--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันอังคารที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2556

ปีหายนะ !!?

โดย.พญาไม้

ปีที่สามของทุกๆ รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง..สำคัญกว่า 2 ปีที่ผ่านมา และสำคัญมากกว่าปีที่ 4 ปีสุดท้ายของอายุสภาผู้แทน

เพราะหลายๆ รัฐบาลในประวัติศาสตร์การเมืองไทย..ล้วนมีอันเป็นไปในปีที่ 3 ของการเป็นรัฐบาลตัวอย่างที่เห็นชัด..

รัฐบาลของ พลเอก เกรียงศักดิ์ ชมะนันท์..นายทหารผู้กระทำการปฏิวัติประเทศถึง 2 ครั้ง 2 คราว..เมื่อมาเป็นรัฐบาลประชาธิปไตยก็ยั่งยืนอยู่ไม่ได้..

ก็ในขวบปีที่3

ในครั้งนั้นคราวนั้น..ได้ทักท้วงกับ พลเอก เกรียงศักดิ์ ชมะนันท์..ให้โอนอ่อนผ่อนตามความต้องการของฝ่ายยังค์เติร์กให้มากที่สุด เพื่อผ่านปีที่ 3 ไปให้ได้..

แต่ผู้อยู่ในอำนาจมาแล้วถึง 3 ปี ผู้ปฏิวัติสำเร็จมาแล้วถึง 2 ครั้ง...ย่อมมีความเชื่อมั่นอย่างสูงในตัวตน..เขาเอาตำแหน่งนายกรัฐมนตรีไม่ยอมรับการต่อรองของยังค์เติรก์..ที่มี พลตรี มณูญ รูปขจร แกนนำใหญ่ของยังค์เติรก์..

เขาจึงต้องประกาศลาออกกลางสภา..เพราะดีกว่าไปแพ้โหวตในรัฐสภา..

รัฐบาลของ พลเอก ชาติชาย ชุณหะวัณ..ในปีที่3 แห่งการครองอำนาจ..กับการเลือกผู้บัญชาการทหารบกคนใหม่..ในครั้งนั้นคราวนั้น..ได้เสนอให้..เอา พลเอก สุนทร คงสมพงษ์ มาเป็นผู้บัญชาการทหารบก..เพื่อให้กองทัพกับกองทัพกำกับและควบคุมกันเอง..

โดยการแนะนำของ..คนใกล้ตัว..พลเอก ชาติชาย ชุณหะวัณ..เลือก พลเอก สุจินดา คราประยูร เป็นผู้บัญชาการทหารบก...

ถัดจากนั้นไม่นาน..รัฐบาลของเขาก็ถูกปฏิวัติ..

ปีที่ 3 ของรัฐบาล..หากผ่านพ้นไปได้..ปีสุดท้ายเงื่อนไขใดๆ ก็เอามาอ้างไม่ได้เพื่อการขจัดรัฐบาลเพราะเป็นปีเปลี่ยนรัฐบาล..

วันนี้ รัฐบาลของนายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กำลังอยู่ในช่วงปีที่ 3 จึงเป็นปีสำคัญที่จะต้องเข็นผ่านให้ได้..

ฝ่ายตรงข้ามรัฐบาล..จะทำทุกวิถีทางเพื่อล้มรัฐบาลลงให้ได้...ไม่ว่าจะด้วยเล่ห์หรือด้วยกล..ไม่ว่าด้วยมนต์หรือคาถา..

รัฐบาลนี้อาจจะมีฐานเสียงแข็งแกร่งทางรัฐสภา..และมีฐานมวลชนแน่นหนาที่จะต่อต้านการถูกปฏิวัติรัฐประหาร..

แต่สำหรับการถูกโค่นล้มด้วยข้อหาคอร์รัปชั่น..และด้วยเหตุผลและหลักฐานที่เจือสม..จะไม่มีเหตุผลให้มวลชนลุกฮือขึ้นมาต่อต้าน..

และวันนี้ก็มีเรื่องราวมากมาย..ที่หมดหนทางปฏิเสธว่าไม่มีการใช้อำนาจรัฐจัดผลประโยชน์ให้กับกลุ่มตนและพรรคพวก

การรับจำนำข้าว..ที่รัฐบาลยอมรับว่าขาดทุนเป็นแสนล้าน..คำถามคือ...ชาวนาคนปลูกข้าวได้ไปเท่าไหร่..กำไรไปอยู่ที่ใคร..

หยิกเล็กก็เจ็บเนื้อ...ไม่อยากชี้โพรงให้กะรอก..แต่อยากจะบอกว่า..ถ้ารัฐบาลจะมีอันเป็นไป..ก็เพราะพฤติกรรมของ..แกนนำพรรค..ไม่ใช่ใครที่ไหน..

และจะไม่มีมวลชนมวลใดลุกฮือขึ้นมาเพื่อปกป้องรัฐบาลที่โกงกินแผ่นดิน

ที่มา.บางกอกทูเดย์
----------------------------------------

ทุนนิยมยุคใหม่ !!?

โดย วีรพงษ์ รามางกูร

ทุกวันนี้ดูเหมือนจะยอมรับกันทั่วโลกเสียแล้วว่า ระบอบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมเป็นระบอบเศรษฐกิจที่เลวน้อยที่สุดในบรรดาระบอบเศรษฐกิจทั้งหลาย ที่นักคิดทางการเมืองและนักคิดทางเศรษฐกิจพยายามค้นคิดตั้งแต่ศตวรรษที่ 19 เป็นต้นมา สงครามทางความคิดเรื่องบทบาทของรัฐกับปัจเจกชนซึ่งต่อสู้กันมาเป็นเวลากว่า 100 ปี ก็เป็นอันสิ้นสุดลงเมื่อระบบเศรษฐกิจแบบสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ได้พังทลายลง เมื่อฝ่ายคอมมิวนิสต์แพ้ "สงครามอวกาศ" หรือ "Star wars" ในสมัยประธานาธิบดีเรแกนแห่งสหรัฐอเมริกา

และฝ่ายนิยมสหภาพแรงงาน ซึ่งได้แก่ พรรคแรงงานในอังกฤษ และพรรคสังคมนิยมอื่น ๆ ในประเทศยุโรปตะวันออก พ่ายแพ้แก่นายกรัฐมนตรีมาร์กาเรต แทตเชอร์ แห่งสหราชอาณาจักร ที่ทำการต่อสู้กับสหภาพแรงงานเหมืองถ่านหิน ซึ่งเป็นสหภาพแรงงานที่ใหญ่และเข้มแข็งที่สุดในประเทศอังกฤษ

สาเหตุที่คำทำนายของ คาร์ล มาร์กซ์ ไม่เป็นความจริง กล่าวคือ ระบบทุนนิยมนั้นเป็นระบบที่ทำลายตัวเอง เพราะการขูดรีดของชนชั้นนายทุนซึ่งมีจำนวนน้อย กับชนชั้นกรรรมาชีพซึ่งมีจำนวนมาก ทำให้นายทุนสามารถกดค่าแรงไว้ในระดับที่ต่ำเท่าที่จะประทังชีวิตอยู่ได้เท่านั้น

สมมติฐานนี้ก็ไม่เป็นความจริงเมื่อเกิดมีสหภาพแรงงานขึ้นในยุโรป สหภาพแรงงาน ทำให้กรรมกรสามารถต่อรองกับนายทุนผ่านทางสหภาพแรงงานได้ สหภาพแรงงานเติบใหญ่โตขึ้นจนสามารถตั้งพรรคการเมืองและจัดตั้งรัฐบาลได้

อีกทั้งสมมติฐานที่ว่า ถ้าค่าแรงเพิ่มสูงขึ้นเมื่อไหร่ ชนชั้นกรรมาชีพก็จะมีลูกมากขึ้น การที่ชนชั้นกรรมาชีพมีลูกมากขึ้นทำให้จำนวนแรงงานเพิ่มขึ้น ค่าแรงก็จะไม่สูงขึ้นตามอุปสงค์อุปทานของตลาดแรงงานก็ไม่จริง เมื่อสังคมร่ำรวย มีการศึกษามากขึ้น การวางแผนครอบครัวก็เป็นที่แพร่หลาย ไม่ได้ผูกขาดอยู่แต่เฉพาะชนชั้นนายทุนเท่านั้น ค่าจ้างแรงงานที่แท้จริงเมื่อคิดในรูปข้าวของสินค้าก็สูงขึ้นไปเรื่อย ๆ จนนายทุนต้องออกไปหาแหล่งลงทุนใหม่ ๆ นอกประเทศที่ยังมีสัดส่วนของแรงงานต่อทุนมากกว่าประเทศของตน อันเป็นเหตุให้การพัฒนาได้กระจายตัวออกไปจากภูมิภาคหนึ่งไปสู่อีกภูมิภาคหนึ่ง จนกระทั่งครอบคลุมไปทั่วโลก ในที่สุดแม้ว่าในขบวนการดังกล่าวจะมีประชาชนบางส่วน "ตกรถ" ด้วยเหตุผลบางอย่าง แต่ก็เป็นส่วนน้อยไม่ใช่ส่วนใหญ่

แม้แต่สิ่งที่เคยพูดว่าระบอบสังคมนิยมประชาธิปไตย อย่างเช่น ประเทศกลุ่มสแกนดิเนเวีย ยุโรป อังกฤษแบบพรรคกรรมกร ซึ่งยังให้ความสำคัญกับบทบาทของ "รัฐ" ในการจัดสวัสดิการการรักษาพยาบาล บัดนี้ก็ดูจะค่อย ๆ เลือนหายไปจากการสนทนาโต้เถียงกัน ทั้งในเชิงทฤษฎีและการปฏิบัติ ประเทศที่เป็นที่ยกเว้นเห็นจะเป็นสหรัฐอเมริกา หัวหน้าค่าย "ทุนนิยม" เสียเองที่กำลังต่อสู้กันอยู่ในเรื่องสวัสดิการของรัฐในเรื่อง "การรักษาพยาบาล" เพราะรัฐบาลประธานาธิบดี

โอบามากำลังต่อสู้ที่จะจัดโครงการ "สุขภาพดีถ้วนหน้า" โดยการออกกฎหมายให้คนอเมริกันทุกคนต้อง "ประกันสุขภาพ" ไม่ของเอกชนก็ของรัฐบาล

ทั้งนี้ ก็เพราะว่าค่ารักษาพยาบาลในอเมริกันแพงมาก ที่แพงมากก็เพราะคนไข้อเมริกันชอบฟ้องแพทย์และพยาบาลเรียกค่าเสียหายมาก ๆ อยู่เสมอ หมอและพยาบาลก็ต้องซื้อประกัน ค่าประกันหมอก็แพงมากขึ้นเรื่อย ๆ ค่าบริการรักษาพยาบาลที่อเมริกาก็เลยแพง ที่ยุโรปก็แพง แต่ยุโรปเขาบังคับให้ทุกคนประกันสุขภาพมานานแล้ว

คนอเมริกันและยุโรปหลาย ๆ คนบินมารักษาที่เมืองไทย อยู่พักผ่อนเที่ยวเล่นจนหาย บินกลับแล้วค่อยไปเบิกค่าพยาบาลรักษาที่บ้าน คิดรวมหมดแล้วยังถูกกว่า คุณภาพดีกว่า บริการดีกว่า

คนที่มีฐานะดีในอเมริกาซึ่งส่วนมากนิยมพรรครีพับลิกัน และสามารถจ่ายค่ารักษาพยาบาลจากบริการของเอกชนได้จึงคัดค้าน ทั้ง ๆ ที่มีน้ำหนักน้อย

อย่างที่เป็นข่าวอยู่ในสภาล่างของสหรัฐอเมริกาในปัจจุบัน โดยเหตุที่ข้อเสียหรือจุดอ่อนของระบอบ "ทุนนิยม" ถูกแก้ไขได้เพราะระบอบทุนนิยมนั้นอยู่คู่กับระบอบการปกครองแบบเสรีประชาธิปไตย มิได้เป็นระบอบ "เผด็จการโดยชนชั้นกรรมาชีพแบบคอมมิวนิสต์" ในขณะเดียวกัน ข้อดีของระบอบทุนนิยมก็ได้รับการสนับสนุน เช่น ประสิทธิภาพในการผลิตของพนักงาน ประสิทธิภาพของตลาด ประสิทธิภาพในการจัดสรรทรัพยากร เพราะมีการแข่งขัน รวมทั้งโอกาสในการลงทุนใหม่ ๆ ทำให้เทคโนโลยีหรือวิทยาการ

การผลิตใหม่ ๆ เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา เพื่อการอยู่รอด ซึ่งสิ่งเหล่านี้ไม่เกิดถ้าหน่วยผลิตเป็นของ "รัฐ" หรือเป็นรัฐวิสาหกิจที่ผูกขาดอย่างเต็มที่ ประเทศที่ใช้ระบบเศรษฐกิจทุนนิยมจึงมีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี รายได้ต่อหัวของประชากรก็สูงขึ้น มีสินค้าและบริการให้ประชาชนในประเทศได้อุปโภคบริโภคได้อย่างเพียงพอ

แต่อันตรายของระบอบทุนนิยมในหลายเรื่องก็ยังมีอยู่ เช่น นายทุนก็จะมุ่งแต่จะแข่งขันแสวงหากำไร ทำลายทรัพยากรของชาติ ไม่ว่าจะเป็นป่าไม้ แร่ธาตุ สัตว์น้ำในทะเลและแม่น้ำลำคลอง มลพิษ เช่น น้ำเสีย อากาศเสีย รวมทั้งทำลายวัฒนธรรมอันดีงามของชาวบ้าน ซึ่งสร้างขึ้นตามวิถีชีวิตแบบเดิมที่อาศัยเศรษฐกิจการเกษตรดั้งเดิม หรืออุตสาหกรรมในครัวเรือน ศิลปะพื้นบ้าน รวมทั้งความรู้สึกนึกคิดและคุณค่าของสังคมที่ไม่ใช่ตัวเงิน

ขณะนี้ก็เกิดแนวความคิดเรื่อง "ความรับผิดชอบต่อสังคมของนายทุน" หรือที่ชอบเรียกกันว่า CSR หรือ Corporate Social Responsibility ทำโดยกลุ่มเอ็นจีโอ หรือหน่วยงานที่ไม่ใช่หน่วยงานของรัฐในยุโรป ตามด้วยอเมริกา ทำการต่อสู้เรียกร้องและคัดค้านข้อที่เป็นจุดเสียของระบอบทุนนิยม

กลุ่มนี้มีหลายสมาคม หลาย ๆ หน่วยงาน แต่ทั้งหมดพยายามรณรงค์ให้ผู้บริโภคให้ความสนใจต่อบทบาทของนายทุนในการขูดรีดแรงงาน การทำลายสิ่งแวดล้อม การทำให้โลกร้อน การรักษาพันธุ์สัตว์ที่กำลังจะสูญพันธุ์ การทรมานสัตว์ และอื่น ๆ

ในทางการเมือง เมื่อชนชั้นนายทุนสามารถเอาชนะชนชั้นศักดินา สามารถสถาปนาระบอบการปกครอง "ประชาธิปไตย" ขึ้น ก็จะเกิดการต่อสู้ระหว่างนายทุนกับประชาชน ซึ่งควรจะเป็นเจ้าของอำนาจประชาธิปไตยแต่ยังไม่เป็น จนได้รับการขนานนามว่าเป็น "ทุนนิยมสามานย์" ซึ่งเป็นระบอบการปกครองของโลกในปัจจุบัน

ในทางเศรษฐกิจ ระบบการผลิตก็จะอยู่ในมือของชนชั้นนายทุน มิได้อยู่ในมือหรืออิทธิพลของผู้บริโภค ตามปรัชญาเศรษฐศาสตร์ที่ว่า ในระบบเศรษฐกิจเสรีนั้นอำนาจอธิปไตยเป็นของผู้บริโภค หรือ Consumer Sovereignty ซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ในระบบเศรษฐกิจ กระแสการต่อสู้จึงเกิดขึ้น เป็นกระแสการต่อสู้ระหว่างนายทุนกับผู้บริโภค ไม่ใช่นายทุนกับผู้ใช้แรงงานอีกต่อไปแล้ว เพราะปัญหาการต่อสู้ระหว่างผู้ใช้แรงงานกับนายทุนสงบแล้ว หลังชัยชนะของนายกรัฐมนตรีหญิงมาร์กาเรต แทตเชอร์

กระแสทุนนิยม "New Capitalism" หรือ "ทุนนิยมที่บรรลุ" "Enlightened Capitalism" กำลังเกิดขึ้น กล่าวคือ ทุนนิยมหรือนายทุนหรือกิจการของบริษัทจะสำเร็จอยู่ได้อย่างยั่งยืนก็ต่อเมื่อบริษัทมีความรับผิดชอบต่อสังคม

ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะมีกลุ่มที่สามารถสร้างกระแสให้ผู้บริโภคไม่ซื้อหรือไม่ยอมรับสินค้า หรือบริการที่ผู้ผลิตไม่รับผิดชอบต่อสังคมได้ และกระแสที่ว่านี้เข้มแข็งขึ้นเรื่อย ๆ กระแสที่ว่านี้พยายามสถาปนาอำนาจอธิปไตยของผู้บริโภคให้ปรากฏเป็นจริงให้มากขึ้นเรื่อย ๆ คล้ายกับขบวนการประชาธิปไตยที่พยายามจะสถาปนาอำนาจประชาธิปไตยให้เป็นของประชาชนให้เป็นจริงมากขึ้นเรื่อย ๆ

เมืองไทยของเราก็คงจะได้เห็นการเกิดขึ้นของกระแสทั้ง 2 กระแสอย่างแจ้งชัดมากขึ้นเรื่อย ๆ จะหลีกเลี่ยงก็คงจะเป็นไปได้ยาก
บริษัท ห้างร้าน และนายทุนที่ต้องพึ่งตลาดในยุโรป อเมริกา ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ได้ตระหนักในเรื่องความรับผิดชอบต่อคนอย่างมาก และถ้าเป็นสินค้าที่ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม ไม่ทำลายสุขภาพ จะได้ราคาสูงกว่าสินค้าปกติ และคุ้มกับการปฏิบัติตามค่านิยมนี้

ส่วนชนชั้นปกครองของเราจะเห็นกระแสเช่นว่านี้หรือไม่ก็ไม่ทราบ ถ้าไม่เห็นก็ควรจะพยายามเห็นและปรับตัวอย่างพวกนายทุนเสีย สังคมและบ้านเมืองจะได้สงบเรียบร้อย เป็นผลดีกับทุกฝ่าย อย่างไรเสียก็คงหนีไม่พ้นสองกระแสนี้

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
---------------------------------------------------

ตระกูลการเมืองไทย ยิ่งยุบ(พรรค)ยิ่งโต !!?

ตระกูลการเมืองไทย ยิ่งยุบ (พรรค) ยิ่งโต...เจนเนอเรชั่น 2 พร้อมทำงาน

เป็นข่าวฮือฮาช่วงต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา เมื่อมีสื่อบางแขนงเสนอผลวิจัยเรื่อง "ตระกูลการเมือง" ของนักการเมืองไทย โดยเฉพาะ ส.ส.ในสภา ซึ่งพบว่าผู้แทนของเรามีสัดส่วนของคนจาก "ตระกูลการเมือง" ที่ส่งต่อสืบทอดกันมากที่สุดในโลก!

อย่างไรก็ดี เมื่อตามไปดูงานวิจัยร้อนๆ ของ ดร.สติธร ธนานิธิโชติ จากสำนักวิจัยและพัฒนา สถาบันพระปกเกล้า ซึ่งแปรเป็นบทความชื่อ "สามทศวรรษตระกูลการเมืองในระบอบประชาธิปไตยของไทย" ก็ได้พบข้อเท็จจริงเพิ่มเติมว่า ไม่ได้มีส่วนหนึ่งส่วนใดของงานวิจัยที่ชี้ชัดว่าประเทศไทยมีตระกูลการเมือง หรือที่หลายคนเรียกอย่างค่อนแคะว่าเป็นการ "สืบทอดอำนาจ" หรือ "สมบัติผลัดกันชม" ของวงศ์วานว่านเครือในระดับมากที่สุดในโลก

แต่ถึงกระนั้นก็นับเป็นสัดส่วนที่สูงไม่น้อยทีเดียว...

จากการจับเข่าคุยกับ ดร.สติธร และพลิกดูงานวิจัยอย่างละเอียด ยังพบประเด็นน่าสนใจมากกว่าจำนวน นั่นก็คือสัดส่วนของตระกูลการเมืองที่ฝ่าด่านเลือกตั้งเข้าสภาได้ในการเลือกตั้งทั่วไปแต่ละครั้งกลับเพิ่มสูงขึ้น ทั้งๆ ที่ผู้คนในบ้านเมืองรับรู้ข้อมูลข่าวสารมากยิ่งขึ้น หนำซ้ำในปี 2550 และปี 2551 ยังมีการยุบพรรคการเมืองใหญ่ไปหลายพรรค จนหลายคนคิดว่านักการเมืองและตระกูลการเมืองผู้ทรงอิทธิพลอยู่เดิมจะ "สูญพันธุ์" แต่ความเป็นจริงกลับสวนทาง!

ตระกูลการเมืองอิทธิพลสูงจริงหรือ?

ดร.สติธร เล่าให้ฟังถึงความสนใจเรื่องตระกูลการเมืองไทยจนตัดสินใจทำงานวิจัยชิ้นนี้ว่า จากผลการเลือกตั้งปี 2554 นักวิชาการหลายคนวิเคราะห์ว่าบทบาทของตระกูลการเมืองลดลงไปหรือเปล่า เพราะมีหลายตระกูลพ่ายแพ้การเลือกตั้ง เช่น ตระกูลฉายแสง ตระกูลตันเจริญ จึงเกิดความสงสัยว่าเป็นจริงตามที่มีการวิเคราะห์หรือไม่ ประกอบกับเว็บไซต์ TCIJ (ศูนย์ข้อมูลและข่าวสืบสวนเพื่อสิทธิพลเมือง) รายงานว่ามี 42 ตระกูลการเมืองที่ได้เข้าสภาในการเลือกตั้งปี 2554 จึงใช้เป็นข้อมูลตั้งต้นในการศึกษา

หลักเกณฑ์ของการกำหนดนิยามของคำว่า "ตระกูลการเมือง" ใช้ 2 เจนเนอเรชั่น หรือ 2 รุ่น ส่วนใหญ่เน้นไปที่นามสกุลเดียวกัน หรือมีความเป็นเครือญาติกัน หากเคยชนะเลือกตั้งเข้าสภาได้ 2 รุ่นก็นับเป็นตระกูลการเมืองแล้ว ซึ่งเป็นหลักการเดียวกับที่ใช้ในต่างประเทศ แต่การวิจัยครั้งนี้ขีดกรอบเฉพาะนักการเมืองระดับชาติในสภาผู้แทนราษฎรเท่านั้น ไม่ได้โยงไปถึงระดับท้องถิ่นหรือวุฒิสภา อย่างไรก็ดี ในส่วนของ ส.ส. 500 คนในสภาผู้แทนชุดปัจจุบันนั้น พิจารณาจากทั้ง ส.ส.ระบบเขต และระบบบัญชีรายชื่อ และศึกษาย้อนกลับไปถึงการเลือกตั้งเมื่อปี 2522 เลยทีเดียว

งานวิจัยชิ้นนี้จึงมุ่งแสวงหาคำตอบว่า อิทธิพลของตระกูลการเมืองยังมีความสำคัญต่อการเมืองและการเลือกตั้งของไทยหรือไม่ ถ้ามี...อิทธิพลดังกล่าวมากน้อยเพียงใด เปลี่ยนแปลงไปจากอดีตหรือไม่ อย่างไร?

เลือกตั้ง 3 ก.ค.54 มี 42 ตระกูล

ดร.สติธร อธิบายว่า ผลการเลือกตั้งทั่วไปครั้งล่าสุดเมื่อวันที่ 3 ก.ค.2554 มีพรรคการเมืองได้รับเลือกตั้งจำนวน 11 พรรค มีผู้ได้รับการเลือกตั้งที่มีความสัมพันธ์ทางเครือญาติในลักษณะ พ่อ-แม่-ลูก, พี่-น้อง และสามี-ภรรยา จำนวน 42 ตระกูล รวม 90 คน หรือคิดเป็นร้อยละ 18 ของ ส.ส.ทั้งหมด 500 คน (แบบแบ่งเขต 375 คน แบบบัญชีรายชื่อ 125 คน)

สำหรับตระกูลที่มีสมาชิกในตระกูลชนะเลือกตั้งมากที่สุด ได้แก่ "ตระกูลเทียนทอง" สังกัดพรรคเพื่อไทย 5 คน รองลงมาคือ "ตระกูลเทือกสุบรรณ" สังกัดพรรคประชาธิปัตย์ 4 คน และ "ตระกูลรัตนเศรษฐ" สังกัดพรรคเพื่อไทย 3 คน

นอกจากนั้นอีก 39 ตระกูล มีสมาชิกในตระกูลได้รับการเลือกตั้งจำนวน 2 คน กระจายไปในพรรคการเมืองต่างๆ จำนวน 5 พรรค และยังมีอีก 4 ตระกูลที่คนในตระกูลได้รับเลือกตั้งต่างพรรคกัน ได้แก่ ตระกูลไกรฤกษ์ (นายจุติ ไกรฤกษ์ ประชาธิปัตย์ นายชัยวัฒน์ ไกรฤกษ์ พรรครักประเทศไทย) ตระกูลจินตะเวช (นายปัญญา จินตะเวช เพื่อไทย นายตุ่น จินตะเวช ชาติไทยพัฒนา) ตระกูลใจสมุทร (นายธานินทร์ ใจสมุทร ชาติไทยพัฒนา นายศุภชัย ใจสมุทร ภูมิใจไทย) และตระกูลมุ่งเจริญพร (นายปกรณ์ มุ่งเจริญพร ภูมิใจไทย นางปิยะดา มุ่งเจริญพร เพื่อไทย)

เพื่อไทยแชมป์ 19 ตระกูล-ปชป.17

เมื่อพิจารณาจำนวนตระกูลแยกเป็นรายพรรค พบว่าพรรคเพื่อไทยเป็นพรรคที่มีตระกูลนักการเมืองได้รับเลือกตั้งมากที่สุด รวม 19 ตระกูล รองลงมาคือพรรคประชาธิปัตย์ 17 ตระกูล พรรคภูมิใจไทย 4 ตระกูล พรรคชาติไทยพัฒนา 3 ตระกูล พรรคพลังชล 1 ตระกูล และพรรครักประเทศไทย 1 ตระกูล

แต่หากพิจารณาในแง่สัดส่วน (เทียบกับจำนวน ส.ส.ทั้งหมดของพรรค) พบว่า พรรคชาติไทยพัฒนามีสัดส่วน ส.ส.ที่เป็นคนในตระกูลเดียวกันที่ได้รับเลือกตั้งสูงที่สุด คือ ร้อยละ 31.6 รองลงมาคือพรรคพลังชล ร้อยละ 28.6 พรรครักประเทศไทย ร้อยละ 25 พรรคประชาธิปัตย์ ร้อยละ 22 พรรคภูมิใจไทย ร้อยละ 17.6 และพรรคเพื่อไทย ร้อยละ 15.1

ตระกูลการเมืองเพิ่มตลอดไม่มีลด

ประเด็นที่น่าสนใจต่อมา คือ พัฒนาการการดำรงอยู่ของตระกูลการเมืองในสภาผู้แทนราษฎรของไทย ตั้งแต่ปี 2522 จนถึงปัจจุบัน ดร.สติธร บอกว่า ส.ส.ที่มีความสัมพันธ์แบบตระกูลการเมืองมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากที่มีเพียงร้อยละ 3.1 ในปี 2522 เพิ่มเป็นร้อยละ 6.6 ในปี 2526 และเพิ่มขึ้นในการเลือกตั้งครั้งต่อๆ มา จนมีสัดส่วนสูงกว่าร้อยละ 10 เป็นครั้งแรกในการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 13 ก.ย.2535 หรือการเลือกตั้งปี 2535/2 (ดูข้อมูลในกราฟฟิก)

จากนั้นการเปลี่ยนแปลงของสัดส่วน ส.ส.ที่มีความสัมพันธ์แบบตระกูลการเมืองก็เพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดดภายหลังการประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับปี 2540 ที่มีการยกเครื่องระบบการเลือกตั้งครั้งใหญ่ มี ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อเข้ามาเพิ่ม ผลก็คือทำให้สัดส่วนของ ส.ส.ที่มีความสัมพันธ์แบบตระกูลการเมืองเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 14.2 และ 14.4 ในการเลือกตั้งปี 2544 และ 2548 ตามลำดับ

ยิ่งยุบพรรค ตระกูลการเมืองยิ่งโต

นอกจากนั้นยังเป็นที่น่าสังเกตว่า แม้มีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองหลังการรัฐประหาร เมื่อ 19 ก.ย.2549 และนำไปสู่การยุบพรรคการเมือง และเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของนักการเมืองครั้งใหญ่ถึง 2 ครั้ง คือการยุบพรรคไทยรักไทย ในปี 2550 และการยุบพรรคพลังประชาชน พรรคชาติไทย กับพรรคมัชฌิมาธิปไตย ในปี 2551 นำไปสู่การเว้นวรรคทางการเมืองของนักการเมืองคนสำคัญ 111 คน กับ 109 คน เป็นเวลาถึง 5 ปี

แต่ปรากฏว่าการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวไม่ได้กระทบหรือทำให้ตระกูลการเมือง "สูญพันธุ์" เพราะในการเลือกตั้ง 2 ครั้งหลังจากนั้น คือในปี 2550 และปี 2554 ส.ส.ที่มีความสัมพันธ์แบบตระกูลการเมืองกลับได้รับเลือกตั้งเข้าสภาสูงขึ้น คือ ร้อยละ 17.9 และ ร้อยละ 18.0 ตามลำดับ

ปรากฏการณ์ดังกล่าวสะท้อนว่า ตระกูลการเมืองใหญ่ของเมืองไทยไม่ได้ "สูญพันธุ์" ดังที่มีการคาดการณ์หรือวิเคราะห์กันช่วงหลังการยุบพรรค แต่กลับกลายเป็นตัวเร่งให้มีการส่งผ่านตำแหน่งทางการเมืองจากคนรุ่นหนึ่งซึ่งถูกตัดสิทธิทางการเมือง ไปสู่เครือญาติ ทั้งคู่สมรส ลูก หลาน และญาติพี่น้องเร็วกว่าเวลาอันควรด้วยซ้ำ

ระบบตระกูลมีทั้งข้อดี-ข้อเสีย

ในแง่ของผลที่เกิดขึ้นจากบทบาทของตระกูลการเมือง ดร.สติธร มองว่า การที่อำนาจไปกระจุกอยู่ที่คนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งที่มีความสนิทชิดเชื้อกันในแง่ของสายเลือด แน่นอนว่าย่อมส่งผลต่อการกำหนดนโยบายที่มีโอกาสอิงประโยชน์เฉพาะกลุ่มตนมากกว่าเพื่อคนส่วนใหญ่ และมีผลประโยชน์ทับซ้อนสูง แต่หากมองในแง่ดีก็มีไม่น้อยเช่นกัน โดยเฉพาะการเตรียมคนรุ่นที่ 2 เข้าสู่เวทีการเมือง จะมีการตระเตรียมทั้งเรื่องการศึกษาที่ดี และส่งไปฝึกงานหรือทดลองงานกับผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในพรรคเดียวกัน ทำให้นักการเมืองรุ่นใหม่ๆ ที่เป็นเจนเนอเรชั่นใหม่ของตระกูลการเมืองเหล่านี้สามารถทำงานได้ทันทีที่ได้รับเลือกตั้ง

เห็นได้จากพรรคเพื่อไทย พรรคประชาธิปัตย์ หรือพรรคอื่นๆ ก็ตาม กลุ่ม ส.ส.รุ่นใหม่ที่เป็นคนหนุ่มสาว เป็นเจนเนอเรชั่นที่ 2 ของตระกูลการเมือง มักทำงานได้ดี

ฉะนั้นแม้ตระกูลการเมืองจะยังคงมีต่อไปในระบบการเมืองไทย แต่จากผลการเลือกตั้งหลายๆ ครั้งที่ผ่านมา พวกเขาก็ไม่ได้ชนะเลือกตั้งโดยอัตโนมัติ แต่มีปัจจัยที่เป็นเงื่อนไขคือการทำงานในพื้นที่ และมีคุณสมบัติที่ดีพอที่ประชาชนจะลงคะแนนให้หรือไม่ ประกอบกับในแต่ละพื้นที่ก็มีหลายตระกูลแข่งขันกัน การเลือกตั้งบางครั้งตระกูลใหญ่แพ้ทั้งคู่ก็มี

ด้วยเหตุนี้การเผยแพร่ข้อมูลให้ประชาชนรู้เท่าทันจึงเป็นสิ่งสำคัญ ใครที่มีผลประโยชน์อยู่เบื้องหลัง ใครที่มีสายสัมพันธ์กับใคร ถ้าประชาชนรู้ ก็จะทำให้การผูกขาดหรือออกนโยบายที่อิงผลประโยชน์เฉพาะกลุ่มทำได้ยากขึ้น และถึงที่สุดก็จะทำให้ความเป็นตระกูลการเมืองไม่ใช่ปัจจัยสำคัญที่สุดที่ทำให้ชนะการเลือกตั้ง แต่ผู้ที่มีอำนาจกำหนดเลือกผู้แทนที่แท้จริงคือประชาชน!

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
///////////////////////////////////////////////

วันจันทร์ที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2556

3 ปมร้อน รัฐบาลสุมไฟเผาตัวเอง !!?

สถานการณ์ร้อนปมเสี่ยงรัฐบาลพังพินาศ ยิ่่งนับวันยิ่่งเห็นลาง..ไม่ค่อยดีอาการรัฐบาล กับ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ร่อแร่สุ่มเสี่ยงต้องเก็บฉากลาโรงก่อนกำหนด ดีเดย์ช่วงนี้ไปจนถึงสิ้นเดือนพ.ย.
     
ประจวบเหมาะกับเหตุการณ์ร้อนๆหลายเหตุการณ์ก่อนที่สภาจะปิดสมัยประชุมสามัญทั่วไปในวันที่ 29 พ.ย. เรื่องของโครงการรับจำนำข้าว ที่รัฐบาลคุยเขื่องคุยโตเรื่อยมาว่าเป็นนโยบายที่ดีฉุดกระชากกระแสคะแนนนิยมให้ติดลมบนมาตั้งแต่สมัยรัฐบาลพรรคไทยรักไทย พลังประชาชนเรื่อยมาจนถึงเพื่อไทย
     
 แต่มาวันนี้คงเงียบปากคุยโวไม่ได้ มีแต่การแก้ผ้าเอาหน้ารอดไปวันๆ
     
ล่าสุด "หม่อมอุ๋ย" ม.ร.ว.ปรีดียาธร เทวกุล ออกมาขย่มแรงๆรัฐบาลขาดทุนกระเป๋าฉีก 4 แสนกว่าล้านบาทจนถึงบัดนี้รัฐบาลยังตอบคำถามสังคมแบบจะๆ แจ้งๆ ไม่ได้หลบเลี่ยงซ่อนเร้นตัวเลขที่แท้จริงเรื่อยมา หาทางแก้ลำ เบี่ยงกระแสไปเรื่อยพอนายกฯจีนมาประเทศไทยพูดถึงข้อตกลงซื้อข้าวจากไทยเบื้องต้นทั้งที่ยังไม่สะเด็ดน้ำดี  ก็รีบเอาไปตีปี๊บโพนทะนาเหมือนถูกหวยรางวัลที่ 1
     
ท่ามกลางเสียงคนนินทาหมาดูถูกว่าเออออห่อหมกันไปเองนายกฯจีนแค่พูดคุยกันแค่กรอบคร่าวๆ สุดท้ายเมื่อจี้ถามกันมากๆก็ได้รับคำตอบแบบอ้อมแอ้มจาก "ยรรยง พวงราช" รมช.พาณิชย์ว่ามันเป็นแค่การเจรจาที่ยังไม่ลงตัว ที่บอกว่าจะซื้อปีละล้านตันอาจไม่ใช่ที่แท้อาจเป็น 5 ปี ล้านตัน ฮ่วย!!
     
เรื่องข้าวเปรียบเสมือนปัญหาวัวพันหลัก รัฐบาลพยายามออกมาเบี่ยงเบนโกหกตัวเลขไปเรื่อย เหมือนทำธุรกิจการค้าต้องปั่นตัวเลขรักษาชีวิตธุรกิจไว้ก่อนแต่อันนี้ไม่ใช่ มันเป็นการปั้นตัวเลขโกหกประชาชนไม่รู้จะปิดบังข้อเท็จจริงไปได้อีกสักกี่น้ำ
     
ปัญหาเรื่องข้าวนายกฯยิ่งลักษณ์ต้องเป็นผู้รับผิดชอบเรื่องมาถึงขั้นนี้แล้วย่อมหนีไม่พ้นต้องถูกลากมาประจานในฐานะผู้บริหารสูงสุดน่าสนใจเหลือเกินว่าคดีที่ค้างอยู่ในป.ป.ช. จะมีการชี้มูลกันในเดือนพ.ย.ถ้าเกิดชี้เปรี้ยงว่านายกฯมีความผิดขึ้นมา ต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ทันทีอะไรมันจะเกิดขึ้น คิดแล้วก็หนาวแทนสถานะของรัฐบาลเหลือเกินช่วงนี้ยิ่งลูกผีลูกคนอยู่ด้วย
     
อีกเรื่องที่กลายเป็นประเด็นประจวบเหมาะเข้ามาพร้อมกันโดยมิได้นัดหมายก็คือการตัดสินคดีเขาพระวิหารของศาลโลก ที่เลื่อนมาตัดสินกันในวันที่11พ.ย.จากเดิมที่บอกว่าจะตัดสินกันต้นปีหน้า เร้าสถานการณ์เร้าเหตุการณ์หลายอย่างให้มาสุมไฟกันช่วงนี้พอดี ต้องไม่ลืมว่าประเด็นนี้ถูกจุดติดมาหลายครั้งฝ่ายต่อต้านรัฐบาล เช่นกลุ่มพันธมิตรฯหยิบยกมาพูดถึงเมื่อไหร่รัฐบาลเป็นต้องสะดุ้งทุกทีไป งวดนี้เป็นคำตัดสินสุดท้าย หากเพลี่ยงพล้ำขึ้นมาสู้แล้วแพ้ ไทยเสียเปรียบเขมร มีหวังรัฐบาลเจอข้อหาทำไทยเสียดินแดนกระแสถล่มล้มทั้งยืนแน่!!
     
ทุกคนเห็นทุกคนทราบกันดีว่าความสัมพันธ์ ไทย-เขมรภายใต้รัฐบาลพรรคเพื่อไทย รัฐบาลเครือข่ายชินวัตร แน่นแฟ้นเพียงใด ต่างจากสมัยรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์โดยสิ้นเชิงหนำซ้ำยังสนิทชิดเชื้อเกี่ยวดองถึงขั้นเป็นญาติกัน ลูกสาว สมชาย กับ เยาวภาวงศ์สวัสดิ์ ไปแต่งงานกับลูกชายนักธุรกิจ นักการเมืองใหญ่ ใกล้ชิด "ฮุน เซน" ถ้าเพลี่ยงพล้ำเสียทีฝ่ายเขมรจะต้องโดนหนักแน่ เพราะแทนที่ใกล้ชิดกันจะคุยกันรอมชอม แต่กลับเสียประโยชน์ชาติต้องโดนถล่มเละเทะข้อหาซูเอี๋ยเอื้อประโยชน์ให้เขมรสมยอมเพื่อแลกบางสิ่งบางอย่างหรือไม่!!
     
แต่ที่ดูเหมือนจะเป็นเรื่องสาหัสสากรรจ์และเพิ่งเกิดขึ้นสดๆ ร้อนๆ คือร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรมที่สุดท้ายก็เป็นไปตามที่หลายคนคาดการณ์ หลายฝ่ายตั้งข้อสังเกต ว่าจะมีการยัดไส้ลุยแบบสุดซอย แทรกเนื้อหาช่วยเหลือ ทักษิณ ชินวัตร รวมทั้งแกนนำคนเสื้อแดง แต่ไม่ช่วยเสื้อแดงที่ติดคุก ในชั้นกรรมาธิการ แล้วที่สุดก็เป็นแบบนั้นจริงๆ!!
     
มีการเสนอแปรญัตติโดย ประยุทธ์ ศิริพานิช มือกฎหมายก้นกุฏิพรรคเพื่อไทย ดันเนื้อหาแบบสุดโต่งสุดซอยรับใบสั่งจากหน่วยเหนือมาปฏิบัติการแม้กระทั่งส.ส.พรรคเพื่อไทยที่เป็นกรรมาธิการอยู่ยังตกใจ ไม่รับรู้มาก่อนเลยต้องออกหน้ามาแสดงท่าทีคัดค้าน ถึงแม้สุดท้ายจะรู้ว่าเมื่อ"นายใหญ่" จะเอาก็ต้องได้ ไม่มีทางบิดพลิ้วเป็นอย่างอื่น
     
น่าสนใจและน่าสังเกตเป็นอย่างยิ่งว่าจะลุยกันสุดซอยจริงๆหรือเอาตอนนี้เลยหรือ ซึ่งคำตอบก็คือ ใช่รัฐบาลได้รับซิกมาแล้วให้เตรียมพร้อมรับสถานการณ์เตรียมพร้อมต่อสู้แรงเสียดแทนระดับสูงสุดสืบเนื่องจากการเดินหน้าสุดลิ่มทิ่มประตูนิรโทษกรรมแบบล้างกระดานสะอาดเอี่ยม
     
เมื่อประเมินแล้วม็อบมาแน่สุมไฟเติมคนมาแน่ จึงประกาศคงการใช้พ.ร.บ.มั่นคงฯ ไปจนถึงสิ้นเดือนพ.ย.หรือปิดสมัยประชุมสภา นัยว่า จะเอาให้เบ็ดเสร็จเด็ดขาดภายในสมัยประชุมนี้ ทักษิณ รอการกลับบ้านไม่ไหวอีกแล้วหมายมั่นปั้นมือว่าครั้งนี้เป็นไงเป็นกัน เพื่อวางแผนเลือกตั้ง จัดตัวผู้สมัครกันไว้เบื้องต้นแล้วพร้อมสำหรับการเลือกตั้งทุกเมื่อ หากเกิดเหตุฉุกเฉินรัฐบาลต้องล้มไปหรือต้องประกาศยุบสภา ก็พร้อมลงสนามเลือกตั้งทุกเมื่อ
     
อีกทั้งยังมีการประสานกลุ่มการเมืองอื่นๆ ใครอยากเข้ามาร่วมเชื้อเชิญไว้หมด ไม่เว้นแม้แต่ขุนพลระดับแม่เหล็กเชี่ยวสนามเลือกตั้งของพรรคประชาธิปัตย์โฟกัสไปที่ภาคกลางที่มีปัญหาระหองระแหงกับพรรคต้นสังกัดเครือข่าย "ทักษิณ" ไม่กลัวอะไรแล้ว เตรียมพร้อมไว้หมดแล้วเรื่องปฏิวัติก็ดูเหมือนว่าจะวางใจว่าทหารไม่ทำแน่ เข้าใจกันดีจนเงียบกริบ
     
กระนั้นก็ตามการเดินเกมแบบสายฟ้าแลบสอดไส้นิรโทษฯแบบนี้ จะเป็นผลกระแทกกระเทือนให้รัฐบาลพินาศย่อยยับโดยไม่ได้อะไรเลยมากกว่า หากเดินตามการแปรญัตติสุดโต่ง สุดซอยอย่างนี้
     
เสื้อแดงส่วนหนึ่งคงรับไม่ได้ที่ไม่เห็นคนที่จ้องอาฆาตอย่าง มาร์ค-เทือก ไม่ถูกลงโทษ พาลเลิกสนับสนุน ผนังทองแดงกำแพงเหล็กกลายเป็นขี้ผึ้งโดนไฟลน พ่วงด้วยข้อครหาไม่ช่วยเหลือประชาชน หวังช่วยคนๆเดียวการเมืองมันก็ชั่วแบบนี้ ทำคนเลิกศรัทธา ก็จะเป็นชนวนแห่งการชุมนุมแบบแตกหักหวังเอา ทักษิณ กลับประเทศชี้ชัดถึงจุดมุ่งหมายใหญ่หลวงเพียงหนึ่งเดียว การกระทำที่ผ่านๆมาล้วนเสแสร้งสามารถเอาทุกอย่างไปเดิมพันได้ เพื่อช่วยเหลือคนๆ เดียว เศรษจกิจการเมือง ไม่สนใจใยดี
     
ด้วยปัจจัยทั้งหลายแหล่ที่ประจวบเหมาะกันเข้ามารับประกันได้ว่ารัฐบาลต้านไม่ไหวแน่ เหตุการณ์เงื่อนไขต่างๆ ง่ายต่อการปลุกเร้าปลุกระดม ไม่เกินสิ้นปีนี้อาจเห็นจุดจบของรัฐบาลและเครือข่าย ทักษิณ ต้องกอดเสาเข่าทรุดเมื่อแผนการณ์ทั้งหมด พินาศ โดยไม่ได้อะไรกลับมาเลย!!

ที่มา.ผู้จัดการ
////////////////////////////////////////////////////////

บทเรียน

โดย. ศรี อินทปันตี

วันที่ ๑๔ ตุลาคมได้เวียนมาบรรจบครบรอบ ๔๐ ปี โดยมีการจัดงานเฉลิมฉลองทั้งในประเทศไทยและประเทศต่างๆ ทั่วโลกเพื่อรำลึกถึงเหตุการณ์อันเป็นประวัติศาสตร์สำคัญของประชาชนชาวไทย
วันที่ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖ เป็นวันที่นิสิตนักศึกษาประชาชน ผนึกกำลังต่อสู้เพื่อสิทธิประชาธิปไตย จิตวัญญาณดังกล่าวมิอาจมองข้ามและปฏิเสธได้

แม้ว่าวันที่ ๑๔ ตุลาคมจะมิได้นำมาซึ่งระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริง หากมันเป็นเพียงแค่การเปลี่ยนขั้วอำนาจจากระบอบเผด็จการทหาร ไปเป็นระบอบเผด็จการซ่อนรูป ที่ระบอบอำนาจเก่าสามารถยึดคืนไปได้จากฝ่ายทหาร

และดังนั้น มันจึงนำมาซึ่งการปราบปรามเข่นฆ่าประชาชน ทั้งในวันที่ ๖ ตุลาคม๒๕๑๙ พฤษภาคม ๒๕๓๕ และเมษา-พฤษภา ๒๕๕๓ เพื่อปกปักรักษาผลประโยชน์และอำนาจทางการเมืองการปกครองของพวกเขาไว้อย่างถึงที่สุด

๔๐ ปีที่ผ่านไปจึงมิได้ทำให้ความขัดแย้งหลักที่ดำรงอยู่ในสังคมไทยเปลี่ยนไปเป็นอื่น แม้ว่าห้วงเวลาดังกล่าวจะเกิดสิ่งที่เรียกว่า “โลกาภิวัฒน์” ก็ตามที

โดยระบอบอำนาจเก่าได้มีการพัฒนาเป็นกลุ่มทุนที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ เติบใหญ่และมั่งคั่งกว่ากลุ่มทุนเกิดใหม่อย่างเทียบกันไม่ติด ยิ่งใหญ่ทั้งในแง่สินทรัพย์และตลาดหุ้น

ดังนั้น ความคิดเห็นที่ว่า...ความขัดแย้งที่ดำรงอยู่เป็นความขัดแย้งระหว่างกลุ่มทุนเก่ากับกลุ่มทุนใหม่จึงไม่ถูกต้อง เพราะความขัดแย้งนั้นเป็นแค่ความขัดแย้งรอง

โดยความขัดแย้งหลักยังเป็นความขัดแย้งระหว่างระบอบเผด็จดั้งเดิมกับประชาชนที่ประสพการณ์จากการต่อสู้ผ่านการถูกปราบปรามและจากโลกในระบบที่เรียกว่า “โลกาภิวัฒน์” ทำให้ประชาชน “ตาสว่าง” มองเห็นว่า ใครเป็นมิตร ใครเป็นศัตรู และใครเป็นผู้กดขี่ที่แท้จริงอย่างแจ่มชัด

งานวันที่ระลึก ๑๔ ตุลาคมปีนี้ ได้มีการปาฐกถาและการจัดสัมนาเกี่ยวกับสิทธิประชาธิปไตยอย่างกว้างขวาง อันเป็นสิ่งที่มีคุณค่าอย่างยิ่ง ประชาชนได้เรียนรู้ถึงข้อมูล แนวคิดทั้งในแนวทางการต่อสู้และและความเป็นจริงเกี่ยวกับระบอบเศรษฐกิจ สังคมและการเมืองที่มีการพัฒนาไปอย่างกว้างไกลพร้อมๆกับกาลเวลาที่ผ่านเลยไป

ได้รับรู้ถึงความเปลี่ยนแปลงทั้งในภาคประชาชนและฝ่ายชนชั้นปกครอง ได้รับรู้ว่าเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างไรในชนบท ชนชั้นกลางในเมืองเป็นอย่างไร และปัญญาทั้งชั้นล่าง ชั้นกลางและชั้นสูงเป็นประการใด

ทั้งหมดล้วนให้กำลังใจแก่ประชาชนที่จะต้องต่อสู้เพื่อสิทธิประชาธิปไตยต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง

ที่มา.บางกอกทูเดย์
////////////////////////////////////

ดร.นิพนธ์ พัวพงศธร แจง 3 ข้อ การขาดทุนทางบัญชีจากการจำนำข้าว !!?

ดร.นิพนธ์ พัวพงศธร นักวิชาการเกียรติคุณ-ผู้อำนวยการฝ่ายด้านการพัฒนาอุตสาหกรรมและชนบท สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย(ทีดีอาร์ไอ)ออกบทความ การขาดทุนทางบัญชีจากการจำนำข้าว ระบุว่า

หลังจากที่ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร นำเสนอผลคำนวณการขาดทุนของโครงการรับจำนำข้าวในงานสัมมนาเรื่องมหากาพย์จำนำข้าว สู่มหกรรมกอบกู้สุจริตฯ ว่ารัฐบาลจะขาดทุนอย่างน้อยปีละ 2 แสนล้านบาท รัฐมนตรีหลายท่านต่างออกมาปฏิเสธว่า โครงการรับจำนำไม่ได้ขาดทุนมากขนาดนั้น รัฐมนตรีพาณิชย์ นายนิวัติธำรง บุญทรงไพศาล ให้สัมภาษณ์ว่า การขาดทุนแบบสมเหตุสมผลจะอยู่ที่ประมาณ 1 แสนล้านบาทต่อปี ส่วนรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายยรรยง พวงราช ให้สัมภาษณ์ว่า “ถ้าคิดอย่างโง่สุด ยอมขายราคาครึ่งเดียวของราคารับจำนำก็ยังขาดทุนไม่ถึง 2 แสนล้านบาท…. และที่ระบุว่ามีเงินรั่วไหล เงินถึงชาวนาเพียง 210,000 ล้านบาทนั้น ก็ไม่เป็นความจริง เพราะจ่ายโดยตรงเข้าบัญชีชาวนา”

ยิ่งกว่านั้นรัฐมนตรีกระทรวงการคลังให้สัมภาษณ์ว่า “การขาดทุน 4.25 แสนล้านนั้น มองว่าเป็นการเข้าใจผิดของหม่อมอุ๋ย ยอมรับว่านักเศรษฐศาสตร์หลายท่านไม่ได้เรียนบัญชี อาจเข้าใจคลาดเคลื่อน เกี่ยวกับการขาดทุนทางบัญชีและการขาดทุนจริงของโครงการ เมื่อนำข้อมูลออกมาเปิดเผย อาจทำให้ประชาชนเข้าใจผิดได้”

บทความฉบับนี้ต้องการทำความกระจ่าง ให้ประชาชนมีความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับ มูลค่าการขาดทุนของโครงการรับจำนำข้าว และประโยชน์ “ส่วนเพิ่ม”ที่ชาวนาได้รับจากการขายข้าวให้รัฐบาล บทความจะตอบคำถาม 3 ข้อ คำถามแรก คือ ทำไมตัวเลขการขาดทุนของรัฐบาลจึงแตกต่างจากตัวเลขการขาดทุนของ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร คำถามที่สอง คือ วิธีการคำนวนการขาดทุนทางบัญชีของโครงการจำนำข้าวควรยึดหลักการคำนวนอะไร คำถามที่สาม การขาดทุนจริงของโครงการจำนำข้าว “จะ” เป็นเท่าไหร่กันแน่

คำถามแรกเรื่องมูลค่าการขาดทุนที่ทั้งสองฝ่ายนำเสนอนั้น ต่างเป็นตัวเลขผล   ขาดทุน”ทางบัญชี”ทั้งสิ้น แต่สาเหตุที่ตัวเลขผลขาดทุนทางบัญชีของทั้ง 2 ฝ่ายแตกต่างกัน เป็นเพราะฝ่ายรัฐบาลตีมูลค่าของข้าวในสต๊อกด้วยต้นทุนข้าวที่ซื้อมา ในราคาข้าวเปลือกตันละ 15,000 บาทหรือคิดเป็นข้าวสารตันละ 24,000 บาท ส่วน ม.ร.ว.ปรีดิยาธร ซึ่งอ้างอิงข้อมูลของคณะอนุกรรมการปิดบัญชีโครงการจำนำข้าวใช้วิธีตีมูลค่าข้าวในสต๊อกด้วยราคาตลาด

คำถามที่สอง คือ โครงการจำนำข้าวควรยึดหลักการคำนวนวิธีใด หากย้อนกลับไปดูตำราวิชาการบัญชีว่าด้วยการตีมูลค่าสินค้าคงคลัง (inventory valuation methods) จะมีหลักการตีราคา 2 รูปแบบ คือ (1) คำนวนด้วยต้นทุนของสินค้า  หรือ (2) คำนวนด้วยราคาตลาดในการจัดหาสินค้านั้นมาทดแทน ทั้ง 2 วิธีต่างก็เป็นวิธีการที่ได้ยอมรับให้ใช้และมีสอนกันในวิชาการบัญชีทั่วไป

ฝั่งรัฐบาลโดยกระทรวงพาณิชย์ เลือกที่จะใช้วิธีการแรกในการตีมูลค่าข้าวที่เหลืออยู่ในคลังด้วยราคาต้นทุนที่ซื้อข้าวมา ผลการขาดทุนทางบัญชีจึงมีประมาณ 1 แสนล้านบาท แต่คณะอนุกรรมการปิดบัญชีฯ และม.ร.ว.ปรีดิยาธร เลือกที่จะใช้วิธีการที่เรียกว่า LCM  หรือราคาตลาดเป็นตัวกำหนดมูลค่าของข้าวที่เหลืออยู่ในคลัง ผลขาดทุนจึงสูงกว่า
ประเด็นจึงมีอยู่ว่าในกรณีการจำนำข้าวรัฐบาลควรใช้วิธีทางบัญชีวิธีใดจึงจะเหมาะสม

ในวงการธุรกิจที่สินค้าคงคลังมีราคาเปลี่ยนแปลงรวดเร็ว นักบัญชีทราบดีว่าหลักวิชาการทางบัญชีที่นิยมใช้กันคือการตีราคาสินค้าคงคลังด้วยราคาตลาด เพราะว่าการตีราคาสินค้าคงคลังด้วยต้นทุนสินค้าที่ได้มาจะไม่สามารถแสดงมูลค่าที่แท้จริงของสินค้า  โดยเฉพาะในกรณีที่ราคาตลาดของสินค้านั้นๆ ตกต่ำลงกว่าราคาต้นทุนที่ซื้อมาอย่างรวดเร็ว การใช้ราคาต้นทุนจะก่อให้เกิดการบิดเบือนสถานะทางบัญชี ขัดกับวัตถุประสงค์ของวิชาบัญชีที่มุ่งเน้นให้ผู้บริหารและผู้ถือหุ้นรับทราบสภาพการดำเนินงานทางธุรกิจที่แท้จริงเพื่อให้การตัดสินใจบริหารองค์กรเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ในกรณีการจำนำข้าว รัฐบาลซึ่งเป็นผู้บริหารของประเทศจำเป็นต้องรับทราบสถานการณ์รายได้-รายจ่ายที่เป็นจริงให้มากที่สุด หากตัวเลขระบุว่าจะมีโอกาสขาดทุนมาก รัฐบาลก็จะได้เตรียมรับมือกับความเสี่ยงทางการคลัง  ไม่ใช่ปล่อยให้ไฟไหม้บ้าน แล้วค่อยคิดซื้อประกันไฟที่หลัง

นี่คือเหตุผลที่คณะอนุกรรมการปิดบัญชีโครงการจำนำข้าว ที่แต่งตั้งโดยคณะกรรมการนโยบายข้าว เลือกใช้วิธีการ LCM โดยตีมูลค่าสต็อคข้าวด้วยราคาตลาด เพื่อสะท้อนฐานะที่แท้จริงของโครงการจำนำข้าว แม้ในตอนต้นรัฐบาลจะไม่ยอมรับตัวเลขขาดทุนของคณะอนุกรรมการปิดบัญชีฯจนกลายเป็นข่าวใหญ่โตมาแล้ว แต่ท้ายที่สุดก็ยอมรับว่าการจำนำข้าว2 ฤดูแรก (นาปี2554/55 และนาปรัง 2555) ขาดทุนถึง 136,896 ล้านบาท มาวันนี้ราคาข้าวในตลาดลดลงไปมากจากวันที่ปิดบัญชี การขาดทุนก็ย่อมมากขึ้นเพราะรัฐบาลขายข้าวได้น้อยมาก

อนึ่งกระทรวงพาณิชย์เป็นหน่วยงานที่มีหน้าที่กำกับดูแลการทำบัญชีของธุรกิจเอกชนทั่วประเทศ และทราบดีถึงหลักบัญชีที่ถูกต้อง หรือแม้แต่องค์การคลังสินค้าที่อยู่ภายใต้การกำกับของกระทรวงพาณิชย์เองยังเลือกตีราคามูลค่าสต๊อคข้าวในโครงการจำนำข้าวด้วยราคาตลาด บริษัทในตลาดหลักทรัพย์ที่กระทรวงการคลังดูแลก็มีบัญชีแบบ mark to the market แต่รัฐบาลกลับปล่อยให้กระทรวงพาณิชย์ทำบัญชีอีกแบบหนึ่ง

การที่รัฐบาลเลือกใช้วิธีตีมูลค่าข้าวด้วยต้นทุนการซื้อข้าว จึงเป็นการหลอกลวงตนเองและประชาชน ว่าจะมีภาระทางการคลังในอนาคตน้อยกว่าที่ควรจะเป็น

คำถามที่สาม การจำนำจะขาดทุนจริงเท่าไหร่ ณ วันนี้ ยังไม่มีใครให้คำตอบได้ชัดเจน เพราะรัฐบาลปิดบังข้อมูลการขายข้าวทั้งๆที่การปกปิดดังกล่าวผิดกฎหมายข้อมูลข่าวสารทางราชการที่กำหนดให้หน่วยงานรัฐต้องเปิดเผยข้อมูลของทางราชการ (ยกเว้นข้อมูลบางประภท) แม้รัฐบาลจะมีการเปิดเผยตัวเลขเงินรายได้จากการขายข้าว แต่ก็ไม่ยอมบอกว่าขายข้าวไปจำนวนเท่าไร เพราะขืนเปิดเผย ประชาชนก็จะรู้ว่ารัฐบาลขายข้าวขาดทุนหนักกว่าที่รัฐบาลพูด และอาจหนักกว่าที่นักวิชาการประมาณการไว้ เพราะรัฐบาลขายข้าวต่ำกว่าราคาตลาดมาก ทำให้เกิดปัญหาการเมืองตามมา

หลักฐานที่บ่งชี้ว่ารัฐบาลจะขาดทุนหนักมากเพราะขายข้าวในราคาต่ำกว่าราคาตลาดมาจากรายงานการปิดบัญชีของกระทรวงพาณิชย์ที่รมว.วราเทพนำเสนอต่อคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ ผู้เขียนพบว่าราคาข้าวที่ขายต่ำกว่าราคาตลาด คือราคาข้าวนาปี 2554/55 ที่ขายเฉลี่ย 14,435.71 บาทต่อตัน ต่ำกว่าราคาขายส่งข้าวสารในตลาดกรุงเทพฯในเวลาเดียวกันที่เฉลี่ย 19,635 บาทต่อตัน เนื่องจากมีต้นทุนค่าซื้อข้าวและต้นทุนดำเนินการ 29,605.52 บาทต่อตันข้าวสาร จึงขาดทุนจริงตันละ 15,169.31 บาท  และสำหรับข้าวนาปรังปี 2555 พาณิชย์ขายเฉลี่ยเพียง 12,839.45  บาทต่อตัน เทียบกับราคาตลาด 17,266 บาทต่อตัน  และขาดทุนตันละ 11,781.61 บาท ถ้าคิดเฉพาะข้าวที่ขายไปจริงจำนวน 3.62 ล้านตันข้าวสารในสองฤดู มูลค่าการขาดทุนจริงคือ 49,561.10 ล้านบาท (ณ 31มกราคม 2556) ผู้เขียนประมาณการว่าเฉพาะการขายข้าวราคาต่ำให้พ่อค้าบางรายที่เป็นพรรคพวกทำให้โครงการรับจำนำข้าวขาดทุนเพิ่มขึ้นอีก 30% ของภาระขาดทุนทั้งหมด...นี่แหละคือเหตุผลแท้จริงที่รัฐบาลต้องปกปิดข้อมูลการข่ายข้าว ผู้เขียนเชื่อว่าเมื่อความจริงถูกเปิดเผยเมื่อไร บรรดาข้าราชการที่มีส่วนในการขายข้าวและปกปิดข้อมูลเพื่อหวังลาภยศ มีหวังติดคุกกันหัวโต

บทความนี้ไม่ได้หวัง และ คิดว่าคงไม่มีความหวังที่จะให้รัฐมนตรีบางคนเข้าใจและยึดหลักบัญชีที่ถูกต้อง  แต่หวังว่าประชาชนจะมีความเข้าใจที่ถูกต้อง และเลือกคนที่พูดความจริงมาบริหารประเทศ

ที่มา.นสพ.ฐานเศรษฐกิจ
/////////////////////////////////////////////

ชั่งไข่ ถึง เก็บภาษีรถยนต์เก่า ความเหมือนที่ ไม่แตกต่าง !!?

การตัดสินใจเลือกพรรคการเมืองเข้าไปทำหน้าที่ในสภาอันทรงเกียรติ หากไม่นับการใช้อำนาจเงิน ความไม่ซื่อสัตย์และเหลี่ยมคูทางการเมืองแล้ว

ประชาชนควรจะได้เลือกผู้แทนโดยพิจารณาจากความแตกต่างของเนื้อหาสาระของนโยบายที่นำเสนอตามที่ตนเห็นว่าจะเป็นประโยชน์แก่ตนเอง โดยนโยบายที่ใช้หาเสียงไม่ก่อให้เกิดความลักลั่นเป็นประโยชน์แก่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง และสร้างความเดือดร้อนให้แก่ส่วนรวมมากที่สุด

ครั้งหนึ่งเมื่อไม่นานมานี้นโยบาย "ชั่งไข่ขาย" เคยได้รับการขนานนามว่าเป็น "นวัตกรรม" ของการดำเนินนโยบายที่กลายเป็นประเด็นให้ผู้คนได้ตลกขบขันถึงความไม่เข้าท่าเข้าทาง แม้ว่าจะมีการท้วงติงจากบุคคลตั้งแต่ระดับนักวิชาการจนมาถึงประชาชนหาเช้ากินค่ำ ที่ต่างแสดงความไม่เห็นด้วยกับความคิดที่ถูกนำเสนอขึ้นมา นอกจากนี้นโยบายที่จุดประกายดังกล่าวยังไม่อาจตอบสนองความเดือดร้อนตามที่ประชาชนเรียกร้องให้ผู้มีอำนาจเข้าไปแก้ไข ไม่ใช่เรื่องเร่งด่วนที่ประชาชนต้องการความช่วยเหลือจากภูมิปัญญาของรัฐบาล ทั้งนี้ เชื่อว่านโยบายที่นำเสนอนี้มีอิทธิพลต่อการเลือกตั้งในครั้งต่อมาแม้ว่าจะมีผลกระทบไม่มากนักก็ตาม

อย่างไรก็ตาม นโยบายในลักษณะแบบนี้ก็ไม่ได้ส่อให้เห็นถึงความไม่ชอบมาพากลของนักการเมืองที่ต้องการเข้าไปแสวงหาผลประโยชน์ได้แต่อย่างใด แตกต่างจากนโยบายอื่นๆ ที่ดูไม่ประสีประสาหรือดูไร้เดียงสาอ่อนต่อโลกแต่สามารถนำมาใช้เป็นช่องทางสำหรับกอบโกยประโยชน์ในรูปแบบต่างๆ โดยที่ประชาชนไม่รู้ตัวเลยก็ได้

เช่นเดียวกับการนำเสนอ "โครงการจำกัดอายุการใช้งานรถยนต์" ต่อรัฐบาล โดยระบุว่ารถยนต์ที่มีอายุเกิน 7-10 ปี ห้ามนำเข้ามาวิ่งในพื้นที่กรุงเทพฯ ซึ่งหากนำเข้ามาวิ่งจะต้องเสียภาษีเทียบเท่ารถใหม่ โดยอ้างถึงแนวความคิดของโครงการดังกล่าวได้มาจากประเทศญี่ปุ่นเพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือแก่โครงการ ช่วยแก้ไขปัญหาการจราจรในประเทศญี่ปุ่นได้อย่างเห็นผล ทั้งที่แนวคิดนี้มองข้ามหรือไม่ได้คำนึงถึงสภาพความเป็นจริงระหว่างประเทศไทยและประเทศญี่ปุ่นที่มีความแตกต่างกันอย่างมากในการนำมาบังคับใช้กับบ้านเมืองและประชาชนที่มีเงื่อนไขและองค์ประกอบต่างๆ ไม่เหมือนกันโดยสิ้นเชิง แม้ว่าในเวลาต่อมาจะมีการถอนเรื่องนี้ออกไปอันเนื่องมาจากเสียงคัดค้านไม่เห็นด้วยของประชาชนจำนวนมากก็ตาม แต่ก็อดคิดไม่ได้ว่า หากนโยบายจำพวกนี้มีการนำมาบังคับใช้จะช่วยเหลือประชาชนได้สมตามเจตนามรณ์ของผู้คิดค้นนโยบายนี้จริงหรือไม่ รวมทั้งไม่ทราบว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้างกับการบังคับใช้นโยบายประเภทนี้

น่าแปลกใจที่พรรคการเมืองต่างก็มีบุคลากรผู้มีความรู้ความสามารถเป็นจำนวนมาก ไฉนจึงปล่อยให้มีนโยบายประเภท “จำอวด” หรือ “ปล่อยไก่” ออกมามากมายเช่นนี้ สร้างความอิดหนาระอาใจแก่ประชาชนที่มองไม่เห็นความแตกต่างระหว่างความคิดแปลกๆ ทางการเมืองที่ถูกนำเสนอออกมาของพรรคการเมืองไทยที่มีให้ (จำใจ) เลือกอยู่ไม่มากนักในเวลานี้

ลำพังคิดด้วยสามัญสำนึกของคนธรรมดาทั่วไปก็ไม่เห็นว่าแนวคิดที่ว่านี้จะเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล ทั้งนี้ ไม่ต้องผ่านกระบวนการคิดพิจารณาโดยอาศัยหลัก "ตรรกะ" หรือด้วยเหตุผลทั้งที่เป็นกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ (scientific method) อย่างใดก็ตาม ก็ยังไม่อาจมองเห็นถึงประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นอย่างแท้จริง หรือไม่ก็เป็นนโยบายอ่อนหัดที่ไม่ได้เชื่อมโยงกับความเป็นจริงและบริบทของสังคมไทย ทั้งที่ผู้คิดค้นนโยบายเหล่านี้ต่างก็เกิดและเติบโตในประเทศไทยอันศิวิไลซ์แห่งนี้ น่าจะทราบถึงความเป็นไปได้ของนโยบายที่นำเสนอว่าสามารถนำมาปรับใช้กับสังคมไทยได้จริงหรือไม่ … ภาษาวัยรุ่นเขาเรียกว่า “แค่คิดก็ผิดแล้ว” ขอรับท่านผู้ทรงเกียรติ

เรื่องราวทั้งหมดจึงย้อนกลับมาที่ประชาชนคนไทยที่เสียภาษีเพื่อเป็นค่าตอบแทนแก่ท่านผู้ทรงเกียรติเพื่อมาให้สรรสร้างนโยบายเพื่อสร้างความอยู่ดีกินดีแก่ประชาชนตาดำๆ ต้องกลายเป็นผู้น่าสมเพชเวทนาที่ต้องกลายเป็น “หนูทดลองยา” เพื่อให้ท่านทั้งหลายประเคนนโยบายที่ไม่ทราบว่าทำเพื่อใครกันแน่มาบังคับใช้โดยไม่อาจปฏิเสธได้ ยิ่งกว่านั้นยังไม่อาจทราบได้ว่านโยบายเช่นนี้จะเกิดขึ้นมาเพื่อให้เกิดเป็นประเด็นทางสังคม หรือมีเลศนัยที่ต้องการเบี่ยงเบนความสนใจของประชาชนจากบางเรื่องราวที่รัฐบาลไม่ต้องการให้ประชาชนสนใจ (หรือไม่)

ต้องรอคอยต่อไปว่าในอนาคตจะมีนโยบายน่าสนใจแปลกใหม่ออกมา เพื่อให้ประชาชนคนไทยได้มีเวทีลับสมองกันอีกบ้าง

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
///////////////////////////////////////////

วันอาทิตย์ที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2556

กระดาษ 3 แผ่น เป้าหมายจุดประกายการศึกษาเรื่อง AEC.

โดย เจริญชัย ไชยไพบูลย์วงศ์
มหาวิทยาลัยสยาม

สิ่งที่บริษัทต้องการจากพนักงานระดับปริญญาตรี ไม่ใช่ทักษะการค้นหาข้อมูลจาก Google หากเป็น “กระบวนการคิด” ที่จะสร้างมูลค่าเพิ่มให้บริษัทมีชัยชนะเหนือคู่แข่ง

ผมไม่ได้น้อยเนื้อต่ำใจที่ต้องมาเป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัยเอกชนแห่งหนึ่ง แต่สิ่งที่สร้างความชอกช้ำให้ผมที่สุด ก็คือ การที่นักศึกษาถามผมว่า “การทำรายงาน ไม่ใช่การคัดลอกข้อมูลจาก Google มาส่งหรือคะ”

หลังจากตั้งสติได้ ผมก็เปิดใจยอมรับความจริงของชีวิต ผมไม่สามารถเปลี่ยนแปลงระบบการศึกษาที่ผิดพลาดมาหลายสิบปีได้ หน้าที่ของผมจึงมีเพียงสอนนักศึกษากลุ่มเล็กๆ ที่ผมมีอำนาจในมือให้ดีที่สุด

ที่ชวนหดหู่กว่านั้นก็คือ แม้แต่วิชา “อาเซียน ในโลกยุคใหม่” ที่ผมรับผิดชอบ ผมก็ยังไม่มีอำนาจในมือที่จะเปลี่ยนแปลงโครงสร้างเนื้อหาตามใจชอบ เพราะมีอาจารย์คนอื่นที่ร่วมสอนด้วยกำหนดไว้แล้วตั้งแต่อดีต ผมจึงทำได้เพียงสร้างโลกเล็กๆของผมขึ้นมา โดยเจียดเวลา 3 ครั้งจากทั้งหมด 15 ครั้งของการบรรยาย เพื่อสร้างความแตกต่างให้กับชีวิตนักศึกษาที่รักของผม นั่นคือ การสั่งทำรายงานแบบพิเศษสุด โดยมีเนื้อหาเพียง 3 หน้ากระดาษ ไม่ต้องมีคำนำ ไม่ต้องมีสารบัญ ไม่ต้องใช้สแตนด์อิน



photo from aseansec.org

จุดประสงค์คือ การบีบบังคับให้นักศึกษาต้องใช้ความคิดว่าจะใส่อะไรลงไปในพื้นที่จำกัดเพียง 3 หน้า โดยไม่สามารถไปหยิบยืมข้อมูลจาก Google มาตัดแปะให้ดูรกรุงรัง เพื่อจะใช้กระดาษ 100 แผ่นในการกลบเกลื่อนเนื้อหาที่ตนเองเขียนแบบไม่ได้เรื่อง หรือยิ่งกว่านั้น ไม่ได้มีส่วนที่เป็นความคิดของตนเองเลย (Original) หากเป็นการนำขยะความรู้จากที่ต่างๆมากองสุมรวมกัน

ทุกคนคงอยากจะทราบ “ผลลัพธ์” ที่เกิดขึ้น หลังจากที่ผมได้เปลี่ยนเกมบางอย่างให้แตกต่างจากที่นักศึกษาเคยชิน ปฏิกิริยาของหนูทดลองทั้งหลายจะเป็นอย่างไร

บทเรียนแรก ก็คือ การที่นักศึกษานิยมลอกข้อมูลจาก Google ไม่ได้เกิดจากความมักง่ายเพียงอย่างเดียว หากแต่เป็นผลเนื่องมาจาก “วัฒนธรรมกลัวผิด” ที่ฝังหัวว่าสิ่งที่เราคิดเองมักจะไม่ดี แต่สิ่งที่อ้างอิงจากตำราหรือผู้เชี่ยวชาญจะมีความปลอดภัยสูงกว่า เพราะกลั่นกรองตรวจสอบมาเรียบร้อยแล้ว

นี่เป็นต้นตอตัวร้ายที่ทำให้การศึกษาไทยล้มเหลว เพราะเมื่อนักศึกษาเชื่อว่าสิ่งที่ตัวเองคิดโดยไม่ได้อ้างอิงมีโอกาสที่จะผิดพลาดสูงแล้ว นักเรียนก็ย่อมไม่กล้าคิด เพราะนอกจากไม่ได้รางวัลตอบแทนแล้ว ยังอาจถูกลงโทษอีกด้วย

วัฒนธรรมกลัวผิดนั้น นอกจากจะทำให้นักเรียนบางคนไม่กล้าคิดแล้ว ยังส่งผลเลวร้ายยิ่งกว่าด้วยการบังคับให้นักเรียนเลือกข้อมูลจาก Google เฉพาะในส่วนที่เป็น “ข้อมูลดิบ” หรือข้อมูลที่เป็นภววิสัย นั่นคือ จำนวนประชากรอาเซียนมีเท่าไร พื้นที่ของประเทศอินโดนีเซียมีกี่ตารางเมตร เพราะนี่เป็นข้อมูลที่ไม่มีวันผิดพลาด

โดยละเลยข้อมูลที่เป็นการวิเคราะห์เจาะลึกของผู้เชี่ยวชาญ ไม่ว่าจะเป็นกลยุทธ์ธุรกิจในการบุกเบิกตลาดอาเซียน การปรับตัวของโรงพยาบาลไทยในยุคอาเซียน เพราะแม้ว่าจะเป็นข้อมูลที่มีคุณค่าน่าสนใจกว่า แต่ก็ยังมีโอกาสผิดพลาดได้สูงกว่าข้อมูลแบบภววิสัย

ดังนั้น วัฒนธรรมแบบกลัวผิดจึงเลวร้ายยิ่งกว่าวัฒนธรรมแบบมักง่าย เพราะการลอก Google ของคนมักง่าย ก็อาจมีนวัตกรรมได้ โดยเลือกหยิบข้อมูลที่น่าสนใจมานำเสนอขาย ทำให้อาจารย์หลงเพลิดเพลินไปกับเนื้อหาสาระที่ดึงดูด โดยลืมจับผิดว่านักเรียนคิดเองหรือลอกคนอื่นมาที่สำคัญยังทำให้อาจารย์ได้คุณค่าจากการได้อ่านบทความดีๆ ที่นักศึกษาอุตส่าห์ไปสรรหามาประเคนให้โดยบังเอิญ

หากทว่า วัฒนธรรมกลัวผิด กลับทำให้การลอกที่น่ารังเกียจอยู่แล้วกลับยิ่งมีประสิทธิภาพต่ำต้อยลงไปอีก เพราะเต็มไปด้วยข้อมูลแบบกว้างๆ ครอบจักรวาล ซึ่งรู้ไปก็ไม่ได้อะไร เต็มไปด้วยตัวเลขที่รู้กันอยู่แล้ว ไม่มีอะไรน่าสนใจให้ใช้ในการต่อยอดเลย

บทเรียนที่สอง ก็คือ นักศึกษาไทยไม่ใช่คนโง่ พวกเขามีศักยภาพในการคิดแบบล้นเหลือ เพียงแต่ไม่ได้รับการกระตุ้นที่เหมาะสม เนื่องจากระบบการศึกษาไทยยังไม่กล้าให้รางวัลกับการคิด เพราะการให้คะแนนกับความคิดจะมีความเป็นอัตวิสัยสูง เปิดช่องให้นักศึกษาฟ้องร้องอาจารย์ได้ว่าให้คะแนนไม่เป็นธรรม เพราะการตัดสินว่าความคิดของใครดีกว่าใคร ความคิดของใครถูกต้องกว่าใครเป็นเรื่องยาก

โชคดีที่คะแนนรายงานของวิชาอาเซียน รวมอยู่ในคะแนนเก็บ 40 คะแนน ผมจึงค่อนข้างมีอิสระในการให้คะแนนได้เต็มที่ อย่างไรก็ตาม ผมได้เตรียมทางหนีทีไล่ไว้แล้ว หากว่าถูกฟ้องร้องแล้วต้องออกจากงาน จะหาอะไรเลี้ยงชีพได้บ้าง

เนื่องจากรายงานที่ผมให้ทำมีเพียง 3 หน้า ขณะที่สมาชิกในกลุ่มมีถึง 10 คน ดังนั้น ถึงแม้ว่าในตอนแรกนักศึกษาบางกลุ่มจะทำรายงานแบบลอก Google มาทั้งหมด หากทว่า ต้นทุนเวลาและแรงงานที่นักศึกษาต้องเสียให้กับรายงานจึงมีไม่สูงนัก ผมจึงสามารถให้นักศึกษานำรายงานกลับไปแก้ไขได้อีกหลายรอบ จนกว่าจะได้ผลงานที่น่าพึงใจ

สิ่งที่ผมค้นพบ ก็คือ นักศึกษาที่ส่งงานมาให้ผมก่อนกำหนดเส้นตาย 1 สัปดาห์ ซึ่งผมจะให้คะแนนพิเศษ 3 คะแนน นอกจากได้คะแนนจากความใส่ใจแล้ว ยังมีเวลามากกว่าคนอื่น 1 สัปดาห์ ในการรับฟังคำวิจารณ์จากผม และมีโอกาสกลับไปแก้ไขให้ดีได้มากกว่าเพื่อน

บางคนแก้ไขไปถึง 3 ครั้ง กว่าจะเข้าใจได้ว่า การทำรายงานที่ดีเป็นอย่างไร การเน้นจุดโฟกัสไปที่ประเด็นสำคัญเพียง 1 ประเด็น ไม่ใช่เหวี่ยงแหครอบคลุมตามแบบข้อมูลที่ได้จาก Google อย่างกระจัดกระจาย อย่างไรก็ตาม นักศึกษาจะมีโอกาสได้รับบทเรียนแบบนี้ได้ ก็ต้องมีกระบวนการให้คะแนนที่เหมาะสมด้วย นั่นคือ เกณฑ์ให้คะแนนที่ไม่ใช่การแข่งขันแบบยุติธรรม คือ ส่งงาน 1 ครั้ง ถ้าทำไม่ได้ ก็ต้องยอมรับ ไม่มีโอกาสแก้ตัว เพราะนี่เป็นกฎเกณฑ์ที่เป็นธรรมต่อทุกฝ่าย

หากทว่า การศึกษาไม่ใช่การแข่งขันในโลกธุรกิจ แต่คือการแสวงหาโอกาสในการพัฒนาตัวเองอย่างรอบด้าน ดังนั้น ผมไม่อาจใช้เกณฑ์วัดผลแบบปกติมาตัดสินรายงานได้ จึงต้องเปิดโอกาสให้นักศึกษาปรับแก้รายงาน 3-4 ครั้ง จนกว่าจะพบตัวตนที่แท้จริงของตัวเอง อย่างไรก็ตาม ความยุติธรรมย่อมมีแน่นอน เพราะคะแนนสอบกลางภาคและปลายภาคอีก 60 คะแนน ซึ่งเป็นข้อสอบปรนัย จะเป็นตัวตัดสินนักศึกษาอย่างเที่ยงธรรม



photo from dreamtimes.com

ยิ่งกว่านั้น ความยุติธรรมที่ผมมอบให้นักศึกษา คือ โอกาสในการปรับตัว โดยไม่จำเป็นต้องถูกต้องในครั้งแรก หากยังสามารถแก้ไขในครั้งต่อไปได้ แต่สำหรับนักศึกษาที่ไม่ค่อยใส่ใจ โดยกว่าจะส่งรายงานก็ล่าช้าไป 1 สัปดาห์ ให้ไปปรับแก้งานก็หายไป 2 อาทิตย์ ดังนั้น การที่นักศึกษากลุ่มนี้ได้โอกาสปรับแก้งานในจำนวนครั้งที่น้อยกว่าคนอื่น ก็ย่อมเป็นเรื่องยุติธรรมแล้ว

บทเรียนที่สาม ก็คือ นักศึกษาแต่ละคนมีศักยภาพและความถนัดที่แตกต่าง เราจึงควรเปิดกว้างและออกแบบกระบวนการพัฒนาความคิดให้เหมาะสมกับแต่ละคน

ผมไม่สนใจว่านักศึกษาจะรู้อะไรบ้างเกี่ยวกับอาเซียน แต่ผมใส่ใจว่านักศึกษาจะมอบความรู้อะไรให้อาเซียนบ้าง

หากบอกว่า นักศึกษายังเยาว์วัยยากจะมอบคุณูปการอะไรให้อาเซียน ผมก็เห็นด้วยระดับหนึ่ง แต่สิ่งที่ผมต้องการจากนักศึกษาไม่ใช่ความรู้ที่เลิศเลอหรือความรู้ที่ไม่มีวันผิดพลาด

ผมต้องการเพียงความรู้หรือความคิดของนักศึกษาเกี่ยวกับเรื่องต่างๆในอาเซียน โดยไม่สนใจว่าจะผิดหรือถูก สิ่งสำคัญคือ การใส่มุมมองของตัวเองเข้าไป กล้าที่จะต่อยอดองค์ความรู้จากสิ่งที่มีอยู่แล้วใน Google

สิ่งที่ผมได้เจอก็คือ นิสิตบางคนเมื่อเข้าใจความต้องการของผมแล้ว ก็สามารถทำรายงานออกมาได้น่าสนใจ อย่างกรณีการวิเคราะห์ยุทธศาสตร์การปรับปรุงแหลมฉบังของไทยให้สอดรับกับยุทธศาสตร์ท่าเรือน้ำลึกทวายของพม่า โดยมีคู่แข่งคือ การเป็นศูนย์กลางท่าเรือของประเทศสิงคโปร์ ทำให้ผมอดเป็นปลื้มไม่ได้ที่สามารถปลุกปั้นให้นักศึกษามีความกล้าแสดงออกและใส่มูลค่าเพิ่มทางความคิดเข้าไป โดยไม่ต้องสนใจถึงคุณวุฒิในการศึกษาและประสบการณ์ที่น้อยนิดของตน

อย่างไรก็ตาม มีนักศึกษาบางคนไม่สามารถวิเคราะห์ออกมาได้ดี ยังคงคัดลอกจาก Google มาเป็นแก่นหลัก ทำให้ผมต้องกลับมาทบทวนว่า การเน้นไปที่การวิเคราะห์อาจไม่ใช่คำตอบสุดท้าย หากการใส่มูลค่าเพิ่มของตัวเองเข้าไปสามารถกระทำได้ผ่านการบอกเล่าประสบการณ์การท่องเที่ยวในอาเซียนของตนเอง แม้ว่าเราจะไปเยี่ยมชม “เจดีย์ชเวดากอง” เหมือนคนอีกหลายล้านคนในโลกใบนี้ แต่อัตลักษณ์ความเป็นตัวเรา ช่วงเวลาที่ไป และสถานการณ์ที่พบเจอ ก็อาจทำให้เรามีความรู้สึกที่แตกต่างกันไป โดยเฉพาะในโลกยุคปัจจุบันที่ให้ความสำคัญกับ Creative Economy มากกว่าความจริงแบบเครื่องจักรกล

ผลปรากฎว่า มีนักศึกษาบางคนสามารถพลิกเปลี่ยนตัวเองจากหน้ามือเป็นหลังมือ เพียงแค่เปลี่ยนเกณฑ์วัดคะแนนจากการวิเคราะห์มาเป็นศิลปะการเล่าเรื่อง เราก็จะได้ผลงานคุณภาพเพิ่มขึ้นอีก 1 ชิ้น โดยไม่แทบไม่ต้องลงแรงอะไรเลย

เมื่อมองไปสู่ห้วงอนาคต ผมก็ยังเชื่อมั่นในศักยภาพของคนไทย หากทว่าการจะทำให้คนไทยปลดปล่อยพลังความสามารถออกมาให้ชาวโลกได้รับรู้นั้น เราจะต้องมีใจเปิดกว้างในการให้รางวัลกับความสามารถที่แตกต่างกันไป โดยไม่จำเป็นต้องวัดออกมาเป็นตัวเลขได้เหมือนในยุคเครื่องจักรกล

ที่มา.Siam Intelligence Unit
/////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันเสาร์ที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2556

เผยคดีคตส.สั่งฟ้อง ทักษิณ ซุกหุ้นและยึดทรัพย์4.6หมื่นล้าน ไม่มีความผิด

กมธ.พิจารณาร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรมเสร็จแล้ว เผยคดีคตส.สั่งฟ้อง"ทักษิณ"ซุกหุ้นและยึดทรัพย์4.6หมื่นล้าน ไม่มีความผิด

ในการประชุมคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมแก่ผู้ซึ่งกระทำความผิดเนื่องจากการชุมนุมทางการเมือง การแสดงออกทางการเมือของประชาชน (กมธ.นิรโทษกรรม) ที่มีนายสามารถ แก้วมีชัย ส.ส.เชียงราย พรรคเพื่อไทย เป็นประธานกรรมาธิการฯ ช่วงบ่าย หลังจากที่มีมติแก้ไขถ้อยคำมาตรา 3 แล้วได้เข้าสู่การพิจารณาเนื้อหาของมาตรา 4 ที่ระบุให้ระงับการดำเนินคดี การสอบสวน รวมถึงการพิจารณาที่อยู่ในการพิจารณาของกระบวนการ รวมถึงให้คนที่ต้องคำพิพากษา ให้ถือว่าไม่เคยต้องคำพิพากษาว่าได้กระทำความผิดและหากอยู่ระหว่างการรับโทษให้ถือว่าการลงโทษสิ้นสุด

นายชวลิต วิชยสุทธิ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ฐานะเลขานุการกรรมาธิการฯ ได้นำเสนอปรับเพิ่มถ้อยคำโดยกำหนดให้องค์กรหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องปฏิบัติการตามหลักนิติธรรมตามรัฐธรรมนูญโดยเคร่งครัด ทั้งนี้ให้เหตุผลประกอบว่าเพื่อให้การบังคับใช้กฎหมายเป็นไปตามหลักนิติธรรมอย่างชัดเจนมากขึ้น โดยที่ประชุมได้มีการซักถาม โดยนายแก้วสรร อติโพธิ กรรมาธิการฯ ระบุว่าการบัญญัติถ้อยคำดังกล่าวหรือผลของมาตรา 4 นั้นจะเข้าข่ายที่ทำให้คดีที่คตส. ได้ดำเนินการและมีการสั่งฟ้อง จนคดีมีการสิ้นสุดแล้ว จะได้รับผลกระทบหรือไม่ อย่างไรก็ตามเมื่อแปลตามมาตรา 3 ที่ผ่านมา จะพบว่าคดีที่คตส.ดำเนินการ เช่น คดีซุกหุ้นของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมีคำพิพากษาให้ยึดทรัพย์ จำนวน 4.6 หมื่นล้าน ก็จะถือว่าไม่มีความผิด และหากไม่มีความผิดต้องมีการคืนเงินให้กับพ.ต.ท.ทักษิณ

ทั้งนี้นายวิศิษฎ์ วิศิษฎ์สรอรรถ อธิบดีกรมบังคับคดี ฐานะกรรมาธิการฯ ชี้แจงว่า แม้ว่าการยึดทรัพย์จะเป็นคดีอาญา แต่กรณีที่ให้ทรัพย์ตกเป็นของแผ่นดินต้องพิจารณาดูกฎหมายที่เกี่ยวข้องอื่นๆประกอบ อย่างไรก็ตามในท้ายที่สุดกรรมาธิการฯ พรรคเพื่อไทยเสนอปิดอภิปรายและลงมติ ผลคือมติเสียงข้างมากมีมติให้แก้ไขโดยใช้ถ้อยคำตามที่นายชวลิต เสนอ

จากนั้น ที่ประชุมได้เข้าสู่การพิจารณารายละเอียดมาตรา 5 ว่าด้วยการระงับสิทธิ์ผู้ที่ได้รับการนิรโทษกรรมจะดำเนินการเรียกร้องสิทธิ์หรือประโยชน์ใดๆ โดยนายอภิสิทธิ์ ได้ซักถามว่าในกรณีผู้ที่ได้รับการนิรโทษกรรมจะเข้าข่ายได้รับการเยียวยาตามนโยบายของทางรัฐบาลชุดปัจจุบันที่มีการเยียวยาผู้ที่ได้รับความเสียหายจากการชุมนุมทาการเมืองด้วยหรือไม่ โดยนายครูมานิตย์ สังข์พุ่ม ส.ส.สุรินทร์ พรรคเพื่อไทย ฐานะกรรมาธิการฯ กล่าวต้องพิจารณาตามคุณสมบัติ แต่เข้าใจว่ากรณีดังกล่าว ต้องมีการลงทะเบียนเหมือนกับการลงทะเบียนเกษตรกรที่เข้าโครงการหรือการเยียวยากับรัฐ

อย่างไรก็ตามในช่วงท้ายนายประเสริฐ จันทรรวงทอง ส.ส.นครราชสีมา พรรคเพื่อไทย ฐานะกรรมาธิการฯ เสนอให้เพิ่มถ้อยคำ ที่ว่า อันเกี่ยวเนื่องกับการชุมนุมทางการเมือง หรือการแสดงออกทางการเมือง และมีการเสนอให้ลงมติ ผลปรากฎว่ามติเสียงข้างมาก 15 เสียงเห็นด้วยให้ปรับแก้ถ้อยคำเพิ่มเติมตามนายประเสริฐ

ต่อจากนั้นที่ประชุมเข้าสู่การพิจารณามาตรา 6 ว่าด้วยการตัดสิทธิ์ที่หน่วยงานรัฐ จะไปฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายทางแพ่งกับบุคคลที่ได้รับการนิรโทษกรรม เว้นแต่เอกชน โดยที่ประชุมได้ซักถามถึงกรณีที่มีการเผาศาลากลางจังหวัด จำนวน 4 แห่งอาทิ จ.มุกดาหาร และมีการสั่งจำคุกบุคคลที่เผาแล้ว ทั้งนี้ในงบประมาณ พ.ศ.2557 รัฐบาลได้ขออนุมัติงบจำนวน 600 ล้านบาท เพื่อก่อสร้างอาคารหลังใหม่ ประเด็นดังกล่าวอัยการสามารถเรียกค่าเสียทางแพ่งคืนจากผู้เผาได้หรือไม่ โดยนายวิศิษฎ์ ชี้แจงว่าหากเป็นไปตามมาตรา 6 รัฐไม่สามารถฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายได้ นอกจากนั้นนายอภิสิทธิ์ ได้เสนอถ้อยคำเพื่อแก้ไข โดยมีสาระสำคัญ คือเปิดโอกาสให้หน่วยงานรัฐหรือบุคคลเรียกร้องค่าเสียหายทางแพ่ง กับผู้ที่ได้รับการนิรโทษกรรม แต่ไม่ได้รับการตอบรับจากกรรมาธิการฯ ท้ายสุดได้มีการลงมติ พบว่าเสียงข้างมาก 18 เสียงให้คงไว้ตามร่างเดิม

จากนั้นนายบุญยอด สุขถิ่นไทย ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ ฐานะกรรมาธิการฯ ได้ขอเพิ่มมาตรา 6 ตามที่นางนิชา หิรัญบูรณะ ธุวธรรม ภรรยาของพล.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม ที่เสียชีวิตจากเหตุการณ์ชุมนุมทางการเมือง อีก 3ทับได้แก่ 6/1 ผู้ที่จะได้รับการนิรโทษกรรม ต้องยอมรับว่าตนได้ละเมิดกฎหมาย และมีการทำทัณฑ์บนว่าจะไม่เข้าร่วมการชุมุนมุที่ละเมิดกฎหมายอีก, 6/2 ผู้ได้รับการนิรโทษกรรมต้องเปิดเผยข้อมูลความจริงของเหตุการณ์ความรุนแรงแก่องค์กรที่เกี่ยวข้อง, 6/3 รัฐบาลและหน่วยานที่รัฐได้รับมอบหมายจะต้งอทำความเข้าใจกับประชาชนว่าพระราชบัญัตินี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของการปรองดองเท่านั้น แต่มติที่ประชุม 19เสียง ไม่เห็นควรให้เติมข้อความดังกล่าว

และเมื่อเวลา 16.45 น. นายสามารถ ได้ระบุว่าสำหรับกรรมาธิการฯ ที่สงวนความเห็นให้เสนอความเป็นเป็นเอกสารต่อเจ้าหน้าที และสำหรับส.ส.ที่เสนอคำแปรญัตติ ขอนัดให้มาชี้แจงต่อกรรมาธิการฯในวันที่ 30 - 31 ต.ค. นี้ ตั้งแต่เวลา 09.30 น. จากนั้นได้

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
-------------------------

เฟด ชะลอ QE ปั่น หุ้น-เงิน รอบใหม่ !!?

หุ้น-เงิน เอเชียทะยาน เงินทุนต่างชาติไหลกลับรอบใหม่ คลายกังวลเพดานหนี้ คาดเฟดชะลอลดคิวอียาวถึงต้นปีหน้า ธปท.เตือนระวังเงินทุนเคลื่อนย้าย

นักลงทุนคลายกังวลปัญหาการคลังสหรัฐและการปรับลดมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (คิวอี) ของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ส่งผลให้เงินทุนไหลเข้าตลาดหุ้น-เงินเอเชียทั่วภูมิภาค ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่คล้ายกับที่เกิดขึ้นในช่วงต้นปีนี้

การตกลงแก้ปัญหาปิดหน่วยงานรัฐและขยายเพดานหนี้ของคองเกรสไปต้นปี ได้กระตุ้นนักลงทุนให้เกิดความเชื่อมั่น ตลอดจนท่าทีของเฟดยังไม่ลดคิวอีในการประชุมวันที่ 29-30 ต.ค.นี้ โดยตลาดคาดว่าเฟดอาจชะลอลดคิวอีไปจนถึงต้นปีหน้า

สกุลเงินของประเทศตลาดเกิดใหม่ส่วนใหญ่แข็งค่าขึ้น เป็นผลจากการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของจีน และความวิตกเกี่ยวกับผลกระทบทางเศรษฐกิจของการปิดหน่วยงานรัฐบาลสหรัฐในช่วงที่ผ่านมาได้กระตุ้นการคาดการณ์ที่ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจกระตุ้นเศรษฐกิจต่อไป

สำนักงานสถิติแห่งชาติ (NBS) ของจีนรายงานว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ประจำไตรมาส 3 ของปีนี้ โต 7.8% เทียบรายปี สอดคล้องกับตัวเลขคาดการณ์ และสูงกว่าไตรมาส 2 ซึ่งอยู่ที่ 7.5% โดยไตรมาส 3 ถือเป็นไตรมาสที่มีการขยายตัวสูงสุดในปีนี้

เงินรูปีแตะระดับสูงสุดในรอบกว่า 2 เดือนตามตลาดหุ้นที่ทะยานขึ้นมากกว่าตลาดอื่นๆ ในภูมิภาค

ค่าเงินวอนแตะระดับสูงสุดในรอบเกือบ 9 เดือน ขณะที่นักลงทุนต่างชาติเข้าซื้อหุ้นเกาหลีใต้ติดต่อกัน 36 วัน ซึ่งเป็นสถิติที่ยาวนานที่สุด

การคาดการณ์เกี่ยวกับแนวโน้มการลดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของเฟดได้ส่งผลให้เงินของตลาดเกิดใหม่ในเอเชียร่วงลงอย่างหนักตั้งแต่ต้นปีนี้ แต่กำลังฟื้นตัวขึ้นมาอีกครั้ง

นักวิเคราะห์กล่าวว่าสกุลเงินเอเชียมีแนวโน้มที่จะปรับตัวขึ้นต่อไป ขณะที่นักลงทุนลดการคาดการณ์เกี่ยวกับการปรับลดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของเฟด และเศรษฐกิจจีนมีแนวโน้มมากขึ้นที่จะชะลอตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป

ตลาดหุ้นเอเชียพุ่งทุบสถิติ

ตลาดหุ้นโตเกียวปิดตลาดอ่อนตัวลงในวานนี้จากแรงขายทำกำไรหลังจากดีดตัวขึ้น 7 วันติดต่อกัน ขณะที่นักลงทุนพิจารณาผลกระทบต่อเศรษฐกิจสหรัฐจากการปิดทำการของหน่วยงานรัฐบาลนาน 16 วัน

ดัชนีนิกเคอิปิดตลาดลบ 24.97 จุด หรือ 0.17% มาที่ 14,561.54 หลังจากที่ดีดตัวขึ้น 7 วันติดต่อกันจนถึงเมื่อวานนี้ ซึ่งเป็นสถิติช่วงขาขึ้นที่ยาวนานที่สุดในรอบ 7 เดือนครึ่ง

ในสัปดาห์ที่ผ่านมา ดัชนีนิกเคอิพุ่งขึ้น 1.1% ซึ่งเป็นการปรับตัวขึ้นสัปดาห์ ที่ 2 ติดต่อกัน

ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ปิดพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 26 เดือน ในวันนี้ โดยได้แรงหนุนจากเศรษฐกิจที่ขยายตัวมากขึ้นของจีน และปริมาณเงินลงทุนต่างประเทศที่ไหลเข้ามาอย่างต่อเนื่อง

ดัชนีคอมโพสิตปิดเพิ่มขึ้น 11.79 จุด หรือ 0.58% มาที่ 2,052.40 ซึ่งเป็นระดับปิดสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 3 ส.ค. 2554 ในสัปดาห์นี้ ดัชนีพุ่งขึ้น 1.4%

ตลาดหุ้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ส่วนใหญ่ปรับตัวขึ้นและคาดว่าจะปรับตัวขึ้นเล็กน้อยในสัปดาห์หน้า ขณะที่นักลงทุนซื้อหุ้นขนาดใหญ่ในภูมิภาค หลังการแถลงผลประกอบการรายไตรมาสที่สดใส และข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของจีนช่วยหนุนความเชื่อมั่นในตลาดหุ้นเอเชีย

ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ปรับตัวขึ้น 0.3% และคาดว่าจะปรับตัวขึ้น 0.6% ในสัปดาห์นี้ หลังจากที่พุ่งขึ้น 1.3% ในสัปดาห์ที่แล้ว

ตลาดหุ้นไทยและฟิลิปปินส์พุ่งขึ้นมากกว่าตลาดอื่นในภูมิภาคโดยดัชนีหุ้นไทยปิดตลาดเที่ยงพุ่งขึ้น 0.9% และดัชนีคอมโพสิตตลาดหุ้นมะนิลาปิดบวก 0.72% โดยดัชนีทั้งสองตลาดพุ่งขึ้นราว 1.7% แล้วในสัปดาห์นี้

ธปท.เตือนเงินทุนเคลื่อนย้ายผันผวน

นายปฤษันต์ จันทน์หอม ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายเศรษฐกิจระหว่างประเทศ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่าหลังจากที่สหรัฐขยายเพดานหนี้สหรัฐออกไป อาจส่งผลให้เงินทุนต่างชาติ ปรับสถานะและมีบางส่วนไหลออกจากประเทศไทยบ้าง แต่อยากให้นักลงทุนมองระยะยาวมากกว่า ซึ่งเม็ดเงินน่าจะมีทิศทางไหลกลับไปยังสหรัฐเพราะเงินที่ออกมาจากสหรัฐค่อนข้างมาก จึงต้องติดตามเม็ดเงินต่างชาติจะไหลกลับไปเมื่อไร

"ส่วนปัญหาเพดานหนี้สหรัฐ มีความยืดเยื้อในการขยายเพดานหนี้ เชื่อว่าที่ผ่านมาสหรัฐ อยู่ระหว่างรอความชัดเจนในภาพเศรษฐกิจสหรัฐเองด้วย เพราะสถานการณ์การคลังของสหรัฐ ก็ยังไม่มีความแน่นอน ซึ่งรอให้สถานการณ์ต่างๆ เริ่มนิ่ง และอยากให้รอดูการขยายเวลาเพดานหนี้ครั้งต่อไปในเดือนก.พ. ซึ่งทุกคนกลัวว่าเดือนก.พ. อาจมีปัญหาการขยายเพดานหนี้เหมือนในครั้งนี้อีก แต่เชื่อว่าสหรัฐจะสามารถแก้ไขปัญหาได้"

มั่นใจ ธปท.มีมาตรการรับบาทผันผวน

ด้าน นายสมชัย สัจจพงษ์ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กล่าวว่าค่าเงินบาทที่แข็งค่าไม่น่ามีปัญหา เพราะว่าธปท.มีเครื่องมือและมาตรการยืดหยุ่นในการดูแล

นายสมชัย กล่าวว่า ในการประชุมร่วมกับนายกรัฐมนตรีเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา (15 ต.ค.) สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และ ธปท. ได้ประเมินสถานการณ์และเตรียมความพร้อมรับมือไว้แล้ว

"ทุนสำรองระหว่างประเทศของไทยที่มีสูงถึง 170,000 ล้านดอลลาร์ ถือว่าแข็งแกร่งเพียงพอ ที่จะรับมือกับเหตุการณ์ได้ และการแข็งค่าของเงินบาทขณะนี้เห็นว่ายังไม่มากจนทำให้ธปท.ต้องเข้าไปดูแล"

ต่างชาติซื้อบอนด์ยาว8.6พันล้าน

ด้านนางสาวอริยา ติรณะประกิจ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย (THAIBMA) กล่าวว่า หลังจากสหรัฐแก้ปัญหาเพดานหนี้สหรัฐได้ในระยะสั้น ทำให้มีเงินลงทุนไหลกลับเข้ามาในตลาดตราสารหนี้ค่อนข้างมาก โดยในวันที่ 17 ต.ค.ที่ผ่านมา ต่างชาติซื้อสุทธิประมาณ 11,000 ล้านบาท แบ่งเป็นตราสารหนี้ระยะสั้น 7,700 ล้านบาท และตราสารหนี้ระยะยาว 3,700 ล้านบาท

"ทำให้ผลตอบแทนบอนด์อายุ 10 ปี ปรับตัวลงมา 0.05% และวานนี้ (18 ต.ค.) ผลตอบแทนบอนด์ 10 ปี ยังคงปรับตัวลงต่อเนื่องอีก 0.05-0.10% ซึ่งสะท้อนว่า ยังมีแรงซื้อเข้ามาในตราสารหนี้ของไทยต่อเนื่อง และมีปริมาณที่ไม่ได้น้อยไปกว่าวันที่ 17 ต.ค."

นางสาวอริยา กล่าวว่า ในเดือนต.ค. ต่างชาติมียอดซื้อสุทธิ 8,600 ล้านบาท เป็นการขายตราสารหนี้ระยะสั้น 1,100 ล้านบาท และ ตราสารหนี้ระยะยาว 9,800 ล้านบาท ส่งผลให้ต่างชาติมียอดถือครองสุทธิ ณ 11 ต.ค. รวม 760,000 ล้านบาท โดยเป็นสัดส่วนระยะสั้น 25% และระยะยาว 75%

"สะท้อนว่าเงินลงทุนส่วนใหญ่ ยังเน้นเข้าลงทุนจริงๆ และการไหลกลับครั้งนี้ จะเป็นภาพเดียวกันทั่วภูมิภาคหลังตลาดคลายความกังวลลง"

นางสาวอริยา กล่าวว่าต่างประเทศเป็นปัจจัยหลัก ที่ส่งผลกระทบต่อการลงทุนตลาดตราสารหนี้ โดยเฉพาะการชะลอมาตรการคิวอี และแนวโน้มการปรับขึ้นดอกเบี้ยสหรัฐในอนาคต ต้นปีหน้าตลาดอาจกลับมากังวลในประเด็นเหล่านี้อีกครั้ง จะเห็นว่าเงินยังไหลกลับเข้ามาในตลาดตราสารหนี้ หากดูช่วง 9 เดือนแรก มีเงินไหลเข้า 62,300 ล้านบาท ถ้านับยอดซื้อสุทธิเดือนต.ค. อีก 8,600 ล้านบาท เงินไหลเข้าถึงปัจจุบัน 70,000 ล้านบาท ขณะที่เงินต่างชาติในตลาดหุ้นไทยยังขายสุทธิกว่า 1 แสนล้านบาท

เงินไหลเข้ากดผลตอบแทนลดลง

นางสาวอริยา กล่าวว่า ตลาดตราสารหนี้จนถึงสิ้นปีจะเห็นเงินลงทุนของต่างชาติไหลเข้าต่อเนื่อง และจะกดไม่ให้อัตราผลตอบแทนของพันธบัตรตลาดปรับตัวขึ้นได้ จึงช่วยผลักดันให้เอกชนทยอยออกหุ้นกู้มากขึ้นในช่วงที่เหลือของปี และจะทำให้ยอดออกหุ้นกู้ทะลุเป้าที่เคยวางไว้ปีนี้ 350,000 ล้านบาท เพราะนับถึงปัจจุบัน (17 ต.ค.) มียอดออกหุ้นกู้ 313,000 ล้านบาท

"ในปีหน้าการชะลอคิวอี ยังคงเป็นประเด็นที่กลับเข้ามากระทบตลาดตลอด จนแนวโน้มปรับขึ้นดอกเบี้ยของสหรัฐในอนาคต ย่อมส่งผลต่อเงินทุนไหลเข้าออกของต่างชาติ และหากมีการไหลออก ย่อมทำให้ผลตอบแทนพันธบัตรสูงขึ้น ช่วงนี้จึงเป็นจังหวะดีในการออกหุ้นกู้ภาคเอกชน"

นางสาวอริยา กล่าวว่า สภาพคล่องในขณะนี้ไม่น่าเป็นกังวล เพราะยังรองรับการระดมทุนได้และหุ้นกู้ที่ออกมาก็ขายได้หมด

เฟดส่งสัญญาณเลื่อนหั่นคิวอี

นายชาร์ลส์ อีแวนส์ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขาชิคาโก และนายริชาร์ด ฟิชเชอร์ ประธานเฟดสาขาดัลลัส กล่าวว่า เฟดมีแนวโน้มที่จะเลื่อนการตัดสินใจปรับลดวงเงินในมาตรการเข้าซื้อตราสารหนี้ หรือมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (คิวอี) ออกไปอย่างน้อยจนกว่าจะถึงเดือนธ.ค.

ทั้งนี้ ความขัดแย้งด้านงบประมาณและการเพิ่มเพดานหนี้ของสหรัฐส่งผลให้หน่วยงานรัฐบาลต้องปิดทำการเป็นเวลานาน 16 วัน และทำให้รัฐบาลสหรัฐเสี่ยงต่อการผิดนัดชำระหนี้ และปัจจัยนี้ก็ส่งผลให้แนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐเผชิญกับความไม่แน่นอนในช่วงที่ผ่านมา

นายอีแวนส์ กล่าวว่า "เราต้องการข้อมูลเพิ่มเติมที่แสดงให้เห็นว่าเศรษฐกิจมีสภาพเป็นอย่างไรต่อไป และเราได้รับมือกับการปิดหน่วยงานรัฐบาลครั้งล่าสุดอย่างไร โดยผมคิดว่ามีความเป็นไปได้มากที่สุดที่เฟดจะยังคงประเมินเรื่องนี้ต่อไปในการประชุม 2-3 ครั้งข้างหน้า"

เฟดจัดการประชุมกำหนดนโยบายการเงินทุก 6 สัปดาห์ โดยการประชุมครั้งถัดไปจะจัดขึ้นในวันที่ 29-30 ต.ค. และ 17-18 ธ.ค.

นักวิเคราะห์คาดเฟดหั่นคิวอีต้นปีหน้า

นักวิเคราะห์กล่าวว่า มีปัจจัยหลายประการที่เฟดจำเป็นต้องนำมาพิจารณาในการตัดสินใจว่าจะลดวงเงินคิวอีจากระดับ 8.5 หมื่นล้านดอลลาร์ต่อเดือนเมื่อใด โดยเฟดดำเนินคิวอีในปัจจุบันด้วยการเข้าซื้อ

พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐในอัตรา 4.5 หมื่นล้านดอลลาร์ต่อเดือนและเข้าซื้อหลักทรัพย์ที่ได้รับการค้ำประกันจากสัญญาจำนองในอัตรา 4 หมื่นล้านดอลลาร์ต่อเดือน

"เฟดไม่มีแนวโน้มที่จะปรับลดขนาดคิวอีในการประชุมเดือนต.ค. แต่เฟดมีความเป็นไปได้ที่จะปรับลดในเดือนธ.ค. อย่างไรก็ดี เฟดกำลังมีแนวโน้มน้อยลงเรื่อยๆ ที่จะทำเช่นนั้น ตอนนี้เฟดกำลังเลือกระหว่างการปรับลดคิวอีในการประชุมเดือนม.ค. 2557 หรือในเดือนมี.ค. 2557"

นายไมเคิล เฟโรลี นักเศรษฐศาสตร์ของเจพีมอร์แกน กล่าวว่าถ้าเฟดต้องการปรับลดคิวอีอย่างต่อเนื่อง เฟดก็จะไม่มีโอกาสเริ่มต้นทำสิ่งนี้จนกว่าจะถึงเดือนมี.ค. เพราะว่าเดือนมี.ค. จะเป็นโอกาสแรกสำหรับเฟด ในการได้ประเมินสภาพเศรษฐกิจที่แท้จริง

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
------------------------------------

วันศุกร์ที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2556

นับถอยหลัง 6 เดือน ยุติให้บริการ Windows XP

ไม่น่าเชื่อว่า ระบบปฏิบัติการ วินโดวส์ เอ็กซ์พี (Windows XP) จะเป็นระบบปฏิบัติการที่มีมายาวนานถึง 11 ปีแล้ว และแม้ว่าไมโครซอฟท์จะออกระบบปฏิบัติการใหม่ๆ มา ไม่ว่าจะเป็น วินโดวส์ 7 (Windows7) หรือ วินโดวส์ 8 (Windows 8) มาแล้ว แต่เครื่องคอมพิวเตอร์หลายเครื่องในบ้านเรา ก็ยังใช้ระบบปฏิบัติการเอ็กซ์พีอยู่

ตัวเลขจากสแตทเคาน์เตอร์ ประจำเดือนกันยายน 2556 ระบุว่า ประเทศไทย เป็นหนึ่งในประเทศที่มีผู้ใช้ระบบปฏิบัติการวินโดวส์ เอ็กซ์พี สูงสุดในแถบเอเชียแปซิฟิก โดยมีอยู่ราว 28 เปอร์เซ็นต์ หรือคิดเป็นจำนวนคอมพิวเตอร์มากถึง 5.7 ล้านเครื่อง ซึ่งมากกว่าประชากรทั้งหมดของสิงคโปร์เสียอีก แต่ตั้งแต่เดือนกันยายน 2556 เป็นต้นมา ก็เริ่มมีผู้บริโภคและธุรกิจในไทยได้อัพเกรดไปเป็นระบบปฏิบัติการเวอร์ชั่นใหม่ โดยมีการอัพเกรดเป็นวินโดวส์ 7 และวินโดวส์ 8 แล้วราว 57 เปอร์เซ็นต์

ตอนนี้ ทางไมโครซอฟท์เองได้ออกมาแจ้งต่อธุรกิจและผู้บริโภคทั่วไปในไทยที่ยังใช้ระบบปฏิบัติการเอ็กซ์พีอยู่ว่า ไมโครซอฟท์จะหยุดการสนับสนุนและการให้บริการระบบปฏิบัติการเอ็กซ์พีอย่างเป็นทางการในอีก 6 เดือนข้างหน้า คือวันที่ 8 เมษายน 2557 โดยระบุว่าด้วยความที่อายุของเอ็กซ์พีเก่าแก่ถึง 11 ปีแล้ว ก็จะไม่สามารถรับมือกับการโจมตีที่ซับซ้อนผ่านระบบไซเบอร์ได้ อีกทั้งยังไม่สามารถสนองตอบต่อความต้องการที่เพิ่มขึ้น ทั้งในแง่การปกป้องข้อมูลส่วนตัวและการเพิ่มประสิทธิผล

เมื่อไมโครซอฟท์หยุดการสนับสนุน เอ็กซ์พี ก็จะหยุดอัพเดตระบบรักษาความปลอดภัย การซ่อมแซมที่ไม่เกี่ยวข้องกับการรักษาความปลอดภัย หยุดให้บริการด้านเทคนิคทางโทรศัพท์ และจะไม่มีการอัพเดตข้อมูลด้านเทคนิคผ่านระบบออนไลน์สำหรับระบบปฏิบัติการวินโดวส์ เอ็กซ์พีอีกต่อไป นั่นหมายความว่า ผู้ใช้ก็จะไม่ได้รับอัพเดตต่างๆ ที่สามารถช่วยปกป้องคอมพิวเตอร์จากไวรัสอันตราย สปายแวร์ และซอฟต์แวร์ประสงค์ร้ายอื่นๆ ผลที่ตามมาก็คือ ระบบอาจหยุดทำงาน หรือเกิดปัญหาซอฟต์แวร์ไม่สามารถทำงานร่วมกันได้

รชฏ อิศรางกูร ณ อยุธยา ผู้จัดการกลุ่มธุรกิจและการตลาดวินโดวส์ และ เซอร์เฟซ บริษัท ไมโครซอฟท์ (ประเทศไทย) กล่าวว่า "แม้ผู้คนไม่ชอบการเปลี่ยนแปลง แต่ผู้บริโภคและธุรกิจต่างๆ จำเป็นต้องหันมาใช้ระบบปฏิบัติการรุ่นใหม่กว่าอย่าง วินโดวส์ 7 หรือ วินโดวส์ 8 เพื่ออัพเกรดให้ดีไวซ์ของตนทันสมัยมากขึ้น รวมทั้งเสริมสร้างความปลอดภัยเพื่อป้องกันการโจมตีผ่านระบบไซเบอร์และปัญหาข้อมูลสูญหายด้วย โดยปกติแล้ว ธุรกิจขนาดเล็กมักใช้เวลาประมาณ 3-6 เดือนในการอัพเกรดระบบ ส่วนธุรกิจขนาดกลางต้องใช้เวลานานกว่า 6 เดือน เราจึงมีความกังวลว่าบริษัทต่างๆ ในประเทศไทยอาจตัดสินใจอัพเกรดในเวลากระชั้นชิดใกล้กับวันสิ้นสุดการให้บริการมากจนเกินไป ไมโครซอฟท์มีความตั้งใจที่จะช่วยเหลือบริษัทต่างๆ ในไทยให้สามารถอัพเกรดระบบได้อย่างราบรื่นที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้"

อย่างเช่นโรงพิมพ์ "ฟาสต์บุ๊คส์" ที่ตัดสินใจอัพเกรดจากเอ็กซ์พี เปลี่ยนไปใช้วินโดวส์ 8 โดยคุณเทอดทูล ไชยเทอดธรรม กรรมการผู้จัดการ ฟาสต์บุ๊คส์ บอกว่าฟาสต์บุ๊คส์ ในฐานะโรงพิมพ์ที่รับพิมพ์หนังสือด้วยเครื่องพิมพ์ระบบดิจิตอล พบว่า ระบบปฏิบัติการวินโดวส์ เอ็กซ์พีนั้น ไม่เอื้อต่อการอัพเกรดโปรแกรมดีไซน์และซอฟต์แวร์อื่นๆ ที่ใช้ และไม่สามารถตอบสนองความต้องการในการใช้งานด้านไอทีได้อย่างเต็มที่ต่อไป จึงได้ตัดสินใจอัพเกรดใช้เป็นวินโดวส์ 8 เพราะสามารถใช้งานง่ายแบบอินเตอร์แอ๊กทีฟ มีระบบการจัดการและรักษาความปลอดภัยที่ดี ทำให้บริษัทมีความแข็งแกร่งมากขึ้น

ทั้งนี้ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา บรรดานักวิเคราะห์ในแวดวงได้แนะนำให้ธุรกิจต่างๆเลิกใช้วินโดวส์ เอ็กซ์พี อย่าง นายฮานโดโกะ แอนดี

ผู้จัดการด้านงานวิจัยอุปกรณ์ลูกค้า ของบริษัท ไอดีซีเอเชีย-แปซิฟิก กล่าวว่า หากต้องการสร้างความมั่นใจว่าคอมพิวเตอร์ของคุณจะยังคงได้รับการบริการสนับสนุนและทำงานได้อย่างปลอดภัยแล้วผู้บริโภคและธุรกิจต่างๆ จำเป็นต้องอัพเกรดไปใช้ระบบปฏิบัติการเวอร์ชั่นใหม่ทันที เพราะวินโดวส์ เอ็กซ์พี เหลือเวลาอีกแค่ 6 เดือนเท่านั้น

ใครที่ยังใช้วินโดวส์ เอ็กซ์พี อยู่ ก็รีบศึกษาหาความรู้และพิจารณาหาทางอัพเกรดให้เรียบร้อย เพื่อการใช้งานที่ราบรื่นและมีประสิทธิภาพของเครื่องคอมพิวเตอร์

ที่มา : นสพ.มติชน
---------------------------------

รัสเซียส่ง สปุตนิค. แข่งกูเกิล !!?

รัสเซียเตรียมเปิดศึกครั้งใหม่ ผุดโครงการ "สปุตนิค" ชื่อเดียวกับดาวเทียมดวงแรกของโลกพัฒนา "เสิร์ช เอ็นจิ้น" เทียบกูเกิล

สหพันธรัฐรัสเซียเปิดศึกสหรัฐครั้งใหม่เตรียมแผนพัฒนาระบบค้นหาข้อมูล หรือเสิร์ช เอ็นจิ้น แข่งกับสหรัฐ โดยยังใช้ชื่อโครงการเดิมว่า "สปุตนิค (Sputnik)" เหมือนเมื่อครั้งที่สหภาพโซเวียต (ในขณะนั้น) ริเริ่มโครงการพัฒนาดาวเทียมดวงแรกของโลกและสามารถส่งขึ้นสู่วงโคจรของโลกได้สำเร็จแซงหน้าสหรัฐเมื่อกว่า 50 ปีก่อนซึ่งถือเป็นการทำสงครามกันบนห้วงอวกาศและชิงความเป็นผู้นำทางเทคโนโลยีในยุคนั้น แต่สำหรับโครงการสปุตนิคครั้งใหม่จะเป็นการแข่งกันบนสังเวียนที่สหรัฐเป็นผู้นำตลาดอยู่ก่อนแล้ว

รายงานข่าวจากสำนักข่าวต่างประเทศเผยว่า โครงการดังกล่าวรับผิดชอบโดย "โรสเทเลคอม (Rostelecom)" บริการระบบสื่อสารที่ควบควบคุมโดยรัฐบาลรัสเซียที่จะเป็นผู้สร้างระบบสืบค้นข้อมูลเพื่อแข่งกับบริการ เช่น กูเกิล รวมถึงระบบเสิร์ช เอ็นจิ้นชื่อดังในท้องถิ่น เช่น แยนเด็กซ์ (Yandex) จากเนเธอร์แลนด์

อย่างไรก็ตามแม้จะมีรัฐบาลให้การสนับสนุนโครงการดังกล่าวอยู่เบื้องหลัง แต่ก็อาจยังต้องเผชิญความยากลำบากในการแข่งขัน ซึ่งจากข้อมูลบนเว็บไซต์แยนเด็กซ์ระบุว่าปัจจุบันครองสัดส่วนการใช้งานในรัสเซียถึง 62%

แต่เมื่อไม่นานมานี้ก็เริ่มมีกระแสข่าวรายงานถึงสถานการณ์ที่ไม่มั่นคงของบริษัทแยนเด็กซ์ หลังผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทป่วยเป็นมะเร็งซึ่งได้ส่งผลต่อบริษัท โดยเฉพาะความกังวลเกี่ยวกับแผนในระยะยาวของบริษัท

ทั้งนี้ในขณะที่แยนเด็กซ์ยังครองตำแหน่งผู้นำตลาดเสิร์ช เอ็นจิ้น ส่วนกูเกิลตามมาด้วยสัดส่วนราว 25% ของผู้ใช้เสิร์ช เอ็นจิ้นในรัสเซีย ดังนั้นแผนการเปิดตัว "สปุตนิค" ของโรสเทเลคอมก็อาจเป็นเวลาที่เหมาะสม

ปัจจุบันโรสเทเลคอมลงทุนพัฒนาโครงการดังกล่าวแล้ว 20 ล้านดอลลาร์ และเริ่มเปิดให้ติดตามความเคลื่อนไหวของโครงการได้ผ่านเว็บไซต์ www.Sputnik.ru พร้อมกับคาดว่าจะสามารถเปิดตัวได้อย่างเป็นทางการช่วงไตรมาสแรกของปี 2557

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
/////////////////////////////////////////////