--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันเสาร์ที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2556

เฟด ชะลอ QE ปั่น หุ้น-เงิน รอบใหม่ !!?

หุ้น-เงิน เอเชียทะยาน เงินทุนต่างชาติไหลกลับรอบใหม่ คลายกังวลเพดานหนี้ คาดเฟดชะลอลดคิวอียาวถึงต้นปีหน้า ธปท.เตือนระวังเงินทุนเคลื่อนย้าย

นักลงทุนคลายกังวลปัญหาการคลังสหรัฐและการปรับลดมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (คิวอี) ของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ส่งผลให้เงินทุนไหลเข้าตลาดหุ้น-เงินเอเชียทั่วภูมิภาค ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่คล้ายกับที่เกิดขึ้นในช่วงต้นปีนี้

การตกลงแก้ปัญหาปิดหน่วยงานรัฐและขยายเพดานหนี้ของคองเกรสไปต้นปี ได้กระตุ้นนักลงทุนให้เกิดความเชื่อมั่น ตลอดจนท่าทีของเฟดยังไม่ลดคิวอีในการประชุมวันที่ 29-30 ต.ค.นี้ โดยตลาดคาดว่าเฟดอาจชะลอลดคิวอีไปจนถึงต้นปีหน้า

สกุลเงินของประเทศตลาดเกิดใหม่ส่วนใหญ่แข็งค่าขึ้น เป็นผลจากการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของจีน และความวิตกเกี่ยวกับผลกระทบทางเศรษฐกิจของการปิดหน่วยงานรัฐบาลสหรัฐในช่วงที่ผ่านมาได้กระตุ้นการคาดการณ์ที่ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจกระตุ้นเศรษฐกิจต่อไป

สำนักงานสถิติแห่งชาติ (NBS) ของจีนรายงานว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ประจำไตรมาส 3 ของปีนี้ โต 7.8% เทียบรายปี สอดคล้องกับตัวเลขคาดการณ์ และสูงกว่าไตรมาส 2 ซึ่งอยู่ที่ 7.5% โดยไตรมาส 3 ถือเป็นไตรมาสที่มีการขยายตัวสูงสุดในปีนี้

เงินรูปีแตะระดับสูงสุดในรอบกว่า 2 เดือนตามตลาดหุ้นที่ทะยานขึ้นมากกว่าตลาดอื่นๆ ในภูมิภาค

ค่าเงินวอนแตะระดับสูงสุดในรอบเกือบ 9 เดือน ขณะที่นักลงทุนต่างชาติเข้าซื้อหุ้นเกาหลีใต้ติดต่อกัน 36 วัน ซึ่งเป็นสถิติที่ยาวนานที่สุด

การคาดการณ์เกี่ยวกับแนวโน้มการลดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของเฟดได้ส่งผลให้เงินของตลาดเกิดใหม่ในเอเชียร่วงลงอย่างหนักตั้งแต่ต้นปีนี้ แต่กำลังฟื้นตัวขึ้นมาอีกครั้ง

นักวิเคราะห์กล่าวว่าสกุลเงินเอเชียมีแนวโน้มที่จะปรับตัวขึ้นต่อไป ขณะที่นักลงทุนลดการคาดการณ์เกี่ยวกับการปรับลดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของเฟด และเศรษฐกิจจีนมีแนวโน้มมากขึ้นที่จะชะลอตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป

ตลาดหุ้นเอเชียพุ่งทุบสถิติ

ตลาดหุ้นโตเกียวปิดตลาดอ่อนตัวลงในวานนี้จากแรงขายทำกำไรหลังจากดีดตัวขึ้น 7 วันติดต่อกัน ขณะที่นักลงทุนพิจารณาผลกระทบต่อเศรษฐกิจสหรัฐจากการปิดทำการของหน่วยงานรัฐบาลนาน 16 วัน

ดัชนีนิกเคอิปิดตลาดลบ 24.97 จุด หรือ 0.17% มาที่ 14,561.54 หลังจากที่ดีดตัวขึ้น 7 วันติดต่อกันจนถึงเมื่อวานนี้ ซึ่งเป็นสถิติช่วงขาขึ้นที่ยาวนานที่สุดในรอบ 7 เดือนครึ่ง

ในสัปดาห์ที่ผ่านมา ดัชนีนิกเคอิพุ่งขึ้น 1.1% ซึ่งเป็นการปรับตัวขึ้นสัปดาห์ ที่ 2 ติดต่อกัน

ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ปิดพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 26 เดือน ในวันนี้ โดยได้แรงหนุนจากเศรษฐกิจที่ขยายตัวมากขึ้นของจีน และปริมาณเงินลงทุนต่างประเทศที่ไหลเข้ามาอย่างต่อเนื่อง

ดัชนีคอมโพสิตปิดเพิ่มขึ้น 11.79 จุด หรือ 0.58% มาที่ 2,052.40 ซึ่งเป็นระดับปิดสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 3 ส.ค. 2554 ในสัปดาห์นี้ ดัชนีพุ่งขึ้น 1.4%

ตลาดหุ้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ส่วนใหญ่ปรับตัวขึ้นและคาดว่าจะปรับตัวขึ้นเล็กน้อยในสัปดาห์หน้า ขณะที่นักลงทุนซื้อหุ้นขนาดใหญ่ในภูมิภาค หลังการแถลงผลประกอบการรายไตรมาสที่สดใส และข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของจีนช่วยหนุนความเชื่อมั่นในตลาดหุ้นเอเชีย

ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ปรับตัวขึ้น 0.3% และคาดว่าจะปรับตัวขึ้น 0.6% ในสัปดาห์นี้ หลังจากที่พุ่งขึ้น 1.3% ในสัปดาห์ที่แล้ว

ตลาดหุ้นไทยและฟิลิปปินส์พุ่งขึ้นมากกว่าตลาดอื่นในภูมิภาคโดยดัชนีหุ้นไทยปิดตลาดเที่ยงพุ่งขึ้น 0.9% และดัชนีคอมโพสิตตลาดหุ้นมะนิลาปิดบวก 0.72% โดยดัชนีทั้งสองตลาดพุ่งขึ้นราว 1.7% แล้วในสัปดาห์นี้

ธปท.เตือนเงินทุนเคลื่อนย้ายผันผวน

นายปฤษันต์ จันทน์หอม ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายเศรษฐกิจระหว่างประเทศ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่าหลังจากที่สหรัฐขยายเพดานหนี้สหรัฐออกไป อาจส่งผลให้เงินทุนต่างชาติ ปรับสถานะและมีบางส่วนไหลออกจากประเทศไทยบ้าง แต่อยากให้นักลงทุนมองระยะยาวมากกว่า ซึ่งเม็ดเงินน่าจะมีทิศทางไหลกลับไปยังสหรัฐเพราะเงินที่ออกมาจากสหรัฐค่อนข้างมาก จึงต้องติดตามเม็ดเงินต่างชาติจะไหลกลับไปเมื่อไร

"ส่วนปัญหาเพดานหนี้สหรัฐ มีความยืดเยื้อในการขยายเพดานหนี้ เชื่อว่าที่ผ่านมาสหรัฐ อยู่ระหว่างรอความชัดเจนในภาพเศรษฐกิจสหรัฐเองด้วย เพราะสถานการณ์การคลังของสหรัฐ ก็ยังไม่มีความแน่นอน ซึ่งรอให้สถานการณ์ต่างๆ เริ่มนิ่ง และอยากให้รอดูการขยายเวลาเพดานหนี้ครั้งต่อไปในเดือนก.พ. ซึ่งทุกคนกลัวว่าเดือนก.พ. อาจมีปัญหาการขยายเพดานหนี้เหมือนในครั้งนี้อีก แต่เชื่อว่าสหรัฐจะสามารถแก้ไขปัญหาได้"

มั่นใจ ธปท.มีมาตรการรับบาทผันผวน

ด้าน นายสมชัย สัจจพงษ์ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กล่าวว่าค่าเงินบาทที่แข็งค่าไม่น่ามีปัญหา เพราะว่าธปท.มีเครื่องมือและมาตรการยืดหยุ่นในการดูแล

นายสมชัย กล่าวว่า ในการประชุมร่วมกับนายกรัฐมนตรีเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา (15 ต.ค.) สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และ ธปท. ได้ประเมินสถานการณ์และเตรียมความพร้อมรับมือไว้แล้ว

"ทุนสำรองระหว่างประเทศของไทยที่มีสูงถึง 170,000 ล้านดอลลาร์ ถือว่าแข็งแกร่งเพียงพอ ที่จะรับมือกับเหตุการณ์ได้ และการแข็งค่าของเงินบาทขณะนี้เห็นว่ายังไม่มากจนทำให้ธปท.ต้องเข้าไปดูแล"

ต่างชาติซื้อบอนด์ยาว8.6พันล้าน

ด้านนางสาวอริยา ติรณะประกิจ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย (THAIBMA) กล่าวว่า หลังจากสหรัฐแก้ปัญหาเพดานหนี้สหรัฐได้ในระยะสั้น ทำให้มีเงินลงทุนไหลกลับเข้ามาในตลาดตราสารหนี้ค่อนข้างมาก โดยในวันที่ 17 ต.ค.ที่ผ่านมา ต่างชาติซื้อสุทธิประมาณ 11,000 ล้านบาท แบ่งเป็นตราสารหนี้ระยะสั้น 7,700 ล้านบาท และตราสารหนี้ระยะยาว 3,700 ล้านบาท

"ทำให้ผลตอบแทนบอนด์อายุ 10 ปี ปรับตัวลงมา 0.05% และวานนี้ (18 ต.ค.) ผลตอบแทนบอนด์ 10 ปี ยังคงปรับตัวลงต่อเนื่องอีก 0.05-0.10% ซึ่งสะท้อนว่า ยังมีแรงซื้อเข้ามาในตราสารหนี้ของไทยต่อเนื่อง และมีปริมาณที่ไม่ได้น้อยไปกว่าวันที่ 17 ต.ค."

นางสาวอริยา กล่าวว่า ในเดือนต.ค. ต่างชาติมียอดซื้อสุทธิ 8,600 ล้านบาท เป็นการขายตราสารหนี้ระยะสั้น 1,100 ล้านบาท และ ตราสารหนี้ระยะยาว 9,800 ล้านบาท ส่งผลให้ต่างชาติมียอดถือครองสุทธิ ณ 11 ต.ค. รวม 760,000 ล้านบาท โดยเป็นสัดส่วนระยะสั้น 25% และระยะยาว 75%

"สะท้อนว่าเงินลงทุนส่วนใหญ่ ยังเน้นเข้าลงทุนจริงๆ และการไหลกลับครั้งนี้ จะเป็นภาพเดียวกันทั่วภูมิภาคหลังตลาดคลายความกังวลลง"

นางสาวอริยา กล่าวว่าต่างประเทศเป็นปัจจัยหลัก ที่ส่งผลกระทบต่อการลงทุนตลาดตราสารหนี้ โดยเฉพาะการชะลอมาตรการคิวอี และแนวโน้มการปรับขึ้นดอกเบี้ยสหรัฐในอนาคต ต้นปีหน้าตลาดอาจกลับมากังวลในประเด็นเหล่านี้อีกครั้ง จะเห็นว่าเงินยังไหลกลับเข้ามาในตลาดตราสารหนี้ หากดูช่วง 9 เดือนแรก มีเงินไหลเข้า 62,300 ล้านบาท ถ้านับยอดซื้อสุทธิเดือนต.ค. อีก 8,600 ล้านบาท เงินไหลเข้าถึงปัจจุบัน 70,000 ล้านบาท ขณะที่เงินต่างชาติในตลาดหุ้นไทยยังขายสุทธิกว่า 1 แสนล้านบาท

เงินไหลเข้ากดผลตอบแทนลดลง

นางสาวอริยา กล่าวว่า ตลาดตราสารหนี้จนถึงสิ้นปีจะเห็นเงินลงทุนของต่างชาติไหลเข้าต่อเนื่อง และจะกดไม่ให้อัตราผลตอบแทนของพันธบัตรตลาดปรับตัวขึ้นได้ จึงช่วยผลักดันให้เอกชนทยอยออกหุ้นกู้มากขึ้นในช่วงที่เหลือของปี และจะทำให้ยอดออกหุ้นกู้ทะลุเป้าที่เคยวางไว้ปีนี้ 350,000 ล้านบาท เพราะนับถึงปัจจุบัน (17 ต.ค.) มียอดออกหุ้นกู้ 313,000 ล้านบาท

"ในปีหน้าการชะลอคิวอี ยังคงเป็นประเด็นที่กลับเข้ามากระทบตลาดตลอด จนแนวโน้มปรับขึ้นดอกเบี้ยของสหรัฐในอนาคต ย่อมส่งผลต่อเงินทุนไหลเข้าออกของต่างชาติ และหากมีการไหลออก ย่อมทำให้ผลตอบแทนพันธบัตรสูงขึ้น ช่วงนี้จึงเป็นจังหวะดีในการออกหุ้นกู้ภาคเอกชน"

นางสาวอริยา กล่าวว่า สภาพคล่องในขณะนี้ไม่น่าเป็นกังวล เพราะยังรองรับการระดมทุนได้และหุ้นกู้ที่ออกมาก็ขายได้หมด

เฟดส่งสัญญาณเลื่อนหั่นคิวอี

นายชาร์ลส์ อีแวนส์ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขาชิคาโก และนายริชาร์ด ฟิชเชอร์ ประธานเฟดสาขาดัลลัส กล่าวว่า เฟดมีแนวโน้มที่จะเลื่อนการตัดสินใจปรับลดวงเงินในมาตรการเข้าซื้อตราสารหนี้ หรือมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (คิวอี) ออกไปอย่างน้อยจนกว่าจะถึงเดือนธ.ค.

ทั้งนี้ ความขัดแย้งด้านงบประมาณและการเพิ่มเพดานหนี้ของสหรัฐส่งผลให้หน่วยงานรัฐบาลต้องปิดทำการเป็นเวลานาน 16 วัน และทำให้รัฐบาลสหรัฐเสี่ยงต่อการผิดนัดชำระหนี้ และปัจจัยนี้ก็ส่งผลให้แนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐเผชิญกับความไม่แน่นอนในช่วงที่ผ่านมา

นายอีแวนส์ กล่าวว่า "เราต้องการข้อมูลเพิ่มเติมที่แสดงให้เห็นว่าเศรษฐกิจมีสภาพเป็นอย่างไรต่อไป และเราได้รับมือกับการปิดหน่วยงานรัฐบาลครั้งล่าสุดอย่างไร โดยผมคิดว่ามีความเป็นไปได้มากที่สุดที่เฟดจะยังคงประเมินเรื่องนี้ต่อไปในการประชุม 2-3 ครั้งข้างหน้า"

เฟดจัดการประชุมกำหนดนโยบายการเงินทุก 6 สัปดาห์ โดยการประชุมครั้งถัดไปจะจัดขึ้นในวันที่ 29-30 ต.ค. และ 17-18 ธ.ค.

นักวิเคราะห์คาดเฟดหั่นคิวอีต้นปีหน้า

นักวิเคราะห์กล่าวว่า มีปัจจัยหลายประการที่เฟดจำเป็นต้องนำมาพิจารณาในการตัดสินใจว่าจะลดวงเงินคิวอีจากระดับ 8.5 หมื่นล้านดอลลาร์ต่อเดือนเมื่อใด โดยเฟดดำเนินคิวอีในปัจจุบันด้วยการเข้าซื้อ

พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐในอัตรา 4.5 หมื่นล้านดอลลาร์ต่อเดือนและเข้าซื้อหลักทรัพย์ที่ได้รับการค้ำประกันจากสัญญาจำนองในอัตรา 4 หมื่นล้านดอลลาร์ต่อเดือน

"เฟดไม่มีแนวโน้มที่จะปรับลดขนาดคิวอีในการประชุมเดือนต.ค. แต่เฟดมีความเป็นไปได้ที่จะปรับลดในเดือนธ.ค. อย่างไรก็ดี เฟดกำลังมีแนวโน้มน้อยลงเรื่อยๆ ที่จะทำเช่นนั้น ตอนนี้เฟดกำลังเลือกระหว่างการปรับลดคิวอีในการประชุมเดือนม.ค. 2557 หรือในเดือนมี.ค. 2557"

นายไมเคิล เฟโรลี นักเศรษฐศาสตร์ของเจพีมอร์แกน กล่าวว่าถ้าเฟดต้องการปรับลดคิวอีอย่างต่อเนื่อง เฟดก็จะไม่มีโอกาสเริ่มต้นทำสิ่งนี้จนกว่าจะถึงเดือนมี.ค. เพราะว่าเดือนมี.ค. จะเป็นโอกาสแรกสำหรับเฟด ในการได้ประเมินสภาพเศรษฐกิจที่แท้จริง

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
------------------------------------

วันศุกร์ที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2556

นับถอยหลัง 6 เดือน ยุติให้บริการ Windows XP

ไม่น่าเชื่อว่า ระบบปฏิบัติการ วินโดวส์ เอ็กซ์พี (Windows XP) จะเป็นระบบปฏิบัติการที่มีมายาวนานถึง 11 ปีแล้ว และแม้ว่าไมโครซอฟท์จะออกระบบปฏิบัติการใหม่ๆ มา ไม่ว่าจะเป็น วินโดวส์ 7 (Windows7) หรือ วินโดวส์ 8 (Windows 8) มาแล้ว แต่เครื่องคอมพิวเตอร์หลายเครื่องในบ้านเรา ก็ยังใช้ระบบปฏิบัติการเอ็กซ์พีอยู่

ตัวเลขจากสแตทเคาน์เตอร์ ประจำเดือนกันยายน 2556 ระบุว่า ประเทศไทย เป็นหนึ่งในประเทศที่มีผู้ใช้ระบบปฏิบัติการวินโดวส์ เอ็กซ์พี สูงสุดในแถบเอเชียแปซิฟิก โดยมีอยู่ราว 28 เปอร์เซ็นต์ หรือคิดเป็นจำนวนคอมพิวเตอร์มากถึง 5.7 ล้านเครื่อง ซึ่งมากกว่าประชากรทั้งหมดของสิงคโปร์เสียอีก แต่ตั้งแต่เดือนกันยายน 2556 เป็นต้นมา ก็เริ่มมีผู้บริโภคและธุรกิจในไทยได้อัพเกรดไปเป็นระบบปฏิบัติการเวอร์ชั่นใหม่ โดยมีการอัพเกรดเป็นวินโดวส์ 7 และวินโดวส์ 8 แล้วราว 57 เปอร์เซ็นต์

ตอนนี้ ทางไมโครซอฟท์เองได้ออกมาแจ้งต่อธุรกิจและผู้บริโภคทั่วไปในไทยที่ยังใช้ระบบปฏิบัติการเอ็กซ์พีอยู่ว่า ไมโครซอฟท์จะหยุดการสนับสนุนและการให้บริการระบบปฏิบัติการเอ็กซ์พีอย่างเป็นทางการในอีก 6 เดือนข้างหน้า คือวันที่ 8 เมษายน 2557 โดยระบุว่าด้วยความที่อายุของเอ็กซ์พีเก่าแก่ถึง 11 ปีแล้ว ก็จะไม่สามารถรับมือกับการโจมตีที่ซับซ้อนผ่านระบบไซเบอร์ได้ อีกทั้งยังไม่สามารถสนองตอบต่อความต้องการที่เพิ่มขึ้น ทั้งในแง่การปกป้องข้อมูลส่วนตัวและการเพิ่มประสิทธิผล

เมื่อไมโครซอฟท์หยุดการสนับสนุน เอ็กซ์พี ก็จะหยุดอัพเดตระบบรักษาความปลอดภัย การซ่อมแซมที่ไม่เกี่ยวข้องกับการรักษาความปลอดภัย หยุดให้บริการด้านเทคนิคทางโทรศัพท์ และจะไม่มีการอัพเดตข้อมูลด้านเทคนิคผ่านระบบออนไลน์สำหรับระบบปฏิบัติการวินโดวส์ เอ็กซ์พีอีกต่อไป นั่นหมายความว่า ผู้ใช้ก็จะไม่ได้รับอัพเดตต่างๆ ที่สามารถช่วยปกป้องคอมพิวเตอร์จากไวรัสอันตราย สปายแวร์ และซอฟต์แวร์ประสงค์ร้ายอื่นๆ ผลที่ตามมาก็คือ ระบบอาจหยุดทำงาน หรือเกิดปัญหาซอฟต์แวร์ไม่สามารถทำงานร่วมกันได้

รชฏ อิศรางกูร ณ อยุธยา ผู้จัดการกลุ่มธุรกิจและการตลาดวินโดวส์ และ เซอร์เฟซ บริษัท ไมโครซอฟท์ (ประเทศไทย) กล่าวว่า "แม้ผู้คนไม่ชอบการเปลี่ยนแปลง แต่ผู้บริโภคและธุรกิจต่างๆ จำเป็นต้องหันมาใช้ระบบปฏิบัติการรุ่นใหม่กว่าอย่าง วินโดวส์ 7 หรือ วินโดวส์ 8 เพื่ออัพเกรดให้ดีไวซ์ของตนทันสมัยมากขึ้น รวมทั้งเสริมสร้างความปลอดภัยเพื่อป้องกันการโจมตีผ่านระบบไซเบอร์และปัญหาข้อมูลสูญหายด้วย โดยปกติแล้ว ธุรกิจขนาดเล็กมักใช้เวลาประมาณ 3-6 เดือนในการอัพเกรดระบบ ส่วนธุรกิจขนาดกลางต้องใช้เวลานานกว่า 6 เดือน เราจึงมีความกังวลว่าบริษัทต่างๆ ในประเทศไทยอาจตัดสินใจอัพเกรดในเวลากระชั้นชิดใกล้กับวันสิ้นสุดการให้บริการมากจนเกินไป ไมโครซอฟท์มีความตั้งใจที่จะช่วยเหลือบริษัทต่างๆ ในไทยให้สามารถอัพเกรดระบบได้อย่างราบรื่นที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้"

อย่างเช่นโรงพิมพ์ "ฟาสต์บุ๊คส์" ที่ตัดสินใจอัพเกรดจากเอ็กซ์พี เปลี่ยนไปใช้วินโดวส์ 8 โดยคุณเทอดทูล ไชยเทอดธรรม กรรมการผู้จัดการ ฟาสต์บุ๊คส์ บอกว่าฟาสต์บุ๊คส์ ในฐานะโรงพิมพ์ที่รับพิมพ์หนังสือด้วยเครื่องพิมพ์ระบบดิจิตอล พบว่า ระบบปฏิบัติการวินโดวส์ เอ็กซ์พีนั้น ไม่เอื้อต่อการอัพเกรดโปรแกรมดีไซน์และซอฟต์แวร์อื่นๆ ที่ใช้ และไม่สามารถตอบสนองความต้องการในการใช้งานด้านไอทีได้อย่างเต็มที่ต่อไป จึงได้ตัดสินใจอัพเกรดใช้เป็นวินโดวส์ 8 เพราะสามารถใช้งานง่ายแบบอินเตอร์แอ๊กทีฟ มีระบบการจัดการและรักษาความปลอดภัยที่ดี ทำให้บริษัทมีความแข็งแกร่งมากขึ้น

ทั้งนี้ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา บรรดานักวิเคราะห์ในแวดวงได้แนะนำให้ธุรกิจต่างๆเลิกใช้วินโดวส์ เอ็กซ์พี อย่าง นายฮานโดโกะ แอนดี

ผู้จัดการด้านงานวิจัยอุปกรณ์ลูกค้า ของบริษัท ไอดีซีเอเชีย-แปซิฟิก กล่าวว่า หากต้องการสร้างความมั่นใจว่าคอมพิวเตอร์ของคุณจะยังคงได้รับการบริการสนับสนุนและทำงานได้อย่างปลอดภัยแล้วผู้บริโภคและธุรกิจต่างๆ จำเป็นต้องอัพเกรดไปใช้ระบบปฏิบัติการเวอร์ชั่นใหม่ทันที เพราะวินโดวส์ เอ็กซ์พี เหลือเวลาอีกแค่ 6 เดือนเท่านั้น

ใครที่ยังใช้วินโดวส์ เอ็กซ์พี อยู่ ก็รีบศึกษาหาความรู้และพิจารณาหาทางอัพเกรดให้เรียบร้อย เพื่อการใช้งานที่ราบรื่นและมีประสิทธิภาพของเครื่องคอมพิวเตอร์

ที่มา : นสพ.มติชน
---------------------------------

รัสเซียส่ง สปุตนิค. แข่งกูเกิล !!?

รัสเซียเตรียมเปิดศึกครั้งใหม่ ผุดโครงการ "สปุตนิค" ชื่อเดียวกับดาวเทียมดวงแรกของโลกพัฒนา "เสิร์ช เอ็นจิ้น" เทียบกูเกิล

สหพันธรัฐรัสเซียเปิดศึกสหรัฐครั้งใหม่เตรียมแผนพัฒนาระบบค้นหาข้อมูล หรือเสิร์ช เอ็นจิ้น แข่งกับสหรัฐ โดยยังใช้ชื่อโครงการเดิมว่า "สปุตนิค (Sputnik)" เหมือนเมื่อครั้งที่สหภาพโซเวียต (ในขณะนั้น) ริเริ่มโครงการพัฒนาดาวเทียมดวงแรกของโลกและสามารถส่งขึ้นสู่วงโคจรของโลกได้สำเร็จแซงหน้าสหรัฐเมื่อกว่า 50 ปีก่อนซึ่งถือเป็นการทำสงครามกันบนห้วงอวกาศและชิงความเป็นผู้นำทางเทคโนโลยีในยุคนั้น แต่สำหรับโครงการสปุตนิคครั้งใหม่จะเป็นการแข่งกันบนสังเวียนที่สหรัฐเป็นผู้นำตลาดอยู่ก่อนแล้ว

รายงานข่าวจากสำนักข่าวต่างประเทศเผยว่า โครงการดังกล่าวรับผิดชอบโดย "โรสเทเลคอม (Rostelecom)" บริการระบบสื่อสารที่ควบควบคุมโดยรัฐบาลรัสเซียที่จะเป็นผู้สร้างระบบสืบค้นข้อมูลเพื่อแข่งกับบริการ เช่น กูเกิล รวมถึงระบบเสิร์ช เอ็นจิ้นชื่อดังในท้องถิ่น เช่น แยนเด็กซ์ (Yandex) จากเนเธอร์แลนด์

อย่างไรก็ตามแม้จะมีรัฐบาลให้การสนับสนุนโครงการดังกล่าวอยู่เบื้องหลัง แต่ก็อาจยังต้องเผชิญความยากลำบากในการแข่งขัน ซึ่งจากข้อมูลบนเว็บไซต์แยนเด็กซ์ระบุว่าปัจจุบันครองสัดส่วนการใช้งานในรัสเซียถึง 62%

แต่เมื่อไม่นานมานี้ก็เริ่มมีกระแสข่าวรายงานถึงสถานการณ์ที่ไม่มั่นคงของบริษัทแยนเด็กซ์ หลังผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทป่วยเป็นมะเร็งซึ่งได้ส่งผลต่อบริษัท โดยเฉพาะความกังวลเกี่ยวกับแผนในระยะยาวของบริษัท

ทั้งนี้ในขณะที่แยนเด็กซ์ยังครองตำแหน่งผู้นำตลาดเสิร์ช เอ็นจิ้น ส่วนกูเกิลตามมาด้วยสัดส่วนราว 25% ของผู้ใช้เสิร์ช เอ็นจิ้นในรัสเซีย ดังนั้นแผนการเปิดตัว "สปุตนิค" ของโรสเทเลคอมก็อาจเป็นเวลาที่เหมาะสม

ปัจจุบันโรสเทเลคอมลงทุนพัฒนาโครงการดังกล่าวแล้ว 20 ล้านดอลลาร์ และเริ่มเปิดให้ติดตามความเคลื่อนไหวของโครงการได้ผ่านเว็บไซต์ www.Sputnik.ru พร้อมกับคาดว่าจะสามารถเปิดตัวได้อย่างเป็นทางการช่วงไตรมาสแรกของปี 2557

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
/////////////////////////////////////////////

วันพฤหัสบดีที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2556

เตือนไทยรับมือการเงินผันผวน สศค.ชี้เพดานหนี้สหรัฐ จบ !!

สศค.มั่นใจสหรัฐขยายเพดานหนี้สำเร็จ พร้อมเตือนนักลงทุนไทยรับมือความผันผวนในตลาดเงิน ตลาดทุน เชื่อมือ ธปท.มีไม้เด็ดรับสถานการณ์ได้ ครม.เศรษฐกิจก้นร้อน "ปู" นัดถก คลัง-ธปท.จับตาสถานการณ์ใกล้ชิด
   
นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองผู้อํานวยการ สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เปิดเผยภายหลังการหารือร่วมกับนายสมชัย สัจจพงษ์ ผู้อำนวยการ สศค.ถึงกรณีเพดานหนี้สหรัฐว่า ขณะนี้ทั้งตลาดเงินและตลาดทุนต่างมองว่าสหรัฐจะสามารถตกลงเรื่องขยายเพดานหนี้ได้ในวันที่ 17 ต.ค.นี้ เพราะหากตกลงไม่ได้จะมีผลกระทบอย่างมาก ทั้งต่อสหรัฐเองและตลาดเงิน ตลาดทุนทั่วโลกค่อนข้างมาก
   
ทั้งนี้ สิ่งที่ต้องจับตาต่อไปคือ ในเรื่องของการพิจารณาลดและยกเลิกมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (คิวอี) ที่จะมีการพิจารณาช่วงปลายเดือน ต.ค.นี้ ซึ่งหลายๆ ฝ่ายประเมินว่าสหรัฐจะยังขยายการใช้มาตรการดังกล่าวต่อไป เห็นได้จากยังมีเงินทุนมาลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงมากขึ้น
   
สำหรับประเทศไทยคงต้องจับตาผลกระทบที่จะเกิดขึ้นในตลาดเงินและตลาดทุนให้ดี แม้ว่าสุดท้ายเพดานหนี้ของสหรัฐจะขยายออกไป และแม้ว่าตลาดระยะสั้นมองว่าการยกเลิกคิวอีทำได้ไม่เร็วอย่างที่สหรัฐกำหนดไว้ ซึ่งอาจทำให้สภาพคล่องยังมีอยู่และไหลเข้ามาในไทยมากขึ้น ส่งผลกระทบต่อค่าเงินบาทไทย
   
นายเอกนิติกล่าวว่า ไทยคงต้องเฝ้าระมัดระวังและติดตามข่าวสารต่างๆ อย่างใกล้ชิด เพราะตลาดเงิน ตลาดทุนยังมีความผันผวนมาก ซึ่ง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ได้กำชับให้ สศค. และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ช่วยติดตามสถานการณ์ของสหรัฐที่จะกระทบไทยอย่างใกล้ชิด
   
อย่างไรก็ตาม สศค.มั่นใจว่ากลไกและเครื่องมือที่ ธปท.มีอยู่ขณะนี้ ยังสามารถรับมือกับความผันผวนของตลาดเงินที่เกิดขึ้นได้เป็นอย่างดี ซึ่งนายสมชัยสั่งให้ทำแบบจำลองกรณีเลวร้ายสุด หากสหรัฐไม่สามารถตกลงกันได้ เพื่อเป็นแนวทางในการรับมือกับความผันผวนที่อาจจะเกิดขึ้น
   
นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.พาณิชย์ กล่าวว่า ในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจ (ครม.เศรษฐกิจ) ได้ประเมินถึงผลกระทบจากปัญหาการขยายเพดานหนี้ของสหรัฐต่อเศรษฐกิจไทย ซึ่งที่ประชุมได้สั่งการให้กระทรวงการคลัง และ ธปท. ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เพื่อหามาตรการในการรองรับผลกระทบที่จะขึ้นอีกครั้งในเดือน พ.ย. ที่สหรัฐต้องชำระหนี้รอบใหม่สูงถึง 30,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ทั้งนี้ ในที่ประชุม กระทรวงการคลังและ ธปท.ยืนยันมีมาตรการในการรับมือเรื่องนี้อย่างเต็มที่
   
นายธีรัตน์ รัตนเสวี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ระบุว่า ที่ประชุม ครม.เศรษฐกิจกำชับให้  ธปท.ดูแลค่าเงินบาท หลังจากช่วงนี้มีเงินทุนไหลเข้ากว่า 2,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จึงคาดว่าค่าเงินบาทอาจจะเคลื่อนไหวประมาณ 31 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐได้
   
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้มอบหมายให้จัดตั้งคณะทำงานย่อย ประกอบไปด้วย กระทรวงการคลัง สศช. และ ธปท. โดยจะมีการประชุมร่วมกันในวันที่ 17 ต.ค. เพื่อติดตามสถานการณ์ของสหรัฐอย่างใกล้ชิด.

ที่มา.ไทยโพสต์
-------------------------------

แนวคิดทฤษฎีด้านประชาคมความมั่นคง AEC

แนวคิดและทฤษฎีด้านประชาคมความมั่นคงเสียที เกรงว่าจะเป็นข้อเขียนเชิงวิชาการมากไป คุยไปคุยมาจะน่าเบื่อแต่ที่นำเสนอแนวคิดต่างๆ มานี้ ก็เพื่อให้เข้าใจเป็นพื้นฐานกันว่า การรวมตัวเป็นอาเซียนและที่จะเป็นประชาคมอาเซียน โดยเฉพาะเสาหลักที่ว่าด้วยการเมืองและความมั่นคงของอาเซียนนั้น มีฐานของความคิดของบรรดานักทฤษฎีรัฐศาสตร์เหล่านี้มาอย่างไร

ประมวลแนวคิดเหล่านี้แล้ว บางทีเราจะเห็นว่าลักษณะ ของอาเซียนนั้นเป็น "กลุ่มอำนาจด้านความมั่นคง" (Security regime) เป็นการอธิบาย การจัดตั้งทั้งอย่างเป็นทางการและไม่เป็นทางการในระหว่างรัฐด้วยกัน ในอันที่จะ "ธำรงไว้ซึ่งอธิปไตยในสภาพการดำรงสันติภาพในกลุ่มเดียวกันกับรัฐอื่นๆ ของกลุ่ม"

งานด้านความร่วมมือทางเศรษฐกิจของอาเซียนบางเรื่องนั้น มีรูปแบบตามแนวคิดนี้ งานเหล่านี้จึงถูกมองว่า บทบาท ของอาเซียน คือการเป็นหน่วยงานในการประสานนโยบาย เป็น องค์ประชุมปรึกษาหารือในการเปิดเสรีทางการค้า เป็นหน่วยงานที่ใช้ข้อมูลข่าวสารร่วมกัน และเป็นเวทีของการรวบรวมพลังแห่งการต่อรองในเรื่องความร่วมมือพัฒนา และการเข้าถึงตลาดในต่างประเทศ หรือสร้างความมั่นคงผลิตสินค้าให้ดียิ่งขึ้น เพื่อให้สมาชิกสามารถส่งสินค้าอุปโภคบริโภคพื้นฐานออกสู่ตลาดโลกได้มากขึ้น

จะเห็นว่า กฎระเบียบของภูมิภาคนั้นขยายตัวเติบโตขึ้นจาก การที่ต้องพึ่งพาต่อกันมากขึ้น โดยผ่านการบีบเค้นทางการค้า การ ลงทุน และโดยความเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจด้านต่างๆ แต่อาเซียน ก็ยังเป็นพาหะเริ่มแรกที่ทำให้สมาชิกของอาเซียนต่างพากันแสวงหาผลประโยชน์แห่งชาติกันเอง

ภูมิภาคนิยมจึงยังคงเป็นการแสวงหาผลประโยชน์กันเองให้มากที่สุด โดยที่ไม่มีเรื่องของอธิปไตยมากัดกร่อน หรือมีผลก่อรูปแก่อัตลักษณ์โดยตรงของอาเซียน

กล่าวโดยสรุปแล้วก็คือว่า เหตุผลสำคัญสำหรับความสำเร็จ หรือล้มเหลว น่าจะดูได้จากกระบวนการหล่อหลอมของสังคม (Socialization process) ที่มีคุณภาพและจากกฎจรรยาบรรณที่กำกับไว้ในอาเซียน

ว่าไปแล้ว แนวทรรศนะนี้เป็นแนวคิดของพวก Construc tionist ซึ่งอนุมานว่า ผลประโยชน์แห่งรัฐ และอัตลักษณ์นั้น มาจากการปฏิบัติของสังคม และไม่ใช่แต่เพียงภาพฉาบฉวยเท่านั้น ความเป็นสถาบันช่วยให้เกิดการจัดตั้งอย่างสำคัญจากภายใน ที่รัฐต่างๆ จะพัฒนาข้อปฏิบัติทางสังคม และทำให้เป็นที่เข้าใจ และ ยอมรับร่วมกัน และขยายให้เป็นที่ยอมรับกับที่แห่งอื่นๆ ต่อไป

อาเซียนไม่ใช่องค์กรที่หลอมออกมาในสภาพวัสดุ เช่น ดุลแห่งอำนาจหรือผลพลอยได้ทางวัตถุ เช่น การคาดหวังต่อผล อันเกิดจากการพึ่งพากันในทางเศรษฐกิจ กรอบงานในปฏิสัมพันธ์ และการหลอมรวมของสังคมในตัวเองนั้น กลายเป็นปัจจัยหลักสำคัญอันมีผลต่อผลประโยชน์ และอัตลักษณ์ของชาติสมาชิก

แนวคิดเรื่องประชาคมความมั่นคง ย่อมเป็นที่เข้าใจกันดีใน ทางสังคมวิทยา ซึ่งช่วยให้เราวิเคราะห์อาเซียนได้ในฐานะของความเป็นสถาบันในระดับภูมิภาค ซึ่งทั้งกำกับกฎเกณฑ์ต่างๆ และนำมาซึ่งผลประโยชน์ และนโยบายของรัฐสมาชิก ในเรื่องของสงครามสันติภาพ และความร่วมมือ

บทบาทของอาเซียนในเรื่องระเบียบของภูมิภาคสามารถศึกษา และประเมินผลได้โดยดูจาก

1.เรื่องอันเป็นกระบวนการของกฎจรรยาบรรณ และกระบวนการหล่อหลอมของสังคม และความริเริ่มในการสร้างอัตลักษณ์ขึ้นมา ว่าได้สร้างรูปแบบทัศนคติและพฤติกรรมของรัฐ สมาชิก เกี่ยวกับความขัดแย้ง และกฎระเบียบของภูมิภาค

2.ในเรื่องซึ่งนำไปสู่พัฒนาการความเข้าใจร่วมกัน ความคาดหวังและประพฤติปฏิบัติเกี่ยวกับจรรยาบรรณสันติภาพร่วมกัน

ทั้งหมดนี้คือประมวลแนวคิด ข้อถกเถียง โต้แย้ง และคำวิพากษ์วิจารณ์ต่ออาเซียน ทั้งที่เป็นสมาคมอาเซียน ในช่วงสี่ทศวรรษที่ผ่านมา และที่จะพัฒนาสู่การบูรณาการเข้าสู่การเป็นประชาคมอาเซียน โดยเฉพาะกรณีการเป็นประชาคมความมั่นคงของอาเซียนที่อยู่ในกระบวนการที่จะเกิดขึ้นต่อไป

ว่าโดยเฉพาะเสาหลักเรื่องประชาคมการเมืองและความมั่นคงของอาเซียนที่จัดตั้งขึ้นนี้ ก็ด้วยความมุ่งหวังว่า จะทำให้ความร่วมมือด้านการเมืองและความมั่นคงของอาเซียนมีพัฒนา การมากยิ่งขึ้น โดยเป็นหลักประกันต่อประชาชน และประเทศสมาชิกอาเซียนให้อยู่อย่างสันติระหว่างกันกับโลกภายนอกในบรรยากาศของความเป็นประชาธิปไตย ความยุติธรรม และการมีความปรองดองต่อกัน

หลักการสำคัญของเสาหลักประชาคมการเมืองและความมั่นคงนั้น ยึดหลักความเป็นประชาธิปไตย นิติธรรม ธรรมาภิบาล ความเคารพ การส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน และเสรีภาพขั้นพื้นฐานภายใต้กฎบัตรอาเซียน

ในแนวทางดังกล่าวนี้ จะทำให้อาเซียนเป็นตัวเชื่อมต่อให้ประเทศสมาชิกอาเซียนมีการติดต่อ และมีความร่วมมือระหว่างกัน เพื่อสร้างบรรทัดฐาน กฎเกณฑ์ และกลไกร่วมกันในการบรรลุเป้าหมายอาเซียนในด้านการเมืองและความมั่นคง

การแยกเสาหลักเฉพาะด้านการเมืองและความมั่นคงนี้ ก็เพื่อประโยชน์และส่งเสริมสันติภาพในภูมิภาค มีจุดประสงค์ส่งเสริมความร่วมมือที่แน่นแฟ้นและมีผลประโยชน์ร่วมกันระหว่างอาเซียนกับประเทศคู่เจรจาและมิตรประเทศ

กล่าวโดยรวมแล้ว ในเสาหลักเรื่องการเมืองและความ มั่นคงของประชาคมอาเซียนนี้ เราต้องดูลักษณะมิติสามด้าน คือ มิติที่เกี่ยวกับความขัดแย้งกันเองของรัฐสมาชิกอาเซียน และความขัดแย้งกับรัฐนอกภูมิภาค มิติต่อมา คือ มิติที่เป็นเครื่องมือกลไกในการแก้ไขความขัดแย้งที่อาเซียนพัฒนาขึ้น รวมถึงกลไกแก้ไขข้อขัดแย้งจากนอกภูมิภาค เช่นอนุญาโต ตุลาการ ศาลโลก หรือกฎหมายทะเลของสหประชาชาติ เป็นต้น

มิติสุดท้ายคือแนวคิดยุติความขัดแย้ง ไม่ใช้กำลังต่อ กัน สร้างสันติภาพร่วมกัน จนถึงในที่สุดพัฒนาร่วมกัน เพื่อ เติบโตไปด้วยกันและเพื่อความมั่นคงตามเจตนารมณ์ของการเป็นประชาคมการเมืองและความมั่นคงร่วมกัน

ที่มา.สยามธุรกิจ
//////////////////////////////////////////

ลาว.เสือเศรษฐกิจตัวใหม่ใน AEC

ย้อนหลังไปไม่เกิน 20 ปี นักลงทุนไทยหลายคนไปพลาด ท่าเสียทีในลาว ทำให้ภาพพจน์การลงทุนลาวของคนไทยไม่ดีเท่าที่ควร

แต่มาถึงวันนี้สถานการณ์ เปลี่ยนไป ลาวกำลังก้าวเข้าสู่การลงทุนยุคใหม่ เป็นยุคที่มีสถาบันการเงินจำนวนมากรองรับและมีสิทธิพิเศษทางการ ค้ามากมายเป็นตัวกระตุ้น

ผมสรุปแบบนี้โดยยึดเอาข้อมูลที่ได้จากการบอกเล่าของ ดร.อ๊อด พงสะหวัน ประธานคณะกรรมการบริหารกลุ่ม บริษัท พงสะหวัน กรุ๊ป ซึ่งเป็นกลุ่มธุรกิจใหญ่ เป็นเจ้าของกิจการธนาคาร พาณิชย์เอกชนที่ใหญ่ที่สุดในสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว รวมทั้งสายการบินพงสะหวันที่ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็นลาวเซ็นทรัลแอร์ไลนส์สายการบินต้นทุนต่ำรายแรกของลาว นอกจากนี้ พงสะหวันกรุ๊ปยังมีธุรกิจค้าไม้และก่อสร้างในมือด้วย

ดร.อ๊อด บอกว่า ทุกวันนี้ลาวมีสถาบันการ เงินอยู่ 28 แห่งและจะเพิ่มเป็น 50 แห่งภายใน 2 ปีข้างหน้า ซึ่งสรุปได้ว่า ขณะนี้ลาวมีแหล่งเงินที่จะให้การสนับสนุนการลงทุนอย่างเหลือเฟือเมื่อประกอบเข้ากับศักยภาพพื้นฐานด้านทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่มากมายและสิทธิพิเศษทางการค้าในฐานะของประเทศกำลังพัฒนา ทำให้ลาวกลายเป็นแม่เหล็กก้อนใหญ่ที่จะดึง ดูดนักลงทุนมากขึ้น

ส่วนภาพฝังใจในอดีตของนักลงทุนไทยนั้น ดร.อ๊อดบอกว่า ที่ผ่านมาเป็นเรื่องของคนไทยที่ไม่เข้าใจคนลาว มองการลงทุนในลาวว่าจะต้องอิงกับกลุ่มผู้มีอิทธิพล หลายรายเข้าไปลงทุนในฐานะของคนร่ำรวย คิดว่าผู้มีอิทธิพลจะสามารถให้การสนับสนุนในเรื่องการทำธุรกิจได้ เมื่อทำไม่ได้เงินลงทุนก็สูญทวงคืนไม่ได้

สำหรับเคล็ดลับการลงทุนในลาวนั้น ดร. อ๊อดแนะนำว่า หากคิดจะลงทุนในประเทศไหน เราต้องทำความเข้าใจกับคนในประเทศนั้นก่อนแล้วก็อย่าไปเจรจาธุรกิจกับผู้มีอิทธิพลควรเจรจา กับนักธุรกิจโดยตรง ที่สำคัญต้องอย่าอวดร่ำอวดรวยจนถูกหลอก

ช่วงหนึ่งของการพูดคุย ดร.อ๊อด เล่าให้ฟังถึงการแข่งขันของสถาบันการเงินในลาวว่า ก่อนหน้านี้ใครๆ ก็มองว่าประเทศลาวจน คนลาวคงไม่มีเงิน แต่ท่านสามารถระดมเงินฝากเข้าแบงก์ตอนก่อตั้งได้ 1,000 ล้านดอลลาร์ ภายในเวลาไม่ถึง 1 เดือน ซึ่งเป็นการพิสูจน์ให้เห็นว่า คนลาวที่มีฐานะดีและมีเงินยัง มีอยู่มาก เพียงแต่เงินฝากของคนลาวจะอยู่กับแบงก์ไทยตามจังหวัดชายแดน

ท่านเล่าว่า ตอนที่ท่านระดมเงินฝากนั้น แบงก์พาณิชย์ ไทยระดับแนวหน้าแถวชายแดน ถึงกับกระเทือนเลยทีเดียว

เพราะฉะนั้น การแข่งขันของธนาคารพาณิชย์ในลาวจึงไม่ใช่เรื่องระดมเงินฝาก หากแต่อยู่ในฟากของการปล่อยสินเชื่อ

และนี่คือเคล็ดลับ ที่ดร.อ๊อดไม่ได้บอก แต่ผมจับประเด็นมาฝากเพื่อให้นักลงทุนไทยได้รู้ว่า สถานการณ์ทางด้านสินเชื่อในลาวขณะนี้ เอื้อ ต่อการที่จะไปลงทุนเพราะแต่ละแบงก์ในลาวต่าง ก็ต้องแบกรับภาระการหารายได้เพื่อมาจ่ายเป็นดอกเบี้ยให้กับผู้ฝากเงิน

ตอนหนึ่งของการพูดคุยผมได้เรียนถาม ดร.อ๊อดว่า การเป็นประเทศที่ไม่มีชายฝั่งทะเลจะเป็นอุปสรรคต่อการลงทุนหรือไม่ ดร.อ๊อดตอบ อย่างมั่นใจว่า เรื่องนี้ไม่ใช่ปัญหา เพราะลาวมีทาง ออกทะเลอยู่แล้ว 2 ด้านคือ ไทยและเวียดนาม อีกไม่นานเมื่อท่าเรือทวายในพม่าเสร็จ ลาวก็จะมีทางออกทะเลสู่มหาสมุทรอินเดีย

ที่สำคัญ เมื่อก้าวสู่การเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน โอกาสที่ลาวจะกลายเป็นศูนย์กลาง ทั้งธุรกิจการเงินและการลงทุนก็จะยิ่งสูงขึ้น

ยิ่งฟังท่านคาดคะเนผมยิ่งมองว่า ในอนาคต อันไม่ไกลนัก ลาวจะก้าวขึ้นทัดเทียมกับทุกชาติในอาเซียนได้ไม่ยาก

ผมมองอย่างนี้เพราะผมเห็นว่าลาวเหมือน กับผืนแผ่นดินใหม่ที่ยังไม่มีใครบุกเบิก เมื่อถึงครา ต้องบุกเบิกถากถางลงทุน ทุกอย่างจะก้าวล้ำนำสมัย แถมเป็นการลงทุนโดยเงินของคนอื่นด้วย

เมื่อถึงเวลานั้น พี่ใหญ่ทั้งหลายก็จะกลายเป็นคนอุ้ยอ้ายปล่อยให้น้องน้อยอย่างลาว แซงหน้า แซงเหมือนกับที่ทุกวันนี้การสื่อสาร ของลาวก้าวข้ามไปถึง 4จี ในขณะที่ไทยยังทน ใช้ 3จี บกพร่องนี่แหละ

ที่มา.สยามธุรกิจ
--------------------------------------

น.พ.สุรพงษ์ เช็กจุดอ่อน พท. วัดไข้ปฏิรูป ปชป. ถ้าอยากชนะต้องเปลี่ยน หน.พรรค

อีกไม่ถึง 40 วัน คนการเมือง จำนวน 109 คนกำลังจะได้รับอิสรภาพ-กลับคืนสู่อำนาจอีกครั้งสมาชิกบ้านเลขที่ 109 ผู้ถูกพันธการเว้นวรรคทางการเมืองเมื่อ 5 ปีก่อน หลายคนยังปูเส้นทางกลับคืนสู่แสงไฟ ขณะอีกหลายคนยังคงเลือกที่จะหลบฉาก-เลิกเล่นการเมืองตลอดชีวิต

"น.พ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี" อดีตเลขาธิการพรรคพลังประชาชน อาจเป็นหนึ่งในกลุ่มผู้เลือกอยู่เบื้องหลังมากกว่าเบื้องหน้า

กว่า 5 ปีที่ถูกเว้นวรรค "น.พ.สุรพงษ์" มิได้แสวงอำนาจเหมือนคนอื่น ๆ กลับปลีกวิเวกเข้าวัด ปฏิบัติธรรม พร้อมนำเสนอโครงการทำนุบำรุงพุทธศาสนามากมาย

"น.พ.สุรพงษ์" ตอบปัญหาการเมืองตามที่ "ประชาชาติธุรกิจ" ร้องขอ เขาตอบแบบทางสายกลางตามวิถีพุทธ ไม่เอนเอียงฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ทั้งแนะวิธีบริหารการเมือง-เศรษฐกิจให้พรรคเพื่อไทย และชี้ช่องปฏิรูปให้พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.)

เส้นทางสายกลางของทั้ง 2 พรรคใหญ่ควรเป็นอย่างไร โปรดติดตาม

- ทำไมถึงเลือกใช้ชีวิตแบบหันเข้าวัด

ทำบุญ เดินสายทำบุญ ชีวิตมันมีความสุขนะ ถ้าเทียบกับสมัยชีวิตปี 2544-2551 ชีวิตอย่างนั้นเป็นชีวิตที่...มันสูญเสียความเป็นส่วนตัว แล้วเรากำหนดตารางของชีวิตไม่ได้ แต่ละวันบอกไม่ได้เลยว่าวันหยุด

เราจะไปไหน และไปแบบไม่เป็นสุขหรอก มันเป็นชีวิตที่...อาจสนุกกับการทำงาน แต่ในเรื่องความเป็นส่วนตัวอะไรหลายอย่างรัดกุมมากจนเราไม่มีความสงบ

วันนี้ชีวิตสงบกว่าเยอะ เป็นส่วนตัว อยากไปทำบุญ อยากไปช่วยภรรยาทำงานก็ทำได้ อยากไปหาโอกาสเรียนรู้พัฒนาตัวเอง ดูนู่น ดูนี่ เราสามารถทำได้ตลอดเวลา ดังนั้น ใครถามผม ผมบอก...มีความสุขมาก Happy อาจเป็นเพราะเราผ่านมาหมดแล้ว ได้รู้แล้วว่าประสบการณ์ของการอยู่ในตำแหน่งเป็นอย่างไร สุดท้ายพวกนี้มันก็ไม่ได้ทำให้เรามีรู้สึกว่าเราสุขหรอก

- เรียกได้ว่าไม่กลับมาเล่นการเมืองแล้ว

ตอนปี 2544 ผมอายุ 44 ปี ตอนนี้อายุ 56 ปี ระยะเวลา 12 ปีมันทำให้เรื่องของสังขารไม่เหมือนเดิมหรอก ไม่ Fresh เท่าเดิม ร่างกายมันล้า ต้องใช้คนที่มีพลังในการผลักดันงาน ยกตัวอย่าง ท่านชัชชาติ (สิทธิพันธุ์ รมว.คมนาคม) อยู่ในวัยที่มีพลัง เราอาจแนะนำได้เป็นที่ปรึกษาได้

- 8 ปีบนชีวิตการเมืองถือว่าพอแล้ว

พูดไว้นานแล้วและยังคิดอย่างนั้น เพราะผมรู้สึกว่าถ้าทุกคนตั้งเป้าหมาย ตั้งเวลาของเราไว้ชัดเจน และใช้เวลาที่เราตั้งไว้นั้นให้เกิดประโยชน์สูงสุด ทุ่มสุดตัว 8 ปี ของผมทุ่มสุดตัว หลังจากนั้นก็เป็นเวลาที่เราทำอย่างอื่น ไปทำบุญไปเรียนรู้โลก

- ชัด ๆ เลยคือรีไทร์ทางการเมือง

ผมเคยบอกกับทุกคนอยู่แล้ว ถ้าเป็นการเมืองในรูปลักษณ์เดิม ผมว่าไม่สอดคล้องกับสภาพของตัวเราในปัจจุบัน แต่ถ้าเป็นการเมืองในสภาพที่ปรึกษา อย่างไรก็เกี่ยวข้องกับเราแน่ ผมก็อยากให้การเมืองเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาประเทศ ผมอยากเห็น ประเทศมีประชาธิปไตย มีความมั่นคงทางเศรษฐกิจ มีโอกาสที่ทำให้ทุก ๆ คนได้โอกาสนั้นอย่างเท่าเทียม ถ้าส่วนหนึ่งต้องใช้ประสบการณ์ผมก็โอเค...ยินดีทำ

- มองว่าพรรคเพื่อไทยจะเป็นอย่างไร เมื่อสมาชิกบ้านเลขที่ 109 กำลังจะกลับมา

ก็คงเหมือนบ้านเลขที่ 111 คือ มีส่วนหนึ่งที่มาช่วยทำงาน ส่วนหนึ่งก็เป็นที่ปรึกษา ไม่จำเป็น 111 หรือ 109 พ้นจากการถูกตัดสิทธิจะต้องกลับมาทำงาน แล้วท่านที่ทำงานอยู่ในปัจจุบันต้องออกไปเลยคงไม่ใช่ บางคนที่เขาทำงานได้ดีก็ควรส่งเสริมให้เขาทำงานต่อไป พวก 111 และ 109 สามารถอยู่ในบทบาทให้คำปรึกษา สนับสนุน อยู่เบื้องหลังก็ได้

- พรรคเพื่อไทยอาจพบศึกชิงเก้าอี้รัฐมนตรีจนฝุ่นตลบอีกครั้ง

ไม่มากมั้ง เพราะหลายท่านมาถึงจุดที่ตำแหน่งไม่ใช่เรื่องสำคัญอย่างท่านสมชาย (วงศ์สวัสดิ์) ที่ให้สัมภาษณ์ก็บอกว่าตำแหน่งไม่ใช่เรื่องสำคัญเลย ถามว่าจำเป็นไหมจะต้องไขว่คว้าทำอะไรก็ได้เพื่อให้ได้ไปอยู่ตรงนั้นอีกหรือเปล่า ผมว่าอาจจะไม่จำเป็น

ก็อย่างที่เรียนว่าไม่ทุกคนหรอกที่ดิ้นรนต้องหาตำแหน่ง คือ...ยิ่งพอมาเห็นยุคนี้ เห็นการเมืองแบบนี้ เราก็ยิ่งเข้าใจว่าเรื่องตำแหน่งมันเป็นเรื่องเล็กมาก ถ้าเปรียบเทียบกับปัญหาของบ้านเมือง

- มองสถานการณ์การเมืองช่วงนี้อย่างไร

เป็นการเมืองหลัง 19 กันยา ที่ปัญหายังคงยืดเยื้อมาถึงปัจจุบัน เหมือนกับยังไม่เห็นแสงสว่างชัดเจน ความพยายามปฏิรูปการเมืองของท่านนายกฯยิ่งลักษณ์ ชินวัตร พยายามทำอยู่ ก็เป็นความตั้งใจดีที่อยากเห็นการปฏิรูปที่นำไปสู่การนำประเทศกลับมาสู่หนทางที่ควรจะเป็นอีกครั้ง แต่ต้องยอมรับว่ามันไม่ง่ายหรอก

ความรู้สึกของคนส่วนใหญ่ ณ วันนี้ เชื่อว่าทุกคนเบื่อความขัดแย้ง ทุกคนอยากให้ถึงบทสรุปที่เรากลับไปสู่ทิศทางการเมืองที่ถูกต้อง ดังนั้น เราจะเห็นพวกม็อบอาจไม่ได้รับความสนใจจากสาธารณชน เพราะคนรู้สึกว่าเบื่อหน่ายแล้ว

ส่วนพรรคการเมืองใหญ่ 2 พรรคคือ พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) กับพรรคเพื่อไทย ต้องยอมรับว่าลักษณะความนิยมของ ปชป.ลดน้อยถอยลงไปเรื่อย ๆ วิเคราะห์กันได้ว่า เพราะ ปชป.ไม่สามารถเปลี่ยนแปลง หรือปฏิรูปตัวเองเพื่อแข่งขันในยุคของการแข่งขันในการเมืองแบบใหม่ได้

ถ้าเราดูประสบการณ์ในประเทศอื่น ๆ เช่น อังกฤษคิดว่าเป็นบทเรียนที่สอนว่าเราอยากเห็นการเมืองที่มีการแข่งขันกันในการนำเสนอนโยบาย เพื่อให้ประชาชนมีทางเลือก

สมัยมาร์กาเรต แทตเชอร์ ครองอำนาจเป็นทศวรรษ คนคงนึกไม่ออกว่าพรรคเลเบอร์จะสู้อะไรได้ แต่ที่พรรคเลเบอร์สามารถชนะในยุคของโทนี่ แบลร์ เพราะมีการปฏิรูปพรรคอย่างจริงจัง เปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่เริ่มเข้ามานำพรรค และนำเสนอประเด็นที่โดนใจประชาชนอังกฤษคือเรื่องการศึกษา สุดท้ายเขาอยู่ในตำแหน่ง 2 สมัย

ถ้าวันนี้ ปชป.จะแข่งกับพรรคเพื่อไทย ก็ต้องเริ่มปฏิรูปจริง ๆ ที่สำคัญประการแรกคือ ต้องมีผู้นำคนใหม่ ต้องยอมรับว่าท่านอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ มีปัญหาหลายอย่าง และสำคัญที่ทำให้คนจำนวนไม่น้อยไม่ยอมรับท่าน ก็คือปัญหาพฤษภาคม 2553 ที่ทำให้คนรู้สึกว่ารับไม่ได้

ดังนั้น ปชป.จะปฏิรูปก็ต้องทำอย่างจริงจังในเรื่องนโยบาย วันนี้หลายคนเห็นความสำคัญมากขึ้นเรื่อย ๆ และคาดหวังจากพรรคการเมืองที่มาแก้ไขปัญหาประเทศมี 3 เรื่อง 1.เศรษฐกิจมีปัญหาพอสมควรจากผลกระทบหลายอย่าง 2.การศึกษาทุกคนรู้สึกว่ามันถึงจุดที่ไม่มีการปฏิรูปการศึกษาอย่างจริงจัง และ 3.คอร์รัปชั่น วันนี้ทุกคนพูดกันอย่างจริงจังมาก แต่ Solution (ทางแก้) คืออะไร ทุกคนอยากเห็น Solution ที่ชัดเจน ทุกวันนี้ที่ทำให้ผมคิดว่ามันไม่จริง มันยังมีสองมาตรฐานอยู่

เช่นเดียวกับพรรคเพื่อไทยได้รับอานิสงส์จากฝ่ายค้านไม่เข้มแข็ง พรรคเพื่อไทยอาจจะไม่มีการสปีดตัวเองในการพัฒนา คนอยากเห็นพรรคสปีดตัวเองให้เร็วกว่านี้ สมมติถ้าเกิด 2 พรรคไม่ปฏิรูปเลย อาจมีคนพูดถึงทางเลือกที่ 3 ซึ่งมีคนพูดมากขึ้นเรื่อย ๆ

- พรรคเพื่อไทยควรปฏิรูปอะไร

ถ้าพูดในสิ่งที่เราอยากเห็น จริง ๆ ในพรรคไทยรักไทยตอนปี 2548-2549 อยากจะสร้างพรรคการเมืองที่เป็นพรรคการเมืองแท้จริง มีระบบโครงสร้างชัดเจน มีการกำหนดทิศทาง ยุทธศาสตร์ นโยบาย ในลักษณะองค์กร ตอนนั้นมีการพูดถึง Primary Vote จะทำอย่างไรให้มีสมาชิกแต่ละที่มีส่วนร่วม วันนี้ต้องยอมรับว่าตรงนั้นยังไม่เกิดก็ควรต้องทำ หรือการเลือกคนดี ๆ เข้ามาช่วยทำงานกรองที่เห็นการเปิดโอกาสให้มากขึ้นกว่านี้

- ปฏิรูปการเมืองด้วยการแก้ไขรัฐธรรมนูญถือเป็นทางออกความขัดแย้ง

ถามว่ามันเป็นทางออกของความขัดแย้งหรือเปล่า...ไม่ เพราะความขัดแย้งในวันนี้มันเกินเลยจาก 3 มาตรานี้ไปแล้ว ต้องยอมรับว่ารัฐธรรมนูญ 2550 มีหลายอย่างต้องแก้ไข ที่ถูกคือควรร่างรัฐธรรมนูญใหม่ขึ้นมาด้วยซ้ำไป จนวันนี้ใช้มา 6 ปีแล้ว เราได้เห็นจุดอ่อนจุดแข็งของรัฐธรรมนูญฉบับนี้แล้ว

ถ้าเราจะทำรัฐธรรมนูญที่ดีที่สุดสำหรับปัจจุบันและเป็นที่ยอมรับ การร่างขึ้นมาใหม่น่าจะเป็นทางที่ดีที่สุด แต่ตรงนั้นยังคาอยู่ในวาระ 3 ยังไปต่อไม่ได้ มันก็เหมือนกับระหว่างนี้ถ้ายังให้ยารักษาตามอาการไม่ได้ ก็ให้ยาบรรเทาไปก่อนแล้วกัน

- มอง 2 ปีของรัฐบาลยิ่งลักษณ์อย่างไร

หลายอย่างก็สอดคล้องกับสภาพปัญหา ณ เวลานั้น แต่นายกฯยิ่งลักษณ์เข้ามาในช่วงที่ความขัดแย้งขึ้นสู่กระแสสูง เพราะฉะนั้น บุคลิกของนายกฯยิ่งลักษณ์ ที่เป็นผู้ที่อดทนรับฟังความคิดเห็น อดทน และไม่โต้ตอบ ก็เป็นบุคลิกที่สอดคล้องกับสถานการณ์

แต่ 2 ปีหลังจากนี้ ถ้าไม่มีอุบัติเหตุทางการเมืองเสียก่อน คนคาดหวังว่ารัฐบาลจะต้องทำอะไร ไม่เพียงแต่ช่วยทำให้สถานการณ์แต่จะต้องวางรากฐานการพัฒนาทั้งการเมือง เศรษฐกิจ สังคมด้วย

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเศรษฐกิจกับการศึกษา จะต้องเห็นอะไรที่เป็นรูปธรรมชัดเจนมากขึ้น เรื่องเศรษฐกิจระยะสั้นที่มันชะลอตัว ซึ่งวันนี้ต้องยอมรับ ถ้าเรายังไม่ยอมรับว่าเศรษฐกิจยังไม่ชะลอตัว...มันไม่ได้ เริ่มต้นต่อได้แล้วว่าเศรษฐกิจเรามีปัญหา เพราะฉะนั้น ระยะสั้นต้องทำอะไร มันต้องทำ ต้องมีอะไรบางอย่างที่ทำออกมาเพื่อให้มันไม่เกิดความรู้สึกว่าสูญเสียความเชื่อมั่นของผู้บริโภค สูญเสียความเชื่อมั่นของนักลงทุน จึงต้องมีบางอย่างที่ทำ ผมเชื่อว่ามันทำได้ แล้วแง่ระยะยาวมันอาจเห็นผลในอีก 2-3 ปีข้างหน้า เพราะต้องหวังผลตั้งแต่วันนี้ แต่ระยะสั้นไม่ทำไม่ได้ ต้องทำ

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
----------------------------------------------

วันพุธที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2556

เงียบ !! MOU ค้าข้าวไทย-จีน

ไม่มีใครกล้าถามปมจีนเซ็นเอ็มโอยูซื้อข้าวไทยปีละ 1 ล้านตัน รมว.พาณิชย์ก็ไม่ชี้แจง

ที่ประชุมครม.เปิดเผยว่า  มีวาระที่นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เสนอขอเพิ่มวงเงินในการดำเนินการโครงการรับจำนำข้าวเปลือกปีการผลิต 2555/2556 จำนวน 6,660 ล้านบาท ซึ่งครม.ก็ให้ความเห็นชอบ แต่ทั้งนี้ในวาระดังกล่าวนายนิวัฒน์ธำรงซึ่งเป็นเสนอเข้ามาเองกลับไม่ได้เอ่ยปากพูดแม้แต่ประโยคเดียว เพราะผู้ที่อ่านวาระนี้ก็คือหน้าที่ของนายอำพน กิตติอำพน เลขาธิการคณะรัฐมนตรีอยู่แล้วตามปกติ แต่ทว่ารมว.เจ้าของเรื่องกลับไม่เป็นผู้เสนอหรือแสดงความเห็นอะไรเลย แต่ก็ทำให้วาระผ่านไปได้โดยง่าย

นอกจากนี้ในที่ประชุมครม. ไม่ได้มีการพูดถึงกรณีที่จีนทำบันทึกความตกลงกับขอซื้อข้าวจากไทยแบบจีทูจีจำนวน 1 ล้านตันต่อปี โดยไม่มีใครสอบถาม รวมทั้งนายนิวัฒน์ธำรงเองก็ไม่ได้อธิบายเรื่องดังกล่าวให้ ครม.ฟังด้วย อย่างไรก็ตามในการประชุมครม.เมื่อวันที่ 8 ตุลาคมที่ผ่านมาที่มีพล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานในการประชุมครม.แทนนายกรัฐมนตรีที่ติดภารกิจในการไปประชุมเอเปคและอาเซียนซัมมิทนั้น ครม.ได้เห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างราชอาณาจักรไทยและสาธารณรัฐประชาชนจีนจำนวน 6 ฉบับด้วยกัน ซึ่งทั้งหมดมีการเสนอเข้ามาเป็นวาระจร คือเพิ่งเสนอเข้ามาก่อนการประชุมในเช้าวันนั้น ซึ่งทำให้เจ้าหน้าที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีไม่ได้ตรวจสอบรายละเอียด จนในที่สุดครม.ก็ให้ความเห็นชอบร่างฯทั้ง6ฉบับ แต่ทั้งนี้นายอำพน กิตติอำพน ได้กล่าวในที่ประชุมครม.ฝากรัฐมนตรีทุกคนว่า ถ้าเป็นวาระที่เป็นหนังสือสัญญากับต่างประเทศไม่อยากจะให้เสนอมาเป็นวาระจร เพราะสำนักเลขาครม.ไม่ได้อ่านล่วงหน้าและไม่ได้กระจายให้ครม.ช่วยกันดูรายละเอียดล่วงหน้าด้วย จึงอยากจะให้เสนอเข้ามาเป็นวาระปกติเพื่อจะได้มีเวลาตรวจสอบ

อย่างไรก็ตามหนึ่งวาระที่มีการลงนามร่วมกับจีนที่ครม.ให้ความเห็นชอบและมีการลงนามกันไปแล้วคือ วาระที่ "ขออนุมัติการจัดทำเอกสารบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักไทยและรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนว่าด้วยโครงการความร่วมมือของรัฐบาลในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในประเทศไทยที่เชื่อมโยงกับการชำระค่าใช้จ่ายด้วยสินค้าเกษตร

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
-----------------------------

วันอังคารที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2556

หม่อมอุ๋ย. ร่อน จม.เปิดผนึกจี้นายกฯเลิกจำนำข้าว !!

ปรีดิยาธร.สุดทนรัฐเจ๊งจำนำข้าว-คอร์รัปชัน ร่อนจดหมายเปิดผนึกถึงนายกฯยิ่งลักษณ์ จี้ยกเลิกโครงการรับจำนำ 2 ปี เสียหายไม่น้อยกว่า 4.25 แสนล้า

ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล อดีตรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้เขียนจดหมายเปิดผนึกถึงนายกรัฐมนตรี เสนอให้ยกเลิกโครงการจำนำข้าว โดยระบุว่า ในฐานะคนไทยคนหนึ่งได้ติดตามความคืบหน้าของโครงการรับจำนำข้าวราคาสูงด้วยความวิตกกังวลว่าจะเกิดผลสูญเสียต่องบประมาณของประเทศชาติเป็นจำนวนมากและมีการคอร์รัปชันกันมากมาย จากการวบรวมข้อมูลที่หน่วยราชการประกาศออกมาขากข้อมูลใฝนวงการค้าค้าของเอกชนและจากการสำรวจข้อมูลชาวนาเพิ่มเติม สามารถสรปุผลของการจำนำใน 2 ปีที่ผ่านมา โดยมีปริมาณรับจำนำปี 2554/2555 ปริมาณ 21,640,000 ตัน ปี 2555/2556 ปริมาณ 22,230,000 ตัน รวม 48,870,000 ตัน

ปริมาณที่ช่วยเหลือเพื่อประโยชน์ส่วนเพิ่มจริงปี 2555/2556 ปริมาณ 890,000 ตัน เกิดผลสูญเสียจนถึงวันที่ขายข้าวหมด ปี 2554/2555 มูลค่าอย่างน้อย 205,000 ล้านบาท ปี 2555/2556 มูลค่าอย่างน้อย 220,000 ล้านบาท รวมผลสูญเสีย 425,000 ล้านบาท โดยเกิดประโยชน์กับชาวนา ปี 2554/2555 วงเงิน 103,277 ล้านลบาท ปี 2556/2556 วงเงิน106,849 ล้านบาท รวมประโยชน์ชาวนาได้รับ 210,126 ล้านบาท

โดยมีประโยชน์ส่วนอื่นที่ไม่ตกถึงมือชาวนา ปี 2554/2555 วงเงิน 56,967 ล้านบาท ปี 2555/2556 วงเงิน 58,864 ล้านบาท รวมเป็นวงเงิน 115,831 ล้านบาท มีครัวเรือนที่เข้าโครงการปี 2554/2555จำนวน 2163,000ครัวเรือน ปี 2555/2556 จำนวน 2,108,000ครัวเรือน มีจำนวนครัวเรือนที่ไม่ได้รับเงินโครงการปี 2554/2555 จำนวน 1,839,000 ครัวเรือน ปี 2555/2556 จำนวน 1,894,000 ครัวเรือน

ข้อมูลที่เสนอคิดจากพื้นฐานของข้อเท็จจริงที่สามารถยืนยันได้จากข้อมูลหน่วยงานรัฐมีอยู่ แม่แต่ผลของอนุนกรรมการปิดบัญชีของรัฐก็สอดคล้องรองรับผลสูญเสียที่เกิดขึ้น

เมื่อเริ่มโครงการเดือนต.ค. 2554 ท่านนายกฯ คงมองไม่เห็นผลสูญเสียต่องบประมาณมากมายขนาดนี้ เพียง 2 ปีสูญเสียไปแล้วไม่น้อยกว่า 425,000 ล้านบาท ขณะที่ชาวนาได้รับผลประโยชน์ไม่ถึงครึ่ง แต่กลับมีผู้อื่นที่มิใช่ชาวนาใช้ช่องโหว่ทำการคอร์รัปชัน หาประโยชน์เข้าตนเองไปมากกว่า 110,000 ล้านบาทในเวลา 2 ปี กาลเวลาได้พิสูจนืแล้วว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐไม่สามรารถสกัดกั้นการหาประโยชน์ หรือคอร์รัปชันในโครงการนี้ได้เลย

เมื่อได้ทราบข้อเท็จจริงเช่นนี้แล้ว ถ่้าท่านนายกฯยังเชื่อบุคคลที่อยู่รอบข้าง ยินยอมให้โครงการนี้ดำเนินต่อไปเป็นปีที่ 3 (2556/2557)ก็เท่ากับว่าท่านกำลังปล่อยให้มีการบริหารงานแผ่นดิน ในลักษณะที่เกิดความเสียหายต่องบประมาณของชาติจำนวนสูงๆ ทั้งๆที่รู้แล้วว่าจะเสียหายเช่นนั้น

ผมเข้าใจดีว่าท่านต้องการช่วยให้ชาวนามีรายได้สูงขึ้น ท่านก็น่าจะหาวิธีช่วยเหลือในลักษณะที่เกิดผลสูญเสียเงินของแผ่นดินไม่มากไปกว่าผลประโยชน์ส่วนที่ชาวนาจะได้รับเพิ่ม โดยไม่เปิดโอกาสให้ผู้อื่นเกาะหลังชาวนาหาประโยชน์ได้เลยและควรจะเป็นวิธีการกระจายประโยชน์ไปถึงชาวนาที่มีฐานะยากจนให้มากขึ้นอีกด้วย นอกจากนี้เพื่อป้องกันไม่มิให้เกิดความเสียหายจากการเน่าเสียของข้าวก็ควรใช้วิธีช่วยเหลือชาวนาในลักษณะที่มิได้ไปดึงดูดให้ข้าวมารวมกันอยู่ในมือรัฐบาล แต่ควรให้มีการค้าขายข้าวผ่านระบบการค้าของเอกชนที่ทำได้ดีอยู่แล้ว โดยไม่เกิดความเสียหายแก่รัฐแต่อย่างใดเลย

วิธีการช่วยเหลือที่จะให้เกิดผลดังกล่าวนั้น รัฐบาลของท่านได้เริ่มนำมาใช้แล้วในกรณีของยางพารา ที่จ่ายเฉพาะส่วนเพิ่มที่ต้องการให้ชาวสวนยางได้รับโดยตรง ไม่เปิดโอกาสให้ผู้อื่นหาผลประโยชน์ได้ และระบบการค้ายางก็ยังดำเนินไปปกติ ไม่ได้ดึงดูดยางเข้ามาอยู่ในมือรัฐ ซึ่งเสี่ยงต่อการขาดทุนหรือคอร์รัปชันในช่วงการขายออก นอกจากนี้กระทรวงพาณิชย์ก็เริ่มใช้วิธีเดียวกันนี้ในการให้ความช่วยเหลือแก่ชาวนาสำหรับข้าว 890,000 ตัน ซึ่งเป็นจำนวนสุดท้ายที่ให้ความช่วยเหลือในปีการผลิต 2555/2556 นี้เอง ดดยจ่ายเข้าบัญชีชาวนาโดยตรง เฉพาะผลประโยชน์ส่วนเพิ่ม จำนวน 2,500 บาทต่อเกวียนเท่านั้น ไม่ได้รับจำนำในราคา 15,000 บาทต่อเกวียนแต่อย่างใด

ผมจึงใคร่ขอร้องให้ท่านนายกรัฐมนตรี ได้โปรดทบทวนเรื่องนี้อย่างจริงจัง ยังไม่สายเกินไปที่จะยกเลิกวิธีการรับจำนำแล้วกันมาใช้วิธีจ่ายผลประโยชน์ส่วนเพิ่มให้ชาวนาโดยตรงแทน โดยกำหนดยอดสูงสุดต่อครัวเรือนและตั้งกฎเกณฑ์ให้กระจายไปถึงครัวเรือนที่มีฐานะยากจนเพิ่มขึ้นด้วย ถ้าท่านทำได้เช่นนี้ ท่านก็จะได้ชื่อว่าได้ทำงานสมกับตำแหน่งนากยรัฐมนตรี ที่ดูแลป้องกันมิให้เงินของแผ่นดินต้องสูญเสียมากเกินความจำเป็นและยังสามารถช่วยชาวนาได้ทั่วถึงมากขึ้นอีกด้วย

ขอแสดงความนับถือ
ม.ร.ว. ปรีดิยาธร เทวกุล

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
--------------------------------------

แอปเปิล.. ขึ้นแท่น แพงที่สุดในโลก !!

ค่ายแอปเปิลสร้างปรากฏการณ์สะท้านโลกอีกครั้ง ด้วยการล้มแชมป์ ยี่ห้อ "โคคา-โคล่า" ที่ครองตำแหน่งตราผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าแพงที่สุดในโลกต่อเนื่อง มายาวนานถึง 13 ปีลงได้อย่างราบคาบ

รายงานฉบับล่าสุดว่าด้วยการจัดอันดับตราผลิตภัณฑ์ที่ดีที่สุดในโลก (Best Global Brands)100 อันดับ ซึ่งจัดทำโดย "อินเตอร์แบรนด์คอร์ป" ภายใต้หลักเกณฑ์การศึกษาวิเคราะห์ข้อมูล 3 ส่วนคือขีดความสามารถในการสร้างหลักประกันที่ดีทางด้านรายได้ ฐานะการเงินที่มั่งคั่งมั่นคง และความมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของกลุ่มเป้าหมาย มีบทสรุปสุดท้ายระบุว่า "แอปเปิล" คือตราผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าสูงสุดเป็นอันดับ 1 ของโลกประจำปีนี้ โดยมีมูลค่าสูงถึง 98,300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นจากมูลค่าเมื่อปีที่แล้วถึงร้อยละ 28

ตราผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าสูงสุดเป็นอันดับ 2 ได้แก่ "กูเกิลอิงค์" ซึ่งมีมูลค่าตราผลิตภัณฑ์ขยับตัวสูงขึ้นจากปีที่แล้วถึงร้อยละ 34 เป็น 93,300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

"โคคา-โคล่า" ซึ่งเคยครองตำแหน่งตราผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลกติดต่อกันมาถึง 13 ปี 13 สมัย ถูก "แอปเปิล" เบียดหล่นตุ๊บจากที่ 1 มาอยู่ที่ 3 ด้วยมูลค่า 79,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นจากมูลค่าเมื่อปีที่แล้วเพียงแค่ร้อยละ 2

สำหรับตราผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าสูงสุดเป็นอันดับที่ 4 ใน 10 อันดับสูงสุดของทำเนียบตราผลิตภัณฑ์ที่ดีที่สุดในโลกได้แก่ "ไอบีเอ็ม"

อันดับ 5 ได้แก่ "ไมโครซอฟท์"
อันดับ 6 ได้แก่ "ยีอี"
อันดับ 7 ได้แก่ "แมคโดนัลด์"
อันดับ 8 ได้แก่ "ซัมซุง"
อันดับ 9 ได้แก่ "อินเทล"
อันดับ 10 ได้แก่ "โตโยต้า"

ในจำนวน 10 อันดับแรกของทำเนียบ100 ตราผลิตภัณฑ์ที่ดีสุดในโลกประจำปีนี้ ชัดเจนว่ามีการกระจุกตัวอยู่ในตราผลิตภัณฑ์ ของกลุ่มสินค้าเทคโนโลยีสารสนเทศมากที่สุดถึง 5 อันดับ

ยิ่งไปกว่านั้น สาระสำคัญในรายงานฉบับเดียวกันของอินเตอร์แบรนด์คอร์ป ยังประมวลมูลค่ารวมของตราผลิตภัณฑ์ในกลุ่มสินค้าเทคโนโลยีสารสนเทศอีกด้วยว่ามีมูลค่ารวมกันถึง 448 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ จากมูลค่ารวมของ 100 ตราผลิตภัณฑ์ จำนวน 1.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ

ทั้งนี้ ตราผลิตภัณฑ์ในกลุ่มสินค้าเทคโนโลยี ที่มีอัตราการเพิ่มขึ้นของมูลค่าที่น่าตื่นเต้น แต่ยังไม่ติด 10 อันดับแรกของทำเนียบ ได้แก่ "เฟซบุ๊ก" ซึ่งถูกจัดอยู่ในอันดับที่ 52 มีมูลค่าตราผลิตภัณฑ์เพิ่มขึ้นร้อยละ 43 และ "อเมซอน" ซึ่งถูกจัดอยู่ในอันดับที่ 29 มีมูลค่าตราผลิตภัณฑ์เพิ่มขึ้นร้อยละ 27

ความเคลื่อนไหวของมูลค่าตราผลิตภัณฑ์ในกลุ่มสินค้าเทคโนโลยีสารสนเทศ มีทั้งสดใส สวยงาม และน่าสลดหดหู่

ตราผลิตภัณฑ์ในกลุ่มสินค้าเทคโนโลยีสารสนเทศ ที่มีความเคลื่อนไหวของมูลค่าย่ำแย่ลง แต่ยังสามารถรักษาอันดับในทำเนียบ 100 ตราผลิตภัณฑ์ที่ดีสุดในโลกเอาไว้ได้คือ "โนเกีย" "ยาฮู" และ "แบล็คเบอร์รี่"

เฉพาะ "โนเกีย" ที่ตอนนี้กำลังอยู่ระหว่างดำเนินกระบวนการถ่ายโอนสัญชาติจาก "ฟินแลนด์" ไปเป็น "อเมริกัน" หลังจากบรรลุข้อตกลงขายกิจการให้เป็นทรัพย์สินของ "ไมโครซอฟท์" สัญชาติอเมริกัน ดูจะมีมูลค่าตราผลิตภัณฑ์ตกต่ำรุนแรงที่สุด กระทั่งอันดับในปีนี้ดิ่งพสุธาจากอันดับที่ 19 เมื่อปีที่แล้ว ไหลไปหยุดอยู่ที่อันดับ 57 ในปีนี้

สำหรับตราผลิตภัณฑ์รายใหม่ที่เลื่อนขั้นขึ้นมาอยู่ในทำเนียบ 100 ตราผลิตภัณฑ์ที่ดีสุดในโลกในรอบปีนี้มีอยู่ 3 รายด้วยกันคือ "ดิสคัฟเวอรี่" "ดูราเซลล์" และ "เชฟโรเลต"

ที่มา.สยามธุรกิจ
--------------------------------------------

วันจันทร์ที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2556

สร้างวินัย ใช้กฎหมายเข้ม กู้วิกฤตจราจร !!?

แค่โยนก้อนหินถามทางเสนอแนวคิดห้ามรถยนต์อายุใช้งานเกิน 7-10 ปี เข้าพื้นที่กรุงเทพมหานคร (กทม.) ก็โดนรุมคัดค้านหนัก ทำให้ พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ต้องออกโรงชี้แจงว่าเป็นเพียงนำเสนอทางเลือกแก้ไขปัญหาการจราจรที่กำลังวิกฤต แต่ที่จะนำร่องปฏิบัติ คือ การจับ ปรับ ข้อหาจอดรถในพื้นที่ห้ามจอดบางจุดในถนนสายหลัก 10 สาย ประกอบด้วย ถนนลาดพร้าว พระราม 4 รัชดาภิเษก พหลโยธิน วิภาวดีรังสิต สาทรเหนือ เพชรบุรี และรามคำแหง เริ่มตั้งแต่ 21 ตุลาคมนี้ ซึ่งกระแสการตอบรับของสาธารณชนมีมากกว่า

ที่ผ่านมามีความพยายามหลายต่อหลายครั้ง จะแก้วิกฤตจราจรย่านใจกลางเมือง ด้วยการจำกัดปริมาณรถ แต่ไม่อาจต้านเสียงวิพากษ์วิจารณ์ที่มีตามมา เลยมักจบลงคล้าย ๆ กัน คือ เงียบหายไปกับสายลม เช่น จะให้รถทะเบียนเลขคู่กับเลขคี่สลับวิ่ง ซึ่งถูกจุดประกายนับครั้งไม่ถ้วน สุดท้ายก็ไม่สามารถผลักดันไปสู่การปฏิบัติได้ ไม่ต่างไปจากครั้งนี้ที่ไม่ทันนับหนึ่งก็ต้องถอยตั้งหลัก

แม้ทุกฝ่ายเห็นสอดคล้องตรงกันปัญหาการจราจรใน กทม.ขณะนี้หนักเลยจุดวิกฤตไปแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังปริมาณรถเพิ่มขึ้นก้าวกระโดดช่วงหลายปีที่ผ่านมา

ข้อมูลจากกรมการขนส่งทางบกระบุว่า สาเหตุที่การจราจรใน กทม.ติดขัดหนักขึ้นส่วนหนึ่งมาจากโครงการรถยนต์คันแรกที่ออกสู่ถนนมากขึ้น โดยสถิติจำนวนรถยนต์จดทะเบียนปี 2555 มีรถยนต์ภายใต้โครงการรถยนต์คันแรกใน กทม.มากถึง 244,172 คัน ขณะเดียวกันจำนวนรถยนต์ใน กทม.เพิ่มมากขึ้นทุกปี โดยสิ้นปี 2555 มีรถยนต์นั่งส่วนบุคคลรวม 2,975,548 คัน รถจักรยานยนต์ 2,845,973 คัน และรถอื่น ๆ รวม 7,381,714 คัน ส่งผลให้ถนน

ทั้งสายหลักสายรองซึ่งแม้จะมีความยาวรวม 5,400 กิโลเมตรไม่พอรองรับ ประกอบหลายสายถูกปิดกั้นช่องทางจราจรก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้า ทำให้ปัญหารถติดที่หนักหนาสาหัสอยู่แล้ววิกฤตหนักยิ่งขึ้น

ถือเป็นเรื่องดีที่ ผบ.ตร.ในฐานะผู้รักษากฎหมายพยายามหาทางแก้ โดยนำระเบียบข้อกฎหมายมาบังคับใช้อย่างเข้มงวด เพราะปฏิเสธไม่ได้ว่าสาเหตุส่วนหนึ่งที่ทำให้การจราจรใน กทม.ติดขัดหนักมาจากผู้ใช้รถใช้ถนนไม่เคารพกฎหมาย ขณะที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่ว่าจะเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจจราจร กทม. เจ้าหน้าที่กรมการขนส่งทางบก ฯลฯ ก็ปฏิบัติหน้าที่หย่อนยานไม่เข้มงวด กลายเป็นต้นเหตุทำให้เกิดอุบัติเหตุ และปัญหาการจราจร

ดังนั้น หากปรับรื้อใหญ่คุมเข้มการใช้รถใช้ถนน โดยบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจังกับผู้ที่ละเมิดฝ่าฝืน ควบคู่กับการรณรงค์ให้คนทุกเพศทุกวัยมีวินัยการจราจร น่าจะช่วยแก้การจราจรที่วิกฤตให้บรรเทาลงได้บ้าง

ขณะเดียวกัน อาจต้องยกเครื่องการบริหารจัดการโครงข่ายเส้นทางคมนาคมทั้งระบบ โดยนำสถิติข้อมูล ตลอดจนเทคนิคทางด้านวิศวกรรมการจราจรมาปรับใช้ พร้อมเร่งปรับปรุงพัฒนาระบบขนส่งมวลชนรองรับการเดินทางของประชาชน เพื่อลดปริมาณการใช้รถยนต์ส่วนบุคคล ซึ่งจะเกิดผลดีทั้งทางตรงและทางอ้อม ช่วยแก้รถติด ลดการเกิดอุบัติเหตุ ลดมลพิษ รวมทั้งประหยัดการนำเข้าพลังงาน ฯลฯ อย่างไรก็ตาม ทั้งหมดนี้ยากจะเกิดผลในทางปฏิบัติได้ ถ้าหากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่มีนโยบายที่ชัดเจน และลงมือปฏิบัติตั้งแต่วันนี้

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
-------------------------------------

พงษ์เทพ เทพกาญจนา ชี้ประชาธิปไตยไทยต้องใช้เวลา !!?

มูลนิธิ 14 ตุลา จัดงานรำลึก 40 ปี 14 ตุลา "พงศ์เทพ"เข้าร่วม ชี้มีประชาธิปไตยไทยต้องใช้เวลา มั่นใจได้มาเมื่อไหร่ประเทศแข็งแรง

มูลนิธิ 14 ตุลา จัดงานรำลึกครบรอบ 40 ปี 14 ตุลา 16 ที่อนุสรณ์สถาน(แยกคอกวัว) โดยบรรยากาศในช่วงเช้าได้มีพิธีตักบาตรพระสงฆ์ด้านหน้าอาคารอนุสรณ์สถาน 14 ตุลา 16 จำนวน 14 รูป ต่อมาได้มีพิธีกรรมทางศาสนาเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้ผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 และพิธีวางพวงมาลาและกล่าวสดุดีวีรชนเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 โดยได้มีนายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รองนายกรัฐมนตรี เป็นผู้แทนนายกรัฐมนตรีวางพวงมาลาและกล่าวสดุดี

โดยนายพงศ์เทพ กล่าวสดุดีว่า วันนี้ 14 ตุลา เป็นวันที่ครบรอบ 40 ปี ที่มีนิสิตนักศึกษาออกมาต่อสู่เพื่อประชาธิปไตย เป็นความเสียสละของคน 14 ตุลา ที่กล้าเผชิญหน้ากับอาวุธด้วยมือเปล่า ทำให้ประชาธิปไตยไทยไปสู่อีกยุคหนึ่ง ทั้งนี้ประชาธิปไตยต้องใช้เวลา ไม่สามารถสำเร็จได้ทันที อย่างไรก็ตามเมื่อมีประชาธิปไตยประเทศก็จะแข็งแรงขึ้น

นอกจากนี้ยังมีนายวัฒนา เซ่งไพเราะ โฆษกประธานรัฐสภา เป็นผู้แทนประธานรัฐสภา นายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย รองประธานวุฒิสภาคนที่หนึ่ง เป็นผู้แทนประธานวุฒิสภา นายชำนิ ศักดิเศรษฐ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ เป็นผู้แทนผู้นำฝ่ายค้าน นางผุสดี ตามไท รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เป็นผู้แทนผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร นายนิรันดร์ พิทักษ์วัชระ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ

นายธีรภัทร์ เสรีรังสรรค์ ประธานสภาพัฒนาการเมือง ผู้แทนญาติวีรชน 14 ตุลา ผู้แทนฝ่ายประชาธิปไตยและแรงงาน ผู้แทนชาวบ้านนักต่อสู้เพื่อสิทธิชุมชน ผู้แทนเยาวชน/นิสิต-นักศึกษา วางพวงมาลาและกล่าวสดุดีด้วย ทั้งนี้ยังได้มีญาติผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์และประชาชน ได้จุดประทัดเพื่อเป็นการสดุดีด้วย อย่างไรก็ตามได้มีประชาชนเข้าร่วมกิจกรรมจำนวนมาก

และในเวลาต่อมา 10.00 น. ได้มีการแถลงข่าวเปิดตัวแสตมป์ที่ระลึกชุด "ตราไปรษณียากร วัน 14 ตุลาประชาธิปไตย" และ "แสตมป์เพื่อการสะสม 20 ภาพเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516" โดยบริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
---------------------------------------------