรมการฯ

ความเห็นต่อร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมแก่ผู้ซึ่งกระทำความผิดเนื่องจากการชุมนุมทางการเมือง และการแสดงออกทางการเมืองของประชาชน พ.ศ. …. และข้อเสนอต่อสภาผู้แทนราษฎร

ตามที่นายวรชัย เหมะ กับคณะได้เสนอร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมแก่ผู้ซึ่งกระทำความผิดเนื่องจากการชุมนุมทางการเมือง และการแสดงออกทางการเมืองของประชาชน พ.ศ. …. เข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร



พื้นที่ใช้กระสุนจริง ภาพจาก regist53.blogspot.com

โดยมีหลักการและเหตุผลคือ ให้นิรโทษกรรมแก่ประชาชนที่กระทำความผิดเนื่องจากการชุมนุมทางการเมือง และการแสดงออกทางการเมือง เพื่อเป็นการให้โอกาสแก่ประชาชนซึ่งเป็นพลเมืองของประเทศ รักษาและคุ้มครองศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ รวมทั้งส่งเสริมสิทธิมนุษยชนและสิทธิพลเมือง อันจะเป็นรากฐานที่ดีของการลดความขัดแย้ง และสร้างความปรองดอง และต่อมาสภาผู้แทนราษฎรได้มีมติในวาระที่หนึ่งรับหลักการร่างพระราชบัญญัติฯ ดังกล่าว

หลังจากนั้นสภาผู้แทนราษฎรได้ตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ขึ้นคณะหนึ่งเพื่อพิจารณา คณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ได้พิจารณาและมีมติแก้ไขร่างพระราชบัญญัติฯ ดังกล่าว โดยขยายการนิรโทษกรรมครอบคลุมไปถึง

“บรรดาการกระทำทั้งหลายทั้งสิ้นของบุคคลหรือประชาชนที่เกี่ยวเนื่องกับการชุมนุมทางการเมือง การแสดงออกทางการเมือง ความขัดแย้งทางการเมือง หรือที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้กระทำผิดโดยคณะบุคคลหรือองค์กรที่จัดตั้งขึ้นภายหลังการรัฐประหารเมื่อวันที่ ๑๙ กันยายน พ.ศ. ๒๕๔๙

รวมทั้งองค์กรหรือหน่วยงานที่ดำเนินการในเรื่องดังกล่าวสืบเนื่องต่อมา ที่เกิดขึ้นระหว่าง พ.ศ. ๒๕๔๗ ถึงวันที่ ๘ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๖

ไม่ว่าผู้กระทำจะได้กระทำในฐานะตัวการ ผู้สนับสนุน ผู้ใช้ให้กระทำ หรือผู้ถูกใช้ หากการกระทำนั้นผิดต่อกฎหมาย ก็ให้ผู้กระทำพ้นจากความผิดและความรับผิดโดยสิ้นเชิง” แต่ไม่นิรโทษกรรมให้แก่บุคคลซึ่งกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๑๑๒…

เมื่อพิจารณาจากร่างพระราชบัญญัติฯ ที่สภาผู้แทนราษฎรได้ลงมติรับหลักการในวาระที่หนึ่งแล้ว พบว่าสภาผู้แทนราษฎรนิรโทษกรรมเฉพาะแก่

“บุคคลที่เกี่ยวเนื่องกับการชุมนุมทางการเมือง หรือการแสดงออกทางการเมือง หรือบุคคลซึ่งไม่ได้เข้าร่วมการชุมนุมทางการเมือง แต่การกระทำนั้นมีมูลเหตุเกี่ยวข้องหรือเกี่ยวเนื่องกับความขัดแย้งทางการเมือง

โดยการกล่าวด้วยวาจาหรือโฆษณาด้วยวิธีการใดเพื่อเรียกร้องหรือให้มีการต่อต้านรัฐ การป้องกันตน การต่อสู้ขัดขืนการดำเนินการของเจ้าหน้าที่ของรัฐ หรือการชุมนุม การประท้วง หรือการแสดงออกด้วยวิธีการใด ๆ อันอาจเป็นการกระทบต่อชีวิต ร่างกาย อนามัย ทรัพย์สินหรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดของบุคคลอื่น”
จากถ้อยคำดังกล่าว เมื่อพิจารณาประกอบกับหลักการและเหตุผลของร่างพระราชบัญญัติ ฯ ที่ถูกเสนอเข้าสู่สภาผู้แทนราษฎร จะเห็นได้ว่า สภาผู้แทนราษฎรได้ลงมติรับหลักการให้นิรโทษกรรมเฉพาะประชาชนผู้กระทำการตามที่กล่าวข้างต้นเท่านั้น โดยไม่นิรโทษกรรมให้เจ้าหน้าที่ของรัฐที่เกี่ยวข้องกับการสลายการชุมนุม ทั้งไม่นิรโทษกรรมให้ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองที่ถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดโดยคณะบุคคลหรือองค์กรที่จัดตั้งขึ้นภายหลังการรัฐประหารเมื่อวันที่ ๑๙ กันยายน พ.ศ. ๒๕๔๙ แต่อย่างใด

และเมื่อพิจารณาประกอบกับชื่อของร่างพระราชบัญญัติฯ ดังกล่าวที่ใช้ชื่อว่า


“ร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมแก่ผู้ซึ่งกระทำความผิดเนื่องจากการชุมนุมทางการเมือง และการแสดงออกทางการเมืองของประชาชน พ.ศ. ….” แล้ว

ยิ่งทำให้เห็นประจักษ์ชัดว่าร่างพระราชบัญญัติฯ นี้มุ่งหมายนิรโทษกรรมเฉพาะประชาชนเท่านั้น การที่คณะกรรมาธิการวิสามัญฯได้แก้ไขร่างพระราชบัญญัติฯ นี้ให้รวมถึงบุคคลอื่นนอกจากประชาชน จึงเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมที่ขัดกับหลักการแห่งร่างพระราชบัญญัติฯ ที่ผ่านการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรในวาระที่หนึ่ง

อันเป็นการต้องห้ามตามข้อ ๑๑๗ วรรคสามแห่งข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. ๒๕๕๑ ซึ่งทำให้กระบวนการตราพระราชบัญญัติฯ ดังกล่าวนี้ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญ เพราะข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎรที่ห้ามมิให้การแก้ไขเพิ่มเติมร่างพระราชบัญญัติในวาระที่สองขัดกับหลักการแห่งร่างพระราชบัญญัตินั้นเป็นส่วนหนึ่งของรัฐธรรมนูญ

นอกจากประเด็นปัญหาความชอบด้วยรัฐธรรมนูญแล้ว คณะนิติราษฎร์เห็นว่าร่างพระราชบัญญัติฯ ฉบับนี้ยังมีปัญหาในประการต่าง ๆ ดังต่อไปนี้

๑) การนิรโทษกรรมตามที่ปรากฏในร่างพระราชบัญญัติฯ ฉบับนี้ซึ่งครอบคลุมไปถึงบรรดาเจ้าหน้าที่ของรัฐทั้งหลายที่เกี่ยวข้องกับการสลายการชุมนุมอันนำไปสู่การบาดเจ็บล้มตายของประชาชนที่เข้าร่วมในการชุมนุมนั้น นอกจากจะไม่เป็นธรรมต่อผู้สูญเสียในเหตุการณ์สลายการชุมนุมแล้ว ยังขัดต่อพันธกรณีระหว่างประเทศด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (International Covenant on Civil and Political Rights : ICCPR)

การปล่อยให้เจ้าหน้าที่ของรัฐซึ่งกระทำการละเมิดสิทธิในชีวิตและร่างกายของประชาชนรอดพ้นจากความรับผิดดังเช่นที่เคยปฏิบัติมาในอดีตนอกจากจะเป็นการตอกย้ำบรรทัดฐานที่เลวร้ายให้ดำรงอยู่ต่อไปแล้ว ยังสร้างความเคยชินให้แก่เจ้าหน้าที่ของรัฐ โดยเฉพาะอย่างยิ่งทหาร ในการปฏิบัติต่อประชาชนในลักษณะดังกล่าวข้างต้นโดยไม่ต้องกังวลว่าตนจะต้องรับผิดในทางกฎหมายในอนาคต

๒) ร่างพระราชบัญญัติที่ผ่านการพิจารณาของคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ซึ่งนิรโทษกรรมให้แก่บุคคลทั้งหลายทั้งปวงที่กล่าวมาข้างต้นนั้น กำหนดยกเว้นไม่นิรโทษกรรมให้แก่บุคคลซึ่งกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๑๒ ถึงแม้ว่าการกระทำความผิดของบุคคลนั้นจะเป็นการกระทำที่เกี่ยวเนื่องกับการชุมนุมทางการเมือง การแสดงออกทางการเมือง หรือความขัดแย้งทางการเมืองก็ตาม

การบัญญัติกฎหมายในลักษณะเช่นนี้ย่อมขัดหรือแย้งกับหลักแห่งความเสมอภาคที่รับรองไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา ๓๐ เนื่องจากหลักดังกล่าวเรียกร้องให้รัฐต้องปฏิบัติต่อสิ่งที่มีสาระสำคัญเหมือนกัน ให้เหมือนกัน และปฏิบัติต่อสิ่งที่มีสาระสำคัญแตกต่างกันให้แตกต่างกันออกไปตามสภาพของสิ่งนั้นๆ

การนิรโทษกรรมตามความมุ่งหมายของร่างพระราชบัญญัตินี้มีสาระสำคัญอยู่ที่การยกเว้นความผิดให้แก่บุคคลที่กระทำความผิดที่เกี่ยวเนื่องกับการชุมนุมทางการเมือง การแสดงออกทางการเมือง หรือความขัดแย้งทางการเมือง โดยไม่คำนึงว่าการกระทำนั้นจะเป็นความผิดฐานใด

ดังนั้น การที่คณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ตัดมิให้ผู้กระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๑๒ ที่ได้กระทำไปโดยมีความเกี่ยวเนื่องกับการชุมนุมทางการเมือง การแสดงออกทางการเมือง หรือความขัดแย้งทางการเมือง ได้รับประโยชน์จากการนิรโทษกรรมตามร่างพระราชบัญญัตินี้ จึงเป็นการปฏิบัติต่อสิ่งที่มีสาระอย่างเดียวกันให้แตกต่างกัน และขัดต่อหลักความเสมอภาคตามรัฐธรรมนูญ



ภาพจาก regist53.blogspot.com

๓) เนื่องจากการนิรโทษกรรมในครั้งนี้ มีผลกับการกระทำความผิดที่เกิดขึ้นระหว่าง พ.ศ. ๒๕๔๗ ถึงวันที่ ๘ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๖ ซึ่งครอบคลุมเหตุการณ์จำนวนมาก มีบุคคลที่อาจได้รับประโยชน์จากร่างพระราชบัญญัติฯ ฉบับนี้หลายกลุ่ม และบุคคลดังกล่าวถูกดำเนินคดีในขั้นตอนที่แตกต่างกัน

จากเหตุหลายประการดังกล่าวข้างต้น ทำให้เกิดความซับซ้อนจนหลายกรณีไม่อาจระบุลงไปให้แน่ชัดได้ว่าบุคคลใดบ้างเข้าข่ายได้รับการนิรโทษกรรม ในขณะที่ร่างพระราชบัญญัติฯ กำหนดให้พนักงานสอบสวน พนักงานอัยการ หรือศาล แล้วแต่กรณี มีอำนาจพิจารณาวินิจฉัยในประเด็นดังกล่าว จึงอาจทำให้การวินิจฉัยไม่เป็นเอกภาพ ส่งผลให้เกิดความไม่เสมอภาคในชั้นของการบังคับใช้กฎหมายในท้ายที่สุด

๔) ถึงแม้ว่ากระบวนการกล่าวหาบุคคลที่เกิดขึ้นโดยองค์กรหรือคณะบุคคลที่จัดตั้งขึ้นภายหลังการรัฐประหารวันที่ ๑๙ กันยายน พ.ศ. ๒๕๔๙ จะดำเนินไปอย่างไม่ถูกต้องชอบธรรม และบุคคลที่ถูกกล่าวหาและถูกพิพากษาว่ามีความผิดสมควรได้รับคืนความเป็นธรรมก็ตาม แต่โดยที่ร่างพระราชบัญญัติฯ ฉบับนี้มุ่งหมายนิรโทษกรรมให้แก่บุคคลที่กระทำความผิดเนื่องจากการชุมนุมทางการเมือง การแสดงออกทางการเมือง หรือความขัดแย้งทางการเมือง ซึ่งมีสภาพและลักษณะของเรื่องแตกต่างไปจากการกระทำของบุคคลที่ถูกกล่าวหาโดยคณะบุคคลหรือองค์กรที่จัดตั้งขึ้นโดยคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค.) ว่าก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ

ประการสำคัญ ในสภาวการณ์ความขัดแย้งของสังคมขณะนี้ การเสนอให้นิรโทษกรรมแก่บุคคลดังกล่าวอาจเหนี่ยวรั้งให้การหาฉันทามติในการนิรโทษกรรมแก่ประชาชนเป็นไปอย่างล่าช้า หรือไม่อาจเกิดขึ้นได้เลย ทั้งนี้ การแก้ปัญหาความไม่เป็นธรรมให้กับบุคคลที่ได้รับผลร้ายจากการทำรัฐประหารสมควรกระทำด้วยการลบล้างผลพวงของรัฐประหารตามข้อเสนอของคณะนิติราษฎร์

๕) มีข้อสังเกตว่า ร่างพระราชบัญญัติฯ ฉบับนี้กำหนดระยะเวลาเริ่มต้นของการนิรโทษกรรมให้กับการกระทำความผิดใด ๆ ที่เกิดขึ้นตั้งแต่พ.ศ. ๒๕๔๗ จึงไม่สอดคล้องกับบทบัญญัติที่ผ่านการรับหลักการในวาระที่หนึ่ง ซึ่งนิรโทษกรรมให้แก่การกระทำใด ๆ ที่เกิดขึ้นตั้งแต่วันที่ ๑๙ กันยายน พ.ศ. ๒๕๔๙ ถึงวันที่ ๑๐ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๔

การกำหนดระยะเวลาเริ่มต้นของการนิรโทษกรรมตั้งแต่พ.ศ. ๒๕๔๗ อาจส่งผลให้มีเหตุการณ์หรือการกระทำความผิดบางอย่างที่ไม่สมควรได้รับการนิรโทษกรรม เพราะไม่มีความเกี่ยวเนื่องกับการรัฐประหารเมื่อวันที่ วันที่ ๑๙ กันยายน พ.ศ. ๒๕๔๙ ได้รับประโยชน์จากร่างพระราชบัญญัติฯ ฉบับนี้ด้วย

นอกจากนี้ยังมีข้อสังเกตด้วยว่า โดยที่ร่างพระราชบัญญัติฯ ฉบับนี้กำหนดให้บุคคลที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้กระทำความผิดโดยคณะบุคคลหรือองค์กรที่จัดตั้งขึ้นภายหลังการรัฐประหารเมื่อวันที่ ๑๙ กันยายน พ.ศ. ๒๕๔๙ รวมทั้งองค์กรหรือหน่วยงานที่ดำเนินการในเรื่องดังกล่าวสืบต่อเนื่องมา ไม่ว่าบุคคลที่ถูกกล่าวหาดังกล่าวจะได้กระทำในฐานะตัวการ ผู้สนับสนุน ผู้ใช้ให้กระทำ หรือผู้ถูกใช้

หากการกระทำนั้นผิดต่อกฎหมายก็ให้บุคคลนั้นพ้นจากความผิดและความรับผิดโดยสิ้นเชิงนั้น เมื่อพิจารณาจากคดีที่ศาลได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้ว การพ้นจากความผิดและความรับผิดโดยสิ้นเชิงย่อมทำให้รัฐต้องคืนสิทธิให้แก่ผู้ที่ได้รับการนิรโทษกรรม เช่น ในคดีร้องขอให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดิน เมื่อผู้ถูกกล่าวหาในคดีนี้ได้รับนิรโทษกรรมแล้ว รัฐมีหน้าที่ต้องคืนทรัพย์สินที่ยึดมาตามคำพิพากษาให้แก่ผู้ถูกกล่าวหา

ถึงแม้ว่าคณะนิติราษฎร์จะเห็นว่าบุคคลที่ถูกกล่าวหาหรือถูกพิพากษาว่ากระทำความผิดโดยองค์กรหรือคณะบุคคลที่จัดตั้งขึ้นภายหลังการรัฐประหาร มีความชอบธรรมอย่างเต็มที่ในการที่จะได้รับคืนทรัพย์สินที่ถูกยึดไปโดยกระบวนการทางกฎหมายที่เชื่อมโยงกับการทำรัฐประหาร แต่การที่จะได้รับคืนทรัพย์สินดังกล่าวนั้นควรจะต้องเป็นไปโดยหนทางของการลบล้างคำพิพากษาตามข้อเสนอของคณะนิติราษฎร์ว่าด้วยการลบล้างผลพวงรัฐประหาร มิใช่โดยการนิรโทษกรรมตามร่างพระราชบัญญัติฯ นี้

ข้อเสนอคณะนิติราษฎร์

โดยเหตุที่ร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมฯ มีปัญหาบางประการดังกล่าวมาข้างต้นคณะนิติราษฎร์ จึงขอเสนอแนวทางแก้ปัญหา ดังต่อไปนี้

๑) ต้องแยกบุคคลซึ่งกระทำความผิดเนื่องจากการชุมนุมทางการเมือง ตลอดจนบุคคลที่ไม่ได้เข้าร่วมชุมนุมทางการเมืองแต่กระทำความผิดโดยมีมูลเหตุเกี่ยวข้องหรือเกี่ยวเนื่องกับความขัดแย้งทางการเมือง ออกจากบุคคลที่ถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดโดยคณะบุคคลหรือองค์กรที่จัดตั้งขึ้นภายหลังการรัฐประหารเมื่อวันที่ ๑๙ กันยายน พ.ศ. ๒๕๔๙

๒) ให้ดำเนินการนิรโทษกรรมแก่บุคคลซึ่งกระทำความผิดเนื่องจากการชุมนุมทางการเมือง ตลอดจนบุคคลที่ไม่ได้เข้าร่วมชุมนุมทางการเมืองแต่กระทำความผิดโดยมีมูลเหตุเกี่ยวข้องหรือเกี่ยวเนื่องกับความขัดแย้งทางการเมือง โดยไม่นิรโทษกรรมให้กับบรรดาเจ้าหน้าที่ของรัฐที่เกี่ยวข้องในเหตุการณ์ชุมนุมประท้วง ตลอดจนการสลายการชุมนุมไม่ว่าจะได้กระทำการในฐานะเป็นผู้สั่งการหรือผู้ปฏิบัติการ และไม่ว่าจะกระทำในขั้นตอนใด ๆ ทั้งนี้ ตามร่างรัฐธรรมนูญว่าด้วยนิรโทษกรรมและการขจัดความขัดแย้ง ที่คณะนิติราษฎร์ได้เคยเสนอไว้



ภาพจาก regist53.blogspot.com

๓) สำหรับบุคคลที่ถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดโดยคณะบุคคลหรือองค์กรที่จัดตั้งขึ้นภายหลังการรัฐประหารเมื่อวันที่ ๑๙ กันยายน พ.ศ. ๒๕๔๙ ให้ลบล้างคำพิพากษา คำวินิจฉัย ตลอดจนการดำเนินกระบวนพิจารณาในทุกขั้นตอนที่เป็นผลสืบเนื่องมาจากการทำรัฐประหาร ทั้งนี้ ตามข้อเสนอของคณะนิติราษฎร์ว่าด้วยการลบล้างผลพวงรัฐประหาร

๔) อย่างไรก็ตาม โดยเหตุที่ข้อเสนอของคณะนิติราษฎร์ ไม่ได้รับการพิจารณานำไปปฏิบัติจากผู้เกี่ยวข้อง ประกอบกับขณะนี้ร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการนิรโทษกรรมอยู่ในระหว่างการพิจารณาในวาระที่สองของสภาผู้แทนราษฎร เพื่อให้การนิรโทษกรรมแก่ประชาชนซึ่งกระทำความผิดหรือถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดอันเนื่องจากการชุมนุมทางการเมือง การแสดงออกทางการเมือง หรือความขัดแย้งทางการเมืองเป็นไปโดยรวดเร็วภายใต้ข้อจำกัดที่เป็นอยู่ คณะนิติราษฎร์จึงเสนอให้พิจารณาดำเนินการดังต่อไปนี้

๔.๑ เนื่องจากคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ได้แก้ไขเพิ่มเติมร่างพระราชบัญญัติฯ จนขัดกับหลักการแห่งร่างพระราชบัญญัติฯ ที่สภาผู้แทนราษฎรได้มีมติรับหลักการในวาระที่หนึ่ง ทำให้มีปัญหาความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ดังนั้น ร่างพระราชบัญญัติฯ ของคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ จึงไม่สามารถใช้เป็นฐานในการพิจารณาในวาระที่สองได้ ด้วยเหตุนี้ สภาผู้แทนราษฎรจึงสมควรแก้ไขความบกพร่องดังกล่าวโดยการลงมติว่ากระบวนการตราพระราชบัญญัติฯ นี้ขัดกับข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎรข้อ ๑๑๗ วรรคสาม เพื่อให้ร่างพระราชบัญญัติฯ ของคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ตกไป

๔.๒ ให้สภาผู้แทนราษฎรมีมติยกเลิกคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ชุดเดิม และมีมติตั้งคณะกรรมาธิการเต็มสภาเพื่อเริ่มพิจารณาร่างพระราชบัญญัติฯ ในวาระที่สองใหม่

คณะนิติราษฎร์: นิติศาสตร์เพื่อราษฎร
๓๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๖

ที่มา.Siam Intelligence Unit
////////////////////////////////////////////////

แถลงการณ์ร่วม ธรรมศาสตร์เสรี !!?

 
แถลงการณ์ร่วม กลุ่มธรรมศาสตร์เสรีเพื่อประชาธิปไตยและกลุ่มวันใหม่
 
รื่อง การนิรโทษกรรมแบบเหมาเข่งสุดซอย
 
ตามที่คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรม ได้มีมติในการประชุมพิจารณาวาระที่สองเมื่อวันที่ 18 ตุลาคม พ.ศ.2556 ให้แก้ไขเนื้อหาของร่างพระราชบัญญัติให้มีผลกับการกระทำของบุคคลที่เกี่ยวเนื่องกับการชุมนุมทางการเมือง การแสดงออกทางการเมือง ความขัดแย้งทางการเมือง หรือผู้ที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้กระทำผิดโดยคณะบุคคลหรือองค์กรที่จัดตั้งขึ้นภายหลังการรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน พ.ศ.2549 รวมทั้งองค์กรหรือหน่วยงานที่ดำเนินการในเรื่องดังกล่าวสืบเนื่องต่อมาที่เกิดขึ้นระหว่าง พ.ศ. 2547 ถึงวันที่ 8 สิงหาคม พ.ศ.2556 ไม่ว่าจะได้กระทำในฐานะตัวการ ผู้สนับสนุน ผู้ใช้ หรือผู้ถูกใช้ แต่ไม่รวมถึงการกระทำผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ซึ่งจะทำให้มีผลครอบคลุมไปถึงผู้นำฝ่ายพลเรือนและฝ่ายทหารที่มีอำนาจสั่งการสลายการชุมนุม และแกนนำผู้ชุมนุมประท้วงทุกฝ่ายด้วย และในเช้าวันที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ.2556 สภาผู้แทนราษฎรได้ลงมติในการประชุมวาระที่สาม เป็นคะแนนเสียงเห็นชอบ 310 เสียง งดออกเสียง 4 เสียง จากผู้เข้าร่วมประชุมทั้งหมด 314 คน รับร่างพระราชบัญญัติแล้วนั้น
 
กลุ่มธรรมศาสตร์เสรีเพื่อประชาธิปไตยมีความเห็นว่าการกระทำดังกล่าวนี้เป็นภัยคุกคามอย่างร้ายแรงต่อเสรีภาพในการแสดงออกทางการเมืองและสวัสดิภาพของประชาชน ทั้งยังเป็นการบิดเบือนหลักนิติรัฐและประชาธิปไตย เพราะในสังคมที่ยึดถือไว้ซึ่งหลักนิติรัฐ หลักประชาธิปไตย หลักสิทธิมนุษยชน และเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นนั้น ประชาชนย่อมคาดหวังว่าตนจะสามารถแสดงออกและเข้าไปมีส่วนร่วมในทางการเมืองได้โดยได้รับความคุ้มครองโดยรัฐและกฎหมายจากภยันตรายต่างๆ และผู้ใดที่ประทุษร้ายต่อประชาชนก็ผู้นั้นก็จะต้องได้รับโทษ ถ้าหากว่าการนิรโทษกรรมเปิดช่องให้แกนนำผู้ชุมนุมและผู้มีอำนาจสั่งการของภาครัฐได้หลุดพ้นจากความผิดและข้อกล่าวหาทั้งปวงด้วยแล้ว ก็จะไม่มีผู้ใดที่ต้องมาเหลียวแลต่อความเสียหายของประชาชนอีก คนที่ตายก็ตายเปล่า คนที่เจ็บก็เจ็บฟรี คนที่ยังอยู่ก็ต้องอยู่อย่างหัวหด ไม่กล้ามีปากเสียงเพราะไม่มีหลักประกันว่าตัวเองจะไม่ตายเปล่าหรือเจ็บฟรี สังคมที่ขึ้นชื่อว่าเป็นประชาธิปไตยย่อมไม่อาจยอมรับสภาพเช่นนี้ได้ และยิ่งเมื่อการกระทำดังว่านี้เป็นฝีมือของผู้แทนของประชาชนที่เคยรับปากไว้อย่างเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะทวงคืนความเป็นธรรมให้กับผู้เสียหาย และยังเป็นการกระทำโดยอาศัยอำนาจแห่งหลักนิติรัฐและประชาธิปไตยตามรัฐธรรมนูญมาใช้อย่างบิดเบือนด้วยแล้ว ยิ่งยอมรับไม่ได้
 
กว่าแปดสิบปีที่ผ่านมา ประเทศไทยของเราได้พยายามที่จะพัฒนาโครงสร้างแห่งระบอบประชาธิปไตยให้ทัดเทียมกับบรรดาประเทศที่เจริญแล้วทั้งหลาย เรามีทั้งรัฐธรรมนูญ มีรัฐสภา มีนักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน มีศาลและองค์กรอิสระที่คอยตรวจสอบการทำงานของรัฐบาลมากมายเต็มไปหมด มีอนุเสาวรีย์ประชาธิปไตยตั้งโดดเด่นอยู่ใจกลางเมืองหลวง แต่สิ่งหนึ่งที่เราไม่เคยให้ความสำคัญและพัฒนาขึ้นอย่างจริงจังนั่นคือวัฒนธรรมแห่งระบอบประชาธิปไตย วัฒนธรรมที่ให้ความสำคัญกับประชาชนในฐานะเจ้าของอำนาจสูงสุด การปกครองด้วยหลักนิติรัฐ การส่งเสริมเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น และการคุ้มครองสิทธิอันพึงมีพึงได้ของประชาชน ประเทศไทยจึงยังคงมีผู้ก่อรัฐประหารที่สามารถเชิดหน้าชูตาอยู่ในแวดวงการเมืองได้ ยังคงมีคนเรียกร้องให้ทหารปกครองประเทศแทนพลเรือน ยังคงมีนักการเมืองที่ลืมคำสัญญาที่ให้กับประชาชนอย่างง่ายดาย ยังคงมีพรรคการเมืองที่เป็นเพียงเครื่องมือพิทักษ์ผลประโยชน์ของผู้นำพรรคเหนือผลประโยชน์ของผู้เลือกตั้งพรรค และยังคงมีการนิรโทษกรรมให้กับแกนนำและผู้สั่งการเพื่อเป็นทางออกสำหรับชนชั้นนำด้วยกันเองโดยไม่เห็นหัวประชาชนผู้เสียหายอยู่ตราบจนทุกวันนี้ วัฒนธรรมประชาธิปไตยจึงเป็นสิ่งที่สังคมประชาธิปไตยขาดไม่ได้ และหนึ่งในวัฒนธรรมที่สังคมที่ขึ้นชื่อว่าเป็นประชาธิปไตยจะต้องคำนึงถึง คือ การไม่ยอมให้ผู้ใดที่บงการให้เกิดการทำลายการปกครองระบอบประชาธิปไตยและประทุษร้ายต่อประชาชนผู้แสดงออกทางการเมืองสามารถลบล้างความผิดที่ตนมีและโทษที่ตนต้องรับได้
 
กลุ่มธรรมศาสตร์เสรีเพื่อประชาธิปไตยจึงขอประกาศว่า เราจะไม่ยอมรับร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมแบบเหมาเข่งสุดซอยฉบับนี้เด็ดขาด ขอเรียกร้องให้ทุกฝ่ายที่มีส่วนเกี่ยวข้องในกระบวนการพิจารณาหลังจากนี้หยุดยั้งการผ่านร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ให้จงได้ และขอเรียกร้องให้พรรคเพื่อไทยผู้ริเริ่มการนิรโทษกรรมแบบเหมาเข่งสุดซอยในครั้งนี้ ทบทวนถึงบทบาทหน้าที่ของตนในฐานะพรรคการเมืองที่ได้รับความไว้วางใจให้เป็นผู้พิทักษ์รักษาระบอบประชาธิปไตยและผลประโยชน์ของประชาชน หากมีโอกาสได้พิจารณาร่างพระราชบัญญัติอีกครั้งจะต้องไม่กระทำการซ้ำรอยเดิม และยุติความพยายามใดๆ ที่จะนิรโทษกรรมให้กับแกนนำผู้ชุมนุม และผู้มีอำนาจสั่งการทั้งฝ่ายทหารและพลเรือนอีก
 
ทั้งนี้ กลุ่มธรรมศาสตร์เสรีเพื่อประชาธิปไตยเคยแสดงจุดยืนต่อการนิรโทษกรรมนักโทษทางการเมืองไว้ว่า จะต้องไม่นิรโทษกรรมให้กับแกนนำผู้ชุมนุมและผู้มีอำนาจสั่งการทั้งฝ่ายทหารและพลเรือน เพราะเป็นผู้ที่มีอิทธิพลต่อการกระทำของมวลชนและผู้ใต้บังคับบัญชาจึงต้องรับผิดชอบสูงสุดต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น จะต้องนิรโทษกรรมให้กับการกระทำผิดตามประมวลกฎหมายมาตรา 112 เพราะมาตรานี้ได้ถูกใช้เป็นเครื่องมือโจมตีผู้ที่เห็นต่างทางการเมือง จะต้องให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องกับการเสนอร่างกฎหมายนิรโทษกรรมฉบับต่างๆ ได้เข้าไปมีส่วนร่วมในคณะกรรมาธิการโดยตรง จะต้องดำเนินการออกกฎหมายนิรโทษกรรมอย่างเร่งด่วนที่สุด และจะต้องมีมาตรการเยียวยาแก่ผู้ได้รับนิรโทษกรรมในความเสียหายแก่ทรัพย์สิน อิสรภาพ และทางทำมาหาได้ และในวันนี้เรายังคงยืนยันในจุดยืนนี้ไม่เปลี่ยนแปลง
 
ขอให้ทุกท่านอย่ามองแต่เพียงว่าเราเรียกในครั้งนี้เพื่อแก้แค้นหรือเป็นการจองล้างจองผลาญอย่างไม่จบสิ้น สิ่งที่เรามุ่งหวังคือการเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับผู้ได้รับความเสียหายจากเหตุการณ์ทางการเมือง และการสร้างบรรทัดฐานแห่งสังคมประชาธิปไตยที่จะไม่ยอมให้ผู้ใดบงการประทุษร้ายประชาชนผู้เป็นเจ้าของอำนาจสูงสุด แล้วหาทางนิรโทษกรรมตัวเองในภายหลังอยู่เรื่อยไป เพื่อให้การเมืองไทยมีความเข้มแข็ง เราเชื่อมั่นว่า หากการเรียกร้องในครั้งนี้เป็นผลสำเร็จ จะเป็นการยืนยันถึงความเป็นเจ้าของอำนาจสูงสุดของประชาชน และจะเป็นก้าวที่สำคัญในการสร้างวัฒนธรรมแห่งระบอบประชาธิปไตย เพื่อให้ประเทศไทยเป็นสังคมประชาธิปไตยที่แท้จริงสืบต่อไป
 
กลุ่มธรรมศาสตร์เสรีเพื่อประชาธิปไตยและกลุ่มวันใหม่
 
1 พฤศจิกายน 2556
 
 ที่มา.ประชาไท
/////////////////////////////////////////

ปฏิรูปรถไฟไทย กับการสร้างภาพ !!?

โดย สร อักษรสกุล

บ้านเราเดี๋ยวนี้หากมีผู้ใหญ่สนใจในงานที่ตนรับผิดชอบ และลงพื้นที่เพื่อจะได้เห็นและสัมผัสด้วยตนเองแล้ว ก็มักจะถูกฝ่ายตรงข้ามหรือคนที่ไม่ชอบหาว่าสร้างภาพ แต่ถ้าสั่งการอยู่แต่ในสำนักงานหรือนั่งอยู่ในกระทรวงไม่ลงพื้นที่ ก็จะถูกหาว่าอยู่บนหอคอยงาช้างบ้าง ตีนไม่ติดดินบ้างเรียกว่าโดนทั้งขึ้นทั้งล่อง อย่างไรก็ตาม ยอมให้ถูกกระแนะกระแหนว่า สร้างภาพ แต่ได้เห็นได้สัมผัสข้อเท็จจริงด้วยตาตนเอง และนำมาเป็นข้อมูลในการทำงานหรือสั่งการให้ผู้รับผิดชอบดำเนินการนั้น ย่อมดีกว่านั่งอยู่ในหอคอยงาช้างเป็นแน่

ผู้เขียนกำลังจะพูดถึง "รถไฟไทย" หรือ ร.ฟ.ท. กับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมคนปัจจุบัน คุณชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ซึ่งอาจกล่าวได้ว่าคุณชัชชาติเป็น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมไม่กี่คนที่สนใจกิจการรถไฟไทยส่วนจะปรับปรุงและพัฒนาได้จริงหรือไม่นั้น ต้องคอยดูกันต่อไป

คุณสมัคร สุนทรเวช ที่ล่วงลับไปแล้วก็เคยเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม และชอบเดินทางโดยรถไฟเช่นกัน แต่คุณสมัครเป็นคนที่สังคมรู้จักเป็นอย่างดี เพราะเป็นนักการเมืองที่พูดเก่ง (บางคนว่าพูดมาก) รวมทั้งมีหน้าตา (จมูก) เป็นเอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนใคร ไปไหน ๆ คนจึงมักจำได้ ผิดกับคุณชัชชาติที่เพิ่งเข้ามาเป็นรัฐมนตรีได้เพียงปีสองปี และก่อนหน้านั้นก็ไม่ค่อยมีคนรู้จักเพราะความที่เป็นเพียงอาจารย์สอนหนังสือในมหาวิทยาลัย การเดินทางไปไหนมาไหนจึงมีคนที่ยังไม่รู้จักคุณชัชชาติมาก นั่นเป็นข้อดีที่จะเดินทางไปไหน ๆ เพื่อให้รู้ด้วยตาของตนเองโดยไม่มีคนมาสนใจมากนัก




ทำให้ได้รู้ว่าคนที่ยากจน คนที่หาเช้ากินค่ำและอาศัยอยู่ในกรุงเทพฯนั้น ทุกข์ยากแค่ไหนในการเดินทางด้วยรถเมล์ของ ขสมก. เพราะทั้งช้า (เพราะต้องรอนาน) ทั้งเร็ว (เพราะคนขับที่ขับอย่างเมามัน-ไม่ได้หมายความว่าเมาแล้วขับ) อากาศร้อน และยังเสี่ยงกับอุบัติเหตุที่มักจะเกิดขึ้นบ่อย ๆ ด้วยกี่ปี กี่รัฐบาล กี่ผู้อำนวยการ ขสมก.มาแล้ว รถเมล์กรุงเทพฯก็อีหรอบเดิมทั้งสิ้น และมักจะอ้างว่าเพราะรถเมล์เก่าบ้างล่ะ ขาดงบประมาณในการซ่อมแซมบ้างล่ะ มากมายที่ผู้อำนวยการ ขสมก.แต่ละคนจะหาเหตุมาอ้างกัน ยังไม่เคยเห็น ผอ.ขสมก.คนไหนจะกล่าวโทษตัวเองบ้างเลยว่า เพราะฝีมือในการบริหารจัดการยังไม่ดีพอ

กิจการรถไฟไทย หรือ ร.ฟ.ท.ก็เช่นกัน กี่ปี กี่ปี และกี่ผู้ว่าการรถไฟฯมาแล้วไม่เคยจะดีขึ้น และก็มักอ้างเช่นเดียวกับรถเมล์ คือ ขาดงบประมาณที่จะนำมาพัฒนาและปรับปรุง

ผู้เขียนเองเป็นคนหนึ่งที่ชอบเดินทางด้วยรถไฟ เพราะต้องเดินทางระหว่างกรุงเทพฯและเชียงใหม่บ่อย ๆ ระยะหลังมานี้จะลดการใช้บริการรถไฟลงเพราะสาเหตุ 2 ประการ

ประการแรก เพราะข่าวที่รถไฟเกิดอุบัติเหตุบ่อย โดยเฉพาะ รถไฟสายด่วนนครพิงค์ ที่ถือว่าเป็นขบวนที่ดีที่สุดของการรถไฟไทย มีนักท่องเที่ยวต่างชาตินิยมใช้บริการกันมาก แต่กลับตกรางบ่อย

ประการที่สอง เครื่องบินต้นทุนต่ำหรือโลว์คอสต์แอร์ไลน์ ที่มีราคาค่าโดยสารไม่แพงนัก จึงมีทางเลือกเพียงแต่ต้องควักกระเป๋ามากขึ้นกว่านั่งรถไฟอีก 2 เท่า

แต่การเดินทางใช้เวลาเพียงชั่วโมงเดียวเท่านั้น ผิดกับรถไฟใช้เวลามากกว่าถึง 12 ชั่วโมง (รถไฟไทยชอบแถมเวลาให้แก่ผู้โดยสารเสมอ ๆ เช่น ใช้เวลาเดินทางจากกรุงเทพฯ-เชียงใหม่ถึง 14 ชั่วโมง) หลายคนคงทราบแล้วว่า ไทยกับญี่ปุ่นนั้นเป็น 2 ชาติแรกในเอเชียที่มีกิจการรถไฟ

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ได้ทรงริเริ่มให้มีกิจการรถไฟแบบชาติตะวันตกมาเมื่อกว่า 100 ปีที่ผ่านมา เช่นเดียวกับสมัยของจักรพรรดิเมจิ (Meiji) ของญี่ปุ่น (กษัตริย์ 2 พระองค์นี้ขึ้นครองราชย์ในเวลาใกล้เคียงกันด้วย)

รถไฟญี่ปุ่นกับรถไฟไทยค่อย ๆ พัฒนามาเป็นลำดับแบบช้า ๆ จนหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง ญี่ปุ่นเริ่มพัฒนากิจการรถไฟอย่างมาก จนกระทั่งในปี 2507 หรือเมื่อเกือบ

50 ปีที่ผ่านมา ญี่ปุ่นสามารถพัฒนารถไฟเป็น รถไฟความเร็วสูง ชาติแรกของโลก ที่เรียกว่า รถไฟหัวกระสุน (Bullet Train) หรือชินคันเซน ที่วิ่งด้วยความเร็วกว่า 250 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และได้รับความนิยมมากขึ้นตามลำดับจากคนญี่ปุ่น เพราะรถไฟนอกจากจะปลอดภัยที่สุดแล้ว ยังสามารถบรรทุกผู้โดยสารได้มากที่สุดด้วย การสร้างมลพิษทางอากาศ (Air Pollution) เช่น ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ก็น้อยที่สุดหากเปรียบเทียบกับยานพาหนะอื่น ๆ

ที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน หลายประเทศต่างพัฒนากิจการรถไฟกันมากขึ้น เพราะหากคิดระยะยาวแล้วคุ้มค่าที่สุด สิงคโปร์และมาเลเซียมีรถไฟหลังประเทศไทยนานมาก รวมทั้ง 2 ชาตินี้เคยมาดูกิจการรถไฟไทย แต่ปัจจุบันรถไฟของทั้ง 2 ชาติเพื่อนบ้านของเรานี้ กิจการรถไฟของเขานำหน้าประเทศไทยไปหมดแล้ว

สมเด็จพระปิยมหาราช ล้นเกล้ารัชกาลที่ 5 ผู้ทรงริเริ่มให้มีรถไฟไทยเมื่อกว่า 100 ปีที่ผ่านมา คงจะโทมนัสเป็นอย่างยิ่งหากพระองค์ทรงทราบว่ารถไฟไทยยังพัฒนาไปไม่ถึงไหน

ยังคงเป็นรถไฟวิ่งทางเดียวที่ต้องรอเวลาในการสับหลีกมาก ยังคงเป็นรถไฟที่ยังใช้น้ำมันในการขับเคลื่อนหัวรถจักร ในขณะที่รถไฟของหลายประเทศหันมาใช้ไฟฟ้าเป็นพลังขับเคลื่อนกันนานแล้ว นอกจากนั้นรถไฟไทยยังคงใช้ห้องน้ำที่ผู้โดยสารไม่สามารถใช้ได้ ไม่ว่าจะหนักหรือเบา เมื่อรถไฟจอดที่สถานีระหว่างทางเพราะปัสสาวะและอุจจาระจะลงไปแน่นิ่งที่ขอนรองรถไฟใต้ตู้รถไฟนั่นเอง

เรื่องนี้นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเคยโวยวายมาครั้งหนึ่งนานมาแล้วว่า เป็นห้องส้วมที่แย่ที่สุด ขาดความรับผิดชอบที่สุด ไม่ถูกสุขอนามัยที่สุด แต่ไม่นานเรื่องก็เงียบไป ส้วมบนรถไฟก็ยังคงมีสภาพเหมือนเดิม คือถ่ายลงบนรางรถไฟเช่นเดิม

การที่คุณชัชชาติ สิทธิพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม หันมาเอาจริงเอาจังกับเรื่องการพัฒนาและปรับปรุงกิจการของรถไฟไทยนั้น ผมว่าจะเป็นสิ่งที่ดีของทั้งประเทศไทยและคนไทยทั้งชาติ

เงิน 2 ล้านล้านบาทที่กระทรวงการคลังกำลังจะกู้นั้น อยากให้นำมาปรับปรุงทั้งหัวรถจักร ตัวรถไฟ (โบกี้) หมอนรองรางรถไฟที่ชำรุดมาก เพิ่มทางคู่ (เทียบขนานกับทางรถไฟเดิม โดยเริ่มจากเส้นทางที่สำคัญ ๆ ก่อน) และดำเนินการสร้างรถไฟสายต่าง ๆ ในกรุงเทพฯที่กำลังดำเนินการอยู่ทั้ง 10 สาย เพื่อแก้ปัญหาจากการจราจรแบบยั่งยืน (การสร้างถนนโดยเฉพาะถนนในกรุงเทพฯนั้น ไม่สามารถแก้ปัญหารถติดอย่างยั่งยืนได้ เพราะจำนวนรถยนต์มากกว่าถนนที่จะรองรับได้กว่า 2 เท่า)

งบประมาณ 7 แสน 8 หมื่นกว่าล้านบาทจาก 2 ล้านล้านบาทที่กระทรวงคมนาคมจะนำมาทำรถไฟความเร็วสูง 4 สาย คือ สายกรุงเทพฯ-เชียงใหม่ สายกรุงเทพฯ-หนองคาย สายกรุงเทพฯ-หัวหิน และขยายเส้นทางแอร์พอร์ตลิงก์จากสนามบินสุวรรณภูมิไปพัทยา-ระยองนั้น เส้นที่ไม่คุ้มค่าที่สุดในทางเศรษฐศาสตร์ คือ สายกรุงเทพฯ-หัวหิน (ผลจากการศึกษา หากจะให้คุ้มค่าจะต้องวิ่งไปถึงจังหวัดสุราษฎร์ธานี)

ด้วยเหตุและผลดังกล่าว กระทรวงคมนาคมจึงน่าจะรีบดำเนินการปรับปรุงรถไฟเดิมทั้งหมดก่อนทั้งหัวรถจักร ตัวรถ (โบกี้) และที่สำคัญการทำทางคู่ก่อนเป็นอันดับแรก เพราะคนไทยทุกระดับสามารถใช้บริการรถไฟเหล่านี้ได้ไม่ว่าจะเป็นรถชั้น 3 รถไฟชั้น 2 (ชั้น 2 แอร์ สายด่วนนครพิงค์ กรุงเทพฯ-เชียงใหม่ ที่นักท่องเที่ยวต่างชาตินิยมใช้บริการกันมาก)

หากคุณชัชชาติ สิทธิพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมคนปัจจุบัน สามารถดำเนินการปฏิรูปรถไฟไทยในครั้งนี้ได้ จะถือเป็นประโยชน์ต่อกิจการรถไฟไทยเป็นอย่างยิ่ง ที่สำคัญเราน่าจะสามารถลดการนำเข้าน้ำมันดิบที่ซื้อเข้ามากลั่นและบริโภคภายในประเทศได้อย่างมหาศาล
และเรื่องที่ใครเขาหาว่า "สร้างภาพ" จะหายไปเองเมื่อได้ทำจริงและรวดเร็ว

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
/////////////////////////////////////////////////

วันศุกร์ที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

เป้าหลอก หรือสัญญาณจริง !!?

โดย. คณิน บุญสุวรรณ

กรณีที่กรรมาธิการเสียงส่วนใหญ่ได้มีมติแก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 3 ของร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรม ฉบับนายวรชัย เหมะ โดยขยายการนิรโทษกรรมให้ "รวมถึงผู้ที่ถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิด โดยคณะบุคคลหรือองค์กรที่จัดตั้งขึ้นหลังการรัฐประหารวันที่ 19 กันยายน 2549 รวมถึงองค์กรหรือหน่วยงานที่ดำเนินเรื่องดังกล่าว สืบเนื่องต่อมาที่เกิดระหว่างปี 2547 ถึงวันที่ 8 ธันวาคม 2556 โดยไม่รวมถึงการกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112" นั้น ถือว่าเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมที่ขัดต่อหลักการของร่างพระราชบัญญัติฉบับที่ระบุว่า "ให้มีกฎหมายว่าด้วยนิรโทษกรรมแก่ผู้ซึ่งกระทำความผิดเนื่องจากการชุมนุมทางการเมือง การแสดงออกทางการเมืองของประชาชน ระหว่างวันที่ 19 กันยายน พ.ศ.2549 ถึงวันที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ.2554"

เพราะหลักการที่สภาผู้แทนราษฎรพิจารณารับหลักการในวาระที่หนึ่งไปแล้วก่อนหน้านั้น คือ ให้มีกฎหมายนิรโทษกรรมให้แก่บุคคลที่เคลื่อนไหวและชุมนุมทางการเมืองที่ต่อต้านการรัฐประหารและต่อต้านรัฐบาลที่จัดตั้งในค่ายทหาร รวมทั้งประชาชนที่เคลื่อนไหวชุมนุมต่อต้านรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช และรัฐบาลนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ แล้วถูกตั้งข้อหา ดำเนินคดี และพิจารณาคดี ตั้งแต่หลังการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 จนถึงวันที่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ยุบสภา คือ วันที่ 9 พฤษภาคม 2554

ปมนี้อาจกลายเป็นจุดอ่อนและถูกโจมตีหนักกว่าเดิม เมื่อต้องผ่านการพิจารณาของวุฒิสภา หรือถึงแม้จะผ่านความเห็นชอบของรัฐสภาแล้ว จะถูก ส.ส.ฝ่ายค้าน และ ส.ว.สรรหายื่นคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามมาตรา 154 (1) อย่างแน่นอน เมื่อถึงตอนนั้น มีหรือที่ศาลรัฐธรรมนูญจะไม่วินิจฉัยว่าขัดต่อรัฐธรรมนูญ หรือตราขึ้นโดยไม่ถูกต้องตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ ซึ่งจะมีผลทำให้ร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ตกไปทั้งฉบับ? เรียกว่าตกม้าตายเมื่อถึงปลายทาง นักโทษการเมืองที่ถูกจองจำอยู่ในเรือนจำถึงสามปีเศษ และกำลังรอว่าเมื่อไรจะได้รับอิสรภาพตามร่างเดิมของฉบับนายวรชัย เหมะ ก็จะพลอยซวยไปด้วย

นอกจากนั้น การนิรโทษกรรมที่ไม่รวมถึงการกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ก็ถือเป็นการออกกฎหมายเพื่อให้มีผลใช้บังคับแต่เฉพาะกับคนบางคนบางกลุ่ม และให้ยกเว้นคนบางกลุ่มซึ่งกระทำความผิดทางอาญาเช่นเดียวกันอีกด้วย

เข้าข่ายเป็นการออกกฎหมายที่เลือกปฏิบัติและขัดต่อหลักนิติธรรม เพราะถ้าจะนิรโทษกรรมให้แก่บรรดาแกนนำและคนที่สั่งฆ่าประชาชนก็ต้องเว้นโทษให้แก่ผู้กระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ด้วย เพราะเป็นความผิดทางอาญาเหมือนกัน และเป็นการกระทำความผิดที่เกิดจากแรงจูงใจทางการเมืองเดียวกัน คือ การต่อต้านการรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549

การนิรโทษกรรมที่รวมถึงผู้ที่ถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิด โดยคณะบุคคลหรือองค์กรที่จัดตั้งขึ้นหลังการรัฐประหารวันที่ 19 กันยายน 2549 รวมถึงองค์กรหรือหน่วยงานที่ดำเนินเรื่องดังกล่าว หมายรวมถึง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่ถูกดำเนินคดีและพิจารณาคดี และถูกกล่าวหาโดยคณะกรรมการการเลือกตั้ง คณะตุลาการรัฐธรรมนูญ คณะกรรมการ คตส.หรือคณะกรรมการ ป.ป.ช. ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง และศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้ง เหล่านี้ถือว่าไม่เป็นความผิดและให้พ้นจากการกระทำความผิดโดยสิ้นเชิง

ปัญหาว่า เมื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้รับการนิรโทษกรรมจากการกระทำความผิดซึ่งดำเนินการโดย คตส.อันเป็นองค์กรที่แต่งตั้งโดยคณะรัฐประหารแล้ว จะถือว่าต้องละเว้นโทษร่ำรวยผิดปกติซึ่งดำเนินคดีโดย คตส.และพิจารณาพิพากษาให้ยึดทรัพย์จำนวนกว่า 46,000 ล้านบาท โดยศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองด้วยหรือไม่ จะขึ้นอยู่กับข้อความในมาตราที่ต้องเพิ่มขึ้นใหม่ ว่าจะให้ครอบคลุมถึงหรือไม่ ถ้าไม่ให้ครอบคลุมถึง โดยให้เหตุผลว่าเป็นทรัพย์สินที่ตกเป็นของแผ่นดินแล้ว จะคืนให้แก่เจ้าของทรัพย์สินเดิมได้หรือไม่ ถ้าไม่ได้ก็เป็นอันจบไป

แต่ถ้าระบุว่าต้องคืนให้ เพราะในเมื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ไม่ได้เป็นผู้กระทำความผิดเสียแล้วทรัพย์สินที่ถูกยึดไปย่อมต้องคืนมาเป็นของเจ้าของเดิม ร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้จะกลายสภาพเป็นกฎหมายเงินทันที และประธานสภาผู้แทนราษฎรต้องส่งให้นายกรัฐมนตรีรับรอง แล้วนายกรัฐมนตรีจะกล้ารับรองหรือ? ถ้ากล้ารับรองก็จะเข้าทางฝ่ายต่อต้านที่โจมตีมาตลอดว่า ร่างกฎหมายนิรโทษกรรมฉบับนี้ทำเพื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร คนเดียว แต่ถ้าไม่รับรอง สภาผู้แทนราษฎรก็พิจารณาต่อไปไม่ได้

แล้วคนที่รัก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จะว่าอย่างไร? พี่น้องในตระกูลชินวัตรและดามาพงศ์ จะว่าอย่างไร? รัฐบาลและ ส.ส.พรรคเพื่อไทยจะว่าอย่างไร? และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เอง จะว่าอย่างไร? ซึ่งก็จะกลายเป็นเผือกร้อนในมือนายกรัฐมนตรีไปโดยอัตโนมัติ และจะถูกโจมตีทั้งขึ้นทั้งล่อง ไม่ว่าจะตัดสินอย่างไร นอกเหนือจากการที่จะถูกโจมตีว่าทอดทิ้งผู้ถูกกล่าวหาตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 อีกต่างหาก

สรุปแล้ว ร่างแก้ไขเพิ่มเติมที่กรรมาธิการเสียงส่วนใหญ่ได้มีมติเห็นชอบ ให้นำเข้าสู่การพิจารณาในวาระสองอย่างที่ปรากฏเป็นข่าวนี้ ไม่เป็นผลดีต่อรัฐบาล โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ต่อนายกรัฐมนตรี และ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร รวมทั้งคนเสื้อแดง และที่สำคัญอาจนำไปสู่การชุมนุมต่อต้านโดยฝ่ายที่กำลังจ้องจะล้มรัฐบาลอยู่แล้ว การชุมนุมต่อต้านจะรุนแรงและน่ากลัวแค่ไหน และจะกระทบกระเทือนเสถียรภาพของรัฐบาลหรือไม่ ยากที่จะคาดเดา เรียกว่า เจอศึกสองหน้าที่ถาโถม เข้ามาพร้อมๆ กัน

งานนี้ แม้แต่คนเสื้อแดงด้วยกันซึ่งรณรงค์ให้ปลดปล่อยนักโทษการเมืองในคดีอาญามาตรา 112 มาตลอด ก็จะไม่พอใจและอาจก่อปฏิกิริยาอะไรบางอย่าง ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อเสถียรภาพของรัฐบาล ยิ่งถ้าผลของการนิรโทษกรรมเผื่อแผ่ไปถึงการกระทำความผิดในคดีก่อให้ผู้อื่นฆ่าคนตายโดยเจตนาเล็งเห็นผลในเหตุการณ์เมษา-พฤษภา 2553 ด้วยแล้วละก้อ รัฐบาลอาจมีปัญหาถึงกับ "พัง" ก่อนถึงเวลาอันควรได้เหมือนกัน อย่าทำเป็นเล่นไป เว้นเสียแต่ว่า ต้องการอย่างนั้นอยู่แล้วเป็นทุนเดิม

ลำพังการไม่นิรโทษกรรมให้แก่นักโทษการเมืองตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ก็ทำให้คนเสื้อแดงส่วนหนึ่งไม่พอใจมากพออยู่แล้ว ยิ่งถ้าไปนิรโทษกรรมให้แก่ผู้สั่งฆ่าประชาชน ในเหตุการณ์เมษา-พฤษภา 2553 ด้วยแล้ว คิดว่าความสัมพันธ์ระหว่างคนเสื้อแดงจำนวนไม่น้อย กับรัฐบาลคงมีปัญหาแน่

หรือจะคิดสะระตะดีแล้วว่า ไหนๆ ก็ไหนๆ ลุยให้มันสุดซอยไปเลย เจออะไรก็ค่อยไปแก้เอาข้างหน้า?

ถ้าเป็นอย่างนั้น ก็ดูให้ดีๆ ก็แล้วกัน ว่าเป็น "ซอยไหน?" เพราะถ้าเป็นซอย 31 ถนนสุขุมวิทแล้วละก้อ สุดซอย คือ คลองแสนแสบครับ

น้ำเน่าทั้งนั้นเลย

แต่ถ้า "สุดซอย" แปลว่า "ยุบสภา เลือกตั้งใหม่" ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง

ที่มา.มติชน
///////////////////////////////////////////

นับถอยหลัง พรรคเพื่อไทย !!?

โดน.สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ

เคยสงสัยมาก่อนหน้านี้แล้วว่า ความเป็นพันธมิตรระหว่างเครือข่ายทักษิณกับขบวนการประชาธิปไตย และนักวิชาการฝ่ายก้าวหน้าจะพัฒนาไปได้ยั่งยืนเพียงใด แต่จากปัญหาการนำเสนอเรื่องกฎหมายนิรโทษกรรมฉบับเหมาเข่งในสัปดาห์ที่ผ่านมา น่าจะเป็นสัญญาณว่า ความเป็นพันธมิตรนี้น่าจะใกล้ถึงวาระสิ้นสุดแล้ว

ย้อนกลับไปเมื่อ พ.ศ.2548 เมื่อพรรคไทยรักไทยชนะการเลือกตั้งอย่างท่วมท้น พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้เสียงข้างมากของประชาชนสนับสนุน แต่องค์กรทางสังคมและนักวิชาการฝ่ายก้าวหน้าส่วนใหญ่ไม่สนับสนุน เหตุผลและความชอบธรรมของรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณจึงตกต่ำลงอย่างมาก และกระบวนการนี้กลายเป็นส่วนหนึ่งของการรับรองความชอบธรรมของการรัฐประหารกันยายน พ.ศ.2549 ในฐานะวิธีการยุติระบอบทักษิณ

แต่กระนั้น ความไม่ชอบธรรมยิ่งกว่าของการก่อรัฐประหาร และวิธีการอันเหลวไหลของขบวนการฝ่ายขวาและอำนาจตุลาการหลังจากนั้น ช่วยทำให้เกียรติภูมิของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ฟื้นคืนมาใหม่ และกระบวนการต่อสู้ในระยะ 6 ปีที่ผ่านมา ก่อให้เกิดลักษณะพันธมิตรระหว่างฝ่ายของ พ.ต.ท.ทักษิณกับขบวนการประชาธิปไตย กระบวนการต่อสู้ร่วมกันนี้พัฒนามาตั้งแต่ พ.ศ.2550 โดยมีเป้าหมายในการต่อสู้กับระบอบอำมาตยาธิปไตย และต้องถือว่า พ.ต.ท.ทักษิณได้แสดงบทบาทที่เป็นประโยชน์ในการต่อสู้ตามสมควร ในกระบวนการนี้ ทำให้พลังฝ่ายก้าวหน้ากลายมาเป็นแนวร่วมอย่างหลวมกับฝ่ายทักษิณ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาวะที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาฃีวะ ใช้วิธีการอันไม่ชอบธรรมขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรี และใช้วิธีการปราบปรามเข่นฆ่าประชาชนเพื่อรักษาอำนาจในเดือนเมษายน-พฤษภาคม พ.ศ.2553 และยังใช้อำนาจในการจับกุมและดำเนินคดีคนเสื้อแดงนับพันคน ติดตามมาด้วยการไล่ฟ้องและจับกุมผู้บริสุทธิ์ด้วยข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพตามมาตรา 112 วิธีการเหล่านี้จึงเป็นการยากที่นักวิชาการที่รักษาความเป็นธรรมทั้งหลายจะยอมรับ

การล่มสลายแห่งความชอบธรรมของรัฐบาลอภิสิทธิ์ และการเสื่อมถอยขององค์กรฝ่ายขวา เช่น พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้สร้างน้ำหนักให้กับฝ่ายพรรคเพื่อไทย ชัยชนะในการเลือกตั้งทั่วไป พ.ศ.2554 อันนำมาซึ่งการจัดตั้งรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นอกเหนือจากเป็นเพราะความนิยมต่อ พ.ต.ท.ทักษิณที่ยังคงอยู่ในหมู่ประชาชนแล้ว ยังมาจากการโอบอุ้มของฝ่ายนักวิชาการฝ่ายประชาธิปไตย ที่ต้องการเห็นการฟื้นฟูประชาธิปไตยอันแท้จริงในสังคมไทย ชัยชนะของพรรคเพื่อไทย จึงกลายเป็นชัยชนะที่เป็นธรรม เป็นชัยชนะร่วมกันของฝ่ายทักษิณและขบวนการประชาธิปไตย แต่เป็นความพ่ายแพ้ครั้งสำคัญของฝ่ายอำมาตย์และพลังฝ่ายจารีตในสังคมไทย

ปัญหาเริ่มเกิดขึ้นหลังจากที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีบริหารประเทศแล้ว เพราะรัฐบาลกลับปล่อยปละอย่างมากในนโยบายด้านสิทธิมนุษยชน ยอมจำนนต่อศาลอยุติธรรม และพินอบพิเทาฝ่ายจารีตนิยมจนเกินงาม แต่กรณีที่เป็นที่วิจารณ์อย่างมากก็คือ การละเลยไม่สนใจพี่น้องคนเสื้อแดงที่ถูกดำเนินคดีและติดคุก ทั้งจากคดีการเมืองที่เกี่ยวข้องกับการต่อสู้เมื่อ พ.ศ.2553 และคดีตามมาตรา 112 ทั้งที่คนเหล่านี้ คือมวลชนที่ต่อสู้เพื่อพรรคเพื่อไทยมาแล้วทั้งสิ้น ความไม่สนใจเช่นนี้ ทำให้กลุ่มขบวนการประชาธิปไตยต้องเคลื่อนไหวเรียกร้องต่อพรรคเพื่อไทยให้มีการปล่อยนักโทษการเมือง เช่น ข้อเรียกร้องเรื่องการนิรโทษกรรมประชาชนของฝ่ายนิติราษฎร์ และการชุมนุมหมื่นปลดปล่อยเมื่อวันที่ 29 มกราคม 2556 เป็นต้น

กระบวนการเหล่านี้จึงนำมาซึ่งการที่ นายวรชัย เหมะ ส.ส.สมุทรปราการ และ ส.ส.เพื่อไทยกลุ่มหนึ่ง ต้องนำเสนอร่างกฎหมายนิรโทษกรรมเมื่อเดือนมีนาคม ทีผ่านมา โดยมีเนื้อหาให้นิรโทษกรรมให้กับประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากความขัดแย้งทางการเมืองทุกฝ่ายทั้งฝ่ายเสื้อแดงและเสื้อเหลือง แต่ยกเว้นแกนนำและผู้สั่งการ ประชาชนคนเสื้อแดงจำนวนมากก็สนับสนุนร่างนี้ ด้วยความหวังที่ว่าจะเป็นช่องทางในการปล่อยนักโทษการเมืองให้ได้โดยเร็ว และพรรคเพื่อไทยก็มีมติสนับสนุน ดังนั้น ร่างกฎหมายนิรโทษกรรมนี้ จึงได้ผ่านการรับหลักการวาระแรก ในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 7 สิงหาคมที่ผ่านมา ด้วยคะแนนเสียง 300 ต่อ 124 เพื่อผ่านขั้นตอนไปสู่การตั้งกรรมาธิการพิจารณาในวาระที่สอง

แต่ปรากฏว่า การพิจารณาในขั้นนี้ กรรมาธิการเสียงข้างมากได้ยอมรับการแปรญัตติของนายประยุทธ ศิริพานิชย์ โดยเปลี่ยนเนื้อหาทั้งหมดของร่างเดิม ไปใช้ร่างใหม่ที่นิรโทษกรรมทุกฝ่ายรวมทั้งแกนนำ ซึ่งหมายถึงทั้ง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ สุเทพ เทือกสุบรรณ และฝ่ายทหาร และที่ร้ายแรงยิ่งกว่านั้น คือ มีการเติมให้ยกเว้นการนิรโทษเหยื่อมาตรา 112 ด้วยข้ออ้างก็คือ การช่วยนำ พ.ต.ท.ทักษิณกลับบ้าน และสร้างความสมานฉันท์เพื่อเริ่มต้นใหม่ประเทศไทย การแปรญัตติเช่นนี้จึงเรียกกันว่าเป็นกฎหมายนิรโทษกรรมแบบเหมาเข่ง และเป็นที่ต่อต้านอย่างมากจากกลุ่มเสื้อแดง นปช. ขบวนการประชาธิปไตย และ นักวิชาการฝ่ายก้าวหน้า แต่ฝ่ายพรรคเพื่อไทยก็ยังคงดึงดันที่จะเดินหน้าในญัตตินิรโทษกรรมแบบเหมาเข่งต่อไป โดยไม่ฟังเสียงคัดค้าน

ปัญหาสำคัญในขณะนี้ก็คือ ฝ่ายพรรคเพื่อไทยยังไม่สามารถที่จะเสนอเหตุผลอันชอบธรรมอันใดเลย ที่จะอธิบายได้ว่าเหตุใดขบวนการประชาธิปไตยจะต้องยอมรับในมาตรการนิรโทษกรรมลักษณะนี้ ข้ออ้างที่ว่า มีความจำเป็นต้องนิรโทษกรรมให้ พ.ต.ท.ทักษิณกลับบ้าน ซึ่งเป็นเรื่องที่ถูก แต่ก็สามารถทำได้ง่ายโดยการล้มล้างผลพวงรัฐประหาร ไม่จำเป็นต้องเอามาพ่วงในกฎหมายนิรโทษกรรมประชาชน การอ้างว่า ต้องนิรโทษกรรมให้เสมอภาคกันตามมาตรา 30 ของรัฐธรรมนูญ แต่การยกเว้นเหยื่อมาตรา 112 ก็ชี้ให้เห็นว่าข้ออ้างนี้เป็นเรื่องไร้สาระ ถ้าจะอ้างว่าต้องรีบนิรโทษเพื่อเอาพี่น้องออกจากคุก ก็อธิบายได้ว่า ขบวนการประชาธิปไตยที่ต่อต้านการนิรโทษแบบเหมาเข่ง ก็ไม่ได้คัดค้านเรื่องการปล่อยนักโทษการเมืองเลย ฝ่ายรัฐบาลพรรคเพื่อไทยต่างหากที่สามารถช่วยนักโทษการเมืองได้ตลอดเวลา โดยการออกพระราชกำหนดหรือใช้มาตรการอื่น แต่ที่ผ่านมาไม่เคยคิดจะทำ และที่ดูตลกกว่านั้น คือ ฝ่ายนายอภิสิทธิ์และนายสุเทพท้าทายเสมอว่าไม่ต้องนิรโทษกรรมให้กับพวกตน และฝ่ายผู้บัญชาการทหารก็ไม่เคยยอมรับว่า ได้กระทำความผิด แต่ด้วยเหตุใดกฎหมายเหมาเข่งจึงไปนิรโทษกรรมให้พวกเขาทั้งหมด เหตุผลเรื่องความปรองดองภายในชาติอาจจะฟังดูดี แต่คงต้องอธิบายเรื่องการจัดการความยุติธรรมต่อประชาชนที่เสียชีวิตและบาดเจ็บในเหตุการณ์เมษายนและพฤษภาคม พ.ศ.2553 ถ้าจะให้นิรโทษกรรมฆาตกรแล้วเลิกแล้วต่อกันเฉยๆ คงไม่ได้

การผลักดันร่างนิรโทษกรรมเหมาเข่งได้ก่อให้เกิดความขัดแย้งอย่างหนักในขบวนการฝ่ายเสื้อแดง และก่อให้เกิดการแยกชัดระหว่างมวลชนที่สนับสนุนพรรคเพื่อไทยในทุกเงื่อนไช กับพลังฝ่ายประชาธิปไตย และนักวิชาการฝ่ายก้าวหน้าที่ไมอาจยอมรับการนิรโทษกรรมแบบนี้ได้

เครือข่ายทักษิณและพรรคเพื่อไทยอาจจะไม่สนใจ และประเมินว่า ต่อให้ผลักดันการนิรโทษกรรมหน้าตาอย่างนี้ พรรคก็ยังชนะเลือกตั้งสมัยหน้าอยู่นั่นเอง โดยไม่ต้องอาศัยพวกนักวิชาการและพลังประชาธิปไตย ในที่นี่จะขอบอกว่า ถ้าหากไม่รับฟังและยังดึงดันนิรโทษกรรมเหมาเข่ง ก็จะสิ้นความชอบธรรมเพราะเรื่องเหมาเข่งเป็นเรื่องไร้หลักการทางการเมือง แต่ถ้าหากถอยเรื่องเหมาเข่งแล้วไม่ยอมนิรโทษกรรมประชาชน ให้ชาวบ้านติดคุกต่อไป ก็เป็นเรื่องอมหิตของรัฐบาลยิ่งลักษณ์

การตัดสินใจในเรื่องนี้กลายเป็นระเบียบวาระอันสำคัญ ถ้าตัดสินใจผิดพลาดก็จะเป็นจุดเริ่มต้นนับถอยหลังของรัฐบาลพรรคเพื่อไทย เพราะจะเกิดลักษณะที่พรรคได้คะแนนเสียงแต่ปราศจากความชอบธรรม สถานการณ์ทางการเมืองไทยจึงวังเวงยิ่งนัก

 ที่มา.ประชาไท
////////////////////////////////////////////

ฟองสบู่ที่ดิน !?

โดย พัฒนพันธุ์ วงษ์พันธุ์

ในขณะที่หน่วยงานด้านเศรษฐกิจกำลังวิตกกับตัวเลขต่าง ๆ ซึ่งมีแนวโน้มลดลงต่อเนื่อง กระทั่งคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ต้องยอมปรับลดตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจปีนี้ลง จากเดิมที่คาดการณ์กันไว้ที่ 4.2% ล่าสุดถูก กนง.ปรับลดลงเหลือ 3.7%

จากเหตุผลที่ว่าประชาชนยังระมัดระวังการจับจ่าย โดยเฉพาะสินค้าคงทน กว่าที่การใช้จ่ายจะกลับมาฟื้นตัวดีอีกครั้งอาจเป็นปีหน้าโน่นเลยทีเดียว

น่าคิดตรงที่ขณะที่ประชาชนส่วนใหญ่กำลังขาดความมั่นใจว่า ไม่รู้ว่าเศรษฐกิจไทยภายภาคหน้าจะออกหัวออกก้อย ปรากฏว่าราคาที่ดินทั่วประเทศเฉพาะอย่างยิ่งในภาคตะวันออกเฉียงเหนือปรับสูงขึ้นจนน่าตกใจ ด้วยฤทธิ์ของการปั่นราคา เก็งกำไร ซึ่ง "ประชาชาติธุรกิจ" นำเสนอไปก่อนหน้านี้

นอกจากเมืองหลัก ๆ อย่างนครราชสีมา ขอนแก่น อุดรธานี ราคาที่ดินจะแพงลิบลิ่วไม่แพ้กรุงเทพฯ เนื่องจากเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจ ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) ธนาคารอาคารสงเคราะห์ระบุชัดเจนว่า ราคาที่ดินในจังหวัดรอง ๆ อย่างมหาสารคาม นครพนม สกลนคร กาฬสินธุ์ ร้อยเอ็ด ชัยภูมิ ยโสธร บึงกาฬ และมุกดาหาร ปรับขึ้นไปพรวดพราดเช่นกัน และก็ไม่ใช่น้อย ๆ บางแห่งปาเข้าไปเป็นสิบเท่า

คุณสัมมา คีตสิน ผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) แจกแจงว่า การเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน
ปี 2558 การลงทุนของผู้ประกอบการส่วนกลาง และการตื่นตัวจากโครงการลงทุน 2 ล้านล้านของรัฐบาล คือเหตุผลสำคัญที่ทำให้ราคาที่ดินสูงขึ้น ยกตัวอย่าง ร้อยเอ็ด หลังจากมีค้าปลีกรายใหญ่เข้ามาเปิดสาขา ที่ดินละแวกใกล้เคียงปรับขึ้นจากไร่ละ 3 ล้าน เป็น 10-12 ล้าน

บึงกาฬ ซึ่งจะมีการก่อสร้างสะพานมิตรภาพไทย-ลาวเกิดขึ้น ราคาที่ดินปรับขึ้นไปแล้ว 3-4 เท่าตัว จากไร่ละ 10-15 ล้าน เช่นเดียวกับมุกดาหาร ราคาที่ดินเขตเมืองริมแม่น้ำโขง จากไร่ละ 3-4 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเป็น 7-8 ล้านบาท

ผู้สื่อข่าวในพื้นที่บอกว่า ราคาที่ดินที่เพิ่มสูงขึ้นเป็นเท่า ๆ ตัวนี้ไม่ได้เกิดขึ้นในเขตเมืองหรือย่านการค้าเท่านั้น แต่เกิดขึ้นในทุกพื้นที่ แค่มีข่าวลือการลงทุนใหญ่ ๆ แพร่สะพัด ราคาที่ดินจะทะยานไปรอล่วงหน้า ถ้าเป็นเมื่อก่อนข่าวการลงทุนของค้าปลีกใหญ่ ๆ จะมีน้ำหนักกว่าเรื่องอื่น ๆ

ปัจจุบันข่าวโครงการ 2 ล้านล้านรถไฟความเร็วสูงจะเป็นตัวปั่นราคาที่ร้อนแรงที่สุดบางพื้นที่แค่มีข่าวลือคนก็รีบวิ่งไปเก็บที่ โดยไม่ได้มีการตรวจสอบข่าว ทั้ง ๆ ที่รถไฟความเร็วสูงในภาคอีสานมีอยู่เส้นเดียว คือ กรุงเทพฯ-โคราช ในเฟสแรก โคราช-หนองคาย ในเฟส 2 นอกเหนือจากนั้นคือข่าวลือล้วน ๆ ถามไถ่ยักษ์ใหญ่วงการล้วนรับรู้ข่าวการปั่นราคาที่ดินที่เกิดขึ้น

คุณอธิป พีชานนท์ ผู้บริหารศุภาลัย ซึ่งมีตำแหน่งเป็นนายกสมาคมธุรกิจจัดสรรอยู่ด้วยยอมรับว่า ศุภาลัยมีแผนลงทุนในภาคอีสานต่อเนื่อง แต่จะเลือกพัฒนทำเลบริเวณรอบนอกเพื่อเลี่ยงการแข่งขันซื้อที่ดินในเมืองที่แพงขึ้นมาก

ส่วน คุณทองมา วิจิตรพงศ์พันธุ์ ประธานใหญ่บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) พูดไว้กลางเวทีเสวนา 2 ล้านล้านที่อุบลราชธานีเมื่อ 2 สัปดาห์ก่อนว่า ถึงจะเคยวนเวียนศึกษาตลาดที่นี่อยู่บ้างแต่ยังไม่มีการตัดสินใจลงทุน เพราะมีรายละเอียดต้องพิจารณาเยอะมาก

ที่สำคัญการซื้อขายที่ดินของผู้ประกอบการระดับนี้จะทำกันเงียบ ๆ ไม่มีการออกข่าวล่วงหน้าใด ๆ ทั้งสิ้น เรื่องแบบนี้จะเชื่อข่าวลือเพื่อปั่นราคาที่ดิน หรือค้นหาให้ได้ความจริง ก่อนตัดสินใจอย่างหนึ่งอย่างใด ต้องตรองดูให้ดี ๆ ครับ

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
////////////////////////////////////////

นิรโทษกรรมผิดซอย มาถูกทิศ แต่เลี้ยวผิดทาง !!?

โดย วีรพัฒน์ ปริยวงศ์

ประเด็นนิรโทษกรรมมีความเป็นมาอย่างไร ?

ร่างกฎหมายนิรโทษกรรมฉบับที่กำลังถกเถียงกันเริ่มต้นจากฉบับที่นายวรชัย เหมะ ส.ส. พรรคเพื่อไทย และคณะได้เสนอให้นิรโทษกรรม "ประชาชน" ทุกกลุ่มที่กระทำความผิดที่เกี่ยวเนื่องกับการชุมนุมและการแสดงออกทางการเมือง ในระยะเวลาที่เริ่มต้นจากการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 มาจนถึงการชุมนุมทางการเมืองในวันที่ 10 พฤษภาคม 2554 แต่บุคคลดังกล่าวจะต้องไม่มีอำนาจตัดสินใจสั่งการ ซึ่งที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร ในวาระที่ 1 ได้มีมติรับหลักการ กล่าวคือ ให้นำร่างกฎหมายดังกล่าวเข้าสู่การพิจารณาแก้ไขเพิ่มเติมต่อไปโดยคณะกรรมาธิการวิสามัญ

ต่อมา คณะกรรมาธิการวิสามัญได้มีมติเสียงข้างมากแก้ไขเพิ่มเติมร่างกฎหมาย ส่งผลเปลี่ยนแปลงสำคัญสี่ด้าน

1.ด้านคดี ได้ขยายการนิรโทษกรรมให้รวมไปถึงคดีอื่นที่กล่าวหาโดยองค์กรที่จัดตั้งขึ้นหลังการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 หรือองค์กรอื่นที่ดำเนินการต่อเนื่องมา ซึ่งย่อมหมายรวมถึงคดีทุจริตที่ดำเนินการคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ซึ่งไม่ได้มีเนื้อหาเกี่ยวกับการชุมนุม เช่น คดีที่ดินรัชดาฯ และคดียึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร

2.ด้านเวลา ได้ขยายช่วงเวลาของการกระทำที่ได้รับการนิรโทษกรรมให้คลุมไปถึง 8 สิงหาคม 2556 ซึ่งย่อมรวมถึงการชุมนุมทางการเมืองของฝ่ายที่ต่อต้าน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร แต่ไม่เกี่ยวเนื่องกับการรัฐประหารโดยตรง

3.ด้านตัวบุคคล ได้ขยายให้นิรโทษกรรมต่อบุคคลเป็นการทั่วไปไม่ว่าจะเป็นผู้ตัดสินใจสั่งการหรือไม่ ซึ่งย่อมรวมถึงแกนนำผู้ชุมนุม ตลอดจนนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ และนายทหารระดับสูง

4.ด้านผลการนิรโทษกรรม ได้กำหนดให้ผลการนิรโทษกรรมต้องดำเนินการตาม "หลักนิติธรรม" อย่างเคร่งครัด อีกทั้งเปิดช่องให้ผู้ได้รับการนิรโทษกรรมบางรายเรียกร้องสิทธิหรือประโยชน์ได้ ซึ่งมีบางฝ่ายมองว่ามุ่งหมายถึงกรณีการเรียกทรัพย์สินที่ถูกยึดคืน

ทั้งนี้ การแก้ไขร่างกฎหมายดังกล่าวยังไม่สิ้นสุด โดยในขั้นต่อไปร่างฉบับคณะกรรมาธิการจะถูกนำไปพิจารณารายมาตราโดยสภาผู้แทนราษฎรในวาระที่ 2 และพิจารณาทั้งฉบับอีกครั้งในวาระที่ 3 ซึ่งหากสภาผู้แทนราษฎรให้ความเห็นชอบก็ยังต้องให้วุฒิสภาพิจารณาต่อไป ดังนั้น เนื้อหาการนิรโทษกรรมจึงยังถูกแก้ไขให้กลับมาแคบดังเดิมได้

ฝ่ายหนึ่งอ้าง รัฐธรรมนูญ มาตรา 30 แต่อีกฝ่ายอ้าง มาตรา 309 ?

มีบางฝ่ายอ้าง รัฐธรรมนูญ มาตรา 30 เรื่องความเสมอภาคว่าจำเป็นต้องนิรโทษกรรมทุกคน เพื่อไม่เป็นการเลือกปฏิบัติ อย่างไรก็ดี หลักความเสมอภาคหมายความว่าผู้ที่อยู่ภายใต้สภาพหรือเงื่อนไขเดียวกันไม่อาจถูกเลือกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม เช่น กฎหมายกำหนดอัตราภาษีไว้ต่างกัน ถ้ารวยเท่ากัน ก็จ่ายภาษีเท่ากัน ถ้ารวยเท่ากัน แต่ภาระต่างกันก็หักค่าลดหย่อนได้ต่างกัน เรื่องนิรโทษกรรมก็เช่นกัน คดีทุจริตที่ไม่ได้เกี่ยวกับการชุมนุมทางการเมืองย่อมอยู่ภายใต้สภาพเงื่อนไขต่างกัน จะนำเรื่องความเสมอภาคมาอ้างมิได้ มิเช่นนั้นก็ต้องนิรโทษกรรมทุกคดีที่อ้างความขัดแย้งทางการเมืองซึ่งก็ไม่มีขอบเขตที่ชัดเจน การอ้าง มาตรา 30 จึงฟังไม่ขึ้น

ส่วนอีกฝ่ายที่อ้างว่า หากสุดท้ายรัฐสภาเห็นชอบให้นิรโทษกรรมคดีทุจริตที่กล่าวหาโดย คตส. ได้ด้วย ก็ถือว่าขัดต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 309 ซึ่งบัญญัติว่า บรรดาการใดๆ ที่ได้รับรองไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2549 ว่าเป็นการชอบด้วยกฎหมายและรัฐธรรมนูญ รวมทั้งการกระทำที่เกี่ยวเนื่องกับกรณีดังกล่าวไม่ว่าก่อนหรือหลังวันประกาศใช้รัฐธรรมนูญนี้ ให้ถือว่าการนั้นและการกระทำนั้นชอบด้วยรัฐธรรมนูญนี้

ผู้ที่อ้างเช่นนี้ หากไม่ได้เลื่อมใสในการรัฐประหาร ก็อาจหลงเข้าใจว่า มาตรา 309 สร้างสภาพบังคับทางรัฐธรรมนูญให้คดี คตส. ถูกแตะต้องไม่ได้เว้นแต่โดยการแก้รัฐธรรมนูญ แต่แท้จริงแล้วสาระของ มาตรา 309 เป็นเพียงบทรองรับความต่อเนื่องจากรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวให้สิ่งที่ คตส. ดำเนินการในยามรัฐประหารนั้น "ให้มีผลใช้บังคับต่อไป" ประหนึ่ง คตส. ดำเนินการไปในฐานะ ป.ป.ช. ในยามปกติ ซึ่งเมื่อรัฐสภาตรากฎหมายนิรโทษกรรมคดีที่ ป.ป.ช. ดำเนินการตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญในยามปกติได้ฉันใด รัฐสภาก็ย่อมมีอำนาจนิรโทษกรรมคดีที่ดำเนินการโดย คตส. ที่มีบทบัญญัติรัฐธรรมนูญรองรับได้ฉันนั้น ดังนั้น ข้ออ้างเรื่อง มาตรา 309 จึงฟังไม่ขึ้นเช่นกัน

นิรโทษกรรมคดีทุจริตเท่ากับขัดต่อวาระรับหลักการ ?

แม้การนิรโทษกรรมคดีทุจริตจะไม่ขัดต่อ มาตรา 309 แต่มีปัญหาต่อว่ากฎหมายฉบับนี้ตราขึ้นโดยขัดต่อหลักการที่สภาเคยมีมติรับไว้พิจารณาในวาระที่ 1 และตราขึ้นโดยขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่

ประเด็นดังกล่าวมิได้ถูกกำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญอย่างชัดแจ้ง แต่ข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2551 ข้อ 117 ได้กำหนดว่า คณะกรรมาธิการอาจเพิ่มมาตราขึ้นใหม่หรือตัดทอนหรือแก้ไขมาตราเดิมได้ แต่ต้องไม่ขัดกับหลักการแห่งร่างพระราชบัญญัตินั้น นอกจากนี้ ข้อบังคับการประชุมฯ ข้อ 177 ได้กำหนดต่อว่า ถ้ามีปัญหาที่จะต้องตีความข้อบังคับนี้ให้เป็นอำนาจของสภาที่จะวินิจฉัย และเมื่อที่ประชุมได้ลงมติวินิจฉัยโดยคะแนนเสียงไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกในที่ประชุมเป็นประการใดแล้ว ให้ถือว่าคำวินิจฉัยนั้นเป็นเด็ดขาด

ดังนั้น หากมีผู้โต้แย้งว่าสภาผู้แทนราษฎรในวาระที่ 1 ได้รับหลักการร่างกฎหมายฉบับนี้ให้นิรโทษกรรมเฉพาะประชาชนระดับทั่วไปที่ร่วมชุมนุมหรือแสดงออกทางการเมืองเท่านั้น แต่คณะกรรมาธิการได้แก้ไขขยายความร่างกฎหมายจนเกินเลยหลักการดังกล่าว ที่ประชุมสภาก็อาจลงมติวินิจฉัยให้เด็ดขาดได้ว่าการแก้ไขที่ขัดต่อหลักการนั้นเป็นอย่างไร

ทั้งนี้ แม้พรรคเพื่อไทยจะมีเสียงข้างมากที่จะลงมติวินิจฉัยประเด็นดังกล่าวให้เด็ดขาดได้ แต่การฝืนกระแสสังคมนั้นอาจมีผลรุนแรงถึงขั้นเป็นการหักหลังประชาชน ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายที่สูญเสียจากการชุมนุม หรือฝ่ายที่เรียกร้องให้ชำระคดีทุจริตโดย คตส. เพื่อเริ่มดำเนินคดีใหม่อย่างเป็นธรรม ซึ่งจะส่งผลเสียต่อพรรคเพื่อไทยในระยะยาว

ยิ่งไปกว่านั้น หากสุดท้ายมีผู้ไปร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญว่าร่างกฎหมายดังกล่าวตราขึ้นโดยไม่ถูกต้อง ก็เป็นไปได้ที่ศาลจะรับไว้ตีความ ถึงแม้ รัฐธรรมนูญ มาตรา 154 จะให้อำนาจศาลพิจารณาการตรากฎหมายที่ขัดต่อ "บทบัญญัติในรัฐธรรมนูญ" โดยไม่ได้ระบุถึงข้อบังคับการประชุมที่กำหนดให้คำวินิจฉัยของฝ่ายสภาผู้แทนราษฎรนั้นเป็นเด็ดขาดก็ตาม แต่หากสุดท้ายศาลรับพิจารณาและวินิจฉัยให้ร่างกฎหมายนี้ตกไป พรรคเพื่อไทยเองก็จะถูกมองว่าเป็นฝ่ายหาเรื่องโดยนำประโยชน์นักการเมืองมาผูกไว้จนทำให้ร่างกฎหมายนี้ตกไปไม่ถึงมือประชาชน

แต่ก็ไม่แน่ หากพรรคเพื่อไทยเดินยุทธศาสตร์อย่างแยบยล ก็อาจใช้โอกาสนี้พิสูจน์ให้สังคมเห็นว่าสมาชิกพรรคเดียวกันสามารถโต้แย้งกันอย่างเปิดเผยเพื่อดึงร่างกฎหมายนิรโทษกรรมให้กลับมาอยู่ในแนวทางที่ยอมรับโดยประชาชน หรือนายกรัฐมนตรีเองก็อาจใช้โอกาสแสดงท่าทีบางอย่างเพื่อพิสูจน์ภาวะความเป็นผู้นำอย่างแหลมคม ซึ่งนอกจากจะแสดงถึงความเป็นประชาธิปไตยและเพิ่มความชอบธรรมให้พรรคเพื่อไทยและรัฐบาลแล้ว ยังจะเป็นการตอกย้ำความแตกต่างของพลวัตทางความคิดภายในสองพรรคใหญ่ได้อีกด้วย

หากไม่นิรโทษกรรมคดี คตส. เท่ากับยอมรับรัฐประหาร ?

พรรคเพื่อไทยได้ยกประเด็นสำคัญว่าการนิรโทษกรรมคดี คตส. นั้น ถือเป็นการปฏิเสธอำนาจรัฐประหาร เพื่อกอบกู้ประชาธิปไตยและหลักนิติธรรม ซึ่งความคิดนี้มี "เป้าหมาย" ถูกต้อง แต่ "วิธีการ" ยังมีปัญหา เพราะการนิรโทษกรรมคือการ "ลืม" การทำ โดยถือให้การกระทำนั้นไม่ว่าจะผิดหรือไม่ ก็ถือว่ายุติและไม่มีความผิดเกิดขึ้น คดีและข้อกล่าวหาย่อมจบลงและเริ่มต้นใหม่ไม่ได้ สังคมก็จะไม่รู้ว่านักการเมืองรายใดบริสุทธิ์หรือทุจริต รายใดสังหารหรือดูแลประชาชน ความขัดแย้งก็จะกลับมารุนแรง เป็นวังวนให้เกิดข้ออ้างการรัฐประหารไม่สิ้นสุด และไม่ได้เป็นการ "เซตซีโร่" หรือเริ่มต้นใหม่แต่อย่างใด

กล่าวให้เข้าใจง่ายก็คือ การนิรโทษกรรมคดีทุจริตเพื่อต่อต้านการรัฐประหารนั้น อาจไม่ใช่กรณี "สุดซอย" หรือ "ทะลุซอย" เสียทีเดียว แต่เป็นกรณี "ผิดซอย" คือมาถูกทิศ แต่เลี้ยวผิดทาง เพราะแม้จะพยายามล้างผลคดี คตส. แต่ก็ไม่เอื้อต่อการตรวจสอบการทุจริต ทั้งที่ทั้งสองประเด็นต่างก็เป็นสาระสำคัญของหลักนิติธรรมทั้งสิ้น จะเลือกอย่างแต่เสียอย่างไม่ได้

สิ่งที่นักการเมืองทุกฝ่ายควรทำในเวลานี้ คือการแสดงจุดยืนต่อต้านรัฐประหารและการทุจริตไปพร้อมกัน โดยไม่นำประชาชนไปปนกับนักการเมือง และต้องเริ่มถกเถียงกันอย่างสร้างสรรค์ว่าจะจัดการกับรัฐธรรมนูญ มาตรา 309 ที่หักดิบหลักนิติธรรมและตบหน้าประชาธิปไตยอย่างไรโดยไม่ปล่อยให้ผู้ถูกกล่าวหาว่าทุจริตลอยนวลจากการตรวจสอบ

หากพรรคเพื่อไทยจริงใจที่จะชำระคราบรัฐประหาร และมั่นใจในความบริสุทธิ์ของผู้ถูกกล่าวหา ก็ไม่ควรนำประเด็น คตส. ไปปนกับประเด็นนิรโทษกรรม แต่ควรนำเสนอแนวทางการแก้ไข รัฐธรรมนูญ มาตรา 309 เพื่อล้มล้างกระบวนการ คตส. ให้เสียเปล่ามาแต่ต้น และนำผู้ที่เคยถูก คตส. กล่าวหาว่าทุจริต ตลอดจนผู้กระทำการรัฐประหาร กลับเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมที่เริ่มต้นใหม่อย่างถูกต้องในยามปกติ เพื่อ "เซตซีโร่" หรือเริ่มต้นใหม่อย่างแท้จริง

ส่วนหากพรรคประชาธิปัตย์เชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรม และเชื่อว่ามีการทุจริตจริง ก็ไม่ควรสองมาตรฐาน โดยมือข้างหนึ่งยกต้านนิรโทษกรรมนักการเมืองแต่มืออีกข้างกลับยอมแบตาม มาตรา 309 ที่มีผลเลวร้ายยิ่งกว่าการนิรโทษกรรม สิ่งที่พรรคประชาธิปัตย์ควรทำ คือ ชิงนำการแก้ไข มาตรา 309 ให้รัดกุม รอบคอบ และเป็นประชาธิปไตย เพื่อพิสูจน์จุดยืนการปฏิรูปพรรคว่าจะต่อสู้เพื่อนำทั้งผู้ทุจริตและผู้รัฐประหารมารับผิดโดยไม่อิงแอบเผด็จการ

มาถึงวันนี้ ทุกฝ่ายควรยอมรับร่วมกันได้แล้วว่า การทุจริตเป็นสิ่งเลวร้าย แต่การทุจริตที่ใหญ่หลวงที่สุดก็คือการรัฐประหาร และการนิรโทษกรรมที่อหังการที่สุดก็คือ มาตรา 309 ทางออกจากวงจรอุบาทว์นี้จะเกิดขึ้นได้ต่อเมื่อมีการปฏิเสธการทุจริตทุกระดับ ไม่ว่าจะเป็นการทุจริตที่กระทำโดยอ้างรัฐธรรมนูญ หรือโดยล้มรัฐธรรมนูญก็ตาม

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
//////////////////////////////////////

ผู้ป่วยแห่งเอเชีย !!?

โดย.ศ.ดร.วรภัทร โตธนะเกษม

การมีผู้นำเผด็จการ และผู้มีอำนาจในสังคมต่างคอร์รัปชันกันอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานาน

ทำให้ประเทศซึ่งครั้งหนึ่งเคยโดดเด่นกว่าประเทศไทยของเรา กลับต้อง เตี้ยลงๆ จนกลายเป็น “ผู้ป่วยแห่งเอเชีย” (Sick Man of Asia) มาเป็นเวลานานหลายทศวรรษ ประเทศนั้นมีชื่อว่า ฟิลิปปินส์

ประเทศนี้มีความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองเกิดขึ้นหลายครั้งหลายครา มีทั้งการลอบสังหาร นายนินอย อาคิโน จูเนียร์ อดีตผู้นำฝ่ายค้าน เสียชีวิตทันทีที่ลงจากเครื่องบิน ไปจนถึงการปฏิวัติโดย “พลังประชาชน” (People Power) เพื่อล้มล้างรัฐบาลคอร์รัปชันของนายเฟอดินัล มากอส และการจำคุกอดีตประธานาธิบดีหญิง กลอเรีย มาคาปากัล เป็นต้น ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญ ที่ทำให้ผู้ป่วยรายนี้ ต้องนอนซบเซาด้วยพิษไข้จนแทบโงหัวไม่ขึ้น เข้าโรงพยาบาลมาเป็นเวลานานแสนนาน กลายเป็น “ผู้ป่วยแห่งเอเชีย” ไปอย่างน่าเศร้าใจ

แต่ถ้าหากมีความพยายาม และการเมืองเริ่มสงบ แสงสว่างรำไร ก็เริ่มมาเยือนได้เหมือนกัน เพราะเมื่อปีที่แล้วนี้เอง ในเดือนกรกฎาคม 2555 บริษัทจัดอันดับเครดิต S&P ได้ปรับอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศ (ซึ่งตกต่ำอยู่ในระดับ “ขยะ” มานานหลายสิบปี) จาก BB ให้สูงขึ้นเป็น BB+ และถึงแม้จะยังเป็น “ขยะ” อยู่ก็ตาม แต่ถ้าหากได้รับการปรับเพิ่มขึ้นอีกเพียง 1 อันดับเท่านั้น ฟิลิปปินส์ ก็จะเข้าสู่ระดับ “ลงทุนได้” ทำให้ผู้ป่วยรายนี้ มีอาการคึกคักขึ้นมาทันที

ปัจจัยในการปรับอันดับครั้งนั้น มีหลายประการ ที่ชัดเจนก็คือ รัฐบาลสามารถบริหารหนี้สาธารณะให้ลงได้อย่างต่อเนื่อง จาก 80% ในปี 2547 เหลือเพียง 50% ในปี 2555 และเงินสำรอง สูงขึ้นเป็น 77 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งเพียงพอที่จะนำสินค้าเข้าได้เป็นเวลานาน 11 เดือน ในขณะที่ GDP เติบโตขึ้นเกินกว่า 6%

อีกเพียง 8 เดือนต่อมา เมื่อเดือนมีนาคม 2556 Fitch ก็ได้ประกาศเพิ่มอันดับเครดิตของฟิลิปปินส์เป็น BBB- ซึ่งถือเป็นการก้าวเข้าสู่ระดับ “ลงทุนได้” เป็นครั้งแรก จากนั้น อีก 2 เดือน เมื่อเดือนพฤษภาคม 2556 นี้เอง S&P ก็ได้ปรับอันดับของฟิลิปปินส์ เป็น BBB- เช่นกัน จึงถือได้ว่าหมอใหญ่สองราย ได้อนุญาตให้ “ผู้ป่วยแห่งเอเชีย” ออกจากโรงพยาบาลได้แล้ว

นอกจากนั้น เมื่อต้นเดือนกันยายน 2556 บลูมเบิร์ก ก็ได้รายงานผลการสำรวจว่า ฟิลิปปินส์ น่าจะเป็น 1 ใน 5 ประเทศ ที่มีอัตราการเติบโตสูงสุดในโลก โดยปี 2556 และ 2557 คาดว่าจะเติบโต 6.9% และ 6.4% ตามลำดับ

ล่าสุด เมื่อวันอังคารที่ 29 ตุลาคม สัปดาห์นี้ ธนาคารโลก ก็ได้ออกรายงาน “Doing Business in Asia” ซึ่งระบุว่าฟิลิปปินส์ เป็นประเทศที่อยู่ในอันดับที่ 108 จาก 189 ประเทศทั่วโลก แม้ว่าจะยังเป็นอันดับที่ค่อนข้างต่ำ แต่ธนาคารโลก ก็รายงานว่า ฟิลิปปินส์ เป็น 1ใน 10 ประเทศทั่วโลก ที่ “ไต่อันดับ” ได้ดีเป็นพิเศษ เพราะสามารถ ก้าวได้มากถึง 30 อันดับ จากปีที่ผ่านมา

ช่วงนี้ ประธานาธิบดี อาคิโน ไปไหน ก็เอ่ยปากพูดพร้อมด้วยรอยยิ้มว่า ” ฟิลิปปินส์ ไม่ใช่ผู้ป่วยแห่งเอเชียอีกต่อไปแล้ว” และถ้าดูตัวเลขการเติบโตของ GDP เมื่อสิ้นสุดไตรมาสที่ 2 และไตรมาสที่ 1 ของปีนี้ ซึ่งเติบโตจากไตรมาสเดียวกันของปีที่ผ่านมาถึง 7.5% และ 7.7% ตามลำดับ นักวิเคราะห์และกองทุนต่างชาติ ก็มองว่ารอยยิ้มของท่านประธานาธิบดีนั้น เป็นรอยยิ้มที่มี “เหตุอันควร”

สำหรับคนไทยเรา ถ้ามองว่าเรื่องราวที่ผมเล่ามานี้เป็นการวิ่งแข่ง ก็สรุปได้ว่า ในลู่วิ่งขณะนี้ ถ้ามองไปข้างหน้า เราไม่เห็นฝุ่นเลย ก็คือสิงคโปร์ ซึ่งอยู่ในกลุ่มอันดับเครดิตสูงสุดในโลกที่ AAA แต่ที่ยังพอเห็นหลังไม่ไกลนักได้แก่ มาเลเซีย ซึ่งมีโอกาสที่เราจะ “สปีด” ให้ทันได้เหมือนกัน แต่ที่ไกลไปอีกพอสมควร คือ เกาหลีใต้ ซึ่งทั้งสองประเทศนี้ ความจริงก็บาดเจ็บสาหัสเท่าเทียมกับเรา หรือหนักหนากว่าเรา เมื่อครั้งวิกฤติต้มยำกุ้งที่ผ่านมา แต่วันนี้ ทั้งสองประเทศวิ่งนำหน้าเราอย่างชัดเจน

ถ้าหันหลังกลับ ก็พอมองเห็นรำไรว่า อยู่ห่างจากเราพอควร แต่ประมาทไม่ได้เหมือนกัน ได้แก่ อินโดนีเซีย และตอนนี้ ก็ควรต้องเพิ่ม ฟิลิปปินส์ เข้าไปด้วย อีกราย

โอ้ละหนอ ในช่วงเวลาข้างหน้านี้ ใครจะทิ้งใคร และการแข่งขันจะน่าตื่นเต้นสักเพียงใด ผมก็มิอาจทราบได้ เพราะว่าหลังจากที่ผมได้ส่งต้นฉบับไปเมื่อบ่ายวานนี้ เข้าใจว่า ยามค่ำคืนวานนี้ จะมีผู้คนจำนวนมากไปรวมกันอยู่ที่สถานีรถไฟสามเสน พวกเขาไม่ได้ไปขึ้นรถไฟ แต่ไปตามเสียงเป่านกหวีด และก็ไม่ทราบว่าจะอยู่ที่นั่นนานสักเพียงใด รวมทั้งผลที่ตามมาจะเป็นเช่นใด

เมื่อนักวิ่งไทย ต้องอยู่ในสถานการณ์บ้านเมืองเช่นนี้ ท่ามกลางเพื่อนบ้าน ที่เริ่มแข็งแรงและมุ่งมั่น เราก็ควรมาช่วยกันปลุกขวัญนักวิ่งไทยอย่างแรงๆ น่าจะดีที่สุด เอ้า...ไทยแลนด์... ไทยแลนด์.... ไทยแลนด์.....

ไม่ปลุกขวัญกันได้ยังไงล่ะ ก็เมื่อฟิลิปปินส์เดินออกมาจากโรงพยาบาลเตียงก็ว่างแล้วนี่

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
/////////////////////////////////////

วันพฤหัสบดีที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2556

ปรากฏการณ์ ศูนย์ AEC แพร่สะพัดทั่วไทย !!??

โดย ชนาธิป สุกใส
มหาวิทยาลัยสยาม

ศูนย์อาเซียนศึกษาในประเทศไทย: สิ่งที่ควรต้องจัดระเบียบ

เริ่มต้นด้วยคำถามที่ง่าย ๆ ที่ว่า การเตรียมความพร้อมรับประชาคมอาเซียน (ASEAN Community) ของประเทศในปี 2015 ภาคส่วนใดควรมีบทบาทสำคัญที่สุดในการเป็นคลังสมองของชาติ (National Think Tank) ให้ความรู้และถ่ายทอดความเข้าใจเรื่องอาเซียนศึกษาแก่สังคม เชื่อว่าคำตอบส่วนใหญ่คงเป็นไปในทิศทางเดียวกันคือ “ภาคการศึกษา”

ภาคการศึกษา (Academic Sector) ถือเป็นภาคส่วนที่สำคัญยิ่งต่อการหล่อหลอมความคิด ปูพื้นฐานความเป็นมนุษย์ที่มีการศึกษา เป็นแกนหลักเสริมสร้างให้คนในสังคมมีความรู้ มีความเข้าใจเรื่องอาเซียนอย่างถ่องแท้มากขึ้น เป็นศูนย์กลาง (Hub) กระจายข้อมูลต่าง ๆ สู่ทุกภาคส่วนของประเทศ ตลอดจนบ่มเพาะให้คนไทยเป็นพลเมืองที่ดีของอาเซียน (ASEAN Good Citizens) สามารถนำพาประเทศเข้าสู่การเป็นประชาคมอาเซียนอย่างสมบูรณ์ในอีก 2 ปีข้างหน้า



photo from Bangkokopost

ในประเด็นด้านการศึกษา ประเทศไทยมีการเตรียมการด้านการศึกษาเพื่อรับกับประชาคมอาเซียนได้ค่อนข้างดี มีการกำหนดยุทธศาสตร์หลัก (Grand Strategy) ของชาติเพื่อเตรียมความพร้อมรับมือต่อการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น สะท้อนได้จากแผนพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติ ฉบับที่ 11 ว่าด้วยการมุ่งเน้นยุทธศาสตร์การพัฒนาคนสู่สังคมแห่งการเรียนรู้ตลอดชีวิตอย่างยั่งยืน

ให้ความสําคัญกับการพัฒนาคนด้วยการเรียนรู้ในศาสตร์วิทยาการที่หลากหลาย การยอมรับความแตกต่างของความหลากหลายทางวัฒนธรรม สร้างความเป็นเอกภาพในสังคม และการสร้างเครือข่ายความร่วมมือทางวัฒนธรรมร่วมกับประชาคมโลกโดยเฉพาะประชาคมอาเซียน

อย่างไรก็ดี ความตื่นตระหนก (Panic) และความไม่มั่นใจในคุณภาพการศึกษาไทยก็ฉายภาพได้ชัดไม่แพ้กับสิ่งที่ปรากฏในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติข้างต้นฯ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ข้อถกเถียงในสังคมวงกว้างเกี่ยวกับคุณภาพการศึกษาไทยเมื่อถูกหยิบยกเปรียบเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน ตามที่ World Economic Forum (WEF) ได้นำเสนอในรายงาน Global Information Technology Report 2013 โดยสื่อต่าง ๆ ได้ประโคมข่าวนี้อย่างครึกโครม จนผู้มีส่วนเกี่ยวข้องต้องออกมาแสดงความคิดเห็น นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นล่าสุดเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา และจากบทความของผู้เขียนที่ได้เขียนรับใช้ก่อนหน้านี้

ในภาพรวม สถาบันการศึกษาทุกระดับส่วนใหญ่มีการแปลงวิสัยทัศน์จากภาครัฐสู่กิจกรรมภาคปฏิบัติ (Translate visions into actions) ที่หลากหลาย ขอเน้นตัวหนา ๆ ในที่นี้ว่า “ทุกระดับ” มีการจัดตั้งสิ่งที่เรียกว่า “ศูนย์อาเซียนศึกษา” “ศูนย์ประชาคมอาเซียนศึกษา” “ศูนย์ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนศึกษา” “ศูนย์วัฒนธรรมอาเซียนศึกษา” “ศูนย์ศึกษาภาษาและวัฒนธรรมอาเซียน” และศูนย์อื่น ๆ ในชื่อและบริบทที่ใกล้เคียงกันในลักษณะนี้มากมาย

ผู้เขียนขออธิบายการเกิดขึ้นและการเพิ่มจำนวนของศูนย์อาเซียนอย่างต่อเนื่องของประเทศ ณ ห้วงเวลานี้ว่าเป็น “ปรากฎการณ์ (Phenomenon) ศูนย์อาเซียนศึกษาในประเทศไทย” คำนี้อาจจะไม่ค่อยมีผู้ใดกล่าวขานกันมากนัก เนื่องจากดูอย่างผิวเผินแล้วจะพบว่าเป็นสิ่งที่ดีและไม่น่าจะมีปัญหาอะไร ที่สำคัญใคร ๆ เขาก็ทำกันโดยเฉพาะอย่างยิ่งสถาบันการศึกษาทุกระดับ

หากจะวิเคาระห์ว่าดีหรือไม่นั้น แน่นอนคำตอบก็ต้องตอบว่า “ดี” แทบจะร้อยเปอร์เซ็น เพราะการเตรียมความพร้อมผ่านการจัดตั้งหน่วยงานเฉพาะกิจด้านอาเซียนแบบนี้ จะใช้ชื่อว่าอะไรนั้นก็สุดแล้วแต่หน่วยงานนั้น ๆ จะรังสรรค์ขึ้นมา แต่ก็ต้องชื่มชมอย่างจริงใจว่าเป็นการตื่นตัวในเชิงบวก (Pro-active)
ศูนย์อาเซียนศึกษาในประเทศไทย

ผู้เขียนได้พยามค้นคว้าหาข้อมูลเกี่ยวกับจำนวนของศูนย์อาเซียนศึกษาในประเทศไทย รวมทั้งศูนย์อื่น ๆ ที่มีการใช้ชื่อในลักษณะเดียวกันนี้จากหลายแหล่ง ทั้งจากแหล่งปฐมภูมิและทุติยภูมิ ตลอดจนใช้ความเป็นอาจารย์เป็นใบเบิกทางค้นหาข้อมูลนี้ในแวดวงวิชาการด้วยกันเอง แต่ก็ยังไม่ได้ข้อมูลที่เป็นที่น่าพอใจ เนื่องจากยังไม่มีหน่วยงานใดเป็นหน่วยงานหลัก หรือแม่งานในการหลักรวบรวมข้อมูลด้านศูนย์อาเซียนศึกษาของประเทศ

แหล่งข้อมูลสำคัญอีกแหล่งที่ผู้เขียนค้นคว้าก็คือ แหล่งข้อมูลจากอาจารย์ใหญ่ Google ในโลกอินเตอร์เน็ต โดยใช้คำสำคัญ (Keyword) ว่า “ศูนย์อาเซียนศึกษาของไทย” ค้นหาใน Google ปรากฎว่าพบลิงก์ (Link) ที่เกี่ยวข้องมีกว่า 6 ล้านลิงก์ (แต่ก็ไม่ตรงเสียทีเดียว) ข้อมูลของ Google ได้ไล่เรียงตั้งแต่การจัดตั้งศูนย์อาเซียนในระดับอนุบาลศึกษา ประถมศึกษา มัธยมศึกษา อุดมศึกษา ตลอดจนศูนย์ฝึกอบรมต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง

อย่างไรก็ดี ข้อมูลจาก Google ที่ค้นหาได้ก็ยังมีความกระจัดกระจาย และเมื่อกดลิงก์เข้าไปแล้วพบว่า แต่ละหน่วยงานทำในรูปแบบเฉพาะของตัวเอง ไม่มีศูนย์กลางด้านอาเซียนศึกษาในนามของประเทศไทยอย่างแท้จริง ดังนั้น การค้นหาข้อมูลจึงมีความติดขัดพอสมควร และไม่สามารถค้นพบคำตอบที่ชัดเจนว่าปัจจุบันประเทศไทยมีจำนวนศูนย์อาเซียนศึกษาและศูนย์ที่เกี่ยวข้องเป็นอยู่เท่าใด

อนึ่ง สิ่งที่ศูนย์อาเซียนต่าง ๆ ข้างต้นมีเหมือนกันก็คือ “พิธีเปิด” แต่เมื่อผู้เขียนพยามเจาะลึกค้นคว้าในรายละเอียดเกี่ยวกับแผนงาน แผนกิจกรรม หรือการดำเนินงานในส่วนที่เกี่ยวข้องกับอาเซียนจริง ๆ ภายใต้การบริหารจัดการของศูนย์นั้น ๆ กลับไม่ปรากฎข้อมูลเพิ่มเติมแต่อย่างใด มีเพียงข้อมูลพื้นฐานเกี่ยวกับอาเซียนและภาพพิธีเปิดเท่านั้น

จากประเด็นนี้เองก็นำไปสู่การปรากฎขึ้นของเครื่องหมายคำถามตัวโตในใจของผู้เขียนว่า
1. เรากำลังเตรียมความพร้อมเชิงสัญลักษณ์ (Symbol) มากกว่าสารัตถะ (Substance) หรือไม่?
2. จำนวนของศูนย์อาเซียนที่กำลังก่อตัวเพิ่มปริมาณขึ้นเรื่อย ๆ ในสังคมไทยหากไม่มีการบริหารจัดการที่เหมาะสมจากส่วนกลางหรือหน่วยงานที่รับผิดชอบโดยตรง มีความเป็นไปได้หรือไม่ที่จะสร้างปัญหาในอนาคต
ข้อเท็จจริงของการจัดตั้งศูนย์อาเซียนศึกษาภายในสถาบันการศึกษา

ในเชิงอุดมคติ (Idealistic) ศูนย์อาเซียนศึกษาจะถูกวาดภาพให้เป็นศูนย์กลางเพื่อความเป็นเลิศ (Center of Excellence) ด้านอาเซียนศึกษาประจำสถาบันการศึกษา เป็นคลังสมองด้านข้อมูล เป็นที่เก็บรวบรวมองค์ความรู้หลากมิติด้านอาเซียน มีพันธกิจหลักเพื่อเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจและติดอาวุธทางปัญญาแก่นิสิตนักศึกษา บุคลากรภายในสถาบัน ตลอดจนประชาชนผู้ที่สนใจที่อาศัยอยู่ในอาณาบริเวณที่ตั้งของสถาบันการศึกษานั้น ๆ

อย่างไรก็ดี การที่จะดำเนินการให้บรรลุตามวัตถุประสงค์เชิงอุดมคตินั้น สถาบันการศึกษาต้องมีการวางแผนการดำเนินงานของศูนย์อย่างเป็นระบบ มีความเข้มข้นด้านวิชาการ สามารถวัดและประเมินผลเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพได้ มีการดำเนินกิจกรรมทางวิชาการที่เกี่ยวข้อง เช่น การจัดประชุมสัมมนาด้านอาเซียน การให้บริการทางวิชาการ (Academic Services) สื่อสิ่งพิมพ์ งานวิจัยที่น่าเชื่อถือ ตลอดจนการเป็นศูนย์ให้คำปรึกษาด้านอาเซียนแก่หน่วยงานภายนอกหรือผู้ที่สนใจ

แต่จากประสบการณ์ของผู้เขียน ๆ พบว่า ศูนย์อาเซียนที่จัดตั้งขึ้นโดยมากจะถูกจัดตั้งขึ้นตามกระแสนิยม (Fad) มากกว่าความจำเป็นที่แท้จริง เนื่องจากกระแสการเตรียมพร้อมรับประชาคมอาเซียนของสังคมไทยนั้นต้องยอมรับว่า เป็นกระแสที่มาแรงและกลายเป็นกระแสหลัก (Main Stream) ของแวดวงการศึกษาไปแล้ว สถาบันการศึกษาใดไม่มีศูนย์อาเซียน หรือแม้กระทั่งมุมหนังสืออาเซียน (ASEAN Corner) ภายในห้องสมุดของสถาบัน ก็สามารถอนุมาน (Infer) ได้ว่า สถาบันนั้น ๆ ไม่ทันกระแส ล้าหลัง และไม่มีการปรับตัว

ทั้งที่ความเป็นจริง หากจะถามว่าศูนย์อาเซียนที่เกิดขึ้นนั้นมีกิจกรรมทางวิชาการหรืองานวิจัยที่มีนัยยะสำคัญสามารถนำไปประยุกต์ใช้ต่อยอดได้หรือไม่ ต้องตอบว่าหาได้ค่อนข้างยากจากศูนย์อาเซียนส่วนใหญ่

ดังนั้น จำนวนของศูนย์อาเซียนศึกษาที่เกิดขึ้นอย่างมากมายในทุกพื้นที่จึงเป็นปรากฎการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน และได้กลายเป็นสัญลักษณ์ทางการตลาด (Marketing Symbol) โดยอัตโนมัติ ตลอดจนเป็นเครื่องมือประชาสัมพันธ์ภาพลักษณ์ของสถาบันในเชิงบวก เป็นนางกวักดึงดูดให้คนมาสมัครเป็นนักศึกษาของตน มากกว่าสิ่งที่ศูนย์อาเซียนศึกษาพึงจะเป็น นั่นก็คือสัญลักษณ์ความเป็นเลิศทางวิชาการตามอุดมคติที่ได้กล่าวข้างต้น



ภาพจาก men.mthai.com

ข้อพิจารณาเพื่อการจัดระเบียบและการบริหารจัดการ

1. กระทรวงศึกษาธิการในฐานะเป็นหน่วยงานหลักด้านการศึกษาของประเทศ ควรมีนโยบายหรือการจัดระเบียบกำหนดให้การจัดตั้งศูนย์อาเซียนของสถาบันการศึกษามีลักษณะการดำเนินงานเป็นไปในทิศทางเดียวกัน พร้อมกันนี้อาจจะกำหนดแนวทางการปฏิบัติ (Practical Approaches) ที่ชัดเจนกำกับไว้อีกชั้นหนึ่งด้วย

เช่น ต้องมีบทความหรือผลงานวิจัยอย่างน้อย 2-3 ชิ้นต่อภาคการศึกษา มีการกำหนดจำนวนของการจัดกิจกรรมที่เกี่ยวข้องอย่างชัดเจน ซึ่งอาจจะเป็นการประชุมหรือการสัมมนาทางวิชาการอย่างน้อย 1-2 ครั้งต่อภาคการศึกษา

สามารถบ่งชี้ได้ว่ากลุ่มเป้าหมายและจำนวนของผู้เข้าร่วมเป็นอย่างไร และมีการรายงานผลย้อนกลับ (Feedback) มาที่กระทรวงศึกษาธิการ อันจะมีส่วนในการประเมินและวัดคุณภาพการศึกษาสถาบันการศึกษานั้น ๆ นี่คือสิ่งที่ศูนย์อาเซียนศึกษาทุกแห่งควรพึงกระทำ ไม่ใช่เน้นหนักในรูปภาพที่มีแขกผู้ใหญ่มาเปิดศูนย์หรือเปิดงานเท่านั้น

2. สถาบันการศึกษาควรมีแผนงานสำหรับศูนย์อาเซียนของตนที่ชัดเจน เนื่องจากภาระงานของศูนย์อาเซียนอาจจะไปทับซ้อนหรือคาบเกี่ยวกับหน่วยงานที่มีหน้าที่หลักอยู่แล้ว เช่น การจัดกิจกรรม ASEAN Day การจัดนิทรรศการอาเซียน (ASEAN Exhibition) ภายในสถาบัน หรือแม้กระทั่งการจัดกิจกรรมการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมของนักศึกษาภายในสถาบันการศึกษา ซึ่งภาระงานเหล่านี้จากเดิมเป็นของสำนักกิจการนักศึกษาหรือสโมสรกิจกรรมนักศึกษา หรือหากเป็นภาระงานที่เกี่ยวข้องกับประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Community – AEC) คณะบริหารธุรกิจก็กลายจะเป็นแม่งานโดยปริยายอยู่แล้ว

หรือหากศูนย์อาเซียนบางแห่งเน้นหนักการศึกษาเกี่ยวกับภาษาประเทศของเพื่อนบ้าน ก็มีความจำเป็นที่จะต้องแยกภาระงานส่วนนี้ออกมาให้ชัดเจนจากเดิมที่คณะศิลปศาสตร์หรือภาษาศาสตร์ดูแลรับผิดชอบอยู่ เช่นนี้แล้วจะทำให้ความเป็นวิชาการที่แท้จริงของศูนย์อาเซียนมีภาพที่เด่นชัดขึ้นและสามารถวัดผลเชิงรูปธรรมได้

3. หลังจากการเข้าสู่การเป็นประชาคมอาเซียนอย่างสมบูรณ์ในปี 2015 แล้ว บทบาทของศูนย์อาเซียนภายในสถาบันควรจะมีทิศทาง (Direction) อย่างไร สิ่งนี้มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องคิดล่วงหน้าไว้ เนื่องจากศูนย์อาเซียนไม่ใช่ภาคธุรกิจที่หากไม่มีกิจกรรมหรือกำไรแล้วก็สามารถยุบทิ้งได้ อนึ่ง การจัดตั้งศูนย์ในลักษณะนี้ (ไม่เพียงแค่ศูนย์อาเซียนเท่านั้น)

สถาบันการศึกษาส่วนใหญ่จะจัดตั้งโดยถาวรและไม่มีการยุบยกเลิก แต่การมีอยู่ของศูนย์อาเซียนศึกษาในอนาคตนี้ ควรมีอยู่อย่างมีคุณค่าและมีกิจกรรมออกมาอย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่ว่ามีอยู่เพียงชื่อโดยมิได้สร้างมูลค่าเพิ่มใด ๆ ให้กับสถาบันการศึกษาเลย ดังนั้น บทบาทของศูนย์อาเซียนหลังปี 2015 จึงเป็นสิ่งที่ควรต้องพิจารณาและวางวิสัยทัศน์ไว้ล่วงหน้าด้วยในเวลาเดียวกัน

สุดท้ายนี้ ต้องขอชื่นชมสถาบันการศึกษาต่าง ๆ ที่มีความพยามจัดตั้งศูนย์อาเซียนขึ้นภายนสถาบันของตนเพื่อเป็นแหล่งกระจายข้อมูลด้านอาเซียน และเพื่อเป็นการแสดงเจตจำนงค์ความพร้อมสำหรับการก้าวสู่การเข้าเป็นประชาคมอาเซียนอย่างสมบูรณ์ อย่างไรก็ดี การจัดตั้งศูนย์อาเซียนศึกษาควรมีแนวปฏิบัติที่ชัดเจน ควรมีการจัดระเบียบ ควรมีความเป็นเอกภาพมากกว่านี้ และไม่ควรอย่างยิ่งที่จะดำเนินการในลักษณะของผักชีโรยหน้า คือ “มีเพราะว่าตามกระแส หรือมีเพราะมีเขามีกัน”

จึงขอส่งผ่านข้อพิจารณาข้างต้นเป็นประเด็นถกเถียงเพื่อต่อยอดและขยายผลทางความคิด เพื่อให้การจัดตั้งศูนย์อาเซียนศึกษาของประเทศไทยมีทิศทาง มีความมั่นคง และสามารถเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ด้านอาเซียนศึกษาของประเทศได้อย่างแท้จริง

ที่มา.Siam Intelligence Unit
-------------------------------------------------

วันพุธที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2556

ข้อคิดสำหรับประเทศไทย จากโครงการ 2 ล้านล้าน (จบ)

โดย สันติธาร เสถียรไทย

หลายคนอาจมองว่า โครงการลงทุนปัจจัยพื้นฐาน 2 ล้านล้านของไทย เป็น "ไม้ตาย" ที่จะช่วยพลิกโฉมเศรษฐกิจของไทยเราได้ จะเป็นเช่นนั้นจริงหรือไม่ อย่างไร มีบทเรียนจากโครงการ "2 ล้านล้าน" ของประเทศมาเลเซียมาให้พิจารณากัน ซึ่งบทความคราวที่แล้ว กล่าวถึง 4 ประเด็นใหญ่ ที่คนมาเลเซียเป็นห่วงในโครงการ 2 ล้านล้านของเขา ซึ่งใกล้เคียงกับของไทยเรา โดยห่วงแรก คือห่วงว่าโครงการต่าง ๆ ตอบโจทย์ของประเทศหรือไม่ ซึ่งผมได้อธิบายไปแล้ว คราวนี้ขอกล่าวถึงห่วงที่สอง

คลิก อ่าน 4 ข้อคิดสำหรับประเทศไทย จาก "โครงการ 2 ล้านล้าน" ของมาเลเซีย (1)

2.ห่วงเรื่องความโปร่งใสและการติดตามประเมินผล

แต่ละโครงการใน ETP โดยเฉพาะโครงการใหญ่ ๆ นั้นมี Target ของแต่ละปีค่อนข้างชัดเจน และทุกปีจะมีการประเมินผลครั้งใหญ่ โดยรัฐบาลมาเลเซียจะเชิญทั้งภาคเอกชนและองค์กรระหว่างประเทศ เช่น IMF, World Bank, Transparency International มาร่วมกันประเมินผล ว่าการดำเนินการเป็นอย่างไร และมีอะไรที่จะพัฒนาและปรับปรุงได้บ้าง และผลทั้งหมดจะถูกรวบรวมเป็นรายงานประจำปี สีสันสวยงาม เหมือนของบริษัทชั้นนำ ให้นักลงทุนและคนทั่วไปสามารถเห็นได้ว่าอะไรเป็นไปตามแผน อะไรที่ดูผิดเพี้ยนไป เช่น ต้นทุนที่อาจจะบานปลาย หรือรายละเอียดที่ปรับไปจากที่เคยประกาศไว้ เป็นต้น

เรื่องความโปร่งใสและการติดตามประเมินผลนี้ยิ่งสำคัญ หากโครงการนั้นอยู่นอกกรอบงบประมาณ นี่เป็นจุดสำคัญที่ต้องอธิบายให้นักลงทุนต่างชาติเข้าใจ เพราะเท่าที่ผมพบมา ไม่ว่าจะเป็นนักลงทุนในเอเชีย ยุโรป หรืออเมริกา ดูจะกังวลพอสมควร เมื่อได้ยินถึงจุดนี้ เพราะหลายคนเคยเห็นบทเรียนจากประเทศเศรษฐกิจกำลังพัฒนาอื่น ๆ ว่าถ้ารัฐบาลพยายามทำอะไรนอกกรอบงบประมาณ มันเป็นสัญญาณน่าเป็นห่วง เพราะมันอาจแสดงถึงความพยายามหลบกระบวนการตรวจสอบ หรือซ่อนปัญหาขาดดุลของรัฐบาล

ทั้งนี้ รัฐบาลมาเลเซียเองก็มีความพยายามทำโครงนอกกรอบงบรัฐบาลกลางอยู่ไม่น้อย (ตอนนี้มูลค่ารวมของโครงการเหล่านี้อยู่ที่ประมาณ 15% ของจีดีพี) โดยรัฐบาลของเขาใช้วิธีออกการันตีหนี้ให้กับรัฐวิสาหกิจ หรือบริษัทที่รัฐบาลถือหุ้นและมีอำนาจบริหารอยู่ ให้ไปลงทุนแทนตน

นี่เองจึงเป็นเหตุหนึ่งที่ไม่นานมานี้ สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ "ฟิทช์" (Fitch) ออกมาลดอันดับความน่าเชื่อถือของพันธบัตรรัฐบาลมาเลเซียไปครึ่งขั้น (Negative Outlook) คาดว่าหากโครงการเขาขาดความโปร่งใสด้วย คงจะโดนหนักยิ่งกว่านี้

3.ห่วงว่าโครงการจะไม่เกิด หรือเกิดความล่าช้า

นอกจากจะมี Targets and Timetable หรือเป้าหมายและตารางเวลาของแต่ละโครงการระบุไว้อย่างชัดเจนแล้ว ETP ยังมีหน่วยงานที่ตั้งขึ้นมาโดยเฉพาะชื่อ Permandu อยู่ภายใต้สำนักนายกรัฐมนตรี นำโดย นายอิดริส จาลา (Dato" Sri Idris Jala) ที่เคยอยู่ภาคเอกชนและมีชื่อด้านการผลักดันแผนต่าง ๆ ให้เกิดขึ้นได้จริง โดยหน่วยงานนี้จะคอยสอดส่องดูว่าโครงการใดไม่เดินหน้าไปตามเป้าหมาย แล้วไปติดอยู่ที่กระทรวงไหน เพราะประเด็นอะไร แล้วรายงานตรงกับนายกรัฐมนตรีนาจิบ เพื่อจะได้สั่งงานข้ามกระทรวงให้มีการประสานงานแก้ปัญหาได้ โดยคนที่ทำงานใน Permandu นี้ หลายคนมีประสบการณ์การทำงานในภาคเอกชนมาก่อน และจะเป็นหน่วยงานที่คอยสื่อสารกับนักลงทุนโดยตรงอีกด้วย

สิ่งหนึ่งที่ชื่นชอบเวลาคุยกับคนของหน่วยงานนี้ คือเขาพูดกันอย่างตรงไปตรงมา จะบอกได้ว่าความเสี่ยงของโครงการนี้มีอะไร และทางเขามีแผนสำรอง หรือ Plan B อะไรบ้างคร่าว ๆ หากการดำเนินการบางโครงการไม่เป็นไปตามแผน แทนที่จะพูดแต่ว่ามั่นใจร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าทุกอย่างเป็นไปตามแผนแน่นอน โดยส่วนตัวผมเห็นว่าการมี Plan B นี้สำคัญมาก สำหรับโครงการขนาดใหญ่ที่อาจจะไม่ได้เกิดขึ้นง่าย ๆ ตามที่ตั้งใจไว้

4.ห่วงเรื่องผลกระทบต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจมหภาค

เรื่องนี้ยิ่งกลายเป็นประเด็นใหญ่ในยุคที่ QE กำลังจะหมดไป และเงินไม่ได้ไหลมาหาประเทศอาเซียนง่าย ๆ ดังแต่ก่อนอีกแล้ว มาเลเซียเองในช่วงที่ผ่านมาก็โดนแรงเทขายเงินริงกิตและพันธบัตรรัฐบาลเขาไปไม่น้อย เพราะนักลงทุนกังวลเรื่องดุลการคลังและดุลการค้าของเขา

โดยปัญหานี้หลัก ๆ เกิดจาก 2 นโยบายของรัฐบาล ส่วนแรก คือรัฐบาลมาเลเซียเองมีการอัด นโยบายประชานิยม เข้าไปก่อนการเลือกตั้งต้นปีนี้ ทั้งยืดการชดเชยราคาพลังงานที่มีต้นทุน 1-2% ของจีดีพีต่อปี ไม่แพ้ต้นทุนจำนำข้าวของบ้านเรา และยังมีลดแลกแจกแถมให้คูปองนักเรียนไปซื้อหนังสืออัพเกรดมือถือ เพิ่มเงินเดือนข้าราชการ และตั้งค่าแรงขั้นต่ำเป็นครั้งแรกอีกด้วย

แต่อีกนโยบายหนึ่งที่สร้างภาระต่อดุลการค้าและคลัง ก็คือการผลักดันโครงการลงทุนใหญ่ ๆ ให้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วนั่นเอง รายจ่ายการคลังด้านการลงทุนที่เพิ่มขึ้น ทำให้รัฐบาลขาดดุลมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ (Credit Rating Agency) ออกมาแสดงความกังวล ในขณะเดียวกัน โครงการเหล่านี้ก็ทำให้การนำเข้าสินค้าเครื่องจักรต่าง ๆ โตเร็วกว่าปกติ จนดุลการค้าที่เคยเกินดุลอย่างมากมายที่ผ่านมาลดลงอย่างฮวบฮาบ

นี่เป็นเหตุผลสำคัญข้อหนึ่งที่ทำให้ผมกังวลเรื่องค่าเงินริงกิต (Ringgit) แล้วเตือนนักลงทุนต่างชาติไว้ตั้งแต่ต้นปีที่ค่าเงินของเขายังบูมอยู่

แต่สุดท้ายเมื่อต้นเดือนกันยายนที่ผ่านมานี่เอง รัฐบาลมาเลเซียก็ออกมาแสดงความกล้าหาญในการเปลี่ยนทิศทางนโยบายเพื่อช่วยเสถียรภาพทางเศรษฐกิจด้วยการ "ขึ้นราคาน้ำมัน" ที่รัฐบาลช่วยพยุงมานาน และเปลี่ยนแปลงตารางเวลาของโครงการลงทุนใหญ่ ๆ โดยเลื่อนโครงการที่ไม่มีความจำเป็นเร่งด่วนและมีสัดส่วนการนำเข้าสูง (Import Content) ออกไปก่อน

สำหรับวิธีการดังกล่าวจะได้ผลอย่างไร แค่ไหน คงต้องรอดูกันต่อไปอีก แต่ก็ต้องชมที่รัฐบาลเขามีความกล้าที่จะลดนโยบายประชานิยม อย่างการชดเชยราคาน้ำมันในยามที่พรรคการมือง UMNO ของท่านนายกรัฐมนตรีนาจิบ กำลังจะมีการเลือกตั้งภายใน เพื่อเลือกผู้นำของพรรค

สุดท้ายต้องขอย้ำว่า ผมไม่ได้บอกว่ารัฐบาลไทยไม่ได้ทำสิ่งที่ว่าทั้งหลายนี้ และสิ่งที่รัฐบาลมาเลเซียทำก็ไม่ได้หมายความว่าดีไปหมดและเหมาะกับบริบทของประเทศไทยเสมอไป แต่ไหน ๆ เรามักจะศึกษาดูตัวอย่างจากประเทศพัฒนาแล้ว เช่น ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา และยุโรปอยู่เสมอ ๆ

คราวนี้จึงอยากให้เปลี่ยนลองหันมาดูประเทศใกล้ตัวเราบ้างอย่างมาเลเซีย ว่าประเทศเพื่อนบ้านของเราที่เผชิญโจทย์การพัฒนาเศรษฐกิจ ที่มีปัญหาคล้ายเราหลายอย่าง เขามีวิธีแก้ปัญหากันอย่างไร และอาจจะเป็นข้อคิดที่ช่วยไขข้อกังวลที่ประชาชนคนไทยมีกับโครงการสร้างอนาคตไทยได้ไม่มากก็น้อย

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
//////////////////////////////////////////////////////////

นักวิเคราะห์ฟันธงเฟดคง QE ถึงสิ้นปี !

นักวิเคราะห์ฟันธงเฟดคงคิวอีถึงสิ้นปี เหตุเปลี่ยนผู้นำ-ปิดหน่วยงานรัฐ

ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะจัดการประชุมกำหนดนโยบายการเงินในวันอังคาร-วันพุธนี้ ขณะนักวิเคราะห์คาดว่าเฟดไม่มีแนวโน้มที่จะปรับเปลี่ยนนโยบายการเงินในการประชุมครั้งนี้ โดยเจ้าหน้าที่เฟดรอดูข้อมูลเพิ่มเติมที่แสดงให้เห็นว่าเศรษฐกิจสหรัฐได้รับผลกระทบมากเพียงใดจากความขัดแย้งด้านงบประมาณ

นักวิเคราะห์คาดว่า เฟดอาจจะคงนโยบายการเงินตลอดช่วงเวลาที่เหลือของปีนี้ ซึ่งหมายความว่าเฟดจะคงนโยบายการเงินในการประชุมวันที่ 17-18 ธ.ค.ด้วยเช่นกัน

ขณะนี้เฟดดำเนินมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (คิวอี) ด้วยการซื้อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐในวงเงิน 4.5 หมื่นล้านดอลลาร์ และซื้อหลักทรัพย์ที่ได้รับการค้ำประกันจากสัญญาจำนอง (MBS) ในวงเงิน 4 หมื่นล้านดอลลาร์ รวมกัน 8.5 หมื่นล้านดอลลาร์ทุกเดือนเพื่อพยุงเศรษฐกิจ

นายสก็อต บราวน์ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของบริษัทเรย์มอนด์ เจมส์ กล่าวว่า เฟดอาจจะเริ่มต้นปรับลดวงเงินในมาตรการคิวอีในการประชุมประจำวันที่ 28-29 ม.ค. 2557 หรือ 18-19 มี.ค. 2557 และ โอกาสที่เฟดจะปรับลดขนาดคิวอีในเดือนธ.ค.ปีนี้ อยู่ในระดับต่ำกว่า 50%

หลังจากหน่วยงานรัฐบาลสหรัฐปิดทำการในวันที่ 1-16 ต.ค. สหรัฐเปิดเผยตัวเลขเศรษฐกิจที่อ่อนแอเกินคาด โดยการจ้างงานชะลอตัวในเดือนก.ย. และแผนการลงทุนทางธุรกิจก็อยู่ในภาวะแย่ลง

ความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจและผู้บริโภคอาจได้รับผลกระทบในระยะยาว หลังจากนักการเมืองสหรัฐปฏิเสธที่จะปรับเพิ่มเพดานหนี้จนกระทั่งถึงนาทีสุดท้าย โดยข้อตกลงหลีกเลี่ยงการผิดนัดชำระหนี้ในครั้งนี้ส่งผลให้มีการเลื่อนความขัดแย้งกันในเรื่องงบประมาณออกไปจนถึงต้นปีหน้า

การปิดหน่วยงานรัฐบาลเป็นอุปสรรคขัดขวางการเก็บรวบรวมข้อมูลทางเศรษฐกิจในเดือนต.ค. ดังนั้นผู้กำหนดนโยบายของเฟดจึงไม่สามารถประเมินภาพรวมทางเศรษฐกิจได้อย่างชัดเจนในระยะนี้

นอกเหนือจากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจแล้ว เจ้าหน้าที่ยังลังเลที่จะปรับเปลี่ยนนโยบาย เนื่องจากเฟดกำลังจะเปลี่ยนตัวผู้นำด้วย โดยประธานาธิบดีบารัก โอบามาได้เสนอชื่อนางเจเน็ต เยลเลน รองประธานเฟดในปัจจุบัน เพื่อให้ขึ้นมาดำรงตำแหน่งประธานเฟดคนใหม่ต่อจากนายเบน เบอร์นันกี้ ที่วาระการดำรงตำแหน่งสิ้นสุดลงในเดือนม.ค. 2557

การที่เฟดกำลังจะเปลี่ยนตัวผู้นำ ส่งผลให้มีโอกาสน้อยมากที่เฟดจะปรับเปลี่ยนสัญญาณชี้นำล่วงหน้าเรื่องอัตราดอกเบี้ยในระยะนี้

นายดีน มากิ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์สหรัฐของธนาคารบาร์เคลย์ส กล่าวว่า เป็นเรื่องยากที่จะมองหาเหตุผลอันน่าเชื่อถือใดๆในการทำให้เฟดปรับเปลี่ยนนโยบายหรือปรับเปลี่ยนเนื้อหาสำคัญในแถลงการณ์

คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของเฟด (เอฟโอเอ็มซี) จะออกแถลงการณ์ผลการประชุมในวันพุธนี้ เวลา 14.00 น.ตามเวลาสหรัฐ หรือคืนวันพุธเวลา 01.00 น.ตามเวลาไทย

เฟดเคยสร้างความประหลาดใจให้แก่ตลาดในเดือนก.ย. เมื่อเฟดเลือกที่จะคงขนาดคิวอี ไว้ที่ 8.5 หมื่นล้านดอลลาร์ต่อเดือนตามเดิม หลังจากที่เฟดเคยประกาศในเดือนมิ.ย.ว่า เฟดคาดว่าจะเริ่มต้นปรับลด ขนาดคิวอีก่อนสิ้นปีนี้ และจะยุติคิวอีทั้งหมดภายในช่วงกลางปีหน้า

สัญญาณบ่งชี้ถึงความอ่อนแอทางเศรษฐกิจนับตั้งแต่การประชุมเฟดในเดือนก.ย.คือหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่า เฟดตัดสินใจถูกแล้วที่คงขนาดคิวอีไว้ตามเดิม นอกจากนี้ นักเศรษฐศาสตร์ยังคาดการณ์กันว่า เฟดจะรอจนกว่าจะถึงปีหน้าเพื่อให้มั่นใจว่า เศรษฐกิจสหรัฐฟื้นตัวเต็มที่ ก่อนที่เฟดจะเริ่มต้นปรับลดขนาดคิวอี

นักวิเคราะห์กล่าวว่าเฟดจะเริ่มต้นปรับลดขนาดคิวอีในเดือนมี.ค. 2557 จากเดิมที่เคยคาดว่าจะเป็นเดือนธ.ค.ปีนี้

"เฟดไม่มีแนวโน้มที่จะมีความเห็นที่ชัดเจนในขณะนี้ว่าเฟดจะเริ่มต้นปรับลดขนาดคิวอีเมื่อใด โดยเฟดต้องการจะดูว่าการปิดหน่วยงานรัฐบาลส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไตรมาส 4 อย่างไรบ้าง และรอดูตัวเลขการจ้างงานอีก 2-3 เดือน"

เฟดพยายามกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจและการจ้างงานด้วยการตรึงอัตรา ดอกเบี้ยระยะสั้นไว้ที่ระดับใกล้ 0 % นับตั้งแต่เดือนธ.ค. 2551 และปรับเพิ่มขนาดงบดุลขึ้นเป็น 4 เท่า สู่ 3.7 ล้านล้านดอลลาร์ในปัจจุบัน โดยใช้วิธีดำเนินมาตรการคิวอีมาแล้ว 3 รอบ

เฟดให้สัญญาว่าจะไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย จนกว่าอัตราการว่างงานจะลดลงสู่ระดับอย่างน้อย 6.5 % และตราบใดที่อัตราเงินเฟ้อยังไม่มีแนวโน้มพุ่งขึ้นเหนือ 2.5 % ขณะที่อัตราการว่างงานในสหรัฐอยู่ที่ 7.2% ในเดือนก.ย.

เกณฑ์ตัวเลขเหล่านี้คือสิ่งที่ใช้สกัดกั้นต้นทุนการกู้ยืมไม่ให้พุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว เมื่อใดก็ตามที่เฟดเริ่มต้นปรับลดขนาดคิวอีลงในอนาคต

รายงานการประชุมเฟดประจำวันที่ 17-18 ก.ย.แสดงให้เห็นว่า เจ้าหน้าที่เฟดได้หารือกันเกี่ยวกับการเสริมความแข็งแกร่งให้แก่สัญญาณชี้นำล่วงหน้าในการประชุมครั้งนั้น โดยเฟดอาจใช้วิธีปรับเกณฑ์อัตราการว่างงานให้ต่ำลง หรือให้สัญญาว่าเฟดจะไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ถ้าหากแนวโน้มอัตราเงินเฟ้ออยู่ต่ำกว่าระดับต่ำสุดที่กำหนดไว้

อย่างไรก็ดี รายงานการประชุมเฟดแสดงให้เห็นอีกด้วยว่า เจ้าหน้าที่เฟดได้อภิปรายกันในประเด็นที่ว่า การปรับสัญญาณชี้นำล่วงหน้าจะมีความน่าเชื่อถือหรือไม่ในช่วงก่อนการเปลี่ยนตัวผู้นำเฟด โดยสิ่งนี้ถือเป็นการยอมรับในทางอ้อมว่าภาระผูกพันที่นายเบอร์นันกี้ได้ทำไว้อาจจะไม่มีผลผูกพันต่อตัวประธานเฟดคนใหม่

นับตั้งแต่การประชุมเฟดในวันที่ 17-18 ก.ย.เป็นต้นมา การคาดการณ์เรื่องกำหนดเวลาปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกของเฟดก็ถูกเลื่อนออกไปสู่เดือน เม.ย. 2558 ซึ่งหมายความว่าผู้กำหนดนโยบายของเฟดไม่จำเป็นต้องปรับเปลี่ยนสัญญาณชี้นำล่วงหน้าในช่วงนี้

ขณะนี้ตลาดปรับตัวรับการคาดการณ์ที่ว่า อัตราดอกเบี้ยข้ามคืนอาจอยู่ที่ 0.685 % ในเดือนม.ค. 2559 โดยลดลงจาก 0.895 % เมื่อหนึ่งเดือนก่อน ส่วนอัตราดอกเบี้ยจำนองดิ่งลงในเวลาเดียวกัน ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐประเภทอายุ 10 ปีร่วงลงสู่ 2.5 % ในช่วงนี้ จากระดับสูงเกือบถึง 3.0 % ในช่วงต้นเดือนก.ย.

นายไมเคิล แฮนสัน นักเศรษฐศาสตร์ของธนาคารแบงก์ ออฟ อเมริกา เมอร์ริล ลินช์ กล่าวว่า "ตลาดไม่ได้คาดการณ์ในสิ่งที่สวนทางกับแนวทางการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในอนาคตที่เจ้าหน้าที่เฟดส่งสัญญาณออกมา ดังนั้นเจ้าหน้าที่เฟดจึงไม่มีความจำเป็นมากนักในการปรับเปลี่ยนสิ่งใดในขณะนี้"

ในการประชุมเดือนก.ย. มีเจ้าหน้าที่เฟด 12 จาก 18 ราย เห็นว่าการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกไม่น่าจะเกิดขึ้นจนกว่าจะถึงปี 2558

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
//////////////////////////////////////////////

วันอังคารที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2556

ธุรกิจพระเครื่อง !!?

โดย สุรพร ถาวรพานิช
เศรษฐศาสตร์การเมือง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

เจาะลึกความเป็นมาของธุรกิจพระเครื่อง

จากกรณีที่มีข่าวการลอบสังหารนายจักรกฤษณ์ พณิชย์ผาติกรรม หรือ เอ็กซ์ จักกรฤษณ์ฯ อดีตนักกีฬายิงปืนทีมชาติไทย จนเสียชีวิตในเวลาต่อมานั้น ประเด็นเรื่องความขัดแย้งในวงการพระเครื่อง เป็นปมหนึ่งที่ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจสันนิษฐานว่าอาจจะเป็นสาเหตุที่นำมาสู่การลอบสังหารในครั้งนี้ แม้ล่าสุดปมดังกล่าวจะถูกสางออกไปภายหลังทางเจ้าหน้าที่เชิญเซียนพระให้มาช่วยตรวจสอบความจริงแท้ของพระเครื่องดังกล่าว

หลายคนอาจสงสัยว่าเพราะเหตุใด “ พระเครื่อง ” ถึงได้กลายเป็นปมสำคัญและเป็นธุรกิจที่มีผลประโยชน์มากมายขนาดนั้นในสังคมไทย ตามความเป็นจริง สังคมไทยกับพระเครื่องอยู่ด้วยกันมาอย่างยาวนานแล้ว ตั้งแต่เริ่มรับพระพุทธศาสนาเข้ามาในประเทศไทย พระเครื่องเป็นสื่อสัญลักษณ์ของชาวไทยที่นับถือพระพุทธศาสนา และพระเครื่องยังเป็นทั้งตัวแทนในการระลึกถึงพระพุทธเจ้าและพระธรรมคำสั่งสอนของท่านอีกด้วย



ภาพประกอบจาก prakrueng.net

แต่ทว่าในอดีตความเชื่อในเรื่องพระเครื่องคือ พระเครื่องเป็นของที่ควรเคารพแบบอนุสาวรีย์ สร้างบรรจุไว้ตามกรุเจดีย์ เพื่อหวังที่จะเป็นอานิสงส์ให้ผู้สร้างรุ่งเรืองในชาติหน้า และจะได้เป็นการสืบทอดพระพุทธศาสนาให้เจริญรุ่งเรืองสืบไป ดังนั้น พระเครื่องในอดีตจึงเป็นพระพิมพ์ที่สร้างบรรจุไว้ในเจดีย์ มิใช่สร้างอย่างพระเครื่องในปัจจุบันที่มีลักษณะออกไปในทางของขลัง

โดยก่อนที่พระเครื่องจะเป็นที่แพร่หลายในสังคมไทยปัจจุบัน “คนไทยได้นิยมนำเครื่องรางของขลังอื่นๆ เช่น ประเจียด ตะกรุด ผ้ายันต์ ว่าน ฯลฯ นำติดตัวอยู่แล้ว ต่อมาคนไทยได้มีการนำพระพิมพ์เช่น พระรอด พระลำพูนที่พบในภาคเหนือ และพระพิมพ์สมัยลพบุรี เช่น พระหูยาน พระนารายณ์ทรงปืน ติดตัวไปไหนมาไหนด้วย”

ในเรื่องนี้จากเอกสารทางวิชาการของอาจารย์ศรีศักร วัลลิโภดม ได้อธิบายว่า “ความนิยมในพระพิมพ์ที่ผันแปรเป็นพระเครื่องติดตัวนี้ได้แพร่หลายอย่างรวดเร็วจากพระพิมพ์แบบลพบุรี ลงมาถึงพระพิมพ์แบบอื่นๆที่พบตามวัดโบราณในท้องถิ่นทั่วประเทศ และเมื่อพระพิมพ์โบราณหายากขึ้น สิ่งที่เข้ามาแทนที่คือการเกิดขึ้นของพระเกจิอาจารย์ หลวงพ่อ หลวงปู่ ที่ประชาชนนับถือ

ให้ความศรัทธาเลื่อมใสในวัตรปฏิบัติ มาสร้างพระให้เป็นเครื่องรางในรูปจำลองพระประธานสำคัญๆ หรือรูปหลวงพ่อที่คนเคารพนับถือทั้งที่เป็นเนื้อผงและโลหะชนิดต่างๆ ซึ่งพระเครื่องเหล่านี้เหมาะแก่การติดตัวไปยังสถานที่ต่างๆ เพราะเพียงแค่อธิษฐานจิต สวดขอความคุ้มครองก็เพียงพอ

หรืออาจกล่าวได้ว่า พระเครื่องทั้งหลายที่ผ่านการปลุกเสกมาแล้วนั้นเมื่อมาถึงมือประชาชน ก็อยู่ในลักษณะที่พร้อมใช้ ซึ่งดูเหมาะกับสังคมที่วุ่นวาย เร่งรีบ และเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในปัจจุบัน”

อย่างไรก็ตาม ความเชื่อในเรื่องของพุทธคุณและปาฏิหาริย์นี้ อาจเป็นเรื่องเหลวไหล เป็นลัทธิความเชื่อในด้านไสยศาสตร์มากกว่าที่จะเป็นเรื่องพุทธศาสนา และกลายเป็นข้อถกเถียงกันมาก เมื่อพลังความเชื่อเหล่านี้ก่อให้เกิดพุทธพาณิชย์ในเชิงการเช่า-ซื้อพระเครื่องเกิดขึ้น และมีการสร้างวัตถุมงคลขึ้นอย่างมากมาย รวมทั้งมีการโหมโฆษณาทางหน้าหนังสือพิมพ์อย่างคึกคักยิ่ง

ดังได้กล่าวมาแล้วว่า พระเครื่องซึ่งแต่เดิมเรียกพระพิมพ์นั้น จุดประสงค์ในการสร้างไม่ได้เป็นไปเพื่อมีอำนาจ หรือเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ครั้นกาลเวลาล่วงเลยมาได้เกิดคติเชื่อกันว่าพระพิมพ์มีอำนาจเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ สามารถคุ้มครองภัยอันตราย หรืออาจบันดาลให้เกิดลาภยศ ตลอดจนทำให้เกิดเสน่ห์

ทำให้การสร้างพระเครื่องถูกหันเหความมุ่งหมายมาทำเป็นเครื่องรางของขลัง มีกำหนดอุปเท่ห์ (วิธีดำเนินการ) เป็นเรื่องเกี่ยวกับเนื้อวัสดุที่นำมาทำเป็นองค์พระ และมีพิธีปลุกเสกกันหลายกระบวนการเพื่อทำให้เกิดความขลัง ซึ่งพระเครื่องที่ได้สร้างกันในรุ่นหลังๆนี้ เชื่อว่าทำเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์โดยอาศัยรูปพระปฏิมาเป็นเครื่องมือในการประกาศเกียรติคุณของพระเกจิอาจารย์แต่ละท่าน

เราอาจกล่าวได้ว่า ความกลัวภัยต่างๆทำให้คนเราจำเป็นต้องหาและกราบไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวพึ่งพาให้เกิดความปลอดภัย ความมั่นคงในชีวิตและทรัพย์สินของตน ทั้งนี้ วัตถุมงคลต่างๆโดยเฉพาะพระบูชาและพระเครื่อง ซึ่งมีอำนาจของพุทธคุณที่เป็นสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจ โดยเชื่อว่าพระเครื่องนั้นสามารถคุ้มครองชีวิตและทรัพย์สินของตนได้ ทำให้พระเครื่องเป็นที่นิยมของคนไทยมาตั้งแต่โบราณ



ภาพจาก ตลาดนัดพระเครื่อง.sabuyblog.com

แม้ในปัจจุบันซึ่งไม่มีภาวะศึกสงครามอีกแล้ว แทนที่ความนิยมพระเครื่องจะลดน้อยลง พระเครื่องกลับได้รับความนิยมเลื่อมใสมากยิ่งขึ้น และปัจจุบันหรือในยุคนี้เป็นที่น่าสนใจว่ามีสาเหตุอะไรที่ทำให้คนไทยหันไปยึดถือพระพุทธ พระสงฆ์ (เกจิอาจารย์) หรือวัตถุมงคล จนเป็นที่ต้องการของคนทุกชนชั้น

คำตอบที่สะท้อนออกมาคือ เพราะสังคมปัจจุบันอยู่ในภาวะรัดตัวต้องดิ้นรนขวนขวายมากขึ้น ภาวะเศรษฐกิจที่บีบคั้น ภาวะการเมือง และปัญหาสังคมที่ไร้การเยียวยา ตลอดจนการไม่ได้รับความใส่ใจจากรัฐ ทำให้ประชาชนแทบทุกชนชั้นวรรณะเกิดความไม่มั่นคงในวิถีการดำเนินชีวิตของตัวเอง

ดังนั้นพระเครื่องจึงเป็นที่สนใจของทุกคน เป็นที่พึ่งและศรัทธาทางจิตใจ เป็นสัญลักษณ์แห่งความศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งผูกพันกับวิถีชีวิตของคนไทยจนถือเป็นวัฒนธรรมแห่งความเชื่อในอำนาจของพุทธคุณ

สำหรับเรื่องการครองความนิยมหรือของพระเครื่องนั้น หากเป็นพระเครื่องที่ปลุกเสกโดยพระเกจิอาจารย์ที่มีประวัติความเป็นมาที่น่าเชื่อถือ มีการบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรที่ค้นคว้าได้ชัดเจน หรืออาจมีเรื่องเล่าที่สืบต่อกันมายาวนานตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษ และเกิดประสบการณ์เป็นที่ประจักษ์ชัดเจน ก็ทำให้เกิดการรับรู้ และได้รับความสนใจได้ไม่ยากนัก

ยกตัวอย่าง จากประสบการณ์ที่เกี่ยวข้องกับหลวงปู่เอี่ยม วัดหนัง มีการบันทึกเรื่องราวไว้ตั้งแต่สมัยที่รัชกาลที่ 5 เสด็จประพาสยุโรปนั้น ได้มีการใช้ “พระคาถามงกุฎพระพุทธเจ้า” ของหลวงปู่เอี่ยม วัดหนัง ในการปราบม้าพยศที่ทางราชสำนักฝรั่งเศสได้นำมาถวาย ทำให้พระองค์ท่านสามารถขี่ม้าพยศตัวนี้ได้อย่างปลอดภัย

หรือแม้แต่ประวัติความเป็นมาที่เกี่ยวข้องกับหลวงพ่อพริ้ง วัดบางประกอก ที่เป็นหนึ่งในอาจารย์ของเสด็จกรมหลวงชุมพรฯ เลื่อมใสศรัทธาต่อหลวงพ่อพริ้งอย่างมาก ถึงขนาดนำพระโอรสมาอุปสมบทเป็นสามเณรถึง 3 พระองค์ ด้วยเหตุนี้พระเครื่องทุกรุ่นที่ปลุกเสกโดยหลวงปู่เอี่ยม วัดหนัง และหลวงพ่อพริ้ง วัดบางประกอก จึงได้รับความนิยมเป็นอย่างมากจากคนทั่วไปในวงการพระเครื่องมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน

ขณะที่ในปัจจุบัน วงการพระเครื่องมีความเป็นธุรกิจมากขึ้น จะเห็นได้ว่า ในพระเครื่องบางรุ่น มีรูปแบบที่หลากหลายของการเผยแพร่ความเก่งของพระเกจิอาจารย์ที่ปลุกเสก เช่น การทำคลิปวิดีโอการลองใช้อาวุธปืนยิงไปที่พระเครื่องรุ่นนั้นๆ เผยแพร่ใน YouTube

หรือในช่วงที่มีการโฆษณาการจัดสร้างพระเครื่องรุ่นใหม่ ก็มีการเขียนเชียร์ถึงประสบการณ์พระเครื่องรุ่นที่ผ่านมาของพระเกจิอาจารย์ที่ปลุกเสกในนิตยสารสื่อสิ่งพิมพ์ฉบับต่างๆ เพื่อให้เกิดกระแสความนิยมพระเครื่องรุ่นดังกล่าวในวงกว้าง

ในสังคมไทยก็มีคนจำนวนไม่น้อยที่มีความเชื่อที่คล้อยตามได้ง่ายกับเรื่องแบบนี้ แต่โดยส่วนใหญ่แล้วความนิยมที่เกิดขึ้นจากการปรุงแต่งเพื่อให้เป็นความจริงขึ้นมา มักจะอยู่ได้ไม่นาน และยิ่งในยุคนี่ที่มีสื่อต่างๆ ที่เข้าถึงผู้คนได้มากขึ้น ทำให้โอกาสในการค้นคว้าพิสูจน์ความจริงก็มีมากขึ้นเช่นเดียวกัน

เหล่านี้ได้แสดงให้เห็นถึงสภาวะทางสังคมไทยที่ได้มีค่านิยม และให้การยอมรับมากขึ้นในการสะสมวัตถุมงคลโดยเฉพาะอย่างยิ่งพระเครื่องและพระบูชา ซึ่งสามารถพบเห็นได้ทั่วไปตามบทความเกี่ยวกับเรื่องพระเครื่องและพระบูชา รายการให้เช่าพระเครื่องและพระบูชา หรือข่าวสังคมความเคลื่อนไหวในวงการพระเครื่อง ได้จากหนังสือพิมพ์รายวัน นิตยสารพระเครื่องต่างๆทั้งรายปักษ์และรายเดือนหลายฉบับ

จากค่านิยมในการสะสมพระเครื่องพระบูชาดังกล่าวนี้ ได้ก่อให้เกิดธุรกิจซื้อขายพระเครื่องและพระบูชา ซึ่งมักจะเรียกธุรกิจนี้กันโดยทั่วไปว่า “ตลาดพระ” ในอดีตธุรกิจนี้เป็นธุรกิจเล็กๆที่ยังไม่มีการดำเนินการเป็นระบบมากนัก เช่น แผงพระ หรือ ร้านค้าพระเล็กๆตามตรอกซอย

ต่อมา เมื่อสังคมไทยมีความนิยมในการสะสมพระเครื่องมากขึ้น ธุรกิจนี้จึงมีพัฒนาการอย่างเป็นลำดับ นำไปสู่การดำเนินธุรกิจอย่างเต็มรูปแบบ โดยมีการก่อตั้งชมรมพระเครื่อง หรือศูนย์พระเครื่อง เพื่อดำเนินธุรกิจอย่างเป็นระบบ ทั้งที่ตั้งอยู่ในอาคารพาณิชย์ทั่วไป หรือตั้งอยู่ในห้างสรรพสินค้า ทั้งในกรุงเทพมหานครและตามหัวเมืองใหญ่ๆ ซึ่งธุรกิจการซื้อขายพระเครื่องและพระบูชานี้ได้เป็นจุดกำเนิดให้มีธุรกิจต่อเนื่องอีกมากมาย เช่น ธุรกิจสิ่งพิมพ์ต่างๆ และธุรกิจเลี่ยมพระ เป็นต้น

ทั้งนี้ หากจะพูดถึงหลักของตลาดกึ่งแข่งขันกึ่งผูกขาดทางเศรษฐศาสตร์ที่ว่า “หากผู้ผลิตสามารถทำให้ผู้บริโภครู้สึกว่าสินค้าของตนแตกต่างจากของผู้ผลิตรายอื่นได้มากเท่าไหร่ ก็ยิ่งเพิ่มอำนาจผูกขาดได้มากเท่านั้น และผู้ผลิตที่ผลิตสินค้าที่มีคุณภาพสูง จึงจะสามารถตั้งราคาขายที่สูงได้” ซึ่งในหลักการนี้ทำให้สามารถสะท้อนมุมมองความเป็นจริงของวงการพระเครื่องได้เป็นอย่างดี



ภาพจาก ตลาดนัดพระเครื่อง.sabuyblog.com

เนื่องจากพระที่ติดรางวัลจากงานประกวดพระเครื่อง มักจะเป็นที่นิยมของผู้ที่สะสมพระเครื่องโดยทั่วไป มีผลทำให้พระเครื่องที่ติดรางวัลจากงานประกวดนั้นขายได้ง่าย และขายได้ในราคาที่สูงกว่าราคาโดยทั่วไปของพระเครื่องในรุ่นเดียวกัน เพราะถือว่าได้ผ่านการรับรองคุณภาพจากงานประกวดมาแล้ว

ยิ่งถ้าเป็นพระเครื่องที่ติดรางวัลจากงานประกวดที่เป็นงานใหญ่ๆหลายงาน ก็ยิ่งทำให้พระเครื่ององค์นั้นมีมูลค่าที่สูงมากขึ้นไปอีก แต่ในปัจจุบันนี้จะเห็นได้ว่าวงการพระเครื่องมีความเป็นธุรกิจที่ชัดเจนมากขึ้น มีการร่วมมือกันทำเพื่อผลประโยชน์ของตัวเองและพรรคพวกมากขึ้น เห็นผลประโยชน์เป็นสำคัญ

ทำให้มีการไปจัดงานประกวดพระเครื่องที่ไม่ได้มาตรฐาน เพื่อให้พระเก๊จะได้มีโอกาสติดรางวัลมากขึ้น จะได้ขายง่ายขึ้น

มีการนำพระมาชุบตัวในงานประกวด อีกทั้งยังมีการดันพระใหม่ที่เพิ่งสร้างมาแค่ไม่กี่ปี ให้เข้ามาอยู่ในรายการประกวดพระเครื่องด้วย ทำให้ประโยชน์ที่แท้จริงของงานประกวดพระเครื่อง ถูกใช้เป็นเครื่องมือในการแสวงหาผลประโยชน์ของคนบางกลุ่ม

ส่วนใหญ่การแสวงหาผลประโยชน์แบบนี้ มักจะหาวิธีให้พระของตนและพรรคพวกได้รับการการันตีจากงานประกวดพระเครื่อง ว่าเป็นพระที่มีความสวยและแท้ตามหลักสากลนิยม มีผลทำให้ผู้ที่เช่าบูชาพระเครื่องที่ติดรางวัลจากงานประกวดรู้สึกสบายใจมากขึ้นว่าพระองค์นี้เป็นพระแท้

แต่ในความเป็นจริงนั้น พระเครื่องที่ติดรางวัลจากงานประกวด ก็ไม่ได้เป็นพระแท้เสมอไป เพราะบางครั้งมีการขอร้องหรือมีการใช้อิทธิพลข่มขู่ให้กรรมการบางคนรับพระองค์นั้นๆ ทั้งๆที่เป็นพระเก๊ เจ้าของพระจะได้สบายใจ คิดว่าพระองค์นี้เป็นพระแท้ แต่ถ้าเป็นกรรมการที่ดี มีจรรยาบรรณ การเจรจาต่อรองด้วยวิธีต่างๆก็ไม่มีผลทั้งนั้น กรรมการที่ดีจะดูแต่ความถูกต้องของพระเครื่องเพียงอย่างเดียว

ด้วยเหตุนี้พระเครื่องจึงได้กลายเป็นสินค้าที่มีคุณค่าทางพาณิชย์สูง มูลค่าของวัตถุดิบที่ใช้เป็นส่วนผสมของพระเครื่องกับมูลค่าทางการค้าของพระเครื่องมีความแตกต่างกันมากนัก จากเดิมพระเครื่องมีคุณค่าทางด้านศรัทธาที่ไม่สามารถตีราคาเป็นจำนวนเงินได้ แต่ในปัจจุบันคุณค่าทางด้านเศรษฐกิจกลับเข้ามาตีราคาพระเครื่องเป็นจำนวนเงินเพิ่มขึ้นมาด้วย

จนกล่าวได้ว่า “พระเครื่อง” กลายเป็นวัตถุที่มีคุณค่าในเชิงพาณิชย์สูง และวงการพระเครื่องได้พัฒนากลายเป็น “ธุรกิจพระเครื่อง” นั่นเอง

ธุรกิจพระเครื่องจึงเป็นธุรกิจที่มีมูลค่าสูงและขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ดังที่ “ศูนย์วิจัยกสิกรไทย” ได้เคยระบุว่า..
มูลค่าของธุรกิจพระเครื่องขยายตัวต่อเนื่องจากในปี 2546 ที่มีมูลค่าสูงเกือบ 10,000 ล้านบาท
มีการขยายตัวเพิ่มขึ้นในปี 2548 ที่มีมูลค่าสูงเกือบ 20,000 ล้านบาท และ
ได้ขยายตัวอย่างต่อเนื่องแบบทวีคูณในปี 2550 ทำให้ธุรกิจพระเครื่องมีมูลค่าสูงถึง 40,000 ล้านบาท และ
คาดการณ์ว่าจะทรงตัวในปี 2551 โดยมีมูลค่าประมาณ 40,000 ล้านบาท โดยที่ราคาของพระเครื่องรุ่นที่เป็นที่นิยมก็ยังคงมีการปรับตัวสูงขึ้นตามลำดับ

ผลจากการที่สังคมไทยมีความนิยมในสะสมพระเครื่องมากขึ้น ทำให้ธุรกิจพระเครื่องนั้นมีเม็ดเงินหมุนเวียนในแต่ละปีเป็นจำนวนมหาศาล โดยที่ผลวิจัยของทางศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่า ในวงการพระเครื่องมีธุรกิจที่เกี่ยวข้องมากมายหลายประเภท ดังนี้
ธุรกิจสร้างพระ : ในกระบวนการสร้างพระเครื่องนั้น จะมีต้นทุนการผลิตแตกต่างกันขึ้นอยู่กับวัสดุมวลสาร ปริมาณการสร้างแต่ละครั้ง วิธีการสร้าง ขนาดของพระเครื่องที่จะสร้าง การประกอบพิธีพุทธาภิเษก และการโฆษณาประชาสัมพันธ์การสร้างพระเครื่องในแต่ละรุ่น


ธุรกิจแผงพระ : ปัจจุบันแผงพระและศูนย์พระเครื่องมีอยู่ถึงกว่า 5,000 แผงทั่วประเทศ โดยอยู่ในกรุงเทพมหานครกว่า 3,000 แผง ทั้งนี้เป็นแหล่งที่เป็นที่รู้จักได้แก่
ศูนย์พระเครื่องที่ท่าพระจันทร์
ศูนย์พระเครื่องวัดราชนัดดา
ศูนย์พระเครื่องสวนจตุจักร
ศูนย์พระเครื่องที่เดอะมอลล์ท่าพระ
ศูนย์พระเครื่องที่เดอะมอลล์บางกะปิ
ศูนย์พระเครื่องที่เดอะมอลล์บางแค
ศูนย์พระเครื่องที่โรงแรมมณเฑียร
ศูนย์พระเครื่องที่ห้างพันธุ์ทิพย์พลาซ่างามวงศ์วาน เป็นต้น


ธุรกิจแผงพระหรือศูนย์พระเครื่องในต่างประเทศ : ธุรกิจพระเครื่องนั้นไม่ได้เฟื่องฟูเฉพาะแต่ในประเทศไทยเท่านั้น ในประเทศเพื่อนบ้านอย่างมาเลเซียและสิงคโปร์นั้นก็มีแผงพระเครื่องด้วย โดยในมาเลเซียมีแผงพระอยู่เกือบทุกรัฐ ในแต่ละรัฐจะมีแผงพระ 2-3 แผงเป็นอย่างน้อย ส่วนในสิงคโปร์มีแผงพระอยู่กว่า300แผง นอกจากนี้ในไต้หวัน ฮ่องกง หรือแม้แต่ในยุโรป และสหรัฐอเมริกา
โดยเฉพาะในแหล่งที่เป็นที่ชุมชนของคนเอเชียที่อพยพเข้าไปตั้งถิ่นฐานอยู่มีแนวโน้มว่าจะมีการตั้งแผงพระ เนื่องจากพระเครื่องนั้นเป็นที่นิยมในกลุ่มคนต่างประเทศด้วย ทั้งนี้ส่วนหนึ่งเนื่องจากการเผยแพร่ข้อมูลทางเว็บไซต์ ซึ่งบางเว็บไซต์ก็เป็นภาษาอังกฤษ และการเผยแพร่ข้อมูลของหนังสือพระเครื่องที่มีอยู่กว่า 40 ฉบับในปัจจุบัน ทำให้ชาวต่างประเทศได้เข้าใจเรื่องราวของพระเครื่อง รวมทั้งชีวประวัติของบรรดาเกจิอาจารย์ดีขึ้น

ธุรกิจโฆษณา : วัดต่างๆที่สร้างพระเครื่องโดยมุ่งเน้นไปที่การหารายได้นำไปบำรุงพระพุทธศาสนา โดยเฉพาะการสร้างถาวรวัตถุต่างๆ เช่น โบสถ์ วิหาร เป็นต้น โดยใช้สื่อทางการโฆษณาประชาสัมพันธ์อย่างต่อเนื่อง ส่วนใหญ่มักจะนิยมเผยแพร่ข่าวสารโดยการลงโฆษณาในหนังสือพิมพ์รายวัน และคาดว่าธุรกิจพระเครื่องจะก่อให้เกิดเม็ดเงินในวงการโฆษณาสูงถึง 100-200 ล้านบาทต่อปี
โดยแยกเป็นการโฆษณาในหนังสือพิมพ์รายวันสัปดาห์ละกว่า 3 ล้านบาท และในหนังสือพระประมาณ 3 ล้านบาทต่อฉบับต่อปี

ธุรกิจที่เกี่ยวข้องอื่นๆ ได้แก่ ธุรกิจทำกรอบพระ (ราคาจำหน่ายกรอบละ 50-200 บาท ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับวัสดุที่ใช้ทำกรอบและขนาดของพระเครื่อง) ธุรกิจเลี่ยมพระ (ราคาประมาณองค์ละ 100-150 บาท)

ธุรกิจหนังสือพระ : ในปัจจุบันมีจำหน่ายประมาณ 40 ฉบับ โดยหนังสือพระเหล่านี้อยู่ได้ด้วยโฆษณาต่างๆเกี่ยวกับพระเครื่อง ซึ่งจากการสอบถามบรรดาผู้ที่อยู่ในวงการพระเครื่องแล้วปรากฏว่า
หนังสือพระนั้นแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท คือ (1) หนังสือพระที่จะมีการนำเสนอราคากลางหรือราคาตลาดของพระเครื่องแต่ละรุ่น และ (2) หนังสือพระอีกประเภทหนึ่งเป็นหนังสือเกี่ยวกับวิชาการด้านพระเครื่องโดยเฉพาะ

ธุรกิจรับถ่ายภาพพระเครื่อง : เริ่มเฟื่องฟูในช่วงระยะ 4-5 ปีที่ผ่านมา มีผู้รับถ่ายภาพพระเครื่องกระจายอยู่ตามศูนย์พระเครื่องต่างๆทั่วประเทศ ค่าบริการขึ้นอยู่กับชื่อเสียงของช่างภาพและสถานที่เป็นหลัก (ราคาอยู่ในระหว่าง 40-50 บาทต่อภาพ)
ซึ่งภาพถ่ายพระเครื่องนั้นมีการนำไปใช้งานหลายด้าน เช่น ใช้เป็นภาพประกอบบทความ ใช้ประกอบในการเสนอให้เช่า (ขาย) พระเครื่อง และใช้ประกอบใบประกาศรางวัลของงานประกวดพระเครื่อง-พระบูชา เป็นต้น

ธุรกิจการจัดประกวดพระเครื่อง : นับว่าเป็นอีกธุรกิจหนึ่งที่น่าสนใจ เนื่องจากในช่วงเวลาที่ผ่านมา การจัดประกวดพระเครื่องนั้นมีการจัดเพียงเดือนละครั้ง แต่ในปัจจุบันมีการจัดกันแทบทุกอาทิตย์ และมีการพัฒนาโดยมีธุรกิจต่างๆเข้ามาเกี่ยวข้อง
จำนวนรายการพระเครื่องที่เข้าประกวดก็เพิ่มขึ้นเป็นหลักพัน
จากที่เคยมีการส่งเข้าประกวดเพียง 20 – 30 รายการเท่านั้น โดยในช่วงแรกๆที่มีการจัดประกวดนั้นมีการจัดเก็บค่ารายการเพื่อบรรจุพระเครื่องเข้าประกวด แต่ปัจจุบันการจัดเก็บค่ารายการนั้นไม่ค่อยมีแล้ว แต่เป็นการคัดเลือกจากกลุ่มหรือคณะของผู้จัดการประกวดเป็นหลัก
ในปัจจุบันการประกวดพระเครื่องแต่ละครั้งมีพระเครื่องไม่น้อยกว่า 1,500 รายการ (บางงานอาจจะมากถึง 3,000 รายการ) และในแต่ละงานจะมีค่าส่งพระเครื่องเข้าประกวดประมาณองค์ละ 200-500 บาท ทั้งนี้เพื่อให้คุ้มกับค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น และเพื่อประกอบการพิจารณาในการขออนุญาตจัดงานประกวดพระเครื่องในครั้งต่อไป



ธุรกิจพระเครื่อง หนังสือพระเครื่อง

นอกจากจากนี้ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับวงการพระเครื่องและอยู่คู่กับวงการพระเครื่องมานานแล้ว คือ อุปกรณ์การสะสม เช่น ตลับใส่พระ สร้อยคอ แหนบแขวนพระ กล่องใส่พระ รวมทั้งร้านทองรูปพรรณต่างๆที่รับเลี่ยมพระ และจำหน่ายกรอบพระ ตลอดจนร้านจำหน่ายเครื่องเงินที่รับทำกรอบพระและตลับใส่พระเครื่อง หรือแม้แต่ช่างไม้ที่รับทำฐานรองพระบูชา ซึ่งธุรกิจเหล่านี้ล้วนเป็นธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับวงการพระเครื่องทั้งสิ้น และมีแนวโน้มเติบโตควบคู่ไปกับธุรกิจพระเครื่องด้วยเช่นกัน

ทั้งนี้ เป็นที่น่าสังเกตว่า นิตยสารพระเครื่องหลายฉบับ มักจะนิยมเชิญบุคคลที่เป็นนักการเมือง ทหาร ตำรวจ มาเป็นคณะที่ปรึกษาของนิตยสารพระเครื่องเล่มนั้นๆ ทั้งที่บุคคลเหล่านี้อาจจะไม่ได้เป็นผู้ที่มีความเชี่ยวชาญชำนาญการที่จะเป็นที่ปรึกษาเรื่องพระเครื่อง แต่เป็นเพราะว่ากลุ่มบุคคลเหล่านี้ เป็นผู้ที่มีบารมีและมีชื่อเสียงในสังคมทำให้เกิดผลดีต่างๆตามมา

กล่าวคือ เป็นการสร้างเครดิตและความน่าเชื่อถือให้กับหัวหนังสือนั้นๆ ว่ามีคนใหญ่คนโตในวงการอื่นให้ความสำคัญ เหมือนกับร้านอาหาร ที่มักจะติดรูปของลูกค้าที่เป็นดารา เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือเช่นเดียวกัน มันเหมือนเป็นหลักประกันอย่างหนึ่งว่านิตยสารเล่มนี้มีคุณภาพ ส่งผลต่อยอดขายที่ดีของนิตยสารอีกด้วย

อีกทั้งการมีคนหนุนหลังเป็นนักการเมือง ทหาร ตำรวจ มันทำให้รู้สึกอุ่นใจ เวลามีปัญหาอะไรกัน ก็ช่วยให้สามารถเคลียร์กันได้ง่ายขึ้น และเหมือนเป็นการอาศัยบารมีของคนเหล่านี้ เพื่อที่จะป้องกันปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นจากการกระทบกระทั่งในการเผยแพร่ข้อมูลจากหนังสือเล่มนั้นในอนาคตอีกด้วย และจะสังเกตได้ว่าในนิตยสารพระเครื่อง บางครั้งก็จะมีภาพพระเครื่องของบุคคลที่เป็นที่ปรึกษา ที่บูชาจากเจ้าของหนังสือหรือเซียนใหญ่ๆมาลงตีพิมพ์

ในประเด็นนี้สามารถสื่อได้ว่า เพื่อที่จะประกาศให้สาธารณชนรู้ว่าพระเครื่ององค์นี้ เป็นพระที่มีความสวย แท้ มีคุณภาพระดับลงโชว์ในนิตยสารพระเครื่อง ถูกมองว่าเป็นพระองค์ดารา มูลค่าไม่เปิดเผย หรือถ้าหากจะมีการขายในอนาคต ก็สามารถขายในราคาที่สูงได้ และยังทำให้เจ้าของพระเครื่ององค์นั้นได้หน้าได้ตาอีกด้วย

แม้ว่าจะได้บุคคลที่เป็นนักการเมือง ทหาร ตำรวจ มาช่วยสร้างความน่าเชื่อถือ แต่ในมุมของคนอ่านหนังสือนั้น ก็ควรที่จะพิจารณาถึงคุณภาพเนื้อหาโดยรวมของหนังสือด้วยว่าเป็นอย่างไร จะได้มีความชัดเจนมากขึ้นในการเลือกหนังสือพระเครื่องที่ดีมีคุณภาพ

จากข้อมูลที่กล่าวมาข้างต้น ได้แสดงให้เห็นว่า ธุรกิจพระเครื่องเป็นธุรกิจที่อยู่ในสังคมไทยมาเป็นเวลานาน และมีมูลค่าทางการตลาดโดยรวมในแต่ละปีสูงนับหมื่นล้าน จึงไม่น่าแปลกใจที่จะมีผลประโยชน์มากมายอยู่ในวงการพระเครื่อง

แม้ว่าในท้ายที่สุดแล้วประเด็นความขัดแย้งในวงการพระเครื่อง อาจจะไม่ใช่สาเหตุที่นำไปสู่การลอบสังหารนายจักรกฤษณ์ พณิชย์ผาติกรรม อดีตนักกีฬายิงปืนทีมชาติไทย แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าวงการพระเครื่องในปัจจุบันนี้ มีความเป็นธุรกิจที่ชัดเจนและมีการแสวงหาผลประโยชน์มากขึ้น

โดยวิธีการแสวงหาผลประโยชน์ก็มีทั้งแบบสุจริตและไม่สุจริต ซึ่งสิ่งต่างๆเหล่านี้ คนในวงการพระเครื่องส่วนมากเข้าใจและเห็นภาพชัดเจนกันดี เพียงแต่เราสามารถเลือกได้ว่าจะคบหากับบุคคลแบบไหนในวงการนี้

หากเปรียบการอยู่ในวงการพระเครื่องเหมือนการเดินป่า การที่เราได้นายพรานที่ดีเป็นเพื่อนคู่คิด ก็ทำให้เราถึงจุดหมายปลายทางของการเดินป่าได้อย่างไม่ลำบากมากนักนั่นเอง

ที่มา.Siam Intelligence Unit
///////////////////////////////////////////////////////////