--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันศุกร์ที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2556

ขยะพิษ สารเคมีเกษตร ชีวิตบนเส้นด้ายของคนไทย !!??

โดย พัฒนพันธุ์ วงษ์พันธุ์

ข้อมูลใหม่ที่เพิ่งได้ยินมาและน่าตกใจไม่น้อยก็คือ ประเทศไทยกำลังตกอยู่ท่ามกลาง "วัตถุมีพิษ" มากกว่าที่คิด ๆ กันหลายเท่านัก

ที่ผ่านมาเรารับรู้กันว่า บรรดาเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เครื่องคอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือ ฯลฯ หลังหมดอายุการใช้งาน ถูกปล่อยทิ้งกลายเป็นขยะ เป็นอันตรายต่อชีวิต และสร้างปัญหาให้กับสิ่งแวดล้อม

เนื่องจากส่วนประกอบภายในตัวเครื่อง สามารถแปรเปลี่ยนเป็นวัตถุมีพิษ หากไม่จัดการให้ถูกต้อง

ความน่าตกใจเรื่องนี้มีที่มาจากซากอุปกรณ์สิ่งอำนวยความสะดวกและอิเล็กทรอนิกส์ กำลังเพิ่มขึ้นมหาศาล

สืบเนื่องจากชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนกำลังเปลี่ยนไป

ทุกบ้านต้องการสิ่งอำนวยความสะดวก อยากได้ทีวีเครื่องใหม่ อยากได้ตู้เย็นใหญ่ขึ้น อยากได้พีซีที่ประมวลผลได้เร็วกว่าเดิม เมื่อของใหม่มาก็ต้องโยนของเก่าทิ้ง

ผลศึกษาของกรมควบคุมมลพิษ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมประเมินว่า เมื่อปี 2555 มีเครื่องรับโทรทัศน์ถูกทิ้งเป็นขยะ เพราะใช้งานต่อไม่ได้ หรือเพราะต้องการเปลี่ยนเครื่องใหม่มากถึง 2.37 ล้านเครื่อง ตัวเลขนี้กำลังจะเพิ่มเป็น 2.79 ล้านเครื่องในปี 2559

ปัญหานี้กำลังเกิดขึ้นกับข้าวของเครื่องใช้อื่น ๆ ด้วยเช่นกัน อาทิ เครื่องปรับอากาศ จาก 6.96 แสนเครื่อง เป็น 7.96 แสนเครื่อง คอมพิวเตอร์พีซี จาก 1.78 ล้านเครื่อง เป็น 2.63 ล้านเครื่อง เครื่องพิมพ์-โทรสาร จาก 1.49 ล้านเครื่อง เป็น 1.54 ล้านเครื่อง

ที่กำลังมาแรงแซงทุกผลิตภัณฑ์สินค้า คือ โทรศัพท์มือถือ และโทรศัพท์บ้าน จาก 8.52 ล้านเครื่อง เป็น 10.90 ล้านเครื่อง

นี่ยังไม่รวมตู้เย็น เครื่องซักผ้า และอื่น ๆ อีกมากมาย

ไม่น่าเชื่อนะครับ ในขณะที่ขยะอิเล็กทรอนิกส์กำลังกองเป็นพะเนิน บ้านเรากลับไม่มีมาตรการใด ๆ ที่ชัดเจน รวมทั้งไม่มีกฎหมายใด ๆ มาควบคุมการกำจัดซากผลิตภัณฑ์ที่หมดสภาพเหล่านี้โดยตรง

มีข่าวดีอยู่บ้างก็คือ กรมควบคุมมลพิษยืนยันว่าปัญหาดังกล่าวยังไม่เหลือบ่ากว่าแรงถึงขนาดควบคุมไม่ได้

ส่วนหนึ่งเป็นเพราะผลิตภัณฑ์จำนวนหนึ่ง โดยเฉพาะเครื่องพีซีและมือถือถูกแปรสภาพไปเป็นสินค้ามือสอง แต่ถ้าจะให้ถึงขั้นมีธุรกิจรีไซเคิลมารองรับ คัดแยกอุปกรณ์

ซึ่งถือเป็นวิธีที่ใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าที่สุดเหมือนในยุโรปหรือสหรัฐอเมริกา ซึ่งคงต้องรอกันต่อไป

และไม่รู้อีกเมื่อไรถึงจะเกิดขึ้น

เท่ากับว่าด้านหนึ่งในขณะที่เราสุขสบายขึ้น อีกด้านหนึ่งเรากลับซุกซ่อนขยะพิษเอาไว้ใต้พรม ราวกับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น

คล้ายกับปัญหาการใช้สารเคมีนานาชนิดในสินค้าเกษตร ซึ่ง "ประชาชาติธุรกิจ" นำเสนอข่าวสารเชิงให้ความรู้ไปก่อนหน้านี้ไม่นาน ลำพังสารเมทิลโบรไมด์ที่ใช้กัน

ในข้าวถุง เพื่อกำจัดมด มอด ถือเป็นเรื่องน้อยนิดไปทันทีเมื่อเทียบกับสารเคมีสารพัดชนิดที่เราใช้ในสินค้าเกษตร ซึ่งรายงานระบุว่า แต่ละปีประเทศไทยใช้สารเคมีทาง

การเกษตรไม่ต่ำกว่า 100,000 ตัน

ประมาณกันว่าสารเคมีเหล่านี้มากกว่า 90% ถูกใช้ในนาข้าว นับตั้งแต่ขั้นตอนการหว่านไถ ปักดำ กระทั่งข้าวออกรวง เก็บเกี่ยว กลายเป็นสารตกค้างอยู่ในพื้นดิน แหล่งน้ำ และพืชผลทางการเกษตร

ความจริงที่น่าเจ็บปวด สารเคมีทางการเกษตรบางประเภทที่แพร่หลายในประเทศไทย ถูกห้ามใช้ในสหภาพยุโรป-สหรัฐ แต่ปรากฏในบ้านเราภายใต้ชื่อการค้าอื่น ๆ

ขึ้นต้นด้วยขยะอิเล็กทรอกนิกส์ ลงท้ายด้วยสารพัด

สารเคมีในนาข้าว ซึ่งจะว่าไปแล้วก็ครือ ๆ กัน เพราะล้วนแต่ส่งผลกระทบต่อโลก ต่อชีวิตความเป็นอยู่ของเราทั้งสิ้น

ท่ามกลางความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจการค้า

บ้านเรายังมีเรื่องประหลาด ๆ ทำนองนี้อีกมาก ไม่เพียงเฉพาะขยะอิเล็กทรอนิกส์ หรือสารเคมีที่ใช้ในนาข้าว

หากภาครัฐยังรี ๆ รอ ๆ อยู่แบบนี้


ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
////////////////////////////////////////////////////////////////

ประชาชนไม่มีบทบาท ในกระบวนการงบประมาณ !!??

สภาผู้แทนราษฎรกำลังพิจารณาร่างงบประมาณราชการแผ่นดิน ปี 2557 ซึ่งในที่สุด ร่างงบประมาณฯ นี้ก็ต้องผ่านความเห็นชอบของรัฐสภา
   
การจัดสรรงบประมาณแผ่นดิน ปี 2557 ยังคงเป็นการเป็นไปตามระบบงบประมาณแบบเดิม ๆ ที่ทำกันมานานกึ่งศตวรรษ
   
กระบวนการพิจารณางบประมาณและการตรวจสอบ ก็ยังคงเป็นไปตามแนวที่ทำกันมากึ่งศตวรรษเช่นกัน
   
ปัญหาสำคัญที่สุดคือรัฐบาลจัดสรรงบประมาณตามข้อเสนอความต้องการของกระทรวง ทบวง กรม
   
มิได้จัดสรรตามความจำเป็น ความเร่งด่วน ของปัญหาประชาชนในพื้นที่
   
ปัญหารองลงมาคือ รัฐบาลมิได้จัดสรรงบประมาณเพื่อลดความเหลื่อมล้ำ กล่าวคือพื้นที่ซึ่งคุณภพชีวิตประชาชนต่ำ ก็จะได้งบประมาณน้อย  
   
คณะกรรมการปฏิรูป (คปร.) ได้สรุปและเสนอแนวทางปรับปรุงแก้ไขไว้แล้วใน "แนวทางการปฏิรูปประเทศไทย ข้อเสนอต่อพรรคการเมืองและผู้มีสิทธิเลือกตั้ง"
   
"ความเหลื่อมล้ำที่เกิดขึ้นในสังคมส่วนหนึ่งมาจากการจัดสรรงบประมาณของรัฐ ซึ่งมิได้จัดทำเพื่อลดความเหลื่อมล้ำระหว่างเมืองกับชนบท หากจัดทำตามคำขอของหน่วยราชการที่กำหนดขึ้นโดยภารกิจของรัฐ เป็นการจัดสรรงบประมาณที่ใช้กรมเป็นฐาน มิได้ใช้พื้นที่หรือจังหวัดเป็นฐาน กรมที่ได้รับงบประมาณไปก็คำนึงถึงภารกิจของตน มิได้คำนึงถึงความต้องการของประชาชน ซึ่งไม่มีส่วนร่วมในการพิจารณางบประมาณและมิได้มีส่วนร่วมในการตรวจสอบการใช้งบประมาณของหน่วยงานรัฐ
   
ข้อมูลจากการวิเคราะห์เปรียบเทียบระหว่างงบลงทุนรายจังหวัดต่อหัวและระดับความก้าวหน้าในการพัฒนามนุษย์ตามดัชนีความก้าวหน้าของคน (Human Achievment Index) ในแต่ละจังหวัด พบว่า จังหวัดที่มีดัชนีความก้าวหน้าของคนอยู่ในระดับต่ำหรือต่ำมาก  กลับได้รับการจัดสรรงบลงทุนต่อหัวในระดับที่น้อยกวาจังหวัดที่มีดัชนีความก้าวหน้าของคนในระดับสูง ทั้งในแง่ของงบลงทุนภาพรวม และงบลงทุนในรายสาขา  เช่น การศึกษา การขนส่งและการสื่อสาร หากการจัดสรรงบประมาณยังคงเป็นไปลักษณะดังกล่าว ก็เป็นการยากที่จะทำให้ช่องว่างของคุณภาพชีวิตของผู้คนในจังหวัดต่าง ๆแคบลง เพราะจังหัดที่ยากจนก็มิได้รับการจัดสรรงบประมาณเพื่อลดความยากจนและเพิ่มคุณภาพชีวิตด้านต่าง ๆ อย่างเพียงพอ
   
ดังนั้นการปรับงบประมาณลงไปสู่พื้นที่โดยตรงมากขึ้น จึงถือเป็นการเพิ่มอำนาจของประชาชนที่สำคัญประการหนึ่ง พร้อม ๆ กันกับการปรับกระบวนการจัดสรงบประมาณที่จะต้องแปรผกผันกับระดับการพัฒนา เพื่อทำให้ช่องว่างของระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่ต่าง ๆ ในประเทศแคบลง และจะต้องปรับกระบวนการงบประมาณให้เป็นกระบวนการที่ทุกฝ่ายเข้ามีส่วนร่วมอย่างแท้จริง ตั้งแต่เริ่มต้นกำหนดเป้าหมายการพัฒนาร่วมกัน ไปจนถึงการติดตามตรวจสอบการใช้งบประมาณ
   
ข้อเสนอการปรับระบบงบประมาณนี้จึงเป็นบันไดขั้นแรกในการสร้างความเป็นธรรมในระบบงบประมาณ โดยการเพิ่มอำนาจของประชาชนในกระบวนการงบประมาณแผ่นดิน อันจะเป็นรากฐานสำคัญสำหรับการลดความเหลื่อมล้ำในสังคม" (จาก "ข้อเสนอการสร้างความเป็นธรรมในระบบงบประมาณเพื่อลดความเหลื่อมล้ำในสังคม" คณะกรรมการปฏิรูป วันที่ 10 มกราคม 2554)

ที่มา.สยามรัฐ
///////////////////////////////////////////////////////

ดัชนีเชื่อมั่นอุตสาหกรรมต่ำสุด 7 เดือน พิษการเมือง กำลังซื้อหด !!??

ดัชนีเชื่อมั่นอุตฯ ก.ค.ต่ำสุด 7 เดือน แตะระดับ 91.9 เหตุกำลังซื้อในประเทศชะลอตัว ปัญหาการเมือง น้ำท่วมในหลายจังหวัด ส.อ.ท.แนะรัฐออกมาตรการกระตุ้น หุ้นปิดร่วง 7 จุด นักลงทุนสถาบันเทขาย "จรัมพร" ฟุ้ง 20 บจ.เข้าใหม่ มูลค่า 1.2 แสนล้านบาท
   
นายพยุงศักดิ์ ชาติสุทธิผล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า ผลการสำรวจความเชื่อมั่นของภาคอุตสาหกรรมไทยในเดือน ก.ค.2556 ค่าดัชนีความเชื่อมั่นอยู่ที่ระดับ 91.9 ลดลงจากเดือน มิ.ย.ที่อยู่ระดับ 93.1 โดยเป็นการปรับตัวลดลงต่ำสุดในรอบ 7 เดือน นับจากต้นปี 2556
   
สาเหตุสำคัญเกิดจากความกังวลต่อกำลังซื้อในประเทศที่ชะลอตัว ปัญหาการเมืองภายในประเทศ และภัยธรรมชาติที่เกิดจากภาวะน้ำท่วมในหลายพื้นที่ของประเทศ ขณะที่ความผันผวนของเศรษฐกิจโลกยังส่งผลกระทบต่อภาคการส่งออกของไทย
   
สำหรับดัชนีความเชื่อมั่นคาดการณ์ 3 เดือนข้างหน้า อยู่ที่ระดับ 97.2 ปรับลดลงจากระดับ 98.7 ในเดือน มิ.ย.2556 จากยอดคำสั่งซื้อโดยรวมลดลง ยอดขายโดยรวมลดลง ปริมาณการผลิตลดลง ขณะที่ต้นทุนประกอบการเพิ่มขึ้น จากความผันผวนเศรษฐกิจโลก เป็นต้น
   
อย่างไรก็ตาม ข้อเสนอแนะของผู้ประกอบการที่มีต่อภาครัฐในเดือน ก.ค.2556 นี้ คือ ขอให้ภาครัฐออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศ และเพิ่มกำลังซื้อให้กับประชาชน รวมถึงเร่งผลักดันโครงการลงทุนขนาดใหญ่ของภาครัฐ เพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ มีการสนับสนุนให้ใช้สกุลเงินบาทเพื่อการค้าชายแดนกับประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งยังเสนอให้ภาครัฐมีการปรับปรุงจุดผ่านแดน และอำนวยความสะดวกในการดำเนินพิธีการศุลกากร เพื่อเชื่อมโยงการค้าไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน  สร้างเสถียรภาพทางการเมืองและแก้ไขปัญหาคอรัปชั่น
   
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ดัชนีหุ้นไทยวันที่ 15 ส.ค.เคลื่อนไหวในแดนลบเกือบทั้งวัน โดยปิดครึ่งวันเช้า ดัชนีติดลบ 8.40 จุด  และช่วงบ่ายยังอยู่ในแดนลบ จนมาปิดที่ระดับ 1,453.07 จุด  ลดลง 7.56 จุด มูลค่าการซื้อขาย 43,730.53 ล้านบาท โดยนักลงทุนสถาบันขายสุทธิ 2,505.06 ล้านบาท บัญชีบริษัทหลักทรัพย์ซื้อสุทธิ 524.65 ล้านบาท ต่างประเทศซื้อสุทธิ 1,682.38 ล้านบาท และรายย่อยในประเทศซื้อสุทธิ 298.04 ล้านบาท
   
นายจรัมพร โชติกเสถียร กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวว่า สถานการณ์ตลาดหุ้นครึ่งปีหลังยังต้องติดตามปัจจัยเสี่ยงของเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะการแก้ปัญหาเศรษฐกิจของสหรัฐ ที่จะมีผลต่อการเคลื่อนไหวของดัชนี ดังนั้น นักลงทุนยังต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและปรับรูปแบบการลงทุนให้เหมาะสมกับสถานการณ์ สำหรับนักลงทุนต่างชาติยังเข้าออกตามปกติและเป็นไปตามทิศทางเดียวกับภูมิภาค
   
อย่างไรก็ตาม ตลท.ตั้งเป้าบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ในปีนี้ 30 บริษัท โดยปัจจุบันมีบริษัทเข้าจดทะเบียนแล้ว 20 บริษัท คิดเป็นมูลค่า 120,000 ล้านบาท นับว่าเป็นมูลค่าสูงที่สุดเป็นประวัติการณ์.

ที่มา.ไทยโพสต์
/////////////////////////////////////////////////////

วันพฤหัสบดีที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2556

เขตการค้าชายแดน จีน-ลาว-พม่า-ไทย !!??

สำนักงานส่งเสริมการค้าระหว่าง ประเทศ ณ นครคุนหมิง รายงานว่า เมื่อเร็วๆ นี้ ทางเขตปกครองตนเองสิบสองปันนาชนชาติไต ได้มีการแถลงข่าวเกี่ยวกับการเร่งผลักดัน "เขตการค้า ชายแดนจีน-ลาว-พม่า-ไทย" เพื่อรองรับ เขตการค้าเสรีอาเซียน-จีน และเพื่อให้มณฑลยูนนานเปิดกว้างสู่ภายนอก

เขตปกครองตนเองสิบสองปันนา ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของมณฑลยูนนาน มีดินแดนติดกับประเทศอาเซียน คือ ลาว พม่าและเวียดนาม ยังตั้งอยู่ใกล้กับไทยมากที่สุด มีความใกล้ชิดและติดต่อกับไทยมานานตั้งแต่มีความร่วมมือกันภายใต้กรอบความร่วมมือสี่เหลี่ยมเศรษฐกิจ แม้ว่าจะไม่มีพรมแดนติดต่อกันโดยตรง แต่สามารถใช้เส้นทางถนนเส้นทางรถยนต์ R3E โดยผ่านประเทศลาว (เชียงของ-บ่อหาน ระยะทาง 245 กิโลเมตร) (คุนหมิง- ลาว - กรุงเทพฯ ระยะทาง 1,800 กิโลเมตร) และสามารถใช้เส้นทางการขนส่งทางแม่น้ำโขงหรือชางเจียง (สิบสองปันนา- เชียงของ) รวมทั้งสะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่ 4 (เชียงของ-ห้วยทราย) จะแล้วเสร็จในปลายปี 2556 ทำให้จีน ไทย ลาวและพม่า สามารถติดต่อค้าขายกันโดย ตรงทางการค้าชายแดน

ภายใต้แผนความร่วมมือการค้าข้าม แดนบ่อหาน-บ่อเต็น (จีน-ลาว) ได้มีการผลักดันก่อตั้ง "เขตการค้าชายแดน" ครอบคลุมเขตบ่อหานในสิบสองปันนา หลวงน้ำทา-บ่อแก้วในลาว เชียงของ จังหวัดเชียงรายของไทย และเชียงตุงของ พม่า รวม 4 ประเทศ และยกระดับการเปิดกว้างการค้าของมณฑลยูนนาน เพื่อให้ เขตสิบสองปันนาเป็นเมืองหน้าด่านหรือประตูสู่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้

นายหลัว หง เจียง ผู้ว่าการเขตปกครองตนเองสิบสองปันนา เปิดเผยว่า ได้กำหนดให้เขตความร่วมมือการค้าข้ามแดนบ่อหาน-บ่อเต็น เป็นจุดเปิดสำหรับความร่วมมือและการค้ากับประเทศเพื่อนบ้าน และยังมีเส้นทางขนส่งทางถนนคุน มั่นกงลู่ ที่สร้างเสร็จแล้ว หรือทางรถไฟฟ่านย่าที่กำลังจะก่อสร้างซึ่งเป็นข้อได้เปรียบ สำหรับพื้นที่แห่งนี้ นอกจากนี้ จะเร่งพัฒนาอุตสาหกรรมยาแผนโบราณของชน ชาติไต ชาผูเอ่อร์ และอาหารชีวภาพที่ปลอดภัยต่างๆ ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนให้สิบสองปันนาเป็น "เขตการค้าชายแดน" อย่างสมบูรณ์แบบ

นอกจากนี้ ยังมีการก่อสร้างและยกระดับความสามารถของท่าเรือจิ่งหง และท่าเรือกวานเหล่ย รวมทั้งเร่งโครงการ "ผักสดแลกน้ำมัน" "ดอกไม้แลกผลไม้" ผลไม้เมืองหนาวแลกผลไม้เมืองร้อน ตลอดจนก่อสร้างตลาดแลกเปลี่ยนสินค้าในแนวชายแดน (จีน-ลาว-ไทย) และผลักดันเชียงตุงของพม่าเข้ามามีส่วนร่วม พร้อมเร่งแก้ปัญหา "ผ่านแต่ไม่คล่อง" ของการขนส่งสินค้าทางรถยนต์

นางชไมพร เจือเจริญ กงสุล (ฝ่ายการพาณิชย์) ณ นครคุนหมิง กล่าวว่า มูลค่าการค้าระหว่างประเทศของเขตปกครองตนเองสิบสองปันนาปี 2555 อยู่ที่ 1,360 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นจากเดิมร้อยละ 40.5 มีบริษัทลงทุนจากต่างประเทศ 57 บริษัท ซึ่งได้เข้ามาลงทุนแล้วกว่า 63,840,000 เหรียญสหรัฐ คาดว่าภายในสองปีข้างหน้ามูลค่าการค้าระหว่างกันจะมีมากกว่า 3,000 ล้านเหรียญสหรัฐ

"โอกาสการค้าในสิบสองปันนาและ มณฑลยูนนานมีมาก สำหรับผู้ประกอบการ ไทยที่สนใจจะนำสินค้าไทยไปขาย เนื่อง จากคนจีนมีกำลังซื้อและชอบสินค้าไทย แม้ว่าราคาจะสูงกว่าสินค้าจีน แต่เขาก็ชอบ ที่จะบริโภค เคยคุยกับผู้ประกอบการจีนที่ เอาสินค้าไทยไปขายอยู่แล้ว เขาบอกว่าอยากได้นมผงอัดเม็ดมาก ถ้าได้ราคาขาย ส่งเขาพร้อมซื้อทันที ในเมืองไทยขาย 10 บาท แต่ที่โน่นขาย 10 หยวน หยวนละ 5 บาท เท่ากับ 50 บาท ซึ่งสูงมากกว่า 5 เท่า เขาก็บอกให้ช่วยหาผู้ขายในเมืองไทยหน่อย เพราะเขาอยากได้จริงๆ สินค้าบริโภคอย่าง อื่น เช่น เครื่องแกงสำเร็จรูป น้ำพริก น้ำปลา ก็เป็นที่ต้องการของตลาด หรืออย่างน้ำผลไม้ แทนที่จะบริโภคของเขา ไม่เอาจะบริโภคน้ำผลไม้ไทย ซึ่งในเมืองไทยขายกล่องละ 55-60 บาท ที่นั่น 150-160 บาท"

ที่มา.สยามธุรกิจ
//////////////////////////////////////////////////////////////

โอกาสของไทยที่จะค้นพบแหล่ง Shale Gas ขนาดใหญ่มีมากแค่ไหน

ในบทความก่อนหน้านี้ ผมได้เขียนถึงประเทศสหรัฐ อเมริกาว่าต่อไปจะกลายเป็นมหาอำนาจทางด้านพลังงาน โดย จะเปลี่ยนจากประเทศผู้นำเข้าพลังงานรายใหญ่ของโลก มาเป็น ประเทศผู้ส่งออกพลังงานรายใหญ่แทน ทั้งนี้ด้วยเทคโนโลยีใหม่ในการขุดเจาะน้ำมันและก๊าซที่เรียกกันว่า Horizontal Drilling และ Hydraulic Fracturing หรือ "Fracking" ที่ทำให้สหรัฐฯสามารถผลิตน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติที่เรียกว่า Shale Oil และ Shale Gas ได้เพิ่มขึ้นอย่างมากมาย จนเพียงพอต่อการใช้ในประเทศ และเหลือใช้จนต้องส่งออกในอนาคต

มีผู้ถามผมว่าแล้วประเทศไทยล่ะ จะมีโอกาสพบแหล่ง พลังงานแบบ Shale Oil และ Shale Gas ในสหรัฐฯบ้างหรือไม่ ประกอบกับมีผู้ที่อ้างว่าเป็นผู้รอบรู้ด้านพลังงานบางคนออกมาให้ข้อมูลกับประชาชนผ่านสื่อ โดยอ้างอิงข้อมูลจากหน่วยงานสารสนเทศด้านพลังงานของกระทรวงพลังงานของสหรัฐฯ (EIA) ว่า ประเทศไทย โดยเฉพาะในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีแหล่งก๊าซธรรมชาติปริมาณมากสูงถึง 5-10 ล้านล้านลบ.ฟุต คิดเป็นหนึ่งในสามของปริมาณก๊าซในอ่าวไทย และมีโครงสร้างที่ใหญ่มาก คาดว่าใหญ่กว่าซาอุดีอาระเบีย เสียอีก ผมจึงอยากนำเรื่องนี้มาเล่าสู่กันฟังครับ

ที่มาของเรื่องนี้มีอยู่ว่า เมื่อวันที่ 10 มิ.ย. ที่ผ่านมา EIA ได้ออกรายงานเกี่ยวกับการประเมินถึงแหล่งทรัพยากรทางน้ำมันและก๊าซธรรมชาติในชั้นหินดินดานที่อาจจะค้นพบได้ทางเทคนิค (Technically Recoverable Shale Oil and Shale Gas Resources) ในประเทศต่างๆ 41 ประเทศนอกจากสหรัฐอเมริกา

โดยในส่วนของ Shale Oil นั้น 10 ประเทศที่มีศักยภาพสูงสุดคือ

ดูตารางที่ 1 ประกอบ
 

ในขณะที่ประเทศที่มีศักยภาพด้าน Shale Gas สูงสุด 10 อันดับคือ

ดูตารางที่ 2 ประกอบ


ในส่วนของประเทศไทยนั้น EIA ได้รายงานเอาไว้ว่า เนื่องจากยังไม่เคยมีรายงานการสำรวจเกี่ยวกับ Shale Oil/Shale Gas มาก่อนเลยในประเทศไทย แต่ดูจากรายงานการศึกษาทางธรณีวิทยาและชั้นหิน และนำไปศึกษาเปรียบเทียบกับแหล่งที่มีลักษณะแบบเดียวกันในสหรัฐฯแล้ว คาดว่าประเทศไทยมีโอกาสมาก (significant prospective) ที่จะมีแหล่ง Shale Gas และมีศักยภาพ (Potential) ที่จะพบ Shale Oil โดยโอกาสที่จะพบ Shale Gas จะมีมากกว่า Shale Oil

โดย Shale Gas นั้นมีโอกาสที่จะพบในแหล่งที่เรียกว่า Khorat Basin ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่ง EIA ประเมินว่าจะมีปริมาณก๊าซตั้งต้น หรือที่เรียกกันในศัพท์ ทางวิชาการสำรวจและขุดเจาะปิโตรเลียมว่า "Risked Shale Gas In-Place" ประมาณ 22 ลล.ลบ.ฟุต แต่คาดว่าจะมีปริมาณก๊าซที่ค้นพบได้ทางเทคนิค (Risked Technically Recoverable Shale Gas Resources) เพียง 5 ลล.ลบ.ฟุต เท่านั้น

ถึงตรงนี้ต้องบอกว่าปริมาณ Shale Oil/Shale Gas ที่พูดๆ กันในรายงานของ EIAฉบับนี้นั้น ไม่ใช่ปริมาณสำรองที่พิสูจน์แล้ว (Proved Reserve) นะครับ เพราะยังไม่มีการขุดเจาะและสำรวจกันแต่อย่างใด จึงป็นแค่การคาดการณ์ว่าน่าจะมี ซึ่งต้องทำการสำรวจยืนยันกันอีกครั้ง ว่ามีจริงหรือไม่ และถ้ามีจริง จะมีมากอย่างที่คาดการณ์กันหรือเปล่า

เรื่องปริมาณสำรองปิโตรเลียมที่พูดกันอยู่ในบ้านเรานี่ทำเอาคนไทยสับสนกันมากนะครับ เพราะเอาคำว่า Recoverable Resources ซึ่งหมายความถึงทรัพยากรที่คาดว่าจะค้นพบได้ มาปนกับคำว่า Petroleum Reserve ซึ่งหมายถีงปริมาณ สำรองปิโตรเลียมที่มีการสำรวจและค้นพบแล้ว แล้วเอาไปพูดทำให้คนเข้าใจผิดไข้วเขวกันไปหมด

ในทางวิชาการปริมาณสำรองปิโตรเลียมที่มีการสำรวจและค้นพบแล้วยังแบ่งออกได้เป็นสามประเภท คือ

1.Proved Reserve (P1) คือ ปริมาณสำรองที่สำรวจแล้วมีความมั่นใจ 90% ว่ามีแน่นอนตามที่ได้ประเมินเอาไว้ ซึ่งตัวเลขนี้เมื่อประกาศออกมาอย่างเป็นทางการ จะได้รับการยอมรับจากทุกฝ่าย รวมทั้งสำนักงานการบัญชี ผู้ตรวจสอบ และสถาบันทางการเงิน ยอมให้ประเมินเป็นส่วนหนึ่งของทรัพย์สิน (Asset) ของบริษัท

2.Probable Reserve (P2) คือ ปริมาณสำรองที่ผู้สำรวจมีความมั่นใจ 50% ว่ามีแน่ตามที่ประเมินเอาไว้ ซึ่งเอาไปใช้ประเมินเป็นทรัพย์สินไม่ได้ แต่ยังสามารถเอาไปใช้เป็นหลักทรัพย์ในการค้ำประกันเงินกู้ได้

3.Possible Reserve (P3) คือ ปริมาณสำรองที่ผู้สำรวจมีความมั่นใจเพียง 10% ว่ามีแน่ และไม่สามารถนำไปใช้เป็นหลักประกันใดๆ ทางการเงินได้ แต่ก็ถือว่ามีการสำรวจ แล้ว มีความมั่นใจในระดับหนึ่งว่าได้ค้นพบแหล่งปิโตรเลียมแล้ว

จะเห็นได้ว่าแม้แต่ปริมาณสำรองปิโตรเลียมที่สำรวจและค้นพบแล้ว ยังมีการแบ่งแยกออกเป็นประเภทต่างๆ ตามความไม่แน่นอนในผลของการสำรวจ ซึ่งนี่ก็คือความเสี่ยง ในการทำธุรกิจสำรวจและขุดเจาะปิโตรเลียม ซึ่งเป็นธุรกิจที่มีความเสี่ยงสูงนั่นเอง

ดังนั้น จึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ถ้าในชั้นของการสำรวจทางธรณีวิทยาและสภาพทางกายภาพของชั้นหินจะบ่งบอกว่าที่ใดมีความเป็นไปได้หรือมีศักยภาพที่จะเป็นแหล่งกักเก็บปิโตรเลียมจำนวนมาก แต่พอไปทำการสำรวจจริงๆ กลับไม่พบหรือพบในจำนวนไม่มากอย่างที่คาด ดังนั้นในกรณีรายงานของ EIA ที่ว่านี้ เราจึงยังไม่ควรตื่นเต้นกันมากจนเกินไปนัก จนกว่าจะมีการเปิดให้สัมปทานสำรวจและขุดเจาะกันอย่างจริงจัง

ข้อสำคัญผมไม่อยากให้มีการใช้ประโยชน์ จากการให้ข่าวที่ทำให้ประชาชนเข้าใจผิดว่า เราเป็นประเทศที่ร่ำรวยพลังงาน มีแหล่งก๊าซธรรมชาติขนาดใหญ่มาก สำรองเยอะ ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้ลงมือสำรวจด้วยซ้ำไป จึงอยากให้รับฟังข้อมูลอย่างระมัดระวังและรู้จริงครับ

สำหรับผู้ที่รับข้อมูลมา ถ้ามีโอกาส คงต้องฝากให้ช่วยถามแทนด้วยว่า ที่บอกว่ามีปริมาณสำรองเยอะ มากกว่าซาอุดีอาระเบียนั้นน่ะ ท่านหมายถึง P1 P2 P3 หรือหมายถึงอะไร !!!

ที่มา.สยามธุรกิจ
////////////////////////////////////////////////////////////

ปชป.ตกต่ำ ล้มเหลว หลักการผุกร่อน !!??

โดย.นพคุณ ศิลาเณร

ร่างกฎหมายนิรโทษกรรมของนายวรชัย เหมะ ส.ส.สมุทรปราการ พรรคเพื่อไทย ผ่านการพิจารณาวาระแรกของสภา เมื่อ 8 สิงหาคม ที่ผ่านมา ด้วยคะแนนเสียงท่วมท้น 300 ต่อ 124 เสียง

ตามกติกาการออกกฎหมายแล้ว เส้นทางเดินร่างกฎหมายฉบับนี้ ยังฟันฝ่าด่านอุปสรรคอีกยาวไกล

จากนี้ไปต้องเข้าสู่ขั้นแปรญัตติของคณะกรรมาธิการ แล้วกลับมาสภาลงมติวาระสองและวาระสาม เมื่อผ่านจึงเป็นหน้าที่ของวุฒิสภาพิจารณาอีก 3 วาระ

ทุกด่านฝ่าฟัน ย่อมเจอมรสุมปาก จากพรรคประชาธิปัตย์คอยป่วนทั้งสิ้น ซ้ำร้ายอาจเจอม็อบนอกสภากดดันเข้าอีก พิจารณาอารมณ์เดือดทางการเมืองแล้ว จึงไม่ใช่เรื่องง่ายที่ร่างกฎหมายฉบับนี้จะเดิน ด้วยความราบเรียบ

ดังนั้น การต่อสู้ของพรรคประชาธิปัตย์ยังอีกหลายยก และทุกยก ทุกมาตรการต่อต้านนับจากนี้ไปมีแนวโน้มเพิ่มความ รุนแรงหนักมือขึ้นทุกขณะ

แม้ในยกแรก พรรคประชาธิปัตย์ "แพ้" หมดรูปมวยพรรคการเมืองเก่าแก่กว่า 60 ปี แต่ในยกต่อๆ ไปยากที่จะประเมิน "ทีเด็ด" ได้

หากถอดรหัสการต่อต้านในยกแรกแล้ว คงพอเห็นความ "น่ากลัว" ในอนาคตได้ค่อนข้างเป็นภาพความรุนแรงใกล้ก่อตัวขึ้นอย่างน่าสะพรึง และฉุดลากให้เศรษฐกิจ เอกชนเกิดการชะงักอยู่มิใช่น้อย

ภาพการทุ่มสุดตัวของพรรคประชาธิปัตย์สะท้อนอารมณ์การเมืองผ่านมุมมองและการเคลื่อนไหวของแกนนำที่น่าสนใจอย่างน้อย 3 คน คือ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี นายชวน หลีกภัย อดีตนายกรัฐมนตรี และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ หัวหมู่ทะลวงที่มากด้วยอารมณ์เถื่อนดิบในการต่อสู้

สิ่งไม่ธรรมดาและควรใส่ใจอย่างยิ่งอยู่ที่พรรคประชาธิปัตย์ใช้ "อดีตนายกรัฐมนตรี" ถึง 2 คน คือ "ชวน-อภิสิทธิ์" ออกมาก่อม็อบเคลื่อนไหวนอกสภาอย่างเอาการเอางาน

อดีตนายกรัฐมนตรีมาเล่นการเมืองข้างถนน ไม่เคยปรากฏในการเมืองไทย แต่พรรคประชาธิปัตย์จัดสร้างให้กลายเป็น บันทึกไปแล้ว... ตรงนี้มีมิติความสำคัญอยู่ลึกๆ

โดยเฉพาะ "นายชวน" ผู้เป็นนักการเมืองที่ได้ชื่อว่า เป็น "น้ำดี" ของพรรคที่เต็มไปด้วยจุดยืน "มนุษย์หลักการ" ในการต่อสู้ทางการเมืองด้วยวาทะลือลั่นว่า "ผมเชื่อมั่นในระบบรัฐสภา"

แปลความง่ายๆ คือ ใช้เวทีรัฐสภาต่อสู้ ทางการเมือง ไม่นิยมเล่นบทบาท "ผู้นำม็อบ" พาประชาชนออกมาเคลื่อนไหวนอกสภา แต่พรรคประชาธิปัตย์ยุคนี้เปลี่ยนไปแล้ว การเมืองนอกสภาเคลื่อนมวลชน ข้างถนนจึงเป็นเกมส่วนหนึ่งในการเอาชนะ

การต่อสู้ครั้งนี้ "นายชวน" สลัดภาพ "เจ้าแห่งหลักการระบบรัฐสภา" ทิ้ง แล้วปลุกระดมมวลชน นำการเคลื่อนไหวม็อบเดินขบวนไปสู่สภาเมื่อวันที่ 7 สิงหาคม ที่ผ่านมา

นายชวนให้เหตุผลอธิบายการต่อสู้ในระบบรัฐสภาว่า ระบบรัฐสภามี 2 แบบคือ แบบนายกรัฐมนตรีและประธานาธิบดี แต่การต่อสู้ครั้งนี้เป็นการต่อต้านระบบประธานาธิบดี

บทบาทของนายชวนจึงน่าสนใจและประเมินอารมณ์ต่อต้านร่างกฎหมายนิรโทษกรรมว่า พรรคประชาธิปัตย์ต้องเล่น แรง จัดหนัก เอาพรรคทั้งพรรคมาเดิมพัน หากแพ้นั่นย่อมหมายความว่า ตาย (ทาง การเมือง) กันยกพรรค

ยกแรก พรรคประชาธิปัตย์แพ้ ทั้งการนำม็อบข้างถนนนอกสภาและตีรวน ปั่นป่วนในสภา

ยกแรกประชาธิปัตย์เล่นแรง เร่งโหม โฆษณา "สิงหาเดือด" ม็อบชนม็อบ นายสุเทพเป่านกหวีดคนมาเป็นล้าน รัฐบาลล้มแน่ สื่อมวลชนเลือกข้างช่วยปลุก แต่งานออกมากร่อย และสุเทพอาจต้องอยู่ในรู หากจริงจังกับคำพูดบนเวทีผ่าความจริง

บทบาทม็อบข้างถนนของพรรคประชาธิปัตย์ สมควรบันทึกไว้อย่างยิ่ง เพราะเป็นครั้งแรกที่พรรคนี้เข้ามาจัดสร้าง และนำม็อบบุกสภา...

ก่อนเดือนสิงหาคม ประชาชนหวั่นใจ ระทึก เศรษฐกิจชะงัก ล้วนตระหนักว่า การเมืองร้อนแน่นอน ม็อบเตรียมการกันมา อย่างดี ทั้งม็อบหน้ากากขาว ม็อบสนามหลวงของไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ ม็อบกองทัพปลดแอกแห่งประเทศไทย พร้อมๆ กับการโฆษณาราวกับกรุงเทพฯ จะราบเป็นหน้ากลองด้วยม็อบข้างถนนที่จะระดมกันมาเป็นเรือนล้าน

แต่ของจริงกลับจบเอาดื้อๆ จบแบบหักมุม โดย "อภิสิทธิ์" บอกให้มวลชนกลับบ้าน ไม่ต้องไปส่งเข้าประชุมสภาแล้ว เสียราคาคุย โอ้อวดจนซ้ำรอยการถูกกล่าวหาว่า "ดีแต่พูด"

หากไล่เรียงการโฆษณาทางการเมือง ด้วยรหัสข่มขวัญว่า "สิงหาเดือด" แล้ว ย่อมเห็นพัฒนาการการนำม็อบและการปลุก มวลชนของ "ชวน" เพื่อประเมินการต่อสู้ในยกต่อๆ ไป

วันที่ 4 สิงหาคม ม็อบคณะเสนาธิการร่วมกองทัพประชาชนโค่นระบอบทักษิณภายใต้การสนับสนุนของพรรคประชาธิปัตย์ เริ่มปักหลักที่สวนลุมพินี ม็อบ โฆษณาใหญ่มีคนมาเป็นหมื่นเป็นแสน เอาเข้าจริงมาเพียงหลักพันไม่เกิน 3,000 คน

เย็นวันที่ 6 ที่ใต้ทางด่วนแยกอุรุพงษ์ พรรคประชาธิปัตย์ชุมนุมในรหัส "เวทีผ่าความจริง" ปลุกระดมประชาชนครั้งสุดท้ายก่อนยกขบวนผ่าด่านสกัดของตำรวจเข้าประชุมสภาในวันที่ 7 สิงหาคม แต่คนมาน้อยราว 2,000 คน ล้มเหลวไม่เป็นท่า งาน นี้ต้องสละมวลชนที่เดินตามเป็นขบวน โดย เรียกร้องปล่อยให้กลับ

สรุป คือ ม็อบพรรคประชาธิปัตย์ที่เล่นเกมการเมืองนอกสภา "ถือว่าจบไปแล้วในทางยุทธศาสตร์" นั่นเป็นภาพรวมของม็อบข้างถนนภายใต้การจัดสร้างของพรรค ประชาธิปัตย์

แต่อย่าประเมินพรรคประชาธิปัตย์ต่ำ แม้แพ้ในยกแรก แต่ยังไม่ได้แพ้ราบคาบ การต่อต้านกฎหมายนิรโทษกรรมยังมีการต่อสู้อีกหลายยก

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าประเมินม็อบของพรรคประชาธิปัตย์ผ่านบทบาทการลงมาเล่นเกมข้างถนนของนายชวนแล้ว สะท้อนได้ว่า งานนี้มีเกมยาวแน่นอน

เกมยาวที่ต้องลากเชื่อมไปสู่ยุทธศาสตร์ที่ "อภิสิทธิ์" เคยวิเคราะห์การเมืองว่า จะเกิดการยุบสภาปลายปี 2556 ดังนั้น เป้าหมายทางการเมืองของพรรคประชาธิปัตย์จึงอยู่บนเส้นทาง "ยุบสภา" โดยใช้เงื่อนไข "ป่วนกฎหมายนิรโทษกรรม" มาก่อหวอด

นี่คือ สงครามของพรรคประชาธิปัตย์ และเป็นสงครามที่นายชวนลงมาเคลื่อนไหว ด้วยตัวเอง แน่นอนงานนี้ต้องไม่ธรรมดา และไม่จบกันง่ายๆ แค่การแพ้ในยกแรกเท่านั้น โปรดรอความระทึกในภาคแก้มือของ พรรคประชาธิปัตย์ในอนาคตอันใกล้

รับรองสะใจ กรุงเทพฯ คงราบเป็น หน้ากลองด้วยพลังมวลชนเป็นแสน ก่อพลังล้มรัฐบาลก็คราวนี้ โปรดรอและอย่าประมาทนายหัวชวนเด็ดขาด

ที่มา.สยามธุรกิจ
/////////////////////////////////////////////////////////////////////

สินเชื่อธุรกิจ ขอได้ไม่ยาก !!??

โดย วีระศักดิ์ สุตัณฑวิบูลย์

จากการสำรวจของสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) กับกลุ่มตัวอย่างซึ่งเป็นผู้ประกอบการเอสเอ็มอีจำนวน 805 กิจการ พบว่าแหล่งเงินทุนหลักของเอสเอ็มอีขนาดกลางร้อยละ 72.0 และขนาดใหญ่ร้อยละ 53.3 คือสถาบันการเงิน ในขณะที่เงินทุนหลักของกิจการขนาดย่อมมาจากสถาบันการเงินเพียงร้อยละ 35.7 เท่านั้น ที่เหลือเป็นเงินทุนส่วนตัว หรือการหยิบยืมจากญาติและเพื่อน มีผู้ประกอบการบางรายที่ยังพึ่งพาแหล่งเงินกู้นอกระบบเป็นหลัก ทั้ง ๆ ที่จากการสำรวจเดียวกันนี้พบว่าเอสเอ็มอีขนาดย่อมกว่าร้อยละ 62.58 เคยได้รับการอนุมัติสินเชื่อจากสถาบันการเงินมาแล้ว

ผลการสำรวจนี้สะท้อนให้เห็นว่าผู้ประกอบการขนาดย่อม ซึ่งเป็นเอสเอ็มอีส่วนใหญ่ของประเทศ มีศักยภาพที่จะได้รับการอนุมัติสินเชื่อจากสถาบันการเงิน แต่อุปสรรคที่ผู้ประกอบการต้องเผชิญคือการขาดหลักทรัพย์ค้ำประกัน ขาดแผนธุรกิจที่ดี และขาดประวัติการชำระเงินหรือเป็นกิจการใหม่นั่นเอง ดังนั้นผมจึงขอใช้โอกาสนี้แนะนำแนวทางในการแก้ไขอุปสรรคต่าง ๆ เหล่านี้

กิจการขนาดย่อม (มีสินทรัพย์ถาวรไม่รวมที่ดินไม่เกิน 200 ล้านบาท) ที่มีหลักทรัพย์ในการค้ำประกันไม่เพียงพอสำหรับวงเงินที่ต้องการ สามารถขอรับการสนับสนุนจากบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ได้ โดย บสย.มีหลายโครงการที่ให้ความช่วยเหลือด้านการค้ำประกันเงินกู้แก่ผู้ประกอบการขนาดย่อม แต่กิจการต้องสามารถทำให้ บสย.และสถาบันการเงินเชื่อมั่นได้ว่าธุรกิจของท่านมีศักยภาพที่จะเติบโตในอนาคต และสามารถชำระคืนสินเชื่อได้ตามกำหนด ตลอดจนไม่มีประวัติผิดนัดชำระมาก่อน

แผนธุรกิจเป็นอีกหนึ่งหัวใจสำคัญในการพิจารณาอนุมัติสินเชื่อของทุกสถาบันการเงิน เนื่องจากแผนธุรกิจจะช่วยให้ผู้พิจารณาสินเชื่อมองเห็นแนวทางในการดำเนินธุรกิจ การวางแผน และกลยุทธ์ต่าง ๆ ที่กิจการเตรียมไว้สำหรับการดำเนินธุรกิจในระยะยาวว่ามีความเป็นไปได้และรัดกุมเพียงใด

สำหรับผู้ประกอบการหรือทายาทที่ยังไม่เคยเขียนแผนธุรกิจมาก่อน หรือไม่มั่นใจว่าแผนธุรกิจของท่านนั้นมีเนื้อหาครบถ้วนแล้วหรือยัง สามารถสมัครเข้าร่วมอบรมการเขียนแผนธุรกิจซึ่งมีหลายธนาคารเปิดให้บริการคำแนะนำนี้อยู่

สำหรับผู้ประกอบการรายใหม่ที่ประกอบกิจการมาแล้วไม่เกิน 3 ปี ก็สามารถขอรับการสนับสนุนด้านการค้ำประกันสินเชื่อจาก บสย.ได้เช่นกัน แต่ต้องผ่านการอบรมหรืออยู่ระหว่างการดำเนินการเพื่อเข้าร่วมการฝึกอบรมหลักสูตรการบริหารจัดการธุรกิจ อาทิ การจัดการ การตลาด การบัญชี และการผลิต จากกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือหน่วยงานอื่นที่ บสย.เห็นชอบเสียก่อน

นอกจากการขจัดอุปสรรคดังที่กล่าวมาทั้ง 3 ด้านแล้ว ท่านผู้ประกอบการยังสามารถสร้างความน่าเชื่อถือทางการเงินให้แก่กิจการของท่านได้ง่าย ๆ ด้วยการเดินบัญชีกับธนาคารอย่างสม่ำเสมอ การรักษาประวัติทางการเงินให้ไม่มีการผิดนัดชำระและไม่เคยมีกรณีเช็คคืน และการทำบัญชีอย่างถูกต้องครบถ้วน ตลอดจนการเก็บรักษาเอกสารทางการค้าไว้ให้สถาบันการเงินนำไปพิจารณาประกอบการอนุมัติสินเชื่อ

ในความเป็นจริง การขอสินเชื่อกับสถาบันการเงินไม่ใช่เรื่องยาก หากกิจการของท่านมีศักยภาพทางธุรกิจและมีความพร้อมด้านเอกสาร ขณะที่สถาบันการเงินเองก็มีสินเชื่อหลากหลายรูปแบบให้เลือกตามความต้องการทางธุรกิจที่แตกต่างกันไว้บริการผู้ประกอบการอยู่แล้ว ฉะนั้น หาข้อมูลและเตรียมตัวให้พร้อมก่อนขอสินเชื่อก็ไม่ยากครับ

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
/////////////////////////////////////////////////////////////////

รากแตก !!??

โดย.พญาไม้

ความยิ่งใหญ่ของระบอบประชาธิปไตยของประเทศไทยในวันนี้ก็คือ..ความเป็นประชาธิปไตยของประชาชน

มองกลับเข้าไปในสภาเลือกตั้ง..ผู้ที่ประชาชนคลางแคลงใจมีจำนวนลดน้อยถอยลง..ในขณะที่ผู้ที่ไม่ได้รับความชื่นชมลดน้อยถดถอย

ปรากฏการณ์เช่นว่า..สอดคล้องกับการที่ประชาชนให้ความสำคัญกับพรรคการเมืองเพิ่มขึ้นและสููงกว่า..ความนิยมในตัวตน..

นโยบายของพรรคไม่ใช่เรื่องที่จะเอามากล่าวกันตอนหาเสียงอีกต่อไป...ศัพย์การเมืองใหม่ๆ ปรากฏขึ้นมาเช่นคำว่า...ดีแต่พูด

ประชาชนเรือนหมื่นเรือนแสนออกมาสู้กับกองทัพบาดเจ็บล้มตายเพียงขอให้มีการเลือกตั้ง..และปฏิเสธการเดินตามให้กับการนำของพรรคและผู้ที่ปราบปรามเข่นฆ่าประชาชน..แม้ว่าจะสนับสนุนพวกเขาเหล่านั้น..ในคะแนนเลือกตั้ง

การปรุงแต่งต่างๆ ไม่สามารถปิดบังได้อีกต่อไป..ผู้คนจำนวนที่มากกว่า..ใข้คำว่า "ตาสว่าง" และมองเห็นการเมืองเช่นที่มันเป็น..และไม่นิ่งดูดาย..

ประชาชนนิยมพรรคหนึ่งให้มาเป็นรัฐบาล..และเกือบจะเท่าๆ กัน..เลือกพรรคหนึ่งให้มาเป็นฝ่ายค้าน..
ให้พรรคทำงานเป็นเข้ามาเป็นผู้จับจ่ายและให้พรรคพูดเก่งเข้ามาเป็นผู้ควบคุม..ให้ประเทศทั้งประเทศกับพรรคทำงานเก่งและให้กรุงเทพกับพรรคค้านเก่ง..

ว่ากันไปแล้ว..ประชาชนให้โอกาศกับทั้งสองพรรค..ในการบริหารราชการแผ่นดิน..และการตรวจสอบ
ประชาธิปไตยนั้นไร้ปัญหา..นักการเมืองต่างหากที่เป็นปัญหา..

สถุลที่มากปัญหาถูกขจัดออกไปจากรัฐบาลและรัฐสภา..ผู้เพรียบพร้อมกว่าเข้ามาแทนที่..คนปลอมคนจำลองและปีศาจที่แอบอ้างอยู่ในร่างเทพ..ไม่ได้รับความเคารพเชื่อถือ..ผู้ใหญ่ที่ไม่เป็นผู้ใหญ่ถูกไล่ถอนหงอกอยู่ทุกวี่วัน

ประชาชนและประชาธิปไตยไทยนั้นไปได้...นักการเมืองต่างหากที่..รากแตก..

ที่มา.บางกอกทูเดย์
/////////////////////////////////////////////////

วันพุธที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2556

ม.เที่ยงคืน แถลงเดินหน้านิรโทษกรรมต้องเพื่อมวลชน โปร่งใส ไร้ประโยชน์ทับซ้อน !!??

ขอเรียกร้องให้ทุกฝ่ายที่ต้องการให้กฎหมายนิรโทษกรรมสามารถเดินหน้าต่อไปได้ เข้ามาร่วมมือกันในการกดดันให้แต่ละฝ่ายยอมรับในหลักการสำคัญที่ว่าการนิรโทษกรรมครั้งนี้มุ่งออกกฎหมายเพื่อมวลชน โปร่งใส และ ไร้ผลประโยชน์ทับซ้อน” มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนแถลง

14 ส.ค.56 มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน ออกแถลงการณ์นิรโทษกรรมต้องเพื่อมวลชน ไร้ผลประโยชน์ทับซ้อนและโปร่งใส โดยเรียกร้องว่าเป้าหมายของการนิรโทษกรรมต้องอยู่ที่ประชาชนซึ่งเป็นผู้เข้าร่วมการชุมนุมเป็นหลัก ส่วนผู้มีบทบาทโดยตรงในการสร้างความรุนแรงในรูปแบบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ แกนนำของทุกสี ชายชุดดำ นักการเมืองที่ดำรงตำแหน่งทางการเมืองซึ่งมีหน้าที่รับผิดชอบในการรักษาความสงบ ไม่สมควรได้รับประโยชน์จากการนิรโทษกรรมครั้งนี้ ส่วนคณะกรรมาธิการพิจารณาร่างกฎหมายนิรโทษกรรมต้องไม่มีบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการสร้างความรุนแรงโดยตรง โดยเฉพาะนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ในฐานะนายกรัฐมนตรีในขณะเกิดเหตุ พร้อมทั้งเรียกร้องให้มีการเปิดโอกาสให้สื่อมวลชนสามารถรายงานข้อถกเถียงและการปฏิบัติหน้าที่ของกรรมาธิการฯ ได้อย่างเสรี เพื่อให้สาธารณชนสามารถมองเห็นจุดยืน บทบาท และการปฏิบัติหน้าที่ของบุคคลที่เข้ามาทำหน้าที่คณะกรรมาธิการฯ

0000

แถลงการณ์มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
เรื่อง นิรโทษกรรมต้องเพื่อมวลชน ไร้ผลประโยชน์ทับซ้อนและโปร่งใส

กฎหมายนิรโทษกรรมซึ่งขณะนี้อยู่ในการพิจารณาของรัฐสภาเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการเยียวยาความเสียหายและการสร้างความเป็นธรรมให้คนกลุ่มต่างๆ ในสังคมการเมืองไทย อย่างไรก็ตาม กระบวนการดังกล่าวนี้ยังเผชิญกับอุปสรรคสำคัญหลายประการที่มีผลให้การพิจารณาร่างกฎหมายดังกล่าวอาจไม่สามารถคืบหน้าต่อไปได้

มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนมีข้อเสนอต่อการพิจารณากฎหมายนิรโทษกรรมให้ห้วงเวลานี้ดังต่อไปนี้

ประการแรก เป้าหมายของการนิรโทษกรรมต้องอยู่ที่ประชาชนซึ่งเป็นผู้เข้าร่วมการชุมนุมเป็นหลัก

เนื่องจากในความขัดแย้งทางการเมืองที่ผ่านมามีประชาชนที่มีทัศนะทางการเมืองแตกต่างกันเข้าร่วมเคลื่อนไหวกับฝ่ายต่างๆ อย่างกว้างขวาง ซึ่งในการเคลื่อนไหวก็ได้มีผู้คนจำนวนไม่น้อยกระทำการที่เป็นการละเมิดกฎหมาย หากมีการดำเนินคดีกับบุคคลเหล่านี้ก็อาจทำให้ความขัดแย้งทางการเมืองไม่อาจบรรเทาลงได้ ดังนั้น ประชาชนหรือมวลชนที่เข้าร่วมในการชุมนุมจึงต้องเป็นเป้าหมายหลักของการนิรโทษกรรมในครั้งนี้

ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องอื่นๆ ในความขัดแย้งทางการเมืองโดยเฉพาะอย่างยิ่งฝ่ายที่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องและมีบทบาทโดยตรงกับการสร้างความรุนแรงในรูปแบบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ แกนนำของทุกสี ชายชุดดำ นักการเมืองที่ดำรงตำแหน่งทางการเมืองซึ่งมีหน้าที่รับผิดชอบในการรักษาความสงบ จึงต้องไม่ใช่ผู้ที่สมควรได้รับประโยชน์จากการนิรโทษกรรมครั้งนี้

ประการที่สอง ในส่วนของคณะกรรมาธิการพิจารณาร่างกฎหมายนิรโทษกรรมต้องไม่มีบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการสร้างความรุนแรงโดยตรง

กฎหมายนิรโทษกรรมจะมีผลเกี่ยวเนื่องไปถึงบุคคลหลายฝ่ายที่มีบทบาทเกี่ยวข้องกับความรุนแรงที่เกิดขึ้นในสังคมไทยในห้วงระยะเวลาที่ผ่านมา ฉะนั้น บุคคลต่างๆ ที่เกี่ยวข้องโดยตรงเหล่านี้จึงต้องไม่เข้ามามีส่วนร่วมในกระบวนการนี้ เพราะจะเป็นการบัญญัติกฎหมายโดยที่ตนเองมีผลประโยชน์ได้เสียเกี่ยวข้องอยู่ การปฏิบัติหน้าที่ใดๆ ในกระบวนการนี้อาจนำไปสู่ข้อโต้แย้งในเรื่องความชอบธรรมและความเป็นกลางของการปฏิบัติหน้าที่ได้ รวมทั้งมีผลในทางสร้างความไม่ไว้วางใจกับฝ่ายที่อยู่ตรงกันข้ามว่าจะสามารถปฏิบัติหน้าที่โดยยึดมั่นในหลักการและผลประโยชน์ของส่วนรวม ไม่มีผลประโยชน์ส่วนตนเข้าไปเกี่ยวข้อง

โดยเฉพาะอย่างยิ่งภายหลังจากที่ศาลได้มีคำวินิจฉัยชี้เหตุการณ์การเสียชีวิตของประชาชนจำนวน 6 รายในวัดปทุมวนารามว่าเป็นผลมาจากการใช้อาวุธของเจ้าหน้าที่รัฐ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ซึ่งในห้วงเวลาดังกล่าวเป็นผู้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีและเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดในการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่รัฐในขณะนั้นจึงเป็นผู้มีบทบาทเกี่ยวข้องโดยตรง แม้ว่าในขณะนี้จะยังไม่ได้มีการดำเนินคดีเพื่อเรียกร้องความรับผิดหรือความเสียหายแก่บุคคลผู้เสียชีวิตไปก็ตาม แต่ในฐานะของนายกรัฐมนตรีในขณะนั้นย่อมไม่อาจปฏิเสธความรับผิดของตนเองได้ว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการเสียชีวิตที่เกิดขึ้น นายอภิสิทธิ์ จึงไม่อยู่ในสถานะที่มีความชอบธรรมต่อการดำรงตำแหน่งในกรรมาธิการฯ ชุดดังกล่าวนี้

ประการที่สาม ต้องเปิดโอกาสให้สื่อมวลชนสามารถรายงานข้อถกเถียงและการปฏิบัติหน้าที่ของกรรมาธิการฯ ได้อย่างเสรี เพื่อให้สาธารณชนสามารถมองเห็นจุดยืน บทบาท และการปฏิบัติหน้าที่ของบุคคลที่เข้ามาทำหน้าที่คณะกรรมาธิการฯ ได้ว่ากำลังปฏิบัติหน้าที่โดยมีเป้าหมายหรือผลประโยชน์อื่นใดแอบแฝงหรือซ่อนเร้นอยู่เบื้องหลังหรือไม่

การผลักดันกฎหมายนิรโทษกรรมที่บังเกิดขึ้นยังคงมีข้อถกเถียงที่ต้องทำความเข้าใจระหว่างแต่ละฝ่ายที่อาจมีความเห็นแตกต่างอย่างมากในแต่ละประเด็น ไม่ว่าจะเป็นขอบเขตของความผิดที่บุคคลได้กระทำลงไป ควรรวมเอาความผิดในมาตรา 112 หรือไม่ ฯลฯ ซึ่งการถกเถียงทั้งหมดนี้จะสามารถบังเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อทุกฝ่ายเห็นพ้องต้องกันในหลักการพื้นฐานที่สำคัญเสียก่อน

มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนจึงขอเรียกร้องให้ทุกฝ่ายที่ต้องการให้กฎหมายนิรโทษกรรมสามารถเดินหน้าต่อไปได้ เข้ามาร่วมมือกันในการกดดันให้แต่ละฝ่ายยอมรับในหลักการสำคัญที่ว่าการนิรโทษกรรมครั้งนี้มุ่งออกกฎหมาย “เพื่อมวลชน” “โปร่งใส” และ “ไร้ผลประโยชน์ทับซ้อน”

มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน


ที่มา.ประชาไท
////////////////////////////////////////////////////////////////////////

ความจริงสภาปฏิรูปการเมือง เป้าหมายอยู่ที่แก้ รธน. !!??

ยังตามกันต่อกับเป้าหมายของการตั้งสภาปฏิรูปการเมืองที่แท้จริง ซึ่งก็ถูกตั้งคำถามต่อจากคำตอบที่หลุดออกมาจากเฟซบุ๊คของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ใช่หรือไม่ ที่ได้ระบุ ในทำนองว่าการเชิญชวนให้ทุกฝ่ายหันหน้าเข้าหากันของนายกฯ ยิ่งลักษณ์ก็เพื่อการสร้างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่นั่นเอง

โดยก่อนหน้านี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊คส่วนตัว ซึ่งใจความตอนหนึ่งระบุว่า ผมได้เดินทางไปทั่วทุกประเทศในเขตอาเซียน บอกตรงๆว่า ศักยภาพไทยสูงที่สุด แต่วันนี้เรามีปัญหาตรง 2 อย่างคือ

1. ความขัดแย้ง ความอิจฉาเกลียดชังกันเอง ทำให้ขาดพลังในการสร้างความเจริญและแข่งขันกับโลกได้

และ 2. การมีองค์กรอิสระที่สร้างขึ้นจากจุดเริ่มต้นที่ไม่เป็นประชาธิปไตย เกิดขึ้นเพราะจำเป็นต้องให้เกิด เลยเกิดบนพื้นฐานของความไม่ไว้เนื้อ

เชื่อใจกัน หาเรื่องกัน แกล้งกัน ทำให้การพัฒนาประเทศช้าและทำแทบจะไม่ได้ สิ่งที่ตามมาคือ เกิดวัฒนธรรมใหม่ในหมู่ข้าราชการและรัฐวิสาหกิจ นั่นคือวัฒนธรรมที่ไม่ทำก็ไม่ผิด เพราะฉะนั้นจึงอยู่ไปวันๆ หนึ่ง ทำให้ประเทศขาดความก้าวหน้า ขาดแรงกระตุ้นในการพัฒนาที่รองรับเศรษฐกิจและการแข่งขัน ไม่ทันโลก

เพราะฉะนั้น การที่ท่านนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ได้เชิญชวนทุกฝ่ายมาหันหน้าเข้าหากัน ออกแบบกติกาการอยู่ร่วมกันใหม่ หรือสร้าง Modern Social Contract Theory ใหม่ เพื่อเกิดรัฐธรรมนูญในระบอบประชาธิปไตย ที่ไม่ใช่ Winner take all และเป็นการ inclusive มากกว่าการแบ่งฝ่าย ประเทศน่าจะพัฒนาได้เร็ว คนจนจะได้หมดจากแผ่นดินไทย ยกเว้นพวกสบายแล้ว ไม่อยากเห็นคนจนหายจนเท่านั้น พวกเขาคนจน กำลังนั่งรอเมตตาธรรมจากท่านที่เรียกว่า ท่านผู้เจริญแล้ว

ก็เอาเป็นว่าต้องช่วยกันรับผิดชอบชื่อเสียงประเทศให้มากๆ จะเล่นการเมืองอะไรกัน จะอิจฉากัน จะหมั่นไส้กันก็ให้อยู่ในขอบเขตที่ไม่ทำให้ชื่อเสียงประเทศเสียหายเป็นดีที่สุด

และจากข้อความดังกล่าวนี้เอง พ.ต.ท.ทักษิณ ก็ระบุเอาไว้ค่อนข้างที่จะชัดเจนเลยทีเดียวว่ากระบวนการตั้งสภาปฏิรูปการเมืองก็เพื่อให้เกิดรัฐธรรมนูญฉบับใหม่

และว่าด้วยเรื่องของการสร้างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ก็ปรากฎความพยายามของรัฐบาลมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน

เริ่มจากความพยายามแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับผ่านแผนการแก้ไขมาตรา 291 เพื่อให้มีสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญหรือส.ส.ร.จำนวน 99 คน

แต่ทว่าศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยว่าไม่สามารถทำได้และให้ไปแก้ไขเป็นรายมาตราหรือไม่ก็ทำประชามติสอบถามความเห็นของประชาชนเสียก่อน

และจาก 2 ทางเลือกดังกล่าวในขณะนั้นเอง ก็ปรากฏความขัดแย้งกันเองระหว่างพ.ต.ท.ทักษิณกับแกนนำนปช.โดยเฉพาะนายจตุพร ที่ต้องการให้โหวตวาระ3 ร่างแก้ไขมาตรา 291ไปเลย แต่ก็เป็นพ.ต.ท.ทักษิณที่หักหน้านายจตุพรบนเวทีคนเสื้อแดงว่าต้องทำเป็นประชามติ

แต่ทว่าจนแล้วจนรอดพ.ต.ท.ทักษิณก็ไม่ได้ตัดสินใจเลือกทำประชามติตามที่พูดเอาไว้ เพราะทราบดีว่าคะแนนเสียงจะไม่ถึง จึงหันมาแก้ไขเป็นรายมาตรา เฉพาะที่สำคัญและกำลังจะเข้าสู่การพิจารณาในวาระ 2 เร็วๆนี้

1.ร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย เรื่องที่มาของวุฒิสภา แก้ไขเพิ่มเติมมาตรา ๑๑๑ มาตรา ๑๑๒ มาตรา ๑๑๕ มาตรา ๑๑๖ วรรคสอง มาตรา ๑๑๗ มาตรา ๑๑๘ มาตรา ๑๒๐ และมาตรา ๒๔๑ วรรคหนึ่ง และยกเลิกมาตรา ๑๑๓ และ มาตรา ๑๑๔

โดยในการประชุมคณะกรรมาธิการได้พิจารณาจนได้ข้อสรุปแล้วก็คือให้ส.ว.มาจากการเลือกตั้งทั้งหมดจำนวน 200 คน ดำรงตำแหน่งเป็นวาระ 6 ปี แต่เมื่อหมดวาระสามารถลงเลือกตั้งต่อได้ ไม่ต้องเว้นวรรค พร้อมทั้งงดเว้นเงื่อนไขต่างๆ ที่อยู่ในรัฐธรรมนูญทั้งหมด ส่วน ส.ว.สรรหานั้น สามารถอยู่ในตำแหน่งได้จนกว่าจะครบวาระที่เหลืออยู่

2.ร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา ๑๙๐ เรื่องสนธิสัญญาระหว่างประเทศ

และ3.ร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา ๖๘ และมาตรา ๒๓๗

เพราะฉะนั้นสัปดาห์ต่อจากนี้ไปจึงต้องจับตามองไปที่การพิจารณาแก้ไขรัฐธรรมนูญ วาระที่ 2 ในร่างที่มาของส.ว. เนื่องจากสัปดาห์นี้คาดว่าจะเป็นการพิจารณาร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2557 ในวาระที่ 2

นายเจริญ จรรย์โกมล รองประธานสภาผู้แทนรษฎร กล่าวภายหลังเชิญตัวแทนคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล(วิปรัฐบาล) และวิปฝ่ายค้าน หารือถึงกรอบการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ ปี 2557 โดยเบื้องต้นกำหนดให้มีการพิจารณาเรื่องดังกล่าว 2 วัน คือ วันที่ 14 - 15 สิงหาคม ตั้งแต่เวลา 09.30 – 24.00 น. ซึ่งหากไม่เพียงพออาจขยายเวลาเพิ่มเติมได้อีก 1 วัน โดยจะมีการถ่ายทอดสดผ่านทางสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย

ทั้งนี้ ได้ขอร้องให้วิปทั้ง 2 ฝ่าย ได้กำชับสมาชิกว่าร่างพ.ร.บ.งบประมาณ ถือว่ามีความสำคัญ ประชาชนให้ความสนใจ เพราะมีผลต่อภาวะเศรษฐกิจและสังคม ขอร้องให้อภิปรายอยู่ในเนื้อหาของงบประมาณ ไม่เช่นนั้นจะไปซ้ำซ้อนกับคนอื่นและไม่จำเป็นอย่าพาดพิงหรือเสียดสี ใส่ร้าย บุคคลอื่น การใช้สิทธิต้องเป็นการพาดพิงจริงๆ

อย่างไรก็ตาม ยืนยันว่า การทำหน้าที่ทุกครั้งประธานก็เป็นกลาง แต่จะทำให้ถูกใจฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่ได้ เพราะในการอภิปรายแต่ละครั้งประธานในที่ประชุมจะถูกตำหนิมากที่สุด

ด้านนายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย แถลงว่า ที่ประชุมพรรคได้กำชับให้ ส.ส. เข้าร่วมประชุม เพื่อรักษาองค์ประชุมให้ครบ และอดทนต่อการอภิปรายของฝ่ายค้านที่มีการแปรญัตติ เป็นจำนวนมากแต่ถ้ามีการพาดพิง ก็ขอประท้วงให้สั้น กระชับ เพื่อให้อยู่ในกรอบเวลาที่กำหนดไว้ ทั้งนี้ พรรคเพื่อไทยมี ส.ส. แสดงความจำนง ขออภิปรายสนับสนุนประมาณ 30 คน

อย่างไรก็ตาม จะไม่มีการตั้งองครักษ์พิทักษ์นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรี หากเรื่องใดพาดพิง ถึงรัฐมนตรีคนใดก็ให้คนนั้นชี้แจง

ขณะที่นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ ประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน(วิปฝ่ายค้าน) แถลงว่า พรรคประชาธิปัตย์จะมี ส.ส.ใช้สิทธิ์อภิปรายในฐานะผู้เสนอแก้ไขถ้อยคำจำนวน 163 คน ทั้งนี้ ขอเรียกร้องให้มีการจัดสรรเวลาการอภิปรายตามข้อเท็จจริงโดยต้องยึดว่าทุกคนต้องได้สิทธิอภิปรายทุกกคน เว้นแต่ไม่ประสงค์จะอภิปราย

ส่วนเนื้อหาการอภิปรายนั้นจะพุ่งเป้าหลายประเด็น เช่น การไม่สนใจวินัยการคลัง มีตัวเลขก่อหนี้สูงมาก และใช้งบประมาณมหาศาลบานปลายหลายโครงการ มีการใช้เงินคงคลังแล้ว แต่เก็บภาษีไม่เป็นตามเป้า รวมทั้งจัดสรรงบประมาณกระจุกตัวบางจังหวัด และความไม่ชอบมาพากลในการจัดทำงบประมาณ โดยเฉพาะการจัดซื้อรถตู้ของกระทรวงศึกษาธิการ ที่กลายพันธ์เป็นโครงการรถตู้โรงเรียนดีศรีตำบล รวมไปถึงงบประมาณการเข้าสู่ประชาคมอาเซียนที่ซ่อนอยู่ในทุกกรมเป็นเงินกว่าหมื่นล้านบาท

ด้านนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ รมว.คมนาคม เปิดเผยว่า รัฐบาลจะนำพ.ร.บ.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงิน 2 ล้านล้านบาท เพื่อการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านการขนส่งของประเทศ จะเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภาในปลายเดือนส.ค.นี้แน่นอน โดยเป็นการพิจารณาต่อจากเรื่องงบประมาณประจำปี และการแก้รัฐธรรมนูญที่มาของส.ว.

ส่วนสาเหตุที่ต้องพิจารณา พ.ร.บ.กู้เงิน หลังการแก้รัฐธรรมนูญนั้น เพราะมีรายละเอียดในการพิจารณามากกว่า และต้องการเปิดโอกาสให้รัฐสภาพิจารณาอย่างเต็มที่ โดยหวังให้ทุกฝ่ายพิจารณาโหวตคะแนนให้กับพ.ร.บ.กู้เงิน ด้วยการชั่งน้ำหนักระหว่างข้อดี ข้อเสีย ของโครงการที่จะดำเนินการตามพ.ร.บ.กู้เงิน ซึ่งเป็นโครงการที่มีความจำเป็นในการพัฒนาประเทศ และสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน และยืนยันว่าโครงการเหล่านี้มีข้อดีมากกว่าข้อเสียแน่นอน

ที่มา.ทีนิวส์
////////////////////////////////////////////////////////////////////

อ่าวพร้าวค่า ปรอท เกินมาตรฐาน หลัง ปลอดฯ ลงว่ายน้ำโชว์ !!??

"กรมควบคุมมลพิษ" เตือนเลี่ยงเล่นน้ำอ่าวพร้าว จ.ระยอง เหตุค่า "ปรอทเกินมาตรฐาน"   -ด้าน"ปลอดประสพ"ส่อยุ่ง?? เหตุเคยลงไปว่ายน้ำโชว์สื่อ??

นายวิเชียร จุ่งรุ่งเรือง อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ แถลงผลการตรวจสอบคุณภาพน้ำทะเล ชายหาดและอ่าวต่างๆ รอบเกาะเสม็ด จ.ระยอง จากการเฝ้าระวังเนื่องจากกรณีเหตุการณ์ท่อส่งน้ำมันดิบรั่วไหลในทะเล จังหวัดระยอง ผลการตรวจสอบคุณภาพน้ำทะเลชายฝั่งบริเวณรอบเกาะเสม็ด จังหวัดระยอง จำนวน 12หาด ที่เก็บตัวอย่างในวันที่ 3 สิงหาคม ปรากฏว่า ค่าความเป็นกรด - ด่าง ค่าออกซิเจนละลายน้ำ มีค่าปกติไม่เกินค่ามาตรฐานที่กำหนดไว้
       
ผลการตรวจวัดโลหะหนัก ทั้ง 12 หาด พบว่า สารหนูมีค่าไม่เกินค่ามาตรฐานคุณภาพน้ำทะเลที่กำหนดไว้ที่ 10 ไมโครกรัมต่อลิตร แคดเมียมมีค่าไม่เกินค่ามาตรฐานคุณภาพน้ำทะเลที่กำหนดไว้ที่ 0.5ไมโครกรัมต่อลิตร และค่าปรอทส่วนใหญ่มีค่าไม่เกินค่ามาตรฐานคุณภาพน้ำทะเลที่กำหนดไว้ 0.1ไมโครกรัมต่อลิตร ยกเว้นอ่าวทับทิม มีค่า 0.25 ไมโครกรัมต่อลิตร และ อ่าวพร้าวมีค่า 2.9 ไมโครกรัมต่อลิตร
       
สำหรับช่วงนี้ กรมควบคุมมลพิษ  ขอแนะนำประชาชน และ นักท่องเที่ยวควรหลีกเลี่ยงการเล่นน้ำในพื้นที่อ่าวพร้าว อ่าวทับทิมของเกาะเสม็ด จนกว่าจะทราบผลการตรวจวิเคราะห์คุณภาพน้ำครั้งที่ 2 หรือจนกว่าผลการตรวจสอบคุณภาพน้ำทะเลอยู่ในภาวะปกติ  ซึ่ง คพ.จะลงพื้นที่ติดตามตรวจสอบคุณภาพสิ่งแวดล้อมบริเวณอ่าวพร้าวอย่างต่อเนื่อง และจะแจ้งผลให้ทราบต่อไป
       
ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 8 ส.ค.ที่ ที่อ่าวพร้าวเกาะเสม็ด จ.ระยอง นายปลอดประสพ สรัสวดี รองนายกรัฐมนตรี ได้เดินทางมาติดตามการกู้คราบน้ำมันดิบของ บ.พีทีทีซีจี รั่วไหลกลางทะเล หลังการประชุมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว นายปลอดประสพ ได้ขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดว่ายน้ำ และได้ลงเล่นน้ำบริเวณอ่าวพร้าว  โดยยืนยันว่า น้ำทะเลที่อ่าวพร้าวแห่งนี้ใสสะอาดปลอดภัย และหาดทรายขาวสะอาดแล้ว ซึ่งได้รับการฟื้นฟูจนกลับคืนสู่สภาพปกติเกือบจะ 100 เปอร์เซ็นต์แล้ว

ที่มา.ทีนิวส์
////////////////////////////////////////////////////////////

วันอังคารที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2556

เงินกู้ 2 ล้านล้าน !!??

โดย วีรพงษ์ รามางกูร

ข่าวใหญ่ข่าวหนึ่งที่สื่อมวลชนให้ความสนใจติดตามกันมากคือ พ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้านบาท เพื่อมาตั้งเป็นกองทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ อันได้แก่ ระบบการขนส่งโดยราง ท่าเรือน้ำลึก สนามบิน ทางด่วน แต่ไม่เห็นพูดถึงระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ

อ่านข่าวดูแล้วก็อดสงสารประเทศไทยไม่ได้ เพราะมีนักวิชาการทางเศรษฐศาสตร์ นักการเงิน การคลัง ออกมาผสมโรงอยู่ด้วยมากมาย เหตุผลก็คือ กลัวรัฐบาลนี้จะสร้างหนี้ให้ลูกหลานต้องแบกภาระ

สาเหตุที่จะมีการลงทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ ก็เพราะว่าประเทศไทยมีเงินออมสูงกว่าเงินลงทุนมาตลอด 15 ปีแล้ว หลักฐานง่าย ๆ ตามหลักเศรษฐศาสตร์เบื้องต้นก็คือ ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุล

มาตลอด 15 ปี จนบัดนี้ก็ยังเกินดุลอยู่ การเกินดุลบัญชีเดินสะพัดแปลว่าเรามีเงินออมสูงกว่าเงินลงทุนมาตลอด 15 ปี

เงินออมส่วนเกินที่สูงกว่าเงินลงทุนนี้แหละคือหยาดเหงื่อของคนรุ่นเราที่อดออมไว้ให้ลูกหลาน นับ ๆ ดูแล้วก็กว่า 6-7 ล้านล้านบาท



เงินออมส่วนเกินจากหยาดเหงื่อรุ่นเรานี้ เมื่อไม่ลงทุนเป็นสิ่งของจริง ๆ ก็เอาไปให้รัฐบาลอเมริกันกู้บ้าง อังกฤษกู้บ้าง ยุโรปกู้บ้าง โดยไปซื้อพันธบัตรรัฐบาลดอกเบี้ยถูก ๆ ของเขามาเป็นทรัพย์สินของชาติ

เรา แต่เป็นทรัพย์สินที่จะเสื่อมค่าลงทุกวัน ซึ่งเป็นความคิดของรัฐบาลที่ผ่าน ๆ มาที่คิดไม่เป็น เพราะคิดว่าเราไม่มีเงิน ถ้าจะทำต้องไปกู้หนี้ยืมสินจากต่างประเทศมาลงทุน

ทางที่ถูกก็คือ ควรเปลี่ยนทรัพย์สินของชาติจากกระดาษที่ออกโดยรัฐบาลอเมริกัน อังกฤษ ยุโรป มาเป็นสิ่งของที่จับต้องได้ ซึ่งจะมีมูลค่าราคาการลงทุนก่อสร้างแพงขึ้นเรื่อย ๆ ไว้ให้ลูกหลาน

เราใช้ เพราะถ้ารอให้ลูกหลานทำ ราคาคงแพงกว่านี้มาก อีกทั้งเงินออมในกระเป๋าเราที่อยู่ในรูปพันธบัตรรัฐบาลอเมริกา อังกฤษ ยุโรป ก็คงเสื่อมค่าลงไปทุกวันด้วย

เมื่อจะลงทุนขนาดใหญ่ ใช้เงินมาก จะระดมเงินออมในประเทศที่มีอย่างเหลือเฟือมาลงทุนอย่างไร ก็มี 2 วิธี คือ ใช้จากภาษีอากร หรือไม่ก็กู้จากประชาชนผู้ออม ขอใช้คำว่ากู้จากประชาชนผู้ออม ไม่ใช่กู้จากต่างประเทศ

ลองมาดูว่าถ้าใช้จากภาษีอากรโดยบรรจุไว้ในงบประมาณประจำปี ซึ่งตาม พ.ร.บ.วิธีการของบประมาณ ถ้ารายได้ไม่พอและเงินกู้ตามปกติติดเพดาน ก็ต้องขึ้นภาษีเอากับประชาชน ซึ่งก็ไม่น่าจะเป็นหลักการที่ถูกต้อง เพราะของเหล่านี้ใช้ไปถึงลูกถึงหลาน แล้วให้รุ่นเราจ่ายทั้งหมดก็ไม่น่าจะถูก เพราะโครงการที่ลงทุนมีอายุการใช้งานเป็นเวลานาน อาจจะเลยศตวรรษก็ได้

แต่ถ้าไม่เอาภาษีมาใช้โดยใส่ในงบประมาณประจำปี ก็ต้องกู้จากประชาชนผู้ออม ผู้ออมก็จะได้ดอกเบี้ยเป็นค่าตอบแทนต่อการอดออมมาตลอด 15 ปี ดอกเบี้ยก็ไม่ได้แพงอะไรนัก แล้วก็ทยอยจ่ายเงินต้นไป 50 ปี ทั้ง ๆ ที่อายุการใช้งานของระบบราง สนามบิน ท่าเรือ ฯลฯ นั้น

ยืนยาวกว่า 50 ปีมากนัก อาจจะถึง 100 ปีก็ได้ ดูอย่างรางรถไฟ ทางรถไฟที่รัฐบาลพระพุทธเจ้าหลวงท่านไปออกพันธบัตรเงินปอนด์ที่ฝรั่งเศสมาลงทุน ใช้มา 120 ปี

แล้วก็ยังอยู่ ถ้ารุ่นเราต้องมาจ่ายค่าเวนคืนที่ดิน ค่าราง อาจจะต้องรออีกจนเราเกินดุลบัญชีเดินสะพัดอย่างเดี๋ยวนี้ถึงจะทำได้

มรดกจากรุ่นพระองค์ท่านนี้ รับภาระหนี้มาตั้งแต่รุ่นทวดรุ่นปู่ แต่มีรางรถไฟให้รุ่นเราใช้ รางรถไฟของพระองค์ท่านนอกจากให้ผู้คนใช้เดินทางแล้ว ยังสามารถนำอำนาจรัฐไปสู่ท้องถิ่น ทำให้ประเทศไทยเป็น

"รัฐชาติ" อย่างสมบูรณ์ด้วย มิฉะนั้นป่านนี้ 4 จังหวัดภาคใต้กับ 7 จังหวัดภาคเหนือ แล้วยังจังหวัดภาคอีสานคงไม่ได้รวมอยู่ใน "รัฐไทย" แล้ว

ของที่มีอายุเป็นร้อย ๆ ปี และลงทุนด้วยเงินออมของประชาชนในประเทศ เป็นของที่ไม่อันตรายต่อฐานะการคลังของประเทศ จะคิดอัตราผลตอบแทนต่อการลงทุนของโครงการที่มีอายุยาว ๆ ขนาดนั้นคิดลำบาก

ที่สำคัญเมื่อกู้มา 2 ล้านล้านบาทแล้ว ไม่ได้กู้มาก่อสร้างสิ่งที่ไม่มีผลตอบแทนคืน เพราะกู้มาให้รัฐวิสาหกิจเจ้าของโครงการกู้ต่อ หรือบางอย่างอาจจะเอาไปร่วมทุนกับรัฐบาลกู้ต่อ ซึ่งจะมีผลตอบแทนคืนให้รัฐบาลไปใช้หนี้ประชาชนผู้ออมในอนาคตด้วย เพราะโครงการเหล่านี้ไม่ได้ใช้ฟรีเหมือนทางหลวงแผ่นดินหรือทางหลวงชนบท แต่รัฐวิสาหกิจเจ้าของโครงการ

ย่อมต้องใช้หนี้คืนรัฐบาล ให้ไปคืนประชาชน ถึงตอนนั้นประชาชนผู้ออมอาจจะไม่

อยากให้ใช้คืนก็ได้ เพราะได้ดอกเบี้ยดีกว่าฝากธนาคารและมั่นคงกว่าฝากธนาคาร แม้ว่าจะสร้างรางให้ฟรีเหมือนทางหลวงแผ่นดินก็ยังคุ้มค่า ดีกว่าเอาไปซื้อพันธบัตรอเมริกันดอกเบี้ยถูก ๆ

คำถามที่ควรถามแต่ยังไม่ได้ถามก็คือ เมื่อลงทุนแล้วรัฐบาลจะจัดการบริหารอย่างไร จึงจะมีประสิทธิภาพและสามารถคืนทุนได้ภายใน 50 ปี รัฐบาลจะลงทุนเรื่องราง แล้วจัดประมูลสัมปทานให้เอกชนลงทุน

เรื่องรถ การเดินรถ การบำรุงรักษา โรงซ่อมบำรุง จะทำเองหรือให้เอกชนทำ ค่าโดยสารจะคิดเท่าไหร่

ระยะเวลาขาดทุนนานเท่าไหร่ 10 ปี หรือ 15 ปี กระแสเงินสดระหว่างนั้นจะจัดการอย่างไร ถ้าค่าโดยสารแพงไปคนอาจจะใช้น้อย ถ้าถูกเกินไปกระแสเงินสดจะไหวไหม จะขาดทุนแค่ไหน

ถ้าไม่ไหวจะทำอย่างไร เป็นเรื่องที่ต้องช่วยกันดู

ที่ควรจะทำก็คือ รางเป็นของรัฐบาลเหมือนทางหลวงแผ่นดินหรือทางหลวงชนบท ลงทุนให้ฟรี ตั้งเงื่อนไขค่าโดยสารและคุณภาพของบริการ แล้วเปิดประมูลไปทั่วโลก ให้สัมปทานเอกชนมา

เดินรถ ทำนองเดียวกันกับรถไฟฟ้าใต้ดินในกรุงเทพฯ

คราวนี้ ถ้ากู้จากแหล่งเงินทุนภายในประเทศ รัฐบาลเป็นลูกหนี้ แต่ประชาชนเป็นเจ้าหนี้ ประชาชนผู้เสียภาษีเป็นทั้งลูกหนี้และเจ้าหนี้ ลูกหลานรับภาระจ่ายคืนหนี้สินที่ตนเองก็เป็นเจ้าหนี้ด้วย แต่ประชาชนทั้งหมดเป็นเจ้าของทรัพย์สินที่รัฐบาลจะลงทุน

การบำรุงรักษาซึ่งเป็นเรื่องยุ่งยากในการบริหารจัดการ ก็ควรจะตั้งเงื่อนไขแล้วเปิดประมูล หรือจะพ่วงไปกับการประมูลสัมปทานการเดินรถด้วยก็จะดี จะได้ไม่มีปัญหาระหว่างผู้บำรุงรักษาและผู้เดินรถ รัฐบาลหรือรัฐวิสาหกิจอย่าทำเองเลย ได้ไม่คุ้มเสีย ทั้งในแง่รายได้ รายจ่าย และคุณภาพของบริการ

สำหรับรถไฟรางคู่ความกว้าง 1 เมตรของเดิมก็ควรวางให้ทั่วประเทศ เอาไว้ใช้ขนสินค้าที่ไม่ต้องการความเร็ว และไว้บริการประชาชนรายได้น้อย รวมทั้งบริการฟรีสำหรับประชาชนที่ยากจน เป็นการลดช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจน รวมทั้งสร้างสายใหม่ แต่ที่อยากเห็นคือรถไฟรางแคบก็ใช้ไฟฟ้า จะได้ประหยัดพลังงานได้ด้วยอีกโสดหนึ่ง

พวกเราเคยสร้างประวัติศาสตร์ค้านโครงการเขื่อนยันฮี หรือเขื่อนภูมิพล สมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม มาแล้ว คราวนี้ก็คงเป็นประวัติศาสตร์เช่นเดียวกัน คือคัดค้านโครงการลงทุนไปเสียหมด เพราะกลัวการคอร์รัปชั่น ไม่ใช่กลัวการลงทุนมากเกินไป หรือลงทุนในโครงการที่ไม่มีประโยชน์

คราวนี้ก็คงเหมือนกัน

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
////////////////////////////////////////////////////////////////////