--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันศุกร์ที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2556

นับถอยหลัง 6 เดือน ยุติให้บริการ Windows XP

ไม่น่าเชื่อว่า ระบบปฏิบัติการ วินโดวส์ เอ็กซ์พี (Windows XP) จะเป็นระบบปฏิบัติการที่มีมายาวนานถึง 11 ปีแล้ว และแม้ว่าไมโครซอฟท์จะออกระบบปฏิบัติการใหม่ๆ มา ไม่ว่าจะเป็น วินโดวส์ 7 (Windows7) หรือ วินโดวส์ 8 (Windows 8) มาแล้ว แต่เครื่องคอมพิวเตอร์หลายเครื่องในบ้านเรา ก็ยังใช้ระบบปฏิบัติการเอ็กซ์พีอยู่

ตัวเลขจากสแตทเคาน์เตอร์ ประจำเดือนกันยายน 2556 ระบุว่า ประเทศไทย เป็นหนึ่งในประเทศที่มีผู้ใช้ระบบปฏิบัติการวินโดวส์ เอ็กซ์พี สูงสุดในแถบเอเชียแปซิฟิก โดยมีอยู่ราว 28 เปอร์เซ็นต์ หรือคิดเป็นจำนวนคอมพิวเตอร์มากถึง 5.7 ล้านเครื่อง ซึ่งมากกว่าประชากรทั้งหมดของสิงคโปร์เสียอีก แต่ตั้งแต่เดือนกันยายน 2556 เป็นต้นมา ก็เริ่มมีผู้บริโภคและธุรกิจในไทยได้อัพเกรดไปเป็นระบบปฏิบัติการเวอร์ชั่นใหม่ โดยมีการอัพเกรดเป็นวินโดวส์ 7 และวินโดวส์ 8 แล้วราว 57 เปอร์เซ็นต์

ตอนนี้ ทางไมโครซอฟท์เองได้ออกมาแจ้งต่อธุรกิจและผู้บริโภคทั่วไปในไทยที่ยังใช้ระบบปฏิบัติการเอ็กซ์พีอยู่ว่า ไมโครซอฟท์จะหยุดการสนับสนุนและการให้บริการระบบปฏิบัติการเอ็กซ์พีอย่างเป็นทางการในอีก 6 เดือนข้างหน้า คือวันที่ 8 เมษายน 2557 โดยระบุว่าด้วยความที่อายุของเอ็กซ์พีเก่าแก่ถึง 11 ปีแล้ว ก็จะไม่สามารถรับมือกับการโจมตีที่ซับซ้อนผ่านระบบไซเบอร์ได้ อีกทั้งยังไม่สามารถสนองตอบต่อความต้องการที่เพิ่มขึ้น ทั้งในแง่การปกป้องข้อมูลส่วนตัวและการเพิ่มประสิทธิผล

เมื่อไมโครซอฟท์หยุดการสนับสนุน เอ็กซ์พี ก็จะหยุดอัพเดตระบบรักษาความปลอดภัย การซ่อมแซมที่ไม่เกี่ยวข้องกับการรักษาความปลอดภัย หยุดให้บริการด้านเทคนิคทางโทรศัพท์ และจะไม่มีการอัพเดตข้อมูลด้านเทคนิคผ่านระบบออนไลน์สำหรับระบบปฏิบัติการวินโดวส์ เอ็กซ์พีอีกต่อไป นั่นหมายความว่า ผู้ใช้ก็จะไม่ได้รับอัพเดตต่างๆ ที่สามารถช่วยปกป้องคอมพิวเตอร์จากไวรัสอันตราย สปายแวร์ และซอฟต์แวร์ประสงค์ร้ายอื่นๆ ผลที่ตามมาก็คือ ระบบอาจหยุดทำงาน หรือเกิดปัญหาซอฟต์แวร์ไม่สามารถทำงานร่วมกันได้

รชฏ อิศรางกูร ณ อยุธยา ผู้จัดการกลุ่มธุรกิจและการตลาดวินโดวส์ และ เซอร์เฟซ บริษัท ไมโครซอฟท์ (ประเทศไทย) กล่าวว่า "แม้ผู้คนไม่ชอบการเปลี่ยนแปลง แต่ผู้บริโภคและธุรกิจต่างๆ จำเป็นต้องหันมาใช้ระบบปฏิบัติการรุ่นใหม่กว่าอย่าง วินโดวส์ 7 หรือ วินโดวส์ 8 เพื่ออัพเกรดให้ดีไวซ์ของตนทันสมัยมากขึ้น รวมทั้งเสริมสร้างความปลอดภัยเพื่อป้องกันการโจมตีผ่านระบบไซเบอร์และปัญหาข้อมูลสูญหายด้วย โดยปกติแล้ว ธุรกิจขนาดเล็กมักใช้เวลาประมาณ 3-6 เดือนในการอัพเกรดระบบ ส่วนธุรกิจขนาดกลางต้องใช้เวลานานกว่า 6 เดือน เราจึงมีความกังวลว่าบริษัทต่างๆ ในประเทศไทยอาจตัดสินใจอัพเกรดในเวลากระชั้นชิดใกล้กับวันสิ้นสุดการให้บริการมากจนเกินไป ไมโครซอฟท์มีความตั้งใจที่จะช่วยเหลือบริษัทต่างๆ ในไทยให้สามารถอัพเกรดระบบได้อย่างราบรื่นที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้"

อย่างเช่นโรงพิมพ์ "ฟาสต์บุ๊คส์" ที่ตัดสินใจอัพเกรดจากเอ็กซ์พี เปลี่ยนไปใช้วินโดวส์ 8 โดยคุณเทอดทูล ไชยเทอดธรรม กรรมการผู้จัดการ ฟาสต์บุ๊คส์ บอกว่าฟาสต์บุ๊คส์ ในฐานะโรงพิมพ์ที่รับพิมพ์หนังสือด้วยเครื่องพิมพ์ระบบดิจิตอล พบว่า ระบบปฏิบัติการวินโดวส์ เอ็กซ์พีนั้น ไม่เอื้อต่อการอัพเกรดโปรแกรมดีไซน์และซอฟต์แวร์อื่นๆ ที่ใช้ และไม่สามารถตอบสนองความต้องการในการใช้งานด้านไอทีได้อย่างเต็มที่ต่อไป จึงได้ตัดสินใจอัพเกรดใช้เป็นวินโดวส์ 8 เพราะสามารถใช้งานง่ายแบบอินเตอร์แอ๊กทีฟ มีระบบการจัดการและรักษาความปลอดภัยที่ดี ทำให้บริษัทมีความแข็งแกร่งมากขึ้น

ทั้งนี้ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา บรรดานักวิเคราะห์ในแวดวงได้แนะนำให้ธุรกิจต่างๆเลิกใช้วินโดวส์ เอ็กซ์พี อย่าง นายฮานโดโกะ แอนดี

ผู้จัดการด้านงานวิจัยอุปกรณ์ลูกค้า ของบริษัท ไอดีซีเอเชีย-แปซิฟิก กล่าวว่า หากต้องการสร้างความมั่นใจว่าคอมพิวเตอร์ของคุณจะยังคงได้รับการบริการสนับสนุนและทำงานได้อย่างปลอดภัยแล้วผู้บริโภคและธุรกิจต่างๆ จำเป็นต้องอัพเกรดไปใช้ระบบปฏิบัติการเวอร์ชั่นใหม่ทันที เพราะวินโดวส์ เอ็กซ์พี เหลือเวลาอีกแค่ 6 เดือนเท่านั้น

ใครที่ยังใช้วินโดวส์ เอ็กซ์พี อยู่ ก็รีบศึกษาหาความรู้และพิจารณาหาทางอัพเกรดให้เรียบร้อย เพื่อการใช้งานที่ราบรื่นและมีประสิทธิภาพของเครื่องคอมพิวเตอร์

ที่มา : นสพ.มติชน
---------------------------------

รัสเซียส่ง สปุตนิค. แข่งกูเกิล !!?

รัสเซียเตรียมเปิดศึกครั้งใหม่ ผุดโครงการ "สปุตนิค" ชื่อเดียวกับดาวเทียมดวงแรกของโลกพัฒนา "เสิร์ช เอ็นจิ้น" เทียบกูเกิล

สหพันธรัฐรัสเซียเปิดศึกสหรัฐครั้งใหม่เตรียมแผนพัฒนาระบบค้นหาข้อมูล หรือเสิร์ช เอ็นจิ้น แข่งกับสหรัฐ โดยยังใช้ชื่อโครงการเดิมว่า "สปุตนิค (Sputnik)" เหมือนเมื่อครั้งที่สหภาพโซเวียต (ในขณะนั้น) ริเริ่มโครงการพัฒนาดาวเทียมดวงแรกของโลกและสามารถส่งขึ้นสู่วงโคจรของโลกได้สำเร็จแซงหน้าสหรัฐเมื่อกว่า 50 ปีก่อนซึ่งถือเป็นการทำสงครามกันบนห้วงอวกาศและชิงความเป็นผู้นำทางเทคโนโลยีในยุคนั้น แต่สำหรับโครงการสปุตนิคครั้งใหม่จะเป็นการแข่งกันบนสังเวียนที่สหรัฐเป็นผู้นำตลาดอยู่ก่อนแล้ว

รายงานข่าวจากสำนักข่าวต่างประเทศเผยว่า โครงการดังกล่าวรับผิดชอบโดย "โรสเทเลคอม (Rostelecom)" บริการระบบสื่อสารที่ควบควบคุมโดยรัฐบาลรัสเซียที่จะเป็นผู้สร้างระบบสืบค้นข้อมูลเพื่อแข่งกับบริการ เช่น กูเกิล รวมถึงระบบเสิร์ช เอ็นจิ้นชื่อดังในท้องถิ่น เช่น แยนเด็กซ์ (Yandex) จากเนเธอร์แลนด์

อย่างไรก็ตามแม้จะมีรัฐบาลให้การสนับสนุนโครงการดังกล่าวอยู่เบื้องหลัง แต่ก็อาจยังต้องเผชิญความยากลำบากในการแข่งขัน ซึ่งจากข้อมูลบนเว็บไซต์แยนเด็กซ์ระบุว่าปัจจุบันครองสัดส่วนการใช้งานในรัสเซียถึง 62%

แต่เมื่อไม่นานมานี้ก็เริ่มมีกระแสข่าวรายงานถึงสถานการณ์ที่ไม่มั่นคงของบริษัทแยนเด็กซ์ หลังผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทป่วยเป็นมะเร็งซึ่งได้ส่งผลต่อบริษัท โดยเฉพาะความกังวลเกี่ยวกับแผนในระยะยาวของบริษัท

ทั้งนี้ในขณะที่แยนเด็กซ์ยังครองตำแหน่งผู้นำตลาดเสิร์ช เอ็นจิ้น ส่วนกูเกิลตามมาด้วยสัดส่วนราว 25% ของผู้ใช้เสิร์ช เอ็นจิ้นในรัสเซีย ดังนั้นแผนการเปิดตัว "สปุตนิค" ของโรสเทเลคอมก็อาจเป็นเวลาที่เหมาะสม

ปัจจุบันโรสเทเลคอมลงทุนพัฒนาโครงการดังกล่าวแล้ว 20 ล้านดอลลาร์ และเริ่มเปิดให้ติดตามความเคลื่อนไหวของโครงการได้ผ่านเว็บไซต์ www.Sputnik.ru พร้อมกับคาดว่าจะสามารถเปิดตัวได้อย่างเป็นทางการช่วงไตรมาสแรกของปี 2557

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
/////////////////////////////////////////////

วันพฤหัสบดีที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2556

เตือนไทยรับมือการเงินผันผวน สศค.ชี้เพดานหนี้สหรัฐ จบ !!

สศค.มั่นใจสหรัฐขยายเพดานหนี้สำเร็จ พร้อมเตือนนักลงทุนไทยรับมือความผันผวนในตลาดเงิน ตลาดทุน เชื่อมือ ธปท.มีไม้เด็ดรับสถานการณ์ได้ ครม.เศรษฐกิจก้นร้อน "ปู" นัดถก คลัง-ธปท.จับตาสถานการณ์ใกล้ชิด
   
นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองผู้อํานวยการ สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เปิดเผยภายหลังการหารือร่วมกับนายสมชัย สัจจพงษ์ ผู้อำนวยการ สศค.ถึงกรณีเพดานหนี้สหรัฐว่า ขณะนี้ทั้งตลาดเงินและตลาดทุนต่างมองว่าสหรัฐจะสามารถตกลงเรื่องขยายเพดานหนี้ได้ในวันที่ 17 ต.ค.นี้ เพราะหากตกลงไม่ได้จะมีผลกระทบอย่างมาก ทั้งต่อสหรัฐเองและตลาดเงิน ตลาดทุนทั่วโลกค่อนข้างมาก
   
ทั้งนี้ สิ่งที่ต้องจับตาต่อไปคือ ในเรื่องของการพิจารณาลดและยกเลิกมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (คิวอี) ที่จะมีการพิจารณาช่วงปลายเดือน ต.ค.นี้ ซึ่งหลายๆ ฝ่ายประเมินว่าสหรัฐจะยังขยายการใช้มาตรการดังกล่าวต่อไป เห็นได้จากยังมีเงินทุนมาลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงมากขึ้น
   
สำหรับประเทศไทยคงต้องจับตาผลกระทบที่จะเกิดขึ้นในตลาดเงินและตลาดทุนให้ดี แม้ว่าสุดท้ายเพดานหนี้ของสหรัฐจะขยายออกไป และแม้ว่าตลาดระยะสั้นมองว่าการยกเลิกคิวอีทำได้ไม่เร็วอย่างที่สหรัฐกำหนดไว้ ซึ่งอาจทำให้สภาพคล่องยังมีอยู่และไหลเข้ามาในไทยมากขึ้น ส่งผลกระทบต่อค่าเงินบาทไทย
   
นายเอกนิติกล่าวว่า ไทยคงต้องเฝ้าระมัดระวังและติดตามข่าวสารต่างๆ อย่างใกล้ชิด เพราะตลาดเงิน ตลาดทุนยังมีความผันผวนมาก ซึ่ง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ได้กำชับให้ สศค. และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ช่วยติดตามสถานการณ์ของสหรัฐที่จะกระทบไทยอย่างใกล้ชิด
   
อย่างไรก็ตาม สศค.มั่นใจว่ากลไกและเครื่องมือที่ ธปท.มีอยู่ขณะนี้ ยังสามารถรับมือกับความผันผวนของตลาดเงินที่เกิดขึ้นได้เป็นอย่างดี ซึ่งนายสมชัยสั่งให้ทำแบบจำลองกรณีเลวร้ายสุด หากสหรัฐไม่สามารถตกลงกันได้ เพื่อเป็นแนวทางในการรับมือกับความผันผวนที่อาจจะเกิดขึ้น
   
นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.พาณิชย์ กล่าวว่า ในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจ (ครม.เศรษฐกิจ) ได้ประเมินถึงผลกระทบจากปัญหาการขยายเพดานหนี้ของสหรัฐต่อเศรษฐกิจไทย ซึ่งที่ประชุมได้สั่งการให้กระทรวงการคลัง และ ธปท. ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เพื่อหามาตรการในการรองรับผลกระทบที่จะขึ้นอีกครั้งในเดือน พ.ย. ที่สหรัฐต้องชำระหนี้รอบใหม่สูงถึง 30,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ทั้งนี้ ในที่ประชุม กระทรวงการคลังและ ธปท.ยืนยันมีมาตรการในการรับมือเรื่องนี้อย่างเต็มที่
   
นายธีรัตน์ รัตนเสวี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ระบุว่า ที่ประชุม ครม.เศรษฐกิจกำชับให้  ธปท.ดูแลค่าเงินบาท หลังจากช่วงนี้มีเงินทุนไหลเข้ากว่า 2,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จึงคาดว่าค่าเงินบาทอาจจะเคลื่อนไหวประมาณ 31 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐได้
   
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้มอบหมายให้จัดตั้งคณะทำงานย่อย ประกอบไปด้วย กระทรวงการคลัง สศช. และ ธปท. โดยจะมีการประชุมร่วมกันในวันที่ 17 ต.ค. เพื่อติดตามสถานการณ์ของสหรัฐอย่างใกล้ชิด.

ที่มา.ไทยโพสต์
-------------------------------

แนวคิดทฤษฎีด้านประชาคมความมั่นคง AEC

แนวคิดและทฤษฎีด้านประชาคมความมั่นคงเสียที เกรงว่าจะเป็นข้อเขียนเชิงวิชาการมากไป คุยไปคุยมาจะน่าเบื่อแต่ที่นำเสนอแนวคิดต่างๆ มานี้ ก็เพื่อให้เข้าใจเป็นพื้นฐานกันว่า การรวมตัวเป็นอาเซียนและที่จะเป็นประชาคมอาเซียน โดยเฉพาะเสาหลักที่ว่าด้วยการเมืองและความมั่นคงของอาเซียนนั้น มีฐานของความคิดของบรรดานักทฤษฎีรัฐศาสตร์เหล่านี้มาอย่างไร

ประมวลแนวคิดเหล่านี้แล้ว บางทีเราจะเห็นว่าลักษณะ ของอาเซียนนั้นเป็น "กลุ่มอำนาจด้านความมั่นคง" (Security regime) เป็นการอธิบาย การจัดตั้งทั้งอย่างเป็นทางการและไม่เป็นทางการในระหว่างรัฐด้วยกัน ในอันที่จะ "ธำรงไว้ซึ่งอธิปไตยในสภาพการดำรงสันติภาพในกลุ่มเดียวกันกับรัฐอื่นๆ ของกลุ่ม"

งานด้านความร่วมมือทางเศรษฐกิจของอาเซียนบางเรื่องนั้น มีรูปแบบตามแนวคิดนี้ งานเหล่านี้จึงถูกมองว่า บทบาท ของอาเซียน คือการเป็นหน่วยงานในการประสานนโยบาย เป็น องค์ประชุมปรึกษาหารือในการเปิดเสรีทางการค้า เป็นหน่วยงานที่ใช้ข้อมูลข่าวสารร่วมกัน และเป็นเวทีของการรวบรวมพลังแห่งการต่อรองในเรื่องความร่วมมือพัฒนา และการเข้าถึงตลาดในต่างประเทศ หรือสร้างความมั่นคงผลิตสินค้าให้ดียิ่งขึ้น เพื่อให้สมาชิกสามารถส่งสินค้าอุปโภคบริโภคพื้นฐานออกสู่ตลาดโลกได้มากขึ้น

จะเห็นว่า กฎระเบียบของภูมิภาคนั้นขยายตัวเติบโตขึ้นจาก การที่ต้องพึ่งพาต่อกันมากขึ้น โดยผ่านการบีบเค้นทางการค้า การ ลงทุน และโดยความเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจด้านต่างๆ แต่อาเซียน ก็ยังเป็นพาหะเริ่มแรกที่ทำให้สมาชิกของอาเซียนต่างพากันแสวงหาผลประโยชน์แห่งชาติกันเอง

ภูมิภาคนิยมจึงยังคงเป็นการแสวงหาผลประโยชน์กันเองให้มากที่สุด โดยที่ไม่มีเรื่องของอธิปไตยมากัดกร่อน หรือมีผลก่อรูปแก่อัตลักษณ์โดยตรงของอาเซียน

กล่าวโดยสรุปแล้วก็คือว่า เหตุผลสำคัญสำหรับความสำเร็จ หรือล้มเหลว น่าจะดูได้จากกระบวนการหล่อหลอมของสังคม (Socialization process) ที่มีคุณภาพและจากกฎจรรยาบรรณที่กำกับไว้ในอาเซียน

ว่าไปแล้ว แนวทรรศนะนี้เป็นแนวคิดของพวก Construc tionist ซึ่งอนุมานว่า ผลประโยชน์แห่งรัฐ และอัตลักษณ์นั้น มาจากการปฏิบัติของสังคม และไม่ใช่แต่เพียงภาพฉาบฉวยเท่านั้น ความเป็นสถาบันช่วยให้เกิดการจัดตั้งอย่างสำคัญจากภายใน ที่รัฐต่างๆ จะพัฒนาข้อปฏิบัติทางสังคม และทำให้เป็นที่เข้าใจ และ ยอมรับร่วมกัน และขยายให้เป็นที่ยอมรับกับที่แห่งอื่นๆ ต่อไป

อาเซียนไม่ใช่องค์กรที่หลอมออกมาในสภาพวัสดุ เช่น ดุลแห่งอำนาจหรือผลพลอยได้ทางวัตถุ เช่น การคาดหวังต่อผล อันเกิดจากการพึ่งพากันในทางเศรษฐกิจ กรอบงานในปฏิสัมพันธ์ และการหลอมรวมของสังคมในตัวเองนั้น กลายเป็นปัจจัยหลักสำคัญอันมีผลต่อผลประโยชน์ และอัตลักษณ์ของชาติสมาชิก

แนวคิดเรื่องประชาคมความมั่นคง ย่อมเป็นที่เข้าใจกันดีใน ทางสังคมวิทยา ซึ่งช่วยให้เราวิเคราะห์อาเซียนได้ในฐานะของความเป็นสถาบันในระดับภูมิภาค ซึ่งทั้งกำกับกฎเกณฑ์ต่างๆ และนำมาซึ่งผลประโยชน์ และนโยบายของรัฐสมาชิก ในเรื่องของสงครามสันติภาพ และความร่วมมือ

บทบาทของอาเซียนในเรื่องระเบียบของภูมิภาคสามารถศึกษา และประเมินผลได้โดยดูจาก

1.เรื่องอันเป็นกระบวนการของกฎจรรยาบรรณ และกระบวนการหล่อหลอมของสังคม และความริเริ่มในการสร้างอัตลักษณ์ขึ้นมา ว่าได้สร้างรูปแบบทัศนคติและพฤติกรรมของรัฐ สมาชิก เกี่ยวกับความขัดแย้ง และกฎระเบียบของภูมิภาค

2.ในเรื่องซึ่งนำไปสู่พัฒนาการความเข้าใจร่วมกัน ความคาดหวังและประพฤติปฏิบัติเกี่ยวกับจรรยาบรรณสันติภาพร่วมกัน

ทั้งหมดนี้คือประมวลแนวคิด ข้อถกเถียง โต้แย้ง และคำวิพากษ์วิจารณ์ต่ออาเซียน ทั้งที่เป็นสมาคมอาเซียน ในช่วงสี่ทศวรรษที่ผ่านมา และที่จะพัฒนาสู่การบูรณาการเข้าสู่การเป็นประชาคมอาเซียน โดยเฉพาะกรณีการเป็นประชาคมความมั่นคงของอาเซียนที่อยู่ในกระบวนการที่จะเกิดขึ้นต่อไป

ว่าโดยเฉพาะเสาหลักเรื่องประชาคมการเมืองและความมั่นคงของอาเซียนที่จัดตั้งขึ้นนี้ ก็ด้วยความมุ่งหวังว่า จะทำให้ความร่วมมือด้านการเมืองและความมั่นคงของอาเซียนมีพัฒนา การมากยิ่งขึ้น โดยเป็นหลักประกันต่อประชาชน และประเทศสมาชิกอาเซียนให้อยู่อย่างสันติระหว่างกันกับโลกภายนอกในบรรยากาศของความเป็นประชาธิปไตย ความยุติธรรม และการมีความปรองดองต่อกัน

หลักการสำคัญของเสาหลักประชาคมการเมืองและความมั่นคงนั้น ยึดหลักความเป็นประชาธิปไตย นิติธรรม ธรรมาภิบาล ความเคารพ การส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน และเสรีภาพขั้นพื้นฐานภายใต้กฎบัตรอาเซียน

ในแนวทางดังกล่าวนี้ จะทำให้อาเซียนเป็นตัวเชื่อมต่อให้ประเทศสมาชิกอาเซียนมีการติดต่อ และมีความร่วมมือระหว่างกัน เพื่อสร้างบรรทัดฐาน กฎเกณฑ์ และกลไกร่วมกันในการบรรลุเป้าหมายอาเซียนในด้านการเมืองและความมั่นคง

การแยกเสาหลักเฉพาะด้านการเมืองและความมั่นคงนี้ ก็เพื่อประโยชน์และส่งเสริมสันติภาพในภูมิภาค มีจุดประสงค์ส่งเสริมความร่วมมือที่แน่นแฟ้นและมีผลประโยชน์ร่วมกันระหว่างอาเซียนกับประเทศคู่เจรจาและมิตรประเทศ

กล่าวโดยรวมแล้ว ในเสาหลักเรื่องการเมืองและความ มั่นคงของประชาคมอาเซียนนี้ เราต้องดูลักษณะมิติสามด้าน คือ มิติที่เกี่ยวกับความขัดแย้งกันเองของรัฐสมาชิกอาเซียน และความขัดแย้งกับรัฐนอกภูมิภาค มิติต่อมา คือ มิติที่เป็นเครื่องมือกลไกในการแก้ไขความขัดแย้งที่อาเซียนพัฒนาขึ้น รวมถึงกลไกแก้ไขข้อขัดแย้งจากนอกภูมิภาค เช่นอนุญาโต ตุลาการ ศาลโลก หรือกฎหมายทะเลของสหประชาชาติ เป็นต้น

มิติสุดท้ายคือแนวคิดยุติความขัดแย้ง ไม่ใช้กำลังต่อ กัน สร้างสันติภาพร่วมกัน จนถึงในที่สุดพัฒนาร่วมกัน เพื่อ เติบโตไปด้วยกันและเพื่อความมั่นคงตามเจตนารมณ์ของการเป็นประชาคมการเมืองและความมั่นคงร่วมกัน

ที่มา.สยามธุรกิจ
//////////////////////////////////////////

ลาว.เสือเศรษฐกิจตัวใหม่ใน AEC

ย้อนหลังไปไม่เกิน 20 ปี นักลงทุนไทยหลายคนไปพลาด ท่าเสียทีในลาว ทำให้ภาพพจน์การลงทุนลาวของคนไทยไม่ดีเท่าที่ควร

แต่มาถึงวันนี้สถานการณ์ เปลี่ยนไป ลาวกำลังก้าวเข้าสู่การลงทุนยุคใหม่ เป็นยุคที่มีสถาบันการเงินจำนวนมากรองรับและมีสิทธิพิเศษทางการ ค้ามากมายเป็นตัวกระตุ้น

ผมสรุปแบบนี้โดยยึดเอาข้อมูลที่ได้จากการบอกเล่าของ ดร.อ๊อด พงสะหวัน ประธานคณะกรรมการบริหารกลุ่ม บริษัท พงสะหวัน กรุ๊ป ซึ่งเป็นกลุ่มธุรกิจใหญ่ เป็นเจ้าของกิจการธนาคาร พาณิชย์เอกชนที่ใหญ่ที่สุดในสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว รวมทั้งสายการบินพงสะหวันที่ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็นลาวเซ็นทรัลแอร์ไลนส์สายการบินต้นทุนต่ำรายแรกของลาว นอกจากนี้ พงสะหวันกรุ๊ปยังมีธุรกิจค้าไม้และก่อสร้างในมือด้วย

ดร.อ๊อด บอกว่า ทุกวันนี้ลาวมีสถาบันการ เงินอยู่ 28 แห่งและจะเพิ่มเป็น 50 แห่งภายใน 2 ปีข้างหน้า ซึ่งสรุปได้ว่า ขณะนี้ลาวมีแหล่งเงินที่จะให้การสนับสนุนการลงทุนอย่างเหลือเฟือเมื่อประกอบเข้ากับศักยภาพพื้นฐานด้านทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่มากมายและสิทธิพิเศษทางการค้าในฐานะของประเทศกำลังพัฒนา ทำให้ลาวกลายเป็นแม่เหล็กก้อนใหญ่ที่จะดึง ดูดนักลงทุนมากขึ้น

ส่วนภาพฝังใจในอดีตของนักลงทุนไทยนั้น ดร.อ๊อดบอกว่า ที่ผ่านมาเป็นเรื่องของคนไทยที่ไม่เข้าใจคนลาว มองการลงทุนในลาวว่าจะต้องอิงกับกลุ่มผู้มีอิทธิพล หลายรายเข้าไปลงทุนในฐานะของคนร่ำรวย คิดว่าผู้มีอิทธิพลจะสามารถให้การสนับสนุนในเรื่องการทำธุรกิจได้ เมื่อทำไม่ได้เงินลงทุนก็สูญทวงคืนไม่ได้

สำหรับเคล็ดลับการลงทุนในลาวนั้น ดร. อ๊อดแนะนำว่า หากคิดจะลงทุนในประเทศไหน เราต้องทำความเข้าใจกับคนในประเทศนั้นก่อนแล้วก็อย่าไปเจรจาธุรกิจกับผู้มีอิทธิพลควรเจรจา กับนักธุรกิจโดยตรง ที่สำคัญต้องอย่าอวดร่ำอวดรวยจนถูกหลอก

ช่วงหนึ่งของการพูดคุย ดร.อ๊อด เล่าให้ฟังถึงการแข่งขันของสถาบันการเงินในลาวว่า ก่อนหน้านี้ใครๆ ก็มองว่าประเทศลาวจน คนลาวคงไม่มีเงิน แต่ท่านสามารถระดมเงินฝากเข้าแบงก์ตอนก่อตั้งได้ 1,000 ล้านดอลลาร์ ภายในเวลาไม่ถึง 1 เดือน ซึ่งเป็นการพิสูจน์ให้เห็นว่า คนลาวที่มีฐานะดีและมีเงินยัง มีอยู่มาก เพียงแต่เงินฝากของคนลาวจะอยู่กับแบงก์ไทยตามจังหวัดชายแดน

ท่านเล่าว่า ตอนที่ท่านระดมเงินฝากนั้น แบงก์พาณิชย์ ไทยระดับแนวหน้าแถวชายแดน ถึงกับกระเทือนเลยทีเดียว

เพราะฉะนั้น การแข่งขันของธนาคารพาณิชย์ในลาวจึงไม่ใช่เรื่องระดมเงินฝาก หากแต่อยู่ในฟากของการปล่อยสินเชื่อ

และนี่คือเคล็ดลับ ที่ดร.อ๊อดไม่ได้บอก แต่ผมจับประเด็นมาฝากเพื่อให้นักลงทุนไทยได้รู้ว่า สถานการณ์ทางด้านสินเชื่อในลาวขณะนี้ เอื้อ ต่อการที่จะไปลงทุนเพราะแต่ละแบงก์ในลาวต่าง ก็ต้องแบกรับภาระการหารายได้เพื่อมาจ่ายเป็นดอกเบี้ยให้กับผู้ฝากเงิน

ตอนหนึ่งของการพูดคุยผมได้เรียนถาม ดร.อ๊อดว่า การเป็นประเทศที่ไม่มีชายฝั่งทะเลจะเป็นอุปสรรคต่อการลงทุนหรือไม่ ดร.อ๊อดตอบ อย่างมั่นใจว่า เรื่องนี้ไม่ใช่ปัญหา เพราะลาวมีทาง ออกทะเลอยู่แล้ว 2 ด้านคือ ไทยและเวียดนาม อีกไม่นานเมื่อท่าเรือทวายในพม่าเสร็จ ลาวก็จะมีทางออกทะเลสู่มหาสมุทรอินเดีย

ที่สำคัญ เมื่อก้าวสู่การเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน โอกาสที่ลาวจะกลายเป็นศูนย์กลาง ทั้งธุรกิจการเงินและการลงทุนก็จะยิ่งสูงขึ้น

ยิ่งฟังท่านคาดคะเนผมยิ่งมองว่า ในอนาคต อันไม่ไกลนัก ลาวจะก้าวขึ้นทัดเทียมกับทุกชาติในอาเซียนได้ไม่ยาก

ผมมองอย่างนี้เพราะผมเห็นว่าลาวเหมือน กับผืนแผ่นดินใหม่ที่ยังไม่มีใครบุกเบิก เมื่อถึงครา ต้องบุกเบิกถากถางลงทุน ทุกอย่างจะก้าวล้ำนำสมัย แถมเป็นการลงทุนโดยเงินของคนอื่นด้วย

เมื่อถึงเวลานั้น พี่ใหญ่ทั้งหลายก็จะกลายเป็นคนอุ้ยอ้ายปล่อยให้น้องน้อยอย่างลาว แซงหน้า แซงเหมือนกับที่ทุกวันนี้การสื่อสาร ของลาวก้าวข้ามไปถึง 4จี ในขณะที่ไทยยังทน ใช้ 3จี บกพร่องนี่แหละ

ที่มา.สยามธุรกิจ
--------------------------------------

น.พ.สุรพงษ์ เช็กจุดอ่อน พท. วัดไข้ปฏิรูป ปชป. ถ้าอยากชนะต้องเปลี่ยน หน.พรรค

อีกไม่ถึง 40 วัน คนการเมือง จำนวน 109 คนกำลังจะได้รับอิสรภาพ-กลับคืนสู่อำนาจอีกครั้งสมาชิกบ้านเลขที่ 109 ผู้ถูกพันธการเว้นวรรคทางการเมืองเมื่อ 5 ปีก่อน หลายคนยังปูเส้นทางกลับคืนสู่แสงไฟ ขณะอีกหลายคนยังคงเลือกที่จะหลบฉาก-เลิกเล่นการเมืองตลอดชีวิต

"น.พ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี" อดีตเลขาธิการพรรคพลังประชาชน อาจเป็นหนึ่งในกลุ่มผู้เลือกอยู่เบื้องหลังมากกว่าเบื้องหน้า

กว่า 5 ปีที่ถูกเว้นวรรค "น.พ.สุรพงษ์" มิได้แสวงอำนาจเหมือนคนอื่น ๆ กลับปลีกวิเวกเข้าวัด ปฏิบัติธรรม พร้อมนำเสนอโครงการทำนุบำรุงพุทธศาสนามากมาย

"น.พ.สุรพงษ์" ตอบปัญหาการเมืองตามที่ "ประชาชาติธุรกิจ" ร้องขอ เขาตอบแบบทางสายกลางตามวิถีพุทธ ไม่เอนเอียงฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ทั้งแนะวิธีบริหารการเมือง-เศรษฐกิจให้พรรคเพื่อไทย และชี้ช่องปฏิรูปให้พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.)

เส้นทางสายกลางของทั้ง 2 พรรคใหญ่ควรเป็นอย่างไร โปรดติดตาม

- ทำไมถึงเลือกใช้ชีวิตแบบหันเข้าวัด

ทำบุญ เดินสายทำบุญ ชีวิตมันมีความสุขนะ ถ้าเทียบกับสมัยชีวิตปี 2544-2551 ชีวิตอย่างนั้นเป็นชีวิตที่...มันสูญเสียความเป็นส่วนตัว แล้วเรากำหนดตารางของชีวิตไม่ได้ แต่ละวันบอกไม่ได้เลยว่าวันหยุด

เราจะไปไหน และไปแบบไม่เป็นสุขหรอก มันเป็นชีวิตที่...อาจสนุกกับการทำงาน แต่ในเรื่องความเป็นส่วนตัวอะไรหลายอย่างรัดกุมมากจนเราไม่มีความสงบ

วันนี้ชีวิตสงบกว่าเยอะ เป็นส่วนตัว อยากไปทำบุญ อยากไปช่วยภรรยาทำงานก็ทำได้ อยากไปหาโอกาสเรียนรู้พัฒนาตัวเอง ดูนู่น ดูนี่ เราสามารถทำได้ตลอดเวลา ดังนั้น ใครถามผม ผมบอก...มีความสุขมาก Happy อาจเป็นเพราะเราผ่านมาหมดแล้ว ได้รู้แล้วว่าประสบการณ์ของการอยู่ในตำแหน่งเป็นอย่างไร สุดท้ายพวกนี้มันก็ไม่ได้ทำให้เรามีรู้สึกว่าเราสุขหรอก

- เรียกได้ว่าไม่กลับมาเล่นการเมืองแล้ว

ตอนปี 2544 ผมอายุ 44 ปี ตอนนี้อายุ 56 ปี ระยะเวลา 12 ปีมันทำให้เรื่องของสังขารไม่เหมือนเดิมหรอก ไม่ Fresh เท่าเดิม ร่างกายมันล้า ต้องใช้คนที่มีพลังในการผลักดันงาน ยกตัวอย่าง ท่านชัชชาติ (สิทธิพันธุ์ รมว.คมนาคม) อยู่ในวัยที่มีพลัง เราอาจแนะนำได้เป็นที่ปรึกษาได้

- 8 ปีบนชีวิตการเมืองถือว่าพอแล้ว

พูดไว้นานแล้วและยังคิดอย่างนั้น เพราะผมรู้สึกว่าถ้าทุกคนตั้งเป้าหมาย ตั้งเวลาของเราไว้ชัดเจน และใช้เวลาที่เราตั้งไว้นั้นให้เกิดประโยชน์สูงสุด ทุ่มสุดตัว 8 ปี ของผมทุ่มสุดตัว หลังจากนั้นก็เป็นเวลาที่เราทำอย่างอื่น ไปทำบุญไปเรียนรู้โลก

- ชัด ๆ เลยคือรีไทร์ทางการเมือง

ผมเคยบอกกับทุกคนอยู่แล้ว ถ้าเป็นการเมืองในรูปลักษณ์เดิม ผมว่าไม่สอดคล้องกับสภาพของตัวเราในปัจจุบัน แต่ถ้าเป็นการเมืองในสภาพที่ปรึกษา อย่างไรก็เกี่ยวข้องกับเราแน่ ผมก็อยากให้การเมืองเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาประเทศ ผมอยากเห็น ประเทศมีประชาธิปไตย มีความมั่นคงทางเศรษฐกิจ มีโอกาสที่ทำให้ทุก ๆ คนได้โอกาสนั้นอย่างเท่าเทียม ถ้าส่วนหนึ่งต้องใช้ประสบการณ์ผมก็โอเค...ยินดีทำ

- มองว่าพรรคเพื่อไทยจะเป็นอย่างไร เมื่อสมาชิกบ้านเลขที่ 109 กำลังจะกลับมา

ก็คงเหมือนบ้านเลขที่ 111 คือ มีส่วนหนึ่งที่มาช่วยทำงาน ส่วนหนึ่งก็เป็นที่ปรึกษา ไม่จำเป็น 111 หรือ 109 พ้นจากการถูกตัดสิทธิจะต้องกลับมาทำงาน แล้วท่านที่ทำงานอยู่ในปัจจุบันต้องออกไปเลยคงไม่ใช่ บางคนที่เขาทำงานได้ดีก็ควรส่งเสริมให้เขาทำงานต่อไป พวก 111 และ 109 สามารถอยู่ในบทบาทให้คำปรึกษา สนับสนุน อยู่เบื้องหลังก็ได้

- พรรคเพื่อไทยอาจพบศึกชิงเก้าอี้รัฐมนตรีจนฝุ่นตลบอีกครั้ง

ไม่มากมั้ง เพราะหลายท่านมาถึงจุดที่ตำแหน่งไม่ใช่เรื่องสำคัญอย่างท่านสมชาย (วงศ์สวัสดิ์) ที่ให้สัมภาษณ์ก็บอกว่าตำแหน่งไม่ใช่เรื่องสำคัญเลย ถามว่าจำเป็นไหมจะต้องไขว่คว้าทำอะไรก็ได้เพื่อให้ได้ไปอยู่ตรงนั้นอีกหรือเปล่า ผมว่าอาจจะไม่จำเป็น

ก็อย่างที่เรียนว่าไม่ทุกคนหรอกที่ดิ้นรนต้องหาตำแหน่ง คือ...ยิ่งพอมาเห็นยุคนี้ เห็นการเมืองแบบนี้ เราก็ยิ่งเข้าใจว่าเรื่องตำแหน่งมันเป็นเรื่องเล็กมาก ถ้าเปรียบเทียบกับปัญหาของบ้านเมือง

- มองสถานการณ์การเมืองช่วงนี้อย่างไร

เป็นการเมืองหลัง 19 กันยา ที่ปัญหายังคงยืดเยื้อมาถึงปัจจุบัน เหมือนกับยังไม่เห็นแสงสว่างชัดเจน ความพยายามปฏิรูปการเมืองของท่านนายกฯยิ่งลักษณ์ ชินวัตร พยายามทำอยู่ ก็เป็นความตั้งใจดีที่อยากเห็นการปฏิรูปที่นำไปสู่การนำประเทศกลับมาสู่หนทางที่ควรจะเป็นอีกครั้ง แต่ต้องยอมรับว่ามันไม่ง่ายหรอก

ความรู้สึกของคนส่วนใหญ่ ณ วันนี้ เชื่อว่าทุกคนเบื่อความขัดแย้ง ทุกคนอยากให้ถึงบทสรุปที่เรากลับไปสู่ทิศทางการเมืองที่ถูกต้อง ดังนั้น เราจะเห็นพวกม็อบอาจไม่ได้รับความสนใจจากสาธารณชน เพราะคนรู้สึกว่าเบื่อหน่ายแล้ว

ส่วนพรรคการเมืองใหญ่ 2 พรรคคือ พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) กับพรรคเพื่อไทย ต้องยอมรับว่าลักษณะความนิยมของ ปชป.ลดน้อยถอยลงไปเรื่อย ๆ วิเคราะห์กันได้ว่า เพราะ ปชป.ไม่สามารถเปลี่ยนแปลง หรือปฏิรูปตัวเองเพื่อแข่งขันในยุคของการแข่งขันในการเมืองแบบใหม่ได้

ถ้าเราดูประสบการณ์ในประเทศอื่น ๆ เช่น อังกฤษคิดว่าเป็นบทเรียนที่สอนว่าเราอยากเห็นการเมืองที่มีการแข่งขันกันในการนำเสนอนโยบาย เพื่อให้ประชาชนมีทางเลือก

สมัยมาร์กาเรต แทตเชอร์ ครองอำนาจเป็นทศวรรษ คนคงนึกไม่ออกว่าพรรคเลเบอร์จะสู้อะไรได้ แต่ที่พรรคเลเบอร์สามารถชนะในยุคของโทนี่ แบลร์ เพราะมีการปฏิรูปพรรคอย่างจริงจัง เปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่เริ่มเข้ามานำพรรค และนำเสนอประเด็นที่โดนใจประชาชนอังกฤษคือเรื่องการศึกษา สุดท้ายเขาอยู่ในตำแหน่ง 2 สมัย

ถ้าวันนี้ ปชป.จะแข่งกับพรรคเพื่อไทย ก็ต้องเริ่มปฏิรูปจริง ๆ ที่สำคัญประการแรกคือ ต้องมีผู้นำคนใหม่ ต้องยอมรับว่าท่านอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ มีปัญหาหลายอย่าง และสำคัญที่ทำให้คนจำนวนไม่น้อยไม่ยอมรับท่าน ก็คือปัญหาพฤษภาคม 2553 ที่ทำให้คนรู้สึกว่ารับไม่ได้

ดังนั้น ปชป.จะปฏิรูปก็ต้องทำอย่างจริงจังในเรื่องนโยบาย วันนี้หลายคนเห็นความสำคัญมากขึ้นเรื่อย ๆ และคาดหวังจากพรรคการเมืองที่มาแก้ไขปัญหาประเทศมี 3 เรื่อง 1.เศรษฐกิจมีปัญหาพอสมควรจากผลกระทบหลายอย่าง 2.การศึกษาทุกคนรู้สึกว่ามันถึงจุดที่ไม่มีการปฏิรูปการศึกษาอย่างจริงจัง และ 3.คอร์รัปชั่น วันนี้ทุกคนพูดกันอย่างจริงจังมาก แต่ Solution (ทางแก้) คืออะไร ทุกคนอยากเห็น Solution ที่ชัดเจน ทุกวันนี้ที่ทำให้ผมคิดว่ามันไม่จริง มันยังมีสองมาตรฐานอยู่

เช่นเดียวกับพรรคเพื่อไทยได้รับอานิสงส์จากฝ่ายค้านไม่เข้มแข็ง พรรคเพื่อไทยอาจจะไม่มีการสปีดตัวเองในการพัฒนา คนอยากเห็นพรรคสปีดตัวเองให้เร็วกว่านี้ สมมติถ้าเกิด 2 พรรคไม่ปฏิรูปเลย อาจมีคนพูดถึงทางเลือกที่ 3 ซึ่งมีคนพูดมากขึ้นเรื่อย ๆ

- พรรคเพื่อไทยควรปฏิรูปอะไร

ถ้าพูดในสิ่งที่เราอยากเห็น จริง ๆ ในพรรคไทยรักไทยตอนปี 2548-2549 อยากจะสร้างพรรคการเมืองที่เป็นพรรคการเมืองแท้จริง มีระบบโครงสร้างชัดเจน มีการกำหนดทิศทาง ยุทธศาสตร์ นโยบาย ในลักษณะองค์กร ตอนนั้นมีการพูดถึง Primary Vote จะทำอย่างไรให้มีสมาชิกแต่ละที่มีส่วนร่วม วันนี้ต้องยอมรับว่าตรงนั้นยังไม่เกิดก็ควรต้องทำ หรือการเลือกคนดี ๆ เข้ามาช่วยทำงานกรองที่เห็นการเปิดโอกาสให้มากขึ้นกว่านี้

- ปฏิรูปการเมืองด้วยการแก้ไขรัฐธรรมนูญถือเป็นทางออกความขัดแย้ง

ถามว่ามันเป็นทางออกของความขัดแย้งหรือเปล่า...ไม่ เพราะความขัดแย้งในวันนี้มันเกินเลยจาก 3 มาตรานี้ไปแล้ว ต้องยอมรับว่ารัฐธรรมนูญ 2550 มีหลายอย่างต้องแก้ไข ที่ถูกคือควรร่างรัฐธรรมนูญใหม่ขึ้นมาด้วยซ้ำไป จนวันนี้ใช้มา 6 ปีแล้ว เราได้เห็นจุดอ่อนจุดแข็งของรัฐธรรมนูญฉบับนี้แล้ว

ถ้าเราจะทำรัฐธรรมนูญที่ดีที่สุดสำหรับปัจจุบันและเป็นที่ยอมรับ การร่างขึ้นมาใหม่น่าจะเป็นทางที่ดีที่สุด แต่ตรงนั้นยังคาอยู่ในวาระ 3 ยังไปต่อไม่ได้ มันก็เหมือนกับระหว่างนี้ถ้ายังให้ยารักษาตามอาการไม่ได้ ก็ให้ยาบรรเทาไปก่อนแล้วกัน

- มอง 2 ปีของรัฐบาลยิ่งลักษณ์อย่างไร

หลายอย่างก็สอดคล้องกับสภาพปัญหา ณ เวลานั้น แต่นายกฯยิ่งลักษณ์เข้ามาในช่วงที่ความขัดแย้งขึ้นสู่กระแสสูง เพราะฉะนั้น บุคลิกของนายกฯยิ่งลักษณ์ ที่เป็นผู้ที่อดทนรับฟังความคิดเห็น อดทน และไม่โต้ตอบ ก็เป็นบุคลิกที่สอดคล้องกับสถานการณ์

แต่ 2 ปีหลังจากนี้ ถ้าไม่มีอุบัติเหตุทางการเมืองเสียก่อน คนคาดหวังว่ารัฐบาลจะต้องทำอะไร ไม่เพียงแต่ช่วยทำให้สถานการณ์แต่จะต้องวางรากฐานการพัฒนาทั้งการเมือง เศรษฐกิจ สังคมด้วย

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเศรษฐกิจกับการศึกษา จะต้องเห็นอะไรที่เป็นรูปธรรมชัดเจนมากขึ้น เรื่องเศรษฐกิจระยะสั้นที่มันชะลอตัว ซึ่งวันนี้ต้องยอมรับ ถ้าเรายังไม่ยอมรับว่าเศรษฐกิจยังไม่ชะลอตัว...มันไม่ได้ เริ่มต้นต่อได้แล้วว่าเศรษฐกิจเรามีปัญหา เพราะฉะนั้น ระยะสั้นต้องทำอะไร มันต้องทำ ต้องมีอะไรบางอย่างที่ทำออกมาเพื่อให้มันไม่เกิดความรู้สึกว่าสูญเสียความเชื่อมั่นของผู้บริโภค สูญเสียความเชื่อมั่นของนักลงทุน จึงต้องมีบางอย่างที่ทำ ผมเชื่อว่ามันทำได้ แล้วแง่ระยะยาวมันอาจเห็นผลในอีก 2-3 ปีข้างหน้า เพราะต้องหวังผลตั้งแต่วันนี้ แต่ระยะสั้นไม่ทำไม่ได้ ต้องทำ

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
----------------------------------------------

วันพุธที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2556

เงียบ !! MOU ค้าข้าวไทย-จีน

ไม่มีใครกล้าถามปมจีนเซ็นเอ็มโอยูซื้อข้าวไทยปีละ 1 ล้านตัน รมว.พาณิชย์ก็ไม่ชี้แจง

ที่ประชุมครม.เปิดเผยว่า  มีวาระที่นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เสนอขอเพิ่มวงเงินในการดำเนินการโครงการรับจำนำข้าวเปลือกปีการผลิต 2555/2556 จำนวน 6,660 ล้านบาท ซึ่งครม.ก็ให้ความเห็นชอบ แต่ทั้งนี้ในวาระดังกล่าวนายนิวัฒน์ธำรงซึ่งเป็นเสนอเข้ามาเองกลับไม่ได้เอ่ยปากพูดแม้แต่ประโยคเดียว เพราะผู้ที่อ่านวาระนี้ก็คือหน้าที่ของนายอำพน กิตติอำพน เลขาธิการคณะรัฐมนตรีอยู่แล้วตามปกติ แต่ทว่ารมว.เจ้าของเรื่องกลับไม่เป็นผู้เสนอหรือแสดงความเห็นอะไรเลย แต่ก็ทำให้วาระผ่านไปได้โดยง่าย

นอกจากนี้ในที่ประชุมครม. ไม่ได้มีการพูดถึงกรณีที่จีนทำบันทึกความตกลงกับขอซื้อข้าวจากไทยแบบจีทูจีจำนวน 1 ล้านตันต่อปี โดยไม่มีใครสอบถาม รวมทั้งนายนิวัฒน์ธำรงเองก็ไม่ได้อธิบายเรื่องดังกล่าวให้ ครม.ฟังด้วย อย่างไรก็ตามในการประชุมครม.เมื่อวันที่ 8 ตุลาคมที่ผ่านมาที่มีพล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานในการประชุมครม.แทนนายกรัฐมนตรีที่ติดภารกิจในการไปประชุมเอเปคและอาเซียนซัมมิทนั้น ครม.ได้เห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างราชอาณาจักรไทยและสาธารณรัฐประชาชนจีนจำนวน 6 ฉบับด้วยกัน ซึ่งทั้งหมดมีการเสนอเข้ามาเป็นวาระจร คือเพิ่งเสนอเข้ามาก่อนการประชุมในเช้าวันนั้น ซึ่งทำให้เจ้าหน้าที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีไม่ได้ตรวจสอบรายละเอียด จนในที่สุดครม.ก็ให้ความเห็นชอบร่างฯทั้ง6ฉบับ แต่ทั้งนี้นายอำพน กิตติอำพน ได้กล่าวในที่ประชุมครม.ฝากรัฐมนตรีทุกคนว่า ถ้าเป็นวาระที่เป็นหนังสือสัญญากับต่างประเทศไม่อยากจะให้เสนอมาเป็นวาระจร เพราะสำนักเลขาครม.ไม่ได้อ่านล่วงหน้าและไม่ได้กระจายให้ครม.ช่วยกันดูรายละเอียดล่วงหน้าด้วย จึงอยากจะให้เสนอเข้ามาเป็นวาระปกติเพื่อจะได้มีเวลาตรวจสอบ

อย่างไรก็ตามหนึ่งวาระที่มีการลงนามร่วมกับจีนที่ครม.ให้ความเห็นชอบและมีการลงนามกันไปแล้วคือ วาระที่ "ขออนุมัติการจัดทำเอกสารบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักไทยและรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนว่าด้วยโครงการความร่วมมือของรัฐบาลในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในประเทศไทยที่เชื่อมโยงกับการชำระค่าใช้จ่ายด้วยสินค้าเกษตร

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
-----------------------------

วันอังคารที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2556

หม่อมอุ๋ย. ร่อน จม.เปิดผนึกจี้นายกฯเลิกจำนำข้าว !!

ปรีดิยาธร.สุดทนรัฐเจ๊งจำนำข้าว-คอร์รัปชัน ร่อนจดหมายเปิดผนึกถึงนายกฯยิ่งลักษณ์ จี้ยกเลิกโครงการรับจำนำ 2 ปี เสียหายไม่น้อยกว่า 4.25 แสนล้า

ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล อดีตรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้เขียนจดหมายเปิดผนึกถึงนายกรัฐมนตรี เสนอให้ยกเลิกโครงการจำนำข้าว โดยระบุว่า ในฐานะคนไทยคนหนึ่งได้ติดตามความคืบหน้าของโครงการรับจำนำข้าวราคาสูงด้วยความวิตกกังวลว่าจะเกิดผลสูญเสียต่องบประมาณของประเทศชาติเป็นจำนวนมากและมีการคอร์รัปชันกันมากมาย จากการวบรวมข้อมูลที่หน่วยราชการประกาศออกมาขากข้อมูลใฝนวงการค้าค้าของเอกชนและจากการสำรวจข้อมูลชาวนาเพิ่มเติม สามารถสรปุผลของการจำนำใน 2 ปีที่ผ่านมา โดยมีปริมาณรับจำนำปี 2554/2555 ปริมาณ 21,640,000 ตัน ปี 2555/2556 ปริมาณ 22,230,000 ตัน รวม 48,870,000 ตัน

ปริมาณที่ช่วยเหลือเพื่อประโยชน์ส่วนเพิ่มจริงปี 2555/2556 ปริมาณ 890,000 ตัน เกิดผลสูญเสียจนถึงวันที่ขายข้าวหมด ปี 2554/2555 มูลค่าอย่างน้อย 205,000 ล้านบาท ปี 2555/2556 มูลค่าอย่างน้อย 220,000 ล้านบาท รวมผลสูญเสีย 425,000 ล้านบาท โดยเกิดประโยชน์กับชาวนา ปี 2554/2555 วงเงิน 103,277 ล้านลบาท ปี 2556/2556 วงเงิน106,849 ล้านบาท รวมประโยชน์ชาวนาได้รับ 210,126 ล้านบาท

โดยมีประโยชน์ส่วนอื่นที่ไม่ตกถึงมือชาวนา ปี 2554/2555 วงเงิน 56,967 ล้านบาท ปี 2555/2556 วงเงิน 58,864 ล้านบาท รวมเป็นวงเงิน 115,831 ล้านบาท มีครัวเรือนที่เข้าโครงการปี 2554/2555จำนวน 2163,000ครัวเรือน ปี 2555/2556 จำนวน 2,108,000ครัวเรือน มีจำนวนครัวเรือนที่ไม่ได้รับเงินโครงการปี 2554/2555 จำนวน 1,839,000 ครัวเรือน ปี 2555/2556 จำนวน 1,894,000 ครัวเรือน

ข้อมูลที่เสนอคิดจากพื้นฐานของข้อเท็จจริงที่สามารถยืนยันได้จากข้อมูลหน่วยงานรัฐมีอยู่ แม่แต่ผลของอนุนกรรมการปิดบัญชีของรัฐก็สอดคล้องรองรับผลสูญเสียที่เกิดขึ้น

เมื่อเริ่มโครงการเดือนต.ค. 2554 ท่านนายกฯ คงมองไม่เห็นผลสูญเสียต่องบประมาณมากมายขนาดนี้ เพียง 2 ปีสูญเสียไปแล้วไม่น้อยกว่า 425,000 ล้านบาท ขณะที่ชาวนาได้รับผลประโยชน์ไม่ถึงครึ่ง แต่กลับมีผู้อื่นที่มิใช่ชาวนาใช้ช่องโหว่ทำการคอร์รัปชัน หาประโยชน์เข้าตนเองไปมากกว่า 110,000 ล้านบาทในเวลา 2 ปี กาลเวลาได้พิสูจนืแล้วว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐไม่สามรารถสกัดกั้นการหาประโยชน์ หรือคอร์รัปชันในโครงการนี้ได้เลย

เมื่อได้ทราบข้อเท็จจริงเช่นนี้แล้ว ถ่้าท่านนายกฯยังเชื่อบุคคลที่อยู่รอบข้าง ยินยอมให้โครงการนี้ดำเนินต่อไปเป็นปีที่ 3 (2556/2557)ก็เท่ากับว่าท่านกำลังปล่อยให้มีการบริหารงานแผ่นดิน ในลักษณะที่เกิดความเสียหายต่องบประมาณของชาติจำนวนสูงๆ ทั้งๆที่รู้แล้วว่าจะเสียหายเช่นนั้น

ผมเข้าใจดีว่าท่านต้องการช่วยให้ชาวนามีรายได้สูงขึ้น ท่านก็น่าจะหาวิธีช่วยเหลือในลักษณะที่เกิดผลสูญเสียเงินของแผ่นดินไม่มากไปกว่าผลประโยชน์ส่วนที่ชาวนาจะได้รับเพิ่ม โดยไม่เปิดโอกาสให้ผู้อื่นเกาะหลังชาวนาหาประโยชน์ได้เลยและควรจะเป็นวิธีการกระจายประโยชน์ไปถึงชาวนาที่มีฐานะยากจนให้มากขึ้นอีกด้วย นอกจากนี้เพื่อป้องกันไม่มิให้เกิดความเสียหายจากการเน่าเสียของข้าวก็ควรใช้วิธีช่วยเหลือชาวนาในลักษณะที่มิได้ไปดึงดูดให้ข้าวมารวมกันอยู่ในมือรัฐบาล แต่ควรให้มีการค้าขายข้าวผ่านระบบการค้าของเอกชนที่ทำได้ดีอยู่แล้ว โดยไม่เกิดความเสียหายแก่รัฐแต่อย่างใดเลย

วิธีการช่วยเหลือที่จะให้เกิดผลดังกล่าวนั้น รัฐบาลของท่านได้เริ่มนำมาใช้แล้วในกรณีของยางพารา ที่จ่ายเฉพาะส่วนเพิ่มที่ต้องการให้ชาวสวนยางได้รับโดยตรง ไม่เปิดโอกาสให้ผู้อื่นหาผลประโยชน์ได้ และระบบการค้ายางก็ยังดำเนินไปปกติ ไม่ได้ดึงดูดยางเข้ามาอยู่ในมือรัฐ ซึ่งเสี่ยงต่อการขาดทุนหรือคอร์รัปชันในช่วงการขายออก นอกจากนี้กระทรวงพาณิชย์ก็เริ่มใช้วิธีเดียวกันนี้ในการให้ความช่วยเหลือแก่ชาวนาสำหรับข้าว 890,000 ตัน ซึ่งเป็นจำนวนสุดท้ายที่ให้ความช่วยเหลือในปีการผลิต 2555/2556 นี้เอง ดดยจ่ายเข้าบัญชีชาวนาโดยตรง เฉพาะผลประโยชน์ส่วนเพิ่ม จำนวน 2,500 บาทต่อเกวียนเท่านั้น ไม่ได้รับจำนำในราคา 15,000 บาทต่อเกวียนแต่อย่างใด

ผมจึงใคร่ขอร้องให้ท่านนายกรัฐมนตรี ได้โปรดทบทวนเรื่องนี้อย่างจริงจัง ยังไม่สายเกินไปที่จะยกเลิกวิธีการรับจำนำแล้วกันมาใช้วิธีจ่ายผลประโยชน์ส่วนเพิ่มให้ชาวนาโดยตรงแทน โดยกำหนดยอดสูงสุดต่อครัวเรือนและตั้งกฎเกณฑ์ให้กระจายไปถึงครัวเรือนที่มีฐานะยากจนเพิ่มขึ้นด้วย ถ้าท่านทำได้เช่นนี้ ท่านก็จะได้ชื่อว่าได้ทำงานสมกับตำแหน่งนากยรัฐมนตรี ที่ดูแลป้องกันมิให้เงินของแผ่นดินต้องสูญเสียมากเกินความจำเป็นและยังสามารถช่วยชาวนาได้ทั่วถึงมากขึ้นอีกด้วย

ขอแสดงความนับถือ
ม.ร.ว. ปรีดิยาธร เทวกุล

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
--------------------------------------

แอปเปิล.. ขึ้นแท่น แพงที่สุดในโลก !!

ค่ายแอปเปิลสร้างปรากฏการณ์สะท้านโลกอีกครั้ง ด้วยการล้มแชมป์ ยี่ห้อ "โคคา-โคล่า" ที่ครองตำแหน่งตราผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าแพงที่สุดในโลกต่อเนื่อง มายาวนานถึง 13 ปีลงได้อย่างราบคาบ

รายงานฉบับล่าสุดว่าด้วยการจัดอันดับตราผลิตภัณฑ์ที่ดีที่สุดในโลก (Best Global Brands)100 อันดับ ซึ่งจัดทำโดย "อินเตอร์แบรนด์คอร์ป" ภายใต้หลักเกณฑ์การศึกษาวิเคราะห์ข้อมูล 3 ส่วนคือขีดความสามารถในการสร้างหลักประกันที่ดีทางด้านรายได้ ฐานะการเงินที่มั่งคั่งมั่นคง และความมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของกลุ่มเป้าหมาย มีบทสรุปสุดท้ายระบุว่า "แอปเปิล" คือตราผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าสูงสุดเป็นอันดับ 1 ของโลกประจำปีนี้ โดยมีมูลค่าสูงถึง 98,300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นจากมูลค่าเมื่อปีที่แล้วถึงร้อยละ 28

ตราผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าสูงสุดเป็นอันดับ 2 ได้แก่ "กูเกิลอิงค์" ซึ่งมีมูลค่าตราผลิตภัณฑ์ขยับตัวสูงขึ้นจากปีที่แล้วถึงร้อยละ 34 เป็น 93,300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

"โคคา-โคล่า" ซึ่งเคยครองตำแหน่งตราผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลกติดต่อกันมาถึง 13 ปี 13 สมัย ถูก "แอปเปิล" เบียดหล่นตุ๊บจากที่ 1 มาอยู่ที่ 3 ด้วยมูลค่า 79,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นจากมูลค่าเมื่อปีที่แล้วเพียงแค่ร้อยละ 2

สำหรับตราผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าสูงสุดเป็นอันดับที่ 4 ใน 10 อันดับสูงสุดของทำเนียบตราผลิตภัณฑ์ที่ดีที่สุดในโลกได้แก่ "ไอบีเอ็ม"

อันดับ 5 ได้แก่ "ไมโครซอฟท์"
อันดับ 6 ได้แก่ "ยีอี"
อันดับ 7 ได้แก่ "แมคโดนัลด์"
อันดับ 8 ได้แก่ "ซัมซุง"
อันดับ 9 ได้แก่ "อินเทล"
อันดับ 10 ได้แก่ "โตโยต้า"

ในจำนวน 10 อันดับแรกของทำเนียบ100 ตราผลิตภัณฑ์ที่ดีสุดในโลกประจำปีนี้ ชัดเจนว่ามีการกระจุกตัวอยู่ในตราผลิตภัณฑ์ ของกลุ่มสินค้าเทคโนโลยีสารสนเทศมากที่สุดถึง 5 อันดับ

ยิ่งไปกว่านั้น สาระสำคัญในรายงานฉบับเดียวกันของอินเตอร์แบรนด์คอร์ป ยังประมวลมูลค่ารวมของตราผลิตภัณฑ์ในกลุ่มสินค้าเทคโนโลยีสารสนเทศอีกด้วยว่ามีมูลค่ารวมกันถึง 448 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ จากมูลค่ารวมของ 100 ตราผลิตภัณฑ์ จำนวน 1.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ

ทั้งนี้ ตราผลิตภัณฑ์ในกลุ่มสินค้าเทคโนโลยี ที่มีอัตราการเพิ่มขึ้นของมูลค่าที่น่าตื่นเต้น แต่ยังไม่ติด 10 อันดับแรกของทำเนียบ ได้แก่ "เฟซบุ๊ก" ซึ่งถูกจัดอยู่ในอันดับที่ 52 มีมูลค่าตราผลิตภัณฑ์เพิ่มขึ้นร้อยละ 43 และ "อเมซอน" ซึ่งถูกจัดอยู่ในอันดับที่ 29 มีมูลค่าตราผลิตภัณฑ์เพิ่มขึ้นร้อยละ 27

ความเคลื่อนไหวของมูลค่าตราผลิตภัณฑ์ในกลุ่มสินค้าเทคโนโลยีสารสนเทศ มีทั้งสดใส สวยงาม และน่าสลดหดหู่

ตราผลิตภัณฑ์ในกลุ่มสินค้าเทคโนโลยีสารสนเทศ ที่มีความเคลื่อนไหวของมูลค่าย่ำแย่ลง แต่ยังสามารถรักษาอันดับในทำเนียบ 100 ตราผลิตภัณฑ์ที่ดีสุดในโลกเอาไว้ได้คือ "โนเกีย" "ยาฮู" และ "แบล็คเบอร์รี่"

เฉพาะ "โนเกีย" ที่ตอนนี้กำลังอยู่ระหว่างดำเนินกระบวนการถ่ายโอนสัญชาติจาก "ฟินแลนด์" ไปเป็น "อเมริกัน" หลังจากบรรลุข้อตกลงขายกิจการให้เป็นทรัพย์สินของ "ไมโครซอฟท์" สัญชาติอเมริกัน ดูจะมีมูลค่าตราผลิตภัณฑ์ตกต่ำรุนแรงที่สุด กระทั่งอันดับในปีนี้ดิ่งพสุธาจากอันดับที่ 19 เมื่อปีที่แล้ว ไหลไปหยุดอยู่ที่อันดับ 57 ในปีนี้

สำหรับตราผลิตภัณฑ์รายใหม่ที่เลื่อนขั้นขึ้นมาอยู่ในทำเนียบ 100 ตราผลิตภัณฑ์ที่ดีสุดในโลกในรอบปีนี้มีอยู่ 3 รายด้วยกันคือ "ดิสคัฟเวอรี่" "ดูราเซลล์" และ "เชฟโรเลต"

ที่มา.สยามธุรกิจ
--------------------------------------------

วันจันทร์ที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2556

สร้างวินัย ใช้กฎหมายเข้ม กู้วิกฤตจราจร !!?

แค่โยนก้อนหินถามทางเสนอแนวคิดห้ามรถยนต์อายุใช้งานเกิน 7-10 ปี เข้าพื้นที่กรุงเทพมหานคร (กทม.) ก็โดนรุมคัดค้านหนัก ทำให้ พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ต้องออกโรงชี้แจงว่าเป็นเพียงนำเสนอทางเลือกแก้ไขปัญหาการจราจรที่กำลังวิกฤต แต่ที่จะนำร่องปฏิบัติ คือ การจับ ปรับ ข้อหาจอดรถในพื้นที่ห้ามจอดบางจุดในถนนสายหลัก 10 สาย ประกอบด้วย ถนนลาดพร้าว พระราม 4 รัชดาภิเษก พหลโยธิน วิภาวดีรังสิต สาทรเหนือ เพชรบุรี และรามคำแหง เริ่มตั้งแต่ 21 ตุลาคมนี้ ซึ่งกระแสการตอบรับของสาธารณชนมีมากกว่า

ที่ผ่านมามีความพยายามหลายต่อหลายครั้ง จะแก้วิกฤตจราจรย่านใจกลางเมือง ด้วยการจำกัดปริมาณรถ แต่ไม่อาจต้านเสียงวิพากษ์วิจารณ์ที่มีตามมา เลยมักจบลงคล้าย ๆ กัน คือ เงียบหายไปกับสายลม เช่น จะให้รถทะเบียนเลขคู่กับเลขคี่สลับวิ่ง ซึ่งถูกจุดประกายนับครั้งไม่ถ้วน สุดท้ายก็ไม่สามารถผลักดันไปสู่การปฏิบัติได้ ไม่ต่างไปจากครั้งนี้ที่ไม่ทันนับหนึ่งก็ต้องถอยตั้งหลัก

แม้ทุกฝ่ายเห็นสอดคล้องตรงกันปัญหาการจราจรใน กทม.ขณะนี้หนักเลยจุดวิกฤตไปแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังปริมาณรถเพิ่มขึ้นก้าวกระโดดช่วงหลายปีที่ผ่านมา

ข้อมูลจากกรมการขนส่งทางบกระบุว่า สาเหตุที่การจราจรใน กทม.ติดขัดหนักขึ้นส่วนหนึ่งมาจากโครงการรถยนต์คันแรกที่ออกสู่ถนนมากขึ้น โดยสถิติจำนวนรถยนต์จดทะเบียนปี 2555 มีรถยนต์ภายใต้โครงการรถยนต์คันแรกใน กทม.มากถึง 244,172 คัน ขณะเดียวกันจำนวนรถยนต์ใน กทม.เพิ่มมากขึ้นทุกปี โดยสิ้นปี 2555 มีรถยนต์นั่งส่วนบุคคลรวม 2,975,548 คัน รถจักรยานยนต์ 2,845,973 คัน และรถอื่น ๆ รวม 7,381,714 คัน ส่งผลให้ถนน

ทั้งสายหลักสายรองซึ่งแม้จะมีความยาวรวม 5,400 กิโลเมตรไม่พอรองรับ ประกอบหลายสายถูกปิดกั้นช่องทางจราจรก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้า ทำให้ปัญหารถติดที่หนักหนาสาหัสอยู่แล้ววิกฤตหนักยิ่งขึ้น

ถือเป็นเรื่องดีที่ ผบ.ตร.ในฐานะผู้รักษากฎหมายพยายามหาทางแก้ โดยนำระเบียบข้อกฎหมายมาบังคับใช้อย่างเข้มงวด เพราะปฏิเสธไม่ได้ว่าสาเหตุส่วนหนึ่งที่ทำให้การจราจรใน กทม.ติดขัดหนักมาจากผู้ใช้รถใช้ถนนไม่เคารพกฎหมาย ขณะที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่ว่าจะเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจจราจร กทม. เจ้าหน้าที่กรมการขนส่งทางบก ฯลฯ ก็ปฏิบัติหน้าที่หย่อนยานไม่เข้มงวด กลายเป็นต้นเหตุทำให้เกิดอุบัติเหตุ และปัญหาการจราจร

ดังนั้น หากปรับรื้อใหญ่คุมเข้มการใช้รถใช้ถนน โดยบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจังกับผู้ที่ละเมิดฝ่าฝืน ควบคู่กับการรณรงค์ให้คนทุกเพศทุกวัยมีวินัยการจราจร น่าจะช่วยแก้การจราจรที่วิกฤตให้บรรเทาลงได้บ้าง

ขณะเดียวกัน อาจต้องยกเครื่องการบริหารจัดการโครงข่ายเส้นทางคมนาคมทั้งระบบ โดยนำสถิติข้อมูล ตลอดจนเทคนิคทางด้านวิศวกรรมการจราจรมาปรับใช้ พร้อมเร่งปรับปรุงพัฒนาระบบขนส่งมวลชนรองรับการเดินทางของประชาชน เพื่อลดปริมาณการใช้รถยนต์ส่วนบุคคล ซึ่งจะเกิดผลดีทั้งทางตรงและทางอ้อม ช่วยแก้รถติด ลดการเกิดอุบัติเหตุ ลดมลพิษ รวมทั้งประหยัดการนำเข้าพลังงาน ฯลฯ อย่างไรก็ตาม ทั้งหมดนี้ยากจะเกิดผลในทางปฏิบัติได้ ถ้าหากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่มีนโยบายที่ชัดเจน และลงมือปฏิบัติตั้งแต่วันนี้

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
-------------------------------------

พงษ์เทพ เทพกาญจนา ชี้ประชาธิปไตยไทยต้องใช้เวลา !!?

มูลนิธิ 14 ตุลา จัดงานรำลึก 40 ปี 14 ตุลา "พงศ์เทพ"เข้าร่วม ชี้มีประชาธิปไตยไทยต้องใช้เวลา มั่นใจได้มาเมื่อไหร่ประเทศแข็งแรง

มูลนิธิ 14 ตุลา จัดงานรำลึกครบรอบ 40 ปี 14 ตุลา 16 ที่อนุสรณ์สถาน(แยกคอกวัว) โดยบรรยากาศในช่วงเช้าได้มีพิธีตักบาตรพระสงฆ์ด้านหน้าอาคารอนุสรณ์สถาน 14 ตุลา 16 จำนวน 14 รูป ต่อมาได้มีพิธีกรรมทางศาสนาเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้ผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 และพิธีวางพวงมาลาและกล่าวสดุดีวีรชนเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 โดยได้มีนายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รองนายกรัฐมนตรี เป็นผู้แทนนายกรัฐมนตรีวางพวงมาลาและกล่าวสดุดี

โดยนายพงศ์เทพ กล่าวสดุดีว่า วันนี้ 14 ตุลา เป็นวันที่ครบรอบ 40 ปี ที่มีนิสิตนักศึกษาออกมาต่อสู่เพื่อประชาธิปไตย เป็นความเสียสละของคน 14 ตุลา ที่กล้าเผชิญหน้ากับอาวุธด้วยมือเปล่า ทำให้ประชาธิปไตยไทยไปสู่อีกยุคหนึ่ง ทั้งนี้ประชาธิปไตยต้องใช้เวลา ไม่สามารถสำเร็จได้ทันที อย่างไรก็ตามเมื่อมีประชาธิปไตยประเทศก็จะแข็งแรงขึ้น

นอกจากนี้ยังมีนายวัฒนา เซ่งไพเราะ โฆษกประธานรัฐสภา เป็นผู้แทนประธานรัฐสภา นายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย รองประธานวุฒิสภาคนที่หนึ่ง เป็นผู้แทนประธานวุฒิสภา นายชำนิ ศักดิเศรษฐ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ เป็นผู้แทนผู้นำฝ่ายค้าน นางผุสดี ตามไท รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เป็นผู้แทนผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร นายนิรันดร์ พิทักษ์วัชระ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ

นายธีรภัทร์ เสรีรังสรรค์ ประธานสภาพัฒนาการเมือง ผู้แทนญาติวีรชน 14 ตุลา ผู้แทนฝ่ายประชาธิปไตยและแรงงาน ผู้แทนชาวบ้านนักต่อสู้เพื่อสิทธิชุมชน ผู้แทนเยาวชน/นิสิต-นักศึกษา วางพวงมาลาและกล่าวสดุดีด้วย ทั้งนี้ยังได้มีญาติผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์และประชาชน ได้จุดประทัดเพื่อเป็นการสดุดีด้วย อย่างไรก็ตามได้มีประชาชนเข้าร่วมกิจกรรมจำนวนมาก

และในเวลาต่อมา 10.00 น. ได้มีการแถลงข่าวเปิดตัวแสตมป์ที่ระลึกชุด "ตราไปรษณียากร วัน 14 ตุลาประชาธิปไตย" และ "แสตมป์เพื่อการสะสม 20 ภาพเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516" โดยบริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
---------------------------------------------

วันเสาร์ที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2556

ปิดฉาก ส.ว.สรรหา สิ่งปฏิกูลการเมือง !!?

โดย.นพคุณ ศิลาเณร

ทุกความพยายามของกลุ่มสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) สรรหาเพื่อล้มการ แก้ไขรัฐธรรมนูญให้วุฒิสภามาจากการเลือกตั้งของประชาชนล้วนล้มเหลว ไม่เป็นท่า

ความหวังสูงสุดของ ส.ว.สรรหาหรือพวกลากตั้งฝากไว้กับศาลรัฐธรรมนูญ แต่การตัดสิน "ยกคำร้อง" ข้อหา "ขัดรัฐธรรมนูญตามมาตรา 154 (1)" และปราศจากคำสั่งให้ชะลอการทูลเกล้าฯ

ไม่เพียงเท่านั้น ความอยากเล่นงาน รัฐบาล ด้วยการยื้อกฎหมายงบประมาณปี 2557 ว่าขัดรัฐธรรมนูญ แต่ศาลรัฐธรรมนูญ ตัดสิน "ไม่ขัด" ย่อมทำให้ ส.ว.กลุ่มนี้หมด หนทางตีรวนการเมืองไปเรื่อยๆ

นั่นสะท้อนถึงเวลาจวนเจียน "ปิดฉาก" ส.ว.ลากตั้งใกล้เข้ามาทุกขณะ

สิ่งสุดท้ายที่เหลืออยู่ คงเป็นเพียงข้อกล่าวหา "ล้มการปกครอง" ตามมาตรา 68 ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้อง ไว้พิจารณา แต่ต้องคาบเกี่ยวกับเงื่อนเวลาการลงพระปรมาภิไธยด้วย

ระหว่างขั้นตอนลงพระปรมาภิไธย กับการตัดสินตามมาตรา 68 ของศาลรัฐธรรมนูญจึงเต็มไปด้วยอาการลุ้นทั้ง ส.ว.ลากตั้งและน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ผู้ยื่นทูลเกล้าฯ ตามขั้นตอน มาตรา 291 (7) ประกอบมาตรา 150 ที่กำหนดไว้ภายใน 20 วัน

ขั้นตอนนี้ ต้องรอด้วยความระทึก เพราะทุกความเป็นไป ย่อมเกิดเป็นจริงได้เสมอ

นับตั้งแต่ปี 2475 เรื่อยมาจนถึงปัจจุบันไทยมีรัฐธรรมนูญทั้งสิ้น 18 ฉบับ ในจำนวนนี้กำหนดให้มี ส.ว.เพียง 9 ฉบับ คือ รัฐธรรมนูญ 2489, 2490, 2492, 2511, 2517, 2521, 2534, 2540 และ รัฐธรรมนูญ 2550 ฉบับของกลุ่มยึดอำนาจ เมื่อกันยายน 2549 ผลักดันให้เกิดขึ้น

หากลงในรายละเอียดแล้ว ทั้ง 9 ฉบับเกี่ยวกับที่มาของ ส.ว.นั้น มาจากการ เลือกตั้งเพียง 3 ฉบับเท่านั้น คือ รัฐ-ธรรมนูญ 2489, 2540 และฉบับ 2550 (มีทั้งการเลือกตั้งและสรรหา) นอกนั้นล้วนมาจากการลากตั้งทั้งสิ้น

อย่างไรก็ตาม การเลือกตั้ง ส.ว.ที่โดดเด่นที่สุดคือ รัฐธรรมนูญ 2540 กำหนด ให้มี ส.ว.จำนวน 200 คน แต่ใช้ได้เพียง 9 ปี ก็ถูกคณะทหารยึดอำนาจฉีกทิ้งเมื่อปี 2549

แล้วคลอดรัฐธรรมนูญ 2550 ฉบับ ปัจจุบันขึ้น และกำหนดให้ ส.ว.มาจากการ เลือกตั้งอีกครั้งแต่ไม่ทั้งหมด โดยผสมส่วน ระหว่างการเลือกตั้งกับลากตั้งในสัดส่วน เลือกตั้งจังหวัดละ 1 คนจำนวน 76 คน และลากตั้งอีก 74 คน รวมเป็น 150 คน

ในปัจจุบัน ส.ว.ลากตั้งมาจากการสรรหาของคณะกรรมการสรรหา ประกอบ ด้วย ประธานศาลรัฐธรรมนูญ, ประธานกรรมการการเลือกตั้ง, ประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน, ประธานกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ประธาน กรรมการตรวจเงินแผ่นดิน ผู้พิพากษาศาลฎีกา และตัวแทนตุลาการศาลปกครอง สูงสุด

นั่นแปลความว่า รัฐธรรมนูญให้อำนาจคน 7 คน แต่งตั้ง ส.ว. 74 คน ดูเหมือนจงใจที่จะเป็นปรปักษ์กับอำนาจอธิปไตยของปวงชนชาวไทยทั้งประเทศที่เลือกตั้ง ส.ว. 76 คน

ความน่าสนใจของ ส.ว.ลากตั้งปัจจุบันคือ มีที่มาจากอดีตตำรวจ 6 คน อดีตทหาร 11 คน อดีตข้าราชการพลเรือน 18 คน รวมจำนวนอดีตข้าราชการทั้งหมด ถึง 35 คน นอกจากนี้ มีนักกฎหมายถึง 11 คน

แสดงว่ามีการลากตั้งแบบ "กระจุก" ซึ่งสะท้อนถึงปัญหาของคณะกรรมการสรรหาทั้ง 7 คน มีกระบวนการเลือกพวกมากกว่าเน้น "ความหลากหลาย" จากกลุ่มอาชีพ

โปรดสังเกตว่า ส.ว.ลากตั้งเกิดจากการเลือกของคน 7 คน ที่ "ไม่ถูกใจ" รัฐบาลจากพรรคเพื่อไทย

ย่อมทำให้ ส.ว.ลากตั้งกลายเป็น "ปรปักษ์" ทางการเมืองอย่างน่ารำคาญ เพราะงัดข้อหาตีรวนให้ศาลรัฐธรรมนูญเล่นงานรัฐบาลได้ทุกเรื่อง

ด้วยเหตุนี้การแก้ไขรัฐธรรมนูญให้ ส.ว.มาจากการเลือกตั้ง ไม่เพียงแต่มีมิติ "ความเท่าเทียมทางการเมือง" เท่านั้น แต่มีเป้าหมาย "ล้ม" อำนาจกลุ่มอภิสิทธิ์ชนทั้ง 7 คนอย่างสำคัญด้วย

เมื่อปัญหามาจากเหตุ ย่อมต้องแก้ที่ ต้นเหตุ เพื่อล้างสิ่งปฏิกูลของเหตุให้สิ้นซาก

ส.ว.ลากตั้งขึ้นชื่อว่า เป็นปรปักษ์กับ พรรคเพื่อไทยและรัฐบาลนั้น รวมตัวกันใน "กลุ่ม 40 ส.ว." แกนนำโดดเด่นล้วนเป็นคนหน้าเดิมๆ ประกอบด้วย นายไพบูลย์ นิติตะวัน, พล.ร.อ.สุรศักดิ์ ศรีอรุณ, นายสมชาย แสวงการ, พล.อ.สมเจตน์ บุญถนอม, นายคำนูณ สิทธิสมาน, นายประสาร มฤคพิทักษ์, นายวันชัย สอนศิริ และ ส.ว. เลือกตั้ง รสนา โตสิตระกูล เข้ามาเป็นพวกด้วย

ส.ว.กลุ่มนี้เริ่มแสดงบทบาท "ปรปักษ์" กับรัฐบาล มาตั้งแต่พรรคพลังประชาชน แล้วเรื่อยมาถึงรัฐบาลจากพรรค เพื่อไทย โดยมีเบ้าหลอมอารมณ์ปรปักษ์อยู่ที่ต่อต้าน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ในรหัส ล้มระบอบทักษิณ

ผลงานของ ส.ว.ลากตั้งกลุ่มนี้ปรากฏขึ้นมาตั้งแต่ปี 2551 เริ่มจากปฏิบัติ การเปิดอภิปรายทั่วไปรัฐบาลสมัคร สุนทรเวช แล้วยื่นวินิจฉัยกรณีจัดรายการ ชิมไปบ่นไปเพื่อถอดถอนนายสมัครพ้นจากนายกรัฐมนตรี

เมื่อ ส.ว.ลากตั้งกำหนดบทบาทอยู่ฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลแล้ว พวกเขาจึงสนับสนุนการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย แล้วเรียกร้อง ให้นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ลาออกหรือยุบสภา เพื่อแสดงความรับผิดชอบต่อเหตุการณ์การสลายม็อบพันธมิตรฯ รุนแรงในวันที่ 7 ตุลาคม 2551

มาถึงรัฐบาลจากพรรคเพื่อไทย ส.ว.พวกนี้ยังคงบทบาทต้าน น.ส.ยิ่งลักษณ์ อย่างเข้มข้น พวกเขาคัดค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 291 จนศาลรัฐธรรมนูญ มีคำแนะนำให้ชะลอการลงมติวาระ 3 ไว้กระทั่งปัจจุบัน

ในสถานการณ์ต้านรัฐบาล น.ส. ยิ่งลักษณ์ พรรคประชาธิปัตย์ได้จับมือกลุ่ม 40 ส.ว. สร้างความตื่นตระหนกอีกครั้ง ด้วย การยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อล้มการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญที่มา ส.ว. จากการเลือกตั้งว่า อาจขัดมาตรา 154 และฝ่าฝืนมาตรา 68 ซึ่งเป็นการล้มการปกครอง

โอกาสของ ส.ว.ลากตั้งกับพรรคประชาธิปัตย์ที่จะล้มรัฐบาลริบหรี่อย่างยิ่ง ความหวังเดียวที่เหลืออยู่ขณะนี้คือ ลุ้นให้ศาลรัฐธรรมนูญตัดสินข้อหาฝ่าฝืนมาตรา 68 ออกมาด้านบวกกับพวกเขา แต่เป็นเพียงความปรารถนาเล็กๆ ที่พอจะคว้ามา ปลอบใจได้

เพราะความอยากในอำนาจของกลุ่ม ส.ว.ลากตั้งกว่า 7 ปีที่ผ่านมานั้น ทำให้ประชาชนตาสว่างกับการทำหน้าที่อย่างแจ่มแจ้ง โพลของศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัย กรุงเทพ (กรุงเทพโพลล์) เมื่อ 21 สิงหาคม ที่ผ่านมาระบุว่า ประชาชนร้อยละ 59.2 ต้องการให้ ส.ว.มาจากการเลือกตั้ง

นั่นเท่ากับสะท้อนว่า ส.ว.ลากตั้งไม่พึงประสงค์ของประชาชนในยุค 2556 ราวกับเป็น "สิ่งปฏิกูล" ที่ต้องถูกทำลายทิ้ง การแก้ไขรัฐธรรมนูญผ่านวาระ 3 ขณะ นี้อยู่ในขั้นตอนทูลเกล้าฯ ย่อมเป็นกระบวน ล้างปฏิกูลนี้ให้เส้นทางประชาธิปไตยประชาชนสะอาดหมดจน

ที่สำคัญคือ สัญญาณบ่งบอกถึงการเริ่มต้นเก็บกวาดอำนาจของคน 7 คน ในชื่อ "องค์กรอิสระ" นั่นเอง

ที่มา.สยามธุรกิจ
-----------------------------------------