--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันเสาร์ที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2556

ปิดฉาก ส.ว.สรรหา สิ่งปฏิกูลการเมือง !!?

โดย.นพคุณ ศิลาเณร

ทุกความพยายามของกลุ่มสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) สรรหาเพื่อล้มการ แก้ไขรัฐธรรมนูญให้วุฒิสภามาจากการเลือกตั้งของประชาชนล้วนล้มเหลว ไม่เป็นท่า

ความหวังสูงสุดของ ส.ว.สรรหาหรือพวกลากตั้งฝากไว้กับศาลรัฐธรรมนูญ แต่การตัดสิน "ยกคำร้อง" ข้อหา "ขัดรัฐธรรมนูญตามมาตรา 154 (1)" และปราศจากคำสั่งให้ชะลอการทูลเกล้าฯ

ไม่เพียงเท่านั้น ความอยากเล่นงาน รัฐบาล ด้วยการยื้อกฎหมายงบประมาณปี 2557 ว่าขัดรัฐธรรมนูญ แต่ศาลรัฐธรรมนูญ ตัดสิน "ไม่ขัด" ย่อมทำให้ ส.ว.กลุ่มนี้หมด หนทางตีรวนการเมืองไปเรื่อยๆ

นั่นสะท้อนถึงเวลาจวนเจียน "ปิดฉาก" ส.ว.ลากตั้งใกล้เข้ามาทุกขณะ

สิ่งสุดท้ายที่เหลืออยู่ คงเป็นเพียงข้อกล่าวหา "ล้มการปกครอง" ตามมาตรา 68 ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้อง ไว้พิจารณา แต่ต้องคาบเกี่ยวกับเงื่อนเวลาการลงพระปรมาภิไธยด้วย

ระหว่างขั้นตอนลงพระปรมาภิไธย กับการตัดสินตามมาตรา 68 ของศาลรัฐธรรมนูญจึงเต็มไปด้วยอาการลุ้นทั้ง ส.ว.ลากตั้งและน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ผู้ยื่นทูลเกล้าฯ ตามขั้นตอน มาตรา 291 (7) ประกอบมาตรา 150 ที่กำหนดไว้ภายใน 20 วัน

ขั้นตอนนี้ ต้องรอด้วยความระทึก เพราะทุกความเป็นไป ย่อมเกิดเป็นจริงได้เสมอ

นับตั้งแต่ปี 2475 เรื่อยมาจนถึงปัจจุบันไทยมีรัฐธรรมนูญทั้งสิ้น 18 ฉบับ ในจำนวนนี้กำหนดให้มี ส.ว.เพียง 9 ฉบับ คือ รัฐธรรมนูญ 2489, 2490, 2492, 2511, 2517, 2521, 2534, 2540 และ รัฐธรรมนูญ 2550 ฉบับของกลุ่มยึดอำนาจ เมื่อกันยายน 2549 ผลักดันให้เกิดขึ้น

หากลงในรายละเอียดแล้ว ทั้ง 9 ฉบับเกี่ยวกับที่มาของ ส.ว.นั้น มาจากการ เลือกตั้งเพียง 3 ฉบับเท่านั้น คือ รัฐ-ธรรมนูญ 2489, 2540 และฉบับ 2550 (มีทั้งการเลือกตั้งและสรรหา) นอกนั้นล้วนมาจากการลากตั้งทั้งสิ้น

อย่างไรก็ตาม การเลือกตั้ง ส.ว.ที่โดดเด่นที่สุดคือ รัฐธรรมนูญ 2540 กำหนด ให้มี ส.ว.จำนวน 200 คน แต่ใช้ได้เพียง 9 ปี ก็ถูกคณะทหารยึดอำนาจฉีกทิ้งเมื่อปี 2549

แล้วคลอดรัฐธรรมนูญ 2550 ฉบับ ปัจจุบันขึ้น และกำหนดให้ ส.ว.มาจากการ เลือกตั้งอีกครั้งแต่ไม่ทั้งหมด โดยผสมส่วน ระหว่างการเลือกตั้งกับลากตั้งในสัดส่วน เลือกตั้งจังหวัดละ 1 คนจำนวน 76 คน และลากตั้งอีก 74 คน รวมเป็น 150 คน

ในปัจจุบัน ส.ว.ลากตั้งมาจากการสรรหาของคณะกรรมการสรรหา ประกอบ ด้วย ประธานศาลรัฐธรรมนูญ, ประธานกรรมการการเลือกตั้ง, ประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน, ประธานกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ประธาน กรรมการตรวจเงินแผ่นดิน ผู้พิพากษาศาลฎีกา และตัวแทนตุลาการศาลปกครอง สูงสุด

นั่นแปลความว่า รัฐธรรมนูญให้อำนาจคน 7 คน แต่งตั้ง ส.ว. 74 คน ดูเหมือนจงใจที่จะเป็นปรปักษ์กับอำนาจอธิปไตยของปวงชนชาวไทยทั้งประเทศที่เลือกตั้ง ส.ว. 76 คน

ความน่าสนใจของ ส.ว.ลากตั้งปัจจุบันคือ มีที่มาจากอดีตตำรวจ 6 คน อดีตทหาร 11 คน อดีตข้าราชการพลเรือน 18 คน รวมจำนวนอดีตข้าราชการทั้งหมด ถึง 35 คน นอกจากนี้ มีนักกฎหมายถึง 11 คน

แสดงว่ามีการลากตั้งแบบ "กระจุก" ซึ่งสะท้อนถึงปัญหาของคณะกรรมการสรรหาทั้ง 7 คน มีกระบวนการเลือกพวกมากกว่าเน้น "ความหลากหลาย" จากกลุ่มอาชีพ

โปรดสังเกตว่า ส.ว.ลากตั้งเกิดจากการเลือกของคน 7 คน ที่ "ไม่ถูกใจ" รัฐบาลจากพรรคเพื่อไทย

ย่อมทำให้ ส.ว.ลากตั้งกลายเป็น "ปรปักษ์" ทางการเมืองอย่างน่ารำคาญ เพราะงัดข้อหาตีรวนให้ศาลรัฐธรรมนูญเล่นงานรัฐบาลได้ทุกเรื่อง

ด้วยเหตุนี้การแก้ไขรัฐธรรมนูญให้ ส.ว.มาจากการเลือกตั้ง ไม่เพียงแต่มีมิติ "ความเท่าเทียมทางการเมือง" เท่านั้น แต่มีเป้าหมาย "ล้ม" อำนาจกลุ่มอภิสิทธิ์ชนทั้ง 7 คนอย่างสำคัญด้วย

เมื่อปัญหามาจากเหตุ ย่อมต้องแก้ที่ ต้นเหตุ เพื่อล้างสิ่งปฏิกูลของเหตุให้สิ้นซาก

ส.ว.ลากตั้งขึ้นชื่อว่า เป็นปรปักษ์กับ พรรคเพื่อไทยและรัฐบาลนั้น รวมตัวกันใน "กลุ่ม 40 ส.ว." แกนนำโดดเด่นล้วนเป็นคนหน้าเดิมๆ ประกอบด้วย นายไพบูลย์ นิติตะวัน, พล.ร.อ.สุรศักดิ์ ศรีอรุณ, นายสมชาย แสวงการ, พล.อ.สมเจตน์ บุญถนอม, นายคำนูณ สิทธิสมาน, นายประสาร มฤคพิทักษ์, นายวันชัย สอนศิริ และ ส.ว. เลือกตั้ง รสนา โตสิตระกูล เข้ามาเป็นพวกด้วย

ส.ว.กลุ่มนี้เริ่มแสดงบทบาท "ปรปักษ์" กับรัฐบาล มาตั้งแต่พรรคพลังประชาชน แล้วเรื่อยมาถึงรัฐบาลจากพรรค เพื่อไทย โดยมีเบ้าหลอมอารมณ์ปรปักษ์อยู่ที่ต่อต้าน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ในรหัส ล้มระบอบทักษิณ

ผลงานของ ส.ว.ลากตั้งกลุ่มนี้ปรากฏขึ้นมาตั้งแต่ปี 2551 เริ่มจากปฏิบัติ การเปิดอภิปรายทั่วไปรัฐบาลสมัคร สุนทรเวช แล้วยื่นวินิจฉัยกรณีจัดรายการ ชิมไปบ่นไปเพื่อถอดถอนนายสมัครพ้นจากนายกรัฐมนตรี

เมื่อ ส.ว.ลากตั้งกำหนดบทบาทอยู่ฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลแล้ว พวกเขาจึงสนับสนุนการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย แล้วเรียกร้อง ให้นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ลาออกหรือยุบสภา เพื่อแสดงความรับผิดชอบต่อเหตุการณ์การสลายม็อบพันธมิตรฯ รุนแรงในวันที่ 7 ตุลาคม 2551

มาถึงรัฐบาลจากพรรคเพื่อไทย ส.ว.พวกนี้ยังคงบทบาทต้าน น.ส.ยิ่งลักษณ์ อย่างเข้มข้น พวกเขาคัดค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 291 จนศาลรัฐธรรมนูญ มีคำแนะนำให้ชะลอการลงมติวาระ 3 ไว้กระทั่งปัจจุบัน

ในสถานการณ์ต้านรัฐบาล น.ส. ยิ่งลักษณ์ พรรคประชาธิปัตย์ได้จับมือกลุ่ม 40 ส.ว. สร้างความตื่นตระหนกอีกครั้ง ด้วย การยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อล้มการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญที่มา ส.ว. จากการเลือกตั้งว่า อาจขัดมาตรา 154 และฝ่าฝืนมาตรา 68 ซึ่งเป็นการล้มการปกครอง

โอกาสของ ส.ว.ลากตั้งกับพรรคประชาธิปัตย์ที่จะล้มรัฐบาลริบหรี่อย่างยิ่ง ความหวังเดียวที่เหลืออยู่ขณะนี้คือ ลุ้นให้ศาลรัฐธรรมนูญตัดสินข้อหาฝ่าฝืนมาตรา 68 ออกมาด้านบวกกับพวกเขา แต่เป็นเพียงความปรารถนาเล็กๆ ที่พอจะคว้ามา ปลอบใจได้

เพราะความอยากในอำนาจของกลุ่ม ส.ว.ลากตั้งกว่า 7 ปีที่ผ่านมานั้น ทำให้ประชาชนตาสว่างกับการทำหน้าที่อย่างแจ่มแจ้ง โพลของศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัย กรุงเทพ (กรุงเทพโพลล์) เมื่อ 21 สิงหาคม ที่ผ่านมาระบุว่า ประชาชนร้อยละ 59.2 ต้องการให้ ส.ว.มาจากการเลือกตั้ง

นั่นเท่ากับสะท้อนว่า ส.ว.ลากตั้งไม่พึงประสงค์ของประชาชนในยุค 2556 ราวกับเป็น "สิ่งปฏิกูล" ที่ต้องถูกทำลายทิ้ง การแก้ไขรัฐธรรมนูญผ่านวาระ 3 ขณะ นี้อยู่ในขั้นตอนทูลเกล้าฯ ย่อมเป็นกระบวน ล้างปฏิกูลนี้ให้เส้นทางประชาธิปไตยประชาชนสะอาดหมดจน

ที่สำคัญคือ สัญญาณบ่งบอกถึงการเริ่มต้นเก็บกวาดอำนาจของคน 7 คน ในชื่อ "องค์กรอิสระ" นั่นเอง

ที่มา.สยามธุรกิจ
-----------------------------------------

ปตท.เหงื่อตก หลังปิดทะเลบางแสนพบคราบน้ำมันทะลักอื้อยาว 7 กม. !!?



ท่าไม่ดี..  นายกเทศมนตรีเทศบาลเมืองแสนสุข ประกาศปิดทะเลบางแสนหลังพบคราบน้ำมันทะลักยาว 7 กม.ส่งกลิ่นเหม็นฟุ้ง เร่งสอบแหล่งที่มา

นายณรงค์ชัย คุณปลื้ม นายกเทศมนตรีเทศบาลเมืองแสนสุข ต.แสนสุข อ.เมือง จ.ชลบุรี ออกประกาศแจ้งนักท่องเที่ยวและประชาชนให้หลีกเลี่ยงการลงเล่นน้ำและงดทำประมง บริเวณหาดวอนนภา หาดบางแสน และหาดแหลมแท่น หลังพบคราบน้ำมันจำนวนมากกระจายในทะเลและพื้นทราย ส่งผลให้น้ำทะเล ปนเปื้อนสารเคมี ลักษณะเป็นสีดำตลอดแนวทั้ง 3 ชายหาด ระยะทางกว่า 7 กิโลเมตร ส่งกลิ่นเหม็น ผู้ที่อยู่ในพื้นที่แสบตา จมูกและผิวหนังระคายเคือง ส่วนรัศมีของคราบน้ำมันยังไม่ทราบแน่ชัด ต้องรอผลการตรวจสอบทางอากาศ
       
อย่างไรก็ตาม หลังรับแจ้ง เทศบาลเมืองแสนสุขประสานตำรวจน้ำศรีราชา ตำรวจสภ.แสนสุข เจ้าท่าภูมิภาคจังหวัดชลบุรี สำนักทรัพยากรธรรมชาติและ สิ่งแวดล้อมจังหวัดชลบุรี สิ่งแวดล้อม ภาค 13 คณะวิทยาศาสตร์มหาวิทยาลัยบูรพา เข้าตรวจสอบพื้นที่ชายหาดเบื้องต้น พบลักษณะคราบน้ำมันเหมือนผ่านการสังเคราะห์แล้ว เนื่องจากแตกตัวเป็น ละอองเล็กๆ เมื่อเจอแสงแดด แต่ยัง ไม่ทราบว่าเป็นน้ำมันชนิดใด ต้องรอผลตรวจจากห้องปฏิบัติการ  ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ยังไม่สามารถหาที่มาของน้ำมันทั้งหมดได้ แต่แจ้งความลงบันทึกประจำวันไว้แล้ว เพื่อติดตามหาผู้ก่อเหตุมารับผิดชอบ อีกทั้งยังไม่ทราบด้วยว่ามีผลกระทบต่อระบบนิเวศน์ มากหรือน้อยเท่าใด
       
ด้านนายอำนวย สิทธิบุญ รองปลัดเทศบาลเมืองแสนสุข กล่าวว่า สถานการณ์น้ำมันรั่วไหลลงทะเลบางแสนนั้น  เทศบาลได้รับแจ้งจากนักท่องเที่ยวที่เดินเล่นบริเวณชายหาดบางแสน เมื่อเวลาประมาณ 21.30 น. วันที่ 9 ตุลาคมที่ผ่านมา  เมื่อไปตรวจสอบคราบน้ำมันมีปริมาณอยู่ในเกณฑ์ปกติ ที่น้ำมันจากเรือสกู๊ตเตอร์และเรือเล็กหาปลาในพื้นที่รั่วไหล กระทั่งช่วงเช้าวันที่ 10 ตุลาคม คราบน้ำมันเริ่มไหลทะลักมากขึ้น ทาง เทศบาลฯจึงออกประกาศปิดทะเลบางแสน ทั้ง 3 พร้อมส่งเจ้าหน้าที่โกยทรายปนเปื้อน คราบน้ำมันไปตรวจสอบว่าเป็นน้ำมันชนิดใดและเก็บตัวอย่างน้ำไปตรวจหาสารพิษปนเปื้อน คาดจะทราบผลภายใน 1-2 วันนี้  จึงต้องปิดไม่มีกำหนด เพื่อประเมินสถานการณ์ว่าจะกำจัดคราบน้ำมันออกหมดเมื่อใด อีกทั้ง รอผลทางห้องปฏิบัติการว่าชายหาดมีสารเคมีตกค้างที่จะกระทบต่อนักท่องเที่ยวหรือไม่
       
ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า ขณะนี้ พ่อค้าแม่ค้าบริเวณชายหาดต่างวิตกกังวลกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เพราะหวั่นซ้ำรอยเหตุน้ำมันรั่วที่จ.ระยอง ทำให้ นักท่องเที่ยวน้อยลง ต้องขาดรายได้ ทุกคนจึงช่วยกันทำความสะอาดเก็บคราบน้ำมัน โดยใช้ภูมิปัญญาชาวบ้านตัดกิ่งต้นมะพร้าวดักจับคราบน้ำมัน
       
ทั้งนี้ จากการลงสำรวจพื้นที่ของ ผู้สื่อข่าวประจำจ.ชลบุรี พบว่าคราบน้ำมันกระจายเป็นบริเวณกว้าง แต่ไม่ทราบที่มาที่ชัดเจน เมื่อสอบถามพนักงานของเทศบาลเมืองแสนสุขรายหนึ่ง ตั้งข้อสังเกตว่า อาจเป็นเรือใหญ่ที่ลอยลำอยู่ด้านนอกชายฝั่งถ่ายเททิ้งลงมาก็เป็นได้ เพราะคราบน้ำมันที่ลอยมาขนาดนี้ ปริมาณไม่น่าจะต่ำกว่า 1,000 ลิตรเป็นอย่างน้อย
       
ขณะที่เจ้าหน้าที่สำนักงาน สิ่งแวดล้อม ภาค 13 ระบุว่า ลักษณะคราบน้ำมันคล้ายน้ำมันเตา เริ่มพบมาตั้งแต่บริเวณแหลมแท่นไล่ลงมาถึงหาดบางแสน เห็นได้ชัดเจนบริเวณห่างจากฝั่งประมาณ 100 เมตร จึงได้เก็บตัวอย่างคราบน้ำมันไปตรวจสอบว่ามีสารเคมีอื่นอีกหรือไม่
       
อย่างไรก็ตาม ช่วงเช้าวันเดียวกันนี้ นักท่องเที่ยวออกมาเดินและลงเล่นน้ำทะเลกันอย่างสนุกสนาน โดยไม่พบคราบน้ำมันที่ตกค้าง เนื่องจากเทศบาลระดมเจ้าหน้าที่เร่งกำจัด ป้องกันความเสียหายต่อภาพลักษณ์การท่องเที่ยว


ที่มา.ทีนิวส์
-------------------------------------------

จีนเซ็น MOU ไทย ดันการค้าพุ่ง แสนล.ดอลล์ !!?

หลี่ เค่อเฉียง.ลงนามบันทึกข้อตกลงกับไทย6ฉบับ เพิ่มมูลค่าการค้า-การลงทุน 1 แสนล้านดอลลาร์ ภายในปี 2558 เตรียมนำเข้าข้าว-ยางพาราเพิ่ม

การเดินทางเยือนประเทศไทย ของ นายหลี่ เค่อเฉียง นายกรัฐมนตรีจีน วานนี้ (11 ต.ค.) ได้หารือเกี่ยวกับการค้าการลงทุนร่วมกับนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พร้อมกันนี้สองฝ่ายได้มีการลงนามบันทึกข้อตกลง (เอ็มโอยู) 6 ฉบับ ทั้งในส่วนของการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในประเทศไทยที่เชื่อมโยงกับการชำระค่าใช้จ่ายด้วยสินค้าเกษตรและความร่วมมือ ภายใต้โครงการความเป็นหุ้นส่วนทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอาเซียน-จีน

นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานรัฐสภา ให้การต้อนรับนายหลี่ เค่อเฉียง นายกรัฐมนตรีจีน ในโอกาสเดินทางเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการระหว่างวันที่ 11-13 ต.ค. นี้ เมื่อเดินทางมาถึงรัฐสภา นายกรัฐมนตรีจีน ได้หารือกับประธานรัฐสภา เพื่อสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างฝ่ายบริหารและนิติบัญญัติ ขณะที่ความสัมพันธ์กับทางรัฐสภาไทยอยู่ในระดับที่ดี

พร้อมกันนี้ยังได้มีการตั้งกลุ่มมิตรภาพสมาชิกรัฐสภาไทย-จีน ซึ่งเป็นความสัมพันธ์ในระดับทวิภาคี สำหรับความสัมพันธ์ในระดับพหุภาคีรัฐสภาทั้ง 2 ประเทศมีความสัมพันธ์กันในรูปแบบการเป็นภาคีสมาชิกสหภาพรัฐสภา หรือ ไอพียู และการประชุมรัฐสภาภาคพื้นเอเชียและแปซิฟิก หรือ เอพีพีเอฟ ร่วมกัน จีนยังมีสถานะเป็นประเทศคู่เจรจาในการประชุมสมัชชารัฐสภาอาเซียน และยังเคยเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมการเป็นหุ้นส่วนของรัฐสภาเอเชียยุโรปด้วย

จากนั้น เวลา 16.15 น. นายกรัฐมนตรีจีน ได้เข้าร่วมประชุมรัฐสภา พร้อมกล่าวสุนทรพจน์ ถือเป็นผู้นำประเทศคนแรก ที่ได้ขึ้นกล่าวสุนทรพจน์ในห้องประชุมรัฐสภาของไทย เนื้อหาโดยสรุปว่า 5 เดือนแรกของปีนี้ มีนักท่องเที่ยวจากจีนเดินทางมาเที่ยวไทยถึง 2.5 ล้านคน และเมื่อหลายปีที่แล้วตนได้เดินทางเยือนไทยรู้สึกประทับใจ ซึ่งไทยมีวัฒนธรรมทางพระพุทธศาสนา พระราชวัง เจดีย์ มีศิลปะที่เป็นเอกลักษณ์

นายกรัฐมนตรีจีน กล่าวว่า ไทยได้พบวิกฤติต่างๆ ทั้งอุทกภัยและเศรษฐกิจ แต่ผ่านพ้นมาด้วยความมุ่งมั่นและพยายาม ขณะที่ไทยและจีนมีภูมิประเทศและวัฒนธรรมใกล้เคียงกัน ทำให้เรามีความใกล้ชิดกันหลายสิบปี มีมูลค่าทางการค้า 70,000 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว 8 เท่า ไทยเป็นประเทศคู่ค้าทางการเกษตรที่สำคัญ โดยเฉพาะยางพารา ในอาเซียนไทยเป็นประเทศแรกที่มีสนธิสัญญาความร่วมมือ เป็นคู่แรก ไทยถือเป็นประเทศที่เปิดสถานกงสุลไทยมากที่สุดในจีน

เพิ่มการค้า-ลงทุนแสนล้านดอลล์ปี2558

นายกรัฐมนตรีจีน กล่าวว่า ความสัมพันธ์ไทย-จีน ต้องมีความไว้เนื้อเชื่อใจ จริงใจ ไปมาหาสู่กันมากขึ้น พร้อมยกระดับความสัมพันธ์สูงขึ้น ทั้งพันธมิตรและยุทธศาสตร์ ขณะที่มีข้อเสนอให้สืบสานวัฒนธรรมที่ผู้นำระดับสูง 2 ประเทศจะเดินทางเยือน และแผนความร่วมมือสร้างมูลค่าการค้าการลงทุน 100,000 ล้านดอลลาร์ ในปี 2558

อย่างไรก็ตาม ภายใน 5 ปี จีนจะนำเข้าข้าวไทย 1 ล้านตัน และจะขยายมากขึ้น และจะนำเข้ายางพารามากขึ้น สร้างกลไกทางการจัดการที่สำคัญเพื่อความร่วมมือทางสินค้าเกษตรมากขึ้น พร้อมเสนอให้สร้างธนาคารที่จะสามารถใช้เงินตราระหว่างประเทศชำระหนี้ เพื่อสร้างสิ่งอุปโภคบริโภคได้

นายกรัฐมนตรีจีน ยังหวังว่า นายกรัฐมนตรีไทยจะร่วมหารือตกลงความร่วมมือโครงการรถไฟฟ้าความเร็วสูงเป็นรูปธรรมกับจีน ที่จะถ่ายทอดเทคโนโลยีและยกระดับความเป็นอยู่ของประชาชน ทั้งนี้ ขอให้สมาชิกรัฐสภาไทยร่วมสนับสนุนกฎหมายที่เกี่ยวข้องระหว่าง 2 ประเทศ เพื่อความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น และสานสัมพันธ์ของ 2 ประเทศ

เล็งเลิกวีซ่านักท่องเที่ยวไทย

นอกจากนี้ จีนยังเสนอให้ยกเลิกวีซ่าสำหรับหนังสือเดินทางธรรมดาของไทย ซึ่งเป็นการตอบสนองความต้องการของรัฐบาลไทย และจะทำให้ประชาชนไปมาหาสู่กันง่ายขึ้น นอกจากนั้นยังมีความร่วมมือน่านน้ำทะเล การรักษาสิ่งแวดล้อม และคาดหวังจะบูรณาการกับไทยได้ทุกด้าน

จีนใช้สันติวิธีในแก้ปัญหาความขัดแย้ง รักษาเสถียรภาพความมั่นคงในภูมิภาคนี้ให้พัฒนายั่งยืนต่อเนื่อง เติบโตมั่นคง โดยผ่านการปฏิรูปกลไกและโครงสร้างต่างๆ เพื่อให้เราสามารถบรรลุเป้าหมาย ให้เศรษฐกิจจีนเจริญเติบโตมั่นคง ซึ่งจะเป็นโอกาสดีที่ประเทศไทยและอาเซียนจะเติบโตไปพร้อมกัน

หนุนนำเข้าข้าวไทยล้านตันใน 5 ปี

นายหลี่ กล่าวว่า จีนยินดีสนับสนุนที่จะให้บริษัทภายในประเทศนำเข้าข้าวจำนวน 1 ล้านตัน จากไทยในช่วง 5 ปีข้างหน้า โดยเว็บไซต์ของรัฐบาลกลางจีน ระบุว่านายหลี่ ได้กล่าวถ้อยคำดังกล่าวในบทความที่มีการตีพิมพ์ในสื่อไทย ก่อนการเดินทางเยือนไทยของเขา

นายหลี่ กล่าวด้วยว่า เศรษฐกิจจีนซึ่งใหญ่เป็นอันดับสองของโลก แสดงสัญญาณการขยายตัวที่แข็งแกร่งในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา โดยได้แรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นของภาคเศรษฐกิจที่แท้จริง รวมถึงการใช้ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น รวมทั้งกำไรของภาคธุรกิจและรายได้ของรัฐบาล

จีน เตรียมเปิดเผยรายงานการขยายตัวของเศรษฐกิจไตรมาส 3 ในวันศุกร์ที่ 18 ต.ค. นี้ โดยนักวิเคราะห์คาดว่าเศรษฐกิจจะขยายตัว 7.8% เทียบจากปีก่อน

"ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา เศรษฐกิจของเรามีแนวโน้มแข็งแกร่งขึ้น คาดว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศของจีน จะอยู่เหนือระดับ 7.5% ในช่วง 3 ไตรมาสแรกของปีนี้ ซึ่งเป็นอัตราการขยายตัวระดับกลางถึงระดับสูงนั้น จะทำให้บรรลุเป้าหมายที่กำหนดไว้สำหรับการพัฒนาทางสังคมและเศรษฐกิจในปีนี้"

ทั้งนี้ จีน มีเป้าหมายการขยายตัวที่ 7.5% ต่อปี ซึ่งเป็นเป้าหมายที่จีนแสดงความเชื่อมั่นว่าจะสามารถบรรลุได้ แม้อัตราดังกล่าวเป็นการขยายตัวที่ "อ่อนแอที่สุด" ในรอบกว่า 20 ปี หลัง "ชะลอตัว" 9 ใน 10 ไตรมาสที่ผ่านมา เศรษฐกิจของจีนดูเหมือนจะมีเสถียรภาพนับตั้งแต่เดือนมิ.ย. ที่ผ่านมา หลังจากจีนดำเนินมาตรการสกัดกั้นการชะลอตัว

แต่นักวิเคราะห์ เตือนว่า การดีดตัวขึ้นของกิจกรรมทางเศรษฐกิจจะดำเนินไปเพียงระยะสั้น หากรัฐบาลยังคงดำเนินการปฏิรูปเศรษฐกิจตามที่ได้ให้สัญญาไว้

'คอฟโก้'เซ็นซื้อข้าวเอกชนไทยล้านตัน

นายยรรยง พวงราช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวภายการประชุมคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการค้าข้าวเสื่อมคุณภาพ (ศปขส.) ว่าการเดินทางเยือนไทยของนายกรัฐมนตรีจีน คาดว่าเอกชนของจีนจะมีการลงนามในสัญญาซื้อขายข้าวกับสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย ราว 1 ล้านตัน เป็นข้าวของเอกชน ไม่ใช่ข้าวที่ซื้อขายแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) ในการหารือร่วมกับบริษัท คอฟโก้ (COFFCO Corporation) ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจของจีนเมื่อต้นสัปดาห์ ได้สอบถามเกี่ยวกับคุณภาพข้าวไทย โดยได้ชี้แจงให้มั่นใจในข้าวไทย เพราะว่ามีการตรวจสอบคุณภาพเป็นประจำ และไม่พบสารปนเปื้อน หรือสารตกค้างในปริมาณที่เกินกำหนด และหากไม่มั่นใจ จีนสามารถส่งบริษัทตรวจสอบคุณภาพมาตรวจสอบข้าวไทยร่วมกับบริษัทตรวจสอบของไทยได้

ด้าน นายชูเกียรติ โอภาสวงศ์ นายกกิตติมศักดิ์ สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย กล่าวว่า เมื่อวันที่ 11 ต.ค. ที่ผ่านมา สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย ได้ลงนามในสัญญาซื้อขายข้าวกับบริษัท คอฟโก้ จากจีน เพื่อซื้อข้าวหอมมะลิ ข้าวขาว และข้าวเหนียวจากไทย ปีละ 200,000 ตัน ภายในเวลา 5 ปี รวม 1 ล้านตัน อย่างไรก็ตาม ผู้ซื้อไม่ได้กังวลคุณภาพข้าวไทย เพราะว่าซื้อขายกันมานานแล้ว และเอกชนไทยก็พยายามรักษาคุณภาพข้าวให้ได้มาตรฐานอยู่เสมอ

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
---------------------------------------

วันศุกร์ที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2556

เรื่องของเขื่อน !!??

โดย วีรพงษ์ รามางกูร

แม่วงก์เป็นชื่อแม่น้ำสายหนึ่งในลุ่มน้ำสะแกกรัง วงก์เป็นคำสันสกฤตและคำบาลีด้วย ถ้าเป็นคำนามแปลว่า เบ็ด ถ้าเป็นคำวิเศษณ์ หรือคุณศัพท์ แปลว่า คดโค้ง ลดเลี้ยวไปมา ฟังชื่อก็เดาเอาได้ว่าคงจะเป็นแม่น้ำที่คดเคี้ยว เลี้ยวไปเลี้ยวมาตามซอกหรือหุบเขา อยู่ในจังหวัดนครสวรรค์

เมื่อน้ำท่วมใหญ่ หรือเมื่อมหาอุทกภัยในปลายปี 2554 คณะทำงานที่จะวางแผนป้องกันน้ำท่วมอย่างยั่งยืน มีความเห็นว่าจะต้องสร้างเขื่อนกั้นแม่น้ำยม เพื่อป้องกันน้ำท่วมซ้ำซาก ที่จังหวัดสุโขทัย และเขื่อนแม่วงก์ ที่จังหวัดนครสวรรค์ เพื่อให้เป็นระบบที่จะสามารถบริหารจัดการน้ำได้อย่างครบวงจรของแม่น้ำเจ้าพระยา

ทันทีที่มีข่าวว่ารัฐบาลจะก่อสร้างเขื่อนก็จะมีเอ็นจีโอออกมาประท้วงคัดค้าน สมัยก่อนก็จะมีแต่เสียงคัดค้านจากเอ็นจีโอในกรุงเทพฯและเมืองใหญ่ๆ ส่วนชาวบ้านที่ประสบกับปัญหาน้ำท่วมในหน้าฝนก็ดี ภาวะภัยแล้งในฤดูแล้งก็ดี จะเงียบไม่มีปากเสียง ส่วนชาวบ้านที่ถูกเวนคืนที่ดินก็จะร่วมกับเอ็นจีโอคัดค้าน

สื่อมวลชนก็จะไปสัมภาษณ์ฝ่ายที่คัดค้าน ลงข่าวฝ่ายคัดค้าน อีกทั้งนักข่าวสายสิ่งแวดล้อม

ส่วนมากนานๆ จะมีข่าวให้เล่นเสียที จึงมีทัศนคติเอนเอียงไปในทางฝ่ายอนุรักษ์และเอ็นจีโอ โครงการสร้างเขื่อนหลายๆ โครงการ ไม่ว่าจะเป็นเขื่อนผามอง เขื่อนน้ำโจน และเขื่อนอื่นๆ จึงต้องพับไป

แต่เมื่อเกิดมหาอุทกภัยครั้งหลังนี้ ปรากฏว่าจะมีการสร้างเขื่อนกันอีก กรณีเขื่อนแม่ยมและเขื่อนแม่วงก์มีชาวบ้านที่จะได้รับประโยชน์จากภัยน้ำท่วมและฝนแล้งออกมารวมตัว สนับสนุนโครงการทั้ง 2 โครงการ กลายเป็นมี 2 พวก พวกที่คัดค้านและพวกที่สนับสนุน

เท่าที่ติดตามข่าวทางสื่อมวลชนทั้งหนังสือพิมพ์และโทรทัศน์ จะเห็นได้ชัดว่าฝ่ายอนุรักษ์ธรรมชาติสิ่งแวดล้อมนั้นเป็นคนในกรุงและเมืองใหญ่ คัดค้านด้วยอุดมคติของนักอนุรักษ์ที่เป็นนามธรรม เหมือนๆ กับคนในประเทศตะวันตกที่เจริญมั่งคั่งแล้ว ประเทศเหล่านั้นทั้งในยุโรปหรืออเมริกาได้สร้างเขื่อน สร้างโครงการพื้นฐานต่างๆ อย่างเต็มที่แล้ว แม่น้ำทุกสายไม่ว่าใหญ่หรือเล็กได้ทำการสร้างเขื่อนหรือฝายเพื่อการผลิตไฟฟ้า หรือการชลประทานเต็มไปหมด

แม่น้ำดานูบก็ดี แม่น้ำสายอื่นๆ ก็ดี ล้วนแต่มีการก่อสร้างเขื่อนหรือฝาย เพื่อการชลประทานและผลิตไฟฟ้าตลอดทั้งสาย มลรัฐนิวยอร์ก เกาะแมนฮัตตันทั้งเกาะ ก็ใช้ไฟจากเขื่อนและฝายจากน้ำตกไนแอการา เทือกเขาร็อกกี้ทั้งสายมีทั้งเขื่อน ทั้งฝาย ทั้งท่อ ทำกาลักน้ำตลอดทั้งแนว ทั้งนี้เพราะทั้งทวีปยุโรปและอเมริกาพัฒนาก่อนเอเชีย เขาก้าวข้ามพ้นเรื่องผลผลิตทางการเกษตรและไฟฟ้าสะอาดราคาถูกแล้ว สังคมของเขาจึงมาคิดเรื่องสิ่งแวดล้อม เรื่องอุดมคติ เรื่องคุณภาพชีวิต เรื่องโลกร้อน เรื่องป่าธรรมชาติ เพราะบ้านเขาที่ยุโรปล้วนแต่เป็นป่าปลูก ป่าที่เป็นป่าธรรมชาติหมดไปนานแล้ว จะตัดโค่นก็ไม่คุ้มเพราะค่าแรงแพง ญี่ปุ่นก็เหมือนกัน เคยปลูกป่าสมัยเมจิเพื่อเอาไม้แต่ปรากฏว่าค่าแรงแพงขึ้น จึงสงวนไม้เอาไว้แล้วนำเข้ามาดีกว่า

แต่สำหรับเอเชียรวมทั้งบ้านเรา ปัญหาเรื่องการผลิต ปัญหาเรื่องน้ำท่วมฝนแล้ง ยังเป็นปัญหาสำคัญ สำคัญกว่าจะคิดถึงเรื่องสัตว์ป่า ซึ่งก็ยังอยู่ได้ เพราะในกรณีอุทยานแห่งชาติแม่วงก์ พื้นที่ที่จะถูกน้ำท่วมนั้นเป็นพื้นที่เพียง 1 เปอร์เซ็นต์ หรือ 2 เปอร์เซ็นต์ ของป่าทั้งหมด พื้นที่ที่อยู่เหนือเขื่อนน้ำท่วมเพียงหมื่นไร่เมื่อเทียบกับพื้นที่ล้านไร่ของอุทยาน

ที่เกรงว่าเสือก็ดี กวางก็ดี นกชนิดต่างๆ ก็ดี จะถูกน้ำท่วมตาย ก็ไม่น่าจะเป็นเหตุผลที่สำคัญ สัตว์ต่างๆ เหล่านั้นหลายคนก็ไม่เคยเห็นด้วยซ้ำไป เคยเห็นแต่รอยตีนสัตว์ในพื้นที่ที่ห่างออกไป ที่สำคัญเป็นพื้นที่หุบเขา ไม่ต้องเวนคืน ไม่ต้องอพยพผู้คนให้เป็นที่เดือดร้อน จะเดือดร้อนก็แค่ขัดกับอุดมการณ์ ขัดกับความรู้สึก ซึ่งเป็นนามธรรม เหตุผลในรูปธรรมจึงเป็นเรื่องที่จริงบ้างเท็จบ้าง แต่ก็เร้าอารมณ์ของสื่อมวลชนและคนในเมืองได้ดี

ส่วนเหตุผลของชาวบ้านที่ออกมาสนับสนุนนั้น เท่าที่อ่านและฟัง เป็นเหตุผล เป็นรูปธรรมจับต้องได้ เพราะกระทรวงเกษตรฯทำการศึกษาทุกแง่มุม ตามที่่ฝ่ายคัดค้านรุ่นก่อนๆ เรียกร้อง เพราะโครงการนี้ได้ริเริ่มมากว่า 30 ปีแล้ว จะมีปัญหาบ้างก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่ อาจจะต้องยอมเสียบ้าง เพราะโครงการพัฒนาทุกโครงการจะมีแต่ประโยชน์ฝ่ายเดียวย่อมเป็นไปไม่ได้ ส่วนเสียก็ต้องมี เช่น จะต้องเสียต้นไม้จำนวนมากในพื้นที่น้ำท่วมกว่าหมื่นไร่ แต่ก็จะได้น้ำไว้ใช้ในฤดูแล้ง ป้องกันน้ำท่วมในหน้าน้ำ สัตว์ป่าที่อยู่ในแถบนั้นอาจต้องอพยพไปที่อื่นที่กว้างใหญ่ไพศาล ปลาที่จะว่ายทวนน้ำไปวางไข่เหนือเขื่อนก็น่าจะแก้ไขปัญหาได้ถ้ามี ซึ่งก็คงจะมีไม่มากก็น้อย ฝ่ายคัดค้านไม่ได้ทำการศึกษาและบอกอย่างแจ้งชัด

การถกเถียงกันจึงไม่มีทางจะตกลงกันได้ เพราะต่างฝ่ายต่างมีจุดหมายแตกต่างกัน ขืนมานั่งประชุมเถียงกันก็มีหวังตีกันตาย เรื่องความขัดแย้งกันสำหรับโครงการพัฒนานี้ เป็นหัวข้อสำคัญในวิชาเศรษฐศาสตร์การคลังหรือ Public Finance เพราะเป็นวิชาที่คาบเกี่ยวกันระหว่างวิชาเศรษฐศาสตร์และวิชารัฐศาสตร์ จะว่าเหตุผลทางเศรษฐกิจสำคัญอย่างเดียวก็ไม่ได้ จะว่าเหตุผลทางรัฐศาสตร์อย่างเดียวก็ไม่ได้ มิฉะนั้นโครงการพัฒนาต่างๆ ก็เกิดขึ้นไม่ได้ นักเศรษฐศาสตร์ที่ได้รับรางวัลโนเบลเพราะเสนอทฤษฎีทางด้านนี้ก็มี เช่น ดร.บูแคนัน

ถ้าเป็นโครงการสาธารณะอื่นๆ เช่น การสร้างถนนหนทาง ท่าเรือ ท่าอากาศยาน ถ้าสามารถชดเชยผู้ที่ได้รับผลกระทบจากโครงการตามทฤษฎี Second Best Theory เช่น การจ่ายค่าเวนคืน จ่ายค่าผลกระทบอย่างอื่น เช่น เสียงรบกวน ถึงสายลม แสงแดด หลังจากที่ได้ดำเนินการในขบวนการประชาธิปไตยทั้งในรัฐสภา โดยมติ ครม.ผ่านทางการอนุมัติงบประมาณควบคุมรัฐบาล และนอกรัฐสภาผ่านทางประชาพิจารณ์ และได้นำข้อท้วงติงไปแก้ไขปรับปรุง แม้จะไม่ได้ผลตอบแทนทางวัตถุหรือทางเศรษฐกิจที่ดีที่สุดก็ตาม ข้อสำคัญต้องผ่านขบวนการประชาธิปไตยในการตัดสินใจ ซึ่งฝ่ายอนุรักษ์และฝ่ายเอ็นจีโอมักจะไม่ยอมรับ และตนเองก็ไม่เชื่อการตัดสินใจผ่านขบวนการประชาธิปไตย แม้จะมีการจัดตั้งพรรคการเมืองที่เรียกว่าพรรคสันติเขียวหรือ Green Peace ก็ไม่แพร่หลายมีคะแนนนิยมมากนัก ในเมืองไทยพรรคอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมก็ไม่เข้มแข็ง ส่วนใหญ่ "รัฐ" ต้องทำการศึกษาเอง แต่ก็ถูกโจมตีว่ามีผลประโยชน์ทับซ้อนหรือ conflict of interest ผลการศึกษาฝ่ายอนุรักษ์และเอ็นจีโอจึงไม่ยอมรับฟัง แต่ก็ไม่มีผลงานการศึกษาของตน เพียงแต่เหตุผลทางจิตใจที่วัดออกมาเป็นมูลค่าไม่ได้ ส่วนผลประโยชน์มักจะไม่มีการพูดถึง แต่ก็บอกว่าไม่คุ้มเพราะสัตว์ป่าจะไม่มีที่อยู่

ในอนาคตความขัดแย้งดังกล่าวย่อมจะมีมากขึ้นสำหรับประเทศกึ่งพัฒนา ที่ยังต้องการเพิ่มผลผลิตต่อหัว ต้องการเพิ่มรายได้จากภาษีอากร ต้องการพัฒนาการขยายตัวที่สูงกว่าร้อยละ 5 ต่อปี ขณะเดียวกันก็ต้องการบรรลุความรู้สึกทางจิตใจว่า มีระดับความรับผิดชอบในมาตรฐานสากล ตามความเห็นของนักอนุรักษนิยมและกลุ่มเอ็นจีโอสากลด้วย

กลไกประชาธิปไตยที่กลั่นกรองเพื่อหา "second best solution" ที่ทางการเมืองรับได้ กล่าวคือผลประโยชน์ของส่วนรวมที่ผู้ที่ได้รับผลกระทบในท้องถิ่นรับได้ หรือผลประโยชน์ของประชาชนในท้องถิ่นที่ประชาชนส่วนรวมรับได้ กลไกดังกล่าวไม่มีทางอื่นนอกจากขบวนการตัดสินใจในระบอบประชาธิปไตยในความหมายอย่างกว้าง ถ้าใช้การเดินขบวนประท้วงหรือขบวนการสร้างกระแสผ่านทางสื่อมวลชน ซึ่งมักจะเป็นวิธีคิดแบบ "อัตวิสัย" ไม่ใช่แบบ "ภาววิสัย"

การตัดสินใจที่ไม่เป็นประชาธิปไตยอย่างนี้ จะมีต้นทุนต่อสังคมส่วนรวมอย่างมหาศาล ทั้งต้นทุนโดยตรงคือน้ำท่วมฝนแล้งและต้นทุนของการเสียโอกาส

การทำให้ขบวนการตัดสินใจผ่านทางระบอบประชาธิปไตย ตั้งแต่การศึกษาตรวจสอบของหน่วยงานเจ้าของโครงการ การตรวจสอบระดับคณะรัฐมนตรี ขบวนการตรวจสอบของสภาผู้แทนราษฎร ไปจนถึงขบวนการนอกรัฐสภา เช่น การประชาพิจารณ์ การถามประชามติ และอื่นๆ แทนการเดินขบวนประท้วงปิดถนนหรือการใช้กำลัง ต้องเข้มแข็ง ตรงไปตรงมา เปิดเผยและเชื่อถือได้ จึงเป็นสิ่งจำเป็น

ข้อสำคัญคือความเชื่อถือเป็นสิ่งที่รัฐบาลต้องสร้างให้ได้

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
-------------------------------------------

ปมปัญหาโลกยุคใหม่ : ความเหลื่อมล้ำ-ตลาดเสรี

ไมเคิล แซนเดล"นักปรัชญาการเมืองชื่อดัง ชาวอเมริกัน ชี้ความไม่เท่าเทียม-ตลาดเสรี ปมปัญหา"ใหญ่"ในโลกยุคใหม่

สุทธิชัย สัมภาษณ์ ไมเคิล แซนเดล นักปรัชญาการเมืองชื่อดัง ชาวอเมริกัน ศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัยฮาวาร์ดและเป็นที่รู้จักกันจากคอร์ส "Justice" ที่เขาสอนมานาน 20 ปี รวมกันแล้วมีนักศึกษากว่า 15,000 คนที่เข้าเรียนคอร์สนี้ ทำให้เป็นคอร์สที่มีนักศึกษาเข้าเรียนมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของฮาวาร์ด โดยคอร์สดังกล่าวมีการเผยแพร่ทางออนไลน์ผ่านเว็บไซต์ยูทูบด้วย]

ผมติดตามการสอนของคุณทางยูทูบมาตลอด หนังสือเรื่อง What money can't buy ที่คุณแต่งก็มีเนื้อหาที่สร้างแรงบันดาลใจอย่างมาก คุณมาไทยครั้งนี้เพื่อทำอะไร

มาร่วมพูดในงาน "การพัฒนาอย่างยั่งยืน" ซึ่งเวทีนี้ผมได้พูดคุยเกี่ยวกับแง่มุมของความยุติธรรม จริยธรรม และค่านิยม ซึ่งเราต้องเพิ่มเติมเข้าไปในการดำเนินชีวิต รวมถึงในสังคมประชาธิปไตย ผู้คนในประเทศประชาธิปไตยทั่วโลกมีความคับข้องใจอย่างมากจนเกิดพรรคการเมืองทางเลือกขึ้นมา ส่วนหนึ่งน่าจะเนื่องจากผู้คนต้องการเห็นความยุติธรรม คุณค่า และความเท่าเทียมกัน

สิ่งที่ขาดไปคือแง่มุมด้านจริยธรรม-คุณธรรมของการเมืองใช่ไหม

ใช่

หมายถึงในสหรัฐหรือเปล่า

ทำนองนั้น โดยเฉพาะในขณะนี้ที่หน่วยงานของรัฐบาลต้องปิดทำการ

ในสายตานักปรัชญาการเมือง มองการปิดหน่วยงานรัฐว่าอย่างไร

ผมว่าสิ่งดังกล่าวสะท้อนความล้มเหลวของระบบการเมือง สหรัฐหาทางออกเรื่องงบประมาณไม่ได้เพราะพรรครีพับลิกันยืนยันที่จะกำจัดกฎหมายปฏิรูประบบประกันสุขภาพ "โอบามาแคร์" โดยหากไม่ได้อย่างที่ต้องการก็จะไม่ยอมผ่านงบประมาณ จนต้องมีการปิดหน่วยงานรัฐในที่สุด และล่าสุดที่เป็นประเด็นคือการเพิ่มเพดานหนี้ ซึ่งเปรียบได้กับการนำการเมืองและเศรษฐกิจมาเป็นตัวประกัน ต่อรองกับวาระทางการเมืองของรีพับลิกัน

ผมคิดว่านี่ไม่ใช่แนวทางตามหลักประชาธิปไตย เพราะประชาธิปไตยจะได้ผลเมื่อคนมาอภิปราย แลกเปลี่ยนความเห็นกัน หรือประนีประนอมกัน ซึ่งที่ผ่านมาพรรครีพับลิกันก็มีโอกาสในการคัดค้านกฎหมายปฏิรูประบบประกันสุขภาพแล้วในสภา ดังนั้นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจึงสะท้อนความล้มเหลวของระบบประชาธิปไตย

คุณคิดว่าประธานาธิบดีบารัก โอบามา ควรทำอย่างไรในตอนนี้

ผมเห็นด้วยกับที่ประธานาธิบดีโอบามาทำอยู่ขณะนี้ นั่นคือเสนอว่าทันทีที่หน่วยงานภาครัฐเปิดทำการได้อีกครั้งและมีการเพิ่มเพดานหนี้ จะนั่งเจรจาเรื่องงบประมาณระยะยาวรวมถึงการใช้จ่ายด้านสังคม บำนาญ สุขภาพ กับพรรครีพับลิกัน แต่ประธานาธิบดีโอบามาจะไม่ยอมเจรจาหากพรรครีพับลิกันยังเศรษฐกิจทั้งหมดมาเป็นตัวประกันหรือเครื่องต่อรอง

แต่การกระทำดังกล่าวก็เสี่ยงที่จะให้มีการผิดนัดชำระหนี้ หากตกลงกันไม่ได้ภายในวันที่ 17 ต.ค.

ประธานาธิบดีน่าจะกำลังหวังว่าคนอเมริกันจะบีบให้พรรครีพับลิกันต้องผ่อนปรนท่าที จริงๆ แล้วสมาชิกหลายคนของพรรครีพับลิกันก็ต้องการเห็นชอบให้มีการเพิ่มเพดานหนี้

คนอเมริกันทั่วไปคิดอย่างไรกับเรื่องนี้

ผมคิดว่าคนอเมริกันรู้สึกคับข้องใจกับระบบการเมือง ผลการสำรวจระบุว่าคนจำนวนมากตำหนิว่าเป็นความผิดของพรรครีพับลิกันมากกว่าประธานาธิบดีโอบามา

คุณจะใช้เหตุการณ์นี้มาประกอบการสอนเรื่องเกี่ยวกับความยุติธรรมอย่างไร

เรื่องนี้เป็นตัวอย่างที่ดีเกี่ยวกับการปะทะกันของหลักการและความเชื่อเกี่ยวกับระบบปฏิรูปประกันสุขภาพหรือระบบภาษี ซึ่งการมีความเห็นขัดแย้งกันถือเป็นเรื่องปกติในการอภิปรายทางการเมืองแบบประชาธิปไตยแต่คำถามคือจะจัดการกับความเห็นที่ขัดแย้งกันอย่างไร แต่กลุ่มทีพาร์ตี (Tea Party) ในพรรครีพับลิกันไม่ได้โน้มเอียงไปทางการประนีประนอมหรืออภิปรายตามแนวทางประชาธิปไตยมากนัก และยืนกรานว่าหากไม่ได้ตามต้องการก็จะไม่ยอม

เหตุการณ์นี้เทียบเคียงกับเรื่องราวในหนังสือ What money can't buy ได้อย่างไรบ้าง ถือเป็นข้อจำกัดทางศีลธรรมในการเมืองได้หรือไม่

ถูกต้องเลย ผมคิดว่าปัญหาหนึ่งในระบบการเมืองของเราที่เกี่ยวเนื่องกับหนังสือเรื่อง What money can't buy คือเงินมีบทบาทและอิทธิพลมากเกินไปในการหาเสียง

เงินกำลังมีอิทธิพลมากในการเมืองทุกวันนี้อย่างนั้นหรือ

ใช่ในหลายประเทศ แต่บางประเทศในยุโรปและเอเชียจำกัดบทบาทของเงินในทางการเมืองได้อย่างประสบความสำเร็จมากกว่าในสหรัฐ ผ่านการจำกัดการบริจาคเงินเพื่อพรรคการเมือง โดยเฉพาะจากภาคธุรกิจ และผมคิดว่าเราปล่อยให้เงินมีบทบาทมากเกินไป

แล้วตอนนี้ทำอะไรได้บ้าง

ผมอยากให้มีกฎหมายจำกัดจำนวนเงินสำหรับช่วยในการหาเสียง เพราะปัจจุบันมีข้อจำกัดน้อยมาก ขณะที่หลายประเทศสามารถหาวิธีมาจำกัดบทบาทของเงินในการเลือกตั้ง บางประเทศก็เปิดโอกาสให้ผู้สมัครได้ไปนำเสนอวิสัยทัศน์ทางสถานีโทรทัศน์ และไม่อนุญาตให้พรรคการเมืองซื้อเวลาหาเสียงทางโทรทัศน์อย่างไม่จำกัด

คงเป็นเรื่องยากมากที่คุณจะไปลอบบีให้มีการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว เพราะท้ายที่สุดนักการเมืองจะเป็นผู้ลงคะแนนเสียงว่าอยากเปลี่ยนหรือไม่เปลี่ยนอะไร

ถูกต้อง

แล้วคุณจะออกจากวงจรชั่วร้ายนี้ได้อย่างไร

ทางเดียวคือการท้าทายให้ประชาชนและสถาบันต่างๆ ในภาคประชาสังคม ทำหน้าที่แกนนำของกลุ่มประชาชนที่สนใจในเรื่องนี้และเรียกร้องให้มีการปรับปรุงภาคการเมือง

ในฐานะอาจารย์ด้านปรัชญาการเมือง คุณสามารถผลักดันให้มีการเปลี่ยนแปลงได้มากน้อยแค่ไหน

ผมคิดว่าอิทธิพลของผมในฐานะอาจารย์ ผู้ให้การศึกษา และนักเขียน อาจเป็นในรูปแบบระยะยาวมากกว่า โดยในหนังสือที่ผมเขียน ผมพยายามเขียนให้ชัดเจนและเข้าใจได้สำหรับคนทั่วไป ไม่ใช่เขียนให้อ่านกันในแวดวงนักวิชาการ

จากการอ่านหนังสือของคุณ ผมสามารถเข้าใจในสิ่งที่คุณต้องการสื่อได้โดยไม่จำเป็นต้องศึกษาปรัชญาอย่างโสเครติส และผมก็ติดตามการสอนของคุณทางยูทูบมาตลอด วิธีการสอนของคุณสร้างแรงบันดาลใจได้มาก วิธีการสอนของคุณแตกต่างออกไปมากจากอาจารย์คนอื่นๆ คุณค้นพบวิธีการสอนแบบนี้จากไหน

ผมสอนและก็เชื้อเชิญ ท้าทายให้นักศึกษาตอบคำถามยากๆ เพื่อให้เด็กเรียนรู้จากการมีส่วนร่วม สมัยเป็นเด็กผมคิดว่าการสอนเป็นเรื่องน่าเบื่อ พอโตมาก็อยากใช้วิธีการสอนให้วิชาปรัชญาเป็นรูปธรรมและเชื่อมโยงกับทั้งโลก เป็นเหตุการณ์หรือปัญหาที่ประสบพบเจอกันในชีวิตประจำวัน นี่เป็นเหตุผลที่ทำให้ผมเชื้อเชิญให้นักศึกษามีส่วนร่วมในการแสดงความเห็น หรือหาทางออกสำหรับเหตุการณ์ต่างๆ ที่อาจประสบพบเจอ

ผมสังเกตเห็นว่าบางคำถามที่คุณถามเด็กนั้น ยากมาก และเด็กก็ไม่แน่ใจว่าที่ตอบไปถูกหรือเปล่า

จริงๆ แล้วไม่มีคำตอบที่ถูกหรือผิดไปหมดเสียทีเดียว เพราะบางคำถามเกี่ยวข้องกับจริยธรรมหรือค่านิยมที่นักปรัชญาถกเถียงกันมาเป็นร้อยปี สิ่งที่ผมทำคือพยายามตั้งคำถามให้เด็กเห็นปัญหาและแสดงความคิดเห็น

แล้วตอนให้คะแนนล่ะ ถ้าคำตอบมีหลากหลาย นักศึกษาจะทำคะแนนจากไหนเพราะไม่ได้ใช้การท่องจำแต่ตอบในเรื่องเกี่ยวกับการนำหลักการมาแก้ปัญหาในชีวิตประจำวัน

นักศึกษาจะได้คะแนนจากการเขียนว่าจะนำหลักการทางปรัชญาไปใช้กับเรื่องหรือประเด็นที่มีการถกเถียง หรือเป็นข่าวในหนังสือพิมพ์หรือในชีวิตประจำวันอย่างไร การให้คะแนนไม่ได้ยึดจากจุดยืนของนักศึกษา แต่พิจารณาว่าคำตอบนั้นมีการเชื่อมโยงกับหลักการด้านปรัชญาหรือไม่ รวมถึงพิจารณาว่านักศึกษามีแนวทางชี้แจงหรือไม่ในกรณีที่มีคนเห็นต่าง เพราะนักปรัชญาหลายคนเรียนรู้ที่จะฟัง และอธิบายเหตุผลให้กับผู้เห็นต่าง ซึ่งสิ่งนี้เป็นทักษะที่จำเป็นมาก เพราะในชีวิตประจำวันนั้นมีหลายครั้งที่คนไม่ฟังความเห็นต่าง จึงมีภาพของการตะโกนใส่กันหรือขัดมากลางคัน

อะไรคือคำถามด้านปรัชญาที่ใหญ่ที่สุดในโลกในขณะนี้

การรับมือความไม่เท่าเทียมกันที่มากขึ้น ช่องว่างระหว่างคนรวย-คนจนที่มีมากขึ้นตามการเติบโตทางเศรษฐกิจ จะหาทางกระจายความรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจอย่างไร อีกอย่างคือเราต้องมานั่งหารือหรือถกกันเกี่ยวกับบทบาทของเงินและตลาดเสรี โดยต้องนำคำถามเรื่องจริยธรรมรวมเข้ามาด้วย ว่าตลาดสามารถตอบสนองความต้องการของสาธารณชนได้หรือไม่

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
-----------------------------------------------

วันพฤหัสบดีที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2556

2 รากเหง้า เผด็จการ !!?

โดย:พญาไม้

ไม่มีอะไรใหม่..สำหรับการเมืองไทย

เรื่องที่จะเกิดข้างหน้าก็ใช่ว่าจะไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อน..ตั้งแต่หลังเปลี่ยนแปลงการปกครองก็คือการแย่งอำนาจกันไปมา..

บางครั้งก็ไม่กี่ฝ่าย บ้างครั้งก็มากมายจนนับแทบไม่ได้..

อย่างคราวล่มสลายของเผด็จการถนอม-ประภาส..ก็มีแต่ถนอมกับประภาสเท่านั้น ที่เป็นฝ่ายเดียวกัน
นอกจากนั้นเป็นฝ่ายตรงกันข้าม..ทั้งหมด

พลเอก กฤษณ์ สีวะรา..พลอากาศเอก ทวี จุลละทรัพย์..พลตำรวจเอก ประเสริฐ รุจิรวงศ์..หม่อมราชวงศ์ คึกฤทธิ์ ปราโมช..พรรคประชาธิปัตย์..ครูบาอาจารย์ทุกมหาวิทยาลัย..ฯลฯ

เหตุผลเดียวที่เป็นเช่นนั้น..เพราะประเทศไทยในขณะนั้น..ทุกสรรพสิ่ง..ทุกๆ งบประมาณ..ทุกๆ ใบอนุญาติ..เป็นสมบัติของคนแค่​​​ 2 นามสกุล....

กิตติขจร

จารุเสถียร

ประเทศใหญ่เกินไปสำหรับคนแค่ 2 รากเหง้า..และเมื่อทั้ง 2 รากเหง้า..ปรองดองเป็นครอบครัวเดียวกัน..

อวสานจึงเรื่มต้น..

ว่ากันไปแล้ว..อำนาจปกครองของ ถนอม-ประภาส..ไม่ใช่เป็นเผด็จการ...เพราะรัฐบาลของเขาก็มาจากการเลือกตั้ง..มีการผสมกับพรรคการเมืองอื่นๆ เพื่อเป็นรัฐบาล..แต่..เผด็จการก็คือเผด็จการ...
รูปแบบการใช้อำนาจต่างหาก..ไม่ใช่ที่มาของอำนาจ..

ก็อย่างที่กล่าวกันว่า..ประชาธิปไตยไม่ใช่แค่การเลือกตั้ง..

ยามใดเมื่อใด..ที่รูปแบบการใช้อำนาจเป็นเผด็จการ..มันก็คือเผด็จการ...ไม่ว่าอำนาจนั้นมันจะก่อเกิดขึ้นมาแบบใด..

และหากมันเป็นอำนาจที่ใช้กันแค่2 รากเหง้า..ในที่สุดประเทศมันคงรับไม่ได้..

ที่มา.บางกอกทูเดย์
-------------------------------

ทฤษฎีด้านประชาคม ความมั่นคง !!?

จะเห็นได้ว่า อาเซียนก็พยายามปฏิรูปตัวเอง เมื่ออาเซียนล่วงมาจนมีอายุกว่า 40 ปีของการก่อตั้ง อาเซียนก็ดำเนินการริเริ่มเรื่องที่เป็นวิสัยทัศน์ ในหลายเรื่องด้วยกัน รวมถึงเรื่องของการสร้างประชาคมอาเซียนที่ประกอบด้วยสามเสาหลักสำคัญในปี ค.ศ.2020 ซึ่งต่อมาปรับเปลี่ยนเวลาของการเป็นประชาคมอาเซียนมาเริ่มต้นในปี ค.ศ.2015

สามเสาหลักของอาเซียนที่ว่านี้ คือ เสาหลักเรื่องประ-ชาคมอาเซียนด้านการเมืองและความมั่นคง ประชาคมอาเซียน ด้านเศรษฐกิจ และประชาคมอาเซียนด้านวัฒนธรรม

ว่าโดยประชาคมความมั่นคงของอาเซียนนั้น เกิดจากแรงบันดาลใจของนักวิชาการที่คิดแนวทางของด๊อยซ์ (Deut chian) นี่เอง ส่วนกฎบัตรอาเซียนนั้น (ASEAN Charter) จัด ว่าเป็นธรรมนูญสำหรับอาเซียน ที่จะทำให้การรวมตัวเป็นประ-ชาคมอาเซียน มีลักษณะที่เป็นไปตามกฎเกณฑ์ทางนิติบัญญัติ ซึ่งอาเซียนยอมรับนำมาเป็นกฎบัตรของอาเซียนในปี ค.ศ.2007

เพราะฉะนั้นหากมองภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในมุมกว้าง อาเซียนก็ใช้แต่ความพยายามอย่างต่อเนื่อง ที่จะดึงเอาจีนเข้ามารวมกลุ่มด้วยเพียงเท่านั้น แต่ยังพยายามดึงเอาอินเดียเข้ามาด้วยเช่นกัน

ซึ่งหากมองในมุมนี้ ก็จะเห็นว่าอาเซียนในตัวเองนั้น ก็ช่วยพัฒนากระบวนการใหม่ของภูมิภาคนิยมเอเชียตะวันออกขึ้นมาด้วย

การปรับเปลี่ยนแนวคิดต่างๆ กับการพูดถึงอาเซียนในช่วงสิบปีเศษของการจัดตั้งอาเซียนขึ้นมานั้น ถือให้เกิดคำถามหลายคำถามตามมา เช่น

- อาเซียนจะก่อตั้งอยู่ได้อย่างไรต่อไป จากที่เริ่มต้นกันมาอย่างหลวมๆ เบาะแว้ง แก่งแย่งกันเองตลอดมา

- จะอธิบายอย่างไรกับบทบาทของอาเซียน ในการจัดระเบียบของภูมิภาคในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

- อะไรคือสิ่งที่จะอธิบายความตกต่ำของอาเซียน ในช่วงปลายทศวรรษที่ 1990 เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงทศวรรษที่ 1980 กับ 1990

- วิถีอาเซียน (ASEAN WAY) ในอดีต ที่เคยสร้างความ น่าเชื่อถือให้กับอาเซียนนั้น เป็นสิ่งที่อุปโลกน์ขึ้น (Myth) หรือความเป็นจริง (Reality)

- ความริเริ่มใหม่ๆ ของอาเซียนในช่วงไม่กี่ปีมานี้ เช่น เรื่อง การสร้างประชาคมอาเซียน และเรื่องกฎบัตรอาเซียนนั้น มีความ หมายถึงการพลิกฟื้นอาเซียนขึ้นมาใหม่อีกครั้งหรือเปล่า

คำตอบต่อคำถามข้างต้นนี้ ในหมู่นักวิชาการด้วยกันแล้ว มีเรื่องต้องถกเถียงกันอีกมากทีเดียว นักทฤษฎีในฝ่ายที่มองความเป็นจริง จะนำเอาสภาพแวดล้อมที่เป็นจริงในภูมิทัศน์ทางการ เมืองของอาเซียน มาใช้อธิบายอาเซียนในความหมายที่จะตั้งคำถามถึงสมรรถนะของอาเซียน ต่อการกำหนดรูปแบบระเบียบของภูมิภาค

นักวิชาการในกลุ่มนี้ มองบทบาทและการดำรงอยู่ของอาเซียนนั้นว่า ขึ้นอยู่กับการกำหนดรูปแบบโดยระบบดุลอำนาจของภูมิภาค ที่กำหนดโดยกองทัพของสหรัฐฯ ที่ตั้งอยู่ในภูมิภาค

หัวใจสำคัญอันเป็นแบบฉบับในสมมติฐานของกลุ่มนักวิชาการฝ่ายความเป็นจริงก็คือว่า บรรดารัฐเล็กรัฐน้อย และรัฐอ่อนแอทั้งหลายในระบบระหว่างประเทศนั้นล้วนขาดสมรรถนะต่อ การแสดงบทบาทในการจัดการเพื่อสร้างความมั่นใจให้กับระเบียบ ต่างๆ ของนานาชาติ เพราะฉะนั้นจึงต้องขึ้นอยู่กับการพึ่งพาในทรัพยากรและความเป็นผู้นำของชาติมหาอำนาจ

นักวิชาการอีกกลุ่มหนึ่ง ซึ่งอาจเรียกกลุ่มที่ยึดแนวคิดเรื่อง ความเป็นสถาบันคือกลุ่ม Institutions เป็นกลุ่มที่มองในแง่ของความเป็นอาเซียนแตกต่างกันออกไป โดยมองว่า อาเซียนมีสมรรถนะในการจัดการแก้ปัญหาความขัดแย้งในระหว่างอาเซียน ด้วยกันเองได้ และยังสร้างมูลฐานระเบียบของภูมิภาคอย่างเข้มแข็งขึ้นมาได้

มองในแง่ทฤษฎีแล้ว จะเห็นว่าแนวทรรศนะของกลุ่มนี้ ยกย่องแนวคิดอื่นๆ กว้างขวางทีเดียว คือรวมเอานักทฤษฎีในกลุ่ม Liberal Institutionalizm ซึ่งก็รวมกลุ่ม Neo Liberal Institutions รวมถึงทฤษฎีผู้ทรงอำนาจปกครอง Regione theory

อย่างไรก็ตาม โดยทั่วไปแล้วแนวทรรศนะของกลุ่ม Libe ral Institutions ก็ดูจะไม่ค่อยสัมพันธ์กับการอธิบายถึงความสำเร็จหรือล้มเหลวของอาเซียน โดยเฉพาะในเรื่องทางการเมือง และเรื่องความมั่นคง

ยิ่งไปกว่านั้นก็คือว่า ทฤษฎีความร่วมมือของพวกเสรี นิยม ใหม่ ยังอนุมานเอาสภาพภูมิหลังเข้ามาไว้ในแนวคิดของตน เช่น คุณค่าร่วมในความเป็นเสรีประชาธิปไตย สภาพแวดล้อม ภายในประเทศ และการพึ่งพาร่วมกันทางด้านเศรษฐกิจที่อยู่ในระดับสูง เพื่อให้บังเกิดผลสำเร็จในความเป็นภูมิภาคนิยม

แนวทรรศนะของพวกเสรีนิยมใหม่ รวมถึงนักทฤษฎีผู้ทรงอำนาจปกครองไม่ได้รับการยอมรับความเชื่อในรูปแบบของพวกนักทฤษฎีในแนวบูรณาการ (Integration model) เกี่ยวกับอธิปไตยของสถาบัน

ในกรณีของอาเซียนนั้น บางเจ้าทฤษฎี มองการโผล่ขึ้น มาของอาเซียนว่าเป็นกลุ่มอำนาจด้านความมั่นคง และ เศรษฐกิจในระดับภูมิภาค ซึ่งปล่อยให้รัฐสมาชิกแต่ละรัฐ คง ไว้ซึ่งอธิปไตยและแสวงหาผลประโยชน์ของชาติของแต่ ละประเทศและของแต่ละรัฐไปกันเอง

ที่มา.สยามธุรกิจ
-------------------------------

อดีตข้าราชการ-ทนายความ แห่สมัครรับสรรหาเป็น ผู้ตรวจการแผ่นดิน

ผู้สื่อข่าวรายงานถึงการเปิดรับสมัครผู้ทรงคุณวุฒิเพื่อเข้ารับการสรรหาเป็นผู้ตรวจการแผ่นดิน ที่จัดโดยสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ซึ่งเปิดรับสมัครตั้งแต่ 1-10 ต.ค. ล่าสุดหลังการปิดรับสมัคร เมื่อเวลา 16.30 น. ที่ผ่านมา พบว่ามีผู้ที่เข้าสมัคร รวม 17 คน ได้แก่ 1.นายพรเพชร วิชิตชลชัย ผู้พิพากษาอาวุโสในศาลอุทธรณ์ภาค 9, 2.นายวิสูตร สีหนนท์ อดีตประธานกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.), 3.พล.อ.วิทวัส รชตะนันทน์ อดีตรองปลัดกระทรวงกลาโหม, 4.นางจีราวรรณ บุญเพิ่ม อดีตปลัดกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที), 5.นายสุรสีห์ โกศลนาวิน อดีตกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ, 6.พล.ต.ต.สังวรณ์ ภูไพจิตรกุล ผู้บังคับการสถาบันฝึกอบรมและวิจัยการพิสูจน์หลักฐาน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ, 7.นายเฉลิมศักดิ์ จันทรทิม เลขาธิการสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน, 8.นายสามารถ จิตมหาวงศ์ ข้าราชการบำนาญ, 9.พล.ต.ท.ทวีศักดิ์ ตู้จินดา กกต.ประจำกทม.,

10.นายอนุชา วงษ์บัณฑิตย์ กรรมการวินิจฉัยอุทธรณ์และร้องทุกข์ในคณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรม (กพค.), 11.นายอรรครัตน์ รัตนจันทร์ ทนายความ, 12.พล.อ.สถาพร เกียรติภิญโญ ข้าราชการบำนาญ, 13.น.ส.อุดมลักษณ์ แสงธิวงศ์ อดีตหัวหน้าหน่วยโรคผิวหนังโรงพยาบาลราชบุรี, 14.นายสาธิต อนันตสมบูรณ์ ข้าราชการบำนาญ, 15.นายวรรณยุทธ ไวยวุฒิ วิทยากรชำนาญการพิเศษ สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา, 16.นายพิพัฒน์ วงศาโรจน์ อดีตผู้ว่าราชการจังหวัดพิษณุโลก และ 17.นายวรชาติ เพชรนันทวงศ์ กรรมการสรรหากำหนด่าตอบแทนอาคารสงเคราะห์

ทั้งนี้ขั้นตอนต่อไป คณะกรรมการสรรหา ที่มี นายดิเรก อิงคนินันท์ ประธานศาลฎีกาทำหน้าที่เป็นประธานคณะกรรมการสรรหา จะนัดประชุมเพื่อลงมติเลือกให้เหลือ 1 คนในวันที่ 22 ต.ค.นี้ จากนั้นจะเสนอชื่อให้นายนิคม ไวยรัชพานิช ประธานวุฒิสภา เพื่อเรียกประชุมวุฒิสภาให้ลงมติเห็นชอบต่อไป

ที่มา.เนชั่น
--------------------------

วันพุธที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2556

ฟ้อง ประกันโลก เบี้ยวเงินน้ำท่วม บริษัทไทยทำเคลมไร้มาตรฐาน !!??

ส.วินาศภัย/บ.ประกัน : ประกันเปิดศึกฟ้องค่ายประกันต่อระดับ โลก "ซีซีอาร์" ของรัฐบาลฝรั่ง เศสเบี้ยวสินไหมน้ำท่วมส่วนที่เหลือ อ้างเหตุประกันไทยจัด การเคลมด้อยมาตรฐาน ด้าน ส.วินาศภัยลั่นยอมไม่ได้ขอสู้ ยันชั้นศาล ชี้หากยอมระบบประกันพังทั้งโลก เผยเตรียมขอตั้งอนุญาโตฯ ยันศาลฝรั่งเศสต้องยึดตามคำตัดสินในไทย

ขณะที่ประกันหลายค่ายเตรียมฟ้องรักษาสิทธิ์ "สามัคคีฯ" จ่อฟ้อง "เบสท์รี" ข้อหาลดหนี้ ขณะที่วิกฤติน้ำท่วมระลอก ใหม่กำลังสร้างความหวาดผวาให้กับนิคมอุตสาหกรรมต่างๆ แต่ธุรกิจประกันภัยกำลังเจอฝันร้ายจากเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ปี 2554 เนื่องจากต้องแบกรับค่าสินไหมวงเงินสูงกว่า 4.3 แสนล้านบาท แล้วล่าสุดยังประสบปัญหาผู้รับประกันภัยต่อ (รีอินชัวเรอส์) ต่างประเทศทยอยเบี้ยว สินไหมที่ต้องจ่ายตามสัญญา เริ่ม ตั้งแต่บริษัทเบสท์รี ที่ขอจ่ายสินไหมครึ่งเดียว บริษัทเอเชียน รี ที่มีปัญหาเพิ่มทุนไม่ได้ และรายล่าสุดบริษัท ซีซีอาร์ ค่ายประกันภัยต่อของรัฐบาลฝรั่งเศสที่มีส่วนแบ่งในตลาดประกันต่อภัยน้ำท่วมในไทยมากที่สุดเตรียมชักดาบเช่นกัน

นายอานนท์ วังวสุ ผู้ช่วยกรรมการ ผู้อำนวยการใหญ่ บมจ.กรุงเทพประกันภัย ในฐานะนายกสมาคมประกันวินาศภัยไทย เปิดเผย ถึงกรณีบริษัท ซีซีอาร์ มีหนังสือถึงบริษัทประกันภัยทุกแห่งที่มีสัญญา ด้วยจะขอจ่ายค่าเสียหายน้ำท่วมปี 2554 ส่วนที่ยังค้างจ่ายอยู่แค่บางส่วน ไม่ชำระเต็ม 100% เหมือนปกติเป็นว่า การกระทำที่ไม่ถูก ต้องและสร้างความเดือดร้อนให้กับสมาชิก ทั้งนี้สมาคมฯ เตรียมที่จะทำหนังสือโต้แย้งไปยังซีซีอาร์ว่าบริษัทประกันภัยทำเคลมน้ำท่วมถูกต้อง โดยใช้ผู้สำรวจภัย (แอดจัสเตอร์) และผู้เชี่ยวชาญระดับสากลมาประเมิน ความเสียหายทรัพย์สินที่เอาประกันจึงไม่มีเหตุผลที่ซีซีอาร์จะมาตัดทอนค่าเสียหายส่วนที่ค้างจ่ายอยู่ โดยจะทำหนังสือไปยังซีซีอาร์ภายในสัปดาห์หน้า

นอกจากนี้ สมาคมฯเตรียมยื่นเรื่องขอตั้งอนุญาโตตุลาการในไทยเป็นผู้ชี้ขาดซึ่งตามสัญญากรมธรรม์สามารถทำได้โดยต้องเร่งทำก่อนสัญญากรมธรรม์จะหมดอายุความ 2 ปีภายในเดือนตุลาคมนี้เพราะหากขาดอายุความไม่สามารถเรียกร้องได้ โดยสามารถ นำคำตัดสินไปยื่นต่อศาลฝรั่งเศสซึ่งอยู่ภายใต้สนธิสัญญาประเทศภาคีที่มีสมาชิกกว่า 100 ประเทศ รวมไทยและฝรั่งเศสกำหนดให้ศาลแต่ละประเทศยอมรับคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการในประเทศสมาชิก

"น้ำท่วมตอนนั้นสร้างความเสียหายให้กับผู้เอาประกันและบริษัทประกันที่ต้องจ่าย ค่าสินไหมตามสัญญาในกรมธรรม์เป็นเงินเยอะ ซีซีอาร์เป็นบริษัทแข็งแรงไม่ใช่มีปัญหา เหมือนเบสท์รีหรือเอเชียนรี แม้เขาจะถอนตัวออกจากตลาดไทยไปแล้วแต่ในวันข้างหน้า อาจจะกลับมาอีกก็ได้ เราจะไม่ยอมต้องต่อสู้ในชั้นศาลเพื่อความถูกต้องยังไม่ได้คุยกับคปภ." นายอานนท์กล่าว

นายกสมาคมประกันวินาศภัยฯกล่าวด้วยว่า แม้การฟ้องร้องอาจใช้เวลา 1-2 ปี กว่าจะมีคำตัดสินแต่ต้องทำเพื่อปกป้องสิทธิ์ของบริษัทประกันภัย ซึ่งหากไม่ดำเนินการใดๆ ก็อาจกระทบกับระบบประกันภัยพังทั้งโลก และเมื่อทำหนังสือไปแล้ซีซีอาร์ยังไม่มีปฏิกิริยาใดๆ กลับมา สมาคมฯอาจจะใช้มาตร-การรุนแรงอื่นๆ เพิ่ม เช่น ทำหนังสือถึงรัฐบาลไทยและฝรั่งเศส, หอการค้า 2 ประเทศ, ตลาดประกันทั่วโลก เป็นต้น

สำหรับกรุงเทพประกันภัย นายอานนท์ บริษัทได้ทำหนังสือถึงซีซีอาร์จะตั้งอนุญาโตตุลาการมาเป็นผู้ตัดสินใจเช่นกัน โดยยอดสินไหมที่ซีซีอาร์ค้างจ่ายบริษัทอยู่เป็นหลัก 100 ล้าน

นายสุจินต์ หวั่งหลี ประธานกรรมการ บมจ.นวกิจประกันภัย เปิดเผยว่า บริษัทจะดำเนินการรักษาสิทธิ์ของบริษัทให้ถึงที่สุด เพราะการที่ซีซีอาร์ซึ่งเป็นบริษัทประกันต่อของรัฐบาลฝรั่งเศสมีความแข็งแกร่งทางการเงินมากมาขอตัดหนี้โดยอ้างว่าบริษัทจัดการสินไหมทดแทนน้ำท่วมไม่ถูกต้องตามมาตร-ฐานเป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้ ทั้งที่การจัดการเคลมน้ำท่วม บริษัทได้จ้างบริษัทสำรวจภัยที่ใหญ่ที่สุดในโลกมาทำเซอร์เวย์รีพอร์ตให้ โดยยอมเสียค่าใช้จ่ายหลายร้อยล้านบาท

"เรายึดถือความถูกต้อง รักษาสิทธิ์ของเราที่มี เราจ่ายผู้เอาประกันทุกเคสอย่าง เป็นธรรมไม่เคยอ้างกับลูกค้ายังไม่ได้เงินจากรีอินชัวเรอส์ ค่าเสียหาย 3.4 หมื่นล้านบาทเราจ่ายไปเกิน 95% แล้วเอาเงินของเรา จ่ายไปก่อนทั้งนั้น อยู่ๆ มาขอตัดหนี้ ยอดสินไหมน้ำท่วมไทยของซีซีอาร์น่าจะประมาณ 5 หมื่นล้านบาทเขาจ่ายมาเยอะแล้ว ของเราเหลือหลายร้อยล้าน อย่างเอเชียนรีแนว ทางที่เขาจะแปลงหนี้เป็นหุ้นเราสนใจถ้าจะช่วยเขาแก้ไขฐานะการเงินได้"

นายปิติพงศ์ พิศาลบุตร กรรมการผู้อำนวยการ บมจ.นวกิจกล่าวเสริมว่า บริษัทรู้ตั้งแต่แรกความเสียหายจากน้ำท่วมใหญ่มากจึงใช้บริษัทที่มีความเชี่ยวชาญและได้รับการยอมรับระดับโลกถึง 4 บริษัทมาประเมิน และตรวจสอบความเสียหายให้

แหล่งข่าวจากบริษัทประกันภัยแห่งหนึ่ง ให้ความเห็นว่า ซีซีอาร์จะยึดยอดหนี้แค่ถึงสิ้นมิ.ย. 2556 ส่วนยอดหนี้หลังจากนั้นขอแบ่งลูกค้าเป็น 3 กลุ่มเพื่อจ่ายตามสัดส่วนคือ กลุ่ม A จ่าย 90% ของมูลหนี้ กลุ่ม B จ่าย 80% กลุ่ม C จ่ายแค่ 70% ส่วนรายอื่นๆ ที่ไม่ได้อยู่ใน 3 กลุ่ม จะจ่ายในสัดส่วน 90% ของมูลหนี้ โดยลูกค้า A เช่น บ.คาร์เปทอินเตอร์เนชั่นแนล ไทยแลนด์ เป็น ต้น กลุ่ม B เช่น บ.ไทยฮอนด้าแมนูแฟคเจอริ่ง เป็นต้น กลุ่ม C เช่น บ. ฮอนด้า ออโตโมบิล บริษัท สยามคูโบต้า เป็นต้น

"เมื่อเขาระบุแบบนี้ บริษัทประกันที่ได้ รับผลกระทบคือบริษัทที่ตั้งสำรองสินไหมทั้งประกันทรัพย์สินและประกันธุรกิจหยุดชะงัก (BI) ก่อนมิ.ย.ไว้น้อยหรือยังไม่ได้ตั้งสำรองไว้เลยก็จะมีปัญหา รวมถึงบริษัทประกันภัยที่มี ลูกค้าตามรายชื่อ" แหล่งข่าวระบุ

นายจิรวุฒิ บุญศิริ กรรมการผู้จัดการ บมจ.ไทยพาณิชย์สามัคคีประกันภัย กล่าวว่า กรณีซีซีอาร์ บริษัทไม่ได้รับผลกระทบมากนักเนื่องจากที่ผ่านมาได้รับการชดใช้สินไหมเกือบครบ โดยมีความเสียหายที่ต้องเรียกร้องกับซีซีอาร์ทั้งหมด 400 ล้านบาท และบริษัทได้ตั้งสำรองสินไหมทั้งหมดตั้งแต่สิ้นปีที่ผ่านมาแล้วจึงไม่มีปัญหา ส่วนกรณีของ บ.เบสท์ รี มียอดค้างอยู่ 330 ล้านบาท บริษัทตัดสินใจจะฟ้องร้อง และในไตรมาส 3 ปีนี้จะตั้งสำรอง 100% แต่ยืนยันไม่มีผลกระทบ ต่อกำไรขาดทุนของบริษัท

ที่มา.สยามธุรกิจ
------------------------------

สำรวจความความพร้อมของไทย ในการเข้าสู่ AEC

 โดย สกุณา ประยูรศุข

ระยะเวลาของการประกาศรวมตัวกันเป็น "ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน" ของประเทศกลุ่มสมาชิกอาเซียน เพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ 10 ประเทศ ได้แก่ ไทย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย สิงคโปร์ บรูไน ลาว กัมพูชา เวียดนาม และพม่า เหลือเวลาอยู่แค่สองปี ซึ่งต้องนับว่าไม่ได้มากมายอะไรนัก หากเปรียบเทียบกับการดำเนินการที่รัฐบาลกำลังดำเนินอยู่

ไม่ว่าในส่วนของหน่วยงาน กระทรวง ทบวง กรมต่าง ๆ รวมถึงการสร้างความรู้สึกให้เกิดขึ้นกับประชาชนคนไทยส่วนใหญ่กล่าวได้ว่า ความรู้สึกที่จะเป็นส่วนหนึ่งของประชาคมอาเซียนไม่ถึง 50% ดี ซึ่งเป็นการคาดคะเนที่ใกล้เคียงกับผลการศึกษาของหน่วยงานภาครัฐเอง อาทิ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่ได้ทำแบบสำรวจความคิดเห็นของประชาชนคนไทยออกมา ระบุว่าปัจจุบัน ประชาชนโดยทั่วไปของประเทศสมาชิกอาเซียน ซึ่งรวมถึงคนไทยด้วย ยังไม่ได้มีความรู้สึกถึงความเป็น "พลเมืองอาเซียน" จากรายงานผลการสำรวจข้อคิดเห็นทัศนคติเกี่ยวกับการรับรู้เรื่องอาเซียน พบว่าประชาชนส่วนใหญ่มีความรู้สึกว่าตัวเองเป็น "พลเมืองอาเซียน" ไม่ถึงร้อยละ 65 ฉะนั้น สองปีที่เหลืออยู่ จึงเป็นเรื่องที่รัฐบาลต้องเหยียบคันเร่งเต็มที่อีกเรื่อง


เพราะอย่าลืมว่า ประเทศไทยเองเป็นหนึ่งในสมาชิกก่อตั้งอาเซียน รัฐบาลไทยได้ให้ความสำคัญในการเตรียมความพร้อมของประเทศ เพื่อร่วมผลักดันให้เกิดการสร้างประชาคมอาเซียนภายในปี 2558 ที่เน้นการปฏิบัติและเชื่อมโยงยิ่งขึ้น เพื่อผลประโยชน์ของประชาชนในภูมิภาค ตามที่ปรากฏใน ปฏิญญาชะอำ-หัวหิน ว่าด้วยแผนงานสำหรับประชาคมอาเซียน พ.ศ. 2552-2558 ซึ่งประเทศไทยมีข้อผูกพันร่วมกับสมาชิกอาเซียน ที่จะส่งเสริมให้ประชาชนอาเซียนมีส่วนร่วมและได้รับประโยชน์จากการรวมตัวของอาเซียน และกระบวนการเป็นประชาคมอาเซียน

นอกจากนี้ ในวาระที่ไทยดำรงตำแหน่งประธานอาเซียนเมื่อปี 2522 รัฐบาลไทย
ได้ผลักดันให้เกิดการบรรลุเป้าหมายกฎบัตรอาเซียน (Realizing the ASEAN Charter) การเสริมสร้างประชาคมอาเซียนที่มีประชาชนเป็นศูนย์กลาง (Revitalizing a People-Centred ASEAN Community) และการเน้นย้ำความมั่นคงของประชาชนในภูมิภาค (Reinforcing Human Security For All) เป็นต้น

อย่างไรก็ดี สิ่งที่เกิดขึ้นและดำเนินการอยู่เวลานี้ แม้จะมีแผนการดำเนินงานออกมาเป็นระยะ ๆ พร้อมกับการเสนอข่าวสารผ่านสื่อต่าง ๆ แต่ก็ยังไม่เป็นรูปธรรมชัดเจนและจริงจัง และมีประสิทธิภาพ ไม่นับรวมเรื่องที่ทางฝั่งเอกชนดำเนินการในหน่วยงานของตัวเอง เช่น การปรับเปลี่ยนเสริมสร้างบุคลากรในหน่วยงานให้สอดรับกับการเป็น AEC
ดังนั้น หากนับเวลาสองปีที่เหลือแล้ว น่าหนักใจ !!

สิ่งที่เห็นเป็นความคืบหน้าของไทยในการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน ล่าสุด เห็นจะเป็นเมื่อวันที่ 24 กันยายน 2556 ที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ถือโอกาสใช้เวลาการประชุมสภาผู้แทนราษฎรเปิดประชุมนัดพิเศษแถลงนโยบายรัฐบาล 1 ปี ต่อรัฐสภา เพื่อรายงานผลดำเนินการของคณะรัฐมนตรีตามแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐครบรอบ 1 ปี (23 สิงหาคม 2554-23 สิงหาคม 2555) ของการบริหารราชการรัฐบาลยิ่งลักษณ์

นายกฯยิ่งลักษณ์กล่าวแถลงหัวข้อเกี่ยวกับ AEC ว่า รัฐบาลได้ให้ความสำคัญกับการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อนำประเทศไทยไปสู่การเป็น ประชาคมอาเซียนที่สมบรูณ์ในปี 2558 โดยสร้างความพร้อมและความเข้มแข็งทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม และการเมืองและความมั่นคง ให้ความสำคัญของสามเสาหลักเท่าเทียมกัน เพื่อประกอบกันเป็นประชาคมอาเซียนที่ครบถ้วนสมบูรณ์ โดยมี คณะกรรมการอาเซียนแห่งชาติ เป็นกลไกระดับประเทศ ในการประสานการดำเนินงาน และติดตามความคืบหน้าในภาพรวมทุกเสา และได้มีการจัดทำแผนงานแห่งชาติสำหรับการก้าวไปสู่การเป็นประชาคมอาเซียนด้วย

น.ส.ยิ่งลักษณ์ขยายความเพิ่มเติมถึงแผนที่ดำเนินการไปแล้วว่ามีอะไรบ้าง ซึ่งได้แก่ 1.การเตรียมความพร้อมของภาครัฐ โดยกระทรวงการต่างประเทศได้เสนอให้มีการจัดตั้งกลุ่มงานที่รับผิดชอบประเด็นที่เกี่ยวข้องโดยตรง (ASEAN Unit) ในแต่ละหน่วยงาน การพัฒนาศักยภาพข้าราชการ ทั้งด้านการทำงานในเวทีระหว่างประเทศ และทักษะภาษาอังกฤษและภาษาเพื่อนบ้าน นอกจากนี้ กำลังเร่งรัดการดำเนินการแก้ไขและปรับปรุงกฎหมายให้สอดคล้องกับพันธกรณีของไทยภายใต้กรอบอาเซียน

2.การเตรียมความพร้อมของภาคประชาชน โดยการสร้างความตระหนักรู้ และให้ประชาชนมีส่วนร่วมในกระบวนการสร้างประชาคมอาเซียน ผ่านกิจกรรมอาเซียนสัญจร กิจกรรมวันอาเซียน โครงการสัมมนาครูต้นแบบสู่ประชาคมอาเซียน ค่ายยุวทูตอาเซียน การจัดทำสื่อเผยแพร่ ทั้งสื่อสิ่งพิมพ์ เว็บไซต์ รายการโทรทัศน์ ฯลฯ รวมทั้งการจัดสัมมนาและการส่งวิทยากรบรรยาย ซึ่งที่ผ่านมาได้ดำเนินการแล้วปีละกว่า 200 ครั้ง

3.การเตรียมความพร้อมของภาคเอกชน มีผู้แทนภาคเอกชนในคณะกรรมการอาเซียนแห่งชาติ ได้แก่ สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย โดยกระทรวงการต่างประเทศได้ประสานงานอย่างใกล้ชิด เพื่อพัฒนาศักยภาพของภาคเอกชนให้มีขีดความสามารถในการแข่งขัน และสามารถใช้โอกาสจากการเปิดตลาดเสรีอาเซียนได้อย่างเต็มที่ รวมทั้งความสำคัญกับการจัดทำยุทธศาสตร์ เพื่อลดทอนผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อภาคธุรกิจไทย โดยเฉพาะกับผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อมนับเป็นความคืบหน้าที่ยังมีผลสำรวจความรู้สึกต่อการเป็นประชาคมอาเซียนของคนไทยไม่ถึงร้อยละ 65

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
------------------------------------

วิพากษ์ : นโยบายการเงินการคลังของ สหรัฐ !!??

 โดย วีรพงษ์ รามางกูร

สหรัฐอเมริกาเป็นประเทศที่มีนักเศรษฐศาสตร์ชั้นนำ และมีนักเศรษฐศาสตร์ที่ได้รับรางวัลโนเบลมากที่สุดในโลก แต่นโยบายการเงินการคลังของอเมริกากลับเป็นนโยบายที่ล้มเหลวมากที่สุดในโลก

สหรัฐอเมริกามีอิทธิพลมากที่สุดในโลกในเรื่องการกำหนดรูปแบบ กฎระเบียบ กติกา จริยธรรม ความรับผิดชอบ ความโปร่งใส หลักธรรมาภิบาลให้รัฐบาลและองค์กรต่าง ๆ ในระบบเศรษฐกิจการเงินการคลังให้ชาวโลกปฏิบัติ เพราะสหรัฐมีอิทธิพลมากที่สุดในการกำหนดนโยบายของธนาคารโลก ของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือไอเอ็มเอฟ หรือธนาคารเพื่อการชำระเงินระหว่างประเทศ รวมทั้งเป็นศูนย์กลางของตลาดทุนของโลก ประเทศใดหรือบริษัทใหญ่ ๆ จะระดมทุนก็ต้องทำผ่านบริษัทเงินทุนของสหรัฐเท่านั้น สหรัฐจึงเป็นประเทศที่ผูกขาดตลาดทุนของโลก

เมื่อระบบเศรษฐกิจการเงินของโลกเชื่อมโยงเข้าด้วยกันทั้งหมด ประเทศต่าง ๆ จึงต้องปฏิบัติตามกฎกติการะเบียบแบบแผนที่องค์กรต่าง ๆ เหล่านี้กำหนด มิฉะนั้นก็จะถูกลงโทษ

ตัวอย่างเช่น เมื่อประเทศของเราเกิดวิกฤตการณ์ต้มยำกุ้งในปี 2540 หรือประเทศหลายประเทศในยุโรปเกิดปัญหาวิกฤตการณ์ทางการเงิน ต้องเข้าโครงการกู้เงินจากไอเอ็มเอฟ ก็ต้องปฏิบัติตาม

กฎเกณฑ์ที่ไอเอ็มเอฟและธนาคารเพื่อชำระเงินระหว่างประเทศ ที่เรียกว่า กฎบาเซิล 1-2-3 โดยมีสหรัฐอเมริกาเป็นหัวเรือใหญ่ คอยบังคับให้ประเทศต่าง ๆ ปฏิบัติตาม มิฉะนั้นสหรัฐก็จะคอยเล่นงาน มีประเทศจีนเท่านั้นที่กล้าขัดขืน เมื่อสหรัฐและไอเอ็มเอฟพยายามกดดันให้จีนขึ้นค่าเงินหยวน หรือเปลี่ยนจากระบบอัตราแลกเปลี่ยนจากการตรึงค่าไว้กับเงินดอลลาร์สหรัฐเป็นระบบอัตราแลกเปลี่ยนแบบลอยตัว พอจีนหอบเงินดอลลาร์ไปซื้อเครื่องบินโดยสารจากสหรัฐ 250 ลำ สหรัฐก็เลยเงียบ ไม่กล้าลงโทษอะไรกับประเทศจีน เพราะจีนเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดของสหรัฐ

แต่การดำเนินนโยบายการเงินการคลังของสหรัฐ กลับไม่เป็นไปอย่างที่ตนสอนและบังคับให้ประเทศอื่น ๆ ที่มีปัญหาการขาดดุลการค้า ขาดดุลบัญชีเดินสะพัด กฎต่าง ๆ ที่ตนบัญญัติขึ้นตนก็ละเมิดหมด

สหรัฐอเมริกาดำเนินนโยบายการขาดดุลการคลัง ขาดดุลบัญชีเดินสะพัดมาโดยตลอด อาศัยว่าดุลบัญชีเงินทุนยังเกินดุลอยู่ เพราะโลกยังหาเงินสกุลอื่นมาแทนเงินดอลลาร์สหรัฐไม่ได้ ธนาคารกลางและบริษัทใหญ่ ๆ ยังใช้เงินดอลลาร์เป็นทุนสำรองอยู่ รวมทั้งเป็นเครื่องมือในการเก็งกำไร ตลาดสินค้าและตลาดการเงินของโลกยังต้องใช้เงินดอลลาร์อยู่ ค่าเงินดอลลาร์เมื่อเทียบกับเงินสกุลอื่น ๆ ยังพอไปได้ ถ้าเป็นเงินสกุลอื่นป่านนี้ก็คงจะกลายเป็นเศษกระดาษไปนานแล้ว

เมื่อยอดหนี้สาธารณะของอเมริกาพุ่งสูงขึ้นถึง 70 เปอร์เซ็นต์ของรายได้ประชาชาติ รัฐสภาอเมริกาก็มีปฏิกิริยา ออกกฎหมายกำหนดเพดานยอดหนี้สาธารณะ หรือนัยหนึ่งควบคุมการกู้ยืมเงินของรัฐบาลจากประชาชน พยายามให้ขึ้นภาษี ลดการใช้จ่ายภาครัฐบาล รัฐบาลต้องลดจำนวนข้าราชการ ลูกจ้าง รวมทั้งปิดหน่วยงานต่าง ๆ ของรัฐบาล และเจรจากับรัฐสภาไม่ให้ลดการกู้ยืมลงเร็วเกินไป จนจะเกิดสถานการณ์ทีเรียกว่า "หน้าผาการคลัง" หรือ "Fiscal Cliff" กล่าวคือ รัฐบาลล้มละลายทางการเงิน ไม่มีเงินจ่ายเงินเดือนข้าราชการและลูกจ้าง ไม่มีเงินชำระคืนเงินกู้ หรือไถ่ถอนพันธบัตรของตนจากผู้ถือ ธนาคารกลางของเราเองก็ถือพันธบัตรรัฐบาลอเมริกันไว้เป็นจำนวนมากเหมือนกัน

เมื่อเข้าตาจนอย่างนี้ ธนาคารกลางของสหรัฐก็ออกมาตรการทางการเงินที่เรียกโก้ ๆ ว่า คิวอี หรือ Quantitative Easing 1-2-3 ที่จริงก็คือ Open Market Operation นั่นเอง โดยอัดฉีดเงินจากธนาคารกลางมาซื้อพันธบัตรรัฐบาล แต่เพื่อไม่ให้ดูน่าเกลียด ก็เลยซื้อพันธบัตรและตราสารหนี้ของเอกชนที่มีหลักทรัพย์ เช่น ที่ดินหรืออสังหาริมทรัพย์ค้ำประกันด้วย เดือนละ 85,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อช่วยพยุงฐานะของรัฐบาลและบริษัทเอกชนให้เป็นหนี้ธนาคารกลางแทน เมื่อครบกำหนดไถ่ถอนก็คงจะอะลุ้มอล่วยให้ต่ออายุการไถ่ถอนออกไปได้อีก หรือถ้าไม่มีเงินชำระดอกเบี้ยก็คงจะยอมให้ยืดอายุต่อไปได้อีก เจ้าหนี้รัฐบาลอเมริกันทั้งในและนอกประเทศก็จะได้สบายใจขึ้นได้บ้าง

แต่มาตรการดังกล่าวไม่ได้ช่วยให้เกิดการลงทุนเพิ่มขึ้น เพราะจะเป็นเหตุให้ดอกเบี้ยระยะยาวเพิ่มขึ้น แม้ดอกเบี้ยระยะสั้นจะลดลงบ้าง แต่ก็คงจะลดลงไม่ได้มาก เพราะดอกเบี้ยก็ต่ำสุดอยู่แล้ว จากผลของดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางต่ำสุดอยู่ที่ระดับ 0.01-0.25 เปอร์เซ็นต์อยู่แล้ว มาตรการคิวอีจึงเป็นเพียงยาหม่องหรือพาราเซตเท่านั้น ไม่ได้แก้ปัญหา อัตราการว่างงานก็ยังสูงอยู่ต่อไป ประสิทธิภาพของแรงงานไม่ได้เพิ่มขึ้น เพราะตราบใดที่ระบบเศรษฐกิจยังทำงานในระดับที่ต่ำกว่าระดับที่มีการจ้างงานอย่างเต็มที่ หรือในระดับที่เครื่องจักรทำงานอย่างเต็มที่ การเพิ่มประสิทธิภาพหรือประสิทธิผลย่อมจะเกิดขึ้นไม่ได้

เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ดร.เบน เบอร์นันเก้ ประธานธนาคารกลางสหรัฐออกมาให้สัญญาณว่าถึงเวลาที่ธนาคารกลางสหรัฐจะต้องลดจำนวนเงินอัดฉีดเข้าตลาดตามมาตรการคิวอีแล้ว สัญญาณดังกล่าวเป็นการ "ช็อก" ตลาดมาครั้งหนึ่งแล้ว พอมาถึงปลายเดือนกันยายนกรมการนโยบายการเงินกลับมีมติให้คงปริมาณเงินที่จะอัดฉีดเข้าตลาดไว้ตามเดิม เป็นการ "ช็อก" ตลาดครั้งที่ 2 ครั้งนี้ความเชื่อมั่นและเกียรติภูมิของ ดร.เบน เบอร์นันเก้ รวมทั้งธนาคารกลางของสหรัฐเสียหายอย่างหนัก

ปัญหายังมีต่อไปว่า แล้วธนาคารกลางจะทำอย่างไรต่อไป จะหวังลม ๆ แล้ง ๆ ว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะฟื้นตัว ก็ยังไม่เห็นวี่แวว อัตราการว่างงานก็ยังไม่ลดลง ธนาคารกลางสหรัฐจะพิมพ์เงินอัดฉีดเข้าไปในตลาดเรื่อย ๆ ซึ่งผิดวินัยทางการเงินอย่างยิ่ง คงทำไม่ได้ วันหนึ่งก็ต้องค่อยลดลงและหยุดทำในที่สุด เพราะถ้าธนาคารกลางสหรัฐยังขืนทำไปเรื่อย ๆ วันหนึ่งถ้าปริมาณเงินดอลลาร์ล้นตลาดโลก กล่าวคือ มีค่ากว่าความต้องการถือเงินดอลลาร์ ค่าเงินดอลลาร์รวมทั้งค่าเงินยูโร ค่าเงินปอนด์ ค่าเงินเยน เมื่อเทียบกับปริมาณสินค้าและบริการที่ตนผลิตหรือทั่วโลกผลิตได้ก็จะลดลงอย่างรวดเร็ว กล่าวคือ จะเกิดภาวะเงินเฟ้อเพราะปริมาณเงินอย่างรวดเร็ว โดยที่เศรษฐกิจก็ยังซบเซา การว่างงานทั้งในอเมริกาและยุโรปก็ยังสูง

ถ้าเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้น ก็จะเป็นอันตรายต่อเศรษฐกิจและระบบการเงินของโลกไปทั่ว ประเทศต่าง ๆ ที่มีทุนสำรองเป็นเงินดอลลาร์ เงินยูโร เงินปอนด์ ก็ควรคิดอ่านเปลี่ยนทุนเหล่านี้เป็นโครงการพัฒนาต่าง ๆ เช่น โครงการฟื้นฐานระบบขนส่งคมนาคม ระบบสื่อสาร และอื่น ๆ เพราะจะได้ไม่ขาดทุน หรือเสียหาย ถ้าอะไรเกิดขึ้นกับสหรัฐอเมริกาและยุโรป สหรัฐอเมริกาเมื่อถึงจุดหนึ่งก็คงต้องหยุดอัดฉีดเงินเข้าไปในระบบ ด้วยเหตุผลดังกล่าว ถึงตอนนั้นก็จะเกิดช็อกอีกครั้งหนึ่ง ความไม่แน่นอนจากธนาคารกลางสหรัฐโดย นายเบน เบอร์นันเก้ ก็จะยังคงอยู่

ขณะนี้ทุกประเทศควรเรียกร้อง "การปฏิรูประบบการค้าและการเงินของโลก" หรือ "World Economic and Financial Order Reform" ใหม่ จะเอาชะตากรรมทางเศรษฐกิจของโลกไปแขวนไว้กับการตัดสินใจหรือผลประโยชน์ของสหรัฐอเมริกาไม่ได้เสียแล้ว

ในเวทีการประชุมระหว่างประเทศ เป็นต้นว่า องค์การการค้าโลกก็ดี ไอเอ็มเอฟก็ดี เวทีเศรษฐกิจโลกก็ดี หรือเวทีอื่นควรจะมีประเทศที่มีความกล้ามากพอที่จะเสนอให้มีการปฏิรูประบบการค้าและการเงินของโลกเสียใหม่ ลดอำนาจอิทธิพลของอเมริกาลง ควบคุมให้อเมริกาสร้างวินัยการเงิน การคลังของตนเองให้มากขึ้นและเร็วขึ้น บังคับให้อเมริกาต้องมีความรับผิดชอบต่อชาวโลกให้มากขึ้น มิฉะนั้นก็จะพังกันทั้งโลก ไม่ใช่อเมริกาพูดอะไรก็ถูกไปหมด

อยากเห็นสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นจริง ๆ

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
-------------------------------------------

ดึง จีน ร่วมลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน !!??

ครม.อนุมัติร่างเอ็มโอยูไทย-จีน 3 ฉบับ "ยิ่งลักษณ์"พร้อมลงนามร่วม"หลี่ เค่อเฉียง"นายกฯจีน 11 ต.ค.ดึงจีนลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน

ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี วานนี้ (8 ต.ค.) รับทราบกำหนดการการเดินทางมาเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการครั้งแรกของนายหลี่ เค่อเฉียง นายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐประชาชนจีน ระหว่างวันที่ 11-13 ต.ค. นี้ ขณะเดียวกันจะมีการหารือทวิภาคีร่วมกับนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ในวันที่ 11 ต.ค.นี้
ร.ท.หญิง สุณิสา เลิศภควัต รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่าที่ประชุม ครม.ได้อนุมัติร่างบันทึกความเข้าใจ (เอ็มโอยู) กับสาธารณรัฐประชาชนจีน 3 ฉบับคือ 1.บันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลไทยและจีน ว่าด้วยความร่วมมือของรัฐบาลในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในไทย เชื่อมโยงกับการชำระค่าใช้จ่ายด้วยสินค้าเกษตร 2.บันทึกความเข้าใจว่าด้วยแผนระยะยาวในการพัฒนาความสัมพันธ์ไทย-จีน และ 3.บันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงศึกษาธิการไทยและกระทรวงศึกษาธิการจีน
สาระสำคัญของร่างบันทึกความเข้าใจว่า ด้วยความร่วมมือของรัฐบาลในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในไทย ที่เชื่อมโยงกับการชำระค่าใช้จ่ายด้วย "สินค้าเกษตร" กระทรวงการต่างประเทศได้เสนอให้ ครม.พิจารณา โดยมีสาระสำคัญ 5 ข้อ ได้แก่

1.การบันทึกความเข้าใจจะจัดทำในรูปแบบสนธิสัญญาในระดับรัฐบาลกับรัฐบาล
จีนยอมไทยรับแลกสินค้าเกษตร

2.กำหนดให้ทั้งสองฝ่ายเจรจาหารือเกี่ยวกับการมีส่วนร่วมของจีน ในการพัฒนาโครงสร้างฐานของไทย การหารือดังกล่าว ต้องสอดคล้องกับกฎหมายและกฎระเบียบของแต่ละฝ่าย

3.กำหนดเงื่อนไขของการเจรจาเบื้องต้นว่า จีนจะยอมให้ไทยชำระค่าใช้จ่ายบางส่วนเป็นสินค้าเกษตรได้

4.ให้ทั้งสองประเทศจัดตั้งคณะทำงานร่วมกันเพื่อทำหน้าที่เจรจาในรายละเอียดต่างๆ ต่อไป

5.หากทั้งสองฝ่ายเจรจาการตกลงกันเกี่ยวกับโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของไทย และการชำระเงินด้วยสินค้าเกษตรบางส่วนได้ จึงจะให้มีการจัดทำสัญญาในระดับรัฐบาลต่อรัฐบาล เพื่อการดำเนินการในรายละเอียดต่อไป โดยให้จัดทำสัญญา เป็นไปตามกฎหมายและระเบียบภายในของทั้งสองประเทศ ทั้งนี้ ครม.ได้ให้กระทรวงคมนาคมเป็นผู้ลงนามในบันทึกความเข้าใจฉบับดังกล่าว

สาระสำคัญความร่วมมือด้านพลังงานระหว่างรัฐบาลไทย-จีน จะมีการลงนามบันทึกความร่วมมือเป็นกรอบความร่วมมือกว้างๆ ครอบคลุมสาขาพลังงานต่างๆ ได้แก่ การพัฒนาการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล ทั้งน้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ และถ่านหินผลิตไฟฟ้าและการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านไฟฟ้า การพัฒนาพลังงานหมุนเวียนและพลังงานสะอาด การอนุรักษ์พลังงานและการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ โดยกระทรวงพลังงาน เสนอให้ไทยและจีนจัดตั้งคณะทำงานเรื่องพลังงานร่วมกันเพื่อสร้างความร่วมมือด้านพลังงานระหว่างทั้งสองประเทศต่อไปในอนาคต

ไทย-จีนลงนามร่วมพัฒนาวิทยาศาสตร์

รัฐบาลไทยกับรัฐบาลจีน จะลงนามข้อตกส่งเสริมความร่วมมือระหว่างกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีไทย และ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีจีน 4 โครงการ เพื่อสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาระหว่าง 2 ประเทศ ได้แก่ 1.โครงการจัดตั้งห้องปฏิบัติการร่วม เน้นการวิจัยโครงสร้างพื้นฐานระบบราง และวิจัยพัฒนารถไฟความเร็วสูง 2.โครงการศูนย์การให้บริการข้อมูลสำรวจดาวเทียมระยะไกล 3.โครงการร่วมมือด้านการถ่ายทอดเทคโนโลยี และ 4.โครงการแลกเปลี่ยนนักวิทยาศาสตร์รุ่นใหม่ไทย-จีน ทั้งนี้ไทยและจีนจะร่วมกันผลักดันการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีทั้ง 4 ด้าน และตั้งคณะทำงานระหว่าง 2 ประเทศ มีผู้ช่วยรัฐมนตรีวิทยาศาสตร์ฯ ของจีน และปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ ของไทย เป็นประธานร่วม

คมนาคม ถกจีนโครงสร้างพื้นฐาน

นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า กระทรวงคมนาคมอยู่ระหว่างหารือร่วมกับผู้แทนรัฐบาลจีน เพื่อเตรียมความพร้อมเจรจาความร่วมมือระหว่างรัฐบาลไทยและจีน สำหรับความร่วมมือในส่วนของกระทรวงคมนาคม จะเป็นเรื่องโครงสร้างพื้นฐาน โดยเฉพาะรถไฟทางคู่ และรถไฟความเร็วสูง จะมีรายละเอียดเพิ่มเติมจากเอ็มโอยูเดิม ที่เคยทำไว้ก่อนหน้านี้ เป็นความร่วมมือด้านเทคนิค

ในเอ็มโอยูดังกล่าว น่าจะมีการตั้งคณะกรรมการร่วมสองฝ่าย เพื่อพิจารณาว่า จะมีความร่วมมือใดๆ ได้บ้าง ซึ่งความร่วมมือในส่วนของรถไฟความเร็วสูง ไม่ได้ระบุว่าเป็นเส้นทางสายใด เป็นการหารือในภาพรวมของโครงสร้างพื้นฐาน

เล็งบาร์เตอร์เทรดลงทุนรถไฟความเร็วสูง

ด้าน นายจุฬา สุขมานพ ผู้อำนวยการ สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) กล่าวว่า การหารืออย่างไม่เป็นทางการระหว่างรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคมจีนกับนายชัชชาติ ได้พูดคุยเกี่ยวกับการทำบันทึกข้อตกลงระหว่างรัฐบาลไทย-จีน หากจีนจะเข้ามาลงทุน ระบบรางในไทย ก็มีแนวคิดว่า จะนำสินค้าเกษตรบางส่วนของไทยแลกเปลี่ยน เป็นค่าซื้อขายอุปกรณ์ ในการใช้ดำเนินโครงการระบบราง แต่ยังไม่มีการหารือในรายละเอียดว่า จะมีลักษณะคล้ายกับบาร์เตอร์เทรดหรือไม่ คงต้องมาหารือต่อไป เพื่อความชัดเจนว่าจะมีวิธีการดำเนินการอย่างไร

แหล่งข่าวจากกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า เพื่อให้เกิดความชัดเจนเรื่องการนำสินค้าเกษตร แลกเปลี่ยนกับการลงทุนรถไฟความเร็วสูงนั้น รัฐบาลไทย-จีน จำเป็นต้องตั้งคณะกรรมการร่วมเพื่อพิจารณาความเหมาะสม เพราะมีหลายประเด็นที่ต้องคำนึงถึง ที่ผ่านมาการใช้วิธีบาร์เตอร์เทรดทำให้การดำเนินโครงการล่าช้า

ปัญหาของวิธีบาร์เตอร์เทรด คือ สินค้าที่จะใช้แลกเปลี่ยนไม่ตรงกับความต้องการ ดังนั้นต้องสรุปร่วมกันก่อนว่า จีนต้องการลงทุนระบบรางในเส้นทางใด ไทยมีความต้องการนำสินค้าใดไปแลกเปลี่ยน ต้องเป็นความต้องการที่ตรงกันทั้งสองฝ่าย"แหล่งข่าวกล่าว

นักวิชาการค้านรัฐแลกสินค้าเกษตร

ด้าน นางอักษรศรี พานิชสาส์น รองศาสตราจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวถึงกรณีที่รัฐบาลจะใช้นโยบายแลกสินค้าเกษตรกับจีน ในการชำระเงินเพื่อลงทุนโครงสร้างพื้นฐานว่า ไม่เห็นด้วยกับแนวทางดังกล่าว เพราะจะเป็นการเปิดช่องให้มีผู้เข้าไปหาผลประโยชน์ได้มาก เพราะไม่มีการกำหนดเป็นมูลค่าที่ตายตัว อีกทั้งไทยจะไม่สามารถรู้ได้แน่ชัดว่า จะต้องส่งสินค้าในปริมาณเท่าไร จะทำให้สินค้าการเกษตรไม่เป็นไปตามกลไกตลาด ดังนั้น ควรกำหนดการจ่ายเป็นสกุลเงินดอลลาร์ หรือพัฒนาการค้าเงินหยวนกับบาทให้มากขึ้น

อย่างไรก็ตาม เห็นว่าที่จะให้มีการลงทุนร่วมระหว่างไทยกับจีนในส่วนของโครงสร้างพื้นฐาน เพราะจะสร้างผลประโยชน์ให้กับทั้งสองฝ่าย ซึ่งจีนจะได้ในเรื่องของภาพลักษณ์ ส่วนไทยจะได้ในเรื่องของการลงทุน แต่ทั้งนี้ภาครัฐควรสงวนท่าทีในการต่อรองมากกว่านี้ เพื่อสร้างผลประโยชน์ เช่น เรื่องคุณภาพ เรื่องความปลอดภัย

กำหนดนายกฯ จีนเยือนไทย

สำหรับกำหนดการเดินทางเยือนประเทศของนายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐประชาชนจีน ระหว่างวันที่ 11-13 ต.ค. นั้น ในวันที่ 11 ต.ค. นายกรัฐมนตรีจีน จะหารือร่วมกับประธานรัฐสภา ประธานสภาผู้แทนราษฎร และ ประธานวุฒิสภา จากนั้นจะหารือร่วมกับนางสาวยิ่งลักษณ์ ที่ทำเนียบรัฐบาล พร้อมลงนามข้อตกลง 5 ฉบับ

ส่วนวันที่ 12 ต.ค. นางสาวยิ่งลักษณ์ เป็นประธานเปิดนิทรรศการรถไฟความเร็วสูงและเยี่ยมชมนิทรรศการ ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ จากนั้นเวลา 10.00 น. นายกรัฐมนตรีจีน มีกำหนดการเข้าเฝ้าฯ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ส่วนเวลา 11.00 น. จะเข้าเยี่ยมคารวะ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี จากนั้นจะเดินทางไปที่หอการค้าไทย-จีน ในเวลา 11.30 น. เพื่อพบปะกับชุมชนชาวจีนในไทย

สำหรับวันที่ 13 ต.ค. นายกรัฐมนตรีจีน มีภารกิจเยี่ยมชมโรงเรียนช่องฟ้า ซินเซิง วาณิชบำรุง และศูนย์จำหน่ายสินค้าโอท็อป จ.เชียงใหม่ จากนั้น เวลา 11.00 น. นายกรัฐมนตรีจีน จะออกเดินทางจากไทย ไปยังสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามต่อไป

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
------------------------------------------------