--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันพฤหัสบดีที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2556

จาก ตุรกี ถึง อียิปต์ สังคมไทย ได้บทเรียนอะไรบ้าง !!??

เชื่อว่าวันนี้ กระแสที่ทั่วโลกจับตามองมากที่สุด คงหนีไม่พ้นเหตุวุ่นวายในอียิปต์ หลังจากรัฐบาลของ โมฮัมเหม็ด มอร์ซี ประธานาธิบดี ที่มาจากการเลือกตั้งหนแรกหลังโค่นล้มรัฐบาลเผด็จการของ ฮอสนี มูบารัค เมื่อปี 2554 ถูกกองทัพยึดอำนาจ ทำให้กลุ่มประชาชนผู้สนับสนุนนายมอร์ซีออกมาชุมนุมประท้วงจนเกิดการปะทะกันกับทหารและกลุ่มประชาชนที่ต่อต้านนายมอร์ซี ที่ล่าสุดยอดผู้เสียชีวิตพุ่งไปเกือบพันศพแล้ว

ในเวลาไล่เลี่ยกัน ที่ตุรกีก็มีเหตุชุมนุมประท้วง ต่างกันแต่เพียงจบเร็วและไม่นองเลือดเท่านั้น สาเหตุที่ระบุอย่างเป็นทางการ เกิดจากโครงการสร้างสวนสาธารณะ ที่ได้รับการสนับสนุนโดยรัฐบาลของ เรเซ็ป ไตยิบ เอดวน นายกรัฐมนตรีที่มาจากพรรคความยุติธรรมและการพัฒนา หากแต่มีผู้วิเคราะห์ไว้ว่า..ความวุ่นวายทั้งในตุรกีและอียิปต์ เป็นไปด้วยสาเหตุที่ซับซ้อนกว่านั้น โดยเฉพาะเรื่องของข้อขัดแย้งทางความเชื่อในหมู่ประชาชน

โลกเก่า VS โลกใหม่

“อียิปต์เป็นประเทศที่เข้าสู่การเปลี่ยนผ่านไปยังโลกสมัยใหม่ ก็เหมือนกับไทยที่ผ่าน 14 ตุลา 6 ตุลา หรือพฤษภา กว่าจะมีประชาธิปไตยได้ แต่ทีนี้ในโลกมุสลิม มันแตกต่างจากที่อื่นๆ ตรงที่ว่าอิสลามเข้าไปมีบทบาทสำคัญ ในเรื่องสังคมและการเมือง”

มูฮัมหมัดอิลยาส หญ้าปรัง อาจารย์ภาควิชาการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง ในฐานะนักวิชาการผู้สนใจการเมืองโลกมุสลิม อธิบายถึงลักษณะทางสังคมในโลกอาหรับที่อาจจะต่างไปจากสังคมอื่นๆ ของโลกใบนี้ เนื่องจากศาสนาอิสลาม มีจุดเด่นสำคัญคือไม่ใช่เพียงพิธีกรรมอย่างศาสนาอื่นๆ เท่านั้น แต่ครอบคลุมไปยังวิถีชีวิตของผู้นับถือทุกย่างก้าว ตั้งแต่ลืมตาดูโลกจนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต

นักวิชาการด้านมุสลิมศึกษารายนี้ เปรียบเทียบถึงวัฒนธรรมที่เคยคล้ายกันอย่างศาสนาคริสต์ในโลกตะวันตก ที่ครั้งหนึ่งมีอิทธิพลต่อวิถีชีวิตผู้คนไม่ต่างกัน จนกระทั่งถูกท้าทายจากกระแสปฏิวัติวิทยาการ สังคมยุโรปเริ่มตื่นตัวด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ทำให้อิทธิพลของศาสนาเสื่อมลง และถูกกันออกไปนอกวิถีของการเมือง หรือที่เรียกว่า รัฐฆราวาส (Secular State) ซึ่งกระแสนี้ได้แพร่ขยายไปทั่วโลก พร้อมๆ กับการล่าอาณานิคม

“โลกตะวันตกจะละทิ้งศาสนา แต่ในอิสลามไม่ใช่ ฉะนั้นพลังในโลกมุสลิมมันมีพลังอันหนึ่ง เรียกว่าพลังของอิสลาม เพราะอิสลามเป็นศาสนาที่บอกว่าคือระเบียบของชีวิต มันเป็นระบบหนึ่ง เหมือนๆ กับ Socialist (สังคมนิยม) Democracy (ประชาธิปไตย) อะไรเหล่านั้น อิสลามมีพลังตรงนี้ แต่โลกมุสลิมก็มีปฏิสัมพันธ์กับโลกภายนอก”

อ.มูฮัมหมัดอิลยาส เล่าต่อไปถึงการปะทะทางวัฒนธรรม เริ่มตั้งแต่ยุคจักรวรรดินิยม ที่ต้องต่อสู้กับบรรดามหาอำนาจตะวันตก กับยุคกระแสสมัยใหม่ (Modernization) ที่พูดถึงสิทธิสตรี ความเท่าเทียมของมนุษย์ หรือแม้แต่สิทธิเสรีภาพส่วนบุคคล สิ่งเหล่านี้ถือเป็น “คุณค่าใหม่” ที่สังคมอาหรับไม่คุ้นเคย แต่ที่เกิดเหตุวุ่นวายขึ้น คือกลุ่มที่นิยมตะวันตกมีจำนวนน้อยกว่า จึงหันไปหากองทัพที่ฉวยโอกาสออกมาทำรัฐประหาร

ความลักลั่นของอุดมการณ์

ประเด็นถัดมา เมื่อพูดถึงข่าวการประท้วงในตุรกีและอียิปต์ เรื่องที่บรรดานักวิชาการ ตลอดจนนักเคลื่อนไหวทางการเมืองสีต่างๆ ในไทยนำมาพูดถึง คือความเหมือนกันของทั้ง 2 ชาติ ที่ประชาชนส่วนใหญ่เป็นมุสลิมสายเคร่งเลือกตั้งเข้ามา ทั้งพรรคความยุติธรรมและการพัฒนาของตุรกี และพรรคภราดรภาพมุสลิมของอียิปต์ จากนั้นก็เกิดข้อสงสัยกันว่า..เหตุใดพรรคที่มีนโยบายเอียงไปทางอนุรักษ์นิยม-ศาสนานิยม จึงได้รับความนิยมชมชอบจากประชาชนส่วนใหญ่ มากกว่ากลุ่มการเมืองที่อิงตะวันตก และเน้นเสรีนิยมแบบรัฐฆราวาส

อ.มูฮัมหมัดอิลยาส ชี้ให้เห็นถึงความลักลั่นเชิงอุดมการณ์บางอย่าง ในอียิปต์ กลุ่มหรือพรรคภราดรภาพมุสลิม พยายามช่วยเหลือคนยากจน ผ่านช่องทางต่างๆ ทั้งโรงพยาบาล สำนักงานทนายความ หรือโรงเรียน เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมในสังคม ทั้งที่ควรจะเป็นนโยบายของกลุ่มอำนาจเก่าที่อ้างความเป็นรัฐฆราวาส อันเชิดชูหลักการสิทธิเสรีภาพและความเท่าเทียมแบบตะวันตก

เช่นเดียวกับสถานการณ์ในตุรกี ที่กว่าพรรคความยุติธรรมและการพัฒนาจะได้รับเลือกตั้งเข้ามาเป็นรัฐบาลก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องบ่มเพาะฐานเสียงเป็นเวลาหลายสิบปี ผ่านการเข้าไปให้ความรู้กับประชาชน จนกระทั่งมีพลังมวลชนมากพอจะเดินเข้าสู่สนามเลือกตั้ง ซึ่งใช้ศาสนาเป็นตัวจักรสำคัญ เพราะกับชาวบ้านรากหญ้าทั่วไปแล้ว ศาสนาเป็นเรื่องที่เข้าถึงง่ายที่สุด

“เขา(ภราดรภาพมุสลิม) มีทุกอย่าง ที่รัฐบาลทหารไม่สามารถจัดหาให้ได้ แต่ Muslim Brotherhood หาให้ได้ คนตายที่ไหน คนเจ็บที่ไหนเขาไปถึง นี่เป็นสาเหตุว่าทำไมเขาถึงชนะ แต่พวก Liberal หรือพวก Secularist เขาไม่เคยอยู่กับประชาชน นี่คือความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ เรื่องรัฐอิสลามมันถกกันจบไปแล้ว เขาแค่ใช้คุณค่าแบบอิสลามเข้าไปให้เกิดความเป็นธรรมในสังคมเท่านั้นเอง พรรคยุติธรรมของตุรกีก็เหมือนกัน” อ.มูฮัมหมัดอิลยาส กล่าว

ต้อง‘พูดคุย’เพื่อลด‘ความกลัว’

ผู้เชี่ยวชาญด้านโลกมุสลิมรายนี้ ยังกล่าวเพิ่มเติมด้วยว่า ที่จริงแล้วกลุ่มภราดรภาพมุสลิม ทุกวันนี้ไม่ได้ต้องการสถาปนารัฐอิสลามที่มีความสุดโต่ง อย่างที่บรรดากลุ่มนิยมรัฐฆราวาส ตลอดจนชาติตะวันตกหวาดกลัวกัน เพราะอุดมการณ์ดังกล่าวที่อาจได้รับความนิยมในยุคต่อต้านการล่าอาณานิคม แต่เมื่อภัยดังกล่าวสิ้นสุดลง ความนิยมในลัทธิดังกล่าวก็ลดลงไปด้วยตามลำดับ ไม่ต่างจากลัทธิคอมมิวนิสต์ที่เคยเฟื่องฟูไปทั่วโลก ทว่าวันนี้คงไม่มีประเทศใดเรียกหาอีกเพราะล้าสมัยไปแล้ว

“มีการปลุกความคิดว่ากลุ่มภราดรภาพมุสลิมจะตั้งรัฐอิสลาม ก็จะเป็นภัยคุกคามต่ออิสราเอล ต่อกลุ่ม Liberal (เสรีนิยม) ต่อกลุ่ม Secular (รัฐฆราวาส) ดังนั้นเขาเลยพยายามสร้าง Mentality (กระแสความเชื่อ) สร้างความรู้สึกต่อต้านให้มันเกิดขึ้น พอเห็นอะไรอิสลามหน่อยก็กลัว ถ้าเป็นสมัยก่อนก็ยึดอำนาจเลย แล้วแขวนคอคนได้เลย

ก็เหมือนกับไทยที่เคยกลัวผีคอมมิวนิสต์ ก็สร้างความกลัวตรงนี้ขึ้นมา เป็นการสร้างให้เกิดการคุกคามจากภายนอก มันเป็นการสร้างอำนาจอย่างหนึ่งให้จอมพล หรือทหารทั้งหลายในตอนนั้น” อ.มูฮัมหมัดอิลยาส เปรียบเทียบ

อย่างไรก็ตาม ปัญหาความขัดแย้งระหว่างแนวคิดต่างๆ ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะในสังคมอาหรับเท่านั้น แต่เกิดขึ้นไปทั่วโลกระหว่างผู้นิยม “คุณค่าตะวันตก” ที่เชิดชูเสรีภาพของปัจเจกบุคคล กับคุณค่าอื่นๆ นอกจากขนบอิสลามที่กล่าวมาแล้ว ก็ยังมี “ขนบตะวันออก” เช่นวาทะของลี กวน ยู อดีตผู้นำสิงคโปร์ เกี่ยวกับคุณค่าแบบเอเชีย หรือไทยเองก็มีความเชื่อแบบ “แสวงหาคนดี” มาบริหารบ้านเมืองเช่นกัน

“ปัญหาในการเข้าสู่ความเป็น Modern (ทันสมัย) กลุ่มตะวันตกบอกว่า ถ้าคุณจะ Modern คุณมีทางเดียวคือต้องเป็น Secular คุณต้องเดินทางนี้ ต้องแยกศาสนาออกไป ตะวันตกมีประสบการณ์อย่างไรคุณต้องเอาแบบนั้นมาใช้ ส่วนกลุ่มอื่นๆ ทั้งกลุ่มอิสลาม กลุ่มตะวันออก หรือกลุ่มละตินอเมริกา บอกว่าเราจะเข้าสู่ Modern ก็ไม่จำเป็นต้องผ่านประสบการณ์แบบตะวันตก เรา Modern ได้ ในขณะที่เรายังมีศาสนา มีแบบแผนประเพณีอันดีงามของเรา คือมันเป็นข้อถกเถียงในเรื่อง Modernity”

นักวิชาการผู้เชี่ยวชาญด้านโลกมุสลิม กล่าวทิ้งท้าย พร้อมกับแนะนำว่า ที่ลัทธิสุดโต่งเกิดขึ้นในสังคมต่างๆ ได้ เพราะสังคมนั้นๆ ไม่มีพื้นที่ให้แต่ละฝ่ายมาพูดคุยกัน ทำให้ฝ่ายต่างๆ มีแต่จะหวาดกลัวซึ่งกันและกัน หรือไปเล่าลือปากต่อปากกันเองในทางลับ ปลุกระดมจนเติบโตเป็นกลุ่มที่แข็งกร้าวขึ้นมาได้ โดยยกตัวอย่าง “อินโดนีเซีย” เป็นประเทศที่บรรดานักคิดของอิสลามสายต่างๆ สามารถถกเถียงทางศาสนาได้อย่างเต็มที่นำมาซึ่งความเข้าใจและการแสวงหาทางออกร่วมกัน จนกลุ่มหัวรุนแรงสุดขั้วยากจะขยายตัวได้อย่างพื้นที่อื่นๆ

บทเรียนจากอียิปต์และตุรกี สะท้อนให้เห็นปัญหาสำคัญ 2 ประการ เรื่องแรกคือ การแสวงหาคุณค่าใหม่ๆ ทางสังคม พบว่า
แม้แต่คุณค่าที่ถูกยกย่องว่าเป็นสากลที่สุดตามที่โลกตะวันตกรับรองอย่างรัฐฆราวาส ก็ไม่ได้หมายความว่าจะถูกใช้ไปเพื่อประชาชนคนรากหญ้าอย่างแท้จริง ตรงกันข้าม ค่านิยมอื่นๆ ที่ถูกตะวันตกตัดสินว่าล้าหลัง อย่างรัฐอาจมีบางส่วนที่อิงกับศาสนาบ้าง กลับมีแนวโน้มยืนอยู่ข้างประชาชนมากกว่า

อีกเรื่องหนึ่ง ความที่ทั้ง 2 สังคม เป็นสังคมที่รัฐค่อนข้างเป็นไปในทางบีบบังคับประชาชนในการแสดงออก ทั้งอียิปต์ที่เป็นเผด็จการมานาน ขณะที่ตุรกีแม้จะเป็นประชาธิปไตย แต่ที่ผ่านมาก็มีการตั้งข้อสังเกตบางประการ เช่นการออกกฎหมายห้ามสตรีมุสลิมสวมฮิญาบ (ผ้าคลุมผม) โดยอ้างว่าเพื่อขจัดอิทธิพลของศาสนา ว่าเป็นความหวาดกลัวเกินไปของผู้มีอำนาจรัฐ จนต้องลิดรอนเสรีภาพของประชาชนหรือไม่? สิ่งเหล่านี้เมื่อถึงจุดหนึ่ง จึงระเบิดออกมาเป็นเหตุรุนแรงดังกล่าว

ส่วนสังคมไทยจะซ้ำรอย 2 ประเทศนั้นหรือไม่? วันนี้ยังไม่มีใครกล้ารับรอง

ที่มา.นสพ.แนวหน้า
/////////////////////////////////////////////////////////////////////


สหรัฐฯ ตีกลับ ข้าวไทย !!??




นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ส.ส.พิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะผู้เกาะติดโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาล โพสต์ในเฟซบุ๊คส่วนตัว Warong Dechgitvigrom อ้างว่า ได้รับข้อมูลที่น่าเชื่อถือ ว่า ข้าวหอมมะลิของไทย ที่ส่งออกขายอเมริกา ถูกตีกลับ เมื่อช่วงปลายเดือนกรกฎาคม 2556 ที่ผ่านมา เพราะมีสารปนเปื้อน พร้อมตำหนิ คณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ว่า เหตุใดถึงปล่อยให้ข้าวล็อตดังกล่าว กลับเข้าประเทศ ทั้งๆ ที่ควรจะกัก หรือทำลาย ซึ่งสุดท้ายแล้ว คนไทยจะเป็นเหยื่อข้าวปนสารปนเปื้อน หรือไม่ พร้อมทั้งเรียกร้องให้รัฐบาลออกมาชี้แจงในเรื่องนี้

นพ.วรงค์ ระบุไว้ดังนี้

ผมได้รับข้อมูลที่น่าเชื่อถือและยืนยันได้ว่า ข้าวหอมมะลิของไทยเราส่งออกไปอเมริกาแต่ถูกทางการอเมริกาตีกลับช่วงเดือนที่ผ่านมา(ประมาณปลายเดือนกรกฎาคม2556) เพราะมีสารปนเปื้อน โดยปกติแล้วถ้ามีสารปนเปื้อน ทางอย.จะต้องตรวจดูก่อนถ้ามีอันตรายจะต้องกักข้าวล็อตนั้นไว้หรือเอาไปทำลาย แต่ข้อมูลยืนยันมาว่ามีการปล่อยให้นำข้าวล็อตดังกล่าวกลับเข้าประเทศ จุดที่น่าห่วงคือเอากลับมาขายคนไทยหรือไม่ สิ่งเหล่านี้สะท้อนถึงมาตรฐานคุณภาพชีวิตคนไทยครับ ผมว่ารัฐบาลต้องชี้แจงครับ

ที่มา.นสพ.แนวหน้า
////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันพุธที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2556

อิทธิพลเขื่อนสามโตรก -Three Gorges Dam ต่อไทย



ผมมีโอกาสได้ไปพิพิธภัณฑ์ China Three Gorges Museum ที่มหานครฉงชิ่ง ไปเห็นแล้วน่าตกใจถึงความยิ่งใหญ่ที่ได้พบถึงกระบวนการของการก่อสร้างอภิมหาโครงการของโลก คือเขื่อนสามโตรก หรือ  Three Gorges Dam ซึ่งมีการประเมินกันไปต่าง ๆ นานา ว่าเขื่อนดังกล่าวจะกั้นน้ำปริมาณมหาศาลซึ่งอาจจะทำให้แกนโลกเอียงไป และอาจจะมีส่วนทำให้โลกร้อนตามสถานการณ์ได้ นอกจากนั้นก็มีการโจมตีถึงผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม และผลกระทบต่อสังคมที่ต้องอพยพคนนับล้าน กระทบต่อชุมชน โบราณวัตถุ วัฒนธรรม วิถีชีวิตมากมาย ซึ่งก็ว่ากันไป


แต่ที่น่าสนใจคือแนวคิด นโยบายและวิสัยทัศน์ของจีนที่สร้างโครงการนี้ขึ้นมา ซึ่งนอกจากนัยยะทางเศรษฐกิจแล้ว  ก็ว่ากันว่าจีนทำโครงการนี้ด้วยจุดประสงค์ทางการเมืองด้วย  นั่นคือแสดงให้โลกเห็นถึงพลังอำนาจของจีน  ซึ่งชาติตะวันตกคงไม่สามารถทำโครงการที่ต้องอพยพผู้คนนับล้านเช่นนี้ได้อย่างแน่นอน และยังเป็นการสำแดงฝีมือด้านวิศวกรรมของประเทศด้วย ซึ่งก็ตอกย้ำได้ดีว่าขณะนี้จีนก็ส่งยานอวกาศเสิ้นโจวประสบความสำเร็จและมีแผนที่จะบุกดาวอังคารและดวงจันทร์อีก ซึ่งก็คงจะจริง


แต่ในทางกลับกันก็มีการมองกันว่าแบบนี้จีนก็สุ่มเสี่ยงเกินไป เพราะเขื่อนดังกล่าวจะกลายเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญของประเทศหากมีการก่อวินาศกรรม หรือภัยธรรมชาติรุนแรงขึ้น ปริมาณน้ำที่มหาศาลจะโถมทับไปยังมหานครของจีนที่เป็นศูนย์กลางและหัวใจของจีนอย่างเซี่ยงไฮ้ พูดง่าย ๆ ว่าเพียงมีประเทศใดอุตริตั้งขีปนาวุธโดยมีเป้าหมายที่เขื่อนสามโตรกก็หนาวแล้ว


มิติที่น่าสนใจอีกด้านหนึ่งของการสร้างเขื่อนดังกล่าวก็ได้ผ่านภาพยนตร์เรื่อง Still Life หรือ ซันเสียห่าว เหริน ที่คว้ารางวัลใหญ่ "สิงโตทองคำ" ซึ่งเป็นผลงานของ เจี่ยจางเคอ ผู้กำกับชาวจีนไฟแรงวัย 36 ที่มีเรื่องราวต่อต้านการสร้าง The Three Gorges Dam หรือ เขื่อนสามโตรกของทางการจีน ที่ใช้เวลาก่อสร้างมาแล้วถึง 12 ปี และเขือนนี้จะกลายเป็นงานวิศวกรรมโยธาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกเมื่อมันเปิดใช้ในปี 2009 แต่ผลของการสร้างเขื่อนดังกล่าวยังผลให้ชาวบ้านรอบๆ บริเวณดังกล่าวตั้งเผชิญกับสภาวะน้ำท่วมและต้องย้ายถิ่นฐานกันถึง 1.3 ล้านคน โดยในเรื่องกล่าวถึงคนงานสองคนที่กลับไปตามหาภรรยาในหมู่บ้านที่กลายเป็นเมืองบาดาลอันเป็นผลกระทบจากการสร้างเขือนยักษ์ดังกล่าว ซึ่งก็น่าหดหู่เช่นกัน แต่ที่ผมได้ไปดูแผนการย้ายคนของเขาก็ทำเป็นขั้นเป็นตอนในการย้ายเมือง ย้ายคนแถมสวัสดการเพียบ แต่ก็คงไม่คุ้มกับสิ่งที่อยู่เบื้องหลังคือความผูกพันบ้านเกิด ความรู้สึกในใจที่ยากจะหาอะไรมาทดแทนได้






ทั้งนี้ The Three Gorges Dam (เขื่อนสามโตรกมีชื่อที่ชาวจีนเรียกว่า ‘ซานเซี้ยต้าป้า’ เขื่อนที่ใหญ่ที่สุดในโลกโดยการก่อสร้างของรัฐบาลจีน กั้นแม่น้ำแยงซี เมืองอี้ชาง มณฑลหูเบ่ย ประเทศจีน มีมูลค่างานก่อสร้างกว่า 30,000 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 1.2 ล้านล้านบาท ตัวเขื่อนมีความกว้าง 2,309 เมตร ความสูง 185 เมตร  โดยมีเครื่องสร้างกระแสไฟฟ้า (generators) จำนวน 26 ตัว เพื่อสร้างพลังงานไฟฟ้ามากกว่า18,000 เมกะวัตต์ วัสดุที่ใช้งานก่อสร้าง ประกอบด้วย ซีเมนต์ 10.8 ล้าน ตัน เหล็กเส้น 1.9 ล้านต้น และไม้แบบ 1.6 ล้านตัน เริ่มก่อสร้างปี1993 คาดว่าจะแล้วเสร็จ ปี 2009 และต้องอพยพพลเมือง 1.3 ล้านจะต้องอพยพโยกย้ายออกไปจากพื้นที่นํ้าท่วม เป็นเขื่อนจีนใหญ่กว่าเขื่อนพลังไฟฟ้าฮูเวอร์ (Hoover Dam) ที่ใหญ่ที่สุดในอเมริกาเกือบ 10 เท่า





นับเป็นสิ่งก่อสร้างที่มนุษย์สามารถมองเห็นได้จากดวงจันทร์ นับตั้งแต่กำแพงเมืองจีนเป็นต้นมา โครงการสร้างเขื่อนใช้คนงานทั้งสิ้น 25,000คน รัฐบาลจีนมีแผนการก่อสร้างเขื่อนสามโตรกนี้มาตั้งแต่ปี 1919 ในสมัยของ ดร.ซุนยัทเซ็นเพื่อป้องกันน้ำท่วมแต่ยังไม่สามารถเริ่มได้ เนื่องจากต้องอพยพประชาชนริมฝั่งแม่น้ำกว่า 3 ล้านคนออกจากถิ่นที่อยู่ ไม่เช่นนั้นบ้านเรือนของประชาชนต้องจมอยู่หลังเขื่อน ภายหลังจึงเริ่มก่อสร้างในปี 1994 (โดยไม่มีรายงานว่าอพยพคนไปไว้ที่ไหนและเพิ่งสร้างเสร็จเมื่อปลายเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา The Three Gorges Dam จึงกลายเป็นสัญลักษณ์แห่งความมุ่งมั่นที่ไม่เคยหยุดพักของจีนที่จะก้าวขึ้นมาเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจประเทศหนึ่งของโลก



วันที่ 21 ธันวาคม 2001 รัฐบาลจีนได้ประกาศ "มาตรการมุ่งสู่ภาคตะวันตก" (Imple-mentation Measures of the Go-West Policy)ครอบคลุมการให้สิทธิพิเศษภาษีทั้งจากภายในและต่างประเทศ และเน้นพัฒนาอุตสาหกรรมทางด้านทรัพยากรและพลังงาน เพื่อใช้ประโยชน์จากข้อได้เปรียบของภูมิภาคนี้ ซึ่งมีความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรธรรมชาติและแร่ธาตุที่สำคัญต่างๆ ตัวอย่างโครงการขนาดใหญ่ที่สำคัญที่สุด คือ การสร้าง "เขื่อนสามโตรก" (Three Gorges Dam) ซึ่งจะเป็นเขื่อนขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ตั้งอยู่บนสามช่องแคบของแม่น้ำฉางเจียง(แยงซีเกียง)




หากเขื่อนขนาดยักษ์นี้สร้างได้สำเร็จตามที่ตั้งเป้าหมายไว้จะช่วยก่อประโยชน์ทางเศรษฐกิจ เช่น การผลิตกระแสไฟฟ้าให้กับมณฑลใกล้เคียงหลายแห่ง รวมทั้งเพิ่มความคล่องตัวในด้านการขนส่ง ทำให้เรือเดินทะเลขนาด 10,000 ตันสามารถเดินทางถึงมหานครฉงชิ่ง (ปัจจุบันนี้ เรือขนส่งขนาดใหญ่ที่สุดที่จะผ่านไปฉงชิ่งได้มีขนาดเพียง 1,500 ตัน) ช่วยเชื่อมโยงเส้นทางคมนาคมทางน้ำจากฉงชิ่ง เพื่อออกสู่ทะเลบริเวณมหานครเซี่ยงไฮ้



มีการประเมินและวิเคราะห์กันว่าวันใดที่เขื่อนสามโตรกสร้างเสร็จ ราคาสินค้าของจีนที่ผลิตจากทางภาคตะวันตก จะราคาถูกกว่าปัจจุบันหลายเท่าตัวเนื่องจากมีต้นทุนในการผลิตที่ต่ำลงมาก นอกจากนั้นค่าขนส่งยังจะถูกกว่าและรวดเร็วกว่านี้อีกมาก เมื่อเขื่อนสามโตรกเสร็จ จะทำให้เกิดทะเลสาบยาวถึง 600 กม. เรือเดินสมุทรขนาด 10,000 ตัน จะสามารถแล่นเข้าไปในใจกลางของจีน คือ นครฉงชิ่ง ได้อย่างสบายใจเฉิบ ตอนที่ผมตระเวนสำรวจตรวจตราดินแดนต่างๆ ของจีนนั้น รถราวิ่งได้สบาย 
ที่สำคัญสินค้าย่อมจะลงมาสู่ทางมณฑลยูนนานผ่านทางแม่น้ำโขงและถนนคุนหมิง  กรุงเทพฯ ในอนาคตอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ถึงตอนนั้นเขื่อนใหญ่ของสินค้าจีนก็พร้อมทะลักท่วมไทยอีกไม่นานวันแน่นอน

ซันเสียห่าว เหริน!!!!

ที่มา.โอเคเนชั่น
//////////////////////////////////////////////

พฤติกรรมผู้บริโภค เออีซี !!??

โดย ณกฤช เศวตนันท์

ในปี พ.ศ. 2558 แต่ละประเทศในภูมิภาคอาเซียนต้องเตรียมความพร้อมเพื่อรับการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน (AEC)

เมื่อ AEC เปิดตัวแล้ว ประชากรจากชาติสมาชิกประมาณ 600 ล้านคนจะทำให้เกิด ตลาดของผู้บริโภค ขนาดใหญ่ เหมาะแก่การเข้าไปลงทุนทำการค้าในทั้ง 10 ประเทศสมาชิก

ในคอลัมน์ฉบับนี้เราจะมาดูกันถึง พฤติกรรมการบริโภค ของประเทศสมาชิกเพื่อนบ้าน AEC เพื่อเป็นข้อมูลให้ทราบว่า แต่ละประเทศมีพฤติกรรมการบริโภคอย่างไร เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการเข้าไปติดต่อหรือลงทุนในแต่ละประเทศได้อย่างเหมาะสม



ประเทศกัมพูชา เป็นชาติที่ประชากรมีพฤติกรรมคล้ายกับคนไทย จึงทำให้คนกัมพูชาชื่นชอบสินค้าไทยเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ที่สำคัญประชากรส่วนใหญ่มีอายุเฉลี่ย 20 ปี และพร้อมจะรับสิ่งใหม่ ๆ เทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อชีวิตประจำวัน

ดังนั้น ประชากรกัมพูชาจึงกำลังนิยมนำสินค้าอุปโภคบริโภคประเภทเทคโนโลยีสมัยใหม่ และเครื่องแต่งกายที่นำสมัยหากมีราคาที่ไม่แพงมาก เนื่องจากฐานะทางเศรษฐกิจของประชากรยังไม่อยู่ในเกณฑ์ที่ดีมากนัก

ส่วน ประเทศสิงคโปร์ เป็นชาติที่มีจำนวนประชากรน้อยที่สุด และขนาดประเทศเล็กที่สุดในภูมิภาคนี้ ด้วยความที่เป็นประเทศเล็ก การผลิตสินค้าและบริการในสิงคโปร์จึงทำได้ยาก การบริโภคของคนสิงคโปร์จึงอาศัยการนำเข้าจากต่างประเทศเป็นหลัก

อีกประการคือ เศรษฐกิจของประเทศสิงคโปร์ค่อนข้างดี ประชากรมีอำนาจในการซื้อสูง คนสิงคโปร์มักนิยมเลือกซื้อสินค้าแบรนด์เนม เนื่องจากเป็นสินค้าที่มีชื่อเสียงและมีคุณภาพค่อนข้างสูง และเนื่องจากวัฒนธรรมหรือไลฟ์สไตล์ทางตะวันตกมีอิทธิพลมากในสังคมสิงคโปร์ โดยเฉพาะในกลุ่มวัยรุ่น

นอกจากนี้ พฤติกรรมผู้บริโภคยังอ่อนไหวต่อกระแสนิยมและแฟชั่นในตลาดโลกสูง จนได้ชื่อว่าเป็นตลาดแฟชั่นที่ทันสมัยที่สุดแห่งหนึ่งของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ต่อมาคือประเทศอินโดนีเซีย ประชากรร้อยละ 86 ของอินโดนีเซียเป็นชาวมุสลิม แต่ไม่ค่อยเคร่งครัดมากนักเมื่อเทียบกับมาเลเซีย เห็นได้จากเหล้าและเบียร์นั้นยังหาซื้อได้ง่าย แต่ตัวสินค้าที่มีตราฮาลาลก็ยังได้รับความนิยมมาก การบริโภคและสินค้าประเภทอาหารสำเร็จรูปนั้นดูจะเป็นที่นิยมมากกว่าสินค้าประเภทอาหารสด

โดยภาพรวมคนอินโดนีเซียเป็นชาติที่ใช้จ่ายเพื่อการบริโภคสูง ซึ่งมีรายงานพบว่า ชาวอินโดนีเซียใช้จ่ายกว่าร้อยละ 51 ของรายได้ทั้งหมดเพื่อการบริโภคในชีวิตประจำวัน

แต่ทั้งนี้ คนอินโดนีเซียส่วนใหญ่ยังค่อนข้างอ่อนไหวกับราคาสินค้า ทำให้ไม่ค่อยนิยมสินค้านำเข้าที่ราคาแพง หรือสินค้าที่มีบรรจุภัณฑ์ราคาสูง

สำหรับอีกประเทศสมาชิก AEC ชนชาติลาว มีอุปนิสัยเหมือนคนไทย และพูดภาษาไทยได้ พรมแดนก็ติดกันกับประเทศไทย เพราะฉะนั้นสินค้าอุปโภคบริโภคของไทยจึงได้รับความนิยมมากในประเทศลาว นอกจากนั้น จากการที่ลาวเคยเป็นเมืองขึ้นของฝรั่งเศสมาก่อน ทำให้สินค้าประเภทอาหารฝรั่งเศสได้รับความนิยมจากคนลาวเช่นกัน เพียงแต่กำลังซื้อสินค้าบริการที่มีราคาสูงยังไม่ได้รับความนิยมจากคนลาวนัก เนื่องจากรายได้โดยรวมของคนลาวยังไม่สูงมากเมื่อเทียบกับหลาย ๆ ชาติในอาเซียน

ส่วนประเทศเวียดนาม คนรุ่นใหม่ที่มีอายุต่ำกว่า 30 ปีกลายเป็นกำลังซื้อสำคัญ เพราะได้รับรู้ข้อมูลข่าวสารจากสื่อและอินเทอร์เน็ตอย่างรวดเร็ว จึงนิยมใช้สินค้าแฟชั่น เครื่องสำอาง สินค้าเทคโนโลยี และอาหารสำเร็จรูป การตัดสินใจซื้อขึ้นอยู่กับการออกแบบ สไตล์ วัสดุ ประโยชน์ใช้สอย และบุคลิกภาพของสินค้า รวมทั้งการให้บริการขณะซื้อสินค้า บริการหลังการขาย และบริการของพนักงานขาย

สินค้าประเภทอาหารมีความนิยมในการจับจ่ายสินค้าประเภทอาหารสด โดยเฉพาะพืชผักมากกว่าอาหารกระป๋องสำเร็จรูป

จึงเห็นได้ว่ารสนิยมการบริโภคนั้นขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นด้านรากฐานทางวัฒนธรรม ศาสนา อิทธิพลจากประเทศเพื่อนบ้าน ความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศ หรือระดับการศึกษาของผู้บริโภค

นักลงทุนที่ต้องการจะลงทุนจึงควรศึกษาข้อมูลของแต่ละประเทศอย่างลึกซึ้งก่อนเข้าไปลงทุนในแต่ละประเทศ สำหรับในคราวหน้าจะเสนอข้อมูลพฤติกรรมการบริโภคที่ยังเหลืออยู่ของอีก 4 ประเทศให้ได้รับรู้กันต่อ

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
///////////////////////////////////////////////////////

แบงก์ชาติ ยันเศรษฐกิจไทย ไม่ถดถอย !!??

"ประสาร"ยันเศรษฐกิจไทยไม่เข้าข่าย "ภาวะถดถอย" เป็นแค่ทางเทคนิค มั่นใจไตรมาส 3 เป็นบวก รับศก.ไทยชะลอตัวตามภูมิภาคเอเชีย

การแถลงตัวเลขเศรษฐกิจไตรมาส 2 ของ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เมื่อวันที่ 19 ส.ค. ที่ผ่านมา ทำให้เกิดข้อถกเถียงว่าเศรษฐกิจไทยเข้าสู่ภาวะถดถอยหรือไม่

สำนักข่าวบีบีซีและสำนักข่าวต่างประเทศบางแห่ง ระบุว่าเศรษฐกิจไทยเข้าสู่ภาวะถดถอยอย่างแท้จริง หลังจาก สศช.ปรับประมาณการจีดีพีปีนี้เหลือ 3.8-4.3% และไตรมาส 2 ขยายตัว 2.8% แต่เมื่อพิจารณาจากจีดีพีที่ปรับฤดูกาลแล้ว ในไตรมาส 2 ติดลบ 0.3%

การตีความว่าเศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะถดถอย เนื่องจาก จีดีพี ติดลบติดต่อกันสองไตรมาส โดยก่อนหน้านี้ สศช.แถลงตัวเลขจีดีพีไตรมาสแรก ขยายตัว 5.4% แต่เมื่อปรับฤดูกาล ติดลบ 1.7%

นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า แม้เศรษฐกิจไทยจะชะลอตัวลงสองไตรมาสติดต่อกัน แต่ถือว่ายังไม่เข้าสู่ภาวะถดถอย

นายประสาร ชี้แจงว่าหากดูตัวเลขเศรษฐกิจช่วงไตรมาส 4 ปี 2555 อัตราการเติบโตถือว่าสูงมาก ซึ่งเป็นผลจากปัญหาน้ำท่วมใหญ่ช่วงปลายปี 2554 จึงทำให้ตัวเลขเศรษฐกิจไทยช่วงไตรมาส 4 ปี 2555 เติบโตขึ้นค่อนข้างมาก มีผลให้ตัวเลขเศรษฐกิจช่วงไตรมาส 1 และ 2 ของปีนี้ ชะลอตัวลงตามไปด้วย เมื่อเทียบแบบไตรมาสต่อไตรมาส อย่างไรก็ตามหากปรับเรื่องฤดูกาลออก ไตรมาส 2 ก็ไม่ได้ติดลบ

"คำว่า Technical Recession (ภาวะเศรษฐกิจถดถอยทางเทคนิค) ตามนิยาม ก็คือ เศรษฐกิจชะลอตัวแบบไตรมาสต่อไตรมาส ติดต่อกันสองไตรมาส แต่อันนี้เป็นการนิยามที่หยาบๆ เพราะปกติคนจะดูว่า การเปรียบเทียบเป็นการเทียบกับฐานที่ปกติหรือไม่ ถ้าไม่ใช่ฐานปกติ ก็จะมีการปรับเรื่องฤดูกาลออก พอปรับใหม่ตัวเลขก็ไม่ได้ติดลบ ซึ่งไตรมาส 4 ปี 2555 ของเรานั้น เป็นการเทียบกับไตรมาส 4 ปี 2554 ที่เราเจอน้ำท่วมใหญ่ ทำให้ไตรมาส 4 ปี 2555 มันสูงลิ่ว พอเราเอาไตรมาส 1 ปี 2556 ไปเทียบ มันจึงติดลบและก็มีผลต่อเนื่องมาถึงไตรมาส 2 ด้วย" นายประสาร กล่าว

นายประสาร กล่าวว่า แนวโน้มไตรมาส 3 ธปท.ประมาณการไว้ก่อนหน้านี้ว่าอัตราการเติบโตจะไม่ติดลบเมื่อเทียบแบบไตรมาสต่อไตรมาส ในขณะที่อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้ ก็เชื่อว่ายังเติบโตได้ แม้จะไม่สูงมากนัก

"การเติบโตของเศรษฐกิจไทยในช่วงนี้แม้จะชะลอตัวลงบ้าง แต่ก็เป็นทิศทางเดียวกับเศรษฐกิจอื่นทั่วโลก โดยเฉพาะในประเทศแถบเอเชีย"

คลังรับ'เชิงเทคนิค'เข้าสู่ภาวะถดถอย

ด้าน นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองผู้อำนวยการ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง(สศค.) กล่าวว่า ตัวเลขของ สศช.ต่ำกว่าที่ สศค.ประมาณการไว้ที่ 3% และหากจะมองทางเทคนิคก็จะถือว่าภาวะเศรษฐกิจไทยเข้าสู่ภาวะถดถอย เพราะชะลอตัวต่อเนื่องกัน 2 ไตรมาส

นายเอกนิติ กล่าวว่า หากมองทางปัจจัยพื้นฐานแล้ว จะเห็นว่ามาจากฐานที่สูงในปีก่อนและไตรมาสที่ 2 ยังมีเรื่องก๊าซในพม่าที่ปิดโรงงานไป 10 วันในเดือนเม.ย. ซึ่งกระทบต่ออุตสาหกรรมพอสมควร แต่คาดว่าในไตรมาสที่ 3 เศรษฐกิจจะฟื้นตัวขึ้นจากไตรมาสที่ 2 ส่วนหนึ่งก็มาจากฐานที่ต่ำเช่นกัน

"สศค.กำลังนำตัวเลขจริงที่สภาพัฒน์ประกาศมาใส่เข้าไปแบบจำลอง เพื่อปรับประมาณการเศรษฐกิจตัวเลขทั้งปีใหม่ในเดือนก.ย. ซึ่งกำลังรอดูตัวเลขเศรษฐกิจในเดือนก.ค. ด้วยเช่นกันว่า ตัวเลขเบื้องต้นจะเป็นอย่างไร รวมถึงรอตัวเลขของสัญญาณต่างๆ ที่ สศค.มองว่า เริ่มส่อแววว่าจะดีขึ้น หรือ GREEN SHOOT เช่น ยอดการส่งออกสินค้าไทยไปยังกลุ่มประเทศ CLMV หรือกัมพูชา ลาว พม่า และเวียดนาม รวมถึงการค้าขายกันเองในกลุ่ม TIP หรือ ไทย อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ มีอัตราการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องและการท่องเที่ยวว่า ตัวเลขออกมาดีตามคาดหรือไม่"นายเอกนิติ กล่าว

ศก.ไทยช่วงไตรมาส3น่าฟื้นตัว

นายเชาว์ เก่งชน กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด เห็นเช่นเดียวกับนายประสาร โดยกล่าวว่าการนิยามของคำว่าภาวะเศรษฐกิจถดถอย (Recession) ตามหลักสากลแล้ว หมายถึงการชะลอตัวของเศรษฐกิจเมื่อเทียบแบบไตรมาสต่อไตรมาสติดต่อกันอย่างน้อย 2 ครั้ง ดังนั้นตัวเลขที่ สำนักงาน สศช. ประกาศออกมานั้น ตามเทคนิคต้องถือว่าเป็นภาวะถดถอย

ทั้งนี้ การดูว่าเศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะถดถอยอย่างแท้จริงหรือไม่นั้น ต้องดูรายละเอียดหรือไส้ในของตัวเลขด้วย กรณีของไทยนั้น มีปัจจัยเสริมเข้ามา ทั้งในเรื่องของน้ำท่วมเมื่อปลายปี 2554 ซึ่งทำให้ตัวเลขไตรมาส 4 ปี 2555 เปรียบเทียบกับตัวเลขช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าออกมาค่อนข้างสูง ประกอบกับในปี 2555 ยังมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐเข้ามาด้วย จึงทำให้เศรษฐกิจไทยช่วงไตรมาส 4 ปี 2555 เติบโตค่อนข้างมาก ดังนั้นหากนำมาเทียบกับไตรมาส 1 และ 2 ของปี 2556 จึงทำให้การเติบโตติดลบ

"กรณีที่สำนักข่าวบีบีซี รายงานว่า เศรษฐกิจไทยเข้าสู่ภาวะถดถอยนั้น ถ้าดูเฉพาะตัวเลขอย่างเดียวตามเทคนิคแล้วก็ถือว่าใช่ เพียงแต่โดยปกติแล้วเวลาจะดูก็ต้องดูไส้ในด้วยว่า ที่ติดลบเกิดจากอะไร กรณีของไทยนั้น มาจาก 2 ปัจจัย คือ เศรษฐกิจช่วงปี 2555 เพิ่งฟื้นตัวจากน้ำท่วม และครึ่งหลังของปี 2555 ยังมีมาตรการกระตุ้นจากภาครัฐเข้ามาด้วย เลยทำให้ตัวเลขไตรมาส 4 ออกมาค่อนข้างสูง" นายเชาว์กล่าว

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า เศรษฐกิจไทยช่วงไตรมาส 3 น่าจะฟื้นตัวขึ้น เมื่อเทียบกับไตรมาส 2 ปี 2556 เนื่องจากการส่งออกมีแนวโน้มดีขึ้น เพราะว่าขณะนี้เริ่มเห็นออเดอร์การส่งออกที่เข้ามามากขึ้น

คาดเศรษฐกิจเริ่มฟื้นปีหน้า

ด้าน นางสาวอุสรา วิไลพิชญ์ นักเศรษฐศาสตร์อาวุโส ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด (ไทย) กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยในปีนี้คาดว่าจะขยายตัวระดับ 4% ส่วนแนวโน้มเศรษฐกิจไทยในปี 2557 จะกลับมาฟื้นตัวอีกครั้ง โดยคาดผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) จะกลับมาขยายตัวกว่า 5%

"ยอมรับว่าครึ่งปีหลังของปีนี้เศรษฐกิจยังคงขยายตัวอยู่ในระดับต่ำ และการเมืองมีความผันผวน ซึ่งคงต้องรอการเร่งเบิกจ่ายงบประมาณของภาครัฐ และการลงทุนโครงการขนาดใหญ่ในปีหน้า ช่วยผลักดันเศรษฐกิจ"

บาทอ่อนรวดเดียว30สต.-คาดเห็น 32 บาท

สำหรับค่าเงินบาท วานนี้ (20 ส.ค.) อ่อนค่าลงรวดเร็ว หลังจากเปิดตลาดที่ระดับ 31.42-31.44 บาทต่อดอลลาร์ในช่วงเช้า มีแรงซื้อดอลลาร์จากทั้งในและต่างประเทศ โดยเฉพาะเฮดจ์ฟันด์จำนวนมาก จนทำให้ตลอดทั้งวันเงินบาทอ่อนค่าลงกว่า 30 สตางค์ ทะลุแนวต้านสำคัญตามลำดับ จนมาอ่อนค่าสุดของวันที่ระดับ 31.73 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งอ่อนค่าสุดในรอบ 1 ปีกับอีกเกือบเดือน โดยปัจจัยหลักที่มีผลต่อเงินบาทมาจากตัวเลขเศรษฐกิจที่ต่ำกว่าคาด จนเกิดแรงขายในตลาดหุ้นอย่างต่อเนื่อง รวมถึงเงินบาทเช่นกัน

ส่วนแนวโน้มต่อไป คาดว่าจะเห็นการพักฐานเล็กน้อยก่อนจะอ่อนค่าไปทดสอบแนวต้านเดิมได้หากเงินบาททะลุระดับ 31.75 บาทต่อดอลลาร์ และอาจเห็น 32.00 บาทต่อดอลลาร์ได้ในระยะต่อไป ทั้งนี้ในระยะสั้นคาดว่าเงินบาทจะเคลื่อนไหวอยู่ที่ 31.55-31.75 บาทต่อดอลลาร์

ด้าน นายธิติ ตันติกุลานันท์ ผู้บริหารสายงานธุรกิจตลาดทุน ธนาคารกสิกรไทย และประธานกรรมการบริหาร บล.กสิกรไทย กล่าวว่า ภาวะเงินทุนไหลออกขณะนี้เกิดขึ้นทั่วทั้งภูมิภาคเอเชีย ที่มีหลายปัจจัยเข้ามากระทบ ทั้งความกังวลในเศรษฐกิจประเทศเกิดใหม่ โดยเฉพาะอินโดนีเซียและเอเชียที่มีปัญหาการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดอย่างหนัก จนค่าเงินอ่อนค่าอย่างรุนแรง

ในระยะสั้นเชื่อว่าเงินบาทยังมีแนวโน้มอ่อนค่าลงอีก โดยอาจเห็นเงินบาทอ่อนค่าถึงระดับ 31.80 บาทต่อดอลลาร์ ได้ภายใน 1 เดือนนี้

'ประสาร'ชี้ต้นเหตุจากตัวเลขเศรษฐกิจ

นายประสาร กล่าวด้วยว่า ในส่วนของค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลงในช่วงนี้ ส่วนหนึ่งน่าจะเป็นเพราะข่าวตัวเลขเศรษฐกิจที่ออกมา แต่อย่างไรก็ตามการอ่อนค่าลงดังกล่าวถือว่าไม่น่ากังวล เพราะยังอยู่ในกรอบพื้นฐาน รวมทั้งเศรษฐกิจไทยเองก็ไม่ได้มีปัญหา ในขณะที่นักลงทุนยังให้ความเชื่อมั่นต่อนโยบายเศรษฐกิจมหภาคของไทย

"ของเราเองไม่ได้มีปัญหาอะไร จะเห็นว่าดุลบัญชีเดินสะพัดช่วงนี้ แม้ขาดดุลบ้าง ซึ่งเรามองว่าครึ่งปีแรกอาจขาดดุลประมาณ 1% ของจีดีพี แต่เชื่อว่าทั้งปีจะทรงตัว ไม่ได้ติดลบอะไร ซึ่งสำนักวิจัยฯ ต่างๆ เอง ก็มองในทิศทางเดียวกัน

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
//////////////////////////////////////////////////////

วันอังคารที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2556

100สิ่ง(เขาว่า) ควรกิน เมื่อยังมีชีวิต !!??

คอลัมน์ รู้ไปโม้ด นสพ.ข่าวสด

ศูนย์เครือข่ายข้อมูลอาหารครบวงจร เว็บไซต์ http://www.foodnetworksolution.com สนับสนุนโดยสภาวิจัยแห่งชาติ ที่นำคอลัมน์ของหนังสือพิมพ์เดอะ ซัน เรื่อง "100 สิ่งที่ควรกินก่อนตาย" มาโพสต์ไว้ หลังจัดทำแบบสำรวจในเฟซบุ๊ก

1.หอยเป๋าฮื้อ เป็นหอยสองฝา ราคาแพง รสชาติดี เนื้อสัมผัสนุ่ม 2.แอบซีนธ์ เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ 70-90% 3.เนื้อจระเข้ เป็นเนื้อสัตว์ที่มีโปรตีนสูง ไขมันต่ำ และคอเลสเตอรอลต่ำ 4.บาบา กาโนช มะเขือม่วงเผาสับปรุงรส 5.เบกัลและล็อกซ์ ขนมปังเบกัลโปะแซลมอนรมควัน 6.บาคลาวา พายถั่วพิทาชิโอ 7.ซี่โครงย่างบาร์บีคิว 8.เบลลินี ค็อกเทลชนิดหนึ่งของเวนิซ 9.ซุปรังนก 10.บิสกิตและเกรวี

11.ไส้กรอกดำ ทำจากเลือดสัตว์ มีสีดำ 12.เห็ดทรัฟเฟิลดำ 13.บอร์สช์ ซุปบีตรูตของรัสเซีย 14.คาลามารี เมนูปลาหมึกของอิตาลี 15.ปลาคาร์พ 16.คาร์เวียร์ 17.ชีสฟองดู 18.เมนูไก่และวอฟเฟิล 19.ติ๊กก้า มาซาลา แกงไก่อินเดีย 20.ชิลลี เรลเลโน พริกยัดไส้

21.เครื่องในหมู 22.ชูร์รอส โดนัทสเปน 23.ซุปหอยลาย 24.คอนยัก 25.เครปเค้ก 26.จิ้งหรีด 27.เคอร์รีวุร์สต์ ไส้กรอกราดซอสผงกะหรี่ของเยอรมัน 28.ไวน์แดนดีไลอัน 29.ดุลเซ่ เดอ เลเช่ นมข้นตุ๋น 30.ทุเรียน

31.ปลาไหล 32.ไข่เบเนดิกต์ 33.ปลาทาโก้ 34.ฟัวกราส์ 35.เปาะเปี๊ยะสด 36.ปลาดุกทอด 37.มะเขือเทศดิบทอด 38.กล้วยทอด 39.ฟริโต พาย 40.ขากบ

41.ฟุกุ ปลาปักเป้า 42.ฟันเนลเค้ก เค้กทอด 43.ซุปกาซปาโช่ 44.เนื้อแพะ 45.นมแพะ 46.กูลาช สตูเนื้อของฮังการี 47.ซุปกัมโบ 48.ฮักกิส ไส้กรอกสกอตดั้งเดิม ยัดด้วยเครื่องในแกะหรือลูกวัว 49.เฮดชีส ทำจากหัวหมูและเนื้อหมู คล้ายหมูหนาว หรือแกงกระด้าง 50.มะเขือเทศแอลูม

51.รังผึ้ง 52.พายผลไม้ ฮอสเทสส์ 53.อูเอโวส รันเชโรส อาหารเช้าเม็กซิกัน 54.ไก่สะบัดของจาเมกา 55.เนื้อจิงโจ้ 56.พายมะนาว 57.เนื้อโกเบ 58.ลาสซี่ โยเกิร์ตปั่นของอินเดีย 59.กุ้งมังกร 60.ผักกระเฉด

61.พายช็อกโกแลตสอดไส้มาชเมลโลว์ยี่ห้อมูนพาย 62.เห็ดโมเรล 63.ชาตำแย 64.ปลาหมึกยักษ์ 65.ซุปหางวัวของเกาหลี 66.พาเอลลา ข้าวผัดสเปน 67.ปะนีร์ ชีสอินเดีย 68.ปาสตรามี ออน ไรน์ ขนมปังข้าวไรย์กับเนื้อสไลด์ 69.ฟัพโลวา ขนมไข่ขาวของนิวซีแลนด์ 70.แกงกะหรี่ฟาอัล

71.ฟิลลีชีสสเต๊กแซนด์วิช 72.เฝอ ก๋วย เตี๋ยวเวียดนาม 73.สับปะรดกับเนยแข็งคอตเทจ 74.ไอศกรีมถั่ว พิตาชิโอ 75.โพบอย แซนด์วิชเนื้อของอเมริกา 76.ป๊อกกี้ ขนมญี่ปุ่น 77.โปเลนตา ข้าวโพดบดอิตาลี 78.กระบองเพชร พริกลี แพร์ 79.สตูกระต่าย 80.หอยนางรมดิบ

81.รูตเบียร์ 82.ขนมหวานยี่ห้อซัมมอร์ 83.ซาวเคราต์ กะหล่ำปลีดองของเยอรมัน 84.เม่นทะเล 85.ฉลาม 86.หอยทาก 87.งู 88.ปูนิ่ม 89.ส้มตำ 90.สเปตเซล ก๋วยเตี๋ยวเยอรมัน

91.อาหารกระป๋องยี่ห้อสแปม 92.กระรอก 93.สเต๊กทาร์ทาร์ สเต๊กเนื้อดิบ 94.มันฝรั่งทอดหวาน 95.ตับอ่อนลูกวัวหรือลูกแกะ 96.ต้มยำ 97.บ๊วยแห้งญี่ปุ่น 98.เนื้อกวาง 99.ถั่วเคลือบวาซาบิ 100.ดอกคูร์แก็ต

ส่วนใหญ่เป็นอาหารคุ้นลิ้นนานาชาติ และส่วนใหญ่ค่อนไปทางไม่กินก็ได้มั้ง

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
//////////////////////////////////////////////////////////////////

วันจันทร์ที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2556

จีนตะวันตก .

โดย : รศ.ดร.อักษรศรี พานิชสาส์น คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

รัฐบาลกลางของจีนมีนโยบาย "มุ่งสู่จีนตะวันตก" (Go-West Policy) อย่างจริงจังมาตั้งแต่ต้นปี 2000 ที่เริ่มประกาศใช้ "นโยบายพัฒนาภาคตะวันตก" (Xibu Da Kaifa) ส่งผลให้เศรษฐกิจจีนก้าวกระโดดต่อไปได้ทั้งๆ ที่เกิดปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจในภูมิภาค เช่น วิกฤติต้มยำกุ้ง จนทำให้ประเทศต่างๆ ถูกกระทบจนเดี้ยง ไปถ้วนหน้า

การเบนเข็มมาเน้นจีนตะวันตกที่ประกอบด้วย 6 มณฑล 5 เขตปกครองตนเอง และ 1 มหานคร ช่วยให้เศรษฐ-กิจจีนเดินหน้าต่อไปได้ ดังจะเห็นได้จากใน ช่วงปี 2000-2008 อัตรา GDP ของจีนตะวันตกเติบโตเฉลี่ยร้อยละ 11.7 ต่อปี ในแต่ละปี รัฐบาลกลางของจีนจัดสรรงบประมาณด้านการลงทุนมากกว่าร้อยละ 43 ของการลงทุนทั้งหมดไปยังจีนตะวันตก เพื่อกระตุ้นอุปสงค์ภายในประเทศ

ในฐานะนักวิชาการไทย ดิฉันให้ความสนใจกับจีนตะวันตกเป็นพิเศษ และนับตั้งแต่สามารถเติมฝัน (ตัวเอง) ในการเขียนวิทยานิพนธ์ปริญญาเอกเกี่ยวกับเศรษฐกิจมณฑลจีนแบบเจาะลึกชิ้นแรกของประเทศไทยได้สำเร็จโดยได้เลือกที่จะเน้น "มณฑลจีนตะวันตก" ดิฉันก็ไม่เคยหยุดที่จะติดตามพัฒนาการของจีนตะวันตก ภูมิภาคที่สำคัญยิ่งของจีน ซึ่งตั้งอยู่ไม่ห่างจากไทย

ตั้งแต่ปี 2002 เป็นต้นมา ดิฉันได้เริ่ม เดินทางไปตะลุยตระเวนจนครบ 12 มณฑล จีนตะวันตกที่ครอบคลุมภายใต้นโยบาย Go-West Policy รวมทั้งการไปสำรวจเส้นทางสายไหม (Silk Road) ตั้งแต่นครซีอานในมณฑลส่านซี ไปจนถึงนครอุรุมชีในซินเกียง ตลอดจนเส้นทางจากมองโก เลียในไปจนสุดทางที่ทิเบต ซึ่งล้วนมีลักษณะเฉพาะที่โดดเด่นแตกต่างกันไป

ในแต่ละครั้งที่ได้ไปสัมผัสมณฑลจีน ตะวันตกเหล่านั้น ก็ต้องทึ่งกับการเปลี่ยน แปลงที่รวดเร็ว และยากที่จะหยุดยั้ง โดย เฉพาะถนนหนทางและโครงข่ายคมนาคม ต่างๆ ที่นำความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจไปยังมณฑลตอนในของจีน แต่ก็ต้องยอมรับว่า ยังคงมีความยากจนและความ ล้าหลังหลงเหลืออยู่ในชนบทของจีนตะวัน ตกเช่นกัน เพราะไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะขจัดความยากจนเหล่านั้นให้หมดสิ้นไปจากแผ่นดินจีนที่แสนจะกว้างใหญ่ไพศาล

หลายครั้งที่ดิฉันเลือกเดินทางไปลงพื้นที่จีนตะวันตกโดยไม่ใช้เครื่องบิน แต่ จะใช้วิธีล่องแม่น้ำโขง หรือไม่ก็ใช้เส้นทาง บกจากภาคเหนือของไทยผ่านพม่าไปจีน ตามแนวเส้นทาง R3W รวมทั้งการใช้เส้น ทางบกสุดฮิตที่ผ่านลาว คือ เส้นทาง R3E หรือ R3A (เส้นเดียวกันแต่มีสองชื่อเรียก) ไล่ลัดเลาะไปตามแนว "เส้นทางหลวงคุนหมิง-กรุงเทพฯ" ไปจนถึงนครคุนหมิงในมณฑลยูนนาน แล้วต่อไปยังมณฑลอื่นๆ ของจีนตะวันตก ทำให้มีโอกาสได้พบเห็นสภาพความเป็นจริงของการคมนาคมขนส่งเชื่อมโยงตลาดจีนตะวันตก

แม้ว่าจีนตะวันตกจะมีจุดอ่อนทางธรรมชาติ ในการเป็น landlocked ไม่มีทางออกทะเล หากแต่เป็นภูมิภาคที่มีความ อุดมสมบูรณ์ของทรัพยากร อาทิ ถ่าน หินและน้ำมันดิบ และได้รับความสำคัญในเชิงนโยบายจากรัฐบาลกลางเสมอมา โดยเฉพาะการทุ่มเทงบประมาณในการสร้างเขื่อนยักษ์ "สามโตรก" (Three Gorges Dam) และการพัฒนาเส้นทางขนส่งทางแม่น้ำแยงซีเกียง จนในขณะนี้ สินค้าต่างๆ ที่ผลิตในมณฑลจีนตอนใน อาทิ รถยนต์ที่ผลิตในฉงชิ่ง สามารถขนส่งลำเลียงไปตามแม่น้ำแยงซีเกียงเพื่อไปออกทะเลที่ปากแม่น้ำในมหานครเซี่ยงไฮ้ ด้วย ระยะทาง 2,660 กิโลเมตร และขนส่งตรง ต่อไปทางทะเลจนถึงประเทศปลายทาง เช่น อิหร่าน

ดิฉันได้มีโอกาสไปล่องและพักค้างกลาง "มหานทีแยงซีเกียง" หรือ "ฉางเจียง" ในภาษาจีนกลางมาแล้วถึง 3 รอบ (ปี 2004  ปี 2006 และล่าสุดปี 2009) เพื่อสำรวจเส้นทางขนส่งทางแม่น้ำและติดตามพัฒนาการในการก่อสร้าง เขื่อนสามโตรก สัญลักษณ์แห่งความยิ่งใหญ่ในการพัฒนาจีนตะวันตก ด้วยระยะเวลาก่อสร้างนานถึง 17 ปี  

นอกจากนี้ ผู้บริโภคในจีนตะวันตก ซึ่งมีประมาณ 370 ล้านคน ได้เริ่มอยู่ดีกินดี มีรายได้เพิ่มขึ้นและมีการจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น จากรายงานปี 2009 อัตรา การขยายตัวของการค้าปลีก (retail sale) ใน 12 มณฑลจีนตะวันตกรวมกันเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 19 และมีอัตราสูงกว่าอัตราการ เติบโตของการค้าปลีกของทั้งประเทศ รวม ไปถึงอัตราการขยายตัวของการลงทุนในสินทรัพย์คงที่ในจีนตะวันตกสูงถึงร้อยละ 38.9 มูลค่าราว 3.16 ล้านล้านหยวน ตลอด จนการติดต่อค้าขายกับตลาดโลกมากขึ้น และการหลั่งไหลเข้ามาของเงินลงทุนจาก ต่างประเทศ มีบริษัทชั้นนำระดับโลกที่ตบเท้า เข้าไปลงทุนในจีนตะวันตกจำนวนมาก อาทิ เช่น การลงทุนของ Intel ในเสฉวน ส่งผลให้จีนตะวันตกในวันนี้ จึงมิใช่ "ดินแดนหลังเขา" ดังเช่นในอดีต

ที่มา.สยามธุรกิจ
/////////////////////////////////////////////

ยุโรปหลุดพ้นภาวะถดถอยแล้วจริงหรือ !!??

นับเป็นช่วงเวลาที่คนจำนวนมากเฝ้ารอคอย หลังจากหนึ่งปีครึ่งของความซบเซา เศรษฐกิจของกลุ่มประเทศผู้ใช้เงินสกุลยูโร (ยูโรโซน) เติบโตอีกครั้ง ปัจจัยบ่งชี้อื่นๆ ก็มีแนวโน้มไปในทิศทางที่พัฒนาขึ้นเช่นเดียวกัน หรือนี่จะเป็นการยุติช่วงเวลาแห่งความเหน็บหนาวอันยาวนาน?

การประกาศอย่างชัดเจนของมาริโอ ดรากี ประธานธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) ว่า "ช่วงเวลาที่ย่ำแย่ที่สุดจบลงแล้ว" นั่นเป็นการพูดถึงวิกฤตยูโรเมื่อเดือนมีนาคมปี 2555 แต่ทว่า เขาคาดผิดไป อย่างน้อยถ้าพิจารณาจากเศรษฐกิจที่แท้จริง

เมื่อตอนที่ดรากีคาดคะเน ไว้นั้น ผลผลิตทางเศรษฐกิจรวมของกลุ่มประเทศยูโรโซนร่วงลงเป็นไตรมาสที่ 2 ติดต่อกัน หลังจากนั้นก็ร่วงลงอย่างต่อเนื่องมาเป็นเวลา 1 ปี

ทว่าตอนนี้ หลังจากภาวะถดถอยยาวนานที่สุดนับตั้งแต่เริ่มต้นใช้เงินสกุลร่วมเป็นต้นมา เศรษฐกิจของยูโรโซนได้ส่งสัญญาณถึงการฟื้นคืนชีพขึ้นมาใหม่

จากการประเมินของสำนักงานสถิติยุโรปหรือยูโรสแตท สมาชิกยูโรโซน 17 ชาติแสดงให้เห็นถึงการเติบโตทางเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 2 คิดอัตราปรับตามฤดูกาลที่ 0.3 เปอร์เซ็นต์

ในโปรตุเกสเศรษฐกิจขยายตัวเป็นครั้งแรกในรอบ 2 ปีครึ่ง ด้วยอัตราที่มากถึง 1.1 เปอร์เซ็นต์

ข้อมูลตัวเลขใหม่ทำให้นักเศรษฐศาสตร์ชาวเยอรมันกล้าเสี่ยงที่จะประกาศอย่างชัดเจน คล้ายกับที่ดรากีได้เคยกล่าวไว้เมื่อ 1 ปีครึ่งที่ผ่านมา

"เรากำลังประสบแนวโน้มที่พลิกกลับด้าน ช่วงที่ยากลำบากที่สุดได้ผ่านไปแล้ว" มิชาเอล ฮูเธอร์ ผู้อำนวยการสถาบันเพื่อการวิจัยเศรษฐกิจโคโลญจ์บอก ขณะที่ ไค คาร์สเทนเซน หัวหน้าฝ่ายพยากรณ์เศรษฐกิจ ของสถาบันเพื่อการวิจัยเศรษฐกิจไอเอฟโอในนครมิวนิก ให้ความคิดเห็นในการวิเคราะห์ที่คล้ายๆ กัน "ทุกอย่างกำลังเคลื่อนที่ไปในทิศทางที่ถูกต้อง นั่นคือดีขึ้น"

ในความเป็นจริงแล้ว ข้อมูลทางเศรษฐกิจล่าสุดไม่ได้เป็นข้อบ่งชี้เดียวที่มีความหวัง

บริษัทต่างๆ ในยูโรโซนมองภาพสถานการณ์ขณะนี้ในทางบวกมากขึ้นกว่าเมื่อ 1 ปีครึ่งที่ผ่านมา

ดัชนี ผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (พีเอ็มไอ) ของมาร์กิต บริษัทในอังกฤษที่จัดทำผลสำรวจ เพิ่มจาก 48.7 จุดมาอยู่ที่ 50.5 จุด ขึ้นมาอยู่เหนือระดับเส้นแบ่งที่หมายถึงมีอัตราการเติบโต

นอกเหนือไปจากบรรดาเจ้าของธุรกิจ ผู้บริโภคในกลุ่มประเทศที่ใช้เงินสกุลร่วมยังมองไปในทางบวกมากขึ้นเช่นกัน

ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในเดือนกรกฎาคม เพิ่มขึ้นเป็นเดือนที่ 8 ติดต่อกัน ในเยอรมนี การบริโภคของภาคเอกชนขยายตัวอย่างมีนัยยะสำคัญ ส่วนใหญ่เป็นผลมาจากการขึ้นค่าแรงและการจ้างงานเพิ่ม

สัญญาณที่ให้ กำลังใจบางอย่างยังมาจากประเทศยุโรปทางตอนใต้ที่เผชิญกับวิกฤต โดยก่อนหน้าที่จะมีการประกาศการเติบโตทางเศรษฐกิจ โปรตุเกสเพิ่งจะรายงานว่าอัตราการว่างงานลดลงเป็นครั้งแรกในรอบ 2 ปี เช่นเดียวกับสเปน ทั้ง 2 ประเทศสามารถลดต้นทุนด้านแรงงานและเพิ่มการส่งออกของตนได้อย่างมีนัยยะสำคัญ

แม้แต่เด็กมีปัญหาอย่างกรีซก็สามารถเพิ่มอัตราการส่งออกและประสบ ความสำเร็จในการลดการกู้ยืมเงินก้อนใหม่ของรัฐบาลลงได้มากกว่าครึ่งหนึ่ง ข้อมูลของสำนักงานสถิติแห่งชาติของกรีซระบุว่า เศรษฐกิจของประเทศหดตัวลง 4.6 เปอร์เซ็นต์ แต่นั่นไม่ใช่เรื่องเลวร้ายที่น่าเป็นห่วง เนื่องจากไม่มีการคาดหมายถึงอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจจากกรีซและไอร์แลนด์ อยู่แล้ว

สถานการณ์ที่เคยผันผวนในตลาดพันธบัตรก็สงบลงด้วย ระยะห่างของอัตราดอกเบี้ยสำหรับประเทศที่ประสบวิกฤตและสำหรับเยอรมนีลดลง อย่างมากจากเมื่อหนึ่งปีก่อนหน้านี้

เมื่อวันที่ 13 สิงหาคม อิตาลีและสเปนมีเหตุผลที่จะยินดีปรีดาได้ นั่นคือช่วงห่างของผลตอบแทนพันธบัตรระยะเวลา 10 ปีของทั้ง 2 ประเทศเมื่อเทียบกับเยอรมนี ลดลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 2 ปี

ถึงอย่างนั้นก็ตาม ยังคงเร็วเกินไปที่จะแสดงอาการดีใจออกมาอย่างเต็มที่ เนื่องจากหลักฐานที่ปรากฏออกมานั้นแสดงให้เห็นถึงข้อเท็จจริงที่ว่าเศรษฐกิจ ของประเทศใหญ่แห่งอื่นๆ ในยูโรโซนอย่างเช่นอิตาลีและสเปนยังคงหดตัวต่อไป แม้ว่าจะน้อยลงกว่าเดือนก่อนหน้านี้มาก โดยอิตาลีร่วงลง 0.2 เปอร์เซ็นต์ และสเปนร่วงลง 0.1 เปอร์เซ็นต์

เยนส์ บอยเซน-โฮเกรเฟ แห่งสถาบันเศรษฐกิจโลกคีล กล่าวว่า มันจะเป็นเรื่องที่ "น่าประหลาดใจมาก" หากอัตราการเติบโตของยูโรโซนยังคงดำเนินต่อไปตลอดทั้งปี อย่างไรก็ตาม เขาเสริมว่า "ภาพรวมของปี 2557 พัฒนาขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ"

ปัจจัยอื่นๆ บ่งชี้เช่นกันว่า การฟื้นตัวจะไม่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วอย่างที่คาดหวังกัน

ในช่วงสิ้นสุดปี 2555 เศรษฐกิจของประเทศต่างๆ หดตัวลงอย่างมาก และยังคงร่วงลงอย่างต่อเนื่องในช่วง 3 เดือนแรกของปี 2556 การขยายตัวในหลายประเทศในปัจจุบันจำเป็นจะต้องดูบริบทของพัฒนาการนั้นประกอบ กันด้วย

ในเยอรมนีอุตสาหกรรมการก่อสร้างได้ทำงานเพื่อชดเชยการชะลอตัวในช่วงเวลาที่ยากลำบาก อย่างยาวนาน คาร์สเทนเซนแห่งไอเอฟโอบอกว่า "อัตราส่วนที่โดดเด่นของการเติบโตมาจากงานที่คั่งค้าง"

การว่างงานยังคงเป็นปัญหาร้ายแรงที่สุดของยุโรป ด้วยอัตราว่างงานที่สูงถึง 12.1 เปอร์เซ็นต์ในเดือนกรกฎาคม การไม่มีงานทำภายในยูโรโซนไต่ขึ้นสู่ระดับสูงที่สุดนับตั้งแต่มีการจดบันทึก สถิติเมื่อปี 2538 เป็นต้นมา

ข้อเท็จจริงคือ ในประเทศอย่างกรีซและสเปน ผู้คนมากกว่า 1 ใน 4 ไม่มีงานทำ ซึ่งเป็นเหตุผลที่ทำให้ปัจจัยบ่งชี้ตัวอื่นๆ ดูเหมือนจะออกมาในทางบวก นั่นคือต้นทุนด้านแรงงานลดลงเพราะว่าคนงานที่มีผลิตภาพน้อยกว่าถูกปลดออกไป และดุลการค้ากับประเทศอื่นๆ ดีขึ้นเพราะว่าชาวยุโรปใต้มีความสามารถในการบริโภคได้น้อยลง

สถานการณ์ที่ดีขึ้นส่วนใหญ่มาจากอีซีบี นโยบายดอกเบี้ยต่ำของพวกเขาส่งเสริมความร้อนแรงให้ตลาดหุ้น และการประกาศว่าจะซื้อพันธบัตรแบบไม่จำกัดเป็นการควบคุมการเก็งกำไร แต่ในเวลาเดียวกัน ทั้ง 2 มาตรการไม่ได้แก้ปัญหาของประเทศที่เกิดวิกฤตเลย ข้อเท็จจริงคือ นั่นอาจนำไปสู่การชะลอการปฏิรูปออกไปและกระตุ้นให้เกิดฟองสบู่รอบใหม่

สถานการณ์ของเศรษฐกิจโลกก็ยังคงไม่แน่นอน จากผลสำรวจสถานการณ์เศรษฐกิจโลกของไอเอฟโอ บรรยากาศทางเศรษฐกิจดีขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญทั้งในยุโรปและในสหรัฐอเมริกา ทว่าในเอเชียกลับลดลงอีกครั้งหลังจากที่ดีขึ้นอย่างแข็งแกร่งในไตรมาสที่ 2 ความไม่แน่นอนสามารถชี้ชัดได้ที่จีน

รัฐบาลจีนส่งสัญญาณว่า พวกเขาอาจจะออกแผนกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อปกป้องอัตราการเติบโต 7 เปอร์เซ็นต์ตามที่ตั้งเป้าไว้ แต่ในเวลาเดียวกันพวกเขาเพิ่งจะเริ่มต้นออกกฎระเบียบเข้มงวดเพื่อควบคุมตลาด การเงินที่เริ่มจะร้อนแรงเกินไปในหลายพื้นที่

เมื่อพิจารณาทั้งหมดแล้ว แม้ว่าหลายๆ อย่างดูเหมือนจะพัฒนาขึ้นในยูโรโซนและมีความหวังจากหลายประเทศที่ประสบปัญหา ว่า เยอรมนีอาจจะผ่อนคลายความต้องการให้รัดเข็มขัดลงหลังการเลือกตั้งในวันที่ 22 กันยายนผ่านพ้นไป

แต่ฮูเธอร์แห่งสถาบันวิจัยเศรษฐกิจโคโลญจ์เชื่อ ว่า เยอรมนีจะไม่ผ่อนปรน และพวกเขาอาจโต้แย้งได้ว่าพัฒนาการนี้แสดงให้เห็นว่า การรัดเข็มขัดนั้นได้ผล

ที่มา : นสพ.มติชน
------------------------------------------

ทำไม รบ.นี้ถึงอยากให้ มาร์ค กุมอำนาจ ปชป.ไปเรื่อยๆ  !!??

คอลัมน์ที่นี่ไม่มีปรองดองนายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล "ก็ถ้าเล่นการเมืองแบบค้านไปเรื่อย หยุมหยิมไปทุกเรื่องนอกจากจะเข้าทางรัฐบาลแล้วก็ยังมีสิทธิ์โดนศอกกลับเป็นธรรมดาอย่างที่รองนายกฯสุรพงษ์ สอนฝ่ายค้านกลางสภาว่าที่ นายกฯยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ต้องไปเยือนต่างประเทศก็เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้มีการลงทุนค้าขายกับไทย สาเหตุก็เพราะหลังจากที่มีรัฐบาลสั่งกระชับพื้นที่การชุมนุมของประชาชนจนประชาชนเสียชีวิตนั้น สังคมโลกเขาไม่ยอมรับแถมยังสวนด้วยว่าที่กล่าวหารัฐบาลจ่ายเงินค่าจ้างให้โทนี แบลร์ อดีตนายกฯอังกฤษ 20 ล้านบาท นั้นไม่จริง ไม่ได้เสียเงินค่าจ้างแม้แต่บาทเดียว... มิน่ารัฐบาลนี้ถึงอยากให้แก็ง มาร์ค กุมอำนาจพรรคประชาธิปัตย์ไปเรื่อยๆ

ชัชชาติ สิทธิพันธุ์

ถือเป็น “พีอาร์ แมน”คนหนึ่งในรัฐบาลชุดนี้ ล่าสุดไปเป็นประธานปล่อยแถวสายตรวจดูแลรถเมล์ รถสาธารณะในกรุงเทพฯ ใช้ทั้ง ผู้ตรวจการกรมขนส่งทางบก เจ้าหน้าที่ขสมก. และตำรวจจากบก.จร. ให้ช่วยกันตั้งด่านกวดขัน เน้นไปที่จุดที่มีปัญหา อย่าง ห้างมาบุญครอง อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ และย่านลาดพร้าว ดูเหมือนดี แต่ผลคือยิ่งวุ่นวายหนัก จริงๆปัญหารถเมล์ไม่เข้าป้าย เข้าป้ายไม่ได้ หรือวิ่งเร็วนั้น แค่ให้ ขสมก.เข้มงวดตามสัญญาก็เหลือกินแล้ว ไม่ต้องตีล่อโก๊ะซะขนาดนี้ แต่ที่สำคัญสุดคือคนขับรถ ซึ่งไม่ใช่แค่รถเมล์ แต่รถทัวร์ รถบรรทุก รถเทรเล่อร์นี่แหละตัวดี ทำคนตายเป็นเบือ ไม่เห็นทำอะไร ปล่อยให้เรื่องเงียบหาย ถ้าแก้ปัญหาให้ตรงจุดไม่เป็นก็ให้คนอื่นเข้ามาทำบ้างดีมั้ย

นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ

จริงๆแล้วเป็นกรรมการอยู่ในคณะกรรมการสิทธิมนุษยชน แต่ตอนนี้ลงไปเล่นกับศพ เอกยุทธ อัญชันบุตร จนออกนอกหน้า ทำให้หลายคนสงสัยว่าอาจจะกำลังคิดจะไปเอาดีด้านชัณสูตรศพเสียแล้วกระมัง เพราะเป็นตุเป็นตะราวกับท่องบทมาว่า เป็นการถูกฆ่าด้วยกระบวนท่าพิเศษอย่างนั้นอย่างนี้ หลายคนสงสัยดูหนังมากไปหรือเปล่า แต่ที่โดนถล่มหนักสุดก็คือ เป็นหน้าที่ของ กสม.หรือที่ต้องพิสูจน์การตายขนาดนี้ ถ้าใช่แล้วที่ผ่านๆมาทำไมไม่ทำแบบนี้กับศพอื่นๆบ้าง เดือดร้อนอะไรหนักหนากับศพอดีตเจ้ามือแชร์ชาร์เตอร์รายนี้ รู้หรือไม่ว่าทำให้ “กสม.”เสียชื่อเสียง เพราะมีคนไปแปลเป็น “กรรมการสิทธิมนุษยชนของแมลงสาป”ไปแล้ว!!!

ธาริต เพ็งดิษฐ์

ออกมาพูดตามหน้าที่ และพูดตามที่คนไทยเรียนหนังสือมาตั้งแต่ชั้นประถม ว่าโครงสร้างการบริหารประเทศของไทยเรานั้น แบ่งเป็น 3 เสาหลัก คือ นิติบัญญัติ บริหาร และตุลาการ โดยมีประมุขฝ่ายนิติบัญญัติ ประมุขฝ่ายบริหาร และประมุขฝ่ายตุลาการ ทำหน้าที่ดูแลและถ่วงดุลอำนาจกัน ซึ่งเด็กนักเรียนท่องกันปาวๆ แต่พอ อธิบดีธาริตพูดถึงนายกฯยิ่งลักษณ์ ว่าเป็นประมุขฝ่ายบริหารเท่านั้น ทั้งม็อบสนามม้าภาค 2 ม็อบหน้ากากขาว ดิ้นพล่านเตรียมยื่นเรื่องต่อผู้ตรวจการแผ่นดิน และคณะกรรมการ ป.ป.ช. ให้เล่นงาน ก็ตะแบงกันแบบนี้แหละ บ้านเมืองถึงได้จมปลักขัดแย้งไม่เลิก มาดูกันว่าผู้ตรวจการแผ่นดินจะบ้าจี้ตามหรือไม่

รอ. ทรงกลด ชื่นชูผล

ถือเป็นสาวกระดับแถวหน้าที่ปักใจเชื่อข้อมูลม็อบขับไล่รัฐบาลทักษิณ ชินวัตร จนทำให้ “ไม่เอาแม้ว”เข้าสายเลือดมาจนทุกวันนี้ โดยมองว่าเป็นระบอบชั่วร้าย คอรัปชั่นโกงกิน ก็ไม่ว่ากันที่จะเชื่อแบบนั้น แต่หลายคนสงสัยไยความจำสั้น สมัยที่ ชวน หลีกภัย เป็นนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีกลาโหม ผู้กองปูเค็ม คนนี้และที่ยื่นเรื่องต่อรัฐบาลร้องเรียนว่ามีทุจริตในหน่วยงานที่สังกัดอยู่ ผลคือนอกจากรัฐบาลชุดนั้นไม่ทำอะไรแล้ว ผู้กองปูเค็มยังถูกคำสั่งจำคุก ฐานสร้างความเสื่อมเสียแก่ต้นสังกัด ยังจำได้ไหม.. แต่ที่สำคัญ กองทัพบกไม่ดูแลเลยหรือ ที่อดีตทหารนอกราชการ กลับแต่งเครื่องแบบทหารมาเพ่นพ่านสารพัด... จะให้ชาวบ้านมองเครื่องแบบทหารยังไง

พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง

ถูกโยงตลอดว่า มีคดีความอยู่กับ เอกยุทธ อัญชันบุตร อาจจะทำให้การดูแลคดีการตายของอดีตเจ้ามือแชร์ชาร์เตอร์ ถูกรวบรัด ไม่รอบคอบเท่าที่ควร เพราะแม้ญาติพี่น้องคนตายจะไม่ติดใจ แต่ทนายความ กับ กรรมการสิทธิมนุษยชน ยังสนใจมากเป็นพิเศษ ฉะนั้นคดีนี้จบง่ายๆไม่ได้ บิ๊กแจ๊ส เลยต้องออกมายืนยันว่า คดียังสรุปไม่เสร็จ จะหากินหาผลประโยชน์จากศพกันหรือไง อย่างที่ระบุว่ามีการจ้างฆ่าด้วยท่าพิเศษ เป็นตำรวจยังไม่เข้าใจเลยว่าท่าพิเศษคืออะไร หรือที่บอกว่าผู้ต้องหากลับคำให้การนั้น อย่าดีแต่พูด แต่มาให้การกับตำรวจเลยดีกว่า ...

ป๊าด ใครจะเสี่ยงกับข้อหาให้การเท็จกันล่ะ พูดวงนอกไปเรื่อยๆสนุกปากกว่าเยอะ

ที่มา.บางกอกทูเดย์
/////////////////////////////////////////////////////////

สคบ.สั่งตรวจสอบ สินค้าอันตรายต่อสุขภาพ !!??

นายจิรชัย มูลทองโร่ย เลขาธิการคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) เปิดเผยว่า ได้รับมอบนโยบายจากนายสันติ พร้อมพัฒน์ รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ให้ สคบ.จัดเจ้าหน้าที่ออกสุ่มตรวจสินค้าและบริการที่เป็นอันตราย และไม่เป็นธรรมต่อผู้บริโภค โดยเฉพาะสินค้าที่จำเป็นต้องใช้ในชีวิตประจำวันว่าเป็นไปตามมาตรฐานหรือไม่ โดยจะเริ่มลงพื้นที่ตรวจสอบภายในสัปดาห์นี้ ทั้งนี้หากตรวจพบสินค้าต้องสงสัย สคบ.จะประสานกับบริษัท ห้องปฏิบัติการกลาง (ประเทศไทย) หรือเซ็นทรัลแล็บ ให้ช่วยตรวจสอบสินค้า หากพบว่า สินค้าไม่มีมาตรฐาน หรือคุณภาพต่ำลงจากเดิม จะถือว่าผู้ประกอบการมีความผิดต้องได้รับโทษทันที

สำหรับสินค้าที่จะสุ่มตรวจ 6 กลุ่ม คือ 1.อาหารที่ใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น นม อาหารสำเร็จรูป ผักและผลไม้ เป็นต้น 2.เครื่องดื่ม น้ำ น้ำแร่ เป็นต้น 3.ผลิตภัณฑ์อาหารเสริม 4.สินค้าเกษตร โดยเฉพาะปุ๋ย 5.สิ่งทอ เสื้อผ้า เครื่องนุ่งห่ม กระเป๋าผ้า เป็นต้น และ 6.สินค้าที่ทำจากพลาสติก เช่น กล่องใส่อาหาร อาจมีส่วนผสมของสารเคมีที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย หรืออาจมีสารเคมีละลายเจือปนในอาหารขณะนำไปอุ่นด้วยความร้อน รวมทั้งผลิตภัณฑ์ที่ทำจากพลาสติกอีกหลายอย่างที่ใช้ในชีวิตประจำวัน โดยทั้งหมดจะจัดเก็บตัวอย่างมาตรวจสอบ เชื่อว่าจะได้ข้อสรุปภายใน 1 เดือน

ที่มา.ข่าสด
//////////////////////////////////////////////////

พาณิชย์งัดมาตรการ คุมราคาสินค้า ลดค่าครองชีพ !!??

รับมือครึ่งปีหลังสินค้าจ่อปรับราคา หลังแบกต้นไม่ไหวขอความร่วมมือผู้ผลิตตรึงราคายาวถึงสิ้นปี

นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ได้สั่งการดูแลราคาสินค้าและลดค่าครองชีพประชาชนช่วงครึ่งปีหลัง รวมทั้งเร่งกระตุ้นการใช้จ่ายของประชาชน โดยกำหนดให้ใช้มาตรการในรูปแบบต่างๆ ที่เหมาะสมดูแลตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ เชื่อว่าจะไม่เป็นการบิดเบือนกลไกตลาด เพราะว่าเป็นมาตรการที่ดูแลครบทุกภาคส่วน ยึดหลักราคาสมเหตุสมผล

การดูแลค่าครองชีพเน้นย้ำว่าเป็นเรื่องสำคัญตามนโยบายของรัฐบาล ต้องทำอย่างเหมาะสม ทั้งคุมสินค้าไม่ให้ขึ้นราคา ไม่ให้มีการเอาเปรียบ และต้องกระตุ้นการใช้จ่ายไปพร้อมๆ กัน ผ่านงานขายสินค้าซึ่งเป็นเครื่องมือที่กระทรวงมีอยู่ให้ประชาชนใช้จ่ายได้ในราคาย่อมเยา"

รายงานข่าวจากกระทรวงพาณิชย์แจ้งว่า สินค้าที่มีแนวโน้มปรับราคาสูงขึ้นในครึ่งปีหลังนี้ ได้แก่ อาหารสำเร็จรูป เนื่องจากต้นทุนค่าแรงและค่าเช่าสูงขึ้น ซีอิ๊ว ใช้วัตถุดิบนำเข้าซึ่งราคาถั่วเหลืองสูงขึ้น เช่นเดียวกับนมสดพร้อมดื่ม สินค้า 2 รายการนี้ ได้ขอปรับราคาแล้วแต่อยู่ระหว่างการพิจารณา ส่วนน้ำตาลทรายบรรจุถุง 1 กิโลกรัม ต้นทุนค่าแรง ค่าภาชนะบรรจุเพิ่มขึ้น แม้ต้นทุนวัตถุดิบเท่าเดิม ซึ่งได้ขอปรับขึ้นราคาแล้วแต่ยังไม่เห็นชอบ นอกจากนี้ยังมีอาหารสัตว์ (ยกเว้นไก่ไข่และหมู) เพิ่มขึ้น 4.32-11.01% น้ำปลาตราทิพรส ปรับขึ้นจากขวดละ 25 บาท เป็น 27 บาท ปูนซีเมนต์ ซึ่งราคายังไม่เกินเพดานกำหนด ก๊าซหุงต้ม ปรับราคาวันที่ 1 ก.ย. นี้

วางมาตรการดูแลราคาสินค้า

สำหรับมาตรการกำกับดูแลราคาสินค้าครึ่งปีหลัง ประกอบด้วย การกำกับดูแลราคาสินค้า ต้นน้ำ กลางน้ำ ปลายน้ำ ให้มีราคาสมเหตุสมผลเป็นธรรมและปรับแบบค่อยเป็นค่อยไป มาตรการขอความร่วมมือผู้ผลิตให้ตรึงราคาสินค้าถึงสิ้นปี 2556 ประสานธุรกิจค้าปลีก-ค้าส่งขนาดใหญ่จัดมหกรรมลดราคาสินค้าทั่วประเทศ เริ่มตั้งแต่เดือนส.ค. จนถึงสิ้นปี 2556 มาตรการจัดงานธงฟ้าราคาประหยัดทั่วประเทศเพิ่มขึ้นในพื้นที่ระดับจังหวัดและอำเภอ และมาตรการทางกฎหมายในกรณีที่สินค้าปรับเพิ่มขึ้นมาก จะประกาศเป็นสินค้าควบคุม

นอกจากนี้ มีมาตรการเสริมผ่านการออกตรวจสอบพฤติกรรมทางการค้า โดยช่วงเดือนต.ค. 2555 - ก.ค. 2556 ตรวจสอบ 263,097 ราย พบผิด 82 ราย ปรับเป็นเงิน 55,200 บาท ตรวจสอบเครื่องชั่งตวงวัด 3,917,138 เครื่องต่อหีบห่อ พบผิด 16,080 เครื่องต่อหีบห่อ

ขณะที่เครือข่ายที่เป็นเครื่องมือกำกับดูแลราคาสินค้าและค่าครองชีพ ได้แก่ โครงการธงฟ้า จัดขึ้น 2,003 ครั้ง ลดภาระค่าครองชีพประชาชน 6.015 ล้านคน เป็นเงิน 606.39 ล้านบาท ร้านถูกใจ 5,009 แห่ง ร้านธงฟ้า 5,953 แห่ง อาสาธงฟ้า 1569 มีสมาชิก 5,500 ราย ตลาดสดดีเด่น 290 แห่ง ร้านค้าก๊าซหุงต้มชั้นดี 171 ร้าน การรับประกันคุณภาพสินค้าและบริการ 52 ราย ยุวชนธงฟ้า 45 โรงเรียน 4,500 คน และน้ำมันเต็มลิตร 1,150 แห่ง

คุมเข้มสินค้าจำเป็น

กระทรวงพาณิชย์ ยังได้กำหนดมาตรการเฉพาะสำหรับสินค้าจำเป็น ได้แก่ การกำกับดูแลอาหารสำเร็จรูป (อาหารจานเดียว) 3 แนวทาง ได้แก่ 1.กำกับดูแลต้นทุนวัตถุดิบไม่ให้เพิ่มสูงขึ้นมากด้วยการเชื่อมโยงวัตถุดิบจากผู้ผลิต 2.ขอความร่วมมือร้านอาหารในค้าปลีกสมัยใหม่ ศูนย์อาหารราชการ ตลาดสด ให้มีอาหารบางรายการจำหน่ายตามราคาแนะนำ และ 3.จำหน่ายข้าวสารบรรจุถุงราคาถูกแก่ร้านอาหารธงฟ้าเพื่อตรึงราคาหรือลดราคาอาหาร ซึ่งจะมีการนำข้าวสารบรรจุถุงจากโครงการรับจำนำข้าวจำหน่ายให้ร้านอาหารธงฟ้าต่อไป

ส่วนสินค้าสุกร กำหนดโครงการรักษาเสถียรภาพราคาสุกร ตามที่ Pig Board เสนอให้สหกรณ์/สมาคมผู้เลี้ยงสุกรรับซื้อสุกรเพื่อส่งออกประเทศเพื่อนบ้าน เป้าหมาย 1.5 แสนตัว ให้ดำเนินการเมื่อราคาสุกรภาคกลาง เท่ากับหรือมากกว่ากิโลกรัมละ 55 บาท โดยสนับสนุนค่าขนส่งจากต้นทางถึงปลายทางและค่าใช้จ่ายด้านบริหารจัดการเฉลี่ยตัวละ 400 บาท ไข่ไก่ โครงการรักษาเสถียรภาพราคาไข่ไก่ ปี 2555 EGG Board เสนอชดเชยการปลดแม่ไก่ยืนกรงไม่เกิน 65 สัปดาห์ ตัวละ 10 บาท เสนอให้ส่งออกต่างประเทศ ชดเชยฟองละ 0.50 สตางค์ และรณรงค์บริโภคไข่ไก่ ทั้งนี้ EGG Board ให้ตรึงราคาไข่ได้ไว้ที่ฟองละ 3.70 บาท

ชู3โครงการช่วยค่าครองชีพ

นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า ได้สั่งการให้กรมพัฒนาธุรกิจการค้าและกรมการค้าภายในเร่งศึกษารูปแบบโครงการลดปัญหาค่าครองชีพ โดยให้รวมโครงการร้านถูกใจ ร้านโชวห่วยโชว์สวย ร้านอาหารธงฟ้า ซึ่งแนวทางต่างๆ จะนำเสนอต่อนายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และนายยรรยง พวงราช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ให้พิจารณาเห็นชอบในเร็ว ๆ นี้ เบื้องต้นมองว่าจะให้เอกชนเข้ามาดำเนินการทั้งหมด อาทิ การขนส่ง ระบบคอลเซ็นเตอร์รับคำสั่งซื้อ เป็นต้น

นอกจากนี้ ให้กรมพัฒนาธุรกิจการค้าดำเนินกิจกรรมส่งเสริมพัฒนาธุรกิจค้าส่งค้าปลีกของไทยอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันมีผู้สมัครเข้าร่วมโครงการสร้างความเข้มแข็งธุรกิจค้าส่งปลีกไทย 5,212 ราย ซึ่งจะได้รับการเสริมสร้างองค์ความรู้ด้านการบริหารจัดการธุรกิจ ปรับภาพลักษณ์ร้านค้า ฯลฯ ช่วง 3 เดือนที่ผ่านมาพบว่าร้านค้าส่งมียอดขายเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 13% ต่อเดือน ร้านค้าปลีกเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 17% ต่อเดือน

สหพัฒน์ยันไม่ขยับราคาถึงสิ้นปี

นายบุญชัย โชควัฒนา ประธานกรรมการ และประธานกรรมการบริหาร บริษัท สหพัฒนพิบูล จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การปรับขึ้นราคาก๊าซหุงต้ม (แอลพีจี) เดือนก.ย. นี้ เป็นต้นไป เชื่อว่าไม่กระทบต่อต้นทุนผลิตและขนส่งสินค้า ทำให้บริษัทต้องปรับราคาสินค้าแต่อย่างใด เนื่องจากบริษัทใช้ก๊าซแอลพีจีในภาคขนส่งค่อนข้างน้อย

"สิ่งที่น่าเป็นห่วง คือ การขยับราคาสินค้าของกลุ่มธุรกิจร้านอาหารซึ่งเป็นกลุ่มที่ใช้ก๊าซแอลพีจีค่อนข้างมาก อาจทำให้ร้านค้าฉวยจังหวะขึ้นราคา 5-10 บาท ส่งผลกระทบต่อค่าครองชีพผู้บริโภค หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องขอความร่วมมือร้านเหล่านี้ให้ตรึงราคาขาย หากจำเป็นต้องขึ้นควรขยับเพียงเล็กน้อย เพราะเมื่อเทียบกับต้นทุนก๊าซ เพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น"

โดย สหพัฒน์ ยืนยันว่า จะตรึงราคาสินค้าจนถึงปลายปีนี้ ซึ่งสถานการณ์ตลาดสินค้าอุปโภคบริโภคขณะนี้ ไม่เอื้อต่อการปรับขึ้นราคาสินค้า เพราะการแข่งขันสูง แต่ละค่าย กลับ "ลดราคา" กระตุ้นกำลังซื้อและยอดขายอีกด้วย

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
///////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันเสาร์ที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2556

คลิปถั่งเช่าแค่สะเทือน... !!??

เริ่มต้นรายการในวันนี้กับกระแสข่าวการลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีช่วงว่าการกระทรวงกลาโหมของพล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา จากกรณีคลิปเสียง.. ซึ่งถูกตั้งคำถามถึงเรื่องความเหมาะสมอย่างหนัก

ล่าสุดมีรายงานจากพรรคเพื่อไทยว่า แกนนำพรรคเพื่อไทยเสนอให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกฯ และ รมว.กลาโหม เจรจากับ พล.อ. ยุทธศักดิ์ ให้ลาออกจากตำแหน่งเนื่องจากมองว่ากรณีคลิปเสียง กระทบต่อเสถียรภาพรัฐบาลและ พ.ต.ท.ทักษิณ ขณะที่พล.อ.ยุทธศักดิ์ก็ยังไม่สามารถชี้แจงสังคมได้

แหล่งข่าวยืนยันว่าพล.อ.ยุทธศักดิ์ได้ตัดสินใจจะลาออกจากตำแหน่งปลายเดือน ส.ค.นี้ โดยจะใช้เหตุผลมีปัญหาสุขภาพ เพราะเกรงว่าจะส่งผลกระทบต่อการจัดทำบัญชีแต่งตั้งโยกย้ายนายทหารประจำปีในเดือน ก.ย.นี้    

อย่างไรก็ตามแกนนำพรรคเพื่อไทยได้มีการทาบทามอดีตนายทหารระดับสูงหลายรายเพื่อเข้ารับตำแหน่ง รมช.กลาโหมแทน อาทิ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ อดีต รมว.กลาโหม สมัยรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ พล.อ.จิรเดช คชรัตน์ อดีตรองผบ.ทบ. และ พล.อ.พิศาล วัฒนวงษ์คีรี อดีตแม่ทัพภาคที่ 4

ซึ่งล่าสุดมีชื่อของ พล.อ.พฤณท์ สุวรรณทัต รมช.คมนาคม ที่มีโอกาสสูงว่าจะถูกโยกมาเป็น รมช.กลาโหมแทนมากที่สุด เนื่องจากมีฐานะเป็นบิดาแฟนสาวของนายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชาย พ.ต.ท.ทักษิณ

กระแสข่าวดังกล่าวมีน้ำหนักมากขึ้น เมื่อวันนี้พล.อ.ยุทธศักดิ์ เดินทางเข้าพบ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ที่ห้องทำงาน ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล เป็นเวลา1ชั่วโมง จากนั้นจึงได้เดินทางกลับ

อย่างในก็ตาม น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ปฏิเสธที่จะให้สัมภาษณ์ข่าวว่า พล.อ.ยุทธศักดิ์ จะลาออกจากตำแหน่ง รมช.กลาโหม โดยกล่าวสั้นๆ ว่า “ยังไม่เคยคุยกับ พล.อ.ยุทธศักดิ์ในเรื่องนี้ และไม่รู้เหมือนกันว่าข่าวนี้มาจากไหน”      

พล.อ.ยุทธศักดิ์ได้ปฏิเสธตอบคำถามดังกล่าวเช่นเดียวกัน โดยกล่าวเพียงสั้นๆ ด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มว่า “เป็นเพียงข่าวลือ ผมเฉยๆ กับข่าวที่ออกมาในวันนี้ และไม่ได้สนใจว่าข่าวดังกล่าวนั้นออกมาจากทางไหน ซึ่งขณะนี้ผมยังไม่ได้คุยกับนายกรัฐมนตรี เพราะนายกรัฐมนตรีบอกว่าไม่ให้ผมพูดอะไร ขอให้อยู่เฉยๆ ทั้งนี้ ผมขอยืนยันว่าไม่ลาออกจากตำแหน่ง

สำหรับเนื้อหาที่ปรากฏในคลิปเสียง ที่จะเป็นสาเหตุให้พล.อ.ยุทธศักดิ์ ไม่สามารถทนอยู่ในตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยกลาโหมต่อไปได้ ก็น่าจะเป็นประเด็นของการใช้กองทัพเป็นเครื่องมือทางการเมือง และการไม่ให้เกียรตินายทหารในกองทัพ

ก่อนหน้านี้แม้กระทั่ง พล.อ.อำนวย ถิระชุณหะ สมาชิกพรรคเพื่อไทย และอดีตนักเรียนเตรียม ทหารรุ่น 10 (ตท.10) รุ่นเดียวกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ให้สัมภาษณ์ว่า ว่า พล.อ.ยุทธศักดิ์ต้องลาออก เนื่องจากสถานการณ์ที่รัฐบาลเจอในปัจจุบันก็หนักแล้ว มี 2 เรื่องใหญ่ๆ ยังไม่เคลียร์คือ

1.เรื่องรับจำนำข้าว ที่ตอนนี้กำลังมีการลากคอคนทุจริตระดับเจ้าหน้าที่ และโรงสี และ 2.เรื่องความมั่นคง ภาคใต้ยังแก้ปัญหาไม่ได้ แล้วต้องอย่าลืมเรื่องคดีปราสาทพระวิหารจะมีการตัดสินในปลายปีนี้อีก

สำหรับ พล.อ.ยุทธศักดิ์ หากรัฐบาลยังเตี้ยอุ้มค่อมรัฐบาลจะตาย ถามว่าท่านมีคุณงามความดีอะไรถึงจะต้องไปอุ้ม ดังนั้นสิ่งที่ท่านทำได้คือ แสดงความรับผิดชอบด้วยการลาออก ซึ่งก็เห็นข่าวว่าท่านจะลาออก จึงคิดว่าอย่าไปเบรก แต่ต้องขอบคุณที่ท่านจะเสียสละ ทุกคนใน ครม.จะโห่ร้องประกาศขอบคุณอย่างกึก ก้อง

พล.อ.สมเจตน์ บุญถนอม ส.ว.สรรหา กล่าวว่า เมื่อถอดรหัสจากคลิปเสียงแล้ว ค่อนข้างชัดเจนว่าใครคุยกับใคร เมื่อเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น ผู้ที่รู้ดีที่สุด คือตัว พล.อ.ยุทธศักดิ์ เอง จึงอยากเรียกร้องให้ พล.อ.ยุทธศักดิ์ ออกมาพิสูจน์ว่า เป็นบทสนทนาจริง หรือถูกตัดต่อ เป็นเสียงของท่านหรือไม่ เพื่อธำรงไว้ในศักดิ์ศรี เกียรติภูมิ ของกองทัพ เพราะคนที่มีแนวคิดเช่นนี้ ไม่สมควรอยู่ในฐานะที่มอบนโยบายให้แก่กองทัพต่อไป ชายชาติทหาร กล้าทำต้องกล้ารับ      

พล.อ.สมเจตน์ กล่าวต่อว่า ถ้าเป็นเสียงของ พล.อ.ยุทธศักดิ์จริงก็ไม่สมควรอยู่ ต้องลาออกไป เพราะกระทบต่อเกียรติและศักดิ์ศรี ของกองทัพ รวมไปถึงวงศ์ตระกูลและลูกหลานท่านที่เป็นนายทหารชั้นผู้ใหญ่ด้วย เป็นถึงพลเอก และอดีตปลัดกระทรวงกลาโหม........แถมยังยกย่องเป็นดังราชสีห์ ส่วนตัวเป็นหนูน้อยที่คอยช่วยเหลือ ถือเป็นการดูถูกตัวเอง

ขณะที่นายกรัฐมนตรีก็ได้เดินทางไปตรวจเยี่ยมกองทัพบกและกองทัพอากาศ ในโอกาสเข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมอย่างเป็นทางการ

น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เดินทางมาเยี่ยมกองทัพบก พร้อมด้วย พล.อ.ยุทธศักดิ์ ทั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) พล.อ.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ รอง ผบ.ทบ. พล.อ.ศิริชัย ดิษฐกุล ผช.ผบ.ทบ. พล.อ.จิระเดช โมกขะสมิต ผช.ผบ.ทบ. พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร เสนาธิการทหารบก ให้การต้อนรับบริเวณหน้ากองบัญชาการกองทัพบกโดยได้จัดพิธีตรวจแถวกองทหารเกียรติยศ พร้อมเชิญนายกรัฐมนตรีเยี่ยมชมห้องพระบารมีปกเกล้าและห้องแสดงอาวุธภายในอาคารพิพิธภัณฑ์กองทัพบก

จากนั้นน.ส.ยิ่งลักษณ์ เดินทางไปยังกองบัญชาการกองทัพอากาศ ดอนเมือง เพื่อตรวจเยี่ยมและมอบนโยบายอย่างเป็นทางการ ในโอกาสรับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม โดยมี พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง ผู้บัญชาการทหารอากาศ ให้การต้อนรับ
       
นายกรัฐมนตรีได้ตรวจแถวกองทหารเกียรติยศ โดยมีเครื่องบินเอฟ 16 บินเพื่อเป็นเกียรติด้วย จากนั้นนายกรัฐมนตรีได้วางพวงมาลาอนุสาวรีย์ทหารอากาศ และวางพานพุ่มถวายสักการะพระอนุสาวรีย์จอมพลสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอเจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนารถ กรมหลวงพิศณุโลกประชานารถ พระบิดากองทัพอากาศ ก่อนที่จะรับฟังบรรยายสรุปภารกิจการดำเนินงาน ปัญหาการทำงานของกองทัพอากาศ และเยี่ยมชมนิทรรศการเกี่ยวกับการปฏิบัติภารกิจของกองทัพอากาศในด้านต่างๆ

ที่มา.ทีนิวส์
////////////////////////////////////////////////////////////////