--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันอังคารที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2556

อีโง่ !!??

โดย.ศรี อินทปันตี

เมื่อวันที่ ๙ กันยายนที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้ไปกล่าวปราศรัยต่อที่ประชุมคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ ครั้งที่ ๒๔ ณ นครเจนีวา ประเทศสวิสเซอร์แลนด์

ปกติแล้วข่าวเรื่องนี้เป็นข่าวเล็กๆ ชิ้นหนึ่ง โดยหากไม่ได้ดูถึงเนื้อหาที่นายกรัฐมนตรีพูดแล้ว ก็แทบจะไม่น่าสนใจอะไรนัก แต่ที่ต้องหยิบยกขึ้นมากล่าวถึงก็เป็นเพราะว่า...

คุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรีคนแรกของประเทศไทยไทย ที่ได้รับเกียรติจากคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติให้ไปกล่าวคำปราศรัยต่อที่ประชุมอันมีความสำคัญยิ่งระหว่างประเทศองค์กรนั้น

และมันก็บังเอิญประจวบเหมาะกับการ ที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เอ่ยคำว่า “อีโง่” ออกมาอย่างตั้งอกตั้งใจและชัดถ้อยชัดคำ เมื่อกล่าวถึงภารกิจของนายกรัฐมนตรีในการไปเป็นประธานการประกวดสมาร์ทเลดี้ จนถูกสวดชยันโตไล่ผีป่ากันทั้งบ้านเมือง

เลยต้องสนใจมาวิพากษณ์วิจารณ์กันว่า...ทำไมคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติจึงเชิญคนโง่ๆ ไปกล่าวคำปราศรัย หรือว่าองค์กรระดับโลกดังกล่าวมันโง่กันถึงขนาดที่ไอคิวอยู่ในระดับแค่ ๓๕ (เท่ากับไอคิวควาย)

เพราะถ้าฉลาดแล้ว ทำไมจึงไม่เคยเชิญนายกรัฐมนตรีคนอื่นๆ ของประเทศไทย รวมทั้งนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ไปกล่าวคำปราศรัยกันบ้าง

ในคำปราศรัยต่อที่ประชุมดังกล่าวนั้น คุณยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า สิทธิมนุษยชนเป็นหัวใจของประชาธิปไตย และเป็นหน้าที่ของทุกคนที่ต้องยึดหลักประชาธิปไตย ไม่สามารถยอมรับการเปลี่ยนแปลงที่ขัดต่อหลักประชาธิปไตย รัฐบาลต้องคงไว้ซึ่งการสนับสนุนคุณค่าประชาธิปไตยด้วยการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชน

คำพูดของคุณยิ่งลักษณ์ มันทำให้นึกถึงการกระทำของ คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่ไปตั้งรัฐบาลในค่ายทหารและสั่งใช้กำลังทหารเข้าปราบปรามประชาชนที่ชุมนุมมือเปล่าเรียกร้องให้มีการเลือกตั้งใหม่ อัน
เป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชนทั้งโลก

เหตุนี้กระมังเขาจึงไม่เคยเชิญคุณอภิสิทธิ์ไปกล่าวคำปราศรัย

เพราะมิฉะนั้นแล้วคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ คงจะได้รับฟังตรรกะอันพิลึกพิลั่นเฉกเช่นเดียวกับตรรกะของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งประเทศไทย ที่สนับสนุนการที่รัฐบาลใช้กำลังทหารปราบปรามประชาชนของตัวเอง

เป็นที่ยอมรับกันว่า คุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนายกรัฐหญิงที่ได้รับการยกย่องว่า “Beautiful and smart” คือ ทั้งสวยทั้งเก่ง

ทั้งนี้ ๒ ปีของการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี จากคนที่เคยเป็นแค่นักธุรกิจและแม่บ้านที่รู้เรื่องการเมืองแบบงูๆปลาๆ คุณยิ่งลักษณ์ได้พิสูจน์ให้ถึงความสามารถในการเป็นผู้นำอย่างแท้จริง

นอกจากจะเป็นที่ยอมรับของข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ทั้งฝ่ายทหารและพลเรือนแล้ว ผู้นำทั่วโลกก็ยอมรับความจริงข้อนี้ด้วย

ก็คงไม่ใช่คนโง่หรอก

ที่มา.บางกอกทูเดย์
/////////////////////////////////////////////////////////////////

นโยบายสินค้าเกษตร ที่ พท.หาเสียงไว้ ไปถึงไหนแล้ว !!??

ยังไม่ทันปรับโหมดจากการแก้ปัญหาราคายางพาราตกต่ำ อยู่ระหว่างเดินหน้ามาตรการช่วยเหลือชาวสวนยางด้วยการเปิดให้เกษตรกรมาลงทะเบียน ก่อนจ่ายเงินอุดหนุนปัจจัยการผลิต 2,520 บาท/ไร่ รายละไม่เกิน 25 ไร่ ระยะเวลา 7 เดือน ตั้งแต่เดือน ก.ย. 2556-มี.ค. 2557 ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อ 10 ก.ย.

ที่ผ่านมา เกษตรกรชาวไร่ข้าวโพดก็กำลังเรียกร้องให้รัฐช่วยเหลือเพื่อแก้ไขปัญหาราคาข้าวโพดตกต่ำ และมีแนวโน้มว่าม็อบยางพาราจะถูกใช้เป็นโมเดลต้นแบบในการเคลื่อนไหวเรียกร้อง ไม่รวมสินค้าเกษตรอื่นอีกหลายรายการที่อาจมีปัญหาในลักษณะเดียวกัน

ทำให้คณะกรรมการนโยบายพืชผลทางการเกษตรที่มีอยู่หลายสิบชุด ทั้งคณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติ คณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ คณะกรรมการนโยบายพัฒนาไก่ไข่และผลิตภัณฑ์ คณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมัน ถั่วเหลือง ข้าวโพด ฯลฯ ซึ่งกรรมการส่วนใหญ่มีรายชื่อซ้ำซ้อน มีงานแก้โจทย์ราคาพืชผลตกต่ำล้นมือ ไม่ต่างจาก ฯพณฯ ท่านรองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจที่นั่งตำแหน่งประธานคณะกรรมการนโยบายแทนนายกฯ เกือบทุกชุดก็ล้วนมีงานล้นมือ

แทนที่คณะกรรมการนโยบายจะได้ทำหน้าที่กำหนดนโยบาย มาตรการ หรือวางแผน วางยุทธศาสตร์สินค้าเกษตรในระยะยาว ซึ่งน่าจะเป็นภารกิจหลักสอดรับกับวัตถุประสงค์ในการแต่งตั้งคณะกรรมการนโยบายแต่ละชุด กลับต้องรับบทหนักคอยแก้ปัญหาเฉพาะหน้า สาละวนอยู่กับการแก้โจทย์ราคาพืชผลตกต่ำซ้ำแล้วซ้ำเล่า ส่งผลให้หน้าที่หลักอย่างการปรับเปลี่ยนขับเคลื่อนแผนหรือยุทธศาสตร์ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปกลายเป็นภารกิจรอง ต้องเร่งแก้ปัญหาปลายน้ำแทนการจัดระเบียบ บริหารจัดการสินค้าเกษตรอย่างเป็นระบบตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ จนถึงปลายน้ำ ซึ่งเป็นเรื่องจำเป็น และน่าจะสร้างความมั่นคงยั่งยืนให้กับภาคการเกษตรได้ในระยะยาว

ขณะเดียวกัน การแก้ไขพืชผลทางการเกษตรราคาตกต่ำ ซึ่งมักเน้นแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเพื่อลดแรงกดดันทางการเมือง และพยายามไม่ให้การเคลื่อนไหวเรียกร้องของกลุ่มเกษตรกรขยายวงกระทบเศรษฐกิจ รัฐบาลมักใช้วิธีเจรจาต่อรอง และจบลงโดยรัฐต้องควักเงินงบประมาณอุดหนุนชดเชยเป็นประจำทุกฤดูการผลิต นับวันยิ่งกลายเป็นภาระหนัก ทำให้รัฐมีรายจ่ายเพิ่มมากขึ้น จนน่าห่วงว่าถึงจุดหนึ่งภาระในการอุดหนุนแทรกแซงราคาสินค้าเกษตรอาจก่อให้เกิดปัญหาหนี้สาธารณะ ในส่วนนี้โครงการประชานิยมรับจำนำข้าวทุกเมล็ดน่าจะเป็นกรณีตัวอย่างชี้ให้เห็นถึงความสุ่มเสี่ยงที่จะมีตามมาได้เป็นอย่างดี

เพื่อป้องกันแก้ไขปัญหาพืชผลทางการเกษตรทั้งระบบในระยะยาว รัฐบาลจำต้องเร่งทบทวนบทบาทด้วยการกำหนดยุทธศาสตร์และนโยบายด้านการเกษตรทั้งระบบอย่างครบวงจร ตั้งแต่การผลิต การแปรูป การตลาด โดยจัดทำแผนและมาตรการส่งเสริมสนับสนุน ตลอดจนการป้องกันแก้ไขปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นเป็นรายสินค้า ขณะเดียวกัน ก็เร่งพัฒนาเพื่อยกระดับมาตรฐานการประกอบอาชีพเกษตรกรรม ทั้งปลูกพืช เลี้ยงสัตว์ ทำการประมง ก้าวสู่เป้าหมายการยกระดับรายได้และยกระดับคุณภาพชีวิตเกษตรกรไทย แทนที่จะมุ่งแก้โจทย์เฉพาะหน้า แต่สั่งสมปัญหาใหญ่ให้ต้องตามแก้ในระยะยาว

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
///////////////////////////////////////////////////////////

กิตติรัตน์ ชี้ลด EQ หนุนส่งออกไทย Kbank หั่นเป้าจีดีพีเหลือ 3.7% !!??

กิตติรัตน์.ชี้เฟดลดคิวอีสะท้อนเศรษฐกิจโลกฟื้น ช่วยส่งออกไทย "กสิกร"ลดเป้าจีดีพีปีนี้รอบ 4 เหลือ 3.7% ชี้หลายปัจจัยเสี่ยงพลิก สศค.ย้ำเงินเฟ้อต่ำ เอื้อ กนง.ลดดอกเบี้ย เชื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ดึงบาทอ่อน ยันแบงก์เข้มสินเชื่อ ช่วยคุมหนี้ครัวเรือน

นางพิมลวรรณ มหัจฉริยวงศ์ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด กล่าวว่า ศูนย์วิจัยกสิกรได้ปรับลดประมาณการเศรษฐกิจปี 2556 เหลือ 3.7% จากเดิมที่คาดว่าจะเติบโต 4% ซึ่งเป็นการปรับลดครั้งที่ 4 ในรอบปีนี้ เพราะมีหลายปัจจัยที่เปลี่ยนแปลงมากทั้งคิวอี เศรษฐกิจจีนและเศรษฐกิจในประเทศที่ชะลอตัว โดยมองว่าเศรษฐกิจไทยเริ่มถึงจุดต่ำสุด และกลับมาฟื้นตัวได้ในไตรมาสที่ 3 ทั้งนี้ มองว่าเศรษฐกิจไทยปีหน้ายังมีโอกาสเติบโต 4.5% ซึ่งมาจากด้านส่งออกเป็นสำคัญ

นางพิมลวรรณกล่าวว่า ส่วนแนวโน้มอัตราดอกเบี้ย แม้ความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อจะไม่สูง แต่การขึ้นดอกเบี้ยในสถานการณ์ที่เงินทุนไหลออก และประเทศอื่นในภูมิภาคเริ่มขึ้นดอกเบี้ย จะส่งผลให้คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) พิจารณาเรื่องลดดอกเบี้ยยาก ซึ่งการลดดอกเบี้ยอาจมีผลต่อการไหลออกของเงินทุนและภาวะหนี้ครัวเรือน โดยมองว่าในครึ่งปีหลังของปีหน้า หากสหรัฐฟื้นและเริ่มขึ้นดอกเบี้ย ดอกเบี้ยไทยอาจปรับขึ้นอีก 0.5%

ด้านนายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองผู้อำนวยการ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เปิดเผยว่า แรงกดดันเงินเฟ้อที่ล่าสุดเดือนสิงหาคม อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานอยู่ที่ 0.75% อัตราเงินเฟ้อทั่วไปอยู่ที่ 1.59% นับเป็นช่องว่างให้สามารถดำเนินนโยบายการเงิน และนโยบายการคลังแบบผ่อนคลายได้ตามความเหมาะสมของสถานการณ์ ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ 2.5% กนง.สามารถปรับลดดอกเบี้ยลงได้อีก โดย กนง.จะมีการประชุมครั้งต่อไปวันที่ 16 ตุลาคมนี้

นายเอกนิติกล่าวว่า ส่วนที่หลายฝ่ายกังวลว่าการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลง จะยิ่งจูงใจให้คนกู้เงิน จนทำให้หนี้สินภาคครัวเรือนเร่งตัวขึ้นนั้น ขณะนี้สถาบันการเงินมีความระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น จนเริ่มเห็นแนวโน้มการขยายตัวของสินเชื่อชะลอลง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้เผยแพร่บทความอินเตอร์เนชันแนล สปิลล์โอเวอร์ส ของการดำเนินและยุติมาตรการคิวอี (มาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ) โดย น.ส.ธนภรณ์ หิรัญวงศ์ เศรษฐกรอาวุโส และนายวิทิต สินสัตยกูล เศรษฐกรฝ่ายนโยบายเศรษฐกิจการเงิน สายนโยบายการเงิน ธปท.ระบุว่า หากไทยสามารถรักษาบรรยากาศการลงทุนและพัฒนาปัจจัยพื้นฐานของประเทศอย่างต่อเนื่อง รวมถึงสร้างความมั่นใจกับนักลงทุนในการแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างระยะยาวของประเทศได้ จะช่วยลดโอกาสที่จะเกิดภาวะเงินทุนไหลออกอย่างฉับพลันจากปัจจัยภายนอกที่อาจส่งผลกระทบรุนแรงต่อเศรษฐกิจไทยได้

นางสาวกาญจนา โชคไพศาลศิลป์ ผู้จัดการฝ่ายวิจัยเศรษฐกิจมหภาค บริษัทศูนย์วิจัยกสิกรไทยจำกัด กล่าวว่า แม้ว่าตลาดจะรับข่าวการลดคิวอีมาระยะหนึ่งแล้ว แต่ตลาดทุนโลกยังต้องรับมือกับความผันผวนต่อเนื่องในช่วงหลายเดือนข้างหน้า ตามสัญญาณเศรษฐกิจสหรัฐ ซึ่งค่าเงินบาทกลับมาแข็งค่าที่ระดับ 31.60 บาทต่อดอลลาร์ในช่วงเช้าของวันที่ 16 กันยายน หลังจากปิดตลาดที่ระดับ 31.88 บาทต่อดอลลาร์ในปลายสัปดาห์ก่อน และคาดว่าช่วง 1-2 เดือนข้างหน้า ค่าเงินบาทจะเคลื่อนไหวระดับ 31-32 บาทต่อดอลลาร์ โดยค่าความผันผวนของเงินบาทในปัจจุบันอยู่ที่ 6% มากกว่าปีก่อนหน้าที่มีค่าความผันผวนอยู่ที่ 4%

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
///////////////////////////////////////////////////////////////

วันจันทร์ที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2556

แนะไทยดึงจีน รับมือราคายางตก !!??

อุตสาหกรรมยางพาราไทยน่าห่วง มาเลเซียประกาศเป้าหมายศูนย์กลางยางพาราโลกโค่นไทยหล่นแชมป์ อีกด้านจีนรุกคืบขยายพื้นที่ปลูกใน CLMV จับตาอนาคตลดนำเข้าจากไทยอื้อ นักวิชาการ-เอกชนประสานเสียงต้องเร่งขยายสัดส่วนปริมาณการใช้ในประเทศเป็นอย่างน้อย 20% ช่วยลดผลกระทบ ขณะเงินช่วยปัจจัยการผลิตยาง 2,520 บาทต่อไร่ยังชุลมุน รัฐสั่งตรวจเข้มเอกสารสิทธิ 46 ประเภท  ส่วนที่ไม่เข้าข่ายเตรียมส่งเจ้าหน้าที่ตรวจสอบรายแปลง

alt    จากที่ประเทศมาเลเซีย ได้ประกาศเป้าหมายการเป็นศูนย์กลางยางพาราของโลกใน ค.ศ. 2020 หรือ ปี 2563 โดยมีแผนงานยุทธศาสตร์ที่ชัดเจนเพื่อไปสู่เป้าหมายดังกล่าว ขณะที่ไทยในฐานะผู้ผลิต และส่งออกยางพาราและผลิตภัณฑ์อันดับ 1 ของโลก (มูลค่าปี 2555 มูลค่ากว่า 6.5 แสนล้านบาท)ยังอยู่ในวังวนของการแก้ไขปัญหาราคายางพาราตกต่ำ

ชี้เด่นแค่ถุงมือยาง
   
ดร.อัทธ์  พิศาลวานิช ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยกับ "ฐานเศรษฐกิจ"ว่า โดยศักยภาพของมาเลเซียแล้วไม่สามารถเป็นศูนย์กลางยางพาราของโลกได้ทุกด้าน ยกเว้นเป็นผู้นำด้านการส่งออกผลิตภัณฑ์ประเภทถุงมือยาง ที่ในปีที่ผ่านมาเลเซียสามารถส่งออกได้ถึงมูลค่า 1.06 แสนล้านบาท มีส่วนแบ่งในตลาดโลกสัดส่วนกว่า 50% และในปี 2563 มีเป้าหมายส่วนแบ่งตลาดที่ 65% หรือจะมีมูลค่าส่งออกประมาณ 3 แสนล้านบาท ขณะที่จะส่งเสริมปลูกยางพาราเพิ่มเป็น 7.2 ล้านไร่ จากปัจจุบันมีพื้นที่ปลูก 6.3 ล้านไร่ การเพิ่มผลผลิตเป็น 314 กิโลกรัมต่อไร่ จากปัจจุบันมีผลผลิตเฉลี่ย 240 กิโลกรัมต่อไร่ นอกจากนี้จะเพิ่มปริมาณผลผลิตยาง เป็น 1.8 ล้านตัน จากปีที่ผ่านมา มีผลผลิต 9.96 แสนตัน และเพิ่มการบริโภคยางในประเทศจาก 4.57 แสนตัน เป็น 1 ล้านตัน
   
มาเลเซียมีเพียงตัวเดียวที่ส่งออกได้เป็นอันดับ 1ของโลกคือถุงมือยางเท่านั้น ขณะที่ไทยส่งออกได้เป็นอันดับ 1 ของโลกหลายตัว ได้แก่  น้ำยางข้น ยางแผ่นรมควัน ถุงยางอนามัย และยางรถยนต์ ขณะที่พื้นที่ปลูก และผลผลิต และมูลค่าการส่งออกโดยรวมของไทยในปัจจุบันก็มากกว่า(ดูตารางประกอบ) แต่หากเราอยู่เฉยๆ จะได้รับผลกระทบแน่"
   
อย่างไรก็ดีสิ่งที่ประเทศไทยต้องเร่งพัฒนาคือ การเพิ่มสัดส่วนการใช้วัตถุดิบในประเทศ จากปัจจุบันไทยมีสัดส่วนการใช้วัตถุดิบยางในประเทศเพียง 13% (ยังต่ำกว่าเป้าหมายที่วางไว้ ปี 2556 ที่สัดส่วน 17%) และส่งออก 87%  และราคาส่งออกขึ้นกับตลาดโลก หากจีนซึ่งเป็นผู้ซื้อรายใหญ่(สัดส่วนประมาณ 40%ของการส่งออกโดยรวม) ไม่ซื้อ หรือลดการสั่งซื้อ รวมถึงตลาดโลกมีความผันผวนก็จะได้รับผลกระทบจากราคายางที่ลดลง และจะมีปัญหาการชุมนุมเรียกร้องของเกษตรกรไม่รู้จบ ในเรื่องนี้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องจะต้องเร่งผลักดันการเพิ่มปริมาณสัดส่วนใช้ยางในประเทศจาก 13% เป็นอย่างน้อย 20%  จากปีที่ผ่านมาใช้ในประเทศ 5 แสนตัน ให้เป็น 8 แสนตันในในอีก 5 ปี ซึ่งจะช่วยเพิ่มมูลค่าในห่วงโซ่อุปทานอุตสาหกรรมได้อีก 8 แสนล้านบาท จากปัจจุบันทั้งห่วงโซ่อุปทานมีมูลค่าประมาณ 9 แสนล้านบาท โดยต้องมุ่งสู่อุตสาหกรรมแปรรูปยางขั้นปลายที่มีมูลค่าเพิ่มเพื่อแย่งส่วนแบ่งตลาดโลกให้มากขึ้น

จีนส่งสัญญาณลดนำเข้า
   
ดร.อัทธ์ ยังได้แสดงความเป็นห่วงอุตสาหกรรมยางพาราของไทยที่นอกจากอาจได้รับผลกระทบจากเป้าหมายเป็นศูนย์กลางยางพาราโลกของมาเลเซียแล้วยังมีผู้เล่นรายใหม่เข้าสู่อุตสาหกรรม ประกอบด้วยจีน เวียดนาม ลาว กัมพูชา และเมียนมาร์ ที่เวลานี้อยู่ระหว่างขยายพื้นที่ปลูกยางรวมกันเกือบ 20 ล้านไร่ ประกอบด้วยจีนปลูกแล้ว 6.9 ล้านไร่ เวียดนาม 5 ล้านไร่ ลาว 3 ล้านไร่ กัมพูชา เกือบ 2 ล้านไร่ และเมียนมาร์อีก 3 ล้านไร่ ซึ่งหากพื้นที่ปลูกยางทั้งหมดซึ่งเท่ากับพื้นที่ปลูกยางของไทยหนึ่งประเทศสามารถกรีดได้ทั้งหมดในระยะเวลาอันใกล้นี้จะมีความเสี่ยงต่อการส่งออกยางพาราของไทย เนื่องจากยางในลาวส่วนใหญ่ 70-80% ปลูกโดยนักธุรกิจชาวจีน และปัจจุบันได้ตั้งโรงงานแปรรูปในลาวแล้ว 20% และในเวียดนามบางส่วนก็ปลูกโดยจีน ดังนั้นวัตถุดิบ หรือสินค้ายางที่ผลิตในประเทศเหล่านี้ในอนาคตจะถูกส่งป้อนให้กับจีนเป็นหลัก
   
โอกาสที่จีนจะลดการนำเข้ายางพาราจากไทยในอนาคต มีความเป็นไปได้สูง หากไทยไม่ปรับตัว แนวทางหนึ่งมองว่าไทยอาจดึงจีนมาร่วมตั้งเมืองอุตสาหกรรมยางหรือรับเบอร์ซิตี เพื่อดึงโรงงานแปรรูปของจีนมาตั้งในไทยช่วยเพิ่มการใช้วัตถุดิบในประเทศให้มากขึ้น"

ห่วงสารพัดปัญหาตัวฉุด
   
ขณะที่นายอุทัย  สอนหลักทรัพย์ ประธานสภาการยางพาราแห่งประเทศไทย ให้ความเห็นว่ามีความเป็นไปได้ที่มาเลเซียจะเป็นศูนย์กลางยางพาราโลก เนื่องจากเวลานี้ประเทศไทยยังติดหล่มในหลายปัญหา เช่นกฎหมายสิ่งแวดล้อมมีความเข้มงวดมากเกินไป ทำให้การไปตั้งโรงงานแปรรูปยางของเอกชนในหลายพื้นที่มีอุปสรรคล่าช้า จากถูกต่อต้านจากองค์กรพัฒนาเอกชน(เอ็นจีโอ) อีกด้านหนึ่งถูกการเมืองท้องถิ่น เช่น องค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) บางแห่งเรียกรับผลประโยชน์, ปัญหาด้านแหล่งเงินทุนดอกเบี้ยต่ำเพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการ,ปัญหา กฎระเบียบการนำเข้ายางพาราจากเพื่อนบ้านมาแปรรูปในไทยมีความยุ่งยาก การเรียกเก็บเงินสงเคราะห์เกษตรกรจากผู้ส่งออกยาง(เงินเซสส์) ในอัตราสูงแบบขั้นบันได 3-5 บาทต่อกิโลกรัม ขณะที่มาเลเซียเก็บอัตราเดียวที่ 1.40 บาทต่อกิโลกรัม ส่วนอินโดนีเซียไม่เก็บ อาจทำให้ต่างชาติหนีไปลงทุนประเทศอื่น
   
ตัวอย่างปัญหาเหล่านี้เราต้องเร่งแก้ไข  ไม่เช่นนั้นไทยอาจสูญเสียความเป็นศูนย์กลางยางพาราของอาเซียน และของโลกให้กับมาเลเซียได้ เวลานี้จะเห็นได้จากมีสินค้ายางพาราของไทยทั้งจากระยอง สงขลา หาดใหญ่เล็ดลอดส่งออกที่ท่าเรือปีนังของมาเลเซียส่วนหนึ่งเลี่ยงจ่ายเงินเซสส์ ขณะที่มาเลเซียอำนวยความสะดวกพิธีการศุลกากรแบบวันสต็อปเซอร์วิส มีท่าเรือที่พร้อมส่งออกได้อย่างรวดเร็ว เทียบแล้วมีค่าใช้จ่ายต่ำกว่าที่ส่งออกจากไทยในเรื่องนี้ต้องพิจารณาเงินเซสส์ใหม่อาจเก็บอัตราเดียวเหมือนมาเลเซีย"

ตั้งรับเบอร์ซิตีตัวอย่าง
   
ด้านนายหลักชัย  กิตติพล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไทยฮั้วยางพารา จำกัด (มหาชน) ให้ความเห็นต่างว่า โอกาสที่มาเลเซียจะเป็นศูนย์กลางยางพาราโลกคงเป็นไปได้ยาก เพราะมาเลเซียโดดเด่นเพียงผลิตภัณฑ์เดียวคือถุงมือยาง ขณะที่ไทยมีอุตสาหกรรมการผลิตยางล้อรถยนต์ ชิ้นส่วนรถยนต์ และอุตสาหกรรมต่อเนื่องรองรับอีกเป็นจำนวนมาก ถ้ารัฐบาลเร่งผลักดันอย่างจริงจังก็จะเป็นโอกาสในการขยายตัว และต้องเร่งผลักดันในอุตสาหกรรมปลายน้ำเพื่อเพิ่มการใช้วัตถุดิบในประเทศ รวมถึงลดผลกระทบราคายางในตลาดโลกผันผวน
   
ล่าสุดในนามส่วนตัวได้จัดตั้งบริษัท ไทยเบก้า จำกัด ขึ้นโดยมีแผนการจัดตั้งนิคมยางพารา หรือนิคมสีเขียวร่วมกับการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) เพื่อรองรับการลงทุนแปรรูปยางจากต่างประเทศที่อำเภอเมือง จังหวัดระยอง พื้นที่กว่า 2 พันไร่ คาดจะใช้เงินลงทุนพัฒนาระบบสาธารณูปโภคประมาณ 2 พันล้านบาท และจะแล้วเสร็จสามารถตั้งโรงงานได้ในปีหน้า ขณะนี้ได้มีนักลงทุนจากจีน อินเดีย และจากสหภาพยุโรปติดต่อเข้ามาแล้วประมาณ 5 ราย เป็นนักลงทุนรายใหญ่ แต่ละรายจะใช้เงินลงทุน 5-8 พันล้านบาท ใช้พื้นที่อย่างน้อย 300 ไร่ต่อราย มีทั้งผู้ผลิตยางล้อรถเก๋ง รถสิบล้อ รวมถึงยางล้อเครื่องบิน หากแล้วเสร็จคาดจะช่วยเพิ่มการใช้ยางพาราในประเทศอีกไม่ต่ำกว่า 3 แสนตันต่อปี และช่วยเพิ่มยอดส่งออกของประเทศอีกหลายแสนล้านบาท

ตรวจเข้มก่อนจ่าย
   
นายยุคล  ลิ้มแหลมทอง  รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะอนุกรรมการตรวจสอบเกี่ยวกับเอกสารสิทธิในการใช้พื้นที่ปลูกยางพาราว่า เป็นที่ชัดเจนว่าประเภทเอกสารสิทธิที่ดินที่เข้าหลักเกณฑ์เพื่อใช้ยื่นรับสิทธิได้รับการช่วยเหลือค่าปัจจัยการผลิต 2,520 บาทต่อไร่ รายละไม่เกิน 25 ไร่ กรมส่งเสริมการเกษตรจะยึดตามประเภทเอกสารสิทธิที่ดินซึ่งเป็นที่ยอมรับของกรมป่าไม้ทั้งหมด 46 รายการ แบ่งเป็น ประเภทที่ดินซึ่งได้มาตามเอกสารเกี่ยวกับที่ดินที่มีกรรมสิทธิ์ถูกต้องตามประมวลกฎหมายที่ดิน 17 รายการ เช่น โฉนดที่ดิน,ตราจอง,น.ส.4, น.ส.4ข, เป็นต้น และประเภทที่ดินที่มีสิทธิครอบครองหรือทางราชการให้ใช้ประโยชน์ 29 รายการ เช่น ที่ดินส.ป.ก. หนังสือรับรองของนิคมสหกรณ์, ก.ส.น.3, ก.ส.น.4,หนังสือรับรองของหน่วยราชการทหาร รวมถึงใช้ใบรับรองภาษีที่ดิน หรือ ภ.บ.ท.ก็สามารถใช้เป็นเอกสารเข้าร่วมโครงการได้ แต่จะต้องมีคำรับรองของกรมป่าไม้หรือส่วนราชการที่ที่ดินตั้งอยู่อนุญาตให้ใช้พื้นที่ได้มาประกอบเป็นหลักฐาน
   
ส่วนกรณีเกษตรกรทำสวนยางในพื้นที่ในเขตป่าสงวนหรืออุทยานแห่งชาติ ซึ่งเบื้องต้นพบว่ามีเกษตรกรเข้าไปทำสวนยางในพื้นที่ป่าสงวนประมาณ 3.3 ล้านไร่ และเขตอุทยานแห่งชาติอีกประมาณ 1 ล้านไร่  ก็จะเป็นอีกขั้นตอนที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ต้องเข้าไปตรวจสอบและพิสูจน์สิทธิการถือครองที่ดินว่า เป็นไปตามกฎหมายของกรมป่าไม้และกฎหมายของอุทยานแห่งชาติหรือไม่ เพื่อดูว่าจะช่วยเหลือเกษตรกรในพื้นที่ดังกล่าวได้อย่างไรต่อไป

เผยเอกสารสิทธิ 46 ประเภท
   
สอดคล้องกับ นายวิทยา อธิปอนันต์ รองอธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร เป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบขึ้นทะเบียนยางพารา   กล่าวถึงความคืบหน้าการขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกยางพาราตั้งแต่วันที่ 4 กันยายนที่ผ่านมา ล่าสุด ณ วันที่ 12 กันยายน 2556 ได้มีเกษตรกรมาแจ้งขึ้นทะเบียนแล้ว  1 แสนราย
   
ซึ่งคาดว่าจะมีความรวดเร็วมากยิ่งขึ้น เพื่อเข้าสู่กระบวนการตรวจพื้นที่ปลูกยางทุกแปลงที่จะเกิดความชัดเจนของพื้นที่การรับการช่วยเหลือรายละไม่เกิน 25 ไร่ เกษตรกรมีเอกสารสิทธิถูกต้อง จะต้องเปิดกรีดยางแล้ว อย่างไรก็ดีทางกรมจะได้เร่งด่วนทำข้อมูลเพื่อจัดทำขึ้นทะเบียนข้อมูล และจะมีการตรวจสอบทุกแปลง ไม่ใช้การสุ่มตรวจ ซึ่งจะมีคณะกรรมการระดับจังหวัดประกอบด้วย เจ้าหน้าที่กรมส่งเสริม องค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เป็นต้น

ที่มา. นสพ.ฐานเศรษฐกิจ
/////////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันอาทิตย์ที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2556

จาตุรนต์ ฉายแสง : จี้ครูปรับบทบาทใหม่ !!??


นายจาตุรนต์ ฉายแสง รมว.ศึกษาธิการ(ศธ.) เป็นประธานเปิดการประชุมทางวิชาการของคุรุสภา ประจำปี 2556 ที่ รร.แอมบาสเดอร์ กทม. เรื่อง "การวิจัยเพื่อเพิ่มคุณภาพการศึกษาและการพัฒนาวิชาชีพ" พร้อมมอบรางวัล "ผลงานวิจัยระดับภูมิภาค" ประจำปี 2556 ของคุรุสภา และร่วมปาฐกถาพิเศษ เรื่อง "นโยบายการพัฒนาวิชาชีพครู เพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษาไทย"

ทั้งนี้ได้มีครูได้รับรางวัล ดีเด่น 3 คน รางวัลดี 23 คน และรางวัลชมเชย 30 คน สำหรับผู้ที่ได้รับรางวัลดีเด่น อันดับ 1 ได้แก่ นายประจักษ์ พรมหนู โรงเรียนเทศบาล 2 วัดเสนหา (สมัครพลผดุง) จ.นครปฐม ได้รับรางวัลผลงานวิจัยดีเด่น ของคุรุสภา ประจำปี 2556 "ผลงานวิจัยระดับภูมิภาค" ในผลงานวิจัย เร่ือง "การพัฒนารูปแบบการเรียนการสอนแบบ SKILLS เพื่อส่งเสริมทักษะปฎิบัติวงโยธวาทิต สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น"

นายวิชัย กงพลนันท์ วิทยาลัยเทคนิคเชียงราย จ.เชียงราย กับรางวัลผลงานวิจัยดีเด่น ระดับภูมิภาค ในผลงานวิจัย เรื่อง "การพัฒนาชุดฝึกสถานการณ์จำลองเบรกรถบรรทุก เพื่อใช้จัดการเรียนรู้สำหรับผู้เรียนอาชีวศึกษาหลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง(ปวส.)"

และนายจันทร์ ติยวงศ์ จากโรงเรียนสุรนารี จ.นครราชสีมา กับรางวัลผลงานวิจัยดีเด่น ระดับภูมิภาค ในผลงานวิจัย เรื่อง "การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนคณิตศาสตร์ที่เน้นนักเรียนเป็นสำคัญ ที่ส่งผลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ทักษะและกระบวนการทางคณิตศาสตร์ และคุณลักษณะที่พึงประสงค์ของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่2"

ด้านนายจาตุรนต์ กล่าวตอนหนึ่งว่า ก็ต้องขอชื่นชมครูที่ได้รับรางวัลผลงานวิจัยของครู ซึ่งคุรุสภาได้จัดมาเป็นปีที่ 9 แล้ว ถือเป็นเวทีสำคัญของครู การวิจัยเป็นเรื่องที่ครูจะต้องทำ หากไม่กระทบกับเวลาเรียนของเด็ก ผลงานวิจัยนี้ถือเป็นประโยชน์และเป็นฐานความรู้ที่สำคัญในการนำมารองรับนโยบายในการปรับปรุงศักยภาพและเพิ่มคุณภาพการศึกษา ซึ่งผ่านมาเรายังใช้ประโยชน์จากผลงานวิจัยไม่มากนัก ขณะนี้ศธ.กำลังปรับหลักสูตรใหม่ รวมถึงกำลังจะผลักดันการจัดตั้งสถาบันพัฒนาหลักสูตร เพื่อให้สอดคร้องกับการพัฒนาคุณลักษาของเด็กที่เราต้องการ รวมถึงพัฒนาวิชาชีพครูควบคู่ไปด้วย เพื่อให้สอดคล้องกับการพัฒนากำลังคนไปพัฒนาประเทศ

รมว.ศึกษาธิการกล่าวด้วยว่า ครูจะต้องปรับบทบาทและเปลี่ยนกระบวนการเรียนการสอน จะต้องทำให้เด็กสามารถคิดวิเคราะห์เป็น แก้ปัญหา ทำงานร่วมกับผู้อื่นได้ และมีคุณลักษณะที่พึงประสงค์สูงขึ้น เพราะต่อไปเด็กจะเรียนด้วยเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารที่ทันสมัยมีความก้าวหน้า และสามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสารได้มากและรวดเร็วขึ้น

"ปัญหาที่ยังเป็นห่วง คือความพร้อมของครู ที่จะปรับตัวและพัฒนาตนเอง เราต้องมาช่วยกันคิดถึงระบบและวิธีการในการพัฒนาครู ขณะนี้องค์กรที่จะพัฒนาครู ก็กำลังคิดกันอยู่ว่าจะพัฒนาบทบาทอย่างไร รวมถึงระบบการอบบรมและพัฒนาครู จะต้องมีประสิทธิภาพและมีผลต่อเนื่องและหลากหลาย เพื่อให้เกิดการเรียนรู้เทคนิควิธีการเรียนการสอนแบบใหม่ ๆที่มีประสิทธิภาพเพื่อจะทำให้ได้เด็กตามคุณลักษณะที่เราต้องการ รวมถึงให้มีการรวบรวมองค์ความรู้จากภายในประเทศ และจากครูที่ประสบความสำเร็จ จากครูที่มีผลงานดีเด่นและความรู้จากประเทศต่าง ๆเข้ามาใช้ โดยผ่านระบบไอซีทีเพื่อให้ครูรับองค์ความรู้ต่างๆนี้ไปใช้ในการเรียนการสอนของตนเอง

ด้าน ศ.กิตติคุณ ดร.ไพฑูรย์ สินลารัตน์ ประธานกรรมการคุรุสภา กล่าวแสดงความเห็นด้วยที่การพัฒนาวิทยฐานะครูควรพัฒนาเชื่อมโยงบนพื้นฐานความรู้ของนักเรียน แต่ซึ่งผอ.สถานศึกษาจะเป็นผู้ประเมินกลุ่มสาระงานของครู แต่ก็มีบางแห่งผอ.ประเมินไม่เป็นธรรม ดังนั้นวิธีที่ดีควรให้มีการประเมินแบบผสมผสาน โดยประเมินจากผลงานของครูและอีกส่วนหนึ่งผู้บริหารเป็นผู้ประเมิน

สำหรับการจะให้ผู้ที่มีความรู้ความสามารถเฉพาะด้านมาเป็นครูได้นั้น คณะนี้ คุรุสภากำลังวางระบบให้กับผู้ที่ไม่ได้จบสายครูได้เข้ามาเป็นครูได้ ซึ่งปัจจุบันนี้ คุรุสภาก็เปิดโอกาสให้อยู่แล้ว เช่น เปิดโอกาสให้โรงเรียนที่ขาดแคลนครูเฉพาะทางสามารถรับคนที่ไม่มีใบประกอบวิชาชีพครูเข้ามาสอนได้ชั่วคราว ซึ่งขณะนี้ทางสถานศึกษาอาชีวะของรัฐและเอกชน รวมถึงโรงเรียนของ สพฐ.ก็จ้างคนที่มีความชำนาญแต่ยังไม่มีใบประกอบวิชาชีพเข้ามาสอนในสาขาที่ขาดแคลนได้ในระยะเวาลา 2 ปี และสามารถต่อสัญญาเพิ่มได้อีก 2 ปี รวมเป็น 4 ปี ซึ่งในระยะเวลา 4 ปีนี้หากผู้สอนสนใจจะมีอาชีพครูจริง ๆก็จะต้องไปสอบใบประกอบวิชาชีพ หรือไปเรียนป.บัญฑิต หรือเรียน ป.โทเพื่อเป็นครู

"เกณฑ์ ที่คุรุสภาใช้อยู่นี้ ก็ไม่เป็นอุปสรรคกับคนที่จะมาเป็นครู แต่เกณฑ์ยังไม่ค่อยครอบคุม ซึ่งคุรุสภา ก็กำลังพยายามปรับเกณฑ์เพื่อให้คร่องตัวขึ้น และเพื่อให้ครที่ไม่ได้เรียนสายครูมาแต่มีความรู้ความเชียวชาญมีประสบการณ์ดี ในสาขาที่ขาดแคลน และสนใจเป็นครูจริง ๆและมีผลการเรียนดี คุรุสภาก็จะเปิดโอกาสให้เข้ามาอยู่ในวิชาชีพ โดยจะมีระบบสนับสนุน ขณะนี้ คุรุสภากำลังปรับระบบใหม่เพิ่ม เพื่อให้ผู้ที่สนใจเป็นครูจริง ๆคือต้องไปสมัตรเข้าสอนเพื่อจะได้ใบประกอบวิชาชีพชั่วคราว ต้องไปอบรมความเป็นครู โดยสมัครเรียน 1 ปี กับคณุครุศาสตร์และศึกษาศาสตร์ ต้องเรียนใบประกอบวิชาชีพครู หรือเรียนปริญญาโท ด้านการศึกษาด้านการสอน แต่หากจะอยู่ในวิชาชีพครูโดยไม่ได้สนใจพัฒนาตรงนี้ ก็จะทำให้ได้คนที่ไม่สนใจจะเป็นครูจริง ๆแต่มาเพียงช่วงระยะหนึ่งอาจก็จะทำให้วิชาชีพครูได้รับความเสียหาย ซึ่งวิธีที่คุรุสภาปรับปรุงขึ้นนี้จะเป็นวิธีที่ง่ายกว่าการแก้ พ.ร.บ.ครู เพราะการแก้พ.ร.บ.เป็นเรื่องใหญ่

ที่มา.นสพ.แนวหน้า
////////////////////////////////////////////////////////////////

คอร์รัปชั่น ชี้ อนาคตไทย !!??

โดย : พัฒนพันธุ์ วงษ์พันธุ์

ถือเป็นเรื่องน่าตกใจ แต่ไม่เหนือความคาดหมายใด ๆ เมื่อองค์กรต่อต้านคอร์รัปชั่น (ประเทศไทย) ระบุว่า สถานการณ์บ้านเมืองของเรากำลังก้าวเข้าสู่ยุค "มหาวิกฤตคอร์รัปชั่น"แค่คำว่าคอร์รัปชั่นก็แย่แล้ว ทว่า นายประมนต์ สุธีวงศ์ ประธานองค์กรต่อต้านคอร์รัปชั่น กล้าระบุในวันเปิดงานต่อต้านคอร์รัปชั่นประจำปี 2556 "ACT NOW ร่วมกันสู้ กอบกู้อนาคต" เมื่อวันศุกร์ที่ 6 กันยายนที่ผ่านมา สถานการณ์คอร์รัปชั่นในประเทศไทยช่วง 3 ปีมานี้ อยู่ในภาวะทรงกับทรุด

ทั้งยังให้เหตุผลว่า การลุกลามของคอร์รัปชั่นที่กำลังเกิดขึ้นมาจาก 2 องค์ประกอบหลัก ๆ เป็นเพราะสังคมยังขาดจิตสำนึกต่อต้านคอร์รัปชั่น บวกกับความไม่จริงจังของรัฐบาลและฝ่ายบริหาร ทำให้ไทยติดอันดับการคอร์รัปชั่น
อยู่ในลำดับที่ 88 จาก 160 ประเทศ โดยได้คะแนนเพียงแค่ 3.7

ในฐานะที่คลุกคลีอยู่กับภาคเอกชนมานาน ประธานองค์กรต่อต้านคอร์รัปชั่นไม่ปฏิเสธว่า "มหาวิกฤตคอร์รัปชั่น" ที่เจ้าตัวพูดถึงนี้ มีที่มาจากความเห็นแก่ตัวของนักธุรกิจเป็นองค์ประกอบสำคัญ เพราะเป็นฝ่ายที่ตอบสนองต่อคำเรียกร้องสินบน หรือไม่ก็เป็นฝ่ายเสนอตัวให้สินบนเสียเอง เนื่องจากการจัดซื้อจัดจ้างของภาครัฐมักมีวงเงินเดิมพันสูงมาก จึงเกิดปัญหาการวิ่งเต้น

"แม้รัฐบาลจะแสดงเจตนารมณ์ป้องกันและปราบปรามการทุจริต แต่พบว่าไม่ได้ดำเนินมาตรการอย่างจริงจัง โดยเฉพาะกรณีกับโครงการขนาดใหญ่ เช่น รับจำนำข้าว"

ไม่มีอ้อมค้อมใด ๆ ย้อนไปเมื่อ 3 ปีก่อน องค์กรต่อต้านคอร์รัปชั่นเกิดขึ้นจากการริเริ่มของภาคเอกชนที่ต้องการแก้ไขปัญหาคอร์รัปชั่น

ที่กำลังเป็นปัญหาเลวร้ายที่บั่นทอนการพัฒนาของประเทศ ในครั้งแรกใช้ชื่อว่า "ภาคีเครือข่ายต่อต้านคอร์รัปชั่น" ต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็นองค์กรต่อต้านคอร์รัปชั่น (ประเทศไทย) ท่ามกลางเสียงปรามาสรอบทิศ มองว่าเป็นแค่เวทีของการสร้างภาพ ปีปีหนึ่งจะลุกขึ้นมารวมตัวประกาศศักดากันแค่วันเดียว จากนั้นก็ไม่มีกิจกรรมใด ๆ

การรวมตัวดังกล่าวถูกมองว่าไม่มีทางแก้ไขปัญหาอะไรได้ เพราะสถานการณ์คอร์รัปชั่นในประเทศไทยได้ลุกลามไปทั่ว
เห็นได้จากผลสำรวจที่ว่า มีคนจำนวนไม่น้อยยอมรับกับการคอร์รัปชั่น หากทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ของตัวเองดีขึ้น
ถึงแม้จะมีเสียงดูหมิ่นดูแคลน แต่เป็นเรื่องน่าดีใจที่กลุ่มบุคคลผู้ก่อตั้งองค์กรนี้ไม่ได้รู้สึกท้อถอย ยังยึดมั่นในเจตนารมณ์เป็นจุดเริ่มต้นเล็ก ๆ ยังดีกว่าไม่ทำอะไร

ในขณะที่เราได้ยินว่าประเทศเพื่อนบ้านอย่างสิงคโปร์ ได้รับการชื่นชมมาโดยตลอดถึงความโปร่งใส ไม่มีนอกมีใน เราได้ยินว่าอาชีพตำรวจในซีกโลกตะวันตกเป็นอาชีพที่มีเกียรติ หรือจีนที่เดินหน้าขจัดปัญหานี้อย่างจริงจัง โดยที่ระดับผู้นำโดดเข้ามาชูธงด้วยตัวเอง เมื่อผู้รักษากฎหมายไม่ประพฤติผิดทำนองคลองธรรม กฎหมายจึงมีความศักดิ์สิทธิ์

แต่เมื่อมองกลับมาบ้านเรา เป็นหนังคนละม้วน โดยเฉพาะแวดวงข้าราชการ แตะไปตรงไหนก็โดน ที่น่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง ในขณะที่ปัญหาคอร์รัปชั่นยังหนักหนา ดันมีผลสำรวจออกมาอีกว่า ประเทศไทยเราอยู่ลำดับท้าย ๆ ในอาเซียนในเรื่องการศึกษา คงไม่มีใครปฏิเสธนะครับว่า การศึกษาถือเป็นจุดเริ่มต้นของการ "หล่อหลอม" เป็นจุดเริ่มต้นของการ "สร้างคน"

การสร้างคนให้มีคุณภาพเท่าไหร่ จะทำให้การแก้ไขปัญหาคอร์รัปชั่นมีประสิทธิภาพที่สุด แต่นี่นอกจากเรากำลัง "มหาวิกฤตคอร์รัปชั่น" เรากำลังจะ "มหาวิกฤตเรื่องการศึกษา" ซ้ำเข้าไปอีกเรื่องหนึ่ง ไม่อยากจะคิดต่อว่า อนาคตข้างหน้าประเทศไทยของเราจะเป็นยังไง รู้แต่ว่าน่าห่วงจริง ๆ ครับ

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
///////////////////////////////////////////////////////////////////////

บทเรียน : จาก พี่ เป้า สายัณห์ สัญญา !!??

โลกคือละครแบ่งเป็นตอน ๆ ตัวละครคือคนทุกคน บทในละครอาจจะยอกย้อนยุ่งยาก ฉากแห่งความงดงาม ฉากแห่งความเสียใจ ต่างมีไว้ให้เราฝึกฝนอยู่ในละครอาจจะซับซ้อนหรือง่าย แต่จะเป็นเช่นไร จะเป็นตอนของใคร…

ไม่เว้นทั้งเลวและดี จะมั่งมีหรือยากจน สิ่งเดียวที่เราทุกคนแน่ใจ คือฉากสุดท้ายต้องตายทุกตัวละคร...
เพลงละคอนฉากสุดท้าย ที่เขียนคำร้องโดย เรวัติ พุทธินันทน์ ศิลปินผู้ล่วงลับ โดยน้ำเสียงของ นันทิดา แก้วบัวสาย ซึ่งก็เป็นผู้หนึ่งที่กลายเป็นตัวละครในชีวิตจริงเรื่อง “แรงเงา”ไปหมาดๆ

เป็นบทเพลงที่สะท้อนสัจจะแห่งชีวิตที่ไม่มีใครหลุดพ้น ที่น่าจะเข้ากับห้วงเวลาแห่งการจากไปของอดีตนักร้องเพลงลูกทุ่งแถวหน้าของเมืองไทย “สายัณห์ สัญญา” ด้วยวัยเพียง 60 ปี ด้วยโรคมะเร็งตับ

เป็นการจากไปที่แน่นอนว่าคือความเสร้าโศกเสียใจของครอบครัวเป็นอย่างที่สุด

ขณะเดียวกันก็เป็นความเสียใจอย่างยิ่งสำหรับผู้คนในวงการเพลง โดยเฉพาะกับผู้ที่เคยเกี่ยวข้องใกล้ชิด เคยร่วมงาน และโดยเฉพาะคนที่เคยร่วมสร้างร่วมให้โอกาสเกิดในวงการนักร้องของ เป้า สายัณห์ อย่างเช่น ครูผ่องศรี วรนุช ศิลปินแห่งชาติสาขาศิลปะการแสดง ซึ่งเคยรับสายัณห์ เข้าร่วมวงดนตรี “ผ่องศรี วรนุช” เมื่อปี 2509 เพราะประทับใจที่ได้ยินสายัณห์ ร้องเพลงแฟนจ๋า ของ “สุรพล สมบัติเจริญ”

โดยครูผ่องศรีบอกว่า สายัณห์ สัญญา คือสุดยอดนักร้อง รองลงมาจากพี่สุรพล สมบัติเจริญ ในยุคที่เขาโด่งดัง เขาดังมากๆ มีวงดนตรีสายัณห์ สัญญา เป็นของตัวเอง ซึ่งก็ยินดีกับเขามาตลอด แม้ที่ผ่านมาจะเคยทำอะไรไว้ก็ไม่ได้ติดใจ พร้อมอโหสิให้

“แม่ก็คอยพร่ำสอนเขาเสมอว่าให้รู้จักอดออม อย่าลืมพระคุณทุกคนที่เข้ามาในชีวิต อย่าลืมพระคุณสื่อมวลชน ไม่มีเขาก็ไม่มีเรานะเป้า แต่พอช่วงหลังๆ แม่ไม่ค่อยได้ติดต่อกับเขา ก็ได้ข่าวว่าเดินนอกลู่นอกทางไปบ้าง เข้าไปข้องเกี่ยวกับการพนัน เมื่อก่อนมีเงินหลายสิบล้าน ก็ต้องมาหมดไปเพราะหลงตัวเอง หมดทั้งตัว หมดทั้งเสียง เขาไม่ค่อยเชื่อคำสั่งสอนผู้ใหญ่ เป็นคนดื้อ เชื่อมั่นในความคิดของตัวเอง แต่ก็เป็นคนจริงใจ รักใครรักจริง บางคนไม่รู้ลักษณะนิสัยของเขาว่าเป็นคนอย่างไร แม่ขออภัยแทนเขาด้วย”

สอดคล้องกับที่ ครูชลธี ธารทอง ศิลปินแห่งชาติ อายุ 77 ปี บอกว่า เพลงที่สร้างชื่อเสียงให้กับสายัณห์ สัญญา ครั้งแรกเลยคือเพลงลูกสาวผู้การ ในสมัยนั้นหมุนคลื่นวิทยุไปคลื่นไหน ก็จะได้ยินแต่เพลงลูกสาวผู้การ ซึ่งขณะนั้นนับว่าเป็นเพลงที่ดังมากๆ เป็นที่ชื่นชอบของคนไทยทั้งประเทศ

สำหรับสายัณห์ สัญญา ถือเป็นลูกศิษย์ที่ตนเองรักมาก ส่วนสายัณห์ ก็นับถือตนเองเหมือนเป็นพ่อคนที่สองของเขา ภายหลังจากที่เขาลาวงการ ขณะนั้นเขามีเงินหลายสิบล้านบาท รวมทั้งที่ดินอีกส่วนหนึ่ง

“แต่ด้วยความที่เขาเป็นคนเจ้าสำราญ ทำอะไรเอาแต่ใจตัวเอง เป็นคนเจ้าอารมณ์ และเป็นคนที่มีความเชื่อมั่นในตัวเองสูง และใช้เงินไปในทางที่ไม่ถูกต้อง จนกระทั่งทรัพย์สินเงินทองเริ่มหมดไป”

นี่คือความจริงแห่งชีวิต และควรจะต้องถือเป็นมุมสะท้อนที่มีค่าสำหรับการจากไปของ สายัณห์ นอกเหนือจากความเศร้าเสียใจของทุกคนที่เกิดขึ้นในเวลานี้

ก็เชื่อว่า แม้แต่สายัณห์เอง ก็คงอยากจะให้เส้นทางชีวิตของเขา สามารถที่จะเป็นอุทธาหรณ์ให้กับนักร้อง และผู้คนในวงการบันเทิง ได้เป็นอย่างดีว่า ชีวิตไม่เคยมีอะไรที่แน่นอน การวางแผนสำหรับชีวิตอย่างมีสติจึงเป็นสิ่งที่จำเป็นที่สุด

เพราะจากข้อมูลที่ปรากฏชัดก็คือ ก่อนเสียชีวิตสายัณห์เช่าห้องเล็กๆ ราคา 4,000 บาทอยู่แถวปิ่นเกล้า ส่วนภรรยาอยู่กับลูกๆ โดยมีอาชีพทำก๋วยเตี๋ยวลุยสวน ซึ่งสมบัติอื่นๆ นั้นสายัณห์ไม่มีเลย มีเพียงพระเครื่องชุดหนึ่งที่จะมอบให้กับลูกชาย

รวมทั้งในช่วงปลายของชีวิต สายัณ์ยังฝากไว้ว่าไม่อยากให้เอาเงินมารักษาตน อยากเก็บเงินก้อนสุดท้ายไว้ให้ภรรยา และลูกมากกว่า

ดังนั้นเชื่อว่าลึกๆแล้ว การจากไปของสายัณห์ เป็นการจากไปโดยที่ยังมีห่วง!!!

เป็นอีกหนึ่งบทเรียนซ้ำๆที่เกิดขึ้นในเมืองไทย ในการที่เด็กจากต่างจังหวัดไต่เต้าจนก้าวสู่การเป็นศิลปินที่โด่งดัง ช่วงรุ่งเรืองมีเงินหลายสิบล้านบาท แต่เพราะไม่ได้มีการวางแผนชีวิตไว้ล่วงหน้า รวมทั้งการที่ใช้จ่ายเงินเพราะคิดว่าได้มาง่าย จึงใช้เงินตามใจตนเอง

ใช้เงินเหมือนกับจะชดเชยฝันร้ายในอดีต หรือบางคนก็ใช้เงินเพื่อลบปมด้อยที่เคยตกต่ำ

ศิลปินเหล่านั้น กว่าจะเข้าใจชีวิต กว่าจะรู้ว่าการใช้ชีวิตที่ผิดพลาดนั้นเจ็บปวดมากมายเพียงใด บางคนอาจจะกลับตัวได้ แต่บางครั้งก็สายเกินไป

กรณีของสายัณห์ สัญญา แม้ว่าจะพลาด จนทำให้ต้องมีห่วงจนวันสุดท้ายของชีวิต แต่ก็ยังดีกว่าศิลปินบางคน ที่จากไปโดยทิ้งหนี้สินทิ้งภาระจำนวนมากไว้ให้คนข้างหลัง

การจากไปของสายัณห์ จึงนอกจากจะทำให้ผู้คนเกิดอารมณ์ร่วมแห่งความเศร้าเสียใจแล้ว ก็น่าที่จะให้อุทธาหรณ์กับคนอีกเป็นจำนวนมาก ว่าขออย่างได้ประมาทหรือเลินเล่อต่อชีวิต ขอให้เส้นทางชีวิตของสายัณห์เป็นเครื่องเตือนใจนักร้อง ศิลปินรุ่นใหม่ๆ ที่กำลังมีโอกาส มีรายได้ ให้ดูไว้เป็นตัวอย่าง

เพราะสุดท้ายมีแต่เรากับคนในครอบครัวเราเท่านั้นแหละที่จะเจ็บปวดที่สุด

คนอื่นๆก็คือการร่วมเสียใจ ร่วมแสดงความอาลัย

หนำซ้ำมีจำนวนไม่น้อยที่ฉวยจังหวะใช้การจากไปของสายัณห์ ให้กลายเป็นผลประโยชน์ อย่างขณะนี้ก็มีบรรดาพ่อค้าแม่ขายหัวใส ซึ่งถือว่าเป็นเหมือนประเพณี เมื่อมีศิลปินนักร้องชื่อดังคนไหนเสียชีวิต จะนิยมนำภาพของศิลปินนักร้องคนนั้นมาอัดขาย รวมถึงผลงานในอดีตด้วยรูปแบบซีดีและดีวีดีเพลง บางรายลงทุนเปลี่ยนหน้าปกให้ทันกับเหตุการณ์ มาวางขายกันเกลื่อน

ที่เห็นชัดเจนคือ สมัย ผึ้ง-พุ่มพวง ดวงจันทร์ กับ แอ๊ว-ยอดรัก สลักใจ มีวางขายกันเกลื่อน สร้างความร่ำรวยให้กับกลุ่มคนเหล่านี้เป็นอย่างดี เนื่องจากเป็นที่ต้องการของแฟนคลับแฟนเพลง

แม้แต่ เป้า-สายัณห์ สัญญา ขณะนี้ได้มีคนนำแผนซีดี,ดีวีดี และ เอ็มพี 3 ของสายัณห์มาวางขายกันแล้ว ทั้งแผ่นเดี่ยว และ เป็นเซ็ท พร้อมทั้งเปิดแผ่นเพลงของสายัณห์กรอกหูผู้ที่เดินผ่านไปมา เช่น ที่ตลาดนัดย่านคลองถม บางรายได้ทำปกซีดีและดีวีดีไว้ล่วงหน้าก่อนที่ราชาเพลงลูกทุ่งจะเสียชีวิต โดยใช้ชื่อว่า อาทิ “อาลัยสายัณห์” และ “คิดถึงสายัณห์” สนนราคาหลากหลายมีตั้งแต่ 30-100 บาท

แน่นอนว่าแฟนเพลง ที่อาลัยย่อมซื้อหาไว้เป็นที่ระลึก ในขณะที่คนที่ได้เหนาะก็คือคนผลิตคนขาย
ซึ่งก็มีทั้งคนซื้อไปขายในต่างจังหวัดด้วย โดยร้านขายซีดี ดีวีดี และ เอ็มพี 3 บางราย ก็นำผลงานเพลงของ พุ่มพวงกับยอดรัก มาขายพร้อมกันด้วย

ขณะที่รูปภาพของสายัณห์ ก็ได้รับความสนใจกันพอสมควร โดยมีการอัดภาพขนาดจัมโบ้ (4X6 นิ้ว) และ 8 X 10 นิ้ว วางขาย โดยจัมโบ้ราคาแผ่น 5-10 บาท และ 8 X 10 นิ้ว ราคา 15-20 บาท

ส่วนสำนักพิมพ์หลายแห่ง เริ่มเคลื่อนไหวเตรียมทำหนังสือบ้าง รวมภาพบ้าง ของสายัณห์ ตั้งแต่เริ่มต้นบทเส้นทางนักร้องกระทั่งถึงวันสุดท้ายของชีวิต บางสำนักพิมพ์ได้วางแผงทำหนังสือล่วงหน้ากันแล้ว

ทางด้านตลาดล็อตเตอรี่และหวยใต้ดิน มีความคึกคักไม่แพ้กัน โดยเลขที่เกี่ยวข้องกับสายัณห์ถ้าไม่ขายเกลี้ยงแผงก็แพงหูฉี่ ผู้ค้าล็อตเตอรี่บางรายโก่งราคา จากเดิมฉบับละ 80-110 บาท พุ่งพรวดไปถึง 150-200 บาท สำหรับเลขที่เกี่ยวข้องกับสายัณห์ อาทิ วันเกิด 31 มกราคม 2496 วันเสียชีวิตอย่างสงบ 11 กันยายน 2556 เลขห้องรักษาตัวที่โรงพยาบาลธนบุรีก่อนที่จะเสียชีวิตคือ 8108 เวลาเสียชีวิตคือ 12.35 น. ด้วยวัย 60 ปี

สำหรับที่วัดไร่ขิง จ.นครปฐม สถานที่ตั้งสวดพระอภิธรรมศพ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เริ่มมีการนำสินค้าเกี่ยวกับสายัณห์มาจำหน่ายกันอย่างคึกคัก ไม่ว่าจะเป็น ซีดี ดีวีดี เอ็มพี 3 รูปภาพต่างๆ ของสายัณห์เมื่อครั้งยังมีชีวิต จากนั้นจะเคลื่อนย้ายศพไปที่ วัดป่าเลไลยก์ จ.สุพรรณบุรี คาดว่า การพาณิชย์คงจะคึกคักไม่แพ้กัน รวมถึงล็อตเตอรี่เลขเด็ดที่มีคนกว้านซื้อทั้งลุ้นรางวัลและนำไปขายในราคาแพง

นอกจากนี้แหล่งข่าววงในยังแจ้งว่า หลังจากงานศพจบลง อาจมีการพูดคุยกันเรื่องสร้างหุ่นจำลองของสายัณห์ เหมือนเช่นกรณีราชินีเพลงลูกทุ่ง พุ่มพวง ดวงจันทร์ และ ยอดรัก สลักใจ ไว้ที่บ้านเกิดอีกด้วย

รวมถึงเรื่องลิขสิทธิ์เพลง รวมทั้งการจัดคอนเสิร์ตช่วยเหลือครอบครัวสายัณห์ก็ได้มีการพูดถึงเช่นกัน
ทั้งหมดคือความจริง และคืออุทธาหรณ์ ที่สายัณห์ สัญญา ฝากไว้ให้เป็นครั้งสุดท้าย

ที่มา.บางกอกทูเดย์
//////////////////////////////////////////////////////

กรรมาธิการ พรบ.นิรโทษฯ เล็งเรียกทุกกลุ่มเกี่ยวข้องชี้แจง !!??

ประชุมกมธ. นิรโทษกรรมเตรียมเรียกทุกกลุ่มที่เกี่ยวข้องเข้าชี้แจง "สามารถ" ยันไม่เกี่ยวคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ

การประชุมคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญ พิจารณาร่างพระราชบัญญัติ(พ.ร.บ.)นิรโทษกรรมแก่ผู้ซึ่งกระทำความผิดเนื่องจากการชุมนุมทางการเมือง การแสดงออกทางการเมืองของประชาชน พ.ศ... ที่มี นายสามารถ แก้วมีชัย ส.ส.เชียงราย พรรคเพื่อไทย(พท.) ในฐานะประธานกมธ. ทำหน้าที่ประธานการประชุม เมื่อเข้าสู่ระเบียบวาระการประชุม นายสามารถ แจ้งต่อที่ประชุมว่าขณะนี้ได้รับข้อมูลประกอบการพิจารณาจาก สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และกรมราชทัณฑ์แล้ว แต่ยังเหลือข้อมูลของ สำนักงานศาลยุติธรรม สำนักงานอัยการสูงสุด และกรมคุ้มครองสิทธิเสรีภาพ ที่อยู่ระหว่างการจัดส่ง

จากนั้นคณะกมธ.จากพรรคประชาธิปัตย์ต่างหารือถึงรายงานของสตช.ไม่มีประโยชน์พิจารณาได้ เพราะมีเพียงแค่ 4 แผ่น จึงอยากได้ข้อมูลข้อกล่าวหา ผู้ต้องหา ประเภทคดี สถานที่ที่ควบคุมตัวผู้ต้องหา เพิ่มเติม ส่วนกรมราชทัณฑ์ ในส่วนของเรือนจำหลักสี่ ที่มีรายชื่อผู้ต้องหา วันพ้นโทษ นั้นครบถ้วน แต่ข้อมูของบางเรือนจำนั้นก็มีการนำรายชื่อบุคคลที่พ้นโทษไปแล้วมาให้ จึงอยากให้มีการแยกแยะข้อมูลด้วย จากนั้นนายศุภชัย ใจสมุทร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคภูมิใจไทย ในฐานะกมธ. ถามว่าจะมีการนิรโทษกรรม รวมไปถึงคดีที่เกิดขึ้นในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้หรือไม่ ถ้าไม่รวมถึงจะต้องระบุไว้ในร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรมด้วย ทำให้นายวรชัย เหมะ ส.ส.สมุทรปราการ พรรคเพื่อไทย ในฐานะ กมธ.ชี้แจงว่า คดีเหตุการณ์ในภาคใต้เป็นคนละเหตุการณ์กับร่างพ.ร.บ.นี้

"อภิสิทธิ์"หนุนเชิญทุกกลุ่มให้ข้อมูล

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะกมธ. เห็นด้วยที่จะต้องนิรโทษกรรมให้แก่ผู้พ้นโทษ หรือประกันตัวไปแล้ว เราควรพิจารณาโดยลำดับเหตุการณ์ เพื่อที่จะให้เห็นฐานความผิดอย่างชัดเจนแล้วค่อยมาหารือกัน และขอตั้งข้อสังเกตว่า คำว่า 'การชุมนุมทางการเมือง' ของร่างฯนี้ จะเปลี่ยนคำว่า การชุมนุมสาธารณะได้หรือไม่ เนื่องจากคำดังกล่าวจะครอบคลุมม็อบกลุ่มอื่นๆ อาทิม็อบ เรียกร้องเงินเยียวยาจากน้ำท่วม ม็อบราคายางพารา รวมจนถึงกรณี กรือเซะ และตากใบ เป็นต้น

นายอภิสิทธิ์ กล่าวด้วยว่าควรเชิญตัวแทนกลุ่มต่างๆ กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยมาเล่าเหตุการณ์ตั้งแต่เริ่มมาไปทำอะไร และให้เชิญตัวแทนกลุ่มนปช. มาให้ข้อมูลว่าทำอะไรถูกดำเนินคดีอะไร และเหตุการณ์หลังปี 2554 ให้มีกลุ่มองค์การพิทักษ์สยาม(อพส.)มาให้ข้อมูลด้วย

ยันไม่เกี่ยวคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ

ขณะที่นายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี ส.ส.กทม. ปชป. ถามว่าคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพจะมีไว้ในร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรมหรือไม่ ทำให้นายสามารถ ชี้แจงว่าคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพคงไม่ไปก้าวล่วง

ส่วน นายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน ส.ส.เชียงราย พรรคเพื่อไทย ในฐานะกมธ. เสนอว่า คนที่พ้นโทษไปแล้วก็สมควรได้รับการยกโทษเหมือนกัน เพื่อลบประวัติ ซึ่งถ้าหากเขาพ้นโทษ และถูกประกันตัวออกไปก็น่าจะต้องพิจารณาด้วย ขณะที่ นพ.เชิดชัย ตันติศิรินทร์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ในฐานะกมธ. เสนอว่า อยากให้มีการรวบรวมข้อมูลผู้กระทำความผิดพ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ด้วย เนื่องจากบางคนไม่ได้ไปร่วมชุมนุมแต่เล่นคอมพิวเตอร์อยู่ที่บ้าน

ชี้เหตุไม่สงบเพราะทักษิณไม่ได้กลับบ้าน

นายชาดา ไทยเศรษฐ์ ส.ส.อุทัยธานี พรรคชาติไทยพัฒนา หารือว่า เหตุการณ์ทุกอย่างไม่สงบเพราะคนชื่อพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯไม่ได้กลับบ้าน และอีกฝ่ายหนึ่งก็ไม่ได้ชอบพ.ต.ท.ทักษิณ ตนได้ข้อสรุปง่ายๆว่า กฎหมายฉบับนี้อยากทำให้เกิดประโยชน์จริงๆ จะทำให้บ้านเมืองได้รับการเยียวยาจริง ใน2กรณี คือ 1.ขีดเหตุการณ์ตระกูลทักษิณและครอบครัวออกไป 2.ถ้าเอาคำว่าชินวัตรมาด้วยต้องเป็นเงื่อนไขอะไร ตนได้ข้อสรุปจะต้องนำคน 2-3 คนคุยกัน โดยน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และนายอภิสิทธิ์จะต้องมาคุยกันว่าบ้านเมืองนี้จะเดินไปอย่างไร ตนยืนยันความคิดนี้เป็นการแก้ไขปัญหาประเทศจริงๆ อย่างไรก็ตาม คนชื่อ พ.ต.ท.ทักษิณทักษิณกลับมาจะต้องถูกดำเนินคดี ไม่ได้รับความเป็นธรรมตรงไหนต้องเปลี่ยนคนใหม่ จะกลับมาโดยไม่ผิดไม่ได้ ทั้งนี้แบ่งแยกประเทศไทยมานิรโทษกรรมไม่ได้

ค้านพ.ร.บ.นิรโทษฉบับ"แม่น้องเกด"

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างการพิจารณา นายบรรเจิด ฟุ้งกลิ่นจันทร์ บิดา นายเทิดศักดิ์ ฟุ้งกลิ่นจันทร์ ผู้เสียชีวิตระหว่าง เหตุการณ์สลายการชุมนุม เมื่อเดือนเม.ย. - พ.ค. 53 และกลุ่มญาติวีรชนเมษายน-พฤษภาคม 2553 กว่า 10 คน เข้ายื่นหนังสือต่อนายสามารถ อ้างว่าไม่สนับสนุนร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรมของนางพะเยาว์ อัคฮาด มารดา น.ส.กมนเกด อัคฮาด พยาบาลอาสาซึ่งเสียชีวิตในเหตุการณ์การชุมนุมเมื่อปี 2553 แต่ขอสนับสนุนร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฉบับนายวรชัย และขอเข้าร่วมฟังการประชุมกมธ.ด้วย ภายหลังการยื่นหนังสือเรียบร้อยแล้ว นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ ส.ส.พัทลุง ปชป.ในฐานะกมธ.ทักท้วงนายสามารถที่เปิดให้กลุ่มญาติวีรชนเมษายน-พฤษภาคม 2553 มายื่นหนังสือไม่ควรสร้างภาพเพราะไม่ปรองดอง แต่ขอให้ยื่นกันนอกห้องประชุม แต่นายสามารถ กล่าวว่า ไม่ทราบมาก่อนจะมีญาติผู้เสียชี่วิตมายื่นหนังสือ จากนั้นนายวรชัย ระบุว่า กลุ่มญาติวีรชนมายื่นให้ประธาน ครั้งก่อนนางพะเยาว์ อัคฮาด มายื่นหนังสือให้สนับสนุนร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรม ฉบับของนางพะเยาว์ ยืนยันกลุ่มญาติวีรชนมายื่นหนังสือไม่ได้มาสร้างภาพ เพราะภาพต่างๆไม่ต้องสร้างเกิดขึ้นเอง

จากนั้นในช่วงท้ายการประชุม นายสามารถ แจ้งต่อที่ประชุมเห็นชอบที่จะให้เชิญตัวแทนของฝ่ายที่เกี่ยวข้องในแต่ละเหตุการณ์เข้าชี้แจง เนื่องจากกมธ.ในซีกของพรรคเพื่อไทยและปชป.เห็นชอบในแนวดังกล่าว

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
///////////////////////////////////////////////////////////////////

วันเสาร์ที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2556

สุธาชัย.วิพากษ์ การศึกษาไทย !!??

โดย:สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ

เรื่องระบบการศึกษาไทย หลายคนคิดว่ามันล้มเหลวที่เด็กจบมาเเล้วคิดไม่เป็น เเต่จริงๆมันประสบความสำเร็จต่างหากเพราะถ้าคิดดูดีๆ การศึกษาไทยมันก็ไม่ได้กะจะสร้างเด็กที่คิดเป็นตั้งเเต่เเรกเเล้ว ก็เเค่สร้างเด็กว่านอนสอนง่ายอยู่ในกรอบ ยอมหมอบกราบต่อขนบธรรมเนียม ต่อผู้มีอำนาจ ลองดูกิจกรรมต่างๆที่เราทำกันในโรงเรียนสิ ลองดูชุดที่เราใส่ ทรงผมของเรา วิธีคิดต่างๆ ค่านิยม ล้วนถูกกำหนดกรอบอันดีงามมาหมด เด็กไทยไม่ได้เกิดมาคิดไม่เป็นหรอกเเต่ระบบการศึกษาไทยต่างหากที่ทำให้เด็กคิดไม่เป็น"

จากเฟซบุ๊กของ Karn Chusatakarn

ในระยะสัปดาห์ที่ผ่านมา ได้มีการเผยแพร่ผลการจัดอันดับคุณภาพการศึกษาไทย โดย World Economic Forum (WEF) ซึ่งระบุว่า ระดับคุณภาพการศึกษาไทยอยู่ในลำดับที่ 8 ในภูมิภาคอาเซียน โดยรองจากประเทศเวียดนาม และกัมพูชา ซึ่งเป็นภาพสะท้อนว่า ระบบการศึกษาของไทยมีปัญหาอย่างมาก และกลายเป็นประเด็นที่รองนายกรัฐมนตรีพงศ์เทพ เทพกาญจนา ต้องเสนอว่า ประเทศไทยมีความจำเป็นต้องยกระดับคุณภาพการศึกษา โดยพิจารณาจากหลักสูตรและคุณภาพผู้สอน และยังเชื่อว่า ถ้ามีการจัดการที่ดีพอ การศึกษาไทยก็ยังสามารถที่จะยกระดับคุณภาพได้

ที่ยกเอาประเด็นนี้มาคงไม่ได้ต้องการที่จะเห็นคัดค้านข้อมูลของ WEF เพียงแต่เห็นว่า ระบบการศึกษาของไทยมีปัญหามาเป็นเวลาช้านาน ด้วยเหตุนี้จึงมีนักเรียนมัธยมกลุ่มหนึ่งได้ตั้งกลุ่มขึ้นมาเพื่อเสนอแนวคิดในการปฏิรูปการศึกษา โดยใช้ชื่อว่า สมาพันธ์นักเรียนไทยเพื่อปฏิวัติระบบการศึกษาไทย สมาพันธ์นี้ได้ออกแถลงการณ์ก่อตั้งอย่างเป็นทางการในวันที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555 โดยอธิบายว่ามีนักเรียนจาก 13 สถาบันเข้าร่วม และเลขาธิการของสมพันธ์นักเรียนฯในขณะนี้คือ เนติวิทย์ โชติไพศาล นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนนวมินทราชินูทิศ เตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ ขณะนี้องค์กรนี้ก็เป็นที่รู้จักมากขึ้นในหมู่นักเรียนทั่วไป และเฟซบุ๊กของสมาพันธ์นักเรียนฯมีคนเข้ามากดถูกใจมากกว่า 15,000 คน จึงถือเป็นปรากฏการณ์อันน่าสนใจในวงการศึกษาไทย

แถลงการณ์สมาพันธ์นักเรียนฯได้อธิบายว่า ความล้มเหลวของการศึกษาไทยไม่ได้มีสาเหตุมาจากการขาดแคลนทรัพยากรที่จำเป็น แต่มาจากการขาดประสิทธิภาพในการใช้ทรัพยากร อันเนื่องมาจากการขาดความรับผิดชอบของระบบการศึกษาต่อนักเรียนและผู้ปกครอง การปฏิรูปการศึกษาจึงต้องเริ่มต้นด้วยการสร้างความรับผิดชอบของผู้จัดการศึกษา ทั้งภาครัฐ โรงเรียน และครู

ข้อเสนอที่เป็นรูปธรรมของสมาพันธ์นักเรียนฯ เช่น การลดชั่วโมงเรียน เพื่อให้เด็กได้แบ่งเวลาไปทำกิจกรรมที่ผ่อนคลายหรือกิจกรรมที่เขาสนใจ ไม่เคร่งเครียดกับการเรียนอย่างเดียว มีเวลาทำงานอดิเรกหรือบำเพ็ญประโยชน์แก่สังคม การจัดการเรื่องการแข่งขันในการเรียนให้เป็นไปเพื่อพัฒนาศักยภาพของแต่ละบุคคล มากกว่าจะมาทำร้ายเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน การวิพากษ์และตั้งคำถามต่อตำราเรียน และการให้นักเรียนมีส่วนร่วมในการสร้างกฎระเบียบ เป็นต้น

เนติวิทย์ได้อธิบายเพิ่มเติมว่า ระบบการศึกษาของไทยไม่ค่อยเปิดโอกาสให้คิดแย้งได้ ตั้งคำถามได้ ชอบให้คิดไปในแบบเดียวกัน ถ้าใครชอบตั้งคำถาม จะกลายเป็นเด็กที่มีปัญหา แต่ประเด็นสำคัญที่เนติวิทย์เสนอ คือ การ“ยกเลิกความเป็นไทย” ซึ่งเขาหมายถึง

ความเป็นไทยที่ถูกสร้างขึ้นมา เป็นความเป็นไทยที่ไม่มีประโยชน์ เป็นความเป็นไทยที่ไม่มีเหตุผล แล้วก็ความเป็นไทยตรงนี้ก็เอาไปผูกโยงกับวัฒนธรรมการห้ามเถียงห้ามถาม อาทิเช่น กรณีทรงผมนักเรียน กรณีเคารพธงชาติ ก็อ้างว่านี่คือความเป็นไทย เราเป็นคนไทย ชาติไทยไม่เหมือนชาติอื่นในโลก อย่างนี้เป็นต้น ซึ่งเขาก็เลยได้รับรู้มาแบบนี้ว่าอ๋อนี่คือความเป็นไทย ทำให้ความเป็นไทยกลายเป็นสิ่งที่เลวร้ายไปเลย ทำให้ผมเสนอยกเลิกความเป็นไทยตรงนี้”

เนติวิทย์ยังอธิบายด้วยว่า ในส่วนเนื้อหาสาระการเสนอ โดยเฉพาะวิชาสังคมศึกษา หมวดประวัติศาสตร์ เป็นการเรียนการสอนอันคับแคบ เน้นการท่องจำจนเกินไป และยัดเยียดชุดความคิดแบบด้านเดียวที่พวกเขาสร้างประดิษฐ์กรรมขึ้นมา ซึ่งซึมเข้าสู่สังคมจนสังคมคิดวิเคราะห์ไม่เป็น การศึกษาอดีตของไทยจึงเป็นของปลอม ไม่ให้คนมีความลึกซึ้ง คนที่อยากจะเรียนรู้จึงหวังพึ่งตำราเรียนไม่ได้

สรุปแล้วเนติวิทย์ได้เสนอข้อเสนอที่มีความแหลมคมหลายเรื่อง เช่น การยกเลิกเครื่องแบบนักเรียน ยกเลิกการเคารพธงชาติทุกเช้า การคัดค้านการสวดมนต์ และการสอนพุทธศาสนาในโรงเรียน แต่ให้สอนศาสนาสากลแทน เพราะเห็นว่า การนับถือศาสนาเป็นเรื่องของปัจเจกชน ไม่ควรบังคับศรัทธาแบบรวมหมู่ ซึ่งจะไม่ทำให้คนเข้าใจพระรัตนตรัยที่เนื้อหาสาระ เป็นแต่เพียงพิธีกรรม และล่าสุด คือ การคัดค้านระบบโซตัสในโรงเรียน และระบบที่เน้นความเหลื่อมล้ำต่ำสูงในโรงเรียน โจมตีการหมอบคลานในโรงเรียนกรณีวันไหว้ครูว่า เหมือนสัตว์เลื้อยคลาน โจมตีการเซ่นไหว้บูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์แม้กระทั่งรูป เสด็จพ่อ ร.5 ว่าเป็นเรื่องไร้สาระ

กรณีเหล่านี้ที่ทำให้เด็กนักเรียนอายุเพียง 16 ปีอย่างเนติวิทย์ถูกโจมตีอย่างหนักจากผู้ใหญ่ทั้งหลายที่มีแนวคิดอนุรักษ์นิยม และเห็นว่า สังคมไทยมีวัฒนธรรมอันดีงาม และที่สำคัญยังถูกรุมกระหน่ำในสื่อมวลชนฝ่ายอนุรักษ์นิยม โดยเฉพาะหนังสือพิมพ์แนวหน้า และ สำนักข่าวทีนิวส์ รวมทั้งมีการจัดตั้งกลุ่มที่ต่อต้านสมาพันธ์นักเรียนฯโดยตรง ประเด็นหลักใจการโจมตีคือการเสนอว่า เนติวิทย์เป็นเด็กที่มีแนวคิดอันตราย เสนอสิ่งที่สุดขั้วรุนแรงและ“ต้องการโค่นล้มรากเหง้าวัฒนธรรมของชาติตนเอง อันเป็นสิ่งที่คนส่วนมากยังไม่สามารถยอมรับได้” มีการด่าด้วยถ้อยคำก้าวร้าวรังเกียจ (hate speech) และที่ร้ายกว่านั้น ก็คือการหาทางโจมตีเนติวิทย์ด้วยข้อหาโค่นล้มสถาบัน หวังจะเอาเข้าคุกห้ามประกัน เพื่อจะขจัดความคิดที่พวกเขาเห็นว่านอกรีตเช่นนี้ แล้วกลับมาทำให้สังคมไทยคิดแบบเดียวกันเหมือนเดิม

กรณีของสมาพันธ์นักเรียนฯ และเนติวิทย์นี้ สะท้อนความหน้าไหว้หลังหลอกอย่างหนึ่งของสังคมไทยอย่างชัดเจน เพราะคนจำนวนมากต่างพูดกันว่า ต้องการให้เด็กไทยคิดเป็นวิเคราะห์เป็น แม้กระทั่งปรัชญาการศึกษาที่เป็นทางการก็เสนอเป้าหมายให้เด็กไทยรู้จักคิดวิเคราะห์ แต่กรณีวิพากษ์และโจมตีเนติวิทย์ชี้ให้เห็นว่า สังคมไทยเพียงต้องการให้เด็กคิดในกรอบที่ผู้ใหญ่ชอบ และกลัวต่อการที่เด็กจะวิเคราะห์อะไรไปถึงที่สุด ไปไกลกว่าผู้ใหญ่

นี่ไม่ได้เป็นปัญหาเฉพาะการศึกษาไทย แต่เป็นปัญหาความคับแคบทางความคิดของสังคมไทยทั้งหมด

ที่มา.นสพ. โลกวันนี้วันสุข
/////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันศุกร์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2556

โครงสร้างพื้นฐานคมนาคมไทย กับการแข่งขันในเวทีเศรษฐกิจโลก !!??

เป็นที่รับรู้กันมานานแล้วว่าประเทศไทยมีจุดอ่อนอยู่ที่การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศได้หยุดชะงักขาดตอนไปเป็นเวลาหลายปี โดยเฉพาะโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคม เราแทบจะไม่ได้มีการลงทุนขนาดใหญ่ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศเลย ยิ่งเป็น การขนส่งในระบบรางและทางน้ำด้วยแล้ว เราแทบจะไม่ได้ลงทุนในสองระบบนี้มานับเป็นสิบๆ ปีด้วยซ้ำไป

ผลจากการละเลยและการขาดวิสัยทัศน์ในการพัฒนา ของรัฐบาลทุกชุดที่ผ่านมา ตลอดจนการไร้เสถียรภาพทาง การเมืองติดต่อกันมาอย่างยาวนานจนกระทั่งปัจจุบัน ทำให้ขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยในเวทีโลกตกต่ำลงไปเรื่อยๆ

โดยจากการจัดอันดับขีดความสามารถในการแข่งขันล่าสุดของสถาบันจัดอันดับขีดความสามารถในการแข่งขัน World Economic Forum-WEF ได้จัดอันดับโครงสร้างพื้นฐานของไทยอยู่ที่อันดับที่ 49 ของโลก ซึ่งต่ำกว่าประเทศเพื่อนบ้านหลายประเทศ อย่างเช่น มาเลเซียอยู่ในอันดับที่ 29 เป็นต้น

ยิ่งมาพิจารณาลึกลงไปในโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมเป็นรายสาขาของระบบขนส่งก็ยิ่งน่าเป็นห่วง เพราะปรากฏว่าเราแพ้เขาหลุดลุ่ย และแม้กระทั่งอันดับของปีก่อน ก็ยังรักษาไว้ไม่ได้ด้วยซ้ำ ในขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านเขา มีแต่จะดีขึ้น

ตัวอย่างเช่นระบบขนส่งทางรถไฟ (Rail) หรือการขนส่งในระบบราง เราอยู่ในลำดับที่ 65 ของโลก ตกจากลำดับที่ 57 เมื่อปีที่แล้ว ในขณะที่ประเทศมาเลเซีย ขยับขึ้นมาอยู่ที่ลำดับที่ 17 จากลำดับที่ 20 เมื่อปีที่แล้ว

หรือระบบขนส่งด้านอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นทางน้ำหรือทางอากาศ เราก็แย่ลงเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน เช่น ท่าเรือเราอยู่ในลำดับที่ 56 ลดลงจากลำดับที่ 43 เมื่อปีที่แล้ว ในขณะที่ประเทศมาเลเซีย ขยับขึ้นมาอยู่ที่ลำดับที่ 21 จากลำดับที่ 19 เมื่อปีที่แล้ว

ทางด้านท่าอากาศยานที่เราภูมิใจนักหนาว่าเรามีสนามบินสุวรรณภูมิที่เพิ่งสร้างใหม่ทันสมัย ปรากฏว่าเราอยู่ในลำดับที่ 33 ตกจากลำดับที่ 28 เมื่อปีที่แล้ว ในขณะที่ประเทศมาเลเซีย ขยับขึ้นมาอยู่ที่ลำดับที่ 24 จากลำดับที่ 29 เมื่อปีที่แล้ว แซงหน้าประเทศไทยไปเรียบร้อยแล้ว

หรือแม้แต่การขนส่งทางถนนซึ่งถือเป็นจุดเด่นที่สุดทางด้าน Logistic ของไทย เราก็ยังตกจากลำดับที่ 36 เมื่อปีที่แล้ว มาอยู่ที่ 39 ในขณะที่ประเทศมาเลเซียก็ตกเหมือนกัน แต่ลำดับยังดีกว่าไทย โดยตกจากลำดับที่ 21 มาอยู่ที่ 27 ในปีนี้

จะเห็นได้ว่าโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมของไทยซึ่งขาด การวางแผนและพัฒนาอย่างเป็นระบบมาอย่างยาวนาน กำลังจะกลายเป็นปัจจัยด้านคอขวด (bottle neck) ที่ขัดขวางการพัฒนาประเทศทั้งในระยะสั้นและระยะยาว

ในระยะสั้น เมื่อเราเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ในอีกสองปีข้างหน้า โดยสภาพทางภูมิศาสตร์และที่ตั้งของประเทศ ซึ่งเอื้ออำนวยให้เราเหมาะที่จะเป็นศูนย์กลางทางด้าน Logistic ของอาเซียน แต่ด้วยความสามารถทางโครงสร้างพื้นฐานที่เรามีอยู่อย่างจำกัด อาจทำให้เราต้องสูญเสียศักยภาพและโอกาสไป หรือไม่เราก็ต้องยอมให้ประเทศเพื่อนบ้านที่มีความพร้อมมากกว่ามาแบ่งปันผลประโยชน์นี้ไปอย่างน่าเสียดาย

ในระยะยาว ถ้าเรายังไม่รีบปรับตัว แน่นอนว่าประเทศไทย จะต้องสูญเสียความสามารถในการแข่งขันในเวทีการค้าโลก ไปเรื่อยๆ ทุกปีที่ผ่านไป ทุกรัฐบาลที่ผลัดเปลี่ยนกันเข้ามาบริหาร ประเทศ เราจะได้ยินแต่ถ้อยคำสวยหรูปรากฏอยู่ในคำแถลงนโยบายของรัฐบาล ว่ารัฐบาลจะลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน จะปรับเปลี่ยนระบบ Logistic ของประเทศให้ทันสมัย ให้ใช้การขนส่งในระบบรางและทางน้ำมากขึ้น ลดการขนส่งทางถนนที่สิ้น เปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงลง จะลดต้นทุนด้าน Logistic ลง

คำพูดหรือนโยบายเหล่านี้ ผมได้ยินมาไม่ใช่แค่สองหรือสามปี แต่ได้ยินมานับเป็นสิบๆ ปี คำถามคือ มันติดขัดอะไร มันจึงนำไปสู่การปฏิบัติไม่ได้ ทั้งๆ ที่ฝ่ายนโยบาย (การเมือง) ก็อยากทำ เพราะทำแล้วได้คะแนนเสียง (อาจได้เงินด้วย?) ฝ่ายข้าราชการประจำก็เห็นด้วย เอกชนก็สนับสนุน แต่โครงการ เหล่านี้ก็ไม่เกิด

ในทางตรงกันข้าม ประเทศเพื่อนบ้านเขากลับเดินหน้าโครงการเหล่านี้ได้รวดเร็วกว่าเรา ทั้งๆ ที่เขาคิดทีหลังเราเสียด้วยซ้ำไป จนมีคนในประเทศเพื่อนบ้านเคยแซวคนไทยที่ไปดูงาน บ้านเขาว่า มาดูงานบ้านเขาทำไม ประเทศเขาไม่ได้เก่งอะไรหรอก เขาเพียงแต่คอยฟังว่าประเทศไทยคิดอะไร แล้วเขาก็หยิบเอาไปทำเสร็จก่อนประเทศไทยเท่านั้นเอง

ฟังดูแล้วก็เหมือนเขาพูดเล่นขำๆ แต่เป็นมุกที่แสบเข้าไปถึงทรวงคนไทยจริงๆ

ผมมาคิดดูแล้วที่บ้านเราไปไม่ถึงไหนอย่างที่เขาล้อเลียน เรา คงไม่ใช่เป็นเพราะเราโง่กว่าเขาหรือไม่มีวิสัยทัศน์ในการ พัฒนาหรอกครับ แต่คงเป็นเพราะสองสาเหตุดังต่อไปนี้ มากกว่าคือ

1.การเมืองที่ไม่มีเสถียรภาพ การเมืองบ้านเราไม่มีเสถียรภาพมากว่าสิบปี การที่การเมืองไม่นิ่งทำให้โครงการขนาดใหญ่ เกิดขึ้นได้ยาก เพราะรัฐบาลขาดความต่อเนื่อง ยิ่งระยะหลังการเมืองบ้านเรายิ่งมีความรุนแรงมากขึ้น แบ่งฝักแบ่งฝ่ายกันอย่างชัดเจน ดังนั้นนโยบายหรือโครงการอะไรที่เป็นของฝ่ายตรงกันข้ามก็จะถูกสกัดกั้นทุกวิถีทาง ไม่ให้เกิดขึ้น ไม่ว่า โครงการนั้นจะป็นผลประโยชน์ต่อประเทศชาติหรือไม่ก็ตาม

2.การคอร์รัปชั่น เรียกร้องผลประโยชน์ และการแบ่งปันผลประโยชน์ที่ไม่ลงตัว แน่นอนว่าการทำโครงการเมกะโปรเจกต์ต่างๆ ย่อมมีผลประโยชน์มหาศาล ดังนั้นถ้าเราได้นักการเมืองหรือรัฐบาลหรือแม้กระทั่งฝ่ายค้านที่ไม่ซื่อสัตย์สุจริต ก็ย่อมมีการเรียกร้องผลประโยชน์ ค่าตอบแทน ค่าวิ่งเต้น ค่าหัวคิว หรือขอรับช่วงเหมางาน จัดซื้อจัดหาต่างๆ จนทำให้โครงการเดินหน้าต่อไปไม่ได้ หรือมีการขัดผลประโยชน์ ฟ้องร้อง ร้องเรียนกัน จนโครงการต้องล่าช้า นักลงทุนเบื่อหน่ายถอดใจ และถอนตัว ล้มเลิกโครงการไปในที่สุด

ดังนั้น ตราบใดที่เรายังแก้ปัญหาสองข้อดังกล่าวข้างต้นไม่ได้ ก็คงต้องปล่อยให้ประเทศเพื่อนบ้านเขาประมาทน้ำหน้าไปอย่างนี้ต่อไปละกันครับ!!!

ที่มา.สยามธุรกิจออนไลน์
///////////////////////////////////////////////////

วันพฤหัสบดีที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2556

ปัญหาใหม่ๆ : 10 หัวเมือง ที่เติบโตแบบก้าวกระโดด !!??

โดย รัตนา จีนกลาง

ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมานี้ กระแสการเปลี่ยนแปลงจู่โจมสู่พื้นที่หัวเมืองต่างจังหวัดเป็นไปอย่างรวดเร็วทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม และวิถีชีวิตของผู้คนวันนี้ ความเจริญและการขยายตัวของการลงทุนที่หลั่งไหลไปปักฐานในต่างจังหวัด กำลังทำให้หัวเมืองใหญ่และเมืองรองมีการเติบโตแบบก้าวกระโดดมาก

วันนี้ในต่างจังหวัดมีสภาพแทบไม่ต่างจากกรุงเทพฯ โดยเฉพาะสิ่งปลูกสร้าง อาคาร ห้างหรู และโมเดิร์นเทรดจากส่วนกลางทั้งในกลุ่มค้าปลีกและค้าวัสดุก่อสร้าง แห่ผุดราวดอกเห็ด

วันนี้ สังคมชนบทกลายเป็นสังคมเมืองมากยิ่งขึ้นในแง่ของการบริโภคและไลฟ์สไตล์

วันนี้ คนในต่างจังหวัดบริโภคอาหาร หรือจับจ่ายสินค้าอุปโภคบริโภคตามการโฆษณาในสื่อทีวีเป็นหลัก โดยมีอิทธิพลของสื่อสารมวลชน รวมทั้งกระแสโซเชียลมีเดียที่เป็นตัวกลางเชื่อมประสานให้เกิดความเปลี่ยนแปลงไปสู่การเป็น "สังคมบริโภค" อย่างเต็มตัว

วันนี้ คนในต่างจังหวัดให้การยอมรับที่พักอาศัยแนวสูง หรือคอนโดมิเนียมมากขึ้น ไม่ยึดติดกับบ้านแนวราบหรือบ้านจัดสรรเหมือนเช่นอดีตอีกแล้ว

วันนี้ ราคาที่ดินในต่างจังหวัดทุกแห่งพุ่งพรวดหลายเท่าตัว โดยเฉพาะในเมืองท่องเที่ยว เมืองการค้า เมืองอุตสาหกรรม รวมทั้งเมืองชายแดนที่จะเป็นประตูการค้าเชื่อมสู่อาเซียน

วันนี้ ไลฟ์สไตล์ของคนที่อาศัยหรือทำงานในเมืองใหญ่ รวมทั้งในพื้นที่ชนบทเปลี่ยนแปลงไปโดยสิ้นเชิงแล้ว

สายธารแห่งความเจริญ ความเปลี่ยนแปลง ความทันสมัย ความเป็นอิสระปัจเจกชนสูงขึ้น ความมากหน้าหลายตาของชาวต่างชาติที่ทะลักเข้ามาเมืองไทยจะยิ่งเพิ่มมากขึ้น หลังเปิดประเทศสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในอีก 2 ปีข้างหน้านี้ เป็นสิ่งที่คนไทยต้องเตรียมรับมือให้พร้อม

วันนี้ ประเทศไทยมีจำนวนประชากรประมาณ 64 ล้านคน จังหวัดที่มีจำนวนประชากรมากเกิน 1 ล้านคนมีทั้งสิ้น 22 จังหวัด ประกอบด้วย กรุงเทพฯ นครราชสีมา อุบลราชธานี ขอนแก่น เชียงใหม่ บุรีรัมย์ อุดรธานี นครศรีธรรมราช ศรีสะเกษ สุรินทร์ สงขลา ร้อยเอ็ด ชลบุรี เชียงราย สกลนคร สมุทรปราการ ชัยภูมิ นครสวรรค์ นนทบุรี เพชรบูรณ์ สุราษฎร์ธานี และกาฬสินธุ์

สำนักงานสถิติแห่งชาติ รายงานข้อมูลในปี 2555 จังหวัดที่มีประชากรมากที่สุด 10 ลำดับแรกของประเทศไทย ได้แก่

1)กรุงเทพมหานคร 5,673,560 คน คิดเป็นร้อยละ 8.80 ของจำนวนประชากรทั้งประเทศ 2)นครราชสีมา 2,601,167 คน ร้อยละ 4.04 3)อุบลราชธานี 1,826,920 คน ร้อยละ 2.83 4)ขอนแก่น 1,774,816 คน ร้อยละ 2.75 5)เชียงใหม่ 1,655,642 2.57 คน ร้อยละ 2.57

6)บุรีรัมย์ 1,566,740 คน ร้อยละ 2.43 7)อุดรธานี 1,557,298 คน ร้อยละ 2.42 8)นครศรีธรรมราช 1,534,887 คน ร้อยละ 2.38 9)ศรีสะเกษ 1,458,370 คน ร้อยละ 2.26 และอันดับที่ 10)สุรินทร์ 1,386,277 คน ร้อยละ 2.15

นี่ยังไม่นับรวมประชากรต่างด้าวอีกนับล้านคนที่แทรกอยู่ในทุกส่วนของสังคมไทย

วันนี้ ประชากรแฝงกลุ่มนี้ไม่ใช่แค่ผู้ขายแรงงานในโรงงานอุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานเข้มข้น งานภาคการประมง งานก่อสร้าง งานรับใช้ในบ้าน เด็กปั๊ม เด็กเสิร์ฟ เด็กโบกรถ ฯลฯ แต่วันนี้แรงงานต่างด้าวทำหน้าที่ถึงก้นครัวเป็นพ่อครัวทำอาหารให้คนไทยกินแล้ว ชีวิตคนไทยเกือบค่อนประเทศแขวนชะตาไว้กับชาวต่างด้าว

สิ่งที่สำคัญก็คือ การเติบโตก้าวกระโดดของเมืองใหญ่กำลังก่อปัญหาใหม่

ที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดก็คือ ปัญหาการจราจรติดขัดในตัวเมือง ซึ่งไม่นับรวมช่วงเทศกาลที่มีวันหยุดยาว หลายเมืองกลายเป็นอัมพาตไปเลย รวมถึงปัญหาขยะล้นเมือง ปัญหาขาดแคลนน้ำอุปโภคบริโภคในเขตตัวเมืองโดยเฉพาะในช่วงฤดูร้อนที่ส่อเค้ารุนแรงขึ้นทุกปี

ขณะนี้จังหวัดขนาดใหญ่ หรือเมืองที่ตั้งเป้าเป็นศูนย์กลาง (Hub) ของภูมิภาค เช่น เชียงใหม่ ขอนแก่น นครราชสีมา อุดรธานี สงขลา (หาดใหญ่) ภูเก็ต ชลบุรี กำลังเผชิญปัญหาระบบสาธารณูปโภค (ถนน ไฟฟ้า ประปา) โตไม่ทันการขยายตัวของเมือง จึงเกิดสภาพ "แย่งกันกิน-แย่งกันใช้" หนักหน่วงขึ้นทุกวัน

ผู้บริหารเทศบาลนครแห่งหนึ่งบอกว่า เมืองที่กำลังจะมีโครงการคอนโดมิเนียมเกิดขึ้นหลายพันยูนิต ซึ่งจะมีผู้คนเข้ามาพักอาศัยในเขตเมืองเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่าตัว นอกจากจะเกิดปัญหาแย่งน้ำอุปโภคบริโภคกันแล้ว "น้ำเสีย" ที่เกิดขึ้นจำนวนมหาศาลก็ยังไม่มีระบบบำบัดที่ดีและทั่วถึง หลายเมืองมีระบบท่อน้ำมีขนาดเล็กเกินไป หลายพื้นที่แห่เจาะบ่อบาดาลเพื่อป้อนสู่โรงงาน สนามกอล์ฟ และที่พักอาศัย

วันนี้ ผู้บริหารท้องถิ่นไม่ว่าจะเป็นจังหวัดเชียงใหม่ นครราชสีมา ขอนแก่น อุดรธานี ภูเก็ต และอีกหลายเมืองกำลังเร่งหาวิธีแก้ปัญหารถติดในหลายแนวทาง เช่น การก่อสร้างถนนวงแหวน ถนนบายพาสหรือถนนเลี่ยงเมือง การทำอุโมงค์สี่แยกไฟแดง

นอกจากนั้นยังมีความพยายามที่จะจัดบริการขนส่งมวลชนให้แก่ประชาชนและนักท่องเที่ยว เช่น รถไฟรางเบา โมโนเรล สกายบัส และสารพัดไอเดีย ซึ่งแต่ละโครงการล้วนต้องใช้งบประมาณลงทุนหลายพันล้าน

แม้จะได้เวลายกเครื่องระบบสาธารณูปโภคครั้งใหญ่ แต่ท้องถิ่นก็ไม่มีงบประมาณลงทุนเอง ต้องพึ่งพาเงินกู้ หรืองบประมาณจากรัฐบาลเท่านั้น ความไม่มีเสถียรภาพของรัฐบาล ทำให้การพัฒนาเมืองไม่ทันกับการเปลี่ยนแปลง

วันนี้ การบริหารจัดการเมืองใหญ่เป็นโจทย์ที่ท้าทายมาก เนื่องจากสังคม/ชุมชนมีความสลับซับซ้อนมากขึ้น

สังคมไทยไม่อาจต้านการเปลี่ยนแปลง แต่กำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่าน..

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
////////////////////////////////////////////////////////////////////////

จับตา : ปิดฉากคิวอี !!??

ทั่วโลกจับตาการประชุมเฟด 17-18 ก.ย. ปิดฉากมาตรการอัดฉีดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจ

ธนาคารกลางสหรัฐ หรือ เฟด จะจัดการประชุมกำหนดนโยบายในวันที่ 17-18 ก.ย. ซึ่งถือเป็นหนึ่งในการประชุมเฟดที่ได้รับการจับตามองมากที่สุดนับตั้งแต่เศรษฐกิจสหรัฐหลุดพ้นจากภาวะถดถอย โดยตลาดเงินตลาดทุนคาดว่าเฟดอาจจะเริ่มต้นปรับลดวงเงินในมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ หรือมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (คิวอี3) ในการประชุมครั้งนี้

เฟดดำเนินมาตรการคิวอี 3 ด้วยการซื้อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ ในวงเงิน 4.5 หมื่นล้านดอลลาร์ และซื้อหลักทรัพย์ที่ได้รับการค้ำประกันจากสัญญาจำนอง (เอ็มบีเอส) ในวงเงิน 4 หมื่นล้านดอลลาร์ รวม 8.5 หมื่นล้านดอลลาร์ทุกเดือนเพื่อพยุงเศรษฐกิจ

แต่เป้าหมายของเฟดยังอยู่ห่างไกล โดยสหรัฐเปิดเผยตัวเลขการจ้างงานเดือนส.ค.ที่ไม่แข็งแกร่งเท่าที่คาดการณ์ก่อนหน้านั้น แต่เฟดก็อาจจะปรับลดวงเงินในมาตรการคิวอี เมื่อพิจารณาจากความคืบหน้าทางเศรษฐกิจของสหรัฐในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา ตัวเลขว่างงานในเดือนส.ค.ที่ผ่านมา อยู่ที่ 7.3% เมื่อเทียบกับเป้าหมายที่ 6.5%

นางดานา ซาพอร์ทา นักเศรษฐศาสตร์ของธนาคารเครดิต สวิส กล่าวว่าเฟดจะปรับลดขนาดคิวอีลง 1.5-2.0 หมื่นล้านดอลลาร์ต่อเดือน แต่เมื่อพิจารณาจากความพยายามทั้งหมดที่ได้ทำไปในการเตรียมตลาดให้พร้อมรับมือสำหรับการปรับลดขนาดคิวอีในช่วงที่ผ่านมา ก็เป็นเรื่องยากที่เฟดจะไม่ฉวยโอกาสนี้ในการลดขนาดคิวอีลงเล็กน้อยในเดือนนี้

"สหรัฐได้มาถึงจุดที่มองว่า การเข้าซื้อสินทรัพย์ในอัตรา 8.5 หมื่นล้านดอลลาร์ต่อเดือนถือเป็นการดำเนินจุดยืนแบบเป็นกลาง แต่ในความเป็นจริงนั้นการกระทำดังกล่าวถือเป็นจุดยืนแบบผ่อนคลายมาก และการเข้าซื้อสินทรัพย์ในอัตรา 6.5 หมื่นล้านดอลลาร์ต่อเดือนก็จะยังคงถือเป็นการผ่อนคลายเป็นอย่างมากเช่นกัน"

เมื่อ 3 เดือนก่อน นายเบน เบอร์นันเก้ ประธานเฟด กล่าวว่า เฟดคาดว่าจะเริ่มปรับลดขนาดคิวอีลงก่อนสิ้นปีนี้ และจะยุติคิวอีทั้งหมดภายในช่วงกลางปีหน้า หากเศรษฐกิจเติบโตตามความคาดหมาย

เจ้าหน้าที่เฟดหลายรายระบุอย่างชัดเจนว่าพร้อมสำหรับการเริ่มต้นปรับลดขนาดคิวอีในสัปดาห์หน้า โดยนางเอสเธอร์ จอร์จ ประธานเฟดสาขาแคนซัส ซิตี้ กล่าวว่า เฟดควรปรับลดขนาดคิวอีลง 1.5 หมื่นล้านดอลลาร์

แต่บรรดานักเศรษฐศาสตร์คาดว่าเฟดจะปรับลดขนาดคิวอี ลง 1.0 หมื่นล้านดอลลาร์ในสัปดาห์หน้า โดยลดลงจากระดับ 1.5 หมื่นล้านดอลลาร์ ที่เคยคาดการณ์ไว้ในเดือนส.ค.

เฟดเริ่มต้นดำเนินมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณรอบ 3 (คิวอี3) เมื่อ 1 ปีก่อน โดยมีจุดประสงค์เพื่อกระตุ้นการลงทุน, การจ้างงานและการเติบโตทางเศรษฐกิจ และนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา อัตราการ ว่างงานก็ลดลงจาก 8.1 % สู่ 7.3 % ในขณะที่เศรษฐกิจสหรัฐขยายตัว 2.5 % ในไตรมาส 2 ซึ่งเป็นระดับที่สูงเกินคาด

การจ้างงานนอกภาคเกษตรในสหรัฐเติบโตขึ้นเฉลี่ย 184,000 ตำแหน่งต่อเดือนในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา แต่ชะลอการขยายตัวในเดือนส.ค. และส่งผลให้นักลงทุนบางรายเริ่มไม่แน่ใจเกี่ยวกับการปรับลดขนาดคิวอี3 นอกจากนี้ อัตราการมีส่วนร่วมในกำลังแรงงานยังลดลงสู่ระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ปี 2521 ด้วย โดยอัตราการมีส่วนร่วมนี้วัดจากจำนวนประชากรวัยทำงานในสหรัฐที่มีงานทำหรือกำลังหางานทำ เมื่อเทียบกับจำนวนประชากรวัยทำงานทั้งหมดในสหรัฐ

ถึงแม้ตัวเลขการจ้างงานเดือนส.ค.อยู่ในระดับที่น่าผิดหวัง แต่นักเศรษฐศาสตร์คาดว่าเฟดจะปรับลดขนาดคิวอีในสัปดาห์หน้า แทนที่จะรอจนถึงการประชุมในวันที่ 29-30 ต.ค. หรือวันที่ 17-18 ธ.ค.

นายริชาร์ด กิลฮูลี จากบล.ทีดีกล่าวว่า ตัวเลขการจ้างงานในเดือนส.ค. ไม่มีแนวโน้มที่จะสกัดกั้นการเริ่มต้นปรับลดขนาดคิวอีในเดือนก.ย. โดยตัวเลขการจ้างงานอาจจะส่งผลให้เฟดปรับลดคิวอีในระดับที่น้อยลง หรืออาจจะออกแถลงการณ์ที่เน้นย้ำแนวโน้มแบบสายพิราบมากยิ่งขึ้น"

เมื่อพิจารณาจากตัวเลขอัตราเงินเฟ้อที่ระดับต่ำในปีนี้ เฟดก็อาจจะลดความกังวลของนักลงทุนที่มีต่อการคุมเข้มนโยบายการเงิน ด้วยการเน้นย้ำภาระผูกพันในการตรึงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับใกล้ 0 % จนกว่าอัตราการว่างงานจะลดลงสู่ระดับต่ำกว่า 6.5 %

นายเบอร์นันเก้อาจจะกล่าวย้ำว่า เฟดจะใช้ความอดทนในขณะที่ปรับลดขนาดคิวอี 3 ลงในช่วงไม่กี่ไตรมาสข้างหน้า

ตลาดการเงินทั่วโลกเคยประสบภาวะปั่นป่วนเมื่อนายเบอร์นันเก้ กล่าวในเดือนพ.ค.ว่า เฟดมีแนวโน้มปรับลดขนาดคิวอี3 ลง โดยปัจจัยดังกล่าวส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐพุ่งสูงขึ้น และนักลงทุนเทขายสินทรัพย์ในอินเดียและประเทศกำลังพัฒนาแห่งอื่นๆ หลังจากประเทศกลุ่มนี้เคยมีเงินลงทุนไหลเข้าเป็นจำนวนมากในช่วงที่เฟดดำเนินนโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย

ตลาดหุ้นฟื้นตัวขึ้นในช่วงหลังจากนั้น แต่ตลาดเกิดใหม่อาจถูกกดดันอีกครั้งเมื่อเฟดปรับลดขนาดคิวอี3 ลง โดยนายเยอร์ก อาสมุนเซน สมาชิกคณะกรรมการบริหารของธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) กล่าวเตือนว่าการยุติคิวอีของเฟดอาจส่งผลกระทบในปัจจุบันในระดับที่รุนแรงกว่าในปี 2537 ซึ่งเป็นปีที่การคุมเข้มนโยบายการเงินของเฟดเคยสร้างความเสียหายต่อตลาดเกิดใหม่

เจ้าหน้าที่เฟดอาจจะพยายามลดทอนผลกระทบที่เกิดจากการปรับลดขนาด คิวอี ด้วยการระบุย้ำว่า การเข้าซื้อตราสารหนี้จะยังคงดำเนินต่อไปอีกหลายเดือนในปีหน้า และเฟดจะยังไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นในเร็วๆนี้

เฟดจะปรับตัวเลขคาดการณ์เศรษฐกิจใหม่ในการประชุมเดือนนี้ด้วยและนายเบอร์นันเก้จะจัดการแถลงข่าวหลังการประชุมเพื่อกล่าวถึงการตัดสินใจ

ด้านนโยบายการเงิน ประธานาธิบดีบารัค โอบามามีแนวโน้มที่จะเสนอชื่อผู้ที่จะได้ดำรงตำแหน่งประธานเฟดคนใหม่ต่อจากนายเบอร์นันเก้ในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า และปัจจัยนี้อาจทำให้เกิดความไม่มั่นใจต่อคำสัญญาด้านนโยบายในระยะยาวของเฟด

วาระการดำรงตำแหน่งประธานเฟดของนายเบอร์นันเก้จะสิ้นสุดลงในช่วงสิ้นเดือนม.ค. 2557 และตลาดคาดว่าทำเนียบขาวจะเสนอชื่อประธานเฟดคนใหม่ในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า โดยอาจจะเสนอชื่อ นายลอว์เรนซ์ ซัมเมอร์ส อดีตรมว.คลังสหรัฐ หรือนางเจเน็ต เยลเลน รองประธานคณะกรรมการผู้ว่าการเฟด

การประชุมเฟดในสัปดาห์หน้าอาจจะเป็นโอกาสสุดท้ายสำหรับนายเบอร์นันเก้ในการเริ่มต้นปรับลดขนาดคิวอี3 ลง

นักวิเคราะห์กล่าวว่าการปรับลดขนาดคิวอี3 จะเปิดโอกาสให้นายเบอร์นันเก้ สามารถเริ่มต้นกระบวนการที่ผู้ดำรงตำแหน่งต่อจากเขาสามารถสานต่อหรือเร่งรัดให้เร็วขึ้นได้ในอนาคต

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
/////////////////////////////////////////////////////////////////////////