--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันจันทร์ที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2556

จับตา:ถล่มซีเรียป่วนตลาด !!??

นักวิเคราะห์แนะจับตาสถานการณ์ในซีเรีย ชี้หากเกิดสงคราม ตลาด"หุ้น-เงิน"ผันผวน ค่าเงินบาทส่อหลุด 32.6 บาท แต่อาจส่งผลเฟดชะลอลดขนาดคิวอี

ความกังวลสถานการณ์ในซีเรียเพิ่มมากขึ้น หลังจากนายจอห์น เคอร์รี รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐ แสดงท่าทีว่าสหรัฐจะโจมตีซีเรียกรณีการใช้อาวุธเคมีสังหารประชาชน และนายบารัค โอบามา ประธานาธิบดีสหรัฐ ระบุว่ากำลังชั่งน้ำหนักโจมตีซีเรียอย่างจำกัด แต่ต้องรอการอนุมัติจากสภาคองเกรซ

กรณีของซีเรียเพิ่มความกังวลให้กับตลาด จากก่อนหน้านั้น กังวลเรื่องการลดมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (คิวอี) โดยธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะมีการประชุมในวันที่ 17-18 ก.ย.นี้

ก่อนหน้านี้ นักวิเคราะห์คาดว่ามีความเป็นไปได้ที่เฟดจะมีการลดปริมาณคิวอี จาก 8.5 หมื่นล้านดอลลาร์ต่อเดือน เหลือ 6.5-7.5 หมื่นล้านดอลลาร์ต่อเดือน

นายเชาว์ เก่งชน กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด กล่าวว่าในช่วงนี้ตลาดเงินกำลังจับตาสถานการณ์ในซีเรียอย่างใกล้ชิด เพราะหากเกิดความรุนแรงขึ้นเชื่อว่าเฟด จะยังไม่รีบลดขนาดการใช้มาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (คิวอี) ลง เนื่องจากเกรงว่าจะทำให้สถานการณ์ทางเศรษฐกิจย่ำแย่ลงได้

"ที่ต้องติดตามดูในตอนนี้ คือ ข้อเสนอของทางสหประชาชาติที่จะยื่นให้กับทางซีเรียว่ามีอะไรบ้าง และซีเรียจะยอมปฏิบัติตามเงื่อนไขหรือไม่ รวมถึงตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐที่ออกมาเป็นอย่างไร ถ้าทั้ง 2 ตัวนี้ออกมาดี คือ ซีเรียยอมรับข้อตกลง และตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐดี ก็เชื่อว่าเฟดคงลดขนาดคิวอีลงในเร็วๆนี้แน่นอน แต่หากซีเรียไม่ยอมรับข้อเสนอ จนทำให้เกิดสงครามขึ้น คิดว่ากรณีนี้เฟดจะยังไม่รีบลดขนาดคิวอีลง" นายเชาว์กล่าว

"หากเกิดสงครามขึ้นจริง คิดว่าทั้งตลาดหุ้นและตลาดเงินคงมีความผันผวนอย่างมาก"

นายเชาว์กล่าวว่าหากสถานการณ์ในซีเรียไม่มีความรุนแรง และตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐออกมาดี ก็เชื่อว่าการลดขนาดคิวอีของเฟดอาจจะดำเนินการเพียงเดือนละ 1 หมื่นล้านดอลลาร์ จากปัจจุบันที่เฟดอัดฉีดสภาพคล่องเข้าสู่ระบบอยู่ที่เดือนละ 8.5 หมื่นล้านดอลลาร์

"ในกรณีที่เฟดลดขนาดคิวอีลง ถ้าลดเพียงเดือนละ 1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ก็คงไม่ส่งผลกระทบต่อตลาดเงินและตลาดหุ้นมากนัก เพราะตลาดรับข่าวไปแล้ว ยกเว้นแต่เฟดจะลดขนาดของคิวอีลงในปริมาณที่มากๆ ซึ่งคิดว่าไม่น่าจะเป็นไปได้" นายเชาว์กล่าว

ชี้ลดคิวอีต่อเนื่องเพิ่มแรงกดดัน

ด้าน นางสาวอุสรา วิไลพิชญ์ นักเศรษฐศาสตร์อาวุโส ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด (ไทย) กล่าวว่า ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐ ซึ่งออกมาดีขึ้นต่อเนื่อง ทำให้ตลาดเริ่มคาดการณ์แล้วว่า เฟดอาจเริ่มต้นลดขนาดการใช้มาตรการคิวอีลงในเดือนก.ย.นี้ เพียงแต่ประเด็นที่ต้องจับตาดูต่อไป คือ การเริ่มต้นลดคิวอีของเฟดนั้นจะมีขนาดเท่าใด และเป็นการลดอย่างต่อเนื่องหรือไม่

"ความเสี่ยงที่เฟดจะเริ่มต้นลดคิวอีลงในเดือนก.ย.นี้ มีความเป็นไปได้มาก ซึ่งขนาดของการลดนั้น นักวิเคราะห์ราว 2 ใน 3 มองว่า เฟดจะลดขนาดของการพิมพ์เงินลงเดือนละ 1 หมื่นล้านดอลลาร์ ดังนั้นคงต้องดูว่า เฟดจะลดแรงกว่าที่ตลาดคาดการณ์กันไว้หรือไม่" นางสาวอุสรา กล่าว

นางสาวอุสรา กล่าวด้วยว่า ประเด็นที่ต้องจับตาในการประชุมเฟดวันที่ 17-18 ก.ย.นี้ อยู่ที่ถ้อยแถลงหลังการประชุมว่า ถ้าเฟดมีมติลดการใช้คิวอีจริง ลักษณะของการลดจะเป็นอย่างไร ระหว่างลดลงอย่างต่อเนื่องทุกเดือน หรือเป็นการลดเพียงครั้งเดียว แล้วรอประเมินสถานการณ์อีกครั้ง ซึ่งถ้าเป็นกรณีที่ลดลงต่อเนื่อง เชื่อว่าจะเป็นประเด็นที่ตลาดเริ่มกลับมากังวลอีกครั้ง

"ถ้าเป็นกรณีที่ตลาดมองและตีความว่า เฟดจะเริ่มต้นลดคิวอีลงต่อเนื่องทุกเดือนนั้น ผลกระทบที่เกิดกับเอเชียก็คงมีต่อเนื่องด้วยเช่นกัน เพราะอย่าลืมว่าช่วงที่เริ่มใช้คิวอีมีเงินไหลเข้าภูมิภาคต่อเนื่อง และพอมีข่าวว่าเฟดจะเริ่มต้นลดการใช้ ก็ทำให้เงินจำนวนนี้กลับออกไประลอกหนึ่ง ที่เหลือก็คงรอดูว่าสัญญาณจากเฟดจะเป็นอย่างไร ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่าอาจจะมีการขายทำกำไรอีกระลอกก็เป็นได้" นางสาวอุสรา กล่าว

ชี้ค่าเงินบาทอ่อนหากเฟดลดคิวอี

นางสาวอุสรากล่าวว่าผลกระทบต่อค่าเงินบาทไทยในกรณีที่เฟดส่งสัญญาณว่าจะลดขนาดของคิวอีลงต่อเนื่องนั้น คิดว่าเงินบาทไทยมีแนวต้านสำคัญที่ระดับ 32.60 บาท แต่คงต้องขึ้นกับสถานการณ์ความรุนแรงในซีเรียด้วย เพราะถ้าซีเรียเกิดเหตุการณ์รุนแรงจนกลายเป็นสงครามขึ้นมา เชื่อว่าเงินบาทมีโอกาสที่จะอ่อนค่าไปมากกว่านี้ได้

นางสาวอุสรา กล่าวด้วยว่า สถานการณ์ในซีเรียแม้จะมีความรุนแรงมากขึ้น แต่อาจไม่ใช่ประเด็นหลักที่เฟดหยิบขึ้นมาพิจารณาในการเริ่มต้นลดคิวอีก็ได้ เพราะผลกระทบส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นกับประเทศที่นำเข้าน้ำมันเป็นหลัก ในขณะที่สหรัฐอเมริกาล่าสุดมีการค้นพบ เชลล์แก๊ส ทำให้การนำเข้าน้ำมันเพื่อบริโภคน้อยลง จึงคิดว่าผลกระทบจากสถานการณ์ในซีเรีย ไม่กระทบเศรษฐกิจสหรัฐมากนัก ยกเว้นแต่สถานการณ์นี้จะมีผลต่อเศรษฐกิจโลก ซึ่งอาจทำให้เฟดหยิบขึ้นมาเป็นประเด็นพิจารณาก็ได้

ลดคิวอีไม่กระทบตลาดหุ้น

นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ เอเซียพลัส จำกัด (มหาชน) กล่าวว่าการหยุดมาตรการคิวอีของสหรัฐนั้นไม่น่าจะมีผลกระทบกับตลาดหุ้นไทยมากนัก เนื่องจากที่ผ่านมาตลาดหุ้นไทยได้ปรับตัวรับข่าวดังกล่าวมาระยะหนึ่งแล้ว และหากมีการปรับลดจริง เงินทุนต่างชาติไม่น่าจะไหลออกมากกว่า 4 หมื่นล้านบาท

"ตั้งแต่มีการอัดฉีดสภาพคล่องเข้าระบบนั้น มีเม็ดเงินไหลเข้าตลาดหุ้นไทยสูงสุดตั้งแต่ปี2552 จนถึงวันที่ 18 มี.ค.ที่ผ่านมา มีมูลค่า 3.2 แสนล้านบาท ก่อนที่เงินทุนจะไหลออกอย่างต่อเนื่อง จนถึงปัจจุบันเงินทุนต่างชาติไหลออกจากไทยแล้ว 1.96 แสนล้านบาท"

การไหลออกของเงินทุนต่างชาติ มาจากข่าวหยุดมาการคิวอีของสหรัฐออกมานั้น ซึ่งดัชนีหุ้นไทยก็ปรับตัวลงรับข่าวมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งหลังจากนี้มีการปรับลดวงเงินคิวอีลง หรือหากมีการหยุดมาตรการคิวอีลง ก็ไม่น่าจะส่งผลกระทบต่อดัชนีตลาดหุ้นมากนัก ซึ่งจากการประเมินว่าเงินทุนต่างชาติจะไหลออก 4 หมื่นล้านบาท น่าจะส่งผลให้ดัชนีตลาดหุ้นปรับตัวลงไปอีก 65 จุดเท่านั้น

"แต่หากมีการขายทรัพย์สินที่รับซื้อไว้ก่อนหน้านี้ ซึ่งสวนทางกับสิ่งตลาดหุ้นประเมินไว้ก่อนหน้านี้ก็มีความเสี่ยงที่จะเกิดการแพลนิคอย่างรุนแรงขึ้นในอนาคต"

คาดปรับลดลง1-2หมื่นล้านดอลล์

ด้าน นายธนเดช รังษีธนานนท์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กรุงศรี จำกัด ประเมินเช่นเดียวกันว่าในการปรับลดมาตรการคิวอีของสหรัฐในเดือนก.ย.นี้ จากการคาดการณ์ของนักเศรษฐศาสตร์ทั่วโลก ต่างมองว่าน่าจะมีการปรับลดปริมาณการทำคิวอีของสหรัฐลง 1- 2 หมื่นล้านดอลลาร์ต่อเดือน โดยปัจจุบันดัชนีตลาดหุ้นนั้นน่าจะมีการปรับตัวรับกับข่าวดังกล่าวไปแล้ว

"ที่ผ่านมาพอหลังจากมีการออกข่าวการหยุดมาตรการคิวอีของสหรัฐอเมริกา จะชะลอการรับซื้อพันธบัตรคืนนั้น ดัชนีตลาดหุ้นไทย ก็ได้ปรับตัวรับข่าวมาอย่างต่อเนื่อง และเงินต่างชาติก็ขายสุทธิหุ้นไทยออกมาอย่างต่อเนื่องเช่นกัน"

หากมีการหยุดมาตรการคิวอีของสหรัฐอเมริกา หรือการปรับลดปริมาณคิวอีลง จะส่งผลกระทบกับตลาดอย่างไรในอนาคตนั้น ยังไม่สามารถประเมินได้ แต่เชื่อว่าด้วยพื้นฐานของตลาดหุ้นที่ปรับตัวลดลงมาค่อนข้างมากและมีอัตราการทำกำไรที่เติบโตต่อเนื่อง โดยปีนี้ประเมินว่าจะมีการเติบโตที่ 14% ซึ่งดัชนีหุ้นไทยไม่น่าจะปรับตัวลดลงกว่า 1,260 จุด

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
.........................................................................

นี่คือ โลกทุนนิยม !!??

Facebook ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ สส.พรรครักประเทศไทย ที่ระบุว่าไม่มีรัฐบาลไหนในโลกจะขึ้นราคาสิ่งที่กระทบกับค่าครองชีพของประชาชนพร้อมกัน 3 อย่าง ในวันเดียว คือค่าแก๊ส ค่าไฟฟ้า ค่าทางด่วน บอกตรงๆ ว่าขำไม่ออก ลองนึกดูนะครับ

สิ่งที่รัฐบาลขึ้นราคานอกจากจะเป็นสิ่งที่ประชาชนเดือดร้อนแล้ว สิ่งที่ขึ้นราคาคือสิ่งที่ นายทุนได้ประโยชน์ แก๊ส ก็ปตท.ผูกขาด ปตท.ได้ประโยชน์ทางตรงคือซื้อแก๊สมาขายโดยไม่มีคู่แข่งส่วนกลุ่มคนที่ได้ประโยชน์ทางอ้อมคือ นักการเมือง ในรัฐบาลที่มีหุ้นในปตท.เพราะในภาวะที่ตลาดหุ้นตกหลุด 1,300 จุดไปแล้วแต่ปรากฏว่าหุ้นปตท.ขึ้นเอ้าขึ้นเอาค่าไฟฟ้า ใครได้ประโยชน์ ประชาชนได้หรือไม่ ทางด่วนของการทางพิเศษดูแล โดยเจ้าของสัมปทานบีอีซีแอล ค่าทางด่วนขึ้นคนการทางฯได้ประโยชน์โดยตรง

ส่วนพวกที่ถือหุ้นในตลาดได้ประโยชน์ทางอ้อมซึ่งก็คือนักการเมืองในรัฐบาลสรุปว่ารัฐบาลนี้ทำเพื่อนายทุนไม่ได้ทำเพื่อประชาชนหลายโครงการของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ล้วนแต่ทำเพื่อให้นายทุนได้กำไร ขายของได้ เขาจึงทำแต่โครงการใหญ่ประเภทเมกะโปรเจกท์ รับทรัพย์กันทีแบบพุงปลิ้น ตรงข้ามกับสินค้าชาวบ้าน อย่างพืชผลเกษตร อาทิ ข้าว ยางพารา ยกตัวอย่างให้เห็นๆ ง่ายๆ อย่างข้าว หากไม่ต้องการคะแนนเสียง พรรคเพื่อไทยไม่มีทางรับจำนำราคาตันละ 15,000 บาท แต่พอผ่านไปปีเศษ ลายเริ่มออกบอกชาวนาว่า ขาดทุน ไม่มีเงินจะขอลดราคาจำนำลง

นี่คือสันดานรัฐบาลนายทุนไง พอได้ประโยชน์แล้วก็ไม่เห็นหัวชาวนา แทนที่สินค้าชาวนาจะขึ้นราคาแค่กลับต่ำลงเรื่อยๆ และที่กำลังเป็นเรื่องใหญ่ในขณะนี้ก็คือยางพารา ราคาต่ำมา 2 ปีกว่า แต่รัฐบาลไม่เคยเหลียวแล พอชาวสวนยางขอขึ้นราคาก็อ้างตลาดโลกแถมบอกว่า ไม่มีเงินให้

นี่ไงรัฐบาลที่ไม่ได้ทำเพื่อประชาชน แต่ละอย่างจะทำเพื่อนายทุนที่สนับสนุนพรรค ดูว่านายทุนทำธุรกิจอะไรก็จะออกโครงการนั้นๆ มาเพื่อหลอกประชาชน แต่นายทุนไปนั่งรอฟาดกำไรอยู่ปลายทาง แล้วผลพวงจากนโยบายและการบริหารงานของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ มันจึงทำให้ประเทศไทย เรามีคนรวยกระจุกแต่คนจนกระจายไปทั่วประเทศ รอวันอดตายเท่านั้นเอง รัฐบาลแบบนี้ใครจะเอาก็เอา แต่ผมไม่เอาด้วย

ที่มา.นสพ.แนวหน้า
////////////////////////////////////////////

LPG ขึ้นราคาไปรอดหรือร่วง !!??

ในที่สุดราคาก๊าซหุงต้ม (แอลพีจี) ภาคครัวเรือนก็ถูกปรับขึ้นไปเรียบร้อยแล้วเมื่อวันที่ 1 ก.ย.2556 ที่ผ่านมานี้เอง โดยเป็นการปรับขึ้นราคาท่ามกลางกระแสการชุมนุมต่อต้านของภาคประชาชนบางกลุ่ม และการชุมนุมประท้วงก็ยังไม่มีทีท่ายุติลง แม้จะมีการปรับขึ้นราคาไปแล้วก็ตาม โดยกลุ่มผู้ชุมนุมที่ใช้ชื่อเครือข่ายประชาชนเจ้าของพลังงานไทยเตรียมเคลื่อนไหวรวมตัวคัดค้านการปรับขึ้นราคาแอลพีจีอีกครั้งในวันที่ 9 ก.ย.  2556 ขณะที่มูลนิธิคุ้มครองผู้บริโภคได้ยื่นฟ้องร้องหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการปรับขึ้นราคาแอลพีจีต่อศาลปกครองไปเมื่อวันที่ 29 ส.ค.2556 ที่ผ่านมา
   
อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมารัฐบาลพยายามปรับขึ้นราคาแอลพีจีภาคขนส่งและภาคอุตสาหกรรมมาแล้ว โดยประสบความสำเร็จในการปรับขึ้นสำหรับภาคอุตสาหกรรม แต่ภาคขนส่งปรับขึ้นได้เพียง 4 เดือนเมื่อต้นปี 2555 แต่ก็เป็นอันต้องหยุดชะงัก เนื่องจากกลุ่มผู้คัดค้านใช้วิธีชุมนุมประท้วงปิดถนน ซึ่งเรียกได้ว่าประสบความสำเร็จ เพราะนอกจากรัฐบาลจะต้องหยุดปรับขึ้นราคาแล้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานในตอนนั้นยังถูกปลดออกจากเก้าอี้การเมืองไปโดยปริยาย
   
และความพยายามปรับขึ้นราคาแอลพีจีที่ผ่านมาของรัฐบาลแบบกระท่อนกระแท่น ส่งผลให้ราคาแอลพีจีในประเทศไทยถูกตีแตกเป็น 3 ราคา คือในภาคขนส่งที่ราคา 21.38 บาทต่อกิโลกรัม แอลพีจีในภาคอุตสาหกรรมที่ลอยตัวตามราคาตลาดโลกปัจจุบันอยู่ที่ 30.13 บาทต่อกิโลกรัม และภาคครัวเรือนเมื่อวันที่ 1 ก.ย.2556 ดีเดย์ปรับขึ้นราคาเป็นครั้งแรกจาก 18.13 บาทต่อกิโลกรัม ถูกปรับขึ้นมาเฉพาะเดือน ก.ย.2556  อีก 50 สตางค์ ทำให้วันนี้ราคาอยู่ที่ 18.63 บาทต่อกิโลกรัม
   
แต่ก็ไม่น่าแปลกใจที่ นายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล  รมว.พลังงาน ฝ่าด่านม็อบจนสามารถปรับขึ้นราคาแอลพีจีภาคครัวเรือนมาได้ เนื่องจากบทเรียนของรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีที่ผ่านมาเคยเจอม็อบต้านการขึ้นราคาแอลพีจีจนซวนเซมาแล้ว กลายเป็นประสบการณ์ที่ทำให้นายพงษ์ศักดิ์ระมัดระวังการปรับขึ้นราคาเป็นพิเศษ โดยวางหมากตัวแรกเป็นปราการป้องกันการโจมตี ด้วยการประกาศชัดเจนว่าจะมีมาตรการช่วยเหลือกลุ่มคนจนให้ใช้แอลพีจีราคาถูกต่อไป
   
ทั้งนี้ กระทรวงพลังงานได้โหมกระแสการปรับขึ้นราคาไปพร้อมๆ กับนโยบายการช่วยเหลือคนจนให้ใช้แอลพีจีราคาเดิมตลอดตั้งแต่ต้นปี 2556 เป็นต้นมา จนสามารถกำหนดกลุ่มผู้มีรายได้น้อยที่จะได้รับการช่วยเหลือ และวิธีการซื้อแอลพีจีราคาถูก 18.13 บาทต่อกิโลกรัม ได้สำเร็จเมื่อประมาณเดือน ก.ค.2556 ที่ผ่านมา ทำให้สังคมบางส่วนเริ่มรับรู้ความจำเป็นที่ต้องปรับขึ้นราคาแอลพีจี และลดกระแสต่อต้านลงเพราะมีมาตรการช่วยเหลือคนจนนั่นเอง
   
ปราการด่านที่ 2 ที่ทำให้นายพงษ์ศักดิ์หลุดพ้นจากการโจมตีของม็อบ คือ มีการนำม็อบที่สนับสนุนเผชิญหน้ากับม็อบคัดค้าน หรือเรียกว่าปล่อยม็อบชนม็อบ ซึ่งเป็นกลยุทธ์ทางการเมืองอย่างชัดเจน  
   
อย่างไรก็ตาม วันที่ 1 ก.ย.2556 ประชาชนทั่วไปทั้งที่เป็นคนรวยและคนชนชั้นกลาง ต่างต้องยอมรับสภาพควักเงินจ่ายค่าแอลพีจีเพิ่มขึ้นเฉพาะเดือน ก.ย.2556 อีก 50 สตางค์ ดังนั้นหากครัวเรือนใดที่ใช้แอลพีจีถังละ 15 กิโลกรัม จะต้องจ่ายเงินเพิ่มขึ้นอีก 7.5 บาทต่อถัง 15 กิโลกรัม หรือจากราคา 272 บาทต่อกิโลกรัม ต้องจ่ายเพิ่มเป็น 280 บาทต่อกิโลกรัม (ไม่รวมค่าขนส่ง)
   
ส่วนในเดือนต่อๆ ไปก็บวกขึ้นอีกเดือนละ 50 สตางค์ต่อกิโลกรัม จนราคาแอลพีจีภาคครัวเรือนไปจบที่ราคา 24.83 บาทต่อกิโลกรัม หรือเท่ากับปรับขึ้นรวมทั้งหมด 6 บาทต่อกิโลกรัม
   
ตามนโยบายการปรับขึ้นราคาในครั้งนี้ไม่ได้เล็งแค่ภาคครัวเรือนอย่างเดียว แต่เล็งต่อไปยังภาคขนส่งด้วย โดยระหว่างที่ราคาแอลพีจีภาคครัวเรือนค่อยๆ ไต่ราคาขึ้นไป จะมีจุดหนึ่งที่ราคาไปชนกับภาคขนส่งที่ 21.38 บาทต่อกิโลกรัม ประมาณเดือน ก.พ.2557 และจุดนี้เองที่กระทรวงพลังงานกำหนดให้ภาคขนส่งต้องถูกปรับขึ้นราคาเดือนละ 50 สตางค์ต่อกิโลกรัม ไปพร้อมๆ กับภาคครัวเรือน และยังจะเป็นจุดที่ทำให้ราคาแอลพีจีภาคขนส่งและครัวเรือนกลับมาอยู่ราคาเดียวกัน ปรับขึ้นราคาไปพร้อมกัน สู่เป้าหมายสูงสุดที่ 24.83 บาทต่อกิโลกรัมนั่นเอง
   
สำหรับกลุ่มผู้มีรายได้น้อยที่เข้าข่ายได้สิทธิ์ซื้อแอลพีจีราคาเดิม 18.13 บาทต่อกิโลกรัม ได้แก่ 1.กลุ่มผู้ไม่มีไฟฟ้าใช้ ซึ่งมีจำนวน 186,822 ครัวเรือน 2.กลุ่มผู้ใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 90 หน่วยต่อเดือน จำนวน  7,430,639 ครัวเรือน ซึ่งทั้ง 2 กลุ่มนี้จะได้รับการชดเชยแอลพีจี 18 กิโลกรัมต่อ 3 เดือน และ 3.กลุ่มหาบเร่แผงลอยที่มี 168,529 ร้านค้า ได้รับการชดเชย 150 กิโลกรัมต่อเดือน
   
แต่ถึงแม้จะมีมาตรการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยด้วยการแสดงสิทธิ์ แสดงตัวกับภาครัฐเพื่อขอรับรหัสสำหรับยืนยันสิทธิ์ผ่านโทรศัพท์มือถือ แต่ชาวบ้านต่างบ่นเป็นเสียงเดียวกันว่าขั้นตอนยุ่งยาก ยอมจ่ายเงินซื้อเพิ่มดีกว่า ขณะที่ภาครัฐอาจจะมองว่าเป็นวิธีการที่ง่ายเสมือนการเติมเงินผ่านมือถือ แต่อย่าลืมว่าคนหาเช้ากินค่ำย่อมไม่อยากสละเวลาค้าขายออกไปเดินเรื่องกับภาคราชการเพื่อขอรับสิทธิ์มากนัก เพราะบางส่วนมองว่าเสียเวลาทำมาหากิน แต่มาตรการนี้ก็จำเป็นที่กระทรวงพลังงานต้องใช้เป็นด่านป้องกันการคัดค้านของสังคม ส่วนใครจะใช้หรือไม่ใช้อันนี้กระทรวงพลังงานย่อมไม่สนใจอยู่แล้ว เพราะเป็นสิทธิ์ส่วนบุคคล
   
สำหรับสาเหตุที่ภาครัฐหยิบยกขึ้นมาเป็นเหตุผลการปรับขึ้นราคาแอลพีจีในครั้งนี้ อันเนื่องมาจากต้องการแก้ไขปัญหาภาระหนี้สินของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง และสร้างความเป็นธรรมให้กับสังคม เนื่องจากปัจจุบันประชาชนผู้ใช้น้ำมันเบนซินและแก๊สโซฮอล์ทุกคนกลายเป็นผู้จ่ายเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ  และที่ผ่านมากองทุนน้ำมันฯ ก็นำเงินไปชดเชยราคาแอลพีจีให้กับคนทั้งประเทศได้ใช้ราคาถูก โดยใช้เงินถึง 3,000 ล้านบาทต่อเดือนเพื่อชดเชยราคาแอลพีจี
   
และแก้ปัญหาลักลอบนำแอลพีจีภาคครัวเรือนที่ราคาถูกสุด ไปขายกับภาคขนส่ง เพราะแอลพีจีในประเทศเพื่อนบ้านราคาสูงกว่า 40 บาทต่อกิโลกรัม ทำให้กองทุนน้ำมันฯ ต้องควักเงินเพื่อชดเชยการใช้แอลพีจีที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยจ่ายไปประมาณ 3,000 ล้านบาทต่อเดือน  หรือ 36,000 ล้านบาทต่อปี
   
ปัจจุบันราคาแอลพีจี สปป.ลาว อยู่ที่ 48.10 บาทต่อกิโลกรัม, เวียดนามอยู่ที่ 45.50 บาทต่อกิโลกรัม, กัมพูชาอยู่ที่ 43.15 บาทต่อกิโลกรัม, สหภาพพม่าอยู่ที่ 39.50 บาทต่อกิโลกรัม, มาเลเซียอยู่ที่ 20 บาทต่อกิโลกรัม และไทย 18.13 บาทต่อกิโลกรัม
   
นอกจากนี้ การเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) ในปี 2558 ยังเป็นปัจจัยสำคัญที่รัฐต้องเร่งปรับขึ้นราคาแอลพีจี เนื่องจากหากไทยยังชดเชยทำให้แอลพีจีมีราคาถูกสุด ต่างชาติมารุมใช้แอลพีจีจากไทย
   
ดังนั้น เหตุผลดังกล่าวจึงนำมาซึ่งการผลักดันปรับขึ้นราคาแอลพีจีมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในเรื่องนี้ บริษัท ปตท.จำกัด(มหาชน) ถึงกับต้องเร่งออกมาชี้แจงข้อเท็จจริงว่า การปรับขึ้นราคาแอลพีจีครั้งนี้ ปตท.ไม่ได้ประโยชน์อะไรทั้งสิ้น เพราะเป็นการปรับแก้ที่กองทุนน้ำมันฯ ส่วน ปตท.ยังคงขายแอลพีจีราคาเดิม คือ แบ่งขายเป็น 2 ส่วน คือ 1.ราคาขายสำหรับใช้เป็นเชื้อเพลิง ซึ่งรัฐบาลกำหนดราคาขายไม่ให้เกิน 10.20 บาทต่อกิโลกรัม เพื่อส่งไปจำหน่ายภาคครัวเรือนและภาคขนส่ง โดยก่อนถึงมือผู้บริโภค กระทรวงพลังงานได้เรียกเก็บเงินเข้ากองทุนฯ ทำให้ราคาถึงผู้บริโภคภาคครัวเรือนกลายเป็น 18.13 บาทต่อกิโลกรัม และขนส่ง 21.38 บาทต่อกิโลกรัม
   
2.ราคาขายให้ภาคปิโตรเคมี 16.20-17.30 บาทต่อกิโลกรัม ซึ่งลอยตัวตามราคาตลาดโลก และก่อนถึงโรงงานปิโตรเคมี กระทรวงพลังงานได้เรียกเก็บเข้ากองทุนฯ และภาครัฐเรียกเก็บภาษี ทำให้ราคาถึงมือโรงงานปิโตรเคมีอยู่ที่ 19.50 บาทต่อกิโลกรัม ซึ่ง ปตท.ยืนยันว่าราคาขายยังเท่าเดิม ไม่ได้ประโยชน์จากการปรับขึ้นราคา และไม่ได้ขายแอลพีจีให้ภาคปิโตรเคมีถูกว่าภาคครัวเรือนแต่อย่างใด
   
สำหรับมาตรการปรับขึ้นราคาแอลพีจีในครั้งนี้กินเวลายาวไปจนถึงกลางปี 2557 ซึ่งการปรับขึ้นราคาแอลพีจีเพียงเดือนแรกนี้ไม่สามารถตอบได้ว่ามาตรการขึ้นราคาจะราบรื่นหรือไม่  เพราะยังเป็นช่วงเวลาที่ผู้คัดค้านยังพยายามต่อสู้ได้ตลอดเวลา  อีกทั้งศาลปกครองยังเป็นอีกปัจจัยที่ชี้ขาดว่าท้ายที่สุดรัฐบาลจะปรับราคาได้ตามเป้าหมายหรือไม่ และต้องคอยติดตามซีรีส์การปรับขึ้นราคาแอลพีจีรอบนี้จะประสบผลสำเร็จ หรือสะดุดลงเหมือนรัฐบาลที่ผ่านๆ มาหรือไม่.

ที่มา.ไทยโพสต์
///////////////////////////////////////////////////////////

เดิมพัน กฏหมาย กู้เงิน 2 ล้านล้าน พิสูจน์จุดยืนรัฐบาล !!??

โดย.นพคุณ ศิลาเณร

การป่วน ตีรวนในสภาระหว่าง พรรคประชาธิปัตย์ กับพรรค เพื่อไทยยังไม่จบสิ้น แม้ร่างกฎหมาย งบประมาณรายจ่าย 2557 ผ่านสภาแล้ว แต่ศึกร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2550 ให้สมาชิกวุฒิสภามาจากการเลือกตั้งทั้งหมดจำนวน 200 คน ต้องย้อนกลับมาพิจารณาวาระสองกันต่อ แล้วลากไปให้สิ้นกระบวนการในวาระสาม เพื่อจบเรื่องจบราวในขั้นตอนสภา

ถัดจากนั้น คงถึงด่านการพิจารณาร่าง กฎหมายกู้เงิน 2 ล้านล้านบาท หรือชื่อเต็ม ว่า "ร่าง พ.ร.บ.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ด้านคมนาคมขนส่งของประเทศ พ.ศ. ..."

นายวราเทพ รัตนากร รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และรมช.กระทรวงเกษตร และสหกรณ์ ประเมินว่า ประมาณต้นเดือน กันยายนนี้ ร่างกฎหมายกู้เงินฉบับนี้คงถูกบรรจุวาระเพื่อเปิดการประชุมสภาพิจารณา วาระสองขั้นแปรญัตติรายมาตรา... รับรอง ว่าพรรคประชาธิปัตย์ป่วน ตีรวนอีกตามพฤติกรรมถนัดของเกมยื้อเวลา

สิ่งน่ากังวลอย่างยิ่งคือ สถานการณ์ กดดันรัฐบาลเกิดขึ้นรอบด้าน ม็อบเรียกร้อง ราคายางพาราปิดถนนขึ้นใต้-ขึ้น กทม. อย่างฮึกเหิม การชุมนุมประท้วงขึ้นราคาแก๊สกำลังก่อหวอดกดดันรัฐบาลเข้าอีก รวมทั้งการชุมนุมที่สวนลุมพินีของกลุ่มกอง ทัพประชาชนโค่นระบอบทักษิณ (กปท.) เริ่ม คึกกันสุดๆ เมื่อได้นักเรียนช่างกลเข้าสมทบ ราวกับเริ่มก่อตั้งกำลัง "กระทิงแดงรุ่นใหม่" มาขับไล่รัฐบาล

กลุ่มกดดันรัฐบาลทั้งหลายนี้ มีจุดร่วมส่วนหนึ่งคือ ต่อต้านร่างกฎหมายกู้เงิน 2 ล้านล้านบาท ดังนั้นเมื่อกฎหมายนี้เข้าสภา แล้ว พรรคประชาธิปัตย์ตีรวนจนหนำใจอยากแน่ๆ

+ ประเมินเกม-ประลองกำลัง

ร่างกฎหมายกู้เงิน 2 ล้านล้านบาท มีเนื้อหา 19 มาตรา คณะรัฐมนตรีอนุมัติเมื่อ 19 มีนาคม 2556 และผ่านสภาขั้นรับ หลักการเมื่อ 29 มีนาคม 2556 ด้วยเสียง 284 ต่อ 152 เสียง งดออกเสียง 21 ไม่ลงคะแนนเสียง 7 เสียง

สภาตั้งกรรมาธิการวิสามัญจำนวน 36 คน มีนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง เป็นประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญ พิจารณาภายใน 30 วัน แล้วเสร็จส่งรายงานให้ประธานสภาเมื่อต้นเดือนสิงหาคม 2556

แม้สภาผ่านวาระแรกไปด้วยเสียงสนับสนุนมากมาย แต่เมื่อประเมิน "เกม" การต่อต้านของพรรคประชาธิปัตย์แล้ว มีแนวโน้มว่า การพิจารณาวาระสองจะเผชิญ หน้ากันรุนแรงตามแบบฉบับตีรวน ป่วน ยื้อ แล้วลงท้ายด้วยเสียงกรี๊ดผสมโหยหวน

ฤทธิ์เดชการป่วนของพรรคประชาธิปัตย์ปรากฏให้เห็นมาแล้วในการพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญวาระสอง ทั้งๆ ที่กฎหมายนี้มีเพียง 13 มาตรา แต่ใช้เวลาถึง 2 วันพิจารณาผ่านไปเพียง 2 มาตราเท่านั้น ยังเหลือให้ลากยาวอีกหลายมาตรา

พรรคประชาธิปัตย์ยังใช้กลยุทธ์ของเสียงข้างน้อยโวยวายในสภา เพื่อสะท้อนให้ เห็นว่า เสียงข้างมากฝ่ายรัฐบาลพยายามรวบอำนาจเผด็จการ ดังนั้นการป่วน และตีรวน จะเกิดขึ้นอย่างหนักหน่วงกว่าการพิจารณาร่างกฎหมายอื่นๆ ในสภา

เป็นไปได้ว่า พลังกลุ่มผู้ชุมนุมนอกสภา อย่าง กปท. จะเคลื่อนกำลังมากดดันที่หน้าสภา อย่างไรก็ตาม หากร่างกฎหมายนี้ผ่านไปได้ ยัง มีอุปสรรคในขั้น "วุฒิสภาและศาลรัฐธรรมนูญ" ดังนั้นหนทางร่างกฎหมายกู้เงินยังเต็มไปด้วยขวากหนามทุกขั้นตอน และสุ่มเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุทางการเมืองได้เสมอเช่นกัน

หากประเมินฝ่ายต่อต้านร่างกฎหมาย กู้เงินแล้ว โดยหลักๆ ประกอบด้วย พรรคประชาธิปัตย์ กลุ่มสมาชิกวุฒิสภา (สรรหา) ที่เรียกว่า "กลุ่ม 40 ส.ว." และกลุ่มหน้ากากขาว นอกจากนี้ ยังมีกลุ่มนักวิชาการ โดย เฉพาะสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศ (ทีดีอาร์ไอ) รวมทั้งฝ่ายที่เรียกว่า "นักวิชาการขาประจำ" ที่เคยต่อต้าน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มาแล้ว

คณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย (คปก.) โดย นายคณิต ณ นคร ประธาน คปก. ค้านร่าง กฎหมายฉบับนี้นิ่มๆ ด้วยการยกข้อกฎหมาย ออกมาเตือนว่า ขัดรัฐธรรมนูญมาตรา 169 รวมทั้งหมวดว่าด้วยวินัยการเงินการคลัง

เนื้อหาการต่อต้านหลากหลายนั้นมีอยู่ประมาณ 4 ประเด็นหลัก คือ เป็นร่างกฎหมายที่ขัดรัฐธรรมนูญเพราะไม่ใช่เงินจากงบประมาณรายจ่ายของประเทศ เป็นโครงการที่ทำให้เกิดคอร์รัปชั่น ผูกพันภาระ หนี้สินให้ประชาชนแบกรับนานถึง 50 ปี โดย นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวไปไกลถึงการเป็นหนี้ "ที่ชาติหน้าก็ใช้ไม่หมด" และเป็นโครงการที่ไม่คุ้มค่าการลงทุนโดยเฉพาะการก่อสร้างรถไฟฟ้าความเร็วสูง

แน่ละ แนวทางการต่อต้าน ใช้หลากหลายวิธี ด่านแรกเริ่มด้วยการป่วน ตีรวน เพื่อยื้อเวลา และทำให้สภาเสื่อมเสียความน่า เชื่อถือ ด่านสองเมื่อร่างกฎหมายผ่านสภาไป สู่การพิจารณาของวุฒิแล้ว กลุ่ม 40 ส.ว. ยังใช้วิธีการป่วน ตีรวน เพื่อทำลายความน่า เชื่อถือของโครงการการต่างๆ ซ้ำลงไปอีก

ส่วนด่านสาม จัดการขั้นแตกหัก ถ้าผ่านการพิจารณาของวุฒิสภา ฝ่ายต่อต้าน ทั้งหมดจะยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญให้ตรวจสอบ ในประเด็นเป็นร่างกฎหมายที่ขัดกับรัฐธรรมนูญ ลากกระบวนการยุติธรรมเข้ามาเล่นงานให้ล้มกันทั้งกระดานไปเลย

มาพิจารณาฝ่ายสนับสนุนบ้าง แม้ฝ่าย ต่อต้านได้ผลิตวาทกรรมการกู้เงิน 2 ล้านล้านบาทว่า เป็นกู้ผลาญชาติ, กู้ชาตินี้ ใช้ชาติหน้า, ตีเช็คเปล่า หรือรัฐบาลแชมป์เงินกู้ ก็ตาม แต่นักธุรกิจในกลุ่มสภาหอการค้าไทย โดยนายพงศ์ศักดิ์ อัสสกุล ประธานกิตติมศักดิ์ ได้สนับสนุนการกู้เงินเพื่อการลงทุนครั้งนี้ เพราะเป็นการพัฒนาประเทศในระยะยาว

นอกจากนี้ ผลสำรวจความเห็นนักเศรษฐศาสตร์จากองค์กรชั้นนำ 30 แห่ง จำนวน 67 คน ระหว่างวันที่ 5-12 ตุลาคม 2555 พบว่า ร้อยละ 58.2 เห็นว่า ปัจจุบันนี้ประเทศไทยมีความจำเป็นมากที่จะต้องมีการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน มีเพียงร้อยละ 6.0 เท่า นั้นที่เห็นว่าไม่มีความจำเป็นเลย

ไม่แตกต่างกันนักกับการสำรวจความ เห็นประชาชนเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา จาก ประชาชนจำนวน 1,580 คน พบว่า ร้อยละ 52.27 เห็นด้วยกับการกู้เงินเพื่อลงทุนพัฒนาระบบคมนาคมขนส่ง ส่วนกลุ่มไม่เห็น ด้วยมีร้อยละ 47.93 เนื่องจากกลัวการแบก ภาระหนี้สิน ส่วนความเป็นห่วงนั้นร้อยละ 58.42 กังวลเรื่องการคอร์รัปชั่น

รวมความแล้ว ฝ่ายสนับสนุนโครงการ กู้เงินเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานนั้น มีความ หลากหลายกว่าฝ่ายต่อต้าน เพราะมีทั้งนักธุรกิจ นักเศรษฐศาสตร์ และประชาชนทั่วไป ส่วนฝ่ายต่อต้านแล้ว ยังกระจุกตัวอยู่กับกลุ่มเดิมๆ ที่ประกาศอยู่ฝ่ายตรงข้ามรัฐบาล และกลุ่มนี้มีความชัดเจนว่า ไม่สนับสนุนรัฐบาลในทุกรณี เพราะมีอคติความเชื่อในด้านร้ายกับรัฐบาลเป็นอย่างยิ่ง

+ รัฐบาลเผชิญหน้า...สู้ไม่ถอย !!

ก่อนที่ร่างกฎหมายกู้เงินฉบับนี้จะเข้าสู่สภาวาระสอง เกิดการปล่อยข่าวทำลายรัฐบาลในเชิงว่า กลัวและไม่กล้านำกฎหมาย เข้าสภา นั่นเป็นเพียงจิตวิทยามวลชนที่เพิ่ง เริ่มการต่อสู้ครั้งใหม่ขึ้น และรัฐบาลพร้อมสู้ในเกมสภาเพราะร่างกฎหมายคือ ความมุ่ง หวังในการพัฒนาประเทศ หากกลัวแล้วถอด ย่อมเสียเชิงการเมืองเป็นอย่างยิ่ง

สาระสำคัญของร่างกฎหมายฉบับนี้ กำหนดให้กระทรวงการคลัง (โดยการอนุมัติ ของคณะรัฐมนตรี) มีอำนาจกู้เงินบาทและสกุลเงินต่างประเทศมูลค่ารวมกันไม่เกิน 2 ล้าน ล้านบาทเพื่อใช้จ่ายในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่งของประเทศ และกำหนดเวลาการกู้เงินไม่เกิน 31 ธันวาคม 2563 และวงเงินกู้ การจัดการเงินกู้ รวมทั้งวิธี การกู้เงินในแต่ละปีงบประมาณ โดยเงินกู้ตาม ร่างกฎหมายฉบับนี้กระทรวงการคลังอาจนำ ไปให้กู้ต่อแก่หน่วยงานของรัฐเพื่อนำไปใช้จ่าย ในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคม ขนส่งของประเทศก็ได้ (มาตรา 5-7)

กระทรวงการคลังวาง "สมมติฐาน" การกู้เงินและใช้จ่ายเงินในแต่ละปีไว้ว่า ปี 2557 จำนวน 153,269 ล้านบาท, ปี 2558 จำนวน 317,635 ล้านบาท, ปี 2559 จำนวน 380,974 ล้านบาท, ปี 2560 จำนวน 383,497 ล้านบาท, ปี 2561 จำนวน 341,876 ล้านบาท, ปี 2562 จำนวน 228,938 ล้านบาท และปี 2563 จำนวน 188,042 ล้านบาท

เงินกู้ทั้งหมดนี้อยู่นอกเหนืองบประมาณรายจ่ายของรัฐบาลในแต่ละปี มีระยะใช้คืนไม่เกิน 50 ปี (ปลอดการชำระหนี้เงิน ต้น 10 ปี) เริ่มชำระคืนเงินต้นตั้งแต่ปีที่ 11 ในอัตราไม่เกิน 2-3% ของวงเงินกู้หรือประมาณไม่เกิน 4-5 หมื่นล้านบาท

น.ส.จุฬารัตน์ สุธีธร ผู้อำนวยการสำนักบริหารหนี้สาธารณะ กระทรวงการคลัง มั่นใจว่า การกู้เงิน 2 ล้านล้านบาท บวกกับการกู้เงินเพื่อบริหารจัดการน้ำ 350,000 ล้านบาท แล้ว จะก่อหนี้สาธารณะไม่เกิน 50% ต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) แน่นอน

ภายใต้ร่างกฎหมายฉบับนี้ กำหนด การใช้เงินกู้ลงทุน 3 แผนงานยุทธศาสตร์คือ ยุทธศาสตร์การปรับเปลี่ยนรูปแบบการขนส่งสินค้าทางถนนสู่การขนส่งที่มีต้นทุนต่ำกว่าวงเงิน 354,560.73 ล้านบาท

ยุทธศาสตร์พัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และสิ่งอำนวยความสะดวกในการเดินทางและการขนส่งไปสู่ศูนย์กลางของภูมิภาคทั่วประเทศและเชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้าน วงเงิน 1,042,376.74 ล้านบาท และยุทธศาสตร์พัฒนาและปรับปรุงระบบขนส่ง เพื่อยกระดับความคล่องตัว วงเงิน 593,801.52 ล้านบาท

นอกจากนี้ ยังมีวงเงินแผนงานการส่งเสริมหรือการสนับสนุนการพัฒนาโครงการพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่งของประเทศตามยุทธศาสตร์ดังกล่าวในวงเงิน 9,261.01 ล้านบาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 2 ล้านล้านบาท

โครงการกู้เงิน 2 ล้านล้านบาท นี้ จะเป็นการลงทุนในระยะ 7 ปีต่อเนื่องกัน เฉลี่ยใช้งบประมาณปีละประมาณ 3-4 แสนล้านบาท มีเป้าหมายลดต้นทุนลอจิสติกส์จากประมาณ 15.2% ให้ลงไปอีกอย่างน้อย 2%

ภารกิจของรัฐบาลที่เสนอกฎหมายฉบับนี้ อยู่ที่การพลิกเปลี่ยนประเทศครั้งใหญ่ ด้วยการกู้เงินถึง 2 ล้านล้านบาทเพื่อการปรับปรุงโครงการสร้างการคมนาคมขนส่ง ที่หยุดนิ่งมาตั้งแต่ปี 2549 ติดต่อกันถึง 6 ปี เมื่อต้องการเป็นศูนย์กลางการคมนาคมขน ส่งในภูมิภาคอาเซียนแล้ว แม้ต้องลุยไฟ ลงน้ำ รัฐบาลต้องเดินหน้าผลักดันให้สำเร็จ

รับรองงานนี้ในซีกของรัฐบาลคงสู้ไม่ถอย และพร้อมเผชิญหน้ากับพรรคประชาธิปัตย์ในสภาวาระสอง เพื่อสะท้อนให้ประชาชนเห็นแนวทางและจุดยืนของสองฝ่ายอย่างชัดเจนว่า ใครก้าวหน้า และพวกไหน จมปลักกับความล้าหลัง

รวมความแล้ว ราวๆ ต้นเดือนกันยายน เป็นอย่างช้า การเผชิญหน้าครั้งสำคัญในการพิจารณาร่างกฎหมายกู้เงินวาระสองจะ ต้องเริ่มขึ้น งานนี้ทั้งฝ่ายรัฐบาลและพรรค ประชาธิปัตย์ต้องงัดกลยุทธ์มาห้ำหั่นกันเต็มที่ เพราะต่างฝ่ายต่างไม่ยอมกัน

ยอมไม่ได้แน่ๆ เมื่อร่างกฎหมายฉบับ นี้เป็นเงื่อนไขกำหนดอนาคตการเมืองของทั้งสองพรรคอย่างยิ่ง ถ้ากฎหมายผ่านไปได้ ประชาธิปัตย์คงเหลือช่องทางเกิดทางการเมืองน้อยเต็มทน แต่หากฝ่ายรัฐบาลแพ้แล้ว นั่นหมายถึงการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ครั้งใหญ่มีโอกาสเกิดขึ้นทั้งด้านดีและเลวร้าย...นี่คือเดิมพันครั้งสำคัญ

ที่มา.สยามธุรกิจ
///////////////////////////////////////////////////////

วันเสาร์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2556

จำกัด พลางกูร: ภารกิจเพื่อชาติ เสรีไทยในวันที่ถูกลืม !!??

ศ.ดร. ฉัตรทิพย์ นาถสุภา: เรื่องของเสรีไทยไม่ได้รับการให้ความสำคัญเท่าที่พวกเขาสำคัญอย่างแท้จริง เพราะเรื่องเอกราชของประเทศเป็นเรื่องสำคัญ ถ้าไม่มี ผมว่าเราก็ต้องถูกยึดครองเหมือนประเทศผู้แพ้สงครามทั้งหลาย และอาจถูกแบ่งแยกประเทศ ฝ่ายนั้นจะเอาส่วนนี้ ฝ่ายนี้จะเอาส่วนนั้น อย่างน้อยก็เสียเอกราช

เพราะอาจารย์ปรีดีฯ และคณะของเขาพ่ายแพ้ทางการเมืองหลังจากรัฐประหาร 2490 ซึ่งพรรคพวกของท่านก็ถูกลอบฆ่าบ้าง จนท่านก็ต้องหนีออกนอกประเทศ กลายเป็นว่าเรื่องนี้ไม่พูดกันเท่าไหร่ เพราะถ้าพูดถึงเสรีไทยก็เท่ากับว่ายกย่องฝ่ายอาจารย์ปรีดีฯ

เรื่องกระบวนการเสรีไทยเป็นเรื่องที่คนไทยทุกหมู่เหล่าได้ประสานร่วมแรงร่วมใจกันเป็นกำลังสำคัญของประเทศชาติ เป็นการปรองดองกันของคณะราษฎรกับคณะฝ่ายเจ้าเพื่อเอกราชของประเทศ



ศ.ดร.ฉัตรทิพย์ นาถสุภา

ผมชอบฉากการตกลงของคุณจำกัดฯ กับหม่อมเจ้าศุภสวัสดิ์ฯ นะ เพราะเป็นภาพที่สวยงาม เป็นการร่วมมือของสองฝ่ายระหว่างฝ่ายเจ้า ฝ่ายคณะราษฎรซึ่งมีความหมายที่รวมทั้งคนชั้นกลาง ประชาชนทั่วไป เป็นการเข้าใจกันอย่างดีของทั้งสองด้านโดยยึดหลักเอกราช ประชาธิปไตย และความเจริญของประเทศ และมีการตกลงจริง ตัวแทนจริงของทั้งสองฝ่าย

ฝ่ายหนึ่งคือพระเชษฐาของสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีในรัชกาลที่ 7 หม่อมเจ้าศุภสวัสดิ์วงสนิท สวัสดิวัตน และอีกฝ่ายหนึ่งก็คือคุณจำกัด พลางกูรซึ่งเป็นตัวแทนของคนชั้นกลางในเมือง และประชาชนธรรมดาสามัญในประเทศที่มีนายเตียง ศิริขันธ์เป็นตัวแทนซึ่งเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับคุณจำกัด มันเกิดขึ้นจริงและเราก็แสดงตามที่มันเป็นจริง ภาพนี้มันสวยงามมาก

นายฉันทนา (มาลัย ชูพินิจ) ก็ได้เขียนเรื่องราวนี้ขึ้นด้วย ซึ่งเป็นภาพที่เขาตื้นตันใจ เป็นภาพที่สวยงามมากที่บอกว่า “ในหม่อมเจ้าศุภสวัสดิ์ จำกัดได้พบทั้งมือที่พร้อมสำหรับกางออกต้อนรับ และใจซึ่งพร้อมจะสนับสนุนแผนการและอุดมคติของเขาอย่างเต็มที่ ในเจ้าชายเชื้อพระวงศ์องค์นี้ เขาได้พบคนไทยที่บูชาประชาธิปไตย”


ผมคิดว่ามันเป็นฉากที่เกิดขึ้นจริง และมันก็ไม่ใช่ utopia ที่เป็นไปไม่ได้ เพราะมันเกิดขึ้นแล้ว และถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไปได้ เมืองไทยจะไปได้ดี และผมหวังว่าเมืองไทยจะไปตามฉากนี้

ท่านศุภสวัสดิ์ฯ ยอมรับหลักการของการเปลี่ยนแปลงการปกครองของ 2475 ที่อยากให้ประเทศชาติเป็นประชาธิปไตยโดยมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขที่ทรงอยู่เหนือการเมือง ซึ่งท่านเป็นเจ้าที่ยอมตามคณะราษฎร ซึ่งมันมีอยู่จริงในบันทึกประจำวันของจำกัดนะ (อ่านเพิ่ม..ที่มาที่ไปของละครเวทีเพื่อชาติ เพื่อ humanity)
ปรีดี พนมยงค์

รับบทบาทโดยสุรเดช สุวรรณโมรา ปริญญาตรีวิศวกรรมศาสตร์ สาขาโทรคมนาคม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี ปริญญาโท เศรษฐศาสตร์ สาขาเศรษฐศาสตร์การเมือง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย วิศวกรชำนาญการ บริษัทแอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (AIS)


คุณสุรเดช สุวรรณโมรา รับบทบาทเป็นปรีดี พนมยงค์

Background บทบาทที่ได้รับและความรู้สึกหลังได้รับหน้าที่นี้ การได้รับบทบาทนี้ ผมรู้สึกภาคภูมิใจ เพราะท่านอาจารย์ปรีดีเป็นผู้ที่มีคุณูปการต่อประเทศอย่างมากตั้งแต่ 2475 อภิวัฒน์ เปลี่ยนแปลงการปกครองตั้งแต่สมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นประชาธิปไตย จนก่อกำเนิดรัฐธรรมนูญฉบับแรกของประชาชนขึ้นมา กระทั่งสงครามโลกครั้งที่สองท่านอาจารย์ปรีดี ก็ได้มีบทบาทสำคัญในการเป็นหัวหน้าคณะเสรีไทยในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ญี่ปุ่นประชิดดินแดนของประเทศไทยซึ่งตอนนั้นได้กรีฑาทัพมาไทยเพื่อจะไปยังมลายูของอังกฤษรวมทั้งพม่าเองด้วย

ขณะที่ท่านยังอยู่ในคณะของผู้นำประเทศ ท่านอาจารย์ปรีดีได้ถูกเชิญไปยังต่างประเทศของคณะสัมพันธมิตร ท่านได้เห็นยุทโธปกรณ์ของสัมพันธมิตรว่ามีความพร้อม มีการผลิตเองแบบ mass production

ระหว่างนั้นนั้นก็เกิดความขัดแย้งกับคณะผู้นำประเทศ หรือจอมพล ป. พิบูลสงคราม เพราะจอมพล ป. ยินยอมให้ญี่ปุ่นเดินทางผ่านประเทศไทย แต่ท่านอาจารย์ปรีดีไม่เห็นด้วย ท่านพยายามทำภารกิจอย่างลับๆ เพื่อทำให้สัมพันธมิตรเชื่อว่า เราไม่ได้ร่วมมือกับอักษะหรือญี่ปุ่น ซึ่งท่านอาจารย์ปรีดีโดยพื้นฐานนั้นมีวิสัยทัศน์ มองการณ์ไกล และยึดประโยชน์ของชาติเป็นหลัก การที่ญี่ปุ่นได้ประชิดเข้ามา สร้างความหวาดระแวงให้ประชาชนอย่างมาก

ท่านอาจารย์ปรีดียึดประโยชน์ของชาติเป็นหลัก ท่านก่อตั้งองค์กรต่อต้านญี่ปุ่นขึ้นมา คือองค์การคณะเสรีไทยตามเจตนารมณ์ของท่านคือ หนึ่งเพื่อต่อสู้ญี่ปุ่นเพื่อรุกรานโดยกำลังอาวุธซึ่งเป็นสายภายในประเทศคือชาวบ้านที่เป็นกองกำลังที่แท้จริงของประเทศ สองเพื่อร่วมมือกับสัมพันธมิตรและทำให้เชื่อว่าเรามีกองกำลังที่เป็นจริง

ท่านอาจารย์ปรีดีได้หล่อหลอมคนในประเทศที่มีหลากหลายชนชั้นอาชีพขึ้นมาเป็นกองกำลัง หรือแม้แต่เจ้าหรือหม่อมเจ้าศุภสวัสดิ์ ก็ได้มาสนับสนุนท่านด้วย โดยมีภารกิจเพื่อชาติเป็นหลัก คือทำอย่างไรที่จะเจรจากับสัมพันธมิตรให้ได้ว่าเราไม่ได้เข้าข้างฝ่ายอักษะ

ละครเวทีเรื่องนี้เป็นละครเวทีที่พลิกประวัติศาสตร์ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองขึ้นมา ซึ่งผู้คนอาจจะหลงลืมไปหรือพยายามบิดเบือนและไม่เคยรู้ โดยฉากที่ประทับใจที่สุดคือฉากที่เริ่มก่อกำเนิดเป็นคณะเสรีไทย หรือฉากที่มีคณะราษฎรที่เรามารวมตัวกันเป็นพันธกิจแรก องค์การนี้ประกอบด้วยคนไทยที่รักชาติทุกชนชั้นวรรณะทั้งภายในและต่างประเทศ



ถ้าได้อยู่ในสมัยนั้น ผมคิดว่าทุกอย่างทิ้งไว้ข้างหลัง ขอให้ทำเพื่อชาติที่ยังคงเอกราชและอำนาจอธิปไตยไว้ได้ ละครเรื่องนี้แสดงให้เห็นถึงความเสียสละของคนในชาติที่ไม่ได้มีเพียงกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งแต่เป็นกลุ่มก้อน แม้กระทั่งคุณจำกัดฯ เองก็ทิ้งครอบครัว หน้าที่การงานเพื่อไปปฏิบัติภารกิจนี้ โดยที่เขาไม่รู้หรืออาจจะรู้ด้วยซ้ำว่าอาจจะไม่สามารถรอดชีวิตจากภารกิจครั้งนี้ได้ แต่เขาก็ตั้งใจมุ่งมั่นที่จะทำภารกิจนี้เพื่อเอกราชและอธิปไตย


คำสำคัญที่อาจารย์ปรีดีฯ ได้พูดกับคุณจำกัดคือ “เคราะห์ดีที่สุดอีก 45 วันคงได้เจอกันและเคราะห์ไม่ดีนักก็อีก 2 ปีคงได้เจอกัน แต่เคราะห์ร้ายที่สุดก็ถือเสียว่าสละชีวิตเพื่อชาติไป” เพราะอาจารย์ปรีดีฯ ก็เคยส่งคนไปทำภารกิจนี้ก่อนหน้าแล้วแต่ผู้คนเหล่านั้นก็สูญหายไป เรื่องนี้ให้แง่คิดในลักษณะที่เห็นได้ชัดว่า คนเราต้องมีความเสียสละเพื่อบ้านเมือง ซึ่งสมัยก่อนผมคิดว่ามีแน่ แต่สมัยนี้ที่คิดถึงประเทศชาติและประโยชน์ส่วนรวมนั้นถือว่าหาได้ยากมากในสมัยนี้

แรงบันดาลใจจากการได้เล่นละครเวทีเรื่องนี้ ส่วนหนึ่งผมมีกลิ่นอายหรือสายเลือดของเสรีไทย เนื่องจากคุณตาทวดของผมก็เป็นเสรีไทยในสายคุณเตียง ศิริขันธ์ เป็น 1 ใน 18 คนที่ถูกยัดเยียดให้เป็นกบฏแบ่งแยกดินแดนในสมัยนั้น ที่ทางการต้องการจับตัว เพราะคุณตาทวดผมก็เป็นกองกำลังที่เป็นจริงของคณะเสรีไทย ซึ่งเป็นหนึ่งในขุนพลภูพานนั่นเอง สมัยนั้นทุกคนก็ทำภารกิจละทิ้งครอบครัวและหน้าที่การงานไว้ เพราะทำอะไรก็เพื่อชาติให้ได้เอกราชกลับมา

ช่วงนั้นคงมีทุกอารมณ์ทั้งความหวาดกลัว หวาดระแวงว่า เราจะยังมีชาติอยู่ไหม เราจะเป็นทาสของนานาประเทศที่เข้ามาล่าอาณานิคม ซึ่งทุกคนถ้ากลัวตายคงไม่ทำภารกิจนั้น เสียสละชีวิตแม้กระทั่งความตายได้ เพื่อปฏิบัติภารกิจ และเป็นแรงบันดาลใจสำคัญที่อยากเล่นบทบาทนี้เพื่อให้ลูกหลานของท่าน แม้กระทั่งคนที่ศรัทธาท่านได้เห็นว่าท่านปรีดีมีความสำคัญ มีคุณูปการต่อประเทศอย่างไร

ท่านคิดอ่านวิเคราะห์ท่านสังเกตและมองการณ์ไกลอย่างไร คิดเผื่อสำหรับประเทศไว้แบบใด คิดแล้วลงมือทำก็ประสบความสำเร็จได้

ละครเรื่องนี้จรรโลงใจว่า การเสียสละเป็นสิ่งที่สำคัญ ทำให้เกิดความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน หนักนิดเบาหน่อยอภัยให้กัน เอาประโยชน์ของชาติเป็นหลัก เหตุการณ์ที่ผ่านมาทิ้งบทเรียนที่นำไปปรับใช้กับปัจจุบันได้

ดูละครให้ย้อนดูตัว ว่าเราเสียสละเพื่อส่วนรวม เพื่อบ้านเมือง เพื่อชาติได้หรือยัง?
จำกัด พลางกูร

รับบทบาทโดยเสมอไหน เพ็งจันทร์ ปริญญาตรีคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กำลังศึกษาปริญญาโท เศรษฐศาสตร์ สาขาเศรษฐศาสตร์การเมือง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นักวิจัยของ Sasin Institute for Global Affairs (SIGA) ภายใต้สถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจศศินทร์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

การได้รับบทบาทนี้ เริ่มจากเขาเปิดให้แคส ซึ่งเดิมเลยก็ไม่ค่อยรู้จักข้อมูลของคุณจำกัดนัก รู้จักแต่เพียงเรื่องของอาจารย์ปรีดีและหม่อมเจ้าศุภสวัสดิ์ฯ บ้าง จากนั้นได้อ่านหนังสือเพื่อชาติเพื่อ humanity ก็รู้สึกว่าตัวละครตัวนี้มีความสำคัญจังเลยต่อประวัติศาสตร์ก็เลยสนใจ แคสอยู่นานมาก และสุดท้ายอาจารย์ก็บอกว่าไม่ได้ คือคุณเรืองศักดิ์ ลอยชูศักดิ์มารับบทบาทคุณจำกัดฯ


คุณเสมอไหน เพ็งจันทร์รับบทบาทเป็น จำกัด พลางกูร

จากนั้น อาจารย์ถามว่าคุณยังจะเล่นบทอื่นอยู่หรือเปล่า ก็เลยตอบไปว่า ถ้าไม่ใช่บทคุณจำกัดฯ ก็ไม่เล่น แต่ให้ช่วยอะไรก็ช่วย จึงได้รับบทเป็นครูเตียง แต่ด้วยเงื่อนเวลาของเจมส์ฯ ไม่ได้ จนสุดท้ายอาจารย์ ผู้กำกับ และผู้ช่วยผู้กำกับเรียกไปคุยกันบอกว่าพวกเรามีมติให้คุณรับบทคุณจำกัด ซึ่งเดิมก็คิดว่าไม่ได้เล่นแม้จะคาดหวังลึกๆ อยู่บ้าง

พอได้รับเล่นบทคุณจำกัดแล้ว ความกดดันมันยิ่งทำให้รู้สึกว่าเป็นบทที่ยากมาก เพราะคุณจำกัดฯ ที่เรารับบทคือคนทั่วไปที่มีอารมณ์โกรธหรือฉุนเฉียว ไม่ได้ถูกประกอบสร้างให้เขาต้องเป็นวีรบุรุษ หรือฮีโร่ที่สมบูรณ์แบบมากๆ แต่พอได้สัมผัสและได้อ่านบันทึกประจำวันของเขา จึงเรียนรู้ว่าคนนี้ไม่เหมือนกับคนทั่วไปตรงที่มีความรักชาติอยู่มาก


สิ่งที่สะกดเขาไว้ว่า เพื่อชาติเขาต้องไปต่อ แต่ถามว่ามีวอกแวกหรือคิดถึงภรรยาไหม ก็มีบ้าง แต่คำว่าเพื่อชาติคำเดียวที่อาจารย์ปรีดีฯ ฝากไว้ ทำให้เขาสู้ต่อไป

เขามีความรู้สึกที่หลากหลาย เป็นพระเอกก็จริง แต่เขามีอารมณ์มีความกังวล ร้อนใจ จากบันทึกประจำวันของเขาแต่ละถ้อยคำที่เขาพูดมีหลากหลายอารมณ์มากๆ แค่คำเดียวว่าเพื่อชาติเท่านั้นเอง สิ่งที่ประทับใจเขา คือ เรากำลังถ่ายทอดบทบาทของวีรบุรุษที่มีตัวตนเป็นคนจริงๆ มีเรื่องราวที่เป็นคน ไม่ใช่เทพ ไม่ใช่อยู่ดีๆ ก็เก่งเลย ดีใจที่ได้มีโอกาสสัมผัสเขา

รู้สึกอย่างไรกับละครเวทีเรื่องนี้ ผมคิดว่าเป็นละครที่คนรุ่นหลังควรที่จะได้ดู ได้รับรู้เรื่องราวของคุณจำกัดฯ นอกจากการชื่นชมสิ่งที่เขาได้เสียสละแล้ว ยังเป็นการช่วยเตือนสติคนรุ่นหลังว่า ไม่ว่าเราจะทำอะไรก็ตาม เราก็ต้องคิดถึงส่วนรวมด้วย ไม่ใช่คิดถึงแต่ตนเองอย่างเดียว เปรียบเทียบกับคุณจำกัดที่เป็นนักเรียนนอก เขามีหน้าที่การงานที่ดีสามารถจะเจริญรุ่งโรจน์ต่อไปได้ แต่เขาก็ยอมทิ้งทุกอย่าง ซึ่งปัจจุบันนี้อาจจะไม่จำเป็นต้องทำขนาดนั้น แต่คิดอะไรเพื่อส่วนรวมบ้างก็ดี

อย่างละครเวทีจากที่เราไม่เคยรู้จักกันเลย สุดท้ายทุกอย่างค่อยๆ หล่อหลอมและมีจุดมุ่งหมายที่เรามุ่งมั่นในการทำละครเวทีเรื่องนี้มากๆ ทั้งเพื่ออาจารย์ฉัตรทิพย์ อาจารย์ปรีชา และได้เชิดชูเกียรติของคุณจำกัดด้วย และยังได้พิสูจน์พวกเรากันเองที่จะก้าวผ่านความขัดแย้งไม่ลงรอยกันโดยที่มีเป้าหมายเดียวกัน

ละครเรื่องนี้สมกับชื่อจริงๆ เป็นการเสียสละคนละแบบที่แต่ละคนอยากจะถ่ายทอดเรื่องราวด้วยการสละ

บางอย่างทั้งเวลาทั้งเงินที่ตัวเองเคยมี อาจารย์ฉัตรทิพย์บอกพวกเราทุกคนเสมอว่าเราไม่มีค่าตัวให้นะ มีอาหารการกินให้ แต่ว่าเพราะรักจึงสมัครใจเล่น ซึ่งเป็นคำที่บอกตัวเองอยู่เสมอเวลาที่เราท้อ

กว่าจะเป็นละครเวทีเรื่องนี้ได้ เมื่อย้อนเวลากลับไปดู จริงๆ มันเป็นเรื่องยากนะเพราะพวกเรามือใหม่หมดเลย ซึ่งมีไม่กี่คนที่มีประสบการณ์ และมีความบังเอิญหลายอย่างเช่น มีผู้ประกาศข่าว มีนักแสดง มีนักเปียโน เพื่อนพ้องมาร่วมกันช่วยจนเป็นละครเรื่องนี้ขึ้นมาได้

คุณูปการของเรื่องนี้ก็คงเข้าใจอยู่แล้ว ซึ่งมันก็ไม่ได้โรยด้วยกลีบดอกไม้ แม้จะมีความขัดแย้งอยู่บ้างแต่เราก็มีเป้าหมายเดียวกัน


chamkad balangkura, จำกัด พลางกูร

ฉากที่ประทับใจที่สุด ฉากลาอาจารย์ปรีดีฯ เป็นฉากที่พูดน้อยมาก คือเหมือนเราให้ไปหมดแล้วและคุณสุรเดช สุวรรณโมราที่รับบทบาทเป็นอาจารย์ปรีดีส่งให้เรารู้สึกว่าเราเป็นคุณจำกัดที่สละให้ได้ทุกอย่างเบื้องหลังและไปข้างหน้า เป็นจุดเริ่มแรกที่เดินไปภารกิจ รู้สึกน้ำตาคลอทุกครั้งที่เล่นฉากนี้

ผมได้อ่านบันทึกประจำวันของคุณจำกัดซึ่งก็ได้เขียนว่า ตอนที่อาจารย์ปรีดีพูดกับเขา เขาน้ำตาคลอ จึงรู้สึกร่วมไปด้วย คือให้สละชีพเพื่อชาติไป และคำนี้เป็นคำที่ประทับใจและตราตรึงใจตลอดเวลาที่ปฏิบัติภารกิจ คือเป็นคำที่ตราตรึงในใจคุณจำกัดไว้และยึดเหนี่ยวเขาไว้อย่างเหนียวแน่น และฉากที่ลาคุณฉลบชลัยย์ซึ่งเป็นความรู้สึกต่อสู้กันระหว่างการรักภรรยากับการรักชาติ ซึ่งได้อ่านบันทึกของเขา มันให้ความรู้สึกว่าจังหวะนี้มันโหวงไปหมด รักภรรยา เป็นห่วง แต่ชาติก็ต้องทำเพราะรับปากอาจารย์ปรีดีฯ ไว้แล้ว ซึ่งเขาก็เขียนไว้ว่า จนสุดท้ายก็เลือกรักชาติ

เมื่อเรื่องราวเหล่านี้ได้เผยแพร่ออกไปแล้ว อยากฝากให้สังคมได้หันกลับมามองกรณีของคุณจำกัดว่าเป็นกรณีศึกษา ที่ในประวัติศาสตร์ของเรา ยังมีอีกหลายคนที่อยู่เบื้องหลัง อยากให้ตั้งคำถามกับสิ่งต่างๆ เหล่านี้ อยากให้เห็นถึงส่วนรวมมากขึ้น อยากให้มองว่าเราทำอะไรกับสังคมได้บ้างต่อประเทศชาติได้บ้าง


แรงบันดาลใจจากละครเวทีเรื่องนี้ ในชีวิตจริง ผมกำลังจะไปเกณฑ์ทหารซึ่งผ่อนผันมาหลายปีแล้วจนไม่สามารถผ่อนผันได้ ญาติ หรือครอบครัวก็อยากให้เราเรียนให้จบก่อน ซึ่งเราก็ลังเล เพราะที่บ้านก็ห่วงว่าจะถูกส่งตัวไปสามจังหวัดชายแดนใต้

เราลังเลอยู่มาก ซึ่งมันก็จะมีเรื่องการติดสินบนที่มันต่อสู้กับหลักการของเราอยู่ เพราะเราทำเพื่อสังคมมาเยอะ จนต่อมาได้รับบทนี้แล้ว รู้สึกว่าทำอย่างนั้นไม่ได้ ไม่ได้เลย ไม่ลังเลเลยที่จะตัดสินใจว่าต้องไปเกณฑ์ทหาร เพราะเป็นหน้าที่ของเราที่ต้องรับใช้ชาติ เพราะเราไม่ได้เรียน ร.ด. และการรับบทคุณจำกัด ฯ ทำให้ผมรู้สึกว่า..มันคงประหลาดน่าดูนะ หากเราเลือกที่จะใช้วิธีลัดด้วยการติดสินบนและมันจะขัดแย้งในตัวเราตลอดเวลา จึงทำให้เราตัดสินใจเช่นนี้ นี่คือแรงบันดาลใจ
พันโทหม่อมเจ้าศุภสวัสดิ์วงศ์สนิท สวัสดิวัตน์

รับบทบาทโดยคุณจาตุรนต์ อำไพ ปริญญาตรีวิศวกรรมศาสตร์ และปริญญาโทเศรษฐศาสตร์ สาขาเศรษฐศาสตร์การเมือง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

สาเหตุที่มาเล่นละครเรื่องนี้ ยอมรับว่าครั้งแรกก็พอทราบเรื่องคุณจำกัดฯ และเรื่องราวของเสรีไทยอยู่บ้าง เนื่องจากอาจารย์ฉัตรทิพย์ฯ ก็เคยเกริ่นให้ฟัง พอทราบบ้างว่ามีความสำคัญ แต่ที่ตัดสินใจรับเล่นก็เพื่ออาจารย์ด้วยและเป็นประสบการณ์แปลกใหม่ และเป็นการทำงานให้เศรษฐศาสตร์การเมือง จึงรับเล่น ตอนเล่นก็สนุกดี ได้รู้จักเพื่อนใหม่ทำให้สนิทแนบแน่นกันมากขึ้น


คุณจาตุรนต์ อำไพ รับบทบาทเป็นหม่อมเจ้าศุภสวัสดิ์วงศ์สนิท สวัสดิวัตน

แต่พอเล่นเป็น หม่อมเจ้าศุภสวัสดิ์ก็พอรู้อยู่บ้างว่าตัวละครนี้มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์พอสมควร ยิ่งได้ศึกษาลงลึกจริงๆ แล้ว จึงรู้สึกว่าเขาเป็นคนที่ปิดทองหลังพระ เป็นพระเชษฐาของสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีในรัชกาลที่ 7 ซึ่งอยู่ฝ่ายเจ้า พอปี 2475 ถูกโค่นล้มอำนาจ อย่างที่รู้กันว่า รัชกาลที่ 7 พยายามสนับสนุนลับๆ ในพวกกบฏบวรเดช ซึ่งเมื่อเกิดขบวนการบวรเดช ฝ่ายคณะราษฎรก็พยายามปราบปรามขบวนการบวรเดช

หม่อมเจ้าศุภสวัสดิ์ ก็เป็นคนที่ปล้นรถไฟเพื่อฝ่ายเจ้าทั้งหลายให้หนีลงสงขลา สถานะของเขาหลังจากกบฏบวรเดชสำคัญมาก เพราะเขาเป็นนักโทษลี้ภัยทางการเมืองไปอยู่อังกฤษ คือจุดเริ่มต้นมีความขัดแย้งกับคณะราษฎรอย่างเต็มที่ เป็นนักโทษลี้ภัยทางการเมือง แต่ว่าพอเกิดสงครามโลกครั้งที่สอง รัชกาลที่ 7 สละราชสมบัติแล้ว จากนั้นก็เสด็จสวรรคตในปี 2484 และรัชกาลที่ 8 ก็เสด็จขึ้นทรงราชย์

ส่วนหม่อมเจ้าศุภสวัสดิ์ฯ ขณะที่อยู่อังกฤษ เมื่อญี่ปุ่นบุกไทย ทางฝั่งอเมริกาโดย หม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมช ก็ตั้งเสรีไทยในอเมริกา อาจารย์ปรีดีฯ พยายามตั้งภายในประเทศแต่ไม่มีใครรู้ ส่วนอังกฤษรู้ว่าเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น หม่อมเจ้าศุภสวัสดิ์ฯ ถือเป็นคนแรกในอังกฤษที่ไม่ยอมรับที่จะเข้ากับญี่ปุ่น โดยเขียนจดหมายไปหาเชอร์ชิล บอกว่าขอร่วมสู้ด้วย และพยายามติดต่อกับ ม.ร.ว. เสนีย์ว่า ขอเข้าร่วมขบวนการเสรีไทยด้วย

ดังนั้น โดยความสำคัญคือ เขาแทบจะเป็นเสรีไทยสายอังกฤษคนแรกๆ เลย ที่ได้ติดต่อกับทางอังกฤษ และทางนั้นเห็นว่าเขาเป็นคนไทยและเป็นเจ้ามาก่อน อังกฤษจึงค่อนข้างจะตอบรับพอสมควร โดยอังกฤษเองก็ให้บทบาทที่สำคัญกับหม่อมเจ้าศุภสวัสดิ์คืออยู่ในกองทหารที่มีหน้าที่แบบอยู่ในคณะเสนาธิการวางแผนการรบ เพราะว่าเป็นคนไทย มีเป้าหมายหลักคือให้ทำแผนที่ทหาร

ความสำคัญของหม่อมเจ้าศุภสวัสดิ์คือค่อนข้างใกล้ชิดกับรัฐบาลอังกฤษ กระทรวงต่างประเทศและกระทรวงกลาโหมอังกฤษ ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อเสรีไทยตรงที่หม่อมเจ้าศุภสวัสดิ์ ดำเนินยุทธวิธีทุกอย่างที่เป็นตัวกลางคอยเจรจากับทางฝ่ายอังกฤษให้มีท่าทีต่อไทยที่อ่อนลง หลังทราบข่าวจำกัด หม่อมเจ้าศุภสวัสดิ์พยายามติดต่อกับจำกัดและนำข่าวจากจำกัดว่ามีเสรีไทยในประเทศไปคุยกับเสรีไทยในอังกฤษให้อังกฤษโอนอ่อนลง รับรองปรีดี



ฉากที่หม่อมเจ้าศุภสวัสดิ์วงศ์สนิท สวัสดิวัตน (จาตุรนต์ อำไพ) พบปะกับ จำกัด พลางกูร (เสมอไหน เพ็งจันทร์) เพื่อหารือกัน

เขาพยายามจะเชื่อมเสรีไทยสายต่างๆ แต่ทางสายอเมริกันค่อนข้างจะไม่ให้ความสนใจเขานัก รวมทั้งคนไทยในอังกฤษที่ร่วมขบวนการด้วยค่อนข้างที่จะไม่ค่อยเชื่อใจหม่อมเจ้าศุภสวัสดิ์ คือกลัวว่าจะรื้อฟื้นระบอบเจ้าขึ้นมาใหม่ ซึ่งเขาก็ยืนยันชัดเจนว่าเขาไม่ต้องการฟื้นขึ้นมา ต้องการจะกู้ชาติอย่างเดียว (ตามที่ในบทละครเขียน)

จนแม้กระทั่งว่าหลังจากจำกัดมรณกรรมไปแล้ว หม่อมเจ้าศุภสวัสดิ์ยังวางแผนการรบกับอังกฤษและได้เข้ามาในไทยโดยที่หม่อมเจ้าศุภสวัสดิ์ ยินยอมรับให้อาจารย์ปรีดีเป็นหัวหน้าขบวนการอย่างเต็มที่

โดยยินยอมที่จะเขียนจดหมายปฏิญาณตน เพื่อแสดงเจตจำนงว่าทำเช่นนี้เพื่อชาติโดยไม่หวังผลตอบแทน ไม่หวังฟื้นระบอบเจ้า เป็นลายลักษณ์อักษรไว้ โดยยินดีให้ความช่วยเหลือทุกอย่าง แม้ใครไม่ให้ความร่วมมือเขาก็ยินดีที่จะช่วยเพื่อทำทุกวิถีทางที่ขบวนการจะขับเคลื่อนไปต่อได้

เมื่อรู้ข่าวก็พยายามส่งไปยังสายในอเมริกาแม้ว่าสายอเมริกาไม่ตอบอะไรกลับก็ได้ประโยชน์จากข้อมูลข่าวสารต่างๆ เขาเป็นตัวกลางระหว่างเสรีไทยกันเอง เป็นตัวกลางระหว่างไทยกับอังกฤษ ซึ่งเขาพยายาม low profile ว่าใครไม่ให้การต้อนรับก็ไม่เป็นไร แต่ขอให้ได้ทำประโยชน์เพื่อประเทศชาติเดินหน้าทำต่อไปโดยไม่เรียกร้องว่าต้องการอะไรบ้าง

ตอนที่เขาเข้ามาเมืองไทยและร่วมกันวางแผน เขาบอกกับปรีดีว่าเสรีไทยต้องไม่ได้รับการปูนบำเหน็จหรือสิทธิพิเศษอันใดนะ เพราะทุกคนทำเพื่อชาติ และเขาบอกกับปรีดีว่า สิ่งที่เขาขอมีเพียงสองเรื่องในบันทึกว่า ขอให้ปล่อยนักโทษการเมือง (แม้จะเป็นฝั่งเขา แต่ก็เป็นความสมานฉันท์ในชาติ) และขอให้บ้านเมืองมีประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ ซึ่งอาจารย์ได้กล่าวไว้ว่า มี fair plays in politics ด้วย ให้เล่นการเมืองอย่างขาวสะอาดไม่ใส่ร้ายป้ายสีกัน

แม้ว่าคุณูปการเขาจะมากมายแต่สิ่งที่เขาขอกลับไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเขาโดยส่วนตัวเลย ทำเพื่อประเทศชาติทั้งนั้น โดยไม่มุ่งหวังให้ใครเชิดชูเกียรติ

เมื่อมาศึกษา จึงรู้สึกว่าเขาเป็นตัวอย่างที่ดีในเรื่องของคนทำประโยชน์ให้ประเทศชาติไม่จำเป็นต้องหวังผลตอบแทน ต่อให้ถูกใครไม่ให้ความร่วมมือ ค่อนขอด ไม่ไว้วางใจ แต่เป้าหมายก็ยังเดินหน้าจะทำเพื่อชาติ จุดประสงค์หลักคือทำเพื่อชาติเท่านั้น คนรุ่นหลังน่าจะเอาอย่างและถึงแม้ว่าเขาจะเป็นฝ่ายเจ้าด้วยแต่เขาก็ยินยอมให้ปรีดีเป็นผู้นำ

เขาเป็นคนหยิบยกประเด็นนี้ต่ออังกฤษ โดยที่อังกฤษก็ถามเลยว่ามีเสรีไทยในประเทศจริงหรือเปล่า และถ้ามีน่าจะเป็นใคร เขาตอบว่ามีเมื่อเขาสืบค้นดูจึงรู้ว่าเป็นปรีดี เขาก็พยายามบอกอังกฤษว่าให้ช่วยสนับสนุนด้วยให้ปรีดีออกมาตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นให้ได้นะ เพราะหากทางอังกฤษไม่สนับสนุนแล้ว ปรีดีกับจำกัดจัดตั้งคณะรัฐบาลที่จีนอาจจะทำให้อังกฤษถูกละทิ้งความสนใจได้ เขาพยายามอย่างต่อเนื่องจนอังกฤษเห็นด้วย เพียงแต่บางปฏิบัติการมันยังไม่สำเร็จเพราะสงครามมันก็จบก่อน



คณะราษฎร เพื่อชาติ เพื่อ humanity [**นับจากซ้าย] หม่อมหลวงกรี เดชาติวงศ์ (อรรถวิท เจริญเวียงเวชกิจ) หลวงบรรณากรโกวิท (ร้อยเอกศิวพงศ์ กุศลภุชฌงค์) วิจิตร ลุลิตานนท์ (สุรพร ถาวรพานิช) ปรีดี พนมยงค์ (สุรเดช สุวรรณโมรา) ถวิล อุดล (พลจิรันต์ สิริพรพัฒนชัย) สงวน ตุลารักษ์ (อติชาติ วงศ์วุฒิวัฒน์)

บันทึกของ หม่อมเจ้าศุภสวัสดิ์ จัดทำหลังจากเขามรณกรรมแล้ว คนรู้เรื่องราวของเขาน้อยมาก แม้แต่ลูกหลานเขาเองก็ไม่เคยรู้มาก่อน จนอีก 33 ปีจะครบ 100 ปีการมรณกรรมถึงเพิ่งมาเห็นบันทึกและเพิ่งทราบกันว่าพ่อเขามีความสำคัญ และเป็นคนที่ถูกลืมจริงๆ แม้จำกัดฯ จะเหมือนกับว่าถูกลืมแล้วแต่ อาจารย์ฉัตรทิพย์ฯ ก็ฟื้นจำกัดขึ้นมาแล้ว

แต่หม่อมเจ้าศุภสวัสดิ์ฯ ยังเป็นคนที่ถูกลืมอยู่ แต่ผมเชื่อว่าโดย nature ของเขา ทำให้เชื่อได้ว่าเขาก็ไม่สนใจอยากจะให้ใครรับรู้ว่าเขาทำอะไร เพราะจุดมุ่งหมายเขานั้นชัดเจนที่ว่าเขาทำเพื่อชาติ ไม่ได้คาดหวังอะไร เขาค่อนข้างใจนักเลง แม้เคยขัดแย้งกับปรีดีแต่เห็นปรีดีทำเพื่อบ้านเมืองเขาก็สนับสนุนปรีดีเต็มที่

เขามีจุดยืนชัดเจน แต่ทิ้งความขัดแย้งส่วนตนเพราะเห็นว่าปรีดีทำเพื่อชาติจริงๆ จึงสนับสนุน

หากถามว่าชอบฉากไหน ก็บอกได้ว่าชอบหลายฉาก แต่ฉากที่ตัวเองเล่น ไม่ได้ชอบในความสนุกของฉาก แต่ชอบในตัวบทของฉาก ซึ่งทุกคำพูดนั้น ผู้แต่งคืออาจารย์ฉัตรทิพย์ นาถสุภา และคุณอัจฉรา ทองรอด วติวุฒิพงศ์ร่วมเขียนด้วย ในตัวบทได้ใส่ความเป็นตัวตนของ หม่อมเจ้าศุภสวัสดิ์ฯ ลงไปแล้ว ใส่ความสำคัญทุกอย่าง แต่บทเพียงเท่านั้นไม่สามารถเห็นถึงความสำคัญของเขาได้มาก

แต่ถ้ารู้เรื่องราวแล้ว นั่นคือหัวใจของศุภสวัสดิ์และเป็นเช่นนั้นจริง ซึ่งแม้ตอนอ่านบทครั้งแรกไม่คิดว่าจะสะท้อนตัวตนเขาขนาดนี้ ทุก wording มีความหมายทุกอัน เป็น key message ทุกบทที่พูด แม้แต่กระทั่งคำถามที่ว่า “นักโทษการเมืองเล่าจะว่าอย่างไร?” และการทำให้เป็นประชาธิปไตยคือสองสิ่งที่เขาขอ เลยรู้สึกว่าชอบบทนี้และจะพยายามถ่ายทอดออกมาให้ดี

โดยรวม ละครเวทีเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ดี การได้รื้อฟื้นประวัติศาสตร์ก็ดีอยู่แล้วซึ่งมีหลายเหตุผลที่ถูกทำให้เลือนหายไป สิ่งที่อาจารย์ทำก็ค่อนข้างยิ่งใหญ่ แต่ที่น่าเสียดายก็คือยังไม่ถึงเผยแพร่ในจุดวงกว้างได้มากเท่าที่ควร ด้วยขีดจำกัดหลายๆ อย่างของการทำละครของเรา

น่าเสียดายในความรู้สึกของเรา ใจของเราอยากให้มีการเพิ่มรอบละครเวที แต่ไม่ได้อยากให้เพิ่มรอบเพราะอยากให้คนมาดูว่าเราเล่นละครอย่างไร แต่สิ่งที่อยากให้เพิ่มรอบคืออยากให้เป็นกระแส อยากให้สังคมไทยได้รับรู้เรื่องนี้จริงๆ

แรงบันดาลใจที่ได้เล่นละครเรื่องนี้ คือได้ข้อคิดที่ว่า ในการเป็นเสรีไทยคือการต้องมาเป็นยินยอมพร้อมใจทำตามปรีดี การที่เขาเป็นเจ้าและต้องมาเป็นลูกน้องคนที่เคยเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบประชาธิปไตย และแม้ว่าในขบวนการไม่ค่อยให้ความร่วมมือและค่อนข้างระแวงเขา เขาก็ยังมุ่งหน้าทำงานต่อไป

ข้อคิดของละครเวทีเรื่องนี้ที่ผมมองคือ ถ้าอะไรที่ทำเพื่อชาติจริงๆ ก็ทำโดยไม่ต้องหวังอะไรก็ได้ 100 ปีที่ผ่านมา วันหนึ่งสุดท้ายก็ยังมีคนที่เห็น อย่างผมอาจจะเห็นไม่เยอะ แต่ก็เห็นบ้างว่ามีความสำคัญจริงๆ ถ้าทำอะไรเพื่อส่วนรวมและมีโอกาสทำได้ ก็เท่ห์ดีนะ เพราะเป็นการทำที่ไม่ต้องทำให้คนอื่นเห็นก็ได้ ถ้าของเราดีจริง ทองแท้วันหนึ่งก็ต้องมีคนเห็น

ทำเพื่อประเทศชาติก็คือทำอะไรได้ก็ทำไป ลบล้างตัวตนเอาผลประโยชน์ของประเทศชาติเป็นใหญ่ ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้ต่อไปนี้ก็จะพยายามดำเนินทิศทางไปแบบนี้ ถ้าทำได้ ถ้ามีโอกาส


ทำอะไรเพื่อประเทศชาติก็ทำไปเถอะ อย่ามัวแต่มานั่งตีกันเลย ยึดสิ่งที่เป็นประโยชน์ของชาติ ไม่ต้องตีกัน คนเขาเคยเกลียดกันขนาดนั้นก็ยังจับมือกันได้ คือคนในยุคก่อน เขาเล่นการเมืองแค่ไหนก็ตาม แต่สุดท้ายเขาไม่ได้ทำให้บ้านเมืองพินาศ ถึงจุดหนึ่งที่ต้องทำเพื่อประเทศชาติบ้านเมืองก็ทิ้งทุกอย่างได้เพื่อร่วมมือกันและทำให้บ้านเมืองไปรอด

แต่สังคมไทยตอนนี้อาจไม่เป็นอย่างนั้น ต่างคนต่างมีตัวตน ประเทศชาติเป็นอย่างไรก็ไม่สนใจ ฉันถูกก็ไม่คิดจะยอมใคร มันก็ไปต่อไม่ได้ ชอบบทนี้เพราะสะท้อนตัวเขาแต่ค่อนข้างร่วมสมัยกับเหตุการณ์ปัจจุบันและเป็นตัวอย่างให้เห็นได้ชัดเจนว่าต้องลดอัตตาตัวเองลงและคิดถึงบ้านเมือง ไม่งั้นก็ไปต่อไม่ได้

เขาบอกว่าการเมืองไทยมันจะพล็อตเรื่องเดิมแค่เปลี่ยนตัวแสดง มันก็คล้ายๆ กัน แต่สมัยนั้นอยู่ในภาวะสงคราม ก็อาจจะมีมูลเหตุให้รวมกันได้กว่าตอนนี้ แต่ถ้ายึดตรงนั้นเป็นที่ตั้งกับเหตุการณ์ตอนนี้ว่าบ้านเมืองจะแตกแยกเพราะสงครามภายใน และถ้าจะหันหน้าเข้ามาร่วมกันได้จริงๆ ทิ้งตัวตนมันก็น่าจะดี โดยที่ไม่ต้องมาหวังว่าร่วมกันแล้วฉันจะต้องเป็นใหญ่หรือมีชื่อเสียงอะไร คือทำไปเถอะ

สิ่งหนึ่งที่พยายามเล่นให้เขา แน่อนอนการทำให้คนตายฟื้นคืนมาก็เป็นไปไม่ได้ ต่อให้ทำดีอย่างไรก็อาจจะไม่รับรู้ คือคนอาจจะรับรู้เขาเป็นวีรบุรุษในระดับหนึ่ง แต่อีกด้านหนึ่งคือ การกู้ศักดิ์ศรีให้วงศ์ตระกูลเขาด้วย หลังจากปรีดีฯ ไป และเขาก็ค่อยๆ เลือนหายไปตามปรีดีฯ เช่นกัน

ชื่อของ หม่อมเจ้าศุภสวัสดิ์ก็ไม่ค่อยจะมีคนรู้จัก ลูกหลานเองก็เสียใจที่ไม่รู้ประวัติศาสตร์พ่อเขา คือเพิ่งจะมาสืบค้นข้อมูลกัน คือคิดว่าหากทำให้เรื่องนี้เป็นเรื่องที่น่าสนใจได้ ก็เป็นการกอบกู้เกียรติยศให้หม่อมเจ้าศุภสวัสดิ์และลูกหลานสายตระกูลเขา พ่อเขา ทำเพื่อประเทศชาตินะ ก็อยากให้คนที่อยู่ข้างหลังยังมีที่ยืนอยู่ในสังคมอยู่บ้างครับ
เตียง ศิริขันธ์

รับบทบาทโดยธีรพงศ์ ไชยมังคละ และหน้าที่วิจัยค้นคว้า ปริญญาโท เศรษฐศาสตร์ สาขาเศรษฐศาสตร์การเมือง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อาจารย์ประจำคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาราชภัฏจันทรเกษม

ผมเป็นนักวิจัยที่ช่วยดูสถานการณ์โดยรวม ทั้งลำดับเวลา อุปกรณ์ต่างๆ ว่าในช่วงเวลานั้นเป็นไปได้หรือไม่ เรามีข้อถกเถียงกันเยอะในการตีความบางอย่าง เช่น ชุดเสื้อผ้า โคมไฟ ไมโครโฟนว่าทำไมต้องของ SONY เพราะไม่ได้ค้าขายกับอเมริกา แต่ก็มีข้อจำกัดในด้านงบประมาณ และยุคสมัยที่เปลี่ยนไปอีกทั้งข้อมูลสืบค้นค่อนข้างยาก



คุณธีรพงศ์ ไชยมังคละ รับบทบาทเป็น เตียง ศิริขันธ์

ครูเตียงเป็นเพื่อนสนิทคุณจำกัด ซึ่งได้คาแรกเตอร์มาจากพ่อของคุณเตียงฯ ที่เป็นพ่อค้า ครูเตียงมาเรียนที่กรุงเทพฯ และกลับมาเป็นครู ซึ่งถูกข้อหาคอมมิวนิสต์ จากนั้นก็มาสมัครเป็น สส. ซึ่งมีอิทธิพลมากในภาคอีสาน หลังจากอาจารย์ปรีดีโดนข้อหาให้ออกนอกประเทศ เขาสามารถทำให้รัฐบาลกลางบอกว่าเป็นกบฏแบ่งแย่งดินแดนได้เลย

บทบาทที่ได้รับนี้ ผมรู้สึกเป็นเกียรติเพราะเดิมสนใจเป็นเพียงนักวิจัยช่วยอาจารย์ฉัตรทิพย์ ผมรู้จักจำกัดก่อนทุกคนในทีมว่าเขาทำอะไร ตกลงใจทำงานวิจัยเพราะภาพของคณะราษฎรเป็นภาพของกลุ่มที่เหยียบเรือสองแคม พอทีแรกเข้าข้างญี่ปุ่น พอญี่ปุ่นจะแพ้ก็เปลี่ยนข้าง ซึ่งตามจริงคิดว่าสิ่งนี้เป็นการ discredit ของคณะราษฎรด้วยตัวมันเอง ทำให้อำนาจอย่างหลังฟื้นขึ้นมาได้

ต่อจากนั้น ผมค้นพบว่ามันมีกลไกและรายละเอียดที่น่าจะบอกได้ว่าไม่ใช่การเหยียบเรือสองแคม และเรื่องราวของคุณจำกัดฯ ทำให้น่าสนใจศึกษาเลยเข้ามาทำในส่วนของวิจัย

เดิมเราเลือกคุณเจมส์ เรืองศักดิ์ ลอยชูศักดิ์ (ศิษย์เก่าสาขาเศรษฐศาสตร์การเมือง คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย) เป็นคุณจำกัด พลางกูร ซึ่งเดิมรับปากไว้ ขณะที่คุณเสมอไหน เพ็งจันทร์ซึ่งรับบทเป็นคุณจำกัดในปัจจุบันในขณะนั้นแจ้งไว้ว่าถ้าไม่ได้รับบทบาทเป็นคุณจำกัดก็จะไม่รับบทบาทใดๆ เลย

จนกระทั่งคุณเจมส์ฯ ไม่สะดวกอย่างชัดเจน สุดท้ายบทคุณจำกัดจึงมาลงตัวที่คุณเสมอไหน ส่วนบทคุณเตียงว่าง ผมก็เลยได้รับบทบาทนี้เพราะช่วงนั้นไม่ค่อยมีคนสนใจงานละครเวทีนัก

สาเหตุที่สนใจเรื่องคุณจำกัด เริ่มมาจากอาจารย์ฉัตรทิพย์ที่ให้ความสนใจคุณจำกัดมากจนกระทั่งนำไปเขียนอยู่ในคำนำของหนังสือเรื่องเศรษฐกิจการเมืองซึ่งพิมพ์ครั้งที่ 6 ท่านเขียนทำนองว่า เศรษฐศาสตร์ที่เป็นสถาบันนั้น เราจะต้องดูสปิริตและไอเดียของมันด้วย ซึ่งท่านได้คำนี้มาจากการอ่านงานของคุณจำกัดผมจึงติดตามงานอ่านหนังสือเพื่อชาติ เพื่อ humanity ของอาจารย์ฉัตรทิพย์

ผมได้พบบทสนทนาระหว่างคุณจำกัดและหม่อมเจ้าศุภสวัสดิ์ ซึ่งมีความสอดคล้องกับสถานการณ์ในปัจจุบันด้วยคือความขัดแย้งระหว่างฝ่ายอนุรักษ์นิยมและฝ่ายประชาธิปไตย จากนั้นจึงสืบค้นเรื่องของหม่อมเจ้าศุภสวัสดิ์ ก็พบว่าท่านทรงอิทธิพลมาก ซึ่งเป็นฝ่ายเจ้าสายใหม่ที่มีบทบาทเยอะ และคิดว่าเป็นตัวแทนของทั้งสองฝ่ายที่มาสนทนาที่ทำให้รู้สึกว่าทำเพื่อชาติจริง

ฉากที่คุณจำกัดลาท่านปรีดีฯ ก็หันมาถามว่าจะได้รับความร่วมมือจริงหรือเปล่า ท่านปรีดีก็พูดว่าช่วงสงครามไม่มีใครเขาคิดเรื่องนี้หรอก เหล่านี้มีเรื่องราวให้รู้มากกว่าจะไปรับทราบเรื่องเสรีไทยจากละครที่โด่งดังก็คือ “คู่กรรม” บดบัง จนเสรีไทยกลายเป็นผู้ร้าย หากจะวัดกันตามจริงแล้ว ผลอะไรจะเกิดขึ้นจากละครเวทีเรื่องนี้ ผมคิดว่าละครเรื่องคู่กรรมจะทำไม่ได้อีก ถ้าผลิตออกมาอีกก็จะไม่ประสบความสำเร็จ เพราะทุกคนรับรู้แล้วว่ามันเป็นเรื่องบิดเบือน

ละครเวทีเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ดีน่าจัดทำขึ้น ซึ่งแม้ก่อนหน้านั้นอาจรู้สึกว่าเป็นเรื่องที่ห่างไกลจากศักยภาพของผู้ที่เกี่ยวข้องพอสมควร และยังเป็นโอกาสที่ดีที่ครบรอบ 72 ปีอาจารย์ฉัตรทิพย์ นาถสุภา และอาจารย์ปรีชา เปี่ยมพงศ์สานต์ด้วย อีกทั้งคุณฉลบชลัยย์ที่เป็นบุคคลเดียวในละครที่ยังมีชีวิตอยู่จะได้ดูละครไปด้วย

ฉากที่ประทับใจที่สุดน่าประทับใจทุกฉาก แต่ฉากที่เป็นจังหวัดสกลนครน่าสนใจมาก เพราะว่าแสดงให้เห็นถึงกองกำลังที่เป็นจริงของเสรีไทยจริงๆ ตามบริบททางประวัติศาสตร์มีผู้ชายไทยเกือบทุกคนถูกเกณฑ์ไปรบจนตั้งอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย และยังสร้างความฮึกเหิมด้วยที่สามารถเอาดินแดนที่เสียไปใน ร.ศ. 112 คืน

ดังนั้น ฉากนี้ชาวบ้านเสียสละมากกว่าอีกและไม่ได้อยู่ในโครงสร้างของราชการที่มาร่วมใจกันเอง ขณะที่ทหารไปด้วยงบประมาณของรัฐบาล แต่ชาวบ้านไปเองและไม่รู้ว่าจะได้ผลตอบแทนอะไรด้วย ซึ่งเขาก็ทำเต็มที่ นำโดยเตียง ศิริขันธ์ ซึ่งสะท้อนอะไรหลายอย่าง หลัง 2475 จริงๆแล้วมีเป้าหมายแตกต่าง 2 อย่างที่ผมเห็นชัดคือ อยากให้ประเทศเจริญทัดเทียมนานาประเทศเพราะญี่ปุ่นพอเปลี่ยนสมัยเมจิ ประเทศก็รุ่งเรืองมาได้

ขณะที่เตียงฯ ซึ่งอยู่อีสานและเป็นดินแดนที่ถูกกดขี่โดยระบบปกครองเดิมมาก เขาเลยพูดว่า “ผมอยากให้ราษฎรทุกคนในประเทศมีสิทธิเท่าเทียมกัน” ซึ่งมีความขัดแย้งนิดหน่อยระหว่างการเมืองกับประชาธิปไตย และเห็นชัดขึ้นในปี 2490 ซึ่งเขาใช้วัฒนธรรมรังเกียจอีสานทั้งหมด ทำให้ สส. อีสานทุกคนถูกยิงที่หลักสี่ แต่ผมว่ามันมาจากแนวคิดที่อีสานไม่เท่าเรา

อย่างน้อยสังคมได้รับรู้เรื่องนี้ได้ตระหนักว่า การที่เราเป็นประเทศและมีศักดิ์ศรีมาได้ทุกวันนี้เกิดจากความตั้งใจ ไม่ได้เกิดจากการเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาของใครบางคน
ฉลบชลัยย์ พลางกูร

รับบทบาทโดย เกศสุดา ทองนะ และหน้าที่เหรัญญิก ปริญญาตรีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ รัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กำลังศึกษาปริญญาโท เศรษฐศาสตร์ สาขาเศรษฐศาสตร์การเมือง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย รับราชการเป็นนักการทูตปฏิบัติการ กระทรวงการต่างประเทศ

บทบาทของคุณฉลบชลัยย์ที่ได้รับทำให้รู้สึกเกร็ง เพราะน่าจะเป็นเพียงบุคคลเดียวในละครเวทีเรื่องนี้ ที่ยังมีชีวิตอยู่ในปัจจุบัน ดังนั้น การเล่นแทนคนที่ยังมีชีวิตอยู่ และอาจารย์บอกว่าท่านจะมาร่วมชมด้วยนั้น เราก็รู้สึกว่าเราจะเล่นได้ตรงกับที่ท่านเป็นหรือเปล่า พอทุกคนเพิ่มความมั่นใจให้ จึงค่อยรู้สึกว่าการได้เล่นบทของคนที่ยังมีชีวิตอยู่ในเรื่อง เราสามารถที่จะศึกษาตัวละครที่ไม่เข้าใจอะไร ก็สามารถถามได้ พอศึกษาประวัติมากขึ้น ก็รู้สึกภูมิใจที่ได้เล่นบทนี้ เพราะท่านเป็นผู้หญิงที่มีจิตใจเข้มแข็งและเสียสละความสุขส่วนตัวเพื่อคนที่ตัวเองรักและเพื่อส่วนรวมทั้งหมดได้มากขนาดนี้



การจากลาอย่างไม่มีวันหวนกลับของฉลบชลัยย์ พลางกูร (เกศสุดา ทองนะ) และจำกัด พลางกูร (เสมอไหน เพ็งจันทร์)

มันไม่ใช่การที่จากคนรักไปอย่างเดียว แต่ยังรวมถึงผลหลังจากที่คนรักจากไปด้วย ที่ได้สร้างคุณูปการให้สังคมอีกจำนวนมาก ท่านเป็นเหมือนบ้านให้แก่ลูกหลานขบวนการเสรีไทยที่หลังจากเกิดเหตุการณ์แล้ว ก็ได้รับผลกระทบจากการที่ครอบครัวถูกจับและถูกตั้งข้อหากบฏ ท่านให้ความคุ้มครองแก่เด็กๆ เหล่านั้น เมื่อหมดยุคสมัยนั้นแล้วท่านก็เปิดโรงเรียนและตั้งมั่นอยู่ในอุดมการณ์ที่คุณจำกัดและท่านได้คิดไว้ว่าจะสร้างโรงเรียนที่จะผลิตคนเพื่อเป็นกำลังของสังคมและเติบโตมาแบบเด็กดี เป็นคนที่เข้ามาช่วยสังคมในหลายๆ ส่วน

หลังจากอ่านบทประพันธ์ของอาจารย์ฉัตรทิพย์ฯ เหมือนเป็นงานวิจัยย่อยๆ ที่เป็นภารกิจเดินทางแกะรอยคุณจำกัด แรกเริ่ม รู้สึกสนุกกับการอ่านเรื่องราวของคุณจำกัดฯ และมีโอกาสได้อ่านบันทึกประจำวันของคุณจำกัดฯ จากหอจดหมายเหตุ แทบจะเรียกได้ว่าเรื่องนี้ที่เป็นละครประวัติศาสตร์ที่ 99% เป็นเรื่องจริง นี่เรายังไม่ได้พูดถึงในแง่ความจริงที่คุณจำกัดถ่ายทอดออกมา โดยที่เราไม่ได้มองว่ามีใครโต้เถียงอะไรมาก่อนนะ

น่าดีใจที่จะได้ทำละครเวทีเรื่องนี้ออกมา หลังจากที่อาจารย์เขียนออกมา 7 ปีแล้วยังไม่ได้สร้างขึ้น น่าดีใจแทนคนรุ่นหลังที่จะได้รู้จักอีกหน้าหนึ่งของประวัติศาสตร์ที่อาจไม่ได้ถูกเอ่ยถึงเลย หรือไม่ได้ถูกเอ่ยถึงบ่อยนัก รู้สึกภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งให้คนในสังคมได้รู้จักคนคนนี้มากขึ้น เพราะเคยถามคนหลายคน ซึ่งเรามีเพื่อนที่เป็นเด็กธรรมศาสตร์ เราจะรู้สึกว่าเด็กธรรมศาสตร์มักจะอินหรือรู้สึกร่วมไปกับยุคของประชาธิปไตย ยุคของเสรีไทย เพราะทุกคนก็รู้ว่าท่านปรีดีเป็นผู้ประสิทธิประสาทมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เพราะฉะนั้น เราก็จะลองถามว่าคุณรู้จักกับคุณจำกัดฯ ไหม ซึ่งส่วนใหญ่แทบจะไม่รู้จักและมันก็เป็นสิ่งที่น่าเสียดาย

ฉากอะไรที่ประทับใจที่สุด คือฉากจำกัดลาท่านอาจารย์ปรีดี เป็นฉากที่ท่านอาจารย์และคณะราษฎรรวมทั้งคุณเตียง ศิริขันธ์ ลงความเห็นพร้อมกันแล้วว่าขบวนการจะก่อตั้งขบวนการกู้ชาติขึ้นมา และส่วนสำคัญของกระบวนการขึ้นมาคือชาวบ้าน มันจะเป็นขบวนการกู้ชาติขึ้นไม่ได้เลยหากขาดกำลังสำคัญคือชาวบ้าน ซึ่งคุณจำกัดสนิทสนมกับคุณเตียงที่เป็น ส.ส. ภาคอีสานที่มีฐานเสียงเป็นชาวบ้านอยู่มาก

ฉากนั้นเป็นฉากที่เมื่อคุณจำกัดได้รับภารกิจกู้ชาติขึ้นมา คุณจำกัดก็จะเดินทางไปสกลนคร ในภารกิจนี้มันอันตราย ก่อนที่จะลาจากกัน ท่านอาจารย์ปรีดีก็กล่าวกับคุณจำกัดว่า เคราะห์ดีที่สุดอีก 45 ปีอาจได้เจอกัน เคราะห์ไม่ดีนักก็ 2 ปี เคราะห์ร้ายที่สุดก็ให้คิดว่าสละชีพเพื่อชาติไป เป็นประโยคที่ประทับใจมาก

สิ่งที่อยากฝากให้สังคมหลังละครเวทีเรื่องนี้เผยแพร่ออกไปคือ ยุคสมัยนี้อาจจะแทบไม่ได้เห็นคน หรือกลุ่มคนที่มีอุดมการณ์แน่วแน่ที่เสียสละ อุทิศตนเพื่อประโยชน์ส่วนรวมจริงๆ ณ จุดนั้น คุณจำกัด คิดอย่างเดียวว่าเพื่อชาติ สิ่งที่ทำคุณจำกัดอาจจะคิดว่าทำให้ไทยรอดพ้นจากสงครามและการเข้าร่วมกับฝ่ายพันธมิตร

แต่ผลในระยะยาว คุณูปการที่คุณจำกัดสร้างมันยิ่งใหญ่มหาศาลมาก เสียสละแบบคิดถึงประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าประโยชน์ส่วนตน แม้ว่าคุณจะเป็นคนตัวเล็กๆ คนเดียวที่อาจไม่มีอะไรเลย คุณก็อาจจะทำคุณประโยชน์เพื่อชาติได้


ฉลบชลัยย์ พลางกูร (เกศสุดา ทองนะ)

เราไม่ปฏิเสธว่าสังคมเต็มไปด้วยชนชั้นที่หลากหลาย ยุคสมัยหนึ่งเราอาจเห็นชาวบ้านล้าหลังและไม่มีกำลังเพียงพอที่จะลุกขึ้นมาต่อสู้ เรื่องนี้จะทำให้เห็นความสำคัญของชาวบ้านที่มีต่อสังคมไทย ในยุคสมัยนั้น ความมั่นคงของชาติไม่ได้อยู่ที่ทหาร หรือผู้ที่มีอำนาจสูงที่สุด หรือผู้ที่เป็นตัวแทนในการใช้อำนาจแทนประชาชนเท่านั้น อำนาจอยู่ในมือประชาชน

แรงบันดาลใจจากเรื่องนี้ โดยส่วนตัวศึกษาสตรีนิยม ซึ่งละครเรื่องนี้ส่วนใหญ่มีแต่ผู้ชาย ทำให้เราได้เรียนรู้ว่าการขับเคลื่อนที่เราเห็นชัดไม่ปฏิเสธว่าเป็นผู้ชาย แต่เบื้องหลัง การสร้างคน การขับเคลื่อนก็มีส่วนผลักดันจากผู้หญิงด้วย ตามจริงแล้วไม่สำคัญว่าผู้หญิงหรือผู้ชายในการช่วยกันสร้างสังคมให้ดีขึ้นได้

*หมายเหตุ บทสัมภาษณ์กองละครเวทีเรื่อง เพื่อชาติ เพื่อ humanity นี้ จัดทำขึ้นเพื่อร่วมรำลึกและสดุดีวีรบุรุษเสรีไทย เนื่องในโอกาสครบรอบ 68 ปีวันสันติภาพไทยเมื่อวันที่ 16 สิงหาคมที่ผ่านมา เพื่อเป็นการเชิดชูเกียรติวีรกรรมการสละชีพเพื่อดำรงความมั่นคงของชาติไว้นั้นสำคัญยิ่ง และเพื่อไม่ให้เรื่องราวของพวกเขาต้องเลือนหายไปตามกาลเวลาไม่ว่าจะด้วยเหตุผลประการใดก็ตาม

อีกทั้ง การเลือกเผยแพร่บทสัมภาษณ์ในช่วงเวลากระชั้นการแสดงจริงเพียง 2-3 วันนั้นเพื่อเป็นการป้องกันความเข้าใจผิดที่อาจเกิดขึ้นจากผู้ที่รับรู้ข้อมูลดังกล่าวได้ว่า บทสัมภาษณ์นี้ถูกจัดทำขึ้นเพื่อการโฆษณาหรือเพื่อการตลาด ด้วยเหตุนี้ จึงนำบทสัมภาษณ์ขึ้นเผยแพร่ในวันที่ละครเวทีได้ทำการแสดงจริงเรียบร้อยแล้ว และนำเสนอเป็น 2 ตอนเพื่อให้ผู้อ่านได้รับอรรถรสของเรื่องราวและที่มาครบใจความสำคัญอย่างแท้จริง

ที่มา.Siam Intelligence Unit
////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันศุกร์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2556

สรุปแล้ว.. คดีค่าโฆษณา อสมท. 138 ล้าน สรยุทธ สุทัศนะจินดา

อัยการสูงสุด ยันชัด สรุปสำนวนคดีค่าโฆษณา อสมท. 138 ล้านบาท ส่งให้ อัยการสูงสุด พิจารณาแล้ว -สรยุทธ-ไร่ส้ม ลุ้นหนัก ฟ้อง-ไม่ฟ้อง

นายวินัย ดำรงค์มงคลกุล อธิบดีอัยการสำนักคดีพิเศษ ในฐานะโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด เปิดเผยสำนักข่าวอิศรา ถึงความคืบหน้าคดีที่ นายสรยุทธ สุทัศนะจินดา พิธีกรชื่อดัง และเป็นกรรมการผู้จัดการบริษัท ไร่ส้ม จำกัด ถูกคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแหงชาติ (ป.ป.ช.) ชี้มูลว่ามีความผิด จากการที่พนักงานบริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) ทุจริตช่วยเหลือให้บริษัท ไร่ส้ม จำกัด โดยให้โฆษณาเกินกว่าเวลาที่กำหนดในสัญญา ในการจัดรายการคุยคุ้ยข่าว เป็นเหตุให้บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) ได้รับความเสียหายถึง 138,790,000 บาท ว่า ขณะนี้คณะทำงานอัยการที่รับผิดชอบคดีนี้ ได้สรุปสำนวนการสอบสวนคดีนี้เสนอให้ทางอัยการสูงสุดพิจารณาแล้ว ส่วนรายละเอียดผลการสรุปสำนวนการสอบสวนคดีนี้ คงไม่สามารถเปิดเผยได้ เรื่องจากอยู่ระหว่างขั้นตอนการพิจารณาของอัยการสูงสุด ซึ่งยังไม่ได้แจ้งผลออกมา

ผมบอกได้แต่เพียงว่า คณะทำงานที่รับผิดชอบคดีนี้ ได้ส่งผลสรุปสำนวนการสอบสวนคดีนี้ เสนอให้ทางอัยการสูงสุดพิจารณาไปแล้ว และมีข้อสรุปสำคัญหลายประเด็น แต่ขณะตอนนี้อยู่ระหว่างขั้นตอนการพิจารณาของผู้บังคับบัญชา คงไม่สามารถเปิดเผยข้อมูลอะไรได้

อนึ่ง ก่อนหน้านี้ในช่วงกลางเดือนมิถุนายน 2556 ที่ผ่านมา นายวินัย เคยให้สัมภาษณ์ยืนยันกับ สำนักข่าวอิศรา ว่า คณะทำงานกำลังเร่งพิจารณาคดีนี้ให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว เนื่องจากสื่อมวลชนให้ความสนใจคดีนี้มาก แต่เพราะเป็นคดีที่มีรายละเอียดมาก ค่อนข้างยุ่งยาก คาดว่าคงต้องใช้เวลาสัก 2-3 เดือน จึงจะได้ข้อยุติที่ชัดเจน และเมื่อได้ข้อสรุปแล้วก็จะนำเสนอให้อัยการสูงสุดพิจารณาต่อไปว่าจะเห็นด้วย หรือจะมีความเห็นเป็นอย่างอื่น

ขณะที่ในขั้นตอนการพิจารณาของคณะทำงานอัยการนั้น นายสรยุทธ และบริษัทไร่ส้ม จำกัด ได้ยื่นหนังสือร้องขอความเป็นธรรมในเรื่องนี้ต่อ นายจุลสิงห์ วสันตสิงห์ อัยการสูงสุด ในการพิจารณาคดีดังกล่าวก่อนหน้านี้ด้วย

ที่มา.ทีนิวส์
//////////////////////////////////////

ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ภูมิภาค ทำไมจึงร้อนแรง !!??

คอลัมน์ มองบ้านมองเมือง  มติชนสุดสัปดาห์

ผลที่เห็นได้ชัดจากการดำเนินนโยบายแปรเปลี่ยนสนามรบให้เป็นตลาดการค้าของ พลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ อดีตนายกรัฐมนตรี ทำให้ธุรกิจการค้าชายแดนของไทยเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

จังหวัดชายแดนรอบประเทศ ไม่ว่าจะเป็น เชียงราย ตาก กาญจนบุรี อุดรธานี หนองคาย มุกดาหาร บุรีรัมย์ ฯลฯ จึงคึกคักเหลือกำลัง อันเสริมให้เศรษฐกิจของประเทศโดยรวม ประคองตัวฝ่าวิกฤตเศรษฐกิจได้ แม้ว่าในหลายปีที่ผ่านมา คนในเมืองกรุงเล่นกีฬาสีอย่างเมามัน ส่วนคนในภาคกลางก่อกำแพงกั้นน้ำอย่างวุ่นวาย

กิจการค้าชายแดนยังส่งผลต่อเนื่องถึงหัวเมืองใหญ่ ที่อยู่ใกล้เคียง อย่างเช่น เชียงใหม่ ขอนแก่น นครราชสีมา ชลบุรี

ดังจะเห็นได้จากยอดรายได้ของห้างสรรพสินค้า วัสดุก่อสร้าง และการแต่งบ้าน ที่อุดรธานี นครราชสีมา และขอนแก่น นำสาขาอื่นๆ ทั่วประเทศ

หรือแผนการลงทุนศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซ่า พร้อมกัน 7 แห่ง ในภูมิภาค ได้แก่ ที่เชียงใหม่ อุดรธานี อุบลราชธานี หาดใหญ่ ลำปาง และสุราษฎร์ธานี

ผลพวงจากแผนพัฒนาพื้นที่ทางด้านตะวันออก เป็นท่าเรือน้ำลึกและนิคมอุตสาหกรรม ยังทำให้ชลบุรีและระยองกลายเป็นศูนย์กลางของภูมิภาค

เช่นเดียวกับผลจากแผนพัฒนาการท่องเที่ยว ทำให้เชียงใหม่ พัทยา หาดใหญ่ ภูเก็ต และสมุย เป็นจุดหมายของนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก

หรือแม้แต่ ผลจากน้ำท่วมใหญ่บริเวณอยุธยาทำให้โรงงานต่างๆ เริ่มย้ายกิจการไปยังโคราช ปราจีนบุรี หรือระยอง

ด้วยเหตุที่กล่าวมาทั้งหมด ย่อมทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมากและรวดเร็วในภูมิภาคอย่างที่เห็นได้ด้วยตาเปล่า

แต่ก็ขอเสนอตัวเลขการก่อสร้างที่พักอาศัย ทั้งบ้านแนวราบและอาคารพักอาศัยรวม ประเภทคอนโดมิเนียมหรือแฟลต มาช่วยยืนยันการเปลี่ยนแปลง ซึ่งจะชี้ให้เห็นว่า ช่องว่างระหว่างกรุงเทพฯเมืองหลวงกับหัวเมืองในต่างจังหวัดในภูมิภาคนั้น เริ่มแคบเข้ามา

ยิ่งถ้ารวมตัวเลขของแต่ละจังหวัดเข้าด้วยกัน ตัวเลขในภูมิภาคเริ่มใกล้เคียงหรือเริ่มมากกว่าตัวเลขในกรุงเทพฯ

จากคลังข้อมูลของศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ สำนักงานใหญ่ พบว่าจำนวนบ้านแนวราบที่ขออนุญาตปลูกสร้าง ในปี พ.ศ.2552 นั้น เฉพาะในกรุงเทพฯ ตัวเลขอยู่ที่สองหมื่นหน่วย (21,358) ในขณะที่ ตัวเลขของนครราชสีมาและชลบุรี สูงถึงหมื่นห้าพันหน่วย (14,560 และ 13,936) เชียงใหม่และขอนแก่น ต่ำกว่าหมื่นเพียงเล็กน้อย (9,037, 8,804)

ดังนั้น เพียงแค่สี่จังหวัดในภูมิภาค จำนวนบ้านแนวราบที่ขออนุญาตปลูกสร้าง ในปี พ.ศ.2552 ก็มากกว่าในกรุงเทพฯ แล้ว

สำหรับการขออนุญาตปลูกสร้างอาคารพักอาศัยรวมภาษาราชการ คอนโดมิเนียมหรือแฟลต ภาษาชาวบ้าน ในปี พ.ศ.2552 นั้น ตัวเลขจำนวนอาคารของกรุงเทพฯ จะอยู่ที่ร้อยละยี่สิบของจำนวนรวมทั่วประเทศ แต่ตัวเลขพื้นที่อาจมากขึ้นเป็น ร้อยละห้าสิบ เพราะส่วนใหญ่เป็นอาคารสูง

ในขณะที่ตัวเลขอาคารในชลบุรีนั้น อยู่ที่ร้อยละสิบ และตัวเลขพื้นที่ก็อยู่ที่ร้อยละสิบเช่นกัน

ยังมีข้อมูลเพิ่มเติมดังนี้ สิบลำดับจังหวัดที่ขออนุญาตปลูกสร้างบ้านแนวราบมากที่สุด เริ่มจาก กรุงเทพฯ เป็นลำดับหนึ่ง ตามด้วย นครราชสีมา ชลบุรี นนทบุรี เชียงใหม่ ขอนแก่น ปทุมธานี สงขลา สุราษฎร์ธานี ภูเก็ต และสมุทรปราการ

ส่วนการขออนุญาตอาคารพักอาศัยรวม เริ่มจาก กรุงเทพฯ เป็นอันดับหนึ่งเช่นกัน ตามติดด้วยชลบุรี ขอนแก่น ประจวบคีรีขันธ์ ปทุมธานี ภูเก็ต เชียงใหม่ สมุทรปราการ นครปฐม และนนทบุรี

เพียงแค่ตัวเลขการขออนุญาตปลูกสร้างบ้านแนวราบและอาคารพักอาศัยรวม ที่นำเสนอ ก็สะท้อนถึงความคึกคักของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในภูมิภาคได้อย่างชัดเจน

จึงไม่แปลกที่บรรดาบริษัทอสังหาริมทรัพย์ในกรุงเทพฯ จะแยกย้ายออกไปหากินในต่างจังหวัดกันเป็นที่เรียบร้อย

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
//////////////////////////////////////////////////

วันพฤหัสบดีที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2556

เงินร้อนไหลออก !!??

คลัง.ชี้เงินไหลออกช่วงสั้น เป็นสถานการณ์"ม้วนกลับ"ของเงินทุน ด้าน"กิตติรัตน์"มั่นใจความผันผวนลดลง "เงินร้อน"ไหลออกเกือบหมด

ภาครัฐมั่นใจพื้นฐานเศรษฐกิจไทยแข็งแกร่ง สามารถรับมือกับความผันผวนในตลาดเงินตลาดทุน เนื่องมาจากเงินทุนไหลออก ยังมั่นใจว่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นเพียงระยะสั้น แต่ต้องชี้แจงให้นักลงทุนเข้าใจถึงพื้นฐานเศรษฐกิจไทย

นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่าหากต้องการให้เศรษฐกิจไทยหลุดพ้นจากสถานการณ์เงินทุนไหลออก หรือมีความเสี่ยงที่จะถูกลดอันดับความน่าเชื่อถือ (เครดิตเรทติ้ง) เหมือนกับที่ อินโดนีเซียและอินเดีย เผชิญนั้น สิ่งสำคัญสุด คือ เราต้องชี้แจงให้นักลงทุนต่างชาติทราบว่าพื้นฐานทางเศรษฐกิจของตลาดเกิดใหม่ในเวลานี้มีความแตกต่างกัน

ค่าเงินบาท,เงินทุนไหลกลับ,หุ้น,ตลาดหลักทรัพย์ฯ

กระแสเงินไหลออกจากตลาดหุ้นและตราสารหนี้ของไทย เช่นเดียวกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในภูมิภาค และส่งผลให้ค่าเงินบาทต่อดอลลาร์อ่อนค่าลง

นักลงทุนต่างชาติขายหุ้นสุทธิตั้งแต่ต้นปีรวม 116,464.46 ล้านบาท และ ณ วันที่ 23 ส.ค. 2556 ถือครองตราสารหนี้สุทธิลดลงเหลือ 727,000 ล้านบาท จากที่มียอดคงค้างสูงถึง 870,000 ล้านบาท ขณะที่ค่าเงินบาทต่อดอลลาร์ ร่วงลงอ่อนสุดในรอบกว่า 3 ปี ที่ระดับ 32.28 และดัชนีตลาดหุ้นร่วงจากระดับ 1,600 สู่ระดับ 1,275.76 จุด

"พื้นฐานถือว่ายังอยู่ในระดับดี ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเงินสำรองระหว่างประเทศที่มีจำนวนมาก ระบบสถาบันการเงินมีความเข้มแข็ง และดุลบัญชีเดินสะพัดก็ไม่ได้มีปัญหา ภาพรวมจึงถือว่ามีความแข็งแกร่ง" นายประสาร ย้ำ

สำหรับการส่งออกนั้น นายประสาร กล่าวว่า ธปท.คาดไว้อยู่แล้วว่าปีนี้การเติบโตคงไม่มาก แต่ยอมรับว่าตัวเลขที่ออกมาล่าสุดอยู่ระดับค่อนข้างต่ำ เพียงแต่การนำเข้าเองก็ลดลงตามไปด้วย และยิ่งถ้าหักการนำเข้าทองคำออก ระดับการนำเข้าก็ลดลง ดังนั้น ดุลบัญชีเดินสะพัดทั้งปีจึงค่อนไปทางสมดุล หรือ หากจะขาดดุลก็คงเล็กน้อยเท่านั้น ไม่มีผลต่อพื้นฐานของอัตราแลกเปลี่ยน

"ที่เราอยากเห็น คือ อยากให้เขาได้วิเคราะห์และแยกแยะว่า เศรษฐกิจของแต่ละประเทศเป็นอย่างไร ไม่อยากให้มีการเหมารวม และเชื่อว่าแต่ละประเทศในตลาดเกิดใหม่ก็คงกำลังเฝ้าติดตาม ดูว่าจะมีมาตรการอะไรในการจัดการบ้าง"นายประสาร กล่าว

ชี้ผันผวนช่วงสั้นจากเงินทุน 'ม้วนกลับ'

นายประสาร กล่าวว่า ช่วงนี้ยังมีเงินไหลออกอยู่บ้าง แต่การไหลออกไม่ได้มากนักและไม่ได้สร้างปัญหาใดๆ โดยอัตราแลกเปลี่ยนในขณะนี้ถือว่ามีความยืดหยุ่นพอควร ซึ่ง ธปท.พยายามติดตามว่าอัตราแลกเปลี่ยนมีการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วเกินไปจนกระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจหรือไม่ หากเห็นว่ามีการเปลี่ยนแปลงที่เร็วเกินไป ทาง ธปท.เองก็มีเครื่องมือเพียงพอที่จะดูแลให้มีเสถียรภาพ

"เงินที่ไหลออกคงเป็นเงินระยะสั้น และเชื่อว่าเมื่อนักลงทุนหายแตกตื่นก็คงจะดีขึ้น สถานการณ์ในช่วงนี้เป็นเพียงการม้วนกลับของเงินทุนต่างประเทศ เพราะช่วง 5 ปีที่ผ่านมา มีเงินเข้ามาในตลาดเกิดใหม่มาก เนื่องจากเศรษฐกิจของสหรัฐ ยุโรป และญี่ปุ่นมีปัญหา แต่พอเศรษฐกิจเขาเริ่มฟื้น เงินที่เคยเข้ามาก็กลับออกไปบ้างเป็นเรื่องธรรมดา"นายประสาร กล่าว

'กิตติรัตน์'ระบุเงินร้อนไหลกลับเกือบหมด

นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง กล่าวว่า เท่าที่ติดตามดูสถานการณ์เงินทุนเคลื่อนย้ายในขณะนี้ พบว่า หลังจากที่ ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ประกาศว่าจะลดมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (คิวอี 3) ลง ทำให้มีเงินร้อนที่เคยเข้ามาลงทุนในช่วงก่อนหน้านี้เริ่มไหลกลับออกไป

นายกิตติรัตน์ กล่าวว่า ขณะนี้เงินได้ไหลกลับออกไปจนเกือบหมดแล้ว ดังนั้นเงินทุนที่เหลืออยู่ตอนนี้ส่วนใหญ่จึงเป็นเงินของนักลงทุนระยะยาว ซึ่งทำให้ตลาดมีแนวโน้มว่าจะผันผวนน้อยลง

"การที่ราคาหุ้นปรับลดลงในช่วงนี้ น่าจะเป็นจังหวะของผู้ที่ต้องการลงทุนเพิ่ม นักลงทุนระยะยาวก็คงสนใจลงทุน และเท่าที่ติดตามการขายสุทธิของนักลงทุนต่างประเทศ ก็พบว่า ยอดขายสุทธิของนักลงทุนกลุ่มนี้เริ่มลดลง และคงจะกลับมาเป็นบวกในอีกไม่กี่วันข้างหน้า"นายกิตติรัตน์ กล่าว

มั่นใจอาเซียนรับมือเงินไหลออกได้

นายประสาร กล่าวถึงการเตรียมความพร้อม เพื่อรับมือกับเงินไหลออกนั้น ว่าไม่มีความเป็นห่วง เนื่องจากที่ผ่านมาแต่ละประเทศในภูมิภาคได้สร้างความร่วมมือระหว่างกันขึ้น เช่น การจัดตั้งกองทุนสำรองพหุภาคีภายใต้มาตรการริเริ่มที่เชียงใหม่ หรือ CMIM ซึ่งมีวงเงินในการช่วยเหลือประเทศสมาชิกทั้ง 13 ประเทศ รวมกว่า 2.4 แสนล้านดอลลาร์ รวมทั้ง กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ก็ยืนยันว่า พร้อมให้ความช่วยเหลือเรื่องสภาพคล่อง หากเกิดปัญหาขึ้น

ทั้งนี้ กองทุน CMIM ถือเป็นข้อตกลงระหว่างสมาชิก 13 ประเทศ ที่เรียกสั้นๆ ว่า ASEAN+3 ประกอบไปด้วย ASEAN+10 คือ ไทย สิงคโปร์ อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ บรูไน กัมพูชา ลาว พม่า และ เวียดนาม รวมกับอีก 3 ประเทศยักษ์ใหญ่ทางเศรษฐกิจได้แก่ จีน ญี่ปุ่น และ เกาหลีใต้ เพื่อสร้างระบบความร่วมมือทางการเงินให้ประเทศสมาชิกสามารถช่วยกันบรรเทาปัญหาวิกฤติทางการเงินได้ ในเบื้องต้นหากสมาชิกประสบปัญหาสภาพคล่องในระยะสั้น โดยเป็นการช่วยกันเองในระดับภูมิภาค นอกเหนือไปจากความช่วยเหลือจากภายนอก หรือ องค์กรการเงินระหว่างประเทศอย่าง IMF

ก.ล.ต.ไม่ห่วงทุนไหลออก

นายวรพล โสคติยานุรักษ์ เลขาธิการคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) กล่าวว่า ก.ล.ต.ไม่ได้กังวลใจกับภาวการณ์เงินทุนไหลออกมากนัก เพราะที่ผ่านมา ก.ล.ต. ได้ประเมินสถานการณ์อยู่ตลอดว่า มีปรากฏการณ์อะไรเกิดขึ้นบ้าง ซึ่งก็ไม่พบว่ามีประเด็นใดที่น่าเป็นห่วง

สำหรับการขายสุทธิของนักลงทุนต่างชาติในช่วงนี้ ส่วนใหญ่เป็นเงินร้อนของนักลงทุนต่างชาติที่เข้ามาลงทุน ตั้งแต่ช่วงที่เฟดเริ่มดำเนินมาตรการคิวอี โดยเป็นการเข้ามาตั้งแต่ช่วงปี 2554 พอมาปีนี้จึงมีการไหลออกไปบ้าง ส่วนการปรับลดลงของราคาหุ้นนั้น ก็ควรต้องดูพื้นฐานของตัวบริษัทด้วย ซึ่งเวลานี้มีบริษัทจดทะเบียน (บจ.) กว่า 143 ราย ที่มีราคาหุ้นต่ำกว่ามูลค่าตามบัญชี (บุ๊คแวลู)

"บุ๊คแวลู คือ มูลค่าตามบัญชี ซึ่งเป็นราคาตั้งแต่สมัยที่เขาสร้างโรงงานขึ้นมา ดังนั้นการที่ราคาหุ้นต่ำกว่าบุ๊คแวลู ก็หมายความว่า ราคาหุ้นต่ำกว่าราคาตอนที่สร้างโรงงาน ซึ่งมักจะไม่ค่อยปรากฏ เมื่อไรที่ราคาหุ้นต่ำกว่าบุ๊คแวลู จึงถือเป็นโอกาสของการลงทุน"นายวรพล กล่าว

นอกจากนี้ พื้นฐานเศรษฐกิจไทยถือว่ามีความแข็งแกร่ง สะท้อนผ่านระดับหนี้สาธารณะที่ยังอยู่ต่ำ เงินทุนสำรองระหว่างประเทศที่สูง ดุลบัญชีเดินสะพัดก็ไม่ได้ขาดดุลมาก รวมทั้งยังมีภาคธุรกิจที่หลากหลาย ทั้งภาคบริการ ภาคการท่องเที่ยว รวมไปถึงภาคอุตสาหกรรม

"หาก เฟด ยกเลิกมาตรการคิวอีจริง ก็สะท้อนว่า เศรษฐกิจสหรัฐแข็งแกร่งขึ้น ซึ่งน่าจะเป็นผลดีต่อเศรษฐกิจไทยเพราะทำให้การส่งออกมีแนวโน้มดีขึ้น และการส่งออกไทย ก็มีสัดส่วนสูงถึง 70% ของจีดีพี"

ต่างชาติแห่ร่วม 'ไทยแลนด์โฟกัส'

นายจรัมพร โชติกเสถียร กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยภาพรวมการจัดงาน ไทยแลนด์ โฟกัส 2013 วานนี้ (28 ส.ค.) ว่า มีนักลงทุนเข้าร่วมงานสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยมีนักลงทุนต่างชาติจากทั่วโลกเข้าร่วม 186 ราย และมีบริษัทจดทะเบียนไทย (บจ.) เข้าร่วมนำเสนอข้อมูลถึง 112 แห่ง มีการประชุมในงานมากกว่าสองพันครั้ง แสดงให้เห็นว่าตลาดทุนไทยและเศรษฐกิจไทยอยู่ในความสนใจของทั่วโลก

นายกฤติยา วีรบุรุษ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บล.ภัทร กล่าวว่า เชื่อนักลงทุนส่วนใหญ่ได้รับคำตอบที่เพียงพอในการตัดสินใจเข้ามาลงทุนในไทย โดยเฉพาะคำถามเกี่ยวกับโครงการลงทุน 2 ล้านล้านบาท ซึ่งรัฐบาลยืนยันทำแน่ หลังจากนี้นักลงทุนต้องไปคำนวณดูว่าการลงทุนที่จะเกิดขึ้น จะส่งผลต่อบริษัทที่จะลงทุนมากน้อยเพียงใด และช่วงไหน เพราะแต่ละบริษัท และแต่ละกลุ่มอุตสาหกรรมได้รับผลไม่เท่ากัน ก็ขึ้นอยู่กับการประเมินของนักลงทุน

"เชื่อว่าเงินลงทุนต่างชาติจะเข้ามาลงทุนในไทย แม้ในระยะสั้นอาจมีเงินไหลออกจากตลาดเกิดใหม่บ้าง แต่เงินที่ไหลออกไปในระดับแสนล้านบาท น้อยมากเมื่อเทียบกับเม็ดเงินต่างชาติที่ยังถือครองหุ้นไทยอยู่ปัจจุบันประมาณ 3.5 ล้านล้านบาท ยังไม่รวมการถือหุ้นแบบพันธมิตรลงทุน หรือการเข้าเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของกิจการ ซึ่งถือมานานแล้ว ดัชนีที่ปรับลดลงหลายคนก็มองเป็นโอกาสในการลงทุน"

ด้าน นางสาวอรกัญญา พิบูลธรรม หัวหน้าประเทศ และกรรมการผู้จัดการ ธนาคารแห่งอเมริกา เมอร์ริล ลินช์ กล่าวว่า ผู้ลงทุนต่างชาติที่มาร่วมงาน ให้ความสนใจอย่างมากต่อการเติบโตของเศรษฐกิจไทย และบทบาทของไทยในการเชื่อมโยงการเติบโตของภูมิภาค

ทั้งนี้ ไทยมีภาคธุรกิจที่หลากหลาย พื้นฐานเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง ประกอบกับการดำเนินนโยบายด้านการเงินการคลังที่ระมัดระวังและมีความต่อเนื่อง ช่วยผลักดันให้ประเทศไทยมีความโดดเด่นและเป็นเศรษฐกิจชั้นนำในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มีอัตราการเติบโตสูงในปัจจุบัน

ซีเรียและคิวอี กดบาททะลุ 32.20 ต่อดอลล์

นักบริหารเงินจากธนาคารพาณิชย์ กล่าวว่า ค่าเงินบาทวานนี้เปิดตลาดที่ระดับ 32.18-32.20 บาทต่อดอลลาร์ และได้อ่อนค่าไปถึงระดับ 32.22 บาทต่อดอลลาร์ แต่มีแรงซื้อเงินบาทกลับเข้ามา ทำให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นไปอยู่ที่ระดับ 32.16 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับที่แข็งค่าสุดของวัน อย่างไรก็ตาม มีแรงขายเงินบาทเพื่อซื้อดอลลาร์สหรัฐกลับเข้ามาอีกครั้ง ทำให้เงินบาทกลับมาอ่อนค่าไปแตะระดับ 32.30 บาทต่อดอลลาร์ ทำสถิติใหม่ในรอบ 3 ปีอีกครั้ง ท่ามกลางปริมาณซื้อขายที่เบาบาง และปิดตลาดที่ระดับ 32.25-32.27 บาทต่อดอลลาร์

สำหรับปัจจัยที่มีผลต่อค่าเงินบาทวานนี้ มาจากทิศทางของค่าเงินภูมิภาคที่อ่อนค่าลงเทียบกับดอลลาร์ นำโดยค่าเงินอินเดียที่มีความผันผวนค่อนข้างมากและทำสถิติใหม่อีกครั้ง ซึ่งความกังวลของตลาดวานนี้ ยังมาจากการชะลอมาตรการคิวอีของสหรัฐอเมริกา ประกอบกับความไม่สงบในซีเรีย ที่ตลาดห่วงว่า หากมีสงครามเกิดขึ้นจะทำให้ความต้องการดอลลาร์สหรัฐปรับเพิ่มขึ้นไปด้วย โดยกรอบความเคลื่อนไหวเงินบาทในระยะสั้น ยังคาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.20-32.30 บาทต่อดอลลาร์ ส่วนระยะถัดไปต้องติดตามการชะลอมาตรการคิวอี ทั้งระยะเวลาและวงเงินที่ลดลงด้วย

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
/////////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันพุธที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2556

โหลด แชร์ ช็อป เสี่ยงละเมิดลิขสิทธิ์ แฮกข้อมูล !!??

ต้น สัปดาห์ที่ผ่านมา ประเด็นร้อนที่แพร่หลายและถกเถียงกันอย่างหนักในโซเซียลเน็ตเวิร์กว่าเป็น เรื่องจริงหรือไม่ กรณีคนไทยโดนจับที่สนามบินในสหรัฐอเมริกา เพราะเปิดไอแพดดูหนังที่โหลดมาจากเว็บไซต์ยูทูบระหว่างรอขึ้นเครื่องบิน ทำให้ต้องโทษจำคุกนานถึง 6 เดือน แต่ภายหลังครอบครัวส่งทนายไปประกันตัวมาด้วยเงินประมาณ 1 ล้านบาท

อ.ไพบูลย์ อมรภิญโญเกียรติ" ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายคอมพิวเตอร์และลิขสิทธิ์ ระบุว่าเป็นเรื่องจริง แต่อาจมีข้อมูลบางอย่างคลาดเคลื่อนเกินจริงไปบ้าง

กฎหมายลิขสิทธิ์ฉบับใหม่ของสหรัฐอเมริกา มีการกำหนดโทษเกี่ยวกับการดาวน์โหลดเพลง หนัง ซอฟต์แวร์จากแหล่งที่ผิดกฎหมาย เพื่อคุ้มครองอุตสาหกรรมบันเทิงและซอฟต์แวร์ของอเมริกา แต่กฎหมายนี้ไม่มีโทษจำคุก มีแต่โทษปรับตั้งแต่ 750-30,000 เหรียญสหรัฐ กฎหมายฉบับนี้เริ่มใช้เมื่อ 1-2 ปีที่แล้ว มีคนโดนจับด้วยกฎหมายนี้แล้วไม่น้อย กรณีล่าสุดคาดว่าจะมีไฟล์ข้อมูลในเครื่องมากพอสมควรด้วย"

ประเทศอื่นก็มีกฎหมายที่เข้มงวดเรื่องนี้เช่นกัน แต่ไม่มากเท่าในสหรัฐอเมริกา ฉะนั้น ผู้ที่เดินทางไปอเมริกาต้องระมัดระวัง โดยเฉพาะการนำสื่อลามกอนาจารเกี่ยวเด็กเข้าไปยังสหรัฐอเมริกา เนื่องจากเป็นเรื่องซีเรียสมาก มีคนไทยหลายรายโดนดำเนินคดีมาแล้ว ขณะที่ฝั่งยุโรปให้ความสำคัญกับการละเมิดตราสินค้า หรือสินค้าปลอมมากกว่า

พฤติกรรมนักท่องเน็ตจำนวนมากสุ่มเสี่ยงกับการทำผิดกฎหมาย ทั้ง พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์, พ.ร.บ.ลิขสิทธิ์ และประมวลกฎหมายอาญา โดยเฉพาะความผิดเกี่ยวกับการหมิ่นประมาท ในส่วนการเผยแพร่ข้อมูลที่ทำให้ผู้อื่นเสียหาย เช่น ใครส่งอะไรมาให้แล้วเรานำไปแชร์ต่อ ๆ หลายคนเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา มีโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี ปรับไม่เกิน 2 แสนบาท"

และอาจโดนโยงกับมาตรา 14 พ.ร.บ.คอมพ์ ว่าด้วยการนำเข้าข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น มีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 1 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับได้ด้วย

"อ.ไพบูลย์" ย้ำว่า สิ่งที่หลายคนคุ้นชินและมักทำกันแพร่หลาย ไม่ว่าจะเป็นการนำคลิปเพลงหรือหนังจากเว็บไซต์ยูทูบมาแปะเพื่อให้ดูได้บนเว็บตัวเองแบบ Embed VDO หรือการตัดต่อข้อความจากทวิตเตอร์คนอื่นนำมาแปะในโซเซียลเน็ตเวิร์กของตัวเอง หรือดึงรูปจากอินสตาแกรมคนอื่นโดยไม่ได้อ้างอิงแหล่งที่มา ล้วนแต่เสี่ยงคุกทั้งนั้น เพราะเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ผู้อื่น ยิ่งถ้าเป็นรูปหรือคลิปวิดีโอล้อเลียนเสียดสีผู้อื่น อาจโดนความผิดฐานหมิ่นประมาทร่วมไปกับคนที่เป็นต้นตอปล่อยคลิป

ถ้าเจ้าของข้อความหรือรูปนั้น ๆ ไม่ได้ตั้งค่าความเป็นส่วนตัวในอินสตาแกรม เฟซบุ๊กเป็นแบบสาธารณะ (Public) คนนำรูปไปใช้ อาจมีความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพ์ เกี่ยวกับการเข้าสู่ระบบโดยไม่ได้รับอนุญาตพ่วงอีกข้อหา มีโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 4 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

"ที่พบว่าทำกันมาก และมีกรณีที่โดนฟ้องร้องแล้ว คือการนำรูปหรือข้อความของคนอื่นมาใช้ในเว็บหรือโซเซียลเน็ตเวิร์กของตนโดยไม่ได้อ้างอิงแหล่งที่มา ตอนนี้มีบริษัทต่างชาติหรือแม้แต่บริษัทในไทยเองยื่นฟ้องเรียกร้องค่าเสียหายฐานละเมิดลิขสิทธิ์ ล่าสุด กรณีนำรูปนักเทนนิสมาเรีย ชาราโปว่า ไปแปะในเว็บ โดนเรียกค่าเสียหายรูปละ 50,000 บาท"

ฉะนั้น สิ่งที่ชาวออนไลน์พึงจำและทำเสมอ คือเมื่อใดที่นำข้อมูลหรือรูปภาพมาจากที่อื่น "จงอ้างอิงแหล่งที่มา" ทุกครั้ง ยิ่งถ้าในพื้นที่ออนไลน์ที่นำไปแปะ ไม่ว่าจะเป็นเว็บไซต์ บล็อก หรือเฟซบุ๊ก ทำขึ้นเพื่อการค้า บทลงโทษจะยิ่งหนัก

"การนำไปใช้เพื่อการค้า แค่ในเว็บมีแบนเนอร์โฆษณา ก็เข้าข่ายแล้ว หรือถ้าในชื่อเว็บเป็นชื่อบริษัท ชื่อเพื่อให้ค้าขาย ถือเป็นการนำไปใช้เพื่อกิจการของตัวเอง พวกนี้โทษหนักขึ้น แต่ที่อยากให้ระวังมาก ๆ คือการ embed คลิป และการดาวน์โหลดจากยูทูบ เพื่อความปลอดภัย ให้ใช้เป็นการแปะลิงก์ ให้คลิกเข้าไปดูได้ที่ยูทูบดีกว่า อีกทั้งให้เปิดดูออนไลน์ อย่าโหลดเก็บไว้"

"อ.ไพบูลย์" ยังฝากเตือนนักช็อปปิ้งออนไลน์ด้วยว่า ต้องระวังเรื่องการโดนดักข้อมูลส่วนตัว โดยเฉพาะข้อมูลบัตรเครดิต บัญชีธนาคาร ดังนั้น ก่อนซื้อสินค้า และกรอกข้อมูลต่าง ๆ ต้องมั่นใจว่าเป็นเว็บไซต์ที่เชื่อถือได้ มีระบบรักษาความปลอดภัยในการทำธุรกรรมทางการเงินที่ดี และอย่าเข้าไปกรอกข้อมูลในเว็บที่มีการซื้อขายสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์ หรือสินค้าประเภท sex toys สื่อลามกอนาจาร รวมถึงเว็บไซต์ที่มีต้นทางจากมาเลเซีย เนื่องจากเป็นเป้าหมายสำคัญของบรรดาแฮกเกอร์ ซึ่งในมาเลเซียเองมีการทำธุรกิจซื้อขายข้อมูลเหล่านี้เป็นล่ำเป็นสัน แม้จะผิดกฎหมายก็ตาม

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
///////////////////////////////////////////////

ปัญหาสังคม ร้อนแรง รอการเยียวยา !!??

ร้อนแรงไม่เลิกราจริงๆ สำหรับปัญหาเศรษฐกิจไทย ที่ล่าสุด “บีบีซี” ได้นำเสนอบทความ “Thailand’s economy enters recession” โดยระบุว่าเศรษฐกิจไทยกำลังเข้าสู่ภาวะถดถอย เนื่องจากตัวเลขจีดีพีของไทยไม่การชะลอตัวอย่างต่อเนื่อง และเติบโตไม่เป็นไปตามที่คาดการณ์ โดยเฉพาะในไตรมาสที่ 2 ปี 2556 และต้องถือเป็นเรื่องสะท้านสะเทือนถึงหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพราะคำว่า “เศรษฐกิจถดถอย” ไม่ใช่ปัญหาปลาซิวปลาสร้อยที่ “ใคร” จะมองข้ามไปง่ายๆ
   
โดยเฉพาะ “สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.)” ที่ออกมายอมรับอย่างหน้าชื่นอกตรมว่า “หากมองในทางเทคนิคแล้ว  ยอมรับว่าเศรษฐกิจไทยเข้าสู่ภาวะถดถอย (Recession) เนื่องจากจีดีพีติดลบต่อเนื่องถึง 2 ไตรมาส และการเติบโตอย่างผิดคาดของเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 2 ของปี ก็มาจากความผิดปกติของฐานการเติบโตในช่วงปลายปี 2555 ที่สูงมาก รวมถึงยังมีปัญหาการที่พม่าหยุดส่งก๊าซธรรมชาติชั่วคราว ทำให้ภาคธุรกิจได้รับผลกระทบและหยุดการผลิตไปบางส่วน”
   
แต่ดูเหมือนยังมีบางเรื่องที่น่าจะเป็นประเด็น แต่อาจจะไม่ได้รับความสนใจเหมือนเรื่องราวทางเศรษฐกิจในขณะนี้มากนัก นั่นคือ “ดัชนีความสุขมวลรวมของคนไทย” ที่ล่าสุด “สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ  (สศช.) หรือสภาพัฒน์” ออกมาระบุโดยอ้างอิงผลการสำรวจของ “เอแบคโพลล์” ว่า ในช่วง 29 ก.ค. - 1 ส.ค.2556 “ดัชนีความสุขมวลรวมของคนไทยลดลง” มาอยู่ที่ 5.62% จากช่วง  มี.ค.อยู่ที่ 6.58% และช่วงปลายปี 2555 อยู่ในระดับสูงที่สุดที่ 7.61%
   
และปัญหาสำคัญที่กระทบกระเทือนต่อความสุขของคนไทยทั้งประเทศ คงหนีไม่พ้น “ปัญหาค่าครองชีพที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง” ซึ่งเป็นผลสืบเนื่องมาจากภาคเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศที่กำลังเริ่มมีปัญหา และส่งผลตามมาทำให้เกิดปัญหา “หนี้ครัวเรือน” นอกจากนี้ยังมีปัญหา “ความไม่สงบทางการเมือง” ที่จนปัจจุบันก็ยังหาข้อสรุปของเรื่องนี้ไม่ได้
   
ความเครียด ไม่ได้เกิดแค่ในผู้ใหญ่วัยทำงานเท่านั้น  เพราะปัจจุบันเด็กและเยาวชนก็เกิดปัญหาความเครียดรุมเร้าไม่แพ้กัน จากการดำเนินชีวิตภายใต้สภาพแวดล้อมอย่างในทุกวันนี้ ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อสุขภาพจิต และที่พบมากที่สุดนอกจากปัญหา “ความเครียด” “ภาวะโรคซึมเศร้า” จนนำไปสู่ปัญหา “การฆ่าตัวตาย” ในที่สุด และปัจจุบันมีข้อมูลยืนยันชัดเจนแล้วว่า “การฆ่าตัวตายของคนไทยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง”  และที่น่าแปลกใจนั่นคือ กลุ่มวัยรุ่นอายุ 10-19 ปี มีการฆ่าตัวตายเพิ่มสูงขึ้น เฉลี่ยปีละ 200 คน ซึ่งเป็นผลสืบเนื่องมาจากความเครียดในปัญหาการเรียนและความรัก
   
โดยข้อมูลบ่งชี้ชัดเจนว่าปัจจุบันคนไทยมี “ความเครียด”  เพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ จากข้อมูลปรึกษาปัญหาสุขภาพจิต ของกรมสุขภาพจิต ในปี 2555 พบว่า คนไทยให้ความสนใจปรึกษาปัญหาสุขภาพจิตมากขึ้น อยู่ที่ 3.6 หมื่นราย หรือเพิ่มขึ้น 65% จากปีที่ผ่านมา โดยกลุ่มอายุที่ใช้บริการมากที่สุด คือ กลุ่มอายุต่ำกว่า 18 ปี รองลงมาคือกลุ่มอายุ 26-30 ปี ซึ่งกลุ่มเด็กและวัยรุ่นที่เข้ามาขอรับบริการส่วนใหญ่จะปรึกษาปัญหา “ความคาดหวังของผู้ปกครองต่อการเรียน และการไม่ไว้วางใจเกี่ยวกับการคบเพื่อน ไปจนถึงปัญหาของความรัก”
   
ปัญหาความน่ากังวลในสังคมยังไม่หมด เพราะปัจจุบันวัยรุ่นไทยยังมีแนวโน้มเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์มากขึ้นอีกด้วย โดยจากข้อมูลของสำนักระบาดวิทยา พบว่า กลุ่มเยาวชน อายุ 15-24 ปี มีอัตราการป่วยเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ โดยสาเหตุส่วนใหญ่มาจากการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน
   
และอีกปัญหาที่บั่นทอนความรู้สึกของคนในสังคม นั่นคือ “ปัญหาการท้องไม่พร้อม” ซึ่งท้ายที่สุดอาจนำไปสู่ “การทำแท้ง” โดยจากข้อมูลสถิติสาธารณสุข ชี้ให้เห็นชัดเจนถึงอัตราการเจริญพันธุ์ของคนทั่วไปว่ามีแนวโน้มลดลงเหลือ 24.4% ต่อประชากรหญิง 1 พันคน แต่สิ่งที่น่าตกใจนั่นคือ อัตราการเจริญพันธุ์ตามหมวดอายุมารดาที่ 15-19 ปี กลับมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และเป็นที่น่าสังเกตว่าอัตราแม่วัยรุ่นควรจะลดลงมากกว่าจากการขยายโอกาสทางการศึกษาที่ทำให้เด็กอยู่ในระบบนานขึ้น แต่ตัวเลขดังกล่าวที่เพิ่มขึ้น คงเป็นเครื่องสะท้อนให้เห็นแล้วว่ายังมีเด็กจำนวนไม่น้อยที่อยู่ในระบบการศึกษาพื้นฐานไม่ครบ แม้จะมีโครงการเรียนฟรีและการขยายโอกาสทางการศึกษาอย่างต่อเนื่องก็ตาม
   
นอกจากปัญหา “การท้องไม่พร้อม” แล้ว ยังมีเรื่องที่น่าขบคิดต่ออีกเรื่อง มีการศึกษาของโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ที่ร่วมกับกรมอนามัย และมีการคาดการณ์ว่าจะมีการทำแท้ง 1-2 แสนรายต่อปี โดย 1 ใน 3 หรือประมาณ 3-5 หมื่นราย เป็นวัยรุ่น ส่วนกลุ่มแม่วัยรุ่นอีก 27.1% ท้อง เพราะไม่มีทางเลือกหรือไม่มีโอกาสยุติการท้อง และปัญหา “การทำแท้งเถื่อน” ก็ยังคงเป็นปัญหาใหญ่ของสังคมไทย และถือเป็นการกระทำผิดกฎหมายอาญา โดยในปี 2554 พบว่ามีหญิงไทยที่มีอัตราการท้องเฉลี่ย 1.1 ล้านคน คลอดสำเร็จ 8 แสนคน ส่วนที่เหลือคาดว่ามีการยุติการตั้งครรภ์ หรือทำแท้ง โดยในส่วนนี้ประมาณ 30% ของวัยรุ่นที่ตั้งท้องเลือกที่จะทำแท้ง!!
   
ยอมรับว่าสังคมไทยในปัจจุบันยังเต็มไปด้วยปัญหาอาญชากรรมต่างๆ การทำแท้ง การฆ่าตัวตาย แต่ทั้งหมดไม่ใช่เครื่องสะท้อนว่า “สังคมไทยไม่น่าอยู่” เพราะหากทุกฝ่าย ทุกคนยังให้ความร่วมมือ สนใจ ใส่ใจกับทุกรายละเอียดของปัญหา เชื่อว่าทุกอย่างจะคลี่คลายไปในทิศทางที่ดีขึ้นอย่างแน่นอน และสังคมไทยก็จะกลับมาเป็น “สังคมที่เป็นสุข” ได้อย่างแท้จริง.

ที่มา.ไทยโพสต์
///////////////////////////////////////////////////////

วันอังคารที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2556

AEC ทางรอดอุตสาหกรรมปลายน้ำ !!??

อุตสาหกรรมของไทยหลายรายการมีศักยภาพในการส่งออก แต่ต้องมาติดกับดักวัตถุดิบขาดแคลน ทำ ให้ผลิตไม่ได้ตามออเดอร์ที่ได้รับคำสั่งซื้อจากต่างประเทศ

ยกตัวอย่างอุตสาหกรรมไม้และเครื่องเรือน ที่ผ่านมาเราใช้วัตถุดิบในประเทศ ผลิตเพื่อส่งออกเป็นหลัก ทั้งการรับจ้างผลิตตามแบบที่ลูกค้ากำหนด การผลิตโดยโรงงานเป็นผู้ออกแบบเอง แต่ อาจมีการปรับปรุงตามแบบที่ลูกค้าเสนอ และการผลิตภายใต้แบรนด์หรือตราสินค้าของตนเอง

แต่เมื่อมีการผลิตมากขึ้น วัตถุดิบก็ร่อยหรอลง โดยเฉพาะไม้เนื้อแข็ง ทำให้ผู้ประกอบการส่วนหนึ่งต้องปรับเปลี่ยนไปใช้ไม้เนื้ออ่อน เช่น ไม้ยางพาราทดแทน แต่ในปัจจุบันการเก็บภาษีไม้ยางพารามีราคาค่อนข้างสูง เมื่อเปรียบเทียบการ นำเข้าไม้คุณภาพดีกว่าจากต่างประเทศ ส่ง ผลให้ผู้ประกอบการหันไปใช้ไม้จากต่างประเทศที่มีราคาใกล้เคียงกัน แต่มีคุณภาพ และราคาที่ดีกว่าไม้ยางพาราในประเทศไทย ทั้งจีน มาเลเซีย และเวียดนาม

หรืออุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม ที่สร้างรายได้ให้กับประเทศไทยในระดับสูง อยู่ในลำดับ 4 รองจากอุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ อุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม และอุตสาหกรรมยานยนต์ เมื่อความต้องการของตลาดโลกมีสูง วัตถุดิบที่นำมาใช้ก็สูงตาม อุตสาหกรรมเหล่านี้ ล้วนเป็นอุตสาหกรรม ปลายน้ำ ซึ่งต้องอาศัยวัตถุดิบต้นน้ำ เช่น เส้นใยในการผลิต บางส่วนต้องนำเข้าจาก ประเทศเพื่อนบ้านในกลุ่มอาเซียน ซึ่งเมื่อ เป็นเออีซี อุตสาหกรรมในกลุ่มเดียวกัน ก็สามารถเป็นพันธมิตรกัน หรือทำคลัสเตอร์ร่วมกันได้ง่าย

ดร.สมชาย หาญหิรัญ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) กระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า เมื่อมีการเปิดประตูการค้าในเวที AEC แล้ว การขนถ่ายปัจจัยในการผลิต ทั้งแรงงาน วัตถุดิบ ก็ง่ายขึ้น ซึ่งเป็นโอกาสในการลดต้นทุนของการผลิตในภาคอุตสาหกรรม ประกอบกับการพัฒนาเส้นทางการค้าต่างๆ ในภูมิภาค อันจะนำมาซึ่งผลประกอบการที่สูงขึ้น

"เรากำลังนำแนวทางการพัฒนาคลัสเตอร์อุตสาหกรรมนำร่องในกลุ่มอุตสาหกรรมไม้และสิ่งทอมาเป็นต้นแบบในการศึกษาการรวมกลุ่มและการจัดการทรัพยากร เพื่อเป็นแบบอย่างการ พัฒนาให้กับคลัสเตอร์อุตสาหกรรมอื่นๆ ของไทยเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน" ผอ.สศอ. กล่าว

ขณะเดียวกัน พงษ์ศักดิ์ อัสสกุล อดีตประธานกรรมการสภาหอการ ค้าแห่งประเทศไทยและกรรมการผู้จัดการ โรงงานทอผ้ากรุงเทพ ที่กล่าวว่า ปัจจุบันนอกจากประเทศไทยแล้ว กลุ่ม ประเทศอาเซียนก็มีข้อตกลงทางการค้ากับประเทศพัฒนาแล้ว ผู้ประกอบการไทย จึงควรใช้โอกาสนี้ให้เป็นประโยชน์ คือออกแบบสินค้าในประเทศไทย แล้วส่งเข้าไปผลิตในประเทศที่มีแรงงานราคาถูกในเวียดนาม สปป.ลาว หรือกัมพูชา แล้วส่งไปขายยังประเทศพัฒนาแล้วโดยไม่ต้องเสียภาษี แบบนี้จะทำให้อุตสาหกรรม สิ่งทอไทยมีความได้เปรียบกว่าอินโดนีเซีย ซึ่งอยู่ในทำเลด้อยกว่าเรา หากสร้างคลัสเตอร์ร่วมกันได้ไทยจะเป็นผู้นำในกลุ่มสิ่งทออาเซียน

"เมื่อเป็นเออีซี เราไม่ต้องกังวลว่าโรงงานจะขาดแคลนวัตถุดิบ ถ้าในสปป.ลาวมีวัตถุดิบประเภทเส้นใยมาก ก็ใช้โรงงานในลาวขึ้นรูปสินค้าได้เลย แล้วส่งเข้ามาประกอบเป็นตัวเสื้อในเมืองไทย โดยไม่ต้องเสียภาษีนำเข้า นี่คือความง่ายของเออีซีที่จะทำให้ธุรกิจใน กลุ่มอุตสาหกรรมเดียวกันดำเนินร่วมกันได้โดยง่าย" พงษ์ศักดิ์ กล่าว

เช่นเดียวกับ จิรบูรณ์ วิทยสิงห์ ประธานกิตติมศักดิ์สมาคมของขวัญของชำร่วยไทยและของตกแต่งบ้านและเลขาธิการสมาพันธ์ผลิตภัณฑ์ไลฟ์สไตล์ไทยที่ปรับตัวรับเออีซีมาก่อนหน้านี้ ด้วยการร่วมกับสมาคมผู้ประกอบการของ ขวัญมาเลเซีย และสมาคมของขวัญสิงคโปร์ จัดตั้งสมาพันธ์อุตสาหกรรมของ ขวัญอาเซียน (ASEAN Gifts Federation) หรือ สมาพันธ์กิฟต์อาเซียน

โดยขณะนี้มีอีก 6 ประเทศที่พร้อมร่วมเป็นสมาชิกของสมาพันธ์คือ อินโดนีเซีย ลาว เมียนมาร์ เวียดนาม อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ โดยแต่ละประเทศจะมีการแลก เปลี่ยนความรู้กัน มีการร่วมกันทำงานในลักษณะของพันธมิตร เช่น คนไทยมีความสามารถด้านการออกแบบ ขณะที่ค่าแรงอาจจะสูงกว่าประเทศเพื่อนบ้าน ก็ส่งงานต่อให้กับผู้ผลิตที่อยู่ในเวียดนามดำเนินการแทน ส่วนมาเลเซีย สิงคโปร์ ก็จะกลายเป็นผู้ค้าให้กับประเทศอื่นๆ เป็นต้น

"ปัจจุบันไทยมีส่วนแบ่งตลาดของขวัญสูงสุดในอาเซียนประมาณ 2 หมื่นล้านบาท หลังก่อตั้งสมาพันธ์และมีการรวมตัวกันครบทุกประเทศเชื่อว่าจะช่วยส่งเสริมยอดขายเติบโตขึ้นปีละ 15% และมีมูลค่าตลาดรวม 1 แสนล้านบาท หรืออาจสูงถึง 150,000 ล้านบาท ก็ได้ ภายใน 5-8 ปี" จิรบูลย์ กล่าว

และนี่คือเรื่องดีๆ ที่จะเกิดจากการเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือเออีซี

ที่มา.สยามธุรกิจ
/////////////////////////////////////////////////////////////

เราปลูกป่าเพื่อใคร !!??

มีคนจำนวนมาก พยายามที่จะบอกกับคนจำนวนที่มากกว่าว่า การตัดไม้ทำลายป่าเป็นสาเหตุหลักของภาวะโลกร้อน ซึ่งทุกคนก็เข้าใจในคำบอกกล่าวนั้น แต่มีน้อยนักที่จะสนใจและใส่ใจ ยังดีที่ว่ายังมีคนที่แม้จะจำนวน ที่น้อยกว่า 2 กลุ่มแรกมากนัก เอาใจใส่และเห็นว่าการคืนผืนป่าให้กับโลกเป็นสิ่งที่สมควร กระทำและต้องเร่งทำ

หนึ่งในจำนวนที่ว่าน้อยนี้มีการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย หรือ กฟผ.รวมอยู่ด้วย ผมจำไม่ได้แล้วว่า กฟผ.เริ่มปลูกป่ามาตั้งแต่ปีไหนและปลูกไปกี่ล้านต้นแล้ว แต่รู้ว่า ถ้าหาก กฟผ.ยังเดินหน้าปลูกกันต่อไปในขณะที่อีกหลาย องค์กรก็รณรงค์ช่วยกันปลูกอีกหน่อยประเทศไทยก็คงได้ผืนป่าที่เคยอุดมสมบูรณ์กลับคืนมา

ในอดีตประเทศไทยจากการสำรวจเมื่อปี 2504 เรามีพื้นที่ป่าไม้มากถึง 53.3% หรือประมาณ 171 ล้านไร่ ของพื้นที่ทั้งหมดที่เรามีอยู่ 321 ล้านไร่ แต่จากสถิติระหว่างปี 2504 จนถึงปี 2552 พื้นที่ป่าของเราลดลงไปถึง 72 ล้านไร่ เหลืออยู่แค่ 30.86% หรือประมาณ 99.15 ล้านไร่ เฉลี่ย แล้วเราเสียป่าไปปีละประมาณ 1.6 ล้านไร่

อย่างไรก็ตาม จากข้อมูลของมูลนิธิสืบนาคะเสถียร เปิดเผยว่า "ในปัจจุบันเนื้อที่ป่าไม้ในประเทศไทยน่าจะมีแนวโน้มสูงขึ้นประมาณ 3% ของเนื้อที่ประเทศไทยจากสถิติในช่วง 2549-255"

คนอื่นจะคิดอย่างไรผมไม่ทราบ แต่ผมเชื่อว่า สาเหตุที่ป่าไม้ของไทยเพิ่มขึ้นมาอย่างน้อยก็ 3% นี้ มาจากการที่มีคนเชื่อว่าป่ามีความ สำคัญต่อคน ต่อโลก และลงมือทำตามความเชื่อนี้อย่างต่อเนื่อง

อย่างที่เรียนแล้วว่า ผมไม่รู้ว่า กฟผ.เริ่มปลูกป่ามาตั้งแต่เมื่อใดและปลูกไปมากน้อยแค่ ไหน แต่ผมก็ชื่นใจที่ได้เห็นคนของ กฟผ.ที่มีสำนึกรับผิดชอบต่อสังคม ระดมแรงและทุนทรัพย์มาร่วมกันปลูกป่า โดยเฉพาะการปลูกป่าในพื้นที่ป่าชุมชนเขายายเที่ยงที่อยู่ในพื้นที่เดียวกับโรงไฟฟ้าลำตะคองชลภาวัฒนา ซึ่งเป็น โรงไฟฟ้าแบบสูบกลับ ซึ่งเป็นครั้งที่ 2 จากจำนวน 4 ครั้ง ของปีนี้ เพื่อสนองพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในการรักษาและฟื้นฟูป่าต้นน้ำ พร้อมกับเปิดตัว เจษฎาภรณ์ ผลดี พระเอกหน้าใสที่มารับหน้าที่เป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ของโครงการ

การปลูกป่าครั้งนี้ กฟผ.ได้ร่วมกับสภา กาชาดไทยและกรีนเวฟ FM 106.5 พาผู้ฟังรายการและผู้พิการทางสายตาที่มีจิตอาสาไปร่วมกันปลูกป่า

ผมเองเคยร่วมกิจกรรมปลูกป่ามาแล้วทั้งบนเขา พื้นราบและป่าชายเลน แต่ไม่เคยมีครั้งไหนจะได้ภาพฝังใจเหมือนไปปลูกป่ากับผู้พิการทางสายตา

ได้เห็นพี่เลี้ยงชาว กฟผ.และประชาชนผู้มีจิตอาสาประคองผู้พิการทางสายตาก้าวย่างตามทางเดินในป่า หลีกหลบก้อนหิน ได้เห็นหนูน้อยที่ใช้มือลูบคลำต้นกล้าไม้พยุงที่จะปลูก ได้เห็นเขาเอามือจับต้นกล้าที่ปลูกและรดน้ำให้กล้าไม้ได้ชุ่มชื่นแล้ว มันตื้นในใจครับ

มาช่วยกันปลูกป่าเพื่อตัวเรา

ที่มา.สยามธุรกิจ
////////////////////////////////////////////////////////