--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันศุกร์ที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

ปูออกศึก !!?


กลายเป็นเรื่องกล่าวขวัญพูดถึงกันสนั่นเมือง..เรื่องที่นายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ไปปาฐกถาพิเศษในประเทศมองโกเลียเกี่ยวของความเป็นประชาธิปไตย

ความเป็นประชาธิปไตยมีความสำคัญต่อดิฉันอย่างมากและที่สำคัญยิ่งกว่าคือความไม่เป็นประชาธิไตยมีผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนในประเทศบ้านเกิดของดิฉันประเทศไทยที่ดิฉันรัก
รัฐบาลของประชาชนโดยประชาชนและเพื่อประชาชนไม่ได้ได้มาฟรีๆ สิทธิเสรีภาพความเชื่อที่ว่ามนุษย์ทุกคนไม่ว่าชายหรือหญิงมีความเท่าเทียมกันนั้นได้มาด้วยการต่อสู้และที่น่าเศร้าใจคือทำไมต้องมีผู้เสียชีวิต

บางตอนเป็นคำถาม เช่น รัฐบาลที่ได้รับการเลือกตั้งถึงสองครั้งสองหนด้วยเสียงส่วนใหญ่ถูกล้มลงในปี 2006 ประเทศไทยเสมือนรถไฟตกรางและประชาชนคนไทยใช้เวลาเกือบ 10ปีกว่าจะได้เสรีภาพแห่งประชาธิปไตยกลับคืนมา

ตลอดเวลาเกือบสองปี นายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ เกือบจะไม่มีการก้าวก่ายองค์กรอิสระ..แต่ในปาฐกถาหนนี้..นายกรัฐมนตรีจัดไปเต็มด้วยประโยคที่ว่า..จำนวนครึ่งหนึ่งของวุฒิสภาไทยมาจากการเลือกตั้งแต่อีกครึ่งหนึ่งกลับได้รับการแต่งตั้งโดยกลุ่มคนเล็กๆ กลุ่มหนึ่ง

ยิ่งกว่านั้นกลไกที่เรียกว่าองค์กรอิสระได้ใช้อำนาจเกินขอบเขตแทนประชาชนเจ้าของอำนาจที่แท้จริง เป็นการดำเนินการเพื่อคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งมากกว่าเพื่อส่วนรวมของสังคม

และทีเด็ดที่สำคัญ..คือการใช้สังคมโลกมาพิทักษ์ประชาธิปไตยของประเทศ คือ การกดดันจากนานาชาติที่เชื่อในระบอบประชาธิปไตยทำให้กระบวนการประชาธิปไตยในประเทศไทยคงอยู่ใต้การคว่ำบาตรและการไม่ยอมรับเป็นกลไกสำคัญ

ก็ต้องยอมรับว่า..ปาฐกถาของนายกรัฐมนตรีในมาดปูดำออกศึกคราวนี้..เป็นก้าวแรกของการจะเป็นนายกรัฐนตรีที่สมบูรณ์แบบที่สุด

และใครก็ตาม..ที่คิดจะมีอำนาจแบบรวบรัดตัดตอน..คำเตือนก็คือ..คิดให้ดีและนานๆ ที่สุด

โดย.พญาไม้.บางกอกทูเดย์
///////////////////////////////////////////

ฝ่าสมรภูมิ สินเชื่อ เอสเอ็มอี !!?


ตลาดสินเชื่อเอสเอ็มอีในวันนี้ หลายธนาคารที่เป็นผู้เล่นหลักในตลาดนี้เริ่มขยับในทิศทางเดียวกัน โดยพุ่งไปที่กลุ่มเป้าหมายไล่ไซซ์ธุรกิจ ขยายไปสู่เอสเอ็มอีรายเล็กและรายจิ๋ว ที่มียอดขายประมาณไม่เกิน 50 ล้านบาท หรือยอดสินเชื่อประมาณ 10-20 ล้านบาท

การแข่งขันที่เกิดขึ้นในวันนี้จึงเห็นแพ็กเกจสินเชื่อเอสเอ็มอีที่พุ่งตรงไปยังกลุ่มเป้าหมายที่เป็นธุรกิจขนาดเล็กเป็นหลัก ล่าสุดจากธนาคารทหารไทย (ทีเอ็มบี) ที่ออกสินเชื่อ "3 เท่า 3 ก๊อก" ก๊อก 1 ให้ทั้งวงเงิน 3 เท่าของหลักประกัน ก๊อก 2 ให้วงเงินเสริมเผื่อฉุกเฉินอีก 15% และก๊อก 3 หากขยายกิจการก็ให้กู้ได้อีก 1 เท่า แพ็กเกจสินเชื่อนี้เจาะกลุ่มธุรกิจที่มีรายได้ไม่เกิน 50 ล้านบาท/ปี

"ปพนธ์ มังคละธนะกุล" ประธานเจ้าหน้าที่บริหารเอสเอ็มอีและซัพพลายเชน ธนาคารทหารไทย (ทีเอ็มบี) บอกว่า การแข่งขันในตลาดเอสเอ็มอีรายเล็กตอนนี้ยังถือว่าไม่แรงมาก เพราะต้องปรับระบบงานพอสมควร เช่น ปล่อยสินเชื่อวงเงิน 2-3 ล้านบาท ต้องมีวิธีอนุมัติให้เร็ว ภายในเวลาราว 2 สัปดาห์ ฉะนั้นโมเดลสินเชื่อต้องชัด และคุมความเสี่ยงให้ได้ เพราะตลาดนี้มีสเปรดดี แต่ก็ต้องบริหารต้นทุนให้ได้ด้วย

"เราตัดสินใจทำเรื่องซัพพลายเชนกันใหม่มาตั้งแต่ 4-5 ปีที่แล้ว ก็ต้องจัดการระบบกันมากพอสมควร ตอนนี้ก็เห็นธนาคารพาณิชย์หลายแห่งเริ่มปรับแล้ว จึงเชื่อว่าปีหน้าคงจะแข่งขันกันหนักขึ้น" ปพนธ์กล่าว

สอดคล้องกับสิ่งที่ "พัชร สมะลาภา" รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า ตลาดนี้เป็นส่วนที่หลายธนาคารยังไม่ค่อยได้เข้ามาจับอย่างจริงจัง แม้จะมีสเปรดสูง แต่ความเสี่ยงก็สูง ที่ผ่านมาจึงยังไม่ค่อยมีธนาคารใดเข้ามาจับตลาดนี้ เพราะติดข้อจำกัดด้านการประเมินความเสี่ยง เช่น แผนธุรกิจ หลักประกัน และหลักฐานการเดินบัญชี (Statement)

"เรื่องการเดินบัญชีเป็นข้อจำกัดใหญ่สำหรับการขอสินเชื่อของธุรกิจรายเล็ก ทำให้ล่าสุดธนาคารออกสินเชื่อ "SME กู้ง่ายหมดกังวลเรื่องเดินบัญชี" ซึ่งสามารถใช้เอกสารอื่น เช่น ใบเสร็จรับเงิน ใบสั่งซื้อสินค้า รวมถึงเข้าพบลูกค้าเพื่อสำรวจกิจการและสต๊อกสินค้าแทนได้ สำหรับเอสเอ็มอีที่ต้องการวงเงินตั้งแต่ 5 แสน-10 ล้านบาท ก็จะเป็นอีกวิธีที่จะเข้าถึงลูกค้าในกลุ่มรายเล็กได้ลึกขึ้น เพราะในพอร์ตเรามีสินเชื่อกลุ่มรายเล็กและไมโครอยู่ถึง 50%" พัชรกล่าว

เช่นเดียวกับธนาคารกรุงศรีอยุธยา ที่ใช้โมเดล "กรุงศรี แวลูเชน โซลูชั่นส์" โดยต่อยอดจากฐานลูกค้าเดิม ไปสู่กลุ่มที่เป็นซัพพลายเออร์รายย่อย ๆ ลงไป ซึ่งธนาคารต้องการขยายตลาดสินเชื่อธุรกิจรายเล็กและรายย่อย วงเงินสินเชื่อไม่เกิน 30 ล้านบาท เพราะเป็นตลาดที่ให้มาร์จิ้นสูง ซึ่งธนาคารได้ปรับมาใช้ระบบ "One Scan" ที่เข้ามาช่วยเรื่องพิจารณาสินเชื่อรายย่อยให้เร็วขึ้น ทราบผลใน 3 วัน และจะพยายามทำให้เร็วขึ้นเป็น 2 วันให้ได้ในปีนี้

แนวทางนี้ใกล้เคียงกับ "ธนาคารกรุงไทย" ที่เร่งปรับปรุงขั้นตอนการทำงานเพื่ออนุมัติสินเชื่อได้เร็วขึ้นสำหรับกลุ่มที่ต้องการวงเงิน 10-20 ล้านบาท โดยจะทำโมเดลพิจารณาสินเชื่อไว้ล่วงหน้าเพื่อให้ทำงานได้เร็วขึ้น ซึ่งตั้งเป้าหมายขยายพอร์ตนี้จาก 18% ให้เป็น 30% ของพอร์ตรวมในปีนี้

นอกจากนี้อีก 2 ค่ายอย่าง "ธนาคารไทยพาณิชย์" และ "ธนาคารกรุงเทพ" ก็เป็นอีกสองผู้เล่นในตลาดที่ละสายตาไม่ได้ แม้ช่วงนี้จะยังไม่มีความเคลื่อนไหวใหม่ออกมาให้เชยชมก็ตาม

ทั้งหมดนี้เป็นสัญญาณที่บอกว่า ตลาดสินเชื่อเอสเอ็มอีไซซ์เล็ก-จิ๋ว จะยังเป็น "โฟกัส" ที่สำคัญของหลายแบงก์ เพื่อสร้างทั้งโอกาส รายได้ และกำไรให้ดีในช่วงต่อไป แล้วแน่นอนว่าการวิ่งเข้าสู่สมรภูมินี้ย่อมตามมาด้วยการแข่งขันที่ดุเดือดเช่นกัน

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
///////////////////////////////////////////////////////

วันพฤหัสบดีที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

อุกฤษ. ปลุกอำนาจนิติบัญญัติ-บริหาร อารยะขัดขืน คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ !!?


ในอดีต อุกฤษ มงคลนาวิน ประธานคณะกรรมการอิสระว่าด้วยการส่งเสริมหลักนิติธรรมแห่งชาติ (คอ.นธ.) เคยเป็นประธานสภาผู้แทนราษฎร เคยเป็นประธานตุลาการรัฐธรรมนูญ สวมหมวกทั้งประมุขนิติบัญญัติ และประมุขผู้ชี้ขาดกฎหมาย-ปัญหาที่ขัดแย้งกับรัฐธรรมนูญ

ในปัจจุบัน เมื่อฝ่ายนิติบัญญัติขัดแย้งกับฝ่ายตุลาการ เจาะจงที่ศาลรัฐธรรมนูญเป็นการเฉพาะ ในเกมอำนาจที่ก้าวก่ายซึ่งกันและกัน

"อุกฤษ" จึงร่อนจดหมายเปิดผนึก 4 ข้อ แนะนำให้มีการลดอำนาจ-ปฏิรูปศาลรัฐธรรมนูญ เขาเปิดอาณาจักร "Navin Court" ย่านเพลินจิต ไขรหัสสาระของจดหมายเปิดผนึกดังกล่าว

และเขายังแนะนำให้ฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหารอารยะขัดขืน ไม่ยอมรับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ไม่ว่ากรณีใด ๆ

- ทำไมถึงมีจดหมายเปิดผนึก 4 ข้อปฏิรูปศาลรัฐธรรมนูญในตอนนี้

ที่จริงเราคิดกันมาก่อนนานแล้ว เพราะมีหลายกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่ากฎหมายบางมาตราขัดรัฐธรรมนูญ เช่น พ.ร.บ.ความร่วมมือระหว่างประเทศในเรื่องทางอาญา พ.ศ. 2535 ใช้บังคับ

ไม่ได้ ทั้งที่กฎหมายดังกล่าวมีการบังคับใช้มานาน ทำให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องไปแก้ไขกฎหมายเกินกว่า 100 ฉบับ ซึ่งการแก้ไขกฎหมายแต่ละฉบับไม่ใช่เรื่องง่าย และทำให้ขณะนั้นการทำงานต่าง ๆหยุดชะงักลง เพราะคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญผูกพันทุกองค์กร ทั้งที่ตัดสินด้วยคะแนนเสียง 5 ต่อ 4 มันเฉียดฉิวมาก

กรณีสำคัญอย่างนี้ ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 216 บอกว่า องค์ประชุม 9 คน ต้องมี 5 คน ถือว่าครบองค์ประชุม แต่คะแนนเสียงใช้เสียงข้างมากธรรมดา เช่น องค์ประชุม5 คน ใช้คะแนนเสียง 3 ต่อ 2 ได้ อย่างนี้มันไม่ถูก จึงคิดว่ามี 2 แนวทางที่จะทำให้ศาลรัฐธรรมนูญรอบคอบมากขึ้น 1.องค์คณะ 9 คน จะต้องมีคะแนนเสียงเป็นเสียงข้างมากในการวินิจฉัยเด็ดขาด 7 ต่อ 2 หรือ 8 ต่อ 1 2.แก้ไขรัฐธรรมนูญเฉพาะองค์ประกอบตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเป็น 15 คน มีองค์คณะในการประชุมตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป และการวินิจฉัยต้องใช้เสียงข้างมากเด็ดขาดไม่ต่ำกว่า 10 เสียงซึ่งตุลาการที่เพิ่มมา 6 คน ก็ให้ผ่านกระบวนการรัฐสภาในการคัดเลือก

เพื่อเป็นการยึดโยงประชาชน และไม่ควรมีวาระนานเกินไป 4 ปี หรือมีสิทธิ์อีก 1 วาระ ไม่เกิน 8 ปี ส่วนที่ตุลาการบางท่านบอกว่า เหมือนคนดูมาไล่กรรมการ แต่ถ้ายกตัวอย่างในสมัยก่อน การแข่งฟุตบอล คนดูเชื่อกรรมการ ต่อให้คนเห็นว่าลูกนี้ไม่สมควรได้ลูกโทษก็ตาม เพราะกรรมการตัดสินแล้วก็แล้วไป คนดูก็ไม่ว่าอะไร ตอนหลังพฤติการณ์มันหนักขึ้น ๆ เพราะการตัดสินมันผิดพลาดมาก

หลายครั้งกลายเป็นว่ากรรมการกับไลน์แมนลงมาเล่นด้วย เล่นทีไร อีกทีมหนึ่งก็แพ้ทุกที ผลคืออะไร คนดูทนไม่ได้ใช่ไหม เหตุการณ์เช่นนี้กำลังเกิดขึ้นกับศาลรัฐธรรมนูญของไทย มันพิสูจน์ได้โดยคำวินิจฉัยของศาลเอง

การที่สมาชิกรัฐสภาเคลื่อนไหวไม่รับอำนาจศาลรัฐธรรมนูญก็เป็นสิทธิ์ที่เขาทำได้ เพราะเขาเป็นองค์กรนิติบัญญัติ เป็น 1 ใน 3 อำนาจสำคัญของบ้านเมือง ศาลรัฐธรรมนูญเป็นศาลพิเศษ ไม่ใช่อยู่ในองค์กรสำคัญของบ้านเมือง ดังนั้น ทำซ้ำซากเขาไม่ยอมรับ ถ้าต่อไปใช้คำว่าอารยะขัดขืน ไม่ให้ความร่วมมือ ไม่ฟังคำสั่งของศาลรัฐธรรมนูญที่สั่งให้ชี้แจง จะเรียกว่าอารยะขัดขืนได้ไหม ให้ไปลองคิดกันดู

- เมื่อรัฐธรรมนูญระบุว่าคำวินิจฉัยของศาลผูกพันทุกองค์กร แล้วอารยะขัดขืนจะใช้ช่องทางไหน

ก็ใช้ช่องทางเหมือนกับพรรคประชาธิปัตย์ไม่ส่งคนลงเลือกตั้ง หรือตอนที่ฉีกบัตรเลือกตั้ง มันเป็นช่องทางที่เป็นพฤติการณ์เรียกว่าขัดขืน เพราะคำวินิจฉัยไม่ชอบด้วยกฎหมาย เขาก็มีสิทธิ์ไม่รับฟัง ก็ให้สังคมเป็นผู้วินิจฉัยว่าฝ่ายใดเป็นฝ่ายผิดถูก เพราะเหตุว่ามันไม่มีศาลอื่นที่จะพิจารณาเรื่องนี้ได้อีกแล้ว ไม่มีศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกา แต่ศาลรัฐธรรมนูญมีศาลเดียว

เมื่อมันหมดทาง ก็มีนิติบัญญัติ ฝ่ายบริหาร ฝ่ายตุลาการ ที่จะหาทางแก้ไขยับยั้ง ทางสุดท้ายคือประชาชนที่จะรับหรือไม่รับอันนี้ เพราะระบอบประชาธิปไตยถือประชาชนเป็นใหญ่

- เมื่อเห็นว่าตุลาการศาลรัฐธรรมนูญออกมานอกเลนแบบนี้ แล้วสุดท้ายศาลกลับตัดสินยุบพรรคเพื่อไทยอีกรอบ จะอารยะขัดขืนอย่างไร

ก็เขาไม่รับ ถามจริงเถอะ ถ้าตัดสินอย่างนี้ ใครเป็นคนบังคับคดีได้ (เน้นเสียง) ศาลรัฐธรรมนูญไม่มีอำนาจไปสั่งตำรวจ ไปสั่งใครให้จัดการ ฝ่ายบริหารกับฝ่ายนิติบัญญัติต่างหากที่เขามีอำนาจ ระหว่างช่วงนั้น เขาก็แก้ไขรัฐธรรมนูญซะ ไม่ฟังไอ้มาตรา 68 เพราะมันไม่มีอำนาจอยู่แล้ว ถ้าเขาบอกว่าแก้ไขรัฐธรรมนูญล่ะ แล้วแก้ไขเพิ่มจำนวนตุลาการ แก้ไขเรื่ององค์ประกอบ แก้ไขเรื่องการลงคะแนน ถ้าขัดขวางอีกก็เจอประชาชน เขาเรียกว่าศาลประชาชน นั่นล่ะคือกรรมการสูงสุดในการตัดสิน

- สรุปว่า แม้ศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำสั่งให้ยุบพรรค แต่ก็ไม่มีกระบวนการมาบังคับให้ต้องทำตาม

(สวนทันที) ถูกต้อง ถูกต้อง ให้ยุบพรรค คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) จะยุบ เขาก็ไม่รับ กกต.จะกล้าไหม ประชาชนจะยุบ กกต.เสียเอง หรือฝ่ายนิติบัญญัติแก้กฎหมายยุบ กกต.เสียเอง นอกจากนั้น

ฝ่ายบริหารก็ให้ระงับการจ่ายค่าตอบแทน จ่ายเงินเดือน อยู่ได้ไหม ถ้าเขาจะตอบโต้จริง ๆ แล้วใครจะไปฟ้องล่ะ งบประมาณก็อยู่ที่ฝ่ายบริหาร ถ้าสังคมเอาด้วย ประชาชนเอาด้วย เขาก็ทำได้ แต่ที่ประชาชนเขาไม่ทำ เพราะเห็นว่าเกินไป

- ถ้าอารยะขัดขืนอย่างนี้ ฝ่ายบริหาร นิติบัญญัติ และตุลาการจะออกนอกเลน ล้ำเส้นกันหมด

ศาลรัฐธรรมนูญไม่ใช่อยู่ในอำนาจตุลาการ ศาลรัฐธรรมนูญเป็นศาลพิเศษ ไม่ใช่ตุลาการศาลยุติธรรม ศาลรัฐธรรมนูญเป็นศาลการเมือง มันผิดกัน

- ทำไมบ่อยครั้งข้อเสนอของอาจารย์ถูกวิจารณ์ว่าเป็นข้อเสนอที่ย้อนยุค ล้าหลัง

ความเห็นของคนแตกต่างกัน แล้วคนที่ให้ความเห็นนั้นเคยออกความเห็นอะไรที่ว่าทันสมัยบ้าง ใครที่ว่าย้อนยุคจะย้อนยังไง ในเมื่ออะไรที่ไม่ได้ผลมันก็ต้องแก้ไขเปลี่ยนแปลงได้ แล้วถ้าล้ำยุคจะต้องมีตุลาการ สัก 30 คนเหรอถึงไม่ย้อนยุค จะพูดจะอะไรให้ศึกษาเสียก่อนว่าย้อนยุคคืออะไร แล้วการที่วันดีคืนดี ผู้ที่วิจารณ์แบบนี้ไปเสนออะไรที่มัน...ไม่เกิดประโยชน์ แล้วไม่เป็นประชาธิปไตย ท่านเคยทำไหม เช่นเคยเสนอให้มีนายกรัฐมนตรีพระราชทาน มาตรา 7 มันยิ่งกว่าย้อนยุค นี่มันเผด็จการ ถูกไหม

- แต่ในอดีตที่มีตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ 15 คน ตอนคดีซุกหุ้นภาค 1 ก็ถูกเสียงวิจารณ์ว่าเป็นการตัดสินผิดพลาดเหมือนกัน และเสียงข้างมากก็ชนะกัน 8 ต่อ 7 ห่างกันเพียงเสียงเดียว

คดีซุกหุ้นเราก็ต้องเคารพเขา มันก็ไม่มีปัญหาอะไร เราไม่ได้พูดถึงตัวบุคคล

แต่การที่ไปวินิจฉัยเอานายกฯคนหนึ่งออกจากตำแหน่ง ตีความกฎหมายอะไรก็ไม่ได้ ไปเอาพจนานุกรมมาตัดสิน มันเลวร้ายกว่าการตัดสินคดีซุกหุ้น เรื่องการ

ซุกหุ้นมันเป็นวาทกรรม แต่เอาผิดอะไรเขาไม่ได้ เราอย่ามาพูดในเรื่องนี้เลย เอาว่าต้องแก้ไขกันดีกว่า ว่าถ้าเชื่อตัวบุคคลก็เลิกศาลรัฐธรรมนูญสิ ไปสู่ศาลยุติธรรมธรรมดาเลยก็ได้ ถ้าจะคิดอย่างนี้

อย่าไปเอาตัวบุคคลเป็นหลัก อย่างตอนนี้ที่เหตุการณ์บ้านเมืองเป็นแบบนี้ เพราะเราก้าวข้ามคนคนหนึ่งไม่พ้นเท่านั้นเอง อย่าไปกลัวเขา สองมือสองเท้าเท่ากัน มีพรรคการเมืองเท่ากัน สู้กันในระบอบประชาธิปไตยเท่านั้นแหละ บ้านเมืองจะเรียบร้อย

- ศาลรัฐธรรมนูญก็ก้าวข้ามคนคนหนึ่งไม่พ้น

ไม่พ้น ไม่พ้น ก็นี่ไงถึงตำหนิ อย่างน้อยการวินิจฉัยด้วยคนจำนวนมาก ก็ดีกว่าวินิจฉัยด้วยคนจำนวนน้อย น้อยเท่าไหร่ก็เป็นเผด็จการมากขึ้นเท่านั้น ถ้า 15 คน คะแนนเสียงก้ำกึ่ง 9 คน ก็คะแนนเสียงก้ำกึ่ง ก็เพิ่มไป 25 คนก็ได้ เอาผู้ทรงคุณวุฒิเข้ามา

- คนที่ศาลรัฐธรรมนูญ พรรคการเมืองต่าง ๆ ก้าวไม่พ้นคือคุณทักษิณ ชินวัตร

ใคร ๆ ในโลกนี้ก็รู้ ถ้ายังมีชื่อทักษิณอยู่ ต่อให้เปลี่ยนชื่อยังไงก็ไม่ได้ เหมือนเห็นเงาปีศาจ ซึ่งมันแปลก ผมไม่เคยกลัวเลย ใครจะชื่ออะไรก็ตาม อยู่ที่หลักการความถูกต้อง แล้วใครเป็นอย่างไร ประชาชนจะเป็นผู้พิพากษาเอง

- ศาลรัฐธรรมนูญการันตีตลอดว่าวินิจฉัยตามพยานหลักฐาน ไม่เกี่ยวข้องกับคุณทักษิณ ทำไมถึงคิดว่าศาลรัฐธรรมนูญก้าวข้ามคุณทักษิณไม่พ้น

ไม่ใช่...ที่อ้างมาว่า 15 คนก็แล้ว 9 คนก็แล้ว เป็นเพราะก้าวข้ามคนคนหนึ่งใช่ไหม แล้วเอามาเป็นข้ออ้าง เวลาเราถูกใจ ก็บอกว่าตัดสินอย่างนี้ดีแล้ว ถ้าเวลาไม่ถูกใจ

ก็บอกว่าเป็นเพราะคนคนหนึ่ง เลิกพูดถึงเรื่องนี้ดีกว่า คนเราเกิดมาสองมือสองเท้า ไปกลัวใคร ทุกอย่างอยู่ที่กรรมดี กรรมชั่ว ถ้าเราทำดีแล้ว ไม่ต้องไปกลัวใคร แต่ถ้าทำชั่ว แม้วันนี้เรารู้สึกว่าชนะ แต่วันข้างหน้าเราต้องรับผลกรรมอยู่ดี

- เคยเป็นตุลาการรัฐธรรมนูญในยุคประชาธิปไตยครึ่งใบ มองตุลาการศาลรัฐธรรมนูญในยุคประชาธิปไตยเต็มใบในปัจจุบันต่างกับครึ่งใบไหม

ผิดกันสิครับ จะว่าครึ่งใบอะไรก็ตาม มันเป็นไปตามระบอบประชาธิปไตย ตุลาการรัฐธรรมนูญมาจากการโปรดเกล้าฯ มาจากการคัดเลือกมาโดยชอบธรรมเป็นที่ยอมรับ แต่จะมานับถือตุลาการศาลรัฐธรรมนูญปี 2550 มันยากแล้วล่ะ เพราะ คมช.

ใช้อำนาจคณะปฏิวัติมาตั้งคนของตัวเอง 9 คน ซึ่งเป็นตุลาการส่วนใหญ่ ก็คือเลือกตุลาการภิวัตน์ ที่มามันก็ผิดแล้ว มันเทียบกันไม่ได้ อย่ามาเทียบกันเลย

แล้วตุลาการรัฐธรรมนูญ หรือตุลาการศาลรัฐธรรมนูญปี 2540 เขาก็ไม่มีตุลาการภิวัตน์อย่างนี้

- ที่ทำให้แตกต่าง มองว่ามีใบสั่งทางการเมือง

ไม่ทราบ จิตใจของตัวเองรู้ ใบสั่งไม่สั่ง กรรมเป็นเครื่องชี้เจตนา นักกฎหมายเขาอ่านกันออกว่าตัดสินยังไง การตีความกฎหมายใช้พจนานุกรมแค่นี้ก็รู้แล้ว ตัดสินมา 9 ต่อ 0 (คดีชิมไปบ่นไป)

เขียนคำวินิจฉัยส่วนตนว่าไง เอางี้ ให้นักกฎหมายรุ่นเหลนไปวิเคราะห์ดู มันเป็นการละเมิดกฎหมาย ละเมิดการตีความ ละเมิดหลักกฎหมายที่เราสอนกันมา

ตั้งแต่สมัยพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ บรรพบุรุษตุลาการไม่เคยมีปรากฏอย่างนี้ หรือจะเถียงว่าการตัดสินอย่างนี้ถูก..หา !..ไม่เคยมีตุลาการคนไหนในระบอบครึ่งใบ เต็มใบ ไม่เคยมีใครคิดแบบนี้

- ตกลงมันผิดที่ตัวตุลาการ 9 คน หรือผิดที่ตัวระบบ

มันผิดตั้งแต่ต้น องค์ประกอบที่มา อำนาจ แล้วการเลือกตัวบุคคล คนดี ๆ นะ ไม่ใช่ไม่ดี ลูกศิษย์พวกนี้เก่งทั้งนั้น อัจฉริยะไม่มีใครเกิน แต่ตอนนี้ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร ที่ทำให้คำวินิจฉัยออกมาเป็นที่ยอมรับไม่ได้ ก็ไม่เข้าใจ

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
/////////////////////////////////////////////////////////////

วันพุธที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

แรงงานไทย และ สรส. เรียกร้องรัฐหยุดละเมิดผู้นำแรงงานรัฐวิสาหกิจ !!?


หลายองค์กรออกแถลงการณ์ในวันแรงงานสากล โดย สมานฉันท์แรงงานไทย และ สรส. ออกแถลงการณ์ร่วมกัน พร้อมเสนอข้อเรียกร้องเร่งด่วน 5 ข้อ ด้าน "พรรคการเมืองใหม่" ซึ่งเตรียมเปลี่ยนชื่อเป็น "พรรคสังคมประชาธิปไตยไทย" ออกแถลงการณ์ระบุเมื่อแรงงานสามัคคีกันแล้วฝันจะเป็นจริง

สมานฉันท์แรงงาน และ สรส. เสนอ 5 ข้อเรียกร้องเร่งด่วนวันแรงงาน

คณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย (คสรท.) และสมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ (สรส.) ได้เสนอข้อเรียกร้องเนื่องในวันกรรมการสากล โดยมีรายละเอียดดังนี้

ข้อเรียกร้องเร่งด่วน ประกอบด้วย "1. รัฐต้องให้สัตยาบันอนุสัญญาองค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) ฉบับที่ 87 ว่าด้วยเสรีภาพในการสมาคมและการคุ้มครองสิทธิในการรวมตัวกัน และอนุสัญญาฯ ฉบับที่ 98 ว่าด้วยการปฏิบัติตามหลักการแห่งสิทธิในการรวมตัวและการร่วมเจรจาต่อรอง เพื่อสร้างหลักประกันในสิทธิในการรวมตัวและการเจรจาต่อรอง"

"2. รัฐต้องยุตินโยบายและกฎหมายที่ละเมิดสิทธิแรงงาน กรณีผู้นำสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจรถไฟแห่งประเทศไทย 13 คน และแรงงานในภาคเอกชนเป็นจำนวนมาก ซึ่งขัดต่ออนุสัญญาองค์การแรงงานระหว่างประเทศ ฉบับที่ 87 และ ฉบับที่ 98"

"3. รัฐต้องสร้างระบบสวัสดิการสังคม มีมาตรการควบคุมราคาสินค้า ค่าบริการสาธารณูปโภค ลดค่าครองชีพ สร้างหลักประกันในการเข้าถึงการศึกษา สาธารณสุข การบริการสาธารณะ เพื่อลดความเหลื่อมล้ำสร้างความเป็นธรรมทางสังคม"

"4. รัฐต้องยกเลิกนโยบายการแปรรูปรัฐวิสาหกิจหรือการแปลงสภาพรัฐวิสาหกิจทุกรูปแบบ จัดตั้งกองทุนพัฒนารัฐวิสาหกิจ เพื่อให้เกิดการพัฒนาศักยภาพหน่วยงานรัฐวิสาหกิจในการให้บริการประชาชน และยุติการแทรกแซงการบริหารงานรัฐวิสาหกิจ โดยขาดความเป็นธรรมและขาดธรรมาภิบาล"

"5. รัฐและรัฐสภาต้องเร่งรัดการปฏิรูประบบประกันสังคม ประกันสุขภาพคนทำงานถ้วนหน้า โครงสร้างการบริหารงานเป็นอิสระโปร่งใสตรวจสอบได้ ผู้ประกันตนมีส่วนร่วม เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมทางสังคม

นอกจากนี้ทั้ง คสรท. และ สรส. ได้มีข้อเรียกร้องติดตามอีก 7 ข้อ ได้แก่ "1. รัฐต้องกำหนดค่าจ้างแรงงานที่เป็นธรรมให้ครอบคลุมผู้ใช้แรงงานทุกภาคส่วน โดยกำหนดนิยามค่าจ้างขั้นต่ำให้เป็นค่าจ้างแรกเข้าที่มีรายได้พอเพียงเลี้ยงชีพตนเองและครอบครัวอีก 2 คน ตามหลักการขององค์การแรงงานระหว่างประเทศ ทั้งนี้ โครงสร้างค่าจ้างของแรงงานให้มีการปรับค่าจ้างทุกปี โดยคำนึงถึงค่าครองชีพ ทักษะฝีมือ และลักษณะงาน ทั้งนี้ รัฐจะต้องทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2554 ที่ให้คงอัตราค่าจ้างขั้นต่ำวันละ 300 บาท ในปี พ.ศ. 2557 และปี พ.ศ. 2558"

"2. รัฐต้องแก้ไขกฎหมายเลือกตั้งในระดับชาติ และระดับท้องถิ่น เพื่อให้ผู้ใช้แรงงานที่ทำงานในเขตพื้นที่สถานประกอบการใดๆ ตั้งแต่ 2 ปีขึ้นไป มีสิทธิเลือกตั้งและลงสมัครรับเลือกตั้งในพื้นที่นั้น ๆ เพื่อให้สะท้อนถึงเจตนารมณ์ของประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่"

"3. รัฐต้องเร่งรัดให้มีการพัฒนากลไกการเข้าถึงสิทธิ์ การบังคับใช้ พ.ร.บ.ความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน พ.ศ.2554 อย่างจริงจัง ภายใต้การมีส่วนร่วมของกลุ่มผู้ใช้แรงงานทุกภาคส่วน"

"4. รัฐต้องจัดตั้งกองทุนประกันความเสี่ยงจากการลงทุน โดยให้นายจ้างและรัฐบาลสมทบเงินเข้ากองทุน เพื่อเป็นหลักประกันในการคุ้มครองสิทธิแรงงาน เมื่อมีการเลิกจ้างหรือเลิกกิจการไม่ว่ากรณีใดก็ตาม ผู้ใช้แรงงานควรมีสิทธิได้รับเงินชดเชยจากกองทุน รวมทั้งการสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีระหว่างนายจ้างกับลูกจ้างได้"

"5. รัฐต้องสนับสนุนการจัดตั้งศูนย์เลี้ยงเด็กหรือศูนย์พัฒนาเด็กให้แก่ผู้ใช้แรงงาน ในเขตพื้นที่อุตสาหกรรมหรือสถานที่ทำงาน"

"6. รัฐต้องเร่งรัดให้มีการพัฒนากลไกการคุ้มครองสิทธิแรงงานและสวัสดิการสังคมของแรงงานนอกระบบ และแรงงานข้ามชาติ"

และ "7. รัฐต้องยกเว้นภาษี กรณีเงินก้อนสุดท้ายของคนงานผู้เกษียณอายุ"

"การเมืองใหม่" เตรียมเปลี่ยนชื่อเป็น "พรรคสังคมประชาธิปไตยไทย"
พร้อมออกแถลงการณ์เรียกร้องแรงงานให้สามัคคีกันแล้วฝันจะเป็นจริง

ด้าน "พรรคการเมืองใหม่" ซึ่งอยู่ขั้นตอนจดทะเบียนชื่อพรรคใหม่คือ "พรรคสังคมประชาธิปไตยไทย" ได้ออกแถลงการณ์ในวันแรงงานสากลด้วยเช่นกัน โดยตอนหนึ่งของแถลงการณ์ระบุว่า "ถึงวันนี้นับเป็นเวลา 123 ปี แต่พี่น้องแรงงานไทยก็ยังถูกละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐานดังกล่าว มีตัวอย่างให้เห็นมากมาย แล้วยังส่งเสียงตะโกนหลอกลวงพี่น้องแรงงานว่าอย่าไปยุ่งกับการเมือง ให้อยู่อย่างผู้ถูกปกครองไปตลอดชีวิต ให้พูดเสนอได้เฉพาะเรื่องปากท้องเท่านั้น นี่คือวาทะกรรมอัปยศที่พวกนายทุนหลวกลวงผู้ใช้แรงงาน เมื่อผู้ใช้แรงงานเข้าชื่อเสนอกฎหมายประกันสังคมพวกนักการเมืองทั้งฝ่าย รัฐบาลและฝ่ายค้านต่างๆฉีกทิ้งไม่สนใจแม้แต่น้อย นี้คือความจริงที่ปรากฎมิอาจบิดเบือนได้อย่างเด็ดขาด และพวกนายทุนต้องการยึดกุมอำนาจรัฐเป็นของนายทุน โดยนายทุน เพื่อนายทุนตลอดไป เพื่อกอบโกยขูดรีดคนส่วนใหญ่ของประเทศ

"เนื่องในวันแรงงานสากลนี้ ขอให้พี่น้องแรงงานทั้งหลายศึกษาเรียนรู้ประวัติศาสตร์และสรุปบทเรียนร่วม กัน ขออย่าดูถูกตนเองว่าไร้ค่าจงภาคภูมิใจว่า “ เราแรงงานคือผู้สร้างโลก ” และคือคนส่วนใหญ่ของประเทศที่ยังถูกกดขี่ ขูดรีด จากระบอบทุนนิยมสามานย์ และเราคือมนุษย์ จึงต้องใช้สิทธิเสรีภาพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ตามหลักสิทธิมนุษยชน ซึ่งเป็นไปตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช 2550 รับรองสิทธิในการรวมตัวกันเป็นสหภาพ สหพันธ์ สหกรณ์ กลุ่มเกษตร ฯลฯ เพื่อต่อรองทางด้านเศรษฐกิจ แต่จะไม่ประสบความสำเร็จหากไม่ยกระดับใช้สิทธิเสรีภาพรวมตัวกัน จัดตั้งพรรคการเมือง เพื่อยกระดับต่อสู้ทางการเมืองควบคู่ไปด้วย เพื่อเข้าสู่อำนาจรัฐตามวิถีทาง
ประชาธิปไตย เพื่อใช้อำนาจในสภาออกกฎหมายที่เป็นธรรม เพื่อผู้ใช้แรงงานและเกษตรกรคือคนส่วนใหญ่ของประเทศ เพื่อป้องกันการถูกเอารัดเอาเปรียบจากนายทุนและพ่อค้าคนกลาง นี่คือเส้นทางการต่อสู้ที่ทำให้ผู้ใช้แรงงานมีชีวิตที่ดีขึ้น มีความมั่นคงในการทำงานการดำรงชีวิตอย่างยั่งยืน และโปรดระลึกเสมอว่าเรา “ ผู้ใช้แรงงานทั้งผองคือพี่น้องกัน ” จงสามัคคีกันถือประโยชน์ส่วนรวมเป็นที่ตั้ง สามัคคีกันให้กว้างใหญ่ไพศาล เพื่อสืบทอดอุดมการณ์และเจตนารมณ์แห่งชนชั้นแรงงานอย่างจริงจัง รวมพลังกันสร้างสรรสังคมที่เป็นธรรม และร่วมกันต่อต้านการทุจิตคอรัปชั่นทุกรูปแบบ ต่อสู้ให้ได้มาซึ่งสิทธิเสรีภาพ ความเสมอภาคทั้งทางด้านเศรษฐกิจสังคม และภราดรภาพให้ปรากฏเป็นจริงโดยเร็วที่สุด แรงงานทั้งผองต้องสามัคคีกันแล้วความฝันจะเป็นจริง"

ที่มา.ประชาไท
////////////////////////////////

นายกฯ จ้อทีวี ขอบคุณแรงงานทุกสาขาอาชีพ !!?


นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้ปราศรัยเนื่องในงานวันแรงงานแห่งชาติ ประจำปี 2556ซึ่งออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์และสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทยว่าในนามของรัฐบาลขอส่งความระลึกถึงและความปรารถนาดีมายังพี่น้องผู้ใช้แรงงานทุกสาขาอาชีพและครอบครัว และขอขอบคุณพี่น้องผู้ใช้แรงงานที่มีส่วนสำคัญในการสร้างความเจริญมั่นคงให้แก่เศรษฐกิจและสังคมของประเทศมาโดยตลอด มา ณ โอกาสนี้ด้วย

รัฐบาลมีความมุ่งมั่นที่จะพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ เพื่อเป็นการสร้างงาน สร้างรายได้ให้กับพี่น้องประชาชนคนไทย โดยรัฐบาลต้องการเห็นผู้ใช้แรงงานทุกประเภทได้รับผลตอบแทนที่คุ้มค่า มีการพัฒนาศักยภาพ และทักษะที่หลากหลาย เพื่อให้รายได้นั้นเพิ่มพูน โดยนโยบายค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาทของรัฐบาลที่ประกาศใช้ทั้งประเทศมาตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม จึงเป็นเพียงจุดเริ่มต้นขั้นพื้นฐานที่จะต้องเติบโตต่อไป

นางสาวยิ่งลักษณ์ยังกล่าวอีกว่าในขณะเดียวกัน รัฐบาลต้องการเห็นการทำงานที่ปลอดจากสภาพที่เลวร้ายหรือเสี่ยงอันตราย ประเทศไทยต้องปราศจากการค้ามนุษย์ การเอารัดเอาเปรียบผู้ใช้แรงงาน การใช้แรงงานเด็ก หรือการใช้แรงงานต่างด้าวอย่างผิดกฎหมาย ทุกคนต้องได้รับการคุ้มครองสิทธิแรงงานตามกฎหมาย ได้รับการดูแลอย่างเป็นธรรม และได้ทำงานภายใต้สภาพแวดล้อมที่ถูกสุขลักษณะและปลอดภัย

ทั้งนี้ประเทศไทยกำลังเร่งเตรียมความพร้อมเพื่อเข้าสู่ประชาคมอาเซียน รัฐบาลจึงต้องยกระดับคุณภาพแรงงานให้มีทักษะสูงขึ้น เพื่อให้ประเทศไทยเป็นประเทศที่ใช้แรงงานฝีมือทั้งระบบ สามารถตอบสนองความต้องการของผู้ประกอบการ และเป็นการยกระดับความสามารถในการแข่งขันของประเทศ จึงเชื่อว่า ความสามารถของแรงงานไทยไม่แพ้ชาติอื่น ความอดทน มุ่งมั่น ขยันหมั่นเพียร พัฒนาตนเองจะทำให้เราก้าวไปด้วยกัน เพื่อสร้างโอกาส สร้างรายได้ใหม่สำหรับคนไทยทุกคน

นายกรัฐมนตรีกล่าวอีกว่า ในโอกาสนี้ ตนและรัฐบาลขออาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัยและอำนาจสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายที่ทุกท่านเคารพนับถือ อีกทั้งพระบารมีแห่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ โปรดดลบันดาลให้พี่น้อง ผู้ใช้แรงงานและพี่น้องประชาชนชาวไทยทุกท่าน จงประสบแต่สิริสวัสดิ์พิพัฒนมงคล เป็นพลังสำคัญในการสร้างสรรค์พัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศให้ก้าวหน้ารุ่งเรืองตลอดไป

ที่มา.มติชนออนไลน์
////////////////////////////////////////////////////

วันอังคารที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2556

ประวัติความเป็นมา วันแรงงานแห่งชาติ !!?




เพื่อเป็นการยกย่องและชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของแรงงาน เพื่อให้เกิดการพัฒนาทั้งในคุณภาพ ความเป็นอยู่ ตลอดจนสิทธิอันชอบธรรมที่ผู้ใช้แรงงานสมควรจะได้รับการดูแลเอาใจใส่อย่างจริงจัง รัฐบาลจึงได้กำหนดให้วันที่ 1 พฤษภาคม ของทุกปีเป็น "วันแรงงานแห่งชาติ" ตามที่คณะพรรคสังคมนิยมระหว่างชาติได้กำหนดไว้ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2432
happy-labor-day

ในประเทศยุโรปส่วนมาก ก็กำหนดให้วันที่ 1 พฤษภาคม เป็นวันแรงงานเช่นเดียวกัน และเรียกว่า "วันกรรมกรสากล" หรือ "วันเมย์เดย์" ยกเว้น ประเทศสหรัฐอเมริกาและประเทศแคนาดา ที่ถือเอาวันจันทร์แรกของเดือนกันยายนเป็นวันแรงงาน

ความเป็นมา 

ในระบบเศรษฐกิจ แรงงานถือเป็นปัจจัยสำคัญอันหนึ่งที่ก่อให้เกิดผลผลิต พลังของผู้ใช้แรงงานจะแฝงอยู่ในผลผลิตทุกชิ้น ดังนั้นความมั่นคงก้าวหน้าหรือความอ่อนแอทางเศรษฐกิจ แรงงานย่อมมีส่วนสำคัญเป็นอย่างมาก แต่ในความเป็นจริงแล้ว ยังมีผู้ใช้แรงงานถูกเอารัดเอาเปรียบจากนายจ้าง ทั้งในด้านผลประโยชน์ค่าตอบแทน และสวัสดิการ

ดังนั้นเพื่อเป็นการยกย่องและชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของแรงงาน เพื่อให้เกิดการพัฒนาทั้งในคุณภาพ ความเป็นอยู่ ตลอดจนสิทธิอันชอบธรรมที่ผู้ใช้แรงงานสมควรจะได้รับการดูแลเอาใจใส่อย่างจริงจัง รัฐบาลจึงได้กำหนดให้วันที่ 1 พฤษภาคม ของทุกปีเป็น " วันแรงงานแห่งชาติ " ตามที่คณะพรรคสังคมนิยมระหว่างชาติได้กำหนดไว้ตั้งแต่ปี พ.ศ.2432

ในประเทศยุโรปส่วนมาก ก็กำหนดให้วันที่ 1 พฤษภาคม เป็นวันแรงงานเช่นเดียวกัน และเรียกว่า "วันกรรมกรสากล" หรือ วันเมย์เดย์ ยกเว้น ประเทศสหรัฐอเมริกาและประเทศแคนาดา ที่ถือเอาวันจันทร์แรกของเดือนกันยายนเป็นวันแรงงาน
       
ในเมืองไทยเริ่มมีการจัดการบริหารแรงงานขึ้นใน พ.ศ.2475 เมื่อรัฐบาลได้ออกพระราชบัญญัติจัดหางานประจำท้องถิ่น พ.ศ.2475
       
 เมื่อ พ.ศ. 2477 ได้มีการจัดตั้งกองกรรมกรขึ้น ทำหน้าที่ด้านการจัดหางานและศึกษาภาวะความเป็นอยู่ของคนงานทั่วไป พ.ศ. 2499 รัฐบาลได้ ขยายกิจการด้านแรงงานสัมพันธ์มากขึ้นและประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับแรกในปี พ.ศ. 2508 และปีเดียวกันได้มีการตั้งกรมแรงงานขึ้น อีกทั้งประกาศใช้ พระราชบัญญัติกำหนดวิธีระงับข้อพิพาทแรงงาน ปัจจุบัน การบริหารแรงงานอยู่ในความรับผิดชอบของกระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคมมีงานสำคัญเกี่ยวข้อง กับแรงงานดังนี้
             
1. การจัดหางาน ด้วยการช่วยเหลือคนว่างงานให้มีงานทำ ช่วยเหลือนายจ้างให้ได้คนมีคุณภาพดีไปทำงาน รวบรวมเผยแพร่ข่าวสารเกี่ยวกับการทำงาน แหล่งงาน ภาวะตลาดแรงงาน
2. งานแนะแนวอาชีพ ให้คำปรึกษาแก่เยาวชนและผู้ประสงค์จะทำงาน เพื่อให้สามารถเลือกแนวทางประกอบอาชีพที่เหมาะสมตามความถนัด ความ สามารถทางร่างกาย คุณสมบัติ บุคลิกภาพและความเหมาะสมแก่ความต้องการทางเศรษฐกิจ
3. การพัฒนาแรงงาน ส่งเสริมพัฒนาฝีมือแก่คนงานและเยาวชนที่ไม่มีโอกาสศึกษาต่อโดยการฝึกแบบเร่งรัด
4. งานคุ้มครองแรงงาน วางหลักการและวิธีการเกี่ยวกับชั่วโมงทำงาน วันหยุดงาน ตลอดจนการจัดให้มีสวัสดิการต่างๆ
5. งานแรงงานสัมพันธ์ทำการส่งเสริมและสร้างสัมพันธ์อันดีระหว่างนายจ้างกับลูกจ้างให้ทั้งสองฝ่ายเข้าใจถึงลักษณะและสภาพของปัญหา ตลอดจน วิธีการที่เหมาะสมที่จะช่วยขจัดความเข้าใจผิดและข้อขัดแย้งอื่นๆ
 
หน้าที่ของกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน 

หน้าที่ของกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน
1.การจัดหางาน ด้วยการช่วยเหลือคนว่างงานให้มีงานทำ ช่วยเหลือนายจ้างให้คนมีคุณภาพในการทำงาน รวบรวมเผยแพร่ข่าวสารเกี่ยวกับการทำงาน แหล่งงาน ภาวะตลาดแรงงาน
2.งานแนะแนวอาชีพ ให้คำปรึกษาแก่เยาวชนและผู้ประสงค์จะทำงานเพื่อให้สามารถเลือกแนวทางประกอบอาชีพเหมาะตามความถนัด ความสามารถทางร่างกาย คุณสมบัติ บุคลิกภาพและความเหมาะสมแก่ความต้องการเศรษฐกิจ
3.การพัฒนาแรงงาน ส่งเสริมพัฒนาฝีมือแก่คนงานและเยาวชน ที่โอกาสศึกษาต่อ
4.งานคุ้มครองแรงงาน วางหลักการและวิธีการเกี่ยวกับชั่วโมงการทำงาน วันหยุดงาน ตลอดจนสวัสดิการต่าง ๆ
5.งานแรงงานสัมพันธ์ ทำการส่งเสริมและสร้างสัมพันธ์อันดีระหว่างนายจ้างกับลูกจ้าง

ด้านกรรมกร ได้จัดตั้งกลุ่มสหภาพแรงงานขึ้นหลายกลุ่ม และรวมกันตั้งสภาองค์การลูกจ้างขึ้น ทำหน้าที่พิทักษ์สิทธิให้กับผู้ใช้แรงงาน ปัจจุบันมี 3 สภา ได้แก่
1.    สภาองค์การลูกจ้างแรงงานแห่งประเทศไทย
2.    สภาองค์การลูกจ้างแห่งประเทศไทย
3.    สภาองค์การแรงงานแห่งประเทศไทย

krotron-MayDay1

กิตติรัตน์ เชื่อ ธปท. ออกมาตรการ รับมือค่าบาทแข็ง ในสัปดาห์นี้ !!?


กิตติรัตน์ ชี้ทิศทางบาทเริ่มดีหลังถกแบงก์ชาติ คาดสัปดาห์นี้ ธปท.ชงมาตรการรับมือ สศค.แจงไตรมาสแรก ศก.โต 6.9% ทั้งปียังคงเป้า 5.3% ส.อ.ท.เสนอ กนง.ถกนัดพิเศษ ชี้ประชุมปกติแก้ปัญหาไม่ทัน

โต้งชี้บาทเริ่มดีหลังถกร่วม

นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ในที่ประชุมหารือแนวทางรับมือค่าเงินบาทในสัปดาห์ที่ผ่านมานั้น ทุกฝ่ายมีแนวคิดที่ตรงกันในหลายเรื่อง และหากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะมีมาตรการอะไรออกมาเพื่อรับมือการแข็งค่าของค่าเงินบาทนั้นกระทรวงการคลังก็พร้อมที่จะสนับสนุน

"หลังจากที่ประชุมในสัปดาห์ที่ผ่านมา ค่าเงินบาทเริ่มมีทิศทางที่ดีขึ้น และมีเสถียรภาพมากขึ้น แม้จะยังไม่มีมาตรการอะไรออกมาเพื่อรองรับการแข็งค่าของค่าเงินบาท ทำให้ยังไม่มีมาตรการอะไรออกมารับมือในระยะสั้นและหากมีมาตรการอะไรออกมาเชื่อว่าจะไม่ส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้น" นายกิตติรัตน์กล่าว

ธปท.ชงมาตรการสัปดาห์นี้

นายกิตติรัตน์กล่าวว่า แม้ในระยะสั้นนั้นยังไม่ต้องมีมาตรการอะไรเข้ามารองรับการแข็งค่าของค่าเงินบาท แต่ในระยะกลางและระยะยาวนั้นก็ต้องหามาตรการมารองรับด้วย หาก ธปท.มีมาตรการอะไรรับมือค่าเงินบาทและเกี่ยวข้องกับกฎระเบียบของกระทรวงการคลังก็พร้อมจะสนับสนุนและถ้ามีมาตรการอะไรที่ดำเนินการอยู่แล้วก็สามารถก็ดำเนินการต่อได้ แต่หากมีมาตรการอะไรเพิ่มเติม ควรจะแจ้งกับกระทรวงการคลังรับทราบ คาดว่า ธปท.จะเสนอมาตรการเพื่อรับมือค่าเงินบาทที่แข็งค่ามาในสัปดาห์นี้

นายกิตติรัตน์กล่าวว่า ส่วนแนวคิดของนักวิชาการบางรายที่เสนอให้มีการเก็บภาษีดอกเบี้ยเงินฝากนั้น ปัจจุบันประเทศไทยได้มีการทำสนธิสัญญาการเก็บภาษีซ้ำซ้อน กับ 50 ประเทศ สนธิสัญญานี้ได้ระบุว่า ห้ามเก็บภาษีจากดอกเบี้ยเงินฝาก เกิน 10% ปัจจุบันกระทรวงการคลังก็ดำเนินการอยู่และไม่สามารถเก็บภาษีเกิน 10% ในส่วนของการเก็บภาษีเงินฝากของชาวต่างชาตินั้น รัฐบาลชุดนี้ก็ไม่ได้ละเลยโดยได้ดำเนินการต่อเนื่องมาตั้งแต่สมัยที่มี นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และดำเนินการต่อเนื่อง

ศก.ไตรมาสแรกโต6.9% 

นายสมชัย สัจจพงษ์ ผู้อำนวยการ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เปิดเผยถึงเศรษฐกิจไทยในเดือนมีนาคมและไตรมาสที่ 1 ของปี 2556 ว่า ยังขยายตัวได้ต่อเนื่องจากช่วงเดียวกันปีก่อน แต่มีสัญญาณแผ่วลงจากไตรมาสก่อนหน้า ทั้งด้านการผลิตและการใช้จ่ายในประเทศ จากเครื่องชี้วัดการบริโภคภาคเอกชนและการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ราคาคงที่ในไตรมาส 1 ขยายตัว 6.9% ชะลอลงจากไตรมาสก่อนหน้า ที่ขยายตัวถึง 18% แม้ว่าจะยังไม่รุนแรง แต่ก็ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด แต่ตัวเลขที่ยังอยู่ในระดับดีคือการส่งออกที่ยังขยายตัว แต่ก็เป็นระดับที่ต่ำกว่าที่ควรจะเป็น

นายสมชัยกล่าวว่า ค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น ทำให้การส่งออกของไตรมาสแรกปีนี้ขยายตัวเพียง 4.3% จากประมาณการที่คาดว่าจะขยายตัว 7% หากจะให้การส่งออกทั้งปีขยายตัวได้ที่ 9% ตามตัวเลขของกระทรวงพาณิชย์ จะต้องดูแลให้การส่งออกในไตรมาสที่เหลือขยายตัวให้ได้เฉลี่ยไตรมาสละ 10% ภายใต้ประมาณการค่าเงินบาทที่ 29.40 บาทต่อดอลลาร์

นำเข้ายังไม่ปรับแผนรับบาท

นายสมชัยกล่าวว่า ขณะที่การนำเข้าขยายตัว 5.1% แต่หดตัวลงถึง 4% เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 4 แม้ว่าค่าเงินบาทจะแข็งค่าขึ้น ส่วนหนึ่งเพราะภาคธุรกิจจะวางแผนล่วงหน้าเป็นปี จึงยังไม่ได้ปรับแผนที่ได้วางไว้ และติดตามดูการแก้ไขปัญหาค่าเงินบาทจากทางการด้วย แต่หากผลการประชุมของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ยังคงยืนยันดอกเบี้ยนโยบายที่ 2.75% ก็จะทำให้คาดการณ์แนวโน้มค่าเงินบาทว่าจะยังคงแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง เชื่อว่าผู้นำเข้าก็น่าจะปรับแผนนำเข้าใหม่และน่าจะเห็นผลชัดเจนในไตรมาสที่ 2

"ปัจจัยหลักที่ทำให้สัญญาณการขยายตัวของเศรษฐกิจแผ่วๆ ลงมาจากปัญหาการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ทำให้แต่ละประเทศต่างหามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการเพิ่มปริมาณเงิน ทั้งสหรัฐอเมริกา ยุโรป และญี่ปุ่น ส่งผลให้เกิดการเคลื่อนย้ายเงินทุนที่ไหลเข้ามาลงทุนในไทยจำนวนมากขนทำให้ค่าเงินบาทไทยแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องและมากกว่าประเทศเพื่อนบ้าน แต่โดยรวมแล้วไตรมาสแรกเศรษฐกิจไทยขยายตัวได้ 6% และทั้งปีก็ยังคงเป้าเศรษฐกิจขยายตัวที่ 5.3%" นายสมชัยกล่าว

 รายย่อยยังซื้อขายล่วงหน้าน้อย

นายพิสิทธิ์ พัวพัน ผู้อำนวยการส่วนวิเคราะห์เศรษฐกิจมหภาค สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) กระทรวงการคลัง กล่าวว่า การบริหารนโยบายอัตราแลกเปลี่ยนในแต่ละครั้งมีความยากลำบาก เนื่องจากเป็นเรื่องที่มีความอ่อนไหวต่อการค้าการส่งออกของประเทศ อย่างไรก็ตาม ภาครัฐควรใช้โอกาสนี้ในการนำเข้าวัตถุดิบสำคัญตามโครงการลงทุน 2 ล้านล้านบาท คาดว่าต้องนำเข้ามาคิดเป็น 40% ของการลงทุนในภาพรวม จะช่วยบรรเทาปัญหาการแข็งค่าของเงินบาทได้ และนักลงทุนไทยควรออกไปลงทุนในต่างประเทศมากขึ้น ขณะที่รัฐวิสาหกิจในไทยควรใช้โอกาสนี้ชำระหนี้ต่างประเทศก่อนกำหนด

นายพิสิทธิ์กล่าวว่า ที่ผ่านมากระทรวงการคลังได้มอบหมายให้ธนาคารในสังกัดของรัฐทั้งธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (ธสน.) และธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (เอสเอ็มอีแบงก์) ทำสัญญาซื้อหรือขายเงินตราต่างประเทศล่วงหน้า หรือฟอร์เวิร์ด คอนแทร็ค ให้กับเอสเอ็มอีที่ต้องการ เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน แต่ที่ผ่านมาพบว่ามีการทำฟอร์เวิร์ด คอนแทร็ค น้อย ไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ อาทิ ธนาคารกรุงไทยทำฟอร์เวิร์ดให้เอสเอ็มอีเพียง 640 ราย วงเงิน 2,000 ล้านบาทเท่านั้น

 พณ.ดูแลส่งออกรายกลุ่ม

น.ส.พัดชา วุฒิพันธุ์ นักวิชาการพาณิชย์ชำนาญการพิเศษ กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า กระทรวงพาณิชย์ได้ข้อสรุปตั้งคณะกรรมการย่อยขึ้นมาดูแลอุตสาหกรรมรายกลุ่ม เพราะเข้าใจว่าผู้ประกอบการเผชิญหลายปัจจัยจนเกิดความลำบาก ประกอบด้วย ค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท มาตรการกีดกันทางการค้า เศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว และผลจากค่าเงินบาทที่แข็งค่าแล้ว 5-6%

น.ส.พัดชากล่าวว่า มาตรการที่กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการช่วยเหลือผู้ส่งออกแล้ว อาทิ อนุมัติงบเพื่อช่วยเหลือเอสเอ็มอี วงเงิน 300 ล้านบาท เพื่อหาตลาดใหม่ อาทิ ตะวันออกกลาง แอฟริกา และขยายตลาดเดิมที่มีอยู่แล้วให้กว้างขึ้น เช่น เมืองที่ยังเป็นโอกาสในสหรัฐ เป็นต้น ตลาดที่ผู้ส่งออกสามารถเข้าไปทำการค้า กระทรวงพาณิชย์แบ่งเป็น 3 ตลาด คือ ประเทศดาวรุ่งแต่มีความเสี่ยงสูง อาทิ ประเทศในภูมิภาคอาเซียน เกาหลีใต้ ออสเตรเลีย ประเทศดาวเด่น อาทิ ตะวันออกกลาง แอฟริกา ถือเป็นประเทศที่อัตราการนำเข้าสินค้าจากไทยและทั่วโลกเติบโตดี และตลาดทั่วไปที่การนำเข้าเริ่มลดลงแต่ทิ้งไม่ได้ อาทิ สหภาพยุโรป สหรัฐ และญี่ปุ่น

 พณ.เล็งเสนอครม.เพิ่มงบช่วย

นางอัมพวัน พิชาลัย รองอธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กล่าวว่า ขณะนี้กรมกำลังประชุมร่วมกับหอการค้าไทย ส.อ.ท. สมาคมธนาคารไทย และสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย กำหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการให้ความช่วยเหลือเอสเอ็มอีภายในโครงการส่งเสริมและเพิ่มศักยภาพของผู้ประกอบการขนาดกลางและย่อม (เอสเอ็มอี โปร-แอ๊กทีฟ) หลังจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้อนุมัติเพิ่มงบประมาณช่วย

เหลือเอสเอ็มอี จาก 15 ล้านบาทต่อปี เป็น 100 ล้านบาท และจัดทำโครงการต่อเนื่อง 3 ปี วงเงิน 300 ล้านบาท และงบฉุกเฉินอีก 100 ล้านบาท หลักเกณฑ์ใหม่จะเพิ่มงบช่วยเหลือต่อรายจากเดิมเฉลี่ย 3-5 หมื่นบาทต่อปี ให้สูงสูดถึง 2 แสนบาทต่อราย และยื่นขอไม่เกิน 4 ครั้งใน 3 ปี เพราะขณะนี้ต้นทุนค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นและตลาดมีการแข่งขันมากขึ้น

"ผู้ประกอบการสามารถยื่นเรื่องขอรับความช่วยเหลือได้แล้วกับองค์กรที่ร่วมกับกรมฯ และจะคัดเลือกให้แล้วเสร็จภายในไม่เกิน 60 วัน" นางอัมพวันกล่าว

บุญทรงสั่งรวบรวมผลกระทบ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ สั่งการให้กรมหารือภาคเอกชน รวบรวมว่าธุรกิจมีผลกระทบมากน้อยแค่ไหน เพื่อทบทวนงบประมาณช่วยเหลือ และยื่นของบประมาณเพิ่มเติมจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) จากที่ได้อนุมัติให้ดึงเงินต้นจากกองทุนส่งเสริมการส่งออกมาใช้จ่ายได้ วงเงิน 300 ล้านบาท เพราะวิตกว่างบประมาณไม่เพียงพอและงบ 300 ล้านบาท ครอบคลุมถึง 3 ปี โดยประเมินว่าจะของบประมาณเพิ่มเฉพาะกิจในปีนี้อีก 200-300 ล้านบาท

ร้อยเอก สุวิพันธุ์ ดิษยมณฑล รองอธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (สค.) กล่าวว่า จากการหารือภาคเอกชนผู้ส่งออกอาหารไทยยังยืนยันต่อตัวเลขส่งออกขยายตัว 10% ในปีนี้ จากปีก่อนมีมูลค่าส่งออก 8.3 แสนล้านบาท แม้ไตรมาสแรกจะติดลบเล็กน้อย เนื่องจากไทยมีแผนจะผลักดันครัวไทยสู่ครัวโลกตามนโยบายรัฐบาล และหลายประเทศหันซื้อวัตถุดิบประกอบอาหารจากไทยมากขึ้นดูจากการจัดงานแสดงอาหารไทยเฟ็กซ์ 2013 วันที่ 22-26 พฤษภาคม ที่เมืองทองธานี มีผู้ซื้อจากต่างประเทศเข้างาน 7 พันราย และประเมินมูลค่าจากการจัดงานครั้งนี้กว่า 7 หมื่นล้านบาท แต่อย่างไรก็ตามในการประชุมทูตพาณิชย์ช่วงจัดงานแสดงสินค้าก็จะหารือและทบทวนแผนการทำตลาดเพื่อผลักดันตัวเลขรวม 8-9%

 ส.อ.ท.ชงถกกนง.นัดพิเศษ

นายพยุงศักดิ์ ชาติสุทธิผล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า ในวันที่ 30 เมษายน ส.อ.ท.จะเข้าพบผู้บริหาร ธปท.เพื่อหารือมาตรการในการรับมือค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น โดย ส.อ.ท.จะเสนอ 7 มาตรการ มี 2 มาตรการใหม่เร่งด่วนจะเสนอ คือ 1.ต้องการให้ค่าเงินบาทไม่มีความผันผวน และ 2.ต้องการให้ค่าเงินบาท หากแข็งค่าก็อยากให้สอดคล้องกับภูมิภาค ส่วนอีก 5 มาตรการ คือ 1.จัดการอัตราแลกเปลี่ยนแบบภาวะวิกฤต 2.เปลี่ยนเป้าหมายนโยบายการเงินจากยึดเงินเฟ้อเป็นยึดอัตราแลกเปลี่ยน 3.ลดดอกเบี้ยนโยบายการเงิน 1% ในครั้งเดียว 4.ใช้นโยบายควบคุมเงินทุนเคลื่อนย้ายและ 5.ปรับปรุงนโยบายการออกพันธบัตรของ ธปท.ที่ขณะนี้เป็นแหล่งลงทุนขนาดใหญ่ของนักลงทุน

"ต้องการให้ ธปท.เร่งดำเนินการผสมผสานมาตรการตามความเหมาะสม และต้องการให้เรียกประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน หรือ กนง.นัดพิเศษ เพื่อลดอัตราดอกเบี้ยตามที่ภาคเอกชนเสนอให้เห็นผลทันที ไม่ใช่เป็นการเรียกประชุมรายเดือนตามวาระปกติ ไม่ทันการณ์" นายพยุงศักดิ์กล่าว

นายวัลลภ วิตนากร รองประธาน ส.อ.ท.กล่าวว่า ธปท.จะต้องลดดอกเบี้ยนโยบายครั้งเดียว 1% จาก 2.75% เหลือ 1.75% เพราะสถานการณ์ปัจจุบันต้องใช้ยาแรง หากลดดอกเบี้ยไม่มากจะไม่เห็นผล

ขอตั้งกองทุนหมื่นล.ช่วย

นายธนิต โสรัตน์ เลขาธิการ ส.อ.ท.กล่าวในงานเสวนา "ทิศทางการแข็งค่าเงินบาท และกรณีศึกษาการแก้ปัญหาของผู้ประกอบการส่งออก" ที่โรงแรมวินเซอร์ สวีทส์ สุขุมวิท 20 ว่าในวันที่ 30 เมษายนนี้ ส.อ.ท.จะยื่นข้อเสนอมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการให้กับ ธปท.และกระทรวงการคลังเพื่อให้พิจารณาทันที เช่น ขอให้กระทรวงพาณิชย์ตั้งกองทุนช่วยเหลือผู้ส่งออกในการออกไปขยายตลาดส่งออกใหม่ๆ ขอให้กระทรวงการคลัง ตั้งกองทุนช่วยเหลือด้านสภาพคล่องและการเข้าถึงแหล่งเงินทุนให้กับผู้ส่งออกที่เป็นเอสเอ็มอี กองทุนของทั้ง 2 กระทรวง ควรมีวงเงินไม่ต่ำกว่า 5,000-10,000 ล้านบาท

แบงก์กรุงเทพชี้บาทแข็งต่อ

นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ กล่าวว่า ในช่วง 3 เดือนแรกของปีนี้ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นสวนทางกับค่าเงินของประเทศคู่แข่ง เช่น มาเลเซีย สิงคโปร์ เป็นต้น ที่อ่อนค่าลงต่อเนื่อง ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นไปแล้ว 6-7% สูงสุดในภูมิภาค ขณะที่ค่าเงินของประเทศคู่แข่งในภูมิภาคแข็งค่าขึ้น 1% จึงส่งผลกระทบต่อการแข่งขันของผู้ส่งออกไทยลดลง 5-7%

"ธปท.ควรดูแลเงินบาทให้เคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกับภูมิภาค เงินบาทที่แข็งค่าขึ้นไม่ได้ทำให้ทุนสำรองของประเทศเพิ่มขึ้น แต่กลับลดลงด้วยซ้ำ สะท้อนว่า ธปท.ยังไม่ได้แทรกแซงค่าเงิน หรือหากแทรกแซงก็ยังไม่มากเท่าที่ควร" นายกอบศักดิ์กล่าว

นายกอบศักดิ์กล่าวว่า แนวโน้มเงินบาทยังจะแข็งค่าต่อไป ช่วง 2-3 ปีข้างหน้า ภูมิภาคเอเชียจะมีเศรษฐกิจที่ดี ขณะที่เศรษฐกิจโลกยังไม่ฟื้นตัวดีนัก ส่งผลให้สภาพคล่องที่มีจำนวนมากมีโอกาสไหลเข้าภูมิภาคเอเชีย และยากที่จะใช้มาตรการต่างๆ ควบคุมการไหลเข้าของเงินทุน ดังนั้น ผู้ส่งออกจะต้องปรับตัวใช้เงินสกุลบาทในการค้าขาย ปรับเปลี่ยนตลาดไปยังตลาดที่ไม่ถูกกระทบจากค่าเงิน การประกันความเสี่ยง และลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต

ที่มา : นสพ.มติชน
///////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

ธปท.คาด 7 ปี กู้ 2 ล้านล้าน ได้เพียง ร้อยละ 70 !!?


กมธ. พ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้านบาทเชิญตัวแทนธปท.และผอ.สำนักบริหารหนี้ชี้แจง คาด7 ปีกู้2ล้านล้านได้เพียง70%

การประชุมคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งประเทศ หรือ พ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้านบาท เมื่อวานนี้(29 เม.ย.) มีนายวราเทพ รัตนากร รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะรองประธานคนที่ 1 ทำหน้าที่ประธานการประชุม เป็นการพิจารณามาตราที่ 5 เรื่องการให้อำนาจกระทรวงคลังมีอำนาจกู้เงินบาท หรือเงินตราต่างประเทศในนามรัฐบาลไทยเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื่้นฐานด้านคมนาคมตามยุทธศาสตร์และแผนงานที่กำหนด ในวงเงินไม่เกิน 2 ล้านล้านบาท ไม่เกินวันที่ 31 ธันวาคม 2563

โดยเป็นคิวที่ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) และ ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ ต้องมาชี้แจง อย่างไรก็ตาม นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าธนาคารแห่งประเทศ ไม่ได้มา แต่ส่งน.ส.พรเพ็ญ สดศรีชัย จากฝ่ายเศรษกิจการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย มาชี้แจงแทน ซึ่งกรรมาธิการจากพรรคประชาธิปัตย์ อาทิ นายกรณ์ จาติกวนิช อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายเจือ ราชสีห์ และนายพีระพันธ์ สาลีรัฐวิภาคได้บอกว่า อยากให้ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย มาชี้แจงด้วยตัวเอง เพราะถือว่าเป็นเรื่องสำคัญของประเทศ เป็นการกู้ครั้งใหญ่ของประเทศ และมีผลกระทบหลายด้าน และถือได้ว่าเป็นนโยบายบายของรัฐบาล ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ต้องมีนโยบายรองรับนโยบายรัฐบาลด้วย คนที่ต้องให้ข้อมูลคือผู้ว่าฯหรือผู้บริหารระดับสูงขององค์กร ประธานที่ประชุมจึงบอกว่าจะเชิญผู้ว่าแบงก์ชาติมาอีกครั้ง

กรรมาธิการซีกพรรคประชาธิปัตย์ ได้ถามตัวแทนธนาคารแห่งประเทศ ว่า อยากให้พูดถึงสภาพแวดล้อมทางการเงิน เพราะการกู้ยืมจะมีผลกระทบต่อตลาดเงินอย่างแน่นอน สถานะทางการเงินของประเทศเป็นอย่างไร สภาพคล่องต่อการกู้ยืมเงินหรือไม่ และมุมมองแบงค์ชาติ ได้พิจารณาความเหมาะสมของการกู้ยืมเงิน และผลกระทบที่อาจจะตามมาในการกู้ยืมเงินในลักษณะนี้หรือไม่สภาพคล่องประเทศจะเป็นอย่างไร และมีผลกระทบต่อการบริหารนโยบายการเงินหรือไม่ จะมีผลกระทบต่อเงินเฟ้อหรือไม่ ขยับขึ้นขยับลงเท่าไหร่ จะทำให้เกิดฟองสบู่หรือไม่ รัฐบาลถามความเห็นแบงค์ชาติหรือไม่ หากช่วงนี้ค่าเงินบาทแข็ง การกู้ต่างประเทศหรือในประเทศอันไหนดีกว่ากัน และทุนสำรองระหว่างประเทศมีผลหรือไม่อย่างไรกับการลงทุนครั้งใหญ่รัฐบาล

น.ส.พรเพ็ญ ชี้แจงว่า จะมีผลกระทบต่อสภาพคล่องหรือตลาดการเงินมากน้อยแค่ไหน อยู่ที่แนวทางดำเนินการ ว่า มีการกระจายการกู้เงินในช่วง7 ปีหรือไม่ จะต้องมีการกระจายการกู้เงิน 7 ปี และหลีกเลี่ยงกู้ล็อตใหญ่ๆในคราวเดียว จะช่วยลดผลกระทบต่อสภาพคล่อง ซึ่งสิ่งที่รัฐบาลตั้งใจจะทำงบประมาณสมดุล และถ้าเป็นเงินนอกงบประมาณ วงเงินกู้รวมในแต่ละปี ก็จะไม่มากจนเกินไป ถ้าลดการกู้เงินในงบประมาณ น่าจะช่วยลดผลกระทบลงได้บ้าง และวางแผนการกู้เงินในทางปฎิบัติอย่างเหมาะสม และสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.)ก็หารือกับแบงค์ชาติอยู่สม่ำเสมอ และถ้ากู้มาแล้ว เร่งใช้จ่ายตามแผนงาน หลีกเลี่ยงการกู้มากอง เงินจะหมุนเวียนในระบบ ถ้าทำได้ตามนี้ก็จะไม่กระทบมากนัก

"ถ้าเร่งใช้จ่ายมากขึ้น เศรษฐกิจขยายตัวมากขึ้น น่าจะช่วยลดทอนผลกระทบต่อสภาพคล่องและอัตรราดอกเบี้ย ซึ่งเข้าใจว่ารัฐบาลพยายามที่จะเร่งรัดให้ใช้จ่ายเงินเร็วอยู่แล้ว อย่างไรก็ตาม ช่วง7 ปี คาดว่าจะกู้ 70 เปอร์เซ็นของแผนงานที่ตั้งไว้ ประมาณ 1.4 ล้านล้านทั้งโครงการ หลังจากนั้นก็มีการทำงานโครงการต่อเนื่อง หลังจากปี 2563"

น.ส.พรเพ็ญ ชี้แจงต่อว่า ส่วนเรื่องฟองสบู่ ยังไม่มีการศึกษา ผลกระทบจากโครงการ 2 ล้านล้าน อย่างไรก็ตามโครงการอสังหาริมทรัพย์ต่างจังหวัดขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ไม่เฉพาะโครงการ 2 ล้านล้านเท่านั้น

ตัวแทนแบค์ชาติ ชี้แจงว่า เรื่องทุนสำรองระหว่างประเทศ เป็นแค่จุดจุดหนึ่ง และไม่ได้ลิ้งกับโครงการ 2 ล้านล้านส่วนการจะนำเงินทุนสำรองของแบงก์ชาติมาใช้ลงทุนในโครงการ 2 ล้านล้านบาทได้หรือไม่เงินสำรองฯส่วนหนึ่งเป็นเงินที่ใช้สำหรับการดำเนินนโยบายการเงิน ขณะเดียวกันเรายังเป็นหนี้ต่างชาติ ติดลบอยู่นิดหน่อย

"เงินสำรองที่มีอยู่เพื่อใช้ในการบริหารสภาพคล่อง เงินสำรองเพื่อดูแลบริหารอัตรราคาแปลกเปลี่ยน เผื่อต่างชาติต้องการนำเงินออกไป"

ผู้บริหารแบงก์ชาติ กล่าวอีกว่า ภาพรวมฐานะการลงทุนระหว่างประเทศของแบงก์ชาติ โดยสุทธิติดลบนิดหน่อย บทบาทแบงค์ชาติ เป็นฝ่ายตั้งรับ สุดท้ายเราจะดูเรื่องการดูดหรือปล่อยสภาพคล่องอย่างไร ในตลาดเป็นตัวกำหนดแบงก์ชาติไม่ได้เป็นคนกำหนด

จากนั้นได้กมธ.ได้ให้สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ เข้าชี้แจง โดยกมธ.ได้ถามกมธ. ว่า รัฐบาลจะกู้เงินบาทจำนวนเท่าไหร่ เงินตราต่างประเทศเท่าไหร่ โครงการไหนบ้างเป็นเงินบาทและโครงการไหนเป็นเงินตราต่างประเทศ

น.ส.จุฬารัตน์ สุธีธร ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ ชี้แจงว่า การกู้ในประเทศหรือต่างประเทศ กำหนดไว้ว่ากู้ในประเทศหรือต่างประเทศก็ได้ แต่ต้องดูว่า โครงการควรกู้ ในประเทศหรือต่างประเทศ หรือความต้องการของโครงการ และภาวะตลาดหรือต้นทุนที่เหมาะสมด้วย ต้องพิจารณาจากหลายองค์ประกอบ ต้องคำนึงถึงต้นทุน ความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนและดอกเบี้ย ทั้งนี้ยืนยันว่าทุกโครงการกู้ในประเทศก่อน ซึ่งจะกู้ภายใน 31 ธ.ค.2563 แน่นอน และหากโครงการยังไม่ผ่านขั้นตอน จะกู้ไม่ได้ และหลังจากวันที่ 31 ธ.ค. 2563 นั้นก็ไม่กู้ แต่เบิกจ่ายที่มีการลงนามโครงการแล้วได้

จากนั้นที่ประชุมได้ถกเถียงกันเรื่อง ว่า ทำไมต้องกู้ภายในวันที่ 31 ธ.ค.63 และกู้ภายใน31 ธ.ค. หมายความว่าอย่างไร ซึ่ง ผอ.สบน. ชี้แจงว่า ในแง่กฎหมายได้กำหนดเวลาว่าการใช้เงิน ในโครงสร้างพื้นฐาน ประเมินการว่าใช้เวลาดำเนินการ 7 ปี และเราต้องทำสัญญากู้ให้แล้วเสร็จภายใน 31 ธ.ค.63

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
///////////////////////////////////////////////////////////////////

วันจันทร์ที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2556

ก.เกษตร เตรียมปรับโครงสร้างส่วนราชการรับอาเซียน !!?


นายชวลิต  ชูขจร ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์  กล่าวว่า  เพื่อให้สอดคล้องกับมติของคณะรัฐมนตรีที่ต้องการให้ทุกส่วนราชการพิจารณาปรับปรุงระบบงานและทบทวนบทบาทภารกิจให้มีความเหมาะสม เพื่อให้ภาคราชการเป็นองค์กรขนาดเหมาะสมที่มีศักยภาพการทำงานและเพิ่มคุณภาพการให้บริการกับประชาชน

ประกอบกับรัฐมนตรี ว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้มีนโยบายสำคัญในการขับเคลื่อนภาคการเกษตรให้  “เกษตรกรไทยเป็น  Smart Famer โดยมี  Smart Officer  เป็นเพื่อนคู่คิด”  มีการพัฒนามาตรฐานคุณภาพสินค้าเกษตร การเพิ่มศักยภาพด่านสินค้าเกษตรชายแดน  มีนโยบายให้ไทยเป็นศูนย์เครื่องจักรกลการเกษตร  เป็นเมืองเกษตรสีเขียว  รวมถึงให้ไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตเมล็ดพันธุ์พืช   การบริหารจัดการเขตเกษตรเศรษฐกิจสำหรับสินค้าเกษตรที่สำคัญ  ตลอดจนการเพิ่มพื้นที่ชลประทาน     เพื่อตอบสนองนโยบายประเทศและสร้างประโยชน์โดยตรงให้กับเกษตรกร  โดยการบูรณาการการทำงานและพัฒนาทั้งในเชิงพื้นที่  การจัดการรายสินค้าและบุคคลากรและเจ้าหน้าที่รัฐ

นายชวลิต  กล่าวว่า  กระทรวงเกษตรและสหกรณ์  จึงได้ดำเนินการปรับปรุงระบบการทำงานและจัดโครงสร้างหน่วยงานภายใต้แผนยุทธศสตร์การพัฒนาหน่วยงานของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พ.ศ. 2554-2556  ซึ่งขณะนี้ อยู่ระหว่างการพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) โดยวิเคราะห์ความเชื่อมโยงทั้งด้านกฏหมายที่เกี่ยวข้อง  ตั้งแต่รัฐธรรมนูญจนถึงกฎหมายด้านการเกษตร ความเชื่อมโยงระหว่างนโยบายและแผนยุทธศาสตร์ระดับต่างๆ  เพื่อทบทวนการทำงานของกระทรวง และนำไปวิเคราะห์การปรับปรุงบทบาทภารกิจต่างๆ ให้เหมาะสม  โดยได้กำหนดประเด็นยุทธศาสตร์ให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของกระทรวงใน 2 ประเด็น คือ การพัฒนากระบวนการและรูปแบบการทำงานและการพัฒนาโครงสร้างและปรับปรุงบทบาทภารกิจของส่วนราชการ ซึ่งในการจัดทำแผนดังกล่าวได้ใช้กระบวนการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน  โดยเปิดโอกาสให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งเกษตรกร ภาคเอกชน และภาคส่วนที่เกี่ยวข้องเข้ามามีส่วนรับรู้และเสนอความคิดเห็นได้โดยอิสระ  ซึ่งเน้นให้มีการเตรียมโครงสร้างองค์กรในทุกส่วนราชการ  3  ด้าน  ได้แก่  ด้านมาตรฐาน   ด้านต่างประเทศและด้านภูมิภาค

ทั้งนี้  ในส่วนด้านมาตรฐานได้กำหนดหน่วยงานรับผิดชอบหลักในการให้บริการเกษตรกรและประชาชนทั่วไปเกี่ยวกับมาตรฐานสินค้าเกษตร  การตรวจสอบสินค้าเกษตรทั้งการส่งออกและนำเข้า  เพื่อให้สินค้าเกษตรมีความปลอดภัย ต่อผู้บริโภคทั้งภายในและต่างประเทศ  ส่วนด้านต่างประเทศนอกจากมีหน่วยงานที่รับผิดชอบภารกิจต่างประเทศที่ชัดเจนแล้ว  ได้เตรียมการจัดตั้งกองเกษตรอาเซียนเป็นหน่วยงานภายในสำนักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์  ซึ่งจะทำหน้าที่จัดทำนโยบายในภาพรวม  เป็นหน่วยงานกลางในการบูรณาการภารกิจด้านต่างประเทศที่เกี่ยวข้องกับอาเซียน   เป็นการเฉพาะ ทั้งงานมาตรฐานสินค้า  การเจรจาการค้า  และความร่วมมือทางวิชาการ รวมทั้งเป็นศูนย์กลางข้อมูลด้านการเกษตรเกี่ยวกับอาเซียนทั้งหมด  สำหรับในส่วนภูมิภาคได้กำหนดหน่วยงานให้บริการในระดับพื้นที่  เพื่อให้บริการทางด้านการเกษตรกับเกษตรกรได้อย่างทั่วถึง  ทั้งการถ่ายทอดเทคโนโลยีทางด้านการเกษตร  การส่งเสริม และสนับสนุนการทำการเกษตร ตลอดจนแก้ไขปัญหาต่างๆ  โดยเน้นการทำงานในเชิงรุกซึ่งจะทำให้การจัดการโรคพืชและโรคสัตว์ในระดับพื้นที่ดำเนินการได้ทันต่อสถานการณ์และสามารถป้องกันการแพร่ระบาดไปสู่พื้นที่อื่นๆ รวมทั้งสามารถช่วยเหลือเกษตรกรจากกรณีภัยพิบัติด้านต่างๆ ได้รวดเร็วยิ่งขึ้น

นอกจากนี้  ได้ให้ความสำคัญกับการช่วยเหลือเกษตรกรในการทำฝน  เพื่อเพิ่มปริมาณน้ำในพื้นที่เกษตรกรรม เขื่อนหรือพื้นที่เก็บกักน้ำ  เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาภัยแล้งและภัยธรรมชาติอื่นๆ โดยจัดตั้งกรมฝนหลวงและการบินเกษตร  เพื่อให้สามารถบริหารจัดการการปฏิบัติการฝนหลวงได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น  ทั้งนี้  การเตรียมปรับปรุงโครงสร้างส่วนราชการดังกล่าว  จะทำให้กระทรวงมีความพร้อมที่จะขับเคลื่อนงานพัฒนาการเกษตรของประเทศได้อย่างคล่องตัวและเป็นประโยชน์ต่อเกษตรกร ประชาชนและประเทสชาติยิ่งขึ้น

ที่มา.นสพ.ฐานเศรษฐกิจ
//////////////////////////////////////////////////////////////////

ศึก 2 ขั้วอำนาจ เพื่อไทย ดับเครื่องชนศาล รธน. !!?


นับตั้งแต่ประเทศเปลี่ยนแปลงการปกครอง 24 มิถุนายน 2475

ไม่เคยมีครั้งใดที่เกมอำนาจจะพัดพาความขัดแย้งระหว่างฝ่ายนิติบัญญัติกับฝ่ายตุลาการเข้าสู่หนทาง DeadLock ได้มากเท่าครั้งนี้

กลายเป็นสงครามระหว่าง 2 ใน 3 เสาอำนาจแห่งระบอบประชาธิปไตยที่ต้องสู้รบปรบมือกันเอง ทางชั้นเชิงความคิด และชั้นเชิงกฎหมาย

กลายเป็นสงครามแห่งดุลอำนาจ "นิติบัญญัติ" กับ "ตุลาการ"

ฉากสงครามเกิดขึ้นเมื่อฝ่าย "ตุลาการ" โดยศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้องของ "สมชาย แสวงการ" ส.ว.สายสรรหา ที่ยื่นร้องต่อศาล โดยใช้สิทธิ์ตามมาตรา 68 เพื่อให้ยับยั้งไม่ให้สภาดำเนินการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 68 ของรัฐสภา เพราะเป็นการจำกัดสิทธิของประชาชน

ท่าทีในครั้งนั้นฝ่ายนิติบัญญัติเทียบเคียงว่า ฝ่ายตุลาการได้ดำเนินการเสมือนส่งสาส์นท้ารบมาเป็นที่เรียบร้อย

โดยศาลได้ทำสำเนาคำร้องส่งไปยัง ส.ส.-ส.ว. จำนวน 312 คน ในฐานะผู้ถูกร้องถึงประตูรั้วบ้าน พร้อมทั้งให้ทำคำชี้แจงกลับมายังศาลภายในระยะเวลา 15 วัน หากไม่ส่งคำชี้แจงถือว่า "ไม่ติดใจ"

ด้านฝ่าย "นิติบัญญัติ" อันประกอบด้วย ส.ส.และ ส.ว.รวม 312 คน แก้เกมกลับ ยึดกลศึกกำหนดท่าทีคัดค้าน โดยมองว่า การรับคำร้องของศาลตามมาตรา 68 เท่ากับเป็นการใช้อำนาจตุลาการก้าวล่วงอำนาจของฝ่ายนิติบัญญัติ ที่กำลังใช้อำนาจหน้าที่ในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ

ปฏิบัติการตอบโต้ศาลรัฐธรรมนูญจึงเริ่มต้นทันที เมื่อพรรคเพื่อไทยอ่านแถลงการณ์ไม่ยอมรับอำนาจศาลโดย "อำนวย คลังผา" ประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล (วิปรัฐบาล)

"การที่ศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้องไว้พิจารณาอาจเข้าข่ายจงใจใช้อำนาจหน้าที่ขัดต่อบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ ผลของการกระทำดังกล่าวจะทำลายรูปแบบการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขที่ยึดหลักการแบ่งแยกอำนาจเป็นสำคัญ"

เจตนารมณ์ 2 ข้อถูกบัญญัติขึ้นดังนี้ 1.ศาลรัฐธรรมนูญย่อมต้องผูกพันและปฏิบัติตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ การรับคำร้องโดยที่ไม่มีบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญให้อำนาจย่อมเป็นการกระทำที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 3 มาตรา 97 และมาตรา 291 2.การที่ศาลรัฐธรรมนูญจะรับคำร้องไว้พิจารณาตามมาตรา 68 ได้นั้นต้องเสนอเรื่องไปยังอัยการสูงสุดเพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงก่อน

ขณะเดียวกัน ทั้ง ส.ส.และ ส.ว.ที่ตกอยู่ในสถานะผู้ถูกร้อง ก็เตรียมวางแผน "อารยขัดขืน" ศาลรัฐธรรมนูญอย่างเป็นทางการ 2 ขั้นตอน

1.ไม่ส่งคำชี้แจงตามที่ศาลมีคำสั่ง พร้อมกับเตรียมออกแถลงการณ์อีก 1 ฉบับ ในนามฝ่ายนิติบัญญัติ ประกาศไม่ยอมรับอำนาจศาลรัฐธรรมนูญ

การตอบโต้ดังกล่าว มีวอร์รูมฝ่ายกฎหมายพรรคเพื่อไทยเป็นตัวตั้งตัวตี โดยเฉพาะการเขียนถ้อยคำในแถลงการณ์อ้างข้อกฎหมายอย่างละเอียดถี่ถ้วน เพื่อชี้ให้เห็นว่าศาลรัฐธรรมนูญกำลังใช้อำนาจตุลาการก้าวล่วงอำนาจฝ่ายนิติบัญญัติอย่างไร

โดยคนวงในที่ลงคลุกกับทีมกฎหมายพรรค เพื่อดูรายละเอียดทุกวรรค ทุกตัวอักษรในแถลงการณ์ ร่วมกับทีมกฎหมายพรรคเพื่อไทย และฝ่าย ส.ว.เลือกตั้ง คือ "โภคิน พลกุล" อดีตประธานรัฐสภา และอดีตรองประธานศาลปกครองสูงสุด

แหล่งข่าวจากทีมกฎหมายพรรคเพื่อไทยคาดการณ์ว่า การร่างแถลงการณ์ดังกล่าวจะแล้วเสร็จและประกาศต่อสาธารณะได้ราวต้นเดือนพฤษภาคม

2.ในเบื้องต้นมีการเตรียมยื่นถอดถอนองค์คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญที่เป็นเสียงข้างมากรับคำร้องนายสมชาย จำนวน 3 ราย ประกอบด้วย นายจรัญ ภักดีธนากุล, นายจรูญ อินทจาร, นายสุพจน์ ไข่มุกด์ รวมถึงรอดูกระบวนการพิจารณาคดีในบรรทัดสุดท้ายด้วยว่าคำวินิจฉัยจะออกมาเป็น "ลบ" หรือเป็น "บวก"

หากตุลาการคนใดมีคำวินิจฉัยส่วนตนเป็นลบ ก็จะถูกยื่นถอดถอนรวมกับตุลาการ 3 คนแรก เพียงแต่เวลานี้การกระทำความผิดของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญยังไม่สำเร็จ ทางฝ่ายกฎหมายพรรคเพื่อไทยจึงต้องหยั่งท่าที-ดูเชิงไปก่อน

ขณะเดียวกัน ยังเตรียมใช้ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ มายื่นฟ้องตุลาการคู่ขนานกันไปด้วย

เป็นการเอาผิดทั้งแง่การถอดถอนออกจากตำแหน่ง คู่ขนานกับการเอาผิดทางอาญา

แม้ฝ่ายนิติบัญญัติเตรียมวางแผนหาทางออก ดูทางทีหนีทีไล่ไว้ครบทุกประตู แต่ก็ยังไม่มั่นใจว่าในตอนจบ ศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัยออกมาอย่างไร จึงทำให้ ส.ส.และ ส.ว.บางส่วน ถึงขั้นหวาดกลัวอำนาจฝ่ายตุลาการ

บางเสียงในวอร์รูมฝ่ายกฎหมายพรรคเพื่อไทยเสนอไอเดียว่า ที่ประเมินจากสถานการณ์ขั้น "เลวร้ายที่สุด" ว่าควรชิงลงมือปิดเกมแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 68 ให้เร็วที่สุด เพื่อปิดช่องทางไม่ให้ศาลใช้อำนาจคุกคามเหมือนครั้งที่เบรกการแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 291 ที่ยังคาการลงมติในวาระ 3 จนถึงวันนี้

ไม่เพียงยุทธการจากฝ่ายนิติบัญญัติใช้ตอบโต้กับอำนาจตุลาการเท่านั้น หากยังมีการเล่นเกมมวลชนมากดดันศาลรัฐธรรมนูญในคราวเดียวกัน

ทั้งในรูปของการชุมนุมกดดันบริเวณด้านหน้าศาลรัฐธรรมนูญ ถ.แจ้งวัฒนะ

ทั้งการเข้าแจ้งความให้ดำเนินคดีกับตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ

รวมถึงการระดมกำลังจัดเวทีปราศรัยทั่วประเทศ โดยขนขุนพล ส.ส.มนุษย์พันธุ์พิเศษทุกประเภท ทั้งบู๊-บุ๋น-ฮาร์ดคอร์เดินสายฉายภาพให้ชาวบ้านเห็นว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญของสภา กำลังถูกอำนาจตุลาการก้าวล่วง โดยเวทีเริ่มต้นที่จังหวัดอุดรธานี อันเป็นเมืองหลวงของคนเสื้อแดง

นอกจากนี้ พรรคเพื่อไทยยังไฟเขียวให้ ส.ส.จัดเวทีปราศรัยย่อยลงไปในพื้นที่ต่าง ๆ ไม่ว่าในนามพรรคหรือในนามส่วนตัว โดยเฉพาะ ส.ส.เสื้อแดงหลายคนเตรียมตั้งเวทีปราศรัยในพื้นที่เขตเลือกตั้งของตัวเอง

ดังนั้น หากผลการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญออกมาเป็นลบกับพรรคเพื่อไทย มวลชนเสื้อแดงก็จะถูกปลุกขึ้นมาเรียกร้องความเป็นธรรมให้พรรคเพื่อไทยทันที

ขณะที่ศาลรัฐธรรมนูญก็เตรียมยุทธวิธีตอบโต้ โดย "วสันต์ สร้อยพิสุทธิ์" ประธานศาลรัฐธรรมนูญ สั่งการคณะทำงานรวบรวมหลักฐานการชุมนุมทั้งหมด เพื่อเดินเกมฟ้องกลับผู้ชุมนุมในข้อหาหมิ่นศาล

"วสันต์" เทียบเคียงเคสตัวอย่างในอดีต กรณีถูกนางกรองทอง ทนทาน หรือดีเจป้อม จังหวัดอุดรธานี ด่าทอดูหมิ่น ครั้งมีการชุมนุมหน้ารัฐสภา

"ส่วนตัวก็ไม่ได้รู้สึกกังวลอะไร เพราะคิดว่าน่าจะเป็นคนที่ไม่ค่อยรู้เรื่องรู้ราวมากกว่า ตอนดีเจป้อม ผมก็ฟ้องศาลอาญาใน 4 ข้อหา ในฐานะดูหมิ่นศาล ดูหมิ่นเจ้าพนักงานด้วยการโฆษณา โดยใช้ทนายจากสำนักงานทนายของคนพรรคเพื่อไทย คือสำนักงานทนายนิติทัศน์ศรีนนท์"

"ศาลพิจารณาแล้วเห็นว่าคดีมีมูลประทับรับฟ้อง นางกรองทองก็ยื่นขอประนีประนอมจะขอขมา ศาลสั่งเลื่อนไปพิจารณาในวันที่ 27 พ.ค.นี้ ซึ่งผมก็ยังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะรับคำขอขมาหรือเปล่า ดังนั้น ที่ชุมนุมกันที่หน้าสำนักงานอยู่ขณะนี้ ก็กำลังรวบรวมข้อมูลอยู่ ผมตามเก็บหมด ไม่ฟังเสียงหรอก"

ด้านความเคลื่อนไหวฝ่ายพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ฝั่งสนับสนุนศาล-คู่ขัดแย้งเบอร์หนึ่งของพรรคเพื่อไทย ก็เริ่มดำเนินการกระชากหน้ากากผู้ก่อการตัวจริงออกมาตีแผ่ให้ประชาชนรับทราบ

"อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" หัวหน้าพรรค เปิดเผยทุกครั้งที่ถูกถามความเห็นถึงกรณีศาลรัฐธรรมนูญว่า "ประชาชนต้องให้กำลังใจตุลาการ หากรัฐบาลยืนยันว่าไม่ได้เป็นคู่ขัดแย้งด้วย ก็ต้องออกมาทำหน้าที่ตัวเอง ออกมารักษาความสงบบ้านเมือง"

"ไม่ว่ากลุ่ม ส.ส. ส.ว. และคนเสื้อแดงจะใช้สิทธิ์อะไรก็ตาม รัฐบาลมีหน้าที่ดูแลให้เกิดความสงบเรียบร้อย ให้ทุกคนปฏิบัติหน้าที่ของตัวเองได้ ฉะนั้น หากยืนยันว่าไม่เกี่ยวข้อง ก็ต้องแสดงท่าทีว่ายังรักษากฎหมาย อำนวยความสะดวกให้กับศาลรัฐธรรมนูญ"

"ปัญหาคือถ้าเรายอมจำนนกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นกับศาลตอนนี้หรือไม่ มีการชุมนุม มีการกดดัน ถ้าเรายอม ต่อไปนี้ทุกอย่างในบ้านเมือง ก็เป็นเรื่องของใครมีกำลังมากกว่า มีพวกมากกว่า ก็สามารถที่จะทำอะไรได้ตามใจชอบ ไม่ต้องสนใจกฎกติกา"

นอกจากนั้น ทีมกฎหมาย ปชป.ยังประเมินว่า กระบวนการที่เกิดขึ้นทั้งหมดเป็นการ "ล้ำเส้น" ของฝ่ายนิติบัญญัติ ไม่ใช่จากฝ่ายตุลาการตามที่ถูกโจมตี เพราะสุดท้ายรัฐธรรมนูญยังคงให้อำนาจศาลไว้ชัดเจนแจ่มแจ้ง

นำมาซึ่งการแสดงจุดยืนในทิศทางเดียวกับศาลรัฐธรรมนูญ โดยให้เหตุผล 2 ข้อ เพื่อเรียกร้องให้ ส.ส.+ส.ว. 312 คนไปชี้แจงต่อศาลตามกระบวนการยุติธรรม

1.การไปยื่นคำชี้แจง ไม่ถือเป็นการยอมรับผิด แต่เป็นการดำเนินการตามกระบวนการยุติธรรม ที่สุดท้ายผลลัพธ์ยังคงขึ้นอยู่กับคำวินิจฉัยของศาล มิได้ขึ้นอยู่กับท่าทีในการเดินทางชี้แจง

เคสตัวอย่างในอดีตจึงถูกยกขึ้นมาจากกรณีที่ "อภิสิทธิ์" ถูก "เรืองไกร ลีกิจวัฒนะ" อดีต ส.ว.สรรหา เคยขอให้ศาลพิจารณาว่า การเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอาจเป็นการกระทำที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ

"ในวันนั้นแม้พรรคจะประเมินแล้วว่า สิ่งที่ดำเนินการไปไม่ผิดกฎหมาย แต่ท่านอภิสิทธิ์ก็เดินทางไปชี้แจง ไปรับฟังข้อกล่าวหาตามกระบวนการยุติธรรม ซึ่งท้ายที่สุดศาลก็วินิจฉัยว่าท่านไม่ผิด มันก็แสดงให้เห็นว่า การไปชี้แจงต่อศาล ไม่ได้หมายความว่ายอมรับว่าผิดตั้งแต่ต้น"

2.ตราบใดที่รัฐธรรมนูญฉบับ 2550 ยังมีผลบังคับใช้ตามกฎหมาย ศาลรัฐธรรมนูญก็ยังคงมีอำนาจตามรัฐธรรมนูญ ฉะนั้น การไม่ดำเนินการตามขั้นตอน ก็มีความหมายว่าฝ่าฝืนกฎหมายเช่นกัน

"ถ้าพรรคเพื่อไทยจะไม่ฟังคำสั่งศาล ตัดสินใจดำเนินการต่อ ศาลก็ยังถือว่ามีอำนาจในการวินิจฉัยตามขั้นตอนได้ หากคำวินิจฉัยสุดท้ายบอกว่าผิด ทั้ง 312 คนก็ต้องผิดตามรัฐธรรมนูญ 2550"

ทีมกฎหมายจึงมองเกมไปไกลกว่าเดิม สร้างสมมติฐานสงคราม 2 ขาอำนาจ จากขาหนึ่ง ฝ่ายนิติบัญญัติ โดยพรรคเพื่อไทยยังตัดสินใจเดินหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญขาที่สอง ฝ่ายตุลาการ ยังเดินหน้าวินิจฉัยตามคำร้องดังกล่าว

ผลลัพธ์สุดท้ายจึงถูกสรุปออกมาว่า ทั้งฝ่ายนิติบัญญัติ-ตุลาการ ต่างต้องทำงานในมุมมองของตนแข่งกับเวลา

หากฝ่ายตุลาการดำเนินการตามขั้นตอนเสร็จก่อน กระทั่งมีคำวินิจฉัยหรือคำแนะนำที่เป็น "โทษ" ย่อมเป็นผลลบให้แก่ผู้ร่วมก่อการทั้ง 312 คน

หากฝ่ายนิติบัญญัติ-เพื่อไทยแก้ไขรัฐธรรมนูญรายมาตรา โดยเฉพาะมาตรา 68 ที่พาดพิงถึงอำนาจศาลเสร็จสิ้นก่อน ย่อมไม่เป็นผลดีกับฝ่ายตุลาการ

"สิ่งที่เพื่อไทยต้องการปิดเกมเร็ว เพราะการแก้ไข ม.68 จะลดทอนอำนาจบางอย่างออกไป และเมื่อฝ่ายตุลาการเร่งไต่สวน วินิจฉัยเรื่องทั้งหมดไม่ทัน สุดท้ายสิ่งที่เคยถูกศาลมองว่ามีความผิดตามรัฐธรรมนูญ 2550 ก็อาจจะไม่มีประโยชน์"

เมื่อทั้งศาลรัฐธรรมนูญ-เพื่อไทยมีความเห็นที่แตกต่าง จุดยืนที่แตกแยก

การดำเนินการ 2 ขาอำนาจ จำต้องดำเนินการแข่งกับเวลาอย่างเลี่ยงไม่ได้

เพราะผลลัพธ์สุดท้าย มีพิษสงร้ายแรงต่อฝ่ายตรงข้าม ดังนั้น ใครถึงเส้นชัยก่อน โอกาสชนะก็มีสูง

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันอาทิตย์ที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2556

สังคม ยินดีจ่าย !!?


ผมสังเกตเห็นรูปแบบอีกอย่างหนึ่งของสังคมที่เปลี่ยนไปอย่างช้า ๆ ภายใต้การพัฒนาทางเศรษฐกิจของประเทศไทย ถ้าเทียบระยะเวลาสั้น ๆ ระหว่าง ปีนี้กับปีที่แล้ว เราจะแทบไม่รู้สึกถึงความแตกต่าง แต่ถ้าเอา 10 ปี 20 ปีที่แล้วมาเทียบกับสิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน จะเห็นภาพแตกต่างอย่างชัดเจน

สิ่งที่ช่วยให้ผมเห็นเด่นชัดที่สุด คือ ความเคลื่อนไหวของผู้คน เพื่อนฝูงใน Social Network เรามาดูกันว่า ไลฟ์สไตล์คนในยุคปัจจุบันทำอะไรกันบ้าง ซึ่งผมอยากเรียกมันรวม ๆ ว่า เป็นสังคม "ยินดีจ่าย"เริ่มจากแชร์ภาพ ถ่ายร้านอาหารใหม่ ดัง ๆ ที่คนรุ่นใหม่เรียกว่า ชิก ๆ ชิว ๆ ที่เกิดเป็นดอกเห็ด หลายร้านราคาแพง ให้บริการอาหารชั้นสูงอาจจะไม่แพงเกินเอื้อม แต่ราคาก็ไม่สมเหตุสมผลนัก ถ้าเป็นในอดีตคงแค่บางกลุ่มคนหรือบางชนชั้นที่ได้มีโอกาสเข้าไปรับประทาน แต่คนรุ่นใหม่จำนวนมาก "ยินดีจ่าย" ให้กับสิ่งเหล่านี้

สิ่งต่อมาคือ การแบ่งปันภาพการเดินทางไปต่างประเทศ การเดินทางในปัจจุบันแม้จะง่ายกว่าเดิมมาก ด้วยสาเหตุว่าราคาตั๋วเครื่องบินถูกลง และมีทางเลือกเดินทางในรูปแบบประหยัด แต่การเดินทางแต่ละครั้ง

ถ้าเทียบกับรายได้ของชนชั้นกลางทั่วไป ก็เรียกได้ว่าเป็นอัตราส่วนค่าใช้จ่ายที่สูงมาก คนยุคก่อนคงไม่กล้าที่จะเดินทางบ่อย ๆ หรือไปสถานที่แพงขนาดนี้ แต่คนรุ่นใหม่ "ยินดีจ่าย" เพื่อเป็นรางวัลชีวิตและมีอยู่ช่วงหนึ่งก่อนหน้านี้ที่สมาร์ทโฟน

อย่าง ไอโฟน หรือแบล็คเบอร์รี่เพิ่งจะได้รับความนิยม ก็เห็นว่าคนจำนวนมากถอยอุปกรณ์ราคาแพงมาอวดโฉม ทั้ง ๆ ที่สมัยก่อนคนที่ใช้โนเกียรุ่นแพง ๆ จะจำกัดอยู่เพียงคนกลุ่มหนึ่งเท่านั้น รวมถึงระยะเวลาในการซื้อเครื่องใหม่ก็ถี่กว่าแต่ก่อน ไม่เว้นอุปกรณ์ที่เรียกว่า Gadget ต่าง ๆ ของเหล่าชายหนุ่ม หรือกระเป๋าถือแบรนด์เนมที่ผมไม่เห็นคนรุ่นก่อน ๆ ใช้กันอย่างแพร่หลายขนาดนี้ ทั้ง ๆ ที่คนกลุ่มนั้นมีรายได้สูงกว่า แต่กลับ "ไม่ยินดีจ่าย" สิ่งเหล่านี้เหมือนคนในสังคมยุคใหม่

เหมือน กับว่าคนยุคใหม่โดยเฉพาะคนชั้นกลาง "ยินดีจ่าย" เพื่อให้ได้รับสินค้าและบริการที่ตัวเองถูกใจ สาเหตุคงเป็นเพราะคนยุค Gen X เป็นต้นมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเริ่มต้นจากคน Gen Y ไม่เคยผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบาก เช่น ภาวะสงคราม หรือสภาวะฝืดเคือง และเป็นช่วงที่พ่อแม่สะสมความมั่งคั่งทางการเงิน หรือมอบ "ความรู้" ในการประกอบอาชีพมาให้อย่างเต็มเปี่ยม และคนรุ่นใหม่ก็ให้ความสำคัญกับการออมเพื่ออนาคตลดลง รวมถึงการมีเครื่องมือทางการเงินในการกู้มากมาย ทำให้ศักยภาพการจ่ายของคนยุคใหม่สูงกว่าแต่ก่อนมาก และอีกทางหนึ่งคือการเติบโตของสื่อ โฆษณาต่าง ๆ ที่รวดเร็วและดึงดูดกำลังซื้อดีกว่าแต่ก่อน

แต่สำหรับมุมมองของนักลงทุนแล้ว ผมมีความเห็นอยู่ดังนี้ครับ 1.นักลงทุนควรหาโอกาสจากสภาวะสังคม "ยินดีจ่าย"
แบบนี้ หากิจการที่มีศักยภาพในการดึงลูกค้าวัยรุ่น หรือวัยกลางคนที่จะเป็นฐานลูกค้าระยะยาวได้ในอนาคต

2.อย่างไรก็ดี ผมคิดว่าการแค่หากิจการที่ให้บริการหรือขายสินค้าที่ลูกค้า "ยินดีจ่าย" นั้น ไม่เพียงพอ สิ่งที่สำคัญกว่าคือ ลูกค้าจะต้องยินดีจ่าย "ซ้ำ" ด้วย เพราะในยุคปัจจุบันกระแสสร้างได้ง่ายและสิ่งใดที่เกิดได้ง่าย ก็ย่อมดับได้ง่ายไม่แพ้กัน

3.สิ่งที่คนยินดีจ่ายซ้ำ มักจะเป็นสิ่งที่คุ้มค่าและสามารถสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับผู้ใช้ยุค ปัจจุบันได้ เราจะขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งไม่ได้ ถ้าสิ่งไหนเป็นกระแสจำเป็นจะต้องแปลงเป็นความคุ้มค่า หรือ Value ให้ได้เร็วที่สุด ดังนั้น กิจการจำเป็นต้องมีความสามารถในการควบคุมต้นทุน เพราะบริษัทจะสร้าง Value ที่ดีให้กับทั้งผู้ใช้บริการและผู้ถือหุ้นไม่ได้เลย ถ้าปราศจากการควบคุมต้นทุนที่ดีและได้เปรียบคู่แข่งขัน

4.คนที่ได้ ประโยชน์ไม่จำเป็นต้องเป็นเจ้าของสินค้าตัวนั้น ๆ เสมอไป อาจจะเป็นผู้ผลิต ผู้จัดจำหน่าย ผู้ทำการตลาด หรือเป็นผู้นำสินค้านั้นไปสร้างสินค้าและบริการอีกทีหนึ่ง นักลงทุนที่ดีต้องมองหาผู้ที่ได้ประโยชน์สูงสุด

5.นักลงทุนควรอยู่เหนือสังคมยินดีจ่าย เราไม่ยินดีจ่ายให้กับสิ่งที่ไม่จำเป็น เพราะชีวิตนักลงทุนที่เรียบง่าย ก่อให้เกิดความสุขที่ยั่งยืนกว่า และที่สำคัญนักลงทุนควรจะมองไกล เพราะสิ่งที่เรายินดีจ่ายในวันนี้

คือสิ่งที่จะบ่งบอกชีวิตเราในอนาคต

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
//////////////////////////////////////////////////////////

วันเสาร์ที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2556

ผู้สูงอายุไทยขาดคนดูแลยามแก่เฒ่า เหตุคนรุ่นใหม่มีบุตรลดลง !!?


“ผู้สูงอายุไทยขาดคนดูแลยามแก่เฒ่า” เหตุคนรุ่นใหม่มีบุตรลดลง
ผู้สูงอายุไทยขาดคนดูแลยามแก่เฒ่า เหตุคนรุ่นใหม่มีบุตรลดลง แนะภาครัฐเพิ่มแรงจูงใจให้อยู่ในระบบการทำงานนานขึ้น เพื่อความมั่นคงทางรายได้ ชี้หากไม่วางแผนรับมือการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากร ระยะยาวกระทบต่อการเติบโตเศรษฐกิจไทย
   
มูลนิธิสถาบันวิจัยและพัฒนาผู้สูงอายุไทย (มส.ผส.) โดยแผนงานพัฒนาองค์ความรู้เพื่อเพิ่มมโนทัศน์ใหม่ ของนิยามผู้สูงอายุและอายุเกษียณที่เหมาะสมสำหรับคนไทย สนับสนุนโดย สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จัดเสวนาวิชาการ “สังคมไทยจะก้าวไปอย่างไรบนการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากร” เพื่อฉายภาพสถานการณ์โครงสร้างของสังคมไทย ที่กำลังมุ่งสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างรวดเร็ว และร่วมกันสะท้อนมุมมองสำหรับหรับการปรับตัวและการวางแผน เพื่อรองรับผลกระทบที่จะเกิดขึ้นในจากการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวในอนาคต
   
รศ.ดร.วรเวศม์ สุวรรณระดา คณบดีวิทยาลัยประชากรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดเผยว่า ปัจจุบันแนวโน้มโครงสร้างทางประชากรของสังคมไทยกำลังมุ่งสู่สังคมผู้สูงอายุ จากตัวเลขเมื่อปี 2553 ระบุว่ามีผู้สูงอายุทั่วประเทศประมาณ 8.5 ล้านคน โดยหากเปรียบเทียบกับจำนวนประชากรทั้งหมดในประเทศไทยที่มีประมาณ 65.9 ล้านคน พบว่า ขณะนี้ประเทศไทยมีผู้สูงอายุมากถึงร้อยละ 13 โดยมีการคาดการณ์ว่าสัดส่วนจะเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 20 ในอีก 10 ปีข้างหน้า ดังนั้นประเด็นการเตรียมความพร้อมของสังคมไทย ในการมุ่งสู่สังคมผู้สูงอายุจึงเป็นเรื่องที่หลายฝ่ายควรให้ความสำคัญ โดยเฉพาะหน่วยงานภาครัฐและเอกชน ที่จะได้รับผลกระทบด้านกำลังแรงงาน
   
นอกจากสถานการณ์ด้านการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรแล้วนั้น ขณะเดียวกันประเทศไทยก็กำลังประสบกับภาวะเจริญพันธุ์ที่ต่ำลง หรือที่เรียกว่าภาวการณ์มีบุตรน้อย โดยจากการสำรวจเมื่อปี 2554 พบว่า ประชากรที่มีอายุ 80 ปี จะมีอัตราการมีบุตรเฉลี่ยคนละ 4.6 คน ส่วนประชากรอายุระหว่าง 50-54 ปี มีบุตรเฉลี่ยเพียงคนละ 2.1 คน เท่านั้น ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบสัดส่วนจะเห็นว่า แนวโน้มการมีบุตรลดลงค่อนข้างมาก ประกอบกับค่าเฉลี่ยอายุในปัจจุบันที่สูงขึ้น ในระยะยาวสังคมไทยจึงอาจประสบปัญหาคุณภาพชีวิตและการเป็นอยู่ชีวิตของผู้สูงอายุ เนื่องจากผู้สูงอายุจำนวนหนึ่งอาจไม่มีบุตรหลานคอยดูแล
   
ประเด็นเรื่องความมั่นคงในชีวิต โดยเฉพาะความเป็นอยู่ยามชราภาพ ถือเป็นประเด็นที่ควรมีการพูดถึงและวางแผนรองรับมากขึ้น เพราะปัจจุบันไม่เหมือนสมัยก่อนที่ครอบครัวมักมีลูกเยอะ ยามแก่เฒ่าจึงมีลูกหลานคอยดูแลให้ความช่วยเหลือ
   
อย่างไรก็ตาม ประเด็นด้านความมั่นคงทางเศรษฐกิจและการเงินของผู้สูงอายุ ก็ถือเป็นสำคัญไม่น้อยไปกว่าเรื่องคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ ซึ่งจากผลการศึกษาวิจัยพบว่า ในอนาคตประเทศไทยน่าจะประสบกับภาวะขาดแคลนกำลังแรงงาน โดยเฉพาะกลุ่มลูกจ้างภาคเอกชน เนื่องจากสัดส่วนการออกจากงานของคนไทย โดยเฉพาะกลุ่มผู้ที่มีอายุระหว่าง 47-48 ปี มีแนวโน้มออกจากระบบมากขึ้น โดยส่วนใหญ่มักจะออกไปประกอบธุรกิจส่วนตัว หรือหากเป็นเพศหญิงก็มักจะออกไปเป็นแม่บ้าน ซึ่งการออกจากงานที่ค่อนข้างเร็วเช่นนี้จะส่งผลกระทบต่อความมั่นคงทางรายได้ในอนาคต
   
แม้ว่าในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลทุกชุดจะพยายามสร้างหลักประกัน ให้กับกลุ่มผู้สูงอายุมากขึ้น โดยเฉพาะเรื่องของเงินบำนาญ แต่ในเรื่องของการขยายโอกาสการทำงาน หรือการสร้างรายได้ให้กับผู้สูงอายุ ตรงนี้ดูเหมือนว่าประเทศไทยจะยังไม่ค่อยมีความพร้อมมากนัก ดังนั้นภาครัฐควรมองถึงแนวทางการส่งเสริมให้ผู้ที่เริ่มเข้าสู่วัยสูงอายุอยู่ในระบบการทำงานอย่างต่อเนื่องได้อย่างไร ซึ่งตรงจุดนี้ควรเริ่มวางแผนในกลุ่มที่มีอายุตั้งแต่ 45 ปีขึ้นไป แต่การดึงให้คนอยู่ในระบบการทำงานนานยาวนานขึ้น ไม่ได้หมายถึงการขยายอายุเกษียณเพียงอย่างเดียว อย่างในต่างประเทศที่ส่วนใหญ่ก็จะมีมาตรการเพิ่มแรงจูงใจในการทำงาน”
   
ทั้งนี้จากผลการศึกษาวิจัยพบว่าหากประเทศไทย มีการวางแผนรองรับการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางประชากร โดยเฉพาะในประเด็นเรื่องของการเพิ่มอายุการทำงาน หรือชักจูงในคนอยู่ในระบบงานนานขึ้น จะส่งผลให้ศักยภาพทางเศรษฐกิจในระยะยาวมั่นคงมากกว่าการไม่เตรียมความพร้อม โดยมีการคาดการณ์ว่าหากไม่การเตรียมการอะไรเลย ตัวเลขการเติมโตทางเศรษฐกิจจะลดลง 1%
   
ขณะที่ นพ.โสภณ เมฆธน รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ด้วยสภาพสังคมไทยที่มีผู้สูงอายุมากขึ้น ในอนาคตจะส่งผลให้มีอัตราการเป็นภาระวัยสูงอายุ หรืออัตราที่พึ่งพิงวัยสูงอายุเพิ่มขึ้น ซึ่งเชื่อมโยงเกี่ยวกับการเจ็บไขได้ป่วย ทั้งนี้หากแบ่งตามสัดส่วนของผู้สูงอายุตามศักยภาพ จะพบว่าขณะนี้ประเทศไทยมีกลุ่มผู้สูงอายุติดสังคม คือ สามารถออกมาพบประผู้คนได้ร้อยละ 78 กลุ่มติดบ้าน คือ ลูกหลานต้องคอยดูแลร้อยละ 20 และกลุ่มติดเตียง คือ ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้เลยร้อยละ 2 ดังนั้นกระบวนการสำคัญที่จะช่วยให้ผู้สูงอายุไทย มีคุณภาพชีวิตที่ดีมากขึ้น จึงต้องอาศัยรูปแบบการให้บริการที่มีส่วนร่วมจากชุมชนเข้ามาช่วยกัน โดยพยายามผลักดันให้กลุ่มผู้สูงอายุที่ติดบ้าน ขยับเป็นกลุ่มติดสังคมมากขึ้น ขณะเดียวกันก็ต้องเพิ่มประสิทธิภาพการดูและผู้สูงอายุกลุ่มติดเตียงให้สามารถดูแลตัวเองได้เพิ่มมากขึ้น
   
ทั้งนี้กระทรวงสาธารณสุขมีกรอบแนวคิด ที่จะพัฒนาเป็นนโยบายสาธารณะ โดยดึงให้ชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมมากขึ้น ในการช่วยกันดูแลกลุ่มผู้สูงอายุ เริ่มตั้งแต่การพึ่งพาตนเอง การให้ครอบครัวเป็นผู้ดูแล โดยสนับสนุนให้มีอาสาสมัครดูแลผู้สูงอายุประจำครอบครัว การให้ชุมชนช่วยกันดูแลโดยจัดให้มีศูนย์อเนกประสงค์ เพื่อฟื้นฟูสมรรถภาพผู้สูงอายุ ส่วนในระดับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จะมีการผลักดันให้มีการจัดตั้งศูนย์ดูแลผู้สูงอายุ(Nursing home)
   
สำหรับการเพิ่มช่องทางการเข้าถึงการรักษาพยาบาลของกลุ่มผู้สูงอายุ ขณะนี้กระทรวงสาธารณสุขได้จัดให้หน่วยบริการส่วนท้องถิ่นเตรียมความพร้อมในเรื่องนี้มากขึ้น โดยเฉพาะ รพ.สต.ได้จัดให้มีพยาบาลสำหรับดูแลผู้ป่วยสูงอายุกระจายไปยังพื้นที่ต่างๆ โดยเฉพาะกลุ่มผู้ป่วยโรคเรื้อรัง เพื่อความสะดวกในการรับบริการที่ใกล้บ้าน”
   
ด้าน รศ.ดร.รศรินทร์ เกรย์ สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า สำหรับมุมมองมโนทัศน์ใหม่ต่อความหมายผู้สูงอายุ ในมุมมองเชิงจิตวิทยาสังคมและสุขภาพ พบว่าการเปลี่ยนแปลงนิยามของผู้สูงอายุ จาก 60 ปี เป็น 65 หรือ 70 ปี จะช่วยให้ผู้สูงอายุรู้สึกมีคุณค่ามากขึ้น เพราะส่งผลต่อมุมมองที่จะไม่นำไปสู่การเลือกปฏิบัติหรือการรังเกียจอันเนื่องมาจากอายุ (ageism) ขณะเดียวกันคนในสังคมก็ควรปรับเปลี่ยนทัศนคติและมุมมองต่อผู้สูงอายุเชิงบวกมากกว่าเชิงลบด้วย

ที่มา.สยามรัฐ
///////////////////////////////////////