--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันจันทร์ที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

จัดทัพสู้ศึก : แก้จุดอ่อนเพิ่มจุดแข็ง งานเฉพาะหน้า การรับจำนำข้าว !!??

เป็นครึ่งทางที่ "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" นายกรัฐมนตรี ฝ่ามรสุมทางการเมืองมาอย่างโชกโชน ทั้งการเผชิญหน้ากับฝ่ายค้านในสภา การสุมหัวแก้ปัญหาปัจจัยที่เหนือการควบคุมทั้งภัยธรรมชาติ-เศรษฐกิจ รวมถึงการงัดข้อสู้กับทุกขั้วอำนาจภายในพรรคเพื่อไทย

เป็นครึ่งทางที่นายกรัฐมนตรีใช้พละกำลังสับ-เปลี่ยนเก้าอี้ ครม.มาแล้ว 4 หน และกำลังเข้าสู่วาระการทำงานของ "ครม.ปู 5" อย่างเป็นทางการในเวลาอันใกล้

เป็นการจัดทัพครั้งใหม่ที่ "ยิ่งลักษณ์" คาดหวังว่า อีกครึ่งทางหลังจากนี้จะสามารถฝ่ามรสุม ผลักดันภารกิจหลักทั้ง 16 ข้อเร่งด่วน ตามถ้อยแถลงของนายกรัฐมนตรีที่ผลงานยังไม่คืบหน้า

ทั้งปมกฎหมายเพื่อสร้างความปรองดองที่ยังค้างรัฐสภา ไม่สามารถขับเคลื่อนไปได้ไกลกว่าความขัดแย้งภาพเก่า

ทั้งชนวนความขัดแย้งกับปัญหาในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่แม้จะมีการรุกคืบเจรจากับฝ่ายผู้ก่อการร้าย แต่สุดท้ายผลลัพธ์ในรอบ 4 เดือนที่ผ่านมา ยังเต็มไปด้วยรอยกระสุน เสียงปืน และควันไฟ

2 ภารกิจข้างต้น ถูกอ้างอิงถึงผู้ขับเคลื่อนคนเดียวกัน ภายใต้ชื่อ "ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง" รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง

และที่เป็นปัญหาที่สุดคือ อภิมหานโยบายประชานิยมอย่างโครงการรับจำนำข้าว ที่สร้างแรงสั่นสะเทือนถึงความมั่นคงของรัฐบาล กระทั่ง "พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร" อดีตนายกรัฐมนตรี ผู้มีอำนาจจากดูไบต้องส่งสัญญาณถึงนายกรัฐมนตรีให้รีบแก้ไข

เมื่อเป็นเช่นนี้ รายชื่อ-หน้าตา "ครม.ปู 5" จึงเกิดขึ้นแบบปัจจุบันทันด่วน เพราะ "คำสั่งตรง" ถึงนายกรัฐมนตรีคือ ต้องเฉือนเนื้อร้ายที่บั่นทอนคะแนนนิยมและเสถียรภาพของรัฐบาลโดยเร็ว

ทั้งการดึง "มือทำงาน" ระดับข้าราชการ "รุ่นเก๋า" ในกระทรวงเศรษฐกิจ ทั้งการผลักดันมันสมองเบื้องหลังให้กลับสู่ถนนเบื้องหน้า ที่ต่างก็เป็นคนการเมืองระดับ "หัวกะทิ" จากอดีตสมาชิกบ้านเลขที่ 111

ทั้งหมดเพื่อดันผลลัพธ์การบริหารของรัฐบาลไปสู่ภาพความสำเร็จในอีก 2 ปีหลังจากนี้

โดยโครงการรับจำนำข้าวจะมอบหมายให้ "นิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล" รมต.ประจำสำนักนายกฯ คนไว้ใจได้ของ "พ.ต.ท.ทักษิณ" และเป็นมือไม้-แขนขาให้ "ยิ่งลักษณ์" นั่งเก้าอี้กระทรวงพาณิชย์ เพื่อคุมเกมแก้ปัญหาจำนำข้าว

เพราะ "บุญทรง" ถูกตำหนิทั้งในและนอกพรรคเพื่อไทยว่าอ่อนการชี้แจง เช่นเดียวกับ "เผดิมชัย สะสมทรัพย์" รมว.แรงงาน หัวขบวน ส.ส.ภาคกลาง ที่เผชิญปัญหาผลกระทบจากการขึ้นค่าแรง 300 บาท

ทั้ง "บุญทรง-เผดิมชัย" ถูกติติงความนิ่งสงบ เสมือนการลอยแพนายกรัฐมนตรีฉายเดี่ยว

แต่ภารกิจเรื่อง "จำนำข้าว" ถือว่าเร่งด่วนและสุ่มเสี่ยงกว่า ฉะนั้น นอกเหนือจากการปรับทัพ ทีมยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทยจึงผุดสารพัดอีเวนต์เข้ามาบริหารจัดการทันที

เริ่มตั้งแต่โครงการเสวนาจำนำข้าวสัญจร ที่เตรียมให้ "ทีมพาณิชย์" ลงพื้นที่จัดเวทีระดมความเห็น พร้อมคำอธิบายสารพันปัญหา พร้อมกับการเสริมแรงด้วยอดีตข้าราชการ "รุ่นเก๋า" คนเก่าคนแก่ประจำกระทรวง

อีกทั้งยังแต่งตั้ง "พล.ต.ต.ธวัช บุญเฟื่อง" รองเลขาธิการนายกฯ ขึ้นเป็นประธานคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง และข้อมูลปริมาณข้าวคงเหลือขององค์การคลังสินค้า (อคส.) และองค์การตลาดเพื่อเกษตรกร (อ.ต.ก.) เพื่อลงพื้นที่ตรวจสอบสต๊อกข้าวพร้อมกัน 2,506 จุดทั่วประเทศว่าล่องหนไปไหน

รวมถึงแผนจากกรมการข้าว โดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ต้องจัดทำคู่มือ "การลดต้นทุนการผลิตข้าว" ลอตแรกจำนวน 20,000 เล่ม แจกชาวนาทั่วประเทศ โดยคาดหวังว่าจะทำให้ชาวนาลดต้นทุนได้ไร่ละ 1,500-3,000 บาทต่อไร่

ล่าสุด สำนักเลขาธิการพรรคเพื่อไทย ที่มี "ภูมิธรรม เวชยชัย" เลขาธิการพรรคบัญชาการ ได้จัดทำ "สคริปต์" เรื่อง "การรับจำนำข้าว" ให้ ส.ส.-รัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทยไปชี้แจงชาวบ้านในพื้นที่

โดยจัดทำเป็นไกด์ไลน์คำถาม-คำตอบ ที่ ส.ส.-รัฐมนตรีทุกคนจะต้องท่องให้ขึ้นใจ และไปอธิบายให้ประชาชน อันมีเนื้อหาระบุ 5 ข้อใหญ่ ดังนี้

1.สาเหตุที่ต้องชี้แจงให้เกษตรกรและประชาชนรับทราบ ในฐานะตัวแทนของพรรค ตัวแทนของประชาชน มีความเป็นห่วงสถานการณ์บ้านเมือง โดยเฉพาะปัญหาความไม่สบายใจและความเดือดร้อนของชาวนา ชาวนาเป็นกลุ่มคนและอาชีพที่น่าเห็นใจที่สุด ทำงานหนักที่สุด และมักถูกเอาเปรียบตลอดเวลา

"เรามักพูดกันอยู่เสมอว่าชาวนาเป็นกระดูกสันหลังของชาติ เราเห็นอกเห็นใจชาวนา แต่พอเราคิดถึงพวกเขา พยายามคิดนโยบายเพื่อช่วยเหลือและแก้ปัญหาให้เขา กำหนดราคาจำนำข้าวเพื่อจะให้ประโยชน์และผลตอบแทนกับเขา ก็มีคนบางส่วนออกมาคัดค้านไม่สนับสนุนนโยบายจำนำข้าว"

2.กรณีที่มีข่าวว่าชาวนาไม่พอใจและจะออกมาประท้วง การรวมตัวของชาวนาและการลุกขึ้นออกมาแสดงความคิดเห็นของชาวนา เป็นเรื่องปกติในระบอบประชาธิปไตย "เมื่อเขาทุกข์ยากเดือดร้อน เขาก็อยากออกมาบอกให้สังคมรู้"

เขาก็อยากบอกสังคมว่า "พวกเขาเดือดร้อน" / "เขาสนับสนุนนโยบายจำนำข้าวของรัฐบาล" / "อยากได้ 15,000 บาท"

เพียงแต่อยากให้การแสดงออกของชาวนาครั้งนี้เป็นการแสดงออกโดยสงบ สันติ หลีกเลี่ยงที่จะสร้างความเดือดร้อนให้กับผู้อื่น อยากให้สังคม...ไม่ว่ารัฐบาล ฝ่ายค้าน คนเมือง หรือสื่อมวลชนต่าง ๆ เข้าใจความเดือดร้อนของพวกเขา

3.ตอกย้ำนโยบายจำนำข้าวคือนโยบายที่ดี และสนับสนุนการตัดสินใจของรัฐบาลครั้งนี้

ต้องเข้าใจและเห็นใจชาวนา ขณะเดียวกันก็เข้าใจและรับรู้ถึงความยุ่งยากของรัฐบาล/รัฐบาลเริ่มต้นนโยบายจำนำข้าว 15,000 ด้วยความประสงค์ที่อยากสนับสนุนช่วยเหลือชาวนา/หลัก พื้นฐานของการคิดนโยบายจำนำข้าวจึงไม่ควรเริ่มต้นคิดจากเรื่อง "กำไร-ขาดทุน" แต่เป็นเรื่อง "การสนับสนุนของรัฐเพื่อช่วยเหลือและแก้ไขปัญหาให้ชาวนา"

รัฐบาลตัดสินใจจำนำข้าว 15,000 บาท ก็เพื่อเพิ่มศักยภาพของชาวนาให้มีเงินจับจ่ายใช้สอย แก้ปัญหาชีวิตของพวกเขาให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น/มีตัวเลขทางเศรษฐกิจชัดเจนว่า "นโยบายจำนำข้าวของรัฐบาลพรรคเพื่อไทย" ชาวนาได้ประโยชน์ สามารถลดหนี้สินของครอบครัว/มีเงินจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น/กระตุ้นเศรษฐกิจได้ดีขึ้น/มีเงินออมมากขึ้น

ตลอดทั้งชีวิตของชาวนาเริ่มจะมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นบ้าง "แล้วทำไมฝ่ายค้าน หรือคนบางส่วนจึงแสดงท่าทีคัดค้านมาโดยตลอด"

"ท่านนายกฯยิ่งลักษณ์" ประกาศชัดเจนว่า เหตุผลการที่รัฐบาลผลักดันนโยบายจำนำข้าว เพราะเจตนาที่จะทำให้ข้าวมีราคาที่เป็นธรรม แก้ไขปัญหาให้ชาวนาซึ่งเป็นผู้ที่มีรายได้น้อย ทำให้มีรายได้และมีคุณภาพชีวิตที่ดียิ่ง ๆ ขึ้น การที่รัฐบาลจัดสรรงบประมาณก็เพื่อให้ความช่วยเหลือและดูแลชาวนา "เป็นเงินสนับสนุนเพื่อชีวิตของเกษตรกรและการกระตุ้นเศรษฐกิจ ไม่ใช่เพื่อสร้างกำไร-ขาดทุน เหมือนการลงทุนทางเศรษฐกิจทั่วไป"

ด้านการใช้จ่ายเงินเพื่อเยียวยาความขาดแคลนของชีวิตชาวนา ถือเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจที่สำคัญของคนส่วนใหญ่ที่เดือดร้อนของประเทศ และการใช้จ่ายเงินของชาวนาจากรายได้ที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจอีก 5-6 รอบ ทำให้เศรษฐกิจโดยรวมของประเทศดีขึ้น GDP สูงขึ้นอีกหลายเปอร์เซ็นต์

อย่างไรก็ตาม "ท่านนายกฯยิ่งลักษณ์" ประกาศชัดเจนว่า รัฐบาลยังยืนยันที่จะสร้างความสมดุลในหลาย ๆ มิติ

มิติที่ 1 ชาวนาต้องขายข้าวได้ในราคาที่เป็นธรรม คือ ต้องขายข้าวได้ไม่ขาดทุน เมื่อคำนวณจากราคาต้นทุน

มิติที่ 2 รักษาความสมดุลของต้นทุนการผลิตข้าวกับราคาข้าว "ข้าวใดราคาสูง ต้นทุนสูง ราคาขายต้องสูงตามคุณภาพข้าวที่ได้ด้วย"

มิติที่ 3 การปรับเพิ่ม ลดราคาจำนำข้าว คำนึงถึงผลกระทบจากราคาผลิตผลในตลาดโลก + ภาวะค่าเงินบาท และปริมาณข้าวที่ผลิตขึ้นได้ในตลาด

มิติที่ 4 คำนึงถึงความสมดุลระหว่างค่าใช้จ่ายที่รัฐช่วยเหลือเกษตรกรกับวินัยการเงินการคลัง เพื่อให้เศรษฐกิจของประเทศไม่มีผลกระทบในระยะยาว และเติบโตอย่างยั่งยืน

และที่สำคัญ "ท่านนายกฯยืนยันที่จะปรับปรุงขั้นตอนและกระบวนการจำนำข้าวให้เกิดความโปร่งใสในทุกขั้นตอน และยืนยันว่าที่ผ่านมาเงินทุกบาทโอนถึงมือชาวนาอย่างโปร่งใส ตรวจสอบได้"

สำหรับการตัดสินใจของรัฐบาลครั้งนี้ ตั้งอยู่บนพื้นฐาน ข้อจำกัด และความยุ่งยากที่ทุกฝ่ายกำลังเผชิญอยู่กับเงื่อนไขและสภาพแวดล้อมที่มีผลกระทบมา สถานการณ์วันนี้จึงอยากให้ทุกฝ่ายใช้สติ ใช้เหตุผล หันหน้ามาเข้าหารือกัน ร่วมกันคิด ร่วมกันหาทางออก ว่าทุกคนมีความปรารถนาดี ประเทศจะมีทางออกที่สมเหตุสมผลที่ทุกฝ่ายยอมรับและสบายใจ

4.ความคิดเห็นต่อท่าทีของฝ่ายค้าน-ท่าทีผู้นำฝ่ายค้าน

ต้องร้องขอเรื่องอยากเห็นการทำงานของฝ่ายค้าน ตั้งอยู่บนเหตุผล และการร่วมกันทำงานกับรัฐบาลเพื่อผลประโยชน์โดยรวมของชาวนาและคนยากคนจน มิใช่เหตุผลทางการเมืองแต่เพียงอย่างเดียว

"ขอให้คิดว่าปัจจุบันฝ่ายค้านก็มีพัฒนาการที่ดีขึ้น จากการค้านนโยบายจำนำข้าวอย่างหัวชนฝา ปัจจุบันก็ได้ยินและได้เห็นท่าทีของผู้นำฝ่ายค้านที่เห็นด้วยกับรัฐบาลว่า นโยบายจำนำข้าวควรจะยืนที่ 15,000 บาท เพื่อให้ชาวนาได้ประโยชน์"

5.ข้อเสนอสนับสนุนรัฐบาลให้เดินหน้าโครงการจำนำข้าวต่อไป ในฐานะตัวแทนของพี่น้องชาวนาและประชาชน ขอเสนอให้รัฐบาลพิจารณาและดำเนินการให้เกิดประสิทธิภาพและความชัดเจนมากขึ้นในเรื่องเหล่านี้

ปรับปรุงกระบวนการขายข้าวและระบายข้าวให้มีประสิทธิภาพ โปร่งใส ให้ประชาชนทุกฝ่ายได้รับรู้และสบายใจ ปรับปรุงกระบวนการจัดระบบ และดูแลงบประมาณที่นำมาใช้ให้เกิดการหมุนเวียนที่มีประสิทธิภาพ โปร่งใส ปรับปรุงกระบวนการในการควบคุม และดูแลการจำนำข้าวให้ผลประโยชน์ตกแก่ชาวนาอย่างเต็มที่

ดำเนินการแก้ปัญหาเรื่องทุจริตอย่างเต็มที่หากตรวจพบ และสุดท้าย สนับสนุนนโยบายท่านนายกฯยิ่งลักษณ์ ที่จะมีการปฏิรูปภาคการเกษตร/ปรับสมดุลเรื่องเกษตรโซนนิ่งที่ได้มีการริเริ่มแล้ว ที่มีการสำรวจว่าพื้นที่ไหนเหมาะกับการเพาะปลูกอะไร เพื่อสร้างรายได้ให้เกษตรกร และสนับสนุนให้เกษตรกรมีชีวิตที่ดีขึ้น

อย่างไรก็ตาม ทันทีที่ ส.ส.พลิกคู่มือดังกล่าวเปิดอ่าน บางคนขำ บางคนวิจารณ์ เพราะเนื้อหาในคู่มือไม่สามารถนำไปพูดคุยกับชาวบ้านได้ เพราะ "วิชาการเกินไป"

ส.ส.ในพรรคหลายคนระบุตรงกันว่า ถ้าไปอธิบายให้ชาวบ้านฟังตามเอกสาร ชาวบ้านไม่เข้าใจแน่นอน

แม้สารพัดอีเวนต์จะถูกเข็นออกมา แต่เมื่อโครงการรับจำนำข้าวยังมีสถานะจุดตาย-จุดสลบของพรรคเพื่อไทย ที่ต้องสลัดบ่วงสารพัดปัญหาให้หลุด

แต่การปรับ ครม.เปลี่ยนคนรับผิดชอบ จาก "บุญทรง" มาเป็น "นิวัฒน์ธำรง" จะทำให้รัฐนาวาพรรคเพื่อไทยรอดพ้นปัญหา ขจัดเสียงครหาต่าง ๆ และเรียกคืนความเชื่อมั่นกลับมาได้หรือไม่...
ต้องจับตา

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
//////////////////////////////////////////////////

วันอาทิตย์ที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2556

คนเสื้อเหลืองในคราบหน้ากากขาว !!?

หลายอาทิตย์ที่ผ่านมา กลุ่ม “ผู้ชุมนุม” ขนาดเล็กแต่มีการวางแผนมาอย่างดีและมีศักยภาพได้เดินขบวนบนท้องถนนกรุงเทพฯและในจังหวัดอื่นพวกเขาขนานนามตนเองว่า “หน้ากากขาว” เพราะพวกเขาใช้หน้ากากวีกาย ฟอกส์สีขาวซึ่งเป็นสัญลักษณ์การเคลื่อนไหวชุมนุมกลุ่มนิรนามที่ก้าวหน้า การเกิดใหม่ของกลุ่มนี้ยังคงห่างไกลจากแนวความคิดเรื่องความรับผิดชอบตามระบอบประชาธิปไตย ความเป็นธรรมชาติ และการเมืองแบบก้าวหน้าอย่างมากมาย

ตามที่ New Mandela ระบุในบทความสองบทความล่าสุดว่ากลุ่มหน้ากากขาวไม่ใช่อะไรนอกจากกลุ่มฝ่ายขวาหัวรุนแรงคลั่งชาติที่มาจากการรวมตัวของกลุ่มพธม. พิทักษ์สยามและกลุ่มที่มีแนวคิดคล้ายกัน กลุ่มเหล่านี้เรียกตัวเองว่ากลุ่ม “ต่อต้านทักษิณ” แต่ศัตรูที่แท้จริงของพวกเขาคือประชาธิปไตย กลุ่มหน้ากากขาวเรียกร้องให้ “ล้มล้าง” รัฐบาลเพื่อไทยซึ่งมาจากการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตย กลุ่มหน้ากากขาวยังไม่อายที่จะใช้ความรุนแรงต่อนักกิจกรรมที่เรียกร้องประชาธิปไตยตามรายงานของหนังสือพิมพ์ข่าวสด โดยเมื่อ 2 อาทิตย์ที่แล้วในใจกลางกรุงเทพฯ พวกเขาพยายามทุบตีคนเสื้อแดงด้วยแท่งเหล็ก

การสมรู้ร่วมคิดกันระหว่างกลุ่มหน้ากากขาวและกลุ่มฝ่ายขาวหัวรุนแรง ซึ่งมีรายงานว่ากลุ่มนักกิจกรรมเหล่านี้ทำกิจกรรม เช่นการร้องเพลงแนวเผด็จการฟาสซิสต์ “หนักแผ่นดิน” เป็นประจำ นอกจากนี้ แกนนำที่เข้าร่วมกับกลุ่มหน้ากากขาว เช่น ผู้ประสานงาน “กลุ่มกรีน” นายสุริยะใส กตะศิลาเริ่มหาข้ออ้างที่แปลกประหลาดและวิตถารว่า รัฐบาลยิ่งลักษณ์ “กำลังสร้างเงื่อนไขเพื่อทำรัฐประหาร” ตนเอง

เราไม่ควรประเมินความซับซ้อนของกลุ่มหน้ากากขาวต่ำจนเกินไป บรรยากาศของ “ความเป็นธรรมชาติ” ทำให้กลุ่มนี้มีภาพลักษณ์การเคลื่อนไหวของ “กลุ่มรากหญ้า” คล้ายคลึงกับกลุ่มอาหรับสปริงเมื่อไม่กี่ปีที่แล้ว นอกจากนี้ การใช้สัญลักษณ์การชุมนุมแบบก้าวหน้าและนิรนามนำไปสูภาพลักษณ์ที่ดีในหน้าสื่อ ถึงแม้ว่ามันจะไม่ใช่เรื่องจริงก็ตาม การรายงานข่าวในแง่ดีถูกผลักดันโดยกระบอกเสียงของพรรคประชาธิปัตย์หนังสือภาษาอังกฤษ “บางกอกโพสต์” ซึ่งได้พยายามหลอกลวงผู้คนโดยนำเสนอว่ากลุ่มหน้ากากขาวคือกลุ่มผู้ชุมนุมที่ชอบด้วยกฎหมาย มากมายจะเป็นกลุ่มที่ผสมผสานกันของกลุ่มต่อต้านประชาธิปไตยมากที่สุดในประเทศไทย

แล้วใครอยู่เบื้องหลังกลุ่มหน้ากากขาว? บุคคลสำคัญในวงการสื่อที่มีอำนาจและร่ำรวย นายสนธิญาณ ชื่นฤทัยในธรรม ผู้ก่อตั้งสำนักข่าวอิสระทีนิวส์กลุ่มทีนิวส์ สองสำนักข่าวนี้เต็มไปด้วยคำด่าทอหยาบคายและมีแนวความคิดฝ่ายขวาหัวรุนแรง เป็นกลุ่มซึ่งให้การสนับสนุนอย่างลับๆต่อกลุ่มหน้ากากขาว

ไม่นานมานี้ หนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์รายงานว่านายสนธิญาณกล่าวว่า “เขาสนับสนุนกลุ่มนี้ เชื่อว่าพวกเขาทำในสิ่งที่ถูกต้อง และเชื่อมั่นว่ากลุ่มนี้จะเติบโตขึ้นเรื่อยๆ” นายสนธิญาณกล่าวต่อว่าบริษัทของเขาขายหน้ากากขาวให้ผู้ชุมนุมและ “มีคนซื้อหน้ากากราว 10,000 ใบ และยังมีการสั่งซื้อมาเรื่อยๆ” อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่านายสนธิญาณจะพูดจาล้ำเส้น เมื่อเข้าพูดถึงเพื่อนร่วมชาติ โดยเขาแนะนำว่า “ทักษิณและครอบครัวจะต้องถามตัวเองว่าพวกเขาสามารถอาศัยอยู่ในที่ที่มีแต่คนเกลียดพวกเขาได้อย่างไร” บางทีนายสนธิญาณอาจตั้งใจลืมว่าการเลือกตั้งทั่วไปทั้ง 5 ครั้งใน 12 ปีที่ผ่านมาให้ประชามติตามระบอบประชาธิปไตยต่อรัฐบาลที่นำโดยทักษิณ และการเคลื่อนไหวของหน้ากากขาวในกรุงเทพฯก็ไม่ได้มีผู้เข้าร่วมชุมนุมมากนัก

แม้กลุ่มหน้ากากขาวไทยจะแสดงให้เห็นถึงความซับซ้อนมากขึ้นในเรื่องของการสื่อสารข้อความ แต่กลุ่มนี้ก็ไม่ต่างอะไรจากกลุ่มนิยมอำนาจเก่าซึ่งเป็นกลุ่มพลังต่อต้านประชาธิปไตยอันเกิดจากการรวมตัวในรูปแบบใหม่โดยใช้การสื่อสารที่เป็นมิตร เราไม่ควรประเมินกลุ่มนี้ต่ำเกินไป การยืมเอาสัญลักษณ์ที่กำลังเป็นที่นิยมของการเคลื่อไหวของกลุ่มหัวก้าวหน้าทั่วโลกไม่ช่วยทำให้กลุ่มนี้กลายเป็นกลุ่มหัวก้าวหน้าไปได้

Read more from ประเทศไทย, โรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม
///////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

ย้อนรอย : วิกฤติต้มยำกุ้ง จุดเปลี่ยนเศรษฐกิจไทย !!?

ไทยรื้อโครงสร้างเศรษฐกิจ-สถาบันการเงินครั้งใหญ่ หลักประกันศก.ไทยไม่ซ้ำรอยประวัติศาสตร์อันบอบช้ำ

บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัดวิเคราะห์แนวโน้มเศรษฐกิจไทยว่า ในวันที่ 2 กรกฎาคม 2556 นี้ ถือเป็นวันครบรอบ 16 ปี ที่ทางการไทยตัดสินใจประกาศลอยตัวค่าเงินบาทในปี 2540 โดยการตัดสินใจครั้งดังกล่าวนั้นถือได้ว่าเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญของเศรษฐกิจไทย อันนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างของระบบเศรษฐกิจและการเงินไทยในระยะถัดมาต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยจึงขอใช้โอกาสนี้ในการมองย้อนกลับไปที่วิกฤตเศรษฐกิจไทยปี 2540 พร้อมสรุปการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างที่เกิดขึ้นกับเศรษฐกิจไทยในช่วง 16 ปีที่ผ่านมา เพื่อเปรียบเทียบกับสถานการณ์ปัจจุบัน โดยมีรายละเอียดดังนี้

บทเรียนจากวิกฤตการณ์ปี 2540 ... นำมาสู่โครงสร้างเศรษฐกิจและระบบการเงินไทยที่แข็งแกร่งและยืดหยุ่นมากขึ้น

ในช่วงก่อนเกิดวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจปี 2540 นั้น ถือเป็นช่วงเวลาที่เศรษฐกิจไทยมีจุดอ่อนสำคัญ 3 ประการที่เกิดขึ้นโดยพร้อมเพรียงและเกี่ยวโยงซึ่งกันและกัน อันเป็นองค์ประกอบสำคัญที่นำมาสู่วิกฤตการณ์ค่าเงินและวิกฤตการณ์สถาบันการเงินปี 2540 ประกอบด้วย

- การเก็งกำไรอย่างกว้างขวางในตลาดอสังหาริมทรัพย์และตลาดหุ้น ท่ามกลางสภาพคล่องจากกระแสเงินทุนเคลื่อนย้ายจากต่างประเทศที่ไหลเข้าสู่ระบบการเงินไทยอย่างรวดเร็ว เพื่อหาผลตอบแทนจากส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยระหว่างไทยกับต่างประเทศ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นหนี้ต่างประเทศระยะสั้น

- การดำเนินนโยบายอัตราแลกเปลี่ยนแบบตะกร้าเงินที่ไม่มีความยืดหยุ่นเพียงพอ ซึ่งทำให้ค่าของเงินบาทไม่สอดคล้องกับพื้นฐานเศรษฐกิจที่แท้จริงของประเทศ ซึ่งเผชิญปัญหาขาดดุลบัญชีเดินสะพัดในระดับสูงอย่างเรื้อรัง จนนำมาสู่การโจมตีค่าเงินบาทจากนักเก็งกำไร และทำให้ทางการต้องประกาศเปลี่ยนระบบอัตราแลกเปลี่ยนเป็นแบบลอยตัวภายใต้การจัดการ ในวันที่ 2 กรกฎาคม 2540

- ระบบการเงินไทยยังคงเปราะบาง โดยขาดการบริหารความเสี่ยง การตรวจสอบและการกำกับดูแลสถาบันการเงินที่ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งการดำเนินกิจการวิเทศธนกิจ (BIBFs) ของสถาบันการเงินที่ทำให้เกิดความเสี่ยงทั้งจากการกู้ยืมเงินทุนระยะสั้นมาปล่อยกู้ระยะยาว และความเสี่ยงจากการปล่อยกู้สกุลเงินที่แตกต่างกัน (Maturity and Currency Mismatch) ซึ่งเมื่อผนวกกับการขาดการกำกับดูแลที่ดีเพื่อป้องกันพฤติกรรมการปล่อยกู้ที่เสี่ยงของสถาบันการเงิน ทำให้เกิดปัญหาหนี้เสียที่ทวีความรุนแรงขึ้น จนกระทบความเชื่อมั่นในระบบสถาบันการเงิน และนำมาสู่ปัญหาวิกฤตการณ์สถาบันการเงินในที่สุด

ทั้งนี้ ในช่วง 16 ปีที่ผ่านมานั้น จุดอ่อนเชิงโครงสร้างของระบบเศรษฐกิจไทยที่นำมาซึ่งวิกฤตการณ์ปี 2540 ได้รับการพัฒนาปรับปรุง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกระบวนการกำกับดูแลสถาบันการเงิน ซึ่งกลายเป็นจุดแข็งต่อพัฒนาการของเศรษฐกิจไทยในระยะปัจจุบัน ดังนี้

- ระบบธนาคารพาณิชย์ไทยมีความเข้มแข็งมากขึ้น ท่ามกลางการบริหารจัดการความเสี่ยงและการกำกับดูแลจากทางการที่ตรงตามมาตรฐานสากล โดยผลการดำเนินงานและสถานะทางการเงินของธนาคารพาณิชย์ในปัจจุบันมีความแข็งแกร่งมากขึ้น ขณะเดียวกัน การบริหารความเสี่ยงด้านต่างๆ ของสถาบันการเงินก็เป็นไปในลักษณะที่ระมัดระวัง และเมื่อผนวกกับการนำหลักเกณฑ์สากลมาใช้ในการกำกับดูแลธนาคารพาณิชย์ ก็เป็นที่แน่ใจได้ว่าระบบธนาคารพาณิชย์ไทยมีความเข้มแข็งขึ้นมาก เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงก่อนวิกฤตปี 2540

- เศรษฐกิจไทยมีเสถียรภาพและความยืดหยุ่นมากขึ้น ทั้งอัตราเงินเฟ้อและการจ้างงานที่อยู่ในระดับต่ำ ฐานะดุลบัญชีเดินสะพัดที่เกินดุลอย่างต่อเนื่อง หนี้ต่างประเทศที่ลดลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบเกือบ 30 ปี รวมถึงเงินทุนสำรองระหว่างประเทศที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง สะท้อนภาพความเข้มแข็งของเศรษฐกิจไทยที่น่าจะสามารถรับมือกับสถานการณ์อันไม่แน่นอนที่อาจเกิดขึ้นได้ในอนาคต

กระนั้นก็ดี เส้นทางการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในปัจจุบัน อาจมีบางประเด็นที่สร้างความกังวลให้กับสังคมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องว่าจะเป็นประเด็นความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจไทยในระยะถัดไป จากสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจบางอย่างที่มีความคล้ายคลึงกับปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงก่อนวิกฤตปี 2540 โดยเฉพาะอย่างยิ่งความกังวลต่อภาวะฟองสบู่ในตลาดอสังหาริมทรัพย์และการสะสมของปัญหาหนี้ครัวเรือน ท่ามกลางการไหลเข้าของเงินทุนจากต่างประเทศระยะสั้น อย่างไรก็ตาม ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า สถานการณ์ในปัจจุบันมีปัจจัยสนับสนุนหลายประการซึ่งแตกต่างจากช่วงปี 2540 ดังนี้

- การสะสมของหนี้ครัวเรือน...อาจสะท้อนการเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างทางสังคมและการดำรงชีวิตของครัวเรือน ทั้งนี้ แม้ว่าหนี้ครัวเรือนไทยอาจเร่งตัวขึ้นสู่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 77.6% ต่อจีดีพีในปี 2555 แต่ต้องยอมรับว่า การเพิ่มขึ้นของหนี้ครัวเรือนดังกล่าว อาจสะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงทางสังคม ทั้งการเข้าสู่สังคมเมือง ชนชั้นกลางที่เพิ่มขึ้น รายได้ที่สูงขึ้นของภาคชนบท รวมไปถึงการเข้าถึงบริการทางการเงินของสถาบันการเงินในระบบที่เพิ่มขึ้น (ซึ่งทดแทนการก่อหนี้นอกระบบ) ล้วนแล้วแต่เป็นเหตุผลที่ทำให้สัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อจีดีพีปรับเพิ่มขึ้น

- ความร้อนแรงของตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปัจจุบัน...เป็นผลจากความต้องการที่อยู่อาศัยที่แท้จริงของครัวเรือน ทั้งนี้ เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงก่อนวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจแล้ว พบว่า สัดส่วนสินเชื่อของผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ (รวมผู้ประกอบกิจการก่อสร้าง) มีแนวโน้มลดลงตามลำดับ ขณะที่ สัดส่วนสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยต่อจีดีพีมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องและทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในปี 2555 ที่ระดับ 19.9% ต่อจีดีพี โดยการเร่งตัวขึ้นของสินเชื่อที่อยู่อาศัยดังกล่าวเป็นผลจากความต้องการที่อยู่อาศัยที่แท้จริงของครัวเรือนไทยที่มีแนวโน้มเป็นครอบครัวเดี่ยวมากขึ้น รวมไปถึงความต้องการที่อยู่อาศัยตามแนวระบบขนส่งมวลชนระบบราง ซึ่งแตกต่างจากปี 2540 ที่เป็นไปเพื่อการเก็งกำไรเป็นหลัก

ดังนั้น เมื่อผนวกประเด็นดังกล่าวกับราคาที่ดินและวัสดุก่อสร้างที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นในช่วงที่ผ่านมา จึงส่งผลให้ราคาที่อยู่อาศัยในตลาดปรับตัวขึ้นในทิศทางเดียวกัน กระนั้นก็ดี ด้วยการคัดกรองลูกค้าของสถาบันการเงินและหลักเกณฑ์การกำกับดูแลการปล่อยสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยของทางการ ตลอดจนโอกาสที่จะเกิดการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยอย่างรุนแรงจนกระทั่งกระทบกับความสามารถในการชำระหนี้มีค่อนข้างจำกัด จึงทำให้คาดได้ว่าการปรับตัวขึ้นของสินเชื่อที่อยู่อาศัยดังกล่าวจะไม่เป็นประเด็นเสี่ยงสำคัญต่อเศรษฐกิจไทยในอนาคต

สรุป ครบรอบ 16 ปี หลังเศรษฐกิจไทยที่ผ่านพ้นวิกฤตการณ์ปี 2540 การเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างของเศรษฐกิจและพัฒนาการของระบบสถาบันการเงินไทยที่มีความแข็งแกร่งมากขึ้น น่าจะช่วยเป็นหลักประกันได้ในระดับหนึ่งว่าเศรษฐกิจไทยจะไม่เดินซ้ำรอยประวัติศาสตร์ที่เคยบอบช้ำ และสถาบันการเงินจะมีความยืดหยุ่นเพียงพอที่จะสามารถรับมือกับสถานการณ์อันไม่แน่นอนที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
/////////////////////////////////////////////////////////////////

ครม.ปู 5 ปรับเพื่อรับ หรือปรับเพื่อรุก!!?

กระแสข่าวการปรับคณะรัฐมนตรีของรัฐบาลภายใต้นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นการปรับครั้งที่ 5 โดยเป็นการปรับครั้งใหญ่กว่าครั้งที่ผ่านมา จากในโผปรับกว่า 18 ตำแหน่ง โดยใน ครม.ชุดนี้ ประกอบด้วยบุคคลจากหลายส่วน ทั้งฟากของรัฐบาลของอดีตพรรคไทยรักไทย สัดส่วนโควตาพรรคร่วมรัฐบาลเอง และคนนอกที่มีประสบการณ์ในการบริหารกระทรวง กรมต่างๆ เพื่อศักยภาพในการบริหารประเทศที่เพิ่มขึ้น



คุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี

การปรับคณะรัฐมนตรีครั้งนี้ถือว่าเป็นเรื่องที่น่าสนใจ เมื่อมองดูถึงแผนนโยบายบริหารของพรรคเพื่อไทยในด้านต่างๆ ครั้งที่เคยหาเสียงสัญญาไว้ ซึ่งบางนโยบายประสบความสำเร็จ บางนโยบายกำลังดำเนินการ และบางนโยบายต้องประสบปัญหาด้านต่างๆ โดยไม่ว่าจะเป็น ด้านเศรษฐกิจ ด้านการเมือง ด้านสังคมวัฒนธรรม ซึ่งล้วนแต่ต้องผ่านฝ่ายบริหารอย่างรัฐบาลที่มีหน้าที่โดยตรง
ปัญหาที่รัฐบาลประสบ
ด้านเศรษฐกิจ

จากปัญหาด้านต่างๆ จะเห็นได้ว่าเรื่องที่รัฐบาลประสบปัญหามากที่สุด คงจะเป็นปัญหาด้านเศรษฐกิจ ที่รัฐบาลคุณยิ่งลักษณ์ตั้งให้เป็นวาระหลักในการบริหารประเทศ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจให้เติบโตและเร่งปรับแนวเศรษฐกิจของประเทศ ผ่านนโยบายต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นโครงการจำนำข้าว โครงการรถคันแรก โครงการปรับปรุงสาธารณูปโภค ฯลฯ

ซึ่งโครงการเหล่านี้ต้องมีนำเม็ดเงินของรัฐลงทุนก่อน ซึ่งหากมองตามหลักเศรษฐศาสตร์แล้วหากการกระตุ้นนั้นได้ผล รัฐก็จะได้ประโยชน์เพิ่มขึ้นไปด้วย ทั้งด้านการสนับสนุน และเสถียรภาพของรัฐบาลในการบริหารงานด้านอื่นๆ ต่อไป แต่ดูเหมือนว่ารัฐบาลยิ่งลักษณ์ต้องประสบปัญหาสำคัญด้านเศรษฐกิจ จาก 2 ส่วน



ส่วนแรกเป็นปัญหาภายใน จากการกระจุกตัวของเงินเฉพาะคนรวย และเม็ดเงินเหล่านั้นไปไม่ถึงประชาชนที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ต้องการนำลงไปอัดฉีด เช่น นโยบายจำนำข้าวที่ก็เม็ดเงินก็ยังกระจุกตัวอยู่เฉพาะโรงสีและพ่อค้าข้าวรายใหญ่ทำให้เม็ดเงินเหล่านั้นไปไม่ถึงชาวนา ดังนั้น การกระตุ้นเศรษฐกิจโดยการยอมขาดทุนของรัฐบาล โดยให้ชาวนาเป็นผู้กระตุ้นเศรษฐกิจจากการจับจ่ายใช้สอยนั้นก็ต้องมีปัญหาเกิดขึ้น

ส่วนสองเป็นปัญหาจากภายนอก ด้วยสภาพของเศรษฐกิจโลกตอนนี้อยู่ในช่วงซบเซา และตลาดค้าหลักของไทยนั้นก็อยู่ในช่วงดังกล่าว ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐ ยุโรป ซึ่งแม้จะมีการกระตุ้นจากประเทศเหล่านี้ สภาพเศรษฐกิจโลกก็ดูท่าที่จะไม่ดีขึ้น ทำให้รัฐบาลคุณยิ่งลักษณ์ต้องประสบปัญหานี้อย่างปฏิเสธไม่ได้
ด้านการเมือง

ปัญหาที่รัฐบาลต้องประสบด้านการเมืองคงหนีไม่พ้นปัญหาการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่ต้องประสบปัญหาอย่างมากในการบริหารประเทศของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ และเป็นวาระหลักที่หลายฝ่ายมีความต้องการให้แก้ แต่การแก้เหล่านั้นรัฐบาลต้องรับมือกับกระแสโต้จากหลายฝ่าย ด้วยเหตุผลหลักว่าเป็นการแก้ให้พวกพ้องตัวเอง

ซึ่งรัฐธรรมนูญฉบับปี 2550 นั้น หากเรามองล้วนมีปัญหาทั้งด้านที่มาและเนื้อหา ไม่ว่าจะเป็นการให้อำนาจของศาล องค์กรอิสระที่มากเกินไป ทำให้ฝ่ายบริหารทำงานไม่ได้เต็มประสิทธิภาพ เพราะกลัวว่าจะผิดกฎหมาย หรือต้องระวังการถูกฟ้องร้องจากฝ่ายต่างๆ ซึ่งไม่ผิดจากครั้งที่ก่อนมีรัฐธรรมนูญปี 2540 อำนาจบริหารไม่มี ทำให้ขาดประสิทธิภาพในการบริหารประเทศ ทำให้ร่างรัฐธรรมนูญปี 2540 เพิ่มอำนาจให้กับฝ่ายบริหาร แต่รัฐธรรมนูญปี 2550 มิได้เป็นเช่นนั้น

ด้านฐานมวลชน จะเห็นได้ว่าเป็นวาระหลักของมวลชนเสื้อแดงที่สนับสนุนรัฐบาลให้มีการแก้ไข เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้กับฝ่ายบริหารและลบล้างผลพวงจากการรัฐประหาร ซึ่งมีรัฐธรรมนูญ 2550 เป็นเสมือนตัวประสานทางอำนาจของกลุ่มอำนาจฝ่ายทำรัฐประหารที่มีอยู่ในปัจจุบัน
ปรับเพื่อรุก/ปรับเพื่อรับ:

หากมองดูถึงหน้าตาของคณะรัฐมนตรีในโผชุดรัฐบาลยิ่งลักษณ์ 5 จะทำให้เห็นอะไรบางอย่างและใครคุมกระทรวงใด ซึ่งหากมองในตำแหน่งสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นนายกรัฐมนตรี คุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นั่งควบกระทรวงกลาโหม การกลับมาของคุณปวีณา หงสกุล ที่มานั่งคุมกระทรวงพัฒนาสังคม โยกคุณนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล ไปนั่งกระทรวงพาณิชย์ โยกคุณเฉลิม อยู่บำรุง จากรองนายกรัฐมนตรีไปนั่งกระทรวงแรงงานและให้คุณกิตติรัตน์ ณ ระนอง นั่งคุมกระทรวงการคลังและรองนายกเช่นเดิม แต่เพิ่มบทบาทให้ไปดูแลด้านนโยบายจำนำข้าวโดยเฉพาะ และอีกหลายท่านตำแหน่งอื่นๆ


คุณนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล

สิ่งที่จะชี้ของการปรับครั้งนี้ คงต้องพุ่งเป้าไปที่หน้าตาของคณะรัฐมนตรี ซึ่งจะเห็นได้ว่าสิ่งที่คุณยิ่งลักษณ์ใช้เลือก คือ ความสามารถของบุคคลที่ต้องใช้ในการบริหารกระทรวงดังกล่าวและความใสสะอาดในการบริหารงานที่ผ่านมา เพื่อไร้ข้อโต้แย้งของฝ่ายตรงข้าม เพื่อเป็นการลดจุดบอดของรัฐบาล และลดความขัดแย้งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตในการบริหารงานของรัฐบาล เช่นฝ่ายค้านพรรคประชาธิปัตย์ที่มองว่าการปรับคณะรัฐมนตรีชุดนี้เป็นเพียงการเปลี่ยนหน้าเค้กเท่านั้น แต่เนื้อเคยยังเป็นเช่นเดิม และการปรับคณะรัฐมนตรีชุดเก่าเพื่อลดความขัดแย้งในด้านการตรวจสอบ

แต่แน่นอนว่า จุดมุ่งหมายที่รัฐบาลต้องทำให้ประสบความสำเร็จ ซึ่งเป็นเสมือนการลุกคืบของรัฐบาล และต้องทำเพื่ออนาคตของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ในสมัยต่อไป คือ ด้านการกระตุ้นเศรษฐกิจ เพื่อเพิ่มเสถียรภาพรัฐบาลให้เพิ่มขึ้น และด้านการเมือง การแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่เป็นเรื่องที่เรียกได้ว่าจะเป็นจุดสกัดกั้นรัฐบาลในอนาคต หากถูกโจมตีในอนาคต นี้จึงเป็นการปรับทั้งเพื่อรุกและเพื่อรับต่อไปในอนาคตของรัฐบาล

ที่มา.Siam Intelligence Unit
////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันเสาร์ที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2556

มาม่า VS นโยบายรัฐ

 สหพัฒนพิบูลปรับเป้าโตเป็น 10% จากเดิม 15% เหตุกำลังซื้อคนไทยหด เพราะหนี้เพิ่มจากนโยบายรถคันแรก ส่งผลให้ประชาชนเดินห้างสรรพสินค้าน้อยลง ยอดขายมาม่าตก
   
นายบุญชัย โชควัฒนา ประธานกรรมการบริหาร บมจ.สหพัฒนพิบูล เปิดเผยว่า ผลพวงจากนโยบายรถคันแรกของรัฐบาลที่ผ่านมา ทำให้กำลังซื้อของคนไทยลดน้อยลงตามไปด้วย แม้ว่าจะมีประชาชนบางส่วนเริ่มทิ้งใบจองกันไปบ้างแล้ว แต่ยังไม่ได้ทำให้กำลังซื้อเพิ่มขึ้นแต่อย่างใด ขณะที่ห้างสรรพสินค้าร้อยละ 90 ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ในตอนนี้คนเริ่มมาเดินห้างน้อยลง สินค้าภายในห้างสรรพสินค้ายอดก็ลดลงไปเช่นกัน ซึ่งแม้ว่าจะมีนโยบายค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาทเข้ามา ทำให้รายได้ของประชาชนเพิ่มขึ้น แต่ราคาสินค้าก็ขึ้นตามไปด้วยเหมือนกัน ประโยชน์ที่จะเพิ่มกำลังซื้อจากนโยบายดังกล่าวจึงแทบจะไม่มีเลย ขณะนี้บริษัททำงานเหมือนแข่งกับนโยบายของรัฐบาลด้วยซ้ำ
   
สำหรับยอดการจำหน่ายบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปมาม่า ในตอนนี้ยอดก็ตกลงไปด้วย แม้ว่าเศรษฐกิจจะไม่ดี แต่ก็ไม่ได้ทำให้ผู้บริโภคหันมาซื้อบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปในการรับประทานมากขึ้น เพราะบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปมิได้เป็นตัวชี้วัดว่าเศรษฐกิจดีหรือไม่อย่างแท้จริง โดยการบริโภคของคนไทยที่ผ่านมานิยมซื้อแบบเป็นแพ็ก ซึ่งนั่นหมายถึงการบริโภคจำนวนมาก แต่ในขณะนี้ผู้บริโภคนิยมซื้อแบบทีละซอง การบริโภคลดลง ทำให้ยอดมาม่าตกลงไปด้วย
   
ทั้งนี้ ช่วงที่ผ่านมาธุรกิจรองเท้าและถุงเท้าต้องปิดกิจการไป เนื่องจากสู้กับการปรับค่าแรงขั้นต่ำไม่ไหว เพราะธุรกิจดังกล่าวต้องใช้แรงงานเป็นจำนวนมาก เนื่องจากเป็นธุรกิจส่งออก เพื่อแก้ปัญหาการใช้แรงงานคน จึงได้มีการใช้หุ่นยนต์เข้ามาช่วยในการผลิตมากขึ้น อย่างโรงงานไลออน ก็เริ่มหันมาใช้หุ่นยนต์แทนการใช้คนมากขึ้น และก็ยังคาดว่าจะมีการใช้เทคโนโลยีดังกล่าวในอีกหลายโรงงานในอนาคต
   
ขณะที่ครึ่งปีที่ผ่านมาตัวเลขการเติบโตตกลงเหลือแค่ 8% จากเดิมต้องโตประมาณ 10% ขึ้นไป โดยเป้าการเติบโตในแต่ละปีตั้งไว้ที่ประมาณ 15% แต่ในปีนี้คงต้องลดเป้าลงเหลือแค่ 10% เท่านั้น จากสภาวะเศรษฐกิจช่วงครึ่งปีแรกที่ส่อแววไม่ดีนัก รวมถึงกำลังซื้อของคนไทยในครึ่งปีหลังนี้ก็ยังมองไม่เห็นปัจจัยที่จะทำให้กำลังซื้อเพิ่มขึ้นได้แต่อย่างใด.

ที่มา.ไทยโพสต์
//////////////////////////////////////////////////////////////

ปรัชญา :ในศาสนาที่สำคัญ ในการสร้างกรอบวินัยการเงินการคลัง !!?

การมีหน้าที่เสียภาษีให้แก่หลวงเป็นราชพลี มีนิทัสนะในชาดกที่เล่าไว้ว่า ได้แก่ “บ้านส่วย” อันเป็นสถานที่เก็บภาษีอากรที่มีมาแล้วในพุทธกาล  ผู้ใดเป็นเจ้าของหรือมีอำนาจใน  บ้านส่วย”  ที่จะต้องได้รับพระราชทานจากพระมหากษัตริย์ต้องเป็นผู้ที่มีความสื่อสัตย์สุจริตมีความชอบถึงขนาดเป็นที่ประสบพระราชอัธยาศัยจึงจะได้รับพระราชทาน “บ้านส่วย”  ดังมีนิทัศที่เล่าไว้อย่างน่าใคร่ครวญเพื่อเป็นแนวทางพิจารณาวิเคราะห์วิจารณ์เรื่องความ “พอใจ” และ “กิเลส ของมนุษย์ที่เป็น “นานาจิตตัง”  ดังนี้

“ท่านปุโรหิตแห่งพาราณสีนอกราชการ  กระทำความชอบขนาดเป็นที่สบพระราชอัธยาศัยของพระเจ้าพระพาราณสี  จึงได้รับพระราชทานพรให้เลือกขอรับพระราชทานในสิ่งที่ตนประสงค์ได้  ท่านขอโอกาสกลับมาหารือกันดูก่อนว่าจะขอรับพระราชทานสิ่งใด  เพื่อมิให้เป็นที่ขัดใจกันในระหว่างผู้อยู่ร่วมกัน  เมื่อมาถึงบ้านแล้ว  ท่านก็เรียกประชุมคนในบ้าน คือ ภรรยา ลูกชาย ลูกสะใภ้ และนางปุณณทาสี ตนเอ็งเป็นประทานในที่ประชุม  ท่านปุโรหิตผู้เป็นประทาน  เปิดประชุม  กล่าวถึงที่ได้รับพระราชทานพรจากพระราชา ดำเนินอนุสนธิว่า เราจะขอรับพระราชทานอะไรถึงจะดีและเสนอขึ้นก่อนว่า 
“เราจะขอรับพระราชทานบ้านส่วยจะเห็นเป็นอย่างไร”

ภรรยา “ดิฉันใคร่ขอรับพระราชทานรถเทียมโคนมสัก ๑๐๐” 
ลูกชาย“ผมใคร่จะขอรับพระราชทานรถเทียมม้าอาชาไนย” 
ลูกสะใภ้“ดิฉันใคร่ขอรับพระราชทานเครื่องประดับงามๆ” 
นางปุณณาทาสี“ดิฉันใคร่ขอรับพระราชทาน ครกและสาก” 

ท่านปุโรหิตไม่ได้รับความเห็นร่วมจากคนของตนเลย  ความพอใจของท่านที่จะขอรับพระราชทาน “บ้านส่วย” ไม่อาจทำให้ผู้อื่นคล้อยตามได้  ครั้นจะถือความพอใจของตนเป็นประมาณก็จะเป็นเหตุทำลายความอยู่เย็นเป็นสุขอันเคยมีมาแต่ก่อน  ท่านปุโรหิตต้องพิเคราะห์หนักในที่สุดไม่รู้จะชี้ขาดได้อย่างไร  ต้องนำความขึ้นกราบบังคมทูลพระกรุณาถึงความพอใจที่ต่างกันนั้นๆ ดังนี้ 

-ขอเดชะพระบารมีปกเกล้า 
                ข้าพระพุทธเจ้า จะรอรับพระราชทานบ้านส่วย 
                ภรรยา อยากรวยให้รับพระราชทานโคนมหนึ่งร้อย 
                ลูกชายสำออยให้ขอรับพระราชทานรถม้าอาชาไนย 
                ลูกสะใภ้อ้อนใหญ่ให้ขอรับพระราชทานอลังการดีๆ 
                นางปุณณาทาสี  คะยั้นคะยอให้ขอรับพระราชทานครกและสาก
               
 เป็นความยากล้นเกล้าล้นกระหม่อมอยู่แล้ว  สุดแต่จะทรงพระมหากรุณาโปรดเกล้า เถิดพระเจ้าข้า
                พระเจ้าพาราณสีทรงพระสรวล และพระราชทานให้ทุกอย่างแก่ทุกคน 
                จากเรื่องนี้แสดงว่า  ความพอใจแล้วแต่อัธยาศัยของคน  ความพอใจที่ประกาศออกมานั้นเป็นเครื่องส่องอัธยาศัย  และความพอใจของคนในบ้านเดียวกัน อยู่ร่วมร่มไม้ชายคายังต่างกัน ๕ คน เป็น ๕ อย่าง  หากกว้างกว่านั้น เป็นเมือง เป็นประเทศ เป็นโลก จะต่างกันประการไร

อนึ่ง ผู้เขียนขออนุญาตมีความเห็นเพิ่มเติมว่า นางปุณณาทาสีเป็นผู้มีความต้องการตามอัตภาพของตนถึงขนาดคะยั้นคะยอเพียงขอรับพระราชทานเพียง ครกและสาก เท่านั้น ทั้งๆที่ถ้ามีความโลภหรือไม่มีความ “พอ” เหมือนเช่นบุคคลอื่นๆแล้วจะขอพระราชทานมากกว่านั้นก็ได้ จึงเป็นบุคคลน่าจะเป็นผู้ที่ได้รับการยกย่องสรรเสริญเพราะเป็นผู้ใช้ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง

เรื่องนางปุณณทาสีอาจเปรียบเทียบได้กับลูกศิษย์ที่ขงจื๊อโปรดปรานคนหนึ่งชื่อ “เหยียนหุย” ซึ่งครอบครัวจนมากอาศัยอยู่ในตรอกซอยที่เป็นสลัม ชีวิตของเขายากเข็ญ  แต่ลูกศิษย์ผู้นี้ก็มีความพอใจ ซึ่งบางคนอาจอ้างว่าความรวยความจนก็คือชีวิตและคนจนก็ต้องทนอยู่ไปวันๆ  แต่ทว่าเหยียนหุยผู้นี้ได้รับความชมชอบนับถือไม่ใช่เพราะเขาทนได้กับภาวะเศรษฐกิจเช่นนี้ แต่เป็นเพราะทรรศนะของเขาต่อการดำรงชีวิตซึ่งคนทั้งหลายจะรู้สึกว่าวิถีชีวิตเช่นนี้ก็คือความยากลำบาก  แต่สำหรับเหยียนหุยแล้ว  เขารักษาทรรศนะที่เป็นรูปธรรมได้เสมอ ขงจื๊อจึงสรุปว่า บุคคลที่เป็น

ผู้เป็นเลิศ (เสียนเจ่อคือคนที่ไม่เคยให้วัตถุปัจจัยมากำหนดชีวิตของตนซึ่งทำให้เขาสามารถรักษาชีวิตอันสงบนิ่งได้

ในสังคหวัตถุของผู้ครองแผ่นดิน  หรือราชสังคหวัตถุ  ๔  คือหลักการสงเคราะห์ประชาชนของผู้ปกครอง  
                 ๑ สัสสเมธะ  คือ พระปรีชาฉลาดในอันบำรุงที่เป็นสมบัติใหญ่ของบ้านเมือง  ความฉลาดในการบำรุงพืชพันธุ์ธัญญาหาร  ส่งเสริมการเกษตร
                 ๒ สัมมาปาสะ ความรู้จักผูกผสานรวมใจประชาชนด้วยการส่งเสริมอาชีพ  เช่นให้คนจนกู้ยืม  บำรุงพานิชยกรรมการค้าขายอันเป็นอุบายดังบ่วงคล้องน้ำใจพวกพานิชภายในภายนอกไว้โดยชอบ  เป็นทางประกอบพระราชทรัพย์ขึ้นพระคลังและทำความมั่งคั่งสมบูรณ์แห่งพระราชอาณาเขต      
              ๓  ปุริสเมธะ  ความฉลาดในการบำรุงข้าราชการ  รู้จักส่งเสริมคนดีมีความสามรถ 
              ๔  วาชเปยะ  หรือ  วาจาเปยยะ  ความมีวาจาอันดูดดื่มน้ำใจ น้ำคำควรดื่ม  คือ  รู้จักพูด  รู้จักปราศรัย  ไพเราะ  สุภาพนุ่มนวล  ประกอบด้วยเหตุผล มีประโยชน์  เป็นทางแห่งสามัคคี  ทำให้เกิดความเข้าใจอันดี  และความนิยมเชื่อถือ

นอกจากนี้พระพุทธเจ้าได้ตรัสสอนข้อปฏิบัติสำคัญที่จะทำให้เกิดผล คือ ความมั่นคงทางเศรษฐกิจ ทำให้มีทรัพย์สินเงินทอง พึ่งตนเองได้ เรียกว่า “ธรรมที่เป็นไปเพื่อประโยชน์ปัจจุบัน” หรือธรรมที่เป็นไปเพื่อ
 ทิฎฐธัมมิกัตถะ เรียกชื่อเต็มว่า “ทิฎฐธัมมิกัสังวัตตนิกธรรม” มีสี่ข้อด้วยกัน

๑ อุฎฐานสัมปทา  ถึงพร้อมด้วยความหมั่น คือ ขยันหมั่นเพียรในการปฏิบัติหน้าที่การงาน ประกอบอาชีพอันสุจริต  มีความชำนาญ รู้จักใช้ปัญญาสอดส่อง  ตรวจตรา หาอุบายวิธี สามารถจัดดำเนินให้ได้ผลดี

๒  อารักขสัมปทา  หมายถึงความพร้อมด้วยการรักษา  คือรู้จักคุ้มครองเก็บรักษาโภคทรัพย์ทรัพย์  และ ผลงานอันตนได้ทำไว้ด้วยความขยันหมั่นเพียรโดยชอบธรรม  ด้วยกำลังงานของตนไม่ให้เป็นอันตรายหรือเสื่อมเสีย 

๓  กัลยาณมิตตตา  คบคนดีเป็นมิตร  คือ รู้จักกำหนดบุคคลในถิ่นที่อาศัย เลือกเสวนาสำเหนียกศึกษาเยี่ยงอย่างท่านผู้ทรงคุณมีศรัทธา ศีล จาคะ ปัญญา 

๔  สมชีวิตามีความเป็นอยู่เหมาะสม คือ รู้จักกำหนดรายได้และรายจ่ายเลี้ยงชีวิตแต่พอดี  มิให้ฝืดเคืองหรือฟูมฟาย ให้รายได้เหนือรายจ่าย มีประหยัดเก็บไว้      
                
นอกจากนี้ยังมีหลักการจัดสรรแบ่งทรัพย์ที่ชื่อว่า “โภควิภาค ๔”  คือ การแบ่งโภคะโดยจัดสรรออกเป็น ๔ ส่วน ที่ท่านพระพรหมคุณาภรณ์ (..ปยุตฺโต) ได้อธิบายไว้หนังสือ พจนานุกรมพุทธศาสตร์  ฉบับประมวลธรรม  ดังนี้  
                
โภควิภาค  ๔  คือ การแบ่งโภคะออกเป็น  ๔  ส่วน  หลักการแบ่งทรัพย์โดยจัดสรรเป็น ๔ ส่วน(Bhogavibhaga fourfold division of money)                       
         
 ๑ เอเกน โภเค  ภุญเชยฺย ๑ ส่วนใช้เลี้ยงตน เลี้ยงคนที่ควรบำรุง และทำประโยชน์(On  one  part  he  should  live  and  do  his  duties  towards  others)
          
๒.-๓.  ทฺวีหิ กมฺมํ  ปโยชเย ๒ ส่วนใช้ลงทุนประกอบงาน(With  two  parts  he  should  expand  his  business)
                
๔.จตุตฺถญจ นิธาเปยฺย อีก ๑ ส่วนเก็บไว้ใช้ในคราวจำเป็น (And he should save the fourth a rainy day)

จะเห็นได้ว่าหลักพุทธจริยธรรมทางการเงินและการคลังที่ได้อัญเชิญมาบางส่วนนี้ล้วนเป็น “อกาลิโก”  ทั้งสิ้น ถ้าจะได้นำมาปรับใช้เป็นหลักและแนวคิดในการจัดทำนโยบายการสร้างวินัยทางการคลังและจัดสรรงบประมาณรายจ่ายตามนโยบายของรัฐบาลที่เป็นไปตามกฎอนิจจังเพราะทรัพยากรของชาติโดยเฉพาะเงินแผ่นดินที่จะนำไปพัฒนามีอยู่อย่างจำกัดและเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา

ดังนั้น ถ้ามนุษย์ใช้มันด้วย “สติ” และ “ปํญญา” มี “โยนิโสมนสิการ”  ดังที่ท่านพระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตโต) อธิบายว่าคือ......การใช้ความคิดถูกวิธี คือ การทำในใจโดยแยบคาย มองสิ่งทั้งหลายด้วยความคิดพิจารณาสืบค้นถึงต้นเค้า สาวหาเหตุผลจนตลอดสาย แยกแยะออกพิเคราะห์ดูด้วยปัญญาที่คิดเป็นระเบียบและโดยอุบายวิธี ให้เห็นสิ่งนั้นๆ หรือปัญหานั้นๆ ตามสภาวะและตามความสัมพันธ์แห่งเหตุปัจจัยโดยปฏิบัติต่อมันอย่างถูกต้องก็จะเป็นปัจจัยที่เกื้อกูลทั้งในการพัฒนาตัวมนุษย์เองและในการนำการพัฒนาที่ยั่งยืนไปสู่จุดหมาย

ฐานะการเงินการคลังของประเทศไทยและชีวิตของประชาชนชาวไทยส่วนใหญ่คงจะไม่ตกอยู่ความ “อัตคัดขัดสน ดังในสภาพเช่นในปัจจุบันนี้

ที่มา.นสพ.แนวหน้า
////////////////////////////////////////////////////////////////////

แพ้ทุกแนวรบ !!??

โดย : นพคุณ ศิลาเณร

การถอยร่นของรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ในท่วงทำนองยอมลดราคาจำนำข้าวเปลือกลงเหลือ 12,000 บาทต่อตัน และจำกัดวงเงินเพียง 500,000 บาทต่อครอบครัว คือการทำลาย “จุดแข็ง” จำนำข้าวทุกเมล็ด ไม่จำกัดปริมาณอย่างย่อยยับ

นั่นสะท้อนถึงความล้มเหลวของนโยบายจำนำข้าว และความน่าเชื่อถือของรัฐบาลเสียหายยับเยิน

โครงการจำนำข้าวเปลือก เป็นนโยบายสร้างมวลชนคนชนบทให้สนับสนุนพรรคเพื่อไทยจนชนะเลือกตั้งทั่วไปปี 2554 แล้วก่อเกิดรัฐบาลตระกูล “ชินวัตร” รุ่น 3 มาบริหารประเทศ

รัฐบาลยิ่งลักษณ์ลงมือทำนโยบายจำนำข้าวเปลือกราคา 15,000 บาทต่อตันได้เพียง 3 ครั้ง คือ ในฤดูข้าวเปลือกนาปี 2554/2555 ข้าวเปลือกนาปรังปี 2555 และข้าวเปลือกนาปี 2555/2556

ส่วนข้าวนาปรังปี 2556 ซึ่งใกล้เก็บเกี่ยว แต่รัฐบาลปรับเปลี่ยนเงื่อนไขสำคัญ โดยลดราคาเหลือ 12,000 บาทต่อตัน ทำให้ชาวนาไม่พอใจ เริ่มก่อหวอดชุมนุมประท้วง เรียกร้องให้รับจำนำข้าวในราคา 15,000 บาทต่อตันตามเดิม จนรัฐบาลอยู่ในอาการ “หลังผิงฝา” ไร้หนทางเดินอย่างราบรื่น

นี่เป็นการแพ้เชิงนโยบายครั้งสำคัญ อันมีสาเหตุมาจากถูกโจมตีว่า “ขาดทุน”

อันที่จริง นโยบายจำนำข้าวเปลือก เป็นมาตรการแทรกแซงราคาข้าวเพื่อช่วยเหลือชาวนาให้ขายข้าวได้ราคาสูงกว่าราคาตลาดของพ่อค้าคนกลางรับซื้อ

เมื่อราคาจำนำสูงกว่าราคาตลาดข้าว ย่อมต้องขาดทุนสถานเดียว ยากจะเป็นอย่างอื่นได้

แต่การขาดทุนจำนวน 1.3 แสนล้านบาทตามข้อมูลของรัฐบาล หรือขาดทุนบักโกรกถึง 2.6 แสนล้านบาทจากการโจมตีของพรรคประชาธิปัตย์นั้น

ทุกข้อมูลการขาดทุน ล้วนพุ่งตรงไปสู่เป้าหมาย “แก้ปัญหาความยากจน” ของประเทศทั้งสิ้น หากพิจารณาเม็ดเงิน 1-2 แสนล้านบาทที่รัฐบาลใช้แก้ไขความยากจนของชาวนากว่า 16 ล้านคนแล้ว ย่อมเป็นสิ่งคุ้มค่าเหนือคำบรรยายใดๆ

เพราะความยากจนเป็นทุกข์ของชาวนา และเป็นทุกข์ของชาติ การช่วยเหลือชาวนาผ่านนโยบายจำนำข้าวเท่ากับแก้ไขปัญหาใหญ่ของประเทศ

แม้นโยบายจำนำข้าวเกิดผล “ขาดทุน” แต่เงินที่ลงสู่คนยากจนไม่เสียเปล่า เงินกว่าแสนล้านบาทล้วนถูกหมุนย้อนกลับมาสู่ระบบเศรษฐกิจตลาด และสร้างมูลค่ากลับคืนได้หลายแสนล้านบาท นี่เป็นผลทางการเมือง ซึ่งผู้นำต้องเข้มแข็ง มีจุดยืนแน่วแน่

เพราะสิ่งนี้คือ “กำไร” ที่เกิดจากผลการขาดทุนของนโยบายจำนำข้าว แต่รัฐบาลเมื่อถูกรุกทางการเมืองจากคนชั้นกลาง แล้วรวนเร ไปไม่เป็นมืดแปดด้าน จิตวิตก ยอมสูญเสียทางการเมือง สาเหตุเกิดจากผู้นำไร้จุดยืนกับคนยากจน

แล้วเมื่อถูกพรรคประชาธิปัตย์รุกกระหน่ำ โจมตีซ้ำว่า การขาดทุนเท่ากับการทุจริตคอร์รัปชั่น รัฐบาลยิ่งลักษณ์จึงไปไม่เป็น เพราะประเด็นโกงกินเมื่ออธิบายผ่านการขาดทุนโครงการจำนำข้าวจึงเป็นรูปธรรม ทำให้สังคมคล้อยตาม สถานการณ์รัฐบาลจึงลำบาก

เมื่อแนวรบการทำงานตามนโยบายช่วยเหลือคนจนถูกตีแตกกระเจิงด้วยข้อหาโกงกิน นับประสาอะไรนโยบายแก้ไขปัญหาน้ำท่วมด้วยเงิน 3.5 แสนล้านบาท และการลงทุนสร้างระบบโครงสร้างพื้นฐานจากเงินกู้จำนวน 2.2 ล้านล้านบาทจะไม่ถูกโจมตี จนหมดความน่าเชื่อถือ

แน่นอนการโจมตีด้วยข้อหา “โกงกิน” จากนโยบายของรัฐบาลต้องดังกระหึ่มขึ้น เสียงเรียกร้องไล่รัฐบาลยิ่งลักษณ์จึงมีแนวโน้มจุดติด

ย่อมเป็นธรรมดา เมื่อรัฐบาลสูญเสียความชอบธรรมจากนโยบายจำนำข้าวแล้ว การเชื่อมโยงปม “โกงกิน” ไปสู่การอธิบายยุทธศาสตร์โค่น “ระบอบทักษิณ” จึงมีพลังอยู่ไม่น้อย

ฝ่ายต่อต้านรัฐบาลในชื่อ “กลุ่มหน้ากากขาว” ชูรหัสล้มระบอบทักษิณ ไล่รัฐบาลยิ่งลักษณ์จึงมีแนวโน้มขยายตัวมากขึ้นจน ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี เกิดข้อกังขา แล้วควานหา “อักษรย่อ” ของผู้อยู่เบื้องหลังมาประจาน

ตามความเชื่อของกลุ่มหน้ากากขาวมีพื้นฐานการเคลื่อนไหวทางการเมืองอยู่ที่ “การโกงกิน” แม้พรรคเพื่อไทยชนะเลือกตั้ง แต่รัฐบาลตาม “วิถีการเลือกตั้ง” กลับมาสร้างระบอบทักษิณเข้าแทนที่ระบอบประชาธิปไตยนั่นเท่ากับ “หมดท่า” ทางการเมือง กลายเป็นประชาธิปไตยซ่อนรูปแบบ

กลุ่มหน้ากากขาวมองว่า ระบอบทักษิณแตกต่างจากระบอบประชาธิปไตย ดังนั้น การล้มระบอบทักษิณ ไล่รัฐบาลยิ่งลักษณ์จึงเท่ากับการสร้างระบอบประชาธิปไตยขึ้นและมีความชอบธรรม

เพราะระบอบทักษิณติดอาวุธทุนสามานย์ มีพฤติกรรมกอบโกยผลประโยชน์เข้าพกเข้าห่อพรรคพวกและครอบครัวการเมือง

ด้วยวิธีคิดเยี่ยงนี้ เมื่อถูกตอกย้ำถี่ขึ้น ย่อมกลายเป็นความเคยชิน เกิดความคล้อยตาม และกลายเป็นความเชื่อฝังหัวยากต่อการสลัดทิ้ง

นี่เป็นอีกแนวรบหนึ่ง ที่เริ่มก่อรูปมาโจมตีรัฐบาลอย่างมีพลัง และบ่งบอกถึงแนวโน้มรัฐบาลกำลังแพ้ไม่เป็นท่าในอนาคต

ไม่เพียงเท่านั้น แนวรบด้านจุดยืนทางการเมืองรัฐบาลยิ่งลักษณ์ และพรรคเพื่อไทย แพ้อย่างหมดรูปมาแล้วในกรณีการแก้ไขรัฐธรรมนูญและสร้างสังคมปรองดองขึ้น

การแก้ไขรัฐธรรมนูญผ่านมาตรา 291 ถูกศาลรัฐธรรมนูญเล่นงานจนรัฐบาลไม่กล้ากระดิกตัวและขยาดกับการเดินหน้าลงมติวาระ 3 ดังนั้น หนทางแก้ไขรัฐธรรมนูญและการเสนอกฎหมายนิรโทษกรรม รวมทั้งการพิจารณากฎหมายปรองดองฉบับ ร.ต.อ.เฉลิม ในช่วงสมัยประชุม ซึ่งจะเริ่มขึ้นเดือนสิงหาคมนี้ ย่อมมองเห็นอาการ “ถอย” ของรัฐบาลอีกเช่นเคย

การแพ้ทุกแนวรบของรัฐบาลและพรรคเพื่อไทยนั้น ราวกับเป็นการรักษา “จุดแข็ง” ในยุทธศาสตร์ “เลือกตั้ง” เอาไว้ เพราะเชื่อว่าการเลือกตั้งทำให้ “ชนะทางการเมือง” และกลับมาเป็นรัฐบาลอีกครั้ง...พวกเขาคิดเพียงแค่นี้ !!?

คิดง่ายๆ เพียงว่า แนวรบการเลือกตั้งทำให้ได้ “อำนาจ” บริหารประเทศ แม้ได้คุมรัฐบาลและสภาไว้ในกำมือ แต่ไร้ศักดิ์ศรีทางการเมือง หากไม่มีจุดยืนสร้างสรรค์พลังประชาธิปไตยให้เติบใหญ่ในสังคมไทย

“อำนาจ” ที่ได้มา ย่อมหมดราคา

สิ่งนี้จึงเป็นข้อแตกต่างอย่างน่าสนใจยิ่งระหว่างระบอบทักษิณกับระบอบประชาธิปไตย และความแตกต่างเช่นนี้จึงเป็นจุดอ่อนให้ถูกรุกทางการเมือง จนตกอยู่ในสถานการณ์ “แพ้ทุกแนวรบ” ในปัจจุบัน

ที่มา.สยามธุรกิจ
/////////////////////////////////////////////////////////////////////////

ศุภชัย.ชี้ทางรุ่งธุรกิจไทยในเออีซี ชูสินค้าบริการ พัฒนาโลจิสติกส์ เชื่อมตลาดจีน !!?

ศุภชัย พานิชภักดิ์ เลขาธิการอังค์ถัด ชี้ไทยอยากรุ่งนำประเทศอาเซียนเร่งสปีดธุรกิจบริการ ชูโมเดล "เอาต์ซอร์ซ" ฟิลิปปินส์แบบอย่างเด่น พร้อมพัฒนาโลจิสติกส์ใน-นอกประเทศควบคู่ทั้งระบบ

รายงานจากสัมมนาในวาระครบรอบก่อตั้ง 50 ปี มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย โดยมีนายศุภชัย พานิชภักดิ์ เลขาธิการการประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการค้าและการพัฒนา หรือ UNCTAD กล่าวปาฐกถาในหัวข้อ "Thailand"s Future : How to Lead Trade and Investment in the ASEAN"s Frontier ? Lessons & Learns from My Whole Life Experience"

นายศุภชัยกล่าวว่า สินค้าบริการเป็นอนาคตของเศรษฐกิจโลก เนื่องจากเกี่ยวพันกับการค้า การออกไปลงทุนต่างประเทศ และการเดินทางติดต่อของโลกธุรกิจปัจจุบัน เพราะเมื่อนักธุรกิจหรือนักท่องเที่ยวเดินทางไปต่างประเทศต้องพึ่งพาธุรกิจ บริการเสมอ กระทั่งปัจจุบันการใช้ธุรกิจบริการจากต่างประเทศขณะที่อยู่ในประเทศตัวเองก็ เป็นที่แพร่หลาย เป็นการบริการข้ามแดน ธุรกิจนี้จึงสำคัญมาก

"ทั้ง นี้ หากไทยมุ่งพัฒนาสินค้าบริการ จะทำให้ไทยเติบโตได้ในอนาคตอย่างดี เพราะสอดคล้องกับการเป็น "ฮับอาเซียน" ที่ไทยต้องการ และรองรับสิ่งที่ไทยจะทำในอนาคต อยากให้มองประเทศฟิลิปปินส์เพราะเป็นอีกประเทศที่ประสบความสำเร็จอย่างมากใน การพัฒนาธุรกิจบริการ โดยเฉพาะการเอาต์ซอร์ซจนช่วยให้เศรษฐกิจดีขึ้น"

"ไทย ควรส่งเสริมธุรกิจนี้ด้วย เพราะฟิลิปปินส์เติบโตอย่างมากช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา เพราะการรับจ้างบริหารระบบธุรกิจ หรือ Business Process Outsourcing ที่ฟิลิปปินส์มุ่งพัฒนาเติบโตสูง ซึ่งหากต้องการพัฒนาในด้านนี้ต้องมีแรงงานจำนวนมาก ที่ต้องได้รับการอบรมด้านเทคโนโลยี และโดยเฉพาะอย่างยิ่งภาษาอังกฤษ นี่เป็นหนึ่งในสาขาธุรกิจบริการที่โดดเด่น กระทั่งประเทศในแถบแอฟริกาเริ่มพัฒนาเรื่องนี้แล้ว" นายศุภชัยกล่าว

นาย ศุภชัยกล่าวถึงภาพรวมธุรกิจสินค้าบริการของอาเซียนว่า ข้อตกลงด้านนี้มีมานาน แต่ไม่เดินหน้า ยังย่ำอยู่กับที่ และจำเป็นต้องปรับปรุงให้เกิดมาตรฐานกลางของอาเซียนเป็นมาตรฐานเดียวกัน ส่วนการถือหุ้นภายในอาเซียนควรเท่าเทียมกันทั้งหมด ไม่ให้เกิน 70% ในทุก ๆ สาขาบริการ โดยไม่มีการยกเว้น เพราะอุปสรรคสำคัญคือ ยังมีกฎระเบียบภายในของบางประเทศที่พยายามกีดกันและเลือกปฏิบัติไม่เท่า เทียมกัน

ทั้งนี้ การสร้างกฎหมายกลางระหว่างกันเป็นเรื่องยากที่จะบังคับใช้ แต่จำเป็นต้องมีอย่างยิ่งในอนาคต โดยเฉพาะอย่างยิ่งกฎหมายทางการเงินที่ควรมีหน่วยงานกลางดูแล ทั้งยังต้องลดการกีดกันการค้าที่มีสูง โดยเฉพาะประเทศอินโดนีเซียและอินเดีย ที่ต้องเปิดมากกว่านี้

นายศุภชัยเพิ่มเติมว่า "รัฐบาลต้องมุ่งพัฒนาระบบโลจิสติกส์ในประเทศเพื่อเชื่อมอาเซียนและประเทศ CLMV (กัมพูชา ลาว เมียนมาร์ และเวียดนาม) โดยหากอ้างอิงจากดัชนีความสามารถในการแข่งขันด้านโลจิสติกส์ (Logistics Performance Index : LPI) ของธนาคารโลกปีล่าสุด (2555) จะเห็นว่า CLMV และไทยยังต้องพัฒนาด้านนี้เทียบกับระดับโลก ขณะที่สิงคโปร์นั้นดีมากระดับโลกเช่นกัน"

ดัชนี LPI ปี 2555 ระบุว่า จากคะแนนเต็ม 5 สิงคโปร์อยู่ที่ 4.13, มาเลเซีย 3.49, ฟิลิปปินส์ 3.02, ไทย 3.18, อินโดนีเซีย 3.02, เวียดนาม 3.00, เมียนมาร์ 2.37, กัมพูชา 2.56 และลาว 2.50

อย่างไรก็ตาม นายศุภชัยเห็นว่า นักลงทุนต้องฉวยโอกาสจากเส้นทางถนนที่กำลังจะเสร็จสมบูรณ์ โดยเฉพาะเส้นทาง R3A ที่เชื่อมเมืองเชียงรุ้ง มณฑลคุนหมิงในจีนตอนใต้ ลงมาเมืองห้วยทรายในลาว และเชียงของ จ.เชียงรายในไทย ซึ่งสะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่ 4 กำลังจะเปิดใช้ โดยภาครัฐประเทศต่าง ๆ ต้องดูแลภาพรวมกฎระเบียบ และข้อตกลงศุลกากรให้ชัดเจนยิ่งขึ้น

"เอกชน ไทยต้องเข้าถึงตลาดจีนให้ได้มากที่สุด ปัจจุบันจีน-อาเซียนค้าขายระหว่างกันอยู่ที่ร้อยละ 16 และมีแนวโน้มจะเพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ ขณะที่การค้าอาเซียน-ยุโรป และอาเซียน-อเมริกา ลดลงมาอยู่ราวร้อยละ 10-11 โจทย์ขณะนี้คือ ใครเข้าถึงจีนได้มากกว่าได้เปรียบ"

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
////////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันศุกร์ที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2556

คลังคาด GDP ปีนี้เหลือ4.5% !!?

คลังปรับลดคาดการณ์เศรษฐกิจปีนี้เหลือ 4.5% หลังจากส่งออกร่วง-กำลังซื้อในประเทศลด ด้าน สศช. ชี้ปีนี้โตต่ำกว่า 5% ระบุไตรมาส 2 แย่ลงกว่าที่คาด

สำนักวิจัยทั้งภาครัฐและเอกชนปรับประมาณการเศรษฐกิจปีนี้ลง หลังจากเศรษฐกิจไทยได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจโลกที่ยังฟื้นตัวล่าช้า และเริ่มส่งผลกระทบต่อการบริโภคภายในประเทศจากการส่งออกสินค้าเกษตรที่ปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง

สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ซึ่งเป็นหน่วยงานด้านการวิจัยของกระทรวงการคลัง ได้ปรับประมาณการผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ในปีนี้ลงเหลือ 4.5% จากการคาดการณ์เดิมต้นปีที่ 4.8% ซึ่งเป็นการปรับครั้งที่สอง แม้ว่าก่อนหน้านี้จะปรับเพิ่มขึ้นในเดือนมี.ค. 2556 ที่คาดว่าจะขยายตัว 5.3% จากการบริโภคขยายตัว

นายสมชัย สัจจพงษ์ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) กล่าวว่าการปรับตัวเลขประมาณการเศรษฐกิจใหม่ เนื่องจากเศรษฐกิจประเทศคู่ค้า 14 ประเทศยังฟื้นตัวล่าช้า โดยเฉพาะจีน ยุโรป สหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่น

"สศค.ประเมินว่า เศรษฐกิจไทยยังอยู่ในภาวะที่ดี ไม่ถึงขั้นเลวร้าย แม้จะมีปัจจัยภายนอกเข้ามากระทบ แต่ปัจจัยภายในยังมีความแข็งแกร่ง โดยดัชนีชี้วัดเศรษฐกิจที่สำคัญลดลงหลายรายการ แต่ลดลงไม่มากนัก แม้ว่าไตรมาสแรกจะติดลบ 2.2% เมื่อเทียบกับไตรมาส 4 ปี 2555 แต่ไตรมาส 2 ของปีนี้ เมื่อเทียบกับไตรมาสแรก คาดว่าจะขยายตัวเป็นบวก 1.7% ไม่ได้ติดลบ 2 ไตรมาส"

นายสมชัยกล่าวว่าเศรษฐกิจไทยได้รับผลกระทบจากภาคส่งออกที่ชะลอตัวลง การลงทุนของภาคเอกชนเดือนพ.ค. ติดลบ 1.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวของปีก่อน ขณะที่ การใช้จ่ายภาคเอกชน ก็มีแนวโน้มชะลอลง และการบริโภคภาคเอกชนก็คาดว่าจะขยายตัวในอัตราที่ชะลอลงจากปีก่อนเช่นกัน โดยคาดว่าการบริโภคภาคเอกชนจะชะลอลงมาอยู่ที่ 3.6% จากเดิม 4.6% ในขณะที่การบริโภคของรัฐจะเพิ่มเป็น 3.7% จากเดิมคาดว่าจะอยู่ที่ 3.5%

"การใช้มาตรการลดความร้อนแรงของเศรษฐกิจจีน ส่งผลกระทบต่อยอดการส่งออกของไทยแน่นอน แต่ไม่มากนัก ซึ่งขณะนี้ สศค.ได้ติดตามอย่างใกล้ชิด"

นายสมชัย กล่าวว่าโอกาสที่เศรษฐกิจไทยจะเติบโตที่ระดับ 4.5% มีความเป็นไปได้มากที่สุด ภายใต้เงื่อนไขที่รัฐบาลต้องลงทุนโครงการตามแผนบริหารจัดการน้ำ 350,000 ล้านบาท และลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน 2 ล้านล้านบาท โดยกระทรวงการคลังกำลังพยายามหามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอยู่ในขณะนี้ โดยเฉพาะในภาคการท่องเที่ยว เพื่อเพิ่มแรงหนุนให้เศรษฐกิจไทยมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง

สศช.คาดศก.ไทยปีนี้โตต่ำ 5%

นายปรเมธี วิมลศิริ รองเลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) กล่าวว่า สศช.คาดการณ์เศรษฐกิจไทยในปีนี้จะเติบโตไม่ถึง 5% โดยตัวเลขน่าจะอยู่ในช่วงต่ำ ของการคาดการณ์ที่อยู่ระดับ 4.2-5.2%

"ภาพรวมเศรษฐกิจในช่วงไตรมาส 2 อ่อนแรงกว่าที่คาด โดยมีโอกาสสูงที่เศรษฐกิจในช่วงไตรมาส 1 ของปีนี้ จะเป็นไตรมาสที่สูงสุดของปี"

นายปรเมธี กล่าวว่า ภาพรวมเศรษฐกิจในปีนี้ ด้านเสถียรภาพไม่มีปัญหา แต่จะเป็นด้านการเติบโตและความผันผวน โดยสถานการณ์ ค่าเงินจะเป็นประเด็นใหญ่ของเศรษฐกิจในปีนี้ ต้องจับตาดูผลกระทบต่อรายได้ภาคการส่งออกของไทย ขณะที่เศรษฐกิจโลกคงไม่ฟื้นตัวเร็วนัก จึงต้องระมัดระวังว่าเศรษฐกิจไทยจะเติบโตไม่ถึง 5%

สศช.เตรียมชงมาตรการรับผลกระทบ

นายปรเมธี กล่าวว่า การเติบโตของเศรษฐกิจ 5% เป็นตัวเลขที่ทางรัฐบาลใช้เป็นเป้าหมายในการทำยุทธศาสตร์และนโยบายต่างๆ โดยเป้าหมายจะให้เศรษฐกิจในประเทศโตเฉลี่ย 5% ในช่วง 15 ปีข้างหน้า ซึ่งจะทำให้ไทยเป็นประเทศที่มีรายได้ในกลุ่มที่มีรายได้สูง จากปัจจุบันมีรายได้ในระดับกลางถึงสูง

ดังนั้น ในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ จะต้องมีมาตรการในการรองรับผลกระทบในส่วนที่ยังไม่แข็งแกร่ง พร้อมสร้างรากฐานการเติบโตในระยะยาว โดยดูเป็นรายกลุ่ม หรือ เซคเตอร์ ประกอบด้วย ภาคการเกษตร เอสเอ็มอี ส่งเสริมรถยนต์อีโคคาร์ การท่องเที่ยวและการดูแลผู้มีรายได้น้อย

แบงก์ชาติเล็งปรับตัวเลขส่งออก

ด้าน นายเมธี สุภาพงษ์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายนโยบายเศรษฐกิจการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า ตัวเลขการส่งออกในเดือนพ.ค. ที่กระทรวงพาณิชย์ประกาศออกมาว่าติดลบ 5.25% ขณะที่การส่งออกเฉลี่ย 5 เดือนแรกของปีนี้เติบโต 1.86% นั้น ถือว่าต่ำกว่าที่ธปท.คาดการณ์เอาไว้ จึงมีความเป็นไปได้ที่ธปท.จะนำเรื่องนี้เข้าหารือกับคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ซึ่งจะมีการประชุมในวันที่ 10 ก.ค. นี้ เพื่อปรับลดคาดการณ์ตัวเลขการส่งออกลง

ตัวเลขการส่งออกที่ ธปท. ประเมินไว้ล่าสุดช่วงเดือนเม.ย. ที่ผ่านมา มีการเติบโตอยู่ที่ 7.5%

ขณะที่ก่อนหน้านี้ ธปท. เคยส่งสัญญาณว่า การประชุม กนง. รอบถัดไปคือวันที่ 10 ก.ค. นี้ อาจพิจารณาปรับประมาณการตัวเลขเศรษฐกิจโดยรวมลง จากเดิมซึ่งเคยมองว่าจะเติบโตได้ประมาณ 5.1%

นายเมธี กล่าวว่า ธปท. ยังคงมีมุมมองเดิม โดยมองว่าช่วงครึ่งปีหลังการส่งออกจะสามารถฟื้นตัวได้อย่างช้าๆ ส่วนการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนนั้นถือว่าอยู่ในประมาณการของ ธปท.ไว้แล้ว เพราะการประเมินของ ธปท.จะค่อนข้างอนุรักษนิยม อย่างไรก็ตามตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐที่ออกมาถือว่าดีขึ้นกว่าที่ ธปท.ได้คาดเอาไว้ จึงน่าจะเป็นตัวช่วยพยุงภาคการส่งออกของไทยได้ระดับหนึ่ง

ส่วนการอ่อนค่าของเงินบาท จะมีผลต่อการส่งออกหรือไม่นั้น นายเมธีกล่าวว่า คงต้องรอดูในระยะยาว ซึ่งถ้าประเมินระยะสั้นอาจลำบาก เพราะมีเรื่องการกำหนดราคาซื้อขายเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย

ทหารไทยชี้ส่งออกต่ำกว่าคาด

นายเบญจรงค์ สุวรรณคีรี ผู้อำนวยการ ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ตัวเลขส่งออกเดือนพ.ค. ที่ออกมา ติดลบ 5.25% นั้น สะท้อนถึงการชะลอตัวลงที่ชัดเจนของภาคส่งออกไทย ซึ่งการหดตัวดังกล่าวส่วนหนึ่งเป็นผลจากฐานปีก่อนที่อยู่ระดับสูงด้วย แต่ตัวเลขที่ติดลบในระดับนี้ก็ถือว่าต่ำกว่าที่เราคิดไว้พอสมควร

"ผลจากตัวเลขดังกล่าวทำให้ ทางเราปรับมุมมองต่อภาคการส่งออกใหม่ โดยตัวเลขใหม่ที่ประเมินไว้อยู่ที่ 3.5% จากเดิมที่ 7%" นายเบญจรงค์กล่าว

นายเบญจรงค์ กล่าวว่า ตัวเลขการส่งออกลดลงค่อนข้างมาก ส่วนหนึ่งเป็นเพราะสัญญาณการส่งออกในครึ่งปีหลังยังไม่เห็นการฟื้นตัวที่แข็งแกร่ง โดยเฉพาะตลาดแถบยุโรป จีน และ ญี่ปุ่น แม้ว่าจะมีสหรัฐช่วยได้บ้าง โดยญี่ปุ่นแม้จะมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจออกมา แต่ยังไม่มีสัญญาณว่าจะทำให้การส่งออกไปญี่ปุ่นดีขึ้นได้

กรุงศรีหั่นจีดีพีปีนี้เหลือ 4-4.5%

ด้าน นายรุ่งศักดิ์ สาธุธรรม ผู้จัดการฝ่ายอาวุโสและผู้จัดการฝ่ายวิจัย ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) เป็นฝ่ายวิจัยเอกชนที่เตรียมปรับประมาณการเช่นกัน คาดว่าจีดีพีในปีนี้เหลือ 4-4.5% จากเดิมที่คาดว่าจะขยายตัว 4.8-5.3% โดยเป็นผลจากแนวโน้มการส่งออกที่อาจจะชะลอตัวลง ตามภาวะเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าในเอเชีย รวมทั้งแนวโน้มการบริโภคภาคเอกชนภายในประเทศที่ชะลอตัวลง ภายหลังปัญหาหนี้ภาคครัวเรือนที่เพิ่มสูงขึ้น

"ประมาณการว่าในครึ่งปีแรก เศรษฐกิจไทยเติบโตราว 4.7% และในครึ่งปีหลังจะปรับลดลง เนื่องจากฐานในปีก่อนอยู่ในระดับสูง"

ศก.สหรัฐฟื้นช้า-เฟดอาจเลื่อนยุติคิวอี

ด้านปัจจัยต่างประเทศที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยทั้งทางตรงและทางอ้อม ยังมีความไม่นอนอย่างมาก ทั้ง สหรัฐ จีน และ ยุโรป

ล่าสุด รัฐบาลสหรัฐปรับทบทวนตัวเลขอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจประจำไตรมาสแรก ซึ่งชี้ให้เห็นว่าการฟื้นตัวอย่างช้าๆ ขณะที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) กำลังพิจารณาปรับลดขนาดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ

ทั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์สหรัฐรายงานว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ขยายตัวเพียง 1.8 % ในไตรมาสแรก เมื่อเทียบรายปี ลดลงจากระดับ 2.4% ที่เคยรายงานไว้ก่อนหน้านี้ และเทียบกับอัตราการเติบโต 0.4% ในไตรมาส 4 ของปีที่แล้ว

ทางด้านนักเศรษฐศาสตร์กล่าวเตือนว่า นักลงทุนไม่ควรให้ความสำคัญมากเกินไปกับตัวเลขจีดีพีนี้ เพราะตัวเลขนี้เป็นตัวเลขที่สะท้อนภาพเศรษฐกิจในอดีต อย่างไรก็ดี ตัวเลขนี้อาจส่งผลกระทบต่อเฟด เมื่อเฟดทำการพิจารณาการปรับลดวงเงินในการเข้าซื้อตราสารหนี้ตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE)

นายแซม คอฟฟิน นักเศรษฐศาสตร์ของธนาคารยูบีเอสกล่าวว่า ตัวเลขนี้ทำให้เฟดมีแนวโน้มน้อยลงในการปรับลดขนาดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ

อีซีบีเผยใช้นโยบายผ่อนคลายอีกนาน

นายมาริโอ ดรากี ประธานธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) กล่าวย้ำว่ายังคงต้องใช้เวลาอีกนานก่อนที่อีซีบีจะยุติการดำเนินมาตรการพิเศษสำหรับนโยบายการเงิน โดยถ้อยแถลงของนายดรากีช่วยลดความกังวลของนักลงทุนหลังจากเฟดเปิดเผยแผนการปรับลดขนาดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในวันที่ 19 มิ.ย.

นายดรากี กล่าวต่อคณะกรรมาธิการในสภาผู้แทนราษฎรฝรั่งเศสว่าเศรษฐกิจยูโรโซนยังคงเผชิญความเสี่ยงในช่วงขาลง และอีซีบีพร้อมที่จะดำเนินมาตรการใหม่ถ้าหากมีความจำเป็น

นายดรากี กล่าวว่า เรามีจุดยืนในการดำเนินนโยบายแบบผ่อนคลายในอดีต และเราก็มีจุดยืนในการดำเนินนโยบายแบบผ่อนคลายในปัจจุบัน ขณะที่เราจะยังคงดำเนินนโยบายแบบผ่อนคลายต่อไปในอนาคตอันใกล้

นายดรากี กล่าวเสริมว่า "การยุตินโยบายแบบผ่อนคลายยังคงเป็นสิ่งที่อยู่ห่างไกล"

ตลาดเงินจีนเริ่มคลี่คลาย

สำหรับปัญหาในตลาดการเงินจีนที่สร้างความกังวลในสัปดาห์ก่อน ได้เริ่มคลี่คลายลง โดยเมื่อวานนี้ (27 มิ.ย.) อัตราดอกเบี้ยในตลาดเงินจีนปรับตัวลงต่อไปเป็นวันที่ห้าติดต่อกัน หลังจาก ธนาคารกลางจีน (PBOC) ไม่ได้เข้าไปดูดซับสภาพคล่องออกจากตลาด และตลาดหุ้นจีนฟื้นตัวขึ้น ในขณะที่ความเชื่อมั่นของนักลงทุนเข้าสู่เสถียรภาพ

เช่นเดียวกับตลาดหุ้นเอเชียวานนี้ ที่ฟื้นตัวขึ้นจากแรงซื้อนักลงทุนต่างชาติที่กลับเข้ามา หลังจากเลิกคลายกังวลมาตรการยุติคิวอีของเฟด โดยดัชนีนิกเคอิตลาดหุ้นโตเกียวปิดพุ่งขึ้น หลังจากร่วงลงสามวันติดต่อกัน ขณะที่นักลงทุนคลายความวิตกเกี่ยวกับการถอนมาตรการคิวอีและภาวะสินเชื่อตึงตัวในจีน โดยดัชนีนิกเคอิปิดตลาดปรับขึ้น 379.54 จุด หรือราว 2.96% อยู่ที่ 13,213.55

เช่นเดียวกับตลาดหุ้นเกาหลีใต้ปิดทะยานขึ้น โดยนักลงทุนต่างชาติกลับมาเป็นผู้ซื้อสุทธิ ดัชนีคอมโพสิตปิดพุ่งขึ้น 51.25 จุด หรือ 2.87% สู่ระดับ 1,834.70


ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
//////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันพฤหัสบดีที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ศาลปกครองสั่งรัฐบาลนำโครงการจัดการน้ำกลับไปฟังความคิดเห็นประชาชน !!?

กรณีนายกสมาคมต่อต้านโลกร้อนฟ้องศาลปกครอง ให้เพิกถอนแผนจัดการน้ำ 3.5 แสนล้านบาทนั้น ล่าสุดศาลปกครองมีคำพิพากษาให้รัฐบาลนำโครงการจัดการน้ำไปรับฟังความคิดเห็นประชาชนตามมาตรา 57 (2) และ 67 (2) ก่อนจ้างออกแบบ

จากกรณีที่นายศรีสุวรรณ จรรยา นายกสมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อนและพวกรวม 45 คน ยื่นเรื่องต่อศาลปกครองเพื่อฟ้อง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี คณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อวางระบบบริหารจัดการน้ำ หรือ กยน. คณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยแห่งชาติ หรือ กบอช. และคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย หรือ กบอ. เพื่อขอให้มีคำสั่งเพิกถอนแผนการบริหารจัดการน้ำ และสั่งให้ร่วมกันจัดให้มีการทำประชามติรับฟังความคิดเห็นประชาชนตามรัฐธรรมนูญ

ล่าสุดวันนี้ ที่ศาลปกครองกลาง เมื่อเวลา 14.30 น. องค์คณะตุลาการศาลปกครองกลาง ที่มีนายตรีทศ นิครธางกูร ตุลาการเจ้าของสำนวน ได้มีคำพิพากษาให้รัฐบาลปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 57 (2) และมาตรา 67 (2) โดยให้นำแผนบริหารจัดการน้ำไปจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน และผู้มีส่วนได้เสียก่อนที่จะดำเนินการจ้างออกแบบ แต่ละแผนงาน ในแต่ละโมดูล ก่อนที่จะดำเนินการจ้างออกแบบในแต่แผนงาน

ทั้งนี้ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 มาตรา 57 (2) ระบุว่า "การวางแผนพัฒนาสังคม เศรษฐกิจ การเมือง และวัฒนธรรม การเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ การวางผังเมือง การกำหนดเขตการใช้ประโยชน์ในที่ดิน และการออกกฎที่อาจมีผลกระทบต่อส่วนได้เสียสำคัญของประชาชน ให้รัฐจัดให้มีกระบวนการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนอย่างทั่วถึงก่อนดำเนินการ"

ส่วนมาตรา 67 (2) การดำเนินโครงการหรือกิจกรรมที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชนอย่างรุนแรงทั้งทางด้านคุณภาพสิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติ และสุขภาพ จะกระทำมิได้ เว้นแต่จะได้ศึกษาและประเมินผลกระทบต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชนในชุมชน และจัดให้มีกระบวนการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนและผู้มีส่วนได้เสียก่อน รวมทั้งได้ให้องค์การอิสระซึ่งประกอบด้วยผู้แทนองค์การเอกชนด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ และผู้แทนสถาบันอุดมศึกษาที่จัดการการศึกษาด้านสิ่งแวดล้อมหรือทรัพยากรธรรมชาติหรือด้านสุขภาพ ให้ความเห็นประกอบก่อนมีการดำเนินการดังกล่าว

ที่มา.ประชาไท
///////////////////////////////////////////////////////////////////

กฎระเบียบ VS คนทำมาหากิน !!??

กลายเป็นประเด็นร้อนในโลกออนไลน์ โดยเฉพาะในเว็บ pantip.com หลังจากมีผู้นำภาพร้านบะหมี่ชื่อดังแห่งหนึ่งที่มีสาขาอยู่หลายจุดทั่ว กทม. โดยร้านดังกล่าวได้นำโต๊ะ-เก้าอี้ตั้งออกมาด้านนอกจนกีดขวางทางเท้า รวมถึงภาพที่ทางร้านใช้รถของทางราชการในการขนข้าวของ จนเกิดการวิพากษ์วิจารณ์ถึงความไม่เหมาะสม เนื่องจากประชาชนที่สัญจรไปมา ต้องลงไปยืนหรือเดินกันบนถนน ซึ่งเสี่ยงต่ออันตรายจากรถยนต์ที่แล่นไปมา

และจากปัญหาที่เริ่มโดยร้านขนาดใหญ่ดังกล่าว หลายความเห็นได้พาดพิงไปถึงบรรดาหาบเร่แผงลอยขนาดเล็กทั่วๆไป ทั้งนี้ส่วนหนึ่งเห็นว่า กทม. ควรเอาจริงเอาจังในการกวาดล้างร้านค้าดังกล่าวทุกชนิด เนื่องจากไม่ว่าจะเป็นร้านขนาดใด ตั้ง ณ จุดไหนก็ย่อมกีดขวางทางเท้าทั้งสิ้น รวมถึงทำให้ภาพของ กทม. ไม่สวยงาม ดูสกปรกไร้ความเป็นระเบียบเรียบร้อย  กับอีกส่วนหนึ่งที่เห็นต่างออกไป เพราะมองว่าหาบเร่แผงลอยคือชีวิตของคนรายได้น้อย และต้องใช้ชิวิตที่เร่งรีบในเมืองหลวง รวมถึงเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของเมืองไทย ถึงขนาดที่สื่อต่างประเทศบอกว่าต้องมาลิ้มลองให้ได้สักครั้งในชีวิต

วันนี้สกู๊ปหน้า 5  ลงพื้นที่สำรวจบริเวณอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ จุดหนึ่งที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่ามีหาบเร่แผงลอยมากที่สุดของเมืองกรุง ที่นี่เราพบกับ บังเลาะห์ คุณลุงวัย 50 ปีเศษ ยึดอาชีพขายลูกชิ้น-ไส้กรอกไก่และเนื้อในพื้นที่ดังกล่าวมาไม่ต่ำกว่า 10 ปี ยอมรับว่าแม้จะขายเป็นประจำ แต่รายได้ก็ถือว่าปานกลาง ทั้งนี้เข้าใจหัวอกผู้ใช้ทางเท้า แต่ก็อยากให้ผู้ใช้ทางเท้าเห็นใจพวกเขาบ้าง เนื่องจากใหญ่เป็นคนในพื้นที่ และขายมานานมากแล้ว

“ไม่ขายวันจันทร์วันเดียวเราพอรับได้ แต่ถ้าให้หยุดไปเลยคงรับไม่ไหว ลูกเด็กเล็กแดงมี เราต้องทำมาหากิน ถ้าให้หยุดไปเลยเราคงประท้วงกันบ้าง คราวนี้แม่ค้าประท้วงบ้างล่ะ อยากบอกให้พวกเขาเห็นใจกันหน่อย เข้าใจกันหน่อย”  บังเลาะห์ กล่าวถึงกระแสข่าวที่อาจจะมีผู้ไปเรียกร้องให้ กทม. ยกเลิกหาบเร่แผงลอย พร้อมทั้งเสริมว่าปกติแล้วลูกค้าที่นี่มีทั้งคนไทยและต่างชาติ โดยชาวต่างชาติก็จะมีทั้งชาติมุสลิมและฝรั่งตะวันตก

ถัดจากบังเลาะห์ เราพบกับ ป้าศรีจันทร์ หญิงชราวัย 80 อดีตแม่ค้าที่ขายขนมจีบ-ซาลาเปามาตั้งแต่ย่านดังกล่าวยังเป็นเขตนอกเมือง เมื่อคุณป้ารู้ว่าเราลงพื้นที่ เธอได้เล่าถึงชีวิตอันยากลำบากของพ่อค้าแม่ค้า ที่ล้วนแต่เป็นคนในพื้นที่ให้เราฟังทันที โดยเฉพาะเรื่องของแหล่งเงินทุนนอกระบบ

“ฉันอยู่มา 70 ปี ตั้งแต่ 10 ขวบ นี่ตอนนี้ 80 แล้ว ตอนนั้นขายซาลาเปา-ขนมจีบ ขายตรงนี้แหละ วันละ 400-500 ก็หมดไปกับค่าใช้จ่าย รวมทั้งค่าเทอมลูก 5 คน ตอนนี้เลิกแล้วเพราะไม่มีกำลัง พูดถึงเรื่องหนี้ ดีนะว่าเขายังไม่ทำอะไรเรา ร้อยละ 20 ก็ผลัดๆ เขาไป เขาก็เครียด เชื่อไหม? เอามาไม่ถึงหมื่น แต่สุดท้ายกลายเป็นสามหมื่น

ถามว่าหาบเร่แผงลอยกำไรเท่าไร มันเทียบไม่ได้กับร้านใหญ่ๆ เราเลี้ยงลูกเลี้ยงหลาน วันๆ นึงกินไม่เหลือนะ หนี้ร้อยละ 20 อีก ขอความกรุณาให้เราได้ขายบ้าง เราจะได้มีกิน จะหยุดสักวันหนึ่งก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าหยุดทุกวันคงแย่เหมือนกัน คงอดตาย” ป้าศรีจันทร์ กล่าว

ขณะที่ ป้ามะ แม่ค้าวัย 50 ปี เป็นอีกผู้หนึ่งที่ยืนยันว่าผู้ค้าหาบเร่แผงลอยบริเวณอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ส่วนใหญ่แล้วเป็นคนในพื้นที่ อย่างตัวป้ามะเอง ขายข้าวแกงในรถเข็นมาตั้งแต่อายุ 17 ปี ซึ่งที่ผ่านมา ชาวหาบเร่แผงลอยในย่านนี้มีการพูดคุยกับทางราชการตลอดเรื่องการจัดระเบียบพื้นที่ ดังจะเห็นว่าร้านแถบนี้จะอยู่ชิดขอบถนน หันหน้าเข้าหาอาคาร ซึ่งจะทำให้มีพื้นที่ให้คนเดินมากกว่าที่จะวางด้านหน้าอาคารแล้วหันหน้าออกไปยังถนน ทั้งนี้อยากให้ประชาชนแยกแยะด้วยระหว่างร้านขนาดใหญ่กับหาบเร่แผงลอย เพราะทั้งสองแบบมีธรรมชาติที่ไม่เหมือนกัน

“มันไม่เกะกะหรอก เราทำกันชิดแบบสุดๆ ยืนลำบากหน่อยก็ไม่เป็นไร คือให้คนเดินสะดวก ก็แทบจะตกถนนเลยเพราะเว้นตรงกลางไว้ให้คนเดิน อย่างที่ไปประชุมมา เขาให้อยู่บนฟุตบาทด้านเดียว ก็คือด้านถนนไม่ใช่ด้านหน้าร้านค้า เพราะถ้าด้านหน้าร้านค้า มันจะลามไปใหญ่ ก็เลยให้หันหลังให้ถนน หันหน้าเข้าฟุตบาท

ถามว่าแถวนี้มีร้านที่ต่อออกมาไหม? แถวนี้ไม่มี เขาจะอยู่ในร้านของเขา อยากให้พิจารณา เราก็แค่คนหาเช้ากินค่ำ อย่าไปเหมารวม ร้านที่เขาทำแบบนั้นได้ เขาคงมีกำลังมากกว่าเรา เราไม่มีปัญญาทำแบบนั้น ก็หนีไปวันๆ จะไปทำร้านแบบนั้นก็ไม่มีปัญญาไปเช่า มาปรับเราก็ยอมให้ปรับ บางทีก็ต้องขอต้องต่อรอง”

ป้ามะ กล่าว พร้อมทั้งยืนยันว่าไม่ว่าอย่างไรก็ตาม หาบเร่แผงลอยไม่มีทางหมดไปจากประเทศไทย เพราะเป็นหัวใจโดยเฉพาะของคนพื้นที่ ต่อให้ห้ามขายก็ยังจะต้องขายต่อไป แม้จะต้องเสี่ยงกับการถูกดำเนินคดีก็ตาม แต่ที่ผ่านมา ความสัมพันธ์ระหว่างพ่อค้า-แม่ค้ากับเจ้าหน้าที่เทศกิจค่อนข้างดี โดยก่อนจะมีระเบียบใดๆ ออกมา จะมีการหารือทำข้อตกลง หรือว่ากล่าวตักเตือน ขอความร่วมมือกันก่อนเสมอ

ถัดจากมุมของผู้ขาย เรามาฟังความเห็นในมุมของผู้ซื้อกันบ้าง พนักงานขับรถส่งสินค้ารายหนึ่งที่ใช้ชีวิตในเมืองหลวงมาไม่ต่ำกว่า 30 ปี มองว่าถึงอย่างไรก็ตาม หาบเร่แผงลอยก็ถือเป็นวิถีชีวิตของคนไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้มีรายได้น้อยที่อาศัยอยู่ใน กทม. ด้วยเหตุผล 2 ประการ คือ 1.ราคาถูก เพราะร้านอาหารทั่วไปต้องมีค่าเช่าอาคาร มีค่าพนักงาน กับ 2.สะดวก เนื่องด้วยเป็นร้านอาหารง่ายๆ เช่นของปิ้ง ทอด ย่าง หรืออาหารกล่อง ทำให้เหมาะกับชีวิตเร่งรีบของผู้ที่อาศัยใน กทม. เป็นอย่างดี

“เป็นธรรมดา ในร้านจะมีค่าบริการ ค่าจ้างลูกน้องอะไรพวกนี้ ราคาที่เห็นว่าแตกต่างกันระหว่างในร้านกับแผงข้างนอก ก็ประมาณ 10-20 บาท หรืออาจจะมากกว่าถ้าเป็นร้านแฟรนไชส์ ก็มีบ้างเหมือนกันที่ขายเท่ากัน แต่ส่วนใหญ่จะแพงกว่า”

เมื่อถามถึงประเด็นความขัดแย้งที่หลายคนเหมารวมกัน ระหว่างร้านอาหารขนาดใหญ่ กับแผงลอยขนาดเล็ก พนักงานขับรถคนดังกล่าว มองว่าหาบเร่แผงลอยส่วนใหญ่พยายามจะแบ่งพื้นที่ให้คนเดินอยู่แล้ว ขณะที่ร้านขนาดใหญ่ เท่าที่สังเกตและพูดคุย พบว่ามีเหตุผล 2 ประการ คือส่วนหนึ่งบางร้านต้องต่อขยายร้านรุกล้ำทางเท้าออกมา เนื่องจากไม่ต้องการให้หาบเร่แผงลอยมาตั้งหน้าร้านของตน

กับอีกส่วนหนึ่ง ร้านอาหารบางแห่งอาจมีลูกค้ามาก พื้นที่ในร้านไม่พอ จึงต้องต่อขยายออกมาด้านนอก โดยไม่ได้คิดว่าจะเป็นที่เดือดร้อนของประชาชนผู้ใช้ทางเท้า นอกจากนี้ในบางพื้นที่ยังทำให้การจราจรติดขัด เนื่องจากผู้มารับประทานอาหารมักจะขับรถมาจอดบริเวณช่องจราจรด้านซ้ายสุด ซึ่งติดกับร้านดังกล่าว กลายเป็นว่าต้องเสียพื้นที่ถนนให้กับบรรดาลูกค้าร้านอาหารไปโดยปริยาย ดังนั้นจึงฝากถึงกลุ่มที่รู้สึกไม่พอใจร้านค้าเหล่านี้แบบเหมารวม ว่าร้านที่สร้างปัญหามักจะเป็นร้านขนาดใหญ่ มากกว่าหาบเร่แผงลอยขนาดเล็กทั่วๆ ไป

“อยากบอกว่าคิดให้ดีก่อนดีกว่า  คุณอย่ามองแต่ตัวเองเป็นหลัก ให้มองชีวิตคนไทยทุกภาคส่วน ทุกระดับชั้นก่อน กลุ่มของคุณอาจจะเป็นคนมีฐานะหน่อย พอมีกำลังซื้อหน่อย คุณต้องเอาตัวเองลงไปเทียบกับคนที่ต่ำกว่า ฐานะหรือกำลังซื้อที่ต่ำกว่า เราต้องมาคุยกันว่าจุดไหนที่ขายได้ แต่จุดที่บอกว่าขายได้ ก็ต้องขายได้จริงๆ มีคนซื้อด้วยนะครับ ไม่ใช่ว่าคุณจัดให้เขาแล้วไม่มีคนซื้อ เพราะเขาจะไปขายใคร จะให้เขาทำอาหารมาทิ้งหรือ? ผมว่ามันมีทางออก แต่ไม่ใช่มาชี้เปรี้ยงเดียวให้ยกเลิก มันทำไม่ได้”  พนักงานขับรถผู้พึ่งพาอาหารข้างทางเป็นประจำ ให้ความเห็น

ปิดท้ายด้วยความเห็นของกลุ่มที่ถูกเรียกว่าเป็น “คู่ปรับแม่ค้า” อย่างเจ้าหน้าที่เทศกิจ ทั้งนี้เจ้าหน้าที่รายหนึ่งมองว่า ในความเป็นจริงคงเป็นไปไม่ได้ที่หาบเร่แผงลอยจะหายไปจากเมืองไทย โดยเฉพาะผู้ที่ประกอบอาชีพดังกล่าวมาเป็นเวลานาน ต่อให้ห้ามขายก็คงต้องดิ้นรนหาทางกันต่อไป แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็ขอให้หาบเร่แผงลอยอย่าทำผิดกฏหมาย และพยายามจัดพื้นที่ร้านให้เป็นระเบียบ ไม่ล้ำพื้นที่ออกมาจนกีดขวางทางเดินด้วย

ขณะที่ฝากเตือนไปถึงบรรดาร้านค้าต่างๆ ที่ต่อพื้นที่ร้านออกมารุกล้ำทางเท้าจนไม่สามารถสัญจรได้ ว่าพฤติกรรมดังกล่าวเป็นสิ่งผิดกฎหมาย โดยที่เจ้าของหรือผู้ดูแลร้านอาจจะรู้เท่าไม่ถึงการณ์ เพราะคิดว่าเป็นพื้นที่หน้าอาคารเป็นสิทธิของตน  

“จริงๆ ผิดกฎหมายนะครับ เขาให้ตั้งได้เฉพาะแนวชายคา ออกมาแค่นิดเดียวก็ผิดแล้วครับ” เจ้าหน้าที่รายดังกล่าว ฝากทิ้งท้าย ซึ่งการนำสิ่งของต่างๆ มาตั้งบนทางเท้า อาจเข้าข่ายความผิดตาม พ.ร.บ.รักษาความสะอาดและความเป็นระเบียบเรียบร้อยของบ้านเมือง พ.ศ.2535 ในมาตรา 39 ที่ห้ามนำสิ่งใดๆ มาติดตั้ง วาง ตาก หรือแขวนในที่สาธารณะ เว้นแต่ได้รับอนุญาตเป็นหนังสือจากเจ้าพนักงาน โดยมีโทษปรับไม่เกิน 2,000 บาท (บทกำหนดโทษ มาตรา 54)

เรื่องของหาบเร่แผงลอย มีผู้ตั้งข้อสังเกตว่าถือกำเนิดมาจากการอพยพของประชากรจากทั่วสารทิศเข้าสู่ กทม. และอีกหลายเมืองใหญ่เพื่อแสวงหาโอกาสด้านรายได้ แม้จะต้องเผชิญค่าครองชีพที่สูงก็ตาม โดยอ้างอิงจาก สำนักวิจัยมหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ (ABAC Poll) ที่เคยทำการสำรวจระหว่างวันที่ 15 ส.ค.-30 ก.ย. 2554 ในพื้นที่เมืองใหญ่ 12 จังหวัด คือ กทม. ปทุมธานี ชลบุรี นครราชสีมา อุดรธานี กาฬสินธุ์ เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน นครสวรรค์ ประจวบคีรีขันธ์ ภูเก็ต และสงขลา

พบว่ากลุ่มตัวอย่างร้อยละ 76 ระบุว่ามีรายได้ไม่เกิน 15,000 บาทต่อเดือน โดยรายได้เฉลี่ยทั่วไปอยู่ที่ 11,300 บาทต่อเดือน เมื่อดูที่รายจ่าย พบว่าเฉลี่ยอยู่ที่ 9,197.99 บาทต่อเดือน ส่วนใหญ่หมดไปกับค่าอาหารและค่าเดินทาง นอกจากนี้ยังชี้ว่า กลุ่มที่สามารถอยู่รอดปลอดภัยในเมืองใหญ่ และมีเงินออมเป็นรูปธรรม คือผู้ที่มีรายได้ตั้งแต่ 20,001 บาทต่อเดือนขึ้นไป เพราะเมื่อนำรายได้หักลบกับรายจ่ายแล้ว ยังเหลือเงินอีกราวครึ่งหนึ่งของรายได้

จึงไม่ต้องแปลกใจว่า เหตุใดจึงยังมีคนอีกมากมาย เลือกที่จะบริโภคอาหารข้างทางเหล่านี้ แม้จะมีคำเตือนเรื่องความสะอาด ตลอดจนขัดต่อความเป็นระเบียบเรียบร้อยของเมืองก็ตาม เราจึงอาจกล่าวได้ว่า หาบเร่แผงลอย หรืออาหารข้างทาง เป็นดัชนีชี้วัดความเหลื่อมล้ำในสังคมไทยได้อย่างชัดเจนอย่างหนึ่ง เพราะถ้าพื้นที่อื่นๆ มีรายได้ที่ไม่ต่างจาก กทม. มากนัก คลื่นมนุษย์จำนวนมหาศาล คงไม่ต้องเข้ามาแย่งกันกิน แย่งกันใช้พื้นที่เล็กๆ แห่งนี้

คำถามคือ..เหตุใดเราจึงไม่สามารถกระจายความเจริญ โดยเฉพาะรายได้ไปสู่ภูมิภาคต่างๆ ได้เสียที เพราะวันนี้เรายังได้ชื่อว่าเป็นประเทศกำลังพัฒนา ทั้งที่ผ่านมากว่าครึ่งศตวรรษแล้ว

ที่มา.นสพ.แนวหน้า
/////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

วิกฤตของ 3 ผู้นำหญิง : จาก ยิ่งลักษณ์ - รุสเซฟฟ์ ถึง กิลลาร์ด !!?

โดย: พงศ์พิพัฒน์ บัญชานนท์



(ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร คะแนนนิยมเริ่มถูกท้าทายจากสารพัดปัญหา)

ไม่น่าเชื่อว่า หลายๆ ประเทศที่มี “สุภาพสตรี” เป็นผู้นำ ต่างเกิดวิกฤตศรัทธาต่อรัฐบาล ในเวลาที่ใกล้เคียงกัน

เอาใกล้ตัวก่อน อย่างประเทศไทย ที่มี “นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” เป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศ ก็กำลังเผชิญกับวิกฤตศรัทธา จากชาวนาที่เป็นฐานะเสียงสำคัญของ “พรรคเพื่อไทย” ของเธอเอง จากการประกาศลดราคาจำนำข้าวขาว จากตันละ 1.5 หมื่นบาท เหลือเพียง 1.2 หมื่นบาท

ขณะเดียวกับกลุ่มคนต่อต้านรัฐบาลและพี่ชายของเธอ “พันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร” ก็เริ่มกลับมารวมตัวกัน เห็นได้จากการชุมนุมของกลุ่มคนที่เรียกว่า “หน้ากากขาว” ซึ่งทวีจำนวนมากขึ้นทุกที แม้จะยังมีจำนวนไม่มากพอจะสั่นคลอนเสถียรภาพของรัฐบาล

อีกซีกหนึ่งของโลก ประเทศบราซิล ที่ว่ากันว่า ผู้คนหายใจเข้าออกเป็นชายหาด งานคาร์นิวัล และฟุตบอล แต่การแข่งขันฟุตบอลระดับทวีปอย่าง “ฟีฟ่า คอนเฟดเดอเรชั่น คัพ” กลับกลายเป็นวาระนัดรวมตัวกันประท้วงการบริหารงานของ “นางดิลม่า รุซเซฟฟ์”ประธานาธิบดีหญิงคนแรกของประเทศ โดยเฉพาะการขึ้นค่าครองชีพด้านต่างๆ เพื่อนำเงินไปลงทุนจัดงานฟุตบอลระดับแกรนด์ในปีหน้าอย่าง “ฟีฟ่า เวิลด์ คัพ” หรือฟุตบอลโลก โดยมีการประเมินว่า มีชาวแซมบ้าร่วมประท้วงผู้นำของตัวเองกว่า 1 ล้านคนแล้ว

อย่างไรก็ตาม คนที่อาการหนักที่สุดในเวลานี้ และบทความชิ้นนี้จะโฟกัส ก็คือผู้นำหญิงจาก “ประเทศทะเลใต้” ที่อยู่ห่างจากประเทศไทย ราว 9 ชั่วโมงบิน อย่าง “นางสาวจูเลีย กิลลาร์ด” นายกรัฐมนตรีคนแรกออสเตรเลีย เพราะในขณะที่การเมืองออสซี่กำลังคึกคัก เนื่องจากกำลังจะเข้าสู่การรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง ที่จะมีขึ้นในวันที่ 14 ก.ย.นี้

แต่คะแนนนิยมล่าสุดของตัวเธอและพรรคของเธอกลับลดต่ำลงอย่างน่าใจหาย โดยผลการสำรวจล่าสุด ปรากฏว่า “นางสาวกิลลาร์ด-พรรคเลเบอร์” มีคะแนนนิยมตามหลังพรรคร่วมฝ่ายค้านอย่าง “พรรคลิเบอรัล-พรรคเนชั่นแนล” ที่มีผู้นำชื่อ “นายโทนี่ แอ็บบ็อต” ถึง 14%

สาเหตุที่คะแนนนิยมของ “นายกฯหญิงออสซี่” ลดลงอย่างฮวบฮวบ ด้านหนึ่งมาจากนโยบาย ทั้งการปรับลดงบประมาณกระทรวงสำคัญๆ การไม่ปฏิบัติตามสิ่งได้ที่หาเสียงไว้เกี่ยวกับภาษีคาร์บอนและภาษีเหมืองแร่ รวมถึงการปรับเปลี่ยนนโยบายเกี่ยวกับผู้เข้าเมือง

แต่อีกด้านหนึ่งมาจากความขัดแย้งภายในพรรคเลเบอร์เอง ที่คงยังมีเสียงเรียกร้องจากสมาชิกพรรคบางส่วน ให้นำ “นายเควิน รัดด์”อดีตนายกรัฐมนตรีและอดีตหัวหน้าพรรค กลับมานำพรรคแทน แม้ว่า "หัวหน้าพรรคคนก่อน" จะถอนตัวจากการลงคะแนนเปลี่ยนตัวผู้นำพรรคเลเบอร์ เมื่อเดือน มี.ค.ปีเดียวกันนี้ จนทำให้ “หัวหน้าพรรคคนปัจจุบัน” ได้นำทัพสู้ศึกเลือกตั้งต่อไป ก็ตาม



(ดิลม่า รุสเซฟฟ์ จะรับมือกับม็อบนับล้านคนได้อย่างไร)

จากการที่ผู้เขียนได้ไปสังเกตการณ์การประชุมสภาผู้แทนราษฎรออสเตรเลีย เมื่อต้นเดือน มิ.ย.2556 ตามคำเชิญของสถาบันออสเตรเลีย-ไทย ก็ช่วยยืนยันสิ่งที่เคยได้ฟังมาก่อนหน้าว่า “นางสาวกิลลาร์ด” เป็นนักพูดที่มีความสามารถในการเอาตัวรอดชั้นเยี่ยม

เพราะในเวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมงที่ได้นั่งดูการตอบกระทู้ถามสด “ผู้นำหญิงออสซี่” ได้ผุดลุกผุดนั่ง ตอบโต้ข้อกล่าวหาจาก ส.ส.พรรคฝ่ายค้านนับครั้งไม่ถ้วน บางครั้งเธอพูดเสียงดังกล่าว “นี่มันเรื่องตลกชัดๆ” บางครั้งเธอสวนกลับผู้กล่าวหาจนหน้าหงาย เรียกเสียงโห่ฮาลั่นห้องประชุม จนประธานสภาฯ ต้องออกคำสั่งว่า “เงียบบบ!!!” ดังๆ หลายครั้ง

รุ่นพี่นักข่าวไทยที่ทำงานอยู่ในองค์การสื่อออสเตรเลียมานานหลายปี เล่าให้ฟังว่า คนที่นี่รู้ดีอยู่แล้วว่าผู้นำของตัวเองเป็นคน tough (ก้าวแกร่ง) จนบางครั้งท่าทีในสภาฯ บางครั้ง ดูค่อนข้างจะ aggressive (ก้าวร้าว) เพราะเธอเคยเป็นทนายความมาก่อนลงเล่นการเมือง


หากเทียบกับ “นางสาวยิ่งลักษณ์” ที่เป็นนักธุรกิจมาก่อน และใช้เวลาหาเสียงเพียง 49 วัน ก็ได้เป็นนายกฯ กับ “นางสาวกิลลาร์ด” ที่ใช้เวลากว่า 10 ปี ในการไต่เต้าขึ้นสู่ตำแหน่งนายกฯ จึงไม่แปลกใจที่บุคลิก “ผู้นำหญิง” ทั้ง 2 คนนี้ จะแตกต่างกันมากมายมหาศาล (นายกฯ ไทย มาตอบกระทู้ถามสดในสภาฯ ด้วยตัวเอง ในรอบ 2 ปีที่ผ่านมา เพียงแค่ 2 ครั้ง)

แต่ใช่ว่าความเป็น “สตรีเหล็ก” ของนางสาวกิลลาร์ด จะทำให้ชนะการเลือกตั้งได้ ?



(จูเลีย กิลลาร์ด ผู้มีทักษะการพูดในสภาชั้นยอด แต่จะเอาตัวรอดจากการเลือกตั้งทั่วไปได้หรือไม่)

เพราะในการเลือกตั้งปี พ.ศ.2553 ที่ว่ากันว่าเธอมีคะแนนนิยมดีเยี่ยมไม่น้อย แต่ปรากฏว่า "พรรคเลเบอร์" กับ "พรรคร่วมฝ่ายค้าน" กลับได้จำนวน ส.ส.เท่ากันที่ 72 เก้าอี้ จากทั้งหมด 150 เก้าอี้ ท้ายสุด สตรีที่มีถิ่นกำเนิดในสหราชอาณาจักรรายนี้ต้องไปรวบรวม ส.ส.จากพรรคขนาดเล็กมาจัดตั้ง "รัฐบาลเสียงข้างน้อย" ทำให้เธอได้เป็น “นายกฯหญิงคนแรก” ของประเทศออสเตรเลีย

ขออธิบายสั้นๆ ว่า ถึงระบบการเมืองออสเตรเลีย ฝ่ายนิติบัญญัติจะแบ่งเป็น 2 สภา คือวุฒิสภา ที่มีจำนวน “สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.)” ทั้งหมด 76 คน กับสภาผู้แทนราษฎร ที่มีจำนวน “สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.)” ทั้งหมด 150 คน โดยทั้ง 2 สภาฯ จะมีห้องประชุมแยกของตัวเอง (ต่างกับของไทยที่ใช้ห้องเดียวกัน) หากใครเคยไปอาคารรัฐสภาออสเตรเลียที่กรุงแคนเบอร์ร่า ถ้าจะดูว่าโซนไหนของ ส.ว.หรือ ส.ส. ให้ดูที่พรม เพราะโซนของ ส.ว.จะใช้ “พรมสีแดง” ส่วนโซนของ ส.ส.จะใช้ “พรมสีเขียว” ทั้งในห้องประชุม ห้องทำงาน ทางเดิน และอาณาบริเวณใกล้เคียง

ผู้นำฝ่ายบริหาร อย่างตำแหน่ง “นายกรัฐมนตรี" ของออสเตรเลีย มีที่มาเช่นเดียวกับของไทย คือต้องได้รับความเห็นชอบจากที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร โดยมีวาระดำรงตำแหน่งเพียง 3 ปี (น้อยกว่านายกฯไทย ที่มีวาระดำรงตำแหน่ง 4 ปี)

การเลือกตั้ง ส.ส.ทั่วประเทศ ที่จะมีขึ้นในอีก 2 เดือนเศษข้างหน้า จะเป็นบททดสอบครั้งสำคัญของ “นางสาวกิลลาร์ด” เพราะหากพ่ายแพ้ก็เป็นไปได้ที่เส้นทางการเมืองของเธอจะถึง “ตอนอวสาน” เพราะหลายคนในพรรคเลเบอร์ก็ไม่นิยมชมชอบเธอสักเท่าไร

สำหรับ “นางสาวยิ่งลักษณ์” แม้จะมีเวลาอีก 2 ปี กว่าจะถึงการเลือกตั้ง ส.ส.ทั่วประเทศ ที่ประชาชนจะเป็นผู้ตัดสินว่า จะให้เธอได้"ไปต่อ" หรือไม่ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า คะแนนนิยมของตัวเธอและพรรคเพื่อไทยเริ่มถูกท้าทาย จากภาวะผู้นำที่ขาดความโดดเด่นและถูกตั้งคำถาม จากนโยบายรัฐบาลหลายๆ ที่เริ่มแสดงให้เห็นถึงปัญหา จากปัญหาส่วนตัวของรัฐมนตรีหลายๆ กระทรวงที่ถูกต่อต้าน จากความขัดแย้งที่เริ่มก่อตัวจากความพยายามในการผลักดันกฎหมายนิรโทษกรรม ฯลฯ

น่าจับตาว่าวิบากกรรมที่เกิดขึ้นกับ “3 ผู้นำหญิง” รอบโลกเวลานี้ จะมีบทสรุปที่เหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร !!!

ที่มา.สำนักข่าวอิศรา
//////////////////////////////////////////////////////////////