--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันเสาร์ที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2556

(Brother power in the world) บนความขัดแย้งของสากลนิยม !!?

โดย กิตติภัต แสนดี [randoma.wordpress.com]

อำนาจแบบพี่ในเวทีโลก กับความขัดแย้งของสากลนิยม และไม่นิยมสากล

บ้านพี่เมืองน้อง กลายเป็นวลีหยาบคายสำหรับแวดวงความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ด้วยว่ามันก่อให้เกิดคำถามว่าใครเป็นพี่ ใครเป็นน้อง ต่แล้วในโลกก็ยังมีประเทศที่เป็นพี่ที่มีความหมายเหนือกว่าในด้านทรัพย์สิน และการใช้อำนาจอยู่ดี แม้ว่าเราพยายามหลีกเลี่ยงการใช้วลีนี้ก็ตาม

เหตุการณ์ก็เหมือนจะสั่นคลอนเมื่อประเทศที่เป็นพี่อย่างอเมริกากลับโชว์ฟอร์มเป๋ในเวทีโลกด้วยการปิดการทำงานของรัฐบาลกลางไปสัปดาห์ครึ่ง ส่งผลให้ประธานาธิบดีบารัค โอบามาพลาดการประชุมสำคัญในเอเชีย และเปิดช่องว่างให้ผู้นำจากจีนโชว์เดี่ยว เข้าเจรจาหารือกับประเทศต่างๆ ในภูมิภาค



photo from rightspeak.net

นอกจากเรื่องการเมืองแล้วความน่าเชื่อถือของพันธบัตรรัฐบาลอเมริกาที่เชื่อกันว่าปลอดภัยที่สุดในโลกก็เริ่มจะไม่ปลอดภัยสมคำอ้างเมื่อสภาคอนเกรสเกือบพลาดโอกาสขยายเพดานหนี้และเกือบทำให้รัฐบาลอเมริกาผิดนัดชำระหนี้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์

เหล่านี้ทำให้คำถามถึงความเหมาะสมของการใช้บทบาทความเป็นพี่ของอเมริกา ถูกเพิ่มเสียงให้ดังขึ้น

เป็นที่ทราบกันว่าประเทศนี้ ได้ใช้อำนาจในลักษณะยกเว้นหลักการทางกฎหมายระหว่างประเทศหลายครั้ง ไม่ว่าจะเป็นการเข้าบุก ให้ความช่วยเหลือกลุ่มต่อต้านรัฐบาล พร้อมจับกุมผู้นำในประเทศต่างๆ โดยไม่ได้รับมติจากสหประชาชาติ การกุมขังผู้ต้องสงสัยไว้เนิ่นนานโดยไม่มียื่นฟ้องกล่าวหาชัดเจน ฯลฯ ประธานาธิบดีเบลารุสได้กล่าวในการให้สัมภาษณ์เมื่อต้นเดือนตุลาคม 2013 ว่าการใช้อำนาจแบบข้อยกเว้นของอเมริกา เข้าลักษณะแบบนาซีเข้าไปทุกที

ในแง่ปรัชญา ก็เกิดการแบ่งฝักแบ่งฝ่ายชัดเจน

มีความคิดที่ว่า ความเป็นธรรมคือการใช้กฎเกณฑ์เดียวกันกับทุกคนอย่างเสมอภาค โดยกฎเกณฑ์นั้นต้องเป็นกฎเกณฑ์ที่กำหนดขึ้นภายใต้จินตนาการว่าเราทุกคนยังไม่ได้ไปเกิดในโลกนี้ เราอาจจะเป็นใครก็ได้ในสังคม เช่นนี้ กฎเกณฑ์ที่มาจากจินตนาการแบบนี้ ย่อมมั่นใจได้ว่าเป็นธรรมกับทุกคนไม่เอนเอียงเอื้อประโยชน์ให้คนกลุ่มใดโดยเฉพาะ

แม้ว่าจินตนาการแบบนี้ ค่อนข้างคิดยากสำหรับคนที่อยู่บนโลกและรู้ที่ทางตัวเองแล้ว แต่ก็แน่นอนว่าบุคคลในจินตนาการเหล่านั้นคงไม่กำหนดกฎเกณฑ์ว่า คนที่มีอำนาจอาจฝ่าฝืนกฎเกณฑ์ข้อนั้นข้อนี้ได้ตามใจชอบแน่นอน เพราะต่างคนย่อมยังไม่รู้ว่าตนจะเกิดเป็นใครในสังคม จะเป็นคนมีอำนาจที่จะใช้ข้อยกเว้นนี้ได้หรือเปล่า หรือจะกลายเป็นคนที่ต้องทนเสียเปรียบจากการที่คนที่มีอำนาจใช้ข้อยกเว้นนั้นได้หรือเปล่า


โนม ชอมสกี้เป็นหนึ่งในขาประจำที่ออกมาโจมตีนโยบายของอเมริกาบ่อยครั้งด้วยหลักการนี้ เขากล่าวว่าเมื่อมีคนในรัฐบาลกลางบอกว่า “ทางเลือกทุกทางเลือกเป็นไปได้หมด นั่นคืออาชญากรรมโดยแท้ อเมริกาอาจส่งกองทัพ ไปจับตัวผู้นำในประเทศตะวันออกกลางได้ แต่หากประเทศใดส่งกองทัพมาจับรัฐมนตรีจอห์น เคอร์รี่ คงได้พบความวินาศสันตะโรแน่นอน”

หลักการสากลนิยมเป็นเรื่องเข้าใจง่าย หรือเหมือนจะเป็นสามัญสำนึกของทุกคน คือ ทุกคนอยู่ใต้กฎเกณฑ์เดียวกัน แต่แล้วก็กลับมีบางเวลาที่ต้องหวั่นไหวกับหลักการข้อนี้ เหมือนตัวอย่างที่ใกล้ตัวเช่นเหตุการณ์วงเพลงหมอลำประท้วงการเก็บค่าลิขสิทธิ์การเล่นเพลงในงาน คิดเป็นมูลค่า 0.5% ของมูลค่างานที่จัด หรือแม้แต่ความลักลั่นลังเลใจของผู้ใช้งานคอมพิวเตอร์สำหรับการสร้างสรรค์ ที่ต้องแอบใช้ Photoshop ของปลอมในเครื่องบ่อยครั้ง

ในขณะที่ผู้คนต่างเรียกร้องให้เคารพสิทธิ์ในการเรียกเก็บเงินของผู้สร้างสรรค์ผลงาน แต่เหตุการณ์นี้ก่อให้เกิดความกังวลว่าวัฒนธรรมพื้นบ้านอาจเสียหายเพราะวงหมอลำจะล้มหายตายจากไปด้วยรายจ่ายที่มากเกินกว่ารายรับ จึงอยากให้ “หยวนๆ” หรือบ้างก็อยากให้เก็บในราคาที่ถูกมากๆ ส่วนนักเรียน นักออกแบบรุ่นใหม่ อาจหมดโอกาสสร้างอนาคตเพราะเครื่องไม้เครื่องมือราคาแพงกว่ารายรับทั้งเดือนรวมกัน

ความหวั่นไหวนี้อาจเป็นตรรกะวิบัติสำหรับมุมมองของผู้ที่เชื่อมั่นในสากลนิยม แต่สำหรับนักคิดอีกกลุ่มหนึ่ง เชื่อว่านี่คือหลักฐานที่สำคัญว่าความคิดเรื่องกฎเกณฑ์ต้องใช้กับทุกคนเหมือนกันนั้นผิดพลาดโดยสิ้นเชิง


photo from westernfreepress.com

แทนที่เราจะคิดหลักการบังคับใช้กฎเกณฑ์จากพื้นฐานจินตนาการสภาพที่ไม่มีทางเกิดขึ้นจริงในโลกนี้ นักคิดกลุ่มนี้ชี้ชวนให้มองความเป็นจริงว่าเราต้องอยู่ในชุมชนที่เป็นคนจริงๆ เกิดมาแล้วบนโลกนี้ และในโลกก็ยังมีชุมชนอีกหลายชุมชน ที่มีความเชื่อและเป้าหมายแตกต่างกัน หลักการที่ใช้จึงไม่ควรปฎิเสธข้อเท็จจริงนี้

นักคิดกลุ่มนี้ ให้ความสำคัญกับเป้าหมายของสังคมที่อยากให้มีและเป็น พร้อมดำเนินการใดๆ เพื่อให้ไปถึงจุดมุ่งหมายนั้น เช่น อาจทำสงครามโดยไม่มีมติสหประชาชาติได้ ถ้าพบว่ามีการฝ่าฝืนหลักมนุษยธรรมร้ายแรงเกิดขึ้นจริงๆ และถ้าไม่รีบห้ามปรามแทรกแซง เหตุการณ์จะเลวร้ายขึ้น ขัดต่อเป้าหมายของการรักษาสันติภาพให้เกิดในชุมชนโลก ไม่มีประเทศไหนในโลกที่จะยับยั้งเหตุร้ายนี้ได้อีกแล้ว

แต่แล้วด้วยความคิดหลักการเดียวกันนี้เอง ยังสามารถใช้ต่อต้านการกระทำของอเมริกาได้ เมื่ออเมริกาพยายามส่งออกความคิดความเชื่อเรื่องการเมืองที่ดี ระบบการปกครองที่ดีมาสู่ประเทศอื่นๆ ในแถบเอเชีย โดยใช้มาตรการกดดันต่างๆ ประธานาธิบดีลี กวน ยูของสิงคโปร์ เคยให้ข้อคิดเห็นที่ว่า “หลักการปกครองแบบเสรีนิยมนั้นไม่เหมาะสำหรับการปรับใช้ในประเทศ เพราะบางครั้งรัฐบาลอาจต้องออกนโยบายที่ไม่ถูกใจคนส่วนใหญ่ แต่จำเป็นต้องทำเพื่อให้สังคมบรรลุเป้าหมายเช่นกันด้วย ซึ่งหลักการเสรีภาพของอเมริกาย่อมไม่สนับสนุนให้ทำเช่นนี้แน่นอน”

แต่ข้าพเจ้ายังเชื่อว่าความคิดที่ว่า ตนมีข้อยกเว้นที่ดีสำหรับการฝ่าฝืนหลักการบางประการนั้น ก็ยังเป็นเรื่องอันตราย ไม่ว่าผู้ที่เชื่อเช่นนี้จะมีเจตนาอย่างไร ความอันตรายอาจไม่ได้เกิดจากการมีข้อยกเว้น แต่มันเกิดจากปัญหาในทางปฎิบัติเองที่ผู้ใช้อำนาจขอยกเว้น อาจไม่รู้ตัวว่าตนกำลังใช้ข้อยกเว้นตามหลักการโดยชอบแค่ไหน และหากใช้เกินจริงใครจะห้ามปรามได้

เหตุการณ์ที่เมื่อนำกฎเกณฑ์ไปใช้กับทุกคน แล้วเกิดผลลัพธ์ที่ขัดแย้งกับความเชื่อในเรื่องความยุติธรรมนั้น เรายังอาจมองได้ว่าเพราะกฎเกณฑ์นั้นๆ ต่างหาก ที่กำหนดไว้ไม่ดีพอ ไม่ครอบคลุมเหตุการณ์ที่แตกต่างกันไปในแต่ละที่พอ หากเรากำหนดกฎเกณฑ์ที่สมบูรณ์แบบนี้ได้ เราก็ไม่ต้องกังวลอีกว่าจะมีใครขอยกเว้นผ่อนผันในเรื่องการบังคับใช้กฎเกณฑ์ ดังนั้นควรจึงทุ่มเทไปในการกำหนดหลักเกณฑ์มากกว่าการพึ่งอำนาจแบบพี่ชาย

ที่มา.Siam Intelligence Unit
//////////////////////////////////////////

วันศุกร์ที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2556

ปัญหาอุปสรรค : จีน-อาเซียน !!?

การเดินทางของผู้นำจีนมาเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตลอดสัปดาห์ที่แล้ว น่าสนใจมาก และเห็นการก้าวรุก ทางการทูตและการต่างประเทศ ที่ได้จังหวะได้โอกาส สวยงาม ในการสร้างความมั่นใจที่ดียิ่งขึ้นของอาเซียนต่อจีน

โอกาสและจังหวะที่ดีนี้เกิดโดยเหตุที่ประธานาธิบดี โอบามาเอง งดการเดินทางมาประชุมเอเปคที่อินโดนีเซียและ การประชุมสุดยอดเอเชียตะวันออกที่บรูไนกับเยี่ยมเยือนพันธมิตรบางประเทศของตน ทั้งในเอเชียตะวันออก และในอาเซียน

ขณะที่ประธานาธิบดีของจีน นาย หลี สี่ผิง และนายกรัฐมนตรีของจีน นาย ลี่ เข่อเจี้ยง มาเยือนอาเซียนหลายประเทศ เริ่มแต่นาย หลี สี่ผิง ไปประชุมและเยือนอินโดนีเซีย กับประชุมสุดยอดเอเชียตะวันออกที่บรูไน เขายังไปเยือนมาเลเซียอีกด้วย

ในขณะที่นาย ลี่ เข่อเจี้ยง นั้นมาเยือนประเทศไทยเป็น การเฉพาะ นี่ต้องนับเป็นการวางยุทธศาสตร์ทางการทูตของจีน ที่น่าสนใจ ในการเป็นมหาอำนาจและการสร้างเขตอิทธิพลของ จีนโดยรวมในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก และโดยเฉพาะในอาเซียน ซึ่งกำลังรวมตัวเป็นประชาคมเติบใหญ่กล้าแข็งไปพร้อมกันกับจีน

ความสำคัญของการไปเยือนอินโดนีเซียนั้น สำคัญต่อ จีนมากในการวางสถานะความสัมพันธ์ของจีนกับอาเซียนในอนาคตไม่น้อยเลย และมองได้ว่าการไปอินโดนีเซีย กับมาเลเซีย คราวนี้มีเจตนาสำคัญส่วนหนึ่งที่จีนเองต้องการเยียวยาบาดแผล ทางใจที่เคยมีกับอินโดนีเซีย และมาเลเซีย แต่อดีตการเมืองในสองประเทศนี้

คงไม่ลืมกันว่า อดีตของอินโดนีเซียในช่วงที่รับเอกราชและ อิสรภาพมาหลังสงครามโลกครั้งที่สองนั้น โดยเฉพาะในช่วงที่ ซูการ์โนเป็นผู้นำอินโดนีเซียตกอยู่ภายใต้การแทรกซึมและคุกคาม ของขบวนการคอมมิวนิสต์อินโดนีเซียอย่างรุนแรงมากในประวัติศาสตร์การเมืองของอินโดนีเซีย

ลัทธิคอมมิวนิสต์ที่คุกคามอินโดนีเซียขณะนั้น ซึมลึกลงถึง ทุกระดับหมู่บ้าน (คล้ายลักษณะของการสร้างหมู่บ้านแดงในไทย ขณะนี้) และยังก้าวรุกทางการเมืองอย่างมีอิทธิพลสูงยิ่ง และดูเหมือน จะครอบงำซูการ์โนขณะนั้นชนิดเกือบยึดประเทศเอาไว้ได้ หากไม่ เกิดเหตุการณ์ที่ในที่สุด นายพล ซูฮาร์โต ปฏิวัติขับไล่และล้มล้าง อิทธิพลของคอมมิวนิสต์ที่มีจีนหนุนหลังลงได้ ตั้งแต่ปี ค.ศ.1963

ตั้งแต่ปีค.ศ.1965 ที่นายพล ซูฮาร์โต เป็นผู้นำของอินโดนีเซียมาจนถึงการก้าวลงจากอำนาจในเดือนพฤษภาคม ค.ศ.1998 นั้น เขาสยบลัทธิคอมมิวนิสต์ในประเทศลงได้อย่างราบคาบทีเดียว ด้วยการนำเอา "ระเบียบใหม่" (New Order) มาใช้ถอนรากถอนโคนทั้งซูการ์โนและกระบวนการลัทธิคอมมิวนิสต์หมดไป

33 ปีขอวงการครองอำนาจของซูฮาร์โต เป็นช่วงที่อินโดนีเซียไม่เคยไว้วางใจจีนเลย เพราะด้วยเหตุในประวัติศาสตร์ที่บาดหมางทางใจกันตลอดมา การล้มล้างลัทธิคอมมิวนิสต์ในเหตุการณ์ 30 กันยายน 1965 มีผู้คนในอินโดนีเซียล้มตายไปถึงกว่าห้าแสน คน และจากนั้นอินโดนีเซียระแวงกลัวจีนมาตลอด เพิ่งจะมารื้อฟื้นความสัมพันธ์ปกติอีกครั้งเมื่อปีค.ศ.1990 นี้เอง

จุดนี้เองที่ทำให้มองเห็นการเดินทางของผู้นำจีนคราวนี้ มีนัยสำคัญทางการเมืองในการวางสถานะของจีนกับอินโดนีเซีย และ กับอาเซียนในอนาคต ความที่ทั้งจีนและอินโดนีเซียเป็นประเทศใหญ่ด้วยจำนวนประชากรด้วยกันทั้งคู่ และจีนจัดว่าเป็น "พี่เอื้อย" ของอาเซียน จีนเจาะอาเซียนหมู่เกาะจากอินโดนีเซียนี่เอง

ในส่วนของมาเลเซียความสัมพันธ์ของสองประเทศของมาเลเซียกับจีนก็หาได้ราบรื่นไว้เนื้อเชื่อใจกันมานักหนาไม่ และก็มีเหตุบาดหมางทางใจในประวัติศาสตร์ทางการเมืองไม่ต่างกับอินโดนีเซีย ถ้ายังไม่ลืมเหตุการณ์ลุกฮือของชนเชื้อชาติจีนในมาเลเซีย ในปีค.ศ.1696 นั้น หลายหมื่นคนในมาเลเซียสังเวยชีวิตในเหตุการณ์นั้นเช่นกัน

ว่าโดยทั่วไปแล้ว ความสัมพันธ์ของจีนกับประเทศในกลุ่มอาเซียนส่วนใหญ่นั้นไม่ได้สมบูรณ์อะไรนักหนา ด้วยนโยบายแพร่ ขยายลัทธิคอมมิวนิสต์ของจีน นับแต่จีนเป็นคอมมิวนิสต์สมบูรณ์ ครบมาแต่ปีค.ศ.1949 นั้น การปิดล้อมป้องกัน และการต่อสู้กับพรรคคอมมิวนิสต์จีนในประเทศต่างๆ ทางแถบนี้นั้น เป็นกำแพงขวางกั้นสำคัญของการมีความสัมพันธ์ต่อกัน จนเมื่อภูมิ-ทัศน์ทางการเมือง หลังสงครามเย็นสิ้นสุดลงแล้วนี่เอง

แม้กระนั้น เหตุบาดหมางของบางประเทศในอาเซียนกับจีน ก็ยังเป็นจุดสะดุดในความสัมพันธ์ต่อกันบางระดับ เพราะด้วยความ ขัดแย้งในการเรียกร้องสิทธิครอบครองเหนือบางหมู่เกาะในเขตทะเลจีนใต้ ระหว่างจีน กับ สี่ประเทศในอาเซียนที่มี บรูไน มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ กับเวียดนาม นั่นเอง เป็นคู่กรณีต่อกัน

กรณีความขัดแย้งในทะเลจีนใต้จึงดูเป็นเป้าหมายหลัก ต่อการสร้างความมั่นใจด้านความมั่นคงที่จีนต้องการแสดงให้ อาเซียนวางใจในการแก้ปัญหาต่อกัน เพราะฉะนั้นก็จะเห็นสิ่ง แสดงออกในการเดินทางของ สี จิ้นผิง ทั้งในการประชุมอาเซียน ที่บรูไน ในการเยือนอินโดนีเซีย และมาเลเซีย ตอกย้ำความร่วมมือ และการอยู่ร่วมกับอาเซียนอย่างสันติ แม้จะยุ่งยากกับปัญหาทะเลจีนใต้อย่างไรก็ตาม

โยงใยที่ร้อยรัดเข้ามาในอาเซียนจากจีนนั้น นอกจากมอง ยุทธศาสตร์การทูตการต่างประเทศของจีนต่ออาเซียนในหมู่เกาะโอบล้อมเข้ามายังอาเซียนบนผืนแผ่นดินใหญ่ ที่มีประเทศ ไทยเป็นศูนย์กลางสำคัญแล้ว เห็นได้ชัดจากการแยกมาเยือน ไทยของนายกรัฐมนตรี หลี เข่อเจี้ยง และอย่างที่ได้เห็นกันแล้วว่าได้มีการตกลงความร่วมมือต่อกันถึง 6 ฉบับ กับการที่จีนจะให้ความสนใจช่วยเหลือไทย

ผลอันกว้างไกลกับการเยือนไทยนี้ มองเห็นถึงการเชื่อมโยงจีนกับอาเซียนเข้ามาอย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น เพราะด้วยยุทธศาสตร์การพัฒนาจีนด้านใต้และตะวันตกที่มียูนนานเป็นศูนย์กลาง เปิดทางการพัฒนาของจีนแถบนั้น เข้าสู่อาเซียนและศูนย์กลางอาเซียนที่ไทยเป็นสำคัญ จีนโอบล้อมอาเซียน ได้อย่างเนียนเหลือเกิน

แม้กระนั้นจีนก็ยังเป็นตัวการสำคัญที่อาเซียนจะยังต้อง ระมัดระวังท่าทีในความสัมพันธ์ที่จะมีต่อกันต่อไป เพราะในที่สุดเราก็ยังเห็นกันว่า จีนเป็นคู่กรณีโต้แย้งกับอาเซียนสำคัญ สองเรื่องที่แย่งผลประโยชน์ต่อกัน 1) คือเรื่องความขัดแย้งในทะเลจีนใต้ 2) คือความขัดแย้งแย่งน้ำในแม่น้ำโขง ซึ่งจีนไม่เคยยอมให้ด้วยดีกับอาเซียนเลย

ที่มา.สยามธุรกิจ
///////////////////////////////////////////////////

ยกเลิกวีซ่า ไทย-จีน !!?

ปัจจุบันจีนได้มีการพัฒนาเป็นตลาดการท่องเที่ยวที่ใหญ่ที่สุดในโลก เนื่องจาก ประชากรที่มีจำนวนมากถึง 1,300 ล้านคน โดยในปีที่ผ่านมาจีนกลายเป็นประเทศ ที่มีการใช้จ่ายในการเที่ยวต่างประเทศสูงเป็นอันดับ 1 ของโลก และเป็นประเทศที่สามารถรองรับนักท่องเที่ยวจากต่างชาติจำนวนมากเป็นอันดับที่ 3 รวมทั้งเป็นประเทศที่มีรายได้การท่องเที่ยวจากต่างประเทศมากเป็นอันดับที่ 4 ในโลก และคาดว่าจะมีประชากรจีนจำนวน 400 ล้าน คน เดินทางท่องเที่ยวที่ต่างประเทศภายใน 5 ปีข้างหน้า

นางชไมพร เจือเจริญ ผู้อำนวยการสำนักส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ณ นครคุนหมิง เปิดเผยว่า จีนได้เริ่มดำเนิน กฎหมายการท่องเที่ยวของจีนตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2556 ที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็น "กฎหมายเหล็ก" ที่สั่งห้ามการกระทำที่มิชอบของบริษัททัวร์ อาทิ การจัด "ทัวร์ศูนย์เหรียญ" หรือการเพิ่มแหล่งซื้อของในโปรแกรมทัวร์ เป็นต้น ซึ่งผู้เชี่ยวชาญคาดว่ากฎหมายการท่องเที่ยวดังกล่าวนี้จะส่งผล กระทบต่อราคาทัวร์ให้พุ่งสูงขึ้น จนอาจจะทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่เดินทางไปต่างประเทศลดลง

แต่อย่างไรก็ตาม ได้มีหน่วยงานการ ท่องเที่ยวที่เกี่ยวข้องสำรวจพบว่า ปัจจุบัน นักท่องเที่ยวชาวจีนร้อยละ 70 เลือกไปเที่ยวด้วยตนเอง มีเพียงไม่ถึงร้อยละ 30 ที่เลือกท่องเที่ยวไปกับคณะทัวร์ นอกจากนี้ บริษัททัวร์ในจีนก็มีการเปลี่ยนกลยุทธ์การตลาด โดยจัดคณะทัวร์ "เที่ยวด้วยตนเอง" ซึ่งให้บริการเฉพาะตั๋วเครื่องบิน รถยนต์ และที่พักโรงแรมในท้องถิ่น นักท่องเที่ยวสามารถจัดโปรแกรมของตน เองได้ ซึ่งถือว่าเป็นอีกช่องทางหนึ่งที่ดึง ดูดนักท่องเที่ยว

นางชไมพร กล่าวว่า ในส่วนของไทยข้อมูลจากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย แสดงให้เห็นว่า ปัจจุบันจีนถือว่าเป็น ตลาดท่องเที่ยวขนาดใหญ่ของไทย ในช่วง แปดเดือนแรกของปีนี้ (มกราคม-สิงหาคม) จำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่เดินทางมายังไทย มีถึง 3.22 ล้านคน สูงกว่าช่วงเดียวกับปีก่อนถึงร้อยละ 88.42

จำนวนนักท่องเที่ยวชาวจีนที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในแต่ละปี ไทยจึงมีความ จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเตรียมพร้อมสำหรับ การต้อนรับนักท่องเที่ยวชาวจีน ไม่ว่าจะเป็น การหาสิ่งอำนวยความสะดวก ได้แก่ ที่พัก ร้านอาหารและเครื่องดื่ม สถานบริการ เช่น ร้านขายของที่ระลึก ร้านซักรีด สถานที่นันทนาการ ฯลฯ และปัจจัยพื้นฐานต่างๆ เพื่อดึงดูดให้เกิดความประทับใจในการเดินทางมาท่องเที่ยวในประเทศไทย

นอกจากนี้ รัฐบาลไทยและจีนต่าง มีแนวความคิดในเรื่องการยกเลิกการขอวีซ่าเข้าประเทศของทั้ง 2 ประเทศ ซึ่งหากมีการยกเลิกมาตรการขอวีซ่าแล้ว จะเป็นสิ่งอำนวยความสะดวกอีกประการหนึ่งสำหรับนักท่องเที่ยว ในการดึงดูดนักท่องเที่ยวยังสามารถสะท้อนให้เห็นถึงความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างสองประเทศ ความเชื่อใจ และมิตรภาพ ซึ่งทำให้ประชาชนของทั้งสองประเทศมีความรู้สึกที่ดีต่อกันมากยิ่งขึ้น

ที่มา.สยามธุรกิจ
/////////////////////////////////

นิรโทษกรรม : ฉบับเหล้าพ่วงเบียร์ !!?

โดย.สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ

ในการประชุมคณะกรรมาธิการพิจารณาร่างกฎหมายนิรโทษกรรมวาระที่สอง ในวันที่ 18 ตุลาคม ที่ผ่านมา เสียงส่วนใหญ่ของที่ประชุมได้ลงมติสนับสนุนให้เป็นไปตามร่างการแปรญัตติที่นายประยุทธ์ ศิริพานิชย์ สส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย เสนอ ซึ่งใจความสำคัญ อยู่ที่มาตรา 3 ซึ่งมีข้อความคือ

"ให้บรรดาการกระทำทั้งหลายทั้งสิ้นของบุคคลหรือประชาชนที่เกี่ยวเนื่องกับการชุมนุมทางการเมือง การแสดงออกทางการเมือง หรือความขัดแย้งทางการเมือง หรือที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้กระทำผิดโดยคณะบุคคลหรือองค์กรที่จัดตั้งขึ้นภายหลังการรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน พ.ศ.2549 ถึงวันที่ 8 สิงหาคม พ.ศ.2556 ไม่ว่าผู้กระทำจะได้กระทำในฐานะตัวการ ผู้สนับสนุน ผู้ใช้ให้กระทำ หรือผู้ถูกใช้ หากการกระทำนั้นผิดต่อกฎหมาย ก็ให้ผู้กระทำพ้นจากความผิดและความรับผิดโดยสิ้นเชิง การกระทำในวรรคหนึ่ง ไม่รวมถึงการกระทำผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112"

การลงมติในลักษณะเช่นนี้เป็นการปรับแก้หลักการของร่างกฎหมายนิรโทษกรรมเดิมที่เสนอโดย นายวรชัย เหมะ ส.ส.สมุทรปราการ และคณะ ซึ่งก่อให้เกิดผลที่แตกต่างกับร่างที่ผ่านวาระแรก 4 ข้อ คือ ประการแรก เป็นการนิรโทษกรรมให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ในคดีทั้งหมด ประการที่สอง เป็นการนิรโทษกรรมแกนนำทุกฝ่าย ทั้งฝ่าย นปช.และฝ่ายพันธมิตร ประการที่สาม คือ นิรโทษกรรมให้กับทหารที่สลายการชุมนุมเมื่อเดือนเมษายน-พฤษภาคม 2553 รวมถึงอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และ สุเทพ เทือกสุบรรณ รวมถึงเจ้าหน้าที่รัฐที่ใช้ละเมิดสิทธิเสรีภาพของประชาชนในช่วงเวลา 9 ปี ประการที่สี่ เป็นการระบุชัดถึงการทอดทิ้งเหยื่อของมาตรา 112 ซึ่งเป็นข้อหาที่ไร้ความเป็นธรรมและละเมิดสิทธิมนุษยชนมากที่สุดในยุคสมัยปัจจุบัน ทั้งที่ในร่างเดิมไม่มีการระบุชัดเช่นนี้

ในเรื่องยกเว้นมาตรา 112 เป็นการบ่งชี้ว่า นี่ยังไม่ใช่เป็นนิรโทษแบบเหมาเข่งสุดซอยอย่างแท้จริง แต่เป็นการสะท้อนทัศนะยอมจำนนของฝ่ายกรรมาธิการเสียงข้างมากต่อฝ่ายอนุรักษ์นิยมเจ้า ทั้งที่เหยื่อมาตรา 112 ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นคุณดารณี ชาญเชิงศิลปะกุล สมยศ พฤกษาเกษมสุข เอกชัย หงส์กังวาน ปภัสชนัญญ์ ฉิ่งอินทร์ และคนอื่น ต่างก็ต้องคดีเพราะเป็นส่วนหนึ่งของความขัดแย้งทางการเมืองหลังรัฐประหาร พ.ศ.2549 ทั้งสิ้น ดังนั้นจึงต้องถือว่า เป็นการนิรโทษกรรมในลักษณะ”เหล้าพ่วงเบียร์” คือ นำเอาการนิรโทษกรรม พ.ต.ท.ทักษิณ และนิรโทษกรรมทหาร มาผูกพ่วงกับการนิรโทษกรรมประชาชนที่ปราศจากความผิด

นายชวลิต วิชยสุทธิ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ในฐานะเลขานุการคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมได้พยายามอธิบายในวันที่ 21 ตุลาคมว่า การเสนอแปรญัตติดังกล่าวเพราะกรรมาธิการต้องการแก้ไขผลพวงความไม่เป็นธรรมและความวุ่นวายที่เกิดจากการรัฐประหาร และยึดหลักการให้ทุกฝ่ายได้รับความเสมอภาคทางกฎหมายเท่าเทียมกัน และว่า การปรองดองแห่งชาติต้องเริ่มต้นจากทุกฝ่ายให้อภัยกันก่อน การออกกฎหมายนิรโทษกรรมแก่ทุกฝ่ายเป็นหลักการเดียวที่ทั่วโลกพึงปฏิบัติ เพื่อให้ประเทศชาติกลับมาสงบ แม้กระทั่ง น.ส.ขัตติยา สวัสดิผล ที่เดิมทีก็ไม่ยอมให้มีการนิรโทษกรรม แต่ภายหลังก็ยอมเสียสละ เพื่อให้ประเทศชาติเดินต่อไปได้ เพราะหากยังมีความทิฐิอยู่ ก็ไม่เกิดการนิรโทษกรรมได้สำเร็จ

แต่กระนั้น นายปิยะบุตร แสงกนกกุล นักวิชาการกลุ่มนิติราษฎร์ ได้ชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่า การนิรโทษกรรมลักษณะนี้ ก่อให้เกิดปัญหาทั้งทางการเมืองและในทางกฎหมาย โดยเฉพาะเรื่องการแปรญัตติในระดับกรรมาธิการที่กระทำขัดกับหลักการที่สภารับในวาระแรก จะถูกฟ้องให้การแปรญัตตินี้เป็นโมฆะ นอกจากนี้ ก็คือ การไม่ระบุชัดว่า คดีในลักษณะใดที่จะได้รับการนิรโทษกรรม ก็จะกลายเป็นการเป็นที่ถกเถียงว่า เรื่องไหนเข้าข่ายนิรโทษ ทำให้การตัดสินสุดท้ายไปอยู่ที่ศาล กลายเป็นการเปิดทางให้ศาลผูกขาดการตีความเงื่อนไขการนิรโทษกรรม

ฝ่ายพรรคประชาธิปัตย์ และกลุ่มเสื้อเหลืองสลิ่มฝ่ายขวา ก็โจมตีการนิรโทษกรรมลักษณะนี้ โดยมุ่งไปที่ปัญหาที่ว่า จะเป็นการนิรโทษกรรมข้อหาทุจริตคอรับชั่น ซึ่งจะเท่ากับนิรโทษกรรมให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ในหลายคดีทั้งที่ตัดสินไปแล้วและยังคั่งค้างอยู่ในศาล แล้วยังจะนำไปสู่การคืนทรัพย์สิน 4.6 หมื่นล้าน ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่ศาลสั่งให้ยึดมา ทั้งยังยืนยันในข้ออ้างเดิมว่า การนิรโทษกรรมจะเป็นการทำลาย”หลักนิติรัฐและนิติธรรม” โดยเฉพาะกลุ่มผู้นำการประท้วงรัฐบาล ยังคาดหมายว่า ประเด็นเรื่องนิรโทษกรรมนี้ จะเป็นประเด็น”จุดติด”ที่นำมวลชนมาต่อต้านรัฐบาลได้สำเร็จ

แต่กรณีของกลุ่มคนเสื้อแดง ประเด็นที่ไม่เป็นที่ยอมรับคือ การนิรโทษกรรมที่ยกเข่งให้กับฝ่ายทหาร ศอฉ. พ้นจากความผิด และยังยกความผิดให้อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และ สุเทพ เทือกสุบรรณ ที่เป็นตัวการในการเข่นฆ่าสังหารประชาชน ซึ่งจนถึงขณะนี้ก็ยังใช้วิธีการโกหกรายวันใส่ร้ายป้ายสีคนเสื้อแดง เพื่อเอาตัวรอด และยังไม่เคยแสดงท่าทีในการสำนึกในโทษกรรมของตนเองเลย

ความจริงแล้ว กลุ่มคนเสื้อแดงไม่ได้ติดใจเรื่อง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ต้องถือด้วยซ้ำว่า กรณีของ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นเรื่องของความอยุติธรรมที่ได้รับผลพวงจากการรัฐประหาร การหาเหตุมาเล่นงาน พ.ต.ท.ทักษิณ ด้วยคดีของ คตส.(คณะกรรมการการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ) ที่ตั้งโดยคณะรัฐประหารเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องทั้งหมด กระบวนการยึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณก็เป็นเรื่องอันไร้เหตุผล เพียงแต่ว่าจะเป็นการดีกว่านี้ ถ้าจะไม่เอาเรื่องการขอนิรโทษกรรม พ.ต.ท.ทักษิณมาพ่วงกับกฎหมายนิรโทษกรรมประชาชน ปัญหาของกรณี พ.ต.ท.ทักษิณ มีวิธีการแก้ไขที่ง่ายกว่าและเป็นธรรม นั่นคือการยกเลิกผลพวงคณะรัฐประหาร พ.ศ.2549 ทั้งหมด ให้กฎหมายและคำสั่งที่ออกโดยคณะรัฐประหารเป็นโมฆะ แล้วนำ พ.ต.ท.ทักษิณมาพิจารณาด้วยกฎหมายธรรมดา

ดังนั้น ในวันที่ 19 ตุลาคม แกนนำของกลุ่ม นปช. เช่น จตุพร พรหมพันธุ์ ณัฐวุฒิ ไสยเกื้อ สงคราม กิจเลิศไพโรจน์ และ วิภูแถลง พัฒนภูมิไท เป็นต้น ก็ได้แสดงท่าทีอย่างเป็นทางการไม่เห็นด้วยกับการนิรโทษกรรมลักษณะเช่นนี้ ดังเช่นที่ ธิดา ถาวรเศรษฐ ประธาน นปช.ยืนยันว่า ไม่เห็นด้วยกับการนิรโทษกรรมฝ่ายฆาตกร ด้วยเหตุผลที่ไม่ต้องการให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย และไม่ต้องการทรยศประชาชนหากการฆ่าบนท้องถนนเกิดขึ้นได้โดยไม่มีใครต้องรับผิดชอบ และคิดว่าคนเสื้อแดง แม้เขาจะรักคุณทักษิณแต่เขาไม่เห็นด้วย ที่จะทำให้ประวัติศาสตร์หน้านี้หายไปเฉยๆ ไม่ได้ และอธิบายว่า กลุ่ม ส.ส.พรรคเพื่อไทย ส่วนที่พยายามทำเช่นนี้ เพราะมองแบบนักการเมือง คิดว่าถ้าสามารถเจรจากันแล้วจะอยู่ร่วมกันต่อไปได้ แต่มวลชนที่เติบโตมาจากการต่อสู้จะไม่คิดเช่นนั้น เพราะจะคิดในมิติของความเป็นธรรมที่ว่า ฆาตกรจะต้องถูกลงโทษ ส่วนนายแพทย์เหวง โตจิราการ ก็ประกาศจุดยืนว่า ยังยืนยันที่จะนิรโทษเฉพาะประชาชนเท่านั้น ไม่นิรโทษให้แกนนำและผู้สั่งการฆ่าประชาชนเด็ดขาด หากพรรคยืนยันให้นิรโทษ "ยกเข่ง"ก็จะขอสงวนความเห็น

สำหรับนายวรชัย เหมะ ส.ส.สมุทรปราการ พรรคเพื่อไทย ในฐานะผู้นำเสนอร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฯ กล่าวว่า ตนยังมีท่าทีเช่นเดิมคือไม่ต้องการให้มีการนิรโทษพวกตนและแกนนำคนเสื้อแดง แกนนำเสื้อเหลือง รวมถึงนายอภิสิทธิ์ นายสุเทพ และได้ขอสงวนคำแปรญัตติไว้แล้ว เพื่อยืนยันเนื้อหาในร่างเดิม

สรุปแล้ว ร่างกฎหมายนิรโทษกรรมเหล่าพ่วงเบียร์เช่นนี้ ย่อมไม่อาจเป็นที่ยอมรับ ฝ่ายพรรคเพื่อไทยควรจะต้องกลับไปพิจารณาใหม่ และนำกลับมาสู่หลักการของร่างเดิมที่ผ่านวาระแรกน่าจะเป็นการดีกว่า

ที่มา:นสพ.โลกวันนี้วันสุข
----------------------------------

องค์กรสื่อค้าน พรบ.คอมพ์ฉบับใหม่ จำกัดสิทธิเสรีภาพ ประชาชน.



องค์กรสื่อเรียกร้องให้รัฐบาลทบทวนการประกาศใช้พรบ.คอมพิวเตอร์ฉบับใหม่ อันจำกัดสิทธิเสรีภาพประชาชน ขัดรัฐธรรมนูญ แนะทำประชาพิจารณ์

 องค์กรวิชาชีพสื่อมวลชน ได้ออกแถลงการณ์ค้านพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฉบับใหม่ ระบุ ตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) ได้ประกาศเมื่อเดือน ก.ค.ว่า ได้ทำการประชาพิจารณ์ร่างพรบ.ว่าด้วยการกระทำความผิดที่เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ฉบับใหม่เป็นที่เรียบร้อยแล้ว และจะเสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไปนั้น

องค์กรวิชาชีพสื่อมวลชน ประกอบด้วย สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย สมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย สมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์ ชมรมนักข่าวสายเทคโนโลยีสายสารสนเทศ และนักวิชาการผู้เชี่ยวชาญทางด้านกฎหมายคอมพิวเตอร์ ได้พิจารณาเนื้อหาของร่างกฎหมายฉบับดังกล่าวแล้ว เห็นว่าเนื้อหาของร่างแก้ไขกฎหมายฉบับนี้มีรายละเอียดที่จำกัดสิทธิเสรีภาพของประชาชนในการแสดงความคิดเห็นส่วนบุคคลและขัดต่อหลักสิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญค่อนข้างมาก

ทั้งนี้ เห็นได้จากร่างกฎหมายฉบับดังกล่าวได้แก้ไขเพิ่มเติมในเรื่องการปิดบล็อกเว็บไซต์ให้ง่ายขึ้น โดยตัดส่วนของการกลั่นกรองโดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงไอซีทีออกไป และให้อำนาจพนักงานเจ้าหน้าที่มากขึ้นโดยปราศจากการตรวจสอบ ซึ่งทำให้การละเมิดสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานของประชาชนในการรับรู้ข้อมูลข่าวสารถูกละเมิด

นอกจากนี้ เนื้อหาที่แก้ไขของกฎหมายฉบับนี้ ยังขัดต่อหลักโครงสร้างขั้นพื้นฐานของการติดต่อสื่อสารผ่านอินเทอร์เน็ต และก่อให้เกิดความรับผิดแก่บรรดาผู้ประกอบการเว็บไซต์ ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต ผู้ให้บริการมือถือ ผู้ใช้บริการอินเทอร์เน็ตทั่วไป เห็นได้จากร่างกฎหมายที่ระบุให้การทำสำเนาข้อมูลคอมพิวเตอร์และการครอบครองข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่ลามกอนาจารที่ส่งผ่านผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตและมือถือผิดกฎหมาย แม้ประมวลผลอัตโนมัติโดยเครื่องคอมพิวเตอร์ โดยใช้ถ้อยคำที่กว้างและก่อให้เกิดปัญหาในการตีความในภายหลัง ซึ่งขัดต่อหลักการร่างกฎหมายอาญาที่ต้องเคร่งครัดและรัดกุมเพื่อให้การตีความและบังคับใช้กฎหมายเป็นประโยชน์ต่อสาธารณชนทั่วไป ฯลฯ

องค์กรสื่อจึงเรียกร้องให้รัฐบาลทบทวนเนื้อหาของร่างที่ประกาศใช้พรบ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ และให้มีการประชาพิจารณ์อย่างกว้างขวางทั่วประเทศ รวมถึงการแก้ไขกฎหมายฉบับดังกล่าว

ขอบคุณข้อมูลจากกรุงเทพธุรกิจ
//////////////////////////////////////////////////

การลงทุน ใน เมียนม่าร์

โดย วีระศักดิ์ สุตัณฑวิบูลย์ รองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ

เมื่อ เดือนกันยายนที่ผ่านมา ผมมีโอกาสได้ไปพม่าอีกครั้งหนึ่ง เพื่อร่วมแสดงความคิดเห็นในการเสวนาเรื่อง "การปฏิรูปด้านการเงินการธนาคาร"

ในฐานะตัวแทนธนาคารกรุงเทพ ที่ดำเนินธุรกิจอยู่ในพม่ามาร่วม 2 ทศวรรษ ซึ่งการเสวนาดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของการประชุม Euromoney Conferences ซึ่งปีนี้จัดขึ้นภายใต้หัวข้อ Myanmar Global Investment Forum

ประเด็นสำคัญของการประชุมที่ผมเห็นว่าน่าจะเป็นประโยชน์สำหรับผู้ ประกอบการไทย คือ ถ้อยแถลงของท่าน "กัน ซอ" รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวางแผนและพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติของพม่า ว่าด้วยกรอบการปฏิรูปด้านสังคมและเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งมุ่งเน้นการพัฒนาประเทศ 10 ด้าน ได้แก่

การปฏิรูประบบการคลัง และภาษี ระบบเงินตราและการเงิน การค้าและการลงทุน การพัฒนาภาคเอกชน ด้านสุขภาพและการศึกษา ความมั่นคงทางอาหารและการเติบโตของภาคเกษตรกรรม ด้านบรรษัทภิบาลและความโปร่งใส ด้านโทรคมนาคม ด้านโครงสร้างพื้นฐาน และด้านประสิทธิภาพและประสิทธิผลของรัฐบาล โดยรัฐบาลพม่าตั้งเป้าให้นโยบายการปฏิรูปดังกล่าวบังเกิดผลภายใน 5 ปี

การประกาศนโยบายดังกล่าว บวกกับโครงการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษในทวาย ติละวา และจ๊อกพิว สะท้อนว่ารัฐบาลพม่ากำลังปฏิรูปประเทศอย่างจริงจังผ่านการค้าการลงทุน

จาก ประสบการณ์ส่วนตัวประกอบกับข้อมูลที่ได้จากการพูดคุยกับเจ้าหน้าที่ของ ธนาคารกรุงเทพในพม่า และลูกค้าที่เข้าไปทำธุรกิจในประเทศนี้แล้ว เราค่อนข้างเห็นตรงกันว่า พม่าเป็นประเทศที่มีศักยภาพ ทั้งในการเป็นฐานการผลิตและแหล่งแรงงาน รวมทั้งการเป็นตลาดใหม่สำหรับสินค้าไทย แต่ก็ยังมีปัจจัยที่ท้าทายอยู่ไม่น้อย เช่น การกีดกันทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษี เสถียรภาพด้านพลังงาน เนื่องจากไฟฟ้าที่พม่าดับค่อนข้างบ่อย และประชากรเพียงร้อยละ 25 เท่านั้นที่มีไฟฟ้าใช้ ในขณะที่ค่าเช่าอสังหาริมทรัพย์แพงมาก ส่วนระบบสาธารณูปโภคและการขนส่งก็ยังต้องได้รับการพัฒนาอีกมากหากจะกล่าวว่า พม่าในขณะนี้เปรียบเสมือนช่วงรุ่งสางของวันใหม่ที่แม้มองเห็นแสงสีทองเรือง ๆ จับขอบฟ้าแล้ว แต่ยังไม่มีใครสามารถฟันธงได้ว่าในช่วงสาย ๆ ฝนจะตกหรือแดดจะออก ดังนั้นผู้ประกอบการจึงไม่ควรเร่งรีบเข้าไปลงทุน นอกเสียจากว่าท่านได้ศึกษาข้อมูลมาอย่างดี มีการป้องกันความเสี่ยงในระดับหนึ่ง หรือมีพันธมิตรท้องถิ่นที่เชื่อถือไว้วางใจกันได้เท่านั้น

สำหรับ ท่านที่ปักธงเอาไว้ในใจแล้วว่าจะต้องเข้าไปคว้าโอกาสในประเทศนี้ให้ได้ ผมขอแนะนำว่า ท่านควรศึกษาข้อมูลให้รอบด้าน ทั้งไปสำรวจด้วยตนเองและปรึกษาผู้มีประสบการณ์ตรง และเมื่อจะดำเนินการอะไรก็ขอให้เข้าตามตรอกออกตามประตูไว้ก่อน ค่อย ๆลงทุนอย่างเป็นขั้นเป็นตอน และวางแผนทางการเงินสำหรับโครงการลงทุนให้ดี เพราะที่พม่านั้น การซื้อขายทุกอย่างตั้งแต่ของกินของใช้ ไปจนถึงอสังหาริมทรัพย์ราคาหลายสิบล้านบาท ล้วนใช้เงินสด ไม่มีระบบเงินเชื่อหรือการให้เครดิต

สุดท้ายคือควรมีพันธมิตรท้องถิ่นที่เชื่อถือและไว้วางใจได้เป็นเพื่อนคู่คิดในการทำธุรกิจในพม่า

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
////////////////////////////////////////////////////////

การรถไฟแห่งประเทศไทย ตีกรอบประมูลรถไฟทางคู่แสนล้าน !!

โดย : นงนภัส ไม้พานิชย์

ประภัสร์. การันตี ร.ฟ.ท.พร้อมเปิดประมูลงานก่อสร้างล็อตแรก รถไฟทางคู่ 5 เส้นทาง มูลค่ากว่า 1.16 แสนล้าน ลั่นประมูลพร้อมกันทุกโครงการ

การรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) ต้องรับผิดชอบดำเนินโครงการพัฒนาระบบรางภายใต้พ.ร.บ.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงิน 2 ล้านล้านบาท เพื่อการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของประเทศ วงเงินประมาณ 1.2 ล้านบาท ในส่วนของร.ฟ.ท.จะมีแผนงานรวม 28 โครงการ

นายประภัสร์ จงสงวน ผู้ว่าการ ร.ฟ.ท. ให้สัมภาษณ์กับ "กรุงเทพธุรกิจ" ถึงการเตรียมความพร้อมในการดำเนินโครงการต่างๆ ว่า โครงการก่อสร้างที่สามารถดำเนินการได้ก่อนคือโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ระยะเร่งด่วน 5 โครงการ วงเงินรวม 1.16 แสนล้านบาท คือ 1.ลพบุรี-ปากน้ำโพ ระยะทาง 148 กม.วงเงิน 2.4 หมื่นล้านบาท 2.มาบกะเบา-นครราชสีมา (ถนนจิระ) ระยะทาง 132 กม. วงเงิน 2.9 หมื่นล้านบาท

3.ถนนจิระ-ขอนแก่น ระยะทาง 185 กม. วงเงิน 2.6 หมื่นล้านบาท 4.นครปฐม-หัวหิน ระยะทาง 165 กม. วงเงิน 2 หมื่นล้านบาท และ 5.ประจวบคีรีขันธ์-ชุมพร ระยะทาง 167 กม. วงเงิน 1.7 หมื่นล้านบาท

เช็คศักยภาพผู้รับเหมาก่อนรับงาน

ทั้งนี้ หากว่า ร.ฟ.ท.ได้รับการจัดสรรงบประมาณ คาดว่าจะเปิดประกวดราคาได้ภายในปีนี้ และเริ่มงานก่อสร้างภายในต้นปี 2557 โดยใช้เวลาก่อสร้างประมาณปีครึ่งถึง 2 ปี ซึ่งร.ฟ.ท.จะแบ่งงานก่อสร้างเป็นหลายสัญญา และแบ่งสัญญาตามระยะทางที่เหมาะสม เพื่อให้งานก่อสร้างแล้วเสร็จเร็วขึ้น และจะประกวดราคาพร้อมกันทั้ง 5 โครงการ หากทยอยก่อสร้างจะเสร็จไม่ทันตามแผน 7 ปี

"การดำเนินงานทุกอย่างเป็นไปตามขั้นตอนปกติ รวมทั้งขั้นตอนการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อม และการประกวดราคาพร้อมกันเพราะต้องการให้งานเสร็จและเปิดใช้พร้อมกัน และในการประกวดราคาจะตรวจสอบความพร้อมและความสามารถของผู้รับเหมาว่าสามารถทำงานให้แล้วเสร็จตามกำหนดได้หรือไม่ ถือเป็นครั้งแรกที่จะตรวจสอบงานในมือของผู้รับเหมา โดยจะตรวจสอบทั้งเครื่องมืออุปกรณ์และจำนวนบุคลากรว่ามีความสามารถรับงานได้เท่าใด หากบุคลากรและเครื่องมือไม่เพียงพอจะไม่ได้รับการคัดเลือก"

นอกจากนั้น ในระยะแรกนี้ ร.ฟ.ท.จะต้องเร่งดำเนินการอีก 4 โครงการ คือ 1.โครงการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานทางรถไฟ เป็นงานปรับปรุงทาง ราง หมอน สะพาน และติดตั้งรั้ว 2.โครงการติดตั้งเครื่องกั้นถนนเสมอระดับและปรับปรุงเครื่องกั้น 3.โครงการปรับปรุงระบบอาณัติสัญญาณไฟสีทั่วประเทศ และ4.โครงการติดตั้งระบบโครงข่ายโทรคมนาคม

อีก 2 ปีเริ่มประมูลโครงการเฟส 2

ส่วนโครงการที่อยู่ระหว่างการออกแบบรายละเอียดและศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อม และจะดำเนินการในระยะถัดไป คือ โครงการก่อสร้างทางคู่อีก 6 เส้นทาง ระยะทางรวม 1,364 กม. วงเงิน 1.4 แสนล้านบาท คือ 1.หัวหิน-ประจวบคีรีขันธ์ ระยะทาง 90 กม. 2.ชุมพร-สุราษฎร์ธานี ระยะทาง 167 กม. 3.สุราษฎร์ธานี-ปาดังเบซาร์ ระยะทาง 339 กม. 4.ปากน้ำโพ-เด่นชัย ระยะทาง 285 กม. 5.ขอนแก่น-หนองคาย ระยะทาง 174 กม. และ 6.ชุมทางถนนจิระ-อุบลราชธานี ระยะทาง 309 กม.

"คาดว่าโครงการก่อสร้างทางคู่ 6 เส้นทางนี้ จะต้องใช้เวลาอีกประมาณ 2 ปี จึงสามารถประกวดราคาได้ เพราะต้องใช้เวลาในการพิจารณาศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมค่อนข้างนาน แต่ทุกโครงการจะใช้พื้นที่เขตทางของรถไฟ จึงไม่มีปัญหาเรื่องการจัดกรรมสิทธิ์ที่ดิน"

เสนอตัวรับผิดชอบไฮสปีด 4 เส้นทาง

สำหรับการดำเนินโครงการรถไฟความเร็วสูงนั้น ร.ฟ.ท.อยู่ระหว่างศึกษาออกแบบเส้นทางท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ-ระยอง ส่วนเส้นทางกรุงเทพฯ-เชียงใหม่ กรุงเทพฯ-หนองคาย และกรุงเทพฯ-ปาดังเบซาร์ สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) จะเป็นผู้รับผิดชอบเรื่องการออกแบบ

ทั้งนี้ โครงการรถไฟความเร็วสูงเส้นทางกรุงเทพฯ-ระยอง จะออกแบบไปถึงจังหวัดตราด แต่ในระยะแรกจะก่อสร้างถึงจังหวัดระยอง ปัจจุบันอยู่ระหว่างการศึกษาความเหมาะสมเรื่องแนวเส้นทาง เบื้องต้นจะผ่านจังหวัดฉะเชิงเทราตามแนวเส้นทางรถไฟเดิม หลังจากนั้นจะเสนอรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อม โดย ร.ฟ.ท.มั่นใจว่ารถไฟความเร็วสูงเส้นทางกรุงเทพฯ-ระยอง จะก่อสร้างเสร็จก่อนเส้นทางอื่น เพราะไม่ต้องจัดกรรมสิทธิ์ที่ดิน สามารถใช้พื้นที่เขตทางรถไฟก่อสร้างได้ทันที

อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันยังไม่มีข้อสรุปว่าหน่วยงานใดจะเป็นผู้รับผิดชอบดำเนินงานก่อสร้างรถไฟความเร็วสูง โดย ร.ฟ.ท.เสนอเป็นผู้รับผิดชอบก่อสร้างรถไฟความเร็วสูงทั้ง 4 เส้นทาง เพราะมั่นใจว่าพนักงานมีประสิทธิภาพสามารถดำเนินการได้ แต่ขอเพียงโอกาสในการดำเนินโครงการ เพราะว่าไม่มีบุคคลหรือหน่วยงานใดรู้เรื่องรถไฟดีกว่า ร.ฟ.ท. ที่ผ่านมาสังคมอาจมองว่าร.ฟ.ท.ไม่มีประสิทธิภาพในการทำงาน แต่ไม่ได้ศึกษาให้ลึกซึ้งว่าเหตุใดจึงเป็นเช่นนี้

"การที่ ร.ฟ.ท.ขาดการลงทุนและขาดการพัฒนาระบบรางมาเป็นเวลานาน ขณะที่ค่าโดยสารถูกกำหนดไว้ในอัตราต่ำ เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ ร.ฟ.ท. ไม่มีกำไร และถูกมองว่าไม่มีประสิทธิภาพ ทั้งที่เป็นนโยบายของรัฐบาลที่กำหนดให้ ร.ฟ.ท. ต้องเป็นเช่นนี้"

ส่วนแนวทางการใช้วิธีบาร์เตอร์เทรดในโครงการรถไฟความเร็วสูง เชื่อว่ารัฐบาลมีประสบการณ์เกี่ยวกับวิธีการบาร์เตอร์เทรดมาก่อนหน้านี้แล้ว และคงไม่ทำให้เกิดปัญหาเหมือนครั้งที่ผ่านมาแน่นอน ขณะที่การดำเนินงานดังกล่าวจะไม่ส่งผลกระทบให้โครงการรถไฟความเร็วสูงของ ร.ฟ.ท. ต้องล่าช้า เพราะปัจจุบันยังอยู่ระหว่างการศึกษาออกแบบ

แนะแยกบัญชีหนี้สินจากการลงทุน

อย่างไรก็ตาม ร.ฟ.ท.ยังมีโครงการก่อสร้างทางคู่สายใหม่ 3 เส้นทาง ระยะทางรวม 696 กม. วงเงิน 1.2 แสนล้านบาท ซึ่งเป็นโครงการภายใต้ พ.ร.บ.2 กู้เงิน คือ 1.เด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ ระยะทาง 326 กม. 2.บ้านไผ่-มหาสารคาม-ร้อยเอ็ด-มุกดาหาร-นครพนม ระยะทาง 347 กม. และ 3.ชุมทางบ้านภาชี-อ.นครหลวง ระยะทาง 15 กม.

นอกจากนี้ ยังมีโครงการระบบรถไฟในเมือง ได้แก่ โครงการรถไฟสายสีแดงอ่อน ช่วงบางซื่อ-มักกะสัน-หัวหมาก และ สายสีแดงเข้ม ช่วงบางซื่อ-หัวลำโพง โครงการรถไฟสายสีแดงเข้ม ช่วงรังสิต-ม.ธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต โครงการรถไฟเชื่อมท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ส่วนต่อขยายช่วงดอนเมือง-บางซื่อ-พญาไท โครงการรถไฟสายสีแดงอ่อนช่วงบางซื่อ-ตลิ่งชัน โครงการรถไฟสายสีแดงอ่อนช่วงตลิ่งชัน-ศาลายา และโครงการก่อสร้างโรงรถจักรแห่งใหม่ที่อ.แก่งคอย จ.สระบุรี

"ในการดำเนินโครงการภายในพ.ร.บ.กู้เงินนั้น ผมมีแนวคิดให้รัฐบาลแยกบัญชีหนี้สินจากการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานให้ชัดเจน เพื่อไม่ให้ ร.ฟ.ท.ต้องรับภาระหนี้สินจากการกู้เงินมาลงทุนเหมือนในอดีต ซึ่ง ร.ฟ.ท.มีภาระหนี้สินกว่า 1 แสนล้านบาท ส่งผลให้ประสบปัญหาขาดทุนมาโดยตลอด หรืออาจให้ ร.ฟ.ท.นำผลตอบแทนทางเศรษฐกิจของโครงการมาลงบัญชีเป็นรายได้ เพื่อชดเชยภาระหนี้สินจากการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน"

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
////////////////////////////////////////////

วันพฤหัสบดีที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2556

ถนนเศรษฐกิจที่ต้องพัฒนา R12 เชื่อม ไทย-ลาว-เวียดนาม !!?

เส้นทางคมนาคมระหว่างประเทศนำมาซึ่งการกระจายตัวทางเศรษฐกิจไปสู่ชุมชนสองข้างทาง ประเด็นนี้ถูกยกขึ้นนำในกรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง หรือ GMS จึงเกิดการสร้างถนนเชื่อมโยงระหว่างประเทศ ภายใต้กรอบความร่วมมือดังกล่าว คู่ขนานไปกับการใกล้เข้ามาของการรวมเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนปลายปี 2558 เรื่องนี้ยิ่งต้องเป็น "ไฮไลต์" ให้เร่งผลักดัน

หนึ่งในเส้นทางระเบียงเศรษฐกิจแนวตะวันออก-ตะวันตก (East-West Economic Corridor : EWEC) หรือที่เรียกกันคุ้นหูว่า "R9" พาดผ่านเมียนมาร์ (ยังไม่เสร็จเรียบร้อย)-ไทย-ลาว-เวียดนาม ระยะทางทั้งเส้นยาว 1,450 กม. แต่ถนนช่วงที่เปิดใช้จากไทย เริ่มที่ จ.มุกดาหาร ข้ามสะพานมิตรภาพไทย-ลาวแห่งที่ 2 เข้าแขวงสะหวันนะเขตในลาว ไปยังเมืองลาวบาวของเวียดนาม ผ่านเมืองเว้ และสิ้นสุดที่ดานัง ของเวียดนาม




ตั้งแต่เส้นทางนี้เปิดใช้ยังไม่พบการกระจายตัวทางเศรษฐกิจคึกคักอย่างที่คาดการณ์ สะท้อนให้เห็นว่า ถนนเชื่อมระหว่างประเทศไม่ใช่ปัจจัยหลักเพียงปัจจัยเดียวต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจไปยังท้องถิ่นต่าง ๆ

การเปิดเส้นทาง R9 ที่ผ่านมา เป็นการดำเนินการนำร่องตามความตกลงว่าด้วยการขนส่งข้ามพรมแดนในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง หรือ GMS Cross Border Transport Agreement : CBTA ซึ่งยังมีข้อติดขัดที่เป็นอุปสรรคในการเดินรถระหว่างประเทศที่ชัดเจนคือ กฎระเบียบในการเดินรถระหว่างประเทศที่ต้องเป็นมาตรฐานเดียวกัน ทั้งค่าธรรมเนียมที่ด่านศุลกากร การอนุญาตให้รถต่างชาติวิ่งผ่านได้ตลอดเส้นทางในทุกประเทศที่ถนนตัดผ่าน มาตรฐานการตรวจสินค้าและคนเข้า-ออกระหว่างประเทศ เหล่านี้เป็นปัญหาในระดับนโยบายทางการเมืองที่ประเทศต่าง ๆ ต้องเร่งผลักดัน

นอกจากเส้นทาง R9 แล้ว ถนนเชื่อมไทย-ลาว-เวียดนาม ยังมีเส้นทาง "R12" ออกจากไทยที่ จ.นครพนม เข้าลาวที่แขวงคำม่วน ตัดเข้า จ.กวางบิ่งห์ของเวียดนาม บรรจบกับถนน "1A" ซึ่งเป็นถนนเส้นหลักของประเทศเวียดนาม สามารถเดินทางขึ้นเหนือไปยังฮานอย และขึ้นเมืองกว่างซีของจีน

ศักยภาพที่ชัดเจนของ R12 คือ เป็นเส้นทางจากไทยที่เข้าเวียดนามสั้นที่สุด สั้นกว่าเส้นทางสาย R9 และตัดผ่านสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติหลายแห่ง มีทัศนียภาพสวยงาม ทั้งพระธาตุพนมใน จ.นครพนม ถ้ำกองลอ-นาตาน และกำแพงยักษ์ในแขวงคำม่วนของ สปป.ลาว เขตอุทยานแห่งชาติฟองยา-แก่บาง ซึ่งเป็นมรดกโลกตามคำประกาศของยูเนสโกในจ.กวางบิ่งห์ ของเวียดนาม

ได้ร่วมโครงการสำรวจศักยภาพทางเศรษฐกิจเส้นทางหมายเลข R12 กับคณะ ซึ่งนำโดยนายจุลพงษ์ โนนศรีชัย ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ, นายพิษณุ จันทร์วิทัน เอกอัครราชทูต ณ เวียงจันทน์, นายชัยธันว์ พรหมศร ผอ.สำนักบริหารโครงการทางหลวงระหว่างประเทศ กรมทางหลวง, นางสาวนิธิวดี มานิตกุล ผอ.กองส่งเสริมเศรษฐสัมพันธ์และความร่วมมือ กรมเศรษฐกิจระหว่างประเทศ กระทรวงการต่างประเทศ และ นายชาญชัย ชอบชื่นชม ผอ.สำนักงานศุลการกรภาคที่ 2 ร่วมสำรวจทางสายนี้ด้วยการโดยสารทางรถ เพื่อมองศักยภาพที่ชัดเจนของการพัฒนาเส้นทางนี้รองรับการเติบโตทางเศรษฐกิจในอนาคต

การเดินทางด้วยรถบัสบนเส้น R12 ครั้งนี้เริ่มสำรวจตั้งแต่เส้นทางใน จ.นครพนม-คำม่วน สปป.ลาว-เข้าลาว-กวางบิ่งห์ เวียดนาม-เว้-สิ้นสุดที่เมืองดานัง

การเดินทางผ่าน 3 ประเทศด้วยถนนนี้ ต้องผ่านด่านศุลกากรแรกที่สะพานมิตรภาพไทย-ลาวแห่งที่ 3 นครพนม-คำม่วน ซึ่งปัจจุบันกำลังเตรียมพร้อมให้มีการเดินรถผ่านแดนสะดวกยิ่งขึ้น ปัจจุบันด่านขยายเวลาการให้บริการมาเป็น 06.00-22.00 น.มาเป็นระยะเวลาเกือบ 1 ปีแล้ว

บรรยากาศที่ด่านซึ่งเป็นวันอาทิตย์ไม่คึกคักเท่าที่ควร แต่ตัวแทนจาก จ.นครพนมกล่าวว่า เส้นทางนี้มีศักยภาพที่จะเติบโตมากยิ่งขึ้น เนื่องจากมีรถผ่านแดนที่เส้นทางนี้มากขึ้นแล้ว และดัชนีการเติบโตของจังหวัดก็สามารถวัดได้จากการมีห้างค้าปลีกบิ๊กซีขนาดใหญ่มาเปิดกิจการแล้ว และมีขนาดใหญ่กว่าห้างค้าปลีกในจ.มุกดาหารด้วย



ด่านคำม่วน ของสปป.ลาว ซึ่งอยู่ติดกับด่านนครพนมของไทย บนสะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 3

เส้นทางจากด่านนาพาวของ สปป.ลาวไปยังด่านจ่าลอของเวียดนามเป็นถนน 2 เลน ระยะทาง 150 ก.ม. ใช้เวลาราว 3 ชั่วโมง สภาพถนนตัดผ่านที่ราบสูงและภูเขา มีช่วงเป็นพื้นที่ราบ สภาพถนนค่อนข้างดี มีบางช่วงสั้น ๆ ต้องปรับปรุง

มีชุมชนบ้านเรือนเป็นระยะ มีปั๊มน้ำมันจำนวน 2-3 แห่ง แต่ยังไม่มีจุดพักรถโดยสาร ระหว่างทางมีกิจกรรมทางเศรษฐกิจอยู่บ้าง เช่น โรงงานปูนซีเมนต์ตราสิงห์ของจีน ซึ่งมีกำลังการผลิต 800,000 ตัน/ปี นอกจากนี้ยังพบเหมืองแร่ยิปซัมอีกด้วย ปัจจุบันแขวงคำม่วนมีบริษัทขุดแร่จำนวน 38 บริษัท ทั้งตะกั่ว หินปูน หินทราย โพแทสเซียม เหล็ก ยิปซัม และถ่านหิน เป็นต้น

ระยะเวลาผ่านด่านนาพาว และด่านจ่าลอ ซึ่งอยู่ห่างกันเป็นระยะทางสั้น ๆ ใช้เวลาราวด่านละเกือบ 1 ชั่วโมง ในอนาคตหากมีการจัดทำระบบศุลกากรที่อำนวยความสะดวกให้มีการผ่านแดนสำหรับคนและสินค้า ณ จุดเดียว หรือที่เรียกว่า Single Window จะสามารถลดระยะเวลาให้สั้นลงได้มาก

หลังจากผ่านด่านจ่าลอ เข้าประเทศเวียดนาม เดินทางไปยัง จ.กวางบิ่งห์เป็นถนน 2 เลน ระยะทาง 125 ก.ม. ใช้เวลาราว 3 ชั่วโมง เส้นทางส่วนใหญ่ยังคงตัดผ่านภูเขา คดเคี้ยวบางช่วง มีทัศนียภาพสวยงาม ชัดเจนว่าสามารถพัฒนาเป็นเส้นทางท่องเที่ยวได้ และมีชุมชนริมเส้นทาง R12 คึกคักกว่าใน สปป.ลาว






บรรยากาศการสัญจรที่ด่านนาพาว ของสปป.ลาว ติดกับด่านจ่าลอ ของเวียดนาม

กวางบิ่งห์มีเขตเศรษฐกิจพิเศษสำคัญ 2 แห่ง คือ เขตเศรษฐกิจห่อนลา และเขตเศรษฐกิจด่านตรวจคนเข้าเมืองจ่าลอ

การเดินทางสำรวจเส้นทางจากนครพนมสิ้นสุดที่ จ.กวางบิ่งห์ใช้เวลารวมราว 8 ชั่วโมง และยังพบจำนวนรถบรรทุกระหว่างทางไม่มากนัก

หากมองเส้นทาง R12 ณ จังหวัดกวางบิ่งห์ ในแง่ศักยภาพการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจ สามารถใช้เส้นทางลงใต้ไปบรรจบกับเส้นทาง 1A ถนนหลักของเวียดนาม ไปยังจังหวัดถื่อเทียนเว้ หรือที่รู้จักกันว่า "เมืองเว้" เป็นระยะทาง 200 ก.ม. ใช้เวลาราว 3 ชั่วโมง

เว้ เป็นเมืองมรดกโลกของยูเนสโก จึงมีนักท่องเที่ยวหลั่งไหลเข้ามาจำนวนมาก ปี 2555 มีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาจำนวน 2.4 ล้านคน เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 24.6%

ส่วนนักท่องเที่ยวไทยในปี 2555 มีจำนวน 128,000 คน ส่วน 9 เดือนแรกในปี 2556 มีจำนวน 100,000 คน นอกจากนี้ยังมี

นักท่องเที่ยวจากจีน อิตาลี สเปน อังกฤษ สหรัฐ และแคนาดา เป็นต้น จึงเห็นได้ชัดว่า ศักยภาพการพัฒนาด้านการท่องเที่ยวที่เมืองเว้มีสูงมาก


ถนน R12 ช่วงก่อนเข้าเขตประเทศเวียดนามที่จ.กว่างบิงห์

ในทางเศรษฐกิจ เส้นทางเดียวกันนี้สามารถไปยังนครดานัง ด้วยระยะทาง 100 ก.ม. ใช้เวลาราว 2 ชั่วโมง ปัจจุบันนครดานังมีจำนวนประชากร 951,7000 คน

มีสนามบินนานาชาติ กำลังเติบโตทางเศรษฐกิจสูงมาก มีโรงงานใหม่ ๆ ผุดขึ้น และมีนิคมอุตสาหกรรมมากถึง 6 แห่ง นครดานังมีท่าเรือดานังพื้นที่ 12 ตร.กม. ความลึกท่าเรือราว 10-17 เมตร ภายในท่าเรือประกอบด้วย 2 ส่วนหลักคือ ท่าเรือเตียนซาและท่าเรือแม่น้ำห่าน

ท่าเรือแห่งนี้อยู่ตอนกลางประเทศเวียดนาม มีแผนขยายท่าเรือที่คาดว่าจะเสร็จช่วงปี 2558-2559 ท่าเรือแห่งนี้

ซึ่งมีข้อจำกัดคือ ต้องประสบมรสุมจำนวนมาก และยังไม่ได้รับการพัฒนาเป็นท่าเรือระดับนานาชาติ มีจำนวนสินค้ายังไม่มากนัก ส่วนใหญ่เป็นสินค้าวัตถุดิบ เช่น สินค้าเกษตร อาหารทะเล สิ่งทอ ซึ่งเป็นสินค้าที่ต้องการส่งมายังเมืองนี้ มากกว่าเป็นท่าเรือที่กระจายสินค้าไปยังประเทศอื่น ๆ

ในเชิงท่องเที่ยว เมืองดานังเริ่มพัฒนาชายหาดของเมืองรับนักท่องเที่ยว และจากการสำรวจเส้นทางพบเห็นโรงแรม รีสอร์ต กาสิโน ผับ บาร์ และร้านอาหารจำนวนมากเปิดเพื่อรับนักท่องเที่ยวชาวจีนและชาวตะวันตกจำนวนมากริมชายหาด และย่านธุรกิจของเมือง


ท่าเรือดานัง

อย่างไรก็ตาม ช่องทางธุรกิจไทยที่เห็นได้จากการสำรวจเส้นทางดังกล่าวจากนครพนมมายังดานังคือ การขนส่งสินค้าไทยเข้ามายังเมืองต่าง ๆ เหล่านี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวียดนาม เนื่องจากเวียดนามนิยมสินค้าไทยอย่างสูง เพราะคุณภาพดีกว่าสินค้าจีน ระหว่างทางจากกวางบิ่งห์มายังเว้ มีย่านร้านสินค้าไทย ที่ชาวเวียดนามในจังหวัดใกล้เคียงเดินทางมาเพื่อซื้อสินค้าไทยโดยเฉพาะ

ทั้งนครพนม คำม่วน กวางบิ่งห์ เว้ และดานัง ต่างเป็นเมืองที่มีศักยภาพในการพัฒนาให้เกิดการกระจายตัวทางเศรษฐกิจตามเส้นทางสำรวจของคณะเดินทาง หากได้รับการผลักดันด้านกฎระเบียบจากภาครัฐของไทย ลาว และเวียดนาม

ที่ผ่านมาในการประชุม รมว.ช่วยต่างประเทศ ตามแนวพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก-ตะวันตก ครั้งที่ 2 ณ สะหวันนะเขต

ช่วงเดือน พ.ค.ที่ผ่านมา ภาครัฐจากทั้ง 3 ประเทศได้เห็นพ้องให้ผลักดันเส้นทาง R12 เข้าเป็นส่วนหนึ่งของเส้นทางในกรอบความร่วมมือของ GMS เพื่อพัฒนาระเบียบการขนส่ง CBTA ให้ครอบคลุมเส้นทางนี้ให้ประชาชน ภาคธุรกิจ และภาครัฐของทั้ง 3 ประเทศได้รับประโยชน์สูงสุดจากการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเชื่อมโยงระหว่างกัน

สำรวจหลากหลายความคิดเห็นจากการเดินทางสำรวจศักยภาพทางเศรษฐกิจเส้นทางถนนระหว่างประเทศสาย R9

นายพิษณุ จันทร์วิทัน เอกอัครราชทูต ณ เวียงจันทน์ สปป.ลาว กล่าวว่า เส้นทางนี้ตัดผ่าน 3 ประเทศ แต่ต้องมองถึงการกระจายตัวทางเศรษฐกิจของทุก ๆ ประเทศด้วย สปป.ลาวที่เป็นทางผ่านสามารถพัฒนาเส้นทางนี้ให้เป็นเส้นทางท่องเที่ยวได้ แต่ต้องอาศัย?ความร่วมมือจากทั้งไทยและเวียดนามช่วยสนับสนุนด้วย ในแง่สินค้า ปัจจุบันไทยส่งผลไม้ไปยังเวียดนามจำนวนมาก แต่ปัจจุบันไปทางเรือ เส้นทางนี้เป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับสินค้าดังกล่าว แต่ต้องทำให้สินค้าที่ขนผ่านเส้นทางนี้ไปได้อย่างสะดวก ไม่มีการจัดเก็บภาษีเป็นสินค้านำเข้าหรือส่งออกเมื่อผ่านด่านระหว่างประเทศ ในแง่ความสัมพันธ์ ปัจจุบันมีชาวเวียดนามจำนวนมากเดินทางไปเยี่ยมญาติพี่น้องในไทยด้วยการบิน หากด่านระหว่างประเทศทำให้การเดินรถสะดวก เชื่อว่าจะมีการเดินทางด้วยรถจากระหว่างไทย-เวียดนามมากขึ้น ถือเป็นการอำนวยความสะดวกให้ประชาชนของทั้ง 3 ประเทศอีกด้วย

นายจุลพงษ์ โนนศรีชัย ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เห็นว่า?เส้นทางนี้เป็นเส้นทางที่สั้นที่สุด หากต้องการขนสินค้าไปยังเวียดนามและขึ้นไปยังเมืองกว่างซีของจีนได้ ซึ่งแน่นอนว่าจีนเป็นตลาดสินค้าใหญ่ที่เชื่อมต่อกับประเทศแถบอาเซียน แต่ปัจจุบันการเดินทางยังมีข้อติดขัดในทางกฎหมาย ที่ต้องอาศัยนโยบายทางการเมืองของภาครัฐไทย ลาว และเวียดนามช่วยกันผลักดัน หากนำเส้นทางสายนี้เข้ากรอบ GMS ได้ ก็จะได้สิทธิประโยชน์จากการขจัดขั้นตอนที่ด่านศุลกากรให้สั้นลง มีธรรมเนียมในการขนส่งสินค้าและคนที่เป็นมาตรฐาน ลดระยะเวลาการเดินทางและเห็นต้นทุนที่ชัดเจนสำหรับภาคธุรกิจ ให้เข้ามาใช้ประโยชน์ได้เต็มที่

นายชัยธันว์ พรหมศร ผู้อำนวยการสำนักบริหารโครงการทางหลวงระหว่างประเทศ กรมทางหลวง กล่าวว่า ?การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเป็นการเปิดประตูเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งควบคู่ไปกับการพัฒนาสาธารณูปโภค เส้นทางนี้ตัดผ่านเขา มีทางโค้งหลายจุด ?ยังไม่เหมาะกับการเดินทางของรถบรรทุกใหญ่ ๆ นัก ?การสนับสนุนเส้นทางนี้ต้องอาศัยการพัฒนาภายในประเทศทั้ง 3 ประเทศ และต้องมองความคุ้มค่า เพราะแน่นอนว่าต้องเป็นเอกชนที่เข้ามาใช้เส้นทางนี้เพื่อให้เกิดการ?กระจายตัวทางเศรษฐกิจ ต้องมองไปถึงว่าแต่ละประเทศจะได้ประโยชน์อย่างไร ควรสนับสนุนสินค้าชนิดไหน พร้อม ๆ กับการพัฒนา?ด้านกฎระเบียบที่เป็นซอฟต์แวร์เข้ามาสนับสนุนถนนที่เป็นฮาร์ดแวร์
ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
----------------------------------------------------

วันพุธที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2556

ธปท.ยันเงินในระบบมีพอทำโครงการ2ล้านล.


ธปท.ยันเงินในระบบมีพอทำโครงการ2ลล.
กระแสทุนเคลื่อนย้ายยังสมดุล
แนะไทยรับมือโลกเปลี่ยนแปลง

นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย กล่าวปาฐกถา หัวข้อการปรับเปลี่ยนประเทศไทย ภายใต้บริบทของการเปลี่ยนแปลงเศรษฐกิจโลก ในงานประชุมวิชาการระดับชาติ ของนักเศรษฐศาสตร์ จุฬาฯ ว่า แนวโน้มการเปลี่ยนแปลงสำคัญที่เกิดขึ้นและสามารถส่งต่อด้านการผลิต ต่อเนื่องจนทำให้เศรษฐกิจโลกเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมมีแนวโน้มใหญ่ 2 ประการคือ 1.โครงสร้างประชากร ที่กำลังเปลี่ยนเป็นสังคมผู้สูงอายุมากขึ้น ปี 2555 ประชากรโลก เกิน 7,000 ล้านคน แล้วและมีสัดส่วนผู้สงอายุ 11% และในปี 2573 ยูเอ็น คาดว่าจะเพิ่มอีก 1,000 ล้านคน และมีสัดส่วนผู้สูงอายุ เพิ่มเป็น 16% แต่อัตราการเจริญพันธุ์ ปรับลดลงจาก 5 คน เหลือเพียง 2.5 คน ทำให้ประชากรวัยทำงานของโลกมีแนวโน้มลดลงเรื่อยๆ มีผลต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจ

และปัจจัยที่ 2 คือ การเข้าสู่สังคมเทคโนโลยีอัตโนมัติ ที่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการผลิต ที่ซับซ้อนแต่มีคุณภาพและความแม่นยำ แนวโน้มการเปลี่ยนแปลงใหญ่ของโลก ทั้งการเปลี่ยนแปลงด้านโครงสร้างประชากร และการเข้าสู่สังคมเทคโนโลยีอัตโนมัติ ส่งผลให้มีบางประเทศได้เปรียบการแข่งขัน และบางประเทศประสบอุปสรรคต่อการเติบโต

นายประสารกล่าวว่า กรณีของประเทศไทย อยู่ในกลุ่มประเทศ ที่มีแนวโน้มการเปลี่ยนแปลง ด้านการผลิตโลกน่าจะเป็นอุปสรรคสำหรับการเติบโต ดังนั้น เพื่อที่จะรับมือการเปลี่ยนแปลงนี้ไทยควรมีการปรับทัศนคติ 3 ด้านเพื่อการเติบโตที่ยั่งยืน 1.เลิกแข่งขันที่ราคาและปริมาณ แต่ต้องแข่งด้วยคุณภาพของสินค้าและบริการ เลิกหวังพึ่งแรงงานราคาถูก เป็นปัจจัยการผลิตอีกต่อไป 2.ต้องยอมรับการแข่งขันที่มากขึ้น เลิกกีดกันการแข่งขัน เพื่อรองรับการแข่งขันที่เสรีจากภายในและภายนอกให้มากขึ้น และ 3.ปรับทัศนคติ ที่ไม่ยอมรับการคอร์รัปชั่น เพราะการคอร์รัปชั่นเป็นต้นเหตุสำคัญของการบิดเบือนการจัดสรรทรัพยากร ในระบบเศรษฐกิจ ทำให้เกิดความสูญเปล่า สิ่งสำคัญที่เราต้องปรับ คือ ไม่ยอมรับคอร์รัปชั่น เลิกยอมรับการคอร์รัปชั่นถ้าเราได้ประโยชน์

นายประสารยังได้กล่าวอีกว่า ปัญหาในระยะสั้นที่ต้องติดตามในขณะนี้คือปัญหาการคลังของสหรัฐที่ 2 พรรคการเมืองใหญ่มีการต่อรองทางการเมืองจนเป็นอุปสรรคต่อการฟื้นตัวของสหรัฐไม่เป็นไปตามกำหนด แต่เชื่อว่าสุดท้ายแล้ว 2 พรรคการเมืองจะประนีประนอมขยายระยะเพดานหนี้ได้ในที่สุด แต่ต้องใช้เวลานานกว่าที่ตลาดคาดการณ์ ซึ่งเห็นได้จากปฏิกิริยาต่อตลาดหุ้นที่คึกคัก เพราะคาดว่าปัญหาด้านการคลังทำให้สหรัฐจะต้องชะลอการลดมาตรการอัดฉีดสภาพคล่อง (คิวอี) ออกไป

ขณะที่ตลาดการเงินมีทั้งการไหลเข้าและไหลออกของเงินทุน ซึ่งค่อนข้างเป็นไปอย่างสมดุล ทำให้ค่าเงินบาทแกว่งตัวอยู่ในกรอบแคบๆ อย่างไรก็ตาม ยังต้องติดตามสถานการณ์การเคลื่อนย้ายของเงินทุน โดยเฉพาะกระแสเงินไหลออก หากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ประกาศลดมาตรการคิวอีจะมีเงินไหลออกเร็วแค่ไหน ถ้าหากออกเร็วจะต้องมีการบริการจัดการ แต่มั่นใจว่าไทยจะสามารถรองรับปัญหาดังกล่าวได้

ส่วนสภาพคล่องในระบบการเงินไทยนั้น นายประสารยืนยันว่า มีเพียงพอต่อการกู้เงินในโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน 2 ล้านล้านบาทของภาครัฐ เนื่องจากเป็นโครงการลงทุนระยะยาว 7 ปี และวงเงินที่กู้ต่อปีสูงสุดเพียงแค่ปีละ 300,000-400,000 ล้านบาทเท่านั้น ขณะที่สภาพคล่องส่วนเกินที่ ธปท. ดูแลอยู่มีถึง 4.4 ล้านล้านบาท และสภาพคล่องหมุนเวียนของธนาคารพาณิชย์ผ่านตลาดอัตราดอกเบี้ยข้ามคืนมีประมาณ 500,000-600,000 ล้านบาท ต่อวัน จึงมั่นใจว่าเพียงพอหากรัฐบาลจะเน้นกู้เงินในประเทศเพื่อลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน และเพื่อการปล่อยสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์

ส่วนปัญหาการเมืองในขณะนี้จากกระแสต้านร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม เชื่อว่าปัญหาการเมืองเป็นเรื่องปกติของสังคมไทยที่จะต้องมีการทดสอบกำลังเป็นระยะ และทั้งสองฝ่ายต่างก็ศึกษาทัศนคติของประชาชน ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าติดตาม

ที่มา.นสพ.แนวหน้า
---------------------------------------

คลังลุ้นปีหน้าทำคลอด บริษัทสินเชื่อรายย่อย !!?

 คลังเตรียมดันมาตรการแก้ไขหนี้นอกระบบอย่างยั่งยืน ดึงเจ้าหนี้นอกระบบลุยปล่อยกู้ตามกฎหมาย คิดดอกเบี้ยสูงสุดไม่เกิน 36% แจงอยู่ระหว่างรอ ธปท.คลอดประกาศ คาดต้นปีหน้าชัดเจน
   
นายสมชัย สัจจพงษ์ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เปิดเผยถึงความคืบหน้าเกี่ยวกับมาตรการในการแก้ไขหนี้นอกระบบอย่างยั่งยืน ว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างรอให้ทางธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ออกประกาศ ธปท. โดยกำหนดให้นิติบุคคลที่ต้องการจะปล่อยกู้ตามแนวทางดังกล่าว ซึ่งอยู่ในนามบริษัทสินเชื่อรายย่อย (บย.) สามารถปล่อยสินเชื่อให้ประชาชนรายย่อยได้ ซึ่งการดำเนินกิจการดังกล่าวจะต้องอยู่ภายใต้พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืมของสถาบันการเงิน พ.ศ.2523 ซึ่งการดำเนินการทั้งหมดจะอาศัยอำนาจตามประกาศของคณะปฏิวัติ ปว.58 เพื่อให้การดำเนินการรวดเร็วขึ้น โดยไม่ต้องออกกฎหมายใหม่
   
ทั้งนี้ เมื่อ ธปท.ออกประกาศเรียบร้อย ทางกระทรวงการคลังก็จะเร่งออกประกาศกระทรวง เพื่อกำหนดหลักเกณฑ์และแนวทางในการดำเนินงานของ บย. โดยหลักเกณฑ์เบื้องต้นจะกำหนดให้นิติบุคคลที่จะเข้าร่วมเป็น บย. ต้องมีทุนจดทะเบียนที่ 10 ล้านบาท และสามารถปล่อยกู้ให้ประชาชนรายย่อยเพื่อนำไปประกอบอาชีพได้รายละไม่เกิน 1 แสนบาท รวมถึงสามารถคิดอัตราดอกเบี้ยรวมค่าธรรมเนียมตั้งแต่ 15% และสูงสุดไม่เกิน 36% โดยอัตราดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมในระดับดังกล่าวถือว่ายังต่ำกว่าอัตราดอกเบี้ยในการปล่อยกู้นอกระบบ
   
คาดว่าน่าจะเริ่มดำเนินมาตรการดังกล่าวได้ภายในวันที่ 1 ม.ค.2557 นี้ โดยในส่วนของการกำกับดูแลการดำเนินงานทั้งหมดจะเป็นการประสานงานร่วมกันระหว่าง ธปท. และกระทรวงการคลัง เพื่อให้มาตรการในการแก้ไขหนี้นอกระบบครั้งนี้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด” นายสมชัยกล่าว
   
อย่างไรก็ดี ก็จะมีการกำหนดบทลงโทษที่ชัดเจน อาทิ การยึดใบอนุญาตของ บย. กรณีทำผิดหลักเกณฑ์หรือเงื่อนไขด้วย โดยระหว่างนี้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะเร่งพิจารณาขั้นตอนการดำเนินงานทุกอย่างให้รอบคอบ ซึ่งเชื่อว่ามาตรการดังกล่าวจะเป็นประโยชน์กับประชาชนอย่างสูง.

ที่มา.ไทยโพสต์
-----------------------------

วันอังคารที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2556

คณะกรรมการอาเซียนว่าด้วยวัฒนธรรมและสนเทศ (ASEAN Committee on Culture and Information)

คณะกรรมการอาเซียนว่าด้วยวัฒนธรรมและสนเทศ หรือ ASEAN-COCI มีหน้าที่ดำเนินการงานความร่วมมือด้านวัฒนธรรมและสนเทศทั้งในและนอกภูมิภาคอาเซียน ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2513 โดยมีผู้แทนจากประเทศสมาชิกทั้งสิบร่วมเป็นคณะกรรมการ ในระยะแรก คณะทำงานได้รับการสนับสนุนด้านงบประมาณจากกองทุนวัฒนธรรมอาเซียน (ASEAN Cultural Fund) ซึ่งได้รับเงินบริจาคจากรัฐบาลญี่ปุ่นเป็นจำนวน 5,000 ล้านเยน
   
ต่อมาในปี 2542 ได้มีการปรับปรุงโครงสร้างของ ASEAN-COCI ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยตั้งเป็นคณะอนุกรรมการ 2 คณะ ประกอบไปด้วย คณะอนุกรรมการด้านวัฒนธรรม (Sub-Committee on Culture) และคณะอนุกรรมการด้านสนเทศ (Sub-Committee on Information) ซึ่งมีหน้าที่คือ การพิจารณาจัดทำและกลั่นกรองการเสนอโครงการใหม่ต่อ ASEAN-COCI รวมถึงวางแผนปฏิบัติการและติดตามผลการดำเนินงานศึกษาวิเคราะห์ประเด็นปัญหาหรือความต้องการของภูมิภาค โดยจะจัดให้มีการประชุมปีละหนึ่งครั้ง ให้ประเทศสมาชิกหมุนเวียนกันเป็นเจ้าภาพ
 
 ตลอดระยะเวลา 40 ปีที่ผ่านมา การดำเนินงานของ ASEAN-COCI ได้ก่อเกิดผลงานที่เป็นรูปธรรมจำนวนมาก ครอบคลุมงานหลากหลายมิติ ทั้งผลงานด้านวรรณกรรมและอาเซียนศึกษา ผลงานด้านศิลปะการแสดง ผลงานด้านทัศนศิลป์ ผลงานด้านสนเทศ และผลงานด้านมรดกวัฒนธรรม โดยนอกเหนือจากการดำเนินงานร่วมมือแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียนด้วยกันแล้ว ASEAN-COCI มีกิจกรรมความร่วมมือกับประเทศคู่เจรจา (Dialogue Partners) ซึ่งปัจจุบันมี 12 ประเทศ/องค์การ ได้แก่ ออสเตรเลีย แคนาดา จีน อินเดีย ญี่ปุ่น เกาหลี นิวซีแลนด์ รัสเซีย สหรัฐอเมริกา ปากีสถาน สหภาพยุโรป และสำนักงานโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (UNDP) ซึ่งเป็นการระดมทรัพยากรจากประเทศที่มีศักยภาพเพื่อช่วยในการพัฒนาด้านต่างๆ ของอาเซียน โดยประเทศสมาชิกได้รับมอบหมายให้เป็นผู้ประสานงานกับประเทศคู่เจรจาและมีการหมุนเวียนสับเปลี่ยนทุกๆ 3 ปี
 
 สำหรับการประชุม ASEAN-COCI ครั้งล่าสุด (ครั้งที่ 47) ระหว่างวันที่ 10-15 ธันวาคม 2555 ณ กรุงฮานอย ประเทศเวียดนาม คณะกรรมการได้เห็นชอบและมีมติร่วมกันให้มีการพิจารณาโครงการด้านวัฒนธรรมและสนเทศภายใต้กรอบของ ASEAN-COCI ให้มีความสอดคล้องกับแผนงานการจัดตั้งประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน (ASCC Blueprint) โดยเน้นการใช้วัฒนธรรมเพื่อเชื่อมโยงประชาชนในภูมิภาคเข้าด้วยกันและเน้นบทบาทของสื่อโดยเฉพาะการใช้สื่อสมัยใหม่เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายต่างๆ เพื่อให้เกิดความเข้าใจและรู้สึกถึงความเป็นประชาคมอาเซียนมากยิ่งขึ้น

ที่มา.นสพ.ฐานเศรษฐกิจ
--------------------------------

นางพะเยาว์ อัคฮาด แถลงค้านพ.ร.บ.นิรโทษกรรม เหมายกเข่ง !!?

แม่น้องเกด แถลงค้านพ.ร.บ.นิรโทษกรรม เหมายกเข่ง สุดตัวยื่นข้อเสนอ5ข้อให้รัฐบาลนำไปแก้ พร้อมยกอภิสิทธิ์-สุเทพตัวอย่างที่ดี ไม่รับนิรโทษฯขอสู้ในกระบวนการยุติธรรม

กลุ่มญาติผู้สูญเสียจากเหตุการณ์ทางการเมือง พ.ศ.2553 นำโดยนางพะเยาว์ อัคฮาด มารดาของน.ส.กมนเกด อัคฮาด นายพันธ์ศักดิ์ ศรีเทพ บิดานายสมาพันธ์ ศรีเทพ ผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์สลายการชุมนุมกลุ่มนปช.เมื่อปี 53 โดยนางพะเยาว์ กล่าวว่า ตามที่คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรม แก่ผู้ซึ่งกระทำความผิดเนื่องจากการชุมนุมทางการเมือง ที่มีนายสามารถ แก้วมีชัย ประธานกรรมาธิการ เป็นประธานการประชุม ได้มีมติแก้ไขเนื้อหาในมาตรา 3 ขอร่างเดิมที่นายวรชัย เหมะ ส.ส.พรรคเพื่อไทยและคณะเสนอ ซึ่งทางกลุ่มญาติผู้สูญเสียจากเหตุการณ์ทางการเมือง พ.ศ.2553 มีความเห็นว่าการแก้ไขข้อความในร่าง พ.ร.บ.นิรโทษดังกล่าว เป็นที่ชัดเจนว่าพรรคเพื่อไทยซึ่งเป็นกรรมาธิการเสียงข้างมากมีเจตนาที่จะเอื้อประโยชน์ให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร แลกเปลี่ยนกับการนิรโทษกรรมทหารที่กระทำความผิดในการสังหารหมู่ประชาชน ตลอดจนนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ในฐานะหัวหน้ารัฐบาลและประธานศูนย์อำนวยการเยียวยาสถานการณ์ฉุกเฉินในขณะนั้น อย่างไรก็ตามการแก้ไขข้อความดังกล่าว ยังแสดงให้สังคมเห็นว่าพรรคเพื่อไทยไม่เคยฟังเสียงประชาชน โดยเฉพาะญาติผู้เสียหาย ซึ่งเป็นผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสียโดยตรง

นางพะเยาว์ กล่าวต่อว่า การแก้ไขข้อความดังกล่าว เน้นย้ำความสงสัยของสังคมต่อพรรคเเพื่อไทยอีกครั้ง ต่อข้อครหา เรื่องการดำเนินการตามใบสั่ง ความมุ่งหวังที่จะนำ พ.ต.ท.ทักษิณ กลับบ้านโดยไม่คำนึงถึงวิธีการ เพิกเฉยต่อกระบวนการยุติธรรม ขณะเดียวกันเป็นที่น่าสังเกตว่านายอภิสิทธิ์ กรรมาธิการเสียงข้างน้อยและเป็นผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสียกลับแสดงเจตนารมณ์ว่าต้องการพิสูจน์ตัวเองในกระบวนการยุติธรรม แม้จะสามารถมองว่าเป็นเทคนิคทางการเมือง ด้วยเหตุนี้ทางกลุ่มญาติผู้เสียหายฯ จึงขอเสนอต่อรัฐบาลอันมีพรรคเพื่อไทยเป็นเสียงข้างมากดังนี้ 1.รัฐบาลพรรคเพื่อไทยต้องฟังเสียงประชาชนในการแก้ไขข้อความในร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมให้ผู้ที่เกี่ยวข้องกับความผิดต้องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ดังที่ศาลอาญาได้มีคำสั่งการไต่สวนการตาย กรณีนายพัน คำกอง นายชาญณรงค์ พลศรีลา นายชาติชาย ซาเหลา ด.ช.คุณากร ศรีสุวรรณ รวมถึงกรณี 6 ศพ วัดปทุมฯ​ว่าเหตุและพฤติการณ์ที่ตายคือถูกลูกกระสุนปืนซึ่งยิงจากอาวุธของเจ้าหน้าที่ทหาร อย่างไรก็ตาม กลุ่มญาติฯยินดีที่จะสนับสนุนร่างนิรโทษกรรมใดใดนั้น จะมีผลต่อการนิรโทษกรรมประชาชนอันเกี่ยวเนื่องจากเหตุการณ์ทางการเมืองเท่านั้น

2.รัฐบาลพรรคเพื่อไทยต้องเร่งรัดมาตรการทางนโยบายในการให้นักโทษการเมืองได้รับสิทธิในการประกันตัวอันเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของผู้ต้องสงสัยตามหลักสิทธิมนุษยชน 3.รัฐบาลพรรคเพื่อไทยต้องมีมาตรการเร่งรัดกระบวนการยุติธรรมกับคดีสังหารหมู่ประชาชน 4.รัฐบาลพรรคเพื่อไทยจะต้องย้ายนายธาริต เพ็งดิษฐ์ จากตำแหน่งอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ และให้พ้นจากหน้าที่หัวหน้าคณะผู้สอบสวนกรณีเหตุการณ์สังหารหมู่ประชาชน ปี 53 เนื่องจากเป็นผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสียกับเหตุการณ์ดังกล่าว 5.รัฐบาลพรรคเพื่อไทยจะต้องจัดตั้งคณะทำงานในการเร่งรัดกระบวนการยุติธธรรมในคดีสังหารหมู่ประชาชน ประกอบด้วยบุคลากรจาก กรมสอบสวนคดีพิเศษ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานอัยการ แพทย์ และผู้เกี่ยวข้องอื่นๆ เพื่อให้กระบวนการยุติธรรมรวดเร็วขึ้น

นางพะเยาว์ แถลงอีกว่า ทางเราขอคัดค้านการนิรโทษกรรมแบบเหมายกเข่ง เนื่องจากการเหมายกเข่งเป็นที่ยอมรับไม่ได้ และขอถามว่าการนิรโทษแบบเหมายกเข่งทำเพื่ออะไร ในเมื่อนายอภิสิทธิ์ นายสุเเทพ ขอพิสูจน์ตัวเองในกระบวนการยุติธรรม แล้วจะนิรโทษให้ทำไม ตนไม่เข้าใจ ถ้าจะนิรโทษกรรมตนขอเสนอให้นิรโทษกรรมแต่ประชาชนล้วนๆ และไม่ต้องอ้างว่าฝ้ายค้านไม่ยอม เพราะมีหลายคดีมีเรื่องอาวุธ เผาบ้านเมือง ตนคิดว่าทำได้เพราะรัฐบาลเป็นเสียงข้างมาก ขนาดแก้ไขพ.ร.บ.นิรโทษกรรมยังทำได้ ทั้งนี้ขอให้นิรโทษฯแต่ประชาชน ที่เหลือที่ไม่เกี่ยวกับประชาชนให้แขวนไว้เลย อย่างไรก็ตามคนที่รับผิดชอบในเหตุการณ์ต้องเป็นทั้งฝ่ายค้านและรัฐบาล

ขณะที่นายพันธ์ศักดิ์ กล่าวว่า การผ่านร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ก็เหมือนที่บรรณาธิการเว็บไซต์ข่าวแห่งหนึ่งระบุว่า เป็นการยิงซ้ำคนตายอีกรอบ ซึ่งไม่รู้ว่าเป็นรอบที่เท่าไรแล้ว และก็ได้พิสูจน์ด้วยการกระทำว่า ข้อสงสัยเรื่องใบสั่งเพื่อพาพ.ต.ท.ทักษิณกลับบ้าน หรือคำพูดของ พ.ต.ท.ทักษิณที่ว่าพี่น้องเสื้อแดงมาส่งผมถึงฝั่งแล้ว ที่เหลือผมจะไปต่อเอง ซึ่งความหมายก็จะแดงออกมาเรื่อยๆ

ที่มา.ทีนิวส์
----------------------------------------