--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันพฤหัสบดีที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2556

ยางพารา ปัญหาที่วิธีคิด !!??

โดย.เสรี พงศ์พิศ

เมื่อปี 2523 พลเอกหาญ ลีลานนท์ปิดเขาศูนย์ ที่ผู้คนหลายพันจากทั่วประเทศพากันไปขุดแร่ ซึ่งค้นพบและเริ่มขุดกันตั้งแต่ปี 2513 ร่ำรวยกันถ้วนหน้า เงินสะพัดตลาดทานพอ หรือตำบลไม้เรียง อำเภอฉวาง จังหวัดนครศรีธรรมราช
   
เมื่อเขาศูนย์ปิด ชาวบ้านก็ต้องกลับไปทำมาหากินตามความถนัดของแต่ละคน ส่วนใหญ่ปลูกยางพารา แต่ปัญหา คือ จะอยู่ได้อย่างไร เพราะยางพาราราคาไม่ดี ที่ไม่ดีอาจเป็นเพราะไปเปรียบเทียบกับรายได้จากการขุดแร่ ขายแร่
   
วิกฤติสร้างผู้นำชื่อประยงค์ รณรงค์ ชาวบ้านธรรมดาที่ไม่ได้มีตำแหน่งทางการอะไร ร่วมกับผู้นำชาวบ้านอีก 12 คนพบปะพูดคุยกันบ่อยๆ ว่าจะแก้ปัญหาราคายางตกต่ำได้อย่างไร พบว่า ปัญหาสำคัญอยู่ที่ราคาที่พ่อค้าจะให้ยางแผ่นชาวบ้านเป็นเกรด 3 เกรด 4 แต่ให้ของรัฐและเอกชนเกรด 1 เกรด 2
   
เหตุผลที่พ่อค้ารับซื้อยางทำเช่นนั้น ก็เพราะยางแผ่นของชาวบ้านคุณภาพต่ำ ประเภท "ทำมือ" คือ กรีดเอง รีดเอง ผลผลิตจึงออกมาไม่สม่ำเสมอ ขณะที่ของรัฐและของเอกชนมาจากโรงงาน มีกระบวนการผลิตด้วยเครื่องจักร มีโรงอบ ไม่ใช่เอาไปตากแดดแขวนราวไม้ไผ่ไว้ยังกับผ้าอ้อมหน้าบ้าน
   
ลุงประยงค์กับเพื่อนๆ จึงคิดว่า ถ้าหากชาวบ้านมีโรงงานแปรรูปยางก็น่าจะแก้ปัญหาราคายางได้ จึงชวนกันไปขอเรียนรู้ดูงานในโรงงานยางของรัฐที่นาบอน และของเอกชนในพื้นที่ โดยไม่มีหน่วยงานของรัฐหรือของเอกชนไหนไปประสานงานหรือออกค่าใช้จ่าย พวกเขาคิดเองทำเองทั้งหมด
   
ไปดูงานมาแล้วก็ต้องคิดหนัก เพราะโรงงานแต่ละแห่งใช้เงินทุนเป็นสิบล้าน เกินความสามารถของชาวบ้านที่จะไปทำเอง แต่พวกเขาก็ไม่ท้อ มาหาทางปรับขนาดโรงงานให้เล็กลงจนเหลือการลงทุนประมาณ 1 ล้านบาท สามารถผลิตยางแผ่นได้วันละ 1 ตันครึ่ง
   
ปี 2527 โรงงานแปรรูปยางหรือโรงงานทำยางแผ่นของชุมชนแห่งแรกของประเทศไทยก็เกิดขึ้นที่ตำบลไม้เรียง โดยชุมชนระดมทุน 1 ล้านบาท ลงมือสร้างโรงงานเอง บริหารจัดการเอง และพบว่า ราคายางแผ่นจากโรงงานของตนเองได้ราคาดีกว่ายางแผ่นจากโรงงานของรัฐและของเอกชนเสียอีก
   
ลุงประยงค์และชุมชนไม้เรียงสามารถแก้ปัญหาคุณภาพยางแผ่นได้รับการยอมรับว่าเป็นยางเกรดหนึ่งของเอเชีย และได้ราคาดีกว่าราคาตลาดทั่วไปถึง 4 บาท ซึ่งเมื่อเกือบ 30 ปีที่แล้วที่ราคายางอยู่ที่ 20 กว่าบาท ถือว่าสูงมาก ทั้งนี้เพราะลุงประยงค์ติดต่อกับบริษัทผู้ส่งออกยาง และส่งยางจากไม้เรียงไปถึงท่าเรือคลองเตย ทำให้ตัดพ่อค้าคนกลางออกไป
   
แต่เก่งขนาดนั้น ก็ยังพบว่าปัญหายางพารามีอะไรซับซ้อนกว่านั้นมาก ราคายางพาราขึ้นลงแบบที่น่าสงสัยว่าเป็นฝีมือการรวมหัวของนักการเมือง พ่อค้ากับข้าราชการ ส่วนชาวบ้านถ้าอยากได้ราคาสูงขึ้นต้องไปปิดถนน ปิดทางรถไฟ ไปเผาโรงงานยางโกดังยางที่ไหนสักแห่ง นี่คือวงจรอุบาทว์ของยางพารา
   
ลุงประยงค์มาปรึกษาที่มูลนิธิหมู่บ้าน อยากให้ช่วยทำการวิจัยว่า 100 ปีที่ผ่านมา เกิดอะไรขึ้นกับยางพารา จะได้ "รู้อดีตเพื่อกำหนดอนาคต" อย่างที่ขงจื้อสอนไว้ ทั้งนี้โดยชุมชนเองก็จะร่วมวิจัยด้วยการเอาประสบการณ์ของพวกเขามาวิเคราะห์ เรื่องวิธีการปลูก การดูแล การลงทุน การจัดการต่างๆ
   
มูลนิธิหมู่บ้านไม่ได้ทำตามที่ลุงประยงค์ขอร้องโดยอธิบายว่า "ถ้าพวกผมวิจัย ได้ข้อมูล พวกผมก็จะมีอำนาจ เพราะข้อมูลคืออำนาจ ถ้าลุงและชุมชนอยากมีอำนาจก็ควรจะวิจัยเองทั้งหมด" ซึ่งลุงประยงค์และแกนนำชาวสวนยางนครศรีธรรมราชและเครือข่ายยมนา (ยาง ไม้ผล นา) ก็เห็นด้วยและลงมือทำวิจัยเอง
   
เราได้ให้คำแนะนำลุงประยงค์และผู้นำชุมชนว่าวิจัยอย่างไร ไปที่ไหน ไปหาใคร เมื่อได้ข้อมูลมาแล้วทั้งชาวบ้านและมูลนิธิหมู่บ้านก็ช่วยกันวิเคราะห์ นำมาประกอบกับผลการศึกษาจากชุมชนเอง ได้สิ่งที่เรียกกันว่า "แผนแม่บทยางพาราไทย"
   
แผนดังกล่าวแบ่งเป็น 2 ส่วน ส่วนแรกเป็นเรื่องระดับนโยบายที่ผู้นำชุมชนเสนอให้รัฐบาลและผู้ที่เกี่ยวข้องนำไปพิจารณา ส่วนที่สอง เป็นเรื่องที่ชุมชนต้องนำไปปฏิบัติเอง ก่อนสรุปทั้งหมดได้มีการทำประชาพิจารณ์ในจังหวัดต่างๆ ทั้งที่ภาคใต้และภาคตะวันออก มีผู้เข้าร่วมนับหมื่น โดยชุมชนเป็นผู้จัดพิมพ์ร่างแผนแม่บทยางพาราไทยโดยไม่ได้รับเงินสนับสนุนจากหน่วยงานภายนอกใดๆ
   
มีการนำเสนอแผนแม่บทบางพาราไทยให้รัฐบาลในปี 2540 รัฐบาลบอกว่า เรามียุทธศาสตร์ยางพาราแห่งชาติอยู่แล้ว ยืนยันความเชื่อที่ว่า นักการเมือง พ่อค้า ข้าราชการ น่าจะรวมหัวกันปั่นราคายางขึ้นลงเพื่อผลประโยชน์ของตน แผนแม่บทยางพาราไทยของชาวบ้านน่าจะไปขัดประโยชน์ของสามฝ่ายนั้น
   
ชาวบ้านก็ไม่ได้ว่าอะไร ลงมือทำในส่วนที่ชุมชนทำได้และต้องทำเอง เริ่มจากหลักคิดที่ว่า ต้องไม่เอาชีวิตไปแขวนไว้กับยางเส้นเดียว จัดการอาชีพให้มีหลากหลาย ทำหลายๆ อย่าง ไม่ใช่นั่งรอรายได้จากยางอย่างเดียว เวลามีเหลือเฟือ ไม่ได้กรีดกันทุกวัน และไม่ได้กรีดตลอดวัน
   
รัฐบาลไทยในปี 2544 รับแผนแม่บทยางพาราไทยของชาวบ้านไปเป็นนโยบาย แก้ปัญหาได้ระดับหนึ่ง ราคายางสูงขึ้น ไทย มาเลเซีย อินโดนีเซียจับมือกัน บริษัทค้ายางยักษ์ใหญ่ที่สิงคโปร์ปิดตัวลง แล้วไปมาอย่างไร จากที่เคยขึ้นไปเกือบกิโลละ 200 จึงได้หัวทิ่มลงมา 60 กว่าบาท และมาถึงวิกฤติวันนี้
   
กำลังเล่าว่า ที่ผ่านมา ชุมชนเข้มแข็งเขาแก้ปัญหายางพารากันอย่างไร ถ้าไม่สรุปบทเรียน เมื่อไรยางตก เลือดคงออกต่อไปไม่สิ้นสุด

ที่มา.สยามรัฐ
///////////////////////////////////////////////////////////////////

ทำไมราคาน้ำมันส่งออกจึงถูกกว่า ราคาน้ำมันที่ขายในประเทศ !!??

คำถามหนึ่งซึ่งค้างคาใจสังคมไทยมากก็คือ ทำไมราคาน้ำมันที่ส่งออกไปขายต่างประเทศ จึงถูกกว่าราคาน้ำมันที่โรงกลั่นน้ำมันขายในประเทศ

ก่อนที่จะทำความเข้าใจในปัญหานี้ได้อย่างลึกซึ้ง คงต้องย้อนประวัติศาสตร์ไปถึงการเริ่มต้นส่งเสริมให้มีการลงทุนสร้างโรงกลั่นน้ำมันในประเทศไทยกันก่อน

ในอดีตก่อนที่รัฐบาลจะเปิดให้มีการลงทุนสร้างโรงกลั่น น้ำมันในประเทศไทย เราต้องนำเข้าน้ำมันสำเร็จรูปทุกชนิดและ ทุกลิตรจากโรงกลั่นน้ำมันในประเทศสิงคโปร์

ต่อมาเมื่อเรามีนโยบายส่งเสริมให้มีการลงทุนสร้างโรงกลั่นฯ ในประเทศไทยเพื่อทดแทนการนำเข้า ก็ได้มีการกำหนด สูตรการตั้งราคาน้ำมันหน้าโรงกลั่นให้อ้างอิงราคาน้ำมันในตลาด สิงคโปร์ ซึ่งเป็นตลาดซื้อขายน้ำมันที่เป็นสากล ได้รับการยอมรับและอ้างอิงกันไปทั่วโลก โดยเฉพาะในแถบเอเชีย

และเพื่อให้นักลงทุนมีแรงจูงใจในการมาลงทุนสร้างโรง กลั่นฯ ในประเทศไทย โดยมั่นใจว่าผลตอบแทนการลงทุน จะไม่ต่ำกว่าการตั้งโรงกลั่นในประเทศสิงคโปร์ (เพราะความ สะดวกในเรื่องโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ท่าเรือ กฎระเบียบพิธีศุลกากร ของเราสู้สิงคโปร์ไม่ได้ และค่าขนส่งน้ำมันดิบมายังประเทศไทยก็แพงกว่าสิงคโปร์ด้วย) จึงให้มีการบวกค่า ขนส่งจากสิงคโปร์มายังประเทศไทย ลงไปในสูตรราคาหน้าโรงกลั่น ด้วยเป็นราคาอ้างอิงการนำเข้า (Import Parity)

นี่คือ ที่มาที่ไปของสูตรราคาน้ำมันหน้าโรงกลั่นของไทยที่ใช้กันมาตั้งแต่มีการส่งเสริมให้มีการสร้างโรงกลั่นในประเทศไทยมาตลอดระยะเวลา 50 กว่าปีที่ผ่านมา

โรงกลั่นน้ำมันที่สร้างขึ้นในระยะแรกๆ นั้นไม่ได้เป็นการ ลงทุนของผู้ประกอบการเพียงรายใดรายหนึ่งเท่านั้น แต่เป็น การร่วมทุนของผู้ค้าน้ำมันหลายรายมาลงทุนร่วมกัน และเมื่อ กลั่นน้ำมันได้เท่าไร ผู้ค้าน้ำมันที่เป็นผู้ลงทุนร่วมกัน ก็รับน้ำมันไปจำหน่ายตามสัดส่วนการถือหุ้นของแต่ละบริษัท ตามราคา หน้าโรงกลั่นที่ได้ตกลงกันไว้เป็นสูตรดังที่ได้กล่าวเอาไว้ข้างต้น (ซึ่งราคาก็มีการปรับขึ้นลงตามราคาในตลาดโลก โดยมีการแจ้งราคาหน้าโรงกลั่นทุกวัน)

ในระยะแรก โรงกลั่นฯ ในประเทศยังมีจำนวนไม่มากนัก การกลั่นน้ำมันยังไม่เพียงพอต่อความต้องการ โรงกลั่นฯ กลั่นน้ำมันได้เท่าไรก็ขายในประเทศหมด

ต่อมาในปีพ.ศ.2535 รัฐบาลได้มีนโยบายเปิดเสรีโรงกลั่นน้ำมันและได้มีการสร้างโรงกลั่นฯ ขนาดใหญ่เพิ่มขึ้นในประเทศ ไทยอีกสองแห่ง ทำให้มีกำลังการกลั่นเกินความต้องการภายใน ประเทศ ประกอบกับประเทศไทยประสบกับภาวะวิกฤติทางเศรษฐกิจในปีพ.ศ. 2540 จึงทำให้ความต้องการน้ำมันในประเทศ ลดต่ำลง โรงกลั่นฯ จึงต้องหันไปพึ่งพาตลาดส่งออก เพื่อระบาย น้ำมันส่วนเกินออกไปขายยังตลาดต่างประเทศ

แน่นอนว่าการส่งออกผลิตภัณฑ์ส่วนเกินความต้องการในประเทศออกไปขายต่างประเทศนั้น ไม่ใช่วัตถุประสงค์หลักของการสร้างโรงกลั่นฯ ในประเทศไทย เพราะเราสร้างโรงกลั่นฯ มาเพื่อทดแทนการนำเข้าไม่ได้สร้างมาเพื่อการส่งออกเหมือนอย่าง โรงกลั่นฯ ในประเทศสิงคโปร์

ดังนั้น เมื่อต้องส่งออกน้ำมัน เราก็ต้องไปแข่งขันกับสิงคโปร์ที่มีความได้เปรียบเราในทุกด้าน และเป็นผู้ครองตลาดอยู่ก่อน แล้ว ถ้าเราต้องการขายให้ได้ เราก็ต้องลดราคาลงมาเพื่อ แข่งขันกับสิงคโปร์ แต่ไม่ได้หมายความว่าเราจะขายถูกกว่าราคา ในประเทศไปเสียทั้งหมด ในบางตลาดที่เรามีความได้เปรียบด้าน การขนส่ง เช่น ลาว กัมพูชา เราก็ขายราคาแพงกว่าราคาหน้าโรงกลั่น ยกเว้นบางตลาดที่เราเสียเปรียบด้านการขนส่งทางเรือเท่านั้นที่เราต้องตัดราคาลงมาเพื่อแข่งขันกับสิงคโปร์

ซึ่งเรื่องอย่างนี้เป็นเรื่องปกติธรรมดาของการค้าระหว่างประเทศ ที่ราคาส่งออกนั้นมีทั้งราคาถูกและราคาแพง มีทั้งราคาที่สูงกว่าที่ขายในประเทศ หรือบางกรณีก็ต่ำกว่าราคาขายในประเทศ โดยเฉพาะในกรณีที่เรามีสินค้าส่วนเกินเหลือมากๆ และต้องระบายออกอย่างรวดเร็ว อย่าง เช่น ข้าว เป็นต้น

ว่าที่จริงแล้วมีสินค้าหลายชนิด ที่ราคาขายส่งออกถูกกว่าราคาขายในประเทศ อย่างเช่น ข้าว มันสำปะหลัง น้ำตาล และปาล์มน้ำมัน เป็นต้น

นอกจากเหตุผลในเรื่องของการผลิตเกินความต้องการจน ต้องส่งออก และต้องไปแข่งขันราคากับคู่แข่งแล้ว ยังมีเหตุผล อื่นๆ อีกที่ทำให้บางครั้งผลิตภัณฑ์ที่ส่งออกมีราคาถูกกว่าราคาที่ขายในประเทศ คือ

1.น้ำมันที่ส่งออกมีคุณภาพไม่เหมือนกับน้ำมันที่ขายภาย ในประเทศ โดยน้ำมันที่ขายในประเทศไทยมีคุณภาพสูงกว่า เพราะ รัฐบาลกำหนดมาตรฐานเอาไว้สูงกว่าประเทศเพื่อนบ้าน เช่น น้ำ มันเบนซินและดีเซลของเราต้องได้มาตรฐานยูโร 4 และต้องมีเปอร์เซ็นต์ซัลเฟอร์ต่ำเป็นพิเศษ ในขณะที่ของประเทศเพื่อนบ้านเราบางแห่งไม่ได้มีมาตรฐานสูงขนาดนั้น

ดังนั้น เราจึงต้องทำน้ำมันคุณภาพต่ำไปขายแข่งกับเขา หรือ ถ้าไม่อยากทำน้ำมันคุณภาพต่ำไปขายแข่ง ก็ต้องลดราคาน้ำมันคุณภาพดีของเราลงมาให้แข่งขันกับเขาให้ได้

2.การส่งออกน้ำมันไปขายต่างประเทศมีต้นทุนที่ถูกกว่าขาย ในประเทศเพราะตัดค่าใช้จ่ายบางอย่างได้ เช่น การสำรองน้ำมัน ตามกฎหมาย ทำให้ลดราคาลงได้

3.ตลาดส่งออกถือเป็นตลาดซื้อขายที่ไม่มีความแน่นอน (Spot Market) ไม่มีสัญญาซื้อขายกันเป็นระยะยาว โรงกลั่นฯ ไม่ถูกผูกมัดว่าจะต้องขายให้ตลอดเวลา ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ ด้าน ราคา ปริมาณน้ำมันของโรงกลั่นฯ และความต้องการน้ำมัน ในตลาดโลกและตลาดในภูมิภาคที่มีการเปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็ว ราคาที่ซื้อขายกันเป็นราคาตลาดจร (spot price) ตกลง กันเป็นครั้งๆ ไป ราคามีการเปลี่ยนแปลงกันทุกวัน

ส่วนการขายในประเทศ โรงกลั่นฯ มีข้อตกลงทำสัญญากับ ผู้ซื้อในระยะยาว และมีสูตรราคาอ้างอิงเป็นตัวกำหนด โรงกลั่นฯ ต้องสำรองน้ำมันให้พอเพียงกับความต้องการของผู้ซื้อตามสัญญาตลอดเวลา (แต่ถ้าผู้ซื้อซื้อครบตามสัญญาแล้ว และโรงกลั่นฯ ยังต้องการขายเพิ่มอีก ผู้ซื้อก็สามารถซื้อในราคาที่ มีส่วนลด ซึ่งในบางครั้งอาจจะถูกกว่าราคาที่โรงกลั่นฯ ส่งออกเสียด้วยซ้ำไป ซึ่งผู้ซื้อจะไปลดราคาขายปลีกให้กับประชาชนหรือไปทำรายการส่งเสริมการขายก็แล้วแต่แผนการตลาด ของแต่ละบริษัทไป)

ดังนั้น เมื่อเอาราคามาเปรียบเทียบกันจึงอาจมีความลักลั่นกันได้บ้าง ตามสถานการณ์ของตลาดน้ำมันในแต่ละช่วงเวลาที่แตกต่างกันไป

4.การส่งออกไม่ใช่ธุรกิจหลักของโรงกลั่นฯ ดังนั้น การ ระบายน้ำมันออกได้อย่างรวดเร็ว โดยไม่ต้องเก็บสินค้าไว้เป็นเวลานาน สิ้นเปลืองเนื้อที่คลังน้ำมันและถังเก็บน้ำมัน อีกทั้งยังทำให้กลั่นน้ำมันได้เต็มกำลังการผลิตตลอดเวลา ย่อมเป็นผลดีต่อการบริหารต้นทุนสินค้ามากกว่า

ดังนั้น ถ้าจะต้องส่งออกในราคาที่ต่ำลงไปบ้าง ก็เป็นเรื่องที่ยอมรับได้ในเชิงธุรกิจ และเป็นหลักของการบริหาร ธุรกิจที่ทำกันอย่างนี้ทั่วโลก

อย่างไรก็ตาม ผมเข้าใจดีว่า ถึงแม้เรื่องนี้จะเป็นกติกา สากลและเป็นเรื่องธรรมดาของการทำธุรกิจ ซึ่งเป็นไปตามกลไกการตลาด แต่ก็คงมีหลายท่านทำใจไม่ได้ และรู้สึกว่าไม่เป็นธรรมที่คนไทยต้องซื้อน้ำมันแพงกว่าคนต่างชาติ (ในบางครั้ง) และคงอยากรู้ว่าจะทำให้ราคาขายในประเทศและ ราคาส่งออกมันเท่ากันได้ไหม

คำตอบคือ ทำได้ครับ นั่นก็คือการปรับสูตรราคาหน้าโรงกลั่นเสียใหม่ ให้อ้างอิงราคาส่งออก (Export Parity) แทนที่ จะอ้างอิงราคานำเข้า (Import Parity) ก็จะทำราคาขายในประเทศลดลงได้ประมาณ 50-75 ส.ต./ลิตร

แต่ปัญหาในระยะยาวที่จะเกิดขึ้นคือ การลงทุนในธุรกิจโรงกลั่นฯ ในประเทศไทยจะไม่น่าสนใจอีกต่อไป (จาก ปัจจุบันก็ไม่ค่อยมีใครอยากจะลงทุนกันอยู่แล้ว) ในขณะที่ความต้องการน้ำมันของไทยเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ ในที่สุดเราก็จะต้องกลับไปนำเข้าน้ำมันสำเร็จรูปจากสิงคโปร์เหมือนในอดีต ซึ่งจะเป็นผลเสียต่อประเทศชาติมากกว่า

ข้อสำคัญแก้แล้ว ราคาส่งออกก็จะยังถูกกว่าอยู่ดี (ใน บางกรณี) เพราะผมบอกแล้วไงว่ามันเป็นการแข่งขันตามกลไก ตลาด ถ้าเราอยากขาย เราก็ต้องสู้ราคา

สู้พยายามทำความเข้าใจในเหตุผลและความเป็นจริงทางธุรกิจน่าจะดีกว่านะครับ !!!

ที่มา.สยามธุรกิจ
//////////////////////////////////////////////////////////

ใกล้เกลือกินด่าง !!??

เป็นเรื่องน่าแปลกใจไม่น้อยเมื่อได้ฟังมุมมองของ นักธุรกิจระหว่างประเทศหลายคนบอกว่า ตลาดอาเซียน เป็นหนึ่งภูมิภาคที่เจาะยากที่สุด เหตุผลคือ พวกเขาแทบ ไม่รู้จักคนในภูมิภาคนี้เลย...

ไม่ทราบว่าพฤติกรรมผู้บริโภคในประเทศแถบนี้นิยมสินค้าแบบไหน หรือ หากจะเข้าไปขายสินค้าควรดำเนินการผ่านช่องทางไหน

พูดง่ายๆ ก็คือ การเจาะตลาดที่อยู่ ไกลๆ อย่างสหภาพยุโรป หรือ สหรัฐฯ แม้กระทั่งแอฟริกา ยังง่ายกว่า

นั่นเป็นเพราะในอดีตรัฐบาลไม่เคย สนับสนุนการทำธุรกิจในภูมิภาคนี้ แต่ให้ความสำคัญกับตลาดใหญ่ๆที่ทำเงินได้เป็นกอบเป็นกำ

เข้าตำรา..ใกล้เกลือกินด่าง

ไม่ต้องไปพูดถึงธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็กหรือ SMEs ว่าเอาเข้าจริงจะเจาะตลาดเหล่านี้ได้หรือเปล่า

ในด้านนโยบายระดับสูงของภาครัฐต่างก็คุยกันไปว่าได้มีการตั้งหน่วยงาน นั้น หน่วยงานนี้ขึ้นมาเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับภาคธุรกิจ แต่สุดท้ายก็ไม่ค่อยมีใครได้เข้าไปใช้ประโยชน์

ผู้เชี่ยวชาญด้านการตลาดต่างประเทศอธิบายกับ "ประกายดิน" ว่า เราตื่นกระแสเออีซี แต่ไม่รู้จักเออีซีอย่างแท้จริง ความจริงการมีเออีซีหรือไม่มี เออีซี ดูจะไม่ต่างกันคือ สุดท้ายปลาใหญ่ ก็กินปลาเล็ก

กฎระเบียบต่างๆ ที่เอื้อประโยชน์ด้านการค้า การลงทุน ถามว่านักธุรกิจหรือคนไทยเข้าใจจริงๆ สักกี่คน

มีนักธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมกี่คนที่เข้าใจเรื่อง "แหล่งกำเนิดสินค้า" อย่างแท้จริง ไม่ต้องพูดถึงกฎระเบียบประเภทอื่นที่ไม่ค่อยคุ้นหู

แม้กระทั่งการให้เงินสนับสนุนการเจาะตลาดใหม่ๆ จำนวน 300 ล้านบาท ปรากฏว่ามีบริษัทยื่นขอรับการสนับสนุนแค่ 500 กว่าบริษัท จากเอสเอ็มอีทั่วประเทศที่มีอยู่เกือบ 3 ล้านบริษัท

โครงการที่ว่าคือ "โครงการส่งเสริมและเพิ่มศักยภาพของวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม หรือเอส เอ็มอี โปรแอ็กทีฟ" ของกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ ร่วมกับสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยและสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย นำออกมาช่วยเหลือและสนับสนุนผู้ประกอบการเอสเอ็มอีทุกกลุ่มสินค้าและ บริการ โดยจะส่งเสริมทุกตลาด แต่มีนโยบายเน้นเข้าไปสร้างเสริมกิจกรรมในตลาดใหม่ เช่น พม่า เวียดนาม มาเลเซีย สิงคโปร์ จีน ฮ่องกง เกาหลีใต้ อินเดีย ชิลี เปรู เป็นต้น

ปัจจุบันมีผู้เข้าร่วมโครงการจำนวน 314 บริษัท คิดเป็นมูลค่าเงินประมาณ 50 ล้านบาท และอยู่ระหว่างการพิจารณาอีก 243 บริษัท คิดเป็นเงินประมาณ 27 ล้านบาท

โครงการนี้นอกจากจะมุ่งช่วยเหลือ เอสเอ็มอี เพื่อเจาะและขยายการเข้าตลาดต่างประเทศ เสริมสร้างความสามารถการแข่งขันของธุรกิจไทยในตลาดโลกแล้ว ยังมุ่งส่งเสริมและพัฒนาสินค้า-บริการของไทยให้ได้มาตรฐานสากลและสร้างมูลค่าเพิ่มให้เต็มศักยภาพ เพื่อเพิ่มจำนวนเอสเอ็มอีให้ขยายช่องทางการส่งออกได้ด้วยตนเองมากขึ้น

โดยผู้ที่มีคุณสมบัติจะได้รับงบสนับสนุนดังกล่าว ต้องเป็นบริษัทที่มีการส่งออกไม่เกิน 200 ล้านบาทต่อปี มีคนไทยถือหุ้นไม่น้อยกว่า 51% เป็นสมาชิกหอการค้าไทย หอการค้าต่างจังหวัดและหอการค้าต่างประเทศ สมาพันธ์ สมาคมการค้าที่เป็นสมาชิก 3 สภาฯข้างต้น และต้องไม่เคยมีประวัติเสียหาย

โดยกิจกรรมที่ได้รับการสนับสนุนจะมีทั้งในรูปแบบการเข้าร่วมงานแสดงสินค้าบริการในต่างประเทศ เพื่อเจรจาการค้าที่เป็นงานได้มาตรฐาน หรือ สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ของรัฐ การจัดคณะผู้ประกอบการไปเจรจาธุรกิจในต่างประเทศ เป็นต้น ผู้ประกอบการแต่ ละรายมีสิทธิ์ได้รับการสนับสนุนภายในช่วงอายุโครงการ 3 ปีงบประมาณ 2556-2558 โดยอาจได้รับการพิจารณาสนับสนุนซ้ำได้ แต่ไม่เกิน 6 ครั้ง ในวงเงินรวมทั้งโครงการ 300 ล้านบาท

โครงการดีๆ อย่างนี้ ทำไมผู้ประกอบการไม่กระตือรือร้นที่จะเข้า ไปรับการสนับสนุน ไม่รู้ว่าการประชาสัมพันธ์น้อยเกินไปหรือผู้ประกอบการไม่สนใจข่าวสารกันแน่

ที่มา.สยามธุรกิจ
//////////////////////////////////////////////////

ข้อข้องใจ !!??

โดย. ศรี อินทปันตี

คณะกรรมการเลือกตั้งหรือ กกต.จะพ้นจากตำแหน่งในวันที่ ๒๐ กันยายนนี้ และจะต้องสรรหากรรมการชุดใหม่ภายในเวลา ๙๐ วัน

กกต.ชุดนี้ซึ่งเป็นชุดที่ ๓ ประกอบด้วยนายอภิชาติ สุขัคคานนท์ ทำหน้าที่เป็นประธานและนายทะเบียนพรรคการเมือง นายประพันธ์ นัยโกวิท นางสดศรี สัตยธรรม และ นายวิสุทธิ์ โพธิ์แท่น เข้ารับตำแหน่งมาตั้งแต่วันที่ ๒๐ กันยายน ๒๕๔๙

ผลงานของ กกต.ชุดนี้นับว่าเป็นเรื่องที่จะต้องจดจำไปชั่วลูกชั่วหลาน โดยเฉพาะชื่อของนายอภิชาติ สุขัคคานนท์ ที่ได้สร้างวีรกรรมไว้มากมาย

วีรกรรมที่โดดเด่นที่สุดเห็นจะได้แก่การที่ปล่อยให้คดีฟ้องยุบพรรคประชาธิปัตย์หมดอายุความ และพรรคประชาธิปัตย์ก็ไม่เคยเผชิญชะตากรรมเหมือนกับพรรคการเมืองอื่น

ทั้งนี้ ในบางกรณีท่านใช้สิทธิ์ลงคะแนนสองครั้ง คือใช้สิทธิ์ในฐานะกรรมการ แล้วก็ใช้สิทธิ์ตัดสินอีกครั้งหนึ่งในฐานะประธานกรรมการ

กกต.ชุดนี้เข้ารับหน้าที่แทน กกต.ชุดที่สองที่มีพลตำรวจเอกวาสนา เพิ่มลาภเป็นประธาน กกต.ชุดนั้นไม่ยอมลาออกตามคำขู่ของฝ่าย คมช.

คุณวาสนา กับ คุณปริญญา นาคฉัตรีย์ และ คุณวีรชัย แนวบุญเนียร จึงถูกศาลอาญาตัดสินจำคุกคนละ ๔ ปีโดยไม่มีการรอลงอาญา

ผลงานอันโดดเด่นล่าสุดของ กกต.ที่มีคุณอภิชาติเป็นประธานคือลงมติด้วยคะแนน ๓ ต่อ ๒ ยกคำร้องคัดค้านการเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพฯ แต่ตัดสินว่า นายศิริโชค โสภา สส.ประชาธิปัตย์ จังหวัดสงขลา มีความผิดอาญาฐานโพสต์เฟสบุคเรื่องเผาบ้านเผาเมือง อันเป็นการใส่ร้ายคู่แข่งของ ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ บริพัตร

คำตัดสินของ กกต.ดังว่านี้ได้สร้างความงุนงงและกังขาแก่คนทั่วไป เพราะตามปกติแล้ว หากตัดสินว่าคนของพรรคประชาธิปัตย์ใส่ร้ายผู้สมัครจากพรรคเพื่อไทยเช่นนั้นแล้ว กกต.จะต้องให้ใบเหลืองแก่ มรว.สุขุมพันธ์ และจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่

คนที่กังขาเรื่องนี้คนหนึ่งชื่อ สดศรี สัตยธรรม ซึ่งท่านบอกว่า เสียงข้างมากเห็นว่านายศิริโชคได้โพสต์ข้อความดังกล่าวจริง แต่ไม่ได้ให้ใบเหลือง ไม่มีการเลือกตั้งใหม่ แต่เสียงข้างน้อยเห็นว่า การกระทำของนายศิริโชค เป็นการใส่ร้ายผู้สมัครรับเลือกตั้งคนอื่น ถือว่ากระทำผิดตาม พรบ.เลือกตั้งท้องถิ่น “จึงไม่เข้าใจเหมือนกัน เพราะปกติต้องเป็นใบเหลืองให้เลือกตั้งใหม่”คุณสดศรี กล่าว
นอกจากจะต้องจดจำวีรกรรมของท่านไว้ชั่วลูกชั่วหลานแล้ว ก็ต้องถามย้ำว่า การสรรหา กกต.โดย ๗ อรหันต์มันสอาดผุดผ่องเพียงใด หรือเป็นแค่การหาคนมาคอยเล่นงานพรรคการเมืองฝ่ายตรงข้ามเท่านั้น

ที่มา.บางกอกทูเดย์
/////////////////////////////////////////////////

วันพุธที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2556

กิตติรัตน์ ณ ระนอง : รับไม้ เจรจาม็อบสวนยาง !!??

แหล่งข่าวจากทำเนียบรัฐบาล เปิดเผยว่า นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีเเละรมว.คลัง ยังคงมีกำหนดการที่โรงแรมเซ็นทรา ศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ ในเวลา 14.00 น.วันนี้เพื่อพบปะหารือกับตัวแทนเกษตรกรสวนยางพารา เพื่อหาทางออกร่วมกันอย่างสันติ แม้ว่าขณะนี้ยังไม่ได้รับการประสานว่าจะมีใครมาร่วมหารือนายกิตติรัตน์ก็จะไปรอพบเพราะประกาศไปแล้วว่าพร้อมที่จะเจรจา แต่หากตัวแทนเกษตรกรไม่มาจริงๆก็คงต้องหาแนวทางเจรจากันต่อไป

แหล่งข่าว ระบุอีกว่า ขณะนี้นายกิตติรัตน์รู้สึกหนักใจที่ต้องมารับภารกิจนี้ในช่วงที่สถานการณ์เข้าขั้นวิกฤติแล้ว เพราะผู้ชุมนุมถูกกระทำมาหลายรอบ ทั้งการปฏิเสธข้อเสนอทันทีจากนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ทั้งที่เป็นคนนครศรีธรรมราช จากนั้นก็มีการปะทะระหว่างตำรวจกับผู้ชุมนุมจนมีคนเจ็บจำนวนมากทำให้ผู้ชุมนุมไม่ไว้ใจตำรวจ และยังส่งนายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ รองเลขาธิการนายกฯ ที่มีแค่อำนาจในการรับเรื่องและเจรจาแต่ไม่มีอำนาจแถมยังเป็นแกนนำคนเสื้อแดงลงไปพูดคุยอีก ทำให้ผู้ชุมนุมรู้สึกว่ารัฐบาลไม่จริงใจ

"แต่พอเชิญตัวแทนเขาขึ้นมาพูดคุยที่ทำเนียบรัฐบาลโดยมีนายยุคล ลิ้มแหลมทอง รองนายกฯและรมว.เกษตรฯ ก็ถูกปฏิเสธข้อเสนอในวงประชุมจนมีการวอล์คเอ๊าท์แล้วก็สรุปว่าเป็นมติทั้งที่ไม่ตรงกับข้อเสนอ แล้วทีนี้มาส่งงานให้นายกิตติรัตน์ทำตอนนี้ก็เหมือนกับส่งศพที่เละแล้วมาให้นายกิตติรัตน์ประกอบร่างเดิมแล้วต้องทำให้ฟื้นด้วย ซึ่งเป็นเรื่องยากมาก ดังนั้นอย่าหวังว่าเจรจาแล้วจะเห็นผลภายในเร็ววัน แต่นายกิตติรัตน์บอกว่าเมื่อจะให้รับไม้ต่อก็ขอทำให้ดีที่สุด"แหล่งข่าวระบุ

แหล่งข่าว ยังให้ความเห็นว่า และสิ่งที่คนในรัฐบาลตอบกี่ครั้งก็ยังไม่มีใครเข้าใจเลยคือที่มีการเปรียบเทียบการอุ้มผลผลิตทางการเกษตรที่ต่างกันลิบลับระหว่างยางพาราและข้าว ซึ่งมีความพยายามอธิบายจากหลายคนแล้วทั้งจากนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม และนายกิตติรัตน์ ก็ยังไม่ช่วยให้สังคมเข้าใจเพราะใช้ภาษาที่ไม่เข้าใจ ประกอบกับครม.ดันไปอนุมัติงบให้โครงการจำนำข้าวอีก 2.7 แสนล้าน แต่ยางพาราได้แค่ 5 พันล้าน ก็เลยเห็นความต่างชัดเจน ซึ่งรัฐบาลต้องหาคนตอบตรงนี้ให้ได้

ขณะที่คณะทำงานของพล.ต.ต.ธวัช บุญเฟื่อง รองเลขาธิการนายกฯ ระบุว่า ขณะนี้พล.ต.ต.ธวัชกำลังประชุมอยู่กับผู้ว่าราชการจังหวัดสุราษฎร์ธานีและจะไปประชุมที่นครศรีธรรมราชต่อ จึงคิดว่าไม่น่าจะเดินทางขึ้นกทม.ได้ทันในเวลา 14.00 น. ตามที่นัดหมายให้ตัวแทนชาวสวนยางไปพูดคุยที่โรงแรมเซ็นทราฯ

ที่มา.เนชั่น
//////////////////////////////////////////////

ชนชั้นกลางไทย เสื้อแดง-เสื้อเหลือง !!??

คอลัมน์: สยามประเทศไทย (มติชนรายวัน)
โดย สุจิตต์ วงษ์เทศ

ลิงหลอกไพร่ เป็นชื่อบทความเกี่ยวกับรองนายกฯ "โกหกสีขาว" ที่ อ.นิธิ เอียวศรีวงศ์ เขียนขึ้นแล้วตั้งชื่อล้อสำนวนลิงหลอกเจ้า (พิมพ์ในมติชนรายวัน ฉบับวันจันทร์ที่ 17 กันยายน 2555 หน้า 6)

ลิงหลอกเจ้า (เป็นสำนวน) หมายถึงผู้น้อยหลอกล้อจนถึงเสียดเย้ยผู้ใหญ่ ในคราวที่ (ผู้น้อย) อยู่ลับหลัง (ผู้ใหญ่) หรือเมื่อผู้ใหญ่เผลอ

ลิง หมายถึงผู้น้อย, เจ้า หมายถึงผู้ใหญ่

แต่ลิงหลอกไพร่ ของ อ.นิธิ อะไรหมายถึงอะไร ต้องตีความกันเอง

ลิงหลอกไพร่ ถูกยกเป็นชื่อหนังสือรวมบทความเกี่ยวกับการเมืองของไทยประเภท "รู้หน้าไม่รู้ใจ" ของ อ.นิธิ ที่เคยพิมพ์ในมติชนทั้งรายวันและสุดสัปดาห์ ระหว่าง พ.ศ.2555-2556

ผมเคยอ่านแล้วทุกเรื่อง แต่เข้าใจไม่หมด เพราะหลายเรื่องเข้าไม่ถึง ตามไม่ทัน ยิ่งประเภท "รู้หน้าไม่รู้ใจ" ยิ่งไปกันยกใหญ่ จับไม่ได้ ไล่ไม่ทันเอาเลย

แต่ช่วยให้ทบทวนปรากฏการณ์ที่ผ่านมาได้ดีเยี่ยม เช่น เรื่องชนชั้นกลางไทยกับประชาธิปไตย ผมอ่านแล้วบันทึกช่วยจำอย่างกระท่อนกระแท่นและไม่กลมกลืนดังนี้

เพราะเชื่อกันว่าชนชั้นกลางคือตัวแทนของประชาธิปไตยแบบเสรีนิยมเสมอ เมื่อชนชั้นกลางไทยไม่เป็นอย่างที่คิดและคาด จึงพากันสงสัย ว่าเพราะอะไร "ชนชั้นกลางไทยมีทัศนะทางการเมืองโน้มเอียงไปทางจารีตนิยม และไม่เป็นแรงผลักดันเสรีประชาธิปไตยที่เข้มแข็งนัก"

ชนชั้นกลางไทยถือกำเนิดและขยายตัวมาจากผลผลิตของทุนนิยมอุตสาหกรรม ซึ่งรัฐหรือผู้นำสมบูรณาญาสิทธิราชย์เป็นผู้ชักนำเข้ามา ด้วยความร่วมมือของกระฎุมพีเชื้อสายจีน (ที่มีกำเนิดภายใต้ระบอบศักดินา)

"กระฎุมพีไทยไม่ใส่ใจนักกับระบอบประชาธิปไตย แบบเสรีก็ได้ ไม่เสรีก็ได้ เผด็จการทหารก็ได้" เพราะ "ไม่ว่าระบบการเมืองจะผันแปรไปอย่างไรก็ไม่กระทบต่อผลประโยชน์ของกระฎุมพี"

ชนชั้นกลางไทยเป็นกลุ่มคนที่มีความหลากหลายมาก แต่ละกลุ่มตอบสนองสภาวะทางการเมืองแตกต่างกัน จึงไม่สามารถเอาอุดมการณ์ทางการเมืองใดๆ มาจับกลุ่มชนชั้นกลางอย่างตายตัวได้

บางทีสนับสนุนปฏิรูปการเมือง แต่ขณะเดียวกันก็ประกาศ "รักในหลวง" เพื่อต่อต้านความเปลี่ยนแปลง จึงต้อนรับรัฐประหาร เมื่อกันยายน 2549

คนเสื้อแดง คือคนชั้นกลางระดับล่าง เป็นผู้ประกอบการหน้าใหม่ มีตลาดของตนเอง

จำนวนมากไม่รู้สึกเดือดร้อนการกระจุกของเงินจำนวนมากไว้กับคนไม่กี่คน เพราะยังมองเห็นว่าจะขยายกิจการของตนต่อไปข้างหน้าได้อีกมาก

คนเสื้อเหลือง คือคนชั้นกลางระดับดีกว่าคนเสื้อแดง เป็นผู้ประกอบการรายเก่า

จำนวนมากรู้สึกหนักใจกับการกระจุกทรัพย์มานานแล้วไว้กับคนไม่กี่คน เพราะมองไปข้างหน้าก็รู้สึกว่าจะโตต่อไปไม่ได้เสียแล้ว

ชนชั้นกลางไทย คือใคร? ในอนาคต มีคำอธิบายอยู่แล้วว่า รู้หน้าไม่รู้ใจ....

//////////////////////////////////////////////////

วันอังคารที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2556

สพฐ.ชงแผนใหญ่สนองนโยบาย จาตุรนต์. !!??

สพฐ.ชงแผนใหญ่สนอง 2 นโยบายสำคัญของรมว.ศธ.แก้ปัญหาอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ และพัฒนากระบวนการคิดวิเคราะห์ แถลงข่าว5ก.ย.นี้

นายชินภัทร ภูมิรัตน เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(กพฐ.)เลขาธิการ เปิดเผยภายหลังประชุมผู้บริหาร ว่า สพฐ.ได้จัดแผนปฏิบัติการสนองนโยบายสำคัญของนายจาตุรนต์ ฉายแสง รมว.ศึกษาธิการ เสร็จเรียบร้อยแล้วและเตรียมเสนอให้ รมว.ศึกษาธิการ พิจารณาก่อนแถลงข่าวโครงการใหญ่นี้อย่างเป็นทางการในวันที่ 5 ก.ย.นี้ นโยบายแรกฉายแสง รมว.ศึกษาธิการ มีนโยบายให้ สพฐ.เร่งแก้ปัญหาใหญ่เด็กไทยอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ อ่านจับใจความไม่รู้เรื่อง โดยจะมีการนำร่องปูพรมพัฒนาทักษะการเขียนให้กับนักเรียนชั้น ป.3 และ ป.6 โดยตั้งเป้าว่าภายในสิ้นปีการศึกษา 2556 นักเรียนระดับ ป.3 ทุกคนจะต้องอ่านออกเขียนได้ ส่วน นักเรียน.ป.6 ทุกคนจะต้องอ่านรู้เรื่อง

นายขินภัทร กล่าวต่อว่า ขณะนี้ สพฐ.ได้พัฒนาเครื่องมือที่จะนำไปสแกนวัดระดับทักษะการอ่านเขียนของนักเรียนชั้น ป.3 และ ป.6 เสร็จเรียบร้อยแล้ว หลักจากนี้ จะนำไปชี้แจงทำความเข้าใจกับผอ.เขตพื้นที่การศึกษา และศึกษานิเทศก์เพราะทางเขตพื้นที่การศึกษาจะต้องเป็นผู้นำเครื่องมือไปสแกนเด็ก 2 ชั้นจำนวนประมาณ 1.6 ล้านคน โดยวางปฏิทินไว้ว่าจะลงมือสแกนก่อนปิดภาคเรียนที่ 1 ในเดือนกันยายน นี้ เพื่อนำตัวนักเรียนที่มีปัญหาในการอ่านเขียน เข้ารับการฟื้นฟูช่วงปิดภาคเรียน ทั้งนี้ในวันแลถงข่าวจะมีการโชว์เครื่องมือในการสแกนด้วย

นายชินภัทร กล่าวต่อว่า ส่วนอีกนโยบายสำคัญของ รมว.ศึกษาธิการ ต้องการให้เร่งพัฒนากระบวนการคิดวิเคราะห์ให้กับนักเรียนซึ่งหากนักเรียนไทยมีทักษะในการคิดแล้ว จะช่วยให้อันดับการประเมิน PISA ของไทยสูงขึ้นได้เพราะข้อสอบ PISA ส่วนใหญ่เป็นข้อสอบเน้นการคิดวิเคราะห์ อย่างไรก็ตาม สพฐ.มีความเห็นว่า ก่อนจะลงมือขับเคลื่อนการพัฒนากระบวนการคิดให้กับนักเรียน จะต้องมั่นใจก่อนว่า กำลังคนหรือครูที่มีอยู่ ตั้งแต่ครูระดับประถมศึกษาถึงมัธยมศึกษาในทุกกลุ่มสาระวิชา มีความรู้ความเข้าใจในเรื่องการพัฒนากระบวนการคิดให้กับนักเรียน เพราะฉะนั้น สพฐ.จะเสนอให้มีการสแกนความสามารถด้านนี้ให้กับครูเช่นเดียวกัน และพัฒนาหลักสูตรขึ้นมาอบรมครูทุกคนให้เข้าใจการจัดการเรียนการสอนเพื่อพัฒนากระบวนการคิดของเด็ก

"เราต้องมั่นใจก่อนว่าบุคลากรที่มีอยู่ เข้าใจกระบวนการคิดอย่างเป็นระบบ ประยุกต์ใช้ทฤษฎีเกี่ยวกับการพัฒนากระบวนการคิดไปสู่การจัดการเรียนรู้ในชั้นเรียนได้ รวมทั้งสามารถคิดวิธีประเมินทักษะในการคิดของเด็กได้ด้วย เพราะฉะนั้น สพฐ.จึงได้พัฒนาหลักสูตรขึ้นมา 3 หลักสูตร หลักสูตรแรก เป็นความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับการคิด หลักสูตรที่ 2 เป็นการนำทฤษฎีเกี่ยวกับการคิดไปสู่การเรียนการสอน และหลักสูตรที่ 3 เป็นวิธีการในการประเมินผู้เรียน โดยสพฐ.ตั้งเป้าว่า จะให้ครูทุกคน ทุกวิชา เข้ารับการอบรมทั้ง 3 หลักสูตร ซึ่งการอบรมอาจจะมีวิธีที่หลากหลาย ค่าใช้จ่ายไม่สูง รวมถึงอาจจะใช้การอบรมผ่านระบบอีเลิร์นนิ่ง ทั้งนี้ ถ้าเราประสบความสำเร็จในการพัฒนากระบวนการคิดให้นักเรียน เป้าหมายที่จะไต่อันดับการประเมิน PISA ก็จะประสบความสำเร็จ"เลขาธิการ กพฐ. กล่าว

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
///////////////////////////////////////////////

วันจันทร์ที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2556

ช้าๆ ไม่ได้พร้าเล่มงาม !!??

โดย ชลาทิพย์ ถิรสุนทรากุล

วิพากษ์ วิจารณ์กันไม่น้อยกับกรณี Technical Recession การถดถอยทางเศรษฐกิจของไทยในเชิงเทคนิคที่เกิดจากตัวเลขเศรษฐกิจหดตัวสองไตร มาสติด โดยสื่อยักษ์อย่างบีบีซีมองในเชิงกังวลผ่าน

ตัวเลขจีดีพีของสภาพัฒน์ช่วงเดือนเมษายนถึงเดือนมิถุนายนที่หดตัวต่อเนื่องลักษณะนี้อาจยังไม่ถึงกับรุนแรง แต่เป็นข้อกังวลในแบบ Mild Recession หรือเศรษฐกิจถดถอยอย่างอ่อนนั่นเอง ซึ่งก็มาจากข้าวของแพง กำลังซื้อภายในหด การกระตุ้นกำลังซื้อภายในประเทศยังทำได้ยาก หันไปดูกลุ่มผู้ประกอบการ ภาคธุรกิจเอกชนต่างก็ไม่มั่นใจ แต่ก็พูดในทิศทางคล้ายกันคือ รอความหวังกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านร่าง พ.ร.บ. 2 ล้านล้านบาท (ร่าง พ.ร.บ.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อโครงสร้างพื้นฐาน ด้านการขนส่งของประเทศ พ.ศ. ...)

แต่ทิศทางงบฯเมกะโปรเจ็กต์นี้ยังใช้เวลายืดเยื้อออกไป จากปัญหาในสภา...

ตามกำหนดของวิปรัฐบาล ร่าง พ.ร.บ. 2 ล้านล้านมีกำหนดเข้าพิจารณาวาระ 2-3 ในสภาสัปดาห์แรกของเดือนกันยายน แต่การพิจารณากฎหมายหลายฉบับก่อนหน้านี้ในสภายื้อเวลาจนกระทบกับกฎหมาย 2 ล้านล้านที่รอจ่อคิวแต่ก็ร่นเวลาออกไป

แม้รัฐบาลจะมีเสียงข้างมากจนน่าเชื่อว่าการลงมติผ่านกฎหมายหลายฉบับที่รัฐบาลผลักดันจะไม่ใช่เรื่องหืดขึ้นคอแต่ปัญหาที่ผ่านมากฎหมายหลายฉบับกว่าจะผ่านแต่ละขั้นไม่ใช่ทำได้รวดเร็ว เมื่อพบเกมตีรวนในสภา (พ่วงนอกสภา) ร่าง พ.ร.บ. 2 ล้านล้านน่าจะเผชิญศึกหนักอย่างไม่ต้องสงสัย

ตั้งแต่ร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม กว่าจะผ่านวาระรับหลักการแทบวุ่น ยังนึกเห็นภาพรำไรว่ายังต้องสู้กันอีกยก (ใหญ่) ในวาระ 2, 3 ต่อแน่นอน

มาถึงร่าง พ.ร.บ.งบประมาณ 2557 ที่อภิปรายขยายเวลาประชุมลากยาวเกินกำหนด จนล่าสุดการประชุมร่วมรัฐสภาพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่มาของ ส.ว. ก็สะบักสะบอมเป็นสัปดาห์ ที่สุดจึงกระทบตารางพิจารณาร่าง พ.ร.บ. 2 ล้านล้าน

ยิ่งอภิปรายยืดเยื้อ ประท้วงและวุ่นวายในประเด็นไม่เป็นสาระสำคัญ ผู้ชมคนติดตามนึกแทบไม่ออกว่าฝ่ายค้านอภิปรายอะไร ชี้ให้เห็นปัญหาอะไร และโน้มน้าวให้สาธารณชนได้รับรู้อะไร เพราะพื้นที่ข่าว ยิ่งในโซเชียลมีเดีย ถูกกลบทับด้วยประเด็นสีสัน การประท้วงอีนุงตุงนัง

เห็นทางรำไรขนาดนี้ ร่าง พ.ร.บ. 2 ล้านล้านจะได้เนื้อหาสาระในการประชุมวาระ 2, 3 แค่ไหน ขณะเดียวกันยังไม่รู้จะต้องเสียเวลาพิจารณากันกี่วัน เพราะเอาแน่นอนไม่ได้ ว่าสภาจะชุลมุนแค่ไหน

หากจำกันได้ ร่าง พ.ร.บ. 2 ล้านล้านผ่านที่ประชุมสภาวาระแรกด้วยมติ 284 เสียง ต่อ 152 เสียง งดออกเสียง 21 ไม่ลงคะแนน 7 เสียง มาในวาระ 2 และ 3 ต้องลุ้นว่าจะใช้เวลาอภิปรายยืดเยื้อมีเหตุให้เกินปกติหรือไม่

ยังไม่นับการตรวจสอบโดยยื่นผ่านองค์กรอิสระอีกหรือไม่

แม้จะเป็นเสียงข้างมาก แต่เมื่อไม่สามารถไว้ใจในสถานการณ์ได้ ภาคการลงทุนจึงไม่หวังอะไรได้ทันในไตรมาสสุดท้ายของปี ข่าวการชะลอการลงทุน รอสังเกตการณ์กันอีกทีในปีหน้าจึงออกมา

กระนั้นแม้รัฐบาลยังเชื่อมั่นงบฯ 2 ล้านล้านบาทจะผ่านการพิจารณาจากสภา แต่หากร่าง พ.ร.บ.นี้ไปค้างเติ่งในขั้นตอนใดขั้นตอนหนึ่ง สิ่งที่ต้องชัดเจนแบบเฉพาะหน้าคือ รัฐบาลมีมาตรการหรือช่องทางอย่างไร...ที่เคยประกาศว่า มีเตรียมทางเลือกไว้เพื่อให้การลงทุนไม่หยุดชะงักก็ต้องส่งสัญญาณออกมาตรการทางเลือกให้เห็นทิศทาง เพราะแม้นักลงทุนเพียงชะลอเพื่อสังเกตการณ์ แต่ด้านหนึ่งมีรายงานสถิติที่ต่างชาติยังแห่เข้ามาลงทุนเช่าพื้นที่ออฟฟิศในไทย เพื่อใช้เป็นฐานรองรับการลงทุนและเออีซีในอนาคต

ดังนั้นรัฐบาลต้องประกาศให้ชัด จะเร่งรัดเดินหน้าก่อสร้างโครงการใด โดยใช้งบฯปี57 ศึกษาโครงการ แล้วจึงลงทุนในช่วงงบฯ 2 ล้านล้านบาทภายหลัง เพราะสภาพที่ปรากฏคือการเมืองยังถูกมองว่ามีความเสี่ยง ทุกอย่างจึงยังมั่นใจไม่ได้มากนัก

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
///////////////////////////////////////////////////

จับตา:ถล่มซีเรียป่วนตลาด !!??

นักวิเคราะห์แนะจับตาสถานการณ์ในซีเรีย ชี้หากเกิดสงคราม ตลาด"หุ้น-เงิน"ผันผวน ค่าเงินบาทส่อหลุด 32.6 บาท แต่อาจส่งผลเฟดชะลอลดขนาดคิวอี

ความกังวลสถานการณ์ในซีเรียเพิ่มมากขึ้น หลังจากนายจอห์น เคอร์รี รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐ แสดงท่าทีว่าสหรัฐจะโจมตีซีเรียกรณีการใช้อาวุธเคมีสังหารประชาชน และนายบารัค โอบามา ประธานาธิบดีสหรัฐ ระบุว่ากำลังชั่งน้ำหนักโจมตีซีเรียอย่างจำกัด แต่ต้องรอการอนุมัติจากสภาคองเกรซ

กรณีของซีเรียเพิ่มความกังวลให้กับตลาด จากก่อนหน้านั้น กังวลเรื่องการลดมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (คิวอี) โดยธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะมีการประชุมในวันที่ 17-18 ก.ย.นี้

ก่อนหน้านี้ นักวิเคราะห์คาดว่ามีความเป็นไปได้ที่เฟดจะมีการลดปริมาณคิวอี จาก 8.5 หมื่นล้านดอลลาร์ต่อเดือน เหลือ 6.5-7.5 หมื่นล้านดอลลาร์ต่อเดือน

นายเชาว์ เก่งชน กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด กล่าวว่าในช่วงนี้ตลาดเงินกำลังจับตาสถานการณ์ในซีเรียอย่างใกล้ชิด เพราะหากเกิดความรุนแรงขึ้นเชื่อว่าเฟด จะยังไม่รีบลดขนาดการใช้มาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (คิวอี) ลง เนื่องจากเกรงว่าจะทำให้สถานการณ์ทางเศรษฐกิจย่ำแย่ลงได้

"ที่ต้องติดตามดูในตอนนี้ คือ ข้อเสนอของทางสหประชาชาติที่จะยื่นให้กับทางซีเรียว่ามีอะไรบ้าง และซีเรียจะยอมปฏิบัติตามเงื่อนไขหรือไม่ รวมถึงตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐที่ออกมาเป็นอย่างไร ถ้าทั้ง 2 ตัวนี้ออกมาดี คือ ซีเรียยอมรับข้อตกลง และตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐดี ก็เชื่อว่าเฟดคงลดขนาดคิวอีลงในเร็วๆนี้แน่นอน แต่หากซีเรียไม่ยอมรับข้อเสนอ จนทำให้เกิดสงครามขึ้น คิดว่ากรณีนี้เฟดจะยังไม่รีบลดขนาดคิวอีลง" นายเชาว์กล่าว

"หากเกิดสงครามขึ้นจริง คิดว่าทั้งตลาดหุ้นและตลาดเงินคงมีความผันผวนอย่างมาก"

นายเชาว์กล่าวว่าหากสถานการณ์ในซีเรียไม่มีความรุนแรง และตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐออกมาดี ก็เชื่อว่าการลดขนาดคิวอีของเฟดอาจจะดำเนินการเพียงเดือนละ 1 หมื่นล้านดอลลาร์ จากปัจจุบันที่เฟดอัดฉีดสภาพคล่องเข้าสู่ระบบอยู่ที่เดือนละ 8.5 หมื่นล้านดอลลาร์

"ในกรณีที่เฟดลดขนาดคิวอีลง ถ้าลดเพียงเดือนละ 1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ก็คงไม่ส่งผลกระทบต่อตลาดเงินและตลาดหุ้นมากนัก เพราะตลาดรับข่าวไปแล้ว ยกเว้นแต่เฟดจะลดขนาดของคิวอีลงในปริมาณที่มากๆ ซึ่งคิดว่าไม่น่าจะเป็นไปได้" นายเชาว์กล่าว

ชี้ลดคิวอีต่อเนื่องเพิ่มแรงกดดัน

ด้าน นางสาวอุสรา วิไลพิชญ์ นักเศรษฐศาสตร์อาวุโส ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด (ไทย) กล่าวว่า ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐ ซึ่งออกมาดีขึ้นต่อเนื่อง ทำให้ตลาดเริ่มคาดการณ์แล้วว่า เฟดอาจเริ่มต้นลดขนาดการใช้มาตรการคิวอีลงในเดือนก.ย.นี้ เพียงแต่ประเด็นที่ต้องจับตาดูต่อไป คือ การเริ่มต้นลดคิวอีของเฟดนั้นจะมีขนาดเท่าใด และเป็นการลดอย่างต่อเนื่องหรือไม่

"ความเสี่ยงที่เฟดจะเริ่มต้นลดคิวอีลงในเดือนก.ย.นี้ มีความเป็นไปได้มาก ซึ่งขนาดของการลดนั้น นักวิเคราะห์ราว 2 ใน 3 มองว่า เฟดจะลดขนาดของการพิมพ์เงินลงเดือนละ 1 หมื่นล้านดอลลาร์ ดังนั้นคงต้องดูว่า เฟดจะลดแรงกว่าที่ตลาดคาดการณ์กันไว้หรือไม่" นางสาวอุสรา กล่าว

นางสาวอุสรา กล่าวด้วยว่า ประเด็นที่ต้องจับตาในการประชุมเฟดวันที่ 17-18 ก.ย.นี้ อยู่ที่ถ้อยแถลงหลังการประชุมว่า ถ้าเฟดมีมติลดการใช้คิวอีจริง ลักษณะของการลดจะเป็นอย่างไร ระหว่างลดลงอย่างต่อเนื่องทุกเดือน หรือเป็นการลดเพียงครั้งเดียว แล้วรอประเมินสถานการณ์อีกครั้ง ซึ่งถ้าเป็นกรณีที่ลดลงต่อเนื่อง เชื่อว่าจะเป็นประเด็นที่ตลาดเริ่มกลับมากังวลอีกครั้ง

"ถ้าเป็นกรณีที่ตลาดมองและตีความว่า เฟดจะเริ่มต้นลดคิวอีลงต่อเนื่องทุกเดือนนั้น ผลกระทบที่เกิดกับเอเชียก็คงมีต่อเนื่องด้วยเช่นกัน เพราะอย่าลืมว่าช่วงที่เริ่มใช้คิวอีมีเงินไหลเข้าภูมิภาคต่อเนื่อง และพอมีข่าวว่าเฟดจะเริ่มต้นลดการใช้ ก็ทำให้เงินจำนวนนี้กลับออกไประลอกหนึ่ง ที่เหลือก็คงรอดูว่าสัญญาณจากเฟดจะเป็นอย่างไร ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่าอาจจะมีการขายทำกำไรอีกระลอกก็เป็นได้" นางสาวอุสรา กล่าว

ชี้ค่าเงินบาทอ่อนหากเฟดลดคิวอี

นางสาวอุสรากล่าวว่าผลกระทบต่อค่าเงินบาทไทยในกรณีที่เฟดส่งสัญญาณว่าจะลดขนาดของคิวอีลงต่อเนื่องนั้น คิดว่าเงินบาทไทยมีแนวต้านสำคัญที่ระดับ 32.60 บาท แต่คงต้องขึ้นกับสถานการณ์ความรุนแรงในซีเรียด้วย เพราะถ้าซีเรียเกิดเหตุการณ์รุนแรงจนกลายเป็นสงครามขึ้นมา เชื่อว่าเงินบาทมีโอกาสที่จะอ่อนค่าไปมากกว่านี้ได้

นางสาวอุสรา กล่าวด้วยว่า สถานการณ์ในซีเรียแม้จะมีความรุนแรงมากขึ้น แต่อาจไม่ใช่ประเด็นหลักที่เฟดหยิบขึ้นมาพิจารณาในการเริ่มต้นลดคิวอีก็ได้ เพราะผลกระทบส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นกับประเทศที่นำเข้าน้ำมันเป็นหลัก ในขณะที่สหรัฐอเมริกาล่าสุดมีการค้นพบ เชลล์แก๊ส ทำให้การนำเข้าน้ำมันเพื่อบริโภคน้อยลง จึงคิดว่าผลกระทบจากสถานการณ์ในซีเรีย ไม่กระทบเศรษฐกิจสหรัฐมากนัก ยกเว้นแต่สถานการณ์นี้จะมีผลต่อเศรษฐกิจโลก ซึ่งอาจทำให้เฟดหยิบขึ้นมาเป็นประเด็นพิจารณาก็ได้

ลดคิวอีไม่กระทบตลาดหุ้น

นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ เอเซียพลัส จำกัด (มหาชน) กล่าวว่าการหยุดมาตรการคิวอีของสหรัฐนั้นไม่น่าจะมีผลกระทบกับตลาดหุ้นไทยมากนัก เนื่องจากที่ผ่านมาตลาดหุ้นไทยได้ปรับตัวรับข่าวดังกล่าวมาระยะหนึ่งแล้ว และหากมีการปรับลดจริง เงินทุนต่างชาติไม่น่าจะไหลออกมากกว่า 4 หมื่นล้านบาท

"ตั้งแต่มีการอัดฉีดสภาพคล่องเข้าระบบนั้น มีเม็ดเงินไหลเข้าตลาดหุ้นไทยสูงสุดตั้งแต่ปี2552 จนถึงวันที่ 18 มี.ค.ที่ผ่านมา มีมูลค่า 3.2 แสนล้านบาท ก่อนที่เงินทุนจะไหลออกอย่างต่อเนื่อง จนถึงปัจจุบันเงินทุนต่างชาติไหลออกจากไทยแล้ว 1.96 แสนล้านบาท"

การไหลออกของเงินทุนต่างชาติ มาจากข่าวหยุดมาการคิวอีของสหรัฐออกมานั้น ซึ่งดัชนีหุ้นไทยก็ปรับตัวลงรับข่าวมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งหลังจากนี้มีการปรับลดวงเงินคิวอีลง หรือหากมีการหยุดมาตรการคิวอีลง ก็ไม่น่าจะส่งผลกระทบต่อดัชนีตลาดหุ้นมากนัก ซึ่งจากการประเมินว่าเงินทุนต่างชาติจะไหลออก 4 หมื่นล้านบาท น่าจะส่งผลให้ดัชนีตลาดหุ้นปรับตัวลงไปอีก 65 จุดเท่านั้น

"แต่หากมีการขายทรัพย์สินที่รับซื้อไว้ก่อนหน้านี้ ซึ่งสวนทางกับสิ่งตลาดหุ้นประเมินไว้ก่อนหน้านี้ก็มีความเสี่ยงที่จะเกิดการแพลนิคอย่างรุนแรงขึ้นในอนาคต"

คาดปรับลดลง1-2หมื่นล้านดอลล์

ด้าน นายธนเดช รังษีธนานนท์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กรุงศรี จำกัด ประเมินเช่นเดียวกันว่าในการปรับลดมาตรการคิวอีของสหรัฐในเดือนก.ย.นี้ จากการคาดการณ์ของนักเศรษฐศาสตร์ทั่วโลก ต่างมองว่าน่าจะมีการปรับลดปริมาณการทำคิวอีของสหรัฐลง 1- 2 หมื่นล้านดอลลาร์ต่อเดือน โดยปัจจุบันดัชนีตลาดหุ้นนั้นน่าจะมีการปรับตัวรับกับข่าวดังกล่าวไปแล้ว

"ที่ผ่านมาพอหลังจากมีการออกข่าวการหยุดมาตรการคิวอีของสหรัฐอเมริกา จะชะลอการรับซื้อพันธบัตรคืนนั้น ดัชนีตลาดหุ้นไทย ก็ได้ปรับตัวรับข่าวมาอย่างต่อเนื่อง และเงินต่างชาติก็ขายสุทธิหุ้นไทยออกมาอย่างต่อเนื่องเช่นกัน"

หากมีการหยุดมาตรการคิวอีของสหรัฐอเมริกา หรือการปรับลดปริมาณคิวอีลง จะส่งผลกระทบกับตลาดอย่างไรในอนาคตนั้น ยังไม่สามารถประเมินได้ แต่เชื่อว่าด้วยพื้นฐานของตลาดหุ้นที่ปรับตัวลดลงมาค่อนข้างมากและมีอัตราการทำกำไรที่เติบโตต่อเนื่อง โดยปีนี้ประเมินว่าจะมีการเติบโตที่ 14% ซึ่งดัชนีหุ้นไทยไม่น่าจะปรับตัวลดลงกว่า 1,260 จุด

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
.........................................................................

นี่คือ โลกทุนนิยม !!??

Facebook ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ สส.พรรครักประเทศไทย ที่ระบุว่าไม่มีรัฐบาลไหนในโลกจะขึ้นราคาสิ่งที่กระทบกับค่าครองชีพของประชาชนพร้อมกัน 3 อย่าง ในวันเดียว คือค่าแก๊ส ค่าไฟฟ้า ค่าทางด่วน บอกตรงๆ ว่าขำไม่ออก ลองนึกดูนะครับ

สิ่งที่รัฐบาลขึ้นราคานอกจากจะเป็นสิ่งที่ประชาชนเดือดร้อนแล้ว สิ่งที่ขึ้นราคาคือสิ่งที่ นายทุนได้ประโยชน์ แก๊ส ก็ปตท.ผูกขาด ปตท.ได้ประโยชน์ทางตรงคือซื้อแก๊สมาขายโดยไม่มีคู่แข่งส่วนกลุ่มคนที่ได้ประโยชน์ทางอ้อมคือ นักการเมือง ในรัฐบาลที่มีหุ้นในปตท.เพราะในภาวะที่ตลาดหุ้นตกหลุด 1,300 จุดไปแล้วแต่ปรากฏว่าหุ้นปตท.ขึ้นเอ้าขึ้นเอาค่าไฟฟ้า ใครได้ประโยชน์ ประชาชนได้หรือไม่ ทางด่วนของการทางพิเศษดูแล โดยเจ้าของสัมปทานบีอีซีแอล ค่าทางด่วนขึ้นคนการทางฯได้ประโยชน์โดยตรง

ส่วนพวกที่ถือหุ้นในตลาดได้ประโยชน์ทางอ้อมซึ่งก็คือนักการเมืองในรัฐบาลสรุปว่ารัฐบาลนี้ทำเพื่อนายทุนไม่ได้ทำเพื่อประชาชนหลายโครงการของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ล้วนแต่ทำเพื่อให้นายทุนได้กำไร ขายของได้ เขาจึงทำแต่โครงการใหญ่ประเภทเมกะโปรเจกท์ รับทรัพย์กันทีแบบพุงปลิ้น ตรงข้ามกับสินค้าชาวบ้าน อย่างพืชผลเกษตร อาทิ ข้าว ยางพารา ยกตัวอย่างให้เห็นๆ ง่ายๆ อย่างข้าว หากไม่ต้องการคะแนนเสียง พรรคเพื่อไทยไม่มีทางรับจำนำราคาตันละ 15,000 บาท แต่พอผ่านไปปีเศษ ลายเริ่มออกบอกชาวนาว่า ขาดทุน ไม่มีเงินจะขอลดราคาจำนำลง

นี่คือสันดานรัฐบาลนายทุนไง พอได้ประโยชน์แล้วก็ไม่เห็นหัวชาวนา แทนที่สินค้าชาวนาจะขึ้นราคาแค่กลับต่ำลงเรื่อยๆ และที่กำลังเป็นเรื่องใหญ่ในขณะนี้ก็คือยางพารา ราคาต่ำมา 2 ปีกว่า แต่รัฐบาลไม่เคยเหลียวแล พอชาวสวนยางขอขึ้นราคาก็อ้างตลาดโลกแถมบอกว่า ไม่มีเงินให้

นี่ไงรัฐบาลที่ไม่ได้ทำเพื่อประชาชน แต่ละอย่างจะทำเพื่อนายทุนที่สนับสนุนพรรค ดูว่านายทุนทำธุรกิจอะไรก็จะออกโครงการนั้นๆ มาเพื่อหลอกประชาชน แต่นายทุนไปนั่งรอฟาดกำไรอยู่ปลายทาง แล้วผลพวงจากนโยบายและการบริหารงานของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ มันจึงทำให้ประเทศไทย เรามีคนรวยกระจุกแต่คนจนกระจายไปทั่วประเทศ รอวันอดตายเท่านั้นเอง รัฐบาลแบบนี้ใครจะเอาก็เอา แต่ผมไม่เอาด้วย

ที่มา.นสพ.แนวหน้า
////////////////////////////////////////////

LPG ขึ้นราคาไปรอดหรือร่วง !!??

ในที่สุดราคาก๊าซหุงต้ม (แอลพีจี) ภาคครัวเรือนก็ถูกปรับขึ้นไปเรียบร้อยแล้วเมื่อวันที่ 1 ก.ย.2556 ที่ผ่านมานี้เอง โดยเป็นการปรับขึ้นราคาท่ามกลางกระแสการชุมนุมต่อต้านของภาคประชาชนบางกลุ่ม และการชุมนุมประท้วงก็ยังไม่มีทีท่ายุติลง แม้จะมีการปรับขึ้นราคาไปแล้วก็ตาม โดยกลุ่มผู้ชุมนุมที่ใช้ชื่อเครือข่ายประชาชนเจ้าของพลังงานไทยเตรียมเคลื่อนไหวรวมตัวคัดค้านการปรับขึ้นราคาแอลพีจีอีกครั้งในวันที่ 9 ก.ย.  2556 ขณะที่มูลนิธิคุ้มครองผู้บริโภคได้ยื่นฟ้องร้องหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการปรับขึ้นราคาแอลพีจีต่อศาลปกครองไปเมื่อวันที่ 29 ส.ค.2556 ที่ผ่านมา
   
อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมารัฐบาลพยายามปรับขึ้นราคาแอลพีจีภาคขนส่งและภาคอุตสาหกรรมมาแล้ว โดยประสบความสำเร็จในการปรับขึ้นสำหรับภาคอุตสาหกรรม แต่ภาคขนส่งปรับขึ้นได้เพียง 4 เดือนเมื่อต้นปี 2555 แต่ก็เป็นอันต้องหยุดชะงัก เนื่องจากกลุ่มผู้คัดค้านใช้วิธีชุมนุมประท้วงปิดถนน ซึ่งเรียกได้ว่าประสบความสำเร็จ เพราะนอกจากรัฐบาลจะต้องหยุดปรับขึ้นราคาแล้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานในตอนนั้นยังถูกปลดออกจากเก้าอี้การเมืองไปโดยปริยาย
   
และความพยายามปรับขึ้นราคาแอลพีจีที่ผ่านมาของรัฐบาลแบบกระท่อนกระแท่น ส่งผลให้ราคาแอลพีจีในประเทศไทยถูกตีแตกเป็น 3 ราคา คือในภาคขนส่งที่ราคา 21.38 บาทต่อกิโลกรัม แอลพีจีในภาคอุตสาหกรรมที่ลอยตัวตามราคาตลาดโลกปัจจุบันอยู่ที่ 30.13 บาทต่อกิโลกรัม และภาคครัวเรือนเมื่อวันที่ 1 ก.ย.2556 ดีเดย์ปรับขึ้นราคาเป็นครั้งแรกจาก 18.13 บาทต่อกิโลกรัม ถูกปรับขึ้นมาเฉพาะเดือน ก.ย.2556  อีก 50 สตางค์ ทำให้วันนี้ราคาอยู่ที่ 18.63 บาทต่อกิโลกรัม
   
แต่ก็ไม่น่าแปลกใจที่ นายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล  รมว.พลังงาน ฝ่าด่านม็อบจนสามารถปรับขึ้นราคาแอลพีจีภาคครัวเรือนมาได้ เนื่องจากบทเรียนของรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีที่ผ่านมาเคยเจอม็อบต้านการขึ้นราคาแอลพีจีจนซวนเซมาแล้ว กลายเป็นประสบการณ์ที่ทำให้นายพงษ์ศักดิ์ระมัดระวังการปรับขึ้นราคาเป็นพิเศษ โดยวางหมากตัวแรกเป็นปราการป้องกันการโจมตี ด้วยการประกาศชัดเจนว่าจะมีมาตรการช่วยเหลือกลุ่มคนจนให้ใช้แอลพีจีราคาถูกต่อไป
   
ทั้งนี้ กระทรวงพลังงานได้โหมกระแสการปรับขึ้นราคาไปพร้อมๆ กับนโยบายการช่วยเหลือคนจนให้ใช้แอลพีจีราคาเดิมตลอดตั้งแต่ต้นปี 2556 เป็นต้นมา จนสามารถกำหนดกลุ่มผู้มีรายได้น้อยที่จะได้รับการช่วยเหลือ และวิธีการซื้อแอลพีจีราคาถูก 18.13 บาทต่อกิโลกรัม ได้สำเร็จเมื่อประมาณเดือน ก.ค.2556 ที่ผ่านมา ทำให้สังคมบางส่วนเริ่มรับรู้ความจำเป็นที่ต้องปรับขึ้นราคาแอลพีจี และลดกระแสต่อต้านลงเพราะมีมาตรการช่วยเหลือคนจนนั่นเอง
   
ปราการด่านที่ 2 ที่ทำให้นายพงษ์ศักดิ์หลุดพ้นจากการโจมตีของม็อบ คือ มีการนำม็อบที่สนับสนุนเผชิญหน้ากับม็อบคัดค้าน หรือเรียกว่าปล่อยม็อบชนม็อบ ซึ่งเป็นกลยุทธ์ทางการเมืองอย่างชัดเจน  
   
อย่างไรก็ตาม วันที่ 1 ก.ย.2556 ประชาชนทั่วไปทั้งที่เป็นคนรวยและคนชนชั้นกลาง ต่างต้องยอมรับสภาพควักเงินจ่ายค่าแอลพีจีเพิ่มขึ้นเฉพาะเดือน ก.ย.2556 อีก 50 สตางค์ ดังนั้นหากครัวเรือนใดที่ใช้แอลพีจีถังละ 15 กิโลกรัม จะต้องจ่ายเงินเพิ่มขึ้นอีก 7.5 บาทต่อถัง 15 กิโลกรัม หรือจากราคา 272 บาทต่อกิโลกรัม ต้องจ่ายเพิ่มเป็น 280 บาทต่อกิโลกรัม (ไม่รวมค่าขนส่ง)
   
ส่วนในเดือนต่อๆ ไปก็บวกขึ้นอีกเดือนละ 50 สตางค์ต่อกิโลกรัม จนราคาแอลพีจีภาคครัวเรือนไปจบที่ราคา 24.83 บาทต่อกิโลกรัม หรือเท่ากับปรับขึ้นรวมทั้งหมด 6 บาทต่อกิโลกรัม
   
ตามนโยบายการปรับขึ้นราคาในครั้งนี้ไม่ได้เล็งแค่ภาคครัวเรือนอย่างเดียว แต่เล็งต่อไปยังภาคขนส่งด้วย โดยระหว่างที่ราคาแอลพีจีภาคครัวเรือนค่อยๆ ไต่ราคาขึ้นไป จะมีจุดหนึ่งที่ราคาไปชนกับภาคขนส่งที่ 21.38 บาทต่อกิโลกรัม ประมาณเดือน ก.พ.2557 และจุดนี้เองที่กระทรวงพลังงานกำหนดให้ภาคขนส่งต้องถูกปรับขึ้นราคาเดือนละ 50 สตางค์ต่อกิโลกรัม ไปพร้อมๆ กับภาคครัวเรือน และยังจะเป็นจุดที่ทำให้ราคาแอลพีจีภาคขนส่งและครัวเรือนกลับมาอยู่ราคาเดียวกัน ปรับขึ้นราคาไปพร้อมกัน สู่เป้าหมายสูงสุดที่ 24.83 บาทต่อกิโลกรัมนั่นเอง
   
สำหรับกลุ่มผู้มีรายได้น้อยที่เข้าข่ายได้สิทธิ์ซื้อแอลพีจีราคาเดิม 18.13 บาทต่อกิโลกรัม ได้แก่ 1.กลุ่มผู้ไม่มีไฟฟ้าใช้ ซึ่งมีจำนวน 186,822 ครัวเรือน 2.กลุ่มผู้ใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 90 หน่วยต่อเดือน จำนวน  7,430,639 ครัวเรือน ซึ่งทั้ง 2 กลุ่มนี้จะได้รับการชดเชยแอลพีจี 18 กิโลกรัมต่อ 3 เดือน และ 3.กลุ่มหาบเร่แผงลอยที่มี 168,529 ร้านค้า ได้รับการชดเชย 150 กิโลกรัมต่อเดือน
   
แต่ถึงแม้จะมีมาตรการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยด้วยการแสดงสิทธิ์ แสดงตัวกับภาครัฐเพื่อขอรับรหัสสำหรับยืนยันสิทธิ์ผ่านโทรศัพท์มือถือ แต่ชาวบ้านต่างบ่นเป็นเสียงเดียวกันว่าขั้นตอนยุ่งยาก ยอมจ่ายเงินซื้อเพิ่มดีกว่า ขณะที่ภาครัฐอาจจะมองว่าเป็นวิธีการที่ง่ายเสมือนการเติมเงินผ่านมือถือ แต่อย่าลืมว่าคนหาเช้ากินค่ำย่อมไม่อยากสละเวลาค้าขายออกไปเดินเรื่องกับภาคราชการเพื่อขอรับสิทธิ์มากนัก เพราะบางส่วนมองว่าเสียเวลาทำมาหากิน แต่มาตรการนี้ก็จำเป็นที่กระทรวงพลังงานต้องใช้เป็นด่านป้องกันการคัดค้านของสังคม ส่วนใครจะใช้หรือไม่ใช้อันนี้กระทรวงพลังงานย่อมไม่สนใจอยู่แล้ว เพราะเป็นสิทธิ์ส่วนบุคคล
   
สำหรับสาเหตุที่ภาครัฐหยิบยกขึ้นมาเป็นเหตุผลการปรับขึ้นราคาแอลพีจีในครั้งนี้ อันเนื่องมาจากต้องการแก้ไขปัญหาภาระหนี้สินของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง และสร้างความเป็นธรรมให้กับสังคม เนื่องจากปัจจุบันประชาชนผู้ใช้น้ำมันเบนซินและแก๊สโซฮอล์ทุกคนกลายเป็นผู้จ่ายเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ  และที่ผ่านมากองทุนน้ำมันฯ ก็นำเงินไปชดเชยราคาแอลพีจีให้กับคนทั้งประเทศได้ใช้ราคาถูก โดยใช้เงินถึง 3,000 ล้านบาทต่อเดือนเพื่อชดเชยราคาแอลพีจี
   
และแก้ปัญหาลักลอบนำแอลพีจีภาคครัวเรือนที่ราคาถูกสุด ไปขายกับภาคขนส่ง เพราะแอลพีจีในประเทศเพื่อนบ้านราคาสูงกว่า 40 บาทต่อกิโลกรัม ทำให้กองทุนน้ำมันฯ ต้องควักเงินเพื่อชดเชยการใช้แอลพีจีที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยจ่ายไปประมาณ 3,000 ล้านบาทต่อเดือน  หรือ 36,000 ล้านบาทต่อปี
   
ปัจจุบันราคาแอลพีจี สปป.ลาว อยู่ที่ 48.10 บาทต่อกิโลกรัม, เวียดนามอยู่ที่ 45.50 บาทต่อกิโลกรัม, กัมพูชาอยู่ที่ 43.15 บาทต่อกิโลกรัม, สหภาพพม่าอยู่ที่ 39.50 บาทต่อกิโลกรัม, มาเลเซียอยู่ที่ 20 บาทต่อกิโลกรัม และไทย 18.13 บาทต่อกิโลกรัม
   
นอกจากนี้ การเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) ในปี 2558 ยังเป็นปัจจัยสำคัญที่รัฐต้องเร่งปรับขึ้นราคาแอลพีจี เนื่องจากหากไทยยังชดเชยทำให้แอลพีจีมีราคาถูกสุด ต่างชาติมารุมใช้แอลพีจีจากไทย
   
ดังนั้น เหตุผลดังกล่าวจึงนำมาซึ่งการผลักดันปรับขึ้นราคาแอลพีจีมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในเรื่องนี้ บริษัท ปตท.จำกัด(มหาชน) ถึงกับต้องเร่งออกมาชี้แจงข้อเท็จจริงว่า การปรับขึ้นราคาแอลพีจีครั้งนี้ ปตท.ไม่ได้ประโยชน์อะไรทั้งสิ้น เพราะเป็นการปรับแก้ที่กองทุนน้ำมันฯ ส่วน ปตท.ยังคงขายแอลพีจีราคาเดิม คือ แบ่งขายเป็น 2 ส่วน คือ 1.ราคาขายสำหรับใช้เป็นเชื้อเพลิง ซึ่งรัฐบาลกำหนดราคาขายไม่ให้เกิน 10.20 บาทต่อกิโลกรัม เพื่อส่งไปจำหน่ายภาคครัวเรือนและภาคขนส่ง โดยก่อนถึงมือผู้บริโภค กระทรวงพลังงานได้เรียกเก็บเงินเข้ากองทุนฯ ทำให้ราคาถึงผู้บริโภคภาคครัวเรือนกลายเป็น 18.13 บาทต่อกิโลกรัม และขนส่ง 21.38 บาทต่อกิโลกรัม
   
2.ราคาขายให้ภาคปิโตรเคมี 16.20-17.30 บาทต่อกิโลกรัม ซึ่งลอยตัวตามราคาตลาดโลก และก่อนถึงโรงงานปิโตรเคมี กระทรวงพลังงานได้เรียกเก็บเข้ากองทุนฯ และภาครัฐเรียกเก็บภาษี ทำให้ราคาถึงมือโรงงานปิโตรเคมีอยู่ที่ 19.50 บาทต่อกิโลกรัม ซึ่ง ปตท.ยืนยันว่าราคาขายยังเท่าเดิม ไม่ได้ประโยชน์จากการปรับขึ้นราคา และไม่ได้ขายแอลพีจีให้ภาคปิโตรเคมีถูกว่าภาคครัวเรือนแต่อย่างใด
   
สำหรับมาตรการปรับขึ้นราคาแอลพีจีในครั้งนี้กินเวลายาวไปจนถึงกลางปี 2557 ซึ่งการปรับขึ้นราคาแอลพีจีเพียงเดือนแรกนี้ไม่สามารถตอบได้ว่ามาตรการขึ้นราคาจะราบรื่นหรือไม่  เพราะยังเป็นช่วงเวลาที่ผู้คัดค้านยังพยายามต่อสู้ได้ตลอดเวลา  อีกทั้งศาลปกครองยังเป็นอีกปัจจัยที่ชี้ขาดว่าท้ายที่สุดรัฐบาลจะปรับราคาได้ตามเป้าหมายหรือไม่ และต้องคอยติดตามซีรีส์การปรับขึ้นราคาแอลพีจีรอบนี้จะประสบผลสำเร็จ หรือสะดุดลงเหมือนรัฐบาลที่ผ่านๆ มาหรือไม่.

ที่มา.ไทยโพสต์
///////////////////////////////////////////////////////////

เดิมพัน กฏหมาย กู้เงิน 2 ล้านล้าน พิสูจน์จุดยืนรัฐบาล !!??

โดย.นพคุณ ศิลาเณร

การป่วน ตีรวนในสภาระหว่าง พรรคประชาธิปัตย์ กับพรรค เพื่อไทยยังไม่จบสิ้น แม้ร่างกฎหมาย งบประมาณรายจ่าย 2557 ผ่านสภาแล้ว แต่ศึกร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2550 ให้สมาชิกวุฒิสภามาจากการเลือกตั้งทั้งหมดจำนวน 200 คน ต้องย้อนกลับมาพิจารณาวาระสองกันต่อ แล้วลากไปให้สิ้นกระบวนการในวาระสาม เพื่อจบเรื่องจบราวในขั้นตอนสภา

ถัดจากนั้น คงถึงด่านการพิจารณาร่าง กฎหมายกู้เงิน 2 ล้านล้านบาท หรือชื่อเต็ม ว่า "ร่าง พ.ร.บ.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ด้านคมนาคมขนส่งของประเทศ พ.ศ. ..."

นายวราเทพ รัตนากร รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และรมช.กระทรวงเกษตร และสหกรณ์ ประเมินว่า ประมาณต้นเดือน กันยายนนี้ ร่างกฎหมายกู้เงินฉบับนี้คงถูกบรรจุวาระเพื่อเปิดการประชุมสภาพิจารณา วาระสองขั้นแปรญัตติรายมาตรา... รับรอง ว่าพรรคประชาธิปัตย์ป่วน ตีรวนอีกตามพฤติกรรมถนัดของเกมยื้อเวลา

สิ่งน่ากังวลอย่างยิ่งคือ สถานการณ์ กดดันรัฐบาลเกิดขึ้นรอบด้าน ม็อบเรียกร้อง ราคายางพาราปิดถนนขึ้นใต้-ขึ้น กทม. อย่างฮึกเหิม การชุมนุมประท้วงขึ้นราคาแก๊สกำลังก่อหวอดกดดันรัฐบาลเข้าอีก รวมทั้งการชุมนุมที่สวนลุมพินีของกลุ่มกอง ทัพประชาชนโค่นระบอบทักษิณ (กปท.) เริ่ม คึกกันสุดๆ เมื่อได้นักเรียนช่างกลเข้าสมทบ ราวกับเริ่มก่อตั้งกำลัง "กระทิงแดงรุ่นใหม่" มาขับไล่รัฐบาล

กลุ่มกดดันรัฐบาลทั้งหลายนี้ มีจุดร่วมส่วนหนึ่งคือ ต่อต้านร่างกฎหมายกู้เงิน 2 ล้านล้านบาท ดังนั้นเมื่อกฎหมายนี้เข้าสภา แล้ว พรรคประชาธิปัตย์ตีรวนจนหนำใจอยากแน่ๆ

+ ประเมินเกม-ประลองกำลัง

ร่างกฎหมายกู้เงิน 2 ล้านล้านบาท มีเนื้อหา 19 มาตรา คณะรัฐมนตรีอนุมัติเมื่อ 19 มีนาคม 2556 และผ่านสภาขั้นรับ หลักการเมื่อ 29 มีนาคม 2556 ด้วยเสียง 284 ต่อ 152 เสียง งดออกเสียง 21 ไม่ลงคะแนนเสียง 7 เสียง

สภาตั้งกรรมาธิการวิสามัญจำนวน 36 คน มีนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง เป็นประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญ พิจารณาภายใน 30 วัน แล้วเสร็จส่งรายงานให้ประธานสภาเมื่อต้นเดือนสิงหาคม 2556

แม้สภาผ่านวาระแรกไปด้วยเสียงสนับสนุนมากมาย แต่เมื่อประเมิน "เกม" การต่อต้านของพรรคประชาธิปัตย์แล้ว มีแนวโน้มว่า การพิจารณาวาระสองจะเผชิญ หน้ากันรุนแรงตามแบบฉบับตีรวน ป่วน ยื้อ แล้วลงท้ายด้วยเสียงกรี๊ดผสมโหยหวน

ฤทธิ์เดชการป่วนของพรรคประชาธิปัตย์ปรากฏให้เห็นมาแล้วในการพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญวาระสอง ทั้งๆ ที่กฎหมายนี้มีเพียง 13 มาตรา แต่ใช้เวลาถึง 2 วันพิจารณาผ่านไปเพียง 2 มาตราเท่านั้น ยังเหลือให้ลากยาวอีกหลายมาตรา

พรรคประชาธิปัตย์ยังใช้กลยุทธ์ของเสียงข้างน้อยโวยวายในสภา เพื่อสะท้อนให้ เห็นว่า เสียงข้างมากฝ่ายรัฐบาลพยายามรวบอำนาจเผด็จการ ดังนั้นการป่วน และตีรวน จะเกิดขึ้นอย่างหนักหน่วงกว่าการพิจารณาร่างกฎหมายอื่นๆ ในสภา

เป็นไปได้ว่า พลังกลุ่มผู้ชุมนุมนอกสภา อย่าง กปท. จะเคลื่อนกำลังมากดดันที่หน้าสภา อย่างไรก็ตาม หากร่างกฎหมายนี้ผ่านไปได้ ยัง มีอุปสรรคในขั้น "วุฒิสภาและศาลรัฐธรรมนูญ" ดังนั้นหนทางร่างกฎหมายกู้เงินยังเต็มไปด้วยขวากหนามทุกขั้นตอน และสุ่มเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุทางการเมืองได้เสมอเช่นกัน

หากประเมินฝ่ายต่อต้านร่างกฎหมาย กู้เงินแล้ว โดยหลักๆ ประกอบด้วย พรรคประชาธิปัตย์ กลุ่มสมาชิกวุฒิสภา (สรรหา) ที่เรียกว่า "กลุ่ม 40 ส.ว." และกลุ่มหน้ากากขาว นอกจากนี้ ยังมีกลุ่มนักวิชาการ โดย เฉพาะสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศ (ทีดีอาร์ไอ) รวมทั้งฝ่ายที่เรียกว่า "นักวิชาการขาประจำ" ที่เคยต่อต้าน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มาแล้ว

คณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย (คปก.) โดย นายคณิต ณ นคร ประธาน คปก. ค้านร่าง กฎหมายฉบับนี้นิ่มๆ ด้วยการยกข้อกฎหมาย ออกมาเตือนว่า ขัดรัฐธรรมนูญมาตรา 169 รวมทั้งหมวดว่าด้วยวินัยการเงินการคลัง

เนื้อหาการต่อต้านหลากหลายนั้นมีอยู่ประมาณ 4 ประเด็นหลัก คือ เป็นร่างกฎหมายที่ขัดรัฐธรรมนูญเพราะไม่ใช่เงินจากงบประมาณรายจ่ายของประเทศ เป็นโครงการที่ทำให้เกิดคอร์รัปชั่น ผูกพันภาระ หนี้สินให้ประชาชนแบกรับนานถึง 50 ปี โดย นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวไปไกลถึงการเป็นหนี้ "ที่ชาติหน้าก็ใช้ไม่หมด" และเป็นโครงการที่ไม่คุ้มค่าการลงทุนโดยเฉพาะการก่อสร้างรถไฟฟ้าความเร็วสูง

แน่ละ แนวทางการต่อต้าน ใช้หลากหลายวิธี ด่านแรกเริ่มด้วยการป่วน ตีรวน เพื่อยื้อเวลา และทำให้สภาเสื่อมเสียความน่า เชื่อถือ ด่านสองเมื่อร่างกฎหมายผ่านสภาไป สู่การพิจารณาของวุฒิแล้ว กลุ่ม 40 ส.ว. ยังใช้วิธีการป่วน ตีรวน เพื่อทำลายความน่า เชื่อถือของโครงการการต่างๆ ซ้ำลงไปอีก

ส่วนด่านสาม จัดการขั้นแตกหัก ถ้าผ่านการพิจารณาของวุฒิสภา ฝ่ายต่อต้าน ทั้งหมดจะยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญให้ตรวจสอบ ในประเด็นเป็นร่างกฎหมายที่ขัดกับรัฐธรรมนูญ ลากกระบวนการยุติธรรมเข้ามาเล่นงานให้ล้มกันทั้งกระดานไปเลย

มาพิจารณาฝ่ายสนับสนุนบ้าง แม้ฝ่าย ต่อต้านได้ผลิตวาทกรรมการกู้เงิน 2 ล้านล้านบาทว่า เป็นกู้ผลาญชาติ, กู้ชาตินี้ ใช้ชาติหน้า, ตีเช็คเปล่า หรือรัฐบาลแชมป์เงินกู้ ก็ตาม แต่นักธุรกิจในกลุ่มสภาหอการค้าไทย โดยนายพงศ์ศักดิ์ อัสสกุล ประธานกิตติมศักดิ์ ได้สนับสนุนการกู้เงินเพื่อการลงทุนครั้งนี้ เพราะเป็นการพัฒนาประเทศในระยะยาว

นอกจากนี้ ผลสำรวจความเห็นนักเศรษฐศาสตร์จากองค์กรชั้นนำ 30 แห่ง จำนวน 67 คน ระหว่างวันที่ 5-12 ตุลาคม 2555 พบว่า ร้อยละ 58.2 เห็นว่า ปัจจุบันนี้ประเทศไทยมีความจำเป็นมากที่จะต้องมีการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน มีเพียงร้อยละ 6.0 เท่า นั้นที่เห็นว่าไม่มีความจำเป็นเลย

ไม่แตกต่างกันนักกับการสำรวจความ เห็นประชาชนเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา จาก ประชาชนจำนวน 1,580 คน พบว่า ร้อยละ 52.27 เห็นด้วยกับการกู้เงินเพื่อลงทุนพัฒนาระบบคมนาคมขนส่ง ส่วนกลุ่มไม่เห็น ด้วยมีร้อยละ 47.93 เนื่องจากกลัวการแบก ภาระหนี้สิน ส่วนความเป็นห่วงนั้นร้อยละ 58.42 กังวลเรื่องการคอร์รัปชั่น

รวมความแล้ว ฝ่ายสนับสนุนโครงการ กู้เงินเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานนั้น มีความ หลากหลายกว่าฝ่ายต่อต้าน เพราะมีทั้งนักธุรกิจ นักเศรษฐศาสตร์ และประชาชนทั่วไป ส่วนฝ่ายต่อต้านแล้ว ยังกระจุกตัวอยู่กับกลุ่มเดิมๆ ที่ประกาศอยู่ฝ่ายตรงข้ามรัฐบาล และกลุ่มนี้มีความชัดเจนว่า ไม่สนับสนุนรัฐบาลในทุกรณี เพราะมีอคติความเชื่อในด้านร้ายกับรัฐบาลเป็นอย่างยิ่ง

+ รัฐบาลเผชิญหน้า...สู้ไม่ถอย !!

ก่อนที่ร่างกฎหมายกู้เงินฉบับนี้จะเข้าสู่สภาวาระสอง เกิดการปล่อยข่าวทำลายรัฐบาลในเชิงว่า กลัวและไม่กล้านำกฎหมาย เข้าสภา นั่นเป็นเพียงจิตวิทยามวลชนที่เพิ่ง เริ่มการต่อสู้ครั้งใหม่ขึ้น และรัฐบาลพร้อมสู้ในเกมสภาเพราะร่างกฎหมายคือ ความมุ่ง หวังในการพัฒนาประเทศ หากกลัวแล้วถอด ย่อมเสียเชิงการเมืองเป็นอย่างยิ่ง

สาระสำคัญของร่างกฎหมายฉบับนี้ กำหนดให้กระทรวงการคลัง (โดยการอนุมัติ ของคณะรัฐมนตรี) มีอำนาจกู้เงินบาทและสกุลเงินต่างประเทศมูลค่ารวมกันไม่เกิน 2 ล้าน ล้านบาทเพื่อใช้จ่ายในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่งของประเทศ และกำหนดเวลาการกู้เงินไม่เกิน 31 ธันวาคม 2563 และวงเงินกู้ การจัดการเงินกู้ รวมทั้งวิธี การกู้เงินในแต่ละปีงบประมาณ โดยเงินกู้ตาม ร่างกฎหมายฉบับนี้กระทรวงการคลังอาจนำ ไปให้กู้ต่อแก่หน่วยงานของรัฐเพื่อนำไปใช้จ่าย ในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคม ขนส่งของประเทศก็ได้ (มาตรา 5-7)

กระทรวงการคลังวาง "สมมติฐาน" การกู้เงินและใช้จ่ายเงินในแต่ละปีไว้ว่า ปี 2557 จำนวน 153,269 ล้านบาท, ปี 2558 จำนวน 317,635 ล้านบาท, ปี 2559 จำนวน 380,974 ล้านบาท, ปี 2560 จำนวน 383,497 ล้านบาท, ปี 2561 จำนวน 341,876 ล้านบาท, ปี 2562 จำนวน 228,938 ล้านบาท และปี 2563 จำนวน 188,042 ล้านบาท

เงินกู้ทั้งหมดนี้อยู่นอกเหนืองบประมาณรายจ่ายของรัฐบาลในแต่ละปี มีระยะใช้คืนไม่เกิน 50 ปี (ปลอดการชำระหนี้เงิน ต้น 10 ปี) เริ่มชำระคืนเงินต้นตั้งแต่ปีที่ 11 ในอัตราไม่เกิน 2-3% ของวงเงินกู้หรือประมาณไม่เกิน 4-5 หมื่นล้านบาท

น.ส.จุฬารัตน์ สุธีธร ผู้อำนวยการสำนักบริหารหนี้สาธารณะ กระทรวงการคลัง มั่นใจว่า การกู้เงิน 2 ล้านล้านบาท บวกกับการกู้เงินเพื่อบริหารจัดการน้ำ 350,000 ล้านบาท แล้ว จะก่อหนี้สาธารณะไม่เกิน 50% ต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) แน่นอน

ภายใต้ร่างกฎหมายฉบับนี้ กำหนด การใช้เงินกู้ลงทุน 3 แผนงานยุทธศาสตร์คือ ยุทธศาสตร์การปรับเปลี่ยนรูปแบบการขนส่งสินค้าทางถนนสู่การขนส่งที่มีต้นทุนต่ำกว่าวงเงิน 354,560.73 ล้านบาท

ยุทธศาสตร์พัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และสิ่งอำนวยความสะดวกในการเดินทางและการขนส่งไปสู่ศูนย์กลางของภูมิภาคทั่วประเทศและเชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้าน วงเงิน 1,042,376.74 ล้านบาท และยุทธศาสตร์พัฒนาและปรับปรุงระบบขนส่ง เพื่อยกระดับความคล่องตัว วงเงิน 593,801.52 ล้านบาท

นอกจากนี้ ยังมีวงเงินแผนงานการส่งเสริมหรือการสนับสนุนการพัฒนาโครงการพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่งของประเทศตามยุทธศาสตร์ดังกล่าวในวงเงิน 9,261.01 ล้านบาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 2 ล้านล้านบาท

โครงการกู้เงิน 2 ล้านล้านบาท นี้ จะเป็นการลงทุนในระยะ 7 ปีต่อเนื่องกัน เฉลี่ยใช้งบประมาณปีละประมาณ 3-4 แสนล้านบาท มีเป้าหมายลดต้นทุนลอจิสติกส์จากประมาณ 15.2% ให้ลงไปอีกอย่างน้อย 2%

ภารกิจของรัฐบาลที่เสนอกฎหมายฉบับนี้ อยู่ที่การพลิกเปลี่ยนประเทศครั้งใหญ่ ด้วยการกู้เงินถึง 2 ล้านล้านบาทเพื่อการปรับปรุงโครงการสร้างการคมนาคมขนส่ง ที่หยุดนิ่งมาตั้งแต่ปี 2549 ติดต่อกันถึง 6 ปี เมื่อต้องการเป็นศูนย์กลางการคมนาคมขน ส่งในภูมิภาคอาเซียนแล้ว แม้ต้องลุยไฟ ลงน้ำ รัฐบาลต้องเดินหน้าผลักดันให้สำเร็จ

รับรองงานนี้ในซีกของรัฐบาลคงสู้ไม่ถอย และพร้อมเผชิญหน้ากับพรรคประชาธิปัตย์ในสภาวาระสอง เพื่อสะท้อนให้ประชาชนเห็นแนวทางและจุดยืนของสองฝ่ายอย่างชัดเจนว่า ใครก้าวหน้า และพวกไหน จมปลักกับความล้าหลัง

รวมความแล้ว ราวๆ ต้นเดือนกันยายน เป็นอย่างช้า การเผชิญหน้าครั้งสำคัญในการพิจารณาร่างกฎหมายกู้เงินวาระสองจะ ต้องเริ่มขึ้น งานนี้ทั้งฝ่ายรัฐบาลและพรรค ประชาธิปัตย์ต้องงัดกลยุทธ์มาห้ำหั่นกันเต็มที่ เพราะต่างฝ่ายต่างไม่ยอมกัน

ยอมไม่ได้แน่ๆ เมื่อร่างกฎหมายฉบับ นี้เป็นเงื่อนไขกำหนดอนาคตการเมืองของทั้งสองพรรคอย่างยิ่ง ถ้ากฎหมายผ่านไปได้ ประชาธิปัตย์คงเหลือช่องทางเกิดทางการเมืองน้อยเต็มทน แต่หากฝ่ายรัฐบาลแพ้แล้ว นั่นหมายถึงการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ครั้งใหญ่มีโอกาสเกิดขึ้นทั้งด้านดีและเลวร้าย...นี่คือเดิมพันครั้งสำคัญ

ที่มา.สยามธุรกิจ
///////////////////////////////////////////////////////