--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันศุกร์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2556

ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ภูมิภาค ทำไมจึงร้อนแรง !!??

คอลัมน์ มองบ้านมองเมือง  มติชนสุดสัปดาห์

ผลที่เห็นได้ชัดจากการดำเนินนโยบายแปรเปลี่ยนสนามรบให้เป็นตลาดการค้าของ พลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ อดีตนายกรัฐมนตรี ทำให้ธุรกิจการค้าชายแดนของไทยเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

จังหวัดชายแดนรอบประเทศ ไม่ว่าจะเป็น เชียงราย ตาก กาญจนบุรี อุดรธานี หนองคาย มุกดาหาร บุรีรัมย์ ฯลฯ จึงคึกคักเหลือกำลัง อันเสริมให้เศรษฐกิจของประเทศโดยรวม ประคองตัวฝ่าวิกฤตเศรษฐกิจได้ แม้ว่าในหลายปีที่ผ่านมา คนในเมืองกรุงเล่นกีฬาสีอย่างเมามัน ส่วนคนในภาคกลางก่อกำแพงกั้นน้ำอย่างวุ่นวาย

กิจการค้าชายแดนยังส่งผลต่อเนื่องถึงหัวเมืองใหญ่ ที่อยู่ใกล้เคียง อย่างเช่น เชียงใหม่ ขอนแก่น นครราชสีมา ชลบุรี

ดังจะเห็นได้จากยอดรายได้ของห้างสรรพสินค้า วัสดุก่อสร้าง และการแต่งบ้าน ที่อุดรธานี นครราชสีมา และขอนแก่น นำสาขาอื่นๆ ทั่วประเทศ

หรือแผนการลงทุนศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซ่า พร้อมกัน 7 แห่ง ในภูมิภาค ได้แก่ ที่เชียงใหม่ อุดรธานี อุบลราชธานี หาดใหญ่ ลำปาง และสุราษฎร์ธานี

ผลพวงจากแผนพัฒนาพื้นที่ทางด้านตะวันออก เป็นท่าเรือน้ำลึกและนิคมอุตสาหกรรม ยังทำให้ชลบุรีและระยองกลายเป็นศูนย์กลางของภูมิภาค

เช่นเดียวกับผลจากแผนพัฒนาการท่องเที่ยว ทำให้เชียงใหม่ พัทยา หาดใหญ่ ภูเก็ต และสมุย เป็นจุดหมายของนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก

หรือแม้แต่ ผลจากน้ำท่วมใหญ่บริเวณอยุธยาทำให้โรงงานต่างๆ เริ่มย้ายกิจการไปยังโคราช ปราจีนบุรี หรือระยอง

ด้วยเหตุที่กล่าวมาทั้งหมด ย่อมทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมากและรวดเร็วในภูมิภาคอย่างที่เห็นได้ด้วยตาเปล่า

แต่ก็ขอเสนอตัวเลขการก่อสร้างที่พักอาศัย ทั้งบ้านแนวราบและอาคารพักอาศัยรวม ประเภทคอนโดมิเนียมหรือแฟลต มาช่วยยืนยันการเปลี่ยนแปลง ซึ่งจะชี้ให้เห็นว่า ช่องว่างระหว่างกรุงเทพฯเมืองหลวงกับหัวเมืองในต่างจังหวัดในภูมิภาคนั้น เริ่มแคบเข้ามา

ยิ่งถ้ารวมตัวเลขของแต่ละจังหวัดเข้าด้วยกัน ตัวเลขในภูมิภาคเริ่มใกล้เคียงหรือเริ่มมากกว่าตัวเลขในกรุงเทพฯ

จากคลังข้อมูลของศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ สำนักงานใหญ่ พบว่าจำนวนบ้านแนวราบที่ขออนุญาตปลูกสร้าง ในปี พ.ศ.2552 นั้น เฉพาะในกรุงเทพฯ ตัวเลขอยู่ที่สองหมื่นหน่วย (21,358) ในขณะที่ ตัวเลขของนครราชสีมาและชลบุรี สูงถึงหมื่นห้าพันหน่วย (14,560 และ 13,936) เชียงใหม่และขอนแก่น ต่ำกว่าหมื่นเพียงเล็กน้อย (9,037, 8,804)

ดังนั้น เพียงแค่สี่จังหวัดในภูมิภาค จำนวนบ้านแนวราบที่ขออนุญาตปลูกสร้าง ในปี พ.ศ.2552 ก็มากกว่าในกรุงเทพฯ แล้ว

สำหรับการขออนุญาตปลูกสร้างอาคารพักอาศัยรวมภาษาราชการ คอนโดมิเนียมหรือแฟลต ภาษาชาวบ้าน ในปี พ.ศ.2552 นั้น ตัวเลขจำนวนอาคารของกรุงเทพฯ จะอยู่ที่ร้อยละยี่สิบของจำนวนรวมทั่วประเทศ แต่ตัวเลขพื้นที่อาจมากขึ้นเป็น ร้อยละห้าสิบ เพราะส่วนใหญ่เป็นอาคารสูง

ในขณะที่ตัวเลขอาคารในชลบุรีนั้น อยู่ที่ร้อยละสิบ และตัวเลขพื้นที่ก็อยู่ที่ร้อยละสิบเช่นกัน

ยังมีข้อมูลเพิ่มเติมดังนี้ สิบลำดับจังหวัดที่ขออนุญาตปลูกสร้างบ้านแนวราบมากที่สุด เริ่มจาก กรุงเทพฯ เป็นลำดับหนึ่ง ตามด้วย นครราชสีมา ชลบุรี นนทบุรี เชียงใหม่ ขอนแก่น ปทุมธานี สงขลา สุราษฎร์ธานี ภูเก็ต และสมุทรปราการ

ส่วนการขออนุญาตอาคารพักอาศัยรวม เริ่มจาก กรุงเทพฯ เป็นอันดับหนึ่งเช่นกัน ตามติดด้วยชลบุรี ขอนแก่น ประจวบคีรีขันธ์ ปทุมธานี ภูเก็ต เชียงใหม่ สมุทรปราการ นครปฐม และนนทบุรี

เพียงแค่ตัวเลขการขออนุญาตปลูกสร้างบ้านแนวราบและอาคารพักอาศัยรวม ที่นำเสนอ ก็สะท้อนถึงความคึกคักของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในภูมิภาคได้อย่างชัดเจน

จึงไม่แปลกที่บรรดาบริษัทอสังหาริมทรัพย์ในกรุงเทพฯ จะแยกย้ายออกไปหากินในต่างจังหวัดกันเป็นที่เรียบร้อย

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
//////////////////////////////////////////////////

วันพฤหัสบดีที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2556

เงินร้อนไหลออก !!??

คลัง.ชี้เงินไหลออกช่วงสั้น เป็นสถานการณ์"ม้วนกลับ"ของเงินทุน ด้าน"กิตติรัตน์"มั่นใจความผันผวนลดลง "เงินร้อน"ไหลออกเกือบหมด

ภาครัฐมั่นใจพื้นฐานเศรษฐกิจไทยแข็งแกร่ง สามารถรับมือกับความผันผวนในตลาดเงินตลาดทุน เนื่องมาจากเงินทุนไหลออก ยังมั่นใจว่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นเพียงระยะสั้น แต่ต้องชี้แจงให้นักลงทุนเข้าใจถึงพื้นฐานเศรษฐกิจไทย

นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่าหากต้องการให้เศรษฐกิจไทยหลุดพ้นจากสถานการณ์เงินทุนไหลออก หรือมีความเสี่ยงที่จะถูกลดอันดับความน่าเชื่อถือ (เครดิตเรทติ้ง) เหมือนกับที่ อินโดนีเซียและอินเดีย เผชิญนั้น สิ่งสำคัญสุด คือ เราต้องชี้แจงให้นักลงทุนต่างชาติทราบว่าพื้นฐานทางเศรษฐกิจของตลาดเกิดใหม่ในเวลานี้มีความแตกต่างกัน

ค่าเงินบาท,เงินทุนไหลกลับ,หุ้น,ตลาดหลักทรัพย์ฯ

กระแสเงินไหลออกจากตลาดหุ้นและตราสารหนี้ของไทย เช่นเดียวกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในภูมิภาค และส่งผลให้ค่าเงินบาทต่อดอลลาร์อ่อนค่าลง

นักลงทุนต่างชาติขายหุ้นสุทธิตั้งแต่ต้นปีรวม 116,464.46 ล้านบาท และ ณ วันที่ 23 ส.ค. 2556 ถือครองตราสารหนี้สุทธิลดลงเหลือ 727,000 ล้านบาท จากที่มียอดคงค้างสูงถึง 870,000 ล้านบาท ขณะที่ค่าเงินบาทต่อดอลลาร์ ร่วงลงอ่อนสุดในรอบกว่า 3 ปี ที่ระดับ 32.28 และดัชนีตลาดหุ้นร่วงจากระดับ 1,600 สู่ระดับ 1,275.76 จุด

"พื้นฐานถือว่ายังอยู่ในระดับดี ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเงินสำรองระหว่างประเทศที่มีจำนวนมาก ระบบสถาบันการเงินมีความเข้มแข็ง และดุลบัญชีเดินสะพัดก็ไม่ได้มีปัญหา ภาพรวมจึงถือว่ามีความแข็งแกร่ง" นายประสาร ย้ำ

สำหรับการส่งออกนั้น นายประสาร กล่าวว่า ธปท.คาดไว้อยู่แล้วว่าปีนี้การเติบโตคงไม่มาก แต่ยอมรับว่าตัวเลขที่ออกมาล่าสุดอยู่ระดับค่อนข้างต่ำ เพียงแต่การนำเข้าเองก็ลดลงตามไปด้วย และยิ่งถ้าหักการนำเข้าทองคำออก ระดับการนำเข้าก็ลดลง ดังนั้น ดุลบัญชีเดินสะพัดทั้งปีจึงค่อนไปทางสมดุล หรือ หากจะขาดดุลก็คงเล็กน้อยเท่านั้น ไม่มีผลต่อพื้นฐานของอัตราแลกเปลี่ยน

"ที่เราอยากเห็น คือ อยากให้เขาได้วิเคราะห์และแยกแยะว่า เศรษฐกิจของแต่ละประเทศเป็นอย่างไร ไม่อยากให้มีการเหมารวม และเชื่อว่าแต่ละประเทศในตลาดเกิดใหม่ก็คงกำลังเฝ้าติดตาม ดูว่าจะมีมาตรการอะไรในการจัดการบ้าง"นายประสาร กล่าว

ชี้ผันผวนช่วงสั้นจากเงินทุน 'ม้วนกลับ'

นายประสาร กล่าวว่า ช่วงนี้ยังมีเงินไหลออกอยู่บ้าง แต่การไหลออกไม่ได้มากนักและไม่ได้สร้างปัญหาใดๆ โดยอัตราแลกเปลี่ยนในขณะนี้ถือว่ามีความยืดหยุ่นพอควร ซึ่ง ธปท.พยายามติดตามว่าอัตราแลกเปลี่ยนมีการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วเกินไปจนกระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจหรือไม่ หากเห็นว่ามีการเปลี่ยนแปลงที่เร็วเกินไป ทาง ธปท.เองก็มีเครื่องมือเพียงพอที่จะดูแลให้มีเสถียรภาพ

"เงินที่ไหลออกคงเป็นเงินระยะสั้น และเชื่อว่าเมื่อนักลงทุนหายแตกตื่นก็คงจะดีขึ้น สถานการณ์ในช่วงนี้เป็นเพียงการม้วนกลับของเงินทุนต่างประเทศ เพราะช่วง 5 ปีที่ผ่านมา มีเงินเข้ามาในตลาดเกิดใหม่มาก เนื่องจากเศรษฐกิจของสหรัฐ ยุโรป และญี่ปุ่นมีปัญหา แต่พอเศรษฐกิจเขาเริ่มฟื้น เงินที่เคยเข้ามาก็กลับออกไปบ้างเป็นเรื่องธรรมดา"นายประสาร กล่าว

'กิตติรัตน์'ระบุเงินร้อนไหลกลับเกือบหมด

นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง กล่าวว่า เท่าที่ติดตามดูสถานการณ์เงินทุนเคลื่อนย้ายในขณะนี้ พบว่า หลังจากที่ ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ประกาศว่าจะลดมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (คิวอี 3) ลง ทำให้มีเงินร้อนที่เคยเข้ามาลงทุนในช่วงก่อนหน้านี้เริ่มไหลกลับออกไป

นายกิตติรัตน์ กล่าวว่า ขณะนี้เงินได้ไหลกลับออกไปจนเกือบหมดแล้ว ดังนั้นเงินทุนที่เหลืออยู่ตอนนี้ส่วนใหญ่จึงเป็นเงินของนักลงทุนระยะยาว ซึ่งทำให้ตลาดมีแนวโน้มว่าจะผันผวนน้อยลง

"การที่ราคาหุ้นปรับลดลงในช่วงนี้ น่าจะเป็นจังหวะของผู้ที่ต้องการลงทุนเพิ่ม นักลงทุนระยะยาวก็คงสนใจลงทุน และเท่าที่ติดตามการขายสุทธิของนักลงทุนต่างประเทศ ก็พบว่า ยอดขายสุทธิของนักลงทุนกลุ่มนี้เริ่มลดลง และคงจะกลับมาเป็นบวกในอีกไม่กี่วันข้างหน้า"นายกิตติรัตน์ กล่าว

มั่นใจอาเซียนรับมือเงินไหลออกได้

นายประสาร กล่าวถึงการเตรียมความพร้อม เพื่อรับมือกับเงินไหลออกนั้น ว่าไม่มีความเป็นห่วง เนื่องจากที่ผ่านมาแต่ละประเทศในภูมิภาคได้สร้างความร่วมมือระหว่างกันขึ้น เช่น การจัดตั้งกองทุนสำรองพหุภาคีภายใต้มาตรการริเริ่มที่เชียงใหม่ หรือ CMIM ซึ่งมีวงเงินในการช่วยเหลือประเทศสมาชิกทั้ง 13 ประเทศ รวมกว่า 2.4 แสนล้านดอลลาร์ รวมทั้ง กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ก็ยืนยันว่า พร้อมให้ความช่วยเหลือเรื่องสภาพคล่อง หากเกิดปัญหาขึ้น

ทั้งนี้ กองทุน CMIM ถือเป็นข้อตกลงระหว่างสมาชิก 13 ประเทศ ที่เรียกสั้นๆ ว่า ASEAN+3 ประกอบไปด้วย ASEAN+10 คือ ไทย สิงคโปร์ อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ บรูไน กัมพูชา ลาว พม่า และ เวียดนาม รวมกับอีก 3 ประเทศยักษ์ใหญ่ทางเศรษฐกิจได้แก่ จีน ญี่ปุ่น และ เกาหลีใต้ เพื่อสร้างระบบความร่วมมือทางการเงินให้ประเทศสมาชิกสามารถช่วยกันบรรเทาปัญหาวิกฤติทางการเงินได้ ในเบื้องต้นหากสมาชิกประสบปัญหาสภาพคล่องในระยะสั้น โดยเป็นการช่วยกันเองในระดับภูมิภาค นอกเหนือไปจากความช่วยเหลือจากภายนอก หรือ องค์กรการเงินระหว่างประเทศอย่าง IMF

ก.ล.ต.ไม่ห่วงทุนไหลออก

นายวรพล โสคติยานุรักษ์ เลขาธิการคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) กล่าวว่า ก.ล.ต.ไม่ได้กังวลใจกับภาวการณ์เงินทุนไหลออกมากนัก เพราะที่ผ่านมา ก.ล.ต. ได้ประเมินสถานการณ์อยู่ตลอดว่า มีปรากฏการณ์อะไรเกิดขึ้นบ้าง ซึ่งก็ไม่พบว่ามีประเด็นใดที่น่าเป็นห่วง

สำหรับการขายสุทธิของนักลงทุนต่างชาติในช่วงนี้ ส่วนใหญ่เป็นเงินร้อนของนักลงทุนต่างชาติที่เข้ามาลงทุน ตั้งแต่ช่วงที่เฟดเริ่มดำเนินมาตรการคิวอี โดยเป็นการเข้ามาตั้งแต่ช่วงปี 2554 พอมาปีนี้จึงมีการไหลออกไปบ้าง ส่วนการปรับลดลงของราคาหุ้นนั้น ก็ควรต้องดูพื้นฐานของตัวบริษัทด้วย ซึ่งเวลานี้มีบริษัทจดทะเบียน (บจ.) กว่า 143 ราย ที่มีราคาหุ้นต่ำกว่ามูลค่าตามบัญชี (บุ๊คแวลู)

"บุ๊คแวลู คือ มูลค่าตามบัญชี ซึ่งเป็นราคาตั้งแต่สมัยที่เขาสร้างโรงงานขึ้นมา ดังนั้นการที่ราคาหุ้นต่ำกว่าบุ๊คแวลู ก็หมายความว่า ราคาหุ้นต่ำกว่าราคาตอนที่สร้างโรงงาน ซึ่งมักจะไม่ค่อยปรากฏ เมื่อไรที่ราคาหุ้นต่ำกว่าบุ๊คแวลู จึงถือเป็นโอกาสของการลงทุน"นายวรพล กล่าว

นอกจากนี้ พื้นฐานเศรษฐกิจไทยถือว่ามีความแข็งแกร่ง สะท้อนผ่านระดับหนี้สาธารณะที่ยังอยู่ต่ำ เงินทุนสำรองระหว่างประเทศที่สูง ดุลบัญชีเดินสะพัดก็ไม่ได้ขาดดุลมาก รวมทั้งยังมีภาคธุรกิจที่หลากหลาย ทั้งภาคบริการ ภาคการท่องเที่ยว รวมไปถึงภาคอุตสาหกรรม

"หาก เฟด ยกเลิกมาตรการคิวอีจริง ก็สะท้อนว่า เศรษฐกิจสหรัฐแข็งแกร่งขึ้น ซึ่งน่าจะเป็นผลดีต่อเศรษฐกิจไทยเพราะทำให้การส่งออกมีแนวโน้มดีขึ้น และการส่งออกไทย ก็มีสัดส่วนสูงถึง 70% ของจีดีพี"

ต่างชาติแห่ร่วม 'ไทยแลนด์โฟกัส'

นายจรัมพร โชติกเสถียร กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยภาพรวมการจัดงาน ไทยแลนด์ โฟกัส 2013 วานนี้ (28 ส.ค.) ว่า มีนักลงทุนเข้าร่วมงานสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยมีนักลงทุนต่างชาติจากทั่วโลกเข้าร่วม 186 ราย และมีบริษัทจดทะเบียนไทย (บจ.) เข้าร่วมนำเสนอข้อมูลถึง 112 แห่ง มีการประชุมในงานมากกว่าสองพันครั้ง แสดงให้เห็นว่าตลาดทุนไทยและเศรษฐกิจไทยอยู่ในความสนใจของทั่วโลก

นายกฤติยา วีรบุรุษ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บล.ภัทร กล่าวว่า เชื่อนักลงทุนส่วนใหญ่ได้รับคำตอบที่เพียงพอในการตัดสินใจเข้ามาลงทุนในไทย โดยเฉพาะคำถามเกี่ยวกับโครงการลงทุน 2 ล้านล้านบาท ซึ่งรัฐบาลยืนยันทำแน่ หลังจากนี้นักลงทุนต้องไปคำนวณดูว่าการลงทุนที่จะเกิดขึ้น จะส่งผลต่อบริษัทที่จะลงทุนมากน้อยเพียงใด และช่วงไหน เพราะแต่ละบริษัท และแต่ละกลุ่มอุตสาหกรรมได้รับผลไม่เท่ากัน ก็ขึ้นอยู่กับการประเมินของนักลงทุน

"เชื่อว่าเงินลงทุนต่างชาติจะเข้ามาลงทุนในไทย แม้ในระยะสั้นอาจมีเงินไหลออกจากตลาดเกิดใหม่บ้าง แต่เงินที่ไหลออกไปในระดับแสนล้านบาท น้อยมากเมื่อเทียบกับเม็ดเงินต่างชาติที่ยังถือครองหุ้นไทยอยู่ปัจจุบันประมาณ 3.5 ล้านล้านบาท ยังไม่รวมการถือหุ้นแบบพันธมิตรลงทุน หรือการเข้าเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของกิจการ ซึ่งถือมานานแล้ว ดัชนีที่ปรับลดลงหลายคนก็มองเป็นโอกาสในการลงทุน"

ด้าน นางสาวอรกัญญา พิบูลธรรม หัวหน้าประเทศ และกรรมการผู้จัดการ ธนาคารแห่งอเมริกา เมอร์ริล ลินช์ กล่าวว่า ผู้ลงทุนต่างชาติที่มาร่วมงาน ให้ความสนใจอย่างมากต่อการเติบโตของเศรษฐกิจไทย และบทบาทของไทยในการเชื่อมโยงการเติบโตของภูมิภาค

ทั้งนี้ ไทยมีภาคธุรกิจที่หลากหลาย พื้นฐานเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง ประกอบกับการดำเนินนโยบายด้านการเงินการคลังที่ระมัดระวังและมีความต่อเนื่อง ช่วยผลักดันให้ประเทศไทยมีความโดดเด่นและเป็นเศรษฐกิจชั้นนำในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มีอัตราการเติบโตสูงในปัจจุบัน

ซีเรียและคิวอี กดบาททะลุ 32.20 ต่อดอลล์

นักบริหารเงินจากธนาคารพาณิชย์ กล่าวว่า ค่าเงินบาทวานนี้เปิดตลาดที่ระดับ 32.18-32.20 บาทต่อดอลลาร์ และได้อ่อนค่าไปถึงระดับ 32.22 บาทต่อดอลลาร์ แต่มีแรงซื้อเงินบาทกลับเข้ามา ทำให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นไปอยู่ที่ระดับ 32.16 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับที่แข็งค่าสุดของวัน อย่างไรก็ตาม มีแรงขายเงินบาทเพื่อซื้อดอลลาร์สหรัฐกลับเข้ามาอีกครั้ง ทำให้เงินบาทกลับมาอ่อนค่าไปแตะระดับ 32.30 บาทต่อดอลลาร์ ทำสถิติใหม่ในรอบ 3 ปีอีกครั้ง ท่ามกลางปริมาณซื้อขายที่เบาบาง และปิดตลาดที่ระดับ 32.25-32.27 บาทต่อดอลลาร์

สำหรับปัจจัยที่มีผลต่อค่าเงินบาทวานนี้ มาจากทิศทางของค่าเงินภูมิภาคที่อ่อนค่าลงเทียบกับดอลลาร์ นำโดยค่าเงินอินเดียที่มีความผันผวนค่อนข้างมากและทำสถิติใหม่อีกครั้ง ซึ่งความกังวลของตลาดวานนี้ ยังมาจากการชะลอมาตรการคิวอีของสหรัฐอเมริกา ประกอบกับความไม่สงบในซีเรีย ที่ตลาดห่วงว่า หากมีสงครามเกิดขึ้นจะทำให้ความต้องการดอลลาร์สหรัฐปรับเพิ่มขึ้นไปด้วย โดยกรอบความเคลื่อนไหวเงินบาทในระยะสั้น ยังคาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.20-32.30 บาทต่อดอลลาร์ ส่วนระยะถัดไปต้องติดตามการชะลอมาตรการคิวอี ทั้งระยะเวลาและวงเงินที่ลดลงด้วย

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
/////////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันพุธที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2556

โหลด แชร์ ช็อป เสี่ยงละเมิดลิขสิทธิ์ แฮกข้อมูล !!??

ต้น สัปดาห์ที่ผ่านมา ประเด็นร้อนที่แพร่หลายและถกเถียงกันอย่างหนักในโซเซียลเน็ตเวิร์กว่าเป็น เรื่องจริงหรือไม่ กรณีคนไทยโดนจับที่สนามบินในสหรัฐอเมริกา เพราะเปิดไอแพดดูหนังที่โหลดมาจากเว็บไซต์ยูทูบระหว่างรอขึ้นเครื่องบิน ทำให้ต้องโทษจำคุกนานถึง 6 เดือน แต่ภายหลังครอบครัวส่งทนายไปประกันตัวมาด้วยเงินประมาณ 1 ล้านบาท

อ.ไพบูลย์ อมรภิญโญเกียรติ" ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายคอมพิวเตอร์และลิขสิทธิ์ ระบุว่าเป็นเรื่องจริง แต่อาจมีข้อมูลบางอย่างคลาดเคลื่อนเกินจริงไปบ้าง

กฎหมายลิขสิทธิ์ฉบับใหม่ของสหรัฐอเมริกา มีการกำหนดโทษเกี่ยวกับการดาวน์โหลดเพลง หนัง ซอฟต์แวร์จากแหล่งที่ผิดกฎหมาย เพื่อคุ้มครองอุตสาหกรรมบันเทิงและซอฟต์แวร์ของอเมริกา แต่กฎหมายนี้ไม่มีโทษจำคุก มีแต่โทษปรับตั้งแต่ 750-30,000 เหรียญสหรัฐ กฎหมายฉบับนี้เริ่มใช้เมื่อ 1-2 ปีที่แล้ว มีคนโดนจับด้วยกฎหมายนี้แล้วไม่น้อย กรณีล่าสุดคาดว่าจะมีไฟล์ข้อมูลในเครื่องมากพอสมควรด้วย"

ประเทศอื่นก็มีกฎหมายที่เข้มงวดเรื่องนี้เช่นกัน แต่ไม่มากเท่าในสหรัฐอเมริกา ฉะนั้น ผู้ที่เดินทางไปอเมริกาต้องระมัดระวัง โดยเฉพาะการนำสื่อลามกอนาจารเกี่ยวเด็กเข้าไปยังสหรัฐอเมริกา เนื่องจากเป็นเรื่องซีเรียสมาก มีคนไทยหลายรายโดนดำเนินคดีมาแล้ว ขณะที่ฝั่งยุโรปให้ความสำคัญกับการละเมิดตราสินค้า หรือสินค้าปลอมมากกว่า

พฤติกรรมนักท่องเน็ตจำนวนมากสุ่มเสี่ยงกับการทำผิดกฎหมาย ทั้ง พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์, พ.ร.บ.ลิขสิทธิ์ และประมวลกฎหมายอาญา โดยเฉพาะความผิดเกี่ยวกับการหมิ่นประมาท ในส่วนการเผยแพร่ข้อมูลที่ทำให้ผู้อื่นเสียหาย เช่น ใครส่งอะไรมาให้แล้วเรานำไปแชร์ต่อ ๆ หลายคนเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา มีโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี ปรับไม่เกิน 2 แสนบาท"

และอาจโดนโยงกับมาตรา 14 พ.ร.บ.คอมพ์ ว่าด้วยการนำเข้าข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น มีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 1 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับได้ด้วย

"อ.ไพบูลย์" ย้ำว่า สิ่งที่หลายคนคุ้นชินและมักทำกันแพร่หลาย ไม่ว่าจะเป็นการนำคลิปเพลงหรือหนังจากเว็บไซต์ยูทูบมาแปะเพื่อให้ดูได้บนเว็บตัวเองแบบ Embed VDO หรือการตัดต่อข้อความจากทวิตเตอร์คนอื่นนำมาแปะในโซเซียลเน็ตเวิร์กของตัวเอง หรือดึงรูปจากอินสตาแกรมคนอื่นโดยไม่ได้อ้างอิงแหล่งที่มา ล้วนแต่เสี่ยงคุกทั้งนั้น เพราะเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ผู้อื่น ยิ่งถ้าเป็นรูปหรือคลิปวิดีโอล้อเลียนเสียดสีผู้อื่น อาจโดนความผิดฐานหมิ่นประมาทร่วมไปกับคนที่เป็นต้นตอปล่อยคลิป

ถ้าเจ้าของข้อความหรือรูปนั้น ๆ ไม่ได้ตั้งค่าความเป็นส่วนตัวในอินสตาแกรม เฟซบุ๊กเป็นแบบสาธารณะ (Public) คนนำรูปไปใช้ อาจมีความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพ์ เกี่ยวกับการเข้าสู่ระบบโดยไม่ได้รับอนุญาตพ่วงอีกข้อหา มีโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 4 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

"ที่พบว่าทำกันมาก และมีกรณีที่โดนฟ้องร้องแล้ว คือการนำรูปหรือข้อความของคนอื่นมาใช้ในเว็บหรือโซเซียลเน็ตเวิร์กของตนโดยไม่ได้อ้างอิงแหล่งที่มา ตอนนี้มีบริษัทต่างชาติหรือแม้แต่บริษัทในไทยเองยื่นฟ้องเรียกร้องค่าเสียหายฐานละเมิดลิขสิทธิ์ ล่าสุด กรณีนำรูปนักเทนนิสมาเรีย ชาราโปว่า ไปแปะในเว็บ โดนเรียกค่าเสียหายรูปละ 50,000 บาท"

ฉะนั้น สิ่งที่ชาวออนไลน์พึงจำและทำเสมอ คือเมื่อใดที่นำข้อมูลหรือรูปภาพมาจากที่อื่น "จงอ้างอิงแหล่งที่มา" ทุกครั้ง ยิ่งถ้าในพื้นที่ออนไลน์ที่นำไปแปะ ไม่ว่าจะเป็นเว็บไซต์ บล็อก หรือเฟซบุ๊ก ทำขึ้นเพื่อการค้า บทลงโทษจะยิ่งหนัก

"การนำไปใช้เพื่อการค้า แค่ในเว็บมีแบนเนอร์โฆษณา ก็เข้าข่ายแล้ว หรือถ้าในชื่อเว็บเป็นชื่อบริษัท ชื่อเพื่อให้ค้าขาย ถือเป็นการนำไปใช้เพื่อกิจการของตัวเอง พวกนี้โทษหนักขึ้น แต่ที่อยากให้ระวังมาก ๆ คือการ embed คลิป และการดาวน์โหลดจากยูทูบ เพื่อความปลอดภัย ให้ใช้เป็นการแปะลิงก์ ให้คลิกเข้าไปดูได้ที่ยูทูบดีกว่า อีกทั้งให้เปิดดูออนไลน์ อย่าโหลดเก็บไว้"

"อ.ไพบูลย์" ยังฝากเตือนนักช็อปปิ้งออนไลน์ด้วยว่า ต้องระวังเรื่องการโดนดักข้อมูลส่วนตัว โดยเฉพาะข้อมูลบัตรเครดิต บัญชีธนาคาร ดังนั้น ก่อนซื้อสินค้า และกรอกข้อมูลต่าง ๆ ต้องมั่นใจว่าเป็นเว็บไซต์ที่เชื่อถือได้ มีระบบรักษาความปลอดภัยในการทำธุรกรรมทางการเงินที่ดี และอย่าเข้าไปกรอกข้อมูลในเว็บที่มีการซื้อขายสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์ หรือสินค้าประเภท sex toys สื่อลามกอนาจาร รวมถึงเว็บไซต์ที่มีต้นทางจากมาเลเซีย เนื่องจากเป็นเป้าหมายสำคัญของบรรดาแฮกเกอร์ ซึ่งในมาเลเซียเองมีการทำธุรกิจซื้อขายข้อมูลเหล่านี้เป็นล่ำเป็นสัน แม้จะผิดกฎหมายก็ตาม

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
///////////////////////////////////////////////

ปัญหาสังคม ร้อนแรง รอการเยียวยา !!??

ร้อนแรงไม่เลิกราจริงๆ สำหรับปัญหาเศรษฐกิจไทย ที่ล่าสุด “บีบีซี” ได้นำเสนอบทความ “Thailand’s economy enters recession” โดยระบุว่าเศรษฐกิจไทยกำลังเข้าสู่ภาวะถดถอย เนื่องจากตัวเลขจีดีพีของไทยไม่การชะลอตัวอย่างต่อเนื่อง และเติบโตไม่เป็นไปตามที่คาดการณ์ โดยเฉพาะในไตรมาสที่ 2 ปี 2556 และต้องถือเป็นเรื่องสะท้านสะเทือนถึงหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพราะคำว่า “เศรษฐกิจถดถอย” ไม่ใช่ปัญหาปลาซิวปลาสร้อยที่ “ใคร” จะมองข้ามไปง่ายๆ
   
โดยเฉพาะ “สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.)” ที่ออกมายอมรับอย่างหน้าชื่นอกตรมว่า “หากมองในทางเทคนิคแล้ว  ยอมรับว่าเศรษฐกิจไทยเข้าสู่ภาวะถดถอย (Recession) เนื่องจากจีดีพีติดลบต่อเนื่องถึง 2 ไตรมาส และการเติบโตอย่างผิดคาดของเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 2 ของปี ก็มาจากความผิดปกติของฐานการเติบโตในช่วงปลายปี 2555 ที่สูงมาก รวมถึงยังมีปัญหาการที่พม่าหยุดส่งก๊าซธรรมชาติชั่วคราว ทำให้ภาคธุรกิจได้รับผลกระทบและหยุดการผลิตไปบางส่วน”
   
แต่ดูเหมือนยังมีบางเรื่องที่น่าจะเป็นประเด็น แต่อาจจะไม่ได้รับความสนใจเหมือนเรื่องราวทางเศรษฐกิจในขณะนี้มากนัก นั่นคือ “ดัชนีความสุขมวลรวมของคนไทย” ที่ล่าสุด “สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ  (สศช.) หรือสภาพัฒน์” ออกมาระบุโดยอ้างอิงผลการสำรวจของ “เอแบคโพลล์” ว่า ในช่วง 29 ก.ค. - 1 ส.ค.2556 “ดัชนีความสุขมวลรวมของคนไทยลดลง” มาอยู่ที่ 5.62% จากช่วง  มี.ค.อยู่ที่ 6.58% และช่วงปลายปี 2555 อยู่ในระดับสูงที่สุดที่ 7.61%
   
และปัญหาสำคัญที่กระทบกระเทือนต่อความสุขของคนไทยทั้งประเทศ คงหนีไม่พ้น “ปัญหาค่าครองชีพที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง” ซึ่งเป็นผลสืบเนื่องมาจากภาคเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศที่กำลังเริ่มมีปัญหา และส่งผลตามมาทำให้เกิดปัญหา “หนี้ครัวเรือน” นอกจากนี้ยังมีปัญหา “ความไม่สงบทางการเมือง” ที่จนปัจจุบันก็ยังหาข้อสรุปของเรื่องนี้ไม่ได้
   
ความเครียด ไม่ได้เกิดแค่ในผู้ใหญ่วัยทำงานเท่านั้น  เพราะปัจจุบันเด็กและเยาวชนก็เกิดปัญหาความเครียดรุมเร้าไม่แพ้กัน จากการดำเนินชีวิตภายใต้สภาพแวดล้อมอย่างในทุกวันนี้ ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อสุขภาพจิต และที่พบมากที่สุดนอกจากปัญหา “ความเครียด” “ภาวะโรคซึมเศร้า” จนนำไปสู่ปัญหา “การฆ่าตัวตาย” ในที่สุด และปัจจุบันมีข้อมูลยืนยันชัดเจนแล้วว่า “การฆ่าตัวตายของคนไทยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง”  และที่น่าแปลกใจนั่นคือ กลุ่มวัยรุ่นอายุ 10-19 ปี มีการฆ่าตัวตายเพิ่มสูงขึ้น เฉลี่ยปีละ 200 คน ซึ่งเป็นผลสืบเนื่องมาจากความเครียดในปัญหาการเรียนและความรัก
   
โดยข้อมูลบ่งชี้ชัดเจนว่าปัจจุบันคนไทยมี “ความเครียด”  เพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ จากข้อมูลปรึกษาปัญหาสุขภาพจิต ของกรมสุขภาพจิต ในปี 2555 พบว่า คนไทยให้ความสนใจปรึกษาปัญหาสุขภาพจิตมากขึ้น อยู่ที่ 3.6 หมื่นราย หรือเพิ่มขึ้น 65% จากปีที่ผ่านมา โดยกลุ่มอายุที่ใช้บริการมากที่สุด คือ กลุ่มอายุต่ำกว่า 18 ปี รองลงมาคือกลุ่มอายุ 26-30 ปี ซึ่งกลุ่มเด็กและวัยรุ่นที่เข้ามาขอรับบริการส่วนใหญ่จะปรึกษาปัญหา “ความคาดหวังของผู้ปกครองต่อการเรียน และการไม่ไว้วางใจเกี่ยวกับการคบเพื่อน ไปจนถึงปัญหาของความรัก”
   
ปัญหาความน่ากังวลในสังคมยังไม่หมด เพราะปัจจุบันวัยรุ่นไทยยังมีแนวโน้มเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์มากขึ้นอีกด้วย โดยจากข้อมูลของสำนักระบาดวิทยา พบว่า กลุ่มเยาวชน อายุ 15-24 ปี มีอัตราการป่วยเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ โดยสาเหตุส่วนใหญ่มาจากการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน
   
และอีกปัญหาที่บั่นทอนความรู้สึกของคนในสังคม นั่นคือ “ปัญหาการท้องไม่พร้อม” ซึ่งท้ายที่สุดอาจนำไปสู่ “การทำแท้ง” โดยจากข้อมูลสถิติสาธารณสุข ชี้ให้เห็นชัดเจนถึงอัตราการเจริญพันธุ์ของคนทั่วไปว่ามีแนวโน้มลดลงเหลือ 24.4% ต่อประชากรหญิง 1 พันคน แต่สิ่งที่น่าตกใจนั่นคือ อัตราการเจริญพันธุ์ตามหมวดอายุมารดาที่ 15-19 ปี กลับมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และเป็นที่น่าสังเกตว่าอัตราแม่วัยรุ่นควรจะลดลงมากกว่าจากการขยายโอกาสทางการศึกษาที่ทำให้เด็กอยู่ในระบบนานขึ้น แต่ตัวเลขดังกล่าวที่เพิ่มขึ้น คงเป็นเครื่องสะท้อนให้เห็นแล้วว่ายังมีเด็กจำนวนไม่น้อยที่อยู่ในระบบการศึกษาพื้นฐานไม่ครบ แม้จะมีโครงการเรียนฟรีและการขยายโอกาสทางการศึกษาอย่างต่อเนื่องก็ตาม
   
นอกจากปัญหา “การท้องไม่พร้อม” แล้ว ยังมีเรื่องที่น่าขบคิดต่ออีกเรื่อง มีการศึกษาของโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ที่ร่วมกับกรมอนามัย และมีการคาดการณ์ว่าจะมีการทำแท้ง 1-2 แสนรายต่อปี โดย 1 ใน 3 หรือประมาณ 3-5 หมื่นราย เป็นวัยรุ่น ส่วนกลุ่มแม่วัยรุ่นอีก 27.1% ท้อง เพราะไม่มีทางเลือกหรือไม่มีโอกาสยุติการท้อง และปัญหา “การทำแท้งเถื่อน” ก็ยังคงเป็นปัญหาใหญ่ของสังคมไทย และถือเป็นการกระทำผิดกฎหมายอาญา โดยในปี 2554 พบว่ามีหญิงไทยที่มีอัตราการท้องเฉลี่ย 1.1 ล้านคน คลอดสำเร็จ 8 แสนคน ส่วนที่เหลือคาดว่ามีการยุติการตั้งครรภ์ หรือทำแท้ง โดยในส่วนนี้ประมาณ 30% ของวัยรุ่นที่ตั้งท้องเลือกที่จะทำแท้ง!!
   
ยอมรับว่าสังคมไทยในปัจจุบันยังเต็มไปด้วยปัญหาอาญชากรรมต่างๆ การทำแท้ง การฆ่าตัวตาย แต่ทั้งหมดไม่ใช่เครื่องสะท้อนว่า “สังคมไทยไม่น่าอยู่” เพราะหากทุกฝ่าย ทุกคนยังให้ความร่วมมือ สนใจ ใส่ใจกับทุกรายละเอียดของปัญหา เชื่อว่าทุกอย่างจะคลี่คลายไปในทิศทางที่ดีขึ้นอย่างแน่นอน และสังคมไทยก็จะกลับมาเป็น “สังคมที่เป็นสุข” ได้อย่างแท้จริง.

ที่มา.ไทยโพสต์
///////////////////////////////////////////////////////

วันอังคารที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2556

AEC ทางรอดอุตสาหกรรมปลายน้ำ !!??

อุตสาหกรรมของไทยหลายรายการมีศักยภาพในการส่งออก แต่ต้องมาติดกับดักวัตถุดิบขาดแคลน ทำ ให้ผลิตไม่ได้ตามออเดอร์ที่ได้รับคำสั่งซื้อจากต่างประเทศ

ยกตัวอย่างอุตสาหกรรมไม้และเครื่องเรือน ที่ผ่านมาเราใช้วัตถุดิบในประเทศ ผลิตเพื่อส่งออกเป็นหลัก ทั้งการรับจ้างผลิตตามแบบที่ลูกค้ากำหนด การผลิตโดยโรงงานเป็นผู้ออกแบบเอง แต่ อาจมีการปรับปรุงตามแบบที่ลูกค้าเสนอ และการผลิตภายใต้แบรนด์หรือตราสินค้าของตนเอง

แต่เมื่อมีการผลิตมากขึ้น วัตถุดิบก็ร่อยหรอลง โดยเฉพาะไม้เนื้อแข็ง ทำให้ผู้ประกอบการส่วนหนึ่งต้องปรับเปลี่ยนไปใช้ไม้เนื้ออ่อน เช่น ไม้ยางพาราทดแทน แต่ในปัจจุบันการเก็บภาษีไม้ยางพารามีราคาค่อนข้างสูง เมื่อเปรียบเทียบการ นำเข้าไม้คุณภาพดีกว่าจากต่างประเทศ ส่ง ผลให้ผู้ประกอบการหันไปใช้ไม้จากต่างประเทศที่มีราคาใกล้เคียงกัน แต่มีคุณภาพ และราคาที่ดีกว่าไม้ยางพาราในประเทศไทย ทั้งจีน มาเลเซีย และเวียดนาม

หรืออุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม ที่สร้างรายได้ให้กับประเทศไทยในระดับสูง อยู่ในลำดับ 4 รองจากอุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ อุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม และอุตสาหกรรมยานยนต์ เมื่อความต้องการของตลาดโลกมีสูง วัตถุดิบที่นำมาใช้ก็สูงตาม อุตสาหกรรมเหล่านี้ ล้วนเป็นอุตสาหกรรม ปลายน้ำ ซึ่งต้องอาศัยวัตถุดิบต้นน้ำ เช่น เส้นใยในการผลิต บางส่วนต้องนำเข้าจาก ประเทศเพื่อนบ้านในกลุ่มอาเซียน ซึ่งเมื่อ เป็นเออีซี อุตสาหกรรมในกลุ่มเดียวกัน ก็สามารถเป็นพันธมิตรกัน หรือทำคลัสเตอร์ร่วมกันได้ง่าย

ดร.สมชาย หาญหิรัญ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) กระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า เมื่อมีการเปิดประตูการค้าในเวที AEC แล้ว การขนถ่ายปัจจัยในการผลิต ทั้งแรงงาน วัตถุดิบ ก็ง่ายขึ้น ซึ่งเป็นโอกาสในการลดต้นทุนของการผลิตในภาคอุตสาหกรรม ประกอบกับการพัฒนาเส้นทางการค้าต่างๆ ในภูมิภาค อันจะนำมาซึ่งผลประกอบการที่สูงขึ้น

"เรากำลังนำแนวทางการพัฒนาคลัสเตอร์อุตสาหกรรมนำร่องในกลุ่มอุตสาหกรรมไม้และสิ่งทอมาเป็นต้นแบบในการศึกษาการรวมกลุ่มและการจัดการทรัพยากร เพื่อเป็นแบบอย่างการ พัฒนาให้กับคลัสเตอร์อุตสาหกรรมอื่นๆ ของไทยเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน" ผอ.สศอ. กล่าว

ขณะเดียวกัน พงษ์ศักดิ์ อัสสกุล อดีตประธานกรรมการสภาหอการ ค้าแห่งประเทศไทยและกรรมการผู้จัดการ โรงงานทอผ้ากรุงเทพ ที่กล่าวว่า ปัจจุบันนอกจากประเทศไทยแล้ว กลุ่ม ประเทศอาเซียนก็มีข้อตกลงทางการค้ากับประเทศพัฒนาแล้ว ผู้ประกอบการไทย จึงควรใช้โอกาสนี้ให้เป็นประโยชน์ คือออกแบบสินค้าในประเทศไทย แล้วส่งเข้าไปผลิตในประเทศที่มีแรงงานราคาถูกในเวียดนาม สปป.ลาว หรือกัมพูชา แล้วส่งไปขายยังประเทศพัฒนาแล้วโดยไม่ต้องเสียภาษี แบบนี้จะทำให้อุตสาหกรรม สิ่งทอไทยมีความได้เปรียบกว่าอินโดนีเซีย ซึ่งอยู่ในทำเลด้อยกว่าเรา หากสร้างคลัสเตอร์ร่วมกันได้ไทยจะเป็นผู้นำในกลุ่มสิ่งทออาเซียน

"เมื่อเป็นเออีซี เราไม่ต้องกังวลว่าโรงงานจะขาดแคลนวัตถุดิบ ถ้าในสปป.ลาวมีวัตถุดิบประเภทเส้นใยมาก ก็ใช้โรงงานในลาวขึ้นรูปสินค้าได้เลย แล้วส่งเข้ามาประกอบเป็นตัวเสื้อในเมืองไทย โดยไม่ต้องเสียภาษีนำเข้า นี่คือความง่ายของเออีซีที่จะทำให้ธุรกิจใน กลุ่มอุตสาหกรรมเดียวกันดำเนินร่วมกันได้โดยง่าย" พงษ์ศักดิ์ กล่าว

เช่นเดียวกับ จิรบูรณ์ วิทยสิงห์ ประธานกิตติมศักดิ์สมาคมของขวัญของชำร่วยไทยและของตกแต่งบ้านและเลขาธิการสมาพันธ์ผลิตภัณฑ์ไลฟ์สไตล์ไทยที่ปรับตัวรับเออีซีมาก่อนหน้านี้ ด้วยการร่วมกับสมาคมผู้ประกอบการของ ขวัญมาเลเซีย และสมาคมของขวัญสิงคโปร์ จัดตั้งสมาพันธ์อุตสาหกรรมของ ขวัญอาเซียน (ASEAN Gifts Federation) หรือ สมาพันธ์กิฟต์อาเซียน

โดยขณะนี้มีอีก 6 ประเทศที่พร้อมร่วมเป็นสมาชิกของสมาพันธ์คือ อินโดนีเซีย ลาว เมียนมาร์ เวียดนาม อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ โดยแต่ละประเทศจะมีการแลก เปลี่ยนความรู้กัน มีการร่วมกันทำงานในลักษณะของพันธมิตร เช่น คนไทยมีความสามารถด้านการออกแบบ ขณะที่ค่าแรงอาจจะสูงกว่าประเทศเพื่อนบ้าน ก็ส่งงานต่อให้กับผู้ผลิตที่อยู่ในเวียดนามดำเนินการแทน ส่วนมาเลเซีย สิงคโปร์ ก็จะกลายเป็นผู้ค้าให้กับประเทศอื่นๆ เป็นต้น

"ปัจจุบันไทยมีส่วนแบ่งตลาดของขวัญสูงสุดในอาเซียนประมาณ 2 หมื่นล้านบาท หลังก่อตั้งสมาพันธ์และมีการรวมตัวกันครบทุกประเทศเชื่อว่าจะช่วยส่งเสริมยอดขายเติบโตขึ้นปีละ 15% และมีมูลค่าตลาดรวม 1 แสนล้านบาท หรืออาจสูงถึง 150,000 ล้านบาท ก็ได้ ภายใน 5-8 ปี" จิรบูลย์ กล่าว

และนี่คือเรื่องดีๆ ที่จะเกิดจากการเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือเออีซี

ที่มา.สยามธุรกิจ
/////////////////////////////////////////////////////////////

เราปลูกป่าเพื่อใคร !!??

มีคนจำนวนมาก พยายามที่จะบอกกับคนจำนวนที่มากกว่าว่า การตัดไม้ทำลายป่าเป็นสาเหตุหลักของภาวะโลกร้อน ซึ่งทุกคนก็เข้าใจในคำบอกกล่าวนั้น แต่มีน้อยนักที่จะสนใจและใส่ใจ ยังดีที่ว่ายังมีคนที่แม้จะจำนวน ที่น้อยกว่า 2 กลุ่มแรกมากนัก เอาใจใส่และเห็นว่าการคืนผืนป่าให้กับโลกเป็นสิ่งที่สมควร กระทำและต้องเร่งทำ

หนึ่งในจำนวนที่ว่าน้อยนี้มีการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย หรือ กฟผ.รวมอยู่ด้วย ผมจำไม่ได้แล้วว่า กฟผ.เริ่มปลูกป่ามาตั้งแต่ปีไหนและปลูกไปกี่ล้านต้นแล้ว แต่รู้ว่า ถ้าหาก กฟผ.ยังเดินหน้าปลูกกันต่อไปในขณะที่อีกหลาย องค์กรก็รณรงค์ช่วยกันปลูกอีกหน่อยประเทศไทยก็คงได้ผืนป่าที่เคยอุดมสมบูรณ์กลับคืนมา

ในอดีตประเทศไทยจากการสำรวจเมื่อปี 2504 เรามีพื้นที่ป่าไม้มากถึง 53.3% หรือประมาณ 171 ล้านไร่ ของพื้นที่ทั้งหมดที่เรามีอยู่ 321 ล้านไร่ แต่จากสถิติระหว่างปี 2504 จนถึงปี 2552 พื้นที่ป่าของเราลดลงไปถึง 72 ล้านไร่ เหลืออยู่แค่ 30.86% หรือประมาณ 99.15 ล้านไร่ เฉลี่ย แล้วเราเสียป่าไปปีละประมาณ 1.6 ล้านไร่

อย่างไรก็ตาม จากข้อมูลของมูลนิธิสืบนาคะเสถียร เปิดเผยว่า "ในปัจจุบันเนื้อที่ป่าไม้ในประเทศไทยน่าจะมีแนวโน้มสูงขึ้นประมาณ 3% ของเนื้อที่ประเทศไทยจากสถิติในช่วง 2549-255"

คนอื่นจะคิดอย่างไรผมไม่ทราบ แต่ผมเชื่อว่า สาเหตุที่ป่าไม้ของไทยเพิ่มขึ้นมาอย่างน้อยก็ 3% นี้ มาจากการที่มีคนเชื่อว่าป่ามีความ สำคัญต่อคน ต่อโลก และลงมือทำตามความเชื่อนี้อย่างต่อเนื่อง

อย่างที่เรียนแล้วว่า ผมไม่รู้ว่า กฟผ.เริ่มปลูกป่ามาตั้งแต่เมื่อใดและปลูกไปมากน้อยแค่ ไหน แต่ผมก็ชื่นใจที่ได้เห็นคนของ กฟผ.ที่มีสำนึกรับผิดชอบต่อสังคม ระดมแรงและทุนทรัพย์มาร่วมกันปลูกป่า โดยเฉพาะการปลูกป่าในพื้นที่ป่าชุมชนเขายายเที่ยงที่อยู่ในพื้นที่เดียวกับโรงไฟฟ้าลำตะคองชลภาวัฒนา ซึ่งเป็น โรงไฟฟ้าแบบสูบกลับ ซึ่งเป็นครั้งที่ 2 จากจำนวน 4 ครั้ง ของปีนี้ เพื่อสนองพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในการรักษาและฟื้นฟูป่าต้นน้ำ พร้อมกับเปิดตัว เจษฎาภรณ์ ผลดี พระเอกหน้าใสที่มารับหน้าที่เป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ของโครงการ

การปลูกป่าครั้งนี้ กฟผ.ได้ร่วมกับสภา กาชาดไทยและกรีนเวฟ FM 106.5 พาผู้ฟังรายการและผู้พิการทางสายตาที่มีจิตอาสาไปร่วมกันปลูกป่า

ผมเองเคยร่วมกิจกรรมปลูกป่ามาแล้วทั้งบนเขา พื้นราบและป่าชายเลน แต่ไม่เคยมีครั้งไหนจะได้ภาพฝังใจเหมือนไปปลูกป่ากับผู้พิการทางสายตา

ได้เห็นพี่เลี้ยงชาว กฟผ.และประชาชนผู้มีจิตอาสาประคองผู้พิการทางสายตาก้าวย่างตามทางเดินในป่า หลีกหลบก้อนหิน ได้เห็นหนูน้อยที่ใช้มือลูบคลำต้นกล้าไม้พยุงที่จะปลูก ได้เห็นเขาเอามือจับต้นกล้าที่ปลูกและรดน้ำให้กล้าไม้ได้ชุ่มชื่นแล้ว มันตื้นในใจครับ

มาช่วยกันปลูกป่าเพื่อตัวเรา

ที่มา.สยามธุรกิจ
////////////////////////////////////////////////////////

นายกฯ ชูยุทธศาสตร์ ชาติเหนือพรรค ต้านเกมป่วนในสภา !!??

โดย. นพคุณ ศิลาเณร

เอาเป็นว่า "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" ผู้ถูกปรามาสว่า มีอายุสมองและขนาดจิตใจ ทางการเมืองเพียง 49 วัน ได้เป็น "นายกรัฐมนตรี" ย่างเข้าปีที่ 3 แล้ว โดยพรรค ประชาธิปัตย์ที่เต็มไปด้วยนักการเมืองเขี้ยวลากดินยังโค่นเธอไม่ได้

ภาพลักษณ์รัฐบาลและพรรคเพื่อไทยยามนี้ ถูกมองผ่านความมุ่งมั่นทำงานของ "นายกรัฐมนตรี" ว่า สดใส น่ารัก ขยันทำงาน และต้องการให้บ้านเมืองเกิดความสงบด้วยแนวทางการเจรจาแก้ไขปัญหาแบบ "ชาติเหนือพรรค" ส่วนพรรคประชาธิปัตย์กับฝ่ายแค้น พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ไม่ให้ความร่วมมือ เอาแต่เดินเกมป่วน ตีรวนรัฐบาลทุกรูปแบบทั้งในสภาและเตรียมก่อหวอดข้างถนน

จุดเด่นของยิ่งลักษณ์อยู่ที่ "กลยุทธ์" ทำงาน เธอเน้นภารกิจแบบ "ชาติเหนือพรรค" มากกว่าเอาใจฐานเสียงจากแนวร่วมประชาธิปไตยไล่เผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ไม่เปิดจุดอ่อนให้พรรคประชาธิปัตย์นำมาล่อเป้าเล่นงานได้ถนัดนัก การโจมตีส่วนมากก่ออาการ "ตีรวนแบบนักเลงคุมซอย" โดยวนเวียนอยู่กับการป่วนแนวทางปฏิรูปการเมือง, การพิจารณาร่างกฎหมายงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2557 จำนวน 2.5 ล้านล้านบาท ในวาระสอง ต่อต้านร่างกฎหมายนิรโทษกรรม ในขั้น "คณะกรรมาธิการ" ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญรายมาตรา และกฎหมายกู้เงิน 2 ล้านล้านบาท

ประเด็นทั้งหมดนั้น ยังไม่ร้อนแรงพอโค่นรัฐบาลได้ เพราะการโจมตีจากพรรคประชาธิปัตย์อยู่ในระดับอ่อน ไร้สาระ ทำได้อย่างมากแค่แสดงอารมณ์ชิงชัง ส่วนกลุ่มกองทัพประชาชนโค่นระบอบทักษิณที่ปักหลักชุมนุมอยู่สวนลุมพีนี แม้มีกองทัพธรรมจากสำนักสันติอโศกเข้าร่วมด้วย แต่แทบไร้ความสนใจ ไม่มีข่าว มีผู้ชุมนุมค่อนข้างเบาบาง แค่หลักร้อยคนต่อวัน

รวมความแล้ว รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ยัง ได้เปรียบทางการเมืองเหนือพรรคประชาธิปัตย์อยู่หลายขุม เพราะพลังต่อต้านรัฐบาลเปิดฉากเล่นกันในสภามากกว่าข้างถนน พรรคประชาธิปัตย์ใช้ยุทธวิธีเดิมๆ คือ ตีรวนทุกรูปแบบจึงขาดความสนใจจาก "กลุ่มกลางๆ" มาเป็นพลังหนุนช่วยการเชื่อมประสานพลังชุมนุมนอกสภาเป็นเพียงสะท้อนอาการ "เกาะเกี่ยวแนวร่วม" มากกว่าผนึกกำลังเพื่อรุกไล่ครั้งใหญ่

+ ความขัดแย้งเริ่มผ่อนคลาย

พลังกดดันนอกสภาทั้งกองทัพประชาชนฯ กลุ่มหน้ากากขาว และพรรคประชาธิปัตย์ ยังไม่สามารถโค่นล้มรัฐบาล ได้ ทำได้เพียงเสียงขู่ เพราะกลุ่มคนชั้นกลางใน กทม.ยังนิ่งเฉย ประกอบกับเหตุการณ์จลาจลในอียิปต์มีส่วนสำคัญทำให้ "คนชั้นกลาง" หวาดหวั่นกับความรุนแรงที่จะเกิดขึ้นในไทย

เป้าหมายการต่อต้านข้างถนน ยังผูกปมอยู่ที่ "ทักษิณ-กฎหมายนิรโทษกรรม" แต่คนชั้นกลาง และนักธุรกิจสนับสนุนกฎหมายกู้เงิน 2 ล้านล้านบาท เพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานครั้งใหญ่ของประเทศ ส่วนปัญหาคอร์รัปชั่นยังพยายามงมเอาจากโครงการรับจำนำข้าว โดยฝ่ายต่อต้านพยายามลากความสัมพันธ์ว่า "ขาดทุน=การโกง" ซึ่งอยู่ในขั้นตรวจสอบของคณะกรรมการปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) แต่ไม่เป็นชิ้นเป็นอัน

เหตุการณ์ความรุนแรงในประเทศอียิปต์ ประชาชนถูกปราบและเสียชีวิตกว่า 800 ศพ มีส่วน "ลดทอน" อารมณ์ความรุนแรงทางการเมืองของไทยได้อยู่ไม่น้อย เงื่อนไขการปะทะกันทางการเมืองในไทยมีความแตกต่างจากอียิปต์อยู่บ้าง แต่ส่วนใหญ่ปัจจัยความขัดแย้งคล้ายกัน

ไทยในปัจจุบันเป็นความขัดแย้งที่ก่อหวอดขึ้นระหว่างพรรคการเมืองในระบบรัฐสภา พรรคประชาธิปัตย์พยายามใช้มวลชนนอกสภามากดดันให้เกิดความได้เปรียบทางการเมือง แต่พลังเหล่านั้นกลับมีพื้นฐานอำนาจจากกลุ่ม "อำนาจเก่า" ที่ไม่พอใจ "ทักษิณ"

พรรคประชาธิปัตย์พยายามลากปัญหาการเมืองให้เป็นปัญหาทักษิณ แต่ดุลอำนาจทางทหารยังไม่ขานรับถึงที่สุดดุลอำนาจทาง "ทหาร" อยู่ในอาการ "นิ่ง" ไร้การเลือกข้าง นั่นเป็นเพราะเงื่อนไข "อำนาจนำในสังคม" อยู่ในช่วงการเปลี่ยนผ่าน

ส่วนอียิปต์ ปัญหาทางการเมืองเป็นความขัดแย้งกันระหว่างพรรคการเมืองร่วมมือประชาชนเผชิญหน้ากับกลุ่มอำนาจทหารที่สนับสนุนรัฐบาลชั่วคราว ด้วยเงื่อนไขของทหารจึงทำให้เกิดการชี้ขาดทางอำนาจ แล้วนำไปสู่การปะทะกับประชาชนอย่างนองเลือด

สรุปแล้ว ปัจจัยอำนาจทหารทำให้ความขัดแย้งทางการเมืองเกิดความแตกต่างกันระหว่างไทยกับอียิปต์ และเหตุการณ์ความรุนแรงในอียิปต์ย่อมเป็นบทเรียนการเผชิญหน้าทางการเมืองของไทย พร้อมๆ กัน "เหนี่ยวรั้ง" ชนชั้นกลางให้เกิด "สติ" ในปัญหาความขัดแย้งมากขึ้น

สิ่งน่าสนใจคือ ดุลอำนาจในสังคมได้ส่อสัญญาณแปลกๆ ขึ้น และมีความหมายถึง "มิติหยุดสู้รบ" แม้เป็นเพียงมิติ "สลัวๆ" ก็ตาม แต่สะท้อนถึงปัญหาความขัดแย้งของสังคมในระยะเปลี่ยนผ่านอำนาจเริ่มผ่อนคลายมากขึ้น

ภาพสะท้อนนี้เริ่มปรากฏขึ้นในกระบวนการยุติธรรมที่สัมพันธ์กับปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองในอดีต โดยการพิจารณาของศาลอุทธรณ์หลายคดีมีคำวินิจฉัยออกมาแบบให้แล้วๆ กันไป เสื้อแดงและเสื้อเหลืองได้ประโยชน์ทุกฝ่าย

แปลความอีกนัยยะว่า ดุลอำนาจสังคมเกิดการเปลี่ยนขึ้น ย่อมทำให้พรรคประชาธิปัตย์เสียเปรียบราวกับถูก "ปล่อยเกาะ" การประสานแนวร่วมนอกสภาก่อหวอดข้างถนน มีแนวโน้มไร้การสนับสนุนจากดุลอำนาจในสังคม

สรุปคือ สถานการณ์รัฐบาลได้เปรียบในเวทีรัฐสภา แม้พรรคประชาธิปัตย์เดินเกมตีรวน ป่วนรัฐบาลอย่างขาดสติ เท่ากับเพิ่มให้ภาพลักษณ์รัฐบาลและนายกรัฐมนตรีดูดี มีภาพด้านบวกทางการเมืองมากขึ้น

+ องค์กรอิสระที่พึ่งอำนาจสุดท้าย

เบื้องหน้าความขัดแย้งทางการเมืองขณะนี้ เมื่อพิจารณาภาพปรากฏ เท่ากับรัฐบาล-พรรคเพื่อไทย -นปช.ขัดแย้ง เผชิญ หน้ากับพรรคประชาธิปัตย์และกลุ่มต่อต้านรัฐบาลข้างถนน แต่เนื้อแท้ความขัดแย้งยังเป็นการเผชิญหน้ากันระหว่าง "ทักษิณกับเครือข่ายอำนาจล้าหลังในสังคม" ดังนั้น รัฐบาล-พรรคเพื่อไทยจึงเป็น ภาพสะท้อนการต่อสู้ของฝ่ายทักษิณ และพรรคประชาธิปัตย์คือตัวแทนของเครือข่ายอำนาจนำล้าหลังที่ถูกเบียดไล่ออกจากการเมืองไปทุกขณะ

ในสถานการณ์ความขัดแย้งนี้ "อำนาจทหาร" ในปัจจุบันอยู่ในภาวะ "นิ่ง" ให้ความร่วมมือกับรัฐบาลในฐานะเป็นส่วนหนึ่งของเครื่องมือการทำงานภาย ใต้นโยบาย โดยรัฐบาลพยายามประนีประนอมกับทหาร เหตุการณ์พฤษภา 2553 ที่เกิดกระแส "เอาผิด" กับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กับนายสุเทพ เทือกสุบรรณ มากกว่าการเร่งรัดกระทำต่อ "ทหาร" ซึ่งเป็นผู้ปฏิบัติของ ศอฉ. ย่อมบอกท่าทีทหารได้ชัดเจน

แม้ดุลอำนาจทหารอยู่ในภาวะนิ่ง แต่การประนีประนอมที่เกิดขึ้นนั้น ทหาร "สบายใจ" กับยิ่งลักษณ์ เป็นการเฉพาะ โดยไม่ได้เอียงเข้าสู่พรรคเพื่อไทยหรือทักษิณ ดังนั้น ดุลอำนาจทางทหารภายใต้ การนำของยิ่งลักษณ์แล้ว รัฐบาลมีความได้เปรียบเหนือเครือข่ายอำนาจนำและพรรคประชาธิปัตย์

พรรคประชาธิปัตย์และเครือข่ายอำนาจนำมีดุลอำนาจสนับสนุนลดน้อยลง การปลุกพลังมวลชนนอกสภามีความหมายเพียงให้เกิด "การเผชิญหน้ารุนแรงแล้วไปวัดผลกันในวันข้างหน้า" ปัจจัยกดดันข้างถนนเพื่อเร่งใช้ "สถานการณ์รุนแรง" ให้เกิดพลังบีบอำนาจทหารให้เลือกข้าง รวมทั้งรองรับอำนาจกระบวน การยุติธรรมได้มีทางออกกับแนวทางสนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์ ยังไม่เกิดมรรคผลดังหวังไว้

ขณะนี้พรรคประชาธิปัตย์กับแนวร่วมด้านมวลชน รวมทั้งกลุ่มพันธมิตรฯและ กองทัพประชาชนยังอ่อนแรง พลังที่มีน้ำหนักมากสุดคือ กระบวนการยุติธรรม และองค์กรอิสระ เช่น ป.ป.ช. ผู้ตรวจการแผ่น ดิน ศาลรัฐธรรมนูญ ศาลปกครอง พลังเหล่านี้ล้วนเป็นที่พึ่งทางอำนาจ "สุดท้าย" ที่เหลืออยู่ของพรรคประชาธิปัตย์

ด้วยเหตุนี้ การต่อสู้ทางการเมืองในอนาคตจึงเป็นการพยายามสร้างแนวร่วมใน "องค์กรอิสระ" ของแต่ละฝ่ายพรรคประชาธิปัตย์มุ่งหวังแรงกดดันจากเครือข่ายอำนาจเก่าช่วยบีบองค์กรอิสระให้มาเป็นพวก แต่ฝ่ายรัฐบาลกลับพยายามใช้เงื่อนไขสถานการณ์เปลี่ยนผ่านอำนาจและการแก้ไขรัฐธรรมนูญว่าด้วยที่มาของ "สมาชิกวุฒิสภา" ให้เกิดประโยชน์ เพื่อปลดปล่อยองค์กรอิสระออกจากฐานทางการเมือง แล้วอยู่ในภาวะนิ่งเหมือนทหาร

อุปสรรคของรัฐบาลอยู่ที่องค์กรอิสระ โดยเฉพาะ ป.ป.ช.มีภารกิจชี้เป็นชี้ตายทางการเมืองของยิ่งลักษณ์ หากนายกรัฐมนตรีพลาดถูก ป.ป.ช. หรือศาลรัฐธรรมนูญเล่นงาน นั่นหมายถึง ดุลอำนาจทหารมีโอกาสเปลี่ยนแปลงได้ แม้มีนายกรัฐมนตรีใหม่เข้าแทนที่ยิ่งลักษณ์ แต่การสร้างมิตรภาพและประนีประนอมกับทหารย่อมเริ่มต้นใหม่ด้วยเช่นกัน

ปัญหาอยู่ที่ว่า รัฐบาล และพรรคเพื่อไทยจะประคับประคองภาพลักษณ์ที่ได้เปรียบในการทำงานแบบ "ชาติเหนือพรรค" เพื่อเผชิญหน้ากับการตีรวน ป่วนของพรรคประชาธิปัตย์อย่างมีความ "อดทน" ในระดับที่มากด้วยวุฒิภาวะทางการเมืองในระบบประชาธิปไตยได้มากน้อยเพียงใด

+ ทำได้แค่ป่วนและตีรวน

พรรคประชาธิปัตย์ยังโหมแรงแบบ "บ้า-เพี้ยน" ตีรวน ป่วน ในสภามากขึ้น โดยใช้เงื่อนไขของการแปรญัตติกฎหมายนิรโทษกรรมขั้นคณะกรรมาธิการ แล้วตอกย้ำเชื่อมโยงไปสู่การช่วยทักษิณเพื่อทำลายความชอบธรรมของการช่วยเหลือประชาชน

ประเด็นของสภาปฏิรูปการเมืองจะเริ่มเปิดฉากขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมด้วยการประชุมแลกเปลี่ยนความเห็นครั้งแรกในช่วงต้นกันยายนเป็นอย่างช้า เวทีนี้ขาด ความร่วมมือจากพรรคประชาธิปัตย์และกลุ่มพันธมิตรฯ ดังนั้น การโจมตีสภาปฏิรูปการเมืองด้วยวิธีการลากไปผูกกับ "เวทีช่วยทักษิณกลับบ้าน" จะถูกนำมาป่วน และทำลายความน่าเชื่อถือ

การสร้างเวทีปฏิรูปการเมือง รหัสการทำลายของพรรคประชาธิปัตย์ยังเน้น การโฆษณาว่า เป็น "เวทีละครการเมือง" หรือสภาปาหี่ เพื่อทำลายความน่าเชื่อถือในภารกิจ "ชาติเหนือพรรค" ของรัฐบาลยิ่งลักษณ์

แนวโน้มพรรคประชาธิปัตย์จะใช้วิธีการโฆษณาชวนเชื่อด้วยการเจรจากับกลุ่มพันธมิตรฯเพื่อขยายผลการเดินเกมพลังมวลชนข้างถนน สถานการณ์กลุ่มมวลชน ต่อต้านที่สวนลุมพีนียังไร้เป้าหมาย ขาดพลังสนับสนุน กลุ่มนี้ชุมนุมกันไปเป็นวันๆ เพราะคาดหวังจะมีความเติบใหญ่จากปัจจัยกลุ่มพันธมิตรฯมาสมทบ แต่เงื่อนไขให้ "ส.ส.ลาออกยกพรรค" ยังเป็นขวากหนามการจับมือกับประชาธิปัตย์เพื่อออกมาร่วมต่อสู้ข้างถนน

สิ่งสำคัญอยู่ที่การตัดสินใจของกลุ่มพันธมิตรฯว่า จะลดทอนเงื่อนไขในการเคลื่อนมวลชนหรือไม่ เพราะเมื่อไร้กลุ่มพันธมิตรฯแล้ว แนวโน้มบ่งบอกว่า พรรคประชาธิปัตย์ทำได้แค่โวยวาย ตีรวน ป่วนในสภา พยายามใช้ปากลากโยง ผูกปมการเมืองทำลาย "ยิ่งลักษณ์-ทักษิณ" จนพันรอบตัวเองราวกับลิงแก้แหยากจะดิ้นหลุด

ที่มา.สยามธุรกิจ
///////////////////////////////////////////////////////

วันจันทร์ที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2556

โต้ง-อาคม ยืนยัน ศก.ไทยไม่ถดถอย !!??



กิตติรัตน์-อาคม ยืนยันหนักแน่น!!! เศรษฐกิจไทยยังไม่เข้าสู่ภาวะถดถอย มั่นใจเงินบาทอ่อนค่าส่งผลดีต่อตัวเลขการส่งออก ลุยลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน พัฒนาต่อยอดสินค้า

นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง  รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง  กล่าวในรายการ  รัฐบาลยิ่งลักษณ์  พบประชาชน   ยืนยัน  ถึงภาวะเศรษฐกิจของไทยในขณะนี้ว่ายังไม่เข้าสู่ภาวะถดถอย  มั่นใจ  เงินบาทอ่อนค่าส่งผลดีต่อตัวเลขการส่งออก  เดินหน้าลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน  ด้านนายอาคม  เติมพิทยาไพสิฐ  เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์) กล่าวว่า ภาวะเศรษฐกิจอยู่ระหว่างการปรับสมดุล โดยปัจจัยที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจมากขึ้นมาจากการบริโภคในประเทศ  หลังจากมีการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำไปแล้ว  ขณะนี้อยู่ระหว่างการปรับเปลี่ยนเพื่อเพิ่มคุณภาพบุคลากร  การพัฒนาต่อยอดสินค้า

พิธีกร  :  ท่านผู้ชมหลายๆ คนเป็นห่วงว่า  ภาวะเศรษฐกิจไทยกำลังเข้าสู่ภาวะถดถอย  เป็นห่วงว่าตัวเลขเศรษฐกิจในช่วงที่ผ่านมาลดลงอย่างต่อเนื่อง 2 ไตรมาส  ขณะที่สำนักข่าว BBC ก็รายงานว่า  ประเทศไทยเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยแล้ว ถ้ามองกันจริงๆ ทั้งเรื่องของการส่งออก  การท่องเที่ยว  การบริโภค  การลงทุน  เครื่องยนต์แต่ละตัวเป็นอย่างไร  ต้องเรียนถามท่านรองนายกฯว่า  แท้จริงแล้วเนื้อเศรษฐกิจเป็นอย่างไรบ้างคะ

รองนายกฯกิตติรัตน์  :  ก็ขอขยายความคำว่า  เศรษฐกิจถดถอย  คำว่า  ถดถอย  แปลว่า  ไม่สามารถรักษาระดับเดิมและก็ลดลง  เพราะฉะนั้นถ้าพูดถึงอัตราการเติบโตก็ต้องบอกว่า  เป็นอัตราที่ติดลบถึงจะบอกว่าถดถอย  ผมเข้าใจว่า  การตีความตรงนี้ไปดูตัวเลขการขยายตัวทางเศรษฐกิจ  หรือว่าตัวเลขเศรษฐกิจไตรมาสที่ 2 คือหมายถึง  ช่วงเวลาเดือนเม.ย.- มิ.ย.ของปี 2556 เทียบกับไตรมาสที่ 1 ช่วงเดือนม.ค.- มี.ค. ปี 2556 หรือว่า  อาจจะอ้างถึงตัวเลขไตรมาสที่ 1 ของปีนี้นะครับ  เมื่อเทียบกับไตรมาสสุดท้ายของปีที่แล้ว

พิธีกร : คือเทียบไตรมาสต่อไตรมาสที่แล้ว

รองนายกฯกิตติรัตน์  :  ใช่ครับ  ซึ่งก็เห็นตัวเลขเป็นลบจริงนะครับ  แต่สำหรับผม  ผมคิดว่า  ตัวเลขนี้เป็นตัวเลขประกอบตัวเลขที่มีความสำคัญมากกว่า  คือการเทียบกันกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน  ยกตัวอย่างเช่น  ถ้าหากว่าดูไตรมาสที่ 2 ก็คือช่วงเม.ย. -มิ.ย. ปี 2556 เทียบกับเม.ย.- มิ.ย. ปี 2555 แล้วดูว่ายังโตอยู่หรือเปล่า  ถ้าหากว่ายังโตอยู่  แสดงว่าเศรษฐกิจไม่ได้ถดถอย  ความจริงการที่เราติดลบลงจากไตรมาสก่อนนั้นมันมีคำอธิบายอื่นที่นอกเหนือจากเรื่องปกติทั่วๆไปนะครับ  ยกตัวอย่างเช่นในไตรมาสที่ 2 มีเดือนเม.ย. ซึ่งเป็นเดือนสำคัญของการหยุดพัก  เป็นเทศกาลประจำปีของประเทศถ้าเทียบกับไตรมาสที่ 1 ซึ่งก็เป็นการทำงานค่อนข้างจะเต็มที่  เพราะฉะนั้นไตรมาสที่ 2 เทียบกับไตรมาสที่1 ก็จะมีลักษณะตรงนี้อยู่  แต่ว่าในปีนี้มีลักษณะพิเศษคือว่า  ในเดือนเม.ย. มี 2 เรื่องสำคัญ  เรื่องที่ 1. คือการที่เราหยุดรับแก๊สจากประเทศเมียนมาร์  เป็นเวลากว่า 1 สัปดาห์  ซึ่งก็ต้องประสานให้ภาคอุตสาหกรรมชะลอการผลิตในช่วงเวลาดังกล่าวนะครับ  เพื่อที่จะไม่ต้องใช้พลังงานมากจนเกินไป

เรื่องที่ 2. ในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปีนี้  เป็นช่วงที่อัตราแลกเปลี่ยนหรือว่าค่าเงินบาทของเราแข็งค่าขึ้นที่สุด  เท่าที่เคยปรากฎมาในช่วงระยะเวลาเป็นทศวรรษ  ซึ่งก็เป็นอัตราที่เคยแข็งที่สุด คือ 28 บาทเศษๆ ในช่วงเดือนเม.ย. ฉะนั้นจึงไม่เป็นเรื่องแปลกใจที่ภาคส่งออก  จะไม่สามารถทำงานได้ดีนัก ในช่วงเวลาดังกล่าว ดังนั้นการที่เราจะเทียบไตรมาสที่ 2 กับไตรมาสที่ 1 ก็คงจะเป็นข้อมูลแค่ประกอบ  และไม่ได้ส่งสัญญาณว่าเราถดถอย

พิธีกร  :  พอเห็นตัวเลข 2 ไตรมาสที่ลดน้อยลง  ทำให้คนตกใจว่า  เกิดสัญญาณถดถอยขึ้นหรือเปล่า  ท่านรองนายกฯ เปรียบเทียบว่า  ควรจะไปเทียบปีต่อปีมากกว่าไปเทียบกับไตรมาสที่ผ่านมา  ถ้ามองตัวเลขตรงนี้แล้ว  ดูฟันเฟืองด้านเศรษฐกิจทั้งส่งออก  การท่องเที่ยว  การลงทุน  การบริโภค ทั้ง 4 เครื่องยนต์หลักเป็นอย่างไรบ้างคะ

รองนายกฯกิตติรัตน์  :  ก็ยังเป็นบวกอยู่  ยกเว้นเรื่องส่งออก  อย่างที่เรียน  โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าคำนวณเรื่องส่งออกที่แปลงเป็นเงินบาท  เราก็ติดลบลง  แต่เนื่องจากเหตุผลที่ได้เรียนไปว่า  เวลาค่าเงินบาทแข็ง  การจะแข่งขันและการส่งออกก็จะทำยากขึ้น  ความจริงผมเคยส่งสัญญาณมานานแล้วว่า  ไม่อยากเห็นค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นจนเกินไป  ตั้งแต่ครั้งที่เรายังอยู่ในระดับประมาณ 32 บาท ต่อ 1 เหรียญสหรัฐ  เมื่อปีก่อน  เสียดายที่มันได้เกิดเหตุการณ์อย่างนั้นขึ้น  แต่อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ค่าเงินบาทก็อ่อนตัว  และกลับไปอยู่ในระดับที่ผมคิดว่า  เหมาะสมและก็สามารถแข่งขันได้  เพราะฉะนั้นก็หวังว่าจะไม่มีใครมาชี้อีกว่า  เราอ่อนค่าลงอย่างรวดเร็ว  เพราะจริงๆ แล้ว  ช่วงที่แข็งค่าไปตรงนั้น  ถ้าจินตนาการว่ามันไม่เคยเกิดขึ้นได้  ก็จะเป็นเรื่องดีกับเศรษฐกิจ  และจริงๆ มันก็เป็นความราบเรียบของค่าเงินบาทเอง  ที่จะอยู่ในประมาณ 31เศษๆ 32 เศษๆ  ก็เป็นช่วงที่ดีที่มีความสามารถในการแข่งขันได้  หากเรารักษาระดับความเสถียรภาพความต่างระดับไว้ได้ก็จะเป็นเรื่องที่ดี  ทั้งในเรื่องการส่งออก  ทั้งเรื่องการควบคุมเงินเฟ้อที่จะเกิดจากสินค้านำเข้า

พิธีกร  :  ท่านรองนายกฯ กำลังจะบอกว่า  เงินบาทที่อ่อนค่าลงมาในขณะนี้  น่าจะส่งผลดีกับเศรษฐกิจ  ส่งผลดีต่อการส่งออกในเร็วๆ นี้  ใช่ไหมคะ

รองนายกฯกิตติรัตน์  :  ใช่ครับ

พิธีกร  :  ท่านเลขาธิการสภาพัฒน์คะ  ถ้ามองตัวเลขเศรษฐกิจเจาะลงไปในรายกลุ่ม  ไตรมาสที่ 2 ที่ผ่านมา  เป็นอย่างไรบ้างกับการลงทุน  การบริโภค  กับการท่องเที่ยวคะ

อาคม  :  คือในแง่ของไตรมาสที่ 2 ผมย้อนไปนิดหนึ่ง  เมื่อปีที่แล้วหลังน้ำท่วม  การใช้จ่ายภายในประเทศค่อนข้างสูง  เพราะว่าชาวบ้านที่น้ำท่วมต้องใช้เงินไปซ่อมแซมบ้าน  โรงงาน  ก็ต้องสั่งซื้อเครื่องจักรอุปกรณ์ซ่อมแซมโรงงานใหม่  เพราะฉะนั้นปีที่แล้วค่อนข้างสูง  เพราะฉะนั้นปีนี้มันปรับตัวเข้าสู่ในระดับปกติของเรา  หลังจากค่าใช้จ่ายที่เราต้องเพิ่มมาเป็นพิเศษตรงนั้น  เพราะฉะนั้น  อย่างไรก็ตามแล้ว  ในเรื่องการใช้จ่ายของครัวเรือนหรือของประชาชนก็ยังเพิ่มอยู่  อย่างที่ท่านรองนายกฯ ได้พูดเมื่อสักครู่นี้  ถ้ามองเทียบกับปีที่แล้วยังบวกอยู่แน่นอน  เพียงแต่อยู่ในระดับที่ปกติ  เรื่องการลงทุนก็เช่นเดียวกัน  เพราะว่ามาตรการของรัฐ  โดยเฉพาะเรื่องของการเร่งรัดค่าใช้จ่ายตั้งแต่ต้นปีงบประมาณ  เราก็จะเห็นว่าในช่วงไตรมาสที่1 ที่ 2 นั้น  การใช้จ่ายก็ยังสูงอยู่  ส่วนเรื่องของภาคเอกชนนั้นก็อาจจะมีติดขัดอยู่นิดเดียวตรงช่วงไตรมาสที่ 2 นั้น  การสั่งซื้อเครื่องจักรน้อย  ซึ่งก็น่าเสียดายตรงที่ว่า  ช่วงนั้นเงินบาทพอดีแข็ง  แทนที่จะได้ของถูก  แต่ว่าแน่นอนที่สุดถ้าก่อสร้างโรงงานไม่เสร็จก็ติดตั้งเครื่องจักรไม่ได้อย่างชัดเจน

พิธีกร  :  ตอนบาทแข็งตรงนั้นจะเร่งนำเข้าสินค้าทุนก็ยังไม่มีมากนักในช่วงเวลานั้น

อาคม  :  ยังไม่มากนักครับตรงนั้น  ส่วนเรื่องส่งออกนั้นผมเรียนว่า  จริงๆ แล้วเราอาจจะเห็นผลของเศรษฐกิจโลก  ถ้าพูดถึงเรื่องถดถอย  ผมเห็นว่า  ยุโรปถดถอยแน่นอน  เพราะว่าปีนี้เขาติดลบ  อันนั้นชัดเจน  แล้วก็ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของไทย  ซึ่งบวกกับในเรื่องของเรื่องบาทแข็งในช่วงเดือนเม.ย. แล้วก็มีวันหยุดด้วย  ฉะนั้นออเดอร์ส่งออกมาลงในช่วงไตรมาสที่ 2 พอดีเลย  ฉะนั้นไตรมาสที่ 2 ตัวเลขส่งออกก็ติดลบ อย่างไรก็ตาม เมื่อรวม 6 เดือนแรกส่งออกของเรายังบวกอยู่นะครับ  เราก็คาดว่าจริงๆ แล้วปีที่แล้ว เนื่องจากตลาดในประเทศดี  เพราะฉะนั้นธุรกิจหรืออุตสาหกรรมทั้งหลายก็ชิปสินค้าตัวเองมาขายในประเทศมาก  ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของรถยนต์  ไม่ว่าจัดเป็นวัสดุก่อสร้าง  เพราะขายในประเทศได้ราคาก็ลดในเรื่องของตลาดต่างประเทศในปีนี้กลับมาอีกในช่วงครึ่งหลังของปีนะครับ

พิธีกร  :  ถ้ามองที่ไตรมาส 3 วันนี้เราอยู่ในไตรมาส 3 คือเดือนก.ค. - ก.ย. ท่านรองนายกฯ มองไตรมาส 3 อย่างไรบ้างคะกับตัวเลขต่างๆ

รองนายกฯกิตติรัตน์   :  ผมก็มองว่า  เราก็ยังมีโอกาสที่จะขยายตัว  เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน  ต้องยอมรับว่า  โลกมีการผันผวนมากจริงๆ หลายสิ่งหลายอย่างสามารถเกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็ว  แม้กระทั้งหน่วยงานสำคัญๆเศรษฐกิจของประเทศ  ผมจำได้ว่าในช่วงต้นๆ ไตรมาสที่ 2 กับกลางไตรมาสที่ 2 ยังห่วงว่า  เศรษฐกิจจะร้อนแรงไปหรือเปล่า  พอผ่านไปไม่กี่สัปดาห์ไม่กี่เดือน  กลับกลายมากังวลร่วมกันว่า  เศรษฐกิจจะเติบโตดีพอหรือเปล่า  อย่างไรก็ตามผมคิดว่า  เราเองต้องมองเศรษฐกิจในเรื่องยาวๆ นะครับ  แล้วก็แนวทางในเรื่องการปรับสมดุล  ไม่อยากจะมองในเรื่องรายเดือนรายไตรมาสจนเกินไป  เพียงแต่ว่าข้อมูลเหล่านี้เป็นข้อมูลประกอบ  ทิศทางเดียวกันในทางที่ดี  สิ่งที่ประเทศกำลังต้องการคือ  การอยู่ในเวลานี้  คือการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ  ซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจสามารถเติบโตได้  ลงทุนแล้วก็จะกลายเป็นศักยภาพที่ดีเยี่ยม  เมื่อระบบต่างๆ เสร็จแล้ว  ประสิทธิภาพจะดีขึ้นนะครับ  ในช่วงไตรมาสที่ 3 ส่วนสำคัญก็คือเรื่องการใช้จ่ายผ่านภาครัฐ  เพราะว่าไตรมาสที่ 3 ของปี คือ ไตรมาสสุดท้ายของปีงบประมาณ  การที่จะดูแลให้มีการใช้จ่ายภาครัฐให้เป็นไปตามแผนยังเป็นส่วนที่รัฐบาลต้องทำงานอย่างจริงจัง  และควบคุมให้ได้นะครับ  อีกส่วนหนึ่งก็คือความสำคัญด้านมั่นใจ  เวลาเราพูดกันไปมากๆ ว่า  เศรษฐกิจจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ผมก็เข้าใจ

พิธีกร :  มันเกิดผลทางจิตวิทยา

รองนายกฯกิตติรัตน์  :  บางท่านอาจจะเตรียมที่จะซื้อสินค้าต่างๆ  เป็นปกตินะครับ  อาจจะกังวลบ้าง  แต่ก็เชื่อว่าจะเป็นเศรษฐกิจที่ดีพอสมควรในไตรมาสนึงครับ

พิธีกร  :  ค่ะ ถ้ามองไตรมาส 3 แล้ว จำเป็นต้องมีมาตรการอะไรที่จะอัดฉีดเศรษฐกิจออกมาไหมคะ

รองนายกฯกิตติรัตน์  :  ผมก็เลิกพูดคำว่า  อัดฉีด  เลิกพูดคำว่า  กระตุ้นมาเป็นเวลานานแล้วนะครับ  ความจริงส่วนที่เราต้องทำงานก็คือว่ากลจักรต่างๆ  ทั้งตัวหลักที่เรียกว่า  การส่งออกการลงทุนภาคเอกชน  การอุปโภค  บริโภคในประเทศการใช้จ่ายภาครัฐ  ก็ต้องทำกันจริงจัง  นอกจากนั้นสามารถแตกแขนงเป็นเรื่องต่างๆ ได้  ขบวนการส่งออกก็หมายถึง  เรื่องการส่งออกสินค้า  การส่งออกบริการก็หมายถึง  การท่องเที่ยว  การใช้จ่ายภาครัฐก็หมายถึง  การใช้จ่ายเพื่อการบริหารจัดการทั่วไป  การอบรมสัมมนาก็หมายถึง  การลงทุนโครงการต่างๆ ทั้งขนาดเล็กขนาดใหญ่  สิ่งเหล่านี้  เราทำงานกันอย่างจริงจังเต็มที่นะครับ  สร้างบรรยากาศให้ดี  นักลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศมีความสบายใจในการที่จะขยายกำลังการผลิต  ในการที่จะสร้างโรงงานต่างๆ  เศรษฐกิจก็ไปได้  เพราะฉะนั้นผมคิดว่าส่วนที่สำคัญถามว่า  ตอนนี้อยากทำอะไร  อยากให้ทุกฝ่ายตระหนักถึงความยอดเยี่ยมของเศรษฐกิจไทย  แล้วก็ความมั่นใจร่วมกันมีไม่กี่ประเทศในโลกครับที่มีการกระจายตัวดีแบบไทย  แล้วก็มีอัตราการว่างงานต่ำ  คนไทยแทบจะทุกคนถ้าไม่เกี่ยงงาน  ถ้าไม่เลือกจนเกินไปเขาสามารถมีงานทำได้  สิ่งต่างๆ เหล่านี้จะเป็นกลจักรสำคัญ  ที่ทำให้เศรษฐกิจของเราเติบโตได้เป็นอย่างดีในช่วงปานกลาง ระยะยาว

พิธีกร  :  ค่ะ  แต่ถ้ามองปัจจัยเสี่ยงในช่วงเวลานี้  ท่านผู้ชมก็จะทราบเองว่า  ถ้าติดตามข่าวสารว่า  ปัจจัยเสี่ยงเรื่องของต่างประเทศ  เศรษฐกิจการขยายตัวของเอเชียเองรวมถึงจีนเป็นหลัก  มันก็เป็นปัจจัยเสี่ยงของประเทศไทยด้วย  วันนี้มองจีน มองเอเชียแล้วกลับมามองเรา  ความเสี่ยงมันเกิดขึ้นมากน้อยแค่ไหน  การที่จีนแค่โตขึ้นน้อยลงนิดเดียวมันก็กระทบกับเราแล้วค่ะ

รองนายกฯกิตติรัตน์  :  ครับ  จริงๆ แล้วก็ยอมรับ  เราเป็นประเทศที่ยังพึ่งพาการส่งออกมาก  แม้ว่าจะทำงานกันมาระดับหนึ่ง  จนเริ่มจะพึ่งพาเรื่องอื่นๆ มากขึ้น  ก็ยังพึ่งพาการส่งออกมาก  ก็จะต้องได้รับผลกระทบ  ถ้าหากว่าโลกมีความขลุกขลัก  แต่ว่าจีนถ้าจะเติบโตชะลอลง  เขาก็ยังจะเติบโตในอัตราที่เร็วกว่าคนอื่นๆ  แล้วก็เติบโตเร็วกว่าเรา  เพราะฉะนั้นการที่เราจะเป็นผู้ค้าผู้ขายที่ดีกับเขาก็จะเป็นเรื่องที่หวังได้  ประเทศในอาเซียนเองก็ยังเป็นประเทศที่มีการขยายตัวที่ดีนะครับ อย่างไรก็ตาม  ขออนุญาตเรียนว่า  ความพร้อมของเราในขณะนี้เราสามารถที่จะมีภูมิคุ้มกันที่ดี  เงินสำรองระหว่างประเทศสูงกว่า 170 พันล้านเหรียญสหรัฐ  สภาพคล่องที่เป็นเงินบาทที่ดูแลอยู่ในระบบธนาคารกลางมีในระดับที่สูง  แล้วก็ส่วนอื่นๆ ที่เป็นข้อกังวลถ้าหากว่า  อัตราแลกเปลี่ยนผันผวนไปจะเป็นอย่างไรต่อ  ราคาน้ำมัน  กองทุนน้ำมันของเรา  ในช่วงเวลาที่ค่าเงินบาทแข็ง  เราก็รักษาความเข้มแข็งไว้ดี  กองทุนน้ำมันสามารถที่จะติดลบขึ้นไปถึง 2-3 หมื่นล้านได้  เราเคยอยู่ในระดับนั้น  ดูแลความไม่ผันผวนของน้ำมันขนาดนี้  กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงมีจำนวนมูลค่าเป็นบวกเกือบหมื่นล้านนะครับ  เพราะฉะนั้นถ้าหากว่าอัตราแลกเปลี่ยนที่อ่อนไป  น้ำมันดิบในตลาดโลกซึ่งเกิดจากสถานการณ์ตรึงเครียดในตะวันออกกลางเกิดขึ้น  เราก็จะสามารถประคับประคองราคาน้ำมันขายปลีกในประเทศให้อยู่ในระดับที่เป็นอย่างนี้  โดยไม่กระเทือนเงินเฟ้อได้ในระยะที่นานเลยทีเดียว

พิธีกร  :  คือกำลังจะบอกว่า  ยังมีกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงที่จะสามารถเข้ามาบริหารจัดการดูแลได้  ไม่ให้ราคามันผันผวนสูงจนเกินไป

รองนายกฯกิตติรัตน์  :  ใช่ครับ  เพราะฉะนั้นภูมิคุ้นกันในเรื่องต่างๆ  ผมคิดว่า  อยู่ในภาวะที่เข้มแข็ง  แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นจะบอกว่า  ไม่กระทบเลยเวลาที่โลกเขาผันผวนก็คงไม่ถูกต้องนะครับ

พิธีกร  :  ในส่วนของท่านอาคม  มองตรงนี้อย่างไรคะ

อาคม  :  ช่วงนี้เป็นช่วงของการปรับสมดุลอย่างที่ท่านรองนายกฯ พูดเมื่อสักครู่นี้  จริงๆ แล้วผมอยากเรียนเพิ่มเติมในเรื่องของไตรมาส 2 นิดหนึ่งมีสัญญาที่ดีอยู่ 3 เรื่อง  เรื่องที่ 1. คือเรื่องท่องเที่ยวของเรานั้น  ไม่มีใครพูดถึงเลยท่องเที่ยวยังต่อเนื่องมาจากปีที่แล้วที่สนามบินสุวรรณภูมิแน่น  สนามบินดอนเมืองแน่นตลอด  และสนามบินที่ต่างจังหวัดนักท่องเที่ยวไปกันเยอะ เรื่องที่ 2. คือราคาสินค้าเกษตรเราอาจพูดเฉพาะเรื่องข้าว  แต่จริงๆ ข้าวเป็นสินค้าเดียว  ต้องพูดสินค้าอื่นด้วย สินค้าอื่นอย่างพวกมันสำปะหลัง ข้าวโพด  อะไรพวกนี้ปรับตัวดีขึ้น  เพราะฉะนั้นตรงนี้เองทำให้รายได้ภาคเกษตรนั้นก็ดี  อีกอันที่อยากจะเรียนว่า  เวลาพูดถึงเศรษฐกิจจีนนั้นกระทบ  ไม่ใช่กระทบเฉพาะประเทศไทย  แต่กระทบในอาเซียนด้วยพวกผลิตชิ้นส่วนต่างๆ  ประเด็นตรงนี้คือว่า  มันมีการปรับโครงสร้างใหม่  เพราะว่าการแสวงหาวัตถุดิบ  การให้ประเทศใดประเทศหนึ่งผลิตชิ้นส่วนแต่เพียงประเทศเดียวไม่เป็นจริงต่อไปเพราะเกิดความเสี่ยง  เพราะฉะนั้นตรงนี้เองเมื่อจีนกระทบมันจะมากระทบประเทศอื่นๆ ในกลุ่มอาเซียนด้วย  เรื่องที่ 3. คือเรื่องของเทคโนโลยี  เทคโนโลยีวันนี้ถ้าเราเห็นว่าอิเล็กทรอนิกส์  เราส่งออกไม่ดีเท่าไรแต่จริงๆ มันมีเหตุผลเบื้องหลังคือว่า  วันนี้เราเองเคยเป็นผู้ส่งออกในเรื่องของ desktop computer notebook แต่วันนี้ทุกคนหันไปใช้แท็บเล็ตกันหมด  เทคโนโลยีกำลังเปลี่ยน  เราเองนักลงทุนที่ลงทุนในประเทศไทยก็เริ่มที่จะต้องคิดในเรื่องนี้ว่า  ต้องเปลี่ยนรูปแบบสินค้าใหม่เลย  ทำให้ช่วงส่งออกของเราซึ่งเราพึ่งพาค่อนข้างเยอะ มันก็เลยตกไปตรงนี้

พิธีกร  :  พอการส่งออกชะลอตัวไปแบบนี้  มันจะกระทบไปอย่างต่อเนื่อง  กระทบกำลังซื้อของผู้บริโภคต่างๆ ต่อเนื่องไปด้วย

อาคม  :  ที่นี้อีกจุดหนึ่งที่เรียนไม่ว่าจะเป็น ไตรมาสที่ 1 ไตรมาสที่ 2 ที่เราเห็นก็คือว่า  เศรษฐกิจภายในประเทศนั้นเป็นตัวขับเคลื่อนมากขึ้น  เมื่อเทียบกับภาคการส่งออกอยู่ประมาณ 60-70 %  แต่วันนี้เราเริ่มจะใช้เศรษฐกิจภายในประเทศมากขึ้น  เพราะฉะนั้นสิ่งที่คิดว่า  จะขับเคลื่อนในช่วงไตรมาสที่ 3 ไตรมาสที่ 4 หรือแม้กระทั้งในปีต่อไป  คือเรื่องของการลงทุนภายในประเทศ

พิธีกร  :  ทั้งภาครัฐและเอกชน

อาคม  :  ถูกต้องครับ  โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการลงทุนในเรื่องโครงสร้างพื้นฐานทั้งหลาย  จะมาเสริมกำลังการผลิตของเรา  เสริมในเรื่องของต้นทุน  ลดต้นทุน  ในเรื่องของการผลิตของภาคเอกชน  ตรงนี้เองก็ทำให้การลงทุนกลับเข้ามาสู่ประเทศของเรา  ข้อสุดท้ายเรื่องของสิ่งที่กระตุ้นหรือไม่กระตุ้น  ผมคิดว่า  เอาแค่ว่าวันนี้เราอีก 2 ปีจะได้เห็นอาเซียน  เอาแค่ว่า  สินค้าของเราจะเคลื่อนย้ายระหว่างภูมิภาค  เราปรับปรุงในเรื่องของการอำนวยความสะดวกสินค้าผ่านแดนได้เร็วขึ้น  สินค้าวัตถุดิบของเราไปอยู่ประเทศอื่น  หรือประเทศเข้ามาประเทศเรา วันนี้ระบบการขนส่งทางบกค่อนข้างสะดวก  ถ้าเราปรับแค่ตรงนี้หรือการอำนวยความสะดวกให้กับภาคเอกชนภาคการส่งออกต่างๆ พวกนี้เชื่อว่า  ต้นทุนเราลดแน่นนอนและสินค้าเราจะส่งออกได้

พิธีกร  :  และอาเซียนจะเป็นตลาดใหญ่ในอนาคตอันใกล้  ซึ่งขณะนี้ก็ถือว่า  การส่งออกในไทยส่งออกไปทั่วโลก  อาเซียนก็เป็นอันดับ 1.อยู่แล้ว  แต่โอกาสในการขยายการค้า  การลงทุนระหว่างไทยกับอาเซียนมีสูงขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้ด้วย ถ้าหันกลับมาดูในบ้านเราท่านเลขาธิการฯ คะ ตัวกำลังซื้อของประชาชนบางกระแสบอกว่า  ตอนนี้กู้เงินก็ยากขึ้น  กู้ซื้อบ้านไม่ผ่าน กู้รถไม่ผ่านสถานการณ์จริงเป็นอย่างไร

อาคม  :  ขึ้นอยู่กับ 2 ด้าน  ด้านที่ 1. คนกู้คือ ประชาชน  กับอีกด้านหนึ่งคือผู้ให้กู้  ผมเชื่อว่าผู้ให้กู้เองก็ต้องมีความระมัดระวังเหมือนกัน  จะให้ไฟแนนซ์ใคร  ในเรื่องของสินเชื่ออะไร  ประเทศใดก็ตามในระดับเดียวกันของผู้กู้เอง  ผมเชื่อว่ามาตรการของรัฐบาล  โดยเฉพาะนโยบายในเรื่องของการเพิ่มรายได้ตรงนี้ยังต้องเพิ่มต่อ  จะเพิ่มบนพื้นฐานของประสิทธิภาพ  ปีที่แล้วเราเพิ่มในเรื่องของค่าแรง 300 บาท  แน่นนอนกำลังซื้อกลับมา  ด้านที่ 2. คือใครก็ตามที่จบปริญญาตรีนั้นได้ 15,000 บาท นั้นคือขั้นพื้นฐาน  ทำให้เราสามารถให้ผู้กู้หรือประชาชนที่มีเงินเดือนขึ้นอยู่กับเงินเดือน  สะท้อนในเรื่องของขีดความสามารถของเขาโดยแท้จริง

พิธีกร  :  มีกำลังซื้อมากขึ้น

อาคม  :  เป็นธรรมมากขึ้น  มีรายได้มากขึ้น  เพราะฉะนั้นในอนาคตนั้น  คงจะต้องเสริมในเรื่องของการฝึกทักษะ  หรือให้เขามีองค์ความรู้มากขึ้น  เพื่อที่จะเพิ่มประสิทธิภาพรายได้ก็จะเพิ่มมากขึ้น  นอกเหนือจากนั้นก็คงเป็นในเรื่องสิ่งที่เราทำกันอยู่  OTOP เรื่องสินค้า  กองทุนต่างๆ  สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นโอกาส  ผมยกตัวอย่างว่า  มีญี่ปุ่นมาถามเหมือนกันว่า  ทำไมประเทศไทยไม่คิดเรื่องของผลิตภัณฑ์สุขภาพ  หรือในเรื่องของคอสเมติก  ที่เป็นเนเชอรัล  ที่เป็นคอสเมติกจากธรรมชาติ เขาบอกเป็นโอกาสของประเทศไทยทำไมไม่รีบทำตรงนี้  เพราะฉะนั้นตรงนี้เอง  ถ้าเรารู้จักในเรื่องของการเอางานวิจัยเข้ามาปรับปรุงในเรื่องของสมุนไพรต่างๆ ที่มาเป็นวัตถุดิบตรงนี้  เราก็มีโอกาสเป็นสินค้ากลุ่มใหม่ที่จะสร้างรายได้  และเป็นรายได้ที่อยู่กับชาวบ้านทั้งหมดครับ

พิธีกร  :  เงินอยู่ในประเทศ เงินลงไปในท้องถิ่นชุมชนด้วยนะคะ ท่านรองนายกฯคะ ถ้าเกิดมองภาพใหญ่ของประเทศวันนี้  มองภาพใหญ่ประเทศ  ต่างชาติให้ความเชื่อมั่นกับประเทศไทยมากน้อยแค่ไหน

รองนายกฯกิตติรัตน์  :  ต่างชาติก็มีหลายๆ กลุ่มนะครับ  ถ้าบอกว่า  ต่างชาติที่เป็นผู้ลงทุนในภาคที่แท้จริงเป็นการลงทุนเพื่อสร้างกิจการต่างๆ จะเห็นได้ว่า  คำขอในการที่จะได้รับการส่งเสริมการลงทุนต่างๆ อยู่ในเกณฑ์ที่ดีทีเดียว  และจะทำให้คำขอเหล่านั้นกลายเป็นลงทุนจริงอย่างต่อเนื่องไปข้างหน้า  ความเชื่อมั่นของประเทศต่างๆ  รอบๆ เรา  เขาทั้งเชื่อมั่น ทั้งหวังว่าเราจะดำเนินการต่างๆ  เพราะว่าการลงทุนในระบบคมนาคมขนส่งของเรา  จะสามารถเชื่อมต่อประเทศเพื่อนบ้านต่างๆ ให้สามารถไปมาถึงกันเอง  และไปจนถึงประเทศที่มีเศรษฐกิจสำคัญๆ ในเอเชียตะวันออกได้นะครับ

ในส่วนที่อาจจะเป็นคำถามของคุณสร้อยฟ้า คือว่า แล้วผู้ลงทุนต่างประเทศที่ลงทุนในระบบตลาดทุนเป็นอย่างไร  ผู้ลงทุนเหล่านี้เขาก็เชื่อมันแน่ว่า  ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีความแข็งแกร่ง  เพียงแต่ว่าในแง่ของการที่จะกระโดดเข้ากระโดดออกตามภาวะเรื่องราวต่างๆ ที่ภาคการลงทุนในระบบกองทุนต่างๆ ที่มี  ก็อาจจะทำให้เกิดการผันผวน  แต่ผมอยากชี้ว่าทุกๆ ครั้งที่มีการดำเนินการขายหุ้นเป็นขนานใหญ่ โดยผู้ลงทุนต่างประเทศ  ก็มักจะเป็นโอกาสทองของคนที่รอซื้อหุ้นอยู่  ไม่ว่าจะเป็นผู้ลงทุนต่างประเทศรายอื่น  หรือว่าผู้ลงทุนในประเทศเอง  โอกาสที่จะได้ซื้อหุ้นในราคาถูกๆ  มักจะเกิดขึ้นในยามที่มีความกังวลในลักษณะนี้ที่เป็นเชิงภูมิภาค ช่วงเวลานี้เป็นช่วงที่ประเทศในอาเซียนกำลังเผชิญในความท้าทายในการตอบโจทย์  อินโดนีเซียกำลังจะต้องตอบโจทย์ว่า  เขาจะแก้ปัญหาการขาดดุลการค้า  หรือการขาดดุลงบประมาณอย่างไร  มาเลเซียกำลังต้องการตอบโจทย์เหมือนกันว่า  เขาจะดูแลการขาดดุลงบประมาณของรัฐบาลให้ดีขึ้นอย่างไร  ประเทศไทยขณะนี้ผมคิดว่าเราไม่ได้มีโจทย์อะไรต้องตอบ  เราตอบชัดแล้วว่าเราจะแก้ปัญหาการขาดดุลงบประมาณอย่างไร  และดำเนินการมาแล้วเห็นจริงอย่างต่อเนื่องหลายปีงบประมาณแล้ว  เรากำลังดำเนินการที่จะผ่านกฎหมายเพื่อการลงทุนในระบบโครงสร้างพื้นฐาน  และเราก็ตอบโจทย์ไปนานแล้วว่า  ต่อให้เราลงทุนเต็มอัตราที่ว่านี้  หนี้สาธารณะเราก็อยู่ในระดับที่ต่ำ  ดังนั้นผมเชื่อว่าเราได้อยู่ในความมั่นใจของผู้ลงทุนต่างๆ ครับ

พิธีกร  :  คือวันนี้สิ่งที่ประชาชนทั่วไป  สิ่งที่นักลงทุนเป็นห่วง  กระแสเงินทุนไหลออกของนักลงทุนต่างชาติที่เข้ามาบ้านเรา  ไม่ว่าจะเป็นตลาดหุ้น  ตลาดตราสารหนี้  ตัวบอลเป็นอย่างไรบ้าง  มีความน่าเป็นห่วงแค่ไหนท่ามกลางบรรยากาศที่เงินบาทอ่อนค่าลงมา เห็น 31 แล้วแบบนี้ค่ะ

รองนายกฯกิตติรัตน์  :  เมื่อวานนี้  ผมได้เรียนในที่ประชุมไปว่า  ถ้าเงินไหลออกซะบ้างก็เป็นเรื่องที่ดี  เพราะเงินจำนวนมากนี้ไม่ควรจะไหลเข้ามาเลย  ในช่วงเวลาที่ผ่านมา  แล้วเข้ามาก็เป็นภาระทำให้เงินสำรองของประเทศดูสูงขึ้น สวยขึ้นก็จริง  แต่เป็นภาระที่ทำให้เมื่อเงินเหล่านั้นถูกแปลงเป็นเงินบาท  ก็จะต้องถูกดูแลโดยธนาคารกลางไว้เป็นต้นทุน  การไหลออกไปบ้างทำให้ภาระเหล่านั้นลดลง  และช่วงเวลาที่ไหลเข้ายังไม่สมควร  เป็นช่วงเวลาที่ทำให้ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นไปอย่างไม่จำเป็น  และทำให้เกิดผลกระทบต่อภาคที่แท้จริงคือการส่งออก  ฉะนั้นการที่เราจะเห็นเงินไหลออกไปบ้าง  บางคนบอกว่าไหลเข้าน้อยลงพอไหม  ผมว่าก็ยังดีไหลเข้ามากขึ้น  แต่ว่าถ้าไหลออกไปบ้างไม่ใช่เรื่องเสียหาย  และก็เงินสำรองของเรา  ถ้าหากจะลดไปจาก 170 เหรียญลงไปบ้าง  เพราะขนาดนี้มียอดเงินสำรองเป็นจำนวนหลายเท่าของหนี้ระยะสั้น  และเพียงพอต่อการนำเข้าสินค้าต่างๆ  ดังนั้นไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องนี้นะครับ

พิธีกร  :  สรุปสุดท้ายตรงนี้คำว่า  ถดถอย ที่หลายๆ คนเป็นห่วงกันว่า  ภาวะเศรษฐกิจไทยเข้าสู่ภาวะถดถอยแล้ว  ตรงนี้จะพิสูจน์กันได้ในการค้าการธุรกิจของไตรมาส 3 ไตรมาส 4 นี้ไหมคะ

รองนายกฯกิตติรัตน์  :  เพียงแต่ผมเรียนว่า  มองประเทศไทย  มองยาวๆนะครับ  แล้วก็อย่าไปสนใจเรื่องนี้จนกระทั่งเราลังเลกับเรื่องที่จะต้องพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน  เราเคยน้ำท่วมขนานใหญ่มาแล้ว  เราต้องลงทุนเพื่อไม่ให้เกิดเรื่องนี้ซ้ำขึ้นอีก ไม่ทราบฤดูกาลหน้าฝนปีไหนมันจะมีฝนมากกว่าปกติ  เราติดๆ ขัดๆ กับเรื่องการระบบคมนาคมขนส่งกันอยู่  การที่เราจะมุ่งหน้าเดินหน้าไปโดยที่เรารู้ความพร้อมของเราเป็นเรื่องสำคัญ  ทำเรื่องต่างๆ ที่สมควรทำ  แล้วก็การขยายตัวจะเกิดขึ้นเอง แทนที่จะหมกหมุ่นกับการที่จะต้องเห็นตัวเลขโตให้ได้  แล้วก็หาวิธีต่างๆ ที่จะทำให้โตในระยะสั้นๆ  เพื่อเอาอกเอาใจคนที่ติดตามข่าวระยะสั้นๆ อยู่  ผมคิดว่าไม่น่าจะเป็นเรื่องที่ดีนัก

ที่มา.ทีนิวส์
/////////////////////////////////////////

เสม็ดบ้านฉัน มีปรอท !!??



โดย : วรุณรัตน์ คัทมาตย์

วันนี้คราบน้ำมันที่อ่าวพร้าวอาจจะเริ่มจางหายไปพร้อมคราบน้ำตาของชาวเสม็ด การท่องเที่ยวส่อแววดีขึ้นตามลำดับ

แต่ก่อนจะถึงวันนั้น สิ่งที่น่าห่วงกว่าน่าจะเป็นเรื่องสุขภาพของ 'เจ้าบ้าน' ที่ยังต้องใช้ชีวิตอยู่กับกลิ่นน้ำมันหรืออาจจะมีปรอทร่วมด้วย

"ตั้งแต่มีคราบน้ำมันมาวันแรก รู้กันเลยว่าตรงนี้หาปลาไม่ได้ เราต้องขับเรือออกไปไกลกว่าเดิม ชาวบ้านก็ไม่มีใครไปทอดแหจับปลาแถบนี้เลย เขาก็กลัว(ปรอท)เหมือนกันแหละ"

นี่เป็นเสียงเล็กๆ ของ มนตรี มาพึ่ง หนึ่งในชาวประมงท้องถิ่นที่สะท้อนให้เห็นว่าผลพวงจากคราบน้ำมันยังคงตามมารบกวนบ้านหลังใหญ่ของพวกเขา

มนตรีบอกว่าวันนี้ผู้บริโภคไม่มั่นใจในอาหารทะเลของพวกเขาอีกต่อไป ชาวประมงต้องปรับแผนใหม่ในการออกหาปลา เขาเล่าให้ฟังท่ามกลางเพื่อนชาวประมงอีกหลายคนที่กำลังง่วนกับการแกะปลาตัวน้อยออกจากแหอวน

ไม่ใช่แค่คนหาปลาในกลุ่มของมนตรีกลุ่มเดียวเท่านั้นที่ได้รับผลกระทบ แต่กับชาวประมงที่อ่าวอื่นๆ ของเกาะเสม็ดก็ต้องปรับเปลี่ยนวิธีทำมาหากินเช่นกัน

น้ำมันไป ปรอทมา

ปรากฏการณ์ 'กลัวปรอท' นี้เป็นผลกระทบต่อเนื่องมาจากเหตุการณ์อื้อฉาวที่เพิ่งเกิดขึ้นกับท้องทะเลไทยฝั่งตะวันออกเมื่อเดือนที่ผ่านมา กับกรณีที่เกิดน้ำมันดิบรั่วไหลออกจากเรือขนส่งน้ำมัน คราบน้ำมันได้ไหล ทะลัก แผ่กระจาย เข้ามาสู่อ่าวพร้าวเกือบทั่วบริเวณ เหตุการณ์ครั้งนี้ นับว่าเป็นวิกฤตหนักอีกครั้งหนึ่งของท้องทะเลไทยเลยทีเดียว

โดยเมื่อเร็วๆ นี้ได้มีแถลงการณ์จากกรมควบคุมมลพิษออกมาว่าที่อ่าวพร้าวตรวจพบสารปรอทมากกว่ามาตรฐานถึง 29 เท่า แต่อ่าวอื่นๆ ตรวจสอบแล้วพบว่า ส่วนใหญ่มีปรอทไม่เกินค่ามาตรฐานคุณภาพน้ำทะเลที่กำหนดไว้คือ 0.1 ไมโครกรัมต่อลิตร ต่อมาไม่นานก็ได้รับการยืนยันจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องว่าปรอทที่พบในอ่าวพร้าวนั้นลดลงและไม่เป็นอันตรายแล้ว ทางฝ่ายของบริษัทต้นเหตุเองก็ลงพื้นที่ตรวจสอบและเก็บกวาดคราบน้ำมันเหล่านั้นออกไปจนเกือบหมด มองผิวเผินหน้าหาดของอ่าวพร้าวตอนนี้แทบจะมองไม่เห็นคราบสีดำมันเงาสะท้อนตามผิวน้ำอีกแล้ว

แม้ว่าทางการจะออกมาให้ข้อมูลแล้วว่าปรอทที่พบนั้นไม่เกินค่ามาตรฐาน อย่างไรก็ตาม นักท่องเที่ยวหลายคนยังคงกลัวว่ามันจะยังคงปนเปื้อนในน้ำทะเลที่ลงเล่น หรืออยู่ในอาหารทะเลที่รับประทานเข้าไป จึงมีความพยายามจากทางกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา รวมทั้งการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ต่างก็ออกมาแถลงถึงความปลอดภัยของเกาะเสม็ด และทำโครงการกระตุ้นการท่องเที่ยวต่างๆ ขึ้นเพื่อให้นักท่องเที่ยวมีความมั่นใจในการเดินทางมาเที่ยวที่เสม็ดอีกครั้ง

บริสุทธิ์ ประสพทรัพย์ ผู้อำนวยการภูมิภาค ภาคตะวันออก ททท. ออกโรงให้ความมั่นใจว่า เกาะเสม็ดยังคงมีความสวยงาม มีเกาะเล็กเกาะน้อยรายรอบที่น่าสนใจ มีหาดอื่นๆ ที่ยังลงเล่นน้ำได้อย่างปลอดภัย เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นครั้งนี้เมื่อเทียบดูแล้วเป็นเพียงผลกระทบเล็กๆ ที่กินพื้นที่เพียง 5 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น แต่อีก 95 เปอร์เซ็นต์ของเกาะ นักท่องเที่ยวยังคงเดินทางมาเที่ยวและพักผ่อนได้

"เกาะเสม็ดยังไม่ได้เสร็จทั้งเกาะ เมื่อมีปัญหาเกิดขึ้น แถมยังมีสารปรอทแถมมาให้กับทะเลไทยอีก สิ่งนี้เป็นสิ่งที่เราควรจะมามองว่าเราจะฟื้นมันยังไงให้มันกลับมาเป็นเพชรเม็ดงามดังเดิม"

นับเป็นเรื่องที่ดีที่ภาครัฐมองเห็นปัญหาแล้วไม่นิ่งเฉย ทั้งยังลงมือแก้ปัญหาได้อย่างกระชับฉับไว ในอนาคตอันใกล้การท่องเที่ยวของเกาะเสม็ดน่าจะกลับมาคึกคักดังเดิม แต่ภายใต้การแก้ปัญหาเรื่องการท่องเที่ยวที่กำลังดีขึ้น ในมุมหนึ่งประชาชนและนักวิชาการอีกกลุ่มยังมองว่าสถานการณ์นี้ยังคงต้องให้ความสำคัญกับข้อมูลที่เป็นจริงเกี่ยวกับเรื่องสารปรอทด้วย เพื่อที่จะได้สร้างความมั่นใจให้ประชาชนได้มากยิ่งขึ้น

ดร.อาภา หวังเกียรติ หัวหน้าสาขาวิชาวิศวกรรมสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยรังสิต อธิบายว่า สารปรอทเป็นองค์ประกอบทั่วไปของน้ำมันดิบ ในกรณีนี้สิ่งที่ยังไม่เห็นคือน้ำมันที่รั่วครั้งนี้มีปรอทอยู่เท่าไหร่ ซึ่งทางบริษัทที่รับผิดชอบควรจะต้องชี้แจงออกมา จะมีมากมีน้อยแค่ไหนก็ต้องมีตัวเลขมาเปิดเผยให้ประชาชนได้รับทราบ

"ถ้าบอกว่ามันไม่มีเลยเนี่ย เขาต้องมาแสดงหลักฐานให้เห็นชัดๆ หรือต้องออกมาบอกถึงแหล่งต้นตอของน้ำมันว่านำมาจากประเทศไหน รวมไปถึงสารเคมีที่ใช้สลายคราบน้ำมันด้วย คือตัวซิลิคกอนเอ็นเอส(Slickgone NS) ตรงนี้ก็เหมือนกันเขาต้องเปิดเผยข้อมูลให้ทราบ คือมองว่าสังคมเราทุกวันนี้เป็นสังคมที่ต้องเปิดเผยข้อมูล และเราก็เรียกร้องให้ทางบริษัทที่ประกาศตัวว่ามีธรรมมาภิบาลจะต้องเปิดเผยข้อมูลทั้งหมดให้โปร่งใสให้มากที่สุด และข้อมูลเหล่านี้จำเป็นต้องแสดงหลักฐานประกอบด้วย ไม่ใช่แค่พูด"

ความสุ่มเสี่ยงของเจ้าบ้าน

เกาะเสม็ดสำหรับคนทั่วไปอาจเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สวยงาม น่าเดินทางไปพักผ่อนหย่อนใจในวันหยุด ไม่น่าแปลกใจเลยที่ในแต่ละปีเกาะเสม็ดจะมีนักท่องเที่ยวไปเยือนกว่า 700,000 คนมีเม็ดเงินสะพัดกว่า 1,500 ล้านบาท แต่สำหรับชาวเสม็ดแล้ว ที่นี่คือบ้าน คือที่ทำมาหากิน คือที่อยู่อาศัย คือสถานที่ที่พวกเขาจะต้องใช้ชีวิตอยู่ไปอีกนาน

การที่เกิดเหตุอันไม่คาดฝันเช่นนี้ขึ้น แน่นอนว่ากลุ่มคนที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดคงหนีไม่พ้นชาวบ้านบนเกาะเสม็ด ซึ่งผลกระทบโดยตรงอีกอย่างที่ไม่ควรมองข้าม คือความสุ่มเสี่ยงของชาวบ้านในเรื่องของอันตรายจากพิษปรอทไม่ว่าจะมีปรอทหรือไม่ หรือมีมากน้อยแค่ไหน อย่างไรก็ดีการที่ชาวบ้านบนเกาะจะได้รับพิษปรอท ถือเป็นสิ่งที่เป็นไปได้

เนื่องจากชาวบ้านต้องใช้ชีวิตอยู่บนเกาะทุกวัน ไม่ได้ใช้ชีวิตอยู่แค่ชั่วคราวเหมือนคนต่างถิ่นที่เข้ามา ตั้งแต่เกิดเหตุจนถึงตอนนี้พวกเขาก็ยังคงอยู่ต่อไป และต้องปรับตัวให้อยู่ร่วมกับสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไปให้ได้ ซึ่งถ้าหากไม่ระวังก็อาจจะได้รับสารปรอทเข้าไปแบบไม่ทันตั้งตัว

เมื่อได้รับเข้าไปแล้วก็อาจทำให้มีอาการผิดปกติของร่างกาย มีข้อมูลจากศูนย์ข้อมูลพิษวิทยา ระบุว่า หากมีสารปรอทสะสมในร่างกายมากเกินไปจะส่งผลอันตรายต่อระบบประสาทส่วนกลาง ทำให้การเคลื่อนไหวของแขนขาและการพูดลดลง ระบบประสาทส่วนรับความรู้สึก,การได้ยิน,การมองเห็นบกพร่อง หายใจลำบากและปอดอักเสบ เป็นต้น พิษจากสารปรอทจะมีอันตรายต่อร่างกายมากน้อยเพียงใดก็ขึ้นอยู่กับทางที่พิษเข้าสู่ร่างกาย ปริมาณที่ได้รับ และชนิดของสารปรอทที่ได้รับด้วย ดังนั้นไม่ว่าเกาะเสม็ดจะมีปรอทหรือไม่ สิ่งที่ชาวบ้านควรได้รับจากภาครัฐในตอนนี้คือการเยียวยาด้านสุขภาพ ไม่ว่าจะเป็นการตรวจคัดกรอง หรือการให้ความรู้เกี่ยวกับการปฏิบัติตัวให้ปลอดภัยจากสารพิษอันตราย

นพ.ปรีชา เปรมปรี ผู้อำนวยการสำนักโรคจากการประกอบอาชีพและสิ่งแวดล้อม กรมควบคุมโรค อธิบายว่าในกรณีนี้ทางกรมควบคุมโรคได้มีการวางแผนเตรียมรับมือเรื่องนี้ไว้แล้ว โดยในเบื้องต้นได้มีการร่างแบบแผนการดูแลตัวเองให้กับชาวบ้าน และเตรียมที่จะเข้าไปแนะนำชาวบ้านต่อไป โดยอยากให้ชาวบ้านนำน้ำดื่มสะอาดไปจากฝั่งข้ามไปใช้บนเกาะ ส่วนน้ำสำหรับอุปโภคควรนำมาผ่านการกรองให้สะอาดก่อนใช้

ส่วนกลุ่มประมงท้องถิ่นที่ต้องออกไปหาหอยตามโขดหิน ช่วงนี้อาจพบคราบน้ำมันอยู่ ไม่แนะนำให้ไปสัมผัสกับคราบน้ำมันโดยตรง ส่วนเรื่องกลิ่นน้ำมันที่อ่าวพร้าวตอนนี้ทราบว่ากลิ่นเบาบางลงไปมากแล้ว แต่อย่างไรก็ตามหากออกเรือหาปลา แล้วปลาหรือสัตว์น้ำที่จับได้มีกลิ่นน้ำมันให้หลีกเลี่ยงทันที

"ตอนนี้ทางสาธารณสุขได้เตรียมแผนเรื่องนี้กันเต็มที่ เราวางระบบไว้กับทางโรงพยาบาลระยองเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้เราจัดเจ้าหน้าที่ลงไปสุ่มตรวจสุขภาพของคนในพื้นที่ ตรวจเลือด ตรวจปัสสาวะ ตรวจคัดกรองทุกอย่าง หรือหากใครมีอาการป่วย เราจะพามาตรวจเช็คให้ละเอียดเพื่อหาว่าอาการป่วยนั้นเกิดจากการได้รับสารพิษอันตรายหรือไม่ เบื้องต้นเราให้เจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล บ้านเกาะเสม็ด เป็นด่านแรกในการตรวจคัดกรอง หากพบความผิดปกติก็ให้ส่งตัวมาที่โรงพยาบาลระยองได้ทันที"

เยียวยาทุกมิติ

นอกจากเรื่องการเยี่ยวยาด้านสุขภาพ ประเด็นสำคัญอีกหนึ่งข้อคงไม่พ้นเรื่องปากท้องหรือรายได้ของคนเสม็ด ก่อนหน้าที่จะมีการจัดทำโครงการกระตุ้นการท่องเที่ยวเกาะเสม็ดของภาครัฐนั้น ชาวเสม็ดได้ออกมาพูดผ่านสื่อว่าพวกเขาได้รับผลกระทบอย่างมากจากการที่จำนวนนักท่องเที่ยวลดลง

กล้วย ทองมณี ชาวประมงท้องถิ่นที่อ่าวทับทิม ยึดอาชีพออกเรือหาหมึกมากว่า 40 ปี บอกว่า ผลกระทบเกิดกับคนทั้งเกาะ ตอนนี้ก็กำลังรอเงินชดเชยรายได้อยู่

ไม่ต่างกับ ไพศาล โชติการ เจ้าของแผงหาบเร่ขายอาหารบนเกาะเสม็ด บอกว่า รายได้ตอนนี้ลดลงไปครึ่งต่อครึ่ง รายจ่ายเท่าเดิมแต่รายได้ลดลง ลำบาก ตอนนี้ก็ปรับตัวโดยการเอาของมาขายน้อยลงกว่าเดิม และเขามองว่าเรื่องนี้ส่งผลกระทบกับทุกอาชีพบนเกาะ และเห็นว่าเงินชดเชยที่ให้มาเพียงเดือนเดียวไม่น่าจะเพียงพอ เขาอยากให้ทางการเข้ามาดูแลในระยะ 2-3 เดือนเป็นอย่างน้อย

ส่วน สุพัชญา แสงแก้ว พนักงานนวดแผนไทยของสวัสดีโคโค่ รีสอร์ท เกาะเสม็ด ก็สะท้อนความเห็นไปในทิศทางเดียวกันว่า รายได้ลดลงไปเกือบ 100 เปอร์เซ็นต์ ตอนนี้ยังรอเงินชดเชยอยู่ ซึ่งก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากรอต่อไป หากนักท่องเที่ยวยังเงียบแบบนี้ ค่าชดเชยเดือนเดียวอาจไม่เพียงพอ

ทัศนะเหล่านี้สะท้อนได้ชัดเจนว่าชาวบ้านกำลังรอคอยความช่วยเหลือจากผู้รับผิดชอบอยู่อย่างต่อเนื่อง

ขณะเดียวกัน ดร.อาภา หวังเกียรติ ก็ได้แสดงความเห็นถึงเรื่องนี้ว่า หากมองในแง่ท่องเที่ยว ตอนนี้ผลกระทบมันกว้าง ไม่ใช่แค่อ่าวพร้าว นักท่องเที่ยวที่มุ่งหมายว่าจะไปเที่ยวระยองส่วนใหญ่ก็มักจะไปที่เกาะเสม็ด แต่พอนักท่องเที่ยวเลิกเดินทางไปเสม็ด จึงส่งผลกระทบต่อธุรกิจท่องเที่ยวไปโดยปริยาย

"พอคนไม่ไปเสม็ดปุ๊บมันก็ส่งผลกระทบต่อเนื่องทั้งหมดในภาพรวมของจังหวัด ไม่ต้องมองถึงเกาะเสม็ด ดูแค่ที่บ้านเพหรือหาดแม่รำพึงก็มีคนเห็นว่ามีปลาลอยขึ้นมาตายบ้าง เกยตื้นบ้าง หรือ มีเต่าตายเกยตื้น มันก็ทำให้เห็นว่าผลกระทบมันมาถึงแล้ว คนก็ไม่ไป กลายเป็นว่าระยองตอนนี้เหมือนโดน Delete ออกจากจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยว"

เมื่อถามว่าผลกระทบนี้จะยาวนานแค่ไหน ดร.อาภา บอกว่าต้องติดตามดูต่อไป แต่ที่แน่ๆ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องหรือบริษัทต้นเหตุ ต้องออกมาเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบและเปิดเผยข้อมูลแบบโปร่งใส จริงใจ สิ่งนี้ก็จะเรียกความเชื่อมั่นได้มากขึ้น

ไม่ว่าเรื่องนี้จะลงเอยอย่างไร ที่สุดแล้วหวังว่าคนที่จะได้รับการดูแลอย่างต่อเนื่องในทุกๆ มิติควรต้องเป็นเจ้าบ้านที่ผูกพันกับเกาะแห่งนี้มาตราบชั่วชีวิต

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
/////////////////////////////////////////////////////

สนธิ พร้อมจับมือ นปช.เรียกร้องประชาธิปไตย !!??



"สนธิ" ลั่น พร้อมจับมือ "นปช." ต่อสู้เรียกร้อง ปชต. หากกลุ่ม นปช.ก้าวข้าม "ทักษิณ" ได้ ยัน พธม.ยุติบทบาทไม่ได้รับเงินจากใคร ขณะศาลสั่งเลื่อนนัดตรวจพยานหลักฐานแกนนำพันธมิตร บุกทำเนียบฯ ปิดสภาฯ เหตุจำเลยต้องแต่งตั้งทนายเพิ่ม...

ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลได้เลื่อนตรวจพยานหลักฐานในคดีที่พนักงานฝ่ายคดีอาญา 10 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง พล.ต.จำลอง ศรีเมือง นายสนธิ ลิ้มทองกุล นายพิภพ ธงไชย นายสมศักดิ์ โกศัยสุข นายสุริยะใส กตะศิลา และนายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ทั้ง 6 คน ในความผิดฐานร่วมกันบุกรุก โดยร่วมกระทำความผิดตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป ร่วมกันทำให้เสียทรัพย์ จากกรณีที่ พล.ต.จำลอง และนายสนธิ ได้นำมวลชนปิดล้อมสถานที่ราชการ บุกรุกทำเนียบรัฐบาล และปิดล้อมรัฐสภา เมื่อปี 2551

เมื่อถึงเวลา นายสุวัตร อภัยภักดิ์ ทนายจำเลย แถลงต่อศาลขอเลื่อนการตรวจพยานหลักฐานออกไป เพราะจำเลยต้องแต่งตั้งทนายเพิ่มเติม ขณะเดียวกัน ได้ยื่นคำร้องขอพิจารณาไต่สวนลับหลัง เนื่องจากจำเลยทั้ง 6 ต้องเดินทางไปต่างจังหวัด และเดินทางออกนอกประเทศบ่อยครั้ง จึงอาจทำให้ไม่สามารถมาร่วมฟังการพิจารณาได้ ด้านอัยการโจทก์ไม่คัดค้าน

ศาลพิเคราะห์แล้ว เห็นควรให้เลื่อนการนัดตรวจพยานหลักฐาน และกำหนดวันนัดพร้อมคู่ออกไปเป็นวันที่ 28 พ.ย.นี้ เวลา 09.00 น. พร้อมกันนี้ ศาลยังอนุญาตให้พิจารณาลับหลังจำเลยตามคำขอ

ทั้งนี้ ภายหลังการตรวจหลักฐาน นายสนธิ กล่าวถึงการยุติบทบาททางการเมืองของกลุ่มพันธมิตรฯ ว่า กรณีดังกล่าวเป็นการเปิดโอกาสให้มวลชนพันธมิตรฯ ได้ใช้เอกสิทธิ์ในการตัดสินใจเข้าร่วมชุมนุมกับกลุ่มอื่นๆ ได้ และที่ผ่านมา กลุ่มพันธมิตรฯ ต่อสู้เพื่อต้องการให้มีการปฏิรูปและเปลี่ยนแปลงประเทศ ซึ่งในอนาคต หากมีประชาชนกลุ่มไหนพร้อมที่จะปฏิรูปประเทศ กลุ่มพันธมิตรฯ ก็พร้อมที่จะกลับมา และพร้อมที่จะเข้าร่วมกับทุกกลุ่ม ไม่เว้นแม้กับกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เพราะทั้ง 2 มีกลุ่มมีอุดมการณ์การสู้เพื่อผลประโยชน์ของประเทศชาติเหมือนกัน แต่ทางกลุ่ม นปช. ต้องก้าวข้าม พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ก้าวข้ามการหมิ่นสถาบันไปได้

ขณะเดียวกัน มองว่าการปฏิรูปการเมืองของรัฐบาลเป็นเรื่องหลอกลวง เพราะที่ผ่านมา การเมืองไทย อำนาจบริหารและอำนาจทุนเป็นเรื่องเดียวกัน

พร้อมกันนี้ นายสนธิ ยังกล่าวยืนยันด้วยว่า การยุติบทบาทของกลุ่มพันธมิตรฯ นั้น ไม่ได้รับเงินจาก พ.ต.ท.ทักษิณ อย่างที่หลายฝ่ายเข้าใจแน่นอน.

โดย: ไทยรัฐออนไลน์
///////////////////////////////////////////////////////////////////

วันอาทิตย์ที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2556

เปิดรายชื่อผู้ร่วม สภาปฏิรูปฯ !!??

 รายชื่อบุคคลที่ร่วมเวทีสภาปฏิรูปการเมือง ภายใต้ชื่อ "เดินหน้าปฏิรูปประเทศไทย พัฒนาประชาธิปไตย และประเทศร่วมกัน" ณ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล ในวันนี้ เเบ่งเป็นภาคการเมือง 25 คน คือนายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานรัฐสภา นายนิคม ไวยรัชพานิช ประธานวุฒิสถา นายบรรหาร ศิลปอาชา อดีตนายกฯ พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกฯ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกฯ นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา อดีตประธานรัฐสภา นายพิชัย รัตตกุล อดีตประธานรัฐสภา นายอุทัย พิมพ์ใจชน อดีตประธานรัฐสภา นายโภคิน พลกุล อดีตประธานรัฐสภา นายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย นายธีระ วงศ์สมุทร หัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา นายวรรณรัตน์ ชาญนุกูล หัวหน้าพรรคชาติพัฒนา นายอนุทิน ชาญวีรกุล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย พลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน หัวหน้าพรรคมาตุภูมิ นายภูมิธรรม เวชยชัย เลขาธิการพรรคเพื่อไทย นายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล ที่ปรึกษาพรรคชาติไทยพัฒนา นายพิมล ศรีวิกรม์ อดีตส.ส. พล.ต.อ.โกวิท ภักดีภูมิ ส.ว.นายประสิทธิ์ โพธสุธน ส.ว. นายกฤช อาทิตย์เเก้ว ส.ว.นายประเสริฐ ประคุณศึกษาพันธ์ ส.ว. นายประวัติ ทองสมบูรณ์ ส.ว.นายสุชน ชาลีเครือ อดีตประธานวุฒิสภา

ภาควิชาการเเละเอ็นจีโอ 14 คน นายกระมล ทองธรรมชาติ อดีตประธานศาลรัฐธรรมนูญ นายโคทม อารียา อดีต กกต. นายศุภชัย ยาวะประภาษ คณบดีรัฐศาสตร์ จุฬาฯ ผศ.วุฒิศักดิ์ ลาภเจริญทรัพย์ อธิการบดี ม.รามคำเเหง นายวุฒิสาร ตันไชย รองเลขาธิการสถาบันพระปกเกล้า นายอนุสรณ์ ธรรมใจ กรรมการสถาบันปรีดีพนมยงค์ นายลิขิต ธีรเวคิน ราชบัณฑิต นายธีรภัทร์ เสรีรังสรรค์ ประธานสภาพัฒนาการเมือง นายเดโช สวนานนท์ รองประธาน สสร.2540 นายธงทอง จันทราศุ ปลัดสำนักนายกฯ นายกิตติพงษ์ กิตติยารักษ์ ปลัดกระทรวงยุติธรรม ศ.นพ.รัชตะ รัชตะนาวิน อธิการบดีม.มหิดล นายคณิน บุญสุวรรณ สสร.2540

เอกชน 11 คน นายวีรพงษ์ รามางกูร ประธาน กยอ. นายอิสระ ว่องกุศลกิจ ประธานสภาหอการค้าไทย นายพยุงศักดิ์ ชาติสุทธิผล ประธานสภาอุตสาหกรรมเเห่งประเทศไทย นายชาติศิริ โสภณพนิช ประธานสมาคมธนาคารไทย นางปิยะมาน เตชะไพบูลย์ ประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวเเห่งประเทศไทย นายมนัส โกศล ประธานสภาองค์การลูกจ้างพัฒนาเเรงงานเเห่งงประเทศไทย นายอุกฤษณ์ กาญจนเกตุ รักษาการผอ.สภาองค์การนายจ้างเเห่งประเทศไทย นายประสิทธิ์ บุญเฉย นายกสมาคมชาวนาไทย นายโอกาส เตพละกุล ประธานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจเเละสังคมเเห่งชาติ นายวิเชียร ชุบไธสง อุปนายกสภาทนายความ นางสุพัฒนา อาทรไผท รองประธานสภาสตรีเเห่งชาติ

ภาคประชาชน 19 คน นายประพัฒน์ ปัญญาชาติรักษ์ ประธานสภาเกษตรกรเเห่งชาติ นางประทีป อึ้งทรงธรรม ฮาตะ เลขาธิการมูลนิธิดวงประทีป นางมุกดา อินต๊ะสาร ประธานคณะทำงานเครือข่ายสวัสดิการชุมชน นางธิดา ถาวรเศรษฐ ประธาน นปช. นายชัยมงคล ไชยรบ นายกสมาคมองค์การบริหารส่วนจังหวัดเเห่งประเทศไทย นายวิชัย บรรดาศักดิ์ นายกสมาคมสันนิบาตเทศบาลเเห่งประเทศไทย นายนพดล เเก้วสุพัฒน์ นายกสมาคมองค์การบริหารส่วนตำบลเเห่งประเทศไทย นายยงยศ เเก้วเขียว นายกสมาคมกำนันผู้ใหญ่บ้านเเห่งประเทศไทย นายสุพัฒน์ อาษาศรี เลขาธิการ สนนท.

สื่อมวลชน 3 คน นายสมชาย กรุสวนสมบัติ ผู้เเทน น.ส.พ.ไทยรัฐ นายฐากูร บุนปาน ผู้เเทน น.ส.พ.มติชน นางประภา เหตระกูล ผู้เเทน น.ส.พ.เดลินิวส์

หน่วยงานเพิ่มเติม 3 คน นายธวัชชัย ยงกิตติกุล เลขาธิการสมาคมธนาคารไทย นายอาณัฐชัย รัตตกุล ผอ.ศูนย์นโยบายสาธารณะเเละการจัดการ นายพรชัย ปุณณวัฒนาพร ผู้ช่วย บก.น.ส.พ.เดลินิวส์

ที่มา.เนชั่น
/////////////////////////////////////////////////////

วันเสาร์ที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2556

เฉลิม-สุเทพ ดวลเดือดพรบ.งบฯ ดีเอสไอ. !!??



อีกไฮไลท์ที่น่าสนใจของการอภิปรายร่างพรบ.งบประมาณปี2557 ในวันนี้ก็คือการตอบโต้ระหว่างร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รมว.แรงงาน กับนายสุเทพ  เทือกสุบรรณ สส.สุราษฎร์ธานี พรรคประชาธิปัตย์ กรณีการใช้งบประมาณสำหรับทำคดีพิเศษที่ส่อว่าจะเป็นการเลือกปฏิบั ติทางการเมือง

สถานการณ์ร้อนที่ว่าถูกจุดชนวนขึ้นโดย นายวัชระ เพชรทอง สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ ที่อภิปรายว่า การทำงานของดีเอสไอไม่มีประสิทธิภาพ  ไม่มีคุณธรรม ไม่เที่ยงธรรม

คดีใหญ่ๆ เช่นคดีฆ่านายเอกยุทธ์ อัญชันบุตร นักธุรกิจชื่อดัง กลับไม่รับเป็นคดีพิเศษ แต่รับคดีการโพสต์ภาพของน.ส.มัลลิกา บุญมีตระกูล รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ รวมทั้งคดีเงินบริจาคเข้าพรรคประชาธิปัตย์ด้วย ซึ่งนายธาริตต้องการเอาใจรัฐบาล

จากนั้น ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง  รมว.แรงงาน  ลุกขึ้นใช้สิทธิ์พาดพิงชี้แจงว่า  การรับคดีใดเป็นคดีพิเศษ ไม่ได้อยู่ที่ใครคนใดคนหนึ่ง ต้องมีการตรวจสอบ และมีพยานหลักฐาน ถ้ามีหลักฐานเพียงพอก็สั่งเรื่องให้คณะกรรมการคดีพิเศษพิจารณาว่าจะรับเป็นคดีพิเศษหรือไม่  ที่ผ่านมาตนทำหน้าที่เป็นประธานมา 2 ปี มีการรับคดี 98 ศพ มาเป็นคดดีพิเศษ ก็ถูกกล่าวหาว่าเป็นคนกลั่นแกล้ง ทั้งที่เวลานี้อัยการดำเนินการสั่งฟ้องแล้ว ไม่มีใครแกล้งใคร และไม่มีนักการเมืองคนไหนสามารถจะแกล้งพรรคประชาธิปัตย์ได้  การเมืองไม่มีใครกลัวใคร ไอ้ที่พูดคือพวกไม่รู้ภาษา อย่ามากล่าวหาว่าพวกตนกลั่นแกล้ง

ทำให้ นายสุเทพ  เทือกสุบรรณ สส.สุราษฎร์ธานี พรรคประชาธิปัตย์ ลุกขึ้นประท้วงว่า  เป็นการกล่าวคำเท็จในสภาฯ ที่บอกว่า อัยการสั่งฟ้องคดี 98 ศพ นั้น ข้อเท็จจริงดีเอสไอได้สั่งฟ้อง แต่อัยการยังไม่ได้สั่งฟ้อง  ร.ต.อ.เฉลิม จึงลุกขึ้นโต้ว่า ดีเอสไอได้สั่งฟ้องแล้ว

นายสุเทพ ลุกขึ้นโต้อีกว่า ก่อนหน้านี้ได้เดินทางไปพบอัยการ ก็มีการชี้แจงว่ายังพิจารณาไม่เสร็จ จึงเลื่อนนัดพิจารณาไปเป็นวันที่ 26 ส.ค.นี้ การที่ร.ต.อ.เฉลิม บอกว่ารู้ล่วงหน้า ทำให้เคลือบแคลงใจว่ารู้ได้อย่างไร  หรือฝ่ายการเมืองจะข้าไปเกี่ยวข้องกับกระบวนการยุติธรรม ทั้งที่ไม่มีหน้าที่ หรือแอบสั่งการอัยการไว้แล้ว หากเป็นเช่นนี้ตนก็จะดำเนินการอีกคดีหนึ่ง

ทำให้ ร.ต.อ.ฉลิม ลุกขึ้นตอบโต้ว่า ถ้านักการเมืองคนไหนไปสั่งให้ดีเอสไอสอบสวนคดีนี้ ขอให้นักการเมืองคนนั้นวิบัติ  และคณะกรรมการไม่ตั้งในสมัยตน ตั้งในสมัยพรรคประชาธิปัตย์ ที่ต้องการจัดการกับคนเสื้อแดง มันอุบาทว์ ทำให้นายสุเทพ  ลุกขึ้นประท้วงว่าใช้คำหยาบในสภาฯ และขอให้ประธานสั่งให้ ร.ต.อ.เฉลิม ถอนคำพูด แต่ ร.ต.อ.เฉลิม ไม่ยอมถอน ทำให้ นายเจริญ ต้องสั่งให้ ร.ต.อ.เฉลิม ออกจากห้องประชุม

ด้านนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ลุกขึ้นใช้สิทธิ์พาดพิงว่า  คดี 98 ศพ ยังไม่มีการดำเนินคดี  ที่ผ่านมา เป็นคดีที่ตนเองและนายสุเทพ ถูกดีเอสไอดำเนินคดี เป็นการเสียชีวิตของนายพัน คำกอง และด.ช. คุณากร ศรีสุวรรณ  ที่เสียชีวิตในช่วงการชุมนุม  ซึ่งก็ต้องไปสืบสวนหาข้อเท็จจริงในรายละเอียด จากนั้นนายเจริญ ได้ไกล่เกลี่ยให้เข้าสู่การอภิปรายต่อไป

การอภิปรายของ ร.ต.อ.เฉลิม ยังสร้างความไม่พอใจ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ยังลุกขึ้นประท้วงกรณีที่ ร.ต.อ.เฉลิม ระบุว่า พรรคประชาธิปัตย์ จะทำอะไรใครก็ได้
       
อย่างไรก็ตาม นายเจริญ ได้พยายามควบคุมให้การอภิปรายเป็นไปด้วยความเรียบร้อย และเชิญ ร.ต.อ.เฉลิม ออกนอกห้องประชุม ให้การอภิปรายอยู่ในประเด็นโดยไม่กล่าวหาพาดพิงบุคคลอื่น ซึ่งกรณีดีเอสไอ จะรับเรื่องใดเป็นคดีพิเศษ ก็ขอให้เป็นอำนาจหน้าที่ของดีเอสไอเอง
       
ทั้งนี้ เมื่อไม่สามารถยุติความวุ่นวายได้ จึงเชิญร.ต.อ.เฉลิม ออกนอกห้องประชุมเพื่อทำให้บรรยากาศผ่อนคลายลง แต่ก็ยังมีการประท้วงอย่างต่อเนื่อง

สำหรับงบประมาณในมาตรา 18 ของกระทรวงยุติธรรมที่เกิดการถกเถียงกันอย่างหนัก โดยเฉพาะงบประมาณของกรมสอบสวนคดีพิเศษ ซึ่งถูกจับตามองว่าเป็นไปเพื่อทำงานรับใช้ฝ่ายการเมืองหรือไม่

มาตรา ๑๘ งบประมาณรายจ่ายของกระทรวงยุติธรรมและหน่วยงานในกำกับ ให้ตั้งเป็นจำนวน ๑๙,๗๓๕,๔๕๒,๘๐๐ บาท จำแนกดังนี้

 ๑. สานักงานปลัดกระทรวงยุติธรรมรวม ๖๘๐,๕๒๗,๖๐๐ บาท
 ๒.กรมคุมประพฤติ ๑,๘๒๔,๖๙๐,๙๐๐ บาท
 ๓.กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ ๔๘๖,๙๐๕,๑๐๐ บาท
 ๔.กรมบังคับคดี ๘๕๔,๕๗๑,๐๐๐ บาท
 ๕.กรมพินิจคุ้มครองเด็กและเยาวชน ๑,๖๖๗,๘๒๕,๑๐๐ บาท
 ๖.กรมราชทัณฑ์ ๙,๗๕๗,๓๒๙,๙๐๐ บาท
 ๗.กรมสอบสวนคดีพิเศษ ๑,๐๘๘,๗๒๐,๕๐๐ บาท
 ๘.สำนักกิจการยุติธรรม ๑๘๑,๓๘๓,๗๐๐ บาท
 ๙.สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ๒๖๖,๘๖๖,๖๐๐ บาท
 ๑๐. สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ๒,๕๒๒,๔๒๘,๔๐๐ บาท
 ๑๑.สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทำทุจริตภาครัฐ ๒๗๑,๙๕๔,๕๐๐ บาท
 ๑๒. สถาบันอนุญาโตตุลาการ ๒๓,๑๖๒,๐๐๐ บาท
 ๑๓.สถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย ๑๐๙,๐๘๗,๕๐๐ บาท

กรมสอบสวนคดีพิเศษแห่งราชอาณาจักรไทย เป็นหน่วยงานของรัฐ สังกัด กระทรวงยุติธรรม เพื่อป้องกัน ปราบปราม และควบคุมอาชญากรรมที่มีผลกระทบอย่างร้ายแรงต่อเศรษฐกิจ สังคม ความมั่นคงและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ

กรมสอบสวนคดีพิเศษก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2545 ตามพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม พ.ศ. 2545 ใช้ชื่อภาษาอังกฤษว่า Department of Special Investigation มีชื่อย่อว่า DSI

กรมสอบสวนคดีพิเศษมีบทบาทภารกิจดังต่อไปนี้

ป้องกัน ปราบปรามและควบคุมอาชญากรรมที่มีผลกระทบร้ายแรงต่อเศรษฐกิจ สังคม ความมั่นคง และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ

พัฒนา กฎหมาย กฎระเบียบ รูปแบบ วิธีการ และมาตรการในการป้องกัน ปราบปรามและควบคุมอาชญากรรมที่มีผลกระทบอย่างร้ายแรงต่อเศรษฐกิจ สังคม ความมั่นคง และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
 
พัฒนาโครงการและการบริหารจัดการองค์กร
 
พัฒนาบุคลากรโดยเสริมสร้างศักยภาพในด้าน ความรู้ ความสามารถ คุณธรรม จริยธรรม และขวัญกำลังใจ
 
ประสานส่งเสริมเครือข่าย ความร่วมมือในการป้องกัน ปราบปรามและควบคุมอาชญากรรมกับทุกภาคส่วนทั้งภายในและต่างประเทศ

ที่มา.คอลัมน์ : เจาะข่าวร้อนล้วงข่าวลึก
///////////////////////////////////////////////////////////////////////