--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันอังคารที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2556

โฆษก อสส.เเจงเหตุสั่งฟ้อง-ไม่ฟ้องคดีเเม้ว-มาร์ค !!?

นายนันทศักดิ์ พูลสุข โฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด กล่าวในรายการเจาะลึกทั่วไทยอินไซด์ไทยเเลนด์ทางสปริงนิวส์ กล่าวว่า การสั่งฟ้องคดีนายอภิสิทธิ์ เวชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรีเเละนายสุเทพเทือกสุบรรณ อดีตรองนายกรัฐมนตรี ในข้อหาร่วมกันก่อให้ผู้อื่่นฆ่าคนตายโดยเจตนาเล็งเห็นผล กรณีการสั่งสลายการชุมนุมเมื่อปี2553ว่า รายงานการสอบสวนเกี่ยวกับการออกคำสั่งศอฉ.นั้นจะใช้คำว่าพนักงานเจ้าหน้าที่ศอฉ.โดยไม่ระบุหน่วยงานใด เริ่มจากคำสั่งของผู้สั่งการศอฉ.ที่่ออกคำสั่งให้เจ้าพนักงานศอฉ.ออกไปปฏิบัติหน้าที่่เเละให้ใช้อาวุธในการควบคุมพื้นที่การชุมนุมตั้งเเต่เริ่มประกาศศอฉ.เเละจนถึงวันที่19พ.ค.2553 ถือว่าเป็นการกระทำกรรมเดียวทั้งหมด เพราะสำนวนสอบสวนพบว่าพนักงานเจ้าหน้าได้รับอนุญาตใช้อาวุธประจำกายได้ในความจำเป็นเเละสมควรเเก่เหตุ เเต่สำนวนการสอบสวนพบว่าใช้กันเกินความจำเป็น จึงถือว่ามีความผิดเกิดขึ้นเเล้ว ฝ่ายที่ถูกกล่าวหาต้องต่อสู้คดีนี้ ส่วนชายชุดดำกำลังสอบสวนเเละเป็นหน้าที่ของผู้ถูกกล่าวหาที่ต้องอธิบายว่าการสั่งการพนักงานเจ้าหน้าที่ไปปฏิบัติหน้าที่นั้นชายชุดดำคือใครเเละมีอาวุธจริงหรือไม่

ส่วนคดีพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งนายจุลสิงห์ วสันตสิงห์ อดีตอัยการสูงสุดสั่งไม่ฟ้องพ.ต.ท.ทักษิณในข้อหาก่อการร้าย เเต่เเกนนำนปช.คนอื่นๆโดยสั่งฟ้องนั้น กรณีนี้พนักงานอัยการที่พิจารณาคดีนี้ยื่นฟ้องเเกนนำไปเเล้ว ส่วนพ.ต.ท.ทักษิณโฟนอินมาจากนอกประเทศ โดยระเบียบการสอนสวนคดีนอกราชอาณาจักรที่มีผลเกิดในราชอาณาจักรเเละระเบียบปฏิบัติของอัยการสูงสุด เมื่อคดีเกิดนอกราชอาณาจักรเเต่ผลเกิดในราชอาณาจักรเเม้ผลจะเกี่ยวเนื่องกัน เเต่สำนวนคดีสั่งฟ้องคดีก่อการร้ายกับพ.ต.ท.ทักษิณนั้นส่งมาจากดีเอสไอหลังดำเนินคดีกับเเกนนำนปช.คนอื่นๆไปเเล้ว เรื่องนี้นักกฎหมายอาจมีมุมมองต่างกัน เเละอดีตอัยการสูงสุด ได้ใช้มาตรา20 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาเเละระเบียบอัยการสูงสุดในอำนาจการพิจารณาสั่งคดี คือการสั่งฟ้องหรือไม่นั้นขอให้อยู่ในดุลพินิจอัยการสูงสุดพิจารณา เเละตอนนั้นนายจุลสิงห์ก็สั่งไม่ฟ้องพ.ต.ท.ทักษิณ โดยมีการหารือกับฝ่ายอื่นๆที่เกี่ยวข้องเเล้ว เพราะข้อกล่าวหาเเละรายละเอียดในสำนวนคดียังไม่ชัดเจน

ที่มา. เนชั่น
////////////////////////////////////

วันจันทร์ที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2556

เห็นอะไรหลังสงครามในเมือง ในป่า และในคุก กับ อ.สุรชัย !!?

โดย.มุทิตา เชื้อชั่ง

สรุปประวัติของสุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์ พร้อมมุมมองการเมือง ทั้งต่อ รัฐบาล นปช. คนเสื้อแดง นำเสนอการเปลี่ยนผ่านสังคมอย่างสันติ รวมถึงไอเดีย “เวลาที่เหมาะสม” สำหรับการนิรโทษกรรมบุคคลต่างๆ

สุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์ ตอบคำถามเรื่องสภาพความเป็นอยู่ในเรือนจำ คิดอย่างไรเกี่ยวกับกฎหมายนิรโทษกรรม ใครควรได้รับการนิรโทษกรรม ใครไม่ควรได้รับการนิรโทษกรรม มองสถานการณ์การเมืองในเวลานี้เป็นอย่างไร และชีวิตหลังได้รับอิสรภาพจะเป็นอย่างไร




สุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์ หรือนามสกุลเก่าคือ แซ่ด่าน อายุอานาม 72 ปีแต่หน้าตายังสดใส เคลื่อนไหวกระฉับกระเฉง ดูแข็งแรง ในวันที่นัดคุยกันเขามากับภรรยา คือ ปราณี ด่านวัฒนานุสรณ์ วัย 56 ปี หรือที่ใครๆ เรียกกันว่า ป้าน้อย ภรรยาผู้คอยเยี่ยมสามีทุกวันตลอด 2 ปี 7 เดือนที่อยู่ในเรือนจำ พร้อมๆ กันนั้น ป้าน้อยยังคอยช่วยเหลือดูแล ประสานงานต่างๆ ให้นักโทษการเมืองคนอื่นๆ ด้วย จนเป็นที่เคารพนับถือของผู้คน

สำหรับสุรชัย เราคงไม่ต้องกล่าวแนะนำตัวอะไรมากนัก เพราะมีชื่อเสียงโด่งดังมาตั้งแต่ยุคสงครามคอมมิวนิสต์ แต่อาจมีไม่น้อยที่ไม่รู้ว่า พื้นเพของเขานั้นเป็นคนชั้นล่างโดยทั่วไปของสังคม อาศัยอยู่จังหวัดนครศรีธรรมราช การศึกษาไม่สูง ชีวิตวัยเด็กยากลำบากจนเรียกได้ว่าอยู่อย่างอดๆ อยากๆ เมื่อเติบใหญ่มีอาชีพซ่อมวิทยุโทรทัศน์ และจับพลัดจับผลูเข้าสู่ “การเมือง” ด้วยสถานการณ์ที่ประชาธิปไตยเบ่งบาน ม็อบเบ่งบาน รวมถึงม็อบไล่ผู้ว่าฯ ในพื้นที่บ้านของเขาด้วย คุณสมบัติส่วนตัว ที่พูดเก่ง โน้มน้าวใจคนเก่งและรักความเป็นธรรม ประกอบกับช่วงนั้นม็อบขาดคนปราศรัย เพียงเท่านี้ก็ลากเขาจากโต๊ะซ่อมวิทยุมาสู่เวทีปราศรัยเสียฉิบ! ทั้งที่จริงแค่ตั้งใจแวะไปดูการชุมนุม

“ผมไม่เคยผ่านการอบรมวิชาการใดๆ แต่ผมเชื่อว่า การที่ประชาชนคนส่วนใหญ่ยากจนทนทุกข์ แต่คนส่วนน้อยมั่งคั่งมีสุข เป็นเพราะการจัดสรรปันส่วนทางเศรษฐกิจไม่เป็นธรรมนั่นเอง และแม้ผมจะไม่เคยผ่านโรงเรียนการฝึกพูด แต่ผมก็สามารถกล่าวคำพูดให้ประชานนิยมชมชื่นได้ เพราะสิ่งที่ผมกล่าวคือ คำพูดที่ถอดออกมาจากหัวใจอันเป็นดวงเดียวกันกับประชาชนผู้ทุกข์ยากนั่นเอง” (น.143 หนังสือ “ตำนานนักสู่ สุรชัย แซ่ด่าน” ,2530.)

จากผู้นำปราศรัยเรียกร้องความเป็นธรรม สถานการณ์ระลอกที่สองก็ผลักให้เขาไปไกลยิ่งขึ้น เนื่องจากเหตุการณ์ประท้วงผู้ว่าฯ บานปลายจนมีการเผาจวนผู้ว่าฯ แน่นอน จับใครไม่ได้ก็ต้องแกนนำผู้ปราศรัย เขาจึงหลบหนีเข้าป่าหาพรรคคอมมิวนิสต์ ก่อนคลื่นนักศึกษาจะเข้าป่าหลังถูกปราบในปี 19 ไม่นาน คือ เมื่อวันที่ 6 กันยายน 2519 และใช้ชีวิตอยู่ในนั้นจนวันที่ 23 มิถุนายน 2524 ในวันที่นักศึกษา “อกหัก” พากันกออกจากป่าด้วยนโยบาย 66/23 เขาก็ยังอยู่ที่นั่น และลงจากป่าครั้งสุดท้ายด้วยหน้าที่ “ทูตสันติภาพ” มาเจรจาระหว่างทางการไทยกับ พคท. แต่สุดท้ายถูกจับกุม เขายังคงเรียกการกระทำนั้นว่า “การหักหลัง” มาจนทุกวันนี้

สุรชัย ถูกขังที่โรงเรียนพลตำรวจบางเขน สถานที่เดียวกับเรือนจำหลักสี่ คุมขังนักโทษการเมืองในปัจจุบัน ในวันที่ 29 มิถุนายน 2524 ก่อนจะนำมาขังที่เรือนจำบางขวางเมื่อ 27 พฤษภาคม 2525 จากนั้นวันที่ 21 ตุลาคม 2526 ศาลพิพากษาคดีเผาจวนผู้ว่าฯ นครศรีธรรมราช ก่อการจลาจลเป็นคดีแรก ลงโทษจำคุก 23 ปี ตามมาด้วยคดีคอมมิวนิสต์และปล้นรถไฟ ในวันที่ 29 มกราคม 2529 ซึ่งศาลทหารพิพากษาประหารชีวิต จากนั้นเขาทูลเกล้าฯ ขอพระราชทานอภัยโทษและได้รับพระเมตตาจากโทษประหารก็เหลือจำคุกตลอดชีวิตในปลายปีเดียวกันนั้นเอง สุรชัยอยู่ในเรือนจำเรื่อยมา ได้รับพระราชทานอภัยโทษในวาระต่างๆ เหมือนนักโทษโดยทั่วไปอีก 5 ครั้ง จึงสามารถออกจากเรือนจำได้ในกลางเดือน มิถุนายน 2539 รวมระยะเวลาในเรือนจำครั้งนั้น 16 ปี

และสำหรับครั้งนี้ ข้อหาหมิ่นสถาบัน อีก 2 ปี 7 เดือน (ระหว่าง. 22 ก.พ.54 – 4 ต.ค. 56 ) จากโทษจริง 12 ปี 6 เดือน โดยใช้ช่องทางเดิม อันที่จริง คดีของเขามีความน่าสนใจในแง่ที่เจ้าหน้าที่พื้นที่ต่างๆ ทยอยแยกกันแจ้งความ โดอยอ้างอิงถ้อยคำจากการเดินสายปราศรัยของเขาในหลายพื้นที่ คำปราศรัยของเขาส่วนใหญ่จะตรงไปตรงมาและติดตลก แต่ไม่หยาบคายหรือรุนแรง กระนั้นก็ยังไม่สามารถรอดพ้นการฟ้องร้องไปได้

ในช่วงบั้นปลายชีวิตของชายผู้ผ่านประสบการณ์ต่อสู้ทางการเมืองกว่า 40 ปี จนปัจจุบันยังคงแอคทีฟในนามกลุ่ม “แดงสยาม” พร้อมทั้งตั้งใจจะจัดการศึกษาที่มหาวิทยาลัยสนามหลวง ... เราจึงขอใช้โอกาสแห่งอิสรภาพพูดคุยเล็กๆ น้อยๆ กับชายผู้นี้ เป็นการพูดคุยในบ่ายวันหนึ่งก่อนที่ประเด็น พ.ร.บ.นิรโทษกรรมจะร้อนขึ้นมา



มองสถานการณ์คดี 112 ยังไง ?

มาตรา 112 ไม่ใช่เพิ่งมีเดี๋ยวนี้ มันมีมาตลอดและมีทางออกในเรื่องการบังคับใช้กฎหมาย เบื้องต้นถ้าไม่มีใครไปแจ้งความมันก็ไม่เป็นคดี แต่ถ้ามีคนแจ้งความก็เป็นคดี เราจะตัดสินใจเดินทางไหนแต่ละรายต้องรู้ตัวเองว่า สู้คดีชนะไหม ปัญหาหลักก็คือ ได้ประกันตัวหรือเปล่า อย่างยุทธภูมิชนะคดีแต่ติดคุกไปแล้วปีหนึ่ง อย่างนี้จะเรียกว่าชนะอย่างไร

เรื่องประกันตัว เป็นหัวใจสำคัญ คดีอื่นๆ ก็เช่นเดียวกัน ถ้าไม่ได้ประกันตัวถึงชนะคดีก็ติดคุกไปแล้ว

กรณีดา สมยศ จะสู้คดีชนะได้อย่างไร เราต้องอย่าหลอกตัวเอง คนไม่อยากติดคุกและคิดว่าสู้แล้วจะไม่ติดคุกแต่สู้แล้วกลับติดคุกยาวกว่า

ดารณีเคยพูดว่าอยากสร้างบรรทัดฐานคดีเกี่ยวกับเสรีภาพในการแสดงออก คิดยังไง ?

ถามว่ามันได้ผลตรงไหน เรื่องนี้ผมทำมาก่อนตั้งแต่เรื่องเผาจวน ปล้นรถไฟ เราไม่ยอม เราสู้คดีเพื่อเป็นต้นแบบ แล้วผลมันคืออะไร ผลคือโดดเดี่ยวเดียวดายในคุก ผมไม่รับนโยบาย 66/23 เขาบอกมอบตัวจบ แต่เราไม่มอบ เราอยากสร้างต้นแบบเป็นนักปฏิวัติต้องกล้าหาญ กล้าเผชิญ แล้วเป็นยังไง โดดเดี่ยวเดียวดายอยู่ในคุก 16 ปีปรับลดจากโทษประหารชีวิต แล้วออกมายังต้องใช้หนี้แทนพรรคคอมมิวนิสต์อีก 1.2 ล้าน ค่าปล้นรถไฟ พรรคปล้น ไม่ใช่ผม ยิงตำรวจก็คนอื่นยิง ผมไม่ได้เกี่ยวข้องเลย แต่ผมต้องถูกตัดสินประหารชีวิตฟรีๆ โดยไม่ได้ทำผิด แล้วก็ถูกคดีเผาจวน 23 ปีฟรีๆ ไม่ได้รู้เรื่อง ไม่ได้เกี่ยวข้องเลย เราถือว่าเราบริสุทธิ์ ต้องการพิสูจน์แล้วเป็นยังไง

คดีนี้เราถึงยอม เพราะถ้าพิสูจน์ความบริสุทธิ์เราคงแก่ตายในคุก ถามว่าแล้วใครให้คะแนนความบริสุทธิ์คดีเผาจวน ปล้นรถไฟ แม้แต่ในแวดวงเดียวกันพรรคคอมมิวนิสต์ก็ไม่ได้ให้ราคาเลย เอาตัวรอดหมด ทิ้งให้เราต้องรับเคราะห์คนเดียว

เหมือนกันกับยุคนี้ไหม ?

เดี๋ยวนี้ยังดีกว่า เพราะมันหลากหลาย ไม่ใช่หลอกคนเสื้อแดงไปติดคุกไม่ดูแล ตอนนี้ก็ดูแลกันหลายส่วน พรรคดูแล คนเสื้อแดงด้วยกันเองดูแล แต่ของเราตอนนั้นไม่มีเลย 6 เดือนไม่มีคนไปเยี่ยมต้องปลูกผักบุ้งขาย ได้วันละ 10 บาทเผื่อจะได้เอาไปซื้อขนมปังกินสักแถวหนึ่ง ต้องซ่อมวิทยุโทรทัศน์หากินในคุก สู้กับขบวนการกรมราชทัณฑ์ มาเฟียบางขวาง ไม่มีใครไปดูแล คนเดือนตุลา พรรคคอมมิวนิสต์ ไม่มีใครไปเหลียวแล ปล่อยให้เราถูกเพิ่มโทษ ถูกลดชั้น ถูกขังซอย ถูกรังแกย่ำยียิ่งกว่าตอนนี้พันเท่า เพราะดันไปเปิดเผยเรื่องทุจริต นสพ.อาทิตย์วิวัฒน์ของชัชรินทร์ (ไชยวัฒน์) นักข่าวมาสัมภาษณ์ว่าในคุกบางขวางมีการค้ายาเสพติด ตั้งตัวเป็นผู้อิทธิพลไหม เราก็บอกไปลงได้แต่อย่าบอกว่าใครบอก แต่เขาก็ดันไปลงว่าสุรชัยให้ข่าวมา เรียบร้อย โกรธทั้งกรมเลย แล้วก็สั่งลดชั้น 2 ชั้น นั่นแหละสิ่งที่ประสบมาแล้ว พิสูจน์มาแล้ว สร้างบรรดทัดฐานมาแล้ว ตัวเราต้องแบกรับหนัก แต่คุณค่าที่เราสร้างไม่มีใครให้คุณค่าเลย

คุณสุรชัยมีบทเรียนทางการเมืองมาหนักหนาสาหัส ทำไมหลังรัฐประหารยังออกมาเคลื่อนไหวทางการเมืองอีก ?

ก็มันถูกบังคับ ถูกทำ หลังออกจากคุกจริงๆ ก็ต่อสู้แนวทางสภา ปี 2545 ลงสมัคร ส.ว.เลือกตั้งซ่อม ได้ 120,000 คะแนนแต่ถูกประชาธิปัตย์รุม แข่ง 16 คน ปชป.ส่งถวิล ไพรสน ลงเลือกตั้ง ตั้งกองบัญชาการที่สุราษฎร์ กวาดส.ส.จากจังหวัดต่างๆ มารุมเราคนเดียว ใช้เงิน 42 ล้าน จนชนะไป 20,000 กว่าคะแนน แต่เรามีเงินอยู่ 600,000

ไม่คิดจะพักผ่อน ?

ถามว่าจะออกไปได้ยังไง ตอนนี้อยากออก รับปากผู้ใหญ่เลยว่าอยากกลับบ้าน แต่ออกมายังไม่ทันได้เปลี่ยนกางเกง ใส่ขาสั้น เขาพาไปแล้ว วันนี้ถ้าจะให้หยุดก็ได้ ปิดโทรศัพท์แล้วกลับไปอยู่บ้าน แต่ถ้าเป็นอย่างนั้นข่าวจะออกมาดีหรือ เหมือนไก่ถูกขังแล้วปล่อยออกมาก็ฝังเลย แต่พอเปิดโทรศัพท์มันจะอยู่ได้หรือ เขาก็โทรกันมาไม่หยุด คนเสื้อแดงเยอะแยะ แล้วจะบอกว่า “ผมหยุดแล้วครับ” ได้เหรอ เหมือนรถวิ่งมาด้วยความเร็ว 120 แล้วหยุดทันทีมันก็คว่ำ ต้องค่อยๆ ผ่อนความเร็ว คิดว่าทำได้ เพราะเดี๋ยวนี้สถานการณ์คลี่คลายแล้ว ที่ชุมนุมกันเป็นแสนแล้วไม่ชนะไม่เลิก มันไม่ได้แล้ว ตอนนี้มันสู้กันในคุณภาพมากกว่าแดงกับเหลือง

ช่วยขยายความเรื่องการต่อสู้ในเชิงคุณภาพที่ว่า

สถานการณ์มันคลี่คลาย ฝ่ายเหลืองพ่ายแพ้ในทางยุทธศาสตร์ หมายความว่า โดยภาพรวมทั้งหมด ที่เขาต่อต้านทุนโลกาภิวัตน์ วันนี้ในที่สุดคนที่เข้าร่วมก็เห็นว่ามันไม่ใช่ เพราะความต้องการให้สังคมหยุดนิ่งและถอยหลังเป็นไปไม่ได้ วันนี้ พูดง่ายๆ ว่า ทักษิณเป็นผู้ร้ายที่เขาชูขึ้นมาเท่านั้นเอง ความขัดแย้งวันนี้ไม่ใช่ทักษิณขัดแย้งกับสนธิ เพื่อไทยขัดแย้งกับประชาธิปัตย์ แต่มันเป็นความขัดแย้งในเชิงโครงสร้างสังคม มันเป็นความขัดแย้งในเรื่องกฎวิวัฒนาการ สังคมมาถึงจุดนี้แล้วมันไม่ไปต่อไม่ได้

การไปข้างหน้าก็คือ การเป็นทุนนิยมเสรี แบบยุโรป ญี่ปุ่น สวีเดน เดนมาร์ก เนเธอร์แลนด์ ไม่ใช่สังคมนิยม โลกนี้ยังไม่มีสังคมนิยม จีนก็ยังไม่ใช่ วิวัฒนาการสังคมก็คือ พอถึงยุคศักดินา ก็จะเสื่อมแล้วไปยุคทุนนิยม แล้วก็พัฒนามาถึงยุคโลกาภิวัตน์ ยุคข้อมูลข่าวสาร มันถอยหลังไม่ได้ทั้งความคิดของคน พลังการผลิต วิวัฒนาการทางสังคม
หลังจากทุนนิยมเสรีก็จะไปสู่สังคมรัฐสวัสดิการ ไปสู่สังคมนิยม และสังคมคอมมิวนิสต์ เพียงแต่ว่านานเท่าไรแค่นั้นเอง

ยังเชื่อในคอมมิวนิสต์ ?

แน่นอน สังคมไหนมันจะหยุดนิ่งได้ โลกต้องไปข้างหน้าซึ่งต้องมีรูปการณ์ ไปข้างหน้าไม่รู้ไปไหน ไม่ได้ คนที่เป็นนักสังคมต้องเข้าใจว่าข้างหน้าคืออะไร วันนี้รูปการณ์มันก็ชัดเจน

มองขบวนเสื้อแดงยังไง ?

ในส่วนของสีแดง เขายืนอยู่กับปัจจุบัน วันนี้ทุนโลกาภิวัตน์คือปัจจุบัน ผมไม่ได้บอกว่าทุนโลกภิวัตน์ดีหรือไม่ดี อันที่จริงทุนมันก็ไม่ดีหรอก แต่ถามว่าทุนโลกาภิวัตน์มันก้าวหน้ากว่าทุนอนุรักษ์นิยมไหม

แต่เพื่อนๆ คุณสุรชัยเลือกทุนเก่าเยอะเลย

เขาหลงทาง พอป่าแตก ต้องเข้าใจก่อนว่า คนเดือนตุลาเขาสู้กับเผด็จการทหาร เป้าชัดเจนว่าคือกองทัพ ผู้ถืออาวุธ แต่หลังจาก 14 ตุลา มันไม่ใช่แล้ว สังคมเปลี่ยน จากคนถือปืนมีอำนาจทางการเมืองมาเป็นคนถือเงิน 14 ตุลาไม่ใช่วันประชาธิปไตยนะ แต่เป็นวันปลดโซ่ตรวนให้ทุนนิยมไทย ทุนไทยได้ประโยชน์ หลังจากนั้นบริษัทห้างร้านต่างๆ ที่ถูกนายทหารเป็นกรรมการเสวยผลประโยชน์ ก็ได้รับอิสระ สามารถสะสมทุน ขยายทุนและเริ่มเข้ามาไต่เต้าทางการเมือง การเมืองเปลี่ยน แล้วหลังจากนั้นคนถือปืนก็พยายามจะต่อสู้ให้ฟื้นมาในยุคสุจินดา ดิ้นเฮือกสุดท้ายแล้วก็จบ ถามว่าวันนี้ทหารยังเข้ามาในการเมืองอยู่นี่ วันนี้มันเป็นเรื่องของทหารหลงยุค ไม่ใช่เจ้าของยุค

เพื่อนๆ ยุคนั้นคิดอีกแบบเพราะ ?

เป้าเปลี่ยนจากทหาร เข้าสู่ยุคทุน ก็ไม่รู้ว่าสู้กับใคร ดังนั้น พอเขาชูทักษิณขึ้นมาว่าเป็นมารร้าย พวกนี้ก็คิดว่าเขาต่อสู้ทุนนิยม

มันเป็นปัญหาแค่เรื่องมองคู่ขัดแย้งหลักต่างกัน หรือมีปัจจัยอื่นด้วย ?

วันนี้ต้องมองให้ออกว่าคู่ขัดแย้งหลักคือใคร ไม่ใช่เพื่อไทยกับประชาธิปัตย์ ไม่ใช่เสื้อแดงกับเหลือง คู่ขัดแย้งหลักคือ ทุนใหม่โลกาภิวัตน์กับทุนเก่าอนุรักษ์นิยม ทุนชั้นบนสุดของสังคม ทุนเก่าเป็นด้านหลักของความขัดแย้ง ทุนใหม่เป็นด้านรอง เสื้อแดงและพรรค เป็นผลสืบเนื่องมาถึงรากหญ้า ถ้าแก้ต้องแก้ที่ยอดบนสุด แต่พวกนี้เป็นโครงสร้างทางอำนาจ ทุนเก่าที่มีอำนาจต่อเนื่องมายาวนานคุมทุกอย่างรวมถึงความเชื่อ เขากลัวทุนใหม่เหมือนแต่ก่อนกลัว ถนอม ประภาส นั่นแหละ พวกจารีตนิยมเขากลัวทหาร ล้มทหารไม่ได้ ถนอมคุมหมด ก็เลยสร้างขบวนการนักศึกษาขึ้นมาไม่รู้ตัว เหมือนกับที่สร้างสนธิ ลิ้มฯ ขึ้นมาในนามพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยนั่นแหละ

พูดง่ายๆ ว่า เป้าตอนนั้นคือทหาร แต่ตอนนี้เป็นกลุ่มทุนโลกาภิวัตน์ ขณะที่ทหารลดต่ำลง ทุนก็ไต่ระดับขึ้น ในช่วงนั้นทั้งต่อสู้และร่วมมือกันระหว่างทหารกับทุน ไต่มา 28 ปี กลุ่มทักษิณตัวแทนทุนโลกาภิวัตน์เข้ามา ทุนเก่าเริ่มกลัวเหมือนกลัวถนอม ดังนั้น จึงชิงลงมือก่อน ล้มทักษิณเสียก่อน แต่บังเอิญว่ามันไม่เหมือนล้มถนอม เพราะถนอมมันอยู่ในระบบราชการ ปลดแล้วก็จบ แต่ทุนใหม่มันไม่ใช่เฉพาะในประเทศแต่มันเป็นตัวแทนรูปการณ์ทางสังคมและเศรษฐกิจของทั้งโลก มันเป็นไปไม่ได้

คำอธิบายนี้เน้นโครงสร้างส่วนบนของอำนาจ คนทั่วๆ ไปอย่างคนเสื้อแดง ในสายตาคุณสุรชัยเป็นยังไง และอยู่ตรงไหนในคำอธิบายของคุณสุรชัย ?

ถามว่า 3 เกลอรู้รึเปล่า ตอนนี้ไม่แน่ใจว่ารู้หรือยัง เพราะเขามองเป้า ตอนแรกก็สนธิ ลิ้มฯ เหมือนคนเพิ่งต่อยมวยใหม่ ต่อมาก็สู้กับประชาธิปัตย ต่อมาก็สู้กับระบอบอำมาตย์ อาจจะยังไม่รู้ว่าระบอบอำมาตย์คืออะไร หนึ่ง รู้แต่แกล้งไม่รู้ หรืออาจไม่รู้จริงๆ อาจมีเพดานจำกัด ตรงนั้นก็มีส่วนด้วย แต่พวกเขาเองความเข้าใจก็ยังไม่พอ แต่เดี๋ยวนี้คงรู้เหมือนเสื้อแดงรู้ ตาสว่างเหมือนกัน

คุณวีระ (วีระกานต์ มุสิกพงศ์) ก็เคยโดนจับในคดีหมิ่นฯ คนที่โดนจับในคดีเขาจะมองไม่เห็นสิ่งที่คุณสุรชัยเห็นเลยหรือ ?

ต้องเข้าใจ เขานักการเมืองประเภทผู้กว้างขวาง ไม่ใช่คนต่อสู้แบบคนเดือนตุลา เป้าหมายของเขาไม่ใช่เปลี่ยนโครงสร้างทางสังคม ที่ถูกจับไม่ใช่ปัญหาความคิดแต่เป็นพูดติดลมไป เหมือนพวกเราหลายคนที่โดนคดี 112 บางคนเพราะโกรธ ใช้อารมณ์ ความรู้สึก เช่น ขู่วางระเบิด แต่ถ้าระดับความคิด ดา สมยศ ผม นี่เป็นระดับความคิด

นี่ก็ยังเป็นส่วนของแกนนำ ในส่วนของมวลชนเห็นยังไง ?

เดิมทีที่มามันก็หลายส่วน ที่มาเพราะชอบทักษิณเยอะเลย ไม่พอใจฝ่ายโน้น ส่วนไอ้ที่จะรู้เบื้องลึกอะไรก็ไม่รู้หรอก มีแดงดาราเสียเยอะ ไม่รู้เป้าหมายเชิงโครงสร้าง จตุพรเดือนพฤษภาก็เป็นความคิดเดือนตุลา ต่อสู้หากบาดเจ็บล้มตายจะมีประมุขของประเทศมาแยก และอยู่ข้างประชาชน

ปัจจัยที่ทำให้เหตุการณ์ 53 ไม่เหมือน 14 ตุลาคืออะไร ?

คู่ต่อสู้เปลี่ยน

การวิเคราะห์สถานการณ์ของ นปช.ปี 53 ผิดหรือเปล่า ?

เราไม่อยากจะพูดแบบนั้น แต่ถามว่าทำไมปี 53 ผมไม่ร่วม จนวีระก็ยังประกาศไล่เวทีเรา แม้แต่ปลายข้อลปลายแขน ในความคิดผม การชุมนุมเป็นเพียงยุทธวิธี ไม่ใช่ยุทธศาสตร์ และการบอกว่าไม่ชนะไม่เลิกนั้นไม่ได้ เป็นคำขวัญที่ผิด แบบผมนี่แหละคือไม่ชนะไม่เลิก สู้มา 40 ปีแล้ว ตั้งแต่เดือนตุลา ติดคุก ออกมาแล้วสู้ต่อ นี่คือความหมายของไม่ชนะไม่เลิก แต่ไม่ใช่ชุมนุมแล้วไม่เลิก ถามว่าชุมนุมไม่เลิกแล้วมันชนะตรงไหน ชนะในทางยุทธวิธี อภิสิทธิ์ยอมรับ ยอมยุบสภา แล้วเลือกตั้งเพื่อไทยได้เป็นรัฐบาล ถามว่าจบไหมมันก็ยังไม่จบ แล้วตอนนั้นถ้าอภิสิทธิ์เป็นยอมยุบสภา วันนี้เพื่อไทยไม่ได้เป็นรัฐบาล และแทนที่จะเป็นผู้ต้องหา อภิสิทธิ์จะกลายเป็นฮีโร่เลย

เชื่อในพลังชนบทไหม หลายคนเห็นตรงกันว่าพลังชนบทก็เอาทุนนิยมโลกาภิวัตน์

ต้องให้เขารู้ปัญหาด้วย แค่มาชุมนุมเพราะฉันชอบทักษิณ ไม่กี่วันก็จางถ้าชอบบุคคล แต่ถ้าเขาต้องการเปลี่ยนโครงสร้างของประเทศ เพราะโครงสร้างนี้มันพาประเทศไปต่อไม่ได้ แบบนี้ถึงจะไปได้ยาว และการเปลี่ยนโครงสร้างก็ไม่ใช่แบบพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดิน

ตอนนี้ผมนำเสนอว่า การปฏิรูปประเทศไทย คณะกรรมการปฏิรูป มันใช้ไม่ได้ เพราะมันคือการซ่อมแซม โดยโครงสร้างก็ยังเหมือนเดิม วันนี้ต้องใช้คำว่า เปลี่ยนแปลง แต่เป็นการเปลี่ยนผ่านอย่างสันติ ฉะนั้น วันนี้ยุทธศาสตร์ของทั้งสองฝ่ายต้องกำหนดตรงนี้ เป็นคณะกรรมการเพื่อการเปลี่ยนผ่านอย่างสันติ เพราะสังคมต้องเปลี่ยนแปลง

หมายความว่า ฝ่ายเราเป็นฝ่ายที่ต้องการการเปลี่ยนแปลง ส่วนฝ่ายตรงข้ามที่ไม่ต้องการความเปลี่ยนแปลง เราต้องให้โอกาสเขา ให้เวลาเขาในการปรับความคิด เราต้องเข้าใจพัฒนาการทางความคิดของคนว่า คนเราพัฒนาความคิดได้
สิ่งที่ต้องนำเสนอในเสื้อแดงวันนี้คือ จุดหมายปลายทางคืออะไร และต้องไปอย่างไร สิ่งที่เราหลีกเลี่ยงคือความรุนแรง

ผมเสนอว่า คณะกรรมการเพื่อการเปลี่ยนผ่านอย่างสันติ จุดหมายปลายทางในการทำให้เกิดการปรองดอง ลดความขัดแย้งคือ ต้องพาสังคมไทยเปลี่ยนไปข้างหน้า ไม่ใช่เปลี่ยนแบบประเทศที่ไม่มีประมุข เปลี่ยนไปในแบบประเทศที่พระมหากษัตริย์เป็นประมุขนี่แหละ ตัวอย่างในต่างประเทศก็มี แล้วก็ค่อยๆ เปลี่ยน ฝ่ายที่ต้องการให้เปลี่ยนแปลงต้องเยือกเย็นที่จะรอคอย ให้อีกฝ่ายปรับความคิด อีกฝ่ายก็ต้องค่อยๆ ศึกษาว่าการเปลี่ยนแปลงหลีกเลี่ยงไม่ได้ ต้องค่อยๆ เปลี่ยน

ต้องใช้เวลาอีกนานแค่ไหน และคุณสุรชัยจะได้เห็นการเปลี่ยนแปลงนั้นไหม ?

สถานการณ์วันนี้เริ่มคลี่คลายแล้ว และเริ่มมีคุณภาพใหม่ของการเปลี่ยนแปลง นี่เป็นสิ่งที่ผมสบายใจมาก

อะไรคือคุณภาพใหม่ของการเปลี่ยนแปลง ?

เราดูสิ ความขัดแย้งในสังคมวันนี้ ฝ่ายใหม่ฝ่ายเก่าในทางสภา ฝ่ายเก่าพ่ายแพ้ในทางยุทธศาสตร์อย่างสิ้นเชิง วันนี้มันมีแค่เพื่อไทยกับประชาธิปัตย์ ถามว่าวันนี้ประชาธิปัตย์โอกาสที่จะชนะเลือกตั้งได้เป็นรัฐบาลมีกี่เปอร์เซ็นต์ ถามว่านอกสภาวันนี้จะสร้างคนเสื้อเหลืองเป็นแสนเป็นล้านมาล้อมสนามบินเป็นไปได้ไหม นี่คือคุณภาพใหม่ ฝ่ายที่เคยคึกคักกันใหญ่โต นายทุนหนุนเพียบ ก็เรียกว่าแพ้ทางยุทธศาสตร์เช่นกัน กองทัพ อันนี้สำคัญที่สุด วันนี้การแสดงออกชัดเจนมากว่าไม่เข้าฝ่ายในความขัดแย้ง ถ้าสมัยก่อนออกมาเต้นแล้ว ผบ.ทบ.ออกมาแสดงความเห็นให้นายกฯ ลาออก

วันนี้ฟันธงได้เลยว่า พันเปอร์เซ็นต์เรื่องทหารลากรถถังมายึดอำนาจ ผมไม่กลัวเลย ยึดวันนี้ถามว่าใครเป็นนายกฯ ถ้ายึดอำนาจประเทศไทยไปแบบซีเรียทันที ประเทศรอบบ้านเขาจะเข้าสู่ AEC พม่ายังเปลี่ยนแล้วไทยจะกลับไปหรือ ถ้าเป็นอย่างนั้นผมรับรองว่าไปหมด ไปทั้งยวงด้วย หมดทั้งระบอบเลย อเมริกาก็ไม่เอา ไม่เอาทั้งโลก ทหารคงไม่ปัญญาอ่อนถึงขนาดนั้น

ตอนนี้แนวรบที่ยังเหลืออยู่คือ ตุลาการ กับ องค์กรอิสระ ตุลาการนี่เรามองเห็นเลยตั้งแต่มีมติว่านายกฯ จะต้องไปยื่นกรณีแก้รัฐธรรมนูญ เรื่อง ส.ว. ศาลรัฐธรรมนูญไม่กล้า ในที่สุดก็ยอม เรื่องงบประมาณก็ยอม แนวรบนี้เริ่มถอย
ทุกแนวรบทางยุทธศาสตร์ ฝ่ายเก่าแพ้ทุกแนวรบ นี่คือสถานการณ์คลี่คลาย

ฝ่ายแดงมีปัญหาขัดแย้งภายในไม่น้อย ระหว่างฝ่ายที่ปกป้องรัฐบาลกับฝ่ายที่วิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล คุณสุรชัยคิดว่าสิ่งเหล่านี้จะนำไปสู่จุดแตกหักไหม และบทบาทรัฐบาลที่เป็นอยู่นี่มันเวิร์คไหม ?

เรื่องนี้ไม่วิตก เป็นเรื่องปกติธรรมดาในทุกขบวนการ แต่ถามว่ามันขัดแย้งรุนแรงถึงกับล้มล้างกันไหม เป็นความขัดแย้งที่ไม่ใช่ศัตรู ความขัดแย้งจะเป็นบ่อเกิดของการพัฒนา แล้วสุดท้ายจะรู้ว่าใครเป็นหลัก เป็นรอง ใครถูก ไม่ถูกเรื่องไหน เหมือนผมกับ นปช.ตอนแรกก็ขัดแย้งกัน ตอนนี้ก็ไม่ขัดแย้งกันแล้ว ทำงานร่วมกันได้ ไม่โกรธกัน เพราะมันเป็นความขัดแย้งในฝ่ายมิตรที่คิดไม่ตรงกัน

มองบทบาท นปช.ยังไง ?

นปช. พูดง่ายๆ ว่า เขาแยกไม่ออกจากพรรคเพื่อไทย และไม่แตกกันเหมือนพันธมิตรฯ กับประชาธิปัตย์ เพราะคนใน นปช.เองก็เข้าไปมีส่วนร่วมในรัฐบาล แล้วเขาเดินยุทธศาสตร์ 2 ขา จุดหมายปลายทางคือ สนับสนุนให้พรรคได้เป็นรัฐบาล เมื่อเป็นแล้วก็ป้องกันไม่ให้รัฐบาลถูกล้ม แต่ปัญหาประเทศไทยวันนี้ไม่ใช่การต่อสู้เพื่อเปลี่ยนรัฐบาล แต่เป็นการเปลี่ยนโครงสร้าง การเป็นรัฐบาลแล้วไม่สามารถนำไปสู่การเปลี่ยนโครงสร้างได้ เป็นรัฐบาลแล้วไม่ชนะ ไม่ชนะในเชิงโครงสร้างทางสังคม แม้แต่คนเสื้อแดงในคุกยังเอาออกไม่ได้เลย ถามว่ามีอำนาจอะไร เจ้าของโครงสร้างอำนาจเก่ายังมีอำนาจเหนือนรัฐบาล แล้วจะเอาอะไรไปชนะ นปช.เป็นรถพ่วง รัฐบาลเป็นรถลาก พอรถลากหยุด รถพ่วงก็หยุด ลากมวลชนไปไม่ได้เพราะเป็นรถพ่วง

ผมเสนอว่า วันนี้ นปช.ต้องแยก แยกกันเดิน รวมกันตี อย่าเป็นสองขา วันนี้ควรใช้คำว่า สองแนวทาง สองยุทธศาสตร์ นปช.และคนเสื้อแดงต้องเดินแนวทางนอกสภา ยุทธศาสตร์คือตาสว่าง ส่วนพรรคเพื่อไทยเดินแนวทางในสภา ยุทธศาสตร์ ชนะเลือกตั้งและทำอย่างไรให้ประชาธิปัตย์เล็กลง แบบนี้จะไม่ขัดแย้งกัน

สิ่งที่อยากนำเสนอคือ ยุทธศาสตร์เปลี่ยนผ่านอย่างสันติ เดินไปสู่การเปลี่ยนโครงสร้าง ไม่ใช่ทำลายฝ่ายเก่า ทำอย่างไรให้ฝ่ายเก่ายอมรับในการเปลี่ยนแปลง ถ้าทำลายฝ่ายเก่าก็จะเป็นการปฏิวัติประชาชนแบบพรรคคอมมิวนิสต์ คนชนะก็ชนะบนซากปรักหักพัง ชัยชนะบนซากปรักหักพังและซากศพมันไม่ใช่ชัยชนะ อันนี้เป็นสิ่งที่อยากให้ข้อคิดทั้งแดงทั้งเหลือง

ไม่กังวลเรื่องการตรวจสอบถ่วงดุลผู้มีอำนาจ ผู้ที่ชนะในทางยุทธศาสตร์หรือ

ถ้าสังคมเปลี่ยนแปลงไปแล้ว เข้าสู่ความเป็นทุนนิยมเสรีแล้ว ทุนใหม่ชนะฝ่ายทุนเก่าเด็ดขาดแล้ว ต่อไปคนเสื้อแดงต้องมีความเป็นอิสระที่จะต่อสู้กับทุนใหม่อีกนะ ไม่ใช่จบ คนเสื้อแดงวันนี้จึงไม่ใช่รถพ่วงของพรรค ผมสนับสนุนทักษิณ สนับสนุนเพื่อไทย แต่ไม่ใช่ทักษิณหรือเพื่อไทยจะมากำหนดความคิดผม และต่อไปไม่แน่ในอนาคตผมอาจต้องต่อสู้กับทักษิณ กับเพื่อไทย ถ้าพวกคุณเกิดเปลี่ยนไป ดังนั้น เราต้องกำหนดว่า เมื่อคุณชนะแล้วคุณต้องทำยังไง คุณเข้าไปแล้วต้องอุ้มคนชั้นล่าง ลดความได้เปลี่ยนของคนชั้นบน สร้างคนชั้นกลางให้มากที่สุด คุณจะต้องต่อยอดประชานิยมของคุณไปสู่ความเป็นรัฐสวัสดิการที่ก้าวหน้า ที่ผ่านมา เอาล่ะ มันลดแลกแจกแถม แต่มันเป็นจุดเริ่มต้นของรัฐสวัสดิการ จุดมุ่งหมายของมันคือ อุ้มคนชั้นล่าง ไม่ใช่อุ้มทุกชนชั้น การลดความได้เปรียบของคนชั้นบน ไม่ใช่แบบพรรคคอมมิวนิสต์ไปยึดของเขามา แต่ลดด้วยระบบกฎหมายและภาษี ในต่างประเทศก็ให้เห็นอยู่ มีรายได้มากต้องเสียภาษีมาก มรดกเยอะเก็บภาษีมากหน่อย ในทางการเมืองก็ต้องส่งทอดให้ชนชั้นกลาง เพราะโลกในยุคต่อไปเป็นยุคของคนชั้นกลาง มันต้องกระจาย คนชั้นกลางมาจากไหน ก็อุ้มขึ้นมาจากชนชั้นล่าง และชนชั้นบนลดความได้เปรียบหน่อย ไม่ได้ให้ชนชั้นบนกลับมาเป็นคนชั้นล่าง

ทำแบบนี้ทักษิณก็จบในทางการเมืองอย่างสวยงาม แต่ถ้ายังผูกขาดอำนาจเต็มที่เพื่อชนชั้นตัวเอง ก็กลายเป็นทุนอนุรักษ์แล้วฝ่ายที่ก้าวหน้ากว่าก็ต้องโค่นล้มคุณ ดังนั้น คนเสื้อแดงต้องเตรียมความพร้อมตรงนี้ ไม่ใช่ส่งทักษิณถึงฝั่งแล้วจะไม่ทำอะไร เราต้องสร้างตรงนี้ขึ้นมาเพื่อดูแลเขา ไม่ใช่ให้ร้ายเขาแต่เพื่อดูแลเขาว่าคุณอย่าเปลี่ยนไปนะ คุณชนะได้เพราะเป็นกลุ่มการเมืองที่ก้าวหน้า อย่ากลายเป็นกลุ่มเก่า ถ้าคุณไม่ทำเราก็จะเอากลุ่มที่ก้าวหน้ากว่าเข้ามา ต้องสู้กับคุณอีก

เครื่องมือในการเปลี่ยนผ่านสังคมอย่างสันติ คืออะไร?

พูดง่ายๆ ว่าทั้งในสภาและนอกสภา ต้องเป็นพลังมวลชนและต้องพัฒนาพลังความคิด สังคมที่จะพัฒนาได้ต้องมีพลังการผลิตสูงและมีจิตสำนึกสูง รัฐประชาธิปไตยที่ก้าวหน้าต้องสร้างระบบการศึกษาที่ก้าวหน้า ทำยังไงไม่ให้คนเห็นแก่ตัว บางคนบอกมึงอยากมีชีวิตที่ดีนั่นเห็นแก่ตัว ไม่ใช่ การอยากอยู่ดีกินดีไม่ใช่ความเห็นแก่ตัว ความเห็นแก่ตัวคือ การที่เราอยู่ดีมีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่นต่างหาก

พูดถึงการเปลี่ยนผ่าน คงต้องพูดถึงนิรโทษกรรม ในฐานะที่เป็นนักโทษทางการเมืองคนหนึ่ง มองยังไงเรื่องกฎหมายนิรโทษกรรมซึ่งมีข้อถกเถียงกันมาก แต่เกือบทุกคนเห็นเป็นทางเดียวกันคือ ไม่รวม มาตรา 112 คิดว่าใครควรได้นิรโทษ และใครไม่ควรได้?

จริงๆ แล้ว 112 จะไม่เรียกเป็นนักโทษทางการเมืองได้ยังไง นี่มันนักโทษทางความคิด นักโทษทางมโนธรรมสำนึก มันเหนือกว่าคนไปชุมนุม คนชุมนุมบางทีไม่ได้มีความคิดอะไร ไปชุมนุมแล้วก็พลอยถูกจับไปด้วย ผมต่อสู้มา 40 ปี ถามว่าผมไม่ใช่นักโทษทางการเมืองหรือ ผมมันยิ่งกว่าการเมืองทุกคนที่ถูกจับด้วยซ้ำ

เรื่องนิรโทษกรรมในทางการเมืองเป็นเรื่องจะต้องทำ แต่จังหวะเวลาไหนที่เหมาะสมคือประเด็น ดังนั้นที่ออกมาของคุณวรชัย เหมะ คือ พวกปลาซิวปลาสร้อย เอาไปขังทำไมเขาเป็นแค่เหยื่อ ดังนั้น พันธมิตร 5 คนที่ยึดรถเมล์ก็ควรได้นิรโทษกรรม คนเสื้อแดงที่ถูกขังเดี๋ยวนี้ไม่ใช่แกนนำควรได้ ปล่อยเขาไป ส่วนระดับอภิสิทธิ์ สุเทพ แกนนำทั้งหลายค่อยว่ากัน แล้วก็ต้องนิรโทษกรรมในท้ายที่สุดอยู่ดี เพราะไม่เช่นนั้นติดคุกหมดทุกคน ทักษิณ ติด 2 ปียังน้อย แต่คนน่าห่วงคือคุณอภิสิทธิ์ แต่คุณอภิสิทธิจะติดคุกเมื่ออายุ 60 กว่า คุณสุเทพเมื่ออายุ 80 กว่า กลายเป็นตาแก่เข้าไปอยู่ในคุก เป็นเรื่องน่าสงสาร เพราะหมดสภาพทางการเมืองหมดแล้วกลายเป็นคนแก่รับกรรมเก่าเหมือนประธานาธิบดีฟูจิโมริแห่งเปรู ที่ไปแก่หง่อมอยู่ในคุก น่าสงสารไหมตรงนี้ ดังนั้น นิรโทษกรรมเป็นเรื่องจำเป็นต้องใช้ แต่วันนี้ต้องนิรโทษกรรมให้ปลาซิวปลาสร้อยก่อน พวก 112 ก็อย่าไปกีดกันเลย แล้วขั้นต่อไปก็ระดับแกนนำ ขั้นต่อไปก็ระดับทักษิณ อภิสิทธิ์ สุเทพ แต่ว่าควรนิรโทษเมื่อศาลตัดสินแล้วเข้าไปอยู่ในคุกซักพักก่อน

ก็ทั้งหมด แต่ต้องดูว่าเวลาไหน ตอนนี้ยังไม่เหมาะจะนิรโทษอภิสิท และสุเทพ ตอนนี้มันยังร้อนๆ อยู่ ความเสียใจ ความเจ็บปวด มันยังไม่จาง แต่ถ้าผ่านไปอีกซัก 10 ปี เขาเริ่มจาง อีก 10 ปีข้างหน้า อภิสิทธิ์ สุเทพ ไม่มีตำแหน่งทางการเมืองอะไรแล้วกลายเป็นคนแก่ไปอยู่ในคุก ญาติผู้สูญเสียก็สงสารได้ แต่ต้องให้ศาลลงโทษก่อน ตัดสินก่อน ซึ่งผมคิดว่าเวลาก็ยัง 10 ปีข้างหน้า มันเป็นเรื่องของเวลา

สมัยก่อนระหว่างคอมมิวนิสต์กับรัฐบาล รบ ฆ่ากันตายเท่าไร ใครจะยอมให้คอมมิวนิสต์มามอบตัวแล้วไม่เอาเรื่อง แต่ทำไมเขายอมกันได้ ผมกับ พล.อ.กิตติ รัตนฉายา น่าจะต้องโกรธกันตลอดชีวิต เพราะเป็นคนหักหลังผม จับผมเข้าคุก แต่พอมาอยู่พรรความหวังใหม่ด้วยกัน แกเป็นประธานภาคใต้ ผมเป็นที่ปรึกษาทำงานด้วยกัน ทำไมไม่โกรธกัน เพราะกาลเวลามันผ่านไป สภาพการณ์มันเปลี่ยนไป

ดังนั้น นิรโทษกรรมมันต้องเกิดแต่ต้องดูจังหวะเวลาที่เหมาะสม สำหรับคนเล็กๆ นิรโทษกรรมได้เลย เขาไม่ได้ฆ่าใคร และเขาถูกกล่าวหา ถูกกล่าวหาว่ามาชุมนุม ถูกล่าวหาว่าเผาศาลากลาง ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเผาจริง ไม่เผาจริง และไม่มีญาติพี่น้องของศาลากลางไหนจะเจ็บปวด มันเป็นรัฐไม่ใช่บุคคล

ขึ้นบันไดต้องค่อยๆ ก้าวทีละก้าว อย่าก้าวเร็ว ไม่งั้นขาฉีก

ที่มา.ประชาไท
//////////////////////////////

ต้องค้นหาความจริงก่อน จะปรองดอง !!?

หลายฝ่ายออกมาคัดค้านกรณีที่คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมที่เสนอโดยนายวรชัย เหมะ ส.ส.สมุทรปราการ พรรคเพื่อไทย ซึ่งฝ่ายรัฐบาลครองเสียงข้างมากใช้พวกมากลงมติให้แก้ไขสาระสำคัญในมาตรา3 ของร่าง พ.ร.บ.แบบหักดิบด้วยการกำหนดให้มีการนิรโทษกรรมบุคคลที่เกี่ยวข้องเหตุการณ์ทางการเมืองตั้งแต่หลังการรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 โดยครอบลุมบุคคลทุกสีทุกกลุ่มทุกคน  ซึ่งที่สำคัญรวมทั้งการลบล้างโทษความผิดทั้งหมดให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีทั้งๆที่เป็นนักโทษหลบหนีโทษจำคุก 2 ปีตามคำพิพากษาของศาลในคดีทุจริตและมีคดีติดตัวมากมาย

การแก้ไขมาตรา 3 ของร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมตามมติของคณะกรรมาธิการเสียงข้างมากส่งผลให้คดีการสอบสวนของคณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สินที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อรัฐหรือคตส.ที่ตั้งขึ้นหลังการรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 ทั้งหมดซึ่งหลายคดีศาลมีคำพิพากษาไปแล้วและอีกหลายคดีอยู่ระหว่างการพิสูจน์ตามกระบวนการยุติธรรมต้องถูกยกเลิกทั้งหมด

ข้ออ้างที่ให้นิรโทษกรรมแก่ผู้ได้รับผลกระทบจากคตส.อันเป็นหน่วยงานซึ่งเป็นผลพวงจากการรัฐประหารนั้นดูจะไร้น้ำหนักเพราะโดยข้อเท็จจริง คตส.เป็นเพียงหน่วยงานซึ่งทำหน้าที่ในการสอบสวนหาข้อเท็จจริงเบื้องต้นในคดีทุจริตต่างๆยุคที่ พ.ต.ท.ทักษิณเรืองอำนาจ  โดยผลการสอบสวนของคตส.ต้องส่งต่อไปยังหน่วยงานในกระบวนการยุติธรรมตามขั้นตอนปกติทั่วไปและจบลงที่ศาลสถติย์ยุติธรรมที่มีอยู่คู่กับประเทศมาช้านานก่อนการรัฐประหารวันที่ 19 กันยายน 2549

การแก้ไขพ.ร.บ.นิรโทษกรรมครั้งนี้มีผลให้คดีทุจริตการซื้อที่ดินย่านรัชดาภิเษกที่ พ.ต.ท.ทักษิณถูกศาลฏีกาพิพากษาจำคุก 2 ปีโดยไม่รอลงอาญา คดีที่ศาลตัดสินยึดทรัพย์ 46,000 ล้านบาทของ พ.ต.ท.ทักษิณ คดีก่อการร้ายเผาบ้านทำลายเมืองเมื่อปี 2553 ซึ่งพ.ต.ท.ทักษิณ และเหล่าแกนนำคนเสื้อแดงตกเป็นผู้ต้องหา รวมทั้งคดีทุจริตซึ่งอยู่กำลังอยู่ในขั้นตอนตามกระบวนการยุติธรรมทั้งหมดจะถูกลบล้างยกเลิกอันเป็นการทำลายหลักนิติรัฐและความศักดิ์สิทธิ์ของศาลสถิตย์ยุติธรรมอย่างสิ้นเชิง โดยเฉพาะการลบล้างโทษความผิดคดีที่ศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดไปแล้วซึ่งถือเป็นเรื่องที่เลวร้ายและอันตรายเป็นอย่างยิ่งต่อการรักษากติกาในบ้านเมือง

ที่น่าแปลกใจก็คือแม้แต่ผู้ที่จะได้ประโยชน์จากพ.ร.บ.นิรโทษกรรมอย่างนายอภสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ผู้นำฝ่ายค้านและอดีตนายกรัฐมนตรี นายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง รวมทั้งบรรดาแกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยต่างแสดงจุดยืนชัดเจนมาตลอดไม่ขอรับการนิรโทษกรรม แต่พร้อมพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเองด้วยการต่อสู้คดีตามกระบวนการยุติธรรมเพื่อรักษาหลักนิติรัฐและระบบศาล ขณะที่ พ.ต.ท.ทักษิณและพวกกลับไม่กล้าพิสูจน์ความบริสุทธิ์ตามกระบวนการยุติธรรม แต่กลับวิธีการใช้พวกมากรวบรัดผลักดัน พ.ร.บ.นิรโทษกรรมโดยอ้างการสร้างความปรองดองบังหน้าและจับบุคคลอื่นที่เป็นฝ่ายตรงข้ามเป็นตัวประกัน

ทั้งนี้แนวทางการสร้างความปรองดองที่ถูกต้องชอบธรรมซึ่งหลายประเทศในโลกเคยใช้แก้ปัญหาความขัดแย้งภายในชาติจนประสบความสำเร็จและสอดคล้องกับผลสรุปแนวทางการสร้างความปรองดองของคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ( คอป.) ก่อนหน้านี้ที่เคยเสนอว่า การที่จะนิรโทษกรรมเพื่อนำไปสู่การสร้างความปรองดองนั้นสิ่งที่สำคัญที่สุดจะต้องมีการค้นหาข้อเท็จจริงสาเหตุแห่งความขัดแย้งที่เกิดขึ้นเพื่อหาผู้กระทำผิดและผู้กระทำผิดต้องสำนึกผิดและยอมรับโทษตามกระบวนการยุติธรรมพร้อมทั้งรับปากว่าจะไม่กระทำผิดอีกจึงค่อยมาพิจารณาขั้นตอนการนิรโทษกรรมซึ่งจะต้องมีการแยกแยะคดีแห่งความผิดด้วยว่าคดีไหนที่สมควรหรือไม่สมควรได้รับการลบล้างโทษความผิด

ดังนั้นการเดินหน้าพิสูจน์ค้นหาความจริงตามกระบวนการยุติธรรมที่ทุกฝ่ายยอมรับโดยดุษฏีเท่านั้นที่จะเป็นแนวทางสู่การสร้างความปรองดองอย่างแท้จริง ตรงกันข้ามหากอาศัยพวกมากมาบังคับหวังรวบรัด หักดิบออกพ.ร.บ.นิรโทษกรรมแทนที่จะนำไปสู่ความปรองดองกลับจะยิ่งเป็นการสุมไฟแตกแยกนำพาชาติบ้านเมืองไปสู่กลียุค

ที่มา.นสพ.แนวหน้า
//////////////////////////////////////////////

ปลดล็อก ข้าวไทย เปิดทางตลาดจีน !!?

กระแสข่าวที่ดังที่สุดข่าวหนึ่งในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา คือข้อเสนอของ หลี่ เค่อเฉียง นายกรัฐมนตรีของจีนที่กล่าวกับ นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีของไทยว่าจะซื้อข้าวไทยเพิ่มอีกปีละ 1 ล้านตัน เป็นเวลา 5 ปี

ประเด็นนี้ยังเป็นที่ถกเถียงกันว่า 1 ล้านตัน ในความหมายของนายหลี่ เค่อเฉียง หมายความว่า 5 ปีซื้อ 1 ล้านตัน (ปีละ 2 แสนตัน) หรือซื้อปีละ 1 ล้านตัน กันแน่ แต่ไม่ว่าจะซื้อเท่าไหร่ ความหมายในเชิงบวกคือ จีนจะซื้อข้าวไทยเพิ่มขึ้น

"สยามธุรกิจ" เคยรายงานก่อนหน้านี้ว่า ดร.โอฬาร ไชยประวัติ ประธาน ผู้แทนการค้าไทย ได้เคยเดินทางไปเจรจาเรื่องการขายข้าวของไทยในประเทศจีน โดยการเจาะผ่านมณฑลใน ภาคตะวันตก อาทิ มณฑลเสฉวน มณฑล ยูนนาน โดยมองว่าอีก 3-4 ปีข้างหน้า จีนตะวันตกจะยิ่งใหญ่ เทียบเคียงภาคตะวันออก ซึ่งในอดีตภูมิภาคโซนนี้ไม่ได้รับการพัฒนาเหมือนเมืองในโซนตะวันออก เช่น เซี่ยงไฮ้ กวางโจว กวาง ตุ้ง เนื่องจากไม่มีทางออกสู่ทะเล แต่ปัจจุบันรัฐบาลจีนหันมาให้ความสำคัญกับภูมิภาคนี้ ตัดแม่น้ำสายใหม่ สร้างเขื่อน ขนาดใหญ่ให้เรือน้ำหนักหมื่นตันจอดได้ ทำให้ปัจจุบันหลายเมืองในภูมิภาคตะวันตก เริ่มมีต่างชาติเข้าไปลงทุน อาทิ เมืองเฉิงตู เมืองซีอาน เมืองฉงชิ่ง เป็นต้น

"ผมไปเมืองเฉิงตู มณฑลเสฉวน พบ ว่ามีการเปลี่ยนแปลงเร็วมาก จะเรียกว่าพลิกผันในชั่วข้ามคืนก็ได้ อีก 3-4 ปีข้างหน้าจีนตะวันตกจะยิ่งใหญ่เทียบเคียงภาค ตะวันออก สวนแพนด้าในเฉิงตูจะถูกเปลี่ยนเป็นโรงงานอุตสาหกรรม และย้าย สวนแพนด้าไกลออกไปอีก 100 กิโลเมตร นี่คือตลาดใหม่ของไทย" ดร.โอฬาร กล่าว

"สยามธุรกิจ" ได้มีโอกาสคุยกับแหล่งข่าวระดับสูงในคณะผู้แทนการค้าไทย ในประเด็นที่นายกรัฐมนตรีจีนจะซื้อข้าวไทยเพิ่มอีก 1 ล้านตัน ยืนยันว่าส่วนหนึ่งสืบเนื่องมาจากการเจรจาของคณะผู้แทนการค้าไทยนั่นเอง

โดยการซื้อข้าวระหว่างไทยกับจีนจะออกมาหลายรูปแบบ ทั้งแบบจีทูจีคือรัฐบาลจีนซื้อตรงกับรัฐบาลไทย หรือ เอกชนจีนซื้อผ่านรัฐบาลไทย หรือ เอกชน จีนซื้อกับเอกชนไทยโดยตรง

ซึ่งต้องยอมรับว่าในอดีตการซื้อขาย ข้าวระหว่างไทยกับจีนไม่ค่อยสะดวกนัก ทำให้สัดส่วนการนำเข้าข้าวสารของจีนใน ช่วงที่ผ่านมา ปรากฏว่าข้าวจากเวียดนาม นำโด่งเป็นอันดับ 1 โดยมีสัดส่วนการนำเข้ามากถึง 66.7% ตามด้วยปากีสถาน 25% และประเทศไทย 7.6%  ทั้งที่คนจีนนิยมบริโภคข้าวหอมมะลิของไทย แต่ทำไมสัดส่วนการนำเข้าข้าวจากไทยจึงน้อยกว่า เวียดนามหลายเท่าตัว

แหล่งข่าวกล่าวว่า จากการตรวจสอบพบว่า สาเหตุที่ในอดีตจีนนำเข้าข้าวไทยค่อนข้างน้อยเนื่องจากรัฐบาลจีนจัดโควตาให้พ่อค้านำเข้าเพียงไม่กี่ราย โดยจะประจำการอยู่ในมณฑลใหญ่ๆ เช่น เซี่ยงไฮ้ กวางโจว พ่อค้าจากมณฑลอื่นจะนำเข้าต้องผ่านโควตาจากพ่อค้ากลุ่มนี้

กลายเป็น "ผู้กุมอำนาจ" แห่งวงการข้าวจีน

และที่สำคัญยังมีการปลอมปนข้าว โดยการนำข้าวหอมมะลิไทยไปปนกับข้าวเวียดนามและข้าวของจีนแล้วใส่ชื่อว่า "จัสมินไรซ์" จนข้าวหอมมะลิไทยสูญเสียรสชาติจากต้นตำรับ

"คณะผู้แทนการค้าไทยได้เจรจากับรัฐบาลจีน ขอให้พ่อค้าในมณฑลเล็กๆ โดย เฉพาะมณฑลในฝั่งตะวันตกสามารถซื้อข้าวจากไทยได้โดยตรง เช่น พ่อค้าในเมือง เฉิงตู มณฑลเสฉวน ที่นำเข้าข้าวหอมมะลิของไทยประมาณ 3 พันตันต่อปี ก็เจรจากับรัฐบาลจีนขอเพิ่มโควตาเป็นหนึ่ง แสนตัน และขอให้พ่อค้าในท้องถิ่นนำเข้าจากไทยได้โดยตรง โดยไม่ต้องซื้อผ่านพ่อค้ากวางโจว ซึ่งนอกจากจะสะดวกขึ้นแล้ว ยังไม่ต้องเสี่ยงกับการปลอมปน" แหล่งข่าวกล่าว

ข้อมูลข่าวจากกระทรวงเกษตรและสหกรณ์จีน เปิดเผยว่าปี 2012 จีน นำเข้าข้าวคุณภาพดีจากต่างประเทศ 2.6 ล้านตัน ซึ่งเป็นสถิติการนำเข้าข้าว สารสูงที่สุดในประวัติการณ์ เปรียบเทียบ จากปี 2011 คือนำเข้าที่ 5.7 แสนตัน โดยจำนวนข้าวทั้งหมดที่จีนนำเข้าจากต่างประเทศ แบ่งออกเป็นข้าวจากเวียดนาม 66.7% ปากีสถาน 25% และประเทศไทย 7.6%  ปริมาณนำเข้าข้าว จากทั้งสามประเทศคิดเป็น 99.3% ของ การนำเข้าทั้งหมด

สำหรับราคาจำหน่ายข้าวหอมมะลิในเมืองจีนถือว่าสูงมาก ยกตัวอย่าง ข้าวหอมมะลิบรรจุถุง 5 กิโลกรัม เมือง ไทยขายราคา 180-220 บาท แต่ที่ประเทศจีนขายในราคาถุงละ 450-550 บาท เพราะฉะนั้นจึงอย่าแปลกใจหากจะเห็นนักท่องเที่ยวชาวจีนที่เดินทางมา ท่องเที่ยวในเมืองไทย เฮโลซื้อเป็นของฝากญาติพี่น้องในเมืองจีน เพราะนอก จากราคาจะถูกกว่าในเมืองจีนแล้ว รสชาติยังอร่อยกว่าข้าวหอมมะลิที่ขายในจีน โดยแหล่งช็อปปิ้งยอดนิยมคือคิง พาวเวอร์ ซอยรางน้ำ ซึ่งมีทัวร์จีนไปลง วันละ 4-5 พันคนต่อวัน ซื้อข้าวหอมมะลิคนละ 4-5 ถุง ล่าสุดเริ่มขยับขยาย ไปในห้างดิสเคาต์สโตร์ เช่น บิ๊กซี โลตัส ย่านบางนา ซึ่งทางห้างมีการจัดเคาน์เตอร์ข้าวสารรองรับอย่างดี เพื่อให้นักท่องเที่ยวชาวจีนช็อปอย่างจุใจ ถือเป็น อีกตลาดที่ช่วยกระจายข้าวสารไทยในกลุ่มผู้บริโภคชาวจีน

ที่มา.สยามธุรกิจ
/////////////////////////////////////////////

ข้อคิดสำหรับประเทศไทย จาก โครงการ 2 ล้านล้าน !!?

โดย สันติธาร เสถียรไทย

หัวข้อเรื่องเศรษฐกิจที่คนถกเถียงกันอย่างร้อนแรงที่สุดในประเทศไทยตอนนี้คงหนี ไม่พ้นเรื่อง โครงการลงทุน 2 ล้านล้านบาท หรือที่มีชื่อใหม่ว่า "พ.ร.บ.เพื่อการลงทุน เพื่อสร้างอนาคตของประเทศไทย" โดยฝ่ายสนับสนุนบอกว่าโครงการยักษ์นี้สำคัญนักในระยะยาว เพราะประเทศไทยไม่ได้ลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานมาเป็นเวลานานแล้ว จึงทำให้ขีดความสามารถในการแข่งขันลดลง ในระยะสั้น เพราะเศรษฐกิจกำลังต้องการการกระตุ้นในยามอ่อนแอ เมื่อส่งออกมีแรงจำกัด และการบริโภคยังถูกฉุดโดยปัญหาหนี้และรายได้จากการเกษตรที่ไม่ดีนัก

โดยส่วนตัวผมเห็นด้วยว่า การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของไทยนั้นสำคัญเป็นอย่างยิ่ง เพราะจะช่วยกระตุ้นการลงทุนของเอกชนมากขึ้น และเพิ่มศักยภาพของเศรษฐกิจไทยในระยะยาว ในขณะที่แรงงานของไทยเรามีแต่จะขาดแคลนขึ้นเรื่อย ๆ

4 ประเด็นใหญ่ที่คนเป็นห่วง

แน่นอนทุกนโยบายมีทั้งฝ่ายที่สนับสนุนและฝ่ายที่คัดค้าน จากที่ศึกษาและพูดคุยกับผู้เชี่ยวชาญ รวมถึงนักลงทุนต่างชาติรายใหญ่หลายคน ผมคิดว่าเราสามารถแบ่งข้อกังวลเกี่ยวกับโครงการ 2 ล้านล้านได้เป็น 4 กลุ่มคร่าว ๆ ดังนี้

ประเภทแรกคือ นักเศรษฐศาสตร์ที่กังวลด้านเสถียรภาพทางเศรษฐกิจมหภาค เช่น ภาระทางการคลังของรัฐบาลจากการใช้จ่ายที่สูงขึ้น และการขาดดุลทางการค้าที่อาจจะหนักขึ้น ถ้าโครงการเหล่านี้ทำให้การนำเข้าสินค้าโตขึ้นมากอย่างรวดเร็วในเวลาอันสั้นสอง-กลุ่ม ผู้เชี่ยวชาญและนักเศรษฐศาสตร์หลายคนแสดงความกังวลว่า บางโครงการในแผนสร้างอนาคตไทยจะตอบโจทย์เศรษฐกิจของเรา และเข้ากับบริบทของประเทศจริงหรือไม่ ? โดยเฉพาะถ้าเราต้องใช้เม็ดเงินจำนวนมาก ต้องเลือกทำโครงการที่จะสามารถเสริมขีดความสามารถในการแข่งขัน และเพิ่มมูลค่าให้กับเศรษฐกิจในระยะยาวได้จริง

หลายคนคงจะเคยเห็น โครงการขนาดยักษ์ที่ไม่ค่อยได้ประโยชน์ ที่กลายเป็น Road to Nowhere (ถนนที่ไม่มีใครใช้) Unconnected Railway Lines (เส้นทางรถไฟที่ไม่ต่อกับอะไรเลย) หรือ Ghost Town (เมืองที่ไม่มีใครอยู่) เป็น "อนุสาวรีย์แห่งความผิดพลาด" อยู่ในหลายประเทศ เลยเกรงว่าประวัติศาสตร์จะซ้ำรอย

สาม-กลุ่มที่อาจเห็นด้วยกับโครงการ ต่าง ๆ และแผนการของรัฐบาล แต่ห่วงเรื่องความโปร่งใส และตั้งคำถามในอนาคตว่า เมื่อ พ.ร.บ.นี้คลอดออกมาเรียบร้อยแล้ว จะมีใครสามารถตรวจสอบ ติดตาม และวัดผลการดำเนินงานโครงการเหล่านี้ได้หรือไม่ว่าเป็นไปตามแผนและเจตนารมณ์ ที่รัฐบาลตั้งไว้วันนี้หรือไม่ ทั้งในด้านต้นทุนที่อาจสูงกว่าที่คาด หรือผลประโยชน์ที่จะได้รับในอนาคต โดยเฉพาะเมื่อโครงการอยู่นอกกรอบของงบประมาณ (Off-Budget) และหลายโครงการก็ยังขาดรายละเอียด เมื่ออายุโครงการยาวถึง 7 ปี ความเชื่อมั่นในรัฐบาลปัจจุบันยังไม่พอ ต้องให้เชื่อรัฐบาลในอนาคตที่จะเข้ามาทำต่อด้วยว่าจะสามารถทำได้ตามที่วาง แผนไว้หรือไม่

กลุ่มสุดท้าย คือหลายคนที่บอกว่า "เกิดไม่กลัว-กลัวแต่จะไม่เกิด" คือเห็นด้วยกับโครงการและไม่ได้กังวลนักถึงปัญหา 3 ข้อแรก แต่กลัวว่าการลงทุนพื้นฐานขนาดยักษ์จะไม่เกิด หรือเกิดความล่าช้าเพราะที่ผ่านมาไม่ว่าจะรัฐบาลไหนก็ไม่ได้มี Track Record ที่ดีนักในการทำโครงการขนาดใหญ่ ๆ ยิ่งเห็นหลายโครงการยังไม่ได้ทำ Detailed Design หรือแม้แต่ Feasibility Study และถึงมีทำแล้วก็ยังไม่ได้ผ่าน Environmental and Health Impact Assessment หรือการประเมินผลด้านผลกระทบต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม เลยคิดว่าควรรอดูท่าทีก่อนดีกว่า แล้วค่อยลงทุนทีหลัง

ผมไม่ได้มีคำตอบว่า ข้อกังวลเหล่านี้มีมูลมากน้อยเพียงใด และก็ไม่ได้มีทางออกที่จะแก้ข้อกังขาต่าง ๆ ที่ว่านี้ได้ทั้งหมด แต่จากการมีโอกาสติดตามนโยบายเศรษฐกิจของประเทศเพื่อนบ้านเราอย่างค่อนข้าง ใกล้ชิด ในฐานะนักเศรษฐศาสตร์ที่รับผิดชอบดูแลกลุ่มเศรษฐกิจอาเซียน อยากจะตั้งข้อสังเกตว่าจริง ๆ แล้วเพื่อนบ้านใกล้ตัวเรานี้เอง (และบางคนอาจจะเรียกว่าคู่แข่งตลอดกาล) คือ มาเลเซีย ก็มีโครงการ "2 ล้านล้าน" ของเขาเหมือนกัน โดยรัฐบาลเขาได้ดำเนินการโครงการลงทุนพื้นฐานขนาดยักษ์ที่ชื่อ ETP หรือ Economic Transformation Program มาได้ประมาณ 3-4 ปีแล้ว และเขาต้องตอบโจทย์หลายข้อที่เรากำลังเผชิญอยู่เหมือนกัน ผมจึงคิดว่าเราน่ามาลองกลั่นบทเรียนที่สำคัญจากประสบการณ์เขากันบ้าง

ผมเคยเขียนเกี่ยวกับเรื่องรายละเอียดของแผน ETP นี้มาแล้วตอนต้นในบทความของประชาชาติธุรกิจ ที่ชื่อ "พลิกแผนกู้เศรษฐกิจรัฐบาลมาเลเซีย เผยสูตรลับที่ชื่ออีทีพี" (google หาอ่านได้ครับ) เพราะฉะนั้น วันนี้จะเน้นเรื่องบทเรียนกับข้อคิดจากประสบการณ์ของเขาที่อาจนำมาช่วยใน ประเด็นที่คนเป็นห่วงทั้ง 4 ข้อ

4 ข้อคิดสำหรับ 4 ประเด็นห่วง

1.ห่วงว่าโครงการต่าง ๆ ตอบโจทย์ของประเทศหรือไม่ ?

หลักหนึ่งของ ETP ที่น่าสนใจ คือ การดึงภาคเอกชนมาร่วมอย่างใกล้ชิดตั้งแต่ต้น เพราะคนที่จะรู้ว่าแต่ละโครงการจะแก้ปัญหาของประเทศได้แค่ไหน ดีที่สุดคนหนึ่งคือคนที่ต้องเผชิญปัญหาเหล่านั้น และคิดหาทางออกอยู่ทุกวัน โดยการที่รัฐบาลดึงภาคเอกชนมาร่วมตั้งแต่เนิ่น ๆ เปรียบเสมือนกับการที่บริษัททำแบบสำรวจความต้องการและพฤติกรรมของผู้บริโภค ก่อนที่จะสร้างผลิตภันฑ์หรือบริการใหม่ ๆ

เช่น ถ้าอยากรู้ว่าแต่ละโครงการจะมีส่วนช่วยตอบโจทย์โลจิสติกส์ของประเทศมากแค่ ไหน คงต้องถามผู้ประกอบการธุรกิจขนส่ง เดินรถเดินเรือว่ามีจุดไหนบ้าง โครงการแบบใดบ้างจะช่วยแก้ปัญหาคอขวด ลดต้นทุนโลจิสติกส์กับการพึ่งพาน้ำมันได้มากที่สุด ถ้ามีเงินและทรัพยากรจำกัดก็ต้องเลือกมาแค่บางโครงการ คือโครงการอะไรน่าทำที่สุด และไม่ลืมถามบริษัทต่างชาติด้วยว่า อะไรที่ประเทศอื่นมีแต่เรายังขาด และอะไรบ้างจะทำให้บริษัทขนาดใหญ่อยากมาลงทุนในประเทศของเรามากขึ้น

รัฐบาลมาเลเซียได้รวบรวมทั้งธุรกิจ

ต่างชาติบริษัทในประเทศขนาดใหญ่และขนาดเล็กจากหลายภาคอุตสาหกรรม รวมแล้วประมาณ 400 กว่าคน จากมากกว่า 200 บริษัท (เช่น Shell, Air Asia, PriceWaterhouseCoopers-PWC) มาเพื่อทั้งเสาะถามความเห็นว่าอยากเห็นการเปลี่ยนแปลงอะไร และโครงการแบบไหนบ้างที่น่าจะได้ประโยชน์ตอบโจทย์ได้จริง

นอกจากนี้ เขายังดึงสำนักงานกฎหมาย บริษัทที่ปรึกษาด้านธุรกิจและบัญชีมาร่วมด้วย เพราะ บริษัทเหล่านี้มักเป็น นักแก้ปัญหาให้กับผู้ประกอบการหลายภาคอุตสาหกรรม จึงมีความเข้าใจถึงปัญหาที่ผู้ประกอบการเหล่านี้ต้องเผชิญได้เป็นอย่างดี และที่สำคัญอีกข้อคือ เวลาองค์กรนานาชาติจัดอันดับความน่าลงทุนของแต่ละประเทศ เช่น Doing Business Ranking ของ World Bank เขามักจะถามความเห็นจากบริษัทเหล่านี้เช่นกัน เพราะฉะนั้น หากตอบโจทย์ที่เขามีจึงได้โอกาสที่จะก้าวขึ้นอันดับสูง ๆ และการดึงดูดนักลงทุนต่างชาติให้เข้ามาลงทุนก็มีสูงเช่นกัน

อีก ข้อหนึ่งที่น่าสนใจของ ETP คือ การที่เขามีการลงรายละเอียดของแต่ละโครงการไว้อย่างชัดเจนมาก ว่าต้นทุนของแต่ละโครงการน่าจะเป็นเท่าไร ประโยชน์ได้รับเชิงรายได้ประชาชาติกับการสร้างงาน และมีแผนการดำเนินการอย่างไรบ้างทั้งทางตรงและทางอ้อม โดยข้อมูลส่วนใหญ่จะอยู่ในเว็บไซต์ของแผนการที่ตั้งขึ้นมาโดยเฉพาะ แน่นอนผลประโยชน์เหล่านี้เป็นเพียงการประเมินเบื้องต้น แต่การที่มีผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้องเข้ามาร่วมดูอย่างต่อเนื่องก็ทำให้ตัว เลขนั้นมีน้ำหนักมากขึ้น และทำให้คนเข้าใจได้ว่าแต่ละโครงการมีประโยชน์และต้นทุนอย่างไร ดูสมเหตุสมผลหรือไม่

จากการลงรายละเอียดที่มีเอกชนร่วมเช่นนี้ กลายเป็นการที่ทำให้อุตสาหกรรมยานยนต์ของมาเลเซียที่ถูกปกป้องมานานตกออก นอกกรอบอุตสาหกรรมหลักที่ประเทศเขาจะเน้นการพัฒนา เพราะมองแล้วว่าอย่างไรก็ตามศักยภาพเขาไม่มีทางสู้ประเทศอย่างไทยได้

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
////////////////////////////////////////////////////////////

ปรองดอง หรือปกป้องผู้บงการ !!?

โดย : ประชาชน คนรักความเป็นธรรม

ในการสัปยุทธ์กันทางการเมือง ผู้สันทัดกรณีต่างรู้ดีว่า มักมีการสร้างและเร่งสถานการณ์ เพื่อให้ฝ่ายตนได้เปรียบทางการเมืองเสมอ

บางครั้งการสร้างสถานการณ์ก็เลยเถิดไปถึงขั้นทำให้เลือดตกยางออก และเพื่อให้ปิดเกมเร็วขึ้น เขาอาจยอมให้มีการเสียเลือดเสียเนื้อ แม้กระทั่งว่า ชีวิตที่ต้องแลกนั้นจะเป็นมวลชนของฝ่ายตนก็ตาม

ในยุคประชาธิปไตยเบ่งบาน ช่วงปีพศ.2516-2519 นักศึกษาส่วนหนึ่งเกิดความนิยมชมชอบพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย(พคท.) ด้วยเชื่อว่าเป็นพรรคในอุดมคติที่จะมาช่วยแก้ปัญหาความยากจน และความเหลื่อมล้ำของสังคมได้ จึงตัดสินใจเข้าป่าไปเป็นสมาชิกพคท. แต่เมื่อเข้าไปสัมผัสกับความจริง พวกเขาพบว่า ประชาธิปไตยที่ว่านั้น กลับรวมศูนย์อยู่กับแกนนำไม่กี่คน พวกตนไม่มีสิทธิ์มีเสียงในการที่จะเข้าไปแก้ไขปัญหาหรือแสดงความเห็นอะไรได้มากนัก จึงตัดสินใจทิ้งพรรค กลับเข้ามอบตัวกับทางการในเวลาต่อมา

ผู้เขียนได้มีโอกาสคุยกับเพื่อนฝูงที่เข้าป่าไปในสมัยนั้น ผมได้ถามเขาว่า มีคนพูดกันว่าพคท.ก็ใช้วิธีเรียกค่าคุ้มครองจากพวกทำเหมืองเถื่อน พวกลักลอบตัดไม้ จริงหรือไม่ เนื่องจากมันฟังดูเหมือนจะขัดแย้งกับภาพของพรรคที่มีความเป็นอุดมคติสูง อดีตสหายผู้นั้นตอบว่า ในการต่อสู้ทำศึกสงคราม ต้องใช้งบประมาณจำนวนมากเพื่อซื้ออาวุธ เสบียงและยารักษาโรค ดังนั้นเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย คือปลดแอกประเทศและโค่นล้มทุนนิยม ทางพรรคต้องทำทุกวิถีทางรวมถึงการเรียกค่าคุ้มครองเพื่อหาทุนรอน และเขาเองก็เคยอยู่ในเขตที่มีการทำเหมืองเถื่อน จึงขอยืนยันว่าเป็นความจริง

ยามเข้าตาจน ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดที่ทำให้ชนะ คนเรา(คนเลว)ก็ทำได้ทุกอย่าง

ยุทธวิธีที่ใช้ในการสร้างสถานการณ์ โดยเฉพาะการช่วงชิงความเป็นต่อทางการเมืองในทุกวันนี้มีอะไรบ้าง เริ่มตั้งแต่ การเดินขบวนปิดถนน เผายางรถยนต์ (เพื่อให้ดูเหมือนบ้านเมืองอยู่ในภาวะมิคสัญญี ที่รัฐบาลไร้ความชอบธรรมในการปกครองต่อไป) การแห่ศพ การเผาอาคาร ศูนย์การค้า การยึดทำเนียบรัฐบาล ยึดสนามบิน รวมถึงการซุ่มยิงแล้วโยนความผิดให้ฝ่ายตรงข้าม

การสร้างสถานการณ์บางรูปแบบ สามารถแยกแยะได้ง่ายว่าฝ่ายไหนกระทำ แต่บางเหตุการณ์ไม่สามารถหาข้อสรุปได้ เพราะเป็นไปได้ทั้งสองฝ่าย ไม่ว่าฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายต่อต้าน เช่น การเผาศูนย์การค้า การซุ่มยิงคนที่อยู่ในอาคาร หรือแม้แต่เรื่องที่ว่าใครเป็นผู้สั่งการให้ทหารซุ่มยิงคนที่หน้าวัดปทุมวนาราม ทั้งที่กลุ่มคนเสื้อแดงสั่งสลายการชุมนุมแล้ว และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ไม่เป็นประโยชน์ต่อรัฐบาลในสมัยนั้นเลย มันจึงเป็นปริศนาที่อ่านเกมได้ยากยิ่ง ว่าใครเป็นไอ้โม่งที่อยู่เบื้องหลัง

เรื่องนี้ทำให้ผู้เขียนคิดถึง “คำทำนายถิ่นกาขาว” ที่เขียนไว้ตอนหนึ่งว่า

“ประชาชีจะสับสนเรื่องดีชั่ว ถ้วนทุกทั่วจะมุดขุดรูหนี

ไม่แน่ใจสิ่งที่ทำนำความดี เกรงเป็นผีตายตกไปตามกัน

แผ่นดินแยกแตกเป็นสองปกครองยาก เกิดวิบากทุกข์เข็ญระส่ำระสาย

เกิดการปราบจารจลคนล้มตาย เลือดเป็นสายน้ำตานองสองแผ่นดิน”

มันจะแย่จนขนาดทำให้คนแยกไม่ออกเชียวหรือว่าเรื่องไหนดี เรื่องไหนชั่ว เรื่องไหนจริง เรื่องไหนเท็จ แต่มันก็เกิดขึ้นแล้ว

รัฐบาลชุดปัจจุบัน ได้เชิญผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศมาพูด หาวิธีทำให้เกิดความปรองดอง แต่เขาก็พูดตรงกันว่า ก่อนที่จะพิจารณาเรื่องนิรโทษกรรมใดๆ ควรต้องมีการพิสูจน์ความจริงให้ปรากฎเสียก่อน ดังนั้น หากทุกฝ่ายยืนยันว่าตนเองบริสุทธิ์จริง ทำไมไม่จัดให้มีกระบวนการพิสูจน์ให้รับรู้รับทราบกันชัดแจ้งไปเลย ว่าใครเป็นผู้ลงมือ ใครเป็นผู้สั่งการ แล้วค่อยมาไกล่เกลี่ย หามูลเหตุจูงใจให้กระทำ และทำความเข้าใจร่วมกัน

การรีบๆ ร้อนๆ เร่งพิจารณากฎหมายนิรโทษกรรม ก็รังแต่จะทำให้คนเข้าใจไปว่า ตนสร้างสถานการณ์ขึ้นเอง ต้องรีบล้างมือให้สะอาดไวๆ ก่อนที่จะมีคนรู้ความจริง จากเดิมที่เคยลั่นวาจาไว้ว่า จะไม่นิรโทษรวมไปถึงผู้สั่งการ พอถึงคราวนี้แม้นจะประกาศ ขอเอาชีวิตเป็นเดิมพันว่าจะไม่มีการคืนเงิน ก็คงไม่มีใครเชื่อถืออีกแล้ว

ต่อไปในอนาคต จะไม่มีใครเคารพกฎหมาย ผู้คนจะถือว่าทำเรื่องผิดถูกไม่สำคัญ มันสำคัญที่ว่าใครคือผู้ชนะ เพราะผู้ชนะคือคนแก้ประวัติศาสตร์ ดังนั้น ทุกคนจะมุ่งเอาแต่ชนะอย่างเดียว โดยไม่สนใจว่า ต้องใช้ความรุนแรงสักเพียงใด

การเป็นผู้นำ ไม่ว่าจะเป็นผู้นำประเทศ ผู้นำพรรคการเมือง หรือผู้นำฝูงชน ต้องมีความกล้าหาญที่จะเผชิญหน้ากับความจริง อย่าหลบอยู่ในมุมปลอดภัย แล้วสั่งให้มวลชนไปเผชิญหน้ากับหอกดาบกระบอกปืน รอจนกลุ่มควันดินปืนจางหาย แล้วค่อยออกมาชูมือ ประกาศตนว่า ข้าคือวีรบุรษประชาธิปไตย

วันนี้ ถ้าจู่ๆ มีคนแอบมาเผาบ้านท่าน มีคนมาลอบยิงลูกหลานท่าน ท่านไม่อยากรู้เลยหรือ ว่าใครเป็นคนลงมือ ใครเป็นคนสั่งการ ทำไมต้องทำกันรุนแรงขนาดนี้ ท่านจะยอมให้เลิกแล้วต่อกันไปง่ายๆ โดยที่ไม่ถามมูลเหตุเบื้องหลังเลยหรือ

อย่าเขี่ยเบี้ยทิ้ง เพื่อรักษาขุน หาไม่แล้ว ท่านก็จะเป็นได้แค่ จอมหลอกลวงที่หาประโยชน์ไปวันๆ จากความไว้ใจที่มวลชนมอบให้ท่านนั่นเอง

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
/////////////////////////////////////////

วันเสาร์ที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2556

มุมน้ำเงิน !!?

โดย. พญาไม้

การเมืองไทยวันนี้..เป็นการเมืองที่ไม่มีใครคาดหมายได้..เป็นการเมืองเพื่อการแพ้ชนะ..อยู่หรือไป..
ต่างฝ่ายต่างมีหมัดเด็ด..

ประชาธิปัตย์นั้นหมัดเด็ดอยู่ที่มีอาวุธหลากหลาย..มีกำลังภายในเหลือเฟือ..เพรียบพร้อมด้วยอาวุธลูกเล่นแพรวพราว..มีกรรมการเป็นพี่เลี้ยงคอยดูแลเวลาเพลี้ยงพล้ำ

พรรคเพื่อไทย...หมัดเด็ดอยู่ที่กองเชียร์ที่มีจำนวนมากกว่าและพร้อมที่จะลุกฮือขึ้นมาหากว่านักสู้ของตนโดนโกง เป็นมวยลีลาดีน้ำอดน้ำทนสูง จังหวะถอยจังหวะเข้าทำยอดเยี่ยม

ประชาธิปัตย์..อาศัยแบ๊คดี..จะหนีบหมัดเอาหัวโขกชกใต้เข็มขัดก็เป็นมวยเจ้าของสนาม กรรมการมักจะมองไม่เห็น..

หรือเห็นก็จะทำแค่ตักเตือน

หากเรื่องราวแบบเดียวกัน..พรรคเพื่อไทยชกใต้เข็มขัดหรือเอาหัวโขก...กรรมการเคยจับหยุดการแข่งขันและให้แพ้ฟาล์วไปแล้ว

แค่ออกจากมุมช้ายังถูกนับตัดแต้ม..

พรรคเพื่อไทย..เป็นรองอยู่ที่ไม่เคยคิดจะน็อคฝ่ายตรงกันข้าม..หวังแค่ปกปิดแล้วตอบโต้พอทำคะแนนได้..แถมยังชกละเลียดหากำไรจากราคาต่อรองไปเรื่อยๆ

เพราะต่างฝ่ายต่างมีเครื่องมือรบที่ครบมือ จังหวะแพ้ชนะจึงขึ้นอยู่กับ..วินาทีของการตัดสินใจ..และความโหดในการต่อสู้

ใครจะโหดกว่ากัน

มองจากมุมนี้..พรรคประชาธิปัตย์จะได้เปรียบ เพราะผ่านศึกมาแล้วอย่างยาวนาน..และกองเชียร์พี่เลี้ยงก็ได้ชื่อว่า...นักฆ่าแห่งลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา

และผ่านงานฆ่าชนิดที่คนเสื้อแดงก็ได้ประสพมาแล้วจนตายไปเกือบร้อยศพ..

ส่วนพรรคเพื่อไทยนั้น..ส่วนการนำสูงสุดเป็นพวกห่วงหน้าพะวงหลัง..และติดอยู่กับความฝันมากกว่าความเป็นจริงแถมยังมีความห่วงหาอาลัยในเรื่องราวของผลประโยชน์..ชนิดจะเอาทั้งเงินทั้งกล่องไปพร้อมๆ กัน

ถ้าจะให้ชี้ขาด..ต้องเล่นข้างพรรคประชาธิปัตย์ไว้ก่อน..เพลี้ยงพล้ำยังพอออกตัวทัน

ที่มา.บางกอกทูเดย์
//////////////////////////////////

(Brother power in the world) บนความขัดแย้งของสากลนิยม !!?

โดย กิตติภัต แสนดี [randoma.wordpress.com]

อำนาจแบบพี่ในเวทีโลก กับความขัดแย้งของสากลนิยม และไม่นิยมสากล

บ้านพี่เมืองน้อง กลายเป็นวลีหยาบคายสำหรับแวดวงความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ด้วยว่ามันก่อให้เกิดคำถามว่าใครเป็นพี่ ใครเป็นน้อง ต่แล้วในโลกก็ยังมีประเทศที่เป็นพี่ที่มีความหมายเหนือกว่าในด้านทรัพย์สิน และการใช้อำนาจอยู่ดี แม้ว่าเราพยายามหลีกเลี่ยงการใช้วลีนี้ก็ตาม

เหตุการณ์ก็เหมือนจะสั่นคลอนเมื่อประเทศที่เป็นพี่อย่างอเมริกากลับโชว์ฟอร์มเป๋ในเวทีโลกด้วยการปิดการทำงานของรัฐบาลกลางไปสัปดาห์ครึ่ง ส่งผลให้ประธานาธิบดีบารัค โอบามาพลาดการประชุมสำคัญในเอเชีย และเปิดช่องว่างให้ผู้นำจากจีนโชว์เดี่ยว เข้าเจรจาหารือกับประเทศต่างๆ ในภูมิภาค



photo from rightspeak.net

นอกจากเรื่องการเมืองแล้วความน่าเชื่อถือของพันธบัตรรัฐบาลอเมริกาที่เชื่อกันว่าปลอดภัยที่สุดในโลกก็เริ่มจะไม่ปลอดภัยสมคำอ้างเมื่อสภาคอนเกรสเกือบพลาดโอกาสขยายเพดานหนี้และเกือบทำให้รัฐบาลอเมริกาผิดนัดชำระหนี้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์

เหล่านี้ทำให้คำถามถึงความเหมาะสมของการใช้บทบาทความเป็นพี่ของอเมริกา ถูกเพิ่มเสียงให้ดังขึ้น

เป็นที่ทราบกันว่าประเทศนี้ ได้ใช้อำนาจในลักษณะยกเว้นหลักการทางกฎหมายระหว่างประเทศหลายครั้ง ไม่ว่าจะเป็นการเข้าบุก ให้ความช่วยเหลือกลุ่มต่อต้านรัฐบาล พร้อมจับกุมผู้นำในประเทศต่างๆ โดยไม่ได้รับมติจากสหประชาชาติ การกุมขังผู้ต้องสงสัยไว้เนิ่นนานโดยไม่มียื่นฟ้องกล่าวหาชัดเจน ฯลฯ ประธานาธิบดีเบลารุสได้กล่าวในการให้สัมภาษณ์เมื่อต้นเดือนตุลาคม 2013 ว่าการใช้อำนาจแบบข้อยกเว้นของอเมริกา เข้าลักษณะแบบนาซีเข้าไปทุกที

ในแง่ปรัชญา ก็เกิดการแบ่งฝักแบ่งฝ่ายชัดเจน

มีความคิดที่ว่า ความเป็นธรรมคือการใช้กฎเกณฑ์เดียวกันกับทุกคนอย่างเสมอภาค โดยกฎเกณฑ์นั้นต้องเป็นกฎเกณฑ์ที่กำหนดขึ้นภายใต้จินตนาการว่าเราทุกคนยังไม่ได้ไปเกิดในโลกนี้ เราอาจจะเป็นใครก็ได้ในสังคม เช่นนี้ กฎเกณฑ์ที่มาจากจินตนาการแบบนี้ ย่อมมั่นใจได้ว่าเป็นธรรมกับทุกคนไม่เอนเอียงเอื้อประโยชน์ให้คนกลุ่มใดโดยเฉพาะ

แม้ว่าจินตนาการแบบนี้ ค่อนข้างคิดยากสำหรับคนที่อยู่บนโลกและรู้ที่ทางตัวเองแล้ว แต่ก็แน่นอนว่าบุคคลในจินตนาการเหล่านั้นคงไม่กำหนดกฎเกณฑ์ว่า คนที่มีอำนาจอาจฝ่าฝืนกฎเกณฑ์ข้อนั้นข้อนี้ได้ตามใจชอบแน่นอน เพราะต่างคนย่อมยังไม่รู้ว่าตนจะเกิดเป็นใครในสังคม จะเป็นคนมีอำนาจที่จะใช้ข้อยกเว้นนี้ได้หรือเปล่า หรือจะกลายเป็นคนที่ต้องทนเสียเปรียบจากการที่คนที่มีอำนาจใช้ข้อยกเว้นนั้นได้หรือเปล่า


โนม ชอมสกี้เป็นหนึ่งในขาประจำที่ออกมาโจมตีนโยบายของอเมริกาบ่อยครั้งด้วยหลักการนี้ เขากล่าวว่าเมื่อมีคนในรัฐบาลกลางบอกว่า “ทางเลือกทุกทางเลือกเป็นไปได้หมด นั่นคืออาชญากรรมโดยแท้ อเมริกาอาจส่งกองทัพ ไปจับตัวผู้นำในประเทศตะวันออกกลางได้ แต่หากประเทศใดส่งกองทัพมาจับรัฐมนตรีจอห์น เคอร์รี่ คงได้พบความวินาศสันตะโรแน่นอน”

หลักการสากลนิยมเป็นเรื่องเข้าใจง่าย หรือเหมือนจะเป็นสามัญสำนึกของทุกคน คือ ทุกคนอยู่ใต้กฎเกณฑ์เดียวกัน แต่แล้วก็กลับมีบางเวลาที่ต้องหวั่นไหวกับหลักการข้อนี้ เหมือนตัวอย่างที่ใกล้ตัวเช่นเหตุการณ์วงเพลงหมอลำประท้วงการเก็บค่าลิขสิทธิ์การเล่นเพลงในงาน คิดเป็นมูลค่า 0.5% ของมูลค่างานที่จัด หรือแม้แต่ความลักลั่นลังเลใจของผู้ใช้งานคอมพิวเตอร์สำหรับการสร้างสรรค์ ที่ต้องแอบใช้ Photoshop ของปลอมในเครื่องบ่อยครั้ง

ในขณะที่ผู้คนต่างเรียกร้องให้เคารพสิทธิ์ในการเรียกเก็บเงินของผู้สร้างสรรค์ผลงาน แต่เหตุการณ์นี้ก่อให้เกิดความกังวลว่าวัฒนธรรมพื้นบ้านอาจเสียหายเพราะวงหมอลำจะล้มหายตายจากไปด้วยรายจ่ายที่มากเกินกว่ารายรับ จึงอยากให้ “หยวนๆ” หรือบ้างก็อยากให้เก็บในราคาที่ถูกมากๆ ส่วนนักเรียน นักออกแบบรุ่นใหม่ อาจหมดโอกาสสร้างอนาคตเพราะเครื่องไม้เครื่องมือราคาแพงกว่ารายรับทั้งเดือนรวมกัน

ความหวั่นไหวนี้อาจเป็นตรรกะวิบัติสำหรับมุมมองของผู้ที่เชื่อมั่นในสากลนิยม แต่สำหรับนักคิดอีกกลุ่มหนึ่ง เชื่อว่านี่คือหลักฐานที่สำคัญว่าความคิดเรื่องกฎเกณฑ์ต้องใช้กับทุกคนเหมือนกันนั้นผิดพลาดโดยสิ้นเชิง


photo from westernfreepress.com

แทนที่เราจะคิดหลักการบังคับใช้กฎเกณฑ์จากพื้นฐานจินตนาการสภาพที่ไม่มีทางเกิดขึ้นจริงในโลกนี้ นักคิดกลุ่มนี้ชี้ชวนให้มองความเป็นจริงว่าเราต้องอยู่ในชุมชนที่เป็นคนจริงๆ เกิดมาแล้วบนโลกนี้ และในโลกก็ยังมีชุมชนอีกหลายชุมชน ที่มีความเชื่อและเป้าหมายแตกต่างกัน หลักการที่ใช้จึงไม่ควรปฎิเสธข้อเท็จจริงนี้

นักคิดกลุ่มนี้ ให้ความสำคัญกับเป้าหมายของสังคมที่อยากให้มีและเป็น พร้อมดำเนินการใดๆ เพื่อให้ไปถึงจุดมุ่งหมายนั้น เช่น อาจทำสงครามโดยไม่มีมติสหประชาชาติได้ ถ้าพบว่ามีการฝ่าฝืนหลักมนุษยธรรมร้ายแรงเกิดขึ้นจริงๆ และถ้าไม่รีบห้ามปรามแทรกแซง เหตุการณ์จะเลวร้ายขึ้น ขัดต่อเป้าหมายของการรักษาสันติภาพให้เกิดในชุมชนโลก ไม่มีประเทศไหนในโลกที่จะยับยั้งเหตุร้ายนี้ได้อีกแล้ว

แต่แล้วด้วยความคิดหลักการเดียวกันนี้เอง ยังสามารถใช้ต่อต้านการกระทำของอเมริกาได้ เมื่ออเมริกาพยายามส่งออกความคิดความเชื่อเรื่องการเมืองที่ดี ระบบการปกครองที่ดีมาสู่ประเทศอื่นๆ ในแถบเอเชีย โดยใช้มาตรการกดดันต่างๆ ประธานาธิบดีลี กวน ยูของสิงคโปร์ เคยให้ข้อคิดเห็นที่ว่า “หลักการปกครองแบบเสรีนิยมนั้นไม่เหมาะสำหรับการปรับใช้ในประเทศ เพราะบางครั้งรัฐบาลอาจต้องออกนโยบายที่ไม่ถูกใจคนส่วนใหญ่ แต่จำเป็นต้องทำเพื่อให้สังคมบรรลุเป้าหมายเช่นกันด้วย ซึ่งหลักการเสรีภาพของอเมริกาย่อมไม่สนับสนุนให้ทำเช่นนี้แน่นอน”

แต่ข้าพเจ้ายังเชื่อว่าความคิดที่ว่า ตนมีข้อยกเว้นที่ดีสำหรับการฝ่าฝืนหลักการบางประการนั้น ก็ยังเป็นเรื่องอันตราย ไม่ว่าผู้ที่เชื่อเช่นนี้จะมีเจตนาอย่างไร ความอันตรายอาจไม่ได้เกิดจากการมีข้อยกเว้น แต่มันเกิดจากปัญหาในทางปฎิบัติเองที่ผู้ใช้อำนาจขอยกเว้น อาจไม่รู้ตัวว่าตนกำลังใช้ข้อยกเว้นตามหลักการโดยชอบแค่ไหน และหากใช้เกินจริงใครจะห้ามปรามได้

เหตุการณ์ที่เมื่อนำกฎเกณฑ์ไปใช้กับทุกคน แล้วเกิดผลลัพธ์ที่ขัดแย้งกับความเชื่อในเรื่องความยุติธรรมนั้น เรายังอาจมองได้ว่าเพราะกฎเกณฑ์นั้นๆ ต่างหาก ที่กำหนดไว้ไม่ดีพอ ไม่ครอบคลุมเหตุการณ์ที่แตกต่างกันไปในแต่ละที่พอ หากเรากำหนดกฎเกณฑ์ที่สมบูรณ์แบบนี้ได้ เราก็ไม่ต้องกังวลอีกว่าจะมีใครขอยกเว้นผ่อนผันในเรื่องการบังคับใช้กฎเกณฑ์ ดังนั้นควรจึงทุ่มเทไปในการกำหนดหลักเกณฑ์มากกว่าการพึ่งอำนาจแบบพี่ชาย

ที่มา.Siam Intelligence Unit
//////////////////////////////////////////

วันศุกร์ที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2556

ปัญหาอุปสรรค : จีน-อาเซียน !!?

การเดินทางของผู้นำจีนมาเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตลอดสัปดาห์ที่แล้ว น่าสนใจมาก และเห็นการก้าวรุก ทางการทูตและการต่างประเทศ ที่ได้จังหวะได้โอกาส สวยงาม ในการสร้างความมั่นใจที่ดียิ่งขึ้นของอาเซียนต่อจีน

โอกาสและจังหวะที่ดีนี้เกิดโดยเหตุที่ประธานาธิบดี โอบามาเอง งดการเดินทางมาประชุมเอเปคที่อินโดนีเซียและ การประชุมสุดยอดเอเชียตะวันออกที่บรูไนกับเยี่ยมเยือนพันธมิตรบางประเทศของตน ทั้งในเอเชียตะวันออก และในอาเซียน

ขณะที่ประธานาธิบดีของจีน นาย หลี สี่ผิง และนายกรัฐมนตรีของจีน นาย ลี่ เข่อเจี้ยง มาเยือนอาเซียนหลายประเทศ เริ่มแต่นาย หลี สี่ผิง ไปประชุมและเยือนอินโดนีเซีย กับประชุมสุดยอดเอเชียตะวันออกที่บรูไน เขายังไปเยือนมาเลเซียอีกด้วย

ในขณะที่นาย ลี่ เข่อเจี้ยง นั้นมาเยือนประเทศไทยเป็น การเฉพาะ นี่ต้องนับเป็นการวางยุทธศาสตร์ทางการทูตของจีน ที่น่าสนใจ ในการเป็นมหาอำนาจและการสร้างเขตอิทธิพลของ จีนโดยรวมในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก และโดยเฉพาะในอาเซียน ซึ่งกำลังรวมตัวเป็นประชาคมเติบใหญ่กล้าแข็งไปพร้อมกันกับจีน

ความสำคัญของการไปเยือนอินโดนีเซียนั้น สำคัญต่อ จีนมากในการวางสถานะความสัมพันธ์ของจีนกับอาเซียนในอนาคตไม่น้อยเลย และมองได้ว่าการไปอินโดนีเซีย กับมาเลเซีย คราวนี้มีเจตนาสำคัญส่วนหนึ่งที่จีนเองต้องการเยียวยาบาดแผล ทางใจที่เคยมีกับอินโดนีเซีย และมาเลเซีย แต่อดีตการเมืองในสองประเทศนี้

คงไม่ลืมกันว่า อดีตของอินโดนีเซียในช่วงที่รับเอกราชและ อิสรภาพมาหลังสงครามโลกครั้งที่สองนั้น โดยเฉพาะในช่วงที่ ซูการ์โนเป็นผู้นำอินโดนีเซียตกอยู่ภายใต้การแทรกซึมและคุกคาม ของขบวนการคอมมิวนิสต์อินโดนีเซียอย่างรุนแรงมากในประวัติศาสตร์การเมืองของอินโดนีเซีย

ลัทธิคอมมิวนิสต์ที่คุกคามอินโดนีเซียขณะนั้น ซึมลึกลงถึง ทุกระดับหมู่บ้าน (คล้ายลักษณะของการสร้างหมู่บ้านแดงในไทย ขณะนี้) และยังก้าวรุกทางการเมืองอย่างมีอิทธิพลสูงยิ่ง และดูเหมือน จะครอบงำซูการ์โนขณะนั้นชนิดเกือบยึดประเทศเอาไว้ได้ หากไม่ เกิดเหตุการณ์ที่ในที่สุด นายพล ซูฮาร์โต ปฏิวัติขับไล่และล้มล้าง อิทธิพลของคอมมิวนิสต์ที่มีจีนหนุนหลังลงได้ ตั้งแต่ปี ค.ศ.1963

ตั้งแต่ปีค.ศ.1965 ที่นายพล ซูฮาร์โต เป็นผู้นำของอินโดนีเซียมาจนถึงการก้าวลงจากอำนาจในเดือนพฤษภาคม ค.ศ.1998 นั้น เขาสยบลัทธิคอมมิวนิสต์ในประเทศลงได้อย่างราบคาบทีเดียว ด้วยการนำเอา "ระเบียบใหม่" (New Order) มาใช้ถอนรากถอนโคนทั้งซูการ์โนและกระบวนการลัทธิคอมมิวนิสต์หมดไป

33 ปีขอวงการครองอำนาจของซูฮาร์โต เป็นช่วงที่อินโดนีเซียไม่เคยไว้วางใจจีนเลย เพราะด้วยเหตุในประวัติศาสตร์ที่บาดหมางทางใจกันตลอดมา การล้มล้างลัทธิคอมมิวนิสต์ในเหตุการณ์ 30 กันยายน 1965 มีผู้คนในอินโดนีเซียล้มตายไปถึงกว่าห้าแสน คน และจากนั้นอินโดนีเซียระแวงกลัวจีนมาตลอด เพิ่งจะมารื้อฟื้นความสัมพันธ์ปกติอีกครั้งเมื่อปีค.ศ.1990 นี้เอง

จุดนี้เองที่ทำให้มองเห็นการเดินทางของผู้นำจีนคราวนี้ มีนัยสำคัญทางการเมืองในการวางสถานะของจีนกับอินโดนีเซีย และ กับอาเซียนในอนาคต ความที่ทั้งจีนและอินโดนีเซียเป็นประเทศใหญ่ด้วยจำนวนประชากรด้วยกันทั้งคู่ และจีนจัดว่าเป็น "พี่เอื้อย" ของอาเซียน จีนเจาะอาเซียนหมู่เกาะจากอินโดนีเซียนี่เอง

ในส่วนของมาเลเซียความสัมพันธ์ของสองประเทศของมาเลเซียกับจีนก็หาได้ราบรื่นไว้เนื้อเชื่อใจกันมานักหนาไม่ และก็มีเหตุบาดหมางทางใจในประวัติศาสตร์ทางการเมืองไม่ต่างกับอินโดนีเซีย ถ้ายังไม่ลืมเหตุการณ์ลุกฮือของชนเชื้อชาติจีนในมาเลเซีย ในปีค.ศ.1696 นั้น หลายหมื่นคนในมาเลเซียสังเวยชีวิตในเหตุการณ์นั้นเช่นกัน

ว่าโดยทั่วไปแล้ว ความสัมพันธ์ของจีนกับประเทศในกลุ่มอาเซียนส่วนใหญ่นั้นไม่ได้สมบูรณ์อะไรนักหนา ด้วยนโยบายแพร่ ขยายลัทธิคอมมิวนิสต์ของจีน นับแต่จีนเป็นคอมมิวนิสต์สมบูรณ์ ครบมาแต่ปีค.ศ.1949 นั้น การปิดล้อมป้องกัน และการต่อสู้กับพรรคคอมมิวนิสต์จีนในประเทศต่างๆ ทางแถบนี้นั้น เป็นกำแพงขวางกั้นสำคัญของการมีความสัมพันธ์ต่อกัน จนเมื่อภูมิ-ทัศน์ทางการเมือง หลังสงครามเย็นสิ้นสุดลงแล้วนี่เอง

แม้กระนั้น เหตุบาดหมางของบางประเทศในอาเซียนกับจีน ก็ยังเป็นจุดสะดุดในความสัมพันธ์ต่อกันบางระดับ เพราะด้วยความ ขัดแย้งในการเรียกร้องสิทธิครอบครองเหนือบางหมู่เกาะในเขตทะเลจีนใต้ ระหว่างจีน กับ สี่ประเทศในอาเซียนที่มี บรูไน มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ กับเวียดนาม นั่นเอง เป็นคู่กรณีต่อกัน

กรณีความขัดแย้งในทะเลจีนใต้จึงดูเป็นเป้าหมายหลัก ต่อการสร้างความมั่นใจด้านความมั่นคงที่จีนต้องการแสดงให้ อาเซียนวางใจในการแก้ปัญหาต่อกัน เพราะฉะนั้นก็จะเห็นสิ่ง แสดงออกในการเดินทางของ สี จิ้นผิง ทั้งในการประชุมอาเซียน ที่บรูไน ในการเยือนอินโดนีเซีย และมาเลเซีย ตอกย้ำความร่วมมือ และการอยู่ร่วมกับอาเซียนอย่างสันติ แม้จะยุ่งยากกับปัญหาทะเลจีนใต้อย่างไรก็ตาม

โยงใยที่ร้อยรัดเข้ามาในอาเซียนจากจีนนั้น นอกจากมอง ยุทธศาสตร์การทูตการต่างประเทศของจีนต่ออาเซียนในหมู่เกาะโอบล้อมเข้ามายังอาเซียนบนผืนแผ่นดินใหญ่ ที่มีประเทศ ไทยเป็นศูนย์กลางสำคัญแล้ว เห็นได้ชัดจากการแยกมาเยือน ไทยของนายกรัฐมนตรี หลี เข่อเจี้ยง และอย่างที่ได้เห็นกันแล้วว่าได้มีการตกลงความร่วมมือต่อกันถึง 6 ฉบับ กับการที่จีนจะให้ความสนใจช่วยเหลือไทย

ผลอันกว้างไกลกับการเยือนไทยนี้ มองเห็นถึงการเชื่อมโยงจีนกับอาเซียนเข้ามาอย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น เพราะด้วยยุทธศาสตร์การพัฒนาจีนด้านใต้และตะวันตกที่มียูนนานเป็นศูนย์กลาง เปิดทางการพัฒนาของจีนแถบนั้น เข้าสู่อาเซียนและศูนย์กลางอาเซียนที่ไทยเป็นสำคัญ จีนโอบล้อมอาเซียน ได้อย่างเนียนเหลือเกิน

แม้กระนั้นจีนก็ยังเป็นตัวการสำคัญที่อาเซียนจะยังต้อง ระมัดระวังท่าทีในความสัมพันธ์ที่จะมีต่อกันต่อไป เพราะในที่สุดเราก็ยังเห็นกันว่า จีนเป็นคู่กรณีโต้แย้งกับอาเซียนสำคัญ สองเรื่องที่แย่งผลประโยชน์ต่อกัน 1) คือเรื่องความขัดแย้งในทะเลจีนใต้ 2) คือความขัดแย้งแย่งน้ำในแม่น้ำโขง ซึ่งจีนไม่เคยยอมให้ด้วยดีกับอาเซียนเลย

ที่มา.สยามธุรกิจ
///////////////////////////////////////////////////

ยกเลิกวีซ่า ไทย-จีน !!?

ปัจจุบันจีนได้มีการพัฒนาเป็นตลาดการท่องเที่ยวที่ใหญ่ที่สุดในโลก เนื่องจาก ประชากรที่มีจำนวนมากถึง 1,300 ล้านคน โดยในปีที่ผ่านมาจีนกลายเป็นประเทศ ที่มีการใช้จ่ายในการเที่ยวต่างประเทศสูงเป็นอันดับ 1 ของโลก และเป็นประเทศที่สามารถรองรับนักท่องเที่ยวจากต่างชาติจำนวนมากเป็นอันดับที่ 3 รวมทั้งเป็นประเทศที่มีรายได้การท่องเที่ยวจากต่างประเทศมากเป็นอันดับที่ 4 ในโลก และคาดว่าจะมีประชากรจีนจำนวน 400 ล้าน คน เดินทางท่องเที่ยวที่ต่างประเทศภายใน 5 ปีข้างหน้า

นางชไมพร เจือเจริญ ผู้อำนวยการสำนักส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ณ นครคุนหมิง เปิดเผยว่า จีนได้เริ่มดำเนิน กฎหมายการท่องเที่ยวของจีนตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2556 ที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็น "กฎหมายเหล็ก" ที่สั่งห้ามการกระทำที่มิชอบของบริษัททัวร์ อาทิ การจัด "ทัวร์ศูนย์เหรียญ" หรือการเพิ่มแหล่งซื้อของในโปรแกรมทัวร์ เป็นต้น ซึ่งผู้เชี่ยวชาญคาดว่ากฎหมายการท่องเที่ยวดังกล่าวนี้จะส่งผล กระทบต่อราคาทัวร์ให้พุ่งสูงขึ้น จนอาจจะทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่เดินทางไปต่างประเทศลดลง

แต่อย่างไรก็ตาม ได้มีหน่วยงานการ ท่องเที่ยวที่เกี่ยวข้องสำรวจพบว่า ปัจจุบัน นักท่องเที่ยวชาวจีนร้อยละ 70 เลือกไปเที่ยวด้วยตนเอง มีเพียงไม่ถึงร้อยละ 30 ที่เลือกท่องเที่ยวไปกับคณะทัวร์ นอกจากนี้ บริษัททัวร์ในจีนก็มีการเปลี่ยนกลยุทธ์การตลาด โดยจัดคณะทัวร์ "เที่ยวด้วยตนเอง" ซึ่งให้บริการเฉพาะตั๋วเครื่องบิน รถยนต์ และที่พักโรงแรมในท้องถิ่น นักท่องเที่ยวสามารถจัดโปรแกรมของตน เองได้ ซึ่งถือว่าเป็นอีกช่องทางหนึ่งที่ดึง ดูดนักท่องเที่ยว

นางชไมพร กล่าวว่า ในส่วนของไทยข้อมูลจากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย แสดงให้เห็นว่า ปัจจุบันจีนถือว่าเป็น ตลาดท่องเที่ยวขนาดใหญ่ของไทย ในช่วง แปดเดือนแรกของปีนี้ (มกราคม-สิงหาคม) จำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่เดินทางมายังไทย มีถึง 3.22 ล้านคน สูงกว่าช่วงเดียวกับปีก่อนถึงร้อยละ 88.42

จำนวนนักท่องเที่ยวชาวจีนที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในแต่ละปี ไทยจึงมีความ จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเตรียมพร้อมสำหรับ การต้อนรับนักท่องเที่ยวชาวจีน ไม่ว่าจะเป็น การหาสิ่งอำนวยความสะดวก ได้แก่ ที่พัก ร้านอาหารและเครื่องดื่ม สถานบริการ เช่น ร้านขายของที่ระลึก ร้านซักรีด สถานที่นันทนาการ ฯลฯ และปัจจัยพื้นฐานต่างๆ เพื่อดึงดูดให้เกิดความประทับใจในการเดินทางมาท่องเที่ยวในประเทศไทย

นอกจากนี้ รัฐบาลไทยและจีนต่าง มีแนวความคิดในเรื่องการยกเลิกการขอวีซ่าเข้าประเทศของทั้ง 2 ประเทศ ซึ่งหากมีการยกเลิกมาตรการขอวีซ่าแล้ว จะเป็นสิ่งอำนวยความสะดวกอีกประการหนึ่งสำหรับนักท่องเที่ยว ในการดึงดูดนักท่องเที่ยวยังสามารถสะท้อนให้เห็นถึงความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างสองประเทศ ความเชื่อใจ และมิตรภาพ ซึ่งทำให้ประชาชนของทั้งสองประเทศมีความรู้สึกที่ดีต่อกันมากยิ่งขึ้น

ที่มา.สยามธุรกิจ
/////////////////////////////////

นิรโทษกรรม : ฉบับเหล้าพ่วงเบียร์ !!?

โดย.สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ

ในการประชุมคณะกรรมาธิการพิจารณาร่างกฎหมายนิรโทษกรรมวาระที่สอง ในวันที่ 18 ตุลาคม ที่ผ่านมา เสียงส่วนใหญ่ของที่ประชุมได้ลงมติสนับสนุนให้เป็นไปตามร่างการแปรญัตติที่นายประยุทธ์ ศิริพานิชย์ สส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย เสนอ ซึ่งใจความสำคัญ อยู่ที่มาตรา 3 ซึ่งมีข้อความคือ

"ให้บรรดาการกระทำทั้งหลายทั้งสิ้นของบุคคลหรือประชาชนที่เกี่ยวเนื่องกับการชุมนุมทางการเมือง การแสดงออกทางการเมือง หรือความขัดแย้งทางการเมือง หรือที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้กระทำผิดโดยคณะบุคคลหรือองค์กรที่จัดตั้งขึ้นภายหลังการรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน พ.ศ.2549 ถึงวันที่ 8 สิงหาคม พ.ศ.2556 ไม่ว่าผู้กระทำจะได้กระทำในฐานะตัวการ ผู้สนับสนุน ผู้ใช้ให้กระทำ หรือผู้ถูกใช้ หากการกระทำนั้นผิดต่อกฎหมาย ก็ให้ผู้กระทำพ้นจากความผิดและความรับผิดโดยสิ้นเชิง การกระทำในวรรคหนึ่ง ไม่รวมถึงการกระทำผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112"

การลงมติในลักษณะเช่นนี้เป็นการปรับแก้หลักการของร่างกฎหมายนิรโทษกรรมเดิมที่เสนอโดย นายวรชัย เหมะ ส.ส.สมุทรปราการ และคณะ ซึ่งก่อให้เกิดผลที่แตกต่างกับร่างที่ผ่านวาระแรก 4 ข้อ คือ ประการแรก เป็นการนิรโทษกรรมให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ในคดีทั้งหมด ประการที่สอง เป็นการนิรโทษกรรมแกนนำทุกฝ่าย ทั้งฝ่าย นปช.และฝ่ายพันธมิตร ประการที่สาม คือ นิรโทษกรรมให้กับทหารที่สลายการชุมนุมเมื่อเดือนเมษายน-พฤษภาคม 2553 รวมถึงอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และ สุเทพ เทือกสุบรรณ รวมถึงเจ้าหน้าที่รัฐที่ใช้ละเมิดสิทธิเสรีภาพของประชาชนในช่วงเวลา 9 ปี ประการที่สี่ เป็นการระบุชัดถึงการทอดทิ้งเหยื่อของมาตรา 112 ซึ่งเป็นข้อหาที่ไร้ความเป็นธรรมและละเมิดสิทธิมนุษยชนมากที่สุดในยุคสมัยปัจจุบัน ทั้งที่ในร่างเดิมไม่มีการระบุชัดเช่นนี้

ในเรื่องยกเว้นมาตรา 112 เป็นการบ่งชี้ว่า นี่ยังไม่ใช่เป็นนิรโทษแบบเหมาเข่งสุดซอยอย่างแท้จริง แต่เป็นการสะท้อนทัศนะยอมจำนนของฝ่ายกรรมาธิการเสียงข้างมากต่อฝ่ายอนุรักษ์นิยมเจ้า ทั้งที่เหยื่อมาตรา 112 ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นคุณดารณี ชาญเชิงศิลปะกุล สมยศ พฤกษาเกษมสุข เอกชัย หงส์กังวาน ปภัสชนัญญ์ ฉิ่งอินทร์ และคนอื่น ต่างก็ต้องคดีเพราะเป็นส่วนหนึ่งของความขัดแย้งทางการเมืองหลังรัฐประหาร พ.ศ.2549 ทั้งสิ้น ดังนั้นจึงต้องถือว่า เป็นการนิรโทษกรรมในลักษณะ”เหล้าพ่วงเบียร์” คือ นำเอาการนิรโทษกรรม พ.ต.ท.ทักษิณ และนิรโทษกรรมทหาร มาผูกพ่วงกับการนิรโทษกรรมประชาชนที่ปราศจากความผิด

นายชวลิต วิชยสุทธิ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ในฐานะเลขานุการคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมได้พยายามอธิบายในวันที่ 21 ตุลาคมว่า การเสนอแปรญัตติดังกล่าวเพราะกรรมาธิการต้องการแก้ไขผลพวงความไม่เป็นธรรมและความวุ่นวายที่เกิดจากการรัฐประหาร และยึดหลักการให้ทุกฝ่ายได้รับความเสมอภาคทางกฎหมายเท่าเทียมกัน และว่า การปรองดองแห่งชาติต้องเริ่มต้นจากทุกฝ่ายให้อภัยกันก่อน การออกกฎหมายนิรโทษกรรมแก่ทุกฝ่ายเป็นหลักการเดียวที่ทั่วโลกพึงปฏิบัติ เพื่อให้ประเทศชาติกลับมาสงบ แม้กระทั่ง น.ส.ขัตติยา สวัสดิผล ที่เดิมทีก็ไม่ยอมให้มีการนิรโทษกรรม แต่ภายหลังก็ยอมเสียสละ เพื่อให้ประเทศชาติเดินต่อไปได้ เพราะหากยังมีความทิฐิอยู่ ก็ไม่เกิดการนิรโทษกรรมได้สำเร็จ

แต่กระนั้น นายปิยะบุตร แสงกนกกุล นักวิชาการกลุ่มนิติราษฎร์ ได้ชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่า การนิรโทษกรรมลักษณะนี้ ก่อให้เกิดปัญหาทั้งทางการเมืองและในทางกฎหมาย โดยเฉพาะเรื่องการแปรญัตติในระดับกรรมาธิการที่กระทำขัดกับหลักการที่สภารับในวาระแรก จะถูกฟ้องให้การแปรญัตตินี้เป็นโมฆะ นอกจากนี้ ก็คือ การไม่ระบุชัดว่า คดีในลักษณะใดที่จะได้รับการนิรโทษกรรม ก็จะกลายเป็นการเป็นที่ถกเถียงว่า เรื่องไหนเข้าข่ายนิรโทษ ทำให้การตัดสินสุดท้ายไปอยู่ที่ศาล กลายเป็นการเปิดทางให้ศาลผูกขาดการตีความเงื่อนไขการนิรโทษกรรม

ฝ่ายพรรคประชาธิปัตย์ และกลุ่มเสื้อเหลืองสลิ่มฝ่ายขวา ก็โจมตีการนิรโทษกรรมลักษณะนี้ โดยมุ่งไปที่ปัญหาที่ว่า จะเป็นการนิรโทษกรรมข้อหาทุจริตคอรับชั่น ซึ่งจะเท่ากับนิรโทษกรรมให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ในหลายคดีทั้งที่ตัดสินไปแล้วและยังคั่งค้างอยู่ในศาล แล้วยังจะนำไปสู่การคืนทรัพย์สิน 4.6 หมื่นล้าน ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่ศาลสั่งให้ยึดมา ทั้งยังยืนยันในข้ออ้างเดิมว่า การนิรโทษกรรมจะเป็นการทำลาย”หลักนิติรัฐและนิติธรรม” โดยเฉพาะกลุ่มผู้นำการประท้วงรัฐบาล ยังคาดหมายว่า ประเด็นเรื่องนิรโทษกรรมนี้ จะเป็นประเด็น”จุดติด”ที่นำมวลชนมาต่อต้านรัฐบาลได้สำเร็จ

แต่กรณีของกลุ่มคนเสื้อแดง ประเด็นที่ไม่เป็นที่ยอมรับคือ การนิรโทษกรรมที่ยกเข่งให้กับฝ่ายทหาร ศอฉ. พ้นจากความผิด และยังยกความผิดให้อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และ สุเทพ เทือกสุบรรณ ที่เป็นตัวการในการเข่นฆ่าสังหารประชาชน ซึ่งจนถึงขณะนี้ก็ยังใช้วิธีการโกหกรายวันใส่ร้ายป้ายสีคนเสื้อแดง เพื่อเอาตัวรอด และยังไม่เคยแสดงท่าทีในการสำนึกในโทษกรรมของตนเองเลย

ความจริงแล้ว กลุ่มคนเสื้อแดงไม่ได้ติดใจเรื่อง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ต้องถือด้วยซ้ำว่า กรณีของ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นเรื่องของความอยุติธรรมที่ได้รับผลพวงจากการรัฐประหาร การหาเหตุมาเล่นงาน พ.ต.ท.ทักษิณ ด้วยคดีของ คตส.(คณะกรรมการการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ) ที่ตั้งโดยคณะรัฐประหารเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องทั้งหมด กระบวนการยึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณก็เป็นเรื่องอันไร้เหตุผล เพียงแต่ว่าจะเป็นการดีกว่านี้ ถ้าจะไม่เอาเรื่องการขอนิรโทษกรรม พ.ต.ท.ทักษิณมาพ่วงกับกฎหมายนิรโทษกรรมประชาชน ปัญหาของกรณี พ.ต.ท.ทักษิณ มีวิธีการแก้ไขที่ง่ายกว่าและเป็นธรรม นั่นคือการยกเลิกผลพวงคณะรัฐประหาร พ.ศ.2549 ทั้งหมด ให้กฎหมายและคำสั่งที่ออกโดยคณะรัฐประหารเป็นโมฆะ แล้วนำ พ.ต.ท.ทักษิณมาพิจารณาด้วยกฎหมายธรรมดา

ดังนั้น ในวันที่ 19 ตุลาคม แกนนำของกลุ่ม นปช. เช่น จตุพร พรหมพันธุ์ ณัฐวุฒิ ไสยเกื้อ สงคราม กิจเลิศไพโรจน์ และ วิภูแถลง พัฒนภูมิไท เป็นต้น ก็ได้แสดงท่าทีอย่างเป็นทางการไม่เห็นด้วยกับการนิรโทษกรรมลักษณะเช่นนี้ ดังเช่นที่ ธิดา ถาวรเศรษฐ ประธาน นปช.ยืนยันว่า ไม่เห็นด้วยกับการนิรโทษกรรมฝ่ายฆาตกร ด้วยเหตุผลที่ไม่ต้องการให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย และไม่ต้องการทรยศประชาชนหากการฆ่าบนท้องถนนเกิดขึ้นได้โดยไม่มีใครต้องรับผิดชอบ และคิดว่าคนเสื้อแดง แม้เขาจะรักคุณทักษิณแต่เขาไม่เห็นด้วย ที่จะทำให้ประวัติศาสตร์หน้านี้หายไปเฉยๆ ไม่ได้ และอธิบายว่า กลุ่ม ส.ส.พรรคเพื่อไทย ส่วนที่พยายามทำเช่นนี้ เพราะมองแบบนักการเมือง คิดว่าถ้าสามารถเจรจากันแล้วจะอยู่ร่วมกันต่อไปได้ แต่มวลชนที่เติบโตมาจากการต่อสู้จะไม่คิดเช่นนั้น เพราะจะคิดในมิติของความเป็นธรรมที่ว่า ฆาตกรจะต้องถูกลงโทษ ส่วนนายแพทย์เหวง โตจิราการ ก็ประกาศจุดยืนว่า ยังยืนยันที่จะนิรโทษเฉพาะประชาชนเท่านั้น ไม่นิรโทษให้แกนนำและผู้สั่งการฆ่าประชาชนเด็ดขาด หากพรรคยืนยันให้นิรโทษ "ยกเข่ง"ก็จะขอสงวนความเห็น

สำหรับนายวรชัย เหมะ ส.ส.สมุทรปราการ พรรคเพื่อไทย ในฐานะผู้นำเสนอร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฯ กล่าวว่า ตนยังมีท่าทีเช่นเดิมคือไม่ต้องการให้มีการนิรโทษพวกตนและแกนนำคนเสื้อแดง แกนนำเสื้อเหลือง รวมถึงนายอภิสิทธิ์ นายสุเทพ และได้ขอสงวนคำแปรญัตติไว้แล้ว เพื่อยืนยันเนื้อหาในร่างเดิม

สรุปแล้ว ร่างกฎหมายนิรโทษกรรมเหล่าพ่วงเบียร์เช่นนี้ ย่อมไม่อาจเป็นที่ยอมรับ ฝ่ายพรรคเพื่อไทยควรจะต้องกลับไปพิจารณาใหม่ และนำกลับมาสู่หลักการของร่างเดิมที่ผ่านวาระแรกน่าจะเป็นการดีกว่า

ที่มา:นสพ.โลกวันนี้วันสุข
----------------------------------

องค์กรสื่อค้าน พรบ.คอมพ์ฉบับใหม่ จำกัดสิทธิเสรีภาพ ประชาชน.



องค์กรสื่อเรียกร้องให้รัฐบาลทบทวนการประกาศใช้พรบ.คอมพิวเตอร์ฉบับใหม่ อันจำกัดสิทธิเสรีภาพประชาชน ขัดรัฐธรรมนูญ แนะทำประชาพิจารณ์

 องค์กรวิชาชีพสื่อมวลชน ได้ออกแถลงการณ์ค้านพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฉบับใหม่ ระบุ ตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) ได้ประกาศเมื่อเดือน ก.ค.ว่า ได้ทำการประชาพิจารณ์ร่างพรบ.ว่าด้วยการกระทำความผิดที่เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ฉบับใหม่เป็นที่เรียบร้อยแล้ว และจะเสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไปนั้น

องค์กรวิชาชีพสื่อมวลชน ประกอบด้วย สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย สมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย สมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์ ชมรมนักข่าวสายเทคโนโลยีสายสารสนเทศ และนักวิชาการผู้เชี่ยวชาญทางด้านกฎหมายคอมพิวเตอร์ ได้พิจารณาเนื้อหาของร่างกฎหมายฉบับดังกล่าวแล้ว เห็นว่าเนื้อหาของร่างแก้ไขกฎหมายฉบับนี้มีรายละเอียดที่จำกัดสิทธิเสรีภาพของประชาชนในการแสดงความคิดเห็นส่วนบุคคลและขัดต่อหลักสิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญค่อนข้างมาก

ทั้งนี้ เห็นได้จากร่างกฎหมายฉบับดังกล่าวได้แก้ไขเพิ่มเติมในเรื่องการปิดบล็อกเว็บไซต์ให้ง่ายขึ้น โดยตัดส่วนของการกลั่นกรองโดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงไอซีทีออกไป และให้อำนาจพนักงานเจ้าหน้าที่มากขึ้นโดยปราศจากการตรวจสอบ ซึ่งทำให้การละเมิดสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานของประชาชนในการรับรู้ข้อมูลข่าวสารถูกละเมิด

นอกจากนี้ เนื้อหาที่แก้ไขของกฎหมายฉบับนี้ ยังขัดต่อหลักโครงสร้างขั้นพื้นฐานของการติดต่อสื่อสารผ่านอินเทอร์เน็ต และก่อให้เกิดความรับผิดแก่บรรดาผู้ประกอบการเว็บไซต์ ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต ผู้ให้บริการมือถือ ผู้ใช้บริการอินเทอร์เน็ตทั่วไป เห็นได้จากร่างกฎหมายที่ระบุให้การทำสำเนาข้อมูลคอมพิวเตอร์และการครอบครองข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่ลามกอนาจารที่ส่งผ่านผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตและมือถือผิดกฎหมาย แม้ประมวลผลอัตโนมัติโดยเครื่องคอมพิวเตอร์ โดยใช้ถ้อยคำที่กว้างและก่อให้เกิดปัญหาในการตีความในภายหลัง ซึ่งขัดต่อหลักการร่างกฎหมายอาญาที่ต้องเคร่งครัดและรัดกุมเพื่อให้การตีความและบังคับใช้กฎหมายเป็นประโยชน์ต่อสาธารณชนทั่วไป ฯลฯ

องค์กรสื่อจึงเรียกร้องให้รัฐบาลทบทวนเนื้อหาของร่างที่ประกาศใช้พรบ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ และให้มีการประชาพิจารณ์อย่างกว้างขวางทั่วประเทศ รวมถึงการแก้ไขกฎหมายฉบับดังกล่าว

ขอบคุณข้อมูลจากกรุงเทพธุรกิจ
//////////////////////////////////////////////////